The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เลขที่-8-E-book-นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา_compressed

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tassnee235, 2022-03-05 21:52:18

เลขที่-8-E-book-นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา_compressed

เลขที่-8-E-book-นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา_compressed

นวตั กรรมทางการศึกษา ความรู้เบื้องต้น
เกย่ี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ
และเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการการเรียนรู้

รายงานนเี้ ป็ นส่วนหน่ึงของรายวิชานวตั กรรม
และเทคโนโลยีสารสนเทศการศึกษา

FEBUARY,2022

ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565

นางสาวทัศนีย์ รัตนทพิ ย์

รหสั นกั ศึกษา646550029-4

หลกั สูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวชิ าชีพครู
คณะศึกษาศาสตร์และศิลปะศาสตร์
วทิ ยาลยั บณั ฑิตเอเชีย

รายงาน
เรื่อง นวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศกึ ษา

จัดทำโดย
นางสาวทศั นยี ์ รัตนทพิ ย์
รหัสนักศึกษา 646550029-4

สอนโดย
ดร.กฤษฎาพนั ธ์ พงษ์บรบิ รู ณ์

วิทยาลยั บัณฑิตเอเชยี
หลกั สูตรประกาศนยี บัตรบณั ฑติ วิชาชพี ครู
คณะศึกษาศาสตรแ์ ละศลิ ปศาสตร์ วิทยาลัยบณั ฑติ เอเซยี

พ.ศ. 2565



คำนำ

รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา เป็นการ
รวบรวมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ตามเว็บเว็บต่างๆ เพื่อให้ผู้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวรับเกี่ยวระบบ
สารสนเทศ เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษามีทักษะการใช้เทคโนโลยอี ย่างถูกต้อง พร้อมทั้งนำมาประยุกต์ใช้ในการศึกษา
และในชวี ิตประจำวนั เพอ่ื จะได้มกี ารเรยี นรใู้ หม่ๆ ซึ่งจะเปน็ การสร้างพื้นฐานใหน้ ักศึกษามีความรู้และความเข้าใจ
ดังนั้นจึงไดจ้ ัดทำรายงานเพื่อนกั ศึกษาได้เข้าใจถึงความสำคญั ของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆมาประยุกต์ใช้
ให้เกิดประโยชนอ์ ยา่ งสงู สดุ และเพ่อื ใช้ประกอบการศกึ ษาและปฏิบัติอย่างถูกวธิ ี

ผู้จัดทำขอขอบพระคุณ ดร.กฤษฎาพันธ์ พงษ์บริบูรณ์ ที่ได้ให้คำแนะนำและคำปรึกษารวมทั้งการจัดทำ
รายงาน ผูจ้ ัดทำรายงานจึงขอขอบพระคณุ มา ณ โอกาสน้ี

ผู้จัดทำ
ทัศนยี ์ รัตนทิพย์

สารบัญ ข

เร่อื ง หนา้
คำนำ ก
สารบัญ ข
บทท่ี 1 นวตั กรรมทางการศึกษา
2
1.1 ประวตั ิ ความเป็นมาของนวตั กรรมทางการศึกษา 5
1.2 ความสำคัญของนวัตกรรมการศกึ ษา 6
1.3 แนวคิดพน้ื ฐานของนวัตกรรมทางการศกึ ษา 7
1.4 ประเภทของนวตั กรรมทางการศกึ ษา 11
1.5 ลักษณะของนวัตกรรมทางการศึกษา 12
1.6 กระบวนการพัฒนานวตั กรรมทางการศึกษา 13
1.7 นวัตกรรมทางการศกึ ษาในยุคปัจจบุ นั
บทท่ี 2 ความรูเ้ บ้อื งต้นเกีย่ วกับเทคโนโลยีสารสนเทศ 27
2.1 ววิ ฒั นาการของสารสนเทศ 27
2.2 สาเหตทุ ี่ทำให้เกดิ สารสนเทศ 32
2.3 ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 35
2.4 คุณลกั ษณะของสารสนเทศทีด่ ี 36
2.5 คณุ ภาพของสารสนเทศ 39
2.6 บทบาทของสารสนเทศ 40
2.7 องค์ประกอบของระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ 42
2.8 เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ 45
2.9 ความสำคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 47
2.10 ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศ 48
2.11 เทคโนโลยสี ารสนเทศกบั การใชช้ วี ิตในสังคมปจั จุบนั 50
2.12 ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ
บทที่ 3 เทคโนโลยอี ิเลก็ ทรอนกิ ส์และคอมพวิ เตอร์ 55
3.1 ความสำคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื การเรียนรู้ 56
3.2 ลกั ษณะเฉพาะของสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ 57
3.3 องคป์ ระกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การเรียนรู้ 61
3.4 ความสำคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศ

สารบญั (ต่อ) หนา้
66
เรื่อง 67
3.5 การจัดปัจจัยสนบั สนนุ การใชเ้ ทคโนโลยชี ว่ ยการเรียนรู้ 71
3.6 ส่ือเพ่ือการเรยี นรู้ 71
3.7 คุณลกั ษณะและความสำคญั ของส่ือ(การศึกษา) การเรียนรู้ 74
3.8 ประเภทของสื่อเพ่ือ(การศึกษา) การเรยี นรู้
3.9 การเลือกใชส้ ่ือการศกึ ษาเพ่ือการเรยี นรู้ 77
3.10 หลักการใชก้ ารเกบ็ รกั ษาสอื่ และนวัตกรรมการศึกษา 78
3.11 นโยบายของกระทรวงศกึ ษาธิการในเร่ืองสื่อการเรียนรู้ 80
3.12 หลักการออกแบบนวัตกรรมและสื่อเพอื่ การเรยี นรู้ 84
3.13 แนวคดิ ทฤษฎกี ารเรียนรู้ (Learning Ecology) 87
3.14 การเรยี นร้ตู ามทฤษฎีของไทเลอร์ (Tylor) 87
3.15 การเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ เครอื ขา่ ยการเรยี นรู้ 90
3.16 องคป์ ระกอบของการเรียนรู้ 91
3.17 องค์กรแห่งการเรียนรู้ : ความหมาย
3.18 การบริหารจดั การเพ่ือการพัฒนา และใชแ้ หลง่ การเรียนรู้สำหรบั สถานศกึ ษา 94
3.19 ความหมายของเครือข่ายความร(ู้ การเรียนรู้ 96
3.20 ลกั ษณะเฉพาะของเครอื ข่ายความร(ู้ การเรียนรู)้ 97
ขอ้ สอบ 99
บรรณานกุ รม 103

ค1

2

1.1 ประวตั ิ ความเปน็ มาของนวัตกรรมทางการศึกษา

https://sites.google.com/site/witthayachanthabuttim/sara-na-ru/nwatkrrm-kar-suksa

“นวัตกรรม” เป็นคำที่ค่อนข้างจะใหม่ในวงการศึกษาของไทย คำนี้ เป็นศัพท์บัญญัติของคณะกรรมการ
พิจารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation มาจากคำกริยาว่า
innovate แปลว่า ทำใหม่ เปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งใหม่ ในภาษาไทยเดิมใช้คำว่า “นวกรรม” ต่อมาพบว่าคำนี้มี
ความหมายคลาดเคลื่อน จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า นวัตกรรม (อ่านว่า นะ วัด ตะ กำ) หมายถึงการนำสิ่งใหม่ๆ เข้ามา
เปลย่ี นแปลงเพมิ่ เตมิ จากวธิ ีการทท่ี ำอยเู่ ดิม เพอื่ ให้ใชไ้ ด้ผลดยี ิ่งขึ้น ดังนน้ั ไม่ว่าวงการหรือกจิ การใด ๆ ก็ตาม เมื่อมี
การนำเอาความเปลีย่ นแปลงใหม่ๆ เขา้ มาใช้เพอ่ื ปรับปรุงงานให้ดีข้นึ กวา่ เดิมก็เรียกได้ว่าเปน็ นวัตกรรม ของวงการ
นั้น ๆ เช่นในวงการศึกษานำเอามาใช้ ก็เรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) สำหรับผู้ท่ี
กระทำ หรือนำความเปล่ยี นแปลงใหม่ ๆ มาใชน้ ้ี เรียกว่าเปน็ “นวัตกร” (Innovator) (boonpan edt01.htm)

ทอมัส ฮิวช์ (Thomas Hughes) ได้ให้ความหมายของ “นวัตกรรม” ว่า เป็นการนำวิธีการใหม่ ๆ มา
ปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลองหรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้น ๆ แล้ว เริ่มตั้งแต่การคิดค้น (Invention) การ
พัฒนา (Development) ซึ่งอาจจะเป็นไปในรูปของ โครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project) แล้วจึงนำไป
ปฏิบตั ิจรงิ ซ่งึ มีความแตกต่างไปจากการปฏิบตั เิ ดมิ ท่เี คยปฏบิ ตั ิมา (boonpan edt01.htm)

มอร์ตัน (Morton,J.A.) ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ว่าเป็นการทำให้ใหม่ขึ้นอีกครั้ง(Renewal) ซึ่ง
หมายถึง การปรับปรุงสิ่งเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงาน หรือองค์การนั้น ๆ นวัตกรรม
ไมใ่ ช่การขจัดหรอื ล้มล้างส่งิ เก่าให้หมดไป แตเ่ ปน็ การ ปรบั ปรงุ เสริมแต่งและพัฒนา (boonpan edt01.htm)

ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2521 : 14) ได้ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ไว้ว่าหมายถึง วิธีการปฏิบัติใหม่ๆ ท่ี
แปลกไปจากเดิมโดยอาจจะได้มาจากการคดิ ค้นพบวิธีการใหม่ๆ ขึน้ มาหรอื มีการปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสมและ

3

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการทดลอง พัฒนาจนเป็นที่เชื่อถือได้แล้วว่าได้ผลดีในทางปฏิบัติ ทำให้ระบบก้าวไปสู่
จดุ หมายปลายทางไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพขน้ึ

จรูญ วงศ์สายัณห์ (2520 : 37) ได้กล่าวถึงความหมายของ “นวัตกรรม” ไว้ว่า “แม้ในภาษาอังกฤษเอง
ความหมายกต็ ่างกันเปน็ 2 ระดบั โดยท่วั ไป นวตั กรรม หมายถึง ความพยายามใด ๆ จะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ มาก
น้อยเพยี งใดกต็ ามท่ีเป็นไปเพ่อื จะนำสงิ่ ใหม่ ๆ เขา้ มาเปล่ยี นแปลงวธิ ีการทที่ ำอยเู่ ดมิ แล้ว กบั อกี ระดับหน่งึ ซึ่งวงการ
วทิ ยาศาสตร์แหง่ พฤติกรรม ไดพ้ ยายามศกึ ษาถึงทม่ี า ลักษณะ กรรมวิธี และผลกระทบท่ีมอี ยู่ตอ่ กลุ่มคนท่เี ก่ียวข้อง
คำว่า นวัตกรรม มักจะหมายถึง สิ่งที่ได้นำความเปลี่ยนแปลงใหม่เข้ามาใช้ได้ผลสำเร็จและแผ่กว้างออกไป จน
กลายเปน็ การปฏิบตั อิ ย่างธรรมดาสามญั (บุญเกอื้ ควรหาเวช , 2543)

นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คอื
ระยะท่ี 1 มกี ารประดิษฐ์คิดคน้ (Innovation) หรือเปน็ การปรุงแต่งของเกา่ ใหเ้ หมาะสมกับกาลสมัย
ระยะที่ 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทำอยู่ในลักษณะของโครงการ
ทดลองปฏิบัตกิ อ่ น (Pilot Project)
ระยะท่ี 3 การนำเอาไปปฏบิ ัตใิ นสถานการณ์ทั่วไป ซง่ึ จัดวา่ เป็นนวัตกรรมขั้นสมบรู ณ์

นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง การนำแนวคิด วิธีการปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับการพัฒนา
ปรับปรุงหรือดัดแปลงให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการนำมาใช้ในการจัดการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อแก้ไขปัญหา เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล และก่อให้เกิดความสำเร็จสูงสุดแก่ผู้เรียน อัญชลี โพธิ์ทอง
และอัปษรศรี ปลอดเปล่ยี ว (2542 : 9), อรนุช ลิมตศริ ิ (2543 : 3)

“นวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation )” หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้การศึกษา และการ
เรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิด
แรงจูงใจในการเรียนด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยัดเวลาในการเรียนได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีการใช้
นวัตกรรมการศกึ ษามากมายหลายอยา่ ง ซงึ่ มที ้งั นวตั กรรมที่ใช้กนั อยา่ งแพรห่ ลายแล้ว และประเภทท่กี ำลงั เผยแพร่
เช่น การเรียนการสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Aids Instruction) การใช้แผ่นวิดีทัศน์เชิงโต้ตอบ
(Interactive Video) สื่อหลายมิติ ( Hypermedia ) และอินเทอร์เน็ต [Internet] เหล่านี้ เป็นต้น (วารสาร
ออนไลน์ บรรณปญั ญา.htm)

“นวัตกรรมทางการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูป
ของความคิดหรือการกระทำ รวมทง้ั ส่งิ ประดษิ ฐก์ ็ตามเขา้ มาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อม่งุ หวังที่จะเปลยี่ นแปลงส่ิงที่
มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิด
แรงจูงใจในการเรียน และช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้วีดิ
ทศั น์เชงิ โตต้ อบ (Interactive Video) สอ่ื หลายมติ ิ (Hypermedia) และอนิ เตอรเ์ น็ต เหลา่ นี้เป็นต้น

4

https://bsci2.com/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0
“นวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้การศึกษา และการ
เรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิด
แรงจูงใจในการเรียน ในแวดวงของการปฏิรูปการศึกษาจงึ มนี ักวิชาการคิดค้นรปู แบบของการเรียนการสอนเพ่ือให้
นกั เรยี นมีส่วนรว่ มมากขนึ้ ในทนี่ ้จี ะขอกลา่ วถึงนวัตกรรมการศกึ ษาท่ีกำลังถกู จับตามอง ไดแ้ ก่
1.นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพ
แวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการของบุคคล โดยออกแบบหลักสูตรให้สอดคล้องกับความก้าวหน้า
ทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและของโลก และสามารถทำการบูรณาการจากองค์ความรู้ใน
สาขาตา่ งๆ มาประกอบหลักสตู รให้เข้ากบั คุณธรรม จรยิ ธรรม โดยมุง่ ให้ผูเ้ รยี นเป็นคนดมี ีคุณธรรม
2.นวตั กรรมการเรียนการสอน คือสิง่ ใหม่ๆ ที่สรา้ งขนึ้ มาเพื่อช่วยแกป้ ัญหาเกีย่ วกับการเรียนการสอนหรือ
พัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ แนวคิด รูปแบบ วิธีการ กระบวนการ สื่อต่างๆ ที่
เกี่ยวกับการศึกษาเป็นการใชร้ ะบบในการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวธิ สี อนแบบใหม่ๆ เป็นการใช้วิธีการสอนหรอื
เทคนิคการสอนในรูปแบบต่างๆ ที่นักการศึกษาได้คิดค้นเพื่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนทั้งในด้าน
ความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และเจตนคติ
3.นวัตกรรมสื่อการสอน เนื่องจากมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์เครือข่าย และเทคโนโลยี
โทรคมนาคม ทำให้นักการศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการสอน
ใหม่ๆ
ครูไทยในปัจจุบันก็มีความตื่นตัวในเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด แต่ติดขัดที่ระบบการบริหารการจัดการของแต่
ละโรงเรยี นที่ไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างวัยต่างความคิด พืน้ ที่นวตั กรรมการศึกษาจึงเกิดขึ้นในหลายจังหวัด เกิดจาก
กลุ่มคนที่ทนเห็นการศึกษาของไทยถอยหลังเข้าคลองและรอการปฏิรูปการศึกษาไม่ไหว ใครถนัดแบบไหนก็หา
เครือขา่ ยรว่ มกันทำ หวังว่าพลังของเครอื ข่ายจะจบั มือกันไปทำใหเ้ กดิ Butterfly Effect ข้นึ ไดใ้ นเร็ววนั .

5

1.2 ความสำคญั ของนวัตกรรมการศึกษา

https://thanetsupong.wordpress.com/

นวัตกรรมมคี วามสำคญั ต่อการศึกษาหลายประการ ทั้งนีเ้ นือ่ งจากในโลกยคุ โลกาภิวัฒน์โลกมีการเปลี่ยน
แปลงในทุกด้านอย่างรวดเรว็ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ความก้าวหนา้ ทั้งด้านเทคโนโลยแี ละสารสนเทศ การศึกษาจึงจำ
เปน็ ตอ้ งมกี ารพัฒนาเปลยี่ นแปลงจากระบบการศึกษาที่มีอยู่เดิม เพอื่ ให้ทนั สมยั ตอ่ การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี
และสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาทางด้านศึกษาบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงทางด้านการศึกษาจึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมการศึกษาที่จะ
นำมาใช้เพอ่ แก้ไขปัญหาทางการศึกษาในบางเร่ือง เช่น ปัญหาทเ่ี กีย่ วเนอื่ งกัน จำนวนผ้เู รยี นท่ีมากขน้ึ การพัฒนา
หลกั สูตรให้ทันสมัย การผลติ และพฒั นาสอ่ื ใหม่ ๆ

กล่าวโดยสรุป นวตั กรรมการศึกษาเกิดขน้ึ ตามสาเหตุใหม่ ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1) การเพิ่มปริมาณของผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้นัก
เทคโนโลยกี ารศกึ ษาตอ้ งหานวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ เพ่อื ใหส้ ามารถสอนนักเรยี นไดม้ ากขนึ้
2) การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยเี ป็นไปอย่างรวดเร็ว การเรยี นการสอนจึงต้องตอบสนองการเรียนการ
สอนแบบใหม่ ๆ ทีช่ ว่ ยใหผ้ เู้ รียนสามารถเรียนรู้ได้เร็วและเรียนรู้ได้มากในเวลาจำกัดนักเทคโนโลยีการศึกษาจ่งต้อง
คน้ หานวตั กรรมมาประยกุ ตใ์ ช้เพ่อื วัตถุประสงค์นี้
3) การเรียนรู้ของผูเ้ รียนมีแนวโน้มในการเรียนรู้ดว้ ยตนเองมากขึ้น ตามแนวปรัชญาสมัยใหม่ที่ยึดผู้เรยี น
เปน็ ศูนยก์ ลาง นวัตกรรมการศึกษาสามารถช่วยตอบสนองการเรยี นรู้ตามอตั ภาพ ตามความสามารถของแต่ละคน
เชน่ การใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน CAI (Computer Assisted instruction) การเรียนแบบศูนย์การเรียน
4) ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีโทรคมนาคม ที่ส่วนผลักดันให้มีการใช้
นวัตกรรมการศึกษาเพิ่มมากขึ้น เชน่ เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ทำให้คอมพิวเตอร์ มีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพ
สูงขึ้นมาก เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ทำให้เกิดการสื่อสารไร้พรมแดน นักเทคโนโลยี
การศึกษาจึงคดิ คน้ หาวิธีการใหม่ ๆ ในการประยุกต์ใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เปน็ ฐานในการเรียนรู้ ท่ีเรียกว่า
“Web-based Learning”

6

การใช้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันเป็นไปอย่างกว้างขวาง ในวงการศึกษาคอมพิวเตอร์มิใช่เพียงแต่สิ่งอำนวย
ความสะดวกในสำนักงานเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นสื่อหรือเป็นเครื่องมือสร้างสื่อได้อย่างสวยงามเหมือนจริง และ
รวดเร็วมากกว่าก่อน นักเทคโนโลยีการศึกษาจึงศึกษาวิจัยบทนวัตกรรมทางด้านการผลิตและการใช้สื่อใหม่ ๆ
ตามศักยภาพของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เช่น คอมพิวเตอร์กราฟิก ระบบมัลติมีเดีย วิดีโอออนดีมานด์ การ
ประชมุ ทางไกล อี-เสน้ นงิ่ อ-ี เอ็ดดูเคชั่น เปน็ ต้น

1.3 แนวคิดพ้ืนฐานของนวตั กรรมทางการศกึ ษา

นวัตกรรมทางการศกึ ษาได้รบั การพัฒนาข้ึนโดยไดร้ ับอิทธพิ ลจากแนวคดิ พื้นฐาน 4 ประการ คือ
(1) แนวคิดด้านความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล (Individual Difference) หลักการจดั การศกึ ษาในปจั จุบัน
มุ่งเน้นจัดการศึกษาตามความสนใจและความสามารถของผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งนักการศึกษาได้พัฒนาวิธีการ
ใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมการจัดการเรยี นรู้ที่เน้นให้ผูเ้ รยี นใช้ความสามารถในการเรียนรู้ที่แต่ละคนมีความแตกต่างกันให้
เกิดประโยชน์ตอ่ การเรียนรใู้ ห้มากท่ีสุด นวตั กรรมทางการศึกษาที่เกิดจากแนวคิดด้านความแตกต่างระหว่างบุคคล
ได้แก่ การจัดการเรียนรู้แบบไม่แบ่งชั้น บทเรียนสำเร็จรูป ชุดการสอน การสอนเป็นคณะ การใช้เครื่องช่วยสอน
การจดั โรงเรยี นในโรงเรยี น เปน็ ตน้
(2) แนวคิดด้านความพร้อม (Readiness) การจัดบทเรียนให้มีความเหมาะสมกับระดับความสามารถ
ของผู้เรียนโดยการปรับปรุงลำดับของเนื้อหา หรือนำนวัตกรรมการศึกษาท่ีเหมาะสมกับการสร้างความพร้อมจะ
ทำให้การจัดการเรียนรู้ประสบความสำเร็จ นวัตกรรมทางการศึกษาทีเ่ กิดจากแนวคิดด้านความพร้อม ได้แก่ ศูนย์
การเรยี น การจดั โรงเรยี นในโรงเรียน การสอนรวมชนั้ เป็นตน้
(3) แนวคิดด้านการใช้เวลาเพื่อการศึกษา เป็นการกำหนดเวลาในการจัดการเรียนรู้ให้สัมพันธ์กับ
ลักษณะเฉพาะของแต่ละวิชานวัตกรรมทางการศึกษาที่เกิดจากแนวคิดด้านการใช้เวลาเพื่อการศึกษา ได้แก่ การ
จดั ตารางสอนแบบยืดหย่นุ มหาวิทยาลัยเปิด แบบเรียนสำเรจ็ รูป การเรียนทางไปรษณีย์ บทเรียนโปรแกรมชุดการ
เรียน เปน็ ตน้
(4) แนวคดิ ด้านการขยายตวั ทางวิชาการและอัตราการเพ่มิ ประชากร เปน็ การเพ่มิ โอกาสในการเรียนรู้แก่
ประชากรซึง่ อาจมีข้อจำกดั ทางการเรียนรู้บางประการ นวัตกรรมทางการศึกษาที่เกิดจากแนวคิดด้านการขยายตัว
ทางวิชาการและอัตราการเพิ่มประชากร ได้แก่ มหาวิทยาลัยเปิด การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์ การ
เรยี นทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเรจ็ รูป ชุดการเรียน การจัดโรงเรยี นสองผลดั บทเรยี นโปรแกรม เป็นตน้

7

https://www.gotoknow.org/posts/553766
1.4 ประเภทของนวัตกรรมทางการศกึ ษา

องคป์ ระกอบทเี่ ป็นมิติสำคัญของนวตั กรรม มอี ยู่ 3 ประการ คอื
1. ความใหม่ (Newness) หมายถึง เป็นสิ่งใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้น ซึ่งอาจเป็นตัวผลิตภัณฑ์ บริการ หรือ
กระบวนการ โดยจะเปน็ การปรบั ปรงุ จากของเดมิ หรอื พัฒนาข้นึ ใหม่เลยก็ได้
2. ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ (Economic Benefits) หรือการสร้างความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ กล่าวคือ
นวัตกรรม จะต้องสามารถทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นได้จากการพัฒนาสิ่งใหม่นั้นๆซึ่งผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอาจจะ
วัดได้เป็นตัวเงินโดยตรง หรือไมเ่ ปน็ ตัวเงินโดยตรงก็ได้
3. การใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ (Knowledge and Creativity Idea) สิ่งที่จะเป็นนวัตกรรมได้
นั้นต้องเกิดจากการใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์เป็นฐานของการพัฒนาให้เกิดซ้ำใหม่ ไม่ใช่เกิดจากการ
ลอกเลียนแบบ การทำซ้ำ เปน็ ตน้
นักการศึกษาได้แบ่งประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษาตามจุดเน้นของการพัฒนาการจัดการศึกษา
หลายลกั ษณะ วทุ ธิศักดิ์ โภชนุกลู (2550 : 8) อธิบายวา่ นวตั กรรมทางการศึกษา แบง่ ออกเปน็ 5 ประเภท คือ
(1) นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับ
สภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น เนื่องจากหลักสูตรจะต้องมีการ
เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและ
ของโลก นอกจากน้ีการพฒั นาหลักสตู รยังมคี วามจำเปน็ ท่ีจะต้องอยู่บนฐานของแนวคิดทฤษฎีและปรัชญาทางการ
จัดการสัมมนาอีกด้วย ที่เป็นนวัตกรรมการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ นวัตกรรม
ทางดา้ นหลักสตู รในประเทศไทย ได้แก่ การพัฒนาหลกั สูตรดังตอ่ ไปน้ี

8

https://sites.google.com/site/krutopfykmrt/work
1.หลกั สูตรบูรณาการ เปน็ การบูรณาการส่วนประกอบของหลกั สูตรเขา้ ดว้ ยกันทางด้านวิทยาการ
ในสาขาตา่ งๆ การศกึ ษาทางด้านจริยธรรมและสังคม โดยมุ่งให้ผูเ้ รยี นเป็นคนดสี ามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากองค์ความรู้
ในสาขาตา่ งๆ ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพสังคมอย่างมีจริยธรรม
2.หลักสูตรรายบุคคล เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อการศึกษาตามอัตภาพ เพื่อ
ตอบสนองแนวความคิดในการจัดการศึกษารายบุคคล ซึ่งจะต้องออกแบบระบบเพื่อรองรับความก้าวหน้าของ
เทคโนโลยดี า้ นตา่ งๆ
3.หลักสตู รกิจกรรมและประสบการณ์ เปน็ หลักสูตรที่ม่งุ เนน้ กระบวนการในการจัดกิจกรรมและ
ประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ เช่น กิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในบทเรียน
ประสบการณ์การเรียนรู้จากการสบื ค้นดว้ ยตนเอง เปน็ ตน้
4.หลักสูตรท้องถิ่น เป็นการพัฒนาหลักสูตรที่ต้องการกระจายการบริหารจัดการออกสู่ ท้องถิ่น
เพื่อให้สอดคล้องกับศิลปวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของประชาชนที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น แทนที่
หลักสูตรในแบบเดิมท่ใี ช้วิธกี ารรวมศนู ยก์ ารพัฒนาอยใู่ นส่วนกลาง
(2) นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ เช่น การสอนแบบศูนย์การเรยี น การใช้กระบวนการกลุม่ สมั พันธ์ การ
สอนแบบเรียนรูร้ ว่ มกัน และการเรยี นผา่ นเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์และอินเทอรเ์ นต็ กระบวนการสรา้ งความตระหนัก
กระบวนการสร้างเจตคติ กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด กระบวนการปฏิบตั ิ กระบวนการสบื สอบ กระบวน
การสร้างทักษะการคิดคำนวณ การสอนแบบศูนย์การเรียน การสอนแบบใช้ บทบาทสมมติ การสอนโดยใช้
สถานการณ์จำลอง การเรียนแบบสญั ญาการเรียน การเรียนเป็นคู่ การเรียนเพื่อรอบรู้ การเรียนแบบร่วมมือ เป็น
ตน้
(3) นวัตกรรมสื่อการสอน เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่าย
และเทคโนโลยี โทรคมนาคม ทำใหน้ กั การศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยเี หล่านี้มาใช้ในการผลิตสื่อการ
เรยี นการสอนใหมๆ่ จำนวนมากมาย ท้ังการเรยี นด้วยตนเองการเรียนเปน็ กลมุ่ และการเรยี นแบบมวลชน ตลอดจน
สื่อที่ใช้เพื่อสนับสนุนการฝึกอบรม ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตัวอย่าง นวัตกรรมสื่อการสอน เช่น Computer

9

Assisted Instruction (CAI), Web-based Instruction (WBI) Web-based Training (WBT) Virtual
Classroom (VC) Web Quest Web Blog บทเรียนสำเร็จรูป บทเรียนโมดูล บทเรียนออนไลน์ คอมพิวเตอร์
ช่วยสอน ชุดการสอน จุลบท ชุดสื่อประสม วีดิทัศน์ สไลด์ประกอบเสียง แผ่นโปร่งใส บัตรการเรียนรู้ บัตร
กจิ กรรม แบบฝกึ ทกั ษะ เกม เพลง เปน็ ตน้

(4) นวัตกรรมการประเมินผล เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลได้อย่างมี
ประสิทธิภาพและทำได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วยการประยุกต์ ใช้
โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสนบั สนุนการวดั ผล ประเมินผลของสถานศกึ ษา ครู อาจารย์ ตัวอย่าง นวตั กรรมทางด้าน
การประเมินผล ได้แก่

- การพฒั นาคลงั ข้อสอบ
- การลงทะเบียนผ่านทางเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต
- การใชบ้ ตั รสมารท์ การด์ เพื่อการใชบ้ รกิ ารของสถาบนั ศึกษา
- การใชค้ อมพวิ เตอร์ในการตัดเกรด
- ฯลฯ
(5) นวัตกรรมการบริหารจัดการ เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการ
บริหารจดั การ เพื่อการ ตดั สนิ ใจของผู้บริหารการศกึ ษาใหม้ ีความรวดเร็วทนั เหตุการณ์ ทนั ต่อการเปล่ยี นแปลงของ
โลก นวัตกรรมการศึกษาที่นำมาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงาน
สถานศกึ ษา เชน่ ฐานขอ้ มลู นกั เรยี น นกั ศึกษา ฐานขอ้ มลู คณะอาจารยแ์ ละบุคลากร ในสถานศกึ ษา ด้านการเงิน
บัญชี พัสดุ และครุภณั ฑ์ ฐานข้อมลู เหล่านีต้ อ้ งการออกระบบทสี่ มบูรณม์ ีความปลอดภัยของข้อมลู สงู

นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับสารสนเทศภายนอกหน่วยงาน เช่น ระเบียบปฏิบัติ กฎหมาย พระราช
บัญญัติ ที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา ซึ่งจะต้องมีการอบรม เก็บรักษาและออกแบบระบบการสืบค้นที่ดีพอซึ่ง
ผู้บรหิ ารสามารถสบื ค้นข้อมูลมาใชง้ านได้ทนั ทีตลอดเวลาการใช้นวัตกรรมแตล่ ะด้านอาจมีการผสมผสานที่ซ้อนทับ
กันในบางเรื่อง ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาร่วมกันไปพร้อมๆ กันหลายด้าน การพัฒนาฐานข้อมูลอาจต้องทำเป็น
กลุ่มเพื่อให้สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ฐานข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะ
อาจารย์ และบุคลากร ในสถานศกึ ษา ดา้ นการเงิน บญั ชี พัสดุ และครุภัณฑ์

มหาวทิ ยาลยั รังสติ (2549 : 1) กลา่ วว่า นวตั กรรมทางการศึกษาด้านการจัดการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนสร้าง
หรอื พัฒนาขึ้นเพ่อื พัฒนาหรอื ปรบั ปรงุ แก้ไขปัญหาการจัดการเรยี นรู้ แบง่ ได้ 2 ประเภท คือ

(1) กิจกรรมการพัฒนาการเรียนรู้หรอื เทคนคิ วธิ ีสอน (Instruction) เช่น บทเรียนสำเร็จรปู ชุดการเรียน
การสอน ชุดฝึก แบบฝึก แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นรูปแบบการสอน, กิจกรรมการเรียนรู้, หรือกระบวน การ
เรียนรู้ ชดุ พัฒนาคุณลกั ษณะ เป็นตน้

(2) สื่อการเรียนรู้หรือสิ่งประดิษฐ์ (Invention) เช่น สื่อประสม วีดิทัศน์ แบบจำลอง รูปภาพ, แผ่น
โปรง่ ใส, แผนภาพ เกมประดิษฐ์หรอื เกมฝกึ ทกั ษะ เป็นต้น

10

สำหรบั นวตั กรรมทางการศกึ ษาที่เกี่ยวกับการจดั กจิ กรรมการเรียนรูใ้ นระดบั ช้ันเรยี น แบ่งเป็น 2 ประเภท
หลัก คือ ประเภทกิจกรรมการพฒั นาการเรียนรู้และเทคนิควธิ ีสอน (Learning and Instruction) และประเภทส่ือ
การเรยี นรหู้ รือส่ิงประดิษฐ์ (Invention)

1.5 ลักษณะของนวตั กรรมทางการศกึ ษา

https://bsci2.com/%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%81%E0
นวตั กรรมทางการศกึ ษา เปน็ การนำแนวคดิ วธิ ีการมาใชใ้ นการจดั การศึกษาเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการเรียน

การสอนใหม้ ีประสทิ ธิภาพยิ่งขน้ึ มีลกั ษณะสำคญั คอื
(1) เป็นแนวความคิดที่ไม่ยังไม่มีการนำมาปฏิบัติในวงการศึกษาและอาจเป็นสิ่งใหม่บางส่วนหรือเป็นส่ิง

ใหม่ทง้ั หมดซง่ึ ใช้ได้ไม่ได้ผลในอดตี ซ่งึ ไดร้ ับการปรับปรงุ แก้ไขใหด้ ีขึน้ เชน่ การนำคอมพวิ เตอร์มาใช้ในการจัดการ
เรียนรู้

(2) เป็นแนวความคิดหรือแนวทางปฏิบตั ิในลักษณะใหม่ซึ่งดัดแปลงจากแนวความคิดหรือแนวทางปฏิบัติ
เดิมที่ปฏิบัติไม่ประสบความสำเร็จให้มีความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันและก่ อให้เกิดความสำเร็จได้
และมีการจัดระบบขั้นตอนการดำเนินงาน (System Approach) โดยการพิจารณาข้อมูล กระบวนการ และ
ผลลพั ธ์ ใหเ้ หมาะสมก่อนทำการเปลีย่ นแปลงนนั้ ๆ

(3) เป็นแนวความคิดหรือแนวทางปฏิบัติซึ่งมีมาแต่เดิมและได้รับการปรับปรุงให้มีลักษณะทันสมัยและ
ได้รับการพสิ ูจน์ประสิทธิภาพดว้ ยวธิ ีทางวทิ ยาศาสตรห์ รืออยู่ระหวา่ งการวจิ ัย

11

(4) เป็นแนวความคิดหรือแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ซ่ึง
เอ้ืออำนวยให้เกดิ ความสำเรจ็ ย่ิงขึน้ เชน่ การศกึ ษาคน้ คว้าด้วยตนเอง

(5) เป็นแนวความคดิ หรือแนวทางปฏิบัตทิ ี่คน้ พบใหม่อย่างแทจ้ ริงซึ่งยังไม่ได้ทำการเผยแพร่หรอื ได้รับการ
ยอมรับเปน็ สว่ นหนึง่ ของระบบงานในปัจจุบนั
1.6 กระบวนการพฒั นานวตั กรรมทางการศกึ ษา

กระบวนการพัฒนานวตั กรรมทางการศกึ ษา แบง่ เป็น 3 ขั้นตอนหลัก คอื
(1) การประดิษฐ์คดิ ค้น เป็นขั้นตอนการศึกษาสภาพปญั หาและการคดิ คน้ เพื่อกำหนดรูปแบบนวัตกรรมที่
ใช้ในการปรบั ปรุงแก้ไขปญั หา โดยพจิ ารณาความเป็นไปไดต้ ามหลักการทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
(2) การสร้างและพัฒนานวัตกรรม เป็นขั้นตอนการจัดทำนวัตกรรมตามรูปแบบที่กำหนด จากขั้นตอนท่ี
1 สำหรับวิธพี ฒั นานวัตกรรมอาจทำได้หลายวิธี ซ่ึงวิธีทไี่ ด้รบั ความนิยมและได้รับความเชื่อถือ คือ การทดลองเพ่ือ
พิสจู นป์ ระสิทธิภาพของนวตั กรรมในการแก้ปญั หาหรือพัฒนาคุณภาพการจดั การเรียนรู้
(3) การยอมรับและนำนวัตกรรมไปใช้ เป็นขั้นตอนการยอมรับนวัตกรรมที่ได้สร้างและพัฒนาขึ้น และนำ
นวตั กรรมนนั้ ไปใช้ปรบั ปรงุ แก้ไข และพฒั นาการจดั การเรยี นรู้ ในสถานการณแ์ ละสภาพแวดลอ้ มปกติ

https://chalitasaesiaw.wordpress.com/2017/12/26/7
นวัตกรรมทางการศึกษา เป็นการนำแนวคิด วิธีการปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความ
เหมาะสมและสอดคล้องกับการนำมาใช้ในการจัดการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหา เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล
และกอ่ ใหเ้ กิดความสำเร็จสูงสุดแกผ่ เู้ รยี น
โดยทั่วไป นวัตกรรมทางการศึกษาจัดแบ่งได้ 2 ระดับ คือ (1) ระดับหน่วยงานการศึกษา (หน่วยงาน
ทางการศึกษา หรือ สถานศกึ ษา), (2) ระดับช้นั เรยี น สำหรบั นวัตกรรมทางการศึกษาที่เก่ยี วกับการจดั กจิ กรรมการ
เรียนรู้ในระดับชั้นเรียน แบ่งเป็น 2 ประเภทย่อย คือประเภทกิจกรรมการพัฒนาการเรียนรู้และเทคนิควิธีสอน
(Learning and Instruction) และประเภทสอื่ การเรียนรหู้ รือสงิ่ ประดิษฐ์ (Invention)

12

ซึ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ก้าวหน้าอย่าง
ต่อเนื่องส่งอิทธิพลอย่างเข้มข้นต่อการพัฒนานวัตกรรม นักการศึกษาและผู้ประกอบการทางการศึกษาจึงสร้าง
สรรค์นวัตกรรมเพื่อลดข้อจำกัดในการเรียนรู้, สร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้, และเพิ่มความสำเร็จในการ
เรียนรู้ อาทิ โปรแกรมสร้างแบบทดสอบ (Online Test), โปรแกรมแปลงรูปภาพเป็นอักษร OCR (Optical
Character Recognition), โปรแกรมการประชุมทางไกล (Video Conference), โปรแกรมควบคุมคอมพิวเตอร์
ระยะไกล (Remote Desktop Connection), โปรแกรมจัดการเอกสารร่วมกัน (Collaboration Tools), ฯลฯ
ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอันทรงพลงั ท่ี
นกั การศกึ ษาควรทำความร้จู ักเพ่ือนำไปปรับใช้ในการออกแบบนวัตกรรมทางการศึกษาและอำนวยความสะดวกใน
การเรียนรูใ้ ห้กับผ้เู รยี น
1.7 นวตั กรรมทางการศกึ ษาในยุคปจั จบุ นั

https://sites.google.com/a/srru.ac.th/classroom_sites/nwatkrrm2
นวัตกรรม เป็นความคิดหรือการกระทำใหม่ๆ ซึ่งนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการจะมีการคิด
และทำสิ่งใหม่อยู่เสมอ ดงั นั้นนวตั กรรมจึงเปน็ ส่ิงท่ีเกดิ ขึ้นใหม่ได้เร่ือยๆ สิ่งใดทีค่ ิดและทำมานานแล้ว ก็ถือว่าหมด
ความเปน็ นวตั กรรมไป โดยจะมสี ิ่งใหม่มาแทน
ในวงการศึกษาปัจจุบัน มีสิ่งที่เรียกว่านวัตกรรมทางการศึกษา หรือนวัตกรรมการเรียนการสอน อยู่เป็น
จำนวนมาก บางอย่างเกิดขึ้นใหม่ บางอย่างมีการใช้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังคงถือว่าเป็น นวัตกรรม เนื่องจาก
นวัตกรรมเหล่านนั้ ยังไมแ่ พรห่ ลายเป็นทร่ี ้จู กั ท่ัวไป ในวงการศกึ ษา นวัตกรรมทางการศึกษาตา่ งๆ ทก่ี ลา่ วถึงกันมาก
ในปัจจุบนั
E-learning

13

ความหมายของ e-Learning การเรยี นทางอเิ ล็กทรอนกิ ส์ หรอื e-Learning รูปแบบการเรียนการสอน ซง่ึ
ใช้การถ่ายทอดเนื้อหา(delivery methods) ผ่านทางอุปกรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ เครือข่าย
อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม และใช้รูปแบบการ
นำเสนอเนื้อหาสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบการเรียนที่เราคุ้นเคยกันมาพอสมควร เช่น
คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน(Computer-Assisted Instruction) การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) การเรียน
ออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผา่ นดาวเทียม หรืออาจอยู่ในลกั ษณะที่ยงั ไม่ค่อยเปน็ ท่ีแพร่หลาย
นัก เชน่ การเรียนจากวิดีทัศนต์ ามอัธยาศยั (Video On-Demand) เป็นตน้

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน เมื่อกล่าวถึง e-Learning คนส่วนใหญ่จะหมายเฉพาะถึง การเรียนเนื้อหาหรือ
สารสนเทศซึ่งออกแบบมาสำหรับการสอนหรือการอบรม ซึ่งใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Technology) ในการ
ถ่ายทอดเนื้อหา และเทคโนโลยีระบบการบริหารจัดการการเรียนรู้ (Learning Management System) ในการ
บริหารจัดการการเรียนรู้ของผู้เรียนและงานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนที่เรียนจาก e-Learning นี้สามารถศึกษา
เนื้อหาในลักษณะออนไลน์ นอกจากนี้ เนื้อหาสารสนเทศของ e-Learning จะถูกนำเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยี
มัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชงิ โต้ตอบ (Interactive Technology) จากความหมายท่ี
คนส่วนใหญ่นิยาม e-Learning นั้น จำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า e-Learning ไม่ใช่เพียงแค่การสอนใน
ลกั ษณะเดิม ๆ และนำเอกสารการสอนมาแปลงให้อยู่ในรูปดิจิตลั และนำไปวางไว้บนเว็บ หรอื ระบบบริหารจัดการ
การเรียนรู้เท่านั้น แต่ครอบคลุมถึง กระบวนการในการเรียนการสอน หรือการอบรมที่ใช้เครื่องมือทางด้าน
เทคโนโลยสี ารสนเทศ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความยดื หยุ่นทางการเรยี นรู้ (flexible learning) สนับสนุนการเรยี นรู้ในลักษณะ
ที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (learner-centered) และการเรียนในลักษณะตลอดชีวิต (life-long learning) ซึ่งอาศัย
การเปล่ยี นแปลงด้านกระบวนทัศน์ (paradigm shift) ของทั้งกระบวนการในการเรยี นการสอนดว้ ย นอกจากน้ี e-
Learning ไม่จำเป็นต้องเป็นการเรียนทางไกลเสมอ คณาจารย์สามารถนำไปใช้ในลักษณะการผสมผสาน
(blended) กับการสอนในช้นั เรยี นได้

ลักษณะสำคญั ของ e-Learning ท่ีดี ควรจะประกอบไปด้วยลักษณะสำคญั 4 ประการ ดังนี้
1. ทุกเวลาทุกสถานที่ (Anywhere, Anytime) หมายถึง e-Learning ควรต้องช่วยขยายโอกาสในการ
เข้าถึงเนื้อหาการเรียนรู้ของผู้เรียนไดจ้ ริง ในที่นี้หมายรวมถึง การที่ผู้เรียนสามารถเรียกดูเน้ือหาตามความสะดวก
ของผ้เู รียน เช่น ผเู้ รียนมกี ารเข้าถึงเครอ่ื งคอมพิวเตอรท์ ีเ่ ชอื่ มตอ่ กบั เครือข่ายได้อยา่ งยดื หยนุ่
2. มัลติมีเดีย (Multimedia) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการนำเสนอเนื้อหาโดยใช้ประโยชน์จากส่ือ
ประสมเพื่อช่วยในการประมวลผลสารสนเทศของผ้เู รียนเพื่อให้เกิดความคงทนในการจดจำและ/หรือการเรียนรู้ได้
ดขี นึ้
3. การเชอ่ื มโยง (Non-linear) หมายถงึ e-Learning ควรต้องมกี ารนำเสนอเนื้อหาในลักษณะท่ีไม่เป็นเชิง
เส้นตรง กล่าวคือ ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาตามความต้องการ โดย e-Learning จะต้องจัดหาการเชื่อมโยงที่

14

ยืดหยุ่นแก่ผู้เรียน นอกจากนี้ยังหมายถึงการออกแบบให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามจังหวะ(pace) การเรียนของ
ตนเองด้วย เช่น ผู้เรียนที่เรียนช้าสามารถเลือกเนื้อหาทีต่ ้องการเรียนซ้ำได้บอ่ ยคร้ังผู้เรยี นที่เรียนดสี ามารถเลือกที่
จะข้ามไปเรียนในเนอ้ื หาทต่ี ้องการได้โดยสะดวก

4. การโต้ตอบ (Interaction) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนโต้ตอบ(มี
ปฏิสมั พันธ)์ กบั เนือ้ หา หรือกบั ผูอ้ นื่ ได้ กล่าวคอื

https://www.mitrais.com/id/news-updates-id/
1) e-Learning ควรตอ้ งมีการออกแบบกิจกรรมซึ่งผเู้ รียนสามารถโตต้ อบกบั เน้อื หา (Interactive
Activities) รวมทั้งมีการจัดเตรียมแบบฝึกหัดและแบบทดสอบให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบความเข้าใจด้วยตนเอง
ได้
2) e-Learning ควรต้องมีการจัดหาเครื่องมือในการให้ช่องทางแก่ผู้เรียนในการติดต่อสื่อสาร
(Collaboration Tools) เพื่อการปรึกษา อภปิ ราย ซักถาม แสดงความคิดเห็นกบั ผูส้ อน วิทยากรผ้เู ชย่ี วชาญ หรือ
เพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียนโดยในส่วนของการโต้ตอบนี้ จะต้องคำนึงถึงการให้ผลป้อนกลับที่ทันต่อเหตุการณ์
(Immediate Response) ซึ่งอาจหมายถึง การที่ผู้สอนต้องเข้ามาตอบคำถามหรือให้คำปรึกษาแก่ผู้เรียนอย่าง
สม่ำเสมอและทันเหตุการณ์ รวมถึง การที่ e-Learning ควรต้องมีการออกแบบให้มีการทดสอบ การวัดผล และ
การประเมินผล ซึ่งสามารถให้ผลป้อนกลับโดยทันทีแก่ผู้เรียน ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะของแบบทดสอบก่อนเรียน
(pre-test) หรือ แบบทดสอบหลงั เรียน (posttest) ก็ตาม
1. เนื้อหา (Content) เนื้อหาเป็นองคป์ ระกอบสำคญั ท่ีสุดสำหรับ e-Learning คุณภาพของการเรยี นการ
สอนของ e-Learningและการที่ผู้เรียนจะบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนในลักษณะนี้หรือไม่อย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดก็
คือ เนอ้ื หาการเรยี นซ่งึ ผ้สู อนได้จดั หาให้แก่ผเู้ รียน ซงึ่ ผูเ้ รยี นมหี นา้ ท่ใี นการใช้เวลาสว่ นใหญศ่ กึ ษาเน้ือหาด้วยตนเอง
เพื่อทำการปรับเปลี่ยน (convert) เนื้อหาสารสนเทศที่ผู้สอนเตรียมไว้ให้เกิดเป็นความรู้ โดยผ่านการคิดค้น
วิเคราะห์อย่างมีหลักการและเหตุผลด้วยตัวของผู้เรียนเอง คำว่า “เนื้อหา” ในองค์ประกอบแรกของ e-Learning
นี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะสื่อการสอน และ/หรือ คอร์สแวร์ เท่านั้น แต่ยังหมายถึงส่วนประกอบสำคัญอื่น ๆ ที่ e-
Learning จำเป็นจะต้องมีเพื่อให้เนื้อหามีความสมบูรณ์ เช่น คำแนะนำการเรียน ประกาศสำคัญต่าง ๆ ผล
ป้อนกลับของผู้สอน เป็นต้น

15

2. ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ (Learning Management System) องค์ประกอบที่สำคัญมากเชน่ กัน
สำหรับ e-Learning ได้แก่ ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเสมือนระบบที่รวบรวมเคร่ืองมือซึ่งออกแบบไว้
เพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการจัดการกับการเรียนการสอนออนไลน์นั่นเอง ซึ่งผู้ใช้ในที่นี้ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม
ได้แก่ ผู้สอน (instructors) ผู้เรียน (students) ผู้ช่วยสอน(course manager) และผู้ที่จะเข้ามาช่วยผูส้ อนในการ
บริหารจดั การดา้ นเทคนิคต่าง ๆ (network administrator)ซ่งึ เครอื่ งมือและระดบั ของสิทธิในการเข้าใช้ที่จัดหาไว้
ให้ก็จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่การใช้งานของแต่ละกลุ่ม ตามปรกติแล้ว เครื่องมือที่ระบบบริหารจัดการการ
เรียนรู้ต้องจัดหาไว้ให้กับผู้ใช้ ได้แก่ พื้นที่และเครื่องมือสำหรับการช่วยผู้เรียนในการเตรียมเนื้อหาบทเรียน พื้นท่ี
และเครื่องมือสำหรับการทำแบบทดสอบ แบบสอบถาม การจัดการกับแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ นอกจากนี้ระบบบริหาร
จัดการการเรียนรู้ท่ีสมบูรณ์จะจัดหาเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารไว้สำหรับผู้ใช้ระบบไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของ
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เว็บบอร์ด(Web Board) หรือ แช็ท (Chat) บางระบบก็ยังจัดหาองค์ประกอบ
พเิ ศษอ่ืน ๆ เพ่อื อำนวยความสะดวกใหก้ ับผู้ใช้

อีกมากมาย เช่น การจัดให้ผู้ใช้สามารถเข้าดูคะแนนการทดสอบ ดูสถิติการเข้าใช้งานในระบบ การ
อนญุ าตใหผ้ ใู้ ช้สร้างตารางการเรียน ปฏิทนิ การเรียน เป็นตน้

3. โหมดการติดต่อสื่อสาร (Modes of Communication) องค์ประกอบสำคัญของ e-Learning ที่ขาด
ไม่ได้อีกประการหนึ่ง ก็คือ การจัดให้ผู้เรียนสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้สอน วิทยากร ผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ รวมท้ัง
ผู้เรียนดว้ ยกนั ในลักษณะท่หี ลากหลาย และสะดวกตอ่ ผ้ใู ช้ กล่าวคอื มีเครือ่ งมือทีจ่ ดั หาไวใ้ หผ้ ้เู รียนใชไ้ ด้มากกวา่ 1
รูปแบบ รวมทั้งเครื่องมือนั้นจะต้องมีความสะดวกในการใช้งาน (user-friendly) ด้วย ซึ่งเครื่องมือที่ e-Learning
ควรจดั หาใหผ้ ูเ้ รียน ได้แก่

3.1 การประชมุ ทางคอมพวิ เตอร์

ในที่นี้หมายถึง การประชุมทางคอมพิวเตอร์ทั้งในลักษณะของการติดต่อสื่อสารแบบต่างเวลา
(Asynchronous) เช่น การแลกเปลี่ยนข้อความผ่านทางกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ที่รู้จักกันในชื่อของเว็บ
บอร์ด (Web Board) เป็นต้น หรือในลักษณะของการติดต่อสื่อสารแบบเวลาเดียวกัน(Synchronous) เช่น การ
สนทนาออนไลน์ หรือที่คุ้นเคยกันดีในชื่อของ แช็ท (Chat) และ ICQ หรือ ในบางระบบ อาจจัดให้มีการถ่ายทอด
สัญญาณภาพและเสียงสด (Live Broadcast / Videoconference) ผ่านทางเว็บ เป็นต้น ในการนำไปใช้ดำเนิน
กิจกรรมการเรียนการสอน ผู้สอนสามารถเปิดสัมมนาในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในคอร์ส ซึ่งอาจอยู่ในรูปของ
การบรรยาย การสมั ภาษณผ์ ูเ้ ช่ียวชาญ การเปิดอภิปรายออนไลน์ เปน็ ตน้

3.2 ไปรษณยี ์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ (e-mail)

16

https://sites.google.com/site/wannapornnnnnn/kar-chi-xintexrnet/pirsniy-xilekh-thrx-nikh

ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นองค์ประกอบสำคัญเพื่อให้ผู้เรียนสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้สอนหรือผู้เรียน
อื่น ๆ ในลกั ษณะรายบุคคล การส่งงานและผลปอ้ นกลับใหผ้ ้เู รยี น ผู้สอนสามารถให้คำแนะนำปรกึ ษาแก่ผเู้ รียนเป็น
รายบุคคล ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้
ผสู้ อนสามารถใชไ้ ปรษณีย์อเิ ล็กทรอนกิ ส์ในการให้ความคดิ เห็นและผลป้อนกลับทที่ ันต่อเหตุการณ์

4. แบบฝึกหดั /แบบทดสอบ
องค์ประกอบสุดท้ายของ e-Learning แต่ไม่ได้มีความสำคัญน้อยที่สุดแต่อย่างใด ได้แก่ การจัดให้ผู้เรียน
ได้มีโอกาสในการโตต้ อบกบั เนอ้ื หาในรปู แบบของการทำแบบฝึกหัด และแบบทดสอบความรู้
4.1 การจัดใหม้ ีแบบฝึกหดั สำหรับผู้เรยี น
เนื้อหาที่นำเสนอจำเป็นต้องมีการจัดหาแบบฝึกหัดสำหรับผู้เรียนเพื่อตรวจสอบความเข้าใจไว้ด้วยเสมอ
ทั้งนี้เพราะ e-Learning เป็นระบบการเรียนการสอนซึ่งเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนั้น
ผู้เรียนจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแบบฝึกหัดเพื่อการตรวจสอบว่าตนเข้าใจและรอบรู้ในเรื่องที่ศึกษาด้วยตนเอง
มาแล้วเป็นอย่างดีหรือไม่ อย่างไร การทำแบบฝึกหัดจะทำให้ผู้เรียนทราบได้ว่าตนนั้นพร้อมสำหรับการทดสอบ
การประเมนิ ผลแลว้ หรอื ไม่
4.2 การจดั ให้มีแบบทดสอบผเู้ รยี น
แบบทดสอบสามารถอยู่ในรูปของแบบทดสอบก่อนเรียน ระหว่างเรียน หรือหลังเรียนก็ได้ สำหรับ e-
Learning แล้ว ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ทำให้ผู้สอนสามารถสนับสนุนการออกข้อสอบของผู้สอนได้
หลากหลายลักษณะ กล่าวคือ ผู้สอนสามารถออกแบบการประเมินผลในลักษณะของ อัตนัย ปรนัย ถูกผิด การ
จับคู่ ฯลฯ นอกจากนี้ยังทำให้ผู้สอนมีความสะดวกสบายในการสอบเพราะผู้สอนสามารถที่จะจัดทำข้อสอบใน
ลักษณะคลังข้อสอบไว้เพื่อเลือกในการนำกลับมาใช้ หรือปรับปรุงแก้ไขใหม่ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ในการ
คำนวณและตัดเกรด ระบบ e-Learning ยังสามารถช่วยให้การประเมินผลผู้เรียนเป็นไปได้อยา่ งสะดวก เนื่องจาก
ระบบบรหิ ารจดั การการเรียนรู้ จะชว่ ยทำใหก้ ารคิดคะแนนผู้เรียน การตัดเกรดผเู้ รียนเปน็ เรื่องง่ายขึ้นเพราะระบบ
จะอนุญาตให้ผู้สอนเลือกได้ว่าต้องการที่จะประเมินผลผู้เรียนในลักษณะใด เช่น อิงกลุ่ม อิงเกณฑ์ หรือใช้สถิติใน

17

การคิดคำนวณในลักษณะใด เช่น การใช้ค่าเฉลี่ย ค่า T-Score เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถที่จะแสดงผลในรูป
ของกราฟได้อีกดว้ ย

ประโยชน์ท่ีได้รบั จากการนำ e-Learning ไปใช้ในการเรยี นการสอนมี ดังนี้
1. e-Learning ช่วยให้การจดั การเรียนการสอนมปี ระสิทธิภาพมากยิง่ ขึ้น เพราะการถ่ายทอดเนื้อหาผา่ น
ทางมัลติมีเดียสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าการเรียนจากสื่อข้อความเพียงอย่างเดียว หรือจากการ
สอนภายในห้องเรียนของผูส้ อนซึ่งเน้นการบรรยายในลักษณะ Chalk and Talk แตเ่ พยี งอยา่ งเดียวโดยไม่ใช้สื่อใด
ๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ e-Learning ที่ได้รับการออกแบบและผลิตมาอย่างมีระบบ e-Learning สามารถช่วยทำ
ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ในเวลาที่เร็วกว่า นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนให้เกิด
การเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางได้เป็นอย่างดี เพราะผู้สอนจะสามารถใช้ e-Learning ในการจัดการเรียนการ
สอนทีล่ ดการบรรยาย (lecture)ได้ และสามารถใช้ e-Learning ในการจดั การเรียนการสอนท่ีเน้นให้ผู้เรียนได้เป็น
ผู้รบั ผดิ ชอบในการจัดการเรยี นร้ดู ้วยตนเอง (autonomous learning) ได้ดยี ิง่ ข้ึน
2. E-Learning ช่วยทำให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียนได้อย่าง
ละเอียดและตลอดเวลา เนื่องจาก e-Learning มีการจัดหาเครื่องมือที่สามารถทำให้ผู้สอนติดตามการเรียนของ
ผูเ้ รียนได้
3. E-Learning ช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนของตนเองได้ เนื่องจากการนำเอาเทคโนโลยี
Hypermedia มาประยุกต์ใช้ ซึ่งมีลักษณะการเชือ่ มโยงข้อมูลไม่วา่ จะเป็นในรปู ของขอ้ ความ ภาพนิ่ง เสียงกราฟิก
วิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว ท่เี ก่ียวเน่ืองกนั เข้าไว้ด้วยกนั ในลกั ษณะที่ไม่เปน็ เชิงเสน้ (Non-Linear) ทำให้ Hypermedia
สามารถนำเสนอเนอ้ื หาในรปู แบบใยแมงมุมได้ ดังนนั้ ผเู้ รียนจงึ สามารถเข้าถึงขอ้ มูลใดก่อนหรือหลังก็ได้ โดยไม่ต้อง
เรียงตามลำดบั และเกิดความสะดวกในการเขา้ ถึงของผูเ้ รยี นอีกดว้ ย
4. e-Learning ช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจังหวะของตน (Self-paced Learning) เนื่องจาก
การนำเสนอเน้อื หาในรปู แบบของ Hypermedia เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นสามารถควบคุมการเรยี นร้ขู องตนในด้านของ
ลำดับการเรียนได้ (Sequence) ตามพื้นฐานความรู้ ความถนัด และความสนใจของตน นอกจากนี้ผู้เรียนยัง
สามารถ ทดสอบทกั ษะตนเองก่อนเรยี นได้ทำใหส้ ามารถชี้ชัดจุดอ่อนของตน และเลอื กเนือ้ หาใหเ้ ขา้ กบั รูปแบบการ
เรียนของตัวเอง เช่นการเลือกเรียนเนื้อหาเฉพาะบางส่วนท่ีต้องการทบทวนได้ โดยไม่ต้องเรียนในสว่ นท่ีเขา้ ใจแล้ว
ซงึ่ ถือวา่ ผเู้ รียนได้รับอสิ ระในการควบคมุ การเรียนของตนเอง จงึ ทำใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรูต้ ามจังหวะของตนเอง
5. e-Learning ช่วยทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับครูผู้สอน และกับเพื่อน ๆ ได้ เนื่องจาก e-
Learning มีเครื่องมือต่าง ๆ มากมาย เช่น Chat Room, Web Board, E-mail เป็นต้น ที่เอื้อต่อการโต้ตอบ
(Interaction) ทหี่ ลากหลาย และไม่จำกัดวา่ จะตอ้ งอยใู่ นสถาบันการศกึ ษาเดยี วกนั (Global Choice) นอกจากนั้น
e-Learning ทอ่ี อกแบบมาเป็นอย่างดีจะเอ้อื ใหเ้ กิดปฏิสัมพันธร์ ะหว่างผเู้ รยี นกับเน้ือหาไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ เชน่
การออกแบบเน้อื หาในลกั ษณะเกม หรอื การจำลอง เป็นตน้

18

ขอ้ จำกดั
1. ผู้สอนทน่ี ำ e-Learning ไปใชใ้ นลักษณะของสื่อเสริม โดยไม่มีการปรับเปล่ียนวธิ ีการสอนเลย กล่าวคือ
ผูส้ อนยงั คงใชแ้ ตว่ ิธีการบรรยายในทุกเน้ือหา และสัง่ ใหผ้ ู้เรยี นไปทบทวนจาก e-Learning หาก e-Learning ไม่ได้
ออกแบบให้จูงใจผู้เรียนแล้ว ผู้เรียนคงใช้อยู่พักเดียวก็เลิกไปเพราะไม่มีแรงจูงใจใด ๆ ในการใช้ e-Learning ก็จะ
กลายเป็นการลงทนุ ท่ไี มค่ ุ้มค่าแต่อย่างใด
2. ผู้สอนจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ให้ (impart) เนื้อหาแก่ผู้เรียน มาเป็น (facilitator) ผู้ช่วย
เหลือและให้คำแนะนำต่าง ๆ แก่ผู้เรียน พร้อมไปกับการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองจาก e-
Learning ทั้งน้ี หมายรวมถึง การที่ผู้สอนควรมีความพร้อมทางด้านทกั ษะคอมพิวเตอร์และรับผิดชอบต่อการสอน
มคี วามใส่ใจกบั ผเู้ รยี นโดยไม่ทง้ิ ผูเ้ รยี น
3. การลงทุนในด้านของ e-Learning ต้องครอบคลุมถึงการจัดการให้ผู้สอนและผู้เรียนสามารถเข้าถึง
เนื้อหาและการติดต่อสื่อสารออนไลน์ได้สะดวก สำหรับ e-Learning แล้ว ผู้สอนหรือผู้เรียนที่ใช้รูปแบบการเรียน
ในลักษณะนีจ้ ะต้องมีส่ิงอำนวยความสะดวก (facilities) ตา่ ง ๆ ในการเรียนที่พร้อมเพรยี งและมีประสทิ ธภิ าพ เช่น
ผู้สอนและผู้เรียนสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้ และสามารถเรียกดูเนื้อหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในลักษณะ
มัลติมเี ดีย ไดอ้ ย่างครบถว้ น ด้วยความเรว็ พอสมควร เพราะหากปราศจากข้อได้เปรยี บในการติดต่อสือ่ สารและการ
เข้าถึงเนื้อหาได้สะดวก รวมทั้งข้อได้เปรียบสื่ออื่น ๆ ในลักษณะในการนำเสนอเนื้อหา เช่น มัลติมีเดี ย แล้วน้ัน
ผู้เรียนและผ้สู อนก็อาจไม่เห็นความจำเปน็ ใด ๆ ที่ตอ้ งใช้ e-Learning

https://elearningindustry.com/how-create-effective-online-learning-that-kids-will-love
สำหรับ e-Learning แล้ว การถ่ายทอดเน้อื หาสามารถแบ่งได้เป็น 3 ลกั ษณะด้วยกนั กล่าวคือ
1. ระดับเน้นข้อความออนไลน์ (Text Online) หมายถึง เนื้อหาของ e-Learning ในระดับนี้จะอยู่ในรูป
ของข้อความเป็นหลัก e-Learning ในลักษณะนี้จะเหมือนกับการสอนบนเว็บ (WBI) ซึ่งเน้นเนื้อหาที่เป็นข้อความ
ตัวอักษรเป็นหลัก ซึ่งมีข้อดี ก็คือการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตเนื้อหาและการบริหารจัดการการ
เรียนรู้

19

2. ระดับรายวิชาออนไลน์เชิงโต้ตอบและประหยัด (Low Cost Interactive Online Course)หมายถึง
เนื้อหาของ e-Learning ในระดับนี้จะอยู่ในรูปของตัวอักษร ภาพ เสียง และวิดีทัศน์ ที่ผลิตขึ้นมาอย่างง่าย ๆ
ประกอบการเรียนการสอน e-Learning ในระดับหนง่ึ และสองน้ี ควรจะต้องมีการพัฒนา LMS ที่ดี เพ่ือช่วยผู้ใช้ใน
การสร้างและปรบั เนอ้ื หาใหท้ ันสมัยไดอ้ ย่างสะดวกดว้ ยตนเอง

3. ระดับรายวิชาออนไลน์คณุ ภาพสูง (High Quality Online Course) หมายถึง เนื้อหาของ e-Learning
ในระดับนี้จะอยู่ในรูปของมัลติมีเดียที่มีลักษณะมืออาชีพ กล่าวคือ การผลิตต้องใช้ทีมงานในการผลิตท่ี
ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญเนื้อหา (content experts) ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบการสอน (instructional
designers) และ ผเู้ ชี่ยวชาญการผลติ มลั ตมิ ีเดีย (multimedia experts)

ระดับของการนำ e-Learning ไปใช้ในการเรียนการสอน
การนำ e-Learning ไปใช้ในการเรียนการสอน สามารถทำได้ 3 ระดับ ดังน้ี
1. ใช้ e-Learning เป็นสื่อเสริม (Supplementary) หมายถึงการนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะส่ือ
เสริม กล่าวคือ นอกจากเนื้อหาที่ปรากฏในลักษณะ e-Learning แล้ว ผู้เรียนยังสามารถศึกษาเนื้อหาเดยี วกันนีใ้ น
ลักษณะอื่น ๆ เช่น จากเอกสาร(ชีท) ประกอบการสอน จากวิดีทัศน์ (Videotape) ฯลฯ การใช้ e-Learning ใน
ลักษณะนี้เท่ากับว่าผู้สอนเพียงต้องการใช้ e-Learning เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้เรียนในการเข้าถึงเนื้อหา
เพ่อื ใหป้ ระสบการณพ์ เิ ศษเพ่มิ เติมแก่ผ้เู รียนเทา่ นัน้
2. ใช้ e-Learning เป็นสื่อเติม (Complementary) หมายถึงการนำ e-Learning ไปใชใ้ นลักษณะเพมิ่ เติม
จากวธิ กี ารสอนในลกั ษณะอนื่ ๆ เช่น นอกจากการบรรยายในห้องเรียนแลว้ ผู้สอนยงั ออกแบบเนอื้ หาให้ผู้เรียนเข้า
ไปศึกษาเนอ้ื หาเพิ่มเตมิ จาก e-Learning โดยเนอื้ หาทผี่ ู้เรียนเรียนจาก e-Learning ผ้สู อนไม่จำเปน็ ต้องสอนซ้ำอีก
แต่สามารถใช้เวลาในชั้นเรียนในการอธิบายในเนื้อหาที่เข้าใจได้ยาก ค่อนข้างซับซ้อน หรือเป็นคำถามที่มีความ
เข้าใจผิดบ่อย ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เวลาในการทำกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนได้เกิดการคิดวิเคราะหแ์ ทนได้ ใน
ความคิดของผู้เขียนแล้วในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ของเรา เมื่อได้มีการลงทุนในการนำ e-Learning ไปใช้กับการ
เรียนการสอนแล้วอย่างน้อยควรตั้งวัตถุประสงค์ในลักษณะของสื่อเติม (Complementary) มากกว่าแค่เพียงเป็น
สื่อเสริม (Supplementary) เพื่อให้เกิดความคุ้มทุน นอกจากนี้อาจยังไม่เหมาะสมทีจ่ ะใช้ในลักษณะแทนทีผ่ ูส้ อน
(Replacement) ตัวอยา่ งการใชใ้ นลักษณะส่ือเติม เชน่ ผสู้ อนมอบหมายให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาดว้ ยตนเองจาก e-
Learning ในวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งก่อนหรือหลังการเข้าชั้นเรียน รวมทั้ง ให้กำหนดกิจกรรมที่ทดสอบ
ความเขา้ ใจของผูเ้ รยี นในเน้ือหาดังกลา่ วใน session การเรยี นตามปรกติ เป็นตน้ ทง้ั นเี้ พื่อให้เหมาะสมกับลักษณะ
ของผู้เรยี นของเรา ซง่ึ ยงั ตอ้ งการคำแนะนำจากครผู ู้สอน รวมทง้ั การทีผ่ ู้เรียนส่วนใหญ่ยังขาดการปลูกฝังให้มีความ
ใฝ่รูโ้ ดยธรรมชาติ
3. ใช้ e-Learning เป็นสื่อหลัก (Comprehensive Replacement) หมายถึงการนำ e-Learning ไปใช้
ในลักษณะแทนที่การบรรยายในห้องเรียน ผู้เรียนจะต้องศึกษาเนื้อหาทั้งหมดออนไลน์ และโต้ตอบกับเพื่อนและ

20

ผู้เรียนอื่น ๆ ในชั้นเรียนผ่านทางเครื่องมือติดต่อสื่อสารต่าง ๆ ที่ e- Learning จัดเตรียมไว้ ในปัจจุบันแนวคิด
เกี่ยวกับการนำ e-Learning ไปใช้ในต่างประเทศจะอยู่ในลักษณะlearning through technology ซึ่งหมายถึง
การเรียนรู้โดยมุ่งเน้นการเรียนในลักษณะมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ผู้สอน ผู้เรียน และผู้เชี่ยวชาญอื่น
ๆ (Collaborative Learning) โดยอาศัยเทคโนโลยีในการนำเสนอเนื้อหา และกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งต้องการการ
โต้ตอบผ่านเครื่องมือสื่อสารตลอด โดยไม่เน้นทางด้านของการเรียนรู้รายบุคคลผ่านสื่อ (courseware) มากนัก
ในขณะที่ในประเทศไทยการใช้ e-Learning ในลักษณะสื่อหลักเช่นเดียวกับต่างประเทศนั้น จะอยู่ในวงจำกัด แต่
การใช้ส่วนใหญ่จะยังคงเป็นในลักษณะของ learning with technology ซึ่งหมายถึง การใช้ e-Learning เป็น
เสมือนเคร่ืองมอื ทางเลอื กเพ่ือใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความกระตือรอื รน้ สนุกสนาน พรอ้ มไปกบั การเรยี นรูใ้ นช้นั เรียน

M-Learning

http://innovationforeducation.weebly.com/m-learning.html
m-Learningหรือ Mobile-Learning หลักการก็คือทำให้ผู้เรียนสามารถที่จะนำเอาบทเรียนมาวางไว้บน
มือถือและเรียกดูได้ตลอดเวลาทุกที่ พร้อมทั้ง สามารถที่จะรับส่งข้อมูลได้เมื่อจำเป็นและมีสัญญาณจากเครือข่าย
โทรคมนาคม นอกจากนั้น จะต้องสามารถทำงานได้ทั้งสองทาง เปลี่ยนแปลงบทเรียนส่งการบ้าน หรือวิเคราะห์
คะแนนจาก แบบฝึกหัดได้เช่นกัน การเรียนแบบผสมผสาน (Blended learning) การเรียนการสอนที่อาศัยสื่อ
หลายๆชนิดผสมผสานกัน ตั้งแต่ด้านเทคโนโลยี กิจกรรมการเรียนการ สอน และเหตุการณ์ที่เหมาะสมเพื่อสร้าง
รูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมสำหรับ กลุ่มเป้าหมาย Global learning บทเรียนในรูปแบบของการ
ผสมผสานระหว่างวิดีโอ เสียง ภาพเคลื่อนไหว ทำให้ น่าสนใจและง่ายต่อการทำความเข้าใจ เป็นสื่อการเรียนรู้ท่ี
สอดคล้องกับความต้องการและวิถีชีวิต ระบบ Online Learning เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเทคโนโลยี
Internet ซึ่งจะนำเสนอ บทเรียน ในรูปแบบของการผสมผสานระหว่างวิดีโอ เสียง ภาพเคลื่อนไหว และตัวอักษร
ทำให้ บทเรียน มีความน่าสนใจ และง่าย ต่อการทำความเข้าใจ เนือ่ งจากผ้เู รียน Online Learning สามารถเรยี นรู้
ทุกเรื่องราวได้ทุกที่ทุกเวลา จึงทำให้ Online Learning เป็นสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ สมบูรณ์แบบที่สอดคล้องกับ
ความตอ้ งการและวถิ ชี ีวิต Mentored learning บทบาทของผสู้ อนใน E-Learning จะเปล่ียนไปเป็นผใู้ หค้ ำแนะนำ
(Guide) เป็นผู้ฝึก (Coach) เป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) และเป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ต่อกระบวนการ
เรียนรขู้ องผู้เรยี น ในขณะทบ่ี ทบาทของผ้เู รยี นจะเปลีย่ นแปลง

21

ความหมายของ M – Learning
การให้คำจำกัดความของ Mobile Learning สามารถแยกพิจารณาได้เป็น 2 ส่วน จากราก ศัพท์ที่นำมา
ประกอบกนั คอื
1. Mobile (Devices) หมายถอื อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรอื โทรศัพท์มอื ถอื และเครื่องเล่น หรอื แสดงภาพ
ที่พกพาตดิ ตวั ไปได้
2. Learning หมายถึงการเรียนรู้ เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจากบุคคลปะทะ กับ
ส่ิงแวดล้อมจงึ เกิดประสบการณ์ การเรียนรู้เกดิ ขน้ึ ไดเ้ มอ่ื มกี ารแสวงหาความรู้ การพัฒนาความรู้ ความสามารถของ
บุคคลให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น รวมไปถึงกระบวนการสร้างความเข้าใจ และ ถ่ายทอดประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์
ตอ่ บุคคล
เมื่อพิจารณาจากความหมายของคำทั้งสองแล้วจะพบว่า Learning นั่นคือแก่นของM - learning เพราะ
เป็นการใช้เทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งก็คล้ายกับ E – Learning ที่เป็นการใช้เครือข่าย
อินเทอร์เนต็ เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรียนรู้
นอกจากน้ีมผี ูใ้ ชค้ ำนยิ ามของ M - Learning ดังตอ่ ไปน้ี
ริว (Ryu, 2007) หัวหน้าศูนย์โมบายคอมพิวติ้ง (Centre for Mobile Computing) ที่ มหาวิทยาลัยแมส
ซี่ เมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ระบุว่า M- learning คือกิจกรรมการเรยี นรู้ ที่เกิดขึ้นเมือ่ ผู้เรยี นอยู่ระหวา่ ง
การเดินทาง ณ ทีใ่ ดกต็ าม และเมื่อใดกต็ าม
เก็ดส์ (Geddes, 2006) ก็ให้ความหมายว่า M- learning คือการได้มาซึ่งความรู้และทักษะผ่านทาง
เทคโนโลยีของเคร่อื งประเภทพกพา ณ ที่ใดกต็ าม และเม่ือใดก็ตาม ซึง่ สง่ ผลเกิดการ เปล่ียนแปลงพฤติกรรม
วัตสัน และไวท์ (Watson & White, 2006) ผู้เขยี นรายงานเร่ือง M- learning ในการศึกษา (mLearning
in Education) เนน้ ว่า M- learning หมายถงึ การรวมกนั ของ 2 P คอื เป็นการเรยี นจาก เครือ่ งส่วนตัว (Personal)
และเปน็ การเรยี นจากเครอ่ื งทีพ่ กพาได้ (Portable) การท่ีเรียนแบบสว่ นตัว น้ันผู้เรียนสามารถเลอื กเรียนในหัวข้อที่
ต้องการ และการที่เรียนจากเครื่องที่พกพาได้นั้นก่อให้เกิด โอกาสของการเรียนรู้ได้ ซึ่งเครื่องแบบ Personal
Digital Assistant (PDA) และโทรศัพท์มือถือนั้น เป็นเครือ่ งทใ่ี ชส้ ำหรับ M- learning มากทส่ี ดุ
ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนซึ่งสามารถจัดเป็นประเภทของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาได้ 3
กลุม่ ใหญ่ หรือจะเรยี กว่า 3Ps

1. PDAs (Personal Digital Assistant) คือคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กหรือขนาด ประมาณฝ่ามือ
ที่รู้จักกันทั่วไปได้แก่ Pocket PC กับ Palm เครื่องมือสื่อสารในกลุ่มนี้ยังรวมถึง PDA Phone ซึ่งเป็นเครื่อง PDA
ที่มีโทรศัพท์ในตัว สามารถใช้งานการควบคมุ ด้วย Stylus เหมือนกับ PDA ทุกประการ นอกจากนี้ยังหมายรวมถงึ
เครอ่ื งคอมพวิ เตอรข์ นาดเลก็ อืน่ ๆ เชน่ lap top, Note book และ Tablet PC อกี ด้วย

22

2. Smart Phones คือโทรศัพท์มือถือ ที่บรรจุเอาหน้าที่ของ PDA เข้าไปด้วยเพียงแต่ไม่มี Stylus แต่
สามารถลงโปรแกรมเพิ่มเติมเหมือนกับ PDA และ PDA phone ได้ ข้อดีของอุปกรณ์กลุ่ม น้ีคือมีขนาดเล็กพกพา
สะดวกประหยดั ไฟ และราคาไม่แพงมากนัก คำว่าโทรศัพท์มอื ถือ ตรงกับ ภาษาอังกฤษ วา่ hand phone ซึง่ ใชค้ ำ
นี้แพร่หลายใน Asia Pacific ส่วนในอเมริกา นิยมเรียกว่า Cell Phone ซึ่งย่อมาจาก Cellular telephone ส่วน
ประเทศอื่นๆ นิยมเรยี กวา่ Mobile Phone

3. IPod, เคร่ืองเลน่ MP3 จากคา่ ยอืน่ ๆ และเครอื่ งที่มีลักษณะการทำงานท่ีคล้ายกัน คือ เครื่องเสียงแบบ
พกพก iPod คือชื่อรุ่นของสินค้าหมวดหนึง่ ของบริษัท Apple Computer, Inc ผู้ผลิต เครื่องคอมพิวเตอร์แมคอิน
ทอช iPod และเครื่องเล่น MP3 นับเป็นเครื่องเสียงแบบพกพาที่สามารถ รับข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ด้วยการต่อ
สาย USB หรือ รับด้วยสัญญาณ Blue tooth สำหรับรุ่นใหม่ๆ มีฮาร์ดดิสก์จุได้ถึง 60 GB. และมีช่อง Video out
และมเี กมสใ์ ห้เลือกเลน่ ได้อกี ด้วย

M - Learning นั้นเกิดขึ้นได้โดยไร้ข้อจำกัด ด้านเวลา และสถานที่ เพียงแค่ผู้เรียนมีความ พร้อมและ
เครื่องมือ อกี ทั้งเครือข่ายมีเนื้อหาทต่ี ้องการ จึงจะเกิดการเรยี นรู้ขึ้น และจะได้ผลการ เรียนรูท้ ่ีปรารถนา หากขาด
เนือ้ หาในการเรียนรู้ วิธีการนั้นจะกลายเปน็ เพียงการส่ือสาร กบั เครือข่าย ไร้สายนน่ั เอง

กระบวนการเรยี นรแู้ บบ M – Learning
กระบวนการเรยี นรู้แบบ M – Learning มีด้วยกันท้ังหมด 5 ข้ันตอน ดังนี้
ขั้นท่ี 1 ผ้เู รียนมคี วามพร้อม และเคร่อื งมือ
ขน้ั ท่ี 2 เชือ่ มต่อเข้าสเู่ ครือขา่ ย และพบเนอื้ หาการเรยี นทีต่ อ้ งการ
ข้ันที่ 3 หากพบเน้ือหาจะไปยังขน้ั ท่ี 4 แตถ่ ้าไม่พบจะกลับเขา้ ส่ขู ัน้ ที่ 2
ขนั้ ท่ี 4 ดำเนนิ การเรยี นรู้ ซ่ึงไม่จำเป็นทีจ่ ะต้องอยใู่ นเครอื ขา่ ย
ขัน้ ที่ 5 ไดผ้ ลการเรยี นรู้ตามวัตถุประสงค์
ขอ้ ดีของ M – Learning

23

http://goodbadm-learning.blogspot.com/2017/10/m-learning.html
1. มีความเปน็ ส่วนตัว และอิสระทจ่ี ะเลอื กเรยี นรู้ และรับรู้
2. ไม่มีข้อจำกัดดา้ นเวลา สถานท่ี เพมิ่ ความเป็นไปไดใ้ นการเรยี นรู้
3. มีแรงจงู ใจตอ่ การเรยี นรูม้ ากข้นึ
4. สง่ เสริมใหเ้ กิดการเรียนรไู้ ดจ้ ริง
5. ดว้ ยเทคโนโลยีของ M - Learning ทำให้เปล่ยี นสภาพการเรียนจากที่ยดึ ผ้สู อนเป็น ศูนย์กลาง ไปสู่การ
มปี ฏสิ มั พนั ธโ์ ดยตรงกับผูเ้ รียน จึงเปน็ การส่งเสริมใหม้ ีการสื่อสารกับเพ่อื นและ ผู้สอนมากขนึ้
6. สามารถรับข้อมลู ที่ไมม่ ีการระบชุ อ่ื ได้ ซ่ึงทำให้ผเู้ รยี นทีไ่ ม่ม่นั ใจกลา้ แสดงออกมากขนึ้
10. เครื่องประเภทพกพาต่างๆ สง่ เสริมใหผ้ ู้เรยี นมคี วามกระตือรอื รน้ ทางการเรยี นและมี ความรับผิดชอบ
ต่อการเรียนด้วยตนเอง
ขอ้ ด้อยของ M – Learning

1. ขนาดของความจุ Memory และขนาดหนา้ จอท่ีจำกัดอาจจะเป็นอปุ สรรคสำหรับการอ่าน ขอ้ มูล แป้น
กดตัวอกั ษรไม่สะดวกรวดเร็วเท่ากบั คีย์บอร์ดคอมพวิ เตอร์แบบตงั้ โต๊ะ

2. การเชื่อมต่อกบั เครือขา่ ย ยังมรี าคาที่คอ่ นขา้ งแพง และคุณภาพอาจจะยังไมน่ า่ พอใจนัก
3. ซอฟต์แวรท์ ี่มีอยใู่ นท้องตลาดท่ัวไป ไมส่ ามารถใช้ไดก้ บั เคร่ืองโทรศพั ท์แบบพกพาได้

ฃฃ

24

25

2.1 วิวัฒนาการของสารสนเทศ
อดีตมนุษย์ยังไม่มีภาษาที่ใช้สำหรับการสื่อสาร เมื่อเกิดมีเหตุการณ์ (Event) อะไร เกิด ขึ้น ก็ไม่สามารถ

ถ่ายทอด หรือเผยแพร่แก่บคุ คลอื่น หรือสังคมอื่นได้ อย่างถูกต้องตรงกนั ระหว่างผูส้ ง่ สารกบั ผู้รับสาร จึงมีการคดิ
ใช้สญั ลกั ษณ์ (Symbol) หรือเคร่อื งหมาย ทำหนา้ ท่สี ื่อ ความหมายแทนเหตกุ ารณ์ดงั กล่าว จึงมีการใชก้ ฎ และสตู ร
(Rule & Formulation) มาใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเกิดมาจากสาเหตุใด หรือเกิดมาจากสารใดผสมกบั
สารใด เป็นต้น จากนั้นเม่ือ มนุษย์มภี าษา สำหรบั การสือ่ สารแลว้ กเ็ กดิ มีขอ้ มูล (Data) เก่ียวกบั เหตกุ ารณ์ดังกล่าว
เกิดขึ้นมามากมาย ทั้งจากภายในสังคมเดียวกัน หรือจากสังคมอื่นๆ เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง ทำให้ต้องมีการ
วิเคราะห์ หรือประมวลผล ข้อมูลให้มีสถานภาพเป็นสารสนเทศ (Information) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ หรือ
ผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคมีการสะสม เพิ่มพูน สารสนเทศมากๆเข้าและมีการเรียนรู้ (Learning) จนเกิดความเข้าใจ
(Understanding) ก็จะเป็นการพัฒนา สารสนเทศที่มอี ยู่ในตนเองเป็นองค์ความรู้ (Knowledge) เนื่องจากมนุษย์
เปน็ ผ้ทู ่ีมีสติ (สมั ปชญั ญะ) (Intellect) ร้จู ักใช้ เหตุและผล (Reasonable) กับความรู้ที่ตนเองมีอยู่ก็จะมีการพัฒนา
ความรเู้ ป็นปัญญา (Wisdom) ในท่สี ุด ดังแสดงได้ ตาม ภาพข้างลา่ งนี้

2.2 สาเหตุทท่ี ำให้เกดิ สารสนเทศ
1. เมื่อมีวิทยาการความรู้ หรือสิ่งประดิษฐ์ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมกันนั้น ก็จะเกิด สารสนเทศมา

พร้อมๆ กันด้วย จากนั้นก็จะมีการเผยแพร่ หรือกระจายสารสนเทศ เกี่ยวกับ วิทยาการความรู้ หรือสิ่งประดิษฐ์
ผลติ ภัณฑ์ ชนิดน้นั ๆไปยัง แหลง่ ต่างๆ ท่เี กีย่ วขอ้ ง

2. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือสำคัญในการผลิตสารสนเทศ เนื่องจากมี ความสะดวกในการ
ปอ้ น ข้อมูล การปรบั ปรุงแก้ไข การทำซำ้ การเพิ่มเตมิ ฯลฯ ทำให้มคี วาม สะดวกและง่ายต่อการผลิตสารสนเทศ

3. เทคโนโลยีสื่อสารยคุ ใหม่มคี วามเร็วในการสื่อสารสงู ขึน้ สามารถเผยแพร่สารสนเทศ จากแหลง่ หนึ่ง ไป
ยงั สถานทีต่ า่ งๆ ท่ัวโลกในเวลาเดยี วกันกับเหตุการณ์ทเี่ กิดข้ึนจริง อีกทัง้ สามารถสง่ ผ่านข้อมลู ได้อย่างหลากหลาย
รปู แบบ พรอ้ มๆ กันในเวลาเดยี วกัน

26

4. เทคโนโลยีการพิมพ์ที่มีความสามารถในการผลิตสารสนเทศสูงขึ้น สามารถผลิตสารสนเทศได้ครั้งละ
จำนวน มากๆ ในเวลาสัน้ ๆ มีสสี ันเหมือนจรงิ ทำให้มปี ริมาณสารสนเทศใหม่ๆ เกดิ ข้นึ อยู่ตลอดเวลา

5. ผู้ใช้มีความจำเป็นต้องใช้สารสนเทศเพื่อการศึกษา เพื่อการค้นคว้าวิจัย เพื่อการ พัฒนาคุณภาพชีวิต
เพื่อการ ตัดสินใจ เพื่อการแก้ไขปัญหา เพื่อการปฏิบัติงาน หรือปรับปรุง ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน, การ
บริหารงาน ฯลฯ

6. ผู้ใช้มีความต้องการใช้สารสนเทศ เพื่อตอบสนองความสนใจ ต้องการทราบแหล่งที่อยู่ของสารสนเทศ
ต้องการเข้าถึงสารสนเทศ ต้องการสารสนเทศที่มาจากต่างประเทศ ต้องการสารสนเทศอย่างหลากหลาย หรือ
ตอ้ งการ สารสนเทศอยา่ งรวดเร็ว เป็นตน้
ความหมายของข้อมลู

https://surattana15.wordpress.com/2014/07/06/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9
ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ หรือข้อมูลดิบที่ยังไม่ผ่านการประมวลผล ยังไม่มีความหมายใน

การนำไปใชง้ าน ข้อมูลอาจเปน็ ตวั เลข ตวั อักษร สญั ลกั ษณ์ รปู ภาพ เสียง หรอื ภาพเคล่ือนไหว
จากการศกึ ษาพบว่ามีผใู้ ห้คำนิยามของคำวา่ ข้อมูลไว้ หลากหลาย เชน่

• ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง ภาพ (Images) หรือเสียง (Sounds) ที่อาจจะ(หรือไม่) แก้ไขปัญหา (Pertinent)
หรือเปน็ ประโยชนต์ ่อการปฏิบตั ิงาน (Alter 1996 : 28)

• ข้อมลู คือ ตัวแทนของข้อเทจ็ จริง ตวั เลข ขอ้ ความ ภาพ รูปภาพ หรอื เสยี ง (Nickerson 1998 : 10-11)
• ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงที่แทนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในองค์การ หรือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพก่อนที่จะมี

การจัด ระบบใหเ้ ป็นรปู แบบทีค่ นสามารถเข้าใจ และนำไปใช้ได้ (Laudon and Laudon 1999 :8)
• ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง หรือการอภิปรายปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง (Haag, Cummings and

Dawkins 2000 : 31)

27

• ข้อมูล คือ ส่ิงประกอบไปด้วยข้อเท็จจริง และสัญลักษณ์ (Figures) ที่มีความสัมพันธ์ (ไม่มีความหมาย
หรือมี ความหมายนอ้ ย) กบั ผใู้ ช้ (McLeod, Jr. and Schell 2001 : 12)

• ข้อมลู คือ คำอธบิ ายพ้ืนฐานเกยี่ วกบั สิ่งของ เหตกุ ารณ์ กิจกรรม หรือธุรกรรม ซงึ่ ได้รบั การบนั ทึก จำแนก
และ เก็บรักษาไว้ โดยที่ยังไม่ได้เก็บให้เป็นระบบ เพื่อที่จะให้ความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งที่แน่ชัด
(Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 17)

• ข้อมูล ประกอบไปดว้ ยข้อเทจ็ จริง (Raw Facts) เช่น ชอ่ื ลูกค้า ตวั เลขเกีย่ วกับจำนวนชัว่ โมงที่ทำงานในแต่
ละ สปั ดาห์ ตวั เลขเกีย่ วกับสนิ ค้าคงคลงั หรอื รายการสั่งของ (Stair and Reynolds 2001 : 4)

• ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง ที่ใช้แทนเหตุการณ์ทีเ่ กิดขึ้น และได้รับการรวบรวม หรือป้อนเข้าระบบ (เลาว์ดอน
และ เลาวด์ อน 2545 : 6)

• ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่ก่อ หรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง (ข้อเท็จจริง หมายถึง ข้อความ หรือ
เหตุการณ์ที่ เป็นมา หรือที่เป็นอยู่จริง (ราชบัณฑิตยสถาน 2539 : 134) สำหรับใช้เป็นหลักอนุมานหา
ความจรงิ หรือการคำนวณ (หนา้ เดยี วกัน)

• ข้อมูล คือ ข้อความจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยอาจเป็นตัวเลข หรือข้อความที่ทำให้ผู้อ่านทรา บ
ความเปน็ ไป หรือเหตกุ ารณ์ทเ่ี กิดขึน้ (สชุ าดา กรี ะนันท์ 2542 : 4)

• ขอ้ มูล คอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ทีม่ อี ย่ใู นชวี ิตประจำวันเกย่ี วกับบุคคล สง่ิ ของ หรอื เหตุการณต์ ่างๆ ทอ่ี าจเป็นตัวเลข
ตวั อกั ษร ข้อความ ภาพ หรือเสียงกไ็ ด้ (จิตตมิ า เทยี มบญุ ประเสริฐ 2544 : 3)

• ข้อมลู คอื ข้อมลู ดบิ (Raw Data) ทย่ี ังไมม่ ีความหมายในการนำไปใชง้ าน และถกู รวบรวมจากแหล่งต่างๆ
ทง้ั ภาย ใน และภายนอกองคก์ าร (ณฏั ฐพนั ธ์ เขจรนนั ทน์ และไพบูลย์ เกยี รตโิ กมล 2545 : 40)

• ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเหตกุ ารณ์ หรือข้อมูลดิบที่ยังไม่ผา่ นการประมวลผล ยังไม่มีความหมายใน
การ นำไปใชง้ าน ขอ้ มูลอาจเปน็ ตัวเลข ตัวอกั ษร สญั ลกั ษณ์ รูปภาพ เสยี ง หรอื ภาพเคลื่อนไหว (ทิพวรรณ
หล่อสวุ รรณรัตน์ 2545 : 9)

• ข้อมูล คอื ตวั อกั ษร ตวั เลข หรือสญั ลกั ษณใ์ ดๆ (นิภาภรณ์ คำเจริญ 2545 : 14)
สรุป ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นตัวเลข ตัวอักษร สัญลักษณ์ ภาพ เสียง

กลน่ิ หรือมี ลักษณะประสมกนั

ชนดิ ของขอ้ มูล (Types of Data)

28

https://www.okdentang.com/featured/data/
เราสามารถแบ่งขอ้ มูลออกเป็น 4 ชนิด ดงั น้ี (Alter 1996 : 151-152, Stair and Reynolds 2001 : 5)
1. ขอ้ มลู ที่เป็นอกั ขระ (Alphanumeric Data) ได้แก่ ตัวเลข (Numbers) ตัวอกั ษร (Letters) เคร่อื งหมาย
(Sign) และ สัญลกั ษณ์ (Symbol)
2. ขอ้ มูลทเ่ี ป็นภาพ (Image Data) ไดแ้ ก่ ภาพกราฟิก (Graphic Images) และรูปภาพ (Pictures)
3. ข้อมลู ท่เี ป็นเสียง (Audio Data) ได้แก่ เสยี ง (Sounds) เสยี งรบกวน/เสียงแทรก (Noise) และเสียงท่ีมี
ระดับ (Tones) ต่างๆ เชน่ เสยี งสงู เสียงตำ่ เปน็ ต้น
4. ที่เป็นภาพเคลื่อนไหว (Video Data) ได้แก่ ภาพยนตร์ (Moving Images or Pictures)และ วีดิทัศน์
(Video)นอกจากนน้ั ยังพบว่ามีข้อมลู ในลักษณะของกลิ่น (Scent) และข้อมลู ในลกั ษณะทม่ี ีการประสมประสานกัน
เชน่ มกี ารนำเอาข้อมลู ทงั้ 4 ชนดิ มารวมกันเรยี กวา่ สอ่ื ประสม (Multimedia) แตถ่ า้ มีการประสมข้อมูลที่เป็นกลิ่น
เขา้ ไปด้วย เราเรียกวา่ Multi-scented
กรรมวิธกี ารจัดการขอ้ มลู (Data manipulation) (ให้มีคุณคา่ เป็นสารสนเทศ)
การจัดการข้อมูลให้มีคุณค่าเป็นสารสนเทศ กระทำได้โดยการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของข้อมูล ซึ่งมี
วธิ กี าร หรือ กรรมวธิ ีดังตอ่ ไปนี้ (Kroenke and Hatch1994 : 18-20)
1. การรวบรวมข้อมูล (Capturing/gathering/collecting Data) ที่ต้องการจากแหล่งต่างๆ โดยการ
เครื่องมือ ช่วยค้นที่เป็นบัตรรายการ หรือ OPAC แล้วนำตัวเล่มมาพิจารณาว่ามีรายการใดที่สามารถนำมาใช้
ประโยชน์ได้
2. การตรวจสอบข้อมูล (Verifying/checking Data) โดยตรวจสอบเนื้อหาของข้อมูลที่หามาได้ ใน
ประเด็นของ ความถูกต้องและความแม่นยำของเนื้อหา ความสอดคล้องของตาราง, ภาพประกอบ หรือแผนที่ กับ
เนอ้ื หา

29

3. การจัดแยกประเภท/จัดหมวดหมู่ข้อมูล (Classifying Data) เมื่อผ่านการตรวจสอบความถูกต้อง
สอดคล้องกัน ของเนื้อหาแล้ว นำข้อมูลต่างๆ เหล่าน้ันมาแยกออกเป็นกอง หรือกลุ่ม ๆ ตามเรื่องราวที่ปรากฏใน
เนือ้ หา

4. จากนั้นก็นำแต่ละกอง หรือกลุ่ม มาทำการเรียงลำดับ/เรียบเรยี งข้อมูล (Arranging/sorting Data) ให้
เปน็ ไป ตามความเหมาะสมของเน้ือหาว่าจะเรมิ่ จากหัวข้อใด จากนั้นควรเปน็ หัวขอ้ อะไร

5. หากมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขจะต้องนำตัวเลขนั้นมาทำการวิเคราะห์หาค่าทางสถิติที่เกี่ยวข้อง หรือทำ
การ คำนวณขอ้ มลู (Calculating Data) ให้ไดผ้ ลลัพธ์ออกเสียกอ่ น

6. หลังจากน้ันจึงทำการสรุป (Summarizing/conclusion Data) เนื้อหาในแตล่ ะหัวขอ้
7. เสร็จแล้วทำการจดั เก็บ หรือบันทึกข้อมูล (Storing Data) ลงในสื่อประเภทต่างๆ เช่น ทำเป็นรายงาน
หนงั สอื บทความตีพมิ พใ์ นวารสาร หนงั สอื พมิ พ์ หรือลงในฐานข้อมลู คอมพวิ เตอร์ (แผน่ ดิสก์ ซีดี-รอม ฯลฯ)
8. จัดทำระบบการค้นคืน เพื่อความสะดวกในการจดั เก็บและค้นคืนสารสนเทศ (Retrieving Data) จะได้
จดั เกบ็ และค้นคืนสารสนเทศอย่างถกู ต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และตรงกบั ความตอ้ ง
9. ในการประมวลผลเพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ จักต้องมีการสำเนาข้อมูล (Reproducing Data) เพ่ือ
ป้องกนั ความเสยี หายท่ีอาจเกิดขึ้นกบั ขอ้ มลู ทัง้ จากสาเหตทุ างกายภาพ และระบบการจัดเกบ็ ขอ้ มูล
10. จากนั้นจึงทำการการเผยแพร่ หรือสื่อสาร หรือกระจายข้อมูล (Communicating/disseminating
Data) เพ่ือใหผ้ ลลพั ธ์ท่ีไดถ้ งึ ยงั ผ้รู บั หรือผทู้ ี่เกยี่ วข้อง
11. การจัดการขอ้ มูลให้มสี ถานภาพเปน็ สารสนเทศ (Transformation Processing) ในความเปน็ จริงแลว้
ไม่จำเป็นที่ จะต้องทำครบ ทั้ง 10 วิธีการ การที่จะทำกี่ขั้นตอนนั้นขึ้นอยู่กับ ข้อมูลที่นำเข้ามาในระบบการ
ประมวลผล หากขอ้ มูลผา่ น ขัน้ ตอน ที่ 1 หรือ 2 มาแล้ว พอมาถงึ เรา เราก็ทำขน้ั ตอนท่ี 3 ต่อไปได้ทนั ที แต่อยา่ งไร
ก็ตามการใหไ้ ดม้ าซึง่ ผลลัพธท์ มี่ ี คณุ คา่ จักตอ้ งทำตามลำดับดงั กลา่ วขา้ งตน้ ไมค่ วรทำข้ามข้นั ตอน ยกเวน้ ขั้นตอนท่ี
5 และขั้นตอนที่ 6 กรณที เี่ ปน็ ขอ้ มูล เกย่ี วกับตวั เลขกท็ ำข้ันตอนที่ 5 หากขอ้ มลู ไมใ่ ช่ตัวเลขอาจจะข้ามขนั้ ตอนที่ 5
ไปทำขั้นตอนที่ 6 ได้เลย เป็นต้น ผลลัพธ์ หรือผลผลิตที่ได้จากการประมวลผล หรือกรรมวิธีจัดการข้อมูล ปรากฏ
แก่สังคมในรูปของสื่อประเภทต่างๆ เช่น เป็น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ ซีดี-รอม สไลด์ แผ่นใส แผนที่ เทป
คลาสเซท ฯลฯ แต่อย่างไรกต็ ามไมไ่ ด้หมายความว่า ผลผลิต หรือผลลัพธ์น้นั จะมีสถานภาพเป็นสารสนเทศเสมอไป

2.3 ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology)

30

https://wisanu4399.wordpress.com/2014/06/04/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%
ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึง อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมประมวล

เก็บรักษา และเผยแพร่ข้อมูลและสารสนเทศโดยรวมทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ฐานข้อมูล และการสื่อสาร
โทรคมนาคม
ความหมายของขอ้ มลู และสารสนเทศ

ระบบสารสนเทศสร้างขึ้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายหลายประการจุดมุ่งหมายพื้นฐานประการหนึ่ง คือ การ
ประมวลข้อมลู (Data) ใหเ้ ปน็ สารสนเทศ (Information) และนำไปสู่ความรู้ (Knowledge) ทีช่ ่วยแก้ปัญหาในการ
ดำเนนิ งาน

สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่มีการปรับเปลี่ยน (Convert) ด้วยการจัดรูปแบบ (Formatting) การกลั่นกรอง
(Filtering) และการสรุป (Summarizing) ให้เป็นผลลัพธ์ที่มี รูปแบบ (เช่น ข้อความ เสียง รูปภาพ หรือวีดิทัศน์)
และเน้ือหาที่ตรงกับ ความต้องการ และเหมาะสมตอ่ การนำไปใช้ (Alter 1996 : 29, 65, 714)

➢ สารสนเทศ คือ ตัวแทนของข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล (Process) การจัดการ (Organized) และการ
ผสมผสาน (Integrated) ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจอย่างถอ่ งแท้ (Post 1997 : 7)

➢ สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่มีความหมาย (Meaningful) หรือเป็นประโยชน์ (Useful) สำหรับบางคนที่จะใช้
ชว่ ยในการ ปฏิบัติงานและการจัดการ องค์การ (Nickerson 1998 : 11)

➢ สารสนเทศ คือ ขอ้ มูลที่มคี วามหมาย (Schultheis and Sumner 1998 : 39)
➢ สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่มีความหมายเฉพาะภายใต้บริบท (Context) ที่เกี่ยวข้อง (Haag, Cummings

and Dawkins 2000 : 20)

31

➢ สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีผา่ นการปรบั เปลี่ยน (Converted) มาเปน็ ส่ิงท่ีมคี วาม หมาย (meaningful) และ
เปน็ ประโยชน์ (Useful) กบั เฉพาะบคุ คล (O’Brien 2001 : 15)

➢ สารสนเทศ คอื ขอ้ มลู ที่ผา่ นการประมวลผล หรือขอ้ มลู ที่มีความหมาย (McLeod, Jr. and Schell 2001
: 12)

➢ สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ได้รับการจัดระบบเพื่อให้มีความหมายและมีคุณค่าสำหรับ ผู้ใช้ (Turban,
McLean and Wetherbe 2001 : 7)

➢ สารสนเทศ คือ ที่รวม (ชุด) ข้อเท็จจริงท่ีไดม้ ีการจดั การแล้ว ในกรณีเช่น ข้อเท็จจริงเหล่านั้นได้มีการเพิม่
คุณค่า ภายใตค้ ุณคา่ ของข้อเทจ็ จรงิ นัน้ เอง (Stair and Reynolds 2001 : 4)

➢ สารสนเทศ คือ ข้อมลู ท่ีได้รับการประมวลผล หรอื ปรุงแตง่ เพ่อื ใหม้ คี วามหมาย และเปน็ ประโยชน์ต่อผู้ใช้
(เลาว์ดอน และเลาว์ดอน 2545 : 6)

➢ สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ได้รับการประมวลผลให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายต่อผู้รับ และมีคุณค่าอัน
แท้จริง หรือ คาดการณ์ว่าจะมีค่าสำหรับการดำเนินงาน หรือการตัดสินใจใน ปัจจุบัน หรืออนาคต
(ครรชติ มาลยั วงศ์ 2535 : 12)

➢ สารสนเทศ คือ เรื่องราว ความรู้ต่างๆ ที่ได้จากการนำข้อมูลมาประมวลผลด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหน่ึง
และมี การผสมผสานความรู้ หรอื หลกั วิชาทีเ่ กี่ยวขอ้ ง หรอื ความคิดเห็น ลงไปด้วย (กัลยา อุดมวิทิต 2537
:3)

➢ สารสนเทศ คือ ข้อความรู้ที่ประมวลได้จากข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นจนได้ ข้อสรุป เป็น
ข้อความรู้ที่ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเน้นที่การเกิดประโยชน์ คือความรู้ที่เกิดขึ้นเพิ่มขึ้นกับผู้ใช้
(สชุ าดา กรี ะนันท์ 2542 : 5)

➢ สารสนเทศ คอื ขา่ วสาร หรือการช้ีแจงข่าวสาร (ปทปี เมธาคณุ วฒุ ิ 2544 : 1)
สรุป สารสนเทศ คือ ข้อมูล ข่าวสาร ข่าว ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น หรือประสบการณ์ อยู่ในรูปแบบที่

แตกต่างกันออกไป เช่น ตัวอักษร ตัวเลข รูปภาพ เสียง สัญลักษณ์ หรือกลิ่น ที่ถูกนำมาผ่านกระบวนการ
ประมวลผล ด้วยวิธีการที่ เรียก ว่า กรรมวิธีจัดการข้อมูล (Data Manipulation) และผลที่ได้อาจแสดงผลออกมา
ในรูปแบบของสื่อประเภทต่าง เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ แผนที่ แผ่นใส ฯลฯ และเป็นผลลัพธ์ท่ีผู้ใช้
สามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้อยา่ งถูกต้อง ตรงและทนั กบั ความตอ้ งการ

หรือ สารสนเทศ คือ ผลลัพธท์ ีม่ ีความถูกต้อง ตรงตามต้องการ และทันต่อความตอ้ งการของผู้ใช้ หรือผู้ที่
เกย่ี วข้อง เป็นผลลัพธท์ ีไ่ ด้มาจากการนำขอ้ มูลมาประมวลผลดว้ ยกรรมวธิ ีจัดการข้อมลู

หรือ สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ที่ได้มาจากการนำข้อมูลมาประมวลผลด้วยกรรมวิธีจัดการข้อมูล ซึ่งจะต้อง
เปน็ ผลลพั ธ์ท่ีมี คณุ สมบตั ถิ กู ต้อง ตรงตามต้องการ และทนั ตอ่ ความต้องการของผูใ้ ช้ หรอื ผู้ทีเ่ ก่ียวข้อง

หลักเกณฑก์ ารประเมนิ ผลลัพธ์ หรือผลผลติ (Criterias to Evaluated Outputs)

32

ข้อมูลของบางคนอาจเป็นสารสนเทศสำหรับอีกคนหนึ่ง (Nickerson 1998 : 11) การที่จะบ่งบอกว่า
ผลผลิต หรือ ผลลัพธ์มีคุณค่า หรือสถานภาพเป็นสารสนเทศ หรือไม่นั้น เราใช้หลักเกณฑ์ต่อไปนี้ประกอบการ
พจิ ารณา

1. ความถูกต้อง (Accuracy) ของผลผลติ หรือผลลพั ธ์
2. ตรงกบั ความต้องการ (Relevance/pertinent)
3. ทันกบั ความตอ้ งการ (Timeliness)
การพิจารณาความถูกต้องดูที่เนื้อหา (Content) ของผลผลิต โดยพิจารณาจากขั้นตอนของการประมวล
ผล (Process; verifying, calculating) ข้อมูล สำหรับการตรงกับความต้องการ หรือทันกับความต้องการ มีผู้ใช้
ผลผลิตเป็น เกณฑ์ในการพิจารณา หากผู้ใช้เห็นว่าผลผลิตตรงกับความต้องการ หรือผลผลิตสามารถตอบปัญหา
หรือแก้ไขปัญหา ของผู้ใชไ้ ด้ และสามารถเรยี กมาใช้ได้ในเวลาที่เขาต้องการ (ทนั ต่อความต้องการใช้) เราจึงจะสรุป
ได้วา่ ผลผลติ หรือ ผลลพั ธน์ ัน้ มีสถานภาพ เปน็ สารสนเทศ
คุณภาพ หรือคุณค่าของสารสนเทศ ขึ้นอยู่กับข้อมูล (Data) ที่นำเข้ามา (Input) หากข้อมูลที่นำเข้ามา
ประมวลผล เป็นข้อมูลที่ดี ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมีคุณภาพดี หรือมีคุณค่า ผู้ใช้ หรือผู้บริโภคสามารถนำมาใชป้ ระโยชน์
ได้ แต่หากข้อมูลที่ นำเข้ามาประมวลผลไม่ดี ผลผลิต หรือผลลัพธ์ก็จะมีคุณภาพไม่ดี หรือไม่มีคุณค่า สมดั่งกับวลี
ท่ีวา่ GIGO (Garbage In Garbage Out) หมายความว่า ถา้ นำขยะเข้ามา ผลผลิต (สิ่งทไี่ ดอ้ อกไป) ก็คือขยะน่นั เอง
2.4 คณุ ลกั ษณะของสารสนเทศทด่ี ี (Characteristics of Information)

https://sites.google.com/site/kroonom/laksna-khxng-sarsnthes-thi-di
สารสนเทศที่ดีควรมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ (Alter 1996 : 170-175, Stair and Reynolds 2001 : 6-7,
จิตติมา เทียมบุญประเสริฐ 2544 : 12-15, ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ และไพบูลย์ เกียรติโกมล 2545 : 41-42 และ
ทพิ วรรณ หลอ่ สวุ รรณรตั น์ 2545 : 12-15)
1. สารสนเทศที่ดตี ้องมคี วามความถูกตอ้ ง (Accurate) และไม่มคี วามผดิ พลาด

33

2. ผ้ทู ี่มสี ทิ ธิใชส้ ารสนเทศสามารถเขา้ ถึง (Accessible) สารสนเทศไดง้ า่ ย ในรูปแบบ และเวลาทเี่ หมาะสม
ตาม ความตอ้ งการของผู้ใช้

3. สารสนเทศต้องมคี วามชัดเจน (Clarity) ไมค่ ลมุ เครือ
4. สารสนเทศทีด่ ตี อ้ งมีความสมบรู ณ์ (Complete) บรรจุไปด้วยข้อเทจ็ จรงิ ท่มี ีสำคัญครบถ้วน
5. สารสนเทศตอ้ งมีความกะทดั รดั (Conciseness) หรือรดั กุม เหมาะสมกับผู้ใช้
6. กระบวนการผลิตสารสนเทศต้องมีความประหยัด (Economical) ผู้ที่มีหน้าท่ีตัดสินใจมักจะต้องสร้าง
ดลุ ยภาพ ระหว่างคุณคา่ ของสารสนเทศกบั ราคาท่ีใช้ในการผลิต
7. ต้องมีความยึดหยุ่น (Flexible) สามารถในไปใชใ้ นหลาย ๆ เปา้ หมาย หรือวตั ถปุ ระสงค์
8. สารสนเทศทดี่ ตี อ้ งมรี ปู แบบการนำเสนอ (Presentation) ทเ่ี หมาะสมกับผู้ใช้ หรือผู้ที่เก่ยี วข้อง
9. สารสนเทศทด่ี ตี ้องตรงกบั ความตอ้ งการ (Relevant/Precision) ของผูท้ ท่ี ำการตัดสนิ ใจ
10. สารสนเทศทด่ี ีต้องมีความน่าเช่ือถือ (Reliable) เชน่ เปน็ สารสนเทศที่ได้มาจากกรรมวิธีรวบรวมที่น่า
เช่ือ ถอื หรือแหล่ง (Source) ท่นี ่าเช่อื ถือ เป็นต้น
11. สารสนเทศทด่ี คี วรมีความปลอดภัย (Secure) ในการเขา้ ถึงของผ้ไู ม่มีสทิ ธิใชส้ ารสนเทศ
12. สารสนเทศท่ดี คี วรง่าย (Simple) ไมส่ ลับซับซ้อน มีรายละเอียดที่เหมาะสม (ไม่มากเกนิ ความจำเปน็ )
13. สารสนเทศทีด่ ีต้องมคี วามแตกตา่ ง หรอื ประหลาด (Surprise) จากข้อมลู ชนิดอ่นื ๆ
14. สารสนเทศที่ดีต้องทันเวลา (Just in Time : JIT) หรือทันต่อความต้องการ (Timely) ของผู้ใช้ หรือ
สามารถสง่ ถึงผูร้ บั ไดใ้ นเวลาที่ผ้ใู ชต้ อ้ งการ
15. สารสนเทศท่ดี ีตอ้ งเป็นปัจจบุ ัน (Up to Date) หรือมคี วามทนั สมัย ใหมอ่ ย่เู สมอ มิเชน่ น้นั จะไม่ทันต่อ
การ เปลยี่ นแปลงท่ดี ำเนินไปอยา่ งรวดเรว็
16. สารสนเทศที่ดีต้องสามารถพิสูจน์ได้ (Verifiable) หรือตรวจสอบจากหลาย ๆ แหล่ง ได้ว่ามีความ
ถกู ต้อง
นอกจากนั้นสารสนเทศมีคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากสินค้าประเภทอื่น ๆ 4 ประการคือ ใช้ไม่หมด ไม่
สามารถ ถ่ายโอนได้ แบ่งแยกไม่ได้ และสะสมเพิ่มพูนได้ (ประภาวดี สืบสนธ์ 2543 : 12-13) หรืออาจสรุปได้ว่า
สารสนเทศ ที่ดีต้องมีคุณลักษณะครบทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านเวลา (ทันเวลา และทันสมัย) ด้านเนื้อหา (ถูกต้อง
สมบรู ณ์ ยดึ หยนุ่ นา่ เชือ่ ถอื ตรงกับ ความตอ้ งการ และตรวจสอบได้) ด้านรูปแบบ (ชดั เจน กะทัดรดั ง่าย รูปแบบ
การนำเสนอ ประหยดั แปลก) และดา้ นกระบวนการ (เขา้ ถงึ ได้ และปลอดภยั )

2.5 คุณภาพของสารสนเทศ (Quality of Information/Information Quality)

34

https://sites.google.com/site/5811300151paungpaka/bth-thi1-khwam-ru-thawpi-keiyw-kab-rabb-
คุณภาพของสารสนเทศ จะมีคุณภาพสูงมาก หรือนอ้ ย พิจารณาท่ี 3 ประเดน็ ดงั น้ี (Bentley 1998 : 58-59)
1. ตรงกบั ความตอ้ งการ (Relevant) หรอื ไม่ โดยดูวา่ สารสนเทศน้นั ผู้ใช้สามารถนำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพ

ได้ มากกว่าไมใ่ ช้สารสนเทศ หรอื ไม่ คุณภาพของสารสนเทศ อาจจะดูท่ีมนั มีผลกระทบต่อกจิ กรรมของผู้ใช้ หรือไม่
อย่างไร

2. น่าเชื่อถือ (Reliable) เพียงใด ความน่าเชื่อถือมีหัวข้อที่จะใช้พิจารณา เช่น ความทันเวลา (Timely)
กับผู้ใช้ เมื่อ ผู้ใช้จำเป็นต้องใช้มีสารสนเทศนั้น หรือไม่ สารสนเทศที่นำมาใช้ต้องมีความถูกต้อง ( Accurate)
สามารถพิสจู น์ (Verifiable) ไดว้ ่าเป็นความจรงิ ดว้ ยการวิเคราะห์ขอ้ มูลทเี่ ก่ียวข้อง เป็นต้น

3. สารสนเทศนั้นเข้มแข็ง (Robust) เพยี งใด พิจารณาจากการทีส่ ารสนเทศสามารถเคล่ือนตวั เองไปพร้อม
กบั กาลเวลาทเ่ี ปล่ียนไป (Rigorous of Time) หรือพิจารณาจากความอ่อนแอของมนษุ ย์ (Human Frailty) เพราะ
มนุษย์ อาจทำความผิดพลาดในการป้อนข้อมูล หรือการประมวลผลข้อมูล เพราะฉะนั้นจะต้องมีการควบคุม หรือ
ตรวจสอบ ไม่ให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น หรือพิจารณาจากความผิดพลาด หรือล้มเหลวของระบบ (System
Failure) ทจี่ ะส่งผล เสยี หายตอ่ สารสนเทศได้ ดงั นัน้ จึงตอ้ งมีการป้องกนั ความผิดพลาด (ทเ่ี นอ้ื หา และไม่ทันเวลา)
ที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือ พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลง การจัดการ (ข้อมูล) (Organizational Changes) ที่อาจจะ
ส่งผลกระทบ (สร้างความเสยี หาย) ตอ่ สารสนเทศ เช่น โครงสรา้ ง แฟม้ ข้อมลู วธิ ีการเขา้ ถึงข้อมูล การรายงาน จัก
ตอ้ งมกี ารปอ้ งกนั หากมกี าร เปลยี่ นแปลงในเรอ่ื งดังกล่าว

นอกจากนั้นซวาสส์ (Zwass 1998 : 42) กล่าวถึง คุณภาพของสารสนเทศจะมีมากน้อยเพยี งใดขึ้นอย่กู บั
การ ทันเวลา ความสมบูรณ์ ความกะทัดรัด ตรงกับความต้องการ ความถูกต้อง ความเที่ยงตรง (Precision) และ
รูปแบบทเ่ี หมาะสม ในเร่ืองเดียวกนั โอไบร์อนั (O’Brien 2001 : 16-17) กล่าววา่ คณุ ภาพของสารสนเทศ พิจารณา
ใน 3 มติ ิ ดงั น้ี

1. มติ ิดา้ นเวลา (Time Dimension)
2. มิตดิ ้านเนอ้ื หา (Content Dimension)

35

3. มติ ดิ า้ นรูปแบบ (Form Dimension)
สว่ นสแตรแ์ ละเรย์โนลด์ (Stair and Reynolds 2001 : 7) กลา่ วถึง คุณคา่ ของสารสนเทศขน้ึ อยู่กบั การที่
สารสนเทศนั้น สามารถช่วยให้ผู้ทีม่ ีหน้าทีต่ ัดสินใจทำให้เป้าหมายขององค์การสัมฤทธิ์ผลได้มากนอ้ ยเพียงใด หาก
สารสนเทศ สามารถทำใหบ้ รรลุเปา้ หมายขององคก์ ารได้ สารสนเทศนัน้ ก็จะมีคุณค่าสงู ตามไปด้วย
ความสำคญั ของสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศมีพัฒนาการที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีการปรับปรุงเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็น
ประโยชน์กับงานสารสนเทศอยู่ตลอดเวลา ทำให้วงการวิชาชีพหันมาปรับปรุงกลไกในวิชาชีพของตนให้ทันกับ
สงั คมสารสนเทศ
เพื่อให้ทันต่อกระแสโลก จึงทำให้เกิดการบริการรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายผ่าน
อนิ เตอร์เนต็ การให้บริการสง่ ข่าวสาร SMSหรอื การโหลดเพลงผ่านเครอื ขา่ ยโทรศัพท์มือถือ
นอกจากนหี้ นว่ ยงานตา่ งๆ ยังไดส้ ร้างระบบงานสารสนเทศในหนว่ ยงานของตนเองขึน้ เป็นจำนวนมาก เช่น
การทำเว็บไซด์ของหน่วยงานเพื่อใช้ประโยชน์จากสารสนเทศเหล่านั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง และ
คุ้มค่า โดยสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการจัดทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อใช้ในการสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ การ
ปฏบิ ตั งิ าน การแก้ปญั หา หรือการตัดสนิ ใจ เพ่อื การวางแผนและการจดั การ
ดงั นั้นเทคโนโลยสี ารสนเทศจึงมีบทบาทและความสำคญั มากในปัจจุบนั และมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทมาก
ยิ่งขึ้นในอนาคต เพราะเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานสารสนเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิ ทธิภาพ
นับตั้งแตก่ ารผลติ การจัดเก็บ การประมวลผล การเรยี กใช้ การสือ่ สารสารสนเทศ การแลกเปลี่ยนและใชท้ รัพยากร
สารสนเทศร่วมกันใหเ้ กดิ ประโยชน์อย่างเต็มที่

https://www.bloggang.com/m/mainblog.php?id=eearath&month=03-10-
2018&group=1&gblog=4

สารสนเทศแท้จริงแล้วย่อมมีความสำคัญต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง เช่น ด้านการเมือง การปกครอง ด้าน
การศกึ ษา ดา้ น เศรษฐกจิ ด้านสงั คม ฯลฯ ในลักษณะดังตอ่ ไปน้ี

36

1. ทำให้ผู้บริโภคสารสนเทศเกิดความรู้ (Knowledge) และความเข้าใจ (Understanding) ในเรื่อง
ดงั กล่าว ขา้ งต้น

2. เมื่อเรารู้และเข้าใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องแล้ว สารสนเทศจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจ ( Decision
Making) ใน เร่ืองต่างๆ ได้อยา่ งเหมาะสม

3. นอกจากนั้นสารสนเทศ ยังสามารถทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหา (Solving Problem) ที่เกิดขึ้นได้
อย่าง ถกู ตอ้ ง แมน่ ยำ และรวดเรว็ ทันเวลากบั สถานการณต์ า่ งๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้

2.6 บทบาทของสารสนเทศ (Role of Information)
การนำสารสนเทศไปใช้ 3 ดา้ น ดังน้ี (จิตตมิ า เทยี มบญุ ประเสรฐิ 2544 : 5) ดา้ นการวางแผน ดา้ นการตัด

สินใจ และ ด้านการดำเนินงาน นอกจากนั้น สารสนเทศยังมีบทบาท ในเชิงเศรษฐกิจ ดังนี้ (ประภาวดี สืบสนธ์
2543 : 7-8)

https://www.dailytech.in.th/role-of-information-technology/
1. ชว่ ยลดความเส่ียงในการตดั สนิ ใจ (Decision) หรอื ช่วยช้ีแนวทางในการแก้ไขปัญหา
2. ช่วย หรือสนับสนุนการจัดการ (Management) หรือการดำเนินงานขององค์การ ให้มีประสิทธิภาพ
และเกิดประสิทธิผลมากขึ้น
3. ใช้ทดแทนทรัพยากร (Resources) ทางกายภาพ เช่น กรณีการเรียนทางไกล ผู้เรียนที่เรียนนอก
หอ้ งเรียน จริง สามารถเรยี นรูเ้ ร่ืองต่างๆ เชน่ เดียวกับ หอ้ งเรียนจรงิ โดยไมต่ อ้ งเดนิ ทางไปเรียนทห่ี ้องเรยี นน้นั
4. ใช้ในการกำกับ ติดตาม (Monitoring) การปฏบิ ัติงานและการตดั สนิ ใจ เพอ่ื ดูความกา้ วหนา้ ของงาน
5. สารสนเทศเป็นช่องทางโน้มน้าว หรือชักจูงใจ (Motivation) ในกรณีของการโฆษณาท่ีทำให้ผู้ชม, ผู้ฟัง
ตดั สินใจ เลือกสินคา้ หรอื บริการน้ัน

37

6. สารสนเทศเป็นองค์ประกอบสำคัญของการศึกษา (Education) สำหรับการเรียนรู้ ผ่านสื่อประเภท
ต่างๆ

7. สารสนเทศเปน็ องค์ประกอบสำคัญทสี่ ่งเสริมวัฒนธรรม และสนั ทนาการ (Culture & Recreation) ใน
ดา้ น ของการเผยแพร่ในรปู แบบต่างๆ เช่น วีดิทัศน์ โทรทศั น์ ภาพยนตร์ เป็นต้น

8. สารสนเทศเปน็ สินคา้ และบรกิ าร (Goods & Services) ท่สี ามารถซื้อขายได้
9. สารสนเทศเป็นทรัพยากรทตี่ ้องลงทนุ (Investment) จงึ จะได้ผลผลิตและบริการ เพื่อเป็นรากฐานของ
การจัดการ และการดำเนนิ งาน
2.7 องค์ประกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

https://sites.google.com/site/computeratchariya/xngkh-prakxb-khxng-rabb-sarsnthes
ระบบ คือ กลุ่มขององค์การต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันเพื่อจุดประสงค์อันเดยี วกัน ระบบอาจจะประกอบด้วย
บุคคลากร เครื่องมือ เครื่องใช้ พัสดุ วิธีการ ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องมีระบบจัดการอันหนึ่งเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์อนั
เดยี วกัน
สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์หรือประมวลผลแล้ว พร้อมจะใช้งานได้
ทันที โดยไมต่ อ้ งแปล หรอื ตีความใด ๆ อีก
เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการประมวลผล เพื่อให้ได้สารสนเทศ ตามท่ี
ตอ้ งการ
ระบบสารสนเทศ หมายถึง ระบบที่อาศัยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาจัดการกับข้อมูลในองค์กร เพี่อ
ใหบ้ รรลุเปา้ หมายที่ตอ้ งการอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ประกอบด้วย บุคลากร ฮารด์ แวร์ ซอรฟ์ แวร์ เครือขา่ ยการสื่อสาร
และทรัพยากรด้านข้อมูล สำหรับจัดเก็บ รวบรวม ปรับเปลี่ยน และเผยแพร่สารสนเทศเพื่อการนำมาใช้ประโยชน์
ในองค์กร
ระบบสารสนเทศประกอบดว้ ยองค์ประกอบดงั นี้

38

1. Hardware หมายถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในการจัดกระทำกับข้อมูล ทั้งที่เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และ
อปุ กรณ์อ่นื ๆ เชน่ เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ เคร่อื งคดิ เลข

2. Software หมายถึง ชุดคำสั่ง หรือเรียกให้เขา้ ง่ายว่า โปรแกรมท่ีสามารถสัง่ การให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
ในลักษณะทีต่ ้องการภายใตข้ อบเขตความสามารถทเี่ ครือ่ งคอมพวิ เตอร์ หรอื โปรแกรมนน้ั ๆ

3. User หมายถงึ กล่มุ ผ้คู นทีท่ ำงานหรอื เกี่ยวขอ้ งกบั ระบบสารสนเทศ

4. Data หมายถึง ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือ แสง สี เสียง
สญั ญาณอิเล็กทรอนิกส์ ภาพ วตั ถุ หรอื หลาย ๆ อย่างผสมผสานกัน ซ่ึงขอ้ มูลที่ดีจะต้องตรงกับความต้องการของ
ผใู้ ช้

5. Procedure หมายถึง ข้นั ตอน กระบวนการตา่ ง ๆ ในการปฏิบัตงิ านในระบบสารสนเทศ เมื่อท้งั 5 ส่วน
ดังกล่าวข้างต้น ทำงานประสานกัน ส่งผลให้ข้อมูลเกิดการประมวลผลและนำไปใช้ประโยชน์ นั่นก็คือ สารสนเทศ
นั่นเอง ซึ่งสารเสนทศน้ีจะเป็นสารสนเทศทีด่ ี จะต้องเป็นสารสนเทศที่มีความถูกต้องตรงกบั ความต้องการของผ้ใู ช้
และทนั เวลาในการใชง้ าน

กล่าวโดยสรุปก็คือ กระบวนการสารสนเทศเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดสารเสนเทศขึ้นมานั่นเอง ซ่ึง
จะตอ้ งประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบสำคญั 5 สว่ น นั่นคือ

Hardware – Software - User- Data – Procedure

ระดบั ผใู้ ช้สารสนเทศ
สามารถแบง่ ผใู้ ชร้ ะบบสารสนเทศตามการบรหิ ารจัดการได้เป็น 3 ระดบั คอื

39

1. ระดบั สงู เกยี่ วข้องกับผบู้ รหิ ารระดับสงู ซึ่งมหี นา้ ท่ใี นการกำหนดนโยบายและวางแผนให้องค์กรบรรลุ
เป้าหมายที่ต้องการ แหล่งสารสนเทศที่นำมาใช้จะเป็นข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยมีทั้งสารสนเทศ
ภายในและภายนอกองคก์ ร เพ่อื วิเคราะห์แนวโน้มและสถานการณโ์ ดยรวม

2. ระดับกลาง เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานในงานระดับการบริหารและจัดการองค์กร ซึ่งมีหน้าที่รับนโยบายมา
จากผู้ บรหิ ารระดับสูง มาสานต่อใหไ้ ด้บรรลุเปา้ หมายท่ีกำหดไว้
ระบบสารสนเทศที่ใช้มักได้มาจากแหล่งข้อมูลภายใน เช่น รายงานยอดขาย ระบบสารสนเทศจึงจำเป็นต้องจัด
อันดับทางเลอื กแบบตา่ งๆไว้ โดยใช้ค่าทางสถิติมาช่วยพยากรณ์ หรือทำนายทศิ ทางไว้ดว้ ย

3. ระดับปฏิบัตกิ าร ผู้ใช้กลุ่มนีจ้ ะเกีย่ วข้องกับการผลิตหรือการปฏบิ ัติงานหลักขององค์กร เช่น การผลิต
หรือประกอบสินค้า งานทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องใช้การวางแผนหรือระดับการตัดสินใจมากนัก ข้อมูลหรือสารสนเทศ
ในระดับน้ี จะถูกนำไปประมวลผลในระดับกลางและระดับสงู ต่อไป

ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นอาจกล่าวได้ว่าประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสองสาขาหลักคือ เทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม สำหรับรายละเอยี ดพอสงั เขปของแตล่ ะเทคโนโลยีมดี งั ต่อไปน้คี ือ
2.8 เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์

http://13.115.230.80/category/1/
คอมพิวเตอร์เป็นเครอื่ งอเิ ลก็ ทรอนิกสท์ ี่สามารถจดจำข้อมูลต่าง ๆ และปฏบิ ตั ิตามคำสง่ั ท่บี อก เพ่อื ให้คอม
พิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้ คอมพิวเตอร์นั้นประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ต่อเชื่อมกันเรียกว่า ฮาร์ดแวร์
(Hardware) และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์นี้จะต้องทำงานร่วมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกกันว่า ซอฟต์แวร์
(Software) (มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. สาขาวิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2546: 4)
ฮารด์ แวร์ ประกอบดว้ ย 5 สว่ น คอื

40

1. อปุ กรณ์รบั ข้อมูล (Input) เชน่ แผงแป้นอักขระ (Keyboard), เมาส์, เครือ่ งตรวจกวาดภาพ (Scanner),
จอภาพสัมผัส (Touch Screen), ปากกาแสง (Light Pen), เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก (Magnetic Strip
Reader), และเครอื่ งอ่านรหัสแทง่ (Bar Code Reader)

2. อปุ กรณส์ ง่ ข้อมลู (Output) เชน่ จอภาพ (Monitor), เครื่องพิมพ์ (Printer), และเทอร์มินลั
3. หน่วยประมวลผลกลาง จะทำงานร่วมกับหน่วยความจำหลักในขณะคำนวณหรือประมวลผล โดย
ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการดึงข้อมูลและคำสั่งที่เก็บไว้ไว้ในหน่วยความจำหลักมา
ประมวลผล
4. หน่วยความจำหลัก มีหน้าที่เก็บข้อมลู ที่มาจากอุปกรณ์รับข้อมลู เพ่ือใช้ในการคำนวณ และผลลัพธ์ของ
การคำนวณก่อนทจ่ี ะสง่ ไปยังอุปกรณ์ส่งข้อมลู รวมท้ังการเก็บคำส่งั ขณะกำลังประมวลผล
5. หนว่ ยความจำสำรอง ทำหน้าท่ีจัดเกบ็ ขอ้ มลู และโปรแกรมขณะยังไมไ่ ด้ใช้งาน เพอ่ื การใชใ้ นอนาคต
ซอฟต์แวร์ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญและจำเป็นมากในการควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
ซอฟต์แวร์สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื
- ซอฟตแ์ วร์ระบบ มหี นา้ ท่ีควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นตวั กลางระหว่างผู้ใช้
กับคอมพิวเตอรห์ รือฮาร์ดแวร์ ซอฟตแ์ วรร์ ะบบสามารถแบ่งเป็น 3 ชนดิ ใหญ่ คอื
1. โปรแกรมระบบปฏิบัติการ ใช้ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พ่วงต่อกับเครื่อง
คอมพวิ เตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมท่ีนิยมใชก้ ันในปจั จุบนั เชน่ UNIX, DOS, Microsoft Windows
2. โปรแกรมอรรถประโยชน์ ใช้ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในระหว่างการ
ประมวลผลข้อมูลหรือในระหว่างที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมที่นิยมใช้กันในปัจจบุ ัน เช่น โปรแกรม
เอดิเตอร์ (Editor)
3. โปรแกรมแปลภาษา ใช้ในการแปลความหมายของคำสั่งที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ในรูปแบบที่
เครอ่ื งคอมพิวเตอรเ์ ขา้ ใจและทำงานตามทีผ่ ใู้ ช้ต้องการ
- ซอฟต์แวร์ประยุกต์ เป็นโปรแกรมที่เขียนข้ึนเพื่อทำงานเฉพาะด้านตามความต้องการ ซึ่งซอฟต์แวร์
ประยุกต์นีส้ ามารถแบง่ เป็น 3 ชนดิ คือ
1. ซอฟต์แวรป์ ระยุกต์เพ่ืองานท่ัวไป เปน็ ซอฟตแ์ วร์ที่สรา้ งขนึ้ เพ่ือใช้งานทว่ั ไปไมเ่ จาะจงประเภทของธุรกิจ
ตวั อยา่ ง เชน่ Word Processing, Spreadsheet, Database Management เป็นตน้
2. ซอฟต์แวรป์ ระยุกต์เฉพาะงาน เป็นซอฟต์แวร์ท่สี ร้างขึ้นเพ่ือใช้ในธรุ กจิ เฉพาะ ตามแต่วัตถุประสงค์ของ
การนำไปใช้
3. ซอฟต์แวร์ประยุกต์อื่น ๆ เป็นซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง และอื่น ๆ นอกเหนือจาก
ซอฟต์แวร์ประยุกต์สองชนิดข้างต้น ตัวอย่าง เช่น Hypertext, Personal Information Management และ
ซอฟตแ์ วร์เกมต่าง ๆ เปน็ ตน้
สำหรับกระบวนการการจัดการระบบสารสนเทศ เพื่อให้ได้สารสนเทศตามต้องการอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง
แม่นยำ และมีคณุ ภาพ ดงั แผนภาพตอ่ ไปน้คี ือ

41

แผนภาพแสดงกระบวนการจัดการระบบสารสนเทศ
เทคโนโลยีระบบสื่อสาร

หมายถึงระบบการสื่อสาร และเครอื ข่ายที่เป็นส่วนเช่ือมในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอเิ ล็คทรอนิคส์ในรูปแบบ
ข้อมูลดิจิตอล เช่นเครือข่ายโทรศัพท์ดิจิตอล ระบบสื่อสารเคเบิลใยแก้ว (fiber optic system) รวมถึง เครือข่าย
คอมพิวเตอรร์ ะบบ WAN (wide area network) เชน่ เครอื ข่าย Internet เป็นตน้

เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจำแนกตามลักษณะการใช้งานไดเ้ ป็น 6 รูปแบบ
1. เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ กล้องดิจิตอล กล้องถ่ายวีดีทัศน์
และเคร่อื งเอกซเรย์ เป็นตน้
2. เทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล จะเป็นสื่อบนั ทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น เทปแม่เหล็กจานแม่เหล็ก จาน
แสงหรอื จานเลเซอร์ และบัตรเอทเี อ็ม เปน็ ตน้
3.เทคโนโลยีทีใ่ ช้ในการประมวลผลขอ้ มูล ไดแ้ ก่ เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ท้งั ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์
4. เทคโนโลยที ใ่ี ช้ในการแสดงผลข้อมูล เชน่ เครือ่ งพมิ พ์ จอภาพ และพลอตเตอร์ เปน็ ต้น
5. เทคโนโลยีที่ใชใ้ นการจัดทำสำเนาเอกสาร เช่น เครอื่ งถ่ายเอกสาร ไมโครฟิลม์ เปน็ ตน้
6. เทคโนโลยีสำหรับถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูล ได้แก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์
วทิ ยุกระจายเสยี ง โทรเลข และระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งระยะใกล้และไกล

2.9 ความสำคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศ

https://sites.google.com/site/ttn557/bthbath-khwam-sakhay-khxng-thekhnoloyi-sarsnthes

42

สามารถอธิบายความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านทีม่ ีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ดา้ นตา่ ง ๆ ของผูค้ นไวห้ ลายประการดังตอ่ ไปนี้ (จอหน์ ไนซ์บิตต์ อ้างถึงใน ยนื ภู่วรวรรณ)

❖ ประการที่หนง่ึ เทคโนโลยสี ารสนเทศ ทำให้สงั คมเปล่ยี นจากสงั คมอตุ สาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ
❖ ประการที่สอง เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไปเปน็ เศรษฐกิจโลก

ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเชื่อมโยงของเครือข่ายสารสนเทศทำให้เกิด
สังคมโลกาภิวัฒน์
❖ ประการทสี่ าม เทคโนโลยสี ารสนเทศทำให้องคก์ รมีลกั ษณะผูกพัน มกี ารบังคับบัญชาแบบแนวราบมากข้ึน
หน่วยธรุ กิจมีขนาดเล็กลง และเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอืน่ เป็นเครือข่าย การดำเนินธุรกิจมีการแข่งขนั
กันในด้านความเร็ว โดยอาศัยการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นตัว
สนับสนุน เพื่อใหเ้ กิดการแลกเปลีย่ นขอ้ มูลไดง้ ่ายและรวดเร็ว
❖ ประการที่สี่ เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัส และสามารถตอบสนองตามความ
ตอ้ งการการใชเ้ ทคโนโลยใี นรูปแบบใหมท่ ่ีเลือกไดเ้ อง
❖ ประการทห่ี ้า เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดสภาพทางการทำงานแบบทุกสถานทแี่ ละทกุ เวลา
❖ ประการที่หก เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการระยะยาวขึ้น อีกทั้งยังทำให้วิถี
การตดั สินใจ หรอื เลอื กทางเลือกได้ละเอยี ดขึ้น
กล่าวโดยสรุปแล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทท่ีสำคัญในทุกวงการ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกดา้ น
ความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเมือง ตลอดจนการวิจัยและ
การพัฒนาตา่ ง ๆ

ปัจจัยที่ทำใหเ้ กิดความลม้ เหลวในการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้

http://supak-itwork.blogspot.com/2015/12/14_16.html
จากงานวิจยั ของ Whittaker (1999: 23) พบวา่ ปจั จยั ของความล้มเหลวหรือความผิดพลาดท่ีเกิดจากการ
นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชใ้ นองคก์ าร มีสาเหตุหลกั 3 ประการ ไดแ้ ก่

43

1. การขาดการวางแผนท่ดี พี อ โดยเฉพาะอย่างย่งิ การวางแผนจดั การความเส่ยี งไม่ดพี อ ยิ่งองค์การมีขนาด
ใหญ่มากขน้ึ เท่าใด การจัดการความเสี่ยงยอ่ มจะมคี วามสำคญั มากขึน้ เป็นเงาตามตวั ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านน้เี พิ่มสูงขน้ึ

2. การนำเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้งาน การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในองค์การจำเป็นต้อง
พิจารณาให้สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจหรืองานที่องค์การดำเนินอยู่ หากเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่สอดรับกับ
ความตอ้ งการขององคก์ ารแล้วจะทำให้เกิดปญั หาตา่ ง ๆ ตามมา และเป็นการสนิ้ เปลอื งงบประมาณโดยใช่เหตุ

3. การขาดการจัดการหรือสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง การที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใชง้ าน
ในองคก์ ร หากขาดซึ่งความสนับสนุนจากผบู้ ริหารระดบั สูงแลว้ ก็ถือว่าลม้ เหลวตัง้ แตย่ ังไม่ไดเ้ ริ่มต้น การได้รับความ
มั่นใจจากผู้บรหิ ารระดบั สูงเป็นกา้ วย่างที่สำคัญและจำเป็นท่ีจะทำให้การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์การ
ประสบความสำเรจ็

สำหรับสาเหตุของความล้มเหลวอื่น ๆ ที่พบจากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เช่น ใช้เวลาในการ
ดำเนนิ การมากเกินไป (Schedule overruns), นำเทคโนโลยีทลี่ ้ำสมัยหรือยังไม่ผ่านการพสิ ูจน์มาใช้งาน (New or
unproven technology), ประเมินแผนความตอ้ งการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศไม่ถกู ต้อง, ผู้จัดจำหน่ายเทคโนโลยี
สารสนเทศ (Vendor) ที่องค์การซื้อมาใช้งานไม่มีประสิทธิภาพและขาดความรับผิดชอบ และระยะเวลาของการ
พฒั นาหรือนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้จนเสรจ็ สมบูรณใ์ ช้เวลาน้อยกวา่ หนง่ึ ปี

นอกจากน้ี ปจั จยั อ่นื ๆ ท่ีทำใหก้ ารนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ไม่ประสบความสำเรจ็ ในด้านผู้ใช้งานน้ัน
อาจสรปุ ได้ดังนี้ คือ

1. ความกลัวการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ผู้คนกลัวที่จะเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งกลัวว่า
เทคโนโลยสี ารสนเทศจะเข้ามาลดบทบาทและความสำคัญในหน้าที่การงานทรี่ ับผดิ ชอบของตนใหล้ ดน้อยลง จนทำ
ใหต้ อ่ ต้านการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ

2. การไม่ติดตามข่าวสารความรู้ด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างสม่ำเสมอ เนอ่ื งจากเทคโนโลยีสารสนเทศ
เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก หากไม่มั่นติดตามอย่างสม่ำเสมอแล้วจะทำให้กลายเป็นคนล้าหลังและตกขอบ จนเกิด
สภาวะชะงักงันในการเรียนรแู้ ละใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ

3. โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศกระจายไม่ทั่วถึง ทำให้ขาดความเสมอภาคใน
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเกิดการใช้กระจุกตัวเพียงบางพื้นที่ ทำให้เป็นอุปสรรคในการใช้งานด้านต่าง ๆ
ตามมา เช่น ระบบโทรศพั ท์ อินเทอร์เน็ตความเรว็ สูง ฯลฯ

2.10 ผลของเทคโนโลยสี ารสนเทศ

44

https://sites.google.com/site/waraporn571031098/phl-khxng-thekh-no
การกำเนิดของคอมพิวเตอรเ์ มื่อประมาณห้าสิบกวา่ ปีที่แล้ว เป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ยุคสารสนเทศ ในช่วง
แรกมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องคำนวณ แต่ต่อมาได้มีความพยายามพัฒนาให้คอมพิวเตอร์เป็น
อุปกรณ์สำคัญสำหรับการจัดการข้อมูล เมื่อเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้ก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้สามารถสร้างคอม
พิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลง แต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น สภาพการใช้งานจึงใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ผลของเทคโนโลยี
สารสนเทศที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่และสังคมจึงมีมาก มีการเรียนรู้และใช้สารสนเทศกันอย่างกว้างขวาง ผลของ
เทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมกล่าวได้ดงั นี้
- การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ระบบสื่อสาร
โทรคมนาคม เพือ่ ติดตอ่ สอื่ สารใหส้ ะดวกข้ึน มกี ารประยุกต์มาใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้าน เช่น ใช้
ควบคุมเคร่ืองปรับอากาศ ใช้ควมคุมระบบไฟฟ้าภายในบา้ น เป็นต้น
- เสริมสรา้ งความเทา่ เทียมในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีสารสนเทศทำใหเ้ กิดการกระจายไป
ทั่วทุกหนแห่ง แม้แต่ถิ่นทุรกันดาร ทำให้มีการกระจายโอการการเรียนรู้ มีการใช้ระบบการเรียนการสอนทางไกล
การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล นอกจากนี้ในปัจจุบันมีความพยายามที่ใช้ระบบการรักษาพยาบาลผ่าน
เครอื ขา่ ยสอ่ื สาร
- สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนำคอมพิวเตอร์และ
เครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ เช่น วีดิทัศน์ เครื่องฉายภาพ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัด
การศึกษา จดั ตารางสอน คำนวณระดบั คะแนน จดั ช้ันเรยี น

2.11 เทคโนโลยีสารสนเทศกับการใช้ชวี ิตในสังคมปจั จุบัน

45

https://champlyhanaka.wordpress.com/
ในภาวะปัจจุบันนั้นสารสนเทศได้กลายเป็นปจั จัยพื้นฐานปัจจยั ที่ห้า เพิ่มจากปัจจัยสี่ประการที่มนุษย์เรา
ขาดเสียมิได้ในการดำรงชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่จำเป็น ในการประกอบธุรกิจ ในการค้าขาย การ
ผลติ สินค้า และบรกิ าร หรอื การใหบ้ ริการสงั คม การจดั การทรพั ยากรของชาติ การบรหิ ารและปกครอง จนถึงเรื่อง
เบา ๆ เรอื่ งไร้สาระบ้าง เช่น สภากาแฟทสี่ ามารถพบได้ทุกแห่งหนในสังคม เรอ่ื งสาระบันเทิงในยามพักผ่อน ไปจน
ถึงเร่ืองความเปน็ ความตาย เช่น ข่าวอุทกภัย วาตภยั หรือการทำรฐั ประหารและปฏวิ ัติ เป็นตน้
ในความคิดเห็นของกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ตั้งแต่นักวิชาการ นักธุรกิจ นักสังคมศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์
จนกระทั่งผู้นำต่าง ๆ ในโลก ดังเช่น ประธานาธิบดี Bill Clinton และรองประธานาธิบดี Al Gore ของสหรัฐ
อเมริกา สารสนเทศเป็นทรัพยากรทส่ี ำคัญที่สุดอย่างหน่ึงในปัจจุบัน และในยุคสงั คมสารสนเทศแห่งศตวรรษที่ 21
สารสนเทศจะกลายเปน็ ทรพั ยากรที่สำคัญที่สุดเหนอื สิ่งอืน่ ใด กลา่ วกันส้นั ๆ สารสนเทศกำลังจะกลายเป็นฐานแห่ง
อำนาจอันแทจ้ รงิ ในอนาคต ทั้งในทางเศรษฐกจิ และทางการเมอื ง
ในสมัยสังคมเกษตรนั้น ปัจจัยพื้นฐานในการผลิตที่สำคัญ ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน และทุนทรัพย์ ต่อมาใน
สังคมอุตสาหกรรม การผลิตต้องพึ่งพาปัจจัยพื้นฐานเพิ่มเติม ได้แก่ วัสดุ พลังงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สารสนเทศ สังคมเกษตรและสังคมอุตสาหกรรมต้องพึ่งพาการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด อันได้แก่ ที่ดิน
พลงั งาน และวสั ดุ เป็นอย่างมาก และผลของการใช้ทรัพยากรเหล่านนั้ อยา่ งฟุ่มเฟอื ยและขาดความระมัดระวัง ก็ได้
สร้างปัญหาส่งิ แวดล้อมทรี่ นุ แรงมาก ซึ่งกำลังคุกคามโลกรวมท้ังประเทศไทย ตั้งแตป่ ญั หาการแปรปรวนของสภาพ
ดนิ ฟ้าอากาศ ภยั ธรรมชาตทิ ี่นับวันจะเพ่ิมความถ่ีและรุนแรงขึน้ ปญั หาการบ่อนทำลายความสมดุลทางนิเวศวิทยา
ทง้ั ปา่ ดงดิบ ป่าชายเลน ป่าตน้ น้ำลำธาร ความแห้งแล้ง อากาศเป็นพิษ แมน่ ำ้ ลำคลองทเ่ี ต็มไปดว้ ยสารพิษ เจือปน
ตลอดจนถึงปญั หาวิกฤตทิ างจราจรและภยั จากควนั พิษในมหานครทกุ แหง่ ทวั่ โลก
ในทางตรงกันข้าม ขบวนการผลิต การเก็บ และถ่ายทอดสารสนเทศ อาศัยการใช้วัสดุและพลังงานน้อย
มาก และไมม่ ผี ลเสยี ต่อภาวะแวดลอ้ มหรอื มเี พยี งเล็กน้อยมาก ย่ิงกว่านนั้ สารสนเทศจะสามารถช่วยให้กจิ กรรมการ
ผลิตและการบริการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถช่วยให้การผลิตทางอุตสาหกรรมใช้วัตถุดิบ


Click to View FlipBook Version