พระราชประวัติ พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช
มหาราชพระองคท์ ่ี 3 (ฉบบั ปรบั ปรงุ )
ผ้เู รยี บเรยี ง นายประสาร ธาราพรรค์
พอ่ ขนุ ราม คาแหง มหาราช
ธ คือปราชญ์ ทรงสรา้ งสรรค์ สงิ่ ลาคา่
กอ่ กาเนดิ อกั ษรไทย ทรงปรชี า
ทรงพฒั นา ชาตไิ ทย ใหร้ งุ่ เรอื ง
ทรงปกครอง รฐั ราษฎร์ ชาญฉลาด
เศรษฐกจิ ชาติ ทรงสรา้ งเสรมิ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
ดา้ นการศาล ยตุ ธิ รรม ไรข้ ุ่นเคือง
ทรงประเทือง ศาสนา พระรตั นตรัย
การชลประทาน ธ ทรงสรา้ ง ทานบกักนา
ทรงเลศิ ลา กลการศกึ ไม่หวัน่ ไหว
ทรงขยาย อาณาเขต ให้กว้างไกล
ทรงทาให้ ราษฎรท์ ว่ั ไป สุขรม่ เยน็
สมั พันธภาพ ตา่ งประเทศ ลว้ นดเี ยี่ยม
ธ ทรงเปยี่ ม วเิ ทโศบาย ทรงเลอื กเฟน้
งานหตั ถกรรม ทรงสรา้ งไว้ ได้โดดเดน่
ธ ทรงเปน็ รม่ โพธทิ์ อง ของชาวไทย
............................................................
นายประสาร ธาราพรรค์ รอ้ ยกรอง
พ่อขุนรามคาแหงทรงเป็นมหาราชพระองค์เดียวในสมัยสุโขทัย
พระองค์ทรงเป็นอัจฉริยกษัตริย์ทรงบาเพ็ญพระราชกรณียกิจอันทรง
คุณประโยชน์แก่แผ่นดิน ทรงชานาญทังในด้านการรบ การปกครอง และ
การศาสนา พระองค์ทรงรวบรวมขยายอาณาจักรสุโขทัยออกไปได้กว้าง
ใหญไ่ พศาลดว้ ยวิเทโศบายอันแยบยลสขุ ุมคัมภีรภาพทังทรงปกครองไพร่ฟ้า
ข้าแผ่นดินด้วยความยุติธรรมได้รับความร่มเย็นเป็นสุขกันทั่วหน้า พ่อขุน
รามคาแหงมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 ในราชวงศ์พระร่วง
แหง่ ราชอาณาจักรสุโขทัย ทังยังได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึน ทาให้ชาติ
ไทยได้สะสมความรู้ทางศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่าง ๆ สืบทอดกัน
มากว่าเจ็ดร้อยปี
พระราชประวัตพิ อ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช
พ่อขุนรามคาแหงมหาราช หรือพ่อขุนรามราช ช่ือ”รามราช” พบใน
จารกึ วดั ศรีชุมวา่ “ลกู พ่อขนุ ศรีอนิ ทราทติ ย์ผ้หู น่ึงชือ่ พ่อขุนรามราชปราชญร์ ู้
ธรรม” รวมทังพบในจารึก และเอกสารอื่นๆอีกหลายแห่งว่า “พญาราม
ราช” อาจารย์พิริยะ ไกรฤกษ์ อธิบายคาว่า “ราม” (จากช่ือพญารามราช)
น่าจะมาจาก “อุตตโมราม” ซึ่งแปลว่า “พระรามผู้ย่ิงใหญ่” ท่ีทรงเป็นพระ
อนาคตพุทธเจ้าองค์ต่อไปจากพระเมตไตรย ดังท่ีกล่าวถึงใน “โสตตัตถกี
มหานทิ าน” เพราะในช่วงเวลานันต่างใหค้ วามสาคญั แก่พระอนาคตพทุ ธเจา้
โดยเฉพาะ (เอกสารวิจัยเร่ือง “การศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ศิลปะ : จารึก
พอ่ ขนุ รามคาแหง” : 2531)แตช่ ่ือ “รามคาแหง” พบเพยี งครังเดยี วในจารึก
พ่อขุนรามคาแหง และไมพ่ บในท่ีอนื่ ๆอกี เลยทกุ วนั นชี ือ่ “รามคาแหง” เป็น
ท่ีรู้จักกันแพร่หลายกว่า “รามราช” จึงขอเรียกตามความนิยมว่า “พ่อขุน
รามคาแหง”
พ่อขนุ ศรอี นิ ทราทิตย์ นางเสือง
พ่อขุนรามคาแหงมหาราชเป็นพระราชโอรสองค์ท่ี 3 ของพ่อขุนศรี
อินทราทิตย์กับนางเสือง พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ หรือพระนามเต็ม กามร
เตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ พระนามเดิม พ่อขุนบางกลางหาว ทรงเป็น
ปฐมวงศ์ราชวงศพ์ ระร่วงแหง่ อาณาจักรสโุ ขทัย ครองราชสมบัติ ตังแต่ พ.ศ.
1782 (คานวณศักราชจากคัมภีร์สุริยยาตรตามข้อเสนอของ ศ. ประเสริฐ
ณ นครและ พ.อ.พิเศษ เอือน มณเฑียรทอง) แต่ไม่ปรากฏหลักฐานการ
สวรรคตหรอื สินสุดการครองราชสมบัตปิ ใี ด มผี ูส้ ันนิษฐานที่มาของพ่อขนุ ศรี
อินทราทิตย์ จากคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ว่าบ้านเดิมของพระองค์อาจอยู่ที่
“บา้ นโคน” ในจังหวัดกาแพงเพชร
พ่อขนุ ผาเมือง
พ่อขุนศรอี ินทราทติ ยเ์ มื่อครังยังเปน็ พอ่ ขุนบางกลาวหาวได้ร่วมกับพ่อ
ขนุ ผาเมือง เจ้าเมืองราดแห่งราชวงศ์ศรีนาวนาถุม รวมกาลังพลกัน กระทา
รัฐประหารขอมสบาดโขลญลาพง โดยพ่อขุนบางกลางหาวตีเมืองศรีสัชนา
ลัยและ เมืองบางขลงได้ และยกทังสองเมืองให้พ่อขุนผาเมือง ส่วนพ่อขุน
ผาเมืองตีเมอื งสโุ ขทัยได้ ก็ไดม้ อบเมอื งสโุ ขทยั ให้พอ่ ขุนบางกลาวหาว พรอ้ ม
พระขรรค์ชัยศรีและพระนาม “ศรีอินทรบดินทราทิตย์” ซ่ึงได้นามาใช้เป็น
พระนาม ภายหลังได้กลายเป็น ศรีอินทราทิตย์ โดยคาว่า “บดินทร” หาย
ออกไป เช่ือกันว่าเพื่อเป็นการแสดงว่ามิได้ เป็น บดีแห่งอินทรปัต คืออยู่
ภายใต้อิทธิพลของเขมร (เมืองอินทรปัต) อีกต่อไป เม่ือแรกตังอาณาจักร
สโุ ขทยั นนั อาณาเขตยงั ไมก่ วา้ งขวางเทา่ ใดนกั เขตแดนทางทศิ ใต้จดเพียง
เมอื งปากนาโพ ใต้จากปากนาโพลงมายงั คงเป็นอาณาเขตของขอมอันได้แก่
เมืองละโว้ ทางฝ่ายตะวนั ตกจดเพียงเขาบรรทัด ทางเหนือมีเขตแดนติดต่อ
กับประเทศลานนาท่ีภูเขาเขื่อน ส่วนทางตะวันออกก็จดอยู่เพียงเขา
บันทัดท่ีกันแม่นาสักกับแม่นาน่าน การเข้ามาครองสุโขทัยของพระองค์
สง่ ผลใหร้ าชวงศพ์ ระร่วงเขา้ มามอี ิทธพิ ลในเขตนครสุโขทัยเพิม่ มากขนึ และ
ได้แผข่ ยายดินแดนกวา้ งขวางมากออกไป แตเ่ ขตแดนเมอื งสรลวงสองแคว ก็
ยงั คงเปน็ ฐานกาลังของราชวงศศ์ รีนาวนาถุมอยู่
พอ่ ขนุ ศรอี ินทราทติ ยม์ ีพระราชโอรสและพระธดิ ารวม 5 พระองค์ ไดแ้ ก่
1. พระราชโอรสองคโ์ ต (ไมป่ รากฏนาม)เสยี ชวี ติ ตงั แตย่ งั ทรงพระเยาว์
2. พอ่ ขนุ บานเมอื ง
3. พ่อขนุ รามคาแหงมหาราช
4. พระธดิ า (ไมป่ รากฏนาม)
5. พระธดิ า (ไมป่ รากฏนาม)
พอ่ ขนุ รามคาแหงชนชา้ งขนุ สามชนเจา้ เมอื งฉอด
ในระหว่างท่ีพระเจา้ ศรีอนิ ทราทติ ยท์ รงครองราชย์อยู่นัน ก็ได้กระทา
สงครามเพอื่ ขยายเขตแดนของไทยออกไปอีกในทางโอกาสท่ีเหมาะสม ดังที่
มีข้อความปรากฏอยู่ในศิลาจารึกว่า พระองค์ได้เสด็จยกกองทัพไปตีเมือง
ฉอด ได้ทาการรบพุ่งตะลุมบอนกันเป็นสามารถถึงขนาดที่พระเจ้าศรี
อนิ ทราทิตย์ ไดท้ รงกระทายุทธหตั ถีกับขนุ สามชนเขา้ เมืองฉอด แต่พระองค์
เสียทีแก่ขุนสามชน แลในครังนีเองที่เจ้ารามราชโอรสองค์เล็กของพระองค์
ได้เริ่มมีบทบาทสาคัญด้วยการท่ีทรงถลันเข้าช่วยโดยไสช้างทรงเข้าแก้พระ
ราชบิดาไว้ทันท่วงที แล้วยังได้รบพุ่งตีทัพขุนสามชนเข้าเมืองฉอดแตกพ่าย
กระจายไป
การขนึ ครองราชย์
พ่อขนุ บานเมอื ง
เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์สินพระชนม์ พ่อขุนบานเมืองเป็น พระราช
โอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 2 แห่ง
ราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย พอ่ ขุนบานเมอื งทรงครองราชย์ต่อจากพ่อขนุ ศรี
อินทราทิตยจ์ นถงึ พ.ศ. 1822 พระนามปรากฏในจารึกหลักท่ี 1 และหลักที่
45 คนทั่วไปมกั จะเข้าใจผดิ วา่ พระนามของพระองคค์ ือบาลเมือง ทงั นเี พราะ
สมัยก่อนพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้จดบันทึกประวัติศาสตร์ จึงมักจะแปลงพระ
นามเปน็ ภาษาบาลไี ป พ่อขุนบานเมอื งเสวยราชสมบัตใิ นปใี ดไมป่ รากฏ และ
เมื่อสินพระชนม์แล้ว พ่อขุนรามคาแหงมหาราชก็เสวยราชย์แทนต่อมารัช
สมยั ของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชเป็นยุคที่กรุงสุโขทัยเฟ่ืองฟูและเจริญขึน
กวา่ เดมิ เปน็ อันมาก ระบบการปกครองภายในก่อให้เกดิ ความสงบเรียบร้อย
อย่างมปี ระสิทธภิ าพ มกี ารตดิ ต่อสัมพนั ธก์ ับตา่ งประเทศทงั ในดา้ นเศรษฐกจิ
และการเมือง ประชาชนอยู่ดีกินดี สภาพบ้านเมืองก้าวหน้าทังทางเกษตร
การชลประทาน การอุตสาหกรรม และการศาสนา อาณาเขตของกรุง
สุโขทยั ไดข้ ยายออกไปกวา้ งใหญไ่ พศาล
การขยายอาณาเขต
เม่ือพ่อขุนรามคาแหง เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติสืบต่อจากพ่อขุนบาล
เมืองนัน อาณาจักรสุโขทัยนับว่าตกอยู่ในระหว่างอันตรายรอบด้าน และ
ยากทาการขยายอาณาจักรออกไปได้ เพราะทางเหนอื ก็ติดต่อกับแคว้นลาน
นา อนั เปน็ เชอื สายไทยดว้ ยกนั มีพระยาเม็งรายเป็นเจ้าเมืองเงินยางและ
พระยางาเมอื ง เป็นเจ้าเมืองพะเยาและทงั พระยาเม็งรายและพระยางา
เมือง ขณะนันต่างก็มีกาลังอานาจแข็งแกร่งทังคู่ ตามพงศาวดารโยนก พ่อ
ขนุ รามคาแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทยั พญามงั รายมหาราชแห่งลา้ นนา และ
พญางาเมืองแห่งพะเยา เป็นศษิ ยร์ ว่ มพระอาจารยเ์ ดยี วกัน ณ สานักพระสุก
ทนั ตฤๅษี ที่เมอื งละโว้ จงึ นา่ จะมอี ายรุ ่นุ ราวคราวเดียวกัน โดยพอ่ ขนุ เมง็ ราย
ประสตู เิ มอื่ พ.ศ. 1782 พ่อขุนรามฯ นา่ จะประสตู ใิ นปใี กล้เคยี งกัน
พญางาเมือง พญามงั รายมหาราช พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช
ทรงทาพระราชไมตรีกบั พ่อขุนเมง็ รายมหาราชแหง่ ลา้ นนาและพอ่ ขนุ งา
เมืองแห่งพะเยา โดยทรงยินยอมให้พ่อขุนเม็งรายมหาราชขยายอาณาเขต
ล้านนาทางแม่นากก แม่นาปิง และแม่นาวังได้อย่างสะดวก เพ่ือให้เป็นกัน
ชนระหว่างจีนกับสุโขทัยกับทังยังได้เสด็จไปทรงช่วยเหลือพ่อขุนเม็งราย
มหาราชหาชยั ภมู ิสร้างเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 1839 ด้วย ด้วยเหตุนีพ่อ
ขุนรามคาแหงจึงต้องดาเนินวิเทโศบายในการแผ่อาณาจักรอย่างแยบยล
และสุขุมที่สุดเพ่ือหลีกเล่ียงการฆ่าฟันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง คือแทนท่ี
จะขยายอาณาเขตไปทางเหนือ หรือตะวันออกซ่ึงมีคนตังหลักแหล่งอยู่มาก
พระองค์กลับทรงตัดสินพระทัยขยายอาณาเขตลงไปทางใต้อันเป็นดินแดน
ของขอม และทางทิศตะวันตกอันเป็นดินแดนของมอญ เพ่ือให้คนไทยใน
แควน้ ลานนาได้ประจกั ษใ์ นบุญญาธกิ าร
พญามงั ราย
แต่แม้จะได้ตกลงพระทัย ดังนัน พ่อขุนรามคาแหงก็ยังคงทรงวิตก
อยู่ในข้อท่ีว่าถ้าแม้ว่าพระองค์กรีฑาทัพขยายอาณาเขตลงไปสู้รบกับพวก
ขอมทางใต้แล้วพระองค์อาจจะถูกศัตรูรุกรานลงมาจากทางเหนือก็ได้
บังเอญิ ในปี พ.ศ. 1829 กษัตรยิ ใ์ นราชวงศ์หงวนได้ส่งทูตเข้ามาขอทาไมตรี
กับไทย พระองค์จงึ ยอมรบั เปน็ ไมตรกี บั จนี เพื่อปอ้ งกนั มิใหก้ องทพั จนี ยกมา
รุกรานเม่ือพระองค์ยกทัพไปรบเขมร พร้อมกันนันก็ได้ทรงพยายามสร้าง
ความสนิทสนมกับไทยลานนาเช่นได้เสด็จด้วยพระองค์เองไปช่วยพ ญา
มังราย สร้างราชธานีท่ีนครเชียงใหม่เป็นต้น แหละเม่ือเห็นว่าสัมพันธไมตรี
ทางเหนือม่ันคงแล้ว พระองค์จึงได้เร่ิมขยายอาณาจักรสุโขทัยลงไปทางใต้
ตามลาดับ คือ ใน พ.ศ. 1823 ทรงตีได้เมืองนครศรีธรรมราช และเมือง
ต่างๆ ในแหลมลายูตลอดรวมไปถงึ เมอื งยะโฮรแ์ ละเกาะสงิ คโปรใ์ นปจั จบุ นั นี
ใน พ.ศ. 1842 ตไี ดป้ ระเทศเขมร (กมั พูชา)
มะกะโท พระเจา้ ฟา้ รวั่
ส่วนทางทิศตะวันตกที่มีอาณาเขตจดเมืองมอญนันเล่าพระเจ้า
รามคาแหงกไ็ ดด้ าเนินการอย่างสุขุมรอบคอบเช่นเม่ือได้เกิดความขึนว่า มะ
กะโท อามาตย์เชือสายมอญ ซึ่งมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดและได้มารับ
ราชการใกล้ชิดพระองค์ได้กระทาความผิดชันอุกฤษฏ์โทษ โดยลักพาเอา
พระธิดาของพระองค์หนีกลับไปเมืองมอญ แทนที่พระองค์จะยกทัพตามไป
ชงิ เอาตวั พระราชธดิ าคืนมา พระองค์กลับทรงเฉยเสียด้วยได้ทรงคาดการณ์
ไกล ทรงมั่นพระทัยว่า มะกะโท ผู้นีคงจะคิดไปหาโอกาสตังตัวเป็นใหญ่ใน
เมืองมอญ ซึ่งถ้าเมื่อมะกะโทได้เป็นใหญ่ในเมืองมอญก็เปรียบเสมือน
พระองค์ได้มอญมาไว้ในอุ้มพระหัตถ์ โดยไม่ต้องรบราฆ่าฟันกันให้เสียเลือด
เนอื ซึ่งต่อมาการณก์ ็ได้เป็นไปตามท่ีได้ทรงคาดหมายไว้ คอื มะกะโท ได้เปน็
ใหญ่ครอบครองอาณาจักรมอญทังหมด แลได้เข้าสามิภักดิ์ต่ออาณาจักร
สุโขทัย โดยพระเจ้ารามคาแหงมิต้องทาการรบพุ่งประการใดพระองค์ได้
เสด็จไปทาพิธีราชภิเษกให้มะกะโท และพระราชทานนามให้ใหม่ว่า “พระ
เจ้าฟา้ ร่ัว”
ด้วยวิเทโศบายอันชาญฉลาดสุขุมคัมภีรภาพของพระองค์นีเอง จึง
เป็นผลให้อาณาจักรไทยในสมัยพระเจ้ารามคาแหงแผ่ขยายออกไปอย่าง
กว้างขวาง ปรากฎตามหลักศิลาจารึกว่าพ่อขุนรามคาแหงมหาราชได้ทรง
ขยายอาณาเขตออกไปอยา่ งกวา้ งขวางไพศาล คอื
ทิศตะวันออก ทรงปราบได้เมืองสรหลวงสองแคว (พิษณุโลก), ลุมบา
จาย, สะค้า (สองเมืองหลังนีอาจอยู่แถวลุ่มแม่นาน่านหรือแควป่าสักก็ได้),
ข้ามฝ่ังแม่นาโขงไปถงึ เวยี งจันทน์และเวียงคาในประเทศลาว
ทศิ ใต้ ทรงปราบไดค้ นที (บา้ นโคน จงั หวดั กาแพงเพชร), พระบาง
(นครสวรรค)์ , แพรก (ชยั นาท), สุพรรณภมู ิ, ราชบรุ ,ี เพชรบรุ ,ี และ
นครศรีธรรมราช โดยมฝี ง่ั ทะเลสมทุ ร (มหาสมทุ ร) เปน็ เขตแดนไทย
ทศิ ตะวนั ตก ทรงปราบไดเ้ มอื งฉอด, เมืองหงสาวดี และมสี มทุ รเปน็
เขตแดนไทย
ทศิ เหนอื ทรงปราบไดเ้ มอื งแพร่, เมอื งน่าน, เมอื งพลวั (อาเภอปวั
นา่ น), ขา้ มฝงั่ โขงไปถงึ เมอื งชวา (หลวงพระบาง) เปน็ เขตแดนไทย
เศรษฐกจิ และการคา้
ในรัชสมยั ของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช เปน็ ช่วงสมัยท่สี ุโขทยั มคี วาม
เจริญรุ่งเรืองสูงสุด ซึ่งนอกจากการทาสงครามเพื่อขยายอาณาเขตแล้ว
ความรุ่งเรืองของสุโขทัยอาจเนื่องมาจากการที่สุโขทัยตังอยู่ในเส้นทางทาง
การค้ามาตังแต่สมัยโบราณ และเมือ่ การค้าขยายตวั เพิ่มขึน สโุ ขทัยซ่งึ อยบู่ น
เสน้ ทางคมนาคมทสี่ ามารถคา้ ขายติดต่อกบั บา้ นเมืองต่างๆได้ โดยรอบ โดย
มีเส้นทางการเดินทางไปทางเหนือถึงลุ่มแม่นาโขง ทางตะวันตกมีเส้นทาง
ติดต่อกับเมืองพุกามและหัวเมืองมอญ ซึ่งสามารถออกทะเลเบงกอลติดต่อ
กับลังกา และอินเดียใต้ ส่วนทางใต้มีเส้นทางเดินทางผ่านลุ่มแม่นาปิง ลุ่ม
แม่นาเจ้าพระยา ผ่านนครศรธี รรมราชออกสูท่ ะเล สนั นษิ ฐานวา่ สโุ ขทัยอาจ
เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าแบบกองคาราวาน และสุโขทัยเองอาจจะค้าของ
ป่า และแร่ธาตุสาคัญ นอกจากนันสุโขทัยยังยอมเป็นเมืองผ่านทางการค้า
โดยอนุญาตให้พ่อค้าเอาสินค้าไปค้าขายแลกเปลี่ยนได้โดยไม่เก็บภาษีผ่าน
ด่าน เปน็ การสง่ เสรมิ ใหม้ คี นมาคา้ ขายทสี่ ุโขทัยเพ่มิ ขนึ ดังมขี ้อความปรากฏ
ในศิลาจารึกหลักท่ี 1 ว่า “เจ้าเมืองบ่เอาจกอบ ในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไป
ค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจะใคร่ค้าช้างค้า ใครจะใคร่ค้าม้าค้า ใครจะใคร่ค้าเงือน
ค้าทองคา้ ” จงึ อาจเป็นเหตผุ ลสาคญั ท่ที าใหผ้ ้คู นจากท่ีต่างๆโยกย้ายเขา้ มาสู่
ดินแดนใน อาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัย ดังปรากฏข้อความในศิลาจารึก
หลักท่ี 1 ว่า “พ่อขุนรามคาแหง ลูกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นขุนในเมือง
ศรีสัชนาลัย สุโขทัย ทังมากาว ลาวแลไทย เมืองใต้หล้าฟ้า ฏ…ไทยชาวอู
ชาวของ มาออก”ทรงสนบั สนนุ ในทางการคา้ พานชิ เลิกดา่ นเกบ็ ภาษีอากร
และจังกอบ เพื่อเปิดโอกาสใหผ้ คู้ นไปมาคา้ ขายกันไดโ้ ดยสะดวกได้ย่ิงขึน
พระราชกรณยี กจิ ดา้ นการตา่ งประเทศ
พระเจ้าหงวนสโี จว๊ ฮอ่ งเต้
การเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้าน นับเป็นพระราโชบาย
สาคญั อนั หนง่ึ ของพอ่ ขนุ รามคาแหง ทังนีก็เพ่ือยังประโยชน์ต่อประเทศชาติ
บ้านเมืองในด้านต่าง ๆ หลังจากท่ีทรงขยายอาณาจักรสุโขทัยออกไปได้
อย่างกวา้ งขวาง และดาเนนิ การจัดระเบียบการปกครองเปน็ ทเ่ี รยี บร้อยแลว้
จึงหันมาเอาพระทัยใส่ในด้านต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกับ
ประเทศจีนซึ่งในเวลานันเป็นรัชสมัยของ "พระเจ้าหงวนสีโจ๊วฮ่องเต้" แห่ง
ราชวงศ์หงวน ได้แต่งราชฑูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยในราวปี พ.ศ.
2825 หลังจากนันพ่อขุนรามคาแหงได้เสด็จไปเมืองจีนถึง 2 ครัง โดยมี
หลกั ฐานจากจดหมายเหตขุ องจีนยืนยันว่า ได้เสด็จไปในปี พ.ศ. 1837 และ
ในปี พ.ศ.1843 และในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีของไทยได้มีบันทึกทาง
ประวตั ิศาสตร์ว่า ไทยได้สง่ คณะทูตไปเมืองจีน 10 ครงั จีนสง่ มา 4 ครัง (แต่
มาถึงกรุงสุโขทัยเพียง 3 ครัง) พ่อขุนรามคาแหงส่งราชทูตเดินทางมาเฝ้า
และแจ้งพระราชประสงค์แก่พระเจ้าหงวนสีโจ๊วฮ่องเต้ ณ กรุงปักก่ิงในปี
พ.ศ.2835 วา่ จะเสดจ็ ฯ มาเฝ้าดว้ ยพระองคเ์ อง แตเ่ กดิ ศกึ ทางดา้ นเมอื งชวา
ครันถึงปี พ.ศ.1837 พระเจ้าหงวนสีโจ๊วฮ่องเต้เสด็จสวรรคต พ่อขุน
รามคาแหงจึงเสด็จไปถวายคานับพระบรมศพ ณ กรุงจีนภายในปีนัน และ
ประทับอยู่จนถงึ ต้นปี พ.ศ.1838 เพื่อเข้าร่วมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชนัดดา (บางตาราว่าคือ ติมูรข่าน ทรงเป็นพระราชโอรส) ของพระ
เจ้าหงวนสีโจ๊ว ซ่ึงเสด็จครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์หงวน ทรง
พระนามวา่ มหาจกั รพรรดิ "หงวนเซง่ จง" หรอื "พระเจ้าหงวนเสงจงฮอ่ งเต้"
ในการเสด็จไปประเทศจีนนันมีผลดีทางดา้ นการเมอื ง 2 ประการ คอื
1. เพม่ิ พนู สัมพนั ธไมตรีระหวา่ งราชวงศไ์ ทยและจีนใหแ้ นน่ แฟน้ ยงิ่ ขนึ
กวา่ สมยั ใด ๆ ทผ่ี า่ นมา
2. ไทยมีการพฒั นาทางดา้ นงานศลิ ปหัตถกรรม โดยเมอื่ เสดจ็ กลบั จาก
เมอื งจนี แลว้ พอ่ ขนุ รามคาแหงได้ให้ตงั โรงงานทาถว้ ยชามเคร่อื งเคลือบดนิ
เผาขนึ ในกรงุ สโุ ขทยั และเมอื งศรสี ชั นาลยั ซงึ่ มนี ายช่างทน่ี ามาจากเมืองจนี
เปน็ ผคู้ วบคมุ ดแู ล โดยในระยะแรกทรงให้สรา้ งโรงงานขนาดเลก็ ขนึ ก่อน
เปน็ โรงงานสาหรบั ฝกึ ชา่ งไทยและทาผลติ ผลสง่ หลวง
เคร่อื งปน้ั ดนิ เผาสวรรคโลก
ครันอกี 6 ปีตอ่ มาพอ่ ขุนรามคาแหงเสดจ็ ไปเยอื นเมืองจีนเป็นครังท่ี 2
ในปี พ.ศ.1843 พระมหาจักรพรรดิหงวนเซ่วจนได้ถวายช่างฝีมือเพิ่มเติมจึง
โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งโรงงานขนาดใหญ่ขึน ณ เมอื งสวรรคโลก (เมืองเชลียง)
อีกแห่งหนึ่ง โดยระดมทังช่างไทยและช่างจีน ทาการผลิตเครื่องปั้นดินเผา
เคลือบนานาชนิด ส่งเป็นสินค้าทางทะเลออกจาหน่ายทังภายในและ
ต่างประเทศ ณ ประเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บอร์เนียว และมาเลเซีย
เป็นตน้ ซง่ึ ไดร้ บั ความนิยมแพรห่ ลาย เนอื่ งจากมีลวดลายวจิ ิตรวายงามและ
ขนาดไม่ใหญ่เทอะทะเหมือนแบบเดิมที่ใช้กันอยู่ ทังอายุการใช้งานก็
ยาวนาน จงึ เป็นท่ตี อ้ งการของตลาด
เครื่องปน้ั ดนิ เผาสวรรคโลก
ในสมัยต่อมาคาว่าสวรรคโลกได้เพียนไป ถ้วย ชาม เครื่องเคลือบดิน
เผาท่ีผลิตขึนในสมัยนันจึงถูกเรียกว่า "เครื่องสังคโลก" ปัจจุบันเป็นสิ่งท่ี
ทรงคุณค่าหาไดย้ ากยิง่ มีราคาซอ่ื ขายกันแพงลบิ ลิว่ และมชี อ่ื เสยี งเปน็ ทร่ี จู้ กั
และยอมรับในนานาประเทศ สาหรับเตาเผาท่ีใช้เผาเครื่องสัคโลกเรียกว่า
"เตาทุเรียง" อันเป็นคาท่ีเพียนมาจากเมืองเชลียง ลักษณะเตาก่อด้วยอิฐ
กว้าง 1.50 เมตร ยาว 4-5 เมตร ทารูปร่างคล้ายกับประทุนเกวียน แบ่ง
ออกเปน็ 3 ตอน คอื 1. ปล่องไฟ 2. ท่ีสีไฟ 3. ทวี่ างถว้ ยชาม น อ ก จ า ก
การตดิ ต่อกบั ประเทศจนี แลว้ จากขอ้ ความในหนังสือราชาธิราชปรากฏว่ามี
การติดต่อกับประเทศใกลเ้ คยี งคือ เมอื งรามญั เมอื งหงสาวดี ชวา มลายแู ละ
ลงั กา
การปกครอง
ในด้านการปกครองเพ่ือความปลอดภัยและมั่นคงของประเทศนัน
พระองค์ทรงถือว่าชายฉกรรจ์ท่ีมีอาการครบ 32 ทุกคนเป็นทหารของ
ประเทศ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงดารงตาแหน่งจอมทพั ข้าราชการก็มีตาแหน่ง
ลดหล่ันเป็นนายพล นายร้อย นายสิบ ถัดลงมาตามลาดับ ในด้านการ
ปกครองภายใน จัดเป็นส่วนภูมิภาคแบ่งเป็นหัวเมืองชันใน ชันนอกและ
เมืองประเทศราชสาหรับหัวเมืองชันใน มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ปกครอง
โดยตรง มีเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี เมืองศรีสัชนาลัย (สวรรคโลก) เป็น
เมืองอุปราช มีเมืองทุ่งยังบางยม สองแคว (พิษณุโลก) เมืองสระหลวง
(พิจติ ร) เมอื งพระบาง(นครสวรรค์) และเมอื งตากเป็นเมืองรายรอบ
สาหรับหัวเมืองชันนอกนัน เรียกว่าเมืองพระยามหานคร ให้ขุนนาง
ผู้ใหญ่ท่ีไว้วางพระราชหฤทัยไปปกครองมีเมืองใหญ่บ้างเล็กบ้าง เวลามีศึก
สงครามก็ให้เกณฑ์พลในหัวเมืองขึนของตนไปช่วยทาการรบป้องกันเมือง
หั ว เ มื อ ง ชั น น อ ก ใ น ส มั ย นั น ไ ด้ แ ก่ เ มื อ ง ส ร ร ค บุ รี อู่
ทอง ราชบุรี เพชรบุรี ตะนาวศรี เพชรบูรณ์ และเมืองศรีเทพ ส่วนเมือง
ประเทศราชนัน เป็นเมืองที่อยู่ชายพระราชอาณาเขตมักมีคนต่างด้าว
ชาวเมืองเดิมปะปนอยู่มาก จึงได้ตังให้เจ้านายของเขานันจัดการปกครอง
กันเอง แต่ต้องถวายดอกไม้เงินดอกไม้ทองทุกปี แลเมื่อเกิด ศึกสงคราม
จะต้องถล่มทหารมาช่วย เมืองประเทศราชเหล่านี ได้แก่ เมือง
นครศรธี รรมราช มะละกา ยะโฮร์ทะวาย เมาะตะมะ หงสาวดี นา่ น หลวง
พระบาง เวยี งจันทร์ และเวยี งคา
พระพุทธสิหิงค์
การศาสนา
ทรงรับเอาพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ จากลังกา
ผ่านเมืองนครศรีธรรมราช มาประดิษฐานที่เมืองสุโขทัย ทาให้
พระพทุ ธศาสนาวางรากฐานมั่นคงในอาณาจักรสุโขทัย และเผยแผ่ไปยังหัว
เมืองต่างๆในราชอาณาจักรสุโขทัย จนกระทั่งได้กลายเป็นศาสนาประจา
ชาตไิ ทยมาจนถงึ ทุกวนั นี เ ม่ื อ พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ไ ด้ ม า ตั ง มั่ น ที่
นครศรีธรรมราช พ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรงเลื่อมใสศรัทธาใน
พระพุทธศาสนาจงึ ใหน้ ิมนต์พระเถระชันผใู้ หญจ่ ากเมอื งนครศรีธรรมราชไป
ตังเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่กรุงสุโขทัยด้วย และนับเป็นการเร่ิมการเจริญ
สมั พนั ธไมตรีกบั ลังกา อีกทังทรงได้สดับกิตติศัพท์ของ "พระพุทธสิหิงค์" ซึ่ง
เป็นพระพุทธรูปที่เจ้าราชวงศ์ลังกาสร้างขึนด้วยพระพุทธลักษณะท่ีงดงาม
และมีความศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ จงึ ทรงให้พระยานครศรีธรรมราช เจา้ ประเทศราชแต่ง
สาส์นให้ทูตถือไปยังลังกา เพื่อขอเป็นไมตรีและขอพระราชทานพระพุทธ
สิหงิ คม์ าเพ่ือเป็นพระคู่บา้ นคูเ่ มืองไทยสืบไป ศิลปะทางด้านพุทธศาสนา ใน
สมัยสุโขทัยได้รับพระพุทธสิหิงค์มาจากลังกา ซึ่งเป็นแม่แบบของ
พระพุทธรูปสุโขทัย พระพุทธรูปในประเทศไทยก่อนหน้านีทุกยุคไม่เคยมี
เปลวรัศมีสูง เพ่ิงจะมีขึนครังแรกในสมัยสุโขทัย สังฆาฏิพระพุทธรูปใน
สมัยก่อนหน้านี ไม่เคยเป็นแฉกชนิดที่เรียกว่า เขียวตะขาบ พระเจดีย์แบบ
ลอมฟางซึ่งถ่ายทอดมาจากมรีจิวัดเจดีย์ในลังกาก็ดี ถูปารามในลังกาก็ดี
สมยั สโุ ขทัยก็สร้างขึนเลยี นแบบ เช่น พระมหาธาตุวัดช้างร้อง เมืองชะเลียง
ด้วยอิทธิพลเกี่ยวกับประเพณีทางศาสนา ในศิลาจารึกของพ่อขุน
รามคาแหง ได้พรรณนาถึงสภาพของของชาวสุโขทัยและประเพณีทาง
ศาสนามีความว่า "คนในเมืองสุโขทัยนี มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อ
ขุนรามคาแหงเจ้าเมืองสุโขทัย ทังชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยป่ัวท่วยนาง ลูกเจ้า
ลูกขุน ทังสินทังหลาย ทังผู้ชายผู้หญิง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เม่ือออกพรรษา กรานกฐินเดือนหนึ่งจึงแล้ว เมื่อ
กรานกฐินมีพนมเบียพนมหมากมีพนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนนอน
บริพารกฐิน โอยทานแล่ป่ีแล้ญิบล้าน ไปสวดญัตติกฐินถึงอรัญญิกพู้น…ใคร
จะมกั เล่น…เล่น ใครจะมักหวั …หวั ใครจะมักเลื่อน…เล่ือน เมืองสุโขทัยนีมีส่ี
ปากประตูหลวง เทียนญอมคนเสียดกันดูท่านเผ่าเทียน เมืองสุโขทัยนีมีดัง
จะแตก
พระอัจนะ วดั ศรชี มุ
นอกจากนีกรงุ สโุ ขทัยยังมีวัดต่าง ๆ ท่ีสาคัญ เช่น วัดตะพังเงิน วัดชนะ
สงคราม วัดสระสี วัดตะกวน วัดศรีชุม เป็นต้น ภายในวัดศรีชุมมี
พระพุทธรูปปางมารวชิ ัยขนาดมหมึ า คือ "พระอจั นะ" ประดษิ ฐานอยู่ภายใน
พระวิหารซ่ึงสร้างเป็นรูปส่ีเหลี่ยมลักษณะคล้ายมณฑป แต่หลังคาพังทลาย
ลงมาหมดแล้ว เหลือเพียงผนังทังสี่ด้าน ผนังแต่ละด้านก่ออิฐถือปูนอย่าง
แน่นหนาภายในช่องกาแพงตามฝาผนังมีภาพเขียนเก่าแก่แต่เลอะเลือน
เกอื บหมดภาพเขียนนีมีอายุเกือบ 700 ปี
พระแทน่ มนงั คศลิ า
พระองคเ์ องทรงเปน็ อัครศาสนปู ถมั ภกได้ทรงสร้างแทน่ มนงั คศลิ าไวท้ ่ี
ดงตาล สาหรบั ใหพ้ ระสงฆแ์ สดงธรรมและบางครงั ก็ใชเ้ ปน็ ทป่ี ระทบั ว่า
ราชการแผน่ ดนิ
อุทยานประวัตศิ าสตรศ์ รีสชั นาลัย
สถาปตั ยกรรม
สถาปตั ยกรรมท่สี าคัญอ่ืน ๆ เชน่ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ครอบพระ
มหาธาตุ ณ เมืองศรีสัชนาลัย มีข้อความปรากฏในหลักศิลาจารึกตอนหน่ึง
วา่ "...1207 ศกปกี ุน ให้ขนุ เอาพระธาตุออกทงั หลายเหน็ กระทาบชู าบาเรอ
แก่พระธาตุได้เดือนหกวัน จึงเอาฝังในกลางเมืองศรีสัชนาลัยก่อพระเจดีย์
เหนือหกเชา้ จงึ แล้ว ตังเวียงผาล้อมพระธาตุสามเช้าจึงแลัว.." และได้ทรงให้
สร้างโบสถ์ วหิ าร ให้สกัดศิลาแลงเป็นแท่งมาเป็นกาแพงล้อมเขตวัด เช่น ที่
วัดชา้ งล้อม อันเปน็ วัดทีท่ รงสร้างขึนครังแรกในเมืองศรีสัชนาลัยโดยมีเจดีย์
ทรงกลมแบบลงั กาเปน็ ประธานของวัด และต่อมาจึงใช้เปน็ แบบในการสรา้ ง
ณ วดั ในเมืองสุโขทัยและเมืองกาแพงเพชร
ดา้ นการเมืองการปกครอง และการบรหิ ารรฐั กิจ
ลกั ษณะการปกครองในสมยั ของพ่อขนุ รามคาแหงหรือราษฎรมักเรยี ก
กนั ตดิ ปากวา่ พ่อขุนรามคาแหงนนั พระองคโ์ ปรดการสมาคมกบั ไพร่บา้ น
พลเมืองไม่เลอื กชนั วรรณะ ถ้าแม้ว่าใครจะถวายทูลรอ้ งทกุ ข์ประการใดแลว้
ก็อนญุ าตให้เข้าเฝ้าใกลช้ ิดได้ไมเ่ ลอื กหน้าในทกุ วนั พระมกั เสดจ็ ออกประทบั
ยังพระแท่นศิลาอาสน์ ทาการส่ังสอนประชาชนให้ตังอยู่ในศีลธรรม การ
ปกครองของพ่อขนุ รามคาแหงไดใ้ ช้ระบบปิตุราชาธิปไตยหรือ "พ่อปกครอง
ลูก" ดังข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงว่า คาพูด"....เม่ือช่ัวพ่อกู กู
บาเรอแกพ่ ่อกู กูได้ตัวเนอื ตัวปลา กเู อามาแก่พ่อกู กไู ด้หมากสม้ หมากหวาน
อันใดกินอร่อยดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไป
ท่อบ้านท่อเมือง ได้ช้างได้งวง ได้ป่ัวได้นาง ได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่
พ่อกู.."
ข้อความดังกล่าวแสดงการนับถอื บิดามารดา และถอื ว่าความผูกพนั ใน
ครอบครวั เปน็ เรอ่ื งสาคัญ ครอบครัวทังหลายรวมกันเข้าเป็นเมืองหรือรัฐ มี
เจา้ เมอื งหรือพระมหากษัตริย์เป็นหวั หน้าครอบครวั ปรากฏข้อความในศิลา
จารึกพ่อขุนรามคาแหงว่าพ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรงใช้พระราชอานาจ
ในการยุติธรรมและนิตบิ ญั ญัติไว้ดงั ตอ่ ไปนี 1) ราษฎรสามารถค้าขายได้โดย
เสรี เจ้าเมืองไม่เรียกเก็บจังกอบหรือภาษีผ่านทาง 2) ผู้ใดล้มตายลง ทรัพย์
มรดกกต็ กแกบ่ ุตร และ 3) หากผใู้ ดไมไ่ ด้รับความเป็นธรรมในกรณีพิพาท ก็
มสี ทิ ธิไปสน่ั กระด่งิ ทีแ่ ขวนไว้หนา้ ประตวู ังเพอ่ื ถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์
ได้ พระองค์ก็จะทรงตดั สินด้วยพระองคเ์ อง นอกจากนี พ่อขนุ รามคาแหง
มหาราชยงั ทรงใช้พุทธศาสนาเปน็ เครอื่ งชว่ ยในการปกครอง โดยไดท้ รงสรา้ ง
"พระแท่นมนังคศิลาบาตร"ขึนไว้กลางดงตาล เพื่อให้พระเถรานุเถระแสดง
พระธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวันพระ ส่วนวันธรรมดาพระองค์จะเสด็จ
ประทับเป็นประธานใหเ้ จา้ นายและขา้ ราชการปรึกษาราชการการ
ดา้ นศาลยตุ ธิ รรม
กระดง่ิ พอ่ ขนุ รามคาแหง
ในดา้ นทางศาลกใ็ ห้ความยตุ ธิ รรมแกอ่ าณาประชาราษฎรโดยทว่ั ถงึ กนั
ไมเ่ ลอื กหน้าทรงเอาพระทยั ใสใ่ นทกุ ขส์ ขุ ของอาณาประชาราษฎรถ์ งึ กบั สง่ั ให้
เจา้ พนกั งานแขวนกระดงิ่ ขนาดใหญไ่ วท้ ปี่ ระตพู ระราชวงั ดา้ นหน้าแม้ใครมี
ทุกขร์ อ้ นประการใดจะขอใหท้ รงระงบั ดบั เขญ็ แล้วก็ใหล้ นั่ กระดง่ิ ร้องทกุ ขไ์ ด้
ทกุ เวลา ในขณะพิจารณาสอบสวนและตดั สนิ คดี พระองคก์ เ็ สด็จออกฟงั
และตดั สนิ ด้วยพระองคเ์ องไปตามความยุตธิ รรม
การชลประทาน
เขอ่ื นสรีดภงค(์ ทานบพระรว่ ง)
โปรดให้สร้างทานบกักนาที่เรียกว่า “สรีดภงส์” เพ่ือนานาไปใช้ในตัว
เมอื งสโุ ขทยั และบรเิ วณใกลเ้ คียง โดยอาศัยแนวคนั ดินท่ีเรยี กวา่ “เขื่อนพระ
ร่วง” ทาให้มีนาสาหรับใช้ในการเพาะปลูกและอุปโภคบริโภคในยาม ที่
บ้านเมืองขาดแคลนนา
สรดี ภงส์ หรือ ศรดี ภงส์, สรดี ภงค์, สรีดภงษ์, ทานบพระร่วงคือ ทานบ
กันนาหรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่าเขื่อน ท่ีมีลักษณะเป็นเข่ือนดินกันนา
ระหว่างเขาพระบาทใหญ่และเขาก่ิวอ้ายมา เพ่ือทาการกักเก็บนาไว้ใช้ใน
การเกษตรกรรมและใชส้ อยในเมอื งสมัยสุโขทัย สรีดภงสห์ รอื ทานบพระร่วง
อยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยตังอยู่นอกกาแพงเมืองเก่าทางทิศ
ตะวันตกเฉียงใต้ ตรงบริเวณท่ีถูกขนาบด้วยภูเขาสองลูกเป็นรูปก้ามปู คือ
เขาพระบาทใหญ่และเขากิ่วอ้ายมา ภูเขาทังสองลูกนีอยู่ในทิวเขาหลวง
ดา้ นหลังตัวเมืองสุโขทัยโบราณ ลึกเข้าไปในทิวเขานีเป็นซอกเขาอันเป็นต้น
กาเนิดของทางนาเรยี กว่า "โซกพระร่วงลองขรรค์"
เดิมคนทอ้ งถนิ่ ตาบลเมืองเก่า อาเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย เรียก
ร่องรอยของคันดินโบราณเพ่ือการชลประทานว่า ทานบพระร่วง เน่ืองจาก
กษัตริย์สุโขทยั พระองค์ใดพระองคห์ นงึ่ เปน็ ผสู้ รา้ งขนึ จึงถอื ว่าเปน็ ของทพี่ ระ
ร่วงทาขึนหรือเกิดขึนด้วยอทิ ธฤิ ทธข์ิ องพระรว่ งทงั สนิ
ปัจจบุ ันกรมชลประทานไดส้ ร้างเข่อื นดนิ สงู เปน็ แนวเชอ่ื มระหวา่ งปลาย
เขาพระบาทใหญ่กับเขากิ่วอ้ายมา สามารถกักเก็บนาที่ไหลออกมาจากโซก
พระร่วงลองขรรค์ บริเวณระหว่างเขาทังสองลูกจึงกลายเป็นอ่างเก็บนา
ขนาดยอ่ มและระบายนาจากอา่ งเกบ็ นานีลงคลองเสาหอ ซ่งึ จะนานานีเขา้ คู
เมอื งสุโขทยั ทีม่ มุ เมืองทศิ ตะวันตกเฉียงใต้ อนั เป็นตาแหน่งทม่ี รี ะดบั ความสงู
ของพืนดินสูงที่สุดของเมืองสโุ ขทยั นาจากคลองเสาหอจะไหลลงคูเมืองดา้ น
ทิศตะวันตกและทิศใต้ จากนันจะไหลเข้าคูเมืองด้านทิศเหนือและทิศ
ตะวันออกไปสู่มุมเมืองทิศตะวันออกเฉียงเหนือซ่ึงมีระดับต่าที่สุดก่อนท่ีจะ
ไหลลงแมน่ าลาพันไปลงแม่นายมที่อยไู่ กลออกไปทางทศิ ตะวนั ออก
ศลิ าจารกึ พ่อขนุ รามคาแหง กาเนดิ อกั ษรไทย
การคน้ พบหลกั ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหง
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2376 ปีมะเส็งเบญจศก ศักราช 1995
พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงทรงผนวชมาตังแต่รัชกาลท่ี
2 ประทับอยู่ ณ วัดราชาธิราชเสด็จขึนไปธุดงค์ทางมณฑลฝ่ายเหนือถึง
เมอื พิษณุโลก สวรรคโลก และเมอื งสโุ ขทัย เมอ่ื เสด็จไปถงึ เมอื งสุโขทัยครงั
นนั ทอดพระเนตรเหน็ ศลิ าจารึก 2 หลกั คือ ศลิ าจารึกของพอ่ ขุนรามคาแหง
หลักที่ 1 และศิลาจารึกภาษาเขมรของพระมหาธรรมราชาลิไทย (หลักท่ี
4) กับแท่นมนังศิลาอยู่ที่เนินปราสาท ณ พระราชวังกรุงสุโขทัยเก่า
ราษฎร เช่นสรวงบูชานับถือกันว่าเป็นของศักด์ิสิทธ์ิ เป็นที่นับถือกลัวเกรง
ของหมู่มหาชน ถ้าบุคคลไม่เคารพเดินกรายเข้าไปใกล้ให้เกิดการจับไข้ไม่
สบาย ทอดพระเนตรเห็นแลว้ เสด็จตรงเข้าไปประทับแผ่น ณ ศิลานัน ก็มิได้
มอี นั ตรายสิง่ หนง่ึ สิ่งใดดว้ ยอานาจพระบารมี
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดารัสถามว่าของทังสามสิ่ง
นันเดิมอยู่ท่ีไหน ใครเป็นผู้เอามารวบรวมไว้ตรงนัน ก็หาได้ความไม่ ชาว
สโุ ขทยั ทราบทูลวา่ แตว่ า่ เห็นรวบรวมอยู่ตรงนนั มาตงั แตค่ รงั ปู่ย่าตายายแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพิจารณาดูเห็นว่าเป็นของสาคัญจะทิงไว้เป็น
อันตรายเสยี จึงโปรดเกลา้ ฯ ให้สง่ มากรุงเทพฯเดิมเอาไว้ที่วดั ราชาธิวาส ทัง
สามสิ่ง พระแท่นมนังคศิลานันก่อทาเป็นแท่นท่ีประทับไว้ตรงใต้ต้นมะขาม
ใหญ่ ข้างหน้าพระอุโบสถ ครันเสด็จมาประทับ ณ วัดบวรนิเวศ โปรดฯ
ให้ส่งหลักศิลาทังสองนันมาด้วย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพยายามอ่านหลักศิลาของพ่อขุนรามคาแหงเอง แล้วโปรดฯ ให้สมเด็จ
พระมหาสมณะเจ้าพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พร้อมด้วยล่ามเขมรอ่าน
แปลหลกั ศลิ าของพระธรรมราชาลิไทย ได้ความทราบเรื่องทังสองหลัก ครัง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ เสวยราชย์ เม่ือ พ.ศ.
2394 ตอ่ มาจึงโปรด ฯ ให้ยา้ ยพระแทน่ มนังคศิลามากอ่ แทน่ ประดษิ ฐานไว้
หน้าวหิ ารพระคนั ธารราฐในวดั พระศรีรตั นศาสดาราม...
วนั พ่อขนุ รามคาแหง
สานักงานสภาจังหวัดสุโขทัย ได้มีหนังสือเสนอต่อ ฯพณฯ
นายกรัฐมนตรี ขอให้มีการกาหนด “วันพ่อขุนรามคาแหงมหาราช” ขึน ใน
เดือนธันวาคม พ.ศ. 2531 โดยถือวันที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร
รามาธิบดศี รสี นิ ทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจา้ อย่หู ัว ขณะดารงพระ
ราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระ
ราชดาเนินเพ่ือทรงประกอบพระราชพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุน
รามคาแหงมหาราช วันท่ี 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2526 เป็น “วันพ่อขุน
รามคาแหงมหาราช”
ต่อมาคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ คณะกรรมการชาระ
ประวัติศาสตร์ไทย และจัดเอกสารทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้
พิจารณาเรื่องการกาหนดวันสาคัญทางประวตั ิศาสตรใ์ หม่ ตามหลกั ฐานทาง
ประวัติศาสตร์ โดยเสนอว่าควรเป็นวันท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ทรงพบหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช วันที่ 17
มกราคม พ.ศ. 2376
มีการเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในการกาหนดวันสาคัญทาง
ประวัตศิ าสตร์ของชาติ ซึ่งคณะกรรมการเอกลกั ษณ์ของชาติ คณะกรรมการ
ชาระประวัติศาสตร์ไทยและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และ
โบราณคดี ได้พิจารณาเห็นชอบด้วย จึงกาหนดให้ วันที่ 17 มกราคม ของ
ทุกปีเป็น “วันพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช”
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั
ภายหลงั เมือ่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัวไดเ้ สวยราชยเ์ มอ่ื
ปี พ.ศ. 2394 ได้โปรดให้เอามาก่อแท่นประดิษฐานไว้ที่หน้าวิหารพระคัน
ธาราฐในวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม อยู่มาจนถึงในรัชกาลปัจจุบันนี เม่ืองาน
พระราชพิธบี รมราชาภิเศกสมโภชใน พ.ศ. 2545 จึงโปรดให้ย้ายไปทาเป็น
แท่นเศวตฉัตรราชบัลลังก์ ประดิษฐานไว้ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ปรากฏอย่ใู นทุกวันนี
วดั บวรนเิ วศ
ส่วนศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงนัน ครันพระบาทสมเด็จฯ พระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศ โปรดให้ส่งหลักศิลานัน
มาด้วย ภายหลงั เมื่อได้เสวยราชย์ พระจอมเกลา้ อย่หู วั โปรดฯ ใหย้ า้ ยจากวดั
บวรนิเวศ เอาเข้าไปตังไว้ศาลารายในวัดพระศรีรัตนศาสดารามข้างด้าน
เหนอื พระอโุ บสถหลังทส่ี องนับแต่ทางตะวันตก อยู่ ณ ท่ีนีต่อมาช้านานจน
ปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2466 จึงได้ย้ายเอามารวมไว้ท่ีหอพระสมุด
เรอื่ งหลักศลิ าจารึกพอ่ ขนุ รามคาแหง ท่ีนักปราชญช์ าวยุโรปแต่งไว้ใน
หนงั สือต่างๆ นนั มอี ยใู่ นบญั ชีท้ายคานาภาษาฝรั่งแลว้ สว่ นนกั ปราชญ์ไทย
แ ต่ ขึ น นั น ไ ด้ เ ค ย พิ ม พ์ ใ น ห นั ง สื อ ว ชิ ร ญ า ณ เ ล่ ม ท่ี 6
หน้า 3574 ถึง 2577 ในหนังสือเร่ืองเมืองสุโขทัย ในหนังสือพระราช
นพิ นธ์เรอ่ื งเทย่ี วเมืองพระร่วง และในประชมุ พงศาวดารภาคที่หนึง่ จากการ
สนั นษิ ฐาน ผแู้ ตง่ อาจมีมากกว่า 1 คน เพราะเนอื เรอ่ื ง ในหลกั ศลิ าจารึกแบง่
ไดเ้ ปน็ 3 ตอน
ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหง ดา้ นท่ี 1
ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหง ดา้ นที่ 1
ตอนที่ 1 ตังแต่บรรทัดท่ี 1 ถึง 18 กล่าวถึง พระราชประวัติของพ่อขุน
รามคาแหง และพระราชภารกิจของพระองค์ ใช้คาว่า “กู” เป็นพืนเข้าใจว่า พ่อ
ขุนรามคาแหงคงจะทรงแต่งเกย่ี วกับพระราชประวัตขิ องพระองค์เอง
ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหง ดา้ นท่ี 1 รูปคาปจั จบุ นั
ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหงดา้ นที่ 2
ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหงดา้ นที่ 2
ตอนท่ี 2 เป็นการบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดจน
ขนบธรรมเนยี มประเพณีของเมอื งสุโขทัย เชน่ เรื่องราวของการสร้างพระแท่
นมนังคศิลาอาสน์ วัดมหาธาตุ เมืองศรีสัชนาลัย และการประดิษฐ์ตัว
อักษรไทย ใช้คาว่าพ่อขุนรามคาแหง โดยเร่ิมต้นว่า "เม่ือช่ัวพ่อขุน
รามคาแหงเมืองสุโขทัยนีดี......" จึงเข้าใจว่าจะต้อง เป็นผู้อื่นแต่ง เพ่ิมเติม
ภายหลังตอนที่ 2 เล่าเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ
ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหงดา้ นท่ี 2 รูปคาปจั จบุ นั
ศลิ าจารกึ พ่อขนุ รามคาแหงดา้ นที่ 3
ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหงดา้ นที่ 3
ตอนท่ี 3 กลา่ วถงึ อาณาเขตของเมอื งสโุ ขทยั สรรเสรญิ และยอพระ
เกยี รตคิ ณุ ของพ่อขนุ รามคาแหง โดยเรม่ิ ตน้ วา่ "พอ่ ขนุ รามคาแหง นนั หา
เปน็ ทา้ วเปน็ พระยาแกไ่ ทยทงั หลาย......" ศาสตราจารยย์ อรช์ เซเดย์ ผแู้ ปล
อกั ษรพ่อขนุ รามคาแหงได้ ท่านได้สนั นษิ ฐานว่า ความในตอนท่ี 3 คงจารกึ
หลงั ตอนท่ี 1 และตอนที่ 2 จงึ เขา้ ใจว่าผู้อนื่ แตง่ ตอ่ ในภายหลงั
ศลิ าจารกึ พ่อขนุ รามคาแหงดา้ นท่ี 3 รูปคาปจั จบุ นั
ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหงดา้ นท่ี 4
ศลิ าจารึกพ่อขนุ รามคาแหงดา้ นท่ี 4
ศลิ าจารกึ พ่อขนุ รามคาแหงดา้ นท่ี 4 รูปคาปจั จบุ นั
ลกั ษณะหลกั ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหง
หลกั ศลิ าจารกึ พอ่ ขุนรามคาแหง
หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงมีลักษณะเป็นแท่งหินรูปสี่เหล่ียม
ยอดกลมมน สูง 1 เมตร 11 เซนติเมตร กว้าง 35 เซนติเมตร หนา 35
เซนติเมตร เป็นหินชนวนสีเขียว มีจารึกทังส่ีด้าน ด้านที่ 1 มี 35 บรรทัด
ด้านที่ 2 มี 35 บรรทดั ด้านที่ 3 มี 27 บรรทดั และดา้ นท่ี 4 มี 27 บรรทัด
ในการจารึกอักษรไทยครังแรกนัน ได้ใช้พยัญชนะไม่ครบทัง 44 ตัว
คือมีเพียง 39 ตัว โดยขาด ตัว ฌ ฑ ฒ ฬ และตัว ฮ ไม่ครบชุดพยัญชนะ
เหมอื นท่ีใช้สอนวิชาภาษาไทยในปจั จุบัน ในบรรดาตวั อักษร 44 ตวั ทม่ี มี า
แตส่ มัยโบราณ มีอยู่ 2 ตัว ท่ีเราเลิกใช้ไปแล้ว คือ ฃ (ขอขวด) และ ฅ (คอ
คน) ท่ีเราเลกิ ใช้ก็เพราะเสียง 2 เสยี งนีเปลยี่ นไปแลว้ กลายเป็นเสียงเดียวกัน
กับ ข (ขอไข่) ค (คอควาย) การเขียนสระในศิลาจารึกสุโขทัยหลักท่ี 1
ต่างจากการเขียนสระในปัจจุบันมาก ทังรูปร่างสระ และวิธีการเขียน
กล่าวคือ เขียนสระอยู่ในบรรทัดเช่นเดียวกับพยัญชนะ รูปวรรณยุกต์ท่ีใช้
เขยี นกากบั ในยคุ สโุ ขทัย มีเพยี ง 2 รปู คือไม้เอก และไม้โท แต่ไม้โทใช้เป็น
เคร่ืองหมายกากบาทแทน ตัวหนังสือที่ทรงประดิษฐ์ขึนใหม่นี มีการจัด
วางรูปแบบตัวอักษรใกล้เคียงกับอักษรของประเทศตะวันตก คือ เขียนจาก
ซ้ายไปขวา วางสระและวรรณยุกต์ไว้ในบรรทัดเดียวกันหมด เพื่อความ
สะดวกในการอา่ นและเขียน(ต่างจากวธิ กี ารเขยี นของชาวจนี และอาหรับ ซงึ่
เขียนจากขวามาซ้าย) และต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในรัชสมัยของพระ
มหาธรรมราชาที่ 1 (พระเจ้าสิไทครองราชย์ปี พ.ศ.1891- พ.ศ.1912 ) ซึ่ง
เป็นพระราชนัดดาของพ่อขุนรามคาแหงด้วยการนาสระไปไว้ข้างบนบ้าง
ข้างล่างบ้าง ตามแบบอย่างหนังสือขอมท่ีไทยได้ใช้กันมาแต่ก่อนจนเคยชิน
เช่น สระ อิ อี อือ นาไปเขียนไว้บนพยัญชนะส่วนสระ อุ อู เขียนไว้ใต้
พยัญชนะ (ส่วน สระ อะ อา อา แต่เดิมเขียนไว้หลังพยัญชนะอยู่แล้ว
เช่นเดียวกับสระ เอ แอ โอ ไอ ซ่ึงเขียนไว้หน้าพยัญชนะมาแต่เดิม) และได้
ทรงเพ่ิมไม้หันอากาศ เพื่อใช้แทนตัวอักษร เช่น คาว่า "อนน" เปลี่ยนเป็น
เขียนว่า "อัน" เป็นต้น และรปู แบบตวั อักษร ก็เปลยี่ นแปลงไปบ้างเลก็ น้อย
ลายสือไทยท่ีพ่อขุนรามคาแหงทรงคิดขึนนี ประเทศข้างเคียง เช่น
อาณาจักรล้านนา ล้านช้าง อโยธยา สุพรรณภูมิ ได้นาไปใช้กันอย่าง
แพร่หลายแตต่ ่อมาครันเมอ่ื อาณาจกั รสุโขทัยเสื่อมอานาจลง ทางลา้ นชา้ งได้
เปลี่ยนไปใช้อักษรลาว ส่วนทางล้านนาเปล่ียนไปใช้อักษรไทยลือ และเมื่อ
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง ครองราชย์ปี พ.ศ. 1893- พ.ศ.
1912) ทรงตังอาณาจักรเป็นอิสระกับสร้างพระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานี
ในปี พ.ศ.1893 ก็ได้เอาแบบอักษรไทยสุโขทัยมาใช้ ซึ่งมีการแก้ไขดัดแปลง
กนั มาตามลาดับจนเป็นอยา่ งท่เี หน็ และใชก้ ันแพรห่ ลายเช่นในปัจจุบัน
สระ วรรณยกุ ต์ และตวั เลข สมยั พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช
การแกไ้ ขอกั ษรขอมของพ่อขนุ รามคาแหง มดี งั นี
1. ตัวอักษรขอมที่มีหนามเตยและเชิง พ่อขุนรามคาแหงทรงเห็นว่า
รงุ รังมไิ ด้เปน็ ประโยชน์ในภาษาไทย ตวั อกั ษรตัวเดยี วควรเขยี นดว้ ยเสน้ เดยี ว
ไมค่ วรยกปากกาบอ่ ย ๆ ทาใหอ้ กั ษรไทยเขียนได้ง่ายและรวดเร็ว พยัญชนะ
แต่ละตัวต่อเป็นเส้นเดียวตลอด ในขณะที่พยัญชนะขอมต้องเขียนสองหรือ
สามเสน้ ต่อหนงึ่ พยญั ชนะ
2. เพิ่มพยัญชนะบางตัวท่ีมิได้มีในภาษาขอม เช่น ฃ ฅ ซ ฏ ด บ ฝ ฟ
อ (ในภาษาเขมร ตวั บ ใช้เป็นทงั ป และ บ ตัว ฎ ใชเ้ ป็นทงั ฎ และ ฏ)