การพัฒนาทักษะการปฏิบัติร าไทย เพลงระบ าเทพบันเทิง โดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกบัการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร นายธนศักดิ์ เพ็งคำปั้ง วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตร์บัณฑิต สาขานาฏศิลป์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
การพัฒนาทักษะการปฏิบัติร าไทย เพลงระบ าเทพบันเทิง โดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกบัการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร นายธนศักดิ์ เพ็งคำปั้ง วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตร์บัณฑิต สาขานาฏศิลป์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดยใช้การจัดการ เรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ผู้วิจัย นายธนศักดิ์ เพ็งคำปั้ง สาขาวิชา นาฏศิลป์ศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ปิ่นเกศ วัชรปาณ ครูพี่เลี้ยง นางภัทรปภา พนิชพงศ์ อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา นาฏศิลป์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชา นาฏศิลป์ศึกษา อาจารย์ปิ่นเกศ วัชรปาณ หัวหน้าสาขาวิชา (.................................................................) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน อาจารย์ปิ่นเกศ วัชรปาณ ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์ที่ปรึกษา) อาจารย์จิราพรรณ เอี่ยมแก้ว กรรมการ (อาจารย์ประจำสาขา) อาจารย์ก้องเกียรติ ใจเย็น กรรมการ (อาจารย์ประจำสาขา) นางภัทรปภา พนิชพงศ์ กรรมการ (หัวหน้าหมวด)
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดยใช้การจัดการ เรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วย เพื่อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ผู้วิจัย นายธนศักดิ์เพ็งคำปั้ง อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ปิ่นเกศ วัชรปาน อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ดร.จิราพรรณ เอี่ยมแก้ว ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิง โดยใช้การปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อนเปรียบเทียบทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพ บันเทิงระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 รูปแบบการวิจัยเป็น การทดลองขั้นต้น (Pre-Experimental Design) โดยเป็นการทดลองแบบ One-Shot Case Study กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานีภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 35 คน ซึ่งได้มาโดย การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการ เรียนรู้รูปแบบการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน จำนวน 5 แผน เวลา 5 ชั่วโมง 2) แบบประเมิน ทักษะการปฏิบัติท่ารำ ระบำเทพบันเทิง โดย ใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นแบบทดสอบ จำนวน 20 ข้อเป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน 3) ความพึ่งพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการศึกษาทักษะปฏิบัติทางการเรียน วิชานาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ที่ได้รับการจัดกเรียนรู้โดยใช้บทเรียน
ข กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดยใช้การ จัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร สำเร็จลุล่วงได้อย่างสมบูรณ์ด้วยความกรุณาและ ความช่วยเหลือจาก อารย์ปิ่นเกศ วัชรปาณ อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยทางการศึกษาที่กรุณาให้คำปรึกษา แนะนำและตรวจแก้ไข้ข้อบกพร่องต่าง ๆ ตลอดจนให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์และดูแลให้กำลังใจแก่ ผู้วิจัยด้วยความเอาใจใส่อย่างดีเสมอมาผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาและขอกราบขอบพระคุณเป็น อย่างสูง ขอขอบพระคุณ คุณครูภัทรปภา พนิชพงศ์ครูพี่เลี้ยง ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์เป็นที่ปรึกษา ร่วมในการวิจัยในครั้งนี้ และได้ให้คําแนะนําระเบียบวิธีการวิจัย ให้คําปรึกษาตรวจทาน และประเมิน ค่าความน่าเชื่อถือของชุดเครื่องมือวิจัยในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณคณะผู้บริหารและคณะครูโรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ทุกท่านที่อำนวยความ สะดวกให้ความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือในการนำเครื่องมือมาทดลอง ขอขอบใจนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคารทุกคน ที่ให้ความร่วมมือในการ เก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่คอยดูแลและให้การสนับสนุนในการวิจัยครั้งนี้ทั้งให้ ความช่วยเหลือในด้านทุนทรัพย์ขอเสนอแนะด้านต่าง ๆ ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้และมีส่วนช่วยการ ศึกษาวิจัยลุล่วงไปด้วยดีทำให้ผู้วิจัยประสบความสำเร็จในครั้งนี้ ธนศักดิ์ เพ็งคำปั้ง
ค สารบัญ บทที่ หน้า บทคัดย่อ.......................................................................................................................................ก กิตติกรรมประกาศ....................................................................................................................ข บทนำ..............................................................................................................................................1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา............................................................1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย.........................................................................................3 1.3 สมมติฐานของการวิจัย..............................................................................................3 1.4 ขอบเขตของการวิจัย..................................................................................................4 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ.........................................................................................................5 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.............................................................................................6 2.1 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6.................................................................................................................6 2.2 การเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์.........................................................................11 2.3 การเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน............................................................................13 2.4 การเรียนรู้ทักษะนาฏศิลป์ไทย...............................................................................16 2.5 ระบำเทพบันเทิง.........................................................................................................21 2.6 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ.................................................................22 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง..................................................................................................25 วิธีด าเนินการวิจัย.....................................................................................................................26 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง...................................................................................26 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย........................................................................................26 3.3วิธีการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ.................................................27
ง 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล...........................................................................................28 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................................................28 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล...........................................................................28 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................................35 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล.................................................................35 4.2 ลำดับขั้นในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล.............................................35 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล..............................................................................................36 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ...................................................................................40 5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย.......................................................................................40 5.2 สรุปผลการวิจัย...........................................................................................................40 5.3 การอภิปรายผล...........................................................................................................41 5.4 ข้อเสนอแนะ.................................................................................................................43 บรรณานุกรม.............................................................................................................................44 ภาคผนวก...................................................................................................................................45 ภาคผนวก ก........................................................................................................................46 รายนามผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.................................46 ภาคผนวก ข........................................................................................................................48 แผนการจัดการเรียนรู้ วิชานาฏศิลป์.........................................................................48 ภาคผนวก ค........................................................................................................................73 ภาพกิจกรรมในชั้นเรียน.................................................................................................73 ภาคผนวก ง........................................................................................................................78 ข้อสอบก่อนเรียนและหลังรียน.....................................................................................78 ประวัติผู้วิจัย...............................................................................................................................87
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา นาฏศิลป์ไทย เป็นศิลปวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเป็นชาติที่เจริญรุ่งเรืองด้านวัฒนธรรม แสดงถึงลักษณะเด่นและเอกลักษณ์ของความ เป็นชาติไทยที่สืบทอดกันมา ตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึง ปัจจุบัน จึงนับเป็นมรดกประจำชาติที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาผู้คนในสังคม ทั้งประโยชน์ต่อตนเอง และประโยชน์ต่อประเทศชาติ ช่วยพัฒนาทางด้าน ร่างกาย สร้างบุคลิกภาพ ท่าทางทรวดทรงทำให้ อนามัยดี อายุยืน ทรวดทรงสง่างาม บุคลิกดีและ สามารถยึดเป็นอาชีพได้ ส่วนคุณค่าทางจิตใจและ ทัศนคติ ช่วยให้มีจิตใจ ร่าเริง แจ่มใส กล้าแสดงออก มีความจำและปฏิภาณที่ดี ฝึกการเป็นผู้นำผู้ตาม ความพร้อมเพรียง ความสวยงาม ตลอดจนฝึกความ อดทน ความขยันหมั่นเพียร รู้จักถ่ายทอด ความคิด ความรู้สึก จินตนาการทำให้เป็นผู้มีสุนทรียะ ในความงาม ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้คนใน สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข นาฏศิลป์เป็นศิลปะ ที่เกี่ยวข้องกับภาษา ท่าทางและดนตรี ทั้งยังรวม ศิลปะแขนงอื่น ๆ ไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม ประติมากรรมและนาฏกรรม ฉะนั้นการแสดง นาฏศิลป์จึงเป็นพฤติกรรมที่หล่อหลอมรวมสิ่งที่ดีงาม ที่เกี่ยวข้องกับ กาย วาจา ใจ ที่แสดงอออกถึง ความเป็นมนุษย์ได้อย่างชัดเจน (วิมลศรี อุปรมัย, 2555) สำหรับในแง่ของการเรียนการสอนวิชานาฏศิลป์ จากงานวิจัยของ ( มะลิวัลย์ ปัทมะ, 2551) ได้ศึกษา พฤติกรรมการสอนวิชานาฏศิลป์แบบดั้งเดิมของครู พบว่า การสอนนาฏศิลป์จะเน้นการ เลียนแบบเป็นหลัก ครูผู้สอนจึงเป็นเสมือนแม่แบบของผู้เรียนโดยตรง การเรียนวิชานาฏศิลป์สิ่งที่ ผู้เรียนจำเป็นต้องรู้และเข้าใจที่สุด คือ ทักษะปฏิบัติ ทักษะปฏิบัติในการเรียนวิชานาฏศิลป์ถือได้ว่ามี ความสำคัญต่อผู้เรียน เนื่องจากวิชานาฏศิลป์ไทยเป็นวิชาที่เน้นการปฏิบัติมากกว่าเนื้อหาทางทฤษฎี หากผู้เรียนขาดทักษะดังกล่าวแล้ว ก็จะไม่สามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างเต็มตามศักยภาพ จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนที่เน้นทักษะการปฏิบัติผู้เรียน ได้ลงมือปฏิบัติจริง รู้จักการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง พบว่ารูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์กับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรูปแบบ การสอนที่เหมาะสมกับการฝึกปฏิบัติทักษะนาฏศิลป์ไทย ซึ่งเดวีส์ได้นำเสนอเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะ ปฏิบัติไว้ว่าทักษะส่วนใหญ่จะประกอบด้วยทักษะย่อย ๆ จำนวนมาก การฝึกให้ผู้เรียนสามารถทำ ทักษะย่อย ๆ เหล่านั้นได้ก่อน แล้วค่อยเชื่อมโยงต่อกันเป็นทักษะใหญ่ จะช่วยให้ผู้เรียนประสบ ความสำเร็จได้ดี(ทิศนา แขมมณี, 2557) และการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรูปแบบที่มุ่ง
2 พัฒนาเด็กทุกคนที่มีความแตกต่างกันทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา มี ความสามารถการเรียนรู้ไม่เท่ากัน การให้เด็กเก่งใช้ความสามารถเฉพาะตนให้เป็นประโยชน์โดยทำ หน้าที่เป็นผู้สอนเด็กเรียนอ่อนหรือเด็กเรียนช้า จึงเป็นประโยชน์และช่วยแก้ปัญหาเด็กเรียนช้าได้อีก วิธีหนึ่ง วิธีการนี้เปิดโอกาสให้เด็กทำหน้าที่ช่วยสอน ได้แสดงถึงความสามารถของตนในการช่วยเหลือ ผู้อื่น ช่วยให้เขาสนใจ และเข้าใจบทเรียนมากยิ่งขึ้นเกิดพัฒนาด้านความรับผิดชอบ ซึ่งการสอนแบบ เพื่อนช่วยเพื่อนนี้ เป็น วิธีการสอนวิธีหนึ่งที่สืบทอดแนวคิดของ “John Dewey” ที่ว่า “Learning by doing” โดยเน้นให้นักเรียนมีการรวมกลุ่มเพื่อการทำงาน หรือในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียน การสอน เป็นการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากเพื่อนช่วยเพื่อน จาก นักเรียนที่เก่งกว่าหรือ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในเกณฑ์สูง (ชวลิต ชูก าแพง, 2551 ) จุดเด่นของ การสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน นักเรียนสามารถดูแลกันได้ทั่วถึง นักเรียนอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน มีความ สนิทสนมกัน ภาษาที่ใช้ในการ สื่อสารเข้าใจได้ดี สะดวก กล้าซักถามกันเอง จึงทำให้บรรยากาศการ เรียนไม่เครียดมีความสุข เป็นกันเอง พร้อม ทั้งเป็นการฝึกทักษะทางสังคม ถ้อยทีถ้อยอาศัยส่งผลให้ สังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข (จินดา อยู่เป็นสุข, 2545 ) การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วย เพื่อน จึงเป็นวิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนรับประโยชน์ทางด้าน วิชาการด้วยกันทั้งสองฝ่าย วิธีการให้ ผู้เรียนสอนกันเองนี้ ได้มีการพัฒนาและนำมาใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ตามจุดมุ่งหมายและวิธีการ ของครู(กรมวิชาการ, 2544 ) เมื่อนำวิธีการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน มาจัดการเรียนรู้ใน สาระนาฏศิลป์ จึงมีส่วนช่วยตอบสนองความต้องการ ความสามารถของผู้เรียน ให้มีทักษะ ทางด้าน นาฏศิลป์ได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนทำให้ผู้เรียนที่เก่งกว่าได้ช่วยเหลือเพื่อนที่มี ความสามารถอ่อนกว่า ทำให้ผู้เรียนทั้งสองฝ่ายเกิดความรู้ ความเข้าใจในการเรียนรู้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการพัฒนาทักษะการปฏิบัติท่ารำ ระบำเทพบันเทิงเพราะกระบวนท่ารำ ระบำเทพ บันเทิงเป็นท่ารำที่ใช้ผู้แสดงเป็นกลุ่ม มีท่ารำส่วนรวมในชุด เดียวกัน ทุกคนจึงต้องมีความรับผิดชอบ ร่วมกันและมีความสำคัญเท่าเทียมกัน จากที่กล่าวข้างต้น ผู้วิจัยในฐานะนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูในสาขานาฏศิลป์ มีความ สนใจที่จะ ศึกษาค้นคว้า เพื่อหาแนวทางที่จะพัฒนาทักษะการเรียนรู้นาฏศิลป์ไทยของผู้เรียนทั้งด้าน ความรู้และทักษะการปฏิบัติโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้ แบบเพื่อนช่วยเพื่อน เรื่อง ระบำเทพบันเทิง ซึ่งมีรูปแบบการสอนที่เอื้อให้ผู้เรียนช่วยเหลือซึ่งกัน และ กัน สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้นได้ ส่งผลถึงการพัฒนาการเรียนรู้วิชานาฏศิลป์ไทย ให้มี ทักษะปฏิบัติทางการเรียนนาฏศิลป์ไทยสูงขึ้น ซึ้งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการ เรียนรู้ต่อไป และ สามารถบรรลุเป้าหมายตามหลกัสูตรกา หนดไวส้่งเสริมใหผ้เู้รียนมีความเชื่อมนั่ใน ตนเอง และ แสดงออกในเชิงสร้างสรรค์ พัฒนากระบวนการรับรู้ทางนาฏศิลป์ ค้นพบศักยภาพของตนเองอัน เป็นพ้ืนฐานในการศึกษาหรือประกอบอาชีพได้
3 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้กำหนดวัตถูประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิง โดยใช้การปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับ การเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ที่มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 80/80 2. เพื่อนเปรียบเทียบทักษะปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 1.3 สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 เรียนด้วยเทคนิคการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบ เพื่อนช่วยเพื่อน มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 เรียนด้วยเทคนิคการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบ เพื่อนช่วยเพื่อน มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
4 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 1.4.1 กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 1 ห้อง จำนวนนักเรียน 35 คน 1.4.2 ตัวแปรตัวแปรในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีตัวแปร ดังนี้ 1.ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 2. ตัวแปรตาม คือ ทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 1.4.3 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือวิชาศิลปะ1 (นาฏศิลป์) เรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการ ปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3โรงเรียน ประจักษ์ศิลปาคาร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 แผนที่1 เรื่องประวัติความเป็นมาของระบำเทพบันเทิง จำนวน 1 ชั่วโมง 2.2 แผนที่2 เรื่องการแต่งกายระบำเทพบันเทิง จำนวน 1 ชั่วโมง 2.3 แผนที่3 ปฏิบัติระบำเทพบันเทิง ท่าที่ 1-16 จำนวน 1ชั่วโมง 2.4 แผนที่4 ปฏิบัติระบำเทพบันเทิง ท่าที่ 17-32 จำนวน 1ชั่วโมง 2.5 แผนที่5 ปฏิบัติระบำเทพบันเทิง ท่าที่ 33-51 จำนวน 1ชั่วโมง
5 1.4.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 วิชาศิลปะ1 (นาฏศิลป์) เรื่องการพัฒนาทักษะ การปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ตามแผนการจัดการเรียนรู้1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จำนวน 5 แผนใช้เวลา 5 ชั่วโมง 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ การพัฒนาทักษะการปฏิบัติท่ารำ หมายถึง การฝึกหัด ทักษะโดยอาศัยนวัตกรรมต่างๆเป็น แนวทางในการพัฒนาและติดตามประเมินผล ให้นักเรียนมีพื้นฐานในการพัฒนาทักษะการปฏิบัติท่ารำ ที่ดีขึ้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติตามแนวคิดของเดวีส์หมายถึง การจัดกิจกรรมการ เรียน การสอน สาระนาฏศิลป์ เรื่อง พื้นฐานนาฏศิลป์ ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้นำเสนอ แนวคิด เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติของเดวีส์ไว้ว่าทักษะส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยทักษะย่อย ๆ จำนวน มากการฝึกให้ผู้เรียนสามารถทำทักษะย่อย ๆ เหล่านั้นได้ก่อนแล้วค่อยเชื่อมโยงต่อกันเป็น ทักษะใหญ่จะ ช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จได้ดีมีประสิทธิภาพเร็วขึ้น ระบำเทพบันเทิง เป็นระบำที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เพื่อแทรกในละครในเรื่องอิเหนา ตอน ลม หอบ เป็นระบำเทพบุตร และนางฟ้า ฟ้อนรำบำเรอองค์ปะตาระกาหลา ประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะการปฏิบัติระบำเทพบันเทิง หมายถึง ความสามารถในการ พัฒนาทักษะการปฏิบัติท่ารำระบำเทพบันเทิง ของนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ตามเกณฑ์ 80: 80 คือ 80 ตัวแรก (E1) หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนที่ได้จากการประเมิน ทักษะปฏิบัติก่อนเรียน ทดสอบย่อย และผลงานนักเรียนรวมเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 80 ตัวหลัง (E2) หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนที่ได้รับจากการทดสอบ วัด ทักษะปฏิบัติทางการเรียนเรื่อง ระบำเทพบันเทิง หลังเรียนรวมเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 นักเรียนหมายถึงนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 6/3 จำนวน 35 คน โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร โรงเรียน หมายถึง โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ตำบลหนองบัว อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัด อุดรธานี
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาทักษะนาฏศิลป์ไทยและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบำเทพบันเทิง โดยใช้การ จัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1 หลักสูตรพื้นฐาน พุทธศักราช 2551กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2 การเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์ 3 การเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน 4 การเรียนรู้ทักษะนาฏศิลป์ไทย 5 ระบำเทพบันเทิง 6.เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่6 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน ทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึก ใน ความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดมันในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็น สำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุก คนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมี หลักการที่สำคัญ ดังนี้ 1) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การ เรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐาน ของ ความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง เสมอภาค และมีคุณภาพ
7 3) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการ ศึกษาให้ สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัด การเรียนรู้ 5) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 6) เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ 1.1 สาระการเรียนรู้ศิลปะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ เป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริ เริ่ม สร้างสรรค์ มี จินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ความมีคุณค่า ซึ่งมีผลต่อคุณภาพ ชีวิตมนุษย์ กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม ตลอดจนการ นำไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมันในตนเอง อันเป็นพื้นฐาน ในการศึกษา ต่อหรือประกอบอาชีพได้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะวิธีการ ทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงออกอย่างอิสระในศิลปะ แขนงต่างๆ ประกอบด้วยสาระ สำคัญ คือ สาระที่ 1 ทัศนศิลป์ มีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบศิลป์ ทัศนธาตุ สร้างและนำเสนอ ผลงาน ทางทัศนศิลป์ จากจินตนาการ โดยสามารถใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม รวมทั้งสามารถใช้เทคนิค วิธีการ ของศิลปินในการสร้างงานได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่างาน ทัศนศิลป์ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเห็นคุณค่างานศิลปะที่ เป็นมรดก ทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล ชื่นชม ประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน สาระที่ 2 ดนตรี มีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบดนตรีแสดงออกทางดนตรีอย่าง สร้างสรรค์ วิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าดนตรี ถ่ายทอดความรู้สึก ทางดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชมและ ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดนตรี ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็น คุณค่าดนตรีที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล ร้องเพลง และ เล่น ดนตรีในรูปแบบต่างๆ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบเสียงดนตรี แสดงความรู้สึกที่มีต่อดนตรีในเชิง สุนทรียะ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดนตรีกับประเพณีวัฒนธรรม และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ สาระที่ 3 นาฏศิลป์ มีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบนาฏศิลป์ แสดงออกทาง นาฏศิลป์ อย่าง สร้างสรรค์ ใช้ศัพท์เบื้องต้นทางนาฏศิลป์ วิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์คุณค่านาฏศิลป์ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ สร้างสรรค์การเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ ประยุกต์ใช้นาฏศิลป์ ใน ชีวิตประจำวัน เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ กบประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เห็น คุณค่าของ นาฏศิลป์ ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล
8 1.4 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 3 นาฏศิลป์ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจ และแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่านาฏศิลป์ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจําวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็น คุณค่าของนาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 1.3 คุณภาพเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที6 1. รู้และเข้าใจเกี่ยวกับทัศนธาตุและหลักการออกแบบในการสื่อความหมาย สามารถใช้ศัพท์ ทางทัศนศิลป์อธิบายจุดประสงค์และเนื้อหาของงานทัศนศิลป์มีทักษะและเทคนิคในการใช้วัสดุ อุปกรณ์และกระบวนการที่สูงขึ้นในการสร้างงานทัศนศิลปะ วิเคราะห์เนื้อหาและแนวคิด เทคนิค วิธีการ การแสดงออกของศิลปินทั้งไทยและสากล ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการออกแบบ สร้างสรรค์งานที่เหมาะสมกับโอกาส สถานที่ รวมทั้งแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพสังคมด้วยภาพ ล้อเลียนหรือการ์ตูน ตลอดจนประเมินและวิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ด้วยหลักทฤษฎีวิจารณ์ศิลปะ 2. วิเคราะห์เปรียบเทียบงานทัศนศิลป์ในรูปแบบตะวันออกและรูปแบบตะวันตก เข้าใจ อิทธิพลของมรดกทางวัฒนธรรมภูมิปัญญาระหว่างประเทศที่มีผลต่อการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ใน สังคม 3. รู้และเข้าใจรูปแบบบทเพลงและวงดนตรีแต่ละประเภท และจําแนกรูปแบบ ของวงดนตรี ทั้งไทยและสากล เข้าใจอิทธิพลของวัฒนธรรมต่อการสร้างสรรค์ดนตรี เปรียบเทียบ อารมณ์และ ความรู้สึกที่ได้รับจากดนตรีที่มาจากวัฒนธรรมต่างกัน อ่าน เขียน โน้ตดนตรีไทยและสากล ในอัตรา จังหวะต่าง ๆ มีทักษะในการร้องเพลงหรือเล่นดนตรีเดี่ยวและรวมวงโดยเน้นเทคนิค การแสดงออก และคุณภาพของการแสดง สร้างเกณฑ์สําหรับประเมินคุณภาพการประพันธ์การเล่นดนตรีของตนเอง และผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม สามารถนําดนตรีไประยุกต์ใช้ในงานอื่น ๆ 4. วิเคราะห์เปรียบเทียบรูปแบบ ลักษณะเด่นของดนตรีไทยและสากลในวัฒนธรรมต่าง ๆ เข้าใจบทบาทของดนตรีที่สะท้อนแนวความคิดและค่านิยมของคนในสังคม สถานะทางสังคม ของนัก ดนตรีในวัฒนธรรมต่าง ๆ สร้างแนวทางและมีส่วนร่วมในการส่งเสริมและอนุรักษ์ดนตรี 5. มีทักษะในการแสดงหลากหลายรูปแบบ มีความคิดริเริ่มในการแสดงนาฏศิลป์เป็นคู่และ เป็นหมู่สร้างสรรค์ละครสั้นในรูปแบบที่ชื่นชอบ สามารถวิเคราะห์แก่นของการแสดงนาฏศิลป์และ ละครที่ต้องการสื่อความหมายในการแสดง อิทธิพลของเครื่องแต่งกาย แสง สี เสียง ฉาก อุปกรณ์ และสถานที่ที่มีผลต่อการแสดง วิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์และละคร พัฒนาและใช้เกณฑ์การประเมิน
9 ในการประเมินการแสดง และสามารถวิเคราะห์ท่าทางการเคลื่อนไหวของผู้คนในชีวิตประจําวัน และ นํามาประยุกต์ใช้ในการแสดง 6. เข้าใจวิวัฒนาการของนาฏศิลป์และการแสดงละครไทย และบทบาทของบุคคลสําคัญ ใน วงการนาฏศิลป์และการละครของประเทศไทยในยุคสมัยต่าง ๆ สามารถเปรียบเทียบ การนําการ แสดงไปใช้ในโอกาสต่าง ๆ และเสนอแนวคิดในการอนุรักษ์นาฏศิลป์ไทย ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้องานวิจัย ทักษะการปฏิบัติรำไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบทางตรงคือสาระที่ 3นาฏศิลป์ โดยมีรายละเอียดมาตรฐานละตัวชี้วัด ดังนี้(สํานักวิชาการและมาตรฐาการศึกษา,2551: 7-8) สาระที่ 3 นาฏศิลป์ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจ และแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่านาฏศิลป์ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจําวัน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4-6 1. มีทักษะในการแสดงหลากหลาย รูปแบบ • รูปแบบของการแสดง - ระบํา รํา ฟ้อน - การแสดงพื้นเมืองภาคต่าง ๆ - การละครไทย - การละครสากล 2. สร้างสรรค์ละครสั้นในรูปแบบ ที่ชื่นชอบ • ละครสร้างสรรค์ -ความเป็นมา -องค์ประกอบของละครสร้างสรรค์ o ละครพูด o ละครโศกนาฏกรรม o ละครสุขนาฏกรรม oละครแนวเหมือนจริง o ละครแนวไม่เหมือนจริง
10 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4-6 3. ใช้ความคิดริเริ่มในการแสดงนาฏศิลป์เป็นคู่และหมู่ การประดิษฐ์ท่ารําที่เป็นคู่และหมู่ - ความหมาย - ประวัติความเป็นมา -ท่าทางที่ใช้ในการประดิษฐ์ท่ารํา - เพลงที่ใช 4. วิจารณ์การแสดงตามหลักนาฏศิลป์และการละคร • หลักการสร้างสรรค์และการ วิจารณ์ • หลักการชมการแสดงนาฏศิลป์ และละคร 5. วิเคราะห์แก่นของการแสดงนาฏศิลป์และการละครที่ ต้องการสื่อความหมาย ในการแสดง • ประวัติความเป็นมาของ นาฏศิลป์และการละคร - วิวัฒนาการ - ความงามและคุณค่า 6. บรรยาย และวิเคราะห์ อิทธิพลของ เครื่องแต่งกาย แสง สี เสียง ฉากอุปกรณ์ และสถานที่ที่มีผลต่อการ แสดง • เทคนิคการจัดการแสดง - แสงสีเสียง - ฉาก - อุปกรณ์ - สถานที่ - เครื่องแต่งกาย 7. พัฒนาและใช้เกณฑ์การประเมินในการ ประเมินการ แสดง • การประเมินคุณภาพของการ แสดง - คุณภาพด้านการแสดง - คุณภาพองค์ประกอบการแสดง 8. วิเคราะห์ท่าทาง และการเคลื่อนไหว ของผู้คนใน ชีวิตประจําวันและนํามา ประยุกต์ใช้ในการแสดง • การสร้างสรรค์ผลงาน - การจัดการแสดงในวันสําคัญ ของโรงเรียน - ชุดการแสดงประจําโรงเรียน
11 มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็น คุณค่าของนาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4-6 1. เปรียบเทียบการนําการแสดงไปใช้ใน โอกาสต่าง ๆ •การแสดงนาฏศิลป์ในโอกาส ต่างๆ 2.อภิปรายบทบาทของบุคคลสําคัญ ในวงการนาฏศิลป์ และการละคร ของประเทศไทยในยุคสมัยต่างๆ •บุคคลสําคัญในวงการ นาฏศิลป์และการละครของไทย ในยุคสมัยต่าง ๆ 3. บรรยายวิวัฒนาการของนาฏศิลป์และ การละครไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วิวัฒนาการของนาฏศิลป์และ การละครไทยตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน 4. นําเสนอแนวคิดในการอนุรักษ์นาฏศิลป์ไทย •การอนุรักษ์นาฏศิลป์ภูมิ ปัญญาท้องถิ่น 2.2 การเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์ ทฤษฎีการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์เป็นทฤษฎีที่ใช้สนับสนุนการศึกษาทักษะนาฏศิลป์ ไทย ซึ่ง ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากนักการศึกษา เพื่อมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ดังนี้ เดฟ (Dave, 1970 อ้างถึงใน สมปรารถนา ทองนาค, 2558) ได้ศึกษางานของเดวีส์และ สรุปผลการศึกษาและการอบรมด้านทักษะ ปฏิบัติออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ 2.1 การคัดลอกเลียนแบบการกระทำ (Imitation Copy Action) สังเกตและ เลียนแบบ ครูผู้สอน หรือครูฝึก ดูและกระทำซ้ำกระบวนการหรือคัดลอกกิจกรรม ให้ทำตามเลียนแบบ ทำซ้ำหรือปฏิบัติ ตาม 2.2 การฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง (Manipulation) ตามกิจกรรมหรือจำลองกิจกรรม การเรียนการสอน หรือความจำจากงาน จากการเรียนการสอนที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจา 2.3 การปฏิบัติให้ถูกต้องอย่างอิสระ (Precision) ให้ปฏิบัติงานหรือทำกิจกรรม จนเกิดความ ชำนาญและมีคุณภาพสูงโดยไม่ต้องให้ความช่วยเหลือหรือการเรียนการสอน
12 2.4 การฝึกปฏิบัติด้วยความมั่นใจ (Articulation) ให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติทักษะอย่าง ต่อเนื่องในแต่ ละส่วนย่อยเหล่านี้จนกว่าผู้เรียนจะเรียนรู้ทักษะย่อยได้ดีและผู้สอนจะให้เทคนิคการ ปฏิบัติงานให้ดี รวดเร็วมีความประณีตมากขึ้น 2.5 ปฏิบัติได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยอัตโนมัติ (Naturalization) ครูให้ผู้เรียนปฏิบัติ ทักษะย่อย ๆ ต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ และฝึกปฏิบัติหลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งสามารถปฏิบัติทักษะ ที่สมบูรณ์ได้ อย่างชำนาญ เดวีส์ (Davies, 1971 อ้างถึงใน สมปรารถนา ทองนาค, 2558) ได้เสนอรายละเอียดการสอน เนื้อหา ของทักษะการปฏิบัติว่า โครงสร้างที่ยุ่งยากในการสอนเนื้อหาทักษะปฏิบัติของงานส่วนใหญ่ ประกอบด้วยสัญญาณความเชื่อมโยงและการเลือกปฏิบัติที่หลากหลาย กลยุทธ์การอภิปรายแสดง ความคิดเห็นในส่วนสุดท้ายเป็นความเกี่ยวข้องและมีความหมาย น่าจะเป็นความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ 14 ที่สุดระหว่างการเรียนการสอน การสอนเนื้อหาทักษะปฏิบัติของงานต่าง ๆ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการ ทำให้ผู้เรียนจะทำสิ่งใดได้ และหมายความว่าครูจะต้องรับผิดชอบทำตามตัวอย่างการสอน 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ครูหรือผู้สอนสาธิตการปฏิบัติงานให้ผู้เรียนเห็นการปฏิบัติงานโดยภาพรวม ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยการสาธิตการปฏิบัติงาน ครูควรสาธิตอย่างช้า ๆ ตามลำดับ ขั้นที่ 2 ครูหรือผู้สอนแบ่งทักษะการปฏิบัติงานทั้งหมดออกเป็นทักษะย่อย หรือแบ่ง สิ่งที่กระทำ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ และสาธิตการปฏิบัติงานแต่ละส่วนย่อย ๆ ให้ผู้เรียนสังเกตและปฏิบัติ ตามไปที ละส่วนย่อยอย่างช้าๆ ขั้นที่ 3 ครูหรือผู้สอนให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อยแต่ละส่วนโดยไม่มีการสาธิตให้ดูเมื่อผู้เรียนติดขัด ครูผู้สอนควรให้คำชี้แนะจนกระทั่งผู้เรียนทำได้ เมื่อได้แล้วครูหรือผู้สอนจึงเริ่มสาธิต ทักษะย่อยส่วน ต่อไป และให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อยนั้นจนทำได้ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบทุกส่วน ขั้นที่ 4 ครูหรือผู้สอนอนุญาตให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติทักษะย่อยอย่างต่อเนื่องในแต่ละ ส่วนย่อยเหล่านี้ จนกว่าผู้เรียนจะเรียนรู้ทักษะย่อยได้ดี และครูหรือผู้สอนจะให้เทคนิคการปฏิบัติงาน ให้ดีรวดเร็วมี ความประณีตมากขึ้น ขั้นที่ 5 ครูหรือผู้สอนให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ๆ ต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ ทิศนา แขมมณี (2557) ได้นำเสนอแนวคิดของเดวีส์ เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติไว้ว่า ทักษะส่วนใหญ่จะประกอบ ไปด้วยทักษะย่อย ๆ จำนวนมาก การฝึกให้ผู้เรียนสามารถทำทักษะย่อย ๆ เหล่านั้นได้ก่อน แล้วค่อย เชื่อมโยงต่อกันเป็นทักษะใหญ่ ช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จได้ดีและ รวดเร็วขึ้นมี 5 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นสาธิตทักษะหรือการกระทำ ขั้นนี้เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนได้เห็นทักษะหรือการ กระทำที่ ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ในภาพรวม โดยการสาธิตให้ผู้เรียนดูทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ทักษะ หรือการ
13 กระทำที่สาธิตให้ผู้เรียนดูนั้น จะต้องเป็นการกระทำในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ ไม่ช้าหรือเร็ว เกินปกติ ก่อนการสาธิตครูควรให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนในการสังเกต ควรชี้แนะจุดสำคัญที่ควรให้ความ สนใจเป็น พิเศษในการสังเกต ขั้นที่ 2 ขั้นสาธิตและให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย เมื่อผู้เรียนได้เห็นภาพรวมของการ กระทำหรือ ทักษะทั้งหมดแล้ว ผู้สอนควรแตกทักษะทั้งหมดให้เป็นทักษะย่อย ๆ หรือแบ่งสิ่งที่กระทำ ออกเป็น ส่วนย่อย ๆ และสาธิตส่วนย่อยแต่ละส่วนให้ผู้เรียนสังเกตและทำตามไปทีละส่วนอย่างช้า ๆ ขั้นที่ 3 ขั้นให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ผู้เรียนลงมือปฏิบัติทักษะย่อยโดยไม่มีการ สาธิตหรือการ แสดงแบบอย่างให้ดู หากติดขัดจุดใด ผู้สอนควรให้คำชี้แนะ และช่วยแก้ไขจนกระทั่ง ผู้เรียนทำได้ เมื่อได้แล้วผู้สอนจึงเริ่มสาธิตทักษะย่อยส่วนต่อไป และให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อยนั้นจน ทำได้ ทำ เช่นนี้เรื่อยไปจนกระทั่งครบทุกส่วน ขั้นที่ 4 ขั้นให้เทคนิควิธีการ เมื่อผู้เรียนปฏิบัติได้แล้ว ผู้สอนอาจจะแนะนำเทคนิค วิธีการที่จะช่วย ให้ผู้เรียนนั้นทำงานได้ดีขึ้น เช่น ทำได้ประณีตสวยงามขึ้น รวดเร็วขึ้น ทำได้ง่ายขึ้นหรือ สิ้นเปลือง น้อยลง เป็นต้น ขั้นที่ 5 ขั้นให้ผู้เรียนเชื่อมโยงทักษะย่อย ๆ เป็นทักษะที่สมบูรณ์ เมื่อผู้เรียนสามารถ ปฏิบัติแต่ละ ส่วนได้แล้วจึงให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ๆ ต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ และฝึกปฏิบัติ หลาย ๆ ครั้ง จนสามารถปฏิบัติทักษะที่สมบูรณ์ได้อย่างชำนาญ จากรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเด วีส์ที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ ทักษะปฏิบัติ ควรเริ่มจาก ครูจะเป็นผู้สาธิตการปฏิบัติ ก่อนที่ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติ แล้วปล่อยให้ นักเรียนฝึกปฏิบัติด้วยตนเองโดยไม่มีการสาธิตให้ดูเป็น ตัวอย่าง เมื่อครูผู้สอนเห็นว่านักเรียนปฏิบัติ ได้แล้ว จึงสอนเทคนิควิธีการที่จะช่วยให้การปฏิบัตินั้น รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และเมื่อ นักเรียนฝึกทักษะย่อยต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบย่อยของ ทักษะทั้งหมดแล้ว จึงนำทักษะเหล่านั้นมาสู่ การปฏิบัติที่สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ 2.3 การเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ดวงกลม ลิมโกมุท (2552)ได้ให้ความหมายว่า เป็นการจัดความรู้ก่อนลงมือทำ (Learning Before Doing)เพื่อแสวงหาผู้ช่วยที่มีความแตกต่าง มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ เพื่อขยาย กรอบความคิดให้ กว้างและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยอาศัย “คน” เป็นธงนำ อมรศิริ เลิศกิตติส(2552)ได้กล่าวถึงการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนว่าเป็นการจัดการความรู้ก่อนลง มือ ทำกิจกรรมเพื่อแสวงหาผู้ช่วยที่มีความแตกต่างมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ เพื่อขยายกรอบ ความคิดให้กว้างและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นวกานต์ มณีศรี (2554) ให้ความหมายว่าการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นวิธีการจัด กิจกรรมการ เรียนเป็นคู่หรือกลุ่มย่อยคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการคิด
14 วางแผนปฏิบัติและ ประเมินผลให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้ จากการให้ความหมายของการสอนแบบ เพื่อนช่วยเพื่อนจากนักวิชาการข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน หมายถึงการ จัดความรู้ก่อนลงมือทำ เพื่อแสวงหาผู้ช่วยที่มีความแตกต่างมา แลกเปลี่ยนความรู้ และให้ผู้เรียนมี ส่วนร่วมในการคิด วางแผนปฏิบัติและประเมินผลให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ เรียนรู้เป็นวิธีการจัดกิจกรรม การเรียนเป็นคู่หรือกลุ่มย่อยโดยการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเพื่อนด้วยกันใน ลักษณะเก่งช่วยอ่อน 2.3.1วัตถุประสงค์ของการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน การสอนโดยวิธีให้เพื่อนช่วยเพื่อน เป็นวิธีการที่มุ่งให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจต่อการเรียนมากขึ้น เนื่องจาก นักเรียนทุกคนเป็นผู้มีบทบาทในกิจกรรมการเรียนการสอนวิธีการสอนดังกล่าวมีจุดประสงค์ ดังต่อไปนี้ 1. เพื่อเป็นการส่งเสริมการให้ผู้เรียนช่วยเหลือกัน ตลอดจนเห็นคุณค่าของการศึกษาหาความรู้ ด้วย ตนเอง 2. เพื่อให้ผู้เรียนที่มีระดับความแตกต่างกัน สามารถเรียนประสบการณ์อย่างเดียวกันได้ 3. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้จากแหล่งต่าง ๆ มากขึ้น เช่น จากเพื่อนด้วยกัน หรือจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ น่ามาประกอบการเรียน 4. เพื่อสร้างทัศนคติที่ดี รวมทั้งแรงจูงใจในการเรียน เนื่องจากผู้เรียน ผู้สอนรู้สึกภาคภูมิใจใน ตนเอง หรือรู้สึกว่าตนเองได้รับความสำเร็จในการเรียน เนื่องจากมีโอกาสได้ทำประโยชน์ให้กับเพื่อนผู้เรียน สำหรับผู้เรียนที่มีปัญหาก็จะลดความกังวลในเรื่องข้อบกพร่องของตนเอง 5. เพื่อให้การเรียนการสอนมีลักษณะเป็นการสื่อสารมากขึ้น ลักษณะดังกล่าวจะทำปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้เรียนดีขึ้น เนื่องจากบรรยากาศในชั้นเรียนมีความเป็นกันเอง 6. ครูเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำให้คำปรึกษา และคอยสังเกต ตลอดจนทำการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ใน การเรียนการสอนของผู้เรียน วิธีการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน วิธีการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนนั้น เป็นวิธีการสอนที่ให้นักเรียนช่วยสอนเพื่อนซึ่งก่อนที่จะให้ นักเรียน ช่วยสอน ครูต้องอธิบายหรือสอนเทคนิคการเป็นผู้ช่วยสอนให้นักเรียนเข้าใจเป็นอย่างดีใน เรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดย 1. อธิบายให้เข้าใจถึงแนวทางการสอน 2. บอกลักษณะงานประจำให้เด็กเข้าใจอย่างชัดเจน 3. อธิบายให้เด็กเข้าใจถึงงานที่ต้องทำ 4. บอกวิธีทาง "ทำอย่างไรจึงจะผูกมิตรกับผู้ถูกสอน"
15 5. สอนขั้นตอนง่าย ๆ ในการสอนให้เด็กผู้ช่วยสอนเข้าใจวิธีการ ดังนี้ ขั้นที่ 1 แสดง สาธิต อธิบาย ให้ผู้ถูกสอนเข้าใจเนื้อเรื่องที่ต้องการสอน ขั้นที่ 2 สอบถามความเข้าใจที่แสดง สาธิต หรืออธิบายให้ฟังแล้ว ขั้นที่ 3 ให้เด็กผู้ถูกสอนปฏิบัติพร้อมๆกับผู้ช่วยสอน ขั้นที่ 4 ให้เด็กผู้ถูกสอนปฏิบัติเอง โดยผู้ช่วยสอนไม่ต้องช่วยเหลือ ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผลการปฏิบัติงาน และอาจผลัดกันเป็นผู้ถาม-ตอบด้วยก็ได้ 6.สอนทักษะในการทำงานกับผู้อื่น พัฒนาทักษะทางสังคมให้ผู้ช่วยสอน 7.สอนวิธีการวัด/การตรวจสอบผู้เรียน ให้เด็กผู้ช่วยสอนเข้าใจ 8.สอนให้เด็กผู้สอนจดบันทึกความก้าวหน้าของผู้เรียน 9.สอนเคล็ดลับในการเป็นผู้สอน เช่น ใจเย็น ไม่เร่งเร้าผู้เรียน รูปแบบกลวิธีการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน นักการศึกษาหลายท่านได้ประมวลการสอนที่มีแนวคิดจากกลวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนไว้ มากมาย มีรายละเอียดดังนี้ 1. การสอนโดยเพื่อนร่วมชั้น (Classwide-Peer Tutoring) เป็นการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทั้ง สอง คนที่จับคู่กันมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน โดยให้ผู้เรียนทั้งสองสลับบทบาทเป็นทั้งนักเรียน ผู้สอนที่คอยถ่ายทอด ความรู้ให้แก่นักเรียนผู้เรียน และนักเรียนผู้เรียนซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการสอน 2. การสอนโดยเพื่อนต่างระดับชั้น (Cross-Age Peer Tutoring) เป็นการสอนที่มีการจับคู่ระหว่าง ผู้เรียนที่มีระดับอายุแตกต่างกัน โดยให้ผู้เรียนที่มีระดับอายุสูงกว่าทำหน้าที่เป็นผู้สอนและให้ความรู้ ซึ่งผู้เรียนทั้ง สองคนไม่จำเป็นต้องมีความสามารถทางการเรียนที่แตกต่างกันมาก 3. การสอนโดยการจับคู่ (One-to-One Tutoring) เป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนที่มีความสามารถ ทางการ เรียนสูงกว่าเลือกจับคู่กับผู้เรียนที่มีความสามารถทางการเรียนต่ำกว่าด้วยความสมัครใจของ ตนเอง แล้วทำหน้าที่ สอนในเรื่องที่ตนมีความสนใจ มีความถนัดและมีทักษะที่ดี 4. การสอนโดยบุคคลทางบ้าน (Home-Based Tutoring) เป็นการสอนที่ให้บุคคลที่บ้านของผู้เรียนมี ส่วนร่วมในการสอน ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาความรู้ความสามารถแก่บุตรหลานของตน ระหว่างที่บุตรหลาน อยู่ที่บ้าน
16 2.4 การเรียนรู้ทักษะนาฏศิลป์ไทย 4.1ความหมายของทักษะ ทักษะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้การทำงานคล่องแคล่ว มีประสิทธิภาพ มีนักการศึกษา หลายท่านได้ให้ความหมายของทักษะ ดังนี้ อมรา กล่าเจริญ (2535) กล่าวว่า ทักษะเป็นการปฏิบัติที่เกิดจากการเรียนรู้สามารถ กระทำ ได้โดยแทบจะไม่ต้องใช้ความคิด อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) ได้ให้ความหมายของทักษะว่า หมายถึง การปฏิบัติที่เกิด จากการ เรียนรู้สามารถ ทำได้โดยแทบจะไม่ต้องใช้ความคิด แล้วพัฒนามาเป็นความสามารถเฉพาะตัว เรณู โกสินานนท์ (2548) กล่าวถึงความหมายของทักษะว่า ทักษะเป็นแบบของ พฤติกรรมที่ กระทำไปด้วยความราบเรียบ ถูกต้องรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนา ตนเอง กระทรวงศึกษาธิการ (2545) ได้ให้ความหมายของทักษะว่า หมายถึง การเรียนรู้ที่ แสดงออกในด้านการบังคับกลไกของร่างกายให้ปฏิบัติงานต่าง ๆ มี 7 ระดับได้แก่ รับรู้การกระทำ การเตรียมความพร้อม การตอบสนองภาพปรับกลไก การตอบสนองโดยอัตโนมัติ การดัดแปลง กระบวน การตอบสนองและประยุกต์ใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ กล่าวโดยสรุป ทักษะ หมายถึง ความสามารถของบุคคลในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจ เป็นทักษะทางด้านร่างกาย สติปัญญาและสังคม เกิดขึ้นได้จากการเรียนรู้ การฝึกฝนจนพัฒนาตนเอง ด้วยการแสดงออกที่ถูกต้องรวดเร็วและแม่นยำ กลายเป็นความสามารถเฉพาะตัว ชุติกาญจน์ รุ่งเรือง (2552 : 71-74) ได้ศึกเปรียบเทียบความรู้ ทักษะปฏิบัติและความคิด สร้างสรรค์วิชานาฏศิลป์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างการจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการ กลุ่มสัมพันธ์กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนวัดโคกโพธิ์ อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 68 คน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์มี ความรู้หลังทดลองสูง กว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 มีทักษะปฏิบัติสูงกว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 มีความคิดสร้างสรรค์สูง กว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตาม สมมติฐานที่ตั้งไว้ นิสา เมลานนท์ (2554 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาพัฒนานวัตกรรมการสอนวิชานาฏศิลป์ เรื่อง นาฏลีลานาฏยศัพท์โดยใช้วิธีสอนปฏิบัตินาฏศิลป์ ตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน (Sympson) สำหรับนักศึกษาสาขาวิชานาฏศิลป์ และการละคร และสาขาวิชานาฏดุริยางคศิลป์ ไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ผลวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาวิชา นาฏศิลป์และการละครและสาขาวิชานาฏดุริยางคศิลป์ไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ที่เรียน
17 โดยนวัตกรรม การสอนวิชานาฏศิลป์ เรื่อง นาฏลีลานาฏยศัพท์พบว่ามี คะแนนการทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.2ความหมายของนาฏศิลป์ไทย อาภรณ์มนตรีศาสตร์ และจาตุรงค์ มนตรีศาสตร์ (2525) ได้ให้ความหมายของ “นาฏศิลป์” ไว้ว่า หมายถึง การร้องรำทำเพลง การให้ความบันเทิงใจ อันร่วมด้วยความโน้มเอียงของ อารมณ์และ ความ รู้สึก โดยอาศัยการละครเป็นหลัก หากแต่ศิลปะประเภทนี้จำต้องอาศัยการดนตรี และการร้อง ร่วมด้วยเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดคุณค่าในทางศิลปะยิ่งขึ้น อมรา กล่ าเจริญ (2535) ได้ประมวลความหมายของ “นาฏศิลป์” ว่าเป็นการฟ้อนรำ ที่มนุษย์ ประดิษฐ์ขึ้นจากธรรมชาติ ด้วยความประณีตลึกซึ้ง เพียบพร้อมไปด้วยความวิจิตรบรรจง ละเอียดอ่อน นอกจากหมายถึงการฟ้อนรำ ระบำรำเต้นแล้ว ยังหมายถึงการร้องเพลง และการ บรรเลง อีกด้วย สุปราณี จำลองราษฎร์ (2548) ได้สรุปความหมายของ “นาฏศิลป์” ไว้ว่า หมายถึง ศิลปะ แห่งการฟ้อนรำ อันประกอบด้วย ลีลา ท่าทาง การเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ให้เข้ากับ ดนตรีและเสียงเพลง เพื่อแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความชอบและความงาม สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์ (2555) กล่าวว่า นาฏศิลป์ เป็นศิลปะที่ว่าด้วยการฟ้อนรำ และการ ละครเน้นการเคลื่อนไหวของร่างกาย การใช้ภาษาท่ารำ การตีบท โดยใช้สรีระต่าง ๆ ของ ร่างกาย เคลื่อนไหวสื่อความหมายแทนคำพูดในรูปแบบของการแสดงเป็นชุดระบำ รำ ฟ้อน การแสดง ละคร โขน อรวรรณ ขมวัฒนา (2557) กล่าวว่า นาฏศิลป์ เป็นศิลปะการแสดงที่สามารถสร้าง ความ เพลิดเพลิน สนุกสนาน เกิดขึ้นจากการเลียนแบบกิริยาท่าทางของคนและสัตว์ ประกอบด้วย การ ฟ้อนรำ ดนตรี และการขับร้อง นำมาผสมผสานจนเกิดเป็นการแสดงนาฏศิลป์ที่สวยงาม กล่าวโดย สรุป ทักษะนาฏศิลป์ไทย หมายถึง การปฏิบัติทักษะด้านนาฏศิลป์ไทยซึ่ง 30 ประกอบด้วยทักษะการ ขับร้องตามหลักการขับร้องเพลงไทย ทักษะการรำที่ชำนาญและคล่องแคล่ว ถูกต้องตามแบบแผน นาฏศิลป์ไทย กระบวนท่ารำต้องมีความต่อเนื่องจากการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งได้แก่ เท้า ขา มือ แขน ลำตัว ไหล่ และศีรษะ ให้เคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กันตามหลัก วิชา มีลีลาท่ารำที่อ่อน ช้อยงดงามภายใต้เพลงบรรเลงและการขับร้อง ตลอดจนมีปฏิภาณไหวพริบใน การปฏิบัติท่ารำ ร่วมกัน 2.4.3 การสอนนาฏศิลป์ไทยที่เน้นทักษะการปฏิบัติ การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการหรือขั้นตอน ในการดำเนินการเรียนการสอนซึ่งมี องค์ประกอบและขั้นตอนสำคัญอันเป็นลักษณะเด่นและขาด ไม่ได้ของวิธีนั้น ดังนั้นผู้สอนจึงควรศึกษา ให้เข้าใจลักษณะเด่นหรือแก่นสำคัญของการสอนแต่ละวิธี
18 เมื่อสามารถวิเคราะห์และจำแนกความ แตกต่างได้ จึงสามารถเลือกใช้วิธีสอนที่หลากหลายให้ เหมาะสมกับบทเรียนและจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการ สอนแล้ว ยังช่วยให้บทเรียนมีความน่าสนใจมากขึ้น และจูงใจให้ผู้เรียนสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการเรียน นาฏศิลป์ไทย พอสรุปได้ดังนี้ 2.4.3.1 การจัดการเรียนรู้โดยใช้การสาธิต (Demonstration) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2547) ได้อธิบายวิธีการสอนแบบ สาธิตว่า เป็นการสอน ที่ผู้สอนแสดง หรือกระทำให้ดูเป็นตัวอย่างพร้อม ๆ กับการอธิบายเพื่อให้ผู้เรียน ได้ประสบการณ์ตรง ในเชิงรูปธรรม ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสังเกต ขั้นตอนการสาธิตวิธีสอนแบบ นี้เหมาะสำหรับ การสอนที่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นขั้นตอนการปฏิบัติคือ ผู้เรียนได้สังเกตการณ์สาธิต ของครูผู้สอนแล้ว ปฏิบัติตามการสาธิต ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจวิธีปฏิบัติได้ดีเพราะเป็นประสบการณ์ตรง สามารถมองเห็น จากครูผู้สอนอย่างชัดเจน อาภรณ์ใจเที่ยง (2553) ได้กล่าวว่าแนวทางการสอนแบบสาธิตจะมีคุณค่า มากน้อย ขึ้นอยู่ กับแนวทางการใช้วิธีสอนดังนี้ 1) ในระหว่างที่ทำการสาธิต ผู้สอนต้องเอาใจใส่ต่อผู้เรียนทุกคนโดยมั่นใจ ว่าผู้เรียนทุกคนได้เห็นและ กำลังสนใจ การสาธิตอยู่ 2) ขณะที่ผู้สอนเป็นผู้แสดงการสาธิตเองควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วน ร่วมในกิจกรรมบ้าง 3) ระหว่างที่ทำการสาธิต ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถาม เพราะอาจมี บางจุดหรือบางตอนที่ผู้เรียน สงสัย การตอบปัญหาของผู้สอนเกี่ยวกับข้อสงสัยนั้น ๆ จะทำให้ผู้เรียน สามารถเข้าใจบทเรียน ได้ดี 4) ผู้สอนควรมั่นใจว่าการสาธิตนั้น ๆ มีประโยชน์ต่อผู้เรียน ความมั่นใจ ดังกล่าวอาจใช้วิธีการสังเกต ในโอกาสต่าง ๆ 5) ในระหว่างการเรียนการสอนด้วยวิธีการสาธิต ผู้สอนไม่ควรบรรยายหรือ อธิบายมากเกินไปเพราะ จะทำให้การสาธิตขาดความตื่นเต้นเร้าใจ 6) ผู้สอนไม่ควรเร่งการสาธิต กล่าวคือ สาธิตให้ผู้เรียนดูเป็นลำดับขั้นตอน ไม่ควรคิดว่าบางอย่าง ผู้เรียนเข้าใจแล้วและข้ามผ่านไป หรือเร่งการสอนจนผู้เรียนไม่เข้าใจ ทิศนา แขมมณี (2556) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้การสาธิต คือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ที่กำหนดโดย การแสดง หรือทำสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ให้ผู้เรียนสังเกตดู แล้ว ให้ผู้เรียนซักถามอภิปราย และสรุปการ เรียนรู้ที่ได้จากการสังเกตการสาธิต วิธีสอนโดยใช้การสาธิต เป็นวิธีการที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนทั้งชั้นได้เห็นการปฏิบัติ จริงด้วยตาตนเอง ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องหรือการปฏิบัตินั้นชัดเจนขึ้น องค์ประกอบสำคัญ ของวิธีสอนประกอบด้วย ผู้สอนและผู้เรียน เรื่อง หรือ สิ่งที่จะสาธิต มีการแสดง การทำให้ผู้เรียนสังเกตดู มี ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจากการสาธิต ขั้นตอนสำคัญของการสอน มี 3 ขั้นตอน คือ
19 1) ผู้สอนแสดงการสาธิต ผู้เรียน สังเกตการณ์สาธิต 2) ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายและสรุปการเรียนรู้ที่ได้จากการสาธิต 3) ผู้สอนประเมิน ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เทคนิคต่าง ๆ ในการใช้วิธีสอนโดยใช้การสาธิตให้มี ประสิทธิภาพ ทำได้ดังนี้ 1) การเตรียมการ ผู้สอนจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวพอสมควร เพื่อให้การเรียนรู้ เป็นไปอย่างสะดวก และราบรื่น การเตรียมตัวที่สำคัญ คือ ผู้สอนควรมีการซ้อมการสาธิตก่อนเพื่อจะ ได้เห็นปัญหาและ เตรียมแก้ไข ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป จึงจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และสถานที่ที่จะใช้ ในการสาธิตและจัดวางไว้อย่างเหมาะสมสะดวกแก่การใช้ จากนั้นควรจัดเตรียม แบบสังเกตการ สาธิต และเตรียมคำถามหรือประเด็นที่จะให้ผู้เรียนได้ร่วมคิดและอภิปรายด้วย 2) ก่อนการสาธิต ผู้สอนควรให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่สาธิตแก่ผู้เรียนอย่าง เพียงพอที่จะทำให้ผู้เรียน เกิดความเข้าใจสิ่งที่สาธิตได้ดี โดยอาจใช้วิธีบรรยายหรือเตรียมเอกสารที่ให้ รายละเอียดเกี่ยวกับ ลำดับขั้นตอนให้ผู้เรียนหรือใช้สื่อ เช่น วีดิทัศน์หรือผู้สอนอาจมอบหมายให้ผู้เรียน ไปศึกษาเนื้อหา สาระที่จะสาธิตมาล่วงหน้า นอกจากนั้นควรให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนในการสังเกต หรือ จัดทำแบบ สังเกตการสาธิตให้ผู้เรียนใช้ในการสังเกต และผู้สอนอาจใช้เทคนิคการมอบหมายให้ผู้เรียน รายบุคคลสังเกตเป็นพิเศษเฉพาะจุดเฉพาะประเด็น เพื่อช่วยให้ผู้เรียนตั้งใจสังเกต และมีส่วนร่วม อย่างทั่วถึง 3) การสาธิต ผู้สอนอาจใช้วิธีการบรรยายประกอบการสาธิต การสาธิตควร เป็นไปอย่างมีลำดับ ขั้นตอน ใช้เวลาอย่างเหมาะสม ไม่เร็วเกินไป ขณะสาธิตอาจใช้แผนภูมิกระดานดำหรือแผ่นใส ประกอบ และควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถาม หรือซักถามผู้เรียนเป็นระยะ ๆ เพื่อกระตุ้น ความคิด และความสนใจของผู้เรียน และในบางกรณีอาจให้ผู้เรียนบางคนมาช่วยในการสาธิตด้วย เทคนิคการ สาธิตอีกเทคนิคหนึ่งคือ การใช้การสาธิตเงียบแทนการบรรยายประกอบการสาธิตและอาจ มีการ สาธิตซ้ำหากผู้เรียนยังไม่เกิดความเข้าใจชัดเจน นอกจากนั้นผู้สอนอาจให้ผู้เรียนเป็นฝ่ายแสดงการ สาธิตด้วยก็ได้ ในกรณีที่การสาธิตมีสิ่งที่อาจเป็นอันตรายได้ ผู้สอนจะต้องสอนให้ผู้เรียนรู้และ ระมัดระวังในเรื่องความปลอดภัย และควรเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไว้ด้วย 4) การอภิปราย สรุปการเรียนรู้ หลังจากการสาธิตแล้ว ผู้สอนควรให้ผู้เรียน รายงานสิ่งที่ได้สังเกตเห็นแลกเปลี่ยนกัน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถาม ผู้สอนควรเตรียมคำถามไว้ กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดด้วย ผู้เรียนอภิปราย แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดที่แต่ละคนได้รับจากการสาธิตของ ครูและร่วมกันสรุปการเรียนรู้ที่ได้รับ ข้อดีของวิธีสอนโดยใช้การสาธิต มีดังนี้ 1) เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงเห็นสิ่งที่เรียนรู้อย่าง เป็นรูปธรรม ทำให้เกิด ความเข้าใจและจดจำในเรื่องที่สาธิตได้ดีและนาน 2) เป็นวิธีสอนที่ช่วยประหยัดเวลา อุปกรณ์และค่าใช้จ่าย หากใช้ทดแทน การทดลอง
20 3) เป็นวิธีที่สามารถสอนผู้เรียนได้จำนวนมาก ข้อจำกัดของวิธีสอนโดยใช้การสาธิต มีดังนี้ 1) หากกลุ่มใหญ่ ผู้เรียนอาจสังเกตเห็นการสาธิตไม่ชัดเจนและทั่วถึง 2) เป็นวิธีที่ผู้สอนเป็นผู้สาธิต จึงอาจไม่เห็นพฤติกรรมของผู้เรียน 3) เป็นวิธีที่ผู้เรียนอาจมีส่วนร่วมไม่ทั่วถึงและมากพอ 4) เป็นวิธีที่ผู้เรียนไม่ได้ลงมือทำเอง จึงอาจไม่เกิดความรู้ที่ลึกซึ้งเพียงพอ จะเห็นได้ว่าการสอนแบบ สาธิตนั้นมีประโยชน์ต่อผู้เรียนเป็นอย่างมากที่จะ เน้นให้นักเรียนสังเกตและปฏิบัติตามมีความมั่นใจ ในการปฏิบัติกิจกรรมพร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ซักถามสรุปความคิดเห็นต่อกิจกรรมการเรียน ของตนและผู้เรียนมีส่วนร่วม 2.4.3.2 การจัดการเรียนรู้แบบฝึกปฏิบัติ ทิศนา แขมมณี (2545) ได้อธิบายถึงวิธีสอนโดยการให้ปฏิบัติว่า เป็นการจัด กิจกรรมการ เรียนการสอนโดยยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง เน้นการพัฒนาทักษะทางภาษา ด้านศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์เป็นต้น โดยใช้วิธีการฝึกฝนช้า ๆ จนกระทั่งนักเรียนเกิดทักษะที่ต้องการถึงขั้นที่ กำหนดไว้ การฝึกปฏิบัตินี้อาจทำการฝึกในลักษณะเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มพร้อม ๆ กัน แล้วแต่ ความ เหมาะสม ซึ่งครูจะทำหน้าที่อธิบายและสาธิตทักษะที่ต้องการฝึกฝนให้นักเรียนดูเป็นตัวอย่าง แล้วจึง ให้นักเรียนทำการฝึกโดยมีครูคอยดูแลการฝึกให้คำแนะนำ ช่วยแก้ไขจุดบกพร่องจนกระทั่ง นักเรียน มีทักษะที่ต้องการพัฒนาถึงระดับที่กำหนดไว้การสอนแบบฝึกปฏิบัตินี้นักเรียนจะมีส่วนร่วม 33 ใน กิจกรรมตลอดเวลา เพราะเป็นการกระทำซึ่งนักเรียนทุกคนต้องฝึกปฏิบัติและขณะฝึกอาจมีการใช้ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบการฝึกปฏิบัติด้วยเช่น รูปภาพภาพยนตร์เทปบันทึกเสียง หรือ เทปบันทึกภาพ ประโยชน์ของวิธีการสอนแบบฝึกปฏิบัติคือ ใช้สำหรับการพัฒนาทักษะที่ต้องการ เป็น การส่งเสริมการเรียนและการฝึกฝนด้วยตนเอง ให้นักเรียนรู้จักการเรียนรู้ด้วยการกระทำ สำหรับ ข้อจำกัดของการสอนแบบฝึกปฏิบัติคือ ถ้าครูใช้วิธีฝึกปฏิบัตินี้มากเกินไปจนเป็นการเฟ้อ จะ ทำให้ นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย และขณะที่นักเรียนทำการฝึกปฏิบัติครูควรแนะนำช่วยเหลือ นักเรียน อย่างทั่วถึง ความสำคัญของการสอนแบบฝึกปฏิบัติเป็นการสอนที่ทำให้การเรียนการสอน สมบูรณ์เพราะเป็นการศึกษาที่ผสมผสานกันระหว่างภาคทฤษฎีและปฏิบัตินักเรียนได้เรียนรู้จากของ จริง และลงมือปฏิบัติด้วยตนเองการสอน ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและ บรรลุวัตถุ ประสงค์ในเรื่องการนำไปใช้ครูผู้สอนได้เห็นผลการสอนทันที สอนแล้วนักเรียนทำได้จริง หรือไม่ นอกจากนี้การสอนและการเรียนแบบฝึกปฏิบัติยังมีความสำคัญของการฝึกฝนทักษะต่าง ๆ พร้อม ๆ กัน ไปด้วย วัตถุประสงค์สำคัญของการสอนแบบฝึกปฏิบัติ 1) เพื่อเรียนรู้ด้านวิธีการผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรงจากการสังเกตและ ทดลอง 2) เพื่อฝึกทักษะควรเป็นทักษะพื้นฐานในการแสวงหาความรู้และฝึกเพิ่มเติม เมื่อนำไปใช้
21 3) เพื่ออธิบายหลักการที่มีลักษณะเป็นนามธรรมจึงต้องอาศัยการปฏิบัติให้ เข้าใจ 4) เพื่อฝึกการใช้เครื่องมือ 5) เพื่อฝึกการรวบรวมข้อมูลแปลความจัดหมวดหมู่แล้วสรุปนาไปแก้ปัญหา ด้วยตนเอง 6) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ 2.5 ระบำเทพบันเทิง ระบำเทพบันเทิง ระบำเทพบันเทิง เป็นระบำที่ประกอบการแสดงละครในเรื่อง อิเหนา ตอน ลมหอบ ซึ่งกรม ศิลปากรปรับปรุงขึ้นเพื่อแสดงที่โรงละครศิลปากร (เก่า) เมื่อ ปีพ.ศ. 2499 ให้ประชาชนได้ชมกัน เป็นระบำที่กล่าวถึงเทพบุตร เทพธิดา ร่ายรำถวายองค์ปะตาระกาหลา ตามบทขับร้องที่นาย มนตรีตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยและศิลปินแห่งชาติเป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องและปรับปรุงทำนอง เพลง โดยใช้เพลงแขกเชิญเจ้าและเพลงยะวาเร็ว โดยอาจารย์ละมุล ยมะคุปย์ และหม่อมศุภ ลักษณ์ ภัทรนาวิก (หม่อมต่วน) เป็นผู้คิดประดิษฐ์ท่ารำขึ้น ลักษณะและวิธีการแสดง ระบำเทพบันเทิง นิยมใช้ผู้แสดงพระกับนางเป็นคู่ตั้งแต่ 1 คู่ขึ้นไป ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง ระบำเทพบันเทิงใช้วงปี่พาทย์บรรเลงประกอบการแสดง ลักษณะการแต่งกาย การแต่งกายของตัวพระ ตัวนาง นิยมแต่งกายแบบยืนเครื่องหรือ เปลี่ยนแปลงตามความสะดวกของเจ้าภาพที่จัดแสดง ข้อสำคัญอยู่ที่ความถูกต้องของท่ารำ ความ งดงามและความพร้อมเพรียงของผู้รำ ซึ่งสอดประสานได้เหมาะสมกับทำนอง โอกาสในการแสดง ระบำเทพบันเทิง เป็นระบำที่เหมาะแก่การอวยพรหรือแสดงในงานรื่นเริง รับรอง แขกบ้านแขกเมือง * เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง เพลงแขกเชิญเจ้า เหล่าข้าพระบาท ขอวโรกาสเทวฤทธิ์อดิศร ขอฟ้อนกราย รำร่ายถวายกร บำเรอปิ่นอมร ปะตาระกาหลา ผู้ทรงพระคุณ ยิ่งบุญบารมี เพื่อเทวบดี สุขสมรมยา เถลิงเทพสิมา พิมานสำราญฤทัย (สร้อย) สุรศักดิ์ประสิทธิ์ สุรฤทธิ์กำจาย
22 ทรงสราญพระกาย ทรงสบายพระทัย ถวายอินทรีย์ ต่างมาลีบูชา ถวายดวงตา ต่าง ประทีปจำรัสไข ถ้อยคำอำไพ ต่างธูปหอมจุณจันทน์ ถวายดวงจิต อัญชลิตวรคุณ ที่ทรงการุณย์ ผองข้ามาแต่บรรพ์ ถวายชีวัน รองบาทจนบรรลัย เพลงยะวาเร็ว ร่วมกันร้องทำนองลำนำ มาฟ้อนมารำให้รื่นเริงใจ (ซ้ำ) ให้พร้อมให้เพรียงเรียงระดับ เปลี่ยนสับท่วงทีหนีไล่ เวียนไป ได้จังหวะกัน อัปสรฟ้อนส่าย กรีดกรายออกมา ฝ่ายฝูงเทวา ทำท่ากางกั้น (ซ้ำ) เข้าทอดสนิท ไม่บิดไม่ผัน (ซ้ำ) ผูกพันสุดเกษม ปลื้มเปรมปรีดา 2.6 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ 1. ความหมายของความพึงพอใจ ทวีพงษ์ หินคำ (2541 : 8) ได้ให้ความหมายของความพึง พอใจว่าเป็นความชอบของบุคคล ที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งสามารถลดความดึงเครียดและตอบสนอง ความต้องการของบุคคลได้ทำให้เกิดความ พึงพอใจต่อสิ่งนั้น ธนียา ปัญญาแก้ว (2541 : 12) ได้ให้ ความหมายว่า สิ่งที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ ที่เกี่ยวกับ ลักษณะของงาน ปัจจัยเหล่านี้นำไปสู่ความ พอใจในงานที่ทำ ได้แก่ ความสำเร็จ การยกย่อง ลักษณะงาน ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้า เมื่อปัจจัยเหล่านี้อยู่ต่ำกว่า จะทำให้เกิดความไม่พอใจงานที่ทำ ถ้า หากงานให้ความก้าวหน้า ความท้า ท้าย ความรับผิดชอบ ความสำเร็จและการยกย่องแก่ผู้ปฏิบัติงานแล้ว พวกเขาจะพอใจและมีแรงจูงใจ ในการทำงานเป็นอย่างมาก วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม (2541 : 754) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ความ พอใจ การทำให้พอใจ ความสาแก่ใจ ความหนำใจ ความจุใจ ความแน่ใจ การชดเชย การไถ่บาปการแก้แค้นสิ่งที่ชดเชย วิรุฬ พรรณเทวี (2542 : 11) ให้ความหมายไว้ว่า ความพึงพอใจ เป็นความรู้สึกภายในจิตใจ ของมนุษย์ที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะคาดหมายกับสิ่ง หนึ่ง สิ่งใดอย่างไร ถ้าคาดหวัง หรือมีความตั้งใจมากและได้รับการตอบสนองด้วยดีจะมีความพึงพอใจ มากแต่ในทางตรงกันข้ามอาจ
23 ผิดหวังหรือไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามที่คาดหวังไว้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตน ตั้งใจไว้ว่าจะมีมากหรือน้อย อุทัย พรรณสุดใจ (2545) ได้กล่าวถึง ความพึงพอใจว่า เป็นความรู้สึกรัก ชอบยินดีเต็มใจ หรือมีเจตคติที่ดีของบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความพอใจจะเกิดเมื่อได้รับตอบสนอง ความต้องการ ทั้งด้าน วัตถุและด้านจิตใจ ความพึงพอใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก และ ทัศนะของบุคคล อัน เนื่องมาจากสิ่งเร้าและสิ่งจูงใจ โดยอาจเป็นไปในเชิงประเมินค่า ว่าความรู้สึก หรือทัศนคติต่อ สิ่งเหล่านั้น เป็นไปในทางลบหรือบวก ราชบัณฑิตสถาน (2546) ได้กล่าวถึง ความหมายของคำว่า ความพึงพอใจ ดังนี้ คำว่า “พึง” เป็นคำกริยาอื่น หมายความว่า ยอมตาม เช่น พึงใจ และคำว่า “พอใจ” หมายถึง สมชอบ ชอบใจ กาญจนา อรุณสุขรุจี (2546 : 5) กล่าวว่า ความ พึงพอใจของมนุษย์เป็นการแสดงออกทาง พฤติกรรมที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้ การที่เราจะทราบว่า บุคคลมีความพึงพอใจ หรือไม่ สามารถสังเกตโดยการแสดงออกที่ค่อนข้าง สลับซับซ้อน และต้องมีสิ่งที่ตรงต่อความต้องการของ บุคคล จึงจะทำให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ ดังนั้นการสร้างสิ่งเร้าจึงเป็นแรงจูงใจของบุคคลนั้นให้เกิดความ พึงพอใจในงานนั้น Carnpbell (1976 : 117 หน้า 124 อ้างถึงในวาณี ทองเสวต, 2548) กล่าวว่า ความพึง พอใจเป็นความรู้สึก ภายในที่แต่ละคนเปรียบเทียบระหว่างความคิดเห็นต่อสภาพการณ์ที่อยากให้เป็นหรือ คาดหวัง หรือ รู้สึกว่าสมควรจะได้รับ ผลที่ได้จะเป็นความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจเป็นการตัดสินของแต่ละ บุคคล Domabedian (1980, อ้างถึงในวาณี ทองเสวต, 2548) กล่าวว่า ความพึงพอใจของ ผู้รับบริการ หมายถึง ผู้บริการประสบความสำเร็จในการทำให้สมดุลระหว่างสิ่งที่ผู้รับบริการให้ค่ากับความ คาดหวังของผู้รับบริการ และประสบการณ์นั้นเป็นไปตามความคาดหวัง กชกร เป้าสุวรรณ และคณะ (2550) ได้กล่าวถึง ความหมายของความพึงพอใจว่า ส่งที่ควร จะเป็นไปตามความต้องการ ความพึง พอใจเป็นผลของการแสดงออกของทัศนคติของบุคคลอีกรูปแบบ หนึ่ง ซึ่งเป็นความรู้สึกเอนเอียงของ จิตใจที่มีประสบการณ์ที่มนุษย์เราได้รับอาจจะมากหรือน้อยก็ได้ และ เป็นความรู้สึกที่มีต่อสิ่งใดสิ่ง หนึ่ง ซึ่งเป็นไปได้ทั้งทางบวกและทางลบ แต่ก็เมื่อได้สิ่งนั้นสามารถตอบสนองความต้องการ หรือทำให้ บรรลุจุดมุ่งหมายได้ ก็จะเกิดความรู้สึกบวก เป็นความรู้สึกที่พึงพอใจ แต่ในทาง ตรงกันข้าม ถ้าสิ่งนั้น สร้างความรู้สึกผิดหวัง ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกทางลบ เป็นความรู้สึกไม่พึงพอใจ จากความหมายที่ กล่าวมาทั้งหมดผู้วิจัยสรุปความหมายของความพึงพอใจได้ว่า เป็น ความรู้สึกของบุคคลในทางบวก ความชอบ ความสบายใจ ความสุขใจต่อสภาพแวดล้อมในด้านต่าง ๆ หรือเป็นความรู้สึกที่พอใจต่อสิ่ง ที่ทำให้เกิดความชอบ ความสบายใจ และเป็นความรู้สึกที่บรรลุถึงความ ต้องการ 2. ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกที่บุคคลมีต่อสิ่งที่ได้รับ ประสบการณ์และแสดงออกหรือมีพฤติกรรมตอบสนองในลักษณะแตกต่างกันออกไป ความพึงพอใจ ต่อสิ่ง ต่าง ๆนั้นจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแรงจูงใจการสร้างแรงจูงใจหรือการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ กับ ผู้ปฏิบัติงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้งานหรือสิ่งที่ทำนั้นประสบความสำเร็จ การศึกษาเกี่ยวกับ
24 ความพึง พอใจเป็นการศึกษาทฤษฎีทางพฤติกรรมศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของมนุษย์ มี ดังต่อไปนี้สก็อต (Scott, 1970: 124) เสนอแนวคิดในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดความพึงพอใจต่อการ ทำงานที่จะให้ผลเชิงปฏิบัติมีลักษณะดังนี้ 1. งานควรมีส่วนสัมพันธ์กับความปรารถนาส่วนตัว งานจะมีความหมายต่อผู้ทำ 2. งานนั้นต้องมีการวางแผนและวัดความสำเร็จได้ โดยใช้ระบบการทำงานและการ ควบคุมที่มี ประสิทธิภาพ 3. เพื่อให้ได้ผลในการสร้างแรงจูงใจภายในเป้าหมายของงาน ต้องมีลักษณะดังนี้ 3.1 คนทำงานมีส่วนในการตั้งเป้าหมาย 3.2 ผู้ปฏิบัติได้รับทราบผลสำเร็จในการทำงานโดยตรง 3.3 งานนั้นสามารถทำให้สำเร็จได้เมื่อนำแนวคิดของสก๊อต มาประยุกต์ใช้กับกิจกรรมการ เรียนการสอนเพื่อสร้างแรงจูงใจ ต่อกิจกรรมการเรียนการสอน มีแนวทางดังนี้ 1. ศึกษาความต้องการ ความสนใจของผู้เรียน และระดับความสามารถหรือ พัฒนาการตามวัยของ ผู้เรียน 2. วางแผนการสอนอย่างเป็นกระบวนการและประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพ 3. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนมีส่วนร่วมและกำหนดเป้าหมายใน การทำงาน สะท้อน ผลงานและการทำงานร่วมกันได้การดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนความพึงพอใจเป็นสิ่งสำคัญที่ จะกระตุ้นให้ผู้เรียน ทำงานที่ได้รับมอบหมายหรือที่ต้องปฏิบัติ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ครูผู้สอนจึง ต้องคำนึงถึงความพึง พอใจในการเรียนรู้ของผู้เรียน การทำให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนรู้ หรือการปฏิบัติงานมีแนวคิด พื้นฐานที่แตกต่างกัน ดังนี้ 1. ความพึงพอใจนำไปสู่การปฏิบัติงาน การตอบสนองความต้องการของ ผู้ปฏิบัติงานจนเกิดความพึง พอใจจะทำให้เกิดแรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่สูงกว่าผู้ที่ ไม่ได้รับการตอบสนอง 2. ผลของการปฏิบัติงานนำไปสู่ความพึงพอใจ ความสัมพันธ์ระหว่างความพึง พอใจ และผลการ ปฏิบัติงามจะถูก เชื่อมโยง ด้วยปัจจัยอื่น ๆ ผลการปฏิบัติงานที่ดีจะนำไปสู่ผลตอบแทน ที่เหมาะสม ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่ความพึงพอใจ ผลการปฏิบัติงานย่อมได้รับการตอบสนองในรูปของรางวัล หรือ ผลตอบแทน ซึ่งแบ่งออกเป็นผลตอบแทนภายใน(Intrinsic Rewards) และผลตอบแทนภายนอก (Extrinsic Rewards) แนวคิดพื้นฐานดังกล่าว จึงต้องมีบทบาทสำคัญในการจัดกิจกรรม วิธีการ สื่อ อุปกรณ์ ที่เอื้อ ต่อการเรียนรู้เพื่อตอบสนองความพึงพอใจให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน จนบรรลุ วัตถุประสงค์ในการ เรียนการสอนในแต่ละครั้ง โดยให้ผู้เรียนได้รับผลตอบแทนจากการเรียนรู้แต่ละ ครั้ง โดยเฉพาะ ผลตอบแทนภายในหรือรางวัลภายในที่เป็นความรู้สึกของผู้เรียน เช่น ความรู้สึกถึง ความสำเร็จของตนเมื่อ สามารถเอาชนะสิ่งต่างๆได้ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ ความมั่นใจ โดยครูอาจ ให้ผลตอบแทนภายนอก เช่น คำชมเชย หรือการให้คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับที่น่าพึง
25 พอใจ ความพึงพอใจในการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ มีความสัมพันธ์ในทางบวก คือ เมื่อเกิดความพึง พอใจ จะเกิดผลที่ดีต่อการเรียนรู้และ ผลการเรียนรู้ที่ดีหรือที่น่าพอใจทำให้เกิดความพึงพอใจ กิจกรรมที่จัดขึ้นจึงควรคำนึงถึงองค์ประกอบที่ทำ ให้เกิดแรงจูงใจจนเกิดความพึงพอใจ 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผุดผ่อง เสถียรพงษ์ (2556)ทำวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาการจักการเรียนรู้โดยใช้การ เรียนแบบ เพื่อนช่วยเพื่อนเรื่องการแสดงพื้นบ้านภาคอีสาน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์ วิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานักเรียนให้เกิดทักษะในการปฏิบัติรำเซิ้ง โปลงลางของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัยโยใช้รูปแบบการ เรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบเพื่อน ช่วยเพื่อนในวิชานาฏศิลป์เรื่องรำเซิ้งโปลงลางของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปรินส์ รอยแยลส์วิทยาลัย พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบเพื่อนช่วยเพื่อนส่งผลให้นักเรียน กลุ่มเป้าหมายจำนวน 10 คนมีผลการเรียนสูงขึ้นคิดเป็นร้อยละ 91.00 และสามารถปฏิบัติท่ารำรำเซิ้ง โปลงลางได้ถูกต้องสวยงาม รำได้เข้าจังหวะและทำนองเพลง วาสนา จิตรมณี(2556) ทำวิจัยในชั้นเรียน เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพลงเซิ้ง ตังหวาย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3/4 โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีโดยใช้วิธีการสอนแบบเพื่อน ช่วยเพื่อนมี วัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่สามารถทำให้ผู้เรียนวิชานาฏศิลป์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงขึ้นโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนการสอนแบบเพื่อน ช่วยเพื่อนในวิชานาฏศิลป์ เรื่อง เพลงเซิ้งตังหวายระดับชั้น ประถมศึกษาปี ที่ 3 ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนสูงขึ้น จากการทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การแก้ไขปัญหาที่ผู้เรียนที่ไม่สามารถปฏิบัติท่าทางการเคลื่อนไหวร่างกาย ได้ตรงจังหวะ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6/2โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จำนวน 5 คน ได้ศึกษา ข้อมูล จากทฤษฎีวิธีการแก้ปัญหาโดยใช้วิธีการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ซึ่งงานวิจัยฉบับนี้ได้ใช้ทฤษฎีการ สอนสอน แบบเพื่อนช่วยเพื่อนในการแก้ไขปัญหาทำให้งานวิจัยมีความสมบูรณ์และประสิทธิภาพมาก ขึ้น
26 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ประเด็นการศึกษาของผู้วิจัยส่วนใหญ่มีขอบเขตอยู่ที่การพัฒนา ทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเด วีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยได้กำหนดหัวข้อการ ดำเนินการวิจัยตามลำดับ ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. วิธีการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนประจักษ์ ศิลปาคาร จังหวัดอุดรธานี ที่เรียนรายวิชานาฏศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 จำนวน 334 คน จากห้องเรียนจำนวน 11 ห้อง 1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนประจักษ์ ศิลปาคาร จังหวัดอุดรธานีที่เรียนรายวิชานาฏศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 จำนวน 35 คน จากห้องเรียนจำนวน 1 ห้อง (ห้อง6/3) ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยได้มาโดยการสุ่มแบบแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2.1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ระบำเทพบันเทิง โดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการ ปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 5 แผนโดยการสุ่ม แบบแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 2.2. แบบประเมินทักษะการปฏิบัติท่ารำ ระบำเทพบันเทิง โดย ใช้รูปแบบการเรียนการ สอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 4 ข้อ และกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนเป็นแบบ (Scoring Rubric)
27 2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบำเทพบันเทิง กลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ 3.3 วิธีการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1 .แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ระบำเทพบันเทิง โดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการ ปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 5 แผน ผู้วิจัย ดำเนินการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้ 1.1 ศึกษาแนวคิดทฤษฎี จากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ศึกษาเนื้อหาการเรียนรู้ในเรื่องระบำเทพบันเทิง พร้อมสำรวจความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนา แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องระบำเทพบันเทิง จากผู้สอนวิชานาฏศิลป์ จำนวน 1 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญ ด้านนาฏศิลป์ไทย จำนวน 2 ท่าน รวมทั้งหมด 3 ท่าน เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อหาประสิทธิภาพให้แก่การจัดการเรียนการสอนของนักเรียน 1.2 ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องระบำเทพบันเทิง โดย ใช้แบบสอบถามซึ่งผู้วิจัยเป็นผู้นำแบบสอบถามไปสอบถามนักเรียนด้วยตนเอง 1.3 ศึกษาความต้องการและแนวทางในการจัดการเรียนการสอนที่ใช้ชุดการสอนเรื่อง ระบำเทพบันเทิง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร จากครูผู้สอนวิชา นาฏศิลป์ จำนวน 1 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญด้านระบำ จำนวน 2 ท่าน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ในการ สัมภาษณ์ ผู้วิจัยเป็นผู้สัมภาษณ์ด้วยตนเอง 2. แบบทดสอบภาคปฏิบัติ เรื่อง ระบำเทพบันเทิง ผู้วิจัยดำเนินการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้ 2.1 ศึกษาเนื้อหาเรื่อง ระบำเทพบันเทิง เลือกเนื้อหาที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 2.2 ผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง ระบำเทพบันเทิง มีลักษณะเป็นทักษะการปฏิบัติ จำนวน 20 ข้อ 2.3 ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของเนื้อหาข้อสอบทั้งหมดว่ามีความ เหมาะสมหรือไม่ ถ้าผู้เชี่ยวชาญมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบผู้วิจัยก็จะทำ การแก้ไขก่อนนำไปทดลองใช้ โดยหลังจากนำแบบทดสอบที่ผ่านการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 20 ข้อ ไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างแล้วนำผลคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์อีกครั้ง
28 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยมี รายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. จัดทำบัญชีรายชื่อนักเรียน จัดทำตาราง จัดเตรียมสถานที่ในการทดลองของกลุ่ม ตัวอย่าง เครื่องมือในการทดลอง แล้วทั้งทำการชี้แจงการดำเนินการทดลองให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง เข้าใจ 2. ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบก่อนเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 3. ทำการทดลองโดยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนการ จัดการเรียนรู้ เรื่อง ระบำเทพบันเทิง โดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับ การเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนโดยในแต่ละแผนจะทำการเก็บคะแนนระหว่างเรียน 4. ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบหลังเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยเป็น แบบทดสอบข้อเดียวกันกับการทดสอบก่อนเรียน 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ มีรายละเอียด ดังนี้ 1. นำคะแนนระหว่างเรียนและคะแนนหลังเรียน มาวิเคราะห์เพื่อหาประสิทธิภาพของ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ระบำเทพบันเทิง โดยใช้แนวคิดการสอนปฏิบัติของเดวีส์ที่มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 1. นำคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน มาวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบทักษะการปฏิบัติเรื่อง ระบำเทพ บันเทิง 2. โดยใช้t-test แบบ Dependent Samples 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบเครื่องมือ 1.1 หาค่าความตรงรายข้อของแบบทดสอบ/และแบบสอบถามโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ เรียกว่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC : Index of Item Objective Congruence) เป็นความ สอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ โดยอาศัยความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก มีสูตรใน การคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 153)
29 R IOC N = เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ R แทน ผลรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทุกคน N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 1.2 วิเคราะห์หาค่าความยาก (P) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบ แบบปรนัยเป็นรายข้อ มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 154-156) P P H L P n + = 2 n P P r H − L = เมื่อ P แทน ค่าความยาก r แทน ดัชนีอำนาจจำแนก PH แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มสูง PL แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มต่ำ n แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบทั้งหมดของกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำ 1.3 วิเคราะห์หาค่าความยาก (P) และค่าอำนาจจำแนก (D) ของแบบทดสอบ ภาคปฏิบัติเป็นรายข้อ โดยวิธีการของวิทนีย์และซาเบอร์ส (Whitney and Sabers) มีสูตรในการ คำนวณ ดังนี้ (ไพศาล วรคำ. 2559 : 299-308) P = H L mim max mim S + S - (2nX ) 2n(X - X ) D = H L max mim S - S n(X - X ) เมื่อ P แทน ค่าความยากของแบบทดสอบภาคปฏิบัติ D แทน ค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบภาคปฏิบัติ SH แทน ผลรวมคะแนนในกลุ่มสูง SL แทน ผลรวมคะแนนในกลุ่มต่ำ n แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำ Xmax แทน คะแนนสูงสุดในข้อนั้น
30 Xmin แทน คะแนนต่ำสุดในข้อนั้น 1.4 การหาค่าอำนาจจำแนกรายข้อของแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item Total Correlation) โดยคะแนนรวมนั้นได้หักคะแนนของข้อนั้น ๆ ออกแล้ว มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 71) X (Y-X ) i i r = ( ) i i i i 2 2 2 2 i i i i N X (Y - X ) - X (Y - X ) N X - ( X ) N (Y - X ) - (Y - X ) เมื่อ X (Y-X ) i i r แทน ค่าอำนาจจำแนกของข้อคำถามข้อที่ i Xi แทน ชุดของคะแนนจากคำถามข้อที่ i Y แทน ชุดของคะแนนรวมจากข้อคำถามทุกข้อ N แทน จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่นำมาวิเคราะห์ 1.5 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบแบบปรนัยทั้งฉบับโดยใช้สูตร KR-20 โดย วิธีการของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson Method) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 88 - 89) tt r = 2 k pq 1 - k -1 S เมื่อ tt r แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ p แทน ค่าความยากของข้อสอบแต่ละข้อ q แทน สัดส่วนค่าความยากแต่ละข้อ (q = 1 - p) S 2 แทน ค่าความแปรปรวนของคะแนนรวม k แทน จำนวนข้อสอบในแบบทดสอบ 1.6 การหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบภาคปฏิบัติและแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยวิธีการใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา ( -Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 90)
31 α = 2 i 2 t k S 1 - k - 1 S เมื่อ α แทน ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 2 Si แทน ผลรวมของความแปรปรวนรายข้อ 2 St แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวม k แทน จำนวนข้อ 2. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2.1 ร้อยละ มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 211) f N p = x 100 เมื่อ p แทน ร้อยละ f แทน ความถี่หรือจำนวนข้อมูลที่ต้องการหาร้อยละ n แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด 2.2 ค่าเฉลี่ย ( X ) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 213) X X = n เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง X แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 225)
32 n X - X ( ) S = n(n - ) 2 2 1 เมื่อ S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน ข้อมูลแต่ละค่าของกลุ่มตัวอย่าง X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 3. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน ตามเกณฑ์ 80/80 วิเคราะห์โดยใช้สูตร E1/E2 ดังนี้ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์. 2556 : 10) X N E = × A 1 100 F N E = × B 2 100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ X แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหัดปฏิบัติ กิจกรรมหรืองานที่ทำ ระหว่างเรียน F แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกปฏิบัติทุกชิ้นรวมกัน B แทน คะแนนเต็มของการประเมินสุดท้าย (การสอบหลังเรียน) N แทน จำนวนผู้เรียน
33 4. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คะแนนพัฒนาการ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คะแนนพัฒนาการ มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (ศิริชัย กาญจนวาสี. 2552 : 266-267) DS = Y - X x 100 F - X เมื่อ DS แทน คะแนนร้อยละของพัฒนาการของนักเรียน F แทน คะแนนเต็มของการวัดทั้งครั้งแรกและครั้งหลัง X แทน คะแนนการวัดครั้งแรก Y แทน คะแนนการวัดครั้งหลัง 5. สถิติที่ใช้ในการการทดสอบสมมติฐาน เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pre-test) กับหลังเรียน (Post-test) ของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ t-test แบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent Samples t-test) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 244) D t = n D - ( D ) n - 2 2 1 , df = n - 1 เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤตเพื่อทราบ ความมีนัยสำคัญ D แทน ผลต่างระหว่างคู่คะแนน n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่างหรือจำนวนคู่คะแนน เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Post-test) ของกลุ่มตัวอย่างกับเกณฑ์ที่กำหนด โดยใช้ t-test แบบกลุ่มเดียวเปรียบเทียบกับเกณฑ์ (One Samples t-test) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 237-238)
34 X - t = S n μ , df n - 1 เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤต เพื่อทราบ ความมีนัยสำคัญ X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง μ แทน ค่าเฉลี่ยของประชากรหรือค่าคงที่ที่คาดหวัง S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง
35 บทที่ 4 ผลการวเิคราะห ์ ข ้ อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลและเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตามลำดับ ดังต่อไปนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ลำดับขั้นในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ใช้สัญลักษณ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนน S.D. แทน ค่าความเบี่ยงแบนมาตรฐาน แทน ค่าเฉลี่ยความต่างของคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน - และหลัง เรียน t แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการพิจารณา t–test dependent samples * แทน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 IOC แทน ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ (Index of Item – Objective Congruence P แทน ค่าความยาก 4.2 ลำดับขั้นในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลและแปรผลข้อมูล ผู้วิจัยได้เสนอตามลำดับดังนี้ 1.ผลการศึกษาเปรียบเทียบทักษะปฏิบัติทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ที่ได้รับการจัดกเรียนรู้โดยใช้บทเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน 2.เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความพึ่งพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการศึกษาทักษะปฏิบัติ ทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ที่ได้รับการจัดกเรียนรู้โดยใช้บทเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน
36 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1.ผลการศึกษาเปรียบเทียบทักษะปฏิบัติทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ที่ได้รับการจัดกเรียนรู้โดยใช้บทเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน ปรากฏผลดัง ตารางที่ 1 2 เปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยความพึ่งพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการศึกษา ทักษะปฏิบัติทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ที่ได้รับการจัดกเรียนรู้ โดยใช้บทเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน ตาราง 1 ผลการศึกษาเปรียบเทียบทักษะปฏิบัติทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ไทย ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ที่ได้รับการจัดกเรียนรู้โดยใช้บทเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน ลำดับ ที่ ชื่อ – สกุล คะแนนที่ได้ ก่อน เรียน หลัง เรียน คะแนนความแตกต่าง 1 11 16 5 2 13 17 4 3 15 19 4 4 9 15 6 5 12 14 2 6 12 18 6 7 10 15 5 8 10 14 4 9 11 16 5 10 11 15 4 11 12 19 7 12 9 19 10 13 9 18 9
37 14 10 18 8 15 9 17 8 16 11 18 7 17 10 16 6 18 9 17 8 19 11 17 6 20 11 18 7 21 12 19 7 22 8 16 8 23 10 15 5 24 10 17 7 25 10 17 7 26 9 19 10 27 10 19 9 28 9 15 6 29 11 16 5 30 10 15 5 31 10 18 8 32 10 19 9 33 11 17 6 34 11 16 5 35 10 18 8 รวม 366 592 226 ค่าเฉลี่ย 10.46 16.91 6.35 S.D. 1.36 1.56 1.81 ร้อยละ 32.28 จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนมีค่าเท่ากับ 10.46 คิดเป็นร้อยละ 52.28 และ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 16.91 คิดเป็นร้อยละ 84.57 ซึ่งแสดงว่า ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพเท่ากับ 52.28/84.57 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้มีนัยสถิติอยู่ที่ระดับ 0.5
38 ตาราง 2 เปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยความพึ่งพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัด การศึกษาทักษะปฏิบัติทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ที่ได้รับ การจัดกเรียนรู้โดยใช้บทเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน ปรากฏผลดังตารางที่ 2 รายการประเมิน ค่าเฉลี่ย ผลรวม S.D. ความหมาย ด้านที่1 ความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบลงมือปฏิบัติ 1ช่วยให้มีความละเอียดรอบคอบในการทำงาน 4.27 0.56 มาก 2รูปแบบการสอนมีความทันสมัย 4.13 0.49 มาก 3 กิจกรรมน่าสนใจ ไม่น่าเบื่อหน่าย 4.37 0.49 มาก 4รูปแบบการจัดการเรียนการสอนทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ เร็ว และเข้าใจง่าย 4.27 0.50 มาก 5รูปแบบการสอนเหมาะสมและสอดคล้องกับเนื้อหา 4.21 0.50 มาก รายการประเมิน ค่าเฉลี่ย ผลรวม S.D. ความหมาย ด้านที่ 2 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ เรื่องระบำเทพบันเทิง 1ช่วยให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียน 4.32 0.50 มาก 2 ได้เรียนรู้จาการปฏิบัติจริง 4.27 0.50 มาก 3 ช่วยให้ได้รับการฝึกใช้ความคิดด้วยตนเอง 4.16 0.49 มาก 4 เกิดความสนใจที่อยากจะเรียนรู้เพิ่มเติม 4.29 0.50 มาก 5 กิจกรรมสนุกสนาน น่าสนใจ 4.27 0.61 มาก ด้านที่ 3 ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ การ จัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ เรื่องระบำเทพ บันเทิง 1 นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม 4.40 0.48 มาก
39 2 ช่วยให้เกิดความรู้เกี่ยวกับการแสดงระบำเทพบันเทิง 4.29 0.61 มาก 3 ทำให้เกิดทักษะการแสดง 4.02 0.44 มาก 4 เหมาะสำหรับการเรียนนาฏศิลป์ 4.43 0.47 มาก 5 นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ 4.40 0.48 มาก จากตารางที่ 2 พบว่าค่าเฉลี่ยความพึ่งพอใจของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เรื่องการพัฒนา ทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเด วีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปา คาร มีความพอใจระดับมาก จากตารางที่ ๑ และ ๒ แสดงว่า คะแนนทักษะทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ของนักเรียนที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดยใช้การจัดการ เรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 นั่นคือ ทักษะทางการเรียนวิชานาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนเรื่องการพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิง โดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งเป็นไป ตามสมมติฐานที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้
40 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดยใช้การ จัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ซึ่งมีขั้นตอนการนำเสนอผลดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2. สรุปผลการวิจัย 3. การอภิปรายผล 4. ข้อเสนอแนะ 5.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิง โดยใช้การปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับ การเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 ที่มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 80/80 2. เพื่อนเปรียบเทียบทักษะปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 5.2 สรุปผลการวิจัย การสรุปผลการวิจัย เรื่องการพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดยใช้การ จัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ผู้วิจัยได้นำเสนอสรุปผลการวิจัย ดังรายละเอียด ต่อไปนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดย ใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนมีค่าเท่ากับ 10.46 คิดเป็นร้อยละ 52.28 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 16.91 คิดเป็นร้อยละ 84.57
41 ซึ่งแสดงว่า ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 52.28/84.57 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้มีนัย สถิติอยู่ที่ระดับ 0.5 2. การศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลง ระบำเทพบันเทิงโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อน ช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร อยู่ในระดับมาก 5.3 การอภิปรายผล 1.แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดย ใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 52.28/84.57 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารหลักการและ ทฤษฎีการสอนปฏิบัติของเดวีส์และได้ผ่านกระบวนการ ขั้นตอนในการสร้างอย่างมีระบบและวิธีการ เขียนแผนที่ดี ผ่านการตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องจากอาจารย์ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ มีการนำไป ทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย เพื่อความเหมาะสมของเวลาในการจัดการเรียนรู้ และ นำไปจัดทำแผนประกอบการเรียนรู้ ที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับแผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดทำขึ้น เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติให้มากที่สุด โดยผู้สอนเป็นผู้ให้คำแนะนำส่งเสริม หรือกระตุ้นให้กิจกรรมที่เรียนดำเนินการเป็นไปตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นลักษณะ การออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลง ระบำเทพบันเทิงโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อน ช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก เรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะการปฏิบัติรำไทย เพลงระบำเทพบันเทิงโดยใช้การจัดการเรียนรู้ที่เน้น ทักษะการปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ และผู้ศึกษาได้ปรับปรุงแก้ไขให้ตรง กับจุดประสงค์ สอดคล้องกับเนื้อหา เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน โดยผู้ศึกษาได้ศึกษาหลักสูตร คู่มือ เนื้อหา และวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ และดำเนินการสร้างตามหลักสูตรกรมวิชาการ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2554 : 1-91) จึงส่งผลให้นักเรียนมีทักษะทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน ซึ่งผลการทดสอบที่ได้มีความน่าเชื่อถือ เนื่องมาจากเครื่องมือที่ใช้คือ แบบทดสอบวัดทักษะ ทางการเรียน เรื่อง ระบำเทพบันเทิง กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
42 6 ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นได้รับการตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไข ประเมินตรวจสอบคุณภาพความเหมาะสม จากผู้เชี่ยวชาญ และได้ดำเนินการเป็นขั้นตอนอย่างเป็นระบบ มีการวิเคราะห์หาดัชนีความ สอดคล้องระหว่างข้อสอบและจุดประสงค์การเรียนรู้ (IOC) และสาระการเรียนรู้ จากหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และศึกษาเอกสารการจัดทำแบบฝึกเสริมทักษะ การวัดผลประเมินผลจนเข้าใจ และนำความรู้มาสร้างแบบทดสอบ ตลอดจนนำไปทดลองใช้ (Try out) แล้วนำแบบทดสอบมาวิเคราะห์หาคุณภาพก่อนที่จะนำไปใช้จริง ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัย รูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับการฝึกปฏิบัติทักษะนาฏศิลป์ไทย ซึ่งเดวีส์ได้นำเสนอเกี่ยวกับการ พัฒนาทักษะปฏิบัติไว้ว่าทักษะส่วนใหญ่จะประกอบด้วยทักษะย่อย ๆ จำนวนมาก การฝึกให้ผู้เรียน สามารถทำทักษะย่อย ๆ เหล่านั้นได้ก่อน แล้วค่อยเชื่อมโยงต่อกันเป็นทักษะใหญ่ จะช่วยให้ผู้เรียน ประสบความสำเร็จได้ดี(ทิศนา แขมมณี, 2557) และการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนเป็น รูปแบบที่มุ่งพัฒนาเด็กทุกคนที่มีความแตกต่างกันทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา มี ความสามารถการเรียนรู้ไม่เท่ากัน การให้เด็กเก่งใช้ความสามารถเฉพาะตนให้เป็นประโยชน์โดยทำ หน้าที่เป็นผู้สอนเด็กเรียนอ่อนหรือเด็กเรียนช้า จึงเป็นประโยชน์และช่วยแก้ปัญหาเด็กเรียนช้าได้อีก วิธีหนึ่ง วิธีการนี้เปิดโอกาสให้เด็กทำหน้าที่ช่วยสอน ได้แสดงถึงความสามารถของตนในการช่วยเหลือ ผู้อื่น ช่วยให้เขาสนใจ และเข้าใจบทเรียนมากยิ่งขึ้นเกิดพัฒนาด้านความรับผิดชอบ ซึ่งการสอนแบบ เพื่อนช่วยเพื่อนนี้ เป็น วิธีการสอนวิธีหนึ่งที่สืบทอดแนวคิดของ “John Dewey” ที่ว่า “Learning by doing” โดยเน้นให้นักเรียนมีการรวมกลุ่มเพื่อการทำงาน หรือในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียน การสอน เป็นการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากเพื่อนช่วยเพื่อน จาก นักเรียนที่เก่งกว่าหรือ มีทักษะทางการเรียนอยู่ในเกณฑ์สูง (ชวลิต ชูก าแพง, 2551 ) จุดเด่นของการ สอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน นักเรียนสามารถดูแลกันได้ทั่วถึง นักเรียนอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน มีความสนิท สนมกัน ภาษาที่ใช้ในการ สื่อสารเข้าใจได้ดี สะดวก กล้าซักถามกันเอง จึงทำให้บรรยากาศการเรียน ไม่เครียดมีความสุข เป็นกันเอง พร้อม ทั้งเป็นการฝึกทักษะทางสังคม ถ้อยทีถ้อยอาศัยส่งผลให้สังคม อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข (จินดา อยู่เป็นสุข, 2545 ) การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน จึงเป็นวิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนรับประโยชน์ทางด้าน วิชาการด้วยกันทั้งสองฝ่าย วิธีการให้ผู้เรียน สอนกันเองนี้ ได้มีการพัฒนาและนำมาใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ตามจุดมุ่งหมายและวิธีการของครู (กรมวิชาการ, 2544 ) เมื่อนำวิธีการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน มาจัดการเรียนรู้ในสาระ นาฏศิลป์ จึงมีส่วนช่วยตอบสนองความต้องการ ความสามารถของผู้เรียน ให้มีทักษะ ทางด้าน นาฏศิลป์ได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนทำให้ผู้เรียนที่เก่งกว่าได้ช่วยเหลือเพื่อนที่มี ความสามารถอ่อนกว่า ทำให้ผู้เรียนทั้งสองฝ่ายเกิดความรู้ ความเข้าใจในการเรียนรู้ดีขึ้น
43 5.4 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งนี้ 1.1 ครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สามารถนำแผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบการเรียนแบบ เพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ได้ใน รายวิชาพื้นฐาน และกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ที่ต้องการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแผนการ จัดการ เรียนรู้ได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพความเหมาะสมของผู้เชี่ยวชาญ สามารถนำไปใช้ในการ จัดการเรียนรู้และ บูรณาการให้เข้ากับบริบทของแต่ละโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนมีเกิดประสิทธิผลมาก ยิ่งขึ้น 1.2 รูปแบบการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนสามารถนำไปใช้จัดการเรียนการสอนกับนักเรียนใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้เพราะเป็นรูปแบบการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้ทั้งเนื้อหาสาระ และมโน ทัศน์ต่างๆ รวมทั้งการฝึกปฏิบัติและช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงความรู้และทักษะได้ เป็นอย่างดี ซึ่ง สามารถพัฒนาผู้เรียนได้ในระยะเวลาที่จำกัด 1.3 ในการพัฒนาทักษะการปฏิบัติท่ารำระบำเทพบันเทิง ควรมีการเพิ่มเวลาเรียนเป็น 2 ภาคเรียน เพื่อ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้สอนได้พัฒนาทักษะการการปฏิบัติท่ารำพื้นฐานได้อย่างต่อเนื่อง 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการศึกษารูปแบบการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ร่วมกับเทคนิคอื่นๆ เข้ามาช่วยจะ สามารถพัฒนาทักษะการปฏิบัติท่ารำพื้นฐานได้ในระดับที่สูงขึ้น 2.2 ควรมีการวิจัยและติดตามผลระยะยาวเพื่อศึกษาว่า ทักษะการปฏิบัติท่ารำพื้นฐานของ นักเรียนนั้นมีความคงทนมากน้อยเพียงใด 2.3 ควรมีการวิจัยและการพัฒนารูปแบบการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ อื่นๆ เช่น กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา กลุ่มสาระการ เรียนรู้การงานอาชีพฯลฯ หรือในกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เน้นทักษะและกระบวนการในการปฏิบัติ