2
วรรณคดสี ำหรับงานนาฏยศลิ ป์ เรอ่ื ง พระสุธน-มโนหร์ า
ช่ือ นายสรวิชญ์ หางสลดั
รหสั ประจำตวั นักศึกษา ๖๑๘๑๑๖๓๐๔๒
รายงานน้ีเป็นสว่ นหนึง่ ของการศกึ ษาหลักสตู รครุศาสตร์บัณฑิต
สาขาวิชานาฏยศลิ ป์ศึกษา คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเด็จ
เจา้ พระยา
ปีการศึกษา ๒๕๖๓
2
คำนำ
รายงานฉบับน้ีเป็นสว่ นหนึ่งของรายวิชา วรรณกรรมสำหรับนาฏยศลิ ป์ศึกษา โดยมีจุดประสงค์
เพอื่ ใหผ้ จู้ ัดทำได้ฝึกการศึกษาวรรณกรรมท้องถ่ินภาคใต้ และนำสิง่ ท่ีได้ศึกษาคน้ คว้ามาสร้างเป็นชิ้นงาน
เก็บไว้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน ทั้งในส่วนที่เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ วรรณกรรมลายลักษณ์
เรื่อง พระสุธน-มโนห์รา ฉบับวัดโพธปิ ฐมาวาส ที่รวมเอาบทประพันธ์ทั้ง ๙ เล่ม เว้นเลม่ ๘ มารวมไว้ใน
เล่มน้ี
ทั้งนี้ เนื้อหาได้รวบรวมมาจากหนังสือวรรณกรรม การปริวรรตวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้
ประเภทหนังสือบุด เรื่อง พระสุธน-มโนห์รา ฉบับวัดโพธิปฐมาวาส ขอขอบพระคุณอาจารย์รณกฤต
เพชรเกลี้ยง อย่างสูงที่กรณุ าตรวจ ใหค้ ำแนะนำเพื่อแกไ้ ข ใหข้ อ้ เสนอแนะตลอดการทำงาน ผู้จัดทำหวัง
วา่ รายงานฉบับนคี้ งมีประโยชนต์ ่อผทู้ น่ี ำไปใช้ให้เกดิ ผลตามความคาดหวัง
นายสรวชิ ญ์ หางสลดั
ผู้จดั ทำ
3
สารบัญ 4
เร่ือง หน้า
ประวตั ิเร่ือง ๑
ประวติ ิผูแ้ ตง่ ๓
เนอ้ื เร่ืองย่อ ๔
บทประพันธ์ ๒๐
๒๐
กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ๒๐
บทชมดง,ชมเมอื ง ๒๒
บทชมโฉม ๒๖
บทอื่น ๆ
๒๘
กาพย์ฉบัง ๑๖ ๒๘
บทชมดง,ชมเมอื ง ๓๐
บทชมโฉม ๓๔
บทอื่น ๆ
๓๖
กาพยย์ านี ๑๑ ๓๖
บทชมดง,ชมเมือง ๓๖
บทชมโฉม ๓๖
บทอนื่ ๆ
๓๙
ตวั ละคร ๔๑
วิเคราะหต์ ัวละคร ๔๖
ผลงานสร้างสรรค์ ๕๔
เอกสารอา้ งอิง ๕๕
ภาคผนวก ๗๔
ประวตั ยิ อ่ นักศึกษา
5
ประวตั เิ รื่อง
วรรณกรรมท้องถิ่นเร่ืองพระสุธนหรือพระสุธน-มโนหร์ าเป็นวรรณกรรมท่ีพบแพร่หลายมากในภาคใต้
ทั้งท่เี ป็นวรรณกรรมลายลกั ษณ์และวรรณกรรมมุขปาฐะ เช่น มโนห์รานิบาตฉบับวดั มัชฌมิ าวาส จังหวัดสงขลา
พระสุธน-มโนห์ราฉบับตำบลไม้เรียง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น วรรณกรรมเหล่านี้แม้ว่าจะเรียกชื่อไม่
ตรงกนั ทีเดียวแต่เนื้อเร่ืองเป็นเรอื่ งเดียวกนั จะแตกต่างกนั บ้างในรายละเอยี ดวรรณกรรมเร่ืองน้ีได้รับความนิยม
จากประชาชนในท้องถิ่นมากเพราะเชื่อกันว่าเป็นเรื่องพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้าท่ีสืบเนื่องมาจากพระรถ -
เมรี ซง่ึ ในเนอื้ เรอ่ื งพระนางเมรีต้องติดตามหาพระรถในขณะท่ีพระรถหนีกลบั เมือง เม่ือพระรถไมก่ ลับมาหานาง
นางจึงขอยอมกลั้นใจตาย แตก่ อ่ นตายนางเมรีได้อฐิษฐานไวว้ ่าชาตินี้นางต้องติดตามหาพระรถชาติต่อไปขอให้
พระรถ ตดิ ตามหานางเพ่อื ชดใช้กรรม ชาวบ้านจึงเช่อื กนั ว่าพระรถได้กลบั ชาติมาเกดิ เป็นพระสุธน และนางเมรี
กลับชาตมิ าเกดิ เปน็ นางมโนห์รา
วรรณกรรมท้องถิน่ เรื่องพระสุธนตน้ ฉบบั ค่อนขา้ งจะยาว จารึกไว้หลายเลม่ สมุดไทย สว่ นใหญ่ที่พบจะ
ไม่ค่อยสมบูรณ์ ฉบับที่นำมาปริวรรตครั้งนี้เป็นของ นายวิจิตร สุรัตน์สัญญา บ้าน เลขที่ ๖๓ ถนนเทศบาล ๑
ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา พบต้นฉบับที่วัดโพธิ์ปฐมาวาส ตำบลบ่อขาง มอบให้สถาบัน
ทักษิณคดีศึกษา เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๑ จำนวน ๘ เล่มสมุดไทย ต้นฉบับเดิมมีจำนวน ๙ เล่ม
ขาดเล่ม ๘
ลักษณะวรรณกรรมเรื่องนี้จารึกด้วยอักษรไทยและภาษาไทย แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทกาพย์
ได้แก่ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ต้นฉบับเดิมคงเป็นของชาวปัตตานีต่อมามี
การส่งต้นฉบับไปให้ชาวตำบลสะกอม อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ดังที่จารึกไว้ ในท้ายสมุดเล่มที่ ๒ ว่า
"หนังสือนางนูรา ของชาวตาหนี ให้มายังชาวสะกอมว่าอย่าให้คนอื่น" หลักฐานดังกล่าวแสดงว่าวรรณกรรม
ทอ้ งถิ่นเร่อื งน้เี ดิมเรยี กว่า "นางมโนห์รา" สว่ นชาวปัตตานีผู้สง่ และชาวบ้านสะกอมผรู้ บั นั้นไม่ปรากฏหลักฐาน
วรรณกรรมเรื่องนี้ไม่ปรากฏผู้แต่งหรือผู้คัดลอก แต่จากการสังเกตการจารึกตัวอักษรแตกคต่าง กัน
หลายลายมือ แสดงให้เห็นว่าหลายคนช่วยกันจารึกหรือเขียนดังหลักฐานระบุไว้ท้ายสมุดเล่มที่ ๒ ว่า "จบแล้ว
เขียนมากคนพี่น้องชาวบ้านเอ๋ย จะทำพรื่อเหลยหมันอยากจะเขียนทุกคน ตัวข้าคิดจนหักอกหัวใจ" จากการ
ชว่ ยกนั จารึกหลายคนนเี่ องทำให้อกั ขรวิธีของแตล่ ะเลม่ แต่ละตอนมีความแตกต่างกันมาก เชน่ การใช้ตัวสะกด
การนั ตใ์ นตน้ ฉบบั ของแต่ละเล่มจะตา่ งกนั มีการใช้เครื่องหมายตัวเลขแทนสระบางตัวในบางเล่ม บางเล่มใช้ไม้
หันอากาศ และวรรณยกุ ตโ์ ทสลบั กนั ในการจารึก การใช้สระบางตัวออกเสียงเปน็ ภาษาถิน่
ส่วนเนอื้ เร่อื งของวรรณกรรมเร่อื งน้ีกม็ ีลักษณะทำนองเดียวกับพระสธุ น-มโนห์ราท่วั ไปแต่ทแี่ ตกต่างไป
จากฉบับอื่น ๆ คือ ในเนื้อเรื่องโดยทั่วไป นางมโนห์ราเป็นธิดาคนที่ ๗ ของท้าวทุมพร กับนางเทพกินรี แห่ง
เมืองไกรลาส แต่ในวรรณกรรมฉบับนี้ นางมโนห์ราเป็นธิดาคนท่ี ๗ ตรงกัน แต่ต่างบิดากับพี่สาวทั้งหกคน ซึ่ง
เปน็ ลกั ษณะที่พบทั่วไปในวรรณกรรมท้องถนิ่ ภาคใต้ ในเรือ่ งอนื่ ๆ ดว้ ยผคู้ ัดลอกหรือผแู้ ตง่ มกั จะมีการแต่งเสริม
๒
หรอื ดดั แปลงเร่ืองราวปลีกย่อยให้ตา่ งไปจากต้นฉบับเดมิ (วิจติ สุรัตนส์ ัญญา.(๒๕๔๕).การปริวรรตวรรณกรรม
ทอ้ งถิน่ ภาคใตป้ ระเภทหนังสอื บดุ .สงขลา:สถาบันทักษิณคดศี กึ ษา หมาวทิ ยาลัยทักษิณ)
ผู้ศึกษาสรุปได้ว่า วรรณกรรมท้องถิ่น เรื่อง พระสุธน-มโนห์รา ฉบับวัดโพธิปฐมาวาส นั้นเป็น
วรรณกรรมที่เผยแพร่มากในภาคใต้ ทง้ั ทเ่ี ป็นวรรณกรรมลายลักษณ์และวรรณกรรมมุขปาฐะ วรรณกรรมฉบับ
นี้ประชาชนในทอ้ งถิ่นเชื่อกันว่าเป็นเรื่องพระชาตหิ นึ่งของพระพุทธเจ้าที่สืบเนื่องมาจากพระรถ-เมรี ที่พระรถ
หนีกลับเมือง แล้วไม่หวนกลับคืนมาหานาง นางเมรีจึงยอมกลั้นใจตาย แต่ก่อนตายนางเมรีได้อฐิษฐานไว้ว่า
ชาตินี้นางตอ้ งติดตามหาพระรถชาตติ ่อไปขอให้พระรถติดตามหานาง เพื่อชดใช้กรรมในชาติหน้า ที่ได้ก่อไว้ใน
ชาตินี้ วรรณกรรมฉบับที่นำมาปรวิ รรตครั้งนเ้ี ปน็ ของ นายวจิ ิตร สุรัตน์สัญญา และได้มอบให้แก่สถาบัน
ทักษณิ คดีศกึ ษา ต้นฉบบั เดิมมที ัง้ หมด ๙ เลม่ ขาดเล่ม ๘ วรรณกรรมฉบบั นี้ มเี นื้อหาทำนองเดียวกันกับพระสุ
ธน-มโนห์ราฉบับทั่วไป แต่จะแตกต่างจากฉบับอื่น ๆ คือ เนื้อเรื่องโดยทั่วไป นางมโนห์รากับพี่ทั้ง ๖ มีบิดา
มารดาร่วมโลหิตคนเดียวกัน คือท้าวทุมพร กับนางเทพกินรี แต่ฉบับนี้นางมโนห์รา มีมารดาร่วมโลหิต กับ
พี่สาวทั้ง ๖ แต่บดิ าของนางมโนห์รา คอื ท้าวทุมพร สว่ นพส่ี าวทั้ง ๖ เปน็ ธิดาของเจ้าเมืองไกรลาส กับนางเทพ
กนิ รี
๓
ประวติ ิผแู้ ต่ง
การปริวรรตวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใตป้ ระเภทหนังสือบุด เรื่อง พระสุธน-มโนราห์ ฉบับวัดโพธิ์ปฐมา
วาส โดยมี นายวิจิตร สุรัตน์สัญญา เป็นผู้นำมาปริวรรตคร้ังนี้ นายวิจิตร สุรัตน์สัญญา อาศัยอยู่ ณ บ้านเลขท่ี
๖๒ ถนนเทศบาล ๑ ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา พบต้นฉบับที่วัดโพธิ์ ตำบลบ่อขาง มอบ
ให้สถาบันทักษิณคดีศึกษา เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๑ จำนวน ๘ เล่มสมุดไทย ต้นฉบับเดิมมีจำนวน
๙ เล่ม ขาดเลม่ ๘
ต่อมาได้มีการปรวิ รรตวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ประเภทหนังสือบุด เรื่อง พระสุธน-มโนราห์ ฉบับวัด
โพธิ์ปฐมาวาส อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา โดยสถาบันทักษิณศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ ในปี
พุทธศกั ราช ๒๕๔๕ ปรวิ รรตโดย
๑. นายชัยวฒุ ิ พิยะกูล
๒. นางสาวอุบลศรี อรรถพันธ์ุ
๓. นายคร่นื มณโี ชติ
๔. นายดสุ ิต รักษ์ทอง
๕. นางสาวสาวติ รี สัตยายทุ ธ์
๖. นางอารยา นาคเกลี้ยง
๔
เรื่องยอ่
กล่าวถึงเมือง อุดรบินจา มีเจ้าเมืองชื่อ ท้าวอาทิตย์ มเหสีชื่อนางเกศนีมีพระโอรสชื่อ พระสุธน
กล่าวถึงพรานป่าชื่อ เนสาท อยู่กินกับภรรยาชื่อคําศรี มีลูกชายชื่อว่า อ้ายบุณทฤสา นายพรานได้นําไปถวาย
ตัวให้รับใช้พระสธุ น พระสธุ นได้ตั้งใหน้ ายบุณเปน็ กะโหมนพรานปา่ เม่ือบดิ ามารดาถึงแก่กรรม นายบุณได้เป็น
หวั หนา้ พรานมีภรรยาชือ่ นางปิฑดิ า
ต่อมาท้าวอาทิตย์เห็นว่าตัวเองชรามากแล้วจึงคิดมอบราชสมบัติให้พระสุธน จึงให้เสนา ออกหาลูก
สาวท้าวพระยาหัวเมืองตา่ งเพ่ือให้อภิเษกกับพระสุธนแตห่ าไมไ่ ด้ มีแต่ลูกสาวของพระโหราคนหนึ่งอายุ ๑๕ ปี
พอดี ชื่อนางกาหนม จงึ ใหอ้ ภเิ ษกกบั พระสธุ น
พรานบุณทฤสาออกไปล่าสัตว์ ไม่ได้กลับมาในวันที่พระสุธนอภิเษกสมรส เกิดอัศจรรย์ไม่พบสัตว์เลย
และเดินหลงป่าหาทางกลับเมืองไม่ได้กระทั่งหลงเข้าไปถึงเมอื งกลิงค์ ซึ่งเกิดความแห้งแล้ง เพราะนาคไม่ยอม
ให้น้ำ ชาวเมืองอดน้ำวุ่นวายทั้งเมือง เจ้าเมืองทราบว่ามีพราหมณ์ฤาษีสี่ตน มีวิชาเชี่ยวชาญบําเพ็ญตบะอยู่ใน
ป่า จึงไปหาฤาษีทั้งสี่มาช่วยแก้ปัญหา ฤาษีทั้งสี่จงึ ทําพิธีหุงยาเพื่อเทลงในมหาคงคาหมายจะให้นาคตาย ทําพิธี
เคียวยาอยู่ สามคืน ก็เกิดให้ร้อนไปทั่วแผ่นดินตลอดถึงเมืองพญานาค พญานาคทนอยู่ไม่ได้จึงขึ้นมายังเมือง
มนุษย์
วันนั้นบังเอิญพญาครุฑบินมาเห็นพญานาคเข้าจึงโฉบลงจับพญานาคหมายกินเป็นอาหาร พอดีพราน
บุณทฤสาเดินมาพบจึงเอาธนยายิงพญาครุฑ พญาครุฑจึงวางพญานาค พญานาคตกลงในป่า พญานาคเนรมิต
กายเป็นมนุษย์แล้วตามหานายพราน ทั้งสองจึงตกลงเป็นมิตรกัน พญานาคเล่าถึง ความทุกข์ของตนเนื่องจาก
พราหมณฤ์ าษที ้งั สีท่ ําพธิ หี งุ ยาจวนจะเสร็จ หากเสร็จในเจด็ วันแล้วเทลงในคงคาจะทำให้นาคตายกันหมด พราน
บุณสงสารพญานาคจึงรับปาก ว่าจะช่วยเหลือจึงชวนมนุษย์นาคเดินทางไปยังโรงพิธีหุงยาของพราหมณ์ฤาษี
ขอร้องให้หยุดการเคี่ยวยา เพราะหากเคี้ยวเสร็จเทลงในคงคานาคจะตายกันหมดจะเป็นบาปเป็นกรรม พราน
บุณขอร้องให้เททิ้ง ส่วนฝนที่ไม่ตกจะให้ฝนตกเท่าใดเทวดาจะช่วยให้ตกตามต้องการ พราหมณ์ฤาษีจึงยอม
ยกเลกิ ทําพิธีหุงยา จากนนั้ พญานาคก็บันดาลใหฝ้ นตกต้องตามฤดกู าล ก่อนกลับไปยังเมืองบาดานพญานาคได้
สัญญากบั พรานบุณทฤสาวา่ หากเดอื ดรอ้ นอะไรให้ส่งข่าวไป
ส่วนพรานบุณเดินทางต่อไปในป่า โชคดีไปพบโคฝูงใหญ่มีบริวาร ๕๐๐ ตัว พรานบุณได้ฆ่าจ่าฝูงโคได้
ปรากฏว่าเป็นโคทอง พรานบุณดีนำกลับไปถวายพระสุธน พระสุธนได้ประทานรางวัล เป็นเสื้อผ้าเงินทอง
มากมายพร้อมใหบ้ รรดาศกั ดิ์เป็นขุนจนั หิมพานต์
กล่าวถงึ ราชาองคห์ นง่ึ สั่งให้นายช่างทงั้ สี่คนซ่อมแซมปราสาท นายช่างคนหนึง่ ชือ่ ทุมพรเป็นคนทำงาน
ประณีตแต่ทำงานช้า จึงทำให้งานที่ไดร้ ับมอบหมายเสร็จไม่ทนั ตามกำหนด นายทุมพรกลัวความผดิ จึงบอกลูก
เมียใหห้ นีไปอยู่ทีอ่ ่ืนสว่ นตนเองหนเี ข้าปา่ ไปไดส้ ามเดือนพบสระใหญก่ ลางปา่ เหน็ รอยตีนเหมอื นตนี นกเหยียบ
ทรายที่ชายสระ พอตกเย็นจึงแอบซุ่มใต้ต้นไทรริมสระคอยดูว่าเป็น รอยเท้าคนหรือเท้ายักษ์ รุ่งเช้าฝูงกินรีมา
ลงเล่นน้ำในสระ นายทุมพรจับนางกินรีได้นางหนึ่งหมายจะสมสู่ด้วย แต่นางกินรีขอร้องเพราะตนมีผัวแล้ว
นายทุมพรจึงเสนอให้นางกินรีสอนการทำปีกหางให้ เป็นการแลกเปลี่ยนก่อนปล่อยตัวนางกินรีไป นายทุมพร
๕
ลองทำปีกหางตามที่นางกินรสี อนแล้วลองใส่ ปรากฏว่าบินได้จริง จึงบินร่อนไปในทอ้ งฟ้า ด้วยบุญวาสนาพระ
อินทร์จึงบันดาลให้บนิ ไปจนถึง เมอื งไกรลาส แล้วร่อนลงอาศยั ทศ่ี าลารมิ พระนคร
ขณะนั้นปรากฏว่าเจ้าเมืองไกรลาสสิ้นพระชนม์พอดี มีแต่มเหสีชื่อนางเทพกินรีกับธิดาหกองค์ไม่มี
โอรสสืบสกลุ บา้ นเมืองขาดผู้สืบราชสมบตั ิ เสนาอาํ มาตยจ์ งึ คิดเสย่ี งทายตามธรรมเนยี มโบราณ โดยตกแต่งราช
รถออกไป ราชรถไปเกยศาลาที่นายทุมพรนอนอยเู่ สนาท้ังหลายจึงทลู เชิญนายทุมพรขึ้นครองเมืองและอภิเษก
กบั นางเทพกนิ รี จนนางเทพกินรีทรงครรภ์ ครบถ้วนทศมาส ประสตู ิธิดาใหช้ ื่อว่า มโนห์รา ซ่ึงมีรูปโฉมงามกว่า
พี่ ๆ ทง้ั หกคน เมอื่ มโนหร์ าเติบใหญ่ข้นึ ท้าวทุมพร จงึ ทำปกี หางใหธ้ ดิ าทงั้ เจด็ คน บินรอ่ นเล่นในทอ้ งฟ้าทุกวัน
วนั หนึ่งทา้ วทุมพรเห็นนางท้งั เจด็ บินร่อนเล่นอยแู่ ต่ในนครจึงแนะนำใหล้ องบนิ ไปเลน่ ในสระใหญ่กลาง
ป่านางทง้ั เจ็ดจงึ บินไปลงเลน่ น้ำในสระตามคำบอกของพระบิดา ดว้ ยความสาํ ราญทกุ วนั ไม่เวน้
กล่าวถึงพรานบุณทฤสาออกเดินป่ามาสามเดือน มาพบสระใหญ่กลางป่า พบรอยเท้า คนเดินขึ้นลง
เล่นน้ำในสระ แปลกใจสงสัยจึงมานั่งแอบดูอยู่ริมสระ จนกระทั่งพบนางกินรีทั้งเจ็ดบินมาลงเล่นน้ำในสระ
พรานบุณคิด จะจบั นางกินรไี ปถวายพระสุธน จงึ เดนิ ทางไปขอความช่วยเหลือจากพญานาค
กล่าวถึงนางเทพกินรีผู้มารดาฝันว่ากําแพงหัก กรามสุดหลุดลงบนแท่นทอง จึงให้โหรมาทํานาย โหร
ทํานายว่าจะเกิดเหตุร้ายแก่ธิดาอาจถึงตายหรือไม่ก็ต้องพลัดพรากจากกัน นางจึงให้เรียกธิดาทั้งเจ็ดมาแทง
ศาสตรา ปรากฏว่านางมโนห์ราแทงถูกตอนทรพีถึงสามครั้ง นางเทพกินรจี ึงไม่ยอม ใหธ้ ิดาทั้งเจ็ดบินไปเล่นน้ำ
ในสระอีก โดยเอาปีกหางไปเก็บซ่อนไว้ ทําให้นางกินรีทั้งเจ็ดรำคาญใจจึง มาอ้อนวอนมารดาขอไปเล่นน้ำ
มารดาอนุญาตให้พี่ทั้งหกไปยกเว้นนางมโนห์รา ทำให้นางน้อยใจ เฝ้า อ้อนวอนมารดาเท่าใดมารดาก็ไม่ยอม
จึงคิดขโมยปกี หาง เม่อื ขโมยไดแ้ ลว้ จงึ บนิ หนไี ปเล่นนำ้ ในสระ
ฝ่ายพรานบณุ เฝา้ คอยอยู่ริมสระ เหน็ นางกนิ รีทั้งเจ็ดมาเล่นน้ำจึงส่ังให้นาคทัง้ สามตัว ไปจับนางกินรีท่ี
ชื่อมโนห์ราน้องคนสุดท้อง เมื่อนาคจับรัดมโนห์ราไว้ได้พี่ ๆ พยามช่วยเหลือจนสุดความสามารถ เมื่อเห็นว่า
หมดหนทางที่จะช่วยน้องได้จึงบินกลับเมืองไกรลาส ฝ่ายมโนห์ราเมื่อถูกนาค จับได้ก็โศกเศร้าเสียใจ รําพึง
ราํ พัน และอ้อนวอนพรานบุณใหป้ ล่อยตวั แต่พรานบุณไมย่ อมเพราะ ต้งั ใจไว้ก่อนแลว้ วา่ จะนําไปถวายพระสุธน
แทนเนื้อที่ล่าไม่ได้เลยระหว่างการเดินทางนางมโนห์ราได้พยายามพูดอ้อนวอนขอร้องพรานบุณต่าง ๆ ให้ป
ลอยตัวนางแต่ไม่ได้ผล ก่อนเดินทางถึง เมืองอุดรเบญจาพรานบุณได้พานางแวะพักที่อาศรมพระฤาษีหนึ่งคืน
ก่อนเดินทางต่อไปอีกสามวนั กระทง่ั ถึงบา้ นตายายทช่ี ายเมือง พรานบุณจงึ ฝากนางมโนห์ราใหช้ าวบ้านและตา
ยายช่วยดูแลส่วนตนจะนำนาคไปส่งยังแม่น้ำก่อนแล้วจะกลับมาพานางมโนห์ราไปถวายแก่พระสุธน เมื่อส่ง
นาคแล้วกลับมาพักบ้านตายายหนึ่งคืน รุ่งขึ้นนายพรานได้ให้นางมโนห์รานั่งเกยเทียม โคจูงพาเข้าเมืองอุดร
เบญจาพรานบุณให้นางพักรออยู่ที่ศาลา ส่วนนายพราน บอกแกน่ างวา่ จะนําความขน้ึ กราบทูลพระสุธนให้ทรง
ทราบเพื่อจัดขบวนไพร่พลช้างม้ามารับนางแล้ว พรานบุณก็ลานางเดินทางเข้าเมืองไปเพียงลําพัง พร้อมสั่งให้
ชาวบ้านหญิงชายช่วยกันดูแลปรนนิบัตินาง เมื่อพรานบุณกลับถึงบ้านเล่าเรื่องราวให้นางปิฑิดาผู้ภรรยาฟัง
ด้วยความดีใจที่ผัวกลับมาอย่างปลอดภัยและได้ลาภใหญ่มาด้วย จึงไปหาซื้อเหล้ายาปลาปิ้งและเครื่องแก้บน
มาจดั พิธแี ก้บนตามท่ีนางบนบานไว้ เมือ่ นางปีฑิดาผู้ภรรยาทาํ พธิ แี ก้บนแล้ว พรานบุณทฤสากนิ ข้าวปลาป้ิงจน
อิ่มหนาํ สาํ ราญแล้วหลับไป ครน้ั รุ่งขึน้ พรานบุณบอกภรรยาว่าจะรีบเข้าเฝ้าพระสธุ น อาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้า
๖
ที่คดิ ว่าดีท่สี ดุ เมอ่ื เดินลงจากเรือนเหยียบบนั ไดเสยี งดังล่ันซ่ึงถือเปน็ ลางไมด่ ี แต่ด้วยความเป็นหว่ งนางมโนห์รา
จึงลงจากเรอื นไปเพื่อเขา้ เฝา้ พระสธุ น ด้วยท่าทางและการแต่งกายที่ดผู ิดกว่าท่ีเคยเหน็ และเดินกางร่มคันใหญ่
เข้าไป ชาวบ้านต่างแปลกใจสงสัยว่าพรานไปได้อะไรดี จนเข้าไปถึงท้องพระโรง พระสุธนเห็นแต่งกายผิดปกติ
ซ้ำ เนื้อกวางเนอ้ื ทรายกไ็ ม่ส่งให้จึงสงั่ ให้ เสนาจับใสข่ ่ือคาทนั ที พรานบณุ จะขอรอ้ งอย่างไรก็ไม่มใี ครฟังจึงได้แต่
ร้องไห้รําพึงรําพัน พระสุธนเห็นพรานบุณร้องไห้จึงสั่งให้เสนาไปถอดเชือกเอาตวั มาซักถามจึงได้ความว่าได้พา
ตัวนางมโนหร์ ามาไว้ท่ีศาลาหน้าเมือง พระสุธนจึงประทานรางวัลและเลื่อนบรรดาศักด์ิให้นายพรานตามธรรม
เนยี ม พระสุธนเมอ่ื ได้ฟังคาํ บอกเลา่ ถงึ รูปโฉมของนางมโนหร์ าจากพรานบุณก็ละเมอเพ้อหา และคิดแกล้งนาง
กาหนมทุกทาง จนนางตอ้ งหนีออกจากวังกลบั ไปอาศัยอยู่กบั โหราผู้บดิ า เม่อื นางกาหนมหนจี ากวังไปแล้วพระ
สธุ นจึงไปเฝา้ พระมารดากราบทูลเหตุการณ์ให้ฟัง พร้อมเรื่องราวที่พรานบณุ พานางมโนห์รามาถวาย อ้อนวอน
มารดาให้ยอมรับนางมโนห์ราแตม่ ารดาไมเ่ ห็นดดี ว้ ยเกรงท้าว อาทิตยจ์ ะโกรธพระสุธนจึงว่าถ้าพระบิดามารดา
ไมเ่ หน็ ดีด้วยก็จะขอลาจากเมอื งไป นางเกศนจี งึ ยอมไปกราบทลู ท้าวอาทติ ย์ใหท้ รงทราบ
พระสุธนสั่งให้เสนาอํามาตย์เตรียมตกแต่งถนนหนทางจากวังไปถึงศาลา เตรียมช้างม้า นางสนมกรม
ใน สาวใช้แม่นม เครื่องทรงเครื่องประดับของใช้ครบถว้ น จัดขบวนไพร่พลไปรับนางมโนห์ราเข้าในวังอย่างสม
พระเกียรติ เมื่อขบวนไปถึงศาลาแม่นมก็นําเครื่องทรงเข้าไปถวายนางมโนห์ราบอกว่าพระสุธนกําลังเสด็จ
ตามมา เมื่อพระสุธนเสด็จมาถึงนายพรานได้ให้พระสุธนหยุด ขบวนคอยอยู่ก่อน นายพรานขอเข้าไปบอกนาง
มโนห์ราเพื่อไม่ให้นางตกใจ นางมโนห์ราจงึ ยอมให้ พระสธุ นเขา้ ไปหาแต่ดว้ ยความท่ีนางไม่เคยพบชายจึงตกใจ
บา่ ยเบย่ี งไม่ยอมรับไมตรขี องพระสุธน นายพรานตอ้ งชว่ ย ปลอบและเว้าวอนนางจงึ ตกลงปลงใจ
เมื่อพระสุธนรับนางมโนห์ราเข้าสู่พระนครเสียงเล่าลือถึงความงามของนางระบือไปทั่วผู้ คนต่าง
ออกมามุงดูกันด้วยความหลงใหลในความงามของนาง รวมทั้งนางกาหนมเมื่อเห็นขบวนรับ นางมโนห์ราเข้า
เมืองอยา่ งใหญ่โต จึงบ่นพมึ พําดว้ ยความเสียดายท่ีด่วนหนีออกจากเมือง โหราผ้เู ปน็ บดิ าได้ยินจงึ บอกว่าไม่ต้อง
เสยี ใจ ถ้าพอ่ ไม่ตายวนั หนงึ่ คงไดเ้ หน็ ดี
พระสุธนพานางมโนห์ราเข้าเฝ้าพระมารดา พระบิดาเห็นต่างเมตตาเอ็นดู ชื่นชอบในความ งามและ
กรยิ ามารยาทท่เี พยี บพรอ้ มของนาง ทา้ วอาทิตยไ์ ด้ส่งั ให้เสนาอํามาตย์จดั ทําพิธีอภเิ ษกพระสธุ นกบั นางมโนห์รา
ขึ้นอย่างสมพระเกียรติ จัดให้มีมหรสพฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน บรรดาเจ้าพระยา หัวเมืองน้อยใหญ่เมื่อทราบข่าว
ต่างมาอวยพรกันทั่ว หลังเสร็จพิธีอภิเษกพระสุธนกับนางมโนหราได้ ครองคู่กันด้วยความสุข นางสนมกรมวัง
ตา่ งมคี วามสขุ เพราะได้รับการเล้ียงดูเอาใจใส่จากนาง มโนห์ราอยา่ งเสมอหน้ากันทกุ คน
กล่าวถึงพระยาจันทร์เมื่อครั้งงานมงคลพิธีอภิเษกพระสุธนกับนางมโนห์รา ไม่ได้มาร่วมถวายพร เมื่อ
ทราบขา่ วภายหลังด้วยความเกรงกลัวท้าวอาทิตยจ์ ะเขา้ ใจผดิ จงึ รีบแต่งสาส์นใหเ้ สนาสามคนนําไปทูลถวายท้าว
อาทิตย์ เมื่อเสนาเดินทางถึงเมืองอุดรบินจาต้อง เดินทางผ่านบ้านของพราหมณ์โหราพ่อของนางกาหนม
พราหมณ์โหราเหน็ เป็นโอกาสที่จะแกแ้ ค้นให้นางกาหนม จึงออกอุบายขันอาสาเสนาพระยาจันทร์ โดยบอกว่า
ตนเองเป็นพอ่ ตาพระสธุ นเคยนําสาสน์ เจา้ เมืองต่าง ๆ ขนึ้ ทูลถวายเปน็ ประจําเสนาหลงเช่อื จึงมอบสาส์นให้แล้ว
กลบั ไปทลู พระยาจันทร์ตามที่พราหมณผ์ ู้เฒ่าบอก จากนน้ั พระยาจันทร์คอยฟังสาส์นตอบจากท้าวอาทิตย์นาน
แล้วไม่เห็นตอบมาก็กังวลใจ ส่วนพราหมณ์โหราเมื่อรับสาส์นแล้วกลับนิ่งเฉยไว้ไม่นําขึ้นกราบทูล วันหนึ่งเม่ือ
๗
บ้านเมืองจะเกดิ เหตุจู่ ๆ กลางวนั เกดิ มดื คลุม้ ไปท่วั ท้องฟ้า ไมม่ ีฝน แต่เกิดฟา้ ผา่ สนั่น หว่ันไหวถูกต้นไม้กลางใจ
เมืองผู้คนวิ่งหนีกันอลหม่าน ท้าวอาทิตย์เห็นผิดปกติจึงให้หาโหรามาทํานายโหรเฒ่าทํานายว่าเป็นเพราะพระ
เสื้อเมืองภูมิเมืองไม่อยู่รักษาบ้านเมืองทําให้เกิดเหตุอาเภทภัย พร้อมกับทูลถวายสารตราพระยาจันทร์ซึ่งเฒา่
โหราแปลงสารว่าขอแข็งเมืองและจะยกทัพมาชิงนางมโนห์ราทําให้ท้าวอาทิตย์โกรธ จึงปรึกษาโหราว่าจะทํา
อย่างไรดี โหรเฒ่าได้ที่จึงออกอุบาย ว่าควรยกทัพไปตีเมอื งพระยาจันทร์เสยี กอ่ นจะดีกวา่ ทา้ วอาทติ ย์จึงดาํ ริจะ
ยกทพั ไปด้วยตนเองโหรเฒ่าทูลทัดทานพร้อมเสนอว่าถ้าจะให้คนอนื่ ไปกไ็ วใ้ จใครไม่ได้มีเพียงพระสุธนเท่านั้นที่
เหมาะสม ท้าวอาทิตย์จึงเห็นดีด้วยเพราะไม่รู้ว่าเป็นอุบายของโหรเฒ่าเจ้าเล่ห์ จึงให้พระสุธนไปทําศึกครั้งน้ี
โดยเกณฑไ์ พร่พล ชา้ งมา้ และแจง้ ข่าวแก่บรรดาหัวเมืองน้อยใหญ่ใหย้ กทัพมาชว่ ยทําศกึ ฝา่ ยพระสธุ นเมื่ออาสา
ออกศกึ นึกเป็นห่วงนางมโนห์ราท่ีจะต้องจากกนั ทั้งที่เพ่ิงครองคู่กันไดเ้ พียงหน่ึงเดือน กบั สิบห้าวันเท่าน้ัน ก่อน
จากพระสุธนขอผ้าสไบปิดทรวงนางไปดูต่างหนา้ และถอดพุทธธํามรงค์ไว้ ใหน้ างแทนตวั ดว้ ยความรักและเป็น
ห่วงนางมโนห์รา ก่อนจากไปพระสุธนจึงสัง่ แม่นมนางสนม สาวใช้ทั้งหลายให้ปรนนิบัติ ดูแลนางยามเจ็บไข้ได้
ป่วย ส่ังใหน้ ายพรานชว่ ยปกป้องคุ้มครองนางด้วย แล้วพระสธุ นก็พานางมโนหร์ าไปฝากพระมารดาให้ชว่ ยเลี้ยง
ดแู ทนตน ขอใหพ้ ระมารดาเอ็นดสู งสารนางมโนหร์ าท่ตี อ้ งพลดั บ้านเมืองมาอยคู่ นเดียว
เมื่อได้ฤกษ์ยามพระสุธนจึงยกทัพออกไปตีเมืองพระยาจันทร์ ยกทัพมาได้เจ็ดวันก็ถึงเมือง พระยา
จนั ทร์ สง่ั ให้ทหารล้อมเมืองไวแ้ ล้วท้าพระยาจันทรใ์ ห้ออกมารบกัน พระยาจนั ทรต์ กใจ กลวั ไม่รู้จะทําอย่างไรดี
เพราะไมเ่ คยคิดกระด้างกระเด่อื งจึงแตง่ ขา้ วของพร้อมพาธิดาสาวท่ชี ่ือศรมี าลา นาํ ออกไปถวายพระสุธนพร้อม
เล่าความจรงิ ต้งั แต่ต้นใหท้ ราบ พระสธุ นจึงทราบว่าเปน็ แผนการของตาเฒา่ โหรา จงึ ไมล่ งโทษพระยาจนั ทร์และ
ขอยกทัพกลับส่วนพระธิดาศรีมาลาน้ันให้นางตัดสนิ ใจเองว่าจะอยู่กบั พระบิดาหรือจะตามเสด็จไปด้วย นางศรี
ดอกไม้ขอเสด็จตามพระสุธนจงึ ยกทัพกลบั
กองทพั พระสธุ นเดนิ ทางมาหลายวนั ระหว่างการเดนิ ทางถึงกลางป่าแหง่ หนง่ึ มีลาํ ธารไหลผ่านขณะน้ัน
ยามเที่ยงพอดีพระสุธนจึงสั่งให้หยุดทัพเพื่อหุงหาอาหารกิน แล้วพระองค์ก็ลงสรง น้ำเปลี่ยนเครื่องทรงเข้า
พกั ผอ่ น กระทัง่ บา่ ยเห็นว่าบรรดาไพร่พลเดินทางมาหลายวนั เหน็ดเหนื่อยกัน จึงสัง่ ให้ตัง้ พลับพลาเพ่ือพักนอน
สักหนึ่งคืน ด้วยบุญบารมีของพระสุธน วันนั้นช้างเผือกเชือกหนึ่งซ่ึงอยู่ในป่าแหง่ นี้ เคยลงเล่นน้ำเป็นประจําก็
ลงมาเล่นน้ำตามปกติเดินผ่านที่ประทับอย่างสง่างามไม่เกรงกลัวใครลงไปเล่นน้ำในลําธารทหารเห็นเป็น
ชา้ งเผอื กทสี่ วยงามจึงวงิ่ ไปทูลพระสุธน ๆ จงึ สงั่ ใหห้ มอชา้ งทง้ั หลายเตรยี มลงไปจับชา้ งแลว้ พระองค์ก็อธิษฐาน
ว่าหากเป็นช้างคู่บุญบารมีกันมาแต่ชาติปางก่อนก็ขอให้จบั ได้ โดยง่ายอย่าได้แข็งขึ้น ถ้าไม่ใช่ขอให้เดินหนีเข้า
ป่าไป ปรากฏว่าพอสิ้นคําอธิษฐานช้างเผือกเชือก นั้นก็เดินขึ้นจากลําธารมาหยุดยืนหน้าที่ประทับให้หมอช้าง
จับนําเข้าถวายบังคมแต่โดยดี
กล่าวถงึ ทางเมอื งอดุ รเบญจา คืนหน่ึงนางเกศนีผู้มารดาหลบั ฝันว่าพระสธุ นซง่ึ ออกไปทํา ศึกกับพระยา
จนั ทร์ ถกู พระยาจันทรแ์ ผลงศรพรหมมาสตรเ์ ปน็ งูนาคราชรัดเท้าพระสธุ นเอาไวแ้ ล้ว พระยาจนั ทรฟ์ นั พระสุธน
ตัวขาดเลือดไหลนองทัว่ เมอื ง แค่นั้นไม่พอด้วยความโกรธแค้นพระยา จันทร์ผ่าเอาไส้ลากออกมาปล้ินวางเรยี ง
รายแลว้ นาํ ไปคล่ีต่างหญ้าคาเพื่อพลีเมืองนางตกใจตื่นร้อง ดังไปทวั่ แตกตื่นกนั ท้ังวัง เมอื่ นางตั้งสติได้จึงให้พระ
สนมไปตามนางมโนห์ราเข้าเฝา้ เลา่ ความฝนั ให้ฟงั นางมโนหร์ ารู้ว่าเป็นฝนั ดจี ึงบอกพระมารดาว่าอย่าไดเ้ ป็นทุกข์
๘
เลยพระสุธนไปรบครัง้ นีโ้ ชคดีได้รับชยั ชนะได้เมยี ใหมไ่ ด้ช้างเผอื กกลางปา่ และมิช้าก็จะกลับมา นางเกศนีจึงใจ
ชื้นขึ้นบ้าง แต่ด้วยความกังวลจึงนําความฝันขึ้นทูลแก่ท้าวอาทิตย์ผู้สามี ท้าวอาทิตย์จึงรับสั่งให้หาโหรมา
ทํานาย โหรเฒ่าเจ้าเลห่ ์บิดานางกาหนมรูว้ ่าเป็นฝนั ดีพระสธุ นไปรบคร้ังนี้ไดล้ าภใหญ่กลับมา โอกาสท่ีจะกําจัด
นางมโนห์ราออกไปเสียจากบา้ นเมืองจึงแกลง้ ทาํ นายวา่ พระสธุ นไปรบครั้งน้โี ชค ร้ายถกู พระยาจันทรล์ อ้ มจับได้
ขณะนี้ล้อมไว้เจด็ ชั้นและจะฆ่าใหต้ ายในสามวันทาํ ให้ท้าวอาทิตย์ นางเกศนีตกใจกลัวพระสุธนจะเป็นไปตามที่
โหรทํานายจึงขอร้องให้โหราคิดหาทางแก้ไขบอกว่าจะเอาอะไรให้บอกมายอมทุกอย่างขอเพียงให้พระสุธนได้
รอดกลับมา โหราจึงทูลวา่ มีทางเดียวคือส่งนางมโนห์ราให้ตนพาไปเผาไฟเพราะนางมโนห์ราเป็นลูกผีป่า มาไว้
ในเมืองจึงทําให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายต่าง ๆ ท้าวอาทิตย์หลงเชื่อคําทํานายจึงรับสั่งให้นางเกศนีไปพาตัว
นางมโนห์รา นางเกศนีสงสารนางมโนหร์ าก็สงสารแต่ชีวิตลูกสําคัญกว่า นางเกศนีนําเร่ืองราวทั้งหมดไปเล่าให้
นางมโนห์ราฟงั นางมโนหร์ าพอไดฟ้ ังกม้ ลงกอดเท้า แมผ่ ัวสลบไป พอร้สู ึกตวั นางกลา่ ววงิ วอนขอให้รอพระสุธน
กลับมาก่อน นางมโนห์ราบอกว่าความจริงพระมารดาฝันดีแต่โหรากลบั ทํานายเป็นรา้ ยเพราะเจ็บแค้นที่พระสุ
ธนรับนางมาแล้วขับไล่นางกาหนมออกจากวังคอยเมื่อพระสุธนกลับมาก่อนแล้วจะรู้ความจริงแต่นางเกศนีไม่
กลา้ ขัดคําสั่งทา้ วอาทติ ย์ขอให้นางมโนห์ราไปทูลขอผ่อนผนั เอาเอง นางมโนหร์ าไม่รู้จะทลู ทัดทานอย่างไรจึงลา
มารดากลับปราสาท เฝ้าแต่รําพึงคิดถงึ พระสุธนที่ได้อยู่ร่วมกันเพียงเดือนกับสบิ ห้าวันก็ต้องมาพลัด พรากจาก
กันมาวันนี้นางจะต้องถูกเผาไฟไม่ได้เห็นหน้ากัน ยิ่งคิดยิ่งโศกเศร้าหวนคิดถึงคําตักเตือนสั่งสอนของพระบิดา
มารดาจึงต้องจากมาพบชะตากรรมเช่นน้ี คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตที่ผ่านมา นางสุดโศกเศร้าเสียดาย จึง
บอกกับนางสนมกํานัลทั้งหลายใหช้ ่วยปลอบใจและดูแลพระสุธนแทน นางด้วย แล้วเขียนเล่าเรื่องราวทั้งหมด
และอธิษฐานว่าชาติหน้าขอให้ได้พบและครองคู่กันใหม่ฝาก แม่นมไว้ให้พระสุธน ฝ่ายโหราสั่งคนให้ขนฟื้นมา
กองจดุ ไฟเตรยี มไว้ คอยอยูน่ านไมเ่ ห็นส่งตวั นางมโนห์ราให้ก็ เข้าไปเร่งให้ท้าวอาทิตย์ส่งตวั โดยเรว็ ทา้ วอาทิตย์
จงึ ให้เสนาไปทลู นางเกศนีใหร้ บี สง่ นางมโนห์ราให้ นางเขา้ กราบทูลพระสวามีขอใหง้ ดโทษไวส้ ่หี า้ วนั ให้พระสุธน
กลบั มาก่อนโหราไม่ฟังพร้อมสําทักว่าถา้ ส่งตัวให้ทําพิธีไม่ทันเกินสามวันพระยาจันทร์ฆ่าพระสุธนแล้วจะเสียใจ
ท้าวอาทิตย์จึงสั่งให้พานางมโนห์รามาให้ นางมโนห์ราเมื่อรู้ว่าคงไม่รอดชีวิตแน่แล้วจึงสั่งให้สาวใช้ไปบอก
นายพรานแล้วแต่งเครื่องทรงเดินลงไปหน้าพระที่นั่ง ทุกคนเห็นต่างตะลึงเสียดายความงามความดีของนาง
ฝา่ ยโหราเห็นทกุ คนตะลงึ หลงใหลในความงามของนางกเ็ ตือนใหเ้ ร่งสง่ ตัวโดยเรว็
ฝ่ายนายพรานพอสาวใช้แจ้งข่าวก็รีบจับอาวุธประจําตัวจัดกระสุนแบกปืนยา เดินลงจากเรือนทันที
พลางร้องสั่งเมียให้ฝังสมบัติแล้วพาลูกหลบไปอยู่ชายป่ามาถึงหน้าปะรําพิธีก็เป่ามนต์กําบังตัว เข้าไปหมายว่า
ถ้าโหราพานางมโนห์รามาเผาจะยิงเสียให้ตาย ฝ่ายโหราก็เตือนให้ส่งนางมโนห์ราอยู่เป็นระยะ ท้าวอาทิตย์จึง
จําใจส่งนางมโนห์ราให้ ฝา่ ยนางมโนหร์ าเมอ่ื รูว้ ่าต้องตายแน่ก็คิดอบุ ายบอกว่าอย่างไรเสยี เม่ือตนจะตายแล้วขอ
รำถวายหน้าพระที่นั่งสักครั้ง นางจึงระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยผลบุญที่สร้างไว้คุณบิดามารดา ครู อาจารย์
เทวดา ฟ้าดนิ เจ้าป่า เจา้ เขาทง้ั หลาย ใหเ้ อน็ ดูสงสารนาง ด้วยบุญญาธกิ ารของนางร้อนถึง พระอนิ ทร์ต้องลงมา
ช่วยด้วยการดลใจให้คนทั้งหลายเพลิดเพลินชมการร่ายรำจนลืมตัวกันหมดทุกคน แม้กระทั่งนางกาหนมซึ่ง
ออกมาแอบหลังโหราผู้เป็นพ่อชมการร่ายรําอยู่ด้วยยังตกตะลึงหลงใหลในความงามของนางมโนห์รา แต่ก็ดีใจ
๙
สะใจที่จากน้ีไปนางมโนหร์ าจะได้ไปพ้นหูพ้นตาเสียที นางมโนห์ราเห็นแปลกตาจึงถามมารดาว่าใคร มารดาจงึ
บอกว่านั่นแหละคือนางกาหนมลูกสาวของเฒ่าโหรา เมียเก่าของพระสธุ น
นางมโนห์ราจะถูกเผาไฟจึงอ้อนวอนขอปีกหางต่อพระมารดา โดยบอกพระมารดาว่าถ้าให้ปีกหางจะ
ทาํ ให้ฟอ้ นรําไดส้ วยงามย่งิ ข้ึน พระมารดาไดฟ้ ังดังนั้นจงึ ส่งปีกหางใหแ้ กน่ างมโนหร์ า เมือ่ นางมโนห์ราได้สวมปีก
หางเรยี บร้อยแล้วก็ได้ออกกลอุบายขอให้เปิดช่องหลังคาให้ดว้ ยเม่ือสบโอกาสนางจึงบินหนีไปทางช่องหลังคาที่
เปิดไว้ ฝ่ายพราหมณ์โหราเมื่อเห็นดังนั้นก็ตื่นตระหนก ตกใจ ท้าวอาทิตย์ก็ทรงตกพระทัย และตรัสถามไปว่า
ใครเป็นผู้ให้ปีกหางแก่นางมโนห์รา เมื่อทราบว่าเป็นนางเกศนีผู้ภรรยาก็ไม่รู้จะทําอย่างไร ฝ่ายนางเกศนีผู้
มารดาพยายามร้องอ้อนวอนนางมโนห์ราว่าอย่าหนีไปเพราะพระสุธนจะโศกเศร้าเสียใจและโกรธเคืองพระ
มารดา ด้ายความดีอกดีใจท่ีเห็นนางมโนหร์ าบินหนีไปได้ แต่ก็อดใจหายไมไ่ ด้และตัดสนิ ใจทีจ่ ะเดิน ทางไปหา
พระสธุ นเพ่อื กราบทลู ความจรงิ ให้ทรงทราบ
กล่าวถึงพระสุธนกระวนกระวายร้อนรนกายตลอดเวลาด้วยความคิดถึงเป็นห่วงนางมโนห์รา คืนหนึ่ง
ไดฝ้ นั วา่ แหวนหลุดจากมือสว่ นผ้าก็ถกู ซดั เข้ากองไฟจึงให้พราหมณ์โหราชว่ ยทํานายโหราได้ทํานายว่านางมโนห์
รามีผู้ริษยามุ่งปองรา้ ยหวังจะฆ่าให้ตายโดยการยุยงให้เอาเผาไฟ แต่นางมโนห์ราก็หนีรอดไปได้อย่างปลอดภัย
และจะมีผู้เดินทางมาบอกความจริงแก่พระสุธนถึงในกลางไพร ส่วนนางมโนห์ราเมื่อบินจากเมอื งมาก็จะมาหา
พระสุธนเพื่อไหว้ลากอ่ นจะจากไป ฝ่ายนายพรานบุณเดินปา่ อยู่หลายวันกว่าจะถึงพลับพลาของพระสุธน และ
ไดเ้ ลา่ เรอ่ื งราว ทง้ั หลายทเี่ กดิ ขน้ึ ให้พระสธุ นฟงั ตั้งแตพ่ ระชนนีฝัน พระโหราทาํ นาย ทา้ วอาทติ ย์หลงเช่ือส่งตัว
ให้ โหราทําพิธีเผาไฟ กระทงั่ นางมโนห์ราบินหนีไปได้
กล่าวถึงนางมโนห์ราเมื่อบินจากเมืองมาแล้วก็มุ่งหน้าไปหาพระสุธน เมื่อถึงพลับพลาที่พระสุธน
ประทับอยู่ นางมโนห์รารอ่ นลงเกาะต้นไทรใหญ่ที่พระอนิ ทร์เนรมิตให้ เลา่ เรอื่ งราวทั้ง หมดให้พระสุธนฟงั พระ
สุธนขอร้องวิงวอนให้นางมโนห์ราลงมาหาพระองค์และกลับเข้าเมือง ด้วยกันแต่นางมโนห์ราก็ปฏิเสธ บอกว่า
ชาวเมืองต่างลอื กันว่านางเป็นหญิงชัว่ ไม่ดี วิ่งโรห่ าผู้ชาย ใคร ๆ ก็จะว่าได้ว่าเขาไลแ่ ลว้ ยงั จะกลบั มาอีก แม้วา่
พระสุธนจะกล่าวอ้อนวอนอย่างไรนางก็ไม่ยอม พระสุธนจึงขอแค่เพียงให้นางลงจากต้นไทรแล้วจะจากไปก็ไม่
วา่ นางมโนหร์ าไม่ยอมอีกบอกวา่ ชาติน้ีเกิดมามกี รรม เกิดชาติหน้าขอใหไ้ ด้ครองคู่กนั ทุกชาติไป และถา้ นางไป
แลว้ อย่าตามนางไป เลยเพราะทางไปเมืองไกรลาสเต็มไปด้วยอนั ตรายตา่ ง ๆ มากมาย
เมื่อนางมโนห์ราบินจากพระสุธนไปแล้ว พระสุธนเสียใจยิ่งนักก่อนยกทัพกลับเมืองได้ ขอให้นางศรี
ดอกไม้ท่ีตามเสด็จมาจากเมืองพระยาจันทร์กลับคนื เมืองไปเพราะพระองค์เมื่อกลบั ถึง เมืองแล้วจะไม่อยู่ครอง
เมืองแต่จะออกติดตามหานางมโนห์รา กล่าวถึงนางมโนห์ราบินร้องให้มาก ลางอากาศ มาถึงอาศรมพระฤาษี
นางจึงได้ร่อนลงไปเล่าเรื่องราวให้พระฤาษีฟัง ก่อนจากไปนางได้ ฝากพระภูษากับถอดแหวนพุทธธาํ มรงคฝ์ าก
ไว้ให้พระสุธน บอกว่าหากพระสุธนตามมาให้พระฤาษีมอบแหวนนี้ให้เพื่อใช้ป้องกันภัยอันตราย จากสัตว์ร้าย
ครฑุ ยักษ์ ปักษี ระหวา่ งการเดินทางไป เมืองไกรลาส ถา้ จะขา้ มแมน่ ำ้ ก็ใสแ่ หวนแลว้ ช้ไี ป จระเข้ งรู า้ ย กจ็ ะหนี
ไป จากน้ันนางก็บนิ ต่อ ไปกระท่งั ถงึ ต้นไมแ้ กว้ ฉิมพลี นางจึงรอ่ นลงทีร่ งั ของลูกนางนกอินทรีแล้วเล่าเรอ่ื งราวให้
นางฟัง บอกวา่ หากพระสธุ นตามมาถึงไม้แกว้ ฉิมพลนี ี้ขอให้ลูกนางนกอินทรีชว่ ยปกป้องคุ้มครองพระสุธน และ
ส่งพระสุธนใหไ้ ปถึงเมอื งไกรลาสดว้ ย
๑๐
กล่าวถงึ เมืองไกรลาสนางเทพกินรีมารดาของนางมโนหร์ าคร่ำครวญคิดถึงลูกรัก อยู่มาคืน หนง่ึ นางฝัน
ประหลาดจึงเล่าให้ท้าวทุมพรฟัง ท้าวทุมพรจึงสั่งให้โหรมาทํานาย โหรทํานายว่า นางมโนห์ราจะได้กลับคืน
เมืองไกรลาส โดยมีพระสุธนติดตามมาภายหลัง ท้าวทุมพรทราบก็ดีใจจึงรับสั่งให้มีการเตรียมงานฉลองการ
กลบั มาของนางมโนหร์ าเปน็ การใหญ่ ใหจ้ ดั หาการละเลน่ ระบาํ ราํ ฟอ้ นตา่ ง ๆ ไวใ้ หพ้ ร้อมนางมโนห์ราเมื่อบิน
กลับมาถึงกรุงไกรลาส เล่าความเป็นมาให้พระบิดาและพระมารดาฟังทั้งหมด ท้าวทุมพรโกรธแค้นมากตรสั ว่า
หากพระสุธนตามมาจะฆา่ เสยี ให้ตาย พระมารดาได้ฟังจึงร้องหา้ มว่าเหตุไม่ได้เกิดจากพระสุธนและพระมารดา
ของพระสธุ นกม็ เี มตตา นางมโนห์ราจึงไดร้ อดกลับมา ทา้ วทมุ พรไดฟ้ ังจึงคลายความโกรธลงบา้ ง
กล่าวถึงพระสุธนยกทัพถึงเมืองบรรดานางสนมเล่าความทั้งหมดให้พระสุธนฟังทำให้พระสุธนยิ่งขัด
เคืองใจยง่ิ ขนึ้ และเมอ่ื เหน็ สงิ่ ของท่ีนางมโนหร์ าเคยใช้กใ็ ห้ใจหาย ราํ พึงราํ พันถงึ นางมโนห์รา ส่วนนางกาหนมรู้
วา่ พระสุธนกลบั มาแล้วจึงคิดจะไปหาเพราะคิดว่าพระสุธนคงเหงา และจะได้อยู่ครองคู่กับพระสธุ นสืบไป ฝ่าย
พราหมณ์โหราผู้เป็นพ่อบอกกับลูกสาวว่า อย่ากังวลไปเลยพ่อจะช่วยแก้ไขให้เอง จากนั้นก็หยิบตํารามาดูเลข
ยันต์ และลงยันต์ทําเสน่ห์ให้แก่ลูกสาวหลังเสร็จสรรพพิธีเรียบร้อยสองพ่อลูกก็ชวนกันไปเฝ้าพระสุธ น ด้วย
ความโกรธแคน้ พระสุธนเหน็ สองพ่อลูกจึงส่งั เสนาให้จบั ตัวนาํ ไปจองจาํ เสยี พระสธุ นปรึกษา และชวนพรานบุณ
เพื่อจะไปติดตามหานางมโนห์รา และได้ไปกราบลา พระมารดา พระมารดาก็ได้ตัดพ้อพระสุธนว่าจะทิ้งพ่อแม่
ที่แก่ชราไปต่อไปใครจะดูแลผู้หญิงที่สวย ๆ นั้นมีอยู่ทั่วไปหาท่ีไหนก็ได้อย่าไปเลย แต่พระสุธนก็ยืนยันว่าไม่มี
ใครเหมือนกับนางมโนห์รา และยืนกรานจะไปตามหานาง พระมารดาเห็นว่าทัดทานลูกไว้ไม่ได้แน่จึงจัดข้าว
ของเตรียมให้พระสุธน ส่วนพระสุธนได้ให้เสนาไปป่าวประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าจะจัดเลี้ยงให้ทานแก่
พระสงฆ์ พราหมณ์ ชี เป็นเวลา 3 วัน เมื่อเสร็จสิ้นทุกประการแล้วจึงกราบลาพระมารดา และไปเฝ้าพระบิดา
พระบดิ าเหน็ พระสุธนก็ได้ยอมรับผิดกับพระสธุ น พระสธุ นไดต้ ดั พอ้ ตอ่ วา่ พระบดิ าวา่ ไม่รู้เท่าทนั คน พระบิดาได้
ฟังพระสุธนตัดพ้อด้วยความน้อยใจก็ได้ปลอบประโลมว่าอย่าได้อาลัยอาวรณ์ไปเลย จะหาสาวงาม ลูกท้าว
เจ้าพระยามาให้ พระสุธนไม่พอ ใจบอกว่าจะขอลาไปตามหานางมโนห์ราในป่าถ้าไม่พบก็จะตดิ ตามไปเรือ่ ย ๆ
จนกว่าจะพบหรือไม่ ก็จนกว่าจะตาย จากนั้นจึงกราบลาพระบิดา เมื่อมิอาจทดั ทานไว้ได้ พระบิดาจึงให้พรแก่
พระสุธน ใหเ้ ดนิ ทางไปด้วยความปลอดภยั จากนั้นพระสธุ นกลับมาท่ปี ราสาทปล่อยนก ๕๐๐ กรง เสร็จแล้วจึง
สั่งเสนาให้ไปตามพรานบุณเพื่อออกเดินทาง พระสุธนกับพรานบุณเดินทางมาจนถึงอาศรม พระฤาษี พระฤาษี
ได้บอกความตามทน่ี างมโนหร์ าส่งั ไว้ พรอ้ มกบั มอบแหวนและผา้ ให้ แตบ่ อกว่า ก่อนทพ่ี ระสธุ นจะเดินทางไปตา
มหานางมโนห์รา ควรที่จะอยู่เรียนวิชาเสียก่อนเพราะการเดินทาง ไปยังเมืองไกรลาสนั้นเต็มไปด้วยอันตราย
พระสุธนเห็นด้วยจึงอยู่เรียน คาถา อาคมกับพระฤาษี จนสําเร็จวิชามีฤทธ์ิ อํานาจ สามารถกําบังตัวได้แล้ว จึง
ลาพระฤาษีเดินทางตามหานาง
พระสุธนกับพรานบุณไดเ้ ดินทางบุกป่าฝ่าดง ชมนก ชมไม้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถงึ แม่น้ําใหญก่ ว้าง
สามโยชน์ขวางหน้าอยู่ มีจระเข้และสัตว์ร้ายมากมาย ซึ่งไม่สามารถข้ามไปได้ เพราะไม่มีเรือแพ พรานบุณจึง
ชวนพระสุธนกลับเมือง พระสุธนฟังพรานบุณก็ยิ่งเศร้าเสียใจด้วย คิดว่าคราวนี้อย่างไรก็คงไม่พ้นความตาย
และจะไม่ขอกลบั เมืองถ้าข้ามไปไม่ได้กจ็ ะนั่งจนตาย อย่ทู ช่ี ายฝั่งนำ้ นี้ จงึ ขอรอ้ งให้พรานบุณกลับเมืองและแจ้ง
ข่าวแก่พระมารดาให้มารดาช่วยทําบุญแผ่ กุศลให้พระองค์ด้วย พรานบุณจึงจําใจเดินทางกลับทั้ง ๆ ที่รู้ชะตา
๑๑
กรรมตัวเองดีว่าแม้ไปกราบ ทูลจะต้องถูกประหารชีวิตเป็นแน่แต่จะขัดก็ไม่ได้ จึงเข้าเฝ้าแจ้งข่าว แก่พระ
อาทิตย์เมื่อพระอาทิตย์ ได้ฟังก็สั่งให้ทหารนําพรานบุณไปจําคุกทันที พรานบุณจึงถูกจองจําได้รับความทุกข์
เวทนาย่งิ
กล่าวถึงพระสุธนนั่งอยู่เพียงลําพังชายแม่น้ําใหญ่คิดว่าขึ้นนั่งไปก็มีแต่ตายสถานเดียวจึง นําแหวนมา
สวมใส่แล้วรอ้ งประกาศแก่เทวาทุกสถานไหว้คุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ให้ร้อนไปถึงพระอินทร์ พระอินทร์
จึงเพ่งดูรู้ว่าพระสุธนจะข้ามแม่คงคาเพื่อไปตามหานางมโนห์ราจึงรับสั่งให้พระวิษณุกรรมมาช่วยเหลือ พระ
วษิ ณุกรรมจงึ เนรมติ เปน็ แพพาพระสธุ นขา้ มแมน่ ำ้ ไปได้
พระสุธนเดนิ ทางตดิ ตามนางมโนหร์ ามาคนเดยี ว เดนิ ทางขา้ มแม่น้ำ บกุ ป่าฝา่ ดง และหบุ เหว มาได้เจ็ด
วัน ลุถึงแดนพญานาคซึ่งนอนขวางทางคอยจับสัตว์ต่าง ๆ กินเป็นอาหาร เมื่อมันเห็นพระสุธนจึงแบนจวัก
หมายจะจับเป็นอาหาร พระสธุ นจงึ เสกคาถาช้ีนว้ิ ไปเป็นทาง พญานาคเกรงกลวั บารมีจึงหลีกทางให้ พระสุธน
เดินทางต่อไปถึงเขาไกรไทยเป็นเขาใหญ่สูงถึงห้าโยชน์มีช้างเผือกสองตัวกําลังต่อสู้แย่งชิงบริวารกันอยู่ พระสุ
ธนจึงชี้นิ้วเป่ามนต์ไป ช้างนั้นจึงหยุดหลีกทางให้แต่โดยดี แล้วเดินต่อไปถูกหนามเกี่ยวบาดไปทั่วกายเท้าท่ี
เหยียบกรวด เหยียบทราย และหินก็ปวดระบมไปหมด จึงนั่งลงรําพึงคิดถึงความลําบากที่ต้องตรากตรํา
เดินทางตามหานาง ในที่สุดจึงคิดถึงพระฤาษีจึงร่ายมนต์ที่ตาฤาษีให้มาทําให้มีกําลังดังช้างสารมีเรี่ยวแรง
เดินทางต่อไป เดินไปอกี สามวนั ไปเจอด่านยักษ์ ๆ เหน็ พระสธุ นเดนิ มาก็หมายจะจับกินเปน็ อาหาร พระสุธนจึง
ร่ายคาถาช้ีนว้ิ ที่สวมแหวนพุทธธํารงค์ไป ยักษเ์ กรงตบะฤาษีและฤทธ์ิแหวนพุทธธาํ รงค์ จงึ หลบหลกี ทางให้ พระ
สุธนเกินไปอีกสามวันถึงเขากระทบกันเสยี งสนัน่ หวัน่ ไหวเกิดเป็นไฟลุกวาว หมอกควันมืดคลุ้มไปทัว่ พระสุธน
เหน็ ถึงหมดเร่ยี วแรงทรุดนั่งลงแลว้ รา่ ยเวทยส์ วมแหวน พุทธธาํ รงคช์ ไ้ี ปทเี่ ขากระทบกันหมอกควันและเขานั้นก็
หายไป พระสุธนเดินปีนป่ายภูเขาเข้าสู่ป่า ผ่านป่าถึงภูเขาเป็นภูเขาไฟที่ส่ายโอนไปมาปิด ๆ เปิด ๆ มียักษ์
นนทรีย์สงู ใหญ่สองตนเฝา้ ประตูถือตะบองโตฟาดฟันกันลุกเปน็ ไฟดนู ่ากลัว พระสธุ นจงึ ร่ายพระเวทย์ชี้น้ิวพุทธ
ธาํ รงค์ไปนนทรยี ์
ทั้งสองกลายเป็นหินยืนแข็งทื่อพระสธุ นเดินเข้าใกล้หนิ ที่หุบปิดไวแ้ ล้วรา่ ยคาถาสามจบหินนั้นก็ เลื่อน
ออกเปิดเป็นประตูให้เดินเข้าไป ปรากฏภายในเป็นถ้ำซึ่งเต็มไปด้วยงูนานาชนิดพระสุธนก็เดินฝ่าไปได้กระทั่ง
สามวันถึงภูเขาสูงใหญ่เทียมฟ้า พระสุธนก็อุตส่าห์เดินปีนป่ายข้ามท่อธารสายน้ำ ห้อยโหนเถาวัลย์ ปีนป่าย
สูงขึ้น ๆ สามวันถึงยอดเขา ได้ยินเสียงนกร้องอยู่บนปลายต้นไม้แก้ว ฉิมพลีต้นใหญ่สูงประมาณสองโยชนง์ อก
อยบู่ นยอดเขา เม่ือเดินเข้าไปที่ใตต้ ้นเห็นกระดูกสัตวน์ านา ชนดิ กองอยู่เรยี งรายให้รู้สึกอกสั่นขวัญหาย ย่ิงเห็น
นกอินทรีตัวใหญ่คาบวัวควายมากินกระดูกตก หล่นเกลื่อนกลาด นึกอนาถในใจอาจต้องมาตายที่ยอดเขานี้แน่
เพราะมองไปเห็นแตต่ ้นไม้แก้ว ฉมิ พลนี ้ีเท่านัน้ ท่ีจะปนี ปา่ ยขึ้นไปได้ ซ่งึ ไมร่ จู้ ะปีนขึ้นไปได้อย่างไรจะกลับหลังก็
ไม่ได้นั่งนึกตริ ตรองอยู่นาน จึงยกมืออธิษฐานไหว้คุณพระรัตนตรัย คุณครูอาจารย์คุณบิดามารดา เจ้าป่าเจ้า
เขาเจ้า ห้วยเจ้าหนองเทวดาฟ้าดินตลอดถึงผลศีลผลทานที่สร้างสมมาชว่ั ชวี ิตใหช้ ่วยเหลือ สน้ิ คาํ อธิษฐาน เกิด
อัศจรรย์เขาพระสุเมรุเอนเอียง ป่าไม้เงียบสงัดฝูงสัตว์ทัง้ หลายต่างเงือ่ งงงเหงาหงอยไปทั่ว ด้วยบุญบารมี ร้อน
ถึงอาสน์พระอินทร์ว่าผู้เดือดร้อนคือองค์พระโพธิญาน จึงสั่งให้พระวิษณุกรรม และท้าวมาตุลีลงไปช่วย เมื่อ
๑๒
เทพทั้งสองลงมาท้าวมาตุลีแปลงกายเป็นย่านไทรย้อย พระวิษณุกรรม แปลงเป็นบันไดห้อยลงให้พระสุธนปีน
ไปถงึ ยอดไมแ้ ก้วฉมิ พลี เมอ่ื ถงึ ยอดไมจ้ งึ หยดุ ทีค่ าคบมอง ไปเห็นปราสาทเมืองไกรลาสอยูล่ บิ ๆ
วันนั้นพญานกอินทรีพาบริวารหมื่นสี่พันออกไปหากินท้ิงลูกสาวให้อยู่เฝ้ารัง พระสุธนปืน ป่ายไปยัง
ปลายไม้ท่ลี กู สาวนางนกเฝ้ารังอยู่เสกคาถาสะกดให้นางนกหลงลืมตวั ยอมให้พระสุธน เขา้ ไปในรัง เม่ือซักไซ้ไล่
เลยี งกนั จงึ รู้วา่ นางมโนหร์ าส่ังไว้หากวนั ใดพระสธุ นเดินทางผา่ นมาให้ ช่วยเหลือให้ไปถึงเมืองไกรลาสด้วย พระ
สุธนจึงแปลงตัวเป็นไรซ่อนอยู่ใต้ปีกของนางนก เมื่อพญานกทั้งสองและบริวารกลับมาพร้อมวัวควายที่เป็น
อาหาร ก็เข้าไปหาลูกสาวเหมือนทุกคราวที่เคยปฏบิ ัติมา ลูกนกพาตวั หนีเกรงแม่จะรู้ว่ามีคนแอบซุกซ่อนอยู่ทํา
ให้แม่นกแปลกใจยิ่งได้กลิ่นสาบผู้ชายยิ่งสงสัยจึงร้องถามไป ลูกนกทําเสแสร้งแกล้งพูดกลบเกลื่อนให้แม่นก
คลายสงสัยพร้อมถอยหนีไปห่าง ๆ คืนนั้นพอนกทั้งหลายเข้ารังลูกนกจึงวางแผนกับพระสุธนว่าวันพรุ่งนี้เมือง
ไกรลาสเขาจะจัดพิธีสระหัวนางมโนห์รา แม่นกจะออกไปกินวัวควายที่เขาฆ่าในงานจะให้พระสุธนแฝงตัวไป
วันรุ่งขึ้นลกู นกทําที่หายเง้างอนเข้าไปในรังของแม่ พระสุธนจึงเข้าไปซ่อนที่ใตข้ นหวั ของแม่นกอินทรีเพื่อไม่ให้
แม่นกไช้ขนไปเจอตัวได้เวลาฝูงนกก็บินออกจากรังแม่นกรู้สกึ หนักตัวบินไม่ได้ แต่พยายามฝืนบินไปจนกระท่ัง
ถึงเมืองไกรลาส เห็นฝูงนกที่มาถึงก่อนแล้วกินวัวควายอยู่เกลื่อนไป ก็ร่อนลงพระสุธนจึงออกจากขนหัวนิรมิต
เป็นมนุษย์รอ้ งตวาดไปสามทฝ่ี งู นกท้ังหลายตกใจบินหนีไปหมด พระสธุ นจึงแบกถุงได้จับศรศิลป์เดินตัดทุ่งมุ่งสู่
กรุงไกรลาสทนั ที มองไปเห็นปราสาท
ราชวังสวยงามมีภูเขาทองอยู่สี่มุมเมือง ด้านตะวันออกมีศาลาใหญ่หลังหนึ่งมีห้องถึงเก้าห้องริม ศาลา
มีสระโบกขรณีผู้คนหญิงชายเดินมาตักน้ำอยู่ไม่ขาดสาย พระสุธนเข้าไปพักในศาลาคิดหาทาง ส่งข่าวถึงนาง
มโนหร์ า
ฝ่ายท้าวทุมพรหลังจากนางมโนห์รากลับถึงเมืองแล้วก็เตรียมการสระหัวนางมโนห์รา เพื่อทําพิธี
สะเดาะเคราะหโ์ ดยส่งั ให้สร้างเบญจาจดั หามหรสพเตรียมการไว้ แลว้ สง่ั ให้ลูกสาว เจา้ พระยาท้ังเจ็ดคนนําโดย
ท้าวบาทไปตักน้ำในสระโบกขรณีเตรียมสระหัวนางมโนห์รา ขณะเดินทางไปยังสระน้ำก็พูดถึงนางมโนห์ราไป
พลาง พระสุธนได้ยนิ สนมสาวใช้พูดถงึ นางมโนห์ราว่าสงสารนางท่ีต้องทนทุกข์จากการพลัดพรากจากพระสุธน
มา เมื่อสาวใช้เดินผ่านศาลาพระสุธนจึง เป่ามนต์สะกดสาวใช้ทั้งเจ็ดคนให้ลืมตัว ต่างหลงใหลเคลิบเคลิ้มใน
ความสง่างามของพระสุธน ๆ จึงถามว่าจะตักน้ำไปทําอะไร เมื่อทราบว่าจะนําไปสระหัวนางมโนหร์ าพระสุธน
จึงเห็นเป็นโอกาส ที่จะฝากแหวนพุทธํารงค์ไปให้นางมโนห์รารู้ว่าพระองค์เสด็จตามมาถึงเมืองแล้ว พอสาวใช้
ท้ังเจ็ด คนนํากระออมเงินกระออมทองไปตักน้ําพระสุธนจงึ เป่ามนตส์ ะกดให้กระออมทองใบหนึง่ ติดอยู่กับท่ียก
เท่าไรก็ไม่เคลื่อน ท้าวบาทหัวหน้านางสนมเห็นเป็นอัศจรรย์ไม่ทราบจะทําอย่างไรจึงไป ขอร้องพระสุธนให้
ช่วยเหลือ พระสุธนจงึ ถือโอกาสเกี้ยวพาราสีเล้าโลมกอดจูบและสัญญากันวา่ ต่อ ไปภายหน้าพระสุธนจะเข้าไป
หา เมอ่ื พระสธุ นพูดจาเลา้ โลมสรา้ งไมตรจี นเป็นที่พอใจแล้วจึงลงไปทสี่ ระน้ำแอบเอาแหวนพุทธริ งค์ใส่กระออม
อธิษฐานใหแ้ หวนนน้ั ไปสวมน้ิวมอื ของนางมโนหร์ า แลว้ คลายพระเวทยย์ กกระออมนนั้ สง่ ให้นางทา้ วบาท
ฝ่ายท้าวทุมพรเมื่อเตรียมการพร้อมแล้วจึงให้โหรดูฤกษ์ยาม โหรกราบทูลว่าพิธีสระหัวจะ เกิดความ
วุ่นวายในบา้ นเมือง แตท่ ้าวทุมพรไม่ฟังสง่ั ให้จดั ทาํ พธิ ตี ามฤกษท์ ี่ไดม้ าโหรจึงเริ่มทาํ พิธรี ่ายคาถาขบั ไล่ผีไพรผีป่า
ที่เข้ามาสิงสถิตในตัวนางพลางเอาน้ำรดหัวนางมโนห์รา ขณะที่นางเอา มือขึ้นสระผมแหวนพุทธธํารงค์ก็สวม
๑๓
สอดนิ้วของนางตามคําอธิษฐานของพระสุธนทันที นางจึงรู้ ว่าพระสุธนตามนางมาถึงเมืองไกรลาสแล้ว ด้วย
ความรสู้ ึกเอน็ ดสู งสารพระสุธนที่ตอ้ งลําบากเดิน ทางผา่ นปา่ เขาผา่ นภยันตรายต่าง ๆ กวา่ จะมาถึง นางจงึ ทุบตี
อกร้องไหค้ ร่ำครวญกลิ้งเกลือกจน หมดสตแิ นน่ ่ิงไป ทุกคนต่างตกอกตกใจเข้าชว่ ยแก้ไข ทา้ วทุมพรเรียกโหรให้
ดูว่าฤกษ์ยามเป็นอย่างไรผดิ พลาดตรงไหน โหรทูลว่าได้ทักไวแ้ ต่ต้นแล้วว่าจะเกิดเหตุให้ตกอก ตกใจ แต่ต่อไป
จะได้ลาภใหญบ่ ้านเมืองจะสงบร่มเยน็ ท้าวทุมพรจงึ ค่อยสบายใจสั่งใหห้ าหมอมาช่วยรักษา กระทั่งนางมโนห์
ราไดส้ ตนิ างเทพกนิ รผี ้มู ารดาจึงไล่เลยี้ ง ไต่ถามนางมโนห์ราจงึ สง่ แหวนให้พระมารดาแล้วบอกวา่ นางฝากแหวน
นี้ไว้กับพระฤาษีชะรอยว่า พระสุธนได้มาพบฤาษีจึงดั้นด้นตามมาถึงเมืองไกรลาส นางมโนห์ราขออนุญาต
ออกไปพบพระสธุ นพระมารดาไม่เห็นดว้ ยขอใหใ้ จเย็นไว้ก่อนเพื่อไปทลู ขอพระบิดา นางเทพกินรจี ึงเข้าเฝ้าท้าว
ทุมพรพูดหว่านลอ้ มลอ่ ให้ทา้ วทมุ พรรับปากว่าจะทาํ ตามท่ีพูดทุกอย่าง นางจงึ ถามว่าถ้าหากพระ สุธนเสด็จตาม
นางมโนห์รามาจะทําอย่างไร ท้าวทุมพรตรัสว่าถ้าตามมาก็จะจัดพิธีอภิเษกให้ นาง เทพกินรีจึงทูลว่าเป็น
กษัตริย์พูดคําไหนต้องเป็นคํานั้นขอพระองค์อย่ากลับคําสัญญา แล้วนางก็เล่า เรื่องราวทั้งหมดอันเป็นเหตุให้
นางมโนห์ราป่วยดังนั้นจะทําอย่างไร ท้าวทุมพรจึงโกรธนางเทพ กินรีที่เสแสร้งแกล้งมาพูดให้พระองค์หลง
สัญญากับนาง ด้วยพระองค์ยังโกรธแค้นที่พระสุธนทําไว้กับนางมโนห์ราว่าเหมือนไม่ใช่คน ดังนั้นถ้าพระสุธน
ตามมาจริงก็ต้องลงโทษทัณฑ์ให้สาสม นางเทพกินรี ได้ฟังจึงตัดพ้อต่อว่าท้าวทุมพรว่าสัญญาแล้วไม่ทําตาม
สัญญาเป็นกษัตริย์ทําได้อย่างไร ทําให้ท้าวทุมพรยิ่งโกรธแค้นยิ่งขึ้นกลับเข้าสู่ห้องบรรทมไม่พูดไม่จากับใคร
นางเทพกินรจี งึ ปลอบ วา่ พระบิดาไมเ่ ห็นดว้ ยให้ใจเย็น ๆ ค่อยหาโอกาสเหมาะ ๆ แมจ่ ะพูดใหเ้ สด็จพอ่ เข้าใจ
วันหน่ึงนางเทพกินรีแต่งองค์ทรงเครื่องประดับอย่างดี ประพรมแป้งจันทน์น้ำมันหอมฟัง เข้าเฝ้าท้าว
ทุมพรที่ท้องพระโรง ท้าวทุมพรแปลกใจจึงตรัสถาม นางจึงทูลว่าอันตน้ ไม้ตาย เพราะลูกนางทนไม่ได้ท่ีเห็นลูก
เศร้าโศกกินไม่ได้ผ่ายผอมลง พระองค์จงเมตตาเอ็นดูด้วยแต่ท้าวทุม พรยังไม่หายโกรธพระสุธน ขอให้มเหสี
คิดถึงการกระทําที่เขาทาํ กบั ลกู ของเรา ลกู ของเราก็ไมร่ ักดี ถา้ จะตายก็ใหต้ ายไป นางเทพกนิ รจี ึงว่าถ้าอย่างน้ัน
ก็ให้ฆา่ นางมโนห์รา และฆ่าตนให้ตายตกตามกันเถดิ พร้อมพยายามวิงวอนท้าวทุมพรว่าให้คิดดูดี ๆ หากพระสุ
ธนไม่ดีจริงไฉนจะตามมาถึงเมือง ไกรลาส เรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่ความผดิ ของพระสุธน ๆ ไม่รู้ไม่เห็นการกระทาํ
ทง้ั สิ้น แต่เปน็ แผนการของปุโรหิตท่โี กรธแค้นพระสุธนทข่ี ับไล่ลกู สาวของเขาออกจากวัง หากพระสุธนไม่รักลูก
สาว ของเราจริงแล้วจะดิ้นค้นตามมาทําไม ผู้หญิงในเมืองอุดรเบญจามีมากมายและที่คิดว่าจะให้ลูกของ เรา
เสกสมกับคนอื่นทําได้อย่างไรนางมโนห์รา ไม่ใช่คนโง่ที่จะยกให้ใครได้ง่าย ๆ นางเทพกินรี พยายามอ้อนวอน
จนทา้ วทมุ พรเร่ิมคลายความโกรธลง ยอมทาํ ตามคาํ ขอร้องของนางเทพกินรี โดยมีขอ้ แมว้ า่ ใหพ้ ระสธุ นมายกศร
ศิลป์ประจาํ เมอื งหากพระสุธนยกไดจ้ ะอภิเษกให้ครองกรุงไกรลาส หากยกไมไ่ ด้จะต้องถูกลงทัณฑ์ จากนั้นท้าว
ทุมพรจึงสั่งให้จัดแม่ค้าสาว ๆ นําของงามของหอมมา ขายยกเว้นเคยกุ้งเคยปลา แล้วจัดทหารถืออาวุธทุกหมู่
เหล่ายืนเรียงรายลดหลั่นกันไปตลอดทั้งสอง ฝั่งทางเดิน จากท้องพระโรงถึงประตูวังเพื่อให้พระสุธนเห็นน่า
เกรงขาม แล้วสั่งให้เสนาไปเชิญ พระสุธนเข้าเฝ้า พระสุธนเห็นหมู่เสนาจึงร่ายคาถาสะกดทําให้บรรดาเสนาที่
ยกขบวนมารู้สึกเกรงขามครนั่ คร้ามจนตัวส่ันกนั ทวั่ เมอื่ พระสุธนทราบพระโองการจึงเข้าไปในศาลายกศรศิลป์
วางไว้ อธิษฐานว่าอย่าให้ใครยกขึ้นได้ แล้วแต่งองค์เสด็จตามทหารเข้าเฝ้าพอไปถึงหน้าประตูเมืองก็หยด ยืน
รา่ ยคาถาสะกดให้คนทั้งหลายหลงไหลชาวเมืองทราบข่าวต่างพากันมาชมโฉมพระสุธนกัน สลอนแม่ค้าแม่ขาย
๑๔
บ้างก็เชญิ ชวนให้แวะกินข้าว กินน้ำ บ้างก็ยอื้ ยดุ ฉุดมือกนั วุ่นวาย พระสุธนไปถึงทอ้ งพระโรงเข้าเฝ้ากราบถวาย
บังคม ท้าวทุมพรจึงรับสั่งว่าเป็นธรรมเนียมแต่โบราณของบ้านเมืองนี้ว่าหากกษัตริย์พลดั บ้านเมืองมาถ้าจะให้
ขึ้นครองราชย์ต้องให้ประลองศิลป์ชัย ก่อนถ้ายกขึ้นได้จึงจะให้ครองเมือง พระสุธนรับโองการก็ระลึกถึงครู
อาจารย์อ่านเวทย์ยกศรศิลป์ขึ้น น้าวสายปรากฏว่าศรเบาหวิวอ่อนดูงอนจึงทูลท้าวทุมพรว่าศรนี้จะเอาไว้
ป้องกันบ้านเมืองได้อย่างไร ศรของขา้ ท่ีไว้ท่ีศาลาหนักและแข็งแรงกว่าน้ี ท้าวทุมพรจึงส่ังให้เสนาออกไปยกมา
เมื่อหมู่เสนาออก ไปยกกลับมากราบทูลว่ายกศร ไม่ขึ้น ท้าวทุมพรโกรธที่ทําใหอ้ ับอายจงึ สั่งวา่ คนทั้งเมืองไม่มี
ใครมี ความสามารถเลย หรือ เสนาทั้งหลายจึงพากันออกไปเกณฑ์คนทั่วบ้านทั่วเมืองช่วยกันชักบ้าง ขุดบ้าง
งดั บ้างทาํ ทกุ วิถีทาง คนส่หี า้ พันคนกฉ็ ุดยกไม่ข้ึนเสนาจึงเข้ากราบทูลท้าวทุมพรๆ ย่งิ อบั อายขายหน้า พระสุธน
เห็นท้าวทุมพรโกรธกร้วิ จึงกราบทลู วา่ อย่ากงั วลเลยจะไปยกมาให้ แลว้ พระสุธนกอ็ อกไป พรอ้ มหมู่เสนายกเอา
ศรศิลป์มาทูลถวาย ท้าวทุมพรจึงให้ระสุธนประลองศิลป์ปรากฏว่าพอน้าวคันศร ก็เกิดอัศจรรย์เสียงดังสนั่น
หวน่ั ไหวประดุจดงั ฟา้ ผ่ากมั ปนาทหวาดหวั่นท้ังเมือง ชาวบ้านชาวเมืองลกู เด็กเลก็ แดงนางสนมกรมในตกใจวิ่ง
โกลาหลวุ่นวายไปทั่ว จนท้าวทุมพรต้องขอร้องให้พระสุธนหยุดน้าวศรด้วยเกรงฤทธิ์เดชศรศิลป์ของพระสุธน
บอกว่าจะยกบ้านเมืองให้แต่ขอให้รอฤกษ์งามยามดีก่อน แล้วตรัสสั่งให้สนมสาวใช้ไปบอกแก่นางมโนห์ราให้
จัดหาอาหารมาถวายพระสุธน พระสุธน จึงได้ถามข่าวคราวทุกข์สุขของนางและฝากปลอบใจให้นางคลาย
โศกเศร้าว่าอยา่ เป็นทกุ ขไ์ ปเลยถ้าบุญเรามีไมช่ า้ จะได้พบกัน
ฝ่ายท้าวทุมพรยังโกรธและอับอายไพร่ฟ้าที่ไม่สามารถทําอะไรพระสุธนได้ จึงนอนคิดหา ทางแกล้ง
พระสุธนต่อไป พอคิดขึ้นได้จึงออกไปยังท้องพระโรงบรรดาเสนาอํามาตย์ข้าราชบริพาร และพระสุธนเฝ้าอยู่
ตรัสกบั พระสุธนวา่ กิจการบ้านเมืองเรื่องศรศิลปน์ ั้นเชี่ยวชาญชํานาญแล้วแต่คนเราเกิดเป็นชายจําเป็นต้องรอบ
รู้ทุกด้านเพื่อวันหนึ่งข้างหน้าตกยากลําบากจะได้พาตัวรอด ฉะนั้นจะให้ลองไปหักร้างถางพงปลูกถั่วปลูกงาดู
บ้าง ท้าวทมุ พรจึงสงั่ ให้ทหารจัดขวานพร้าตะก่ัวให้พระสุธนพร้อมทหารจึงออกไปถางปา่ และคิดแค้นอยู่ในใจท่ี
ถูกแกล้งให้อายเพราะขวานพร้าตะกั่วจะถางป่าได้อย่างไร พอถึงป่าใหญ่เสนาจึงชี้ป่าให้พระสุธนเอาขวานฟัน
ขวานพร้าตะกัว่ ก็ใช้การไม่ไดพ้ ระสุธนท้อใจไม่รู้จะทําอย่างไร ร้อนถึงพระอินทรส์ ั่งพระวษิ ณุกรรมให้ลงมาช่วย
พระ วิษณุกรรมลงมาแปลงเป็นช้างสารพรอ้ มบรวิ ารห้าร้อยเชอื กเข้าหกั ร้างถางป่าจนเตยี นราบตกเยน็
พระสธุ นกลบั ไปกราบทลู ท้าวทุมพร ๆ ถามว่าถางได้สักเท่าใดพระสุธนทลู ว่าได้เนื้อท่ีสักสองเกวียน งา
ได้ ทา้ วทมุ พรย่ิงแคน้ ใจท่ีแกลง้ พระสุธนไมไ่ ด้จงึ ส่ังให้นาํ ไฟไปเผาในวันรงุ่ ขน้ึ ขณะเดียวกนั ก็ สงั่ อํามาตยไ์ ปบอก
ชาวบ้านทั้งหลายว่าหากพระสุธนมาขอไฟอย่าให้เด็ดขาด พระสุธนรู้ว่าพ่อตา แกล้งเพราะป่าเพิ่งถางเมื่อวาน
วนั นไ้ี มย้ ังสดอยูจ่ ะเผาได้อยา่ งไร มิหนาํ ซำ้ ไปขอไฟใครก็ไมม่ ใี ครให้ แค้นใจเปน็ อย่างยิง่ ครนั้ จะทาํ อะไรรุนแรงก็
เกรงคนจะนินทาร้อนถึงพระอินทร์ต้องเนรมติ เป็นกาคาบเอาคนุ้ ไฟมาวางให้แล้วบนิ กลับไป พระสุธนจึงเอาคุ้น
ไฟพระอินทร์ไปเผาจนไฟไหมห้ มดป่ากลับเข้าวังทูลขอเม็ดงามาหว่าน ทา้ วทมุ พรจึงสั่งอาํ มาตย์ให้เอาเม็ดงาให้
สองสามกระสอบ พระสุธนได้เม็ดงาก็ผูกยก ใส่บ่าแบกไป ชาวบ้านชาวเมืองเห็นต่างชื่นชมในความอดทนของ
พระสุธน บ้างก็เวทนาสงสารที่ต้องมาทนลําบากด้วยความรักนางมโนห์รา พระสุธนหว่านงาเสร็จกลับมาทูล
ทา้ วทุมพร ๆ โกรธจดั อ้างวา่ พระสุธนไปหวา่ นงาไดอ้ ย่างไรยังไม่ดูวนั ดูฤกษ์ดูยามเสียหายหมดจงึ สัง่ ใหไ้ ปเก็บงา
คืนมาทันที พระสุธนเจ็บใจที่ถูกกลั่นแกลง้ ให้เจ็บอายตลอดเวลา จึงจับกระสอบงา ลาออกจากวังไปทันที เดิน
๑๕
คิดไปร้องไห้ไปถึงไร่ไม่รู้จะทําอย่างไรเม็ดงาก็จมฝังดินหมด นั่งลงทอด ถอนใจคิดถึงตัวเองที่ต้องมาทนทุกข์
ลําบาก ขณะที่นางมโนห์ราอยู่สุขสบายไม่เคยออกมาให้เห็น หน้าเลยมีแต่ข้าทาสทาสียกพานข้าวมาให้ทุกวัน
พระสุธนคิดถึงพ่อแม่ที่ต้องจากมา คิดเวทนาตัวเอง คิดไปคิดมาก็ปลงว่าสังขารคนเราเป็นของไม่เที่ยง ถ้าละ
กิเลสตัณหาได้ตามคําพระท่านสอนกน็ ับว่า เป็นคนดี คดิ แล้วพระสุธนกป็ ลงตก ว่าเกดิ มาแลว้ กเ็ สี่ยงไปตามบุญ
ตามกรรมทสี่ ร้างมา รอ้ นถึง พระอินทร์ตอ้ งลงมาเกณฑ์บรรดานกท้งั หลายในปา่ ให้มาช่วยกันเกบ็ งาใส่กระสอบ
ให้พระสุธน ตอนนี้กล่าวถึงนกแต่ละชนิดว่านกโพธิสัตว์เป็นผู้จับปากกระสอบนกกดจดบัญชี นกบินหลาเป็น
นายหมวดตรวจจบั นกทําผิด นกแขกเต้าสาริกาเปน็ นกสอดแนมว่านกตัวใดแอบกินงาบ้าง ปรากฏว่านกสาริกา
จับได้วา่ นกเขานกลุ่มแอบอมกลนื งาไว้ นกสารกิ าจงึ สง่ั ให้นกบินหลาไปจับตัวนกเขานก คุ้มมาแล้วส่ังใหอ้ ายเม็ด
งาออกให้หมด แล้วให้นกสักเอาหมึกมาสักนกทั้งสองหมายไว้ภายหน้าคน ทั้งปวงจะได้รู้ ด้วยบุญบารมีพระสุ
ธนจึงไดถ้ ั่วงาไปถวายพ่อตาครบถ้วน ทา้ วทมุ พรเหน็ ความอุตสาหพยายาม ส่ังให้ทําอะไรทาํ ได้หมดก็เริ่มเห็นใจ
ตรัสให้เอาถั่วงาไปหีบเป็นน้ำมัน เย็นวันนั้น เมื่อทาสียกพานอาหารมาถวายพระสุธน ๆ จึงเล่าเรื่องราวที่ถูก
กลั่นแกล้งจากพ่อตาให้ทาสีฟังตั้งแต่ การใช้ให้ไปถางป่าปลูกงาเก็บงากระทั่งให้เอางาไปหีบเอาน้ำมัน ให้ทาสี
นําไปบอกแก่นางมโนห์ราว่าพระองค์สุดทนแล้วกับการริษยาอาฆาดกลั่นแกล้งของพระบิดา ที่เหมือนต้องการ
กลั่นแกล้งให้อับ อายผู้คน ถ้านางยังรักพระองคก์ ็ให้ออกมาให้เห็นหน้าให้รับรู้ว่าผัวตอ้ งทนทุกขเ์ วทนาเพียงใด
พอ นางทาสีนาํ ข่าวไปบอกนางมโนหร์ า ๆ เหมือนจะคล่งั ตายด้วยความสงสารสามที ถ่ี ูกพระบดิ ากลัน่
แกล้งย่ำยีอยากออกไปพบสามีแทบใจจะขาดแต่เกรงกลัวพระบิดา บางครั้งคิดอยากจะฆ่าตัวตายให้
พ้น ๆ ไปรุ่งขึ้นนางทาสีจึงไปเล่าให้พระสุธนฟังว่านางมโนห์ราก็เป็นทุกข์ตอมใจผ่ายผอมลงทุกวัน เสียใจที่
ช่วยเหลืออะไรพระสุธนไม่ได้พระสุธนจงึ บอกกับทาสีไปว่าไม่ต่างอะไรกับพระองค์ที่ต้องทนทุกข์ทรมานหมาย
ว่าจะได้ครองคู่กัน แล้วพระองค์ก็แบกกระสอบงาออกจากวังไปนั่งลงร้องไห้ ไม่รู้จะทําอย่างไร ร้อนถึงพระ
อินทร์สั่งให้พระวิษณุกรรมลงมาช่วยเหลือ แปลงเป็นมนุษย์เอางาไป หีบคั้นเป็นน้ำมัน โดยมีเทวดาต่างพากัน
มาช่วยจนได้น้ำมันสองทุ่มใหญ่ให้พระสุธนนําไปถวาย ท้าวทุมพรกลับสั่งให้เอาไปเททิ้งในแม่น้ำพระสุธนก็ทํา
ตามแล้วแบกตุ่มเปล่ากลับมา ท้าวทุมพรทําท่าหุนหันโกรธหาว่าพระสุธนเป็นคนเลวน้ำมันงาดี ๆ เอาไปเททิ้ง
ทําไม ให้ไปเอาน้ำมันกลับมาไม่ อย่างนั้นมีโทษถึงชีวิต พระสุธนแค้นใจที่เขาแกล้งทุกอย่างเหมือนไม่ใช่คน
หมายให้อับจนจะได้หนีไป พระสุธนจึงแบกตุ่มกลับไปที่แม่น้ำเห็นฝูงปลาพากันล้อมน้ำมันเอาไว้ไม่ให้ไหล
ออกไป แต่มปี ลาแก้มช้ำกลืนนำ้ มนั เอาไว้พระองค์จงึ ตบแก้มให้อายน้ำมันใหจ้ นได้นำ้ มันเตม็ ทุ่มนําไปทูล ถวาย
ทา้ วทุมพรทา้ วทุมพรเรม่ิ เห็นอํานาจบารมีความกลา้ หาญอดทนของพระสุธนถงึ กับประหวัน่ พรน่ั พรึง ครั่นคร้าม
เกรงกลวั อํานาจบารมี แข็งใจกลา่ วชื่นชมพระสธุ นวา่ กล้าหาญอดทนขยนั ขันแข็งและทําได้ ทุกอย่างสมเป็นชาติ
ชายชาตรีขอให้คอยถึงวันที่แล้วจะเสกสมรสให้ แล้วพระองค์ก็เข้าห้องบรรทม นอนคิดอ่านหาวิธีที่จะกล่ัน
แกล้งพระสุธนตอ่ คดิ ไม่ออกจงึ เสด็จไปยังท้องพระโรงเรียกหาเสนา อํามาตยเ์ จ้าพระยาน้อยใหญ่ พระครูผู้เฒ่า
เข้ามาปรกึ ษาหารือวา่ จะทาํ อย่างไรให้พระสุธนอับจน พระครูผู้เฒ่าจงึ เสนอวา่ ใหพ้ ระธิดาทั้งเจ็ดคนพ่ีน้องเข้าไป
อยู่ในห้องคนละห้องแล้วล่อมือมาให้พระสุธน เสี่ยงทายถ้าจับถูกมือคนอื่นที่มิใช่มือนางมโนห์ราก็ให้ลงโทษ
ทัณฑ์ ท้าวทุมพรเห็นชอบกับแผนการสั่งให้จัดการทันที พลางปลอบใจนางมโนห์ราขอให้อดทนและว่าคราวนี้
เห็นจะได้ครองคู่กัน แล้วกําชับธิดาทกุ คนห้ามมิใหพ้ ูดจาส่งสัญญานใด ๆ จากนั้นจึงสั่งให้พระสุธนเข้าเฝ้าบอก
๑๖
ความต้องการให้ทราบแล้วให้แม่นมพาธิดาทั้งเจ็ดเข้าประจําตามห้องลอคแต่มือออกมา พระสุธนเห็นแล้วงง
เพราะไม่รู้จะหมายได้อย่างไรว่าไหนคือมือของนางมโนห์ราแต่ด้วยบุญญาบาร มีร้อนถึงพระอินทร์ต้องลงมา
กําบังตัวมิให้ใครเห็นก่อนแปลงตัวเป็นแมลงวันทองไปบินวนรอบห้องนางมโนห์ราเป็นทักษิณาวัตรสาม รอบ
แล้วบินไปเกาะที่มือของนางมโนห์รา ดลใจให้พระสุธนเห็นเป็นแยบคายจึงตัดสินใจจับมือของนางกุมไว้แน่น
นางมโนห์ราด้วยความรักพระสุธนไมเ่ กรงกลัวพระบิดารีบออกมาหาพระสธุ น ตา่ งกอดรัดกันรำ่ ไห้แทบส้ินชีวิต
บรรดาเฒา่ แก่แม่นมจึงนําเหตกุ ารณท์ งั้ หมดข้ึนกราบทลู ใหท้ า้ วทุมพรทราบ
เม่อื พระสธุ นติดตามนางมโนห์รามาจนถึงเมืองไกรลาสและได้พบกบั นางแล้ว ท้งั สองต่างวิตกโศกเศร้า
กังวลวา่ ท้าวทุมพรพระบิดาของนางมโนห์ราจะพิโรธ และขดั ขวางความรักของพระองค์ แตท่ า้ วทุมพรและนาง
เทพกินรีพระมารดาทรงเห็นว่าพระสุธนเป็นคนดี กล้าหาญ และรักนางมโนห์รา จริงจนได้ติดตามนางมา จึง
โปรดให้จัดงานพิธีอภิเษกสมรสพระสุธนและนางมโนห์ราแล้วให้ปกครองเมืองไกรลาส หลังจากพระสธุ นครอง
เมืองไกรลาสได้สามเดือน อย่มู าวนั หนึ่งกท็ รงคดิ ถึงพระมารดาอยากกลบั ไปเมืองอุดรเบญจานางมโนหร์ าจึงทูล
ขอติดตามไปดว้ ย แต่เมอ่ื ทัง้ สองพระองค์ไปกราบทลู ลาทา้ วทุมพร พระองค์ทรงอนญุ าตให้ไปแต่พระสุธน ส่วน
นางมโนห์ราน้ันพระองค์ไมอ่ ยากให้ไปแต่ก็ไม่ตรัสว่าอะไรเพราะกลัวพระธิดาจะเสยี พระทยั ไดแ้ ต่เสด็จเข้าห้อง
พระบรรทมนางมโนห์ราทราบทันทีว่าพระบิดาพิโรธจึงได้ไปทูลพระมารดา ให้มาช่วยทูลขออนุญาตจากพระ
บิดา ท้าวทุมพร ได้บอกพระมเหสีว่าที่ไม่อยากให้พระธิดาไป เมืองอุดรบินจาเพราะกลัวนางจะถูกทําร้ายโดย
จับเผาไฟอีก แต่นางเทพกินรีก็ได้ยกเหตุผลต่าง ๆ กราบทูลท้าวทุมพร เช่น การเป็นภรรยาถ้าต้องจากสามีไป
ถึงสองครั้งนั้นไม่ดีจะเป็นที่ติฉนิ นินทา ของชาวเมือง แต่ถ้านางได้ติดตามพระสุธนไปก็นางจะได้รบั การยกย่อง
สรรเสริญ ท้าวทุมพรจึง ทรงอนุญาตให้นางมโนหร์ าติดตามพระสุธนไปได้ แต่เมอ่ื ทง้ั สองพระองค์ได้รับอนุญาต
แล้ว ต่างก็ทรงวิตกกังวลเพราะการเดินทางไปกลับระหว่างเมืองไกรลาสและเมืองอุดรบินจานั้นยาก ลําบาก
การที่พระสุธนสามารถมาถงึ เมอื งไกรลาสได้นั้นก็แปลงตัวเป็นไรอาศัยเกาะขนนกอนิ ทรี บินพามา และทั้งสอง
พระองค์ก็ไม่กล้ากราบทูลขอปีกหางจากท้าวทุมพรเพื่อจะบินกลับไปยัง เมืองอุดรบินจาอีก ครั้นถึงเวลา
กลางคืนก่อนบรรทมพระสุธนจึงทรงต้ังจิตอธิษฐานขอให้บุญกุศล ที่พระองค์สร้างสมมาช่วยเกื้อหนุนให้สม
ความปรารถนา คาํ อธษิ ฐานของพระสธุ นทําให้รอ้ น ไปถงึ วิมานของพระอินทร์ เมือ่ พระองคส์ ่องทพิ ยเ์ นตรลงมา
และไดท้ ราบความประสงค์ของพระ สุธนว่าตอ้ งการกลบั ไปบ้านเมอื ง เพ่ือทดแทนคณุ พระมารดา พระอนิ ทร์จึง
โปรดให้พระ เวสสุกรรมและพระมาตุลีไปช่วยพระสุธน พระเวสสุกรรมจึงไดอ้ ัญเชิญเหลา่ เทพยดาทกุ วิมานมา
ช่วยกันชะลอปราสาทที่พระสุธนและนางมโนห์ราประทับจากเมืองไกรลาสลงมาไว้ที่หน้าเมืองอุดรเบญจา มี
ระยะห่างพอยิงปืนใหญ่ถึงกัน และได้เนรมิตเป็นเมืองใหม่มีป้อม ค่าย คู ประตู ตลอด จนไพร่พล หญิงชาย
นั่งร้านขายสิ่งของด้วย เสร็จแล้วเหล่าเทวดาทั้งหลายจึงเสด็จกลับไปยังวิมาน ของตน พวกไพร่พลที่ถูกชุบ
ขึ้นมาต่างพากันโห่ร้องและยิงปืนเสียงสนั่นหวั่นไหว พวกชาวเมืองอุดรบินจาครั้นได้ยินเสียงปืนต่างตกใจต่ืน
และได้เห็นปราสาทราชวังมาต้ัง อยู่หน้าเมืองต่างพากันตกใจกลัว เพราะคิดว่าข้าศึกยกทัพมาตั้งค่ายประชิด
บ้านเมือง พวกชาวบ้านที่อยู่นอกเมืองต่างหอบลูกจูงหลานหนีเข้าป่า ส่วนท้าวอาทิตย์เจ้าเมืองอุดรบินจาก็ได้
เรียก ประชุมเหล่าอํามาตย์ข้าราชบริพารเพื่อปรึกษาสถานะการณ์บ้านเมือง ซ่ึงต่างสรุปว่าให้รอดูเหตุ การณ์
ไปก่อน ท้าวอาทิตย์จึงโปรดให้หาโหรเข้ามาทํานาย โหรทายว่าเกณฑ์ชะตาบ้านเมืองดี และลูกหลานที่จากไป
๑๗
นานจะกลับคืนมาทําให้พระองค์พอพระทัยและได้ประทานรางวัลให้กับ โหรเป็นอันมาก เมื่อเวลาผ่านไปสอง
วนั กไ็ ม่มีอะไรเกิดขึ้นท้าวอาทิตยจ์ ึงส่งคนไปสืบข่าว แตพ่ วกอํามาตย์ท่ีไปล้วนขี้ขลาดต่างตกใจกลัวพวกไพร่พล
ของเมืองใหม่ ยังไมท่ นั ไดส้ อบถามเร่ือง ราวก็พากันวิง่ หนีกลับเข้าเมืองอดุ รบินจา ทําใหท้ ้าวอาทิตย์ขัดพระทัย
ทเ่ี หลา่ เสนาอาํ มาตยไ์ ม่มี ความกล้าหาญ และพระองคก์ ท็ รงชราแลว้ ไม่สามารถออกไปทาํ สงครามได้ ทาํ ใหท้ รง
คิดถึง พระราชโอรสมาก เพราะถ้าพระสุธนยังอยูก่ ็สามารถไปทําศกึ สงครามแทนพระองค์ พวกเหล่า อํามาตย์
กราบทูลท้าวอาทิตย์ให้ส่งพรานบุณมหาดเล็กของพระสุธน ที่ถูกจองจําตั้งแต่พระสุธน ออกไปติดตามหานาง
มโนห์ราดว้ ยข้อหาว่าละทิง้ เจ้านาย ท้าวอาทิตย์จงึ โปรดให้ถอดพรานบญุ ออกจากการจองจํา และขอให้ไปสบื
ข่าวว่าผู้ที่ยกมาตั้งเมอื งใหม่หน้าเมืองอุดรเบญจานั้นมีความ ประสงค์อะไร พรานบุณอาสาท้าวอาทิตย์ออกไป
สืบข่าวที่เมืองใหม่พร้อมกับพวกเสนาห้าคน แต่พวก เสนาที่ไปด้วยต่างขลาดกลัวขอนั่งรอที่หน้าประตูเมือง
พรานบณุ เข้าไปในเมืองเพียงลาํ พังคนเดียว จนไดเ้ ขา้ เฝ้าพระสุธนและนางมโนหร์ า ทกุ คนต่างดีใจท่ีพบกันและ
เล่าถึงความทุกข์ยากลําบาก ที่ตนประสบให้แก่กันฟัง พระสุธนนางมโนห์ราได้ต้อนรับพรานบุณอย่างดีและ
ขอร้องไม่ให้ พรานบุณกราบทูลความจริงพระบิดาว่าพระองค์กลับมาแล้ว ซึ่งพรานบุณก็รับปากและกลับไป
กราบทูลทา้ วอาทิตยว์ า่ พญาทยี่ กทัพมาน้นั ต้องการทําสงคราม ถา้ พระองค์กล้าหาญกใ็ ห้ออกไปรบกัน แต่ถ้าไม่
กล้าสูก้ ใ็ หแ้ ตง่ เครอ่ื งบรรณาการไปถวาย มิฉะนนั้ จะยกทัพเข้าโจมตีทําลายเมืองอุดรเบญจา พวกเหลา่ ชาวเมือง
พอทราบข่าวศึกก็พากันหลบหนีเข้าป่าหมด ท้าวอาทิตย์จึงตัดสินพระทัยจะเสด็จนําเครื่องบรรณาการเข้าไป
เฝา้ พระยาทย่ี กทพั มาเพื่อไมใ่ ห้บ้านเมืองถูกทําลาย ซ่ึงนางเกศนีพระมเหสขี อตามเสด็จไปดว้ ย คร้ันรุ่งเชา้ พราน
บุณไดน้ ําขบวนเสด็จท้าวอาทติ ย์และนางเกศนี เข้าไปยังเมืองใหม่ พอเข้าไปในเมอื งบรรดาไพร่พลของพระสุธน
ต่างพากันโห่ร้องทําให้ เหล่าทหารเสนาอํามาตย์ในขบวนเสด็จตกใจกลัวพากันวิ่งหนีแตกขบวนไปหมด เหลือ
แตพ่ รานบณุ เพยี งผเู้ ดยี ว นําเสด็จท้าวอาทิตยแ์ ละนางเกศนีไปจนถึงท่ปี ระทับของพระสธุ นและนางมโนหร์ า ซึ่ง
คอยต้อนรบั อยู่แล้ว เมอ่ื ทั้งสพี่ ระองค์พบกันต่างดีพระทยั ร้องไหร้ าํ พึงราํ พนั จนสลบใน พวกเหล่านางสนมกํานัล
เข้าช่วยแก้ไขจนฟื้นขึ้นทุกพระองค์ ทรงเล่าถึงความทุกข์ยากและความ โศกเศร้าที่ต้องจากกัน พระสุธนให้
พรานบุณกลับเข้าไปในเมืองก่อนเพื่อบอกข่าวให้เหล่าเสนาอํามาตย์ทราบว่าพระองค์เสด็จกลับมาแล้ว และ
เกลี้ยกล่อมให้ชาวเมืองกลับเข้ามาอยู่อาศัยยังบ้านเรือนของตนตามเดิมครั้นพรานบุณจัดการบ้านเมือง
เรยี บร้อยตามพระราชโองการแลว้ ก็ได้จัด ขบวนช้างม้าไปรับเสด็จทั้งส่ีพระองค์กลับเข้าเมืองอุดรบินจา เม่ือทั้ง
สี่พระองค์เสด็จเข้าเมืองเรียบร้อยแล้วก็มีการเฉลิมฉลองสามวันสามคืนพรานบุณได้รับการยกย่องยิ่งกว่าท้าว
พระยาคนอื่น ๆ นอกจากนั้นยังได้ประทานเสื้อผ้าเงินทองแก่บรรดาขุนนาง และให้ทานแก่คนยากคนจน
หลังจากนั้นพระสุธนสั่งให้เสนาไปตามพราหมณ์โหราและนางกาหนมมาเข้าเฝ้า โหรายอมรับความผิดที่ได้
กราบทูลยุยงให้นํานางมโนห์ราไปเผาไฟ เนื่องจาก ต้องการช่วยเหลือลูกสาว พระสุธนจึงทรงตัดสินโทษโดย
การให้นําโหราและนางกาหนมไปฝัง เพียงเอวแล้วให้วัวไถกลบเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่น แต่นางมโนห์
ราได้กราบทูลขออภัยโทษ ให้แก่สองพ่อลูกเพื่อจะได้ไม่เป็นเวรเป็นกรรมกันต่อไป ทําให้โหราและนางกาหนม
ได้สํานึกใน บุญคุณของนางมโนห์ราที่ช่วยเหลือให้พวกตนรอดตาย จึงยอมถวายตัวเป็นข้ารับใช้นางมโนห์
รา ต่อมาพระสุธนและนางมโนห์ราได้ปกครองบ้านเมืองอย่างมีความสุข ส่วนพรานบุณ นั้นกราบทูลลากลับ
บา้ นเรือนตนเนื่องจากไม่ได้กลบั ไปนานแลว้ นางมโนห์ราประทานส่ิงของเงิน ทองเส้อื ผา้ จํานวนมากให้แก่พราน
๑๘
บุณ เมื่อพรานบุณได้กลับไปพบกับลูกเมียแล้ว มีเพื่อนบ้านมาถามข่าวคราวแสดงความยินดีเป็นจํานวนมาก
เพราะตอนนี้พรานบุณกลายเป็นคนสําคัญเนื่องจาก ได้รับใช้ใกล้ชิดเจ้านาย ส่วนพราหมณ์โหรา และนางกา
หนมนั้นไม่มีคนนับหน้าถือตาเหมอื นดัง แต่ก่อนเนื่องจากมีความผิดติดตัว จึงให้บ่าวไพร่นําข้าวของไปมอบให้
พรานบุณเพื่อขอให้พราน บุณช่วยพูดกับนางมโนห์ราให้สนับสนุนพวกตน พรานบุณรับปากและเมื่อมีโอกาส
เข้าเฝ้านาง มโนห์ราพรานบุณได้กราบทูลนางว่านางกาหนมนั้น อยากมาเข้าเฝ้ารับใช้นางแต่เกรงจะเป็นที่ขัด
เคืองพระทัยของนางและพระสุธน นางมโนห์ราได้ฟังจึงให้พรานบุณกลับไปบอกแก่นางกาหนมส่วน ว่าโดย
ส่วนตัวของนางไดใ้ ห้อภยั นางกาหนมแลว้ และมิได้มีความโกรธอาฆาตพยาบาทเลย พระสธุ นนั้นนางรับเป็นธุระ
จะช่วยพูดใหห้ ายโกรธนางกาหนมในโอกาสต่อไปพรานบุณไปที่บ้านของโหราเพื่อนําความท่ีนางมโนห์ราสัง่ ไป
บอกแก่นางกาหนมทําให้โหราและนางกาหนมดีใจมาก นางกาหนมได้จัดแจงทําอาหารเลี้ยงรับรองพรานบุณ
อย่างดี
เร่มิ เล่มท่ี ๑-๗ จบแล้ว เลม่ ๘ ไม่มตี ้นฉบับ ตอ่ เนอ้ื เรอ่ื งบทท่ี ๙
พระกายวเิ ศษ โอรสของพระสธุ น พร้อมด้วยเจ้าศรี บตุ รของพรานบณุ ทฤสา ออกไปทําศึก กับทัพของ
ท้าวมิคราชซึ่งยุยงให้ท้าวกายภัทรแข็งเมืองและยกทัพมาประชิดเมืองอุดรเบญจา เจ้าศรี เป็นทัพหน้าออกทํา
ศึก ตัดเศียรท้าวมิคราชมาเสียบประจานไว้ ส่วนโอรสทั้งส่ีของท้าวกายภัทรคือ เจ้าอินทร์ เจ้าจันทร์ เจ้านนท์
เจา้ นนั ท์ ถกู พระกายวิเศษแผลงศรนาคบาศก์จบั ได้ไพร่พลลม้ ตายเป็นจาํ นวนมาก
พระสุธนเป็นห่วงพระโอรสซึ่งไม่เคยทําศึกจึงยกทัพพร้อมด้วยพรานทฤสาติดตามมา เมื่อทราบข่าวว่า
พระโอรสได้ชัยชนะแก่ข้าศึก ทรงชน่ื ชมยนิ ดี พระโอรสกับเจา้ ศรขี อให้พระบิดากลับเมืองพาตัวโอรสทง้ั ส่ีไปจอง
จําไวด้ ว้ ย และขออาสายกทัพไปตเี มืองท้าวกายภัทรใหแ้ หลกลาญ ส่วนพลของท้าวมคิ ราชที่หนีตายไปกราบทูล
ทา้ วกายภัทรให้ทรงทราบ ทา้ วกายภทั รกบั นางประทมุ มามเหสตี กใจกลัวไม่ทราบจะทาํ ประการใด
ฝ่ายพระกายวิเศษเมื่อยกทัพมาถึงเมืองท้าวกายภัทร จึงให้เสนานําสาส์นไปแจ้งท้าวกายภัทรให้
ออกมาทําศึก ท้าวกายภทั รจึงปรึกษาพฤฒาอํามาตย์ มสี าส์นไปขอโทษพระสธุ น ขอยกเมืองให้ใน เจ็ดวัน พระ
สธุ นจงึ ยกพลพร้อมพาพระโอรสทัง้ สมาคนื พอครบถว้ นเจ็ดวันตามสญั ญาพระสธุ น เสดจ็ มาถึง ทา้ วกายภัทรทาํ
พิธถี วายเมอื งพร้อมยกพระธิดาชื่อนางอุบลวรรณาให้อภิเษกกับพระกายวิเศษ พร้อมกบั ใหธ้ ดิ าของท้าวมิคราช
ชื่อนางสุวรรณจําปาอภิเษกกับเจ้าศรี พระกายวิเศษครองกรุงสาวัตถีมีความสุขเกษมสําราญดี พระสุธนจึงขอ
ลาทา้ วกายภทั รกลับนครอดุ รเบญจานางอบุ ลวรรณา ขอตามพระสวามีไปดว้ ย
เมื่อพระสุธนพร้อมพระโอรสพระสุนิสาเจ้าศรีกับภรรยาและไพร่พลเสด็จกลับมาท้าว อาทิตย์ผู้บิดา
และนางมโนห์ราจัดพิธีรับขวัญอยา่ งเอิกเกริกมผี ใู้ หญ่และเจ้าเมืองท้ังรอ้ ยเอ็ดหัวเมือง ต่างมารับขวัญถวายพระ
พร แล้วพระอัยกาพระอัยกีของตนเป็นใครเป็นตายร้ายดอี ย่างไรไม่เห็นมา จึงทูลถามพระมารดา นางมโนห์รา
ทํานง่ิ เฉยแมพ้ ระโอรสจะออ้ นวอนถามเทา่ ไรดว้ ยเกรงวา่ พระ โอรสจะจากไปตดิ ตามหา
ข้างฝ่ายเสด็จป้าคือนางท้าวบาทสงสารหลานจึงเข้าปลอบโลมและเล่าเรื่องราวแต่หนหลัง ให้ฟัง
ทั้งหมด พระกายวิเศษจึงถามว่าถ้าจะไปเมืองไกรลาสการเดินทางลําบากไหม ระยะทางไกลเพียงใด ท้าวบาท
จึงบอกวา่ ระยะทางไกลต้องเดินทางเป็นแรมเดือนกวา่ จะถงึ หนทางกล็ าํ บากมาก เดินทางดว้ ยเท้าไปไม่ถึง ไม่
๑๙
มีบ้านผู้คนจะต้องตายเสียกลางทางเป็นแน่ ต้องผ่านป่าใหญ่ห้วยหนอง คลองใหญ่แม่น้ำใหญ่ ภูเขากระทบกนั
พระกายวิเศษจึงขอปีกหางของพระมารดาบอกวา่ ขอไปรู้จกั เจ้ากรุงไกรลาสแลว้ จะกลบั มา นางมโนห์รามอิ าจ
ทัดทานลูกได้จึงเอาปีกหาง และมอบแหวนพุทธ ธํามรงค์ไปไว้ป้องกันข้าศึกศัตรูด้วย แล้วจึงให้นางท้าวบาท
เสดจ็ เปน็ เพื่อนนําทางไป
ทัง้ สองจึงไปกราบลาพระสธุ นกบั นางมโนหร์ าและส่ังฝากนางอุบลวรรณาไว้กับพระมารดา แล้วทั้งสอง
ก็บินออกจากบ้านเมืองไป ไปแวะพกั ท่ีอาศรมฤาษีหนึ่งราตรี แล้วบนิ ต่อไปถึง เขาไกรไทย สรงคงคาในสระท่ีป้า
และมารดาเคยลงเล่นน้ำ บินถึงต้นไม้แก้วฉมิ พลีทีอ่ ยู่ของนางนกอินทรี นางนกอินทรีพอทราบว่าเป็นโอรสของ
นางมโนห์ราก็ดใี จ เชิญใหพ้ กั อาศัยดว้ ยกนั สกั คนื แต่ ท้าวบาทไมพ่ ักอา้ งวา่ จะรีบไปให้ถึงในวันนัน้
เมื่อไปถึงเมืองไกรลาสกพาหลานเข้าเฝ้าพระอัยกา พระอัยกีทันที ท้าวทุมพรและนางกินรีต่างชื่นชม
ยินดีถามถึงทุกขส์ ุขของนางมโนห์ราเม่ือทราบว่าอยูส่ ุขสบายดี จึงชวนพระกายวิเศษอยู่ครองกรุงไกรลาส พระ
กายวิเศษไมร่ บั อา้ งวา่ เกรงพระบดิ ามารดาจะคิดถึงเปน็ ห่วงตดิ ตามขึน้ มา ซ่งึ จะลาํ บากยากเขญ็ เพราะปีกหางไม่
มี พระกายวิเศษพํานักอยู่เมืองไกรลาสได้หลายวัน จึงขอกราบลาพระอัยกาพระอัยกีกลับสู่เมืองอุดรเบญจา
เดินทางผ่านแวะพํานักที่อาศรมพระฤาษีหนึ่งราตรีก่อนกลับถึงเมืองอุดรเบญจา เข้าเฝ้าพระชนกชนนีเล่า
เรือ่ งราวให้ฟงั ตา่ งชื่นชมยินดที ่ีพระโอรสกลบั มาโดยปลอดภยั และทุกคนทางเมืองไกรลาสสุขสบายดี
ต่อมาไม่นาน นางอุบลวรรณา ชายาพระกายวิเศษก็ทรงครรภ์ ครบถ้วนทศมาสให้กําเนิดกุมาร พระสุ
ธนจึงจัดงานทําขวญั ข้ึนให้พระนามหลานวา่ กายสุวรรณ แลว้ เชิญทา้ วกายภทั ร และพระยาหัว เมอื งตา่ ง ๆ มา
อวยพร กันทั่วหน้า ฝ่ายพระสุธนครองกรุงอุดรเบญจาอยู่เป็นเวลานานจนกระทั่งหลานเติบใหญ่จึงมอบราช
สมบัตใิ ห้พระกายวเิ ศษ สว่ นพระองคข์ อเสด็จไปอยปู่ ่าบําเพญ็ ศีลภาวนาจนกว่าจะวายชนม์ นางมโนห์ราขอตาม
เสด็จไปดว้ ยเพื่อจะชว่ ยปรนนิบัติยามเจ็บไข้ไดป้ ว่ ย วันหนึ่งพระกายวเิ ศษสง่ พระโอรสกายสุวรรณให้ไปยังเมือง
ไกรลาส ทา้ วทมุ พรจึงใหอ้ ภิเษกสมรสกบั ธิดาทา้ วนนทกมุ ารครองกรงุ ไกรลาสสบื มา
๒๐
บทประพนั ธ์
พระสุธน-มโนราห์ ๑ ปริวรรต
o กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
บทชมดง,ชมเมอื ง
o หนา้ เมืองเวียงชัย มีตน้ พฤกษ์ใหญ่ ก่งิ ใบสาขา
ไหลรอบขอบเมือง
กองถนนคนเดนิ เป็นพะเนินสุดตา มีคลองน้ำท่า
(กลา่ วถึง หน้าเมอื งมีตน้ ไม้ใหญ่ มีคลองไหลผา่ นรอบเมอื ง)
o เห็นทุง่ เห็นนา คลองนำ้ ริมทา่ ชา้ งมา้ งวั ควาย
ว่าเมืองใต้หล้า เป็นสุขสบาย ขา้ วปลานาไร่ มากมายพน้ ใจ
o ชาวเหนอื ชาวใต้ เทย่ี วมาคา้ ขาย ไมเ่ งือ่ งเนืองไป
สะเภาจอดทา่ เรอื ค้าไสว บา้ งนอ้ ยบ้างใหญ่ ไปมาถงึ กนั
o พังคาโยคี คลุ าบาหลี มากมีหลายพันธ์ุ
สบิ สองภาษา ไปมาถงึ กัน อเนกอนันต์ มากคณนา
o หนา้ เมืองเวยี งชยั มตี ้นกระทงึ ใหญ่ ก่งิ ใบสาขา
เปน็ ท่ีชุมคน กลางถนนไปมา นางแลเห็นปรา สาททองสกุ ใส
o หน้าลองหน้าตา่ ง เห็นสง่าทา่ ทาง อยา่ งหน่งึ ตรึงษ์ไตร
รูปวาดรปู เขยี น แนบเนยี นพ้นใจ ยกเยอื้ งย่างไป กลับลมื มลืนตา
o รูปนางรปู ครุฑ กายเกยี่ วกมุ ยุด ฉุดฉวยนาคา
แสงนลิ แสงแก้ว แวววบั จับตา เชน่ อยา่ งปรางค์ปรา ไกรลาสสรวงสวรรค์
(กลา่ วถึง นางมโนหร์ าเขา้ เมอื ง ระหวา่ งการเดนิ ทางนางกเ็ หน็ ทุ่งนา คลองนำ้ เหล่าสตั ว์ท้ังหลาย นางก็สงสัยว่านี่
เมอื งใด มขี ้าวปลามากมาย คงอยู่สุขสบาย ทงั้ ตา่ งชาติมากมาย พูดหลายภาษา หน้าเมอื งเวียงชัย มีต้นไม้ใหญ่
เป็นรม่ เงาใหผ้ คู้ น นางมองเหน็ ปราสาทสีทองสุกใส หนา้ ต่างก็งามสง่า มีรปู วาดรูปเขยี น ทง้ั รปู นางรูปพญาครุฑ
กำลังฉดุ พญานาค เชน่ อยา่ งเมืองไกรลาส)
o เห็นต้นพระไทรทอง เสมอื นหนง่ึ ตวั น้อง ร้องไหบ้ นพระไทร
ด้วยไหลเชษฐา
เห็นส่ังเสมือนท้าว ส่งั เศร้าโศกใจ เมยี มาอาลยั
อำภาเสมอื นพา
o สาวหยุดเสมอื นน้อง หยดุ พรอ้ งเจรจา
๒๑
ทุกข์มาหากนั ประดปู่ รูปรง เสมอื นให้น้องปลง ชพี ในไพรสณั ฑ์
o ลำไยไฟหมก ดั่งไฟจุดจ่อ ในทรวงแจม่ จันทร์
กะลำพักเสมือนพบ พักตัวแลว้ แคล้วผนั จำพรากเสมือนพรากกัน นบั วันจะนานเหน็
o อำพันกฤษณา พันผกู กายมา ตายใหห้ ายเข็ญ
ไม่รกั เสมือนรา้ ง หา่ งรักพระเนื้อเย็น ถงึ จะตายเปน็ ขอให้เหน็ องค์
o นางเทพกินรี คอ่ ยได้สมปดี ทีแ่ ค้นเคืองคา
สวมกอดลกู ไว้ จบู ซา้ ยจูบขวา ครงั้ น้ลี ูกอา ตลาไดว้ ิมาน
o หกนางบนิ มา เล่าแก่มารดา วา่ อรแจม่ จนั ทร์
ตอ้ งบ่วงนาคา พรานพาไปพลนั ทำกอไหรจอมขวญั ได้รอดคนื มา
o มโนห์ราหนุม่ เหนา้ สภุ าพกราบเกลา้ ท้าวทงั้ สองรา
เลา่ เนื้อความพลาง นางเคล้าน้ำตา ลำบากยากขา้ ย่ิงกว่าตัวตาย
o ต้องบว่ งนาคี รอ้ งร่ำเรียกพ่ี บนิ หนวี ุ่นวาย
บัดเดยี๋ วพรานป่า มาแตโ่ พรงไม้ เรยี กนาคมาใกล้ ใส่ไถ้ทนั ใจ
(กล่าวถึง พระสุธน ดว้ ยความคิดถงึ นางมโนหร์ า เห็นอะไรกเ็ หมอื นเหน็ นางมโนห์รา)
o ภเู ขาพระสุเมรุ ยอดโยนโอนเอน อ่อนน้อมค้อมไป
ดงดกึ พฤกษา รกุ ขานน้อยใหญ่ เหี่ยวแหง้ แบ่งใบ ทอดทวยไปมา
o ฟา้ รอ้ งก้องกึก เลื่อนลน่ั คร่ันครึก เครงคร้ืนเวหา
นกหคผกบนิ จบั กง่ิ พฤกษา หลงลืมกริ ิยา ซุกเซาเงางง
o หงส์คูกู่ก้อง ค่มุ เขาขนั รอ้ ง สำเนียงเสียงส่ง
หงบเหงยี บเงียบเงือง งอนเง้าเซาซง จบั ไมไ้ มต่ รง หลงลืมกิรยิ า
(กลา่ วถงึ เขาพระสเุ มรุ ปา่ ไม้น้อยใหญ่ มเี สยี งฟ้าร้อง นกบนิ มาจบั ก่งิ ไม้)
๒๒
บทชมโฉม
o ชื่อเจา้ เกศนี เชื้อชาติกษตั รีย์ เฉิดโฉมโสภา
คิ้วค้อมน้อมน้อย สะสวยรูปา อรุ ะอุรา เต่งตึงผึง่ ผาย
o แกว้ เกศเนตรนม หล่อเหลาเกลา้ กลม เพียงบาดตาชาย
ศัพทเ์ สียงเพราะพร้อง เยื้องยอ่ งยา่ งกราย เช่นหงสท์ องบ่าย เบีย่ งล่องคงคา
(กล่าวถงึ นางเกศนีผู้ทมี่ ีความสวย ท้งั หน้าตา และรูปร่าง)
o เสร็จการวิวาท ตา่ งคนต่างคลาด กลับสเู่ คหา
ส่วนกมุ ารนอ้ ย คอ่ ยวยั ใหญ่มา เจ็ดขวบพรรษา หน้าตาคมสนั
o เอวองค์ทรงศักดิ์ อุระพระพกั ตร์ เพ่งบรู ณ์ฉายฉัน
รูปาสะสม หน้าชมทกุ วัน พระเกศพระกรรณ ฟันสามสบิ สอง
o เอวกลมบ่าผาย ยกบาทนาดกราย เชน่ ชา้ งจำลอง
แมน้ มาตรหญิงใด ใครเห็นใครต้อง เจา้ วมิ านทอง ฉลองบาทลงมา
(กลา่ วถงึ พระสธุ น เม่อื อายุได้ 7 ปี ทม่ี หี นา้ ตาคม อวยั วะครบ 32 รา่ งกายกำยำอกผายไหล่ผ่งึ ผหู้ ญิงใดเห็นต้อง
อยากได้เป็นคคู่ รอง)
o พรานมีภิรยิ า ชอ่ื นางปีฑดิ า หน้าตาละมั้ย
เลาลาดนาดกราย เชงิ ชายสงู ใหญ่ แตน่ ายพรานไพร ใครเหน็ เกลียดชงั
o หนา้ ตาอกกรก หนวดเครารุงรัง เตบิ ใหญม่ ทู่ ู่
ดพู ้นกำลงั แลสง่าหนา้ ชัง .......................... เชน่ ดงั นนทรีย์
o ถงึ รูปชว่ั ชา้ แต่เกณฑช์ ะตา เพอื่ นได้เมยี ดี
คารมคมสัน ปญั ญาพาที เจ้านายปรานี เพราะมีวิชา
(กลา่ วถงึ พรานบุณ มเี มยี ชอ่ื นางปิฑิตา หน้าตาสวยร่างกายสงู ดงั่ ชาย แต่นายพรานบุณมีรูปร่างขี้เหร่ แต่ได้
เมยี ดี ใครเหน็ เป็นต้องเกลียดชัง)
o กาหนมลกู สาว ฟงั คำพอ่ เฒ่า กลา่ วถอ้ ยย้อยไป กลวั ไยพระอา
ตามบญุ ตามกรรม ทำมาแต่ไหร ตัวอยา่ ตกใจ เลิศลว้ นถ้วนถ่ี
อย่เู ป็นขา้ ทา่ น เสย่ี งตามวาสนา
o เกดิ ในสงสาร ทรงสรอ้ ยมาลา รัดเกลา้ หตั ถา
ว่าพลางแตง่ องค์ โหราใจแกล้ว นำลกู สาวศรี
o ครนั้ แตง่ ตวั แลว้
๒๓
ลงแต่เคหา สองราจรลี ขา้ สาวทัง้ ส่ี เพริศพรอ้ มลอ้ มมา
(กลา่ วถงึ นางกาหนม แตง่ ตัวเพื่อจะไปเข้าเฝ้ากบั โหรา ผ้เู ป็นพ่อ)
o เอวองค์ทรงศักดิ์ อรุ ะพระพักตร์ คือดวงพระจนั ทร์
โอษฐค์ อื ชาดแต้ม แย้มย้มิ พร้มิ พราย เยอ้ื งยา่ งนาคกราย ระทวยนวลนง
o ถานงั ตงั้ ตูม เช่นอยา่ งกะพุ่ม ดวงดอกบษุ บง
พระศอคอปล้อง ราวทองนวลผจง อรุ ะพระขนง ชดช้อยลำยอง
o ชงคานาภี พระทันตด์ ำดี มีสามสิบสอง
พระเกศคำขลบั คือแมงทับทอง หลังต่นื ทงั้ สอง เช่นเต่าทองดี
o คุลเี กล้ากลม ดวงเนตรตาสม เชน่ ตามฤคี
ผิวเนอ้ื นวลอุ่น ดังนุน่ สำลี ทว่ั โลกไตรตรี ใครจะมถี ึงสอง
o เมอื่ นางย่างกราย ค่อยสะเด้ืองเยอื้ งย่อง อย่างย่ิงหงส์ทอง
หาไหนใครจะได้ ไม่มถี งึ สอง สรุ เิ สียงเพรียงพร้อง ตอ้ งจิตใจคน
(กล่าวถึง นางกาหนม ผูม้ รี ูปโฉมงาม หนา้ อกอวบอัน มีใบหน้านวลผอ่ งเหมือนดวงจนั ทร์ ย้ิมสวยฟันดำครบ ๓๒
ลำคอเปน็ ปล้องผมดำเหมือนปีกแมลงทบั ดวงตากลม ผวิ พรรณดังนนุ่ สำลี ท้ัง ๓ โลกไมม่ ีใครเหมือน เดินอย่าง
หงส์ทอง )
o ครง้ั ทนี ้เี ลา่ พี่แลหน้าเจา้ หมองเศรา้ ร่างกาย
ไมง่ ามไมแ่ ง ยิง่ แลยง่ิ หน่าย ไมเ่ ลิศเฉดิ ฉาย ไมเ่ หมอื นแต่กอ่ น
o เมอ่ื แลนัยน์ตา เชน่ คนชรา เน้อื เหยี่ วหนังหย่อน
ใครกลา่ วขวญั ร้าย ใหน้ างอาวรณ์ เมอื่ คร้ังแตก่ อ่ น ห่อนอย่างน้หี นา
o พศิ ดเู ตา้ นม แต่ก่อนเกลี้ยงกลม ครือกะพุ่มจำปา
บัดนี้เห็นห้อย ยอ้ ยยานลงมา พ่พี ิศดหู น้า วอกเว้าบัดสี
o แลไปใจหาย ไม่สบตาชาย มสิ บายกายี
แมน้ จะนอนแนบขา้ ง ดว้ ยนางนารี เช่นตลาอัคคี ลามลกุ ล้นกาย
(กล่าวถึง พระสุธนพูดกับนางกาหนมว่าทำไม พี่มองหน้าเจ้าช่างเศร้ากาย ไม่สวยเหมือนก่อนยิ่งดูยิ่งเบื่อหน่าย
ไม่เหมือนเม่ือกอ่ น นมเคยเกล้ียงกลม เดยี๋ วนีเ้ ห่ียวยน่ ยานลงมา ไม่นา่ มอง)
o มโนห์รานารี เห็นองค์ทรงศรี สุธนราชา
เกรงกลัวภูวไนย
เสยี วสัน่ พร่นั กาย บ่ายเบยี่ งหน้าตา ซบซบั กับฝ่า
ดโู ฉมจอมไตร
o ขม่ ขืนแข็งจติ เนตรเลง็ เพ่งพิศ
๒๔
ลามลวนกวนกาม เกดิ ความพสิ มยั เหตุดว้ ยสองไท กอ่ นป่างสร้างสรรค์
o พิศทรงองคช์ าย สรรพางคร์ ่างกาย พรายเพริศเฉดิ ฉนั
แม้ชาวไกรลาส อาจจะเปรยี บเทียบทนั งามสบครบครนั พรรณรายเรอื งศรี
o พระสธุ นราชา เห็นนางกลั ยา เบ่ยี งบ่ายหน้าหนี
ตรัสความถามไป เป็นกไู หรเทวี ฤาเคียดเกลยี ดพี่ มสิ บายหนา้ ตา
o ฤาตัวทา้ วน้อง ตรติ รกึ นกึ ปอง ปรองปรุงมงุ่ มา
ว่าจะผกู ไมตรี พาทพี่ ลอดจา ทำเคียดเกลียดข้า บ่ายเบีย่ งหนา้ หนี
o เรียมปล้ำเข้ามา ชวนพลอดเจรจา ตลานัง่ เพือ่ นผี
ฤาจะว่าบา้ ใบ้ ไม่รพู้ าที เรามาถึงนี้ มิทกั ปราศรัย
(กล่าวถึง นางมโนห์รา เมื่อเห็นโฉมของพระสุธน ก็ใจสั่น จิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว เบี่ยงหน้าหนีเพราะเขิน ด้วย
ความท่นี างไมเ่ คยเจอชายใด พระสุธนก็ถามวา่ เกลยี ดพ่ี หรอื ทำไมไมม่ องหนา้ พี่)
o มโนห์รานารี ท้งั หมู่สาวศรี พ่เี ล้ียงทูลไข
นางแกลง้ แต่งตัว ทรงสรอ้ ยมาลัย รัดเกล้าสอดใส เลิศล้วนถว้ นถ่ี
o สไบบางนางหม่ ปกดวงทรวงนม สบสมส้นิ ท่ี
ทรงแพรลายทอง ยองใยใสศรี ทรงสองคุลี ใส่เนาวรตั ถา
o คร้ันแตง่ ตวั เสรจ็ สาวนอ้ ยค่อยเสด็จ ออกจากศาลา
นางซ้องมวยสูง จงู เจ้าออกมา นางโขลนนางจา นำหน้าโฉมฉาย
(กลา่ วถงึ นางมโนหร์ าแตง่ ตัว ใส่รดั เกล้าสรอ้ ยมาลัย หม่ สไบบางปิดทรวงนม ผา้ แพรลายทอง พอแตง่ ตัวเสร็จ ก็
เสดจ็ ออกจากศาลา)
o สว่ นนางเกศนี รูว้ ่าภมู ี ตรสั ใชใ้ ห้หา
จงึ ว่าลูกสะใภ้ ให้สรงคงคา สว่ นวา่ นางพญา เขา้ ส่หู ้องใน
o จัดหาเครื่องทรง อนั จะใหโ้ ฉมยง แตง่ องคอ์ รไท
เลือกแพรเสอื้ ผ้า ค่าควรภพไตร นางเอาออกไป ด้วยพลันทันที
o ส่วนเจา้ มโนหร์ า นางจึงผลดั ผา้ สรงนำ้ ทันที
เหล่านางสาวใช้ เขา้ ชว่ ยขัดสี ใสสดรศมี ย่อระยับจบั ตา
o คร้ันสรงนำ้ แลว้ เน้ือทองน้องเเกว้ ไล้ลูบแป้งทา
ชะมดพิมเสน ราเช่นกฤษณา แล้วทรงภูษา คา่ แสนตำถงึ ทอง
o จอนหูพหู่ ้อย แนบเนื้อเสื้อสร้อย ควนั่ เฝือไหมกรอง
เกศใส่รัดเกล้า ร่งุ ราวเรืองรอง ผา้ สไบใยยอง สอ่ งส่งรัศมี
๒๕
o เเขนสอดกำไล สบิ พระหัตถ์ใส่ พทุ ธธำมรงค์สง่ ศรี
เถือกทองฉลองพระบาท นาฎนอ้ ยนารี แลว้ นางเกศนี เสาวนีย์ตรสั ตรยั
(กลา่ วถงึ นางเกศนี กลา่ ววา่ ใหล้ ูกสะใภ้ไปอาบนำ้ แตง่ เครือ่ งทรงใหม่ สว่ นนางมโนหร์ ากเ็ ปล่ยี นผ้า อาบน้ำทันที
พวกนางสาวใช้ต่างก็ช่วยกันขัดผิว พอเสร็จก็ใส่เสื้อผ้าค่าแพงแสนตำลึง ใส่จอนหูพู่ห้อย ใส่รัดเกล้า ห่มสไบ
สองแขนสวมกำไล สิบนิ้วสวมแหวน)
o เจา้ ประทุมเทวี ได้ฟังทาสี มิชา้ เขา้ ไป
ในห้องไสยา มวี าจาไป แก่โฉมอรไท อบุ ลวรรณา
o ว่าสมเดจ็ ท้าว พระนรินทรป์ น่ิ เกลา้ ใช้ใหม้ าหา
เชิญเจา้ แตง่ ตัว เร่งเร็วเถิดหนา เราจักไคลคลา ไปเฝา้ ทา้ วไท
o เจ้าอุบลวรรณา ฟงั พระมารดา มชิ ้าดว้ ยไว
เจา้ ตกแตง่ องค์ ทรงพระภูไษ ค่าควรภพไตร ใครจะเปรยี บถงึ สอง
o จอนหูพหู่ ้อย เปน็ ดวงพวงยอ้ ย รัดเกล้าแสงส่อง
สวมใสเ่ กศเกล้า รงุ่ ราวเร่อื งรอง สอดกำไลทอง แวววับจับตา
o ใส่พทุ ธธำมรงค์ สบิ นิ้วเจา้ ทรง นพรัตนซ์ ้ายขวา
อกี ท้ังเกือกทอง ฉลองบาทา แล้วนางกัลยา เสด็จดว้ ยชนนี
(กล่าวถึง เจ้าอุบลวรรณา แต่งตัวใส่รัดเกลา้ จอนหูพู่ห้อย กำไลสีทอง แหวน ๑๐ นิ้ว มีนพรัตน์ท้ังซ้ายขวา และ
เกอื กสีทอง)
๒๖
บทอนื่ ๆ
o เกศนีศรีสวรรค์ โฉมยงทรงครรภ์ ถึงเวลากาล
กำหนดทศมาส ลมชวาตพดั ผ่าน ขับพ้นชนมาร เดอื ดดานแดใน
o คร้ันถึงยามดี พระกุมารี ค่อยเคลื่อนคลาไคล
ออกจากครรภา เวลาฤกษ์ชัย เช่นทองหล่อใหม่ ใสสดรัศมี
o บพิตรบิดา เห็นโอรสา ใจถวลิ ยินดี
ใหจ้ ดั แมน่ ม พเ่ี ล้ียงมากมี รกั ษามารศรี สายสุดเสน่หา
o ครั้นถึงชอบวนั ทา้ จะทำขวญั องค์พระลูกยา
ปยู่ ่าตายาย ฝักฝ่ายลุงตา เหลา่ พงศว์ งศา ชพี ราหมณาจารย์
o ใหแ้ ตง่ บายศรี หมคู่ ่ัวป้ิงจ่ี เป็ดไก่ใส่จาน
เสร็จแลว้ ยกต้งั นั่งกลางภมู ิสถานพรรคพากพงศ์พาน นงั่ ล้อมพรอ้ มกัน
o โหรใหจ้ ดุ เทยี น นง่ั กุมแวน่ เวียน รอ้ งชักเชญิ ขวัญ
เสรจ็ แล้วโอยพร แกอ่ รแจม่ จนั ทร์ สิทธิคุ้มกัน อณั รายอย่ามี
o จึงให้พระนาม เปน็ มงคลตาม วันคนื เดือนปี
เก่ยี วข้องพงศา บิดาชนนี ใหช้ ื่อพระศรี สุธนราชา
(กล่าวถึง นางเกศนตี ง้ั ครรภ์ และไดใ้ ห้กำเนิดทารกออกมา ท้าวอาทติ ย์ดใี จมาก จงึ จดั เตรียมแม่นม พอถึงวันทำ
ขวัญ กไ็ ดเ้ ตรยี มเครอื่ งไหว้ บายศรี เพ่ือเปน็ มงคล แล้วจงึ ตง้ั ชือ่ ว่า พระสุธน)
o วันนั้นครฑุ า บนิ ร่อนจรมา ตาเหลอื กลกั ลาน
เหลยี วเหน็ นาคี มีใจชน่ื บาน เพราะว่าอาหาร นานได้ภักษา
o ครุฑเหน็ แกล่ าภ โผดผนิ บินฉาบ ฉวยเอานาคา
ส่วนท้าวนาคี ว่ิงหนีครุฑา ครุฑฉวยคาบพา มิละวางผัน
(กล่าวถงึ พญาครุฑบินมา เหลือบตาไปเห็นพญานาคจงึ บนิ โฉบลงไปจบั หวงั จะกินเปน็ อาหาร)
o เจด็ นางเน้ือเกล้ยี ง บนิ ข้ึนจนเทีย่ ง พ้นถึงสระใหญ่
รอ่ นรีตีวง ร่อนลงทนั ใจ สระกวา้ งกลางไพร หฤทยั ปรดี า
o ปลดเปลอ้ื งเครือ่ งทรง ตง้ั ไว้แล้วลง สระสรงชลธาร
ครีมโครมโถมว่าย ไถย่ กิ กนั มา เสียงดงั โฉฉ่ าว สะเทือนสระศรี
o มโนหร์ าโฉมฉาย นง่ั กลางหาดทราย ชายรมิ นที
ตริตรึกนกึ ใน ไขวข่ วินอนิ ทรีย์ พร่นั กายกายี มสิ บายหน้าตา
๒๗
(กลา่ วถึง เหลา่ นางกนิ รที ้ัง ๗ ตนบินมาเล่นน้ำท่สี ระใหญ่ ถอดเครื่องแต่งการแล้วลงเล่นนำ้ สว่ นนางมโนห์รา น่ัง
กลางหาดทรายรมิ น้ำ)
o ว่าพลางหวั พลาง สาเจ็บแกน่ าง มโนหราทรามเชย
น่ังทีห่ าดทราย ไมล่ งมาเลย ทกุ ข์ไยน้องเอย๋ มเิ สบยหน้าตา
o นางเห็นพี่สาว เสียงโห่โฉ่ฉาว ชวนรอ้ งเรียกหา
ปลดเปลื้องเครือ่ งทรง จากองค์ฉายา ไหว้คลั วันทนา เทวาทั้งหลาย
o นางมุณีเมขลา เจา้ น้ำเจ้าท่า มาคมุ รา่ งกาย
แลว้ เสร็จเสดจ็ ลง สรงน้ำโดยหมาย บม่ คี วามสบาย ขืนว่ายน้ำไป
o นางศรีจฬุ า ครน้ั เห็นนอ้ งมา ระรีด้ ีใจ
เชิญเจา้ เขา้ มา เป็นปลาเพ่ือนไย ตัวเราจักไป เปน็ อวนแหพลนั
o เจด็ นางเจ้าฟา้ วา่ ยน้ำฉาฉา ล่องไลข่ กิ กนั
มโนห์ราสาวนอ้ ย ถอยล่องท่องผนั ไลจ่ ับฉวยกัน เคร่งครุ่นวนุ่ ไป
(กล่าวถึง เหล่าพี่กินรีถามนางมโนห์รา ว่ามีอะไรทุกข์ใจ ทำไมไม่ลงมาเล่นนำ้ พอนางเห็นพี่สาว ร้องเรียกก็ถอด
เครื่องแต่งกาย นางมุณีเมขลาไหว้เทวดาผู้เฝ้าแม่น้ำ ขอให้มาคุ้มครองร่างกาย นางศรีจุฬาเห็นน้องนางมโนห์
รามาก็ดีใจ นางทัง้ ๗ ก็เลน่ กันอย่างสนุกสนาน)
o พี่คดิ ในใจ ใครเลยจะออกไป เทย่ี วเร่ทงุ่ นา
จะฝากปกี ไป ให้แกม่ โนห์รา บอกวา่ พรานป่า ถกู คาแทบตาย
o ใหน้ างทรามวัย เจา้ บนิ หนีไป บ้านเมอื งโฉมฉาย
ครงั้ นีม้ กี รรม จะใครปล่ำให้ตาย เพราะวา่ นางไท เดนิ สวรรค์ไรยา
o เปน็ คนชะตาชัว่ ความตายไมก่ ลวั เรค่ ว้าพามา
ไม่ได้ทรามวยั ที่ไหนจะตอ้ งคา คอนเนอ้ื กวางมา เห็นจะคล่องคลาย
o นางอยูศ่ าลา เจ้าจะคอยพรานปา่ อกคว่ำขวญั หาย
ส่วนนายพรานไพร พไิ รมากมาย ได้ยินทา่ นไท้ พระสธุ นท้าวไท
(กล่าวถึง พรานบุณเท่ียวเร่ท่งุ นา จะฝากปีกให้แก่มโนหร์ า พรานบุณคนชว่ั ไม่กลัวความตาย เร่งจะพานางไปให้
แกพระสุธน โดยใหน้ างนัง่ รอพรานบณุ อยศู่ าลากอ่ น)
๒๘
o กาพย์ฉยัง ๑๖
บทชมดง,ชมเมือง
o กล่าวถึงนายบุณพรานไพร วันเมอื่ ทา้ วไท
ต้งั การววิ าทมงคล
o พรานป่ามาคิดดูฉงน มงุ่ ในใจตน
จะยิงละมั่งกวางทราย
o อัศจรรยว์ นั นั้นหลากหลาย ลัดลอดสอดกาย
บไ่ ดจ้ ะพบมฤคี
o พรานไพรหลงในพนาลีหลายวนั ราตรี
บม่ จี ะพบขา้ วปลา
o กินแตล่ ูกไมเ้ ป็นภักษา ซังซอกออกมา
แดนเมืองกลงิ ค์แดดหน่ายพอรอ้ นนกั หนา
o ไม้ลา่ ยตายสน้ิ ทั้งปา่ แม้นทำไร่นา
ขา้ วปลาก็แห้งเหี่ยวไป
( กล่าวถงึ พรานบุณ ออกเท่ยี วป่า เพือ่ จะเอาเน้อื สัตว์มาถวายในงานพธิ ีอภเิ ษก แต่วนั น้นั กลับไม่พบสัตว์
ป่าสกั ตัว พรานหลงป่าอยหู่ ลายคนื ไม่ได้กินข้าวปลา กินแตผ่ ลไม้ปา่ จนกระทั่งเดินมาถึงเมืองกลิงค์
ที่มีความแห้งแลง้ มาก ปา่ ไมต้ ายหมด ปลกู ขา้ วเลี้ยงปลากต้ ายหมด)
o ชมแตพ่ ฤกษาชาติกลาดพงพี สหี พยัคโฆโตเมน่ หมี
เห็นคนแลน่ หนีหลบหลีกไกล
o กวางทรายควายเถอ่ื นเกลื่อนอยใู่ น กนิ หญา้ พลางแลเห็นตกใจ
แลน่ พลดั กันไปเหมือนตัวกู
(กล่าวถึง นายช่างทมุ พร ชมป่าไม้ แลว้ เห็นเหล่าสัตว์ตกใจคนต่างว่งิ หนี พลดั หลงกัน เหมอื นตัวเราทต่ี ้อง
พลดั พรากจากลูกเมีย)
o หมูมัจฉาปลามากมี ยกิ ไลว่ า่ ยล่องท่องสระศรี
สารพนั อันมีในสาคร บวั บานคลายคลี่เกสร
o ชมพันธ์ดุ อกไมส้ ล้างสลอน รสกลน่ิ เกสรขจรไป
เหน็ แลว้ ทมุ พรเรง่ ยวนใจ
o แมลงภูเ่ อาซาบเข้าชมใน
รวยรืน่ ช่ืนใจเปน็ เปรมปรดี ิ์
๒๙
(กล่าวถึง ทา้ วทุมพร มองเห็นหมปู่ ลาวิ่งวา่ ยไลก่ ันในสระ ชมพรรณดอกไม้ แมลงภู่ตอมเกสรดอกบวั บาน)
o กลา่ วอ้างเจด็ นางอรไท รอ้ นรนวนใจ
จกั ใคร่ ไปเล่นคงคา
o ชมสระชมบัวบษุ บา ชมพันธุ์พฤกษา
ชมพนั ธ์กุ ุ้งปลาน้อยใหญ่
(กลา่ วถงึ เหล่านางกินรีท้ัง ๗ ร้อนใจ ที่จะไม่ไดไ้ ปเลน่ นำ้ ชมดอกบวั ในสระ)
o สว่ นว่าหมอไกรหมอคง ขบั ช้างพิชัยณรงค์
ที่น่ังพระองค์เขา้ มา
o กำไลสอดใสซ่ า้ ยขวา พหู่ อ้ ยกัณฐา
ประดับประตาบรรจง
o ยงั เหล่าช้างพังนางหงส์ คดู่ ว้ ยพชิ ัยณรงค์
ทีจ่ ะให้นางทรงเข้ามา
o กระโจมทองเร่ืองรองสภุ า แต่งเคร่ืองบรรดา
ประดบั สรรพล้วนถ้วนถ่ี
o ตกแต่งสรรพแลว้ จงึ มี กราบบาทบทศรี
ทลู เชญิ สมเดจ็ ทรงธรรม์
(กลา่ วถงึ ควาญชา้ งได้จัดแต่งชา้ งใส่เคร่ืองตา่ ง ๆ เพอื่ เตรียมออกไปทำศกึ กบั พระสุธนอย่างสมเกยี รติ)
๓๐
บทชมโฉม
o ทุมพรฟงั แสนเสนา เชญิ เสด็จยาตรา
ส่กู รุงนัดราธานี
o แตง่ องค์ทรงภษู าศรี เครือ่ งประดับสรรพมี
คลุ ีใสเ่ นาวรตั ถา
o มงกุฎแกมแก้วมุกดา กลวมเศยี รศรี า
บาทาเท้าสอดเกือกทอง
o ทรงเสรจ็ จท้าวเสดจ็ ผนั ผยอง ขึน้ สู่รถทอง
เสนาย่ำฆอ้ งน่ีน่นั
(กล่าวถึง ทา้ วทมุ พรแตง่ องทรงเครอ่ื งก่อนเข้าเมืองไกรลาส)
o นางเทพกินรศี รีสวรรค์ ฟงั นายซึง่ อัน
ทูลความกแ็ จ้งหัทยา
o เสด็จสง่ ดอกมาลา แลว้ เสรจ็ เสดจ็ มา
เครอ่ื งอบตรลบทั้งกาย
o จวงจนั ทนค์ นธรสมาลูบไล้ ผดั แป้งแตง่ กาย
พรายเพริศเลิศลว้ นควรสม
o ทรงผ้าเนือ้ ละเอยี ดข้ีลม สไบบางนางห่ม
ร้วิ ทองลอ่ งลมชมสาย
o พ่หู อ้ ยสร้อยสนิมพร้ิมพราย รดั เกล้าดาวกระจาย
รายแก้วมรกตรัศมี
o กำไลทองกรองเชงิ ถว้ นถี่ พุทธธำมรงคส์ ง่ ศรี
ภมู ที า่ นทา้ วกส็ อดใส่
o เกอื กทองฉลองบาทอรไท แตง่ ตัวแลว้ ไป
เรียกนางสนมกรมวัง
(กล่าวถึง นางเทพกินรี ทรงแต่งกายเพื่อจะออกไปเข้าพิธีอภิเษกกับนายทุมพร ทรงแต่งองทรงเครื่อง โดยใส่ผ้า
เนื้อละเอียดขี้ลม ห่มสไบบางริ้วทอง มีพู่ห้อย ใส่รัดเกล้าดาวกระจายประดับมรกต กำไลทอง แหวน และสวม
รองเท้าเกอื กทอง)
o นางชอ้ งมวยสูงโฉมฉาย แต่งตัวนางไท
นุ่งห่มก็งามตา่ งต่าง หนา้ ครอื บวั บาน
o สาวสาวน้อยนอ้ ยนงคราญ
ชายเหน็ พศิ วงหลงใหล
๓๑
o หมู่นางงามสรรพประไพ ลกู พระยาน้อยใหญ่
ทา้ วไทก็เกบ็ เอามา
o จกั ให้เป็นเพ่ือนการดา แต่งตวั บช่ า้
นุง่ ห่มเชน่ อยา่ งตา่ งกัน
o นางหนึง่ เพราเพรศิ เฉดิ ฉนั นุ่งลายเครอื วลั ย์
หม่ สไบร้ิวทองผ่องใส
o ปิดดวงทรวงนมทรามวยั ชายเหน็ หลงใหล
ด้วยโฉมอรไทงามสม
o นางหนง่ึ นมนอ้ งเอวกลม นงุ่ ลายเทพพนม
หม่ สไบโพตานงามดี
o ปกดวงทรวงนมนารี รปู ครือกนิ นรี
เทวนี า่ รักนักหนา
o นางหนึ่งรปู ทรงโสภา นุง่ แพรกาสา
หม่ สไบลายทองผอ่ งใส
o นางหน่งึ หนา้ นวลเปน็ ใย นงุ่ แพรลองไหม
หม่ สไบใยยองล่องลม
o นรลักษณ์พักตรางามสม พิศดูเต้านม
ทรามชมก็งามศรี
o นางหนง่ึ รปู ทรงสนิ้ ที่ น่งุ แพกำมะหยี่
ห่มสไบพ้นื ทองสุกใส
o เอวกลมสมหนา้ อรไท ละมอ่ มละไม
นางใดจะเปรยี บนารี
o นางหน่ึงสะสวยรวยศรี นงุ่ แพรโกสยี ์
ห่มสไบดอกคำเหลืองอ่อน
o แก้มเหลอื งเพยี งพ่างปรางทอง เน้ือนวลละออง
โฉมนอ้ งก็งามตา่ งตา่ ง
o นางหนึง่ รปู ทรงสะคราญ น่งุ แพรโพตาน
หม่ สไบล่องลายชายตรวย
o ตา่ งตา่ งรูปร่างรวยรวย หน้าตาสะสวย
รวยรวยก็งามตา่ งกนั
o จอนหพู ู่ห้อยลายพรรณ เชน่ อย่างนางสวรรค์
ชายเห็นก็ทำขวัญตา
o กำไลสอดใส่ซ้ายขวา รดั เกล้ามาลา
๓๒
ประดับกับองคเ์ ทวี
o สบิ นวิ้ ใสแ่ หวนงามดี หมนู่ างนารี
กง็ ามมีครบสบตา
o ชายเห็นจกั ใคร่เสนห่ า ด้วยโฉมชายา
เป็นบ้าคล่งั ใคลห้ ลงใหล
o ด้วยโฉมนางงามทรามวยั ชายเห็นตายใจ
หลงใหลด้วยรปู รา่ งกาย
o ส่วนทา้ วทรงน้ำดอกไม้ ชำระสระกาย
ท่านทา้ ว ธ ทาจวงจนั ทน์
o กฤษณาลำพักอำพัน เกศใสน่ ้ำมัน
หอมฟุ้งตรลบจบกาย
o แตง่ องคท์ รงเคร่อื งเรอื งฉาย เฉดิ ฉนั พรรณราย
ประพายประแพวเร่ืองรอง
o ภูษติ วิจิตรเคลอื บทอง เส้ือสนอบกรอบกรอง
เหลืองขาวประพราวหอตา
o มงกุฎฉลองเศียรา เกือกทองรองฝ่า
พระบาททา้ วเจ้าจอมไตร
o สบิ พระหตั ถ์นพรัตน์ประไพ กรสอดกำไล
สุวรรณนวชชั วาล
o แต่งองคท์ รงสร้อยสังวาล เสร็จเเล้วภบู าล
มนิ านมานัง่ เกยชัย
o ตรัสสงั่ หมสู่ นมกรมใน เร่งขึน้ ช้างชัย
ย้ายยืดออกไปพร้อมกนั
(กลา่ วถงึ เหล่านางกนิ รที ้งั ๗ มว้ ยผมสูงแตง่ กาย โดยใสเ่ ครื่องแตง่ กายทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป
นางเกศนี นงุ่ ผา้ ลายเครอื วลั ย์ หม่ สไบริว้ ทอง
นางศรีจุฬา นุ่งผา้ ลายเทพพนม หม่ สไบโพตาน
นางพิมพารตั น์ นงุ่ แพรกาสา หม่ สไบลายทองผ่องใส
นางภัทราวดี นุ่งแพรลองไหม หม่ สไบใยยองล่องลม
นางมณกี าญน์ นุง่ แพกำมะหยี่ หม่ สไบพืน้ ทองสุกใส
นางสมุ าลศยะ นุ่งแพรโกสยี ์ หม่ สไบดอกคำเหลืองอ่อน
นางมโนห์รา นุง่ แพรโพตาน หม่ สไบล่องลายชายตรวย
ตา่ งเพียงรูปร่างหนา้ ตาสะสวยงามตา่ งกนั จอนหูพู่หอ้ ย กำไลสอดใส่ซ้ายขวา รัดเกลา้ มาลา ประดบั กับ
องคเ์ ทวี สิบนว้ิ ใส่แหวน เทา้ ทรงน้ำดอกไม้ )
๓๓
o บัดนั้นพระสุธนโฉมฉาย ครนั้ ฝากนางไว้
ทา่ นไทจะเสด็จออกมา
o กราบเกลา้ เจ้าพระคณุ บิดา ตรติ รกึ ปรึกษา
พรอ้ มหมู่พระยาน้อยใหญ่
o สว่ นทา้ วอาทติ ยฤ์ ทธไิ กร สั่งโหรผใู้ หญ่
ใหด้ ูฤกษ์ยามชั้นฉาย
o แลว้ ท้าวตรสั แกล่ ูกชาย เจา้ เร่งแตง่ กาย
ใหท้ นั ดว้ ยฤกษย์ ามชยั
o ราชาฟงั บดิ าไท เสดจ็ ทรงโภไษ
ใยยองละอองอันดี
o กางเกงทา้ วทรงใส่สี เนอ้ื แพรกำมะหย่ี
เกบ็ ปกั ชักลวดด้วยทอง
o เสอื้ นอบกรอบเพชรแผ้วผอ่ ง รัดอกกนกกรอง
ตาบทองส่องแสงทอตา
o กำไลใสท่ ั้งซ้ายขวา เกือกทองรองฝา่
พระบาทแห่งเจา้ จักรี
o มงกุฎสวมเกล้าเกศี ทงั้ สิบคลุ ี
สอดใสน่ พรตั น์ชชั วาล
o แต่งองค์ทรงเครอ่ื งเรอื งฉาน คือองค์พระนารายณ์
แบง่ ภาคจากดาวดึงสา
o แล้วเจา้ ก้มเกลา้ กราบลา ทรงฤทธบิ์ ดิ า
เพอื่ ว่าจะขอพรชยั
(กลา่ วถึง สธุ น เมอ่ื ฝากนางมโนหร์ าไว้กับแม่แลว้ ก็เข้าไปกราบพอ่ พร้อมหมู่พระยาน้อยใหญ่ สว่ นท้าว
อาทิตยส์ ง่ั โหรผใู้ หญ่ให้ดูฤกษ์ยามแล้วบอกลูกชายให้เรง่ แต่งกายใหท้ นั ด้วยฤกษ์ยาม เม่ือพระสธุ นไดย้ นิ
ดงั กล่าวแล้วจงึ รีบแต่งตวั โดยใส่กางเกงสีเนื้อแพรกำมะหย่ี เย็บปกั ดว้ ยทองเสือ้ นอบกรอบเพชรรดั อกกนก
กรองตาบทองส่องแสง กำไลใสท่ ้งั ซ้ายขวาเกือกทอง มงกฎุ สวมหวั ทัง้ สิบน้วิ สอดใสน่ พรัตนช์ ัชวาล แต่ง
องค์ทรงเครื่องเหมือนดังองค์พระนารายณ์)
๓๔
บทอ่ืน ๆ
o ทา้ วพระยาเข้ามาคดิ อ่าน ท้ังสี่อาจารย์
วา่ ทา่ นมาช่วยแกไ้ ข
o เสร็จชนวนุ่ วนจนใจ เพยี งชีวนั บรรลัย
ท้าวจงได้โปรดเกลเกศา
o ฝนแล้งนำ้ แหง้ นักหนา เพราะวา่ นาคา
มไิ ดร้ กั ษาภพไตร
o มหาพราหมณ์ทงั้ สีต่ อบไป วา่ อยา่ ตกใจ
เราจะแก้เภทภยั นาคา
o มันแกล้งให้เรามรณา จกั เเก้ดว้ ยยา
ใหน้ าคมันมรณาสญั
o มหาพราหมณท์ ง้ั สีพ่ ร้อมกัน ท้าวพระยานี่นัน
ชวนกนั ออกนอกพารา
o ต้งั โรงพิธหี งุ ยา ให้หาบขนมา
บรรดายาพษิ เภทภยั
o สามวันต้ังมณฑลไกร ไดฤ้ กษก์ ่อไฟ
กระทะที่ใหญต่ งั้ พลนั
(กลา่ วถงึ ทา้ วพระยาไปหาพราหมณ์ท้ีงส่ีเพื่อขอความช่วยเหลือ เหตุจากนาคไมใ่ หน้ ้ำในคร้ังนี้ พราหมณ์
ท้ังส่จี งึ ตั้งพิธหี งุ ยา)
o เคย่ี วยาไดส้ ามราตรี รอ้ นทั่วปฐพี
นที่ก็รอ้ นครือไฟ พนั ธุ์ปลาน้อยใหญ่
o จะเขเ้ หราตกใจ ในยามราตรี
งเู งือกก็ซอกซังหนี ทั้งเมอื งนาคา
o รอ้ นถึงกรงุ นาคนาคี เราจกั ข้ึนไป
เมือ่ พระฤาษีหงุ ยา
o เสือกสนร้อนรนนักหนา
เหมอื นเพลงิ ลามไหมอ้ กใจ
o พระยานาคหลากจิตคิดไขว่
ยงั เมืองสกลชมพู
๓๕
(กล่าวถึง พราหมณ์ทั้งสี่ เคี่ยวยาได้ ๓ วันแล้วเทลงแม่น้ำ ก็ร้อนทั่วปฐพี ปลาน้อยใหญ่ต่างตกใจหนี
เดอื ดร้อนถงึ เมอื งบาดาล นาคต่างหนหี ายล้มตายกนั เยอะ)
o กลา่ วถงึ นางงามทรามวัย ยามเทย่ี งมาไรไร
บดั ใจก็ชักชวนกนั
o เจด็ องค์ทรงภูษาสรร สอดปกี หางพลัน
พร้อมกนั กช็ วนบนิ มา
(กล่าวถึง นางกนิ รีทัง้ ๗ ไดป้ กี หางแลว้ บินไป)
o พรานไพรย่องไปกระชัน้ ตาสอดลอดผัน
ม่งุ มองดูโฉมกัลยา
o งามประเสริฐเลศิ ในใต้หลา้ ทรงมิตรกลั ยา
พักตราตลา
o พราวเพรศิ เฉิดโฉมสาวสวรรค์ ไฉนใครจะทนั
จะเปรียบไมม่ ถี ึงสอง
(กล่าวถึง นายพราบุณ แอบยอ่ งมาดเู หลา่ นางกินรีเล่นนำ้ )
๓๖
o กาพย์ยานี ๑๑
บทชมดง,ชมเมอื ง
o เทย่ี วชมพันธุด์ อกไม้ งอกที่ใกล้รมิ สระศรี
อบุ ลจงกลนี มีมากล้วนถ้วนทุกพนั ธ์ุ
(กล่าวถงึ ดอกไมน้ านาพนั ธ์ุ ทเี่ กิดบริเวณริมสระ)
บทชมโฉม
o เคยพรานเพือ่ นอาบนำ้ ส่วนนางเมยี เข้าขดั สี
เหง่ือไคลเหม็นส้ินที่ เเลว้ เทวีผนั จวงจนั ทน์
o แป้งอบตรลบฟุ้ง นางแกล้งปรุงยกใส่ขนั
ยื่นให้นายพรานพลัน ทาจวงจันทน์รสหอมหวาน
o จงึ นางผู้เมียรัก หยิบสองปกั มาใหห้ ม่
พรานวา่ ผา้ มิสม พลางชมนางปิฑดิ า
o นางว่าผ้าใหม่ใหม่ เทียมตวั ไปช้าตรึงตรา
ไมส่ ไู้ วเ้ คหา พาไปไวเ้ รือนพ่ีจัน
(กลา่ วถึง พรานบุณอาบน้ำ มีนางปิฑิตากข็ ัดเหงือ่ ไคล แลว้ เทผงแปง้ จันทน์ทปี่ รุงไว้ย่นื ให้นายพรานบณุ หลังจาก
นัน้ นางกไ็ ดห้ ยบิ ผ้าปักมาให้พรานหม่ แตพ่ รานบอกว่าไม่เหมาะสม จึงขอผ้าผนื ใหม่)
บทอืน่ ๆ หา้ รอ้ ยอยูภ่ เู ขาใหญ่
ในบรรพตเขาคีรี
o จักกลา่ วถึงขห้ี นอน ชมบุษบาในสระศรี
เป็นสขุ สำราญใจ เสยี งอึงมีช่ ักชวนกนั
สาวน้อยนอ้ ยเหมือนแกล้งสรรค์
o ย่อมเคยเลน่ คงคา ลาผวั ขวัญว่าจะไป
เวลาเหล่ากินรี วนั น้ันหนามาหนักใจ
กลัวขัดใจนางกนิ รี
o แตง่ องคท์ รงเสื้อสอย เลน่ สบายชมมาลี
ขี้หนอนผหู้ น่ึงนนั้ สอดปีกหางวางบนิ ไป
บนิ ร่อนลงทส่ี ระใหญ่
o สว่ นผวั ฟังเมียว่า
ครน้ั ว่าจะไม่ไป
o เพราะเพ่ือนไปมากมาย
พรอ้ มกันทันท่วงที
o บห่ งึ ถึงสระสรง
๓๗
เลน่ น้ำสำราญใจ เกบ็ มาลยั ในสระศรี
(กล่าวถึง กินรี อยู่บนภูเขาด้วยความสุขสำราญ ย่อมเคยเล่นน้ำ ชมดอกไม้ในสระ เวลาเหล่ากินรีลงเล่นน้ำ
แต่งตัว กินรีนางหนึ่งได้ไปขอผัวไปเล่นน้ำกับเพื่อน ถ้าหากผัวจะห้ามก็กลัวขัดใจนางเพราะเพื่อนไปกันเยอะ
ดงั นัน้ นางจึงสอดใสป่ กี หางแลว้ บินไปยังสระ)
o วนั นัน้ จึงนายทุมพร เหน็ ข้ีหนอนมาอึงมี่
ซอ่ นอยชู่ ายสระศรี ท่ีสมุ ทมุ พมุ่ พฤกษา
o ค่อยย่องมองดูพลาง เห็นพวกนางเหลา่ กินรึ
ว่ิงลงกลางคงคา เก็บดอกไม้ไลช่ งิ กัน
o ลางนางบ้างร้องแถลง ทะกนั เองเสยี งนน่ี ่ัน
เลน่ พลางทางจับกัน ผันยิกไล่ว่ายคงคา
o ลางนางเล่นปะเข้ ใหเ้ พื่อนเอามอื ปดิ ตา
บา้ งเดด็ ดอกบษุ บา เอามาแนมแซมผมกนั
(กล่าวถึง ทมุ พร แอบซ่อนตัวอยู่ท่ีพุ่มไม้ชายสระ เหน็ กินรีเลน่ น้ำ บางนางเลน่ ปะเข้ เอามอื ปดิ ตาเพื่อน บางนาง
เดด็ ดอกไม้แซมผมกัน)
o จักกล่าวถงึ กานดา เจ็ดนางฟ้าผู้โฉมยง
เคยมาเลน่ สระสรง ทกุ คืนวันนิรันดร
o เม่อื จักเกดิ เหตุเภทภยั ใหร้ อ้ นใจถึงบงั อร
กนิ รศี รีสมร ผมู้ ารดรมโนห์รา
o อรทัยสู่ไสยาสน์ เปน็ ผิดประหลาดในอาตมา
เสยี วสั่นพรน่ั กายา นางนทิ ราไม่หลับไหล
o เปลา่ เปล่ียวเหย่ี วหอบหาย รอ้ นเร่ากายเคี่ยวกวนใน
อตุ สา่ ห์ข่มขืนใจ นัยนเ์ นตรหลับลืมกาย
o วา่ กำแพงหักทะลาย โฉมยงทรงสบุ ิน
ยบั ยอ่ ยแหลกกระจาย ขา้ งฟากฝ่ายหนทักษณิ
o กรามสดุ หลดุ ตกลง ทีแ่ ท่นทองอันโสภา
นางตน่ื จากนทิ รา ฉวยจับควา้ มาหายไป
(กล่าวถึง นางกินรีทั้ง ๗ นาง ร้อนใจที่ แม่สั่งห้ามไม่ให้ไปเล่นน้ำที่สระ เนื่องจาก นางเทพกินรี ผู้เป็นแม่ได้ฝัน
ร้าย ฝันวา่ กำแพงหักฟันกรามสุดหลุดบนแท่นทอง ซึง่ เปน็ รางบอกเหตเุ ภทภยั )
๓๘
o โหราจงึ ทายทกั พระเคราะหร์ ้ายนักนางทรามวัย
ข้าวของเจ้าชอบใจ รักทไ่ี หนจักสญู หาย
o ฝนั วา่ กำแพงแก้ว ม่ันคงแลว้ หกั ทะลาย
หรอื บตุ รเกดิ กบั กาย มไิ ด้อยคู่ รองอาตมา
o ฝนั เห็นว่ากรามสดุ หลดุ ออกจากปากนัน้ หนา
ดฉิ านจะทายตามตำรา บุตรีทเี่ กิดมาฤาชีวารวมหวั ใจ
o ถา้ มติ ายจะให้จาก พรากบ้านเมืองเคืองฤทยั
แม้นสะเดาะพระเคราะหใ์ หญ่ คร้นั ปีใหม่จะวนุ่ วาย
(กล่าวถึง โหรา ได้ทำนายฝนั นางเทพกนิ รีวา่ จะเสียของรัก)
o เกดิ เปน็ กษัตรา พระลกู ยาอยา่ วาววู
ผัวเมยี ยอมกนิ อยู่ แมน้ วา่ ผิดคิดหนา้ หลงั
o การงานมริ ู้อะไร เจา้ ทรามวัยค่อยสอนส่ัง
รำพงึ ขา้ งหนา้ หลงั ถึงจะมักหาอื่นมา
o ไมเ่ หมือนนางกาหนม เจา้ ทรามชมรำพึงรา
เขาจักกลา่ วนินทา พระลูกยารำพึงเอา
o ถ้าดีก็ดีไป รู้มไิ ด้เหมือนใจเรา
ส่ำเสยี หญิงเมียเกา่ เอามาไว้ได้ความอาย
(กล่าวถึง นางเกศนี กล่าวเตือนพระสุธนว่า เป็นกษัตริย์ต้องคิดให้มาก มีเมียแล้วให้รู้การรู้งาน หากไม่ได้ให้ส่ัง
สอน ถงึ จะหาผอู้ ืน่ มา ถา้ ไมเ่ หมอื นนางกาหนม ชาวเมืองเขาจะนินทาเอา)
๓๙
ตวั ละครทป่ี รากฏในเรือ่ ง พระสุธน-มโนห์รา ฉบับวดั โพธปิ ฐมาวาส
- ทา้ วอาทิตย์ (บิดาพระสธุ น)
- นางเกศนี (มารดาพระสุธน)
- พระสุธน (พระโอรส เมอื งอดุ รบนิ จา)
- เนสาท (พ่อพรานบญุ )
- คำศรี (แม่พรานบุญ)
- พรานบญุ , อ้ายบญุ ทฤสา , ขนุ จันหิมพานต์ (กระโหมนพรานป่า)
- นางปฑิ ดิ า (เมยี พรานบุญ)
- นางกาหนม (ลูกสาวโหรา ภรรยาคนแรกพระสธุ น)
- พญานาค
- พญาครุฑ
- พราหมณ์ฤาษีทง้ั สี่ตน
- ท้าวทุมพร (บิดานางมโนหร์ า) ,นายช่างทุมพร (ชา่ งทำงานประณีต แต่ทำชา้ )
- พระอินทร์
- เจ้าเมอื งไกรลาส (บิดาธดิ ากนิ รที ั้ง ๖ นาง มีศักด์ิเปน็ พีข่ องมโนหร์ า)
- นางเทพกนิ รี (มารดาของกินรที ง้ั ๗ นาง )
- ธิดากนิ รที ้งั ๖ (นางเกศนี ,นางศรีจฬุ า ,นางพมิ พารัตน์ ,นางภทั ราวดี ,นางมณกี าญน์ ,นางสมุ าลศ
ยะ)
- นางมโนหร์ า (พระธดิ าองค์เลก็ ตนท่ี ๗ และเป็นภรรยาคนที่ ๒ ของพระสุธน)
- พระยาจนั ทร์ (เสนา)
- พรหมณ์โหรา (พ่อนางกาหนม)
- ศรีมาลา , ศรดี อกไม้ (ธิดาพระยาจนั ทร์ ภรรยาคนท่ี 3 ของพระสุธน)
- พระวษิ ณกุ รรม
- ท้าวมาตุลี (แปลงกายเป็นต้นไทรย้อย)
- นางท้าวบาท
- นางทาสี (ผสู้ ง่ ข้าวสง่ นำ้ พระสธุ น ณ ศาลาเขาไกรลาส)
- พระกายวเิ ศษ (โอรสของพระสุธนกบั นางมโนห์รา)
๔๐
- เจา้ ศรี (บตุ รของพรานบุญทฤสา)
- ทา้ วกายภทั ร (มบี ตุ รชาย ๔ คน เจา้ อนิ ทร์ เจ้าจันทร์ เจ้านนท์ และเจา้ นันท)์
- นางอุบลวรรณา (ภรรยาพระกายวเิ ศษ)
- นางสวุ รรณจำปา (ภรรยาเจ้าศร)ี
- กายสุวรรณ (โอรสของพระกายวเิ ศษ กบั นางอบุ ลวรรณา)
- ธิดาทา้ วนนทกุมาร (ภรรยาพระกายสวุ รรณ)
๔๑
วเิ คราะห์ตวั ละคร
นางมโนห์รา
ภมู หิ ลัง
นางมโนห์รา เป็นพระราชธิดาองค์สุดท้อง ของท้าวทุมพร กับนางเทพกินรี อาศัยอยู่ ณ เมืองไกรลาส
ต่อมาไดเ้ ขา้ พิธอี ภิเษกสมรสกบั พระสุธน ณ เมอื งอดุ รบินจา
ลกั ษณะทางกายภาย
- นางมโนห์ราเปน็ บคุ คลทม่ี ีความเฉลียวฉลาด เพราะสามารถเอาตัวรอดจากพธิ ีบชู ายัญได้ โดยวอน
ขอปกี และหางกบั นางเกศนีผู้มีศักด์ิเปน็ พระมารดาของพระสธุ น ผูเ้ ปน็ พระสามี
- นางมโนห์ราเป็นคนโง่เขลา เพราะมีเชื่อฟังคำเตือนของนางเทพกินรี ผู้เป็นมารดาของตน จนทำ
ใหถ้ ูกจับตวั ไปถวายพระสุธน ณ เมืองอุดรบินจา
- นางมโนห์ราเป็นผู้มีบุญบารมีสูง เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุเภทภัย เหล่าเทวดาอารักษ์ต่างก็คอย
ชว่ ยเหลือ
- นางมโนหร์ าเป็นผู้ทม่ี ีรปู โฉมงามกวา่ หญิงใด
- นางมโนห์ราเปน็ ลูกอกตัญญู ท่แี อบหนพี ระมารดาไปเลน่ นำ้
- นางมโนห์ราเป็นคนซื่อสัตย์ในรักเดียว เพราะรู้ว่าพระสุธนไปออกศึกแล้วได้ เมียใหม่กลับมาด้วย
นนั่ คือ นางศรมี าลา (ศรดี อกไม้)
ลกั ษณะทางจิตใจ
- นางมโนห์ราเป็นผู้มีจิตใจงามเพราสงสาร ดังบทความหนึ่งที่นาง กล่าวขอพระราชทานอภัยโทษ
ให้แกน่ างกาหนม และโหราเฒา่ ทค่ี ดิ ปองร้ายจะจบั นสงเผาไฟบชู ายญั
- นางมโนห์ราเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยน เพราะรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนกับท้าวอาทิตย์ นาเกศนี และพระ
สุธน ในขณะทอ่ี ยตู่ า่ งบา้ นตา่ งเมอื ง
- นางมโนห์ราเป็นผู้เศร้าหมอง เนื่องจากรู้ว่าพระสุธนเมียอยู่แล้ว คือนางกาหนม นั่นก็ไม่ต่างจาก
นางไปแย่งสามีผอู้ ่ืน
- นางมโนห์รารักและห่วงลูกมาก เพราะนางได้ห้ามปราม พระกายวิเศษ มิให้ไปยังเขาไกรลาส
เพราะทน่ี ่ันมแี ต่อนั ตรายรอบดา้ น แตส่ ุดทา้ ยก็ใจออ่ น ยอมให้ปกี หางกับพระกายวเิ ศษ
๔๒
พระสุธน
ภมู ิหลงั
พระสุธน เปน็ พระราชโอรส ของท้าวอาทิตย์ กบั นางเกศนี อาศัยอยู่ ณ เมอื งอุดรบินจา
ลักษณะทางกายภาย
- พระสุธนเป็นบุคคลที่มีความเฉลียวฉลาด เพราะหาวิธีกลั่นแกล้งนางกาหนม โดยที่ไม่ไล่นางกา
หนม ออกจากเมือง แต่นางทนไมไ่ ดจ้ ึงหนีกลับไปอยกู่ ับโหรา ผู้เปน็ บดิ า
- นางมโนห์ราเป็นคนโง่เขลา เพราะในขณะที่พักอยู่ทศี่ าลา ณ เมอื งไกรลาส ยอมใหท้ ้าวทุมพรกล่ัน
แกลง้ ถงึ ๓ หน เพื่อแรกกับการไดเ้ จอนางโนห์รา
- พระสุธนเป็นผู้มีบุญบารมีสูง เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุเภทภัย เหล่าเทวดาอารักษ์ต่างก็คอย
ช่วยเหลอื
- พะสุธนเป็นผู้ท่ีมีรูปโฉมงามสงา่ กวา่ ชายท่ัวไป หญิงใดเห็นก็อยากเขา้ พธิ อี ภเิ ษกด้วย
- พระสธุ นเป็นลูกกตญั ญู ทไี่ ปออกศกึ ตามคำส่งั ของทา้ วอาทิตย์ ผูเ้ ปน็ พระบิดา
- พระสุธนเป็นคนซื่อสัตย์ในรักเดียว เพราะถึงแม้จะมีหญิงใดมาถวายตัวให้ แต่พระสุธนก็นรักแค่
นางมโนห์ราเพียงผเู้ ดยี ว
- พระสธุ นเป็นคนเจา้ ชู้ เพราะมนี างกาหนมเปน็ ภรรยาอยู่แลว้ ยงั อยากไดน้ างมโนหร์ าอีกคน
ลกั ษณะทางจิตใจ
- พระสุธนเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยน เพราะนางมโนห์รากราบขอพระราชทานอภัยโทษให้โหราเฒ่ากับ
นางกาหนม พระสธุ นกใ็ จอ่อน
- พระสุธนเป็นผู้เศร้าหมอง เนื่องจากต้องไปออกศึก แล้วเป็นห่วงนางมโนห์ราเมียรัก จำนำนางไป
ฝากไว้กับนางเกศนี ผู้เป็นพระมารดา พร้อมกำชับเหล่านางกำนลั นางสนม ให้ช่วยปรนนิบัตินาง
อยา่ งดี
- พระสธุ นรักและหว่ งลูกมาก เพราะได้ตาม พระกายวเิ ศษ ไปออกศกึ ณ เมืองอุดรเบญจา จนได้ชัย
ชนะกลบั มา