327
ความรู้สึกหรือสิ่งที่มองเห็นนั้นต่างกันไปถึงแม้จะเป็นโครงการเดียวกัน ด้วยบริบทของเงื่อนไขเวลาท่ี
เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การมองคุณค่านั้นต่างกันออกไปในแต่ละช่วงอายุคน จึงทำให้การให้
ความสำคัญและภาพจำของโครงการหนองใหญ่ในแต่ละช่วงวัยค่อนข้างแตกต่างกันอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะในส่วนของความรู้สึกท่ีกลุม่ ผสู้ ูงวัยจะให้คุณค่าและมีความรสู้ ึกทล่ี ึกซงึ้ มากกว่ากลุ่มเด็กและ
วัยรุ่น ทำให้ภาพจำนน้ั แตกต่างกันอยา่ งสน้ิ เชงิ
กลุ่มแรกเป็นผสู้ ูงวัยที่มอี ายุ 60-70 ปี นัน้ เป็นผูท้ เี่ หน็ พฒั นาการของโครงการตัง้ แต่สมัยท่ีเป็น
ป่าพรุเป็นพื้นที่รกร้างจนมีการทำโครงการ เมื่อโครงการแล้วเสร็จจวบจนถึงปัจจุบันผู้คนกลุ่มนี้จะมี
ความรู้สึกผูกพันกับพื้นที่โครงการหนองใหญเ่ พราะเป็นผู้ท่ีมสี ่วนร่วมในการสร้างโครงการ โดยเฉพาะ
การบริจาคที่ดินใหก้ ารจัดสร้างโครงการ คนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นผูท้ ีต่ ื่นจากฝันร้ายโดยตรง จึงมีความรู้สกึ
รักและผูกพันกับโครงการเป็นผู้ที่อยู่ร่วมสมัยกับโครงการเห็นทั้งการพัฒนาที่เกิดขึ้นและความเสื่อม
ของโครงการ เหน็ ถึงพัฒนาการของพื้นที่และความสำคัญ อกี ทั้งยงั เป็นผู้มคี วามรู้สึกตระหนักถึงสำนึก
ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ในรชั กาลที่ 9 มาเปน็ พเิ ศษ โดยมตี ัวโครงการ
และนโยบายทางการเมืองเป็นตัวสรา้ งความรูส้ ึกให้สำนึกในบุญคุณ เพราะถ้าหากไม่มีพระองค์ท่าน ก็
ไม่สามารถเกิดโครงการน้ีข้นึ ได้และชาวชมุ พรกต็ ้องพบเจอกับฝนั ร้ายอย่างไม่รู้จบ ดังคำพดู ของจำนงค์
ผู้ให้สัมภาษณ์ “ ถ้าหากวันนั้นในหลวงไม่ได้มาช่วยสรา้ งแก้มลิง เราก็จนปัญญาจริง ๆ ไม่รู้จะต้องขน
ของหนีนำ้ ทว่ มไปอีกก่ปี ี ” (จำนงค์,สัมภาษณ์,15กันยายน2564)
กลุ่มคนที่อยู่ในช่วงอายุ 40-50 ปี เป็นช่วงอายุที่ยังคงได้เห็นตั้งแต่การก่อสร้างโครงการ แต่
การมองหนองใหญ่จะเน้นให้ความสำคัญไปที่การรักษาสถานที่และพื้นที่ของโครงการให้สามารถใช้
พื้นที่ของโครงการพได้เกิดประโยชน์สูงสดุ และเพื่อรักษาโครงการแห่งน้ีให้คงอยู่ไปถึงรุ่นลกู ร่นุ หลาน
โครงการนี้ยังสะท้อนให้เห็นกรอบแนวคิดในการใช้สถาบันกษัตริย์มาเป็นการกล่าวอ้างเพื่อให้ทุกค น
ร่วมกันรักษา และยังสะท้อนความศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครกลา้ แตะต้องโดยเปรยี บเสมือนโครงการ
แห่งนี้มาเป็นบ้านของพ่อ ที่พ่อได้สร้างไว้ใช้ชาวชุมพรได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเป็นนโยบายทีจ่ ะทำ
ให้ชาวชุมพรตระหนักที่จะต้องดูแลโครงการนี้ให้มีการใช้ประโยชน์ที่เหมาะ สมไม่กลายเป็นสถานท่ีอ
โคจร ทั้งการช่วยกันทำความสะอาดบริเวณโครงการของคนในพ้ืนท่ีที่มีจิตอาสา โดยนายอภิเดชได้ให้
สัมภาษณ์ไว้ว่า “โครงการนี้ก็เหมอื นบา้ นพอ่ พ่อสร้างไวใ้ ห้ จะทอดทิ้งให้เสยี ประโยชนก์ ็ไมไ่ ด้ แล้วจะ
ปล่อยให้เปน็ ทม่ี ่ัวสุมของพวกเด็ก ๆ ก็คงไม่เหมาะ พวกเขากเ็ ปน็ ลูกหลานเราทง้ั น้นั เราก็ไปทำให้มันดี
ให้พวกเดก็ ได้ใช้ประโยชน์ให้พวกเขาเล่นกฬี ากัน ถา้ คนอน่ื มาก็จะได้เปน็ หน้าเปน็ ตาชุมชน ”ส่วนใหญ่
จะมีการดูและทำนุและปรับภูมิทัศน์ในช่วงวัน สำคัญต่าง ๆ เช่น วันพ่อ วันแม่ หรือวันสำคัญท่ี
เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ การให้คุณค่าโครงการแห่งนี้จะเป็นการอนุรักษ์โครงการและปลูกฝังความร้มู ี
ความรู้สึกที่ต้องทดแทนและหวงแหน จึงมีการจัดกิจกรรมในวันสำคัญต่าง ๆ ขึ้น อีกทั้งยังมีการยก
328
คุณค่าของโครงการแก้มลิงหนองใหญ่โดยในการใช้เป็นพื้นที่จัดงานเฉลิมฉฉลองต่าง ๆ ของจังหวัด
เช่นการจัดงาน กาชาด งานเกษตรแฟร์ ซึ่งการจัดงานเหล่านี้จะทำให้หนองใหญ่ เป็นที่รู้จักมากขึ้น
และยงั เปน็ การใหค้ วามสำคญั กับสถานนี้แหง่ น้ดี ว้ ย (อภิเดช,สมั ภาษณ์,15กันยายน2564)
สำหรับช่วงวัยที่มาอายุ 15-25 ปีถือว่าอยู่ ในช่วงของวัยรุ่นนั้นมีความคิดต่างที่แตกต่างจาก
ทั้งสองรุ่นก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน เพราะเมื่อช่วงวัยนี้เติบโตและจำความได้นั้นแก้มลิงหนองใหญ่ก็
สร้างเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้การได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวประวัติความเป็นมาและ
ความสำคญั จากการบอกเล่าต่อ ๆ กันปากต่อปากและการได้เรยี นรูจ้ ากภายในโรงเรยี นต้ังแต่ระดับช้ัน
ประถมศึกษาไปจนถึงมัธยมศึกษา เน่อื งจากทางกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดตัวชว้ี ดั และหลักสูตรท่ี
ต้องมีการเรียนการสอนในเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งตรงกับที่จังหวัดชุมพรมีโครงการตามแนวพระราชดำริ เด็ก ๆ ในจังหวัด
ชุมพรจึงมีการเรียนรู้โดยใช้โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่เป็นตัวอย่างของการศึกษา ซึ่งเด็กในช่วง
อายุนี้จึงไม่ได้มีประสบการณ์ตรงและไม่ได้มีความรู้สึกร่วมที่ลึกซึ้งเทียบเท่าคนที่อยู่ร่วมสมัยกั บการ
สร้างโครงการที่ได้เห็นพัฒนาการของโครงการ จึงทำให้การให้ความสำคัญของคนรุ่นนี้จึงแตกต่าง
ออกไป จากคำบอกเล่าของเจนจิราทีว่ ่า “นอ้ งรู้จกั ที่น่ีก็ตอนแม่พามาเที่ยวงานแขง่ เรือ แต่ก็ไม่รู้ว่ามัน
คืออะไร พอมาร้อู กี ทีก็ตอนเรียนได้เรียนเร่ืองโครงการในพระราชดำริท่ีโรงเรียนแลว้ ครเู ขายกตัวอย่าง
ที่นี่ ก็เพิ่งรู้ตอนครูสอนว่าบ้านเรามีโครงการในพระราชดำริ ” สะท้อนให้เห็นความรู้ความเข้าใจ
ในดครงการเป็นเพียงทฤษฎีที่รู้ที่ไปที่มาของโครงการ แต่ในภาพความเป็นจริงคนกลุ่มนี้มองเพียงแค่
พื้นที่ โครงการที่มีความสำคญั เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจและสถานท่ีออกกำลงั กาย
เพยี งเทา่ น้ันและยังทราบถงึ นโยบายทางการเมืองท่ีใช้โครงการแห่งนีเ้ ปน็ เคร่ืองมือในการเป็นศูนย์รวม
คน โดยคนกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญในระบบของการจัดการบริหารน้ำและการจัดสรรพื้นที่ในการใช้
ประโยชน์มากกว่าการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยจะไม่ยึดติดกับสถาบันกษัตริย์แต่จะยึด
คณุ ประโยชนข์ องโครงการเปน็ หลกั (เจนจริ า,สมั ภาษณ์,15กันยายน2564)
จากทั้งสามชว่ งอายทุ ่ไี ด้กล่าวไปน้ันการใหค้ ุณค่าและความสำคัญนัน้ มคี วามรสู้ ึกและภาพจำที่
ต่างกนั ผูท้ อี่ ยู่ร่วมสมัยต้งั แต่ก่อนการกำเนิดเป็นโครงการจะมคี วามรู้สึกท่ีลกึ ซ้ึงและละเอียดอ่อนกว่าผู้
ที่ได้รับรู้เรื่องราวผ่านการถ่ายทอดอีกต่อหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปบริบทและสภาพต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปจึง
เกิดความความรู้สึกของความทรงจำและการให้คุณค่าความสำคัญที่แปรเปลี่ยนไป แต่ถึงอย่างไรน้ัน
หนองใหญ่ยงั คงมคี วามสำคัญและอยใู่ นความทรงจำของชาวชมุ พรทุกรุน่ ทุกวัย
หนองใหญ่มิอาจจะมีความสำคัญขึ้นมาได้ หากปราศจากปัจจัยส่งเสริมทั้งสภาพภูมิศาสตร์
และบุคคลหรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่เล็งเห็นว่าพื้นที่หนองใหญ่น้ันเหมาะแก่การใช้ประโยชน์เพื่อใหช้ าว
329
ชุมพรนั้นหลุดพ้นจากฝันร้ายและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ถ้าหากการสร้างโครงการแห่งนี้นั้นขาด
ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปแน่นอนว่าโครงการนี้คงไม่แล้วเสร็จได้ทันเวลาก่อนที่ พายุลินดาจะเข้าซัดจังหวัด
ชุมพร ถ้าหากโครงการนี้สร้างไม่แล้วเสร็จชาวชุมพรก็ต้องประสบกับภัยธรรมชาติที่อาจสร้างความ
เสียหายในวงกว้างและจะกลายเป็นฝันร้ายแก่ชาวชุมพรอีกครั้ง นอกจากหนองใหญ่จะมีความสำคัญ
ในเรื่องชลประทานเป็นหลักที่ช่วยแก้ไขปัญหาอุทกภัยภายในจังหวัดชุมพรแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปได้มี
การยกฐานะความสำคัญขึ้นโดยการใช้พื้นที่ของโครงการที่มีมากกว่า 3,000 ไร่ ให้เกิดประโยชน์มาก
ยิ่งขึ้น ทั้งการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง การทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับ พักผ่อน
หย่อนใจ การจัดกิจกรรมเนื่องในวันสำคัญต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้หนองใหญ่เป็นที่รู้จักและมี
ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งการนำประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ประจำจังหวัดอย่างประพณีแข่ง
เรือมาจัดการแข่งขั้นในพื้นที่โครงการ ซึ่งเป็นการเผยแพร่เอกลักษณ์และประเพณีที่เก่าแก่ ให้เด็กรุ่น
ใหม่และคนตา่ งจงั หวัดไดร้ ู้จักมากขน้ึ จนกลายเปน็ ประเพณที ี่ขน้ึ ชอ่ื
โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามแนวพระราชดำริ ถึงแม้จะมีการสร้างมานานร่วม 20 ปี
แตก่ ็ยงั คงมคี วามสำคญั อยเู่ สมอมา รวมท้งั เปน็ ท่รี ู้จกั ทั่วทัง้ ประเทศและยงั เป็นโครงการในพระราชดำริ
แห่งแรกของภาคใต้ ซึง่ การท่ีชาวชมุ พรพยามยามอนรุ ักษ์และช่วยกันรักษาพื้นที่ของโครงการนี้ท่ีไม่ใช่
เพือ่ ตนเองแตเ่ ปน็ เพ่ือการรักษาให้ดำรงอยู่ไปในรุ่นต่อ ๆ ไป จากพนื้ ที่ท่ีมีคุณค่านั้นก็ควรได้รับการให้
ค่ามากกว่าปล่อยเสื่อมโทรม ถึงแม้การให้ค่าและความสำคัญจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่
หนองใหญ่ก็ยังคงสำคัญเสมอมา สุดท้ายน้ีถงึ แม้วา่ ในอนาคตโครงการพัฒนาพืน้ ที่หนองใหญ่ตามแนว
พระราชดำริจะเป็นไปอยา่ งไร แตโ่ ครงการนี้ไดส้ รา้ งความเปน็ มาท่ีสวยงามไดช้ ่วยให้ชาวชุมพรตื่นจาก
ฝนั ร้ายจวบจนปจั จบุ นั
อา้ งอิง
กฤติมา ลี่รัตนวิสุทธ์. (พ.ศ.2542). วิจัยเรื่องการวางแผนการใช้ที่ดิน เพื่อบรรเทาความ
เสยี หายจากอทุ กภยั ในพื้นท่ีลมุ่ น้ำชมุ พร. สำนกั หอสมุดจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย
ขจิต ศิกษมตั และคนอ่นื ๆ. (2542). เมอื งหลังสวน: อนุสรณ์ 100 ปี สวนศรี 2442-2542.
กรงุ เทพฯ: บริษทั ธนาเพรส.
จารุวสั ตรว์ งษว์ เิ ศษ. (2549). แลหลงั สวน. กรงุ เทพฯ:สำนักพิมพ์อรณุ วทิ ยา.
ประทับห้วงสวรรค.์ (2560). เรยี นร้แู กม้ ลงิ ธรรมชาตแิ ห่งแรกของไทย “โครงการหนองใหญ่
จ.ชมุ พร” พรอ้ มตามรอยศาสตรพ์ ระราชา.
330
มติชนออนไลน์. (2559). เผยที่มาคำขวัญติดทั่วบา้ นทั่วเมือง”ด้วยพระเมตตาบารมี ชุมพรวันนีส้ ุข
รม่ เยน็ .
สถาบันดำรงราชานุภาพสำนักงานปลดั กระทรวงมหาดไทย. (2551) . พระทรงเปน็ พลงั แหง่ แผ่นดนิ
(พมิ พ์คร้งั ท่1ี ). บริษทั รงุ่ ศิลปก์ ารพิมพ์(1977) จำกัด
องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพรออนไลน์. (ม.ป.ป.) . โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ ตามแนว
พระราชดำริ
ข้อมูลจากการสัมภาษณ์
สมั ภาษณ์ จำนงค์ สมุ งกฎุ , อดตี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ท่ี 9 ต.บางลกึ อ.เมอื ง จ.ชุมพร,
คณะกรรมการหมบู่ า้ น
สมั ภาษณ์ เจนจริ า ยังสุข,นักเรียนท่อี าศยั อยใู่ นพ้นื ท่ี ม.9 ต.บางลกึ อ.เมือง จ.ชมุ พร
สัมภาษณ์ สนธยา หนสู ะริ,ชาวบ้านในหม่ทู ่ี 9 ต.บางลึก อ.เมอื ง จ.ชมุ พร
สัมภาษณ์ สุธดิ า ทองนำ้ เพญ็ (นามสมมติ),นักศึกษาทอี่ าศัยอยภู่ ายในเขตอำเภอเมอื ง จ.ชมุ พร
สัมภาษณ์ สคุ นธ์ หนูสะริ(นามสมมติ), ชาวบ้านในพ้นื ที่ หมู่ที่ 8 ต.บางลึก อ.เมือง จ.ชุมพร
สมั ภาษณ์ อภเิ ดช ยังสขุ ,ผู้ดูแลพืน้ ทโี่ ครงการหนองใหญ่,อบจ.ชมุ พร
331
จากกโุ บร์ส่กู ารดำเนินชีวิตวถิ ชี าวมสุ ลิม : กรณศี ึกษาบา้ นลำไพลตก
ต.ลำไพล อ.เทพา จ.สงขลา
นางสาวปิยะธดิ า โต๊ะขา1
บทคัดยอ่
บทความวิชาการนเ้ี ปน็ การศึกษาความเชื่อทัศนะเกี่ยวกบั โลกหลงั ความตายของชาวมุสลิมใน
พื้นที่บ้านลำไพลตก ตำบลลำไพล อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา โดยผ่านตัวกุโบร์ตลอดจนวิเคราะห์
ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของความเชื่อเรือ่ งของกุโบร์ท่ีมีต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในชุมชนทีน่ ับ
ถือศาสนาอิสลามซึ่งสอดคล้องกับหลักทางศาสนาอิสลามที่มีวิถีการปฏิบัติตัวต่อความเชื่อในเรื่อง
การตายโดยสะท้อนมาให้เห็นถึงการดำเนินชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานตามหลักของศาสนาที่ได้กล่าวถึงว่า
“ทุกชีวิตนั้นก็จะต้องได้รับรสชาติของความตายที่ไม่มีใครหลีกพ้นหรือหลีกเลี่ยงมันไปได้” ซึ่งนับว่า
เป็นสิ่งที่ชาวมุสลิมยึดและไว้เตือนใจตลอด ทั้งยังเชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นโดยกำหนดเวลาเกิด
และเวลาสิ้นลมไว้ให้แล้วเพราะมนุษย์มีเพียงชีวิตเดียว ตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีก แต่ความเป็นจริง
ความตายไม่ใช่การสิ้นสุดของชีวิตหากแต่เป็นการเปลี่ยนที่อยู่ผ่านโลกนี้ไปยังอีกโลกหนึ่งนั่นคือ
โลกแห่งความตาย
บทนำ
อเล็กซิส เดอะ ต๊อกเกอะวิลล์ (Alexis De Tocqueville) กล่าวไว้ว่า “ชุมชนตั้งขึ้นก่อน
จังหวัด จังหวัดก่อตั้งขึ้นก่อนรัฐและรัฐกอ่ ตั้งขึน้ ก่อนการรวมกันตั้งเป็นประเทศ” จากคำดังกล่าวของ
“อเลก็ ซิส เดอะ ต๊อกเกอะวลิ ล”์ แสดงให้เห็นวา่ กอ่ นการรวมตัวของประเทศขนาดใหญ่ท่ีมีรูปแบบวิถี
ชีวิตแบบซับซ้อน ย่อมเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ปกครองด้วยตนเอง สิ่งที่ตามมาคือ การสร้างผู้นำเพื่อสร้าง
ความชอบธรรมในหมู่บ้านของตนอาจมาระบบเครือญาติ หรือการสถาปนาขึ้นมาเอง เพื่อให้สังคม
พื้นถิ่นมีความสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อย กระนั้นแล้ววิถีการดำรงชีวิตที่เกิดขึ้นในท้องถ่ิน
1 นิสติ หลักสูตรประวตั ิศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ
332
ช่วงเวลาหนึ่ง ย่อมต้องมีความสัมพันธ์กับระบบผู้นำ เช่น การนับถือศาสนา สู่พิธีกรรมความเชื่อ เป็น
ตน้
ตำบลลำไพล อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา หนึ่งในอำเภอซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย
ติดกับเขตรอยต่อกับจังหวัดปัตตานี ซึ่งจังหวัดปัตตานีมีการปกครองตามรูปแบบของศาสนาอิสลาม
รวมถึงศาสนาอสิ ลามยงั ได้เผยแพร่เข้าสู่ชมุ ชนบ้านลำไพล โดยเผยแพรเ่ ข้ามาพร้อมกับผู้คนที่ได้อพยพ
ย้ายมาตั้งถิ่นฐานแบบถาวรในพื้นที่ จากเดิมตามหลักฐานประวัติหมู่บ้าน หมู่บ้านลำไพลมีการนับถือ
พระพุทธศาสนา แต่เนื่องจากเมื่อมีการอพยพเข้ามาของคนจากปัตตานีจำนวนมาก จึงทำให้ใน
ปัจจุบนั หมบู่ า้ นลำไพลตกไดก้ ลายเป็นชมุ ชนมุสลิม
ชุมชนมุสลิมหมู่บ้านลำไพลตก ตำบลลำไพล อำเภอเทพา จังหวัดสงลา มีการประกอบ
พิธีกรรมทางศาสนาอิสลามผ่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คือ กุโบว์ ประจำหมู่บ้าน พิธีกรรมเช่นนี้ได้ก่อเกิด
เป็นภูมิปัญญาด้านความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรมท่ีได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษในท้องถิ่นสู่
ลูกหลานได้มาทำความเคารพต่อบรรพบุรุษ นับได้ว่า พิธีกรรมนี้เป็นการสะท้อนถึงความสัมพันธ์อัน
เก่ียวเนื่องกบั วิถชี วี ิตของคนในชมุ ชนโดยมศี าสนาเปน็ กลางของการนำไปสู่ความเช่อื เหล่าน้ี
ดังนั้นผู้ศึกษาจึงมีความสนใจในการศกึ ษาความเช่ือที่เกี่ยวกับโลกหลังความตายของชาวไทย
มุสลิมในพื้นที่บ้านลำไพลตก ตำบลลำไพล อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา เพราะเนื่องจากความเชื่อ
เหล่านี้ได้เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของชาวมุสลิมในการปฏิบัติดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันตามหลักศาสนา
โดยผู้ศกึ ษาจะแบง่ การศึกษาออกเปน็ 5 ประเด็น ดังนี้ 1.ประวตั ิชมุ ชนบ้านลำไพลตก 2.ทัศนะเรื่อง
ของความตายในกโุ บร์จากแนวคิดอิสลาม 3.กุโบรแ์ ละพิธีกรรม แบบแผนในการปฏิบัติ 4.วิถีชีวิตของ
มุสลมิ ในท้องถิ่น 5.ทัศนะแนวคิดเร่ืองญิน
วัตถปุ ระสงค์ในการศึกษา
เพื่อศึกษาความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตายของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่บ้านลำไพลตก
ตำบลลำไพล อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ตลอดจนวิเคราะห์แนวคิดทัศนะต่างๆ ที่นำไปสู่
ความสมั พันธ์กบั วถิ ชี ีวติ ชาวมสุ ลมิ ในพ้นื ทศ่ี กึ ษา
333
ทบทวนวรรณกรรม
จากการศึกษาเรื่องของความเชื่อในโลกหลังความตายสู่การดำเนินชีวิตวิถีชาวมุสลิม บ้านลำ
ไพลตก ตำบลลำไพล อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ผู้ศึกษาได้ทำการเก็บข้อมูลสัมภาษณ์จากบุคคลใน
พื้นที่ซึ่งเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ประกอบร่วมกับการที่ผู้เขียนได้ทำการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ท่ี
เกี่ยวกับหัวข้อนี้ ปรากฏว่าวิจัยทางประวัติศาสตร์และบทความทางประวัติศาสตร์ที่มีการเขียนถึงมี
จำนวนไม่มากนัก โดยงานเขียนสามารถค้นคว้าและเขา้ ถึงไดน้ ้นั จะแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื
1. ประเภทของหนงั สอื ทัว่ ไปท่ีเกย่ี วกบั หลักคำสอนศาสนา
โดยมีผลงานอุซตาซ อยาตุลลอฮ์ ฮูเซน มะซอฮิรี เรื่องของการคืนสู่ชีวิตใหม่ในโลกหน้า
โดยในงานชนิ้ นไ้ี ดก้ ลา่ วถงึ ความหมายแรก และจดุ ประสงคข์ องคำวา่ “มะอาด” (การกลบั ) ในทีน่ ี้คือ
การกลับคืนสู่ชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่งของมนุษย์หลังจากความตาย เพื่อที่จะรับผลตอบแทนรางวัลหรือ
โทษทณั ฑข์ องการกระทำต่างๆ ที่เขาได้กระทำไวใ้ นขณะทยี่ ังมชี ีวิตอย่ใู นโลกน้ี (ดุนยา)
ความเชื่อในเรื่องของ “มะอาด” และการกลับคืนสู่ชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่งของมนุษย์ทุกคนใน
ปรโลก ถือเป็นหลักศรัทธาที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของศาสนาทั้งมวลที่มีแหล่งที่มาจากพระผู้เป็น
เจ้า บรรดาศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าต่างได้เน้นย้ำอย่างมากถึงหลักการศรัทธาข้อนี้ และถือว่าการ
ปฏิเสธมนั เท่ากบั เป็นการปฏเิ สธศาสนาของพระผเู้ ป็นเจา้ เลยทีเดยี ว
ผลงานของ เสวนีย์ จิตหมวด โดยในงานนี้ได้กล่าวถึง วัฒนธรรมความเชื่อของศาสนา
อิสลาม โดยการนับถือศาสนาอิสลามนั้น ศาสนาเป็นเสมือนวิถีทางจิตวิญญาณที่ชี้นำการดำเนินชีวิต
ของมุสลิมทุกคน ดังนั้นมุสลิมจึงมีศรัทธาต่อวิถีทางของศาสนาอิสลามและศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า
ในทุกมิติของชีวิตล้วนแต่เป็นสิ่งทีเสมือนข้อสอบความศรัทธา ความยำเกรง ความหนักแน่นอดทน
ของเขาเหล่านัน้
2. ประเภทงานวิจัยท่ีเก่ียวขอ้ ง
ผลงานของประพนธ์ เรืองณรงค์ โดยในงานนี้ได้กล่าวถึง ที่เกี่ยวกับ สามจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ จังหวัดของไทย ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ชาวไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
และดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาอิสลาม ชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจะเรียกว่า "ชาวไทยมุสลิม”
และจะมีวิถีการดำเนินชีวิตตามหลักของศาสนาอิสลาม ผู้เรียบเรียงขอนำเกร็ดความรูเ้ กี่ยวกบั วิถีชีวติ
334
และประเพณีของชาวมุสลิมการปฏิบัติในเรื่องรวมไปถึงทัศนะคติของชาวบ้านไทยมุสลิมในพื้นท่ี
จงั หวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
ขอบเขตการศึกษา
ผู้ศึกษา ศึกษาความเชื่อเรื่องโลกหลังความตายที่สัมพันธ์กับเรื่องวิถีชีวิตของชาวมุสลิม
ในพื้นที่บ้านลำไพลตก ตำบลลำไพล อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ในช่วง พ.ศ 2435 โดยถือเอาเป็น
ปีที่ได้มีการปฏิรูปรูปแบบการปกครอง แบบเทศาภิบาล เนื่องจากได้มีการจัดตั้งระบบการปกครอง
ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอและเมือง กำหนดขอบเขตสิ้นสุดของการศึกษาถือเอา พ.ศ 2565
เปน็ สำคัญอันเปน็ ปีท่ยี ังคงปรากฏเหน็ ถงึ ความเชื่อเหล่านท้ี ี่นำไปสปู่ ระเพณแี ละวิถชี ีวติ ของผู้คนในพ้ืน
ท่มี าจนถงึ ปัจจบุ ัน
ผลการศึกษา
ประวตั ชิ ุมชนบ้านลำไพลตก
บ้านลำไพลตกตั้งอยู่ที่ตำบลลำไพล อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ติดกับเขตปัตตานี ด้านทิศ
ตะวันออก โดยสภาพภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบภูเขาและที่ราบลุ่ม มีสภาพดินเป็นดินร่วนในลักษณะ
ดินร่วนและดินร่วนภูเขา มีแม่น้ำไหลผ่านจึงเหมาะแก่การทำสวนยางพารา สวนผลไม้ ซึ่งในปี พ.ศ.
2435 ที่ได้มีการตั้งระบบเทศาภิบาล โดยการปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นออกเป็นตำบล อำเภอ
ขึ้นแล้ว นับว่าแต่นั้นมาขอบเขตของการเป็นชุมชน จึงมีการประกอบอาชีพทางการเกษตร
ที่มียางพาราเป็นผลผลิต จนมาในปี พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นปีที่มีการออกพระราชบัญญัติ ในเรื่องของการ
ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการควบคุมยาง โดยในมาตราที่ 4 ได้พระราชบัญญัติระบุไว้ว่า “ค้ายาง”
หมายความวา่ ซื้อ ขายหรือแลกเปลีย่ นยางและหมายความรวมถงึ ซ้อื ยาง ขายยางตามตราสารทบ่ี ุคคล
หนงึ่ บุคคลใดเป็นผู้ออกตราสารนน้ั หรือโดยประการอื่น แต่ไม่รวมถึงกรณีท่ีผทู้ ำสวนยางขายน้ำยางสด
ยางกอ้ น เศษยาง หรือยางแผ่นดิบซง่ึ เป็นผลผลิตจากสวนยางของตน จึงทำให้มผี ้คู นหลั่งไหลจากพื้นที่
ต่างถิ่นบริเวณใกล้เคียงย้ายเข้ามาเพื่อประกอบอาชีพ อย่างการรับจ้างกรีดยาง การทำสวนผลไม้
การทำสวนสับปะรด หรือแม้แต่การแต่งงานของผู้คนต่างศาสนากันระหว่างผู้นับถือศาสนาพุทธ
และศาสนาอิสลาม ซึ่งต้องเปลี่ยนกันมานับถือศาสนาอิสลาม เป็นต้น จึงทำให้บ้านลำไพลตก
เป็นชมุ ชนหม่บู า้ นทมี่ ีผ้นู ับถอื ศาสนาอิสลามเปน็ ส่วนใหญ่
335
จากการบอกเล่าของนางจู เหมหมัด ในวัย 83 ปี ซึ่งเป็นผู้เฒ่าผู้แก่และเป็นผู้ที่อพยพมาจาก
ต่างถิ่นเข้ามาอยู่ในพื้นที่ชุมชนบ้านลำไพลตก จึงได้เห็นพัฒนาการของชุมชน โดยนางจูหรือยายจูได้
เลา่ ถึงการก่อเกิดและการดำรงอยขู่ องชมุ ชนลำไพลในอดีตจึงทำให้สันนิษฐานไดว้ า่ จากรปู แบบการก่อ
เกิดและการดำรงอยู่ของชุมชนโดยทั่วไปซึ่งจะใช้ศาสนาสถานที่ใช้ในการประกอบศาสนกิจเป็น
ศูนย์กลางของชุมชนซึ่งชุมชนก็ได้นับถือศาสนาพุทธเป็นหลักจึงได้คาดคะเนโดยการใช้หลักฐานที่
ปรากฏและมีอยู่ได้จากการตั้งของวัดลำไพล ขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2385 ซึ่งตรงกับรัชกาลที่ 3
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีชุมชนตั้งบ้าน เรืองกระจัดกระจายอยู่เป็นกลุ่ม
โดยรอบวัดลำไพลมีพ้ืนทีร่ าบกวา้ งที่เหมาะสมกับการทำนาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวัดและเป็นที่ต้งั
ของชุมชนมุสลิมอีกชุมชนหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นอีกฟากของทุ่งนา ชาวบ้านเรียกกลุ่ม
บ้านต่างๆโดยใช้วัดลำไพลเป็นศูนย์กลาง เช่น กลุ่มบ้านที่อยู่ติดกับบริเวณวัดจะเรียกว่า “ในบ้าน”
กลุ่มบ้านที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัดจะเรียกว่า บ้านใต้ หรือบ้านประตีน กลุ่มบ้านที่อยู่ทางทิศใต้
จะเรียกว่า “บ้านเหนือ” หรือบ้านประหัวนอน กลุ่มบ้านที่อยู่ทางทิศตะวันออกเรียกว่า “บ้านออก”
และกล่มุ บ้านท่อี ยู่ทางทิศตะวนั ตกจะเรียกว่า “บ้านตก”
ต่อมาในปี พ.ศ 2435 ซึ่งตรงกับรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยมีผู้ปกครองคือ ขุนวิชิต (ต้นตระกูลแก้ววิชิต) ซึ่งเป็น “ขุนลำไพลพลานนท์” โดยปกครองพื้นที่
ของบา้ นลำไพลเหนือ ส่วนบ้านลำไพลตกในขณะนั้นมีผูป้ กครองคือ “ขุนลำไพลราษฎรร์ ักษา” หรือ “
ขุนดิย่อ ” (ต้นตระกูลล่าหมัน) ซึ่งอยู่ในส่วนของทางทิศตะวันตกโดยเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของชุมชน
มุสลิมท่ีถูกเรยี กว่า “ แขกบ้านตก ”
ด้วยลักษณะทางกายภาพซึ่งเป็นที่ราบลุ่มและเกิดภาวะน้ำท่วมบ้านเรือนอยู่เป็นประจำ
ทำให้ชุมชน มุสลิมได้ย้ายบ้านเรือนถอยร่นชุมชนไปทางเนินที่สูงซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของชุมชน
และมกี ารสร้าง “บาลาเซาะ” หรือสุเหร่าข้ึนเปน็ ศาสนสถานประกอบศาสนกิจ (ปัจจุบันคอื กุโบรบ์ ้าน
ลำไพลตก)
ต่อมาในปี พ.ศ 2457 ได้มีการแบ่งเขตหมู่บ้านอย่างเป็นทางการจึงได้มีการแบ่งเขตพื้นที่
ชุมชนลำไพลออกเป็น 3 หมู่บ้านคือ หมู่ที่ 1 บ้านลำไพลเหนือ มีนายช่วง แก้ววิชิต เป็นกำนันตำบล
ลำไพล หมู่ที่ 2 บ้านลำไพลตก มีนายดลเลาะ ล่าหมัน เป็นบุตรของขุนลำไพลราษฎร์รักษา
เปน็ ผู้ใหญบ่ า้ นหมู่ที่ 2 ในสว่ นของหมู่ท่ี 3 บ้านลำไพลใต้ มีนายทุ่ม ส้องสง เป็นผใู้ หญบ่ า้ น
พ.ศ 2492 ได้มีการปรับปรุงและยกฐานะบาลาเซาะ จดทะเบียนชื่อ “มัสยิดบ้านลำไพล”
ลำดับที่ 27 ของสงขลา
336
พ.ศ 2498 กรมทางหลวงได้ก่อสร้างถนนสายคลองแงะ-โคกโพธิ์ตัดผ่านพื้นที่ตำบลลำไพล
ปัจจุบันก็คือทางหลวงแผน่ ดนิ ที่ 42
พ.ศ 2504 ได้มีการย้ายและก่อสร้างมัสยิดบ้านลำไพลหลังใหม่มายังบริเวณ ณ ตั้งปัจจุบัน
ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ 2514 เป็นศาสนสถานสำหรับการประกอบศาสนกิจของผู้ศรัทธาทาง
ศาสนาและพี่น้องมุสลิมผู้สัญจรผ่านทาง โดยมีการแต่งตั้ง นายหะยีดือเระ หะยีกาจิ เป็นโต๊ะอีหม่าม
คนแรก ต่อมาคอื นายดนเตะ๊ มะโระ๊ และปัจจุบนั คือ นายสมาแอ กรุมอ
เม่อื ครนั้ นายดลเลาะ ลา่ หมัน ผใู้ หญบ่ ้านหมู่ที่ 2 ถงึ แก่กรรมเม่ือปี พ.ศ 2474 จึงทำให้นาย
เหล็บ ล่าหมัน เป็นผู้ใหญบ่ ้านหมู่ที่ 2 จนมาในปี พ.ศ 2517 นายช่วง แก้ววิชิต กำนันตำบลลำไพล
ได้เกษียณอายุราชการ นายเหล็บ ล่าหมัน จึงได้รับการแต่งตั้งในปี พ.ศ 2518 เป็นกำนันตำบลลำ
ไพลคนต่อมา จนกระทั่งครบวาระเกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ 2528 ซึ่งต่อมา
ในปี พ.ศ 2530 มกี ารเลือกตง้ั ตำแหน่งผใู้ หญ่บ้านหมู่ท่ี 2 ไดแ้ ก่ นายหมาน เหมหมดั (ปีในการดำรง
ตำแหน่ง พ.ศ 2530 ) นายมะหมูด ล่าหมัน (ปีในการดำรงตำแหน่ง พ.ศ 2540 ) และปัจจุบัน
คือนายมักกตา เจะ๊ สะมะ (ปใี นการดำรงตำแหน่ง พ.ศ 2550 ) ตามลำดับ
จากความสัมพันธ์ในเชิงรูปแบบการปกครองที่สืบทอดด้วยระบบเครือญาติในความสัมพันธ์
ในรูปแบบของสายสกุล จากต้นตระกูลในอดีตที่เป็นลักษณะของสัมพันธภาพที่ผูกเชื่อมโยงกัน
กับความเป็นญาติพี่น้องเกี่ยวดองกันสืบต่อมา ซึ่งเป็นรูปแบบปฏิบัติในวิถีของมุสลิมในเรื่องของคน
ในครอบครัว เครือญาติ กับระหว่างชุมชนจนนำไปสู่ก่อเกิดภูมิปัญญาด้านความเชื่อ ประเพณี
วัฒนธรรมที่ได้รับความสืบทอดมาจากบรรพบุรุษในท้องถิ่นให้ลูกหลานได้มาเคารพต่อบรรพบุรุษ
เหน็ ได้จากหลกั ฐานช้นิ สำคญั ท่ีปรากฏ คอื
กโุ บร์โตะ๊ ดยิ ่อ
โดยกุโบร์ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของมัสยิดอยู่ภายในหมู่ที่ 2 ตำบลลำไพล อำเภอเทพา จังหวัด
สงขลาซึ่งเป็นที่ฝังศพของขุนลำไพลราษฎร์รักษา หรือนามว่านายดิย่อ หรือขุนดิย่อ ซึ่งเป็นท่าน
ผู้ปกครองคนแรกๆ ของบา้ นลำไพลตก ตัง้ แตส่ มยั การก่อต้งั ชมุ ชนมุสลมิ โดยลกั ษณะของกโุ บรม์ ีความ
กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.3 เซนติเมตร มีแลสันเป็นการนำหินมาวางด้านเหนือ
ศรี ษะและปลายเทา้ อย่างละก้อน ขณะเดียวกนั ก็มีการปักต้นไม้ประดับบริเวณล่างจากแลสัน และล่าง
ปลายเทา้ เพ่ือเปน็ การปฏิบัติตามที่ท่านนบีได้ปฏิบัติไว้ตามความเชื่อทางศาสนาในเรื่องของการบันทึก
คุณงามความดีที่ปฏิบัติอยู่บนโลกดุนยาและอีกความเชื่อของผู้คนในชุมชนเป็นการสรรเสริญ
337
แต่ด้วยจากที่อิสลามไม่ให้ตกแต่งหลุมศพจากดอกไม้จึงต้องทำการปลูกไม้ประดับในการแสดงความ
เคารพ หากเมอ่ื แวะหรอื ผา่ นทางตอ้ งกล่าวด้วยการสลามเพ่ือเปน็ การแสดงความเคารพตอ่ บรรพบุรุษ
ภาพแสดงทฝี่ งั ศพของขนุ ลาไพลราษฏรร์ กั ษา
ดังนั้น นอกจากความอุดมสมบรู ณ์ของทรัพยากรท่ีทำใหม้ ีผู้คนส่วนใหญ่เข้ามาประกอบอาชีพ
เกษตรกรรม ทำสวนยางพารา สวนผลไม้และเลี้ยงปศุสัตว์ ประกอบกับการมีเส้นทางคมนาคม
สัญจรภายในหมู่บ้านเชื่อมต่อพื้นที่สัญจรต่างๆ ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการสัญจร
จงึ มปี ระชากรมากขึน้ จากเดมิ ที่มีการนบั ถือศาสนาเพม่ิ ข้ึนจากท่มี กี ารนับถืออย่แู ลว้
แต่ถึงอย่างไรการกำเนิดขึ้นและการดำรงอยู่ของชุมชนจะมีวิถีความเป็นอยู่ที่เหมือนกันหรือ
แตกต่างกันนั่นก็ย่อมขึ้นอยู่กับการผ่านห้วงเวลาอันยาวนานที่เกิดการสั่งสมประสบการณ์ที่ได้ผ่าน
กระบวนการของการเรียนรูใ้ นเร่ืองของการสังเกต บ่มเพาะ สั่งสอน ในการถ่ายทอดเรื่องราวจากรุ่นสู่
รุ่นจนกลายเป็นคุณค่า ค่านิยมของสังคมโดยแสดงออกมาทางจารีต ประเพณีและวัฒนธรรม
ที่เชื่อมโยงไปพร้อมๆกับการปฏิบัติตัวในสังคมเลยทำให้สภาพความเป็นอยู่และการทำมาหากิน
ตลอดจนวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวบ้านในชุมชนจึงมีความคล้ายกับประชากร 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของการนับถือ
ศาสนาอสิ ลามจากผ้คู นเหล่านี้ทมี่ าสรา้ งหลกั ปักฐานอย่างถาวร
ทัศนะเร่อื งของความตายในกโุ บร์จากแนวคิดอิสลาม
นักวิชาการทางศาสนาหลายท่านได้อธบิ ายถึง “กโุ บร”์ วา่ ในความเช่ือของชาวมุสลิมถือเป็น
ปลายทางชีวิตและประตูชีวิตทีแ่ ท้จริงในโลกหนา้ เมื่อกล่าวถึงกุโบร์ทุกคนต่างก็รู้จักกันในนาม ป่าช้า
แขกหรือสุสานฝงั ศพของมุสลิม
338
ภาพแสดงกุโบร์ของชุมชนบ้านลำไพลตก
ความเชื่อเกี่ยวกับกโุ บร์ทีม่ ีต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในชุมชนชาวมสุ ลิมนั้น ว่ามีการปฏิบัติตัว
ต่อความเชื่อในเรือ่ งการตายโดยเป็นการสะท้อนมาให้เห็นถึงการที่ดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานตามหลัก
ของศาสนาอิสลามที่สอนในความเชื่อเรื่องทุกชีวิตนั้นก็จะต้องได้รับรสชาติของความตายที่ไม่มีใคร
หลีกพ้นหรอื หลกี เลย่ี งมนั ไปได้ เป็นสง่ิ ที่ชาวมสุ ลมิ ยดึ และไว้เตือนใจตลอดเชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์
ขึ้น โดยกำหนดเวลาเกิดและเวลาสิ้นลมไว้ให้แล้ว มนุษย์มีเพียงชีวิตเดียว ตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีก
แต่ในความเป็นจริงในศาสนาอิสลาม ความหมายของความตายไม่ใช่การสิ้นสุดของชีวิตแต่เป็นการ
เปลี่ยนที่อยู่ผ่านโลกนี้ ไปยังอีกโลกหนึ่ง นั่นก็คือโลกแห่งความตาย ซึ่งพวกเราจะพบเจอทั้งสามโลก
นนั้ กค็ ือ โลกดนุ ยา โลกอาลมั บคั ซัร โลกอาคิเราะห์
โลกทงั้ สามโลก ( อ.อบั ดุลเราะมนั จะอารง ) ไดใ้ ห้ความหมายวา่ โดยคำว่า บคั ซรั ในหนงั สือ
อธิบายคำศพั ทภ์ าษาอาหรับนัน้ กล่าวไวเ้ ช่นนีว้ า่ หมายถงึ ส่งิ กีดขวางระหว่างสองสิง่ และเป็นตัวขวาง
กั้นจากการปะปนและการผสมปนเปกันของสิ่งทั้งสอง ดังนั้นสิ่งขั้นกลางระหว่างโลกนี้และปรโลก
ซึ่งจะอยู่ระหว่างช่วงเวลาหลังจากความตาย จนกว่าจะถึงวันแห่งกาลอวสาน (กิยามะ) เรียกว่า
“อาลัมบัธซัค” ซึ่งบารซัคเป็นภาษาอาหรับประกอบไปด้วยศัพท์คำว่า บารา ซึ่งหมายถึงเวลา
ที่เหมาะสมได้เคลื่อนไปและอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถจะเดาได้ บารซัคเป็นสภาวะที่วิญญาณได้ละท้ิง
ร่างกายที่ตายแล้ว จิตวิญญาณและร่างกายจะถูกแยกออกจากกันร่างกายจะถูกฝังอยู่ในหลุม และจิต
วิญญาณจะตกลงไปสู่หลุมซึ่งโดยในบัรซัคจิตวิญญาณทุกดวงจะได้รับร่างกายใหม่ชั่วคราว
เพื่อที่จะได้รับความรู้สึกในใจ ในโทษ หรือรางวัลเป็นสิ่งตอบแทนขึ้นอยู่กับการกระทำต่างๆที่ผ่านมา
ในชีวิต ร่างกายนั้นจะไม่เหมือนกับร่างกายแบบกายภาพร่างกายบางร่างจะสว่างและบางร่างจะมดื
โดยจะสอดคล้องกับในส่วนโลกทส่ี าม น้ันเป็นโลกทีต่ อ้ งอยไู่ ปตลอด
โลกดุนยา คือ โลกที่มนุษย์อาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ โดยเริ่มต้นจากการที่พระองค์ทรงสร้างโลก
และทรงสร้างมนุษย์คู่แรก อาดัมและฮาวาฮ์ อาศัยอยู่มีลูกหลานมากมาย เป็นเผ่าพันธุ์นั้นก็คือ
339
ชาวมุสลิมทุกคน ซึ่งตั้งหลักแหล่งเป็นที่อยู่อาศัยและแตกกระจายไปเพือ่ แสวงหาปจั จัยยังชีพในท่ตี า่ ง
ๆ บนทุกตารางน้วิ ทกุ ประเทศ บนโลกน้ี ทำให้โลกดุนยาทีก่ ล่าวมาเป็นไปตาม ลักษณะดงั น้ี คอื เป็นท่ี
พักอาศัยชั่วคราวไม่ถาวรและเป็นที่พักอาศัยที่ดึงดูดให้มนุษย์เพลิดเพลินในเรื่องของสถานท่ี
ท่สี นุกสนาน รื่นเรงิ และในเรือ่ งของความเชอื่ ความแตกตา่ งระหว่างโลกนก้ี บั โลกอาคีเราะห์
โลกอาคีเราะห์ คือ โลกที่เกิดขึ้นใน วันตัดสินโลก มนุษย์จะกลับมามีชีวิตอีกเพื่อจะได้รับการ
ตัดสนิ ว่าสง่ิ ทีม่ นุษย์ได้ทำไปในโลกแห่งดนุ ยานั้นทำบาปหรือดี ผู้มศี รทั ธาในพระเจา้ องค์เดียวก็จะได้มี
ชีวิตนริ ันดร์ในสรวงสวรรคห์ รือคนทท่ี ำความดี สว่ นคนทำบาปกจ็ ะตกสะพานที่จะขา้ มไปสู่สวรรค์นั้น
ลงสู่นรกชว่ั นิรนั ดร์
ดังนั้นชาวมุสลิมให้ความเชื่อความสำคัญในเรื่องผลความดี ความชั่วที่แต่ละคนปฏิบัติ
ไม่เหมือนกันในการลงนรกและขึ้นสวรรค์ที่มีหลายชั้นในความเชื่อของชาวบ้านโดยผลลัพธ์นั้นก็จะ
ขึ้นอยู่กับบาป บุญ ของตัวเอง เพราะเนื่องจากเชื่อว่าในการปฏิบัติตัวบนโลกดุนยา (โลกปัจจุบัน)
สามารถเป็นผลนำไปสใู่ นอกี 2 โลกหน้าได้ตอ่ ไป
กโุ บรแ์ ละพิธกี รรม แบบแผนในการปฏิบัติ
คำว่า กุโบร์ คือปลายทางของชีวิตและเป็นประตูไปสู่ชีวิตที่แท้จริงในโลกหน้าที่เป็นโลก
ของการเปลี่ยนผ่านสิ่งหนึ่ง ที่แสดงถึงความเชื่อในโลกหน้าคือ พิธีการฝังศพ โดยการนับถือศาสนา
ของชาวมสุ ลิม (เสาวนยี ์ :2535) ศาสนาเปน็ เสมือนวิถีทางจติ วิญญาณท่ชี ้นี ำการดำเนินชีวิตของมุสลิม
ทุกคน ดังนั้นมุสลิมจึงมีศรัทธาต่อวิถีทางอิสลามและศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าในทุกมิติของชีวิต
การตายในทัศนะของอิสลามถือว่าไม่ได้เป็นความทุกข์ การพ้นทุกข์ หรือเป็นการเพิ่มทุกข์ใด ๆ
เพราะการตายอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า คือการเปลี่ยนผ่านโลกนี้ไปยังอีกโลกหนึ่ง ทำให้การตาย
คือการกลับสู่ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าหรือพระอัลเลาะห์ซึ่งเรียกว่า “อายั้ล” เพราะฉะน้ัน
เมื่อมุสลิมได้ทราบข่าวการตายของมุสลิมด้วยกันไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตามเขาจะกล่าวประโยค
จาก คัมภีร์อลั -กรอุ าน ความหมาย “แท้จรงิ เราเป็นกรรมสทิ ธิ์ของอลั ลอฮฺและแท้จริงเราต้องกลับคืน
สู่พระองค”์
อนิ นาลล้ิ ลาฮ์ วะอินนาอลิ ัยหิรอญอิ ูน
340
นอกจากความเชื่อในการเรื่องชีวิตหลังความตายที่แตกต่างจากศาสนาพุทธแล้ว ชาวศาสนา
อิสลามก็ยงั มาพรอ้ มความเช่ือในเร่อื งอื่นๆ อันไดแ้ ก่
1. การจัดงานศพในลักษณะเรียบง่าย เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะทำให้ผู้ที่ยังมีชีวิต
อยู่เกิดความลำบากและขัดสนตามมา จึงเห็นได้ว่า เมื่อมีคนภายในครอบครัวตาย พิธีจัดการศพ
ในแบบศาสนาอิสลามจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่เกิดรายจ่ายในส่วนใด นอกจากค่าโลงศพ
และผา้ ที่ใช้หอ่
2. ศาสนาอิสลามสอนให้ผู้คนยอมรับในเรื่องของความตาย การเกิด แก่ เจ็บตายเป็นเรื่อง
ธรรมชาติและเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ ทำให้ไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายทั้งตัวเอง
หรือคนรอบข้าง จะต้องรู้สึกว่าเปน็ เร่อื งธรรมดาและไมย่ งุ่ ยาก
3. ศาสนาอิสลามไม่ต้องการให้ญาติพี่น้องผู้ตายโศกเศร้าเสียใจเกินเหตุในการสูญเสีย
แตล่ ะครั้ง
4. การฝังศพอย่างเรียบง่าย เป็นการทำให้ศพย่อยสลายได้อย่างรวดเร็ว และไม่ก่อให้เกิด
มลพษิ ทางอากาศ นอกจากนย้ี ังเป็นวิธคี ืนสังขารท่ีกลับคนื สู่สามัญตามหลักคำสอนได้ดีท่ีสุดในวัฏจักร
ของการเกิดมาเปน็ มนษุ ย์
5. ศาสนาอิสลามไม่มีการรักษาศพด้วยฟอร์มาลีน เพราะฉะนั้นต้องรีบดำเนินการในการขุด
หลุมฝังศพใหเ้ ร็วทส่ี ุด เพ่อื ท่ีจะไมใ่ หศ้ พเนา่ เปือ่ ยก่อน
6. ความเชื่อของชาวศาสนาอิสลามหรือชาวมุสลิม อีกหนึ่งประการในการทำพิธีศพ
กค็ อื จำเป็นต้องฝงั ศพภายใน 24 ชว่ั โมงนับจากเวลาทเ่ี สยี ชวี ิต เพราะหากเก็บศพเอาไว้นาน ผ้ทู ี่มีชีวิต
อยูเ่ บ้ืองหลงั และเก่ียวขอ้ งกบั ผ้ตู ายจะต้องเสยี ใจเพ่ิมมากขึ้น
ดังนน้ั ศาสนาอิสลามมีพธิ ีกรรมเป็นไปตามขอ้ ปฏิบัติ ดงั นี้ ( ประพนธ์ : 2527 )
1. การอาบน้ำศพ
1) ถ้าผู้ตายเป็นชาย ผู้อาบควรเป็นผู้ชาย ถ้าผู้ตายเป็นหญิง ผู้อาบก็ควรเป็นหญิงและควรให้
พ่ีน้องหรือผู้ทใี่ กลช้ ิดคนตายเป็นผู้อาบให้
2) การลา้ งถขู ณะท่อี าบ ควรกระทำเบา ๆ
3) ถ้าเหน็ ส่งิ ดงี ามเก่ยี วกบั ผตู้ าย ควรเล่าให้ผู้อืน่ ฟัง แต่ถ้าเหน็ สง่ิ ไมด่ คี วรนิ่งเสยี
341
4) อาบน้ำในสถานที่มิดชิด และมีผ้าปิดศพในส่วนที่ควรปกปิดและวางศพไว้บนที่สูง เช่น
แคร่
5) ชำระล้างนะยสิ (ส่ิงสกปรก) ออกเสียกอ่ น
6) ให้จดุ ของหอมเช่น กำมะยาน ธปู หอม ในขณะอาบน้ำศพ
7) การเอาน้ำสะอาดรดให้ทั่วร่างก็ใช้ได้ แต่การอาบน้ำที่ดีให้ล้างก้น ล้างเล็บ ฟัน จมูก มือ
เสียก่อน แล้วใช้หวีสางผมและล้างให้สะอาด หลังจากนั้นจึงรดด้วยน้ำใบพุทราสลับกับน้ำ
สะอาด 3 ครั้ง หลงั จากน้นั จึงเอานำ้ พิมพ์เสนรดเปน็ ครง้ั สดุ ทา้ ย
8) ใหอ้ าบนำ้ ละหมาดใหค้ นตายดว้ ย ซึ่งใชก้ ารละหมาดแบบเดยี วกบั การอาบละหมาดของคน
เป็น
9) เมอ่ื อาบนำ้ ใหค้ นตายเสรจ็ แลว้ ใหเ้ อาสำลหี รอื ผา้ สะอาดชับน้ำใหแ้ หง้
2. การห่อศพ
หลังจากอาบน้ำศพให้เรียบร้อยแล้ว ต้องห่อผ้าให้ผู้ตายนั้นด้วย โดยใช้ผ้าสะอาด
เพียงผืน เดียวซึ่งสามารถปิดได้มิดชิดตลอดทั้งร่างกาย ไม่ว่าผู้ตายจะเป็นชายหรือหญิง แต่
การห่อผ้าที่ดี สำหรับชายควรใช้ผ้าห่อ 3 ชั้น ซึ่ง 3 ชั้นนี้ได้แก่ ผ้านุ่ง เสื้อ ผ้าห่มอีก 1 ชั้น
ส่วนหญิงควรใช้ผ้า 5 ชั้น ซึ่ง 5 ชั้นที่กล่าวนี้ได้แก่ ผ้านุ่ง เสื้อ ผ้าคลุมศรีษะ หรือชุดสวม
ละหมาด (ตะละกง) และผ้าห่มอกี 2 ช้นั
วิธีหอ่ ศพ
1) เอาผ้าที่เตรียมไว้ ตัดยาวกว่าส่วนสูงของผู้ตายปูลงไป แล้วให้เอาของหอม เช่น ผงไม้
จันทร์โรยลงบนผ้าแล้วเอาผ้าพื้นที่ 2 ปูทับบนผ้าผืนที่ 1 เอาของหอมใส่ลงไปอีกแล้วเอา
ผ้าผืนท่ี 3 ปทู บั ลงไปอกี บนผ้าผืนที่ 2 แลว้ ใส่ของหอม
2) หลังจากนั้นยกศพมาวางลงบนผ้าให้นอนหงายเหยียดตรง เอามือทั้งสองวางบนหน้าอก
โดยให้ฝ่ามือขวาทับหลังข้อมือซ้าย เอาสำลีซึ่งโรยหรือคลุกด้วยเครื่องหอม เช่นผงไม้
จันทร์ พิมเสนมาแปะไว้ตามซอกหรอื ข้อพบั ตามร่างกาย และท่ีจมูก ฝา่ มอื ฝ่าเทา้
3) ห่อด้วยโดยการพับชายผ้าด้านซ้ายตลบมาทางขวาและพับชายผ้าด้านขวาตลบมา
ทางซ้ายทีละชั้นๆ จนเสร็จต่อจากนั้นจึงรวบชายผ้าหัวท้าย คือ ทางศรีษะและปลายเท้า
ผูกไว้ท้ัง 2 ด้านและผกู ระหว่างตวั อกี 2-3 คร้งั เพอื่ กนั ไมใ่ ห้เปดิ ออกขณะนำไปฝัง
342
3. การวางศพ
ศพของผู้ตายหรือที่เรียกว่ามัยยิต (ศพ) เมื่อนำไปยังที่จะทำพิธีละหมาดนั้น ให้ตั้งมัยยิตตาม
ขวางทิศกิบลัต (ทิศตะวันตกเฉียงใต้) ถ้าเป็นศพผู้ชายให้หันศรีษะอยู่ทางทิศใต้ ถ้าเป็นศพผู้หญิงให้
ศรีษะอยู่ทางทิศเหนือ ส่วนอิหม่ามนั้นในการทำพิธี ถ้าหากศพเป็นผู้ชายให้อิหม่ามยืนตรงศรีษะของ
ศพ ถา้ ศพเป็นผ้หู ญิงให้อิหมา่ มเล่ือนไปยืนตรงสะโพกของศพ สำหรับคนท่ีร่วมทำพธิ ดี ว้ ยนั้นให้ยืนหลัง
อิหมา่ ม โดยตั้งแถวให้ตรงและยืนชิดกัน
4. การละหมาดใหศ้ พ
เปน็ การละหมาดให้กบั ผู้ตายจะมีความแตกต่างระหวา่ งผู้ตาย เป็นผู้ชาย ผูห้ ญงิ เดก็ ชาย หรอื
เด็กหญิง จะอ่านดุอาร์ (คำกล่าวขอพร) ไม่เหมือนกันหลังจากกล่าวสลามแล้วจึงเสร็จพิธีละหมาดซ่ึง
ต่อจากนี้ให้นำผู้ตายไปฝังและให้เดินตามไปกุโบร์กับผู้ตายด้วย ส่วนผู้ที่เห็นผู้ตายถูกนำผ่านมาให้ยืน
รบั เป็นการใหเ้ กยี รติจนกวา่ ผู้ตายน้นั จะถกู นำผ่านไป
5. การฝงั ศพ
เมื่อละหมาดให้คนตายเสร็จแลว้ ให้รีบนำไปฝังโดยการฝังนั้นต้องขุดหลุมให้ลึกพอ ที่จะระงับ
กลิ่นที่จะมีภายหลังได้และสามารถป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายมาคุ้ยเขี่ยศพ โดยจะขุดลึกประมาณ 2 เมตร
กว้าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร ซึ่งในการเอาคนตายลงหลุมควรให้ญาติพี่น้องผู้ใกล้ชิดเป็นคนช่วยเอาคน
ตายลงหลุม เช่น บิดา สามี บุตร ของผู้ตายเป็นต้น ในส่วนของการฝังศพให้เอาศพนอนตะแคงขวา
หันหน้าไปทางกิบลัต (ทิศตะวันตกเฉียงใต้) ให้ดินหนุนศีรษะให้สูงเล็กน้อย และใช้ดินหนุนหลังไว้กัน
ไม่ให้ล้ม แกเ้ ชือกทผี่ ูกหอ่ ออก เมอ่ื เอากระดานปดิ หลมุ แลว้ หรือวางหีบลงในหลุมเรียบรอ้ ย จงึ เอาดิน
กลบและทำดินให้แนน่ แลว้ จงึ อา่ นบทสวดที่เก่ยี วขอ้ งใหก้ บั ผ้ตู าย
ภาพแสดงการประกอบพิธฝี งั มัยยิต (ศพ)
343
วิถชี ีวติ ของมุสลิมในท้องถิ่น
อย่างไรกต็ ามชมุ ชนแต่ละชุมชนมคี วามซับซ้อนของสภาพวัฒนธรรมแตน่ ับว่าเปน็ เครอ่ื งมือที่
ก่อใหเ้ กิดความสามคั คีและเป็นเคร่อื งสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวติ ของคนในท้องถน่ิ ทีเ่ ป็นมรดกสำคัญของ
ชมุ ชนอกี ทงั้ เป็นเครอื่ งมือในการควบคมุ สังคมท่เี ชื่อมโยงหลกั ความเชอ่ื ความศรทั ธา ดังจะเหน็ ไดจ้ าก
ประเพณีและวิถชี ีวติ ดังน้ี
1.รายอแก้บวช ที่เรียกกันว่า “รายอถือศีลอด” เป็นประเพณีที่เฉลิมฉลองในการขึ้นปี
ฮจิ เราะหศ์ ักราชหรอื การขน้ึ ปีใหมข่ องชาวมสุ ลิม ในสว่ นของตวั ประเพณีกจ็ ะเปน็ การพบปะญาติท่ีใกล้
ไกลกันมาร่วมกินอาหารโดยจะมีการทำตูปะ (ต้มสามมุม) ตาแป (แป้งข้าวหมาก) ลาชิติเนะ (สะเต๊ะ)
แกงไกไ่ ขน่ ำ้ แดงและแกงมสั ม่ัน
ภาพแสดงประเพณีรายอแก้บวช
2. รายอแน ( รายอหก ) หรือที่เรียกกันว่า รายอกุโบร์ เป็นการทำบุญป่าช้าของคนมุสลิม
ใหแ้ ก่บรรพบรุ ุษที่ล่วงลับไปแลว้ โดยประเพณีนี้จะเป็นการนำขา้ วปลาอาหารไปรับประทานหรือเลี้ยง
อาหารที่กุโบร์ ผู้ชายก็จะเข้าไปในกุโบร์ได้เลย ส่วนผู้หญิงก็จะรับประทานอยู่ด้านนอกกุโบร์
เนอื่ งจากกฎการเยี่ยมเข้ากุโบร์ผู้หญงิ ไมส่ ามารถเขา้ ได้ ประเพณีน้ซี ึ่งเช่ือกันว่าเป็นการถือโอกาสเฉลิม
ฉลองกันอีกครั้ง โดยมีการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก้บรรพบุรุษที่เสียชีวิตไป โดยการอ่าน
คำภีร์อัลกุรอานและซิกรุลเลาะห์ (รำลึกถึงพระเจ้า) รวมทั้งทำความสะอาดกุโบร์ร่วมกัน จึงทำให้วนั
นั้นเป็นวันที่กุโบร์มีความคึกคักเต็มไปด้วยความสุขของชาวบ้านที่ได้ไปพบคนในครอบครัวหรือคนท่ี
รู้จักในสว่ นของโลกที่สองน่ันเอง
344
ภาพแสดงประเพณรี ายอแน
3.รายอฮัจยี หรือที่เรียกกันว่า รายอพบปะผู้ที่เดินทางไปทำพิธีฮัจญ์ที่นครเมกกะ พร้อมกับ
การทำเน้ือกรุ บ่านเหมือนเปน็ การเชอื ดววั เพอื่ พลีชีพใหแ้ ก่ผเู้ ป็นเจา้ เชน่ เดียวกบั การท่ีเฉลิมฉลองกับ
ในเทศกาลซะกาตซึ่ง “ซะกาต” ตามความหมายในเชิงภาษาศาสตร์ หมายถึง การทำให้สะอาด
บริสทุ ธ์ิ ความจำเรญิ หรือการพัฒนา (อับดลุ เลาะ บาร:ู 2549) หรือ สวสั ดิการซะกาต ถือเป็นส่วน
หนึ่งของระบบสวัสดิการสังคมในอิสลามที่มุ่งเน้นให้สวัสดิการในการดูแลปกป้องบุคคลในสังคม ซ่ึง
เป็นภารกิจของปัจเจกบุคคลที่มีความสามารถ โดยที่หลักสวัสดิการนั้น ได้ครอบคลุมตั้งแต่ระดับ
อุดมการณ์ของสังคม จริยธรรมของบุคคลในสังคม พฤติกรรมการใช้ชีวิตในสังคม โดยมีความศรัทธา
ตอ่ พระเจา้ เป็นแกนกลางและการชว่ ยเหลือด้วยทรัพยส์ ินเป็นกลไก เพ่ือให้ผมู้ สี ทิ ธิรบั ซะกาต สามารถ
ใชช้ ีวิตในสงั คมได้อยา่ งปกติสขุ (ศภุ ชยั สมันตรัฐ:2548) ถือวา่ นับเปน็ บทบัญญตั ิท่ีสะทอ้ นถึงการท่ีได้
รจู้ ักช่วยเหลอื ซึ่งกนั และกันของชาวบ้านเสริมสร้างตักวาหรือความใกลช้ ิดต่อพระผู้เป็นเจ้า (อลั เลาะห์)
และเป็นสัญลักษณใ์ นการกำจดั ความลมุ่ หลงในทรัพย์
ภาพแสดงประเพณรี ายอฮัจญ์
345
ทศั นะแนวคดิ เรือ่ งญิน
ด้วยความเชื่อความศรัทธาที่ดำเนินอยูบ่ นหลักศาสนาทำให้เกิดข้อสงสัยในแง่มุมที่ว่าอิสลาม
เช่ือเรือ่ งผหี รอื ไมน่ นั้ สำหรับความคดิ ของชาวบา้ นหรือแมแ้ ต่ ด.ต สมเดช หมัดเลยี ด ในวยั 72 ปี ซ่ึง
เปน็ ผู้ร้ใู นเรือ่ งของศาสนามากพอสมควร
ภาพแสดง ด.ต สมเดช หมัดเลียด (ผ้ใู ห้สัมภาษณ)์
ตำแหนง่ คณะกรรมการมสั ยิดบ้านลำไพล
นั้นก็มองว่าผีเป็นเพียงวิญญาณหรือชัยตอน (ซึ่งเป็นวิญญาณอันชั่วร้ายในความเชื่อศาสนา
อิสลาม จะทำให้มนุษยท์ ำบาปโดยการกระซิบทีห่ ัวใจ) จึงตามหลอกหลอนเหมือนในหนังเพียงเท่านน้ั
ดังนั้น ไม่มีความเชื่อของชาวบ้านหรือมุสลิมที่มตี ่อผีเลย แต่ในทางกลับกันผู้ให้สัมภาษณ์กลับมาเชือ่
เรือ่ งญิน โดยรากศพั ทข์ องคำวา่ ญนิ หมายถงึ "ปกปดิ ซอ่ นเรน้ " ทั่วไปแล้วมีลกั ษณะจะคล้ายคลึงกับผี
หรอื ปศี าจตามความเช่ือของศาสนาหรือลัทธิอ่ืน หากแต่ญินกำเนิดมาจากไฟนรกท่ีอัลเลาะห์ทรงสร้าง
ขึ้นและกำเนิดก่อนมนุษย์คนแรกคือ อาดัมเป็นเวลานานมาก ญินเกิดมาเพื่อทำอิบาดะฮ์ (ความดี)
ถวายแดอ่ ัลเลาะห์ ญนิ อาศยั อยบู่ นโลกมนษุ ย์ แต่อย่อู ีกมิตหิ นึ่ง มีสงั คมเหมอื นกับมนษุ ย์ มีการดำเนิน
ชีวิต มีเกิด มีตาย มีปัญญา มีศรัทธา มีปฏิเสธ มีความสามารถเหนือมนุษย์ สามารถทำในสิ่งที่
หลากหลายมากกวา่ อายยุ ืนยาวมากกวา่ สามารถบนิ ได้ ปรากฏกายได้ จำแลงกายทั้งในรูปมนุษย์และ
สัตว์ ญินสามารถมองเห็นมนุษย์ได้ แต่มนุษย์จะมองไม่เห็นญิน เว้นแต่ญินจะปรากฏร่างให้เห็นเอง
เพราะอยู่ปะปนไปกับพวกเราเอง มีทั้งตัวที่ดีและไม่ดี ญินที่เป็นตัวดีจะคอยให้ความช่วยเหลือเรา
สว่ นตัวที่ไม่ดกี ็คอยล่อลวงเราใหห้ ลงผิดตามท่ีมนั ช้ีนำ หากผูใ้ ดทพี่ ยายามตดิ ต่อหรือสื่อสารกับญินจะ
สมุ่ เส่ียงมากต่อ การผดิ ตอ่ หลักศาสนาหรือกลายเปน็ ผู้นอกรีต เน่ืองจากเป็นการเข้าไปสูไ่ สยศาสตร์
346
นอกจากน้ยี ังมีหลกั ฐานชน้ิ สำคัญท่สี ะท้อนในเร่ืองความเช่อื เร่ืองญิน ทีย่ ังคงปรากฏให้เห็นอยู่
ในหมบู่ า้ นโดยเชื่อมโยงกับวถิ ีการปฏิบตั ิของชาวบ้าน นน้ั กค็ ือ “กุโบร์ควนขาว” เป็นที่ฝัง “ทวดควน
ขาว” “ทวด” เป็น “ความเชื่อพื้นถิ่น” มีอยู่ทั่วไปในแบบท้องถิ่นนิยมภาคใต้ที่เชื่อว่า ทวด คือบรรพ
ชนของชุมชนที่มีคุณงามความดี ซึ่งเมื่อสิ้นชีวิตลงจะกลายเป็น “ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์” ที่จะ
ปกป้องคุ้มครองหรือให้คุณให้โทษแก่ลูกหลานหรือชุมชน สมัยโบราณมักกล่าวว่ามนุษย์ถือกำเนิด
ขึ้นโดยมีความสัมพันธ์กับสัตว์ มักกล่าวว่าสัตว์เป็นเทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์จึงมีความเชื่อเรื่องวิญญาณ
บรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบา้ นในท้องถิ่นเรียกว่า “ทวด” ที่ปกป้องคุ้มครองหรือให้คุณโทษแก่
ลกู หลานหรอื ชุมชน
โดยมีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบทอดกันมาที่ชุมชนบ้านลำไพลตกมีความเชื่อกันว่า “ทวดควนขาว”
เปน็ มุสลิมท่ีมียศฐาสงู ศักดอิ์ าจจะเป็นพวกแม่ทัพจากหัวเมืองแหลมมลายูเดินทางไปยังหัวเมืองอื่นแล้ว
เสียชีวิตระหว่างทางก็คือตรงบริเวณนี้ในด้านทิศตะวันตกของชุมชน คณะร่วมเดินทางจึงทำการฝัง
มยั ยติ (ศพ) ไวบ้ นเนินเขาแหง่ นี้ นอกจากน้ียงั มีอีกตำนานวา่ อาจจะเปน็ มสุ ลิมเปอร์เซียซ่งึ สู้รบกับหัว
เมืองอื่นในพื้นทีแ่ ห่งน้ี โดยเป็นเมืองหน้าด่านของหัวเมืองแล้วเสียชวี ติ จากการสู้รบจงึ ทำการฝังมัยยิต
(ศพ) ไว้บนเนินเขาซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ราบทางทิศตะวันตกของบ้านลำไพลตก หมู่ที่ 2 ตำบลลำไพล
อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ติดกับทางหลวงแผ่นดินท่ี 42 (นาทวี-โคกโพธิ์) มีลักษณะเป็นเนินเขาสูง
104 เมตรเหนือระดบั นำ้ ทะเล รายล้อมดว้ ยแนวเขาควนเจดีย์ ควนหินเพา ควนเขาสงู ควนเขาแลหวัง
และแนวเทือกเขาสันกาลาคีรี ลักษณะของกุโบร์มีความกว้างประมาณ 1.2 เมตร ยาวประมาณ 5
เมตรมี “แลสัน”ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ “กุโบร์” สำหรับป้องกันการเหยียบหรือนั่งทับโดยเป็นการนำ
กอ้ นหนิ วางด้านศีรษะและปลายเทา้ อยา่ งละกอ้ นเพียงเท่าน้นั
ภาพแสดงกโุ บร์ทวดควนขาว
347
ทั้งนี้จากการบอกเล่าของนางใบเด๊าะ โต๊ะขา ในวัย 89 ปี ซึ่งเป็นย่าของผู้ศึกษาเองนั้นได้
เล่าให้ฟังว่าตอนทีเ่ มาะ (ย่า) กรีดยางอยู่สวนที่ตดิ กบั กุโบร์ของทวดควนขาวนั้นได้เหน็ ทวดในลักษณะ
ผชู้ ายส่วนบนแต่งกายในแบบมุสลิมแต่สว่ นดา้ นล่างตั้งแต่เอวลงไปถึงขาเป็นในรูปลักษณะหางงู ยืนอยู่
และชาวบา้ นบางคนในชมุ ชนท่พี บเจอทวดกไ็ ด้เห็นในลักษณะนี้เช่นเดียวกันจึงทำใหม้ ีความเชือ่ ในเร่ือง
ของทวดในลกั ษณะของการเป็นทวดงูซ่ึงจะเชื่อมโยงไปในเรื่องญินที่กลา่ วไวข้ า้ งตน้ ว่า “ญนิ เกิดมาเพ่ือ
ทำอิบาดะฮ์ (ความดี) ถวายแด่อัลเลาะห์ ญินอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ แต่อยู่อีกมิติหนึ่ง มีสังคม
เหมือนกับมนุษย์ มีการดำเนินชีวิต มีเกิด มีตาย มีปัญญา มีศรัทธา มีปฏิเสธ มีความสามารถเ หนือ
มนุษย์ สามารถทำในสิ่งที่หลากหลายมากกว่า อายุยืนยาวมากกว่า สามารถบินได้ ปรากฏกายได้
จำแลงกายทั้งในรูปมนุษย์และสัตว์” ดังนี้จึงทำให้ความเชื่อเหล่านี้ ตั้งอยู่ในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของ
ความเป็นชุมชนและสังคมโดยมีข้อปฏิบัติในการแสดงความเคารพ คือ บอกชื่อว่าเป็นลูกหลานที่มา
จากไหน หากพ้นต้องมีการพดู กล่าวทกั ทายดว้ ยการใหส้ ลามด้วยคำว่า “อัสลามอู าลยั กมุ ”
สรุปและอภปิ รายผล
เพราะฉะนั้นสำหรับประเพณีของวิถีชีวิตข้างต้นเหล่านี้ ตัวผู้ศึกษาเองก็สัมผัสถึงประสบการณ์
โดยตรง มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังมีประเพณีแบบเดิมยังคงรูปแบบเดิมโดยไม่
เปลยี่ นแปลง ความเปน็ วถิ ีการดำเนนิ ชวี ิตทอี่ ยู่แบบหลักความเชอ่ื ความศรัทธา ท่มี ีต่อโลกหลงั ความ
ตาย โลกแห่งกุโบร์ที่เป็นตัวกำหนดให้ปฏิบัติต่อความดีในโลกปัจจุบันหรือเป็นการเตรียมพร้อมและ
เป็นการรับรู้ของชาวมุสลิมตั้งแต่ครั้งยังมีชีวิตอยู่ที่ต้องก้าวไปสู่โลกอาลัมบัรซัคและโลกอาคิเราะห์ใน
ภายหน้า จึงทำให้เหน็ ถึงความสอดคล้องตามหลักการของอสิ ลามหลักในการปฏิบตั ทิ ่ีได้ถูกยึดไปกับ
วิถีชีวิตของมุสลิม อันแสดงให้เห็นความเป็นอัตลักษณ์ของชาวบ้านมุสลิมได้อย่างชัดเจน เพราะ
เนอื่ งจากเดิมสงั คมชุมชนบ้านลำไพลมีวถิ วี ฒั นธรรมแบบชาวพทุ ธจนเม่ือมุสลิมเข้ามาจนเกิดการขยาย
ของชุมชนขึน้ นับวา่ เป็นการเปล่ยี นแปลงสงั คมบ้านลำไพลในรปู ของสงั คม “พหุวฒั นธรรม”
348
บรรณานกุ รม
ประพนธ์ เรืองณรงค.์ (2527). สมบตั ิไทยมุสลิมภาคใต้ การศึกษาคตชิ าวบ้านไทยมุสลิม
จังหวดั ปัตตานี ยะลา และนราธวิ าส. ปตั ตานี: มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขต
ปัตตานี.
เสาวนยี ์ จติ หมวด. (2535). วัฒนธรรมอสิ ลาม. กรุงเทพฯ: สำนกั พิมพท์ างนำ.
อุซตาซ อยาตุลลอฮ์ ฮูเซน มะซอฮิรี. (2547). มะอาด: การคืนสู่ชีวิตใหม่ในโลกใบหน้า.
กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั ส่งเสรมิ การศกึ ษาและวิจัยเก่ียวกับอสิ ลาม.
ขอ้ มูลสัมภาษณ์
นางใบเด๊าะ โตะ๊ ขา อายุ 89 ปี บ้านเลขท่ี 60/1 หมู่ท่ี 2 ตำบลลำไพล อำเภอเทพา จังหวัด
สงขลา สัมภาษณ์วนั ท่ี 7 กรกฎาคม 2565
นางจู เหมหมัด อายุ 83 ปี บา้ นเลขท่ี 161 หมู่ท่ี 2 ตำบลลำไพล อำเภอเทพา จงั หวัดสงขลา
สัมภาษณว์ นั ท่ี 7 กรกฎาคม 2565
ด.ต สมเดช หมดั เลยี ด อายุ 72 ปี บา้ นเลขท่ี 257 หมู่ที่ 2 ตำบลลำไพล อำเภอเทพา จังหวดั สงขลา
สมั ภาษณ์วันที่ 9 กรกฏาคม 2565
349
พุทธ พราหมณ์ ผี ในพธิ ีกรรมยางนา : กรณีศึกษาร่างทรงพ่อตาขนุ ยาง
บ้านคลองเค่ยี ม ตำบลบางงอน อำเภอพนุ พิน จังหวดั สุราษฎรธ์ านี
นางสาว พมิ พช์ นก เดชมณี
สาขาวิชา ประวตั ิศาสตร์
มหาวิทยาลัยทกั ษิณ
บทคดั ยอ่
บทความวิชาการนี้เป็นการศึกษาความเชื่อเกี่ยวกับ ความเชื่อในท้องถิ่นของคนพื้นท่ี
หมู่บ้านคลองเคี่ยม จังหวัดสุราษฎรธ์ านี ซงึ่ คนในพ้ืนที่ได้จินตนาการคดิ สรา้ งต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ที่มีอายุ
ยาวนานข้ึนเป็นการสมมตแิ ทนส่งิ ลี้ลับท่ีมีอำนาจ เมอ่ื สร้างขึ้นหรือสมมติขน้ึ แลว้ ก็ต้องแสดงออกด้วย
ความเคารพยำเกรง โดยจัดทำพิธีกรรมต่างๆ เป็นการบวงสรวง เพื่อให้สิ่งมีอำนาจหรือผู้บันดาลคุณ
หรือโทษแก่มนุษย์ ให้มีความพอใจ จะได้มีเมตตา ไม่ทำร้าย ไม่ให้เจ็บป่วย ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ
(ศกุนสิงห์, 2556, 3) และบันดาลความสุขให้แก่คนในพื้นที่ โดยปรากฏในรูปแบบร่างทรงเพศชาย
พิธีกรรมร่างทรงพ่อตาขุนยางได้สะท้อนให้เห็นถึง ความเชื่อ ความศรัทธาในสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์
ข้อเท็จจริงได้ รวมถึงสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในพื้นที่ที่อาศัยพึงพิงอิงกับธรรมชาติ
เพอื่ การดำรงชวี ติ ทีส่ งบสขุ
350
บทนำ
สบิ นิ้วร้องเชิญ จำเรญิ ราชา ตาขนุ ยาเจ้าขา อยา่ ช้าบดั ดล วนั นว้ี นั ดี ขา้ จะรอ้ งมนต์ ร้องด้วย
แป้งผงน้ำมันทุกประการ ข้าจะเสกดอกไม้ มีรสหอมหวาน หมากพลูทุกประการ ข้าจะส่งไป
หัวใจพระพาย ต้องวัวต้องควาย ต้องช้างกลางป่า ต้องคนเป็นบ้าร้องไห้เหหน ขอเชิญตา
ขุนยาง มาสิงมาทรง ขอชัยมงคลประสทิ ธิเม ...
( บทคำเชิญพ่อตาขนุ ยางเพ่ือประทับร่างทรง ณ บา้ นคลองเคย่ี ม จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี )
ณทรัตน์จุฑา ไชยสวัสดิ์ ได้กล่าวไว้ในบทความทางวิชาการ เรื่อง ความเชื่อเรื่องวิญญาณ
บรรพบุรุษของคนไทยถิ่นใต้: ผี เปรต และเทวดาว่า ความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในท้องถิ่น
เป็นจินตนาการที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อใช้ในการรับมือ ต่อสู้ ต่อรอง หรือเผชิญหน้ากับสิง่ ลี้ลับที่เกิดขน้ึ
จากความสัมพันธ์กับธรรมชาติและมนุษย์ อย่างไรก็ตามจินตนาการที่ถูกสร้างขึ้นนี้ก็ตกอยู่ภายใต้
อิทธิพลของบรบิ ททีม่ นุษยส์ มั พันธอ์ ยดู่ ว้ ยประการสำคัญ กล่าวคอื “แม่แบบความเชอ่ื ” ของแต่ละชาติ
พันธุ์ ชุมชนจะเปน็ รากฐานของรูปแบบความเช่ือเร่ืองศักด์สิ ิทธขิ์ องมนุษย์ในแต่ละพ้ืนท่ีที่ทำให้มีความ
แตกต่างกนั ออกไป
หมู่บ้านคลองเคีย่ ม ตำบลบางงอน อำเภอพุนพนิ จงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี ในอดีตตามคำบอกเล่า
มีลักษณะทางภูมิประเทศแบบพื้นที่ลุ่ม เป็นหมู่บ้านเล็กๆ วิถีชีวิตแบบพึ่งพิงธรรมชาติที่เต็มไปด้วย
ต้นยางนา ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรท้องถิ่นจนเกิดเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านคือ การทำข้ี ไต้
จากน้ำมันยางนาเพ่อื ใชเ้ ป็นแหล่งเชื้อเพลิงและให้แสงสว่างในการดำรงชีพ รวมถงึ เล้ยี งสัตว์ ไดแ้ ก่ วัว
ควาย ช้าง เช่นนั้นจากคำกล่าวที่ว่า จินตนาการความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท้องถิ่นที่ถูกสร้างขึ้นอยู่
ภายใต้อิทธิพลของบริบทที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ เห็นได้จากบทคำเชิญพ่อตาขุนยางเพื่อประทับ
ร่างทรง ณ บ้านคลองเคย่ี ม จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี ในตอนหนึง่ ท่ีกล่าววา่ “ ต้องววั ต้องควาย ต้องช้าง
กลางปา่ ตอ้ งคนเปน็ บา้ ร้องไหเ้ หหน”โดยในภาษาท้องถนิ่ ภาคใต้ คำว่าต้อง ในท่นี ้หี มายถึง การดูแล
รักษาสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้รอดพ้นจากอุปสรรคทั้งปวง ขณะในอีกมุมมองหนึ่ง ยังมีคนในหมู่บ้านบางส่วน
เชื่อว่าเป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระแต่หากบุคคลเหล่านั้นที่เกิดการท้าทายลองดีต่อสิ่งลี้ลับก็ได้
พบกบั เหตกุ ารณ์ท่ตี ้องพินาศเช่นกนั
นักสังคมวิทยาและนกั มานุษยวทิ ยาไดส้ ร้างข้อสรุปทั่วไปไวว้ ่าความเชื่อต่อส่ิงศักดิ์ในลักษณะ
ต่างๆ เป็นระบบความเชื่อพื้นฐานของมนุษย์ในสังคมบุพกาล ซึ่งจำเป็นต้องประดิษฐ์หรือสร้างสิ่ง
เหล่าน้ีขึน้ มาเป็นทีย่ ึดเหนยี่ ว เพราะความเกรงกลัวต่อปรากฏการณท์ ่ีไม่อาจอธบิ ายหรือทำความเข้าใจ
351
ได้ โดยเชอื่ ว่าส่ิงศักดส์ิ ทิ ธ์ิคอื พลังอำนาจลี้ลับทค่ี อยควบคุมทั้งมนุษย์และธรรมชาติไว้ การสยบยอมต่อ
ส่ิงศักด์ิสิทธ์ิจงึ เปน็ หนทางแหง่ การรอดพ้นจากหายนะพร้อมๆ กบั อาจทำใหป้ ระสบกับสัมฤทธิ์ผลใน
สิง่ ที่มุง่ หวงั (เลิศชาย, 2560, 397)
ดังนั้นบทความทางวิชาการเรื่อง พุทธ พราหมณ์ ผี ในพิธีกรรมยางนา : กรณีศึกษาร่างทรง
พ่อตาขุนยาง บ้านคลองเคี่ยม ตำบลบางงอน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้ศึกษาจึงเลือก
ที่จะศึกษา ความเชื่อ การประกอบพิธีกรรม ในชุมชนแห่งนี้ โดยมีการนำเสนอผลการศึกษา
เปน็ 5 หัวข้อดงั น้ี
1. ต้นยางนาในมติ ทิ รพั ยากรชุมชน
2. รา่ งทรง หรือ การทรงเจา้ เข้าผี
3. คำบอกเล่าจากย่า : ศึกษาความเปลย่ี นแปลงจากบคุ คลร่วมสมัย
4. การประกอบพิธีกรรมร่างทรงพอ่ ตาขุนยาง บ้านคลองเค่ียม จังหวัดสุราษฎรธ์ านี
4. “ไม่เช่อื อย่าลบหล่”ู : เหตุการณพ์ ินาศของบุคคลผู้ลบหลู่
วัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาพิธีกรรมยางนาผ่านความเชือ่ ร่างทรงพ่อตาขุนยาง ณ บ้านคลองเคี่ยม ตำบลบาง
งอนอำเภอพุนพนิ จังหวดั สุราษฎร์ธานี
ขอบเขตการศกึ ษา
- ขอบเขตด้านเนื้อหา ศึกษาพิธีกรรมยางนาผ่านความเชื่อร่างทรงพ่อตาขุนยาง ณ บ้าน
คลองเค่ียม ตำบลบางงอน อำเภอพนุ พิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ชว่ งทศวรรษ 2480-ปัจจบุ นั
- ขอบเขตด้านพื้นท่ี ชุมชนบ้านคลองเคี่ยม ตำบลบางงอน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์
ธานี โดยได้ศึกษาเพียงหมู่บ้านเดยี ว เนื่องจากเป็นชุมชนที่ยังคงประกอบพิธีกรรม ความเชื่อพ่อตาขนุ
ยางตง้ั แตอ่ ดีตมาจนถงึ ปัจจุบัน
352
ทบทวนวรรณกรรม
จากการศึกษาผลงานท่ีศึกษาเก่ียวกับ ความเชอื่ รา่ งทรงทผี่ ่านมายังไม่พบว่าได้มีการหยิบเอา
ประเด็นทางประวัติศาสตร์เรื่องความเชื่อร่างทรง ในพื้นที่ หมู่บ้านคลองเคี่ยม จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ขึ้นมาศึกษาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบโดยอธิบายให้เห็นถึงเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ หลักฐาน
การศกึ ษาวิจยั เกยี่ วกับเร่ืองนี้
ยโสธารา ศิริภาประภากร ศึกษาความเชื่อในพิธกี รรมการเข้าทรงของชาวพุทธ : กรณีศึกษา
ชุมชน บ้านศาลาสามัคคี ตำบลบ้านชบ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ความสัมพันธ์ระหว่างความเช่ือ
ทางพระพุทธศาสนากับพิธีกรรมของร่างทรง พบว่า ความเชื่อส่วนใหญ่ของร่างทรงที่เกี่ยวข้อง
กับพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา คือ ความเชื่อเรื่องการปฏิบัติธรรม ความเชื่อในเรื่องการสวดมนต์
ไหว้พระ ความเชื่อในการถือศีลกินเจ เลี้ยงพระ ถวายสังฆทาน และความเชื่อในการทอดกฐิน ผ้าป่า
ช่วยบำเพญ็ สาธารณะประโยชน์ถ้าจะแบง่ ความเช่ือของรา่ งทรงออกเปน็ ความเชื่อทางพระพุทธศาสนา
และความเชื่ออื่น ๆ พบว่า ร่างทรงที่มีความเชื่อทางพระพุทธศาสนา พิธีกรรมที่กระทำสูงสุด
คือ การปฏิบตั ิธรรมสวดมนตพ์ ระคาถาตา่ งๆอาทิเช่น ก่อนการเริ่มพิธีกรรมนัน้ ร่างทรง และผู้ที่จะเขา้
ร่วมประกอบพธิ นี น้ั จะมีการสวดมนต์ นมัสการพระรัตนตรัย บทชมุ นุมเทวดา บทเจรญิ คุณพระคาถา
ยอดพระกัณไตรปฎิ กพระคาถาชินบัญชร พาหงุ มหากา มลคลจักวาล เป็นตน้
ณทรัตน์จุฑา ไชยสวัสด์ิ ศึกษาเรื่อง ความเชื่อเรื่องวิญญาณบรรพบุรุษของคนไทยถ่ินใต้ : ผี
เปรต และเทวดา ความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณบรรพบุรุษของคนใต้ สามารถแบ่งเป็นความเชื่อเรื่องผี
คือ ผีครูหมอและผีตายาย เชื่อว่าเป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่ตอนเป็นมนุษย์มีความเก่งกล้า
สามารถในเรื่องต่าง ๆ และเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป ความเชื่อเรื่องเปรต ซึ่งเป็นวิญญาณ
บรรพบุรุษที่เคยทำบาปสร้างกรรมชั่วไว้มากเมื่อยังเป็นมนุษย์ เมื่อตายไปจึงเกิดเป็น เปรต มีรูปร่าง
ประหลาด และทุกข์ทรมาน และความเชื่อเรื่องเทวดา หรือที่คนไทยถิ่นใต้ เรียกว่า ทวด ซึ่งสามารถ
เชื่อมโยงกับสัตว์ใหญ่ที่มีความดุร้าย ได้แก่ งู ช้าง เสือ และจระเข้ ตลอดจนเชื่อมโยงกับต้นไม้
และสถานที่ทีม่ ีความพิเศษต่าง ๆ วิญญาณบรรพบรุ ษุ ไดแ้ ก่ “ผ”ี “เปรต”และ “เทวดา” หรอื “ทวด”
สัมพันธ์กับแนวคิดทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วทางพุทธศาสนาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากวิญญาณบรรพบุรุษ
ตาม ความเชอ่ื เหล่านี้มผี ลมาจากกรรม ด-ี ชัว่ จากอดตี ความเชอื่ ต่าง ๆ ของคนใตท้ ง้ั ความเช่ือเกี่ยวกับ
ผีครูหมอ ผีตายาย ความเชื่อเรื่องเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือทวด ที่เชื่อมโยงกับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
สัตว์ ต้นไม้ หรือสถานที่ หรือแม้แต่ความเชื่อเรื่องเปรต อยู่ภายใต้แนวคิดหลักเดียวกัน
คือ การเล่าเรื่อง ว่าบรรพบุรุษที่ล่วงลับไป ได้เกิดใหม่ในรูปที่เหมือนหรือต่างกันล้วนมาจากบุญบาป
353
ที่ได้ กระทำเมื่อครั้งยังมีชีวิต หลังจากความตายไม่ว่าบรรพบุรุษจะกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่
ย่อมปรารถนา จะได้อยใู่ กลก้ ับลกู หลานท้ังสิ้นกด็ ว้ ยความรกั ความผกู พนั แบบเครอื ญาติ เปน็ ต้น
ผลการศึกษา
- ตน้ ยางนาในมติ ิทรัพยากรชุมชน
หมู่บ้านคลองเคี่ยม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่
เป็นที่ราบลุ่ม เหมาะสำหรับทำนา ทำไร่นาสวนผสม พื้นที่นี้ในอดีตมีการปลูกต้นยางนาเป็นอย่างมาก
เนื่องจากต้นยางนามีประโยชน์และสรรพคุณเป็นอย่างมาก ทั้งการนำไม้มาสร้างเป็นที่อยู่อาศัย
การใช้ประโยชน์จากยางของต้นยางนา จนกลายมาเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวบ้าน เรียกภูมิปัญญานี้
วา่ การทำไต้ หรือ ขี้ไต้ จากคำบอกเลา่ ของคนในหม่บู ้าน ในอดตี ขไ้ี ต้เป็นอุปกรณ์ให้แสงสว่างท่ีนิยมใช้
กนั อย่างแพร่หลาย มีลักษณะเป็นแทง่ กลมยาวมัดดว้ ยเชือกเปน็ เปลาะ ๆ ด้านทา้ ยทำเป็นด้ามสำหรับ
ถือ มีหลายขนาด ส่วนประกอบหลัก มีสามส่วนคือ เชื้อไต้ น้ำมัน และเปลือกหุ้มไต้ ไต้ของแต่ละ
ท้องถิ่นจะใช้วัตถุดิบในการทำเชื้อไต้และเปลือกหุ้มไต้แตกต่างกัน ขึ้นกับว่าท้องถิ่นนั้น ๆ มีวัตถุดิบ
อะไร โดยในหมู่บ้านคลองเคี่ยม ทำเชื้อไต้จากเปลือกต้นเสม็ดผสมน้ำมันยางห่อด้วยกาบหมากหรือ
ใบเตย ไต้เหล่านี้ติดไฟได้ดี เปลือกเสม็ดที่นำมาใช้จะต้องตากใหแ้ ห้งนำไปคลกุ กับน้ำมันยางที่ไดจ้ าก
การเจาะต้นยางนาให้เป็นโพรงด้วยขวานแล้วใช้ไฟสุม รุ่งเช้าน้ำยางของต้นยางก็จะไหลออกมา
นำเปลือกเสม็ดคลุกกับน้ำมันยาง ทิ้งไว้หนึ่งคืน เพื่อให้น้ำมันซึมเข้าเนื้อ แล้วจึงห่อด้วยกาบหมาก
ตากแห้งหรอื ใบเตย (หนาม) หรอื เตยนาลดิ หนามออก นำไปลนไฟแลว้ ตัดตามขนาดทตี่ ้องการมัดด้วย
เชือกเป็นเปลาะ ๆ ไต้ที่ดีต้องมีน้ำหนัก เพราะมีน้ำมันยางผสมอยู่มาก ถ้าเบาแสดงว่ามีเปลือกเสม็ด
มาก ติดไฟได้ไม่ดีนัก ในอดีต คนทั่วไปนิยมทำไต้ไว้ใช้เอง ทั้งเป็นเชื้อในการก่อไฟให้แสงสว่างในยาม
คำ่ คนื เพอ่ื ทำกิจกรรมอื่น ๆ เช่น อา่ นหนงั สือ ออกไปหากบหาปลาในท้องนา ฯลฯ โดยมากนิยมใช้ไต้
ทีม่ ีขนาดใหญใ่ นเวลาเดนิ ทางเพราะจุดไดน้ าน เป็นต้น
ในปัจจุบันภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวบ้าน เรื่องการทำไต้ หรือ ขี้ไต้ ได้ถูกลดบทบาทลงจากอดีต
เป็นอยา่ งมาก เดก็ รุ่นใหม่แทบจะไม่รจู้ กั กว็ ่าได้ เนอ่ื งจากในชว่ งปี 2514-2523 รัฐบาลมนี โยบายเรง่ รดั
ขยายไฟฟ้าสู่ชนบท เพราะต้องการนำความเจริญต่างๆไปสู่ชุมชน หมู่บ้านคลองเคี่ยม ตำบลบางงอน
อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฏร์ธานี ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ของการพัฒนาระบบไฟฟ้า จึงทำให้ประชาชน
ส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน เริ่มหันมาใช้ไฟฟ้าเพื่อให้แสงสว่างแทนการทำไต้ เพราะมีความสะดวก
และไม่ยุง่ ยาก
354
- รา่ งทรง หรือ การทรงเจา้ เข้าผี
ความเชื่อเรื่องร่างทรง เป็นความเชือ่ ที่มีอยู่ทั่วโลก ในขณะที่คนในพื้นถิ่นก็มีความเชื่อในการ
นับถือผี ความเชื่อของคนโบราณย่อมมีความแตกต่างกันตามสภาพของสังคม ในภาคใต้ร่างทรง
หรอื การทรงเจ้าเข้าผี เชื่อกันวา่ เปน็ การเชญิ เจ้าหรือเรียกผีมาเขา้ คนซึ่งเรียกว่า คนทรง เพื่อสอบถาม
เรื่องราวต่างๆ ทั้งสิ่งเกิดขึ้นในอดีตหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเช่น การทำนายโชคชะตา สอบถาม
โรคภัยไข้เจ็บ หน้าที่การงานที่ทำ ในการทรงจะต้องมีเครื่องประกอบเครื่องเซ่นไหว้ 12 อย่าง
ได้แก่ ข้าว แกงเผ็ด แกงจืด ปลาครบตัว น้ำพริก ผักเคียง ขนมโค ข้าวเหนียว ขนมถั่วตัด ขนมงา
กล้วย และออ้ ย ตามความเชอื่ ท้องถิน่ ของคนภาคใต้
จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื่องจากในอดีตมีลักษณะภูมิศาสตร์มีแม่น้ำสายหลักไหลผ่าน
คือ แม่น้ำตาปี ทำให้มีวัฒนธรรมความเชื่อที่หลากหลายที่มาพร้อมกับการเข้ามาของคนหลายพื้นที่
หากเรานึกถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี สิ่งแรกคือ จังหวัดแห่งพระพุทธศาสนา พระธาตุไชยา พระพุทธ
ทาสภิกขุ และจากท่ีกล่าวมาขา้ งต้นว่า “ความเชอื่ ของคนโบราณย่อมมคี วามแตกตา่ งกันตามสภาพ
ของสังคม”
ดังนั้นจึงทำให้หมู่บ้านคลองเคี่ยมซึง่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีวิถีชีวิตแบบพึ่งพิงธรรมชาติที่เต็มไป
ด้วยต้นยางนา รวมถึงการประกอบพิธีกรรมสิ่งลี้ลับที่ใช้ต้นยางนาเป็นตัวแทนแห่งความศักดิ์สิทธ์ิ
และแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ผ่านทางร่างทรงมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจาก มีเอกลักษณ์
การประกอบพิธกี รรมทโี่ ดดเด่นมีความเฉพาะถิ่น
- การประกอบพธิ กี รรมรา่ งทรงพอ่ ตาขนุ ยาง บา้ นคลองเค่ียม จงั หวดั สุราษฎร์ธานี
พิธีกรรมความเชื่อ เรื่องร่างทรงพ่อตาขุนยาง ที่เกิดขึ้น ณ บ้านคลองเคี่ยม หมู่ที่ 9 ต.บาง
งอน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง น่าสนใจตรงที่ว่าความเชื่อนี้
สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถึงความเช่ือ ความศรัทธา ตอ่ ส่งิ ท่ีไม่สามารถพิสูจน์ความเป็นจริงได้ ว่าเรื่องราวเหล่านี้
ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน มีความเป็นมาที่ชัดเจนอย่างไร มีเพียงคำบอกเล่าของชาว บ้านผู้เฒ่าผู้แก่
ในหมู่บ้านเพียงเท่านั้น สิ่งที่สำคัญและน่าสนใจ คือแม้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถพิสูจน์ได้
แต่ความเชื่อเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ชาวบ้าน หมู่บ้านคลองเคี่ยม ใช้เป็นที่พึ่งทางจิตใจมาในระยะเวลา
ทยี่ าวนานต้ังแต่รุน่ บรรพบุรษุ จนถงึ เวลาปจั จุบัน
355
- ประวัติพอ่ ตาขนุ ยางตามคำบอกเล่าของทายาทรา่ งทรง
พิธีกรรมนี้เกิดขึ้น เนื่องจากในหมู่บ้านมีต้นยางนา มีลักษณะ
ตน้ ใหญโ่ ตปกคลมุ รม่ ร่นื ต้งั อยู่บริเวณ ในบ้าน โดยชาวบา้ นจะเรียกว่า
ในบ้าน สาเหตุจากบริเวณที่ตั้งของต้นยางนาอยู่บนพื้นที่ของหมู่บ้าน
ดั้งเดิมในอดีตและไม่มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
มีการเข้าถงึ บูชาได้งา่ ยสะดวก ในหม่บู า้ นมีต้นยางนามากมายหลายต้น
แต่จะมหี น่ึงต้นทมี่ ีลกั ษณะสงู ใหญ่ ผดิ ความแปลกของตน้ ไม้ กระนั้นจึง
ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าต้นไม้ใหญ่ ต้นดังกล่าวมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาปกปัก
รักษาถิ่นนี้ โดยชาวบ้านจะเรียกกันว่า “พ่อตาขุนยาง” ตามคำบอก
เล่าของนางอารอบ เจริญภักดี อายุ 80ปี บุตร นายครวน เจริญภักดี
อดีตร่างทรง เล่าว่า ในสมัยเด็กๆ ประวัติของพ่อตาขุนยาง พ่อของท่านได้เล่าให้ฟังว่า เป็นมนุษย์
ท่ีเรียนรเู้ รือ่ งวิชาเกี่ยวกับไสยศาสตร์ อาศัยอยกู่ ระท่อมเล็กกลางปา่ ต่อมาเกดิ อาการแปลกประหลาด
คือ มีขนงอก มีเล็บยาวแหลมคมที่ผิดมนุษย์ลักษณะคล้ายเสือชาวบ้านจึงเชื่อกันว่าเสือเป็นตัวแทน
ของพอ่ ตาขนุ ยาง
- คำบอกเล่าจากยา่ : ศกึ ษาความเปลย่ี นแปลงจากบคุ คลรว่ มสมัย
จากคำบอกเล่าของ คุณย่าบุญช่วย เดชมณี ซึ่งเป็นคนใน
ครอบครัวของผู้ศึกษา โดยท่านมีอายุ 85 ปี นับว่าท่านเป็นคนเก่าแก่ของ
หมู่บ้านคลองเค่ียมทีจ่ ะเล่าตำนานความเป็นมาของไม้ยางนา โดยพิธีกรรม
นี้จะจัดข้ึนในวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี
สมัยทค่ี ุณย่าบญุ ชว่ ยยังเปน็ เด็ก อายุประมาณ 10 ปี บุคคลผ้ทู ถ่ี ูกเลือกเป็น
ร่างทรงจะเป็นเพศชายทั้งสิ้น คนแรกในสมัยนั้น คือ ตาชุ่ม ไม่ปรากฏ
นามสกุล,ตาจอน แพสวัสดิ, ตาครวน เจริญภกั ดี,ตาเขียว ประชุมวรรณ,ตาเขมิ รักชื่อ และในปัจจุบนั
คือ ตาสมนึก รักชื่อ โดยลำดับร่างทรงที่กล่าวมาทุกท่านล้วนเป็นหมอไสยศาสตร์ด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่ง
สะท้อนให้ชาวบ้านตา่ งพากันนบั ถืออย่างเชือ่ ใจ เพราะจากที่กล่าวมาในบทข้างต้น ตามประวัติพ่อตา
ขนุ ยาง เปน็ มนุษย์ที่เรียนรเู้ รอ่ื งวิชาเก่ยี วกับไสยศาสตร์
ในช่วงคุณย่าบุญช่วยอายุ 10 ปี ศาลของพ่อตาขุนยางมีลักษณะเป็นโครงไม้เก่า สันนิษฐาน
จากลักษณะโครงไม้ที่เป็นคำบอกเล่า คาดว่าน่าจะสร้างก่อนท่านเกิด หากเรามองย้อนกลับไป
แม้ว่าเราจะไม่สามารถกำหนดอายุของพิธีกรรมได้อย่างชัดเจนแต่จากหลักฐาน พิธีกรรมต้องปรากฏ
356
ก่อนช่วงทศวรรษ 2480 อย่างแน่นอนเนื่องจากเป็นศาลพ่อตาขุนยางหลังแรกที่ท่านพบเห็น
เมื่อกาลเวลาผ่านไปสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยเพื่อให้เกิดคว ามมั่นคง
แขง็ แรง จึงไดร้ บั การบูรณะคร้ังใหม่จากผูใ้ หญ่บา้ นในสมยั ของนายธวตั ชัย เดชมณี ชว่ งปี พ.ศ. 2552
ภาพแสดงต้นยางนาในหมบู่ ้าน ภาพแสดงศาลพ่อตาขนุ ยางหลงั เกา่
แต่เดิมการทำพิธีกรรมนี้ในอดีตชาวบ้านในหมู่บ้านและหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงจะมีการมา
เข้าร่วมพิธีกรรมกันในวันดังกล่าว ในอดีตเมื่อยังเป็นศาลหลังเก่า ชาวบ้านจะมีการนั่งกันบริเวณพื้น
ทรายข้างจอมปลวกและมีการประกอบพิธีสงฆ์ตามศาสนาพุทธ หลังจากเสร็จพิธีจะมีก่อกองทราย
ดอกไม้เพอื่ เป็นสริ ิมงคลแกช่ ีวิตและคนในครอบครัว
สำหรับในปจั จบุ นั ซึ่งผู้แต่งก็ไดเ้ ข้าร่วมพธิ กี รรมนี้มาต้ังแตจ่ ำความได้เช่นกัน นบั ได้ว่าพิธีกรรม
นี้มปี ระสบการณ์ด้วยตนเองโดยตรง โดยพิธกี รรมน้ใี นรงุ่ เช้าของวนั จัดพธิ ี ผู้นำหม่บู ้านและชาวบ้านจะ
มีการช่วยกนั ทำความสะอาดบรเิ วณศาลพอ่ ตาขุนยาง ในชว่ งบ่ายก็เรม่ิ เข้าสูพ่ ธิ ีกรรมโดยตรง
เคร่ืองเซ่นไหวแ้ ละการประกอบพิธกี รรมร่างทรง
ตามพืน้ ฐานความเชื่อท้องถิ่น
ในส่วนของเครื่องเซ่นไหว้พ่อตาขุนยางจะมีการนำไก่ เครื่องในไก่
ไข่ เหล้า และเครื่องเซ่นไหว้ 12 อย่างด้วยกัน ได้แก่ ข้าว แกงเผ็ด
แกงจืด ปลาครบตัว น้ำพริก ผักเคียง ขนมโค ข้าวเหนียว ขนมถ่ัว
ตดั ขนมงา กล้วย และอ้อย
357
ภาพแสดงพิธกี รรมรา่ งทรงพ่อตาขุนยาง ภาพแสดงการขบั รอ้ งคำเชญิ เรยี กพ่อตาขนุ ยาง
หลังจากนั้นจะมีการกล่าวคำเชิญคาถาบูชาเรียกพ่อตาขุนยาง เพื่อประกอบพิธีใน เรื่องร่าง
ทรง ชาวบ้านทุกวัยไม่ว่าจะเป็นวัยแก่ วัยกลางคน หรือแม้กระทั่งวัยเด็ก ต่างก็มารวมตัวช่วยกัน ขับ
ร้องคำเชิญเรียกพ่อตากันอย่างเสียงดังกึกก้องอย่างน่าอัศจรรย์ใจ หลังจากพ่อตาขุนยางประทับร่าง
ทรง สิ่งแรกที่ท่านทำคือ การตรวจความเรียบร้อยของเครื่องเซน่ ไหว้ท้ัง 12 อย่างว่าจัดเตรียมถกู ต้อง
หรือไม่ โดยมี ดาบ เป็นอาวุธของพ่อตาขุนยาง ต่อไปก็จะรับเครื่องเซ่นไหว้สิ่งแรกที่รับคือ เหล้า ซึ่ง
ชาวบ้านเชือ่ กันวา่ เปน็ ของโปรดของพ่อตาขนุ ยาง และชาวบ้านก็จะมกี ารถามถึงการประกอบพิธีกรรม
ในขั้นต่อไป ทเี่ รยี กว่า พธิ สี ่งพ่อตาและพธิ ีกรรมส่งหาบส่งคอน วา่ ทา่ นตอ้ งการกำหนดให้ทำวันอะไร
ใช้หมากพลูกี่คำ รวมถึงการตั้งกากไม้ไผ่ที่บันไดบ้านว่าต้องทำกี่ชั้น และสุดท้ายก็เริ่มจะให้ชาวบ้าน
สอบถามเก่ียวกับเร่อื งต่างๆ เช่น โรคภยั ไขเ้ จบ็ หรือ ความทุกข์ทมี่ องไมเ่ หน็
ภาพแสดงพิธกี รรมสง่ หาบส่งคอน (ลกั ษณะใกล้เคยี ง)
ที่มา: https://www.museumthailand.com
358
หลังจากทราบวันจัดพิธีกรรมส่งหาบส่งคอนจากพ่อตาขุนยางแล้ว พิธีกรรมนี้ตามความเช่ือ
ของชาวบ้านในพนื้ ท่ีจะมีการปัน้ แป้งด้วยแป้งข้าวเหนียวในลักษณะของรูปคน เรียกว่า เสียรูปต่างตัว
พร้อมด้วยการใส่เส้นผม เล็บ เศษผ้า โดยการนำใส่ในใบตองที่ทำขึ้นเป็นฐานรอง และจะนำไปตั้งใน
บรเิ วณท่ีทำพิธกี รรมน้ี คือ บริเวณทางรถไฟ โดยพิธีกรรมนี้ชาวบา้ นเช่ือว่าเป็นการให้พอ่ ตาขนุ ยาง นำ
ของท่ีไม่ดี ส่งิ ช่ัวรา้ ย โรคภยั ไขเ้ จ็บไปจากตน
ภาพแสดงพิธกี รรมการสวดบ้าน
ในรุ่งเช้าของวันรุ่งขึ้นก็จะการทำพิธีสงฆ์ตามศาสนาพุทธ โดยชาวบ้านจะเรียกพิธีกรรมนี้วา่
การสวดบ้าน บ้านในที่นี้หมายถึง พื้นที่ทั้งหมดในหมู่บ้านเพื่อเสริมสิริมงคลแก่ผู้ที่อยู่อาศัย ซึ่ง
ชาวบ้านจะมีการนำปิ่นโตมาถวายแด่พระสงฆ์ หลังจากเสร็จพิธีกรรมสงฆ์ก็จะร่วมกันรับประทาน
อาหาร หลังจากน้นั ถอื ได้ว่าเปน็ การเสรจ็ สิน้ พธิ ีกรรมภายในปีดังกล่าว
- “ไมเ่ ช่ืออย่าลบหลู่” : เหตกุ ารณพ์ ินาศของบคุ คลผู้ลบหลู่
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายคำว่า ลบหลู่ ไว้ว่า
แสดงอาการเหยียดหยามต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือต่อผู้มีอุปาการคุณโดยถือว่าไม่สำคัญควรแก่การเคารพ
นบั ถอื เชน่ ลบหลู่ สง่ิ ศักด์ิสทิ ธ์ิของศาสนาท่ีตนไมไ่ ด้นบั ถือ ลบหลู่พ่อแมค่ รบู าอาจารย์
“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” หนึ่งในประโยคคลาสสิกที่เรามักได้ยินอยู่บ่อยครั้งเมื่อมีการกระทำ
พิธีกรรมใดพิธีกรรมหนึ่งไม่วา่ จะเป็นชุมชนขนาดใหญ่หรอื ขนาดเล็กก็ตามทีป่ ระกอบด้วยผูค้ นจำนวน
มาก เราไม่อาจเถียงได้เลยวา่ เมือ่ มีผู้คนจำนวนมากส่ิงที่ตามมาคือความคิดเห็นที่หลากหลาย คติพจน์
นี้ใชก้ ล่าวอา้ งกนั มาต้ังแตโ่ บราณ และเชอ่ื ได้ว่าทกุ คนเคยได้ยินได้ฟงั และอาจเคยนำมาใชก้ ันหลายครั้ง
ในชีวิต ซึ่งโดยความหมายอาจจะเป็นแค่การห้ามปรามคนที่คึกคะนองไม่เชื่อในสิ่งที่คนทั่วไปเช่ือ
ไม่กราบไหว้ในสิ่งที่คนทั่วไปกราบไหว้ ถ้าหากลบหลู่สิ่งเหล่านั้นแล้วชีวิตจะตกต่ำ บาดเจ็บหรือ
359
อาจจะถึงขั้นตายก็ได้ทั้งนี้ อาจขยายความได้อีกว่า ไม่ควรไปลบหลู่ความเชื่อของคนอื่น หรือพูดอีก
อย่างหนึ่งก็คืออย่าลบหลู่คนอื่น เพราะเขาเชื่ออะไรที่เราไม่เชื่อ แต่การที่เราไม่เชื่อหรือเห็นเป็นเรื่อง
เหลวไหลกไ็ ม่เป็นไร เพยี งแต่ไมพ่ ึงแสดงออกในลกั ษณะลบหลคู่ นท่เี ขาเชื่อ
จากคำบอกเล่าของ นางชั๊ว สุขวิทย์ อายุ 85 ปี
ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ของหมู่บ้าน ที่รุ่นราวคราวเดียวกับคุณย่าบุญ
ช่วย ได้เล่าเหตุการณ์พินาศของบุคคลที่มีความท้าทาย
และลบหลู่ ความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อตาขุนยางอย่างตรงกันที่ว่า
ตาจอน แพสวัสดิ์ หนึ่งในร่างทรงพ่อขุนยางได้เกิดการลบหลู่
โดยตามคำบอกเล่ามีประโยคที่ว่า พ่อตาไม่มีตา มีแต่หู ในขณะ
วันประกอบพิธี ตาจอนได้มีการนำของเซ่นไหว้ที่ไหว้บรรพบุรุษ
ที่บ้านของตนแลว้ นำกลับมาใช้ซ้ำเพ่ือการประกอบพิธีกรรมร่าง
ทรง ในวันเดียวกันท่านทั้ง 2 เล่าว่า ตาจอนโดนพ่อตาจับ
คำว่าจับในภาษาถิ่น แปลว่า การเข้าร่างทรงเพื่อการลงโทษ
ทำให้เกิดอาการทำร้ายตัวเอง โดยการทุบตีใบหนา้ จนเลือดกระเด็น ในวันนั้นพิธีกรรมได้เกิดโกลาหล
เป็นอย่างมาก ผู้คนตื่นตกใจ แต่หากเมื่อพ่อตาปล่อยแล้ว ตาจอนผู้นั้นก็เป็นรับหน้าที่ร่างทรง
ต่อในปีเดียวกันจนถึงเสียชีวิต หลังจากนั้นในหมู่บ้านคลองเคียมก็ไม่ปรากฏเหตุการณ์การลบหลู่
พอ่ ตาขนุ ยางอีกเลย
สรปุ ผลการศึกษา
ในแทบทุกภาคของประเทศไทยพิธีกรรมและความเชื่อเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันกับชาวบ้านมา
อย่างเนิ่นนาน นบั ได้วา่ พิธีกรรมความเช่ือท่เี กดิ ขึ้นภายในพ้ืนทบ่ี ริเวณนั้นๆ ลว้ นมีลักษณะท่ีเป็นความ
เฉพาะตัว และสอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิตของคนในพ้ืนท่นี ้ันๆ จากการศึกษาความเช่ือในท้องถ่ิน
ของคนพื้นที่ หมู่บ้านคลองเคี่ยม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ข้อสรุปว่า หมู่บ้านคลองเคี่ยมซึ่งในอดีต
เปน็ หมู่บา้ นเลก็ ๆ มีวิถีชีวิตแบบพ่ึงพิงธรรมชาติทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยต้นยางนา รวมท้ังมีการประกอบพิธีกรรม
สิ่งลี้ลับที่ใช้ต้นยางนาเป็นตัวแทนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ และแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ผ่านทางร่างทรง
พิธีกรรมร่างทรงพ่อตาขุนยางที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านคลองเคี่ยม ตำบลบางงอน อำเภอพุนพิน
จังหวัดสุราษฎร์ธานี จะมีลักษณะที่โดดเด่นเฉพาะถิ่น เห็นได้ชัดคือ มีบทกลอนคำร้องเชิญที่สื่อถึง
บรบิ ทสังคมในช่วงเวลาน้นั การเตรียมของเซน่ ไหว้ ทุกสง่ิ ล้วนท่กี ล่าวมา หากมองในทศั นะของผู้ศึกษา
360
ในฐานะ คิดว่าการจินตนาการสร้างสิง่ ลี้ลับเป็นตัวแทนของความสงบสุข ก็เพื่อเป็นความสบายใจของ
บุคคลในพ้นื ที่ให้ดำรงชีวิตไดอ้ ย่างมคี วามสุข
เรื่อง พุทธ พราหมณ์ ผี ในพิธีกรรมยางนา : กรณีศึกษารา่ งทรงพ่อตาขุนยาง บ้านคลอง
เคี่ยม จ.สุราษฎร์ธานี ที่ผู้แต่งได้นำพิธีกรรมความเชื่อในหมู่บ้านของตนเองมานำเสนอในรูปแบบ
บทความทางวิชาการ อันเนื่องมาจาก ผู้แต่งอยากที่จะนำเสนอความคิด ความเชื่อของผู้คนในทอ้ งถิ่น
ที่มีความผูกพันกันธรรมชาติต้นไม้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่เหนือธรรมชาติและไม่อาจสามารถพิสูจน์
ข้อเท็จจรงิ ได้ เพ่ือใหผ้ ้ทู ส่ี นใจไดเ้ ขา้ ใจในพธิ กี รรมทอ้ งถ่นิ เรื่องนี้มากยิ่งข้นึ
พมิ พช์ นก เดชมณี
19 กรกฎาคม 2565
ข้อมูลสมั ภาษณ์
นางบญุ ชว่ ย เดชมณี อายุ 85 ปี บา้ นเลขท่ี 115 หมู่ที่9 ตำบลบางงอน อำเภอพนุ พนิ จงั หวดั
สุราษฏรธ์ านี ,
สมั ภาษณ์ 5 กรฎาคม 2565 .
นางชวั๊ สุขวทิ ย์ อายุ 85 ปี บ้านเลขที่ 110 หมู่ท9ี่ ตำบลบางงอน อำเภอพนุ พิน จงั หวัดสรุ าษฏรธ์ านี
สัมภาษณ์ 5 กรกฎาคม 2565.
นางอารอบ นวลอินทร์ อายุ 80 ปี บ้านเลขที่ 213 หมู่ที่9 ตำบลบางงอน อำเภอพุนพิน จังหวัด
สุราษฏร์ธานี
สัมภาษณ์ 6 กรกฎาคม 2565.
นางสาวปราณี กล่องทอง อายุ 63 ปี บ้านเลขที่ 31 หมู่ที่9 ตำบลบางงอน อำเภอพุนพิน จังหวัด
สุราษฏร์ธานี
สมั ภาษณ์ 6 กรกฎาคม 2565.
361
นายธวัตชัย เดชมณีอายุ 59 ปี บ้านเลขที่ 32/1 หมู่ที่9 ตำบลบางงอน อำเภอพุนพิน จังหวัด
สุราษฏร์ธานี ,
สัมภาษณ์ 7 กรกฎาคม 2565.
นางวลิ านี ชุมแก่น อายุ 51ปี บ้านเลขท่ี 22 หมู่ท่9ี ตำบลบางงอน อำเภอพุนพนิ จังหวัดสรุ าษฏร์ธานี
,
สมั ภาษณ์ 7 กรกฎาคม 2565.
นางแก้วตา จันทร์เพ็ง อายุ 51 ปี บ้านเลขที่ 213 หมู่ที่9 ตำบลบางงอน อำเภอพุนพิน จังหวัด
สุราษฏร์ธานี
สัมภาษณ์ 7 กรกฎาคม 2565.
นางวิลาวัลย์ เจริญสุข อายุ 50 ปี บ้านเลขที่ 25 หมู่ที่9 ตำบลบางงอน อำเภอพุนพิน จังหวัด
สรุ าษฏรธ์ านี
สมั ภาษณ์ 7 กรกฎาคม 2565.
นายสถาพร เดชมณี อายุ 47 ปี บ้านเลขที่ 115 หมู่ที่9 ตำบลบางงอน อำเภอพุนพิน จังหวัด
สุราษฏร์ธานี
สมั ภาษณ์ 7 กรกฎาคม 2565.
บรรณานกุ รม
ความหมายของคำวา่ ' ลบหลู่ ' : พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕.
กรุงเทพมหานคร: สำนกั งานราชบณั ฑิตยสภา, สืบค้นเม่ือ 08 กรกฎาคม 2565, จาก
https://dictionary.orst.go.th/
คนข่าว 2499. พ่อแม่บอก ไม่เชื่ออย่าลบหลู่. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ บุ๊คส์เอ็กเพรส, สืบค้น
เม่ือ 09 กรกฎาคม 2565, จาก https://www.mebmarket.com
362
จฑุ ามาศ ล้มิ รัตนพันธ์. (2564).ไต้ : ฐานขอ้ มลู เครอ่ื งมอื เคร่อื งใชพ้ น้ื บ้าน. กรุงเทพมหานคร:
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), สืบค้นเมื่อ 06 กรกฎาคม 2565, จาก
https://www.sac.or.th.
ณทรัตน์จฑุ า ไชยสวัสดิ์,(2562)“ความเชอ่ื เร่อื งวญิ ญาณบรรพบรุ ุษของคนไทยถนิ่ ใต้ : ผี เปรต และ
เทวดา”, ววิ ธิ วรรณสาร.
ยโสธารา ศิรภิ าประภากร, “ความเช่อื ในพิธีกรรมการเขา้ ทรงของชาวพทุ ธ : กรณศี ึกษาชมุ ชน
บา้ นศาลา สามัคคี ตำบลบ้านชบ อำเภอสงั ขะ จังหวัดสุรนิ ทร์”,บัณฑิตวิทยาลยั :
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.
เลิศชาย ศริ ิชัย.(2560).โครงการยวุ วิจัยประวตั ศิ าสตรท์ ้องถิ่นภาคใต้: นครศรธี รรมราช:
มหาวิทยาลัยวลยั ลักษณ์.
อาสาม.(2564). ขุดรากความเช่อื "รา่ งทรง" สืบทายาทเฉพาะ "ผู้หญิง" กับจารึก 1,800 ป:ี
ไทยรฐั ออนไลน์ กรุงเทพมหานคร: ไทยรัฐ กรปุ๊ , สบื ค้นเมือ่ 09กรกฎาคม 2565, จาก
https://www.thairath.co.th
363
การสร้าง “พ้นื ที่” และ “ตัวตน” อทุ ยานประวัตศิ าสตร์พระนครศรอี ยุธยา
ระหวา่ ง พ.ศ. 2534 – 2540
Creation of “area” and “identity” in Ayutthaya Historical Park during
1991 – 1997
กติ ิชยั กล่ำอยู่1 | Kitichai Klumyoo
บทคัดย่อ
บทความวิชาการนี้มีจุดมุ่งหมายที่ศึกษาการสร้าง “พื้นที่” และ “ตัวตน” ของอุทยาน
ประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. 2534 – 2540 อันเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ได้รบั การขึน้
ทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจาก UNESCO และรอยต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยอาศัย
กลไกหรือเครื่องมือสำคัญ คือ ความรู้ ความสำคัญของทรัพยากรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
และความทรงจำต่อประวัติศาสตร์อยธุ ยาในฐานะประวัติศาสตรช์ าติไทย ทง้ั หมดนกี้ ลายเป็นส่วนหนึ่ง
ในการกำหนด “พื้นที่” ในฐานะแหล่งสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวโบราณสถาน
ขณะที่ “ตัวตน” เน้นย้ำความเจริญรุ่งเรืองของอดีตราชธานีและความศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่ทาง
ประวัติศาสตร์ โดยที่ทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำหนดหรือการควบคุมของหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการ
สรา้ งพืน้ ทีป่ ระวัติศาสตร์อันเช่ือมโยงกับการสร้างอุดมการณ์รัฐ และความเปน็ เมืองมรดกโลกให้เป็นที่
รับรู้ต่อประชาชนและชาวต่างชาติ ในการสะท้อนภาพความรุ่งเรืองในอดีตและปลูกฝังจิตสำนึกอันดี
ตอ่ สังคม รวมทั้งการสง่ เสริมภาพลักษณ์ ความงดงามในอดีตของไทยในสายตาชาวตา่ งชาติ
คำสำคญั : การสรา้ งพน้ื ที่ การสร้างตวั ตน อุทยานประวัติศาสตรพ์ ระนครศรีอยุธยา
1 นักศึกษาสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยธุ ยา
364
Abstract
This academic article aims to study the creation of “Area” and “Identity” of
Ayutthaya Historical Park between 1991 and 1997, which was an important period that
was registered as a World Cultural Heritage by UNESCO and interface promotion of
tourism using a mechanism or important tools are knowledge and importance of
resources in the tourism industry and memories of the history of Ayutthaya as a Thai
national history. All of this became a part of defining “Area” as a source of economic
income through tourism, while “Identity” emphasizes the prosperity of the former
royal capital and the sanctity of the historical site. All under the government agencies
designation and control, aspiring to connected historical area to the state ideology,
public and foreigners awareness on the world heritage city, reflecting prosperity of the
past and cultivate conscience social, image promoting and Thailand elegancy in the
eyes of foreigners.
Keywords: creating space, identity formation, Phra Nakhon Si Ayutthaya Historical Park
365
บทนำ
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนบัญชีมรดกโลก
เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ณ กรุงคาร์เธจ ประเทศตูนีเซีย โดยองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์
และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ส่งผลต่อการเป็นแหล่งท่องเที่ยว
เชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ตอบสนองนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงการท่องเที่ยว
ของภาครัฐจากการอาศัยโบราณสถานหรือสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นทรัพยากรทาง
เศรษฐกิจในการสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ ขณะเดียวกันกลายเป็นสิ่งที่ภาครัฐโดยเฉพาะอย่างย่ิง
กรมศิลปากรเข้ามามีบทบาทในการอนุรักษ์และบูรณปฏิสังขรณ์แหล่งโบราณสถานควบคู่ไปกับ
การสร้าง “พื้นที่ประวัติศาสตร์” แบบใหม่ทั้งการนำเสนอภาพลักษณ์สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือสถานที่
สำคัญต่อประวัติศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะพื้นที่เขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ถือเป็นจุด
การท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื่องด้วยตั้งบริเวณใกล้กับบริเวณพระราชวั ง
โบราณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ บึงพระราม วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ ฯลฯ ประกอบกับพ.ศ. 2534 –
2540 เป็นช่วงเวลาที่มีการส่งเสริมการท่องเที่ยว การบูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถาน การเป็นเมือง
มรดกโลกของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและความขัดแย้งจากการเข้ามาควบคุมจัดการของภาครัฐ
ส่งผลต่อคนในท้องถิ่น จึงทำให้บริเวณดังกล่าว มีความหลากหลายที่สำคัญต่อการสร้างการรับรู้
ความทรงจำ และการแหล่งท่องเที่ยวของภาครัฐ ตรงกันข้ามเป็น “พื้นที่ประวัติศาสตร์” ของผู้คนที่
เข้ามาใช้ประโยชน์ต่อพื้นที่ดังกล่าวจนนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างภาครัฐและท้องถิ่น ทั้งในแง่
ของการเป็นแหล่งร้านค้าขายของ การท่องเที่ยว ตลอดจนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใจกลางเกาะเมือง
พระนครศรีอยธุ ยา
การสร้าง “พื้นทป่ี ระวตั ศิ าสตร์” บรเิ วณอทุ ยานประวตั ิศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
“พื้นที่ประวัติศาสตร์” ในที่นี้นิยามหมายถึง อาณาบริเวณที่ต้องสร้างบนพื้นที่แห่งหน่ึง
ผ่านการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาไม่ได้เกิดขึ้นจากการจัดแบ่งขีดเส้นบนแผนที่เท่านั้น
แต่อาศัยเทคนิควิทยาการต่าง ๆ ทั้งการอนุรักษ์ พัฒนา จัดระเบียบและควบคุมอาณาบริเวณพื้นที่
ภายใต้เขตโบราณสถานผ่านหน่วยงานราชการจนสามารถประกอบสร้างเป็นภาพตัวแทนของ
“พื้นที่ประวัติศาสตร์” หรือ “แหล่งความทรงจำ” เพื่อให้สังคมในปัจจุบันสามารถรำลึกถึงช่วงเวลา
ทางประวัตศิ าสตร์ชาติทีเ่ คยดำรงอยูใ่ นอดีตใหก้ ลับมาปรากฏตวั ตนทีช่ ดั เจนผ่านการสร้างการรับร้ขู น้ึ
ใหม่ เช่น พิพิธภัณฑ์ อนุสรณ์สถาน งานประเพณี ฯลฯ (ขจรจบ กุสุมาวลี, 2542 : 6 และ 49)
เช่นเดียวกันกับบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาถือว่าเป็น “พื้นที่ประวัติศาสตร์”
366
เนื่องจากบริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของพระราชวังโบราณกับศาสนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ภายในเกาะ
เมืองพระนครศรีอยุธยา เช่น วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ วัดพระราม วิหารพระมงคลบพิตร เป็นต้น
จึงทำให้บริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความรับรู้หรือความทรงจำฐานะ
“นครแห่งประวัติศาสตร์” ภายหลังการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลกของนครประวัติศาสตร์
พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญโดยเฉพาะการ
พัฒนาและการอนุรักษ์โบราณสถานภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา กล่าวคือ จุดเริ่มต้น
ความก้าวหน้าสำหรับการอนุรักษ์โบราณสถานในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ที่มุ่งเน้นความสำคัญ
แก่เน้นการพัฒนาแบบยั่งยืนที่ต้องอำนวยประโยชน์จากการอนุรักษ์โบราณสถานกับประโยชน์
ทางด้านเศรษฐกิจส่งผลต่อประชาชนในท้องถิ่น เพื่อให้สามารถรักษาบรรยากาศความเป็นเมือง
โบราณควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชนเมืองปัจจุบัน จึงเป็นลักษณะการอนุรักษ์เมืองประวัติศาสตร์
ให้เป็นเมืองที่มีชีวิต (พัฑร์ แตงพันธ์, 2555 : 184 และ194 – 195) ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดโครงการ
อนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาครั้งแรกภายหลังการขึ้นทะเบียนเป็นมรดก
โลก ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัยจากการรับมติแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนา
นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2536 จึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงต่อการจัดการ
“พน้ื ทปี่ ระวตั ิศาสตร์”
อย่างไรก็ตามการสร้าง “พื้นที่ประวัติศาสตร์” ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์
พระนครศรีอยุธยา ภายหลังไดร้ บั ข้ึนทะเบียนเป็นมรดกโลก หน่วยงานภาครัฐได้สร้างองค์ความร้ใู หม่
จากงานเขียนต่าง ๆ ดังเช่น วารสารศิลปากร แผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนานคร
ประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา หนังสือนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ตลอดจนหนังสือจาก
หน่วยงานราชการต่าง ๆ ตีพิมพ์งานเขียนจำนวนมากมุ่งให้ความสำคัญไปที่หอสมุด ห้องสมุด
ประชาชน สถาบันการศึกษา และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความรู้เผยแพร่ทางด้าน
ศิลปะและวัฒนธรรม โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาที่กลายเป็นแหล่งประชาสัมพันธ์ให้สังคมตระหนัก
ในความสำคัญของการเปน็ เมืองมรดกโลก ทัง้ นี้ด้วยจดุ มุง่ หมายทส่ี ำคัญคือ การยกย่องคุณค่าในมรดก
ทางวฒั นธรรมของประเทศทป่ี ระชาชนคนไทยควรตระหนัก ภาคภมู ิใจท่ีตอ้ งช่วยกันดูแลปกป้องรักษา
ให้เหมาะสม และให้สมควรแก่ที่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกทางวฒั นธรรมที่มีประวัติศาสตร์และอารย
ธรรมของชาติสามารถแสดงความโดดเด่นของพื้นที่ต่อการเชิดชูเอกลักษณ์ไทยระดับเวทีโลก (สุรพล
ดำรหิ ์กลุ , 2534 : บทบรรณาธิการ ; พัฑร์ แตงพันธ์, 2555 : 197 และขจรจบ กุสมุ าวลี, 2542 : 38 –
39)
367
ดังนั้น ในช่วง พ.ศ. 2534 – 2540 ส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่งานเขียนจากหน่วยงานราชการ
เผยแพร่ลงไปสู่สถาบันการศึกษา ทำให้สถาบันการศึกษากลายเป็นกลไกสำคัญของภาครัฐต่อการ
สร้างองค์ความรู้ทางวิชาการควบคู่ไปกับการส่งเสริมศิลปกรรมในท้องถิ่น รวมถึงการอนุรักษ์
สิ่งแวดล้อมฐานะมรดกโลกหรือพื้นที่บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาผ่าน 2 แห่ง
ได้แก่ สถาบันราชภัฏพระนครศรอี ยุธยากับสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพระนครศรีอยุธยา
วาสุกรีดำเนินการบทบาทส่งเสริมการอนุรักษ์แหล่งศิลปกรรมในเมืองพระนครศรีอยุธยา โดยเฉพาะ
การเผยแพร่ความรู้ด้านวิชาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิง่ แวดล้อมศิลปกรรมท้องถ่ิน เช่น การสนับสนุน
ร่วมกับมหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตรใ์ นโครงการสบื สานวฒั นธรรมไทยเร่อื ง มรดกกรุงศรีอยุธยา : สบื สาน
เอกลักษณ์ไทย พ.ศ. 2539 หรือการจัดประชุมสัมมนาเรื่อง บทบาทผู้นำชุมชนในการอนุรักษ์
สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมท้องถิ่น พ.ศ. 2537 รวมทั้งการจัดทำวารสารทางวิชาการราชภัฏกรุงเก่า
ฉบับแรกใน พ.ศ. 2537 เพื่อจุดมุ่งหมายสำคัญคือ การประชาสัมพันธ์กิจกรรมของสถาบันราชภัฏ
พระนครศรีอยุธยา
เนื่องในโอกาสการที่กรุงเก่าได้รับการขึ้นเป็นทะเบียนมรดกโลกประกอบกับการได้รับช่ือ
พระราชทานนาม ราชภัฏจึงเป็นเสมอื นสถาบันการศึกษามุ่งเนน้ การส่งเสริมและการสนับสนุนพฒั นา
อนุรักษ์ศิลปกรรมทอ้ งถิ่น เป็นต้น (อนันต์ รัตนภานุศร, 2537 : บทบรรณาธิการ และพัฑร์ แตงพันธ์,
2555 : 196 – 197) และวารสารตรมี ุขของภาควิชาการสอ่ื สารและการประชาสัมพันธ์ คณะวิทยาการ
จัดการ สถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา เป็นวารสารสำคัญมุ่งเน้นการนำเสนอต่อการเรียนรู้
ความหลากหลายทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ การท่องเที่ยวภายในจังหวัด
พระนครศรีอยุธยานับเป็นวารสารอีกฉบับที่ทำหน้าที่เผยแพร่ความรู้ด้านการท่องเที่ยว การวิจารณ์
ต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยว รวมถึงกระตุ้นการนำเสนอให้เข้าใจในความเป็นไทย
ท่ีมีอดีตอย่างยาวนานใหเ้ ป็นที่รบั รู้แกผ่ ู้คนภายในและภายนอกจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา (มนัส โมลา,
2536 : บทบรรณาธกิ าร)
นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทยร่วมมือกับสถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา และสมาคมไทย
– ญี่ปุ่นจัดตั้งสถาบันวิจัยประวัติศาสตร์อยุธยาหรือศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยาที่ก่อตั้งวันที่ 22
สิงหาคม พ.ศ. 2533 ได้ริเริ่ม การร่างโครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยประวัติศาสตร์อยุธยา พ.ศ. 2536
เพื่อทำหน้าที่วิจัยแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการพร้อมกับจัดพิมพ์งานวิจัยเผยแพร่ ระหว่างประเทศ
ไทยกับประเทศญี่ปุ่นทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีในประเทศไทยพร้อม
กับยกระดับให้เป็นสถาบันทางวิชาการระดับชาติ กล่าวคือ มุ่งหมายของศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์
อยุธยาต้องการให้เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ – ห้องสมุดต่อการศูนย์กลางข้อมูลสำหรับการศึกษา
368
หรือการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อยุธยา จากการทำงานวิจัยประวัติศาสตร์ โบราณคดี
และวัฒนธรรมเป็นชุมชนทางวิชาการ การจัดแสดงนิทรรศการทันสมัยให้สัมพันธ์กับความเมือง
ประวัติศาสตรอ์ ยุธยาทัง้ การจำลองอาคาร สถานที่ ชุมชน และโบราณวัตถุที่ปรากฏตามหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์พร้อมกับการอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยการสร้างภาพเสมือนในอดีตขึ้นมาใหม่
โดยที่สถาบันวิจัยประวัติศาสตร์อยุธยาภายใต้การดูแลผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
และคณะกรรมการสถาบันวิจัยร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการประวัติศาสตร์ – โบราณคดี
(กองบรรณาธกิ าร, 2537 : 48 – 51 และสถาบนั ราชภฏั พระนครศรีอยุธยา, 2540 : 23) ดว้ ยเหตุนที้ ำ
ให้หน่วยงานราชการเข้ามามสี ่วนร่วมกับสถาบนั การศกึ ษาต่อการสร้างภาพจำลองเมืองกรุงศรีอยุธยา
ผ่านงานเขียนหรือการส่งเสริมงานวิชาการเพื่อทำให้เห็นภาพประวัติศาสตร์อยุธยาที่มีความ
เจริญรุ่งเรืองนับเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าโดดเด่นจนยอมรับทั่วโลกโดยเฉพาะการเป็น
ตัวแทนการสร้างสรรค์ แม่แบบ เอกลักษณ์ที่โดดเด่นทั้งผังเมือง สถาปัตยกรรม และสภาพพื้นที่ตั้ง
(คณะกรรมการมรดกโลก, 2534 : 46 – 48)
ผลจากการสร้างพื้นที่ความรู้ใหม่ผ่านหน่วยงานราชการอย่างกระทรวงมหาดไทย
กรมศิลปากร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและสถาบันการศึกษา ส่งผลต่อบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์
พระนครศรีอยุธยา กลายเป็นหมุดหมายที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างพื้นที่ความทรงจำ แหล่ งการ
เรียนรู้ ตลอดจนความสำคญั ที่มตี ่อประวัตศิ าสตร์ชาติ จะเห็นได้จากริเริม่ โครงการอนุรักษ์และพัฒนา
นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยเริ่มต้นตรงบริเวณดังกล่าวว่าเป็นพื้นที่มีความสำคัญทาง
ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมสูงสุดทั้งในระดับชาติและระดับโลก แสดงถึงประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์
ของกรุงศรีอยุธยาเสมือนเป็นทรัพย์สินทางการศึกษาค้นคว้า การวิจัยทางสังคม – วัฒนธรรม
และการท่องเที่ยว (กรมศิลปากร, 2533 : 53) ผ่านการกำหนดตำแหน่งโบราณสถานในเขตอุทยาน
ประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จากทั้งหมด 95 แห่ง ล้วนเป็นสถานที่มีอยู่ในบริเวณรอบอุทยาน
ประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เช่น พระราชวังโบราณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดธรรมิกราช วัดราช
บูรณะ วัดมหาธาตุ เจดีย์เจ้าอ้ายเจ้ายี่พระยา ฯลฯ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดเริ่มแรกในการสำรวจ
ทำแผนผัง ขุดแต่ง รวมทั้งการบูรณะโบราณสถาน เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อมรดกทางวัฒนธรรม
ของชาติ ความจำเป็นในการปรับปรุงอนุรักษ์โบราณสถานกลายเป็นหน้าที่สำคัญของกรมศิลปากร
ต่อการกำหนดพื้นที่โบราณสถาน เนื่องจากบริเวณใจกลางเมืองเก่าอยุธยามีความสำคัญสูงสุด
ประกอบด้วยพระบรมมหาราชวัง พระอารามหลวง ซากอาคารที่สำคัญต่ออดีตมากมาย จึงทำให้
บริเวณดังกล่าวต้องปฏิบัติระมัดระวังจากการศึกษาค้นคว้า การเตรียมการ การวางแผนงาน
อย่างระมัดระวัง เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อโบราณสถานฐานะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์
369
และอารยธรรมของชาติ (กรมศิลปากร, 2533 : 44) สอดคล้องกับการให้ความสำคัญบริเวณ
พระราชวงั โบราณภายใตส้ ำนักงานโครงการนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา อธบิ ายความสำคัญ
บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กล่าวคือ เป็นสถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์
การประกอบใช้พระราชพิธีต่าง ๆ รวมไปถึงเป็นสถานที่ต้อนรับแขกเมืองสำคัญมาตั้งแต่ในอดีต
เห็นได้จากการอธิบายลักษณะผังเมืองบริเวณพระราชวังโบราณที่แบ่งพื้นที่ออกเป็นแปลงสี่เหลี่ยม
ขนาดเล็กจำนวนมากอย่างเป็นระเบียบ เหมาะสำหรับการออกแบบเป็นเมืองน้ำที่เกิดจากความรู้
และประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากธรรมชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ภายใต้โครงการดังกล่าวเป็นการ
พยายามจัดกิจกรรมพิเศษ เพื่อส่งเสริมนักเรียน นิสิตนักศึกษา รวมถึงกลุ่มประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับ
การบูรณะปฏิสังขรณ์และรักษาศิลปวัฒนธรรม ผ่านการเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ
ประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาแก่ผู้เข้าชมด้วยเช่นกัน (สำนักงานโครงการนครประวัติศาสตร์
พระนครศรอี ยธุ ยา, 2539 : 9 และ37 ; กรมศิลปากร, 2533 : 16 และกรมศลิ ปากร, 2537ข : 39)
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้โครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
จึงริเริ่มการบูรณะปฏิสังขรณ์โบราณสถานโดยเฉพาะพระราชวังโบราณและศาสน สถานจำต้องอาศัย
องค์ความรู้ทางโบราณคดีเป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษาค้นคว้า เพื่อสงวนรักษาโบราณสถาน
แหล่งโบราณคดีและประวัติศาสตร์ควบคู่ไปกับการรักษาพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ให้เป็น
ผลประโยชน์ต่อการศึกษา การวิจัยและความเจริญรุ่งเรืองในอดีตของชาติ กล่าวคือ จุดมุ่งหมายของ
โครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาช่วง พ.ศ. 2536 – 2544 ต้องการ
ให้พระนครศรีอยุธยาเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตพร้อมกับเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ทาง
ประวัติศาสตร์ – โบราณคดี ที่แสดงออกถึงความเป็นนครประวตั ิศาสตร์ทีเ่ คยเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีต
กาลส่งมรดกต่อมาถึงกรุงธนบุรี – กรุงรัตนโกสนิ ทร์ นับเป็นเมืองหน่ึงสำคญั อย่างยิง่ ในประวัติศาสตร์
ชาติไทยโดยเฉพาะบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เสมือนเป็นบรรยากาศที่สำคัญ
ในอดีต อีกทั้งบริเวณพื้นที่ดังกล่าวสื่อความหมายเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองการปกครอง
ความเจริญรุ่งเรืองเสมือนเป็นจุดเริ่มต้นทางวิทยากรทุกสาขา โดยเฉพาะเขตพระราชวังโบราณเป็น
สถานที่สำคัญที่สุดของเมืองเปรียบเสมือนพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์หรือเป็นสถานที่มีงาน
สถาปตั ยกรรมและศลิ ปกรรมชนั้ สูงตามพระเกียรตยิ ศขององค์พระเทวราชาประมุขแหง่ ราชอาณาจักร
(ประทีป เพ็งตะโก, 2534 : 63 และกรมศิลปากร, 2537ข : 39) พร้อมกับการกำหนดบริเวณโดยรอบ
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยากลายเป็นพื้นที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นส่วนหน่ึง
ของฐานะเมืองแห่งความทรงจำทมี่ ตี ่อบรรพบรุ ุษของชาตทิ ธี่ ำรงรักษาความเป็นชาตแิ ละมรดกร่องรอย
แหง่ ความเจรญิ รุง่ เรืองสืบต่อเนอื่ งกลายเปน็ ภาพเสมือนตวั แทนของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาฐานะ
370
อนุสรณ์ของประวัติศาสตร์ชาติรวมทั้งเป็นแหล่งความทรงจำที่สร้างขึ้นจนไม่สามารถแยกออกจาก
ประวัตศิ าสตรช์ าตแิ บบทางการยอมรับ (ขจรจบ กสุ มุ าวลี, 2542 : 51) จากทก่ี ล่าวมาจะเห็นได้ว่าการ
สร้างของ “พื้นที่ประวัติศาสตร์” บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ถูกสร้างขึ้นภายใต้
การนิยามใหม่ผ่านสถาบันการศึกษากับกรมศิลปากรต้องการสร้างความทรงจำต่อประวัติศาสตร์ชาติ
ผ่านงานเขียนหรือการจัดทำแผนโครงการอนุรักษ์โบราณสถานเพื่อเน้นย้ำการเข้าสู่สังคมสมัยใหม่
แต่ต้องกลับมาให้ความสำคัญต่อการรักษาความทรงจำ รวมถึงคุณค่าของเมืองประวัติศาสตร์ฐานะ
มรดกโลกของคนไทยทั้งชาติ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ถือหมุดหมายสำคัญต่อการ
สร้างความทรงจำทัง้ ในแง่ “พนื้ ท”ี่ และ “ตัวตน” ซ้อนทับระหว่างกันผา่ นการท่องเท่ยี ว
การรอื้ สร้างอดีตผา่ นการทอ่ งเที่ยวบริเวณอุทยานประวัตศิ าสตรพ์ ระนครศรีอยุธยา
นับตั้งแต่ทศวรรษ 2530 เป็นต้นมาเกิดการปรับเปลี่ยนทางเศรษฐกิจผลจากการส่งเสริม
การท่องเที่ยวในประเทศไทยที่เริ่มต้นจาก โบราณสถาน – สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
แหล่งวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น แหล่งธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำให้กลายเป็นรายได้หลัก
ของประเทศในการลงทุนธุรกิจการทอ่ งเที่ยวและการอนุรักษ์โบราณสถานกระจายไปตามเมืองสำคญั
ทางประวัติศาสตร์รวมถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวคือ ทศวรรษ 2520 – 2530 เป็นต้นมา
รัฐบาล กระทรวงการท่องเที่ยว และกรมศิลปากรให้ความสำคัญต่อพื้นที่ของจังหวัด
พระนครศรีอยุธยากลายเป็นทุนทางวัฒนธรรมของภาครัฐ โดยเฉพาะโบราณสถานต่าง ๆ ตามเกาะ
เมืองพระนครศรีอยุธยามาใช้เป็นประโยชน์ทางการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ประกอบกับภายใต้
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินับตั้งแต่ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525 – 2529) เป็นต้นมา
ภาครัฐให้ความสำคัญต่อการลงทุนการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักสำคัญของประเทศไทยใช้ต่อการ
ลงทุน โดยให้ความสำคัญโบราณสถานเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญผ่านการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการ
ท่องเที่ยว การจัดงานประจำปี และการกำหนดแผนงานด้านการท่องเที่ยวของแต่ละจังหวัด
ผลจากการส่งเสริมการท่องเที่ยวจากภาครัฐทำให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้รับการส่งเสริมอย่า ง
มากทั้งเป็นอดีตราชธานีเก่าแก่ของคนไทยหรือแหล่งโบราณสถานที่เป็นทุนทางวัฒนธรรม
จึงทำให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอาศัยทั้งสองอย่างเข้ามาปรับใช้ต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะเม่ือได้รับการขึน้ ทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก พ.ศ. 2534 ตรงกบั การประกาศใช้แผนพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 2 ฉบับ คือฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530 – 2534) และฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535 –
2539) โดยเฉพาะฉบับที่ 7 ต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมท้องถิ่นเป็นแหล่งท่องเที่ยวผ่านการพัฒนา
หัตถกรรม อุตสาหกรรมในครัวเรือน รวมถึงการบริการท่องเที่ยวมีศักยภาพต่อการสนับสนุนรายได้
371
การจ้างงานจนกลายเป็นแหล่งตลาดรองรับสินค้าในภูมิภาคและท้องถิ่น เพื่อตอบสนองศักยภาพ
การฝกึ อาชีพและเทคนิคการผลติ ในแต่ละท้องถ่ิน รวมทง้ั การบำรุงรักษาถนนสายหลวงเช่ือมต่อแหล่ง
การท่องเที่ยวสำหรับการสร้างรายได้กิจกรรมทางเศรษฐกิจแก่ประเทศ นับเป็นครั้งแรกที่เริ่มต้น
ในการวางแนวทางพัฒนาท้องถิ่นให้สอดรับความต้องการของภาครัฐที่มุ่งเน้นการเติบโต
การเสริมสร้างศักยภาพ พร้อมทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ทางเศรษฐกิจแก่ภูมิภาคและ
ท้องถิ่นทั่วประเทศ (สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2534 : 58,
148) อีกทั้งการกำหนดให้แต่ละจังหวัดจัดทำแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อพัฒนา
ศักยภาพ ความต้องการสร้างเครือ่ งชี้วัดทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตในท้องถิ่นให้เหมาะตอ่
การเปลี่ยนแปลงระยะยาวโดยเปดิ โอกาสให้ประชาชนมสี ว่ นร่วมในการพัฒนาพน้ื ท่ีแต่ละชุมชนภายใน
ท้องถิ่นต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการบริการโดยเฉพาะพัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวที่ร่วมมือ
ระหว่างภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่นให้มีเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ ความเป็นธรรมชาติ
พร้อมทั้งการบริการการท่องเที่ยวด้านแหล่งจับจ่ายใช้สอย ปลูกฝังจิตสำนึกการมีความรัก
และหวงแหนในทรัพยากรแหล่งท่องเทย่ี วให้กับคนไทย (สํานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจ
และสังคมแหง่ ชาติ, 2534 : 73 และ 90)
ดังนั้นช่วงหลัง พ.ศ. 2534 หน่วยงานภาครัฐที่เห็นชัดคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
กับกรมศิลปากรร่วมกันส่งเสริมการท่องเที่ยวภายหลังจากการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติฉบบั ท่ี 7 (พ.ศ. 2535 – 2539) ประกอบกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้รับการจัด
ให้เป็นกลุ่มแหล่งท่องเทีย่ วทีม่ ีศักยภาพ จากการจัดความสำคัญคุณค่าของกลุ่มจังหวัดท่องเที่ยวนอก
กรุงเทพฯ เป็น 5 กลุ่มใหญ่จากการประเมินของภาครัฐและคนในจังหวัดของตน โดยในระดับที่มี
ศักยภาพมากมีความโดดเด่นในระดับชาติทั้งมีโบราณสถานจำนวนมากเป็นทรัพยากรการท่องเที่ยว
หรือพัฒนาเมืองให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวหลักของภูมิภาคในด้านประวัติศาสตร์
และสถาปัตยกรรม พร้อมกับการส่งเสริมพัฒนาแหล่งทรัพยากรการท่องเที่ยวจากการสนับสนุนโดย
ภาครัฐ (ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์, 2563 : 144 และพัฑร์ แตงพันธ์, 2555 : 217) อีกทั้งภายใต้
โครงการอนุรักษแ์ ละพฒั นานครประวตั ิศาสตร์พระนครศรีอยุธยาจดั ทำแผนแม่บทนครประวัติศาสตร์
พระนครศรีอยุธยากำหนดการพัฒนาเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา เพื่อประโยชน์ทางประวัติศาสตร์
และวัฒนธรรมของชาติให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้จำต้องครอบคลุมถึงประชาชน
เนื่องจากภายใต้แผนแม่บทดังกล่าวระบุเพื่ออนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรม และดำรงรักษา
ประวัติศาสตร์สำคัญของชาติต้องส่งเสริมรายได้ สนับสนุนหรือฟื้นฟูวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สามารถ
ก่อให้เกดิ รายได้แก่การเพ่ิมฐานะทางเศรษฐกิจ ความเปน็ อยขู่ องประชาชน รวมทัง้ การให้ความสำคัญ
372
การบริการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการผ่านการท่องเที่ยว โดยผู้มาเยี่ยมชมรับข่าวสารเรียนรู้
เข้าใจความสำคัญ คุณค่าของเมืองประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาฐานะเมืองหลวงที่มีอายุยาวนาน
ทส่ี ดุ และแหลง่ อารยธรรมท่สี ำคัญของประเทศไทย ก่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และความภาคภูมิใจ
ในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมชาติโดยอาศัยการท่องเที่ยวเป็นสื่อสำคัญต่อการสร้างประโยชน์
แก่การศึกษา สังคม และวัฒนธรรมอย่างเหมาะสม (กรมศิลปากร, 2533 : 67 และ72) ส่งผลให้
“พื้นที่ประวัติศาสตร์” ของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยากลายเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง
ต่อการเชิญชวนนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการ นำไปสู่การสร้างรายได้แก่ประเทศชาติกับท้องถ่ิน
จากการส่งเสรมิ แหล่งท่องเทีย่ ว การคมนาคมขนส่ง ที่พัก – ร้านอาหาร การบริการนำเที่ยวควบคู่กับ
การลงทุนจากนักธุรกิจในกิจการด้านการท่องเที่ยวโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร
รวมถึงบริการอื่น ๆ มากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
กลายเปน็ หมดุ หมายสำคัญต่อการตอบสนองรายได้ ธุรกจิ นำไปสกู่ ารกระต้นุ การส่งเสริมการท่องเที่ยว
ภาครัฐและเอกชน เนื่องจากเป็นพื้นที่สำคัญต่อการอนุรักษ์เมืองประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต
แสดงออกจากความเป็นนครประวัติศาสตร์ที่เคยเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่อดีตที่มีความเป็นเอกลักษณ์โดด
เด่นทาสถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นเป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของไทยในระดับสากล (สำนักงาน
โครงการนครประวัติศาสตรพ์ ระนครศรีอยธุ ยา, 2539 : 39 และพฑั ร์ แตงพนั ธ์, 2555 : 195)
บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาได้รับสนับสนุนจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ
ในการแสดงความเปน็ นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยธุ ยาท่ีเปน็ แหล่งอารยธรรม ภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ
ตลอดจนวัฒนธรรมของชาติผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวบริเวณแห่งนี้เป็นจุดเริ่มแรกที่มีสถานท่ี
ท่องเที่ยวสำคัญได้แก่ พระราชวังโบราณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ วิหารพระมงคลบพิตร วัดราชบูรณะ
วัดมหาธาตุ บึงพระราม วัดธรรมิกราช และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา เป็นต้น
จุดบริเวณวัดราชบูรณะกับวัดมหาธาตุหรือที่เรียกว่าถนนชีกุนอาศัยแหล่งโบราณสถานนำไปสู่
การลงทุนเปิดกิจการธุรกจิ ที่พักและร้านอาหารทอ้ งถิ่นจากการสนับสนุนของภาครฐั เช่น ธงชัยเกสท์
เฮาส์ บีเจเกทฮ์เฮาส์ ร้านอาหารปักษ์ใต้ ร้านอาหารรุ่งฟ้า ร้านอาหารส้ม ร้านส้มตำบึงพระรามร้าน
ดาราราม คุ้มขุนเมืองเป็นต้น (สุวิทย์ เฑียรทอง, 2541 : 57 – 58 และศุภสุตา ปรีเปรมใจ, 2557 :
108 – 109) ขณะเดียวกันการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในและภายนอกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา
จากตลาดหวั รอ ตลาดเจา้ พรหม และตลาดแกรนด์ทำใหเ้ กิดการคมนาคมขนส่งเชื่อมต่อเข้ามาภายใน
เกาะเมืองเป็นการเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สำคัญทั้งที่พักและร้านอาหารแล้ว รวมถึงการ
ขยายตัวของธุรกิจจำหน่ายของที่ระลึกเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณวิหารพระมงคลบพิตรที่กรม
ศลิ ปากรเข้าไปสนับสนุนการสร้างรา้ นค้าแผงลอยทรงไทยหรอื ทรงดอกเหด็ เพือ่ ใหเ้ ป็นท่สี ามารถสร้าง
373
รายได้ แหลง่ ทำเลการตลาดเสร้างฐานเศรษฐกิจแก่ประชาชน และจดั ให้เป็นท้ังทอ่ี ยู่และผลิตของขาย
ให้แก่พ่อค้า – แม่ค้าด้วยเช่นกัน หรือการกระจายตัวของรถเข็นของพ่อค้า – แม่ค้าในการขายของ
บริเวณที่จอดรถด้านหน้าวิหารพระมงคลบพิตร นอกจากนี้มีการจำหน่ายของที่ระลึกท้องถิ่นที่ผลิต
ภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยธุ ยา เช่น แหล่งผลิตหัวโขนทีต่ ำบลท่าวาสกุ รี แหล่งผลิตปลาตะเพียน
ใบลานของชุมชนหัวแหลมที่ตำบลท่าวาสุกรี ร้านรัตนไชยที่ถนนโรจนะ และผลิตภัณฑ์เครื่องประดับ
มุกที่ตำบลท่าวาสุกรี เป็นต้น หรือสินค้าหัตถกรรมเครื่องจักรสานรับจากแหล่งผลิตทั้งต่างอำเภอ
และต่างจังหวัด รวมถึงแหล่งจำหน่ายสินค้าของทานเล่น (ดูเพิ่มเติมใน ศุภสุตา ปรีเปรมใจ, 2557 :
110 – 111 และขจรจบ กุสุมาวลี, 2542 : 96 และ 113 – 115) ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บริเวณวัดราช
บรู ณะ วัดมหาธาตุ และวหิ ารพระมงคลบพิตรกลายเป็นพ้ืนท่ที างเศรษฐกิจท่ีอาศัยการเติบโตของการ
ท่องเที่ยวทั้งชาวไทยกับชาวต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยวภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา
จนเป็นที่สะท้อนให้เห็นถึงการอาศัยโบราณสถานกลายเป็นฐานแหล่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสอด
รับกับการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535 – 2539)
ม่งุ เน้นต้องการใหจ้ ังหวัดเร่ิมแผนงานหรือโครงการพฒั นาใหต้ รงความต้องการของท้องถิ่นควบคู่ไปกับ
นโยบายรัฐบาลที่สามารถครอบคลุมทั้งในเขตเมืองและเขตท้องถิ่น อีกทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสให้
ประชาชนได้รับการส่งเสริมการประกอบอาชีพพร้อมกับพัฒนาฝีมือแรงงานตอบสนองศักยภาพ
ในแหล่งท่องเที่ยวภายในท้องถิ่นของตน (สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ, 2534 : 146 – 148)
นอกจากนี้ภาครัฐส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ตอบสนองการรื้อฟื้นอดีตความเจริญรุ่งเรืองเก่าแก่
ของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาโดยใช้บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาเป็นฐาน
ทางวัฒนธรรมสำคัญในการตอกย้ำหรือการให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยุธยาผ่านรู ปแบบการ
ประชาสัมพันธ์หรือการสรา้ งรายได้ใหแ้ ก่ท้องถ่ินจงึ นำมาสู่การจัดกิจกรรมการท่องเท่ียวรูปแบบต่าง ๆ
ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ เส้นทางการท่องเที่ยว จัดงานประจำปี และการส่งเสริมงานภูมิปัญญาท้องถิ่น เม่ือ
พิจารณาจากพิพิธภัณฑ์ภายในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุ ธยาถือเป็นจุดสำคัญ
ในการศกึ ษาแหล่งเรียนรขู้ องเกาะเมืองพระนครศรีอยธุ ยา กลา่ วคอื พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสาม
พระยาเป็นจุดเริ่มต้นต่อการอำนวยประโยชน์ในการศึกษาประวตั ิศาสตร์ ศิลปะ และโบราณคดีให้แก่
นกั เรียน – นักศกึ ษา ประชาชนทัว่ ไปจนถงึ กลุ่มนกั ท่องเทยี่ วชาวตา่ งชาติ ฐานะสถานทจี่ ัดแสดงมรดก
ทางวัฒนธรรมของชาติ (สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ กรมศิลปากร, 2543 : 73-74)
โดยเฉพาะห้องจัดแสดงเครื่องทองจากกรุพระปรางค์ทั้งวัดราชบูรณะกับวัดมหาธาตุที่ถือว่าเป็น
โบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ทรงโปรดให้บรรจุเครื่องทอง
374
จากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะที่ทรงสร้างถวายแด่พระราชบิดาและพระเชษฐาทั้ง 2 พระองค์
ทำให้มีโบราณวัตถุจำนวนมากก่อให้เกิดความสวยงามมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง เช่น พระแสงขรรค์ชัยศรี
เครื่องราชูปโภค ราชกกุธภัณฑ์จำลอง หรือพระบรมสารีริกธาตุในพระปรางค์องค์ประธานของวัด
มหาธาตุ พร้อมกับเครื่องทองอื่น ๆ เช่น พระพุทธรูป พระพิมพ์ แผ่นทองรูปสัตว์ต่าง ๆ ฯลฯ
(สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2543 : 155 และ 199) นับเป็นจุดขาย
สำคัญต่อการท่องเที่ยวทั้งการเดินทางชมโบราณสถานและศึกษาแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
ศิลปะ รวมทั้งโบราณคดีภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา เพื่อทำให้เกิดความภาคภูมิใจต่อการ
อนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติต่อไป (สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
กรมศิลปากร, 2543 : คำนำ)
เส้นทางการท่องเที่ยวเกิดขึ้นให้สอดรับกับการจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
เจ้าสามพระยาที่ดำเนินการโดยจัดเส้นทางการท่องเที่ยวทัง้ หมด 4 เส้นทาง แยกเป็นเส้นทางเดินเทา้
กับเส้นทางล่องเรือโดยใน 3 เส้นทางเป็นเส้นทางเดินเท้าที่เป็นจุดบริเวณภายในเขตอุทยาน
ประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้แก่ พระราชวังโบราณ วิหารพระมงคลบพิตร วัดพระศรีสรร
เพชญ์ วดั ธรรมกิ ราช บึงพระราม วัดราชบรู ณะ และวดั มหาธาตุ โดยจัดสำหรบั นักท่องเท่ียวท่ีไม่มีพื้น
ฐานความรู้ทางประวัติศาสตร์ (ดูเพิ่มเติมใน ขจรจบ กุสุมาวลี, 2542 : 73 – 74) เส้นทางเดินเท้า
ดังกล่าวเป็นการสื่อนำเสนอความสำคัญของโบราณสถานที่สำคัญหรือลักษณะเฉพาะเด่นทาง
มรดกทางวัฒนธรรมของประวัติศาสตร์ชาติที่มีพื้นที่แสดงนัยยะความเจริญรุ่งเรืองทางอารยธรรม
และความสามารถทางภูมปิ ัญญาของบรรพบุรุษที่ส่งต่อมาถึงปัจจบุ นั ให้เห็นเป็นประจักษ์ อีกทั้งทำให้
รัฐสามารถทำให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมเกิดความสำนึกความภาคภูมิใจในความสำเร็จหรือการ
บรรลุผลของประเทศตนที่เป็นส่วนหนึ่งในอารยธรรมโลกควบคู่ไปกับการเป็นสิ่งที่นานา ชาติยอมรับ
จากการอาศัยการขึ้นทะเบียนมรดกโลกจนกลายเป็นทุนทางวัฒนธรรมในการสร้างงานประเพณี
ทางวัฒนธรรมอยา่ งสงู (กติมา พ่วงชงิ งาม และศุภวัสส์ อนุรัตนบ์ ดี, 2561 : 6 – 8)
กล่าวคือ ช่วงพ.ศ. 2535 – 2540 เป็นช่วงการเสริมสร้างความเป็นเมืองที่มีชีวิตของนคร
ประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ด้วยการจัดกิจกรรมงานประเพณี งานหัตถกรรมต่าง ๆ
ภายใต้การส่งเสริมของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กระทรวงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และกระทรวงมหาดไทยโดยเฉพาะ “งานแสงสี” เป็นจุดสำคัญอย่างยิ่งที่จัดครั้งแรกนับตั้งแต่ พ.ศ.
2527 ภายใต้ชื่อ “วันแห่งประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา” โดยจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
เพื่อต้องการรำลึกถึงอดีตแห่งความเจริญรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยา เทิดพระเกียรติยศแด่สมเด็จ
พระรามาธิบดีที่ 1 ฐานะปฐมกษัตริย์แรกสถาปนากรุงศรีอยุธยา ตลอดจนเผยแพร่ความรู้ทาง
375
ประวัติศาสตร์ และพัฒนาเศรษฐกิจ – สังคมให้แก่ประชาชนภายในจังหวัดหรือจังหวัดใกล้เคียง
พระนครศรีอยุธยามีงานทำ สามารถสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้นจนประสบความสำเร็จอย่างมาก
ทำให้เศรษฐกิจภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาขยายวงกว้างตั้งแต่ธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร -
เคร่อื งดม่ื และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเดนิ ทางเข้ามาชมโดยเฉพาะบริเวณ
เขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยธุ ยา (พัฑร์ แตงพันธ์, 2555 : 162 – 163 ; ศุภสุตา ปรีเปรม
ใจ, 2557 : 102 – 103 และขจรจบ กสุ ุมาวลี, 2542 : 81) จนกระท่ัง พ.ศ. 2535 – 2540 จดั งานแสง
สเี สียงขึน้ อีกครัง้ โดยเริม่ ต้นที่วดั มหาธาตเุ ป็นแห่งแรก ปถี ัดมาจึงยา้ ยมาจัดบรเิ วณวัดพระศรีสรรเพชญ์
จนถึง พ.ศ. 2540 โดยที่มีการจัดแสดงจำลองวิถีชีวิตสมัยอยุธยา เช่น ประเพณี หมู่บ้านหัตถกรรม
การแสดงศลิ ปวฒั นธรรม และการจำหนา่ ยสนิ คา้ พ้นื เมอื ง ภายใตช้ ื่อใหม่วา่ “อยุธยายศย่ิงฟา้ ”
นอกจากนี้มีการจัดถนนย้อนยุคสอดรับกับแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนานคร
ประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาที่มีความต้องการให้นักท่องเที่ยวเข้าใจสภาพของเมืองและ
ประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาหรือให้มีสภาพเหมือนอดีตสอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ –
โบราณคดีโดยไม่ทำลายคุณค่าของลักษณะของเมือง โดยเฉพาะถนนศรีสรรเพชญ์ที่กรมศิลปากร
ต้องการใช้เปน็ ถนนพระราชพธิ ี เนอ่ื งจากเป็นถนนปรากฏหลักฐานโบราณคดีใชเ้ ป็นถนนแห่รับราชทูต
ฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์ หรือการขุดคูคลองบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
ตามปรากฏหลกั ฐานทางประวัติศาสตรส์ ะท้อนกิจกรรมของชาวเมอื งในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาที่
มีความรุ่งเรืองยาวนาน ประกอบกับเป็นการสร้างทัศนียภาพและบรรยากาศย้อนอดีตให้แก่
นกั ท่องเที่ยว (กรมศลิ ปากร, 2533 : 55, 61 – 62 และขจรจบ กุสุมาวลี, 2542 : 64, 66) อีกท้งั มีการ
จัดแสดงละครพื้นบ้าน เทศน์มหาชาติ การขายอาหารขนมไทยโดยใช้เงินพดด้วงหรือพ่อค้า – แม่ค้า
แต่งกายแบบสมัยอยุธยา เพิ่มบรรยากาศความเป็นเมืองที่มีชีวิตความเป็นมาให้สอดคล้องบริบท
ของประวตั ศิ าสตรช์ าติ
ดังนั้นการจัดงานแสงสีกลายเป็นสิ่งใหม่ฐานะเครื่องมือการท่องเที่ยวและการเน้นย้ำบริเวณ
พื้นที่ทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือ การรื้อฟื้นภาพแห่งอดีตให้กลับมามีเรื่องราวเสมือนการท่องไป
ในอดีตความรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยาฐานะราชธานีที่มีอารยธรรมส่งมรดกทางวัฒน ธรรมที่ยิ่งใหญ่
โดดเด่นให้เห็นแก่ปัจจุบันโดยเชื่อมโยงทั้งเส้นทางเดินทางเท้าบริเวณเขตอุทยานประวัติศาสตร์
พระนครศรีอยุธยา หรือการจัดแสดงโบราณวัตถุพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ประกอบ
กับการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาส่งเสริมการลงทุนรายได้ก ารท่องเที่ยว
โดยภายใต้การเริ่มต้นของหน่วยงานภาครัฐ เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กระทรวงการท่องเที่ยว
แห่งประเทศไทย กระทรวงมหาดไทย กรมศิลปากร เป็นต้น เนื่องด้วยงานแสงสีเสียงจึงเป็นเครือ่ งมอื
376
ผลสัมฤทธิ์ของการรื้อฟื้นอดีตบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ส่งผลทั้งความบันเทิง
ความรู้ ความเข้าใจพัฒนาการของสังคมในอดีตของชาติบ้านเมืองให้แก่นักท่องเที่ยว อีกทั้งเป็นการ
พยายามใช้โบราณสถานที่ปรากฏในเส้นทางการเดินทางเท้าหรือสิ่งของจัดแสดงภายใน
พิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยามาประยุกต์ใช้แสดงประกอบภายในงานดังกล่าวเล่าเร่ืองราว
เกี่ยวกับโบราณสถานที่มีความสัมพันธ์ประวัติศาสตร์ – โบราณคดีของชาติ รวมถึงจำลองรูปแบบ
กิจกรรมให้เห็นวิถีชีวิตและบรรยากาศในอดีต ฐานะพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ศูนย์กลางในการรับรอง
การทอ่ งเทยี่ วที่สำคญั ของพระนครศรีอยธุ ยา (ขจรจบ กุสุมาวลี, 2542 : 84 – 85 และภญิ ญพันธ์ุ พจ
นะลาวัณย์, 2563 : 173 – 174, 177)
การจัดการความสัมพันธ์ “พื้นท่ี” และ “ตัวตน” ทางประวัติศาสตรบ์ รเิ วณอุทยานประวัตศิ าสตร์
พระนครศรอี ยธุ ยา
เมื่อนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรม
พ.ศ. 2534 กลายเป็นแหล่งรายได้และศูนย์แห่งการท่องเที่ยวภาคกลางรองจากกรุงเทพมหานคร
ประกอบกับช่วงเวลานี้จากเผยแพร่ความรู้ทางประวัติศาสตร์ - โบราณคดี หรือการจัดงานประจำปี
ทำให้การสร้างองค์ความรู้ใหม่ การรื้อฟื้นอดีตผ่านการท่องเที่ยวไดร้ ับสนับสนนุ จากหนว่ ยงานภาครฐั
เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมศิลปากร
สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ตลอดจนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเฉพาะบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์
พระนครศรีอยุธยาที่มีโบราณสถานสำคัญจนกลายเป็นทุนทางวัฒนธรรมสำหรับการสร้างรายได้
การทอ่ งเทยี่ วของประเทศไทยหรือกลายเป็นส่ิงที่ภาครฐั พยายามเน้นย้ำความเป็นมรดกทางวัฒนธรรม
ที่มีความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่อดีตกาลของคนไทยทั้งชาติ เนื่องจากโบราณสถานเป็นแหล่งท่องเที่ยว
สำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทรัพยากรที่สำคัญในเพิ่มคุณค่าหลักฐานความเจริญทาง
ประวัติศาสตร์ชาติ รวมถึงสามารถช่วยเพิ่มรายได้แก้ไขความยากจนทางเศรษฐกิจแก่ท้องถ่ิน
(กรมศลิ ปากร, 2533 : 6)
ช่วงเวลานี้รัฐบาลและเอกชนเข้ามามีส่วนรว่ มอย่างสำคญั ต่อการอนรุ กั ษ์โบราณสถานภายใน
เกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา กล่าวคือ การดำเนินโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์
ภายใต้การนำของกระทรวงศึกษาธกิ ารร่วมกับกรมศิลปากรผา่ นการจัดทำแผนแม่บทดำเนินโครงการ
อนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เมื่อพ.ศ. 2536 การเสนอแผนพัฒนาเกาะ
เมืองพระนครศรีอยุธยาโดยกระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณประจำปีต่อการดำเนินงานต้งั แต่ปี
2537 – 2544 ประมาณจำนวน 2,946.78 ล้านบาท (สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, 2554 : 18)