The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by iamsirimart, 2022-05-27 12:07:37

การอ่านจับใจความสำหรับนักศึกษาครุศาสตร์ ชั้นปีที่ 1

ส่วนหนึ่งของงานวิจัยอาจารย์สิริมาศ

Keywords: การอ่านจับใจความ,นักศึกษาครุศาสตร์

ห น้ า | 1

ห น้ า | 2

คำนำ

ทกั ษะการอ่านเป็นทกั ษะทางภาษาไทยทม่ี สี าคญั อย่างมากสาหรบั ผูเ้รยี นครู การอ่านเป็น
ประตูเปิดสู่ความรูท้ ห่ี ลากหลาย ย่งิ ในยุคปจั จบุ นั มคี วามกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยมี ากมาย ผูค้ น
สามารถคน้ หาความรูไ้ ดอ้ ย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย ทกั ษะการอ่านจึงเป็นส่ิงท่จี ะช่วยให้
ผูเ้ รียนเกิดความรูแ้ ละประสบการณ์ใหม่ ๆ การอ่านจบั ใจความสาคญั เป็นทกั ษะพ้นื ฐานท่ี
นกั ศึกษาตอ้ งใชใ้ นทุกวชิ า เม่อื ผูเ้ รียนมคี วามสามารถในการอ่านจบั ใจความท่ดี ีก็จะเขา้ ใจส่งิ ท่ี
อ่านไดต้ รงประเดน็ ดงั นนั้ ผูเ้รยี นควรจะใหค้ วามสาคญั กบั การอ่านจบั ใจความสาคญั เพอ่ื จะได้
พฒั นาความรูแ้ ละการรบั สารของตนเองใหด้ ยี ่งิ ข้นึ

ในปจั จุบนั ผูเ้ รียนสามารถอ่านขอ้ มลู ต่าง ๆ หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนงั สอื ใน
หอ้ งสมุด หรือการอ่านหนงั สืออิเล็กทรอนิกสใ์ นอินเทอรเ์ น็ตก็เป็นช่องท่องท่ีสะดวกเช่นกนั
นอกจากน้ีในสถานการณ์การเรียนการสอนในช่วงระยะเวลาท่มี กี ารแพร่ระบาดของโรคไวรสั
โคโรน่า (โควดิ -19) การสบื คน้ ขอ้ มลู หรอื การอ่านผ่านช่องทางอนิ เทอรเ์ น็ตกเ็ ป็นวธิ กี ารทช่ี ่วยให้
ผูเ้รยี นเขา้ ถงึ ไดง้ า่ ย

ผูว้ จิ ยั จงึ มคี วามสนใจท่จี ะสรา้ งหนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกสพ์ ฒั นาทกั ษะการอ่านจบั ใจความ
สาคญั ของนกั ศึกษาชนั้ ปีท่ี 1 เพอ่ื ปูพ้นื ฐานทกั ษะการอ่านและช่วยพฒั นาทกั ษะการอ่านในระดบั
อ่ืนท่ีสูงข้นึ และการสรา้ งหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกสเ์ ล่มน้ียงั เป็นส่วนหน่ึงของการวิจยั ในหวั ขอ้
“การสรา้ งหนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกสเ์ พ่อื พฒั นาทกั ษะการอ่านจบั ใจความสาคญั สาหรบั นกั ศึกษา
ชน้ั ปีท่ี 1 คณะครุศาสตร์” และผูว้ จิ ยั หวงั เป็นอย่างย่ิงว่าจะมปี ระโยชนต์ ่อผูอ้ ่านและผูส้ นใจท่ี
พฒั นาทกั ษะการอ่านจบั ใจความใหด้ ยี ่งิ ข้นึ

สริ มิ าศ แกว้ กนั ทา

สารบัญ ห น้ า | 3

เร่อื ง หนา้

บทท่ี 1 ความรูเ้บ้อื งตน้ เก่ยี วกบั การอ่านจบั ใจความ 1
บทท่ี 2 การอ่านจบั ใจความจากขา่ ว 14
บทท่ี 3 การอ่านจบั ใจความจากบทความ 30
บทท่ี 4 การอ่านจบั ใจความจากตารา 44
บทท่ี 5 การอ่านจบั ใจความจากเร่อื งสน้ั และนวนยิ าย 60
บรรณานุกรม 75

ห น้ า | 1

ห น้ า | 2

บทท่ี 1
ความรูเ้ บ้ืองตน้ เกย่ี วกบั การอา่ นจบั ใจความ

การอ่านจบั ใจความมคี วามสาคญั ในการพฒั นาการศึกษา เศรษฐกจิ การเมอื ง และสงั คม องคป์ ระกอบทม่ี ผี ล
ต่อการอ่านจบั ใจความ คือประสบการณ์ ความรูพ้ ้นื ฐาน วฒั นธรรม ความสนใจ การเรียนรู้ การทางานของสายตา และ
พ้นื ฐานทางภาษาของผูอ้ ่าน หลกั ของการอ่านจบั ใจความคือผูอ้ ่านตอ้ งมเี ป้าหมายในการอ่าน และเขา้ ใจหลกั การอ่านจบั
ใจความสาคญั ซง่ึ ถา้ หากผูอ้ ่านมคี วามเขา้ ใจในส่งิ ท่อี ่านสามรถจบั ประเดน็ ไดก้ จ็ ะสามารถนาความรูท้ ่เี ป็นประโยชน์มา
พฒั นาตนเอง สงั คม และประเทศชาติ

ความหมายของการอา่ นจบั ใจความสาคญั

ใจความสาคญั หมายถงึ เน้ือหาหลกั หรอื แก่นของเรอ่ื งทอ่ี ่าน โดยเน้ือหาหลกั อาจปรากฏเป็นประโยคใจความ
สาคญั อยู่ในงานเขยี นนน้ั หรอื ไมป่ รากฏประโยคใจความสาคญั กไ็ ด้ แต่ผูอ้ ่านตอ้ งจบั ประเดน็ ออกมาเอง

การอา่ นจบั ใจความ จงึ หมายถงึ การอ่านเอาเร่อื งเพอ่ื เก็บความท่เี ป็นสาระประเดน็ ต่าง ๆ อย่างละเอยี ดตลอด
เรอ่ื ง เป็นการอ่านเพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามรูแ้ ละความเขา้ ใจในเน้ือหา หรือจะอ่านโดยสรุปเกบ็ ความเฉพาะทเ่ี ป็นประเดน็ สาคญั
ของเรอ่ื งกไ็ ด้ ซง่ึ กรณีหลงั น้ีจะใชเ้มอ่ื ตอ้ งการประหยดั เวลาในการอ่าน

ลกั ษณะของใจความสาคญั

ใจความความสาคญั สามารถเรียกไดห้ ลายแบบ เช่น แก่นของเร่ือง แก่นของย่อหนา้ ขอ้ ความท่สี าคญั ทส่ี ุด
ขอ้ ความทเ่ี ด่นทส่ี ุด หรอื สาระทเ่ี ด่นทส่ี ุด ทง้ั น้ีลกั ษณะของใจความสาคญั จะประกอบไปดว้ ย 2 สาระ ดงั น้ี

1) สาระหลกั คือ เน้ือหาท่ีปรากฏอยู่ในย่อหนา้ ของเร่ือง มีลกั ษณะเป็นวลีหรือประโยคสน้ั ๆ บางครง้ั อาจ
เรยี กว่า “ใจความหลกั ของยอ่ หนา้ ” ซง่ึ จะตอ้ งมเี น้ือหาทค่ี รอบคลุมประโยคหรอื ขอ้ ความอ่นื ๆ ในย่อหนา้ สาระหลกั ของ
ย่อหนา้ ไมอ่ าจตดั ความออกไปได้ หากตดั ยอ่ หนา้ นน้ั ออกไปแลว้ กจ็ ะทาใหข้ าดเน้ือหาหลกั

2) สาระรอง คอื วลี ประโยค หรอื ขอ้ ความท่ที าหนา้ ท่ขี ยายสาระหลกั สาระรองอาจมไี ดห้ ลากหลาย ข้นึ อยู่กบั
ปริมาณของเน้ือหาท่ีจะนามาขยาย อีกทงั้ ยงั ทาหนา้ ท่ีสนบั สนุนหรือเสริมรายละเอียดของสาระหลกั หรือเป็นการให้
ตวั อยา่ งเพอ่ื ใหส้ าระหลกั มรี ายละเอยี ดทช่ี ดั เจนมากข้นึ

ห น้ า | 3

ประเภทของการอา่ นจบั ใจความสาคญั

การอ่านในงานเขยี นต่าง ๆ สามารถจาแนกประภของการอ่านจบั ใจความสาคญั ได้ 2 ประเภท ดงั น้ี
1) ใจความสาคญั ในระดบั ย่อหนา้ เป็นการอ่านจบั ใจความสาคญั จากงานเขยี นเร่อื งหน่ึง ๆ หรือบทความเรอ่ื ง
หน่ึง ซง่ึ ประกอบไปดว้ ย “ยอ่ หนา้ ” หลายย่อหนา้ โดยแต่ละ 1 ย่อหนา้ มกั จะมี 1 ใจความสาคญั ซง่ึ ใจความสาคญั นน้ั จะ
มสี าระหลกั เพยี งอยา่ งเดยี ว
2) ใจความสาคญั ในระดบั เร่อื งหรอื องคร์ วม เป็นใจความสาคญั ท่เี กิดข้นึ จากการอ่านหนงั สือเลม่ นน้ั ๆ หรือ
อ่านงานเขยี นช้นิ นน้ั ทงั้ หมด แลว้ จงึ เรยี บเรยี งเป็นใจความสาคญั

วธิ กี ารอา่ นจบั ใจความสาคญั

การอ่านจบั ใจความสาคญั เป็นทกั ษะการอ่านทต่ี อ้ งฝึกฝนบ่อย ๆ จึงจะคุณภาพ ซ่งึ มวี ธิ ีการอ่านโดยบางตาม
ประเภทของการอ่านจบั ใจความสาคญั คือ การอ่านจบั ใจความสาคญั ในระดบั ย่อหนา้ และการอ่านจบั ใจความสาคญั ใน
ระดบั เร่อื ง โดยมรี ายละเอยี ด ดงั ต่อไปน้ี

1) การอ่านจบั ใจความในระดบั ย่อหนา้ เมอ่ื ตอ้ งการอ่านจบั ใจความสาคญั ใหล้ ะเอียด โดยใหเ้ ขา้ ใจทงั้ สาระ
หลกั และสาระรองทป่ี รากฏอยู่ในแต่ละยอ่ หนา้ วธิ กี ารอ่านจบั สาระสาคญั ในยอ่ หนา้ ดงั น้ี

ผูอ้ ่านจะตอ้ งอ่านขอ้ ความทง้ั หมดใหเ้ ขา้ ใจ แลว้ พยายามจบั สาระหลกั ใหไ้ ดว้ ่าอยู่ส่วนใดของย่อหนา้ ซ่ึง
โดยทวั่ ไปแลว้ สาระหลกั จะอยู่ในตาแหน่งต่าง ๆของย่อหนา้ 5 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ ตน้ ย่อหนา้ ทา้ ยย่อหนา้ ตน้ และทา้ ยย่อ
หนา้ กลางย่อหนา้ และไมม่ ปี ระโยคใจความสาคญั หรือสาระหลกั ซ่งึ ผูอ้ ่านจะตอ้ งจบั ประเดน็ ออกมาเอง มรี ายละเอียด
และตวั อยา่ งดงั ต่อไปน้ี

(1) สาระหลักอยู่ต้นย่อหน้า ย่อหน้าลักษณะน้ีจะเร่ิมตน้ ดว้ ยสา ระหลักหรือประโยค
ใจความสาคญั จากนน้ั จะเป็นสาระรองเพอ่ื ใหท้ ราบรายละเอยี ดของสาระหลกั ยกตวั อยา่ งเช่น

มนุษยม์ ีความคิด ความรูส้ ึก และความปรารถนาท่ีกาหนดไดด้ ว้ ยตวั เองทง้ั ส้ิน อาจเหมือนกบั
คนอ่นื ๆ บา้ ง คลา้ ยคลงึ บา้ ง หรอื แปลกแยกไปเลยกม็ ใิ ช่เร่อื งสาคญั เพราะว่าแต่ละคนมภี ูมหิ ลงั หรอื ส่งิ ท่ีได้
ผ่านพบมาในวถิ ชี วี ติ แตกต่างกนั

(วรวรรธน์ ศรียาภยั , 2557, น. 48)

(2) สาระหลกั อยู่ทา้ ยย่อหน้า งานเขยี นย่อหนา้ ลกั ษณะน้ีเร่มิ ตน้ เน้ือหาโดยกลา่ วถงึ รายละเอยี ดหรือ
สาระรอง มขี นาดสน้ั หรือยาวแลว้ แต่ผูเ้ ขียนตอ้ งการจะเสนอ จากนนั้ สุดทา้ ยจะจบย่อหนา้ ดว้ ยวลีหรือประโยคท่ีเป็น
ใจความสาคญั หรอื สาระหลกั ตวั อยา่ งเช่น

ความรกั ซง่ึ เกดิ จากอารมณช์ วั่ แลน่ ทข่ี าดการยงั้ คิดหรอื ใคร่ครวญอย่างรอบคอบ นามาซง่ึ ปญั หาการ
ตง้ั ครรภข์ องวยั รุ่น หรอื การเลกิ ราหย่ารา้ งกนั อนั เป็นปญั หาระยะยาวทงั้ ต่อตนเองและสงั คม ดงั นน้ั หว้ งรกั จงึ
อาจเป็นเหวลกึ ไดเ้ สมอ

(วกิ รม กรมดษิ ฐ,์ 2556, น. 34)

ห น้ า | 4

(3) สาระหลกั อยู่ตน้ และทา้ ยยอ่ หนา้ งานเขยี นย่อหนา้ ลกั ษณะน้ีผูเ้ขยี นจะใชว้ ธิ ีการเขยี นเร่อื งทม่ี ี
ความซบั ซอ้ น มสี าระหลกั ทต่ี อ้ งแจง้ หรอื อธบิ ายใหผ้ ูอ้ ่านเขา้ ใจ หรอื ช้ีแจงใหท้ ราบขอ้ เทจ็ จรงิ เมอ่ื กลา่ วถงึ สาระหลกั แลว้
ตอ้ งขยายความใหร้ ายละเอยี ดดว้ ยสาระรอง แลว้ จงึ สรุปยา้ ดว้ ยสาระหลกั อกี ครง้ั ฉะนนั้ ผูอ้ ่านจะตอ้ งมงุ่ ไปทเ่ี น้ือหา
ตอนตน้ และตอนทา้ ยเป็นสาคญั ตวั อยา่ งเช่น

“คนไทยน้ันถอื ว่าบา้ นเป็นสง่ิ สาคญั ตอ่ ชีวติ ตง้ั แต่เกดิ ไปจนตาย เพราะคนไทยโบราณนนั้ ใชบ้ า้ นเป็น
ทเ่ี กดิ การคลอดลูกจะกระทา้ กนั ทบ่ี า้ น โดยหมอพ้นื บา้ นทเ่ี รยี กว่า หมอตาแย เป็นผูท้ าคลอด มไิ ดใ้ ช้
โรงพยาบาลหรอื สถานผดุงครรภอ์ ยา่ งในปจั จุบนั น้ี และท่สี ุดของชวี ติ เมอ่ื มกี ารตายเกดิ ข้นึ คนไทยกจ็ ะเกบ็ ศพ
ของผูต้ ายทเ่ี ป็นสมาชิกของบา้ นไวใ้ นบา้ นก่อนทจ่ี ะทา้ พธิ เี ผา เพอ่ื ทา้ บญุ สวดและเป็นการใกลช้ ดิ กบั คนตายเป็น
ครงั้ สุดทา้ ย ดงั นนั้ บา้ นจงึ เป็นสถานทท่ี ่ีคนไทยใชช้ ีวติ อยูเ่ กอื บตลอดเวลาตง้ั แต่เกดิ จนตาย”

(ศิลปะชาวบา้ น : วบิ ูลย์ ล้สี ุวรรณ)

(4) สาระหลกั อยู่กลางยอ่ หนา้ เป็นย่อหนา้ ทผ่ี ูเ้ขยี นเขยี นใหม้ คี วามซบั ซอ้ นจาเป็นตอ้ งกลา่ วนาเพอ่ื ให้
ผูอ้ ่านเขา้ ใจทม่ี าและเกดิ ความรูส้ กึ อนั ดี แลว้ จงึ เขยี นเน้ือหาซง่ึ เป็นสาระหลกั แลว้ ตามดว้ ยการอธบิ ายหรอื ขยายความ
ดว้ ยสาระรอง ตวั อย่างเช่น

“...ศิลปะแหง่ การฟงั นนั้ ไมไ่ ดห้ มายถงึ การนงั่ น่ิงปลอ่ ยใหค้ นอ่นื พดู ฝ่ายเดยี ว แลว้ กฟ็ งั เหมอื นฟงั
เทศน์ การทา้ เช่นนน้ั งา่ ยเกนิ กวา่ ทจ่ี ะนบั วา่ เป็นศิลปะ ศิลปะแหง่ การฟงั หมายถงึ ความสามารถทจ่ี ะชกั จูงผู้
พดู ใหห้ นั เหเขา้ หาเร่อื งทเ่ี ขาถนดั ท่สี ุด คือ แสดงใหเ้หน็ ว่าตนกาลงั ฟงั คา้ พดู ของเขาดว้ ยความตงั้ ใจ อยากรู้
อยากฟงั จรงิ ๆ รูจ้ กั สอดคา้ ถามในโอกาสทเ่ี หมาะ รูจ้ กั ปลอ่ ยให้ ผูพ้ ดู พดู จนส้นิ กระแสความ รูจ้ กั ช่วยผูพ้ ดู ท่ี
กาลงั จะหมดเรอ่ื งพดู ใหก้ ลบั มเี ร่อื งข้นึ มาใหมเ่ พอ่ื ใหเ้ขาพดู ไดต้ ่อไป”

(การเตรยี มเพอ่ื การพดู และการเขยี น : ฉตั รวรุณ ตนั นะรตั น)์

(5) สาระหลกั ท่ีตอ้ งจบั ประเด็นออกมาเอง หรือย่อหน้าท่ีไม่ปรากฏประโยค ใจความสาคญั
งานเขยี นย่อหนา้ บางชนิด ไม่ปรากฏวลหี รือประโยคสระหลกั ในส่วนใดส่วนหน่ึงของยอ่ หนา้ ผูอ้ ่านตอ้ งจบั ประเดน็ สาระ
หลกั ออกมาเอง ตวั อย่างเช่น

ประเทศองั กฤษมกี วที ช่ี าวองั กฤษยกย่องมากคนหน่ึงช่อื วลิ เลยี มเชคเปียร์ ประเทศฝรงั่ เศสมกี วที ค่ี น
ยกยอ่ งอกี คนหน่ึงคือ วอลแตร์ เช่นเดยี วกนั ใกลบ้ า้ นเราก็มกี วอี ินเดยี ท่มี เี กียรตสิ ูงส่งคอื รพนิ ทรนาถ ฐากูร
ไทยเรากม็ กี วเี ช่นนน้ั เหมอื นกนั กวผี ูน้ นั้ คอื สุนทรภู่

(ฉตั รชยั ศุกระกาญจน,์ 2517, น. 82)
เน่ืองจากยอ่ หนา้ ขา้ งตน้ ไมป่ รากฏประโยคใจความสาคญั หรอื ไม่มสี าระหลกั ผูอ้ ่านจงึ สรุปใจความสาคญั ของ
งานเขยี น คือ กวมี ีอยูท่ วั่ โลก

ห น้ า | 5

ต่อไปจะกล่าวถึงกรณีอ่านจบั ใจความขอ้ ความท่ีมีหลายย่อหนา้ แลว้ ผูอ้ ่านจะตอ้ งคน้ หาใจความสาคญั
ทลี ะย่อหนา้ ในกรณีน้ีผูอ้ ่านจะตอ้ งคดิ คาถามว่าอะไรคอื ส่วนสาคญั หรอื สาระหลกั ของเร่อื ง มคี วามสมั พนั ธเ์ ก่ยี วขอ้ งกบั
สง่ิ ใดบา้ ง อาจจดเป็นขอ้ ความสน้ั ๆ เอาไวเ้พอ่ื ความสะดวกในการอ่าน นอกจากน้ียงั ตอ้ งคิดถงึ วธิ เี ขยี นสาระหลกั ว่าจะ
เขยี นอย่างไรใหก้ ะทดั รดั และชดั เจน ยกตวั อย่างเช่น

เม่ือคุณรูส้ ึกสงสยั ว่า คนคนหน่ึงกาลงั ปกปิดอะไรคุณบางอย่าง
คุณมที างเลอื กสามทางทล่ี ว้ นดูส้นิ หวงั ทง้ั หมด นนั่ คอื 1) ถามเขาตรง ๆ 2)ทาเป็น
เฉยๆ หรอื 3) พยายามหาขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ

เมอ่ื ใดก็ตามทค่ี ุณรูส้ กึ สงั หรณ์ใจว่ามคี นกาลงั ทาตวั ไม่ซอ่ื สตั ยก์ บั คุณ
เช่น ลูกชายวยั รุ่นของคุณอาจกาลงั ตดิ ยาเสพติด ลูกนอ้ งของคุณกาลงั ฉอ้ โกง
บริษทั เพอ่ื นของคณุ กาลงั ทรยศหกั หลงั คุณ หรือคนรกั ของคุณกาลงั ปนั ใจใหค้ น
อน่ื จงนากลวธิ ตี ่อไปน้ไี ปใชเ้พอ่ื ตรวจสอบดูว่าอกี ฝ่ายกาลงั คดิ และทาอะไรอยู่

1) ถามเขาตรง ๆ ถา้ คุณเลอื กทจ่ี ะเผชญิ หนา้ ดว้ ยการถามเขาตรง ๆ
ไม่เพยี งแต่คุณเท่านนั้ ทจ่ี ะทาใหอ้ ีกฝ่ายออกอาการปกป้องตวั เอง ทว่าคุณอาจดู
เหมอื นคนข้อี จิ ฉาหรอื ตตี นไปก่อนไข้ ถา้ กลบั กลายเป็นวา่ คณุ เองทเ่ี ขา้ ใจผดิ ผลท่ี
ตามมาคอื ความสมั พนั ธอ์ าจสะบนั้ ลงได้

2) ทาเป็ นเฉย ถา้ คุณเลอื กทจ่ี ะทาเป็นเฉยคุณเองก็อาจเป็นฝ้ายทต่ี อ้ ง
ซอกชา้ ใจในกรณีทอ่ี กี ฝ่ายคดิ รา้ ยต่อคุณจรงิ ๆ

3) พยายามหาขอ้ มูลเพ่ิมเติมและสุดทา้ ย ถา้ คุณเลอื กท่จี ะหาขอ้ มลู
เพ่มิ เตมิ คุณอาจเสยี เวลาและอาจทาใหค้ วามสมั พนั ธย์ า่ แย่ลงได้ ถา้ ถูกจบั ได้
ขณะทก่ี าลงั ทาตวั ลบั ๆ ลอ่ ๆ

(David J. Liebermam. (ม.ป.ป.)
แปลโดยพนู ลาภ อทุ ยั เลศิ อรุณ, น. 13-14)

หลงั จากทอ่ี ่านขอ้ ความดงั กลา่ วแลว้ สาระหลกั ของขอ้ ความทจ่ี บั ไดแ้ ละจดไว้ คือ
- เมอ่ื เราสงสยั วา่ มคี นกาลงั ปกปิดอะไรบางอย่าง มที างเลอื ก 3 ทางทจ่ี ะใหไ้ ดค้ วามจรงิ คอื
- ถามเขาตรง ๆ
- ทาเป็นเฉยๆ
- พยายามหาขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ
- แต่ทงั้ 3 วธิ นี ้ีลว้ นแลว้ แต่ไมด่ ี

ขนั้ ต่อไป หากจดประเด็นสาคญั เอาไว้ ผูอ้ ่านก็นาประเดน็ นนั้ มาวางโครงร่างแลง้ เขยี นเป็นขอ้ ความสน้ั ๆ จากนน้ั
จึงขดั เกลาภาษาท่บี นั ทกึ ไวก้ ่อนหนา้ ใหเ้ ป็นภาษาท่ดี ี ส่อื ความไดช้ ดั เจน จากขอ้ ความท่สี รุปสาระสาคญั ไวข้ า้ งตน้ เมอ่ื
เขยี นสรุปจะไดใ้ จความสาคญั ดงั น้ี

ห น้ า | 6

เมอื่ เราสงสยั ว่ามคี นกาลงั ปกปิดอะไรบางอย่าง มที างเลอื ก 3 ทางทจี่ ะใหไ้ ดค้ วามจริง คือถามเขาตรง ๆ
ทาเป็นเฉย ๆ หรือพยายามหาขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ แต่ทงั้ 3 วธิ นี ้ีลว้ นเป็นวธิ กี ารทไี่ มด่ ี

2) การอา่ นจบั ใจความสาคญั ในระดบั เร่อื งหรอื องคร์ วม ก่อนจะอ่านงานเขยี นหรอื หนงั สอื ทกุ ชนิดจาเป็นตอ้ ง
อ่านเพอ่ื จบั ใจความในระดบั เร่อื งหรอื การอ่านในองคร์ วมเสยี ก่อน เพอ่ื ทาความรูจ้ กั หนงั สอื เลม่ นนั้

วธิ กี ารอ่านจบั ใจความสาคญั ในระดบั เรอ่ื งหรอื องคร์ วม มดี งั น้ี
2.1) พลิกอ่านโดยเบ้ืองตน้ อ่านตงั้ แต่ปกหนา้ ปกหลงั ซ่ึงจะประกอบดว้ ยช่ือเร่ืองช่ือผูแ้ ต่ง

คาโปรยทงั้ ทป่ี กหนา้ และปกหลงั จะทาใหผ้ ูอ้ ่านเขา้ ใจเน้ือหาและแนวคดิ สาคญั เพราะวลหี รอื ประโยคในส่วนต่าง ๆ ของ
ปก จะเชอ่ื มโยงไปสูเ่ น้ือหาขา้ งในเลม่

2.2) อ่านขอ้ มูลส่วนตน้ และส่วนทา้ ยของหนังสือ ขอ้ มูลส่วนตน้ ไดแ้ ก่ คานา อาจมีทง้ั คานา
สานกั พิมพ์ คานาผูเ้ ขยี น บางเล่มอาจมคี านิยมดว้ ย ตลอดจนสารบญั และอ่านส่วนทา้ ยของหนงั สือประกอบดว้ ย
บรรณานุกรม บางเล่มอาจมภี าคผนวก ดชั นี ประวตั ิผูเ้ ขยี น และขอ้ มูลการประชาสมั พนั ธห์ นงั สอื ท่เี ก่ียวขอ้ งทงั้ ของ
ผูเ้ขยี นเองและผูผ้ ลติ

นอกจากน้ียงั ควรอ่านช่อื บทและหวั ขอ้ ต่าง ๆ ว่ามอี ะไรบา้ ง สมั พนั ธก์ บั สารบญั หรอื ไม่ซง่ึ ส่วนใหญ่ก็
จะสมั พนั ธก์ นั จะช่วยใหผ้ ูอ้ ่านเขา้ ใจเน้ือหาในองคร์ วมมากยง่ิ ข้นึ หากอ่านใหล้ ะเอยี ดยง่ิ ข้นึ โดยอ่านว่าบทหน่ึง หรอื ตอน
หน่ึง ๆ มปี ระเดน็ สาคญั อะไรบา้ ง มสี ่วนใดในหนา้ ทม่ี ขี อ้ ความซง่ึ ทาตวั หนาหรอื อยูใ่ นเครอ่ื งหมายอญั ประกาศ กจ็ ะทาให้
ผูอ้ ่านไดร้ บั ทราบใจความสาคญั มากข้นึ อกี

2.3) ผูท้ ่ียงั ไม่ชานาญในการอ่านอาจจะบนั ทึกหวั ขอ้ โดยย่อเอาไวก้ ็ได้ เพ่ือช่วยความจาหรือไว้
ทบทวนในโอกาสต่อไปได ้

การอ่านจบั ใจความสาคญั ในองคร์ วมจะช่วยใหผ้ ูอ้ ่านตดั สินไดว้ ่าหนงั สือหรืองานเขยี นนนั้ มคี ุณค่า
พอทจ่ี ะอ่านไดห้ รอื ไม่ ทง้ั ยงั จะช่วยใหท้ ราบว่าหากจะคน้ หาหนงั สอื ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งมาอ่านเพ่มิ เติม จะตอ้ งคน้ ไดจ้ ากหนงั สอื
ใดบา้ ง ทแ่ี หลง่ ใด เพราะในบรรณานุกรมของหนงั สอื จะบอกเอาไว้ นอกจากน้ียงั ช่วยประหยดั เวลา และหากไดบ้ นั ทึก
เอาไว้ กจ็ ะช่วยเกบ็ ความทรงจาไดอ้ กี ดว้ ย

ห น้ า | 7

แบบฝึ กหดั
บทท่ี 1

ความรูเ้ บ้อื งตน้ เก่ยี วกบั การอา่ นจบั ใจความสาคญั

จงตอบคาถามต่อไปน้ี

1) ใจความสาคญั คืออะไร

.................................................................................................................................................................................

2) การอ่านจบั ใจความสาคญั มกี ่ีวธิ ี อะไรบา้ ง

.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

3) โดยทวั่ ไปผกั ทข่ี ายตามทอ้ งตลาดส่วนใหญ่ เกษตรกรมกั ใชส้ ารกาจดั ศตั รูพชื หากไม่มคี วามรอบคอบในการใชจ้ ะทา
ใหเ้ กิดสารตกคา้ ง ทาใหม้ ปี ญั หาต่อสุขภาพฉะนนั้ เม่อื ซ้อื ผกั ไปรบั ประทานจึงควรลา้ งผกั ดว้ ยนา้ หลายๆครงั้ เพราะจะ
ช่วยกาจดั สารตกคา้ งไปไดบ้ า้ ง บางคนอาจแช่ผกั โดยใชน้ า้ ผสมโซเดียมไบคารบ์ อนเนตก็ได้ แต่อาจทาใหว้ ติ ามนิ ลดลง
จากขอ้ ความน้ีประโยคใจความสาคญั หรอื สาระหลกั อยู่ตาแหน่งใด

.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

4. งานอดเิ รกคืองานทไ่ี มใ่ ช่งานอาชพี โดยตรง แต่เป็นงานทค่ี นชอบทาเป็นพเิ ศษ เช่น นกั การเมอื งทช่ี อบเลน่ ดนตรี ย่อม
พอใจคนสนทนาทางดนตรมี ากกว่าทางการเมอื ง ครูทช่ี อบการเมอื ง ย่อมเอาใจใส่ทางการเมอื งมากกว่าการศึกษา รฐั บรุ ุษ
ทช่ี อบเลน่ ของเก่า ย่อมพอใจทางของเก่ามากกว่าการปกครอง นกั กฎหมายทส่ี นใจทางประวตั ศิ าสตร์ ย่อมพอใจสนทนา
ประวตั ิศาสตรม์ ากกว่าทางกฎหมาย รวมความว่า ตามปกตเิ ราพอใจสนทนาตอบขอ้ ความในเร่อื งงานอดเิ รกมากกว่าใน
งานทท่ี าอยู่จรงิ จากขอ้ ความน้ีประโยคใจความสาคญั หรอื สาระหลกั อยู่ตาแหน่งใด
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

ห น้ า | 8

5.การด่มื นา้ อดั ลมบางครง้ั อาจใหโ้ ทษ เพราะในนา้ อดั ลมมกี า๊ ซคารบ์ อนไดออกไซดอ์ ยู่มาก ทาใหผ้ ูด้ ่มื มลี มอดั แน่นอยู่ใน
กระเพาะ ก่อใหม้ อี าการทอ้ งอืด ทงั้ ยงั มสี ผี สมอยู่ อาจก่อใหเ้กดิ อนั ตรายต่อตบั หากด่มื ติดต่อกนั เป็นเวลานาน และมสี ี
ดงั กลา่ วสะสมอยู่ในตบั เป็นจานวนมากข้นึ นอกจากน้ีในนา้ อดั ลมยงั มสี ารคาเฟอีนผสมอยู่ คาเฟอนี เป็นสารเสพติดชนิด
หน่ึง สารน้ีกระตนุ้ ประสาทใหต้ ่นื ตวั มผี ลใหน้ อนไม่หลบั ได้ หรอื การบรโิ ภคมากเกินไปก็อาจบบี หวั ใจ และขอ้ สาคญั ใน
นา้ อดั ลมมนี า้ ตาลอยู่เป็นจานวนมาก ผูท้ ่ดี ่มื นา้ อดั ลมมากจึงทาใหน้ า้ หนกั ตวั เพ่มิ ข้นึ อย่างรวดเรว็ ซ่งึ อาจเป็นสาเหตุให้
เกดิ โรคตามมา เช่น เบาหวาน การด่มื นา้ อดั ลมเสมอจึงเป็นสง่ิ ท่คี วรหลกี เลย่ี ง จากขอ้ ความน้ีประโยคใจความสาคญั
หรอื สาระหลกั อยูต่ าแหน่งใด

.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

6.หนงั ใหญ่เป็นมหรสพทเ่ี ก่าแก่อยา่ งหน่ึงของไทย ซง่ึ ไดร้ บั การยกยอ่ งใหเ้ป็นมหรสพชน้ั สูง เน่ืองจากหนงั ใหญ่เป็นทร่ี วม
ของศิลปะทม่ี คี ุณค่าหลายแขนง ดงั มหี ลกั ฐานปรากฏตงั้ แต่สมยั สมเด็จพระเจา้ -อู่ทองและสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
แห่งกรุงศรอี ยุธยา แต่ดงั้ เดมิ การแสดงหนงั ใหญ่เป็นตน้ แบบของการเลน่ โขนในปจั จุบนั ซง่ึ ท่าทางการแสดง การพากย์
การเจรจา การใส่เคร่อื งประดบั ต่าง ๆ ประกอบใหผ้ ูแ้ สดงโขน และเน้ือเร่อื งท่แี สดงเคา้ เร่อื งเดมิ มาจากเร่อื งรามายณะ
ของอนิ เดยี เรยี กวา่ รามเกยี รต์ิ การแสดงหนงั ใหญ่กแ็ สดงเร่ืองรามเกียรต์ิ และแสดงเป็นตอน ๆ นอกจากจะมี ตวั หนงั
ออกมาเชดิ ยงั ตอ้ งมจี งั หวะในการเชดิ ดว้ ย นอกจากน้ียงั ตอ้ งมผี ูพ้ ากยเ์ จรจา ทาหนา้ ทพ่ี ูดแทนตวั หนงั และมวี งป่ีพาทย์
บรรเลงประกอบการแสดงดว้ ย หนงั ใหญ่เกิดจากการผสมผสานระหว่างศิลปะหลายแขนง จากขอ้ ความน้ีประโยค
ใจความสาคญั หรอื สาระหลกั อยูต่ าแหน่งใด

.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

7. “บางคนชอบปลูกไมด้ อกไมผ้ ล เมอ่ื เกิดดอกออกผลก็ช่ืนใจ เกิดความคิดท่จี ะทา้ ดอกผลนนั้ ใหง้ ดงาม น่าดูย่งิ ข้นึ
จึงมผี ูน้ า้ ผลไมม้ าประดษิ ฐล์ วดลายแลว้ จดั วางลงในภาชนะใหม้ องดูแปลกตาน่ารบั ประทาน ลวดลายนนั้ เกิดจากการตดั
ผ่า ปอก ควา้ น และแกะสลกั ส่วนไมด้ อกท่อี อกดอกกน็ า้ มาผูกมดั เป็นช่อบา้ ง เป็นพวงเป็นพ่บู า้ ง เสยี บเป็นพ่มุ หรอื ปกั
ลงในแจกนั กไ็ ดแ้ สดงว่าศิลปะกบั ชวี ติ เป็นสว่ นทแ่ี ยกกนั ไมอ่ อก” จากขอ้ ความน้ีประโยคใจความสาคญั หรอื สาระหลกั อยู่
ตาแหน่งใด
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

ห น้ า | 9

8. “ฝรงั่ นนั้ เขาภูมใิ จในการทท่ี า้ ผลสาเรจ็ ใหเ้กิดข้นึ ไดด้ ว้ ยตนเอง เดก็ ของเขาอาจจะเป็นลูกวุฒิสมาชกิ เมอ่ื โรงเรยี นปิด
เขาอาจจะไปเดินขายหนงั สอื พมิ พ์ พอโรงเรยี นเปิดเขาก็จะมาคุยกนั เขาถามกนั วา่ เออ้ เมอ่ื ตอนท่โี รงเรียนปิดนนั้ เธอไป
ทา้ อะไร เพ่อื นก็จะบอกว่าฉนั ไดไ้ ปทา้ งานหาเงนิ เองได้ เขาอาจจะเป็นลูกผูใ้ หญ่ทางการเมอื ง เขาจะบอกว่าฉนั ไปขาย
หนงั สอื พมิ พท์ า้ เงนิ ได้ เขาภูมใิ จท่ที า้ งานสรา้ งผลสาเรจ็ ไดเ้ องหรือถา้ ไปเท่ยี วเขากภ็ ูมใิ จทจ่ี ะเลา่ ว่าไดไ้ ปในสถานทแ่ี ปลก
ๆ ไดผ้ จญภยั ไดท้ า้ อะไร ๆ สาเรจ็ ทเ่ี ป็นเรอ่ื งไดแ้ สดงความสามารถ ซง่ึ ไม่ไดเ้ป็นการอวดโอแ้ ขง่ ฐานะ แต่ของเราน่ีมกั จะ
เนน้ ในเร่อื งของความอวดโก้ อวดฐานะกนั อวดความฟ้งุ เฟ้อ หรูหราว่าพอฉนั มมี าก ฉนั ไดใ้ ชม้ าก เดก็ ฝรงั่ ภมู ใิ จว่าฉนั
ไดใ้ ชอ้ ะไรทฉ่ี นั ทา้ มาเอง เด็กไทยยุคใหม่ภูมใิ จว่าฉนั ไมต่ อ้ งทา้ อะไร ฉนั ก็มใี ชเ้ อง เขาคุยว่าไดท้ า้ ไดผ้ ลติ มาก เราอวดวา่
ฉนั ไดใ้ ชไ้ ดบ้ รโิ ภคมาก” จากขอ้ ความน้ีประโยคใจความสาคญั หรอื สาระหลกั อยู่ตาแหน่งใด

.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

9.การสรา้ งศกั ยภาพของตนใหเ้ขยี นไดเ้ขยี นเป็นนนั้ ตอ้ งเร่มิ ตน้ ดว้ ยการฝึกฝนจากการเขยี นบนั ทกึ ประจาวนั เก่ยี วกบั ตวั
เราเอง เพราะเป็นสง่ิ ทเ่ี รารูด้ ีทส่ี ุด น่าจะทาใหเ้ขยี นไดค้ ล่องและการเขยี นเก่ยี วกบั ตวั เราเองกค็ งไม่ตดิ เร่อื งถอ้ ยคาภาษา
แต่อย่างใด จะเขยี นอะไรก็ลน่ื ไหลและคลอ่ งมอื หากฝึกบ่อยบอ่ ยและสมา่ เสมอก็จะกลายเป็นนิสยั รกั การเขยี นในท่สี ุด
จากขอ้ ความน้ีประโยคใจความสาคญั หรอื สาระหลกั อยู่ตาแหน่งใด

.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

10. ปจั จบุ นั คนทวั่ โลกเป็นไขม้ าเลเรียปีละ 250 ลา้ นคนและเสยี ชีวติ ปีละ 1 ลา้ นคน แต่ในประเทศไทยไขม้ าเลเรยี ไมใ่ ช่
ปญั หาในเชิงปริมาณ เพราะขอ้ มูลจากกรมควบคุมโรค ระบุว่าจานวนผูป้ ่วยไขม้ าเลเรียลดลงแต่กลบั มแี นวโนม้ ด้อื ยา
มากข้นึ เป็นท่รี ูก้ นั ในวงการแพทยว์ ่าเช้อื มาลาเรียบริเวณชายแดนไทย-กมั พูชานนั้ เป็นเช้อื พนั ธุพ์ เิ ศษท่มี คี วามแขง็ แรง
ทนทานและปรบั ตวั ต่อยาไดเ้ ร็ว จนองการอนามยั โลกตอ้ งท่มุ เททรพั ยากรเพอ่ื พยายามสกดั กน้ั การแพร่ขยายของเช้ือ
พนั ธุน์ ้ีไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของโลก เพราะหากไมส่ ามารถสกดั กน้ั ไดน้ นั้ หมายถงึ หายนะครงั้ ใหญ่เลยทเี ดียว จากขอ้ ความน้ี
ประโยคใจความสาคญั หรอื สาระหลกั อยู่ตาแหน่งใด

.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

ห น้ า | 10

แบบทดสอบ
บทท่ี 1

ความรูเ้ บ้ืองตน้ เก่ยี วกบั การอา่ นจบั ใจความสาคญั

SCAN HERE

ห น้ า | 11

แบบทดสอบ
บทท่ี 1 ความรูพ้ ้นื ฐานเกย่ี วกบั การอา่ นจบั ใจความ

คาสงั่ ใหผ้ ูเ้ รยี นเลอื กคาสงั่ ท่ถี กู ตอ้ งทส่ี ุดเพยี งขอ้ เดียว

จงอา่ นขอ้ ความตอ่ ไปน้ี แลว้ ตอบคาถามขอ้ 1-2

อาหารคลนี
ย่อหนา้ ท่ี 1 อาหารคลีน (Clean Food) คืออาหารท่ีเนน้ ธรรมชาติของอาหารชนิดน้ัน ๆ โดยผ่าน
กระบวนการปรุงแต่งและการแปรรูปเพียงนอ้ ยนิด เป็นอาหารท่ลี ว้ นแลว้ แต่เป็นส่งิ ท่มี ปี ระโยชนต์ ่อร่างกาย ไม่
เสริม หรือดดั แปลงผ่านกรรมวิธีอะไรท่มี ากมาย อีกทงั้ ตอ้ งสดสะอาด ไม่ใส่สารกนั บูด ไม่เค็มหรือหวานจดั
ตวั อย่างเช่น หากเป็นผลไมก้ ็จะรบั ประทานแบบผลสดไม่นาไปดองหรือแช่อ่ิมหรือหากเป็นเน้ือสตั วก์ ็ ตอ้ งเป็น
เน้ือสตั วท์ ่ไี ม่ติดมนั ขาหมู คากิ ตดั ออกไปไดเ้ ลย เป็นตน้ ซง่ึ อาหารคลนี นน้ั อาจจะมรี สชาติท่ไี ม่ไดจ้ ดั จา้ นแบบ
อาหารปกตสิ กั เทา่ ไหร่ แต่กไ็ มไ่ ดจ้ ดื ชดื จนรบั ประทานไมไ่ ดเ้ลย
ย่อหนา้ ท่ี 2 การรบั ประทานอาหารคลนี นนั้ ไมจ่ าเป็นตอ้ งบริโภคผกั หรอื ผลไมเ้พยี งเดียว แต่ตอ้ งรบั ประทานให้
ครบทงั้ 5 หมู่ในปริมาณท่ีพอเหมาะพอดีกบั ท่ีร่างกายตอ้ งการดว้ ย ซ่ึงส่วนน้ีเองท่ีมีส่วนแตกต่างจากการ
รบั ประทานมงั สวริ ตั ิ

ทม่ี า:“อาหารคลนี (Clean Food) คอื อะไร มาเรม่ิ ตน้ ทานอาหารเพอ่ื สขุ ภาพ”
https://health.kapook.com/view92784.html เขา้ ถงึ เมอ่ื วนั ท่ี 1 กรกฎาคม 2564

1) ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ ง
1. อาหารคลนี มรี สชาตจิ ดั จา้ นและไมไ่ ดจ้ ดื ชดื
2. อาหารคลนี สามารถใสส่ ารกนั บูดเพอ่ื ใหส้ ดสะอาดเสมอ
3. การรบั ประทานอาหารคลนี ตอ้ งรบั ประทานอาหารมงั สวริ ตั ิ
4. กระบวนการปรุงแต่งและการแปรรูปเป็นกระบวนการสาคญั ของอาหารคลนี

2)ใจความสาคญั ของเร่อื งน้ีอยู่ในยอ่ หนา้ ใด
1. ไมป่ รากฏประโยคใจความสาคญั
2. ย่อหนา้ ท่ี 1 ใจความสาคญั อยูต่ อนตน้
3. ยอ่ หนา้ ท่ี 2 ใจความสาคญั อยูต่ อนตน้
4. ยอ่ หนา้ ท่ี 2 ใจความสาคญั อยูต่ อนทา้ ย

ห น้ า | 12

จงอ่านขอ้ ความต่อไปน้ี แลว้ ตอบคาถามขอ้ 3 - 4

การอบรมสงั่ สอนลูกทเ่ี คร่งครดั มากมายเกนิ ไป กอ็ าจเป็นผลรา้ ยไดเ้ หมอื นกนั เพราะฉะนนั้ วธิ ีเล้ยี งลูกทด่ี ีก็
คือ เดินตามทางสายกลาง อย่าใหต้ ึงหรือหย่อนเกินไป ควรเปิดโอกาสใหเ้ ด็กหรือลูกไดใ้ ชค้ วามคิด ไดท้ ดลอง
ไดม้ ปี ระสบการณ์ต่าง ๆ ไดร้ ูว้ ธิ ชี ่วยตวั เอง ไดฝ้ ึกแกป้ ญั หาของตวั เองใหม้ าก สว่ นทจ่ี ะควบคุมกนั ควรเป็นเรอ่ื งกรอบ
ของกฎหมายและศีลธรรมเท่านนั้ การเสริมใหเ้ ขาไดท้ ากิจกรรมท่เี ป็นประโยชน์ท่เี ขาพอใจใหม้ าก ย่อมดีกว่าการ
ตง้ั แต่ขอ้ หา้ ม หรอื การใหท้ าตามคาสงั่ แต่ฝ่ายเดยี ว

3)ขอ้ ใดเป็นวธิ กี ารอบรมบตุ รทด่ี ี
1. สอนใหร้ ูจ้ กั ตนเอง
2. สอนใหม้ ปี ระสบการณ์
3. สอนใหอ้ ยูใ่ นกรอบศีลธรรม
4. อย่าบงั คบั และตามใจเกนิ ไป

4)ใจความสาคญั ของขอ้ ความทอ่ี ่านคอื ขอ้ ใด
1. การปลูกฝงั คุณธรรมใหเ้ดก็ เป็นเรอ่ื งสาคญั มากกว่าเรอ่ื งอ่นื ๆ
2. การดูแลบุตรหลานควรเดนิ สายกลางเพราะเด็กสมยั น้ีมอี สิ ระทางความคิด
3. การอบรมสงั่ สอนเดก็ ๆ ตอ้ งมคี วามยดื หยุน่ และปลูกฝงั ในเร่อื งของคุณธรรม
4. การเล้ยี งลูกทด่ี จี ะตอ้ งนาหลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนาเร่อื งทางสายกลาง

5)ขอ้ ใดไมม่ คี วามเกย่ี วขอ้ งกบั การอ่านจบั ใจความสาคญั
1. ใจความสาคญั คอื ความคดิ สาคญั หรอื ประเดน็ สาคญั ของเร่อื ง
2. การจบั ใจความสาคญั เป็นทกั ษะทต่ี อ้ งฝึกฝนบอ่ ย ๆ จนเป็นนิสยั
3. การจบั ใจความสาคญั ไมจ่ าเป็นตอ้ งเตรยี มความพรอ้ มก่อนการอ่าน
4. การจบั ใจความสาคญั สามารถทาไดท้ ง้ั การรบั สารดว้ ยการอ่านและการฟงั

6)ขอ้ ใดเป็นแนวคดิ ของขอ้ ความต่อไปน้ี

“การบารุงพ่อแม่ไม่ตอ้ งรอจนพ่อแม่แก่เฒ่า ลูกประพฤติตวั ดีไม่ทาใหพ้ ่อแม่เดือดรอ้ นหรือ
หนกั ใจตรงกนั ขา้ มนาความปล้มื ปีตมิ าสู่พ่อแม่ แค่นนั้ ก็ถอื ไดว้ ่าเป็นการบารุงพ่อแม่ไดอ้ ย่างหน่ึงคือ
บารุงหวั ใจ”

1. ความภมู ใิ จของพอ่ แม่ 2. ความรบั ผดิ ชอบของลูกทด่ี ี
3. การตอบแทนพระคุณพอ่ แม่ 4. การระลกึ ถงึ พระคุณของบดิ ามารดา

ห น้ า | 13

จงอ่านย่อหนา้ ตงั้ แต่ขอ้ 7 -10 แลว้ พจิ ารณาว่ามสี าระหลกั อยู่ในตาแหน่งใดของย่อหนา้

1. สาระหลกั อยูต่ อนตน้ ของยอ่ หนา้
2. สาระหลกั อยู่ตอนกลางของย่อหนา้
3. สาระหลกั อยูต่ อนทา้ ยของย่อหนา้
4. สาระหลกั อยูต่ อนตน้ และตอนทา้ ยของย่อหนา้
5. ไมม่ สี าระหลกั

7) การมสี ติเป็นหวั ใจในการกระทาของทุกส่งิ ทุกอย่างเพ่อื ใหป้ ระสบผลสาเรจ็ การมสี ตไิ ม่ใช่เพยี งแค่การจดั การ
ทางอารมณค์ วามรูส้ กึ เท่านน้ั แต่การมสี ตยิ งั เก่ยี วโยงกบั การดารงชวี ติ ของเราในแต่ละวนั เช่น เราทาอาหาร ถา้ ทาอาหาร
อยา่ งมสี ติ อาหารจะมรี สชาติทถ่ี กู ตอ้ งตามแบบทค่ี วรจะเป็น แต่ถา้ ปรุงดว้ ยอารมณ์ทแ่ี ตกต่าง รสชาตอิ าหารกจ็ ะต่างกนั
ถา้ รูจ้ กั ครองสติ สตจิ ะแปรเปลย่ี นเป็นปญั ญาทาใหส้ ามารถทาสง่ิ ต่าง ๆ ไดส้ าเรจ็ ลุลว่ งในทส่ี ุด

8) วธิ กี ารใชว้ า่ นหางจระเขร้ กั ษาแผลไฟไหมแ้ ละนา้ รอ้ นลวกทถ่ี กู ตอ้ งนนั้ คือ เมอ่ื มแี ผลเกดิ ข้นึ จากสาเหตดุ งั กล่าว
ใหใ้ ชผ้ า้ ชุบนา้ ทาความสะอาดแผลก่อนเพ่อื ลดอุณหภูมิ แลว้ เอาว่านหางจระเขม้ าลา้ งนา้ ใหส้ ะอาด ปอกเปลอื กออก
แลว้ ลา้ งใหห้ มดยาง ใหเ้หลอื แต่ส่วนทเ่ี ป็นเหมอื นวุน้ จากนนั้ กห็ นั่ เน้ือของว่านเป็นช้นิ โดยใหม้ คี วามยาวพอเหมาะท่ี
จะปิดแผล จากนนั้ ใชผ้ า้ ปิดแผลทบั ดา้ นบน แลว้ จึงพนั ดว้ ยผา้ พนั แผล และตอ้ งคอยสงั เกตดู ถา้ เมอื กของว่านหาง
จระเขแ้ หง้ กใ็ หเ้ปลย่ี นใหม่ และตอ้ งลา้ งยางใหห้ มด มฉิ ะนน้ั จะเป็นอนั ตรายได้

9) การอาบนา้ สุนขั ถือเป็นเร่ืองสาคญั ถา้ ไม่ระวงั อาจทาใหส้ ุนขั ป่วยไดเ้ พราะอุณหภูมิร่างกายสุนขั นนั้ สูงกว่า
คนเรา นา้ ท่เี ราคิดว่าเยน็ ไม่มากอาจจะเยน็ เกินไปสาหรบั สุนขั จงึ ควรอาบนา้ ใหม้ นั ในช่วงกลางวนั ขณะท่นี า้ และอากาศ
ไม่เยน็ มาก หลงั จากอาบเสร็จ ใหเ้ช็ดตวั สุนัขใหแ้ หง้ ถา้ เป็นสุนขั ทข่ี นยาวก็อาจใชเ้ คร่อื งเป่าผมเพ่อื ช่วยใหส้ ุนขั ไมห่ นาว
มากเกินไป ถา้ ทาความสะอาดขนของมนั เป็นอย่างดี อาจไม่ตอ้ งอาบนา้ บ่อยก็ได้ ควรถูสบู่เม่อื ขนของมนั สกปรกมาก
มกี ลน่ิ ตวั หรือมหี มดั เท่านนั้ อย่าอาบนา้ ใหส้ ุนขั เกินสปั ดาหล์ ะ 1-2 ครง้ั เพราะถา้ อาบบอ่ ยเกินไปอาจทาใหผ้ วิ หนงั ของ
สุนขั แหง้ และคนั ซง่ึ จะมปี ญั หาโรคผวิ หนงั ตามมา และในขณะอาบนา้ ควรระวงั อย่าใหน้ า้ เขา้ หูสุนขั ดว้ ย

10) ริมฝีปากมคี วามสาคญั ไม่แตกต่างจากผิวพรรณในส่วนอ่ืนของร่างกาย ริมฝีปากเป็นผิวหนงั ส่วนท่ีมเี ย่อื บุ
เสน้ เลอื ดและเสน้ ประสาทจานวนมาก แต่ทว่าผวิ บริเวณริมฝีปากกลบั ไมม่ ตี ่อมไขมนั และต่อมเหงอ่ื จึงทาใหไ้ ม่สามารถ
สรา้ งเกราะป้องกนั ความช่มุ ช้นื ได้ ส่งผลทาใหร้ ิมฝีปากแหง้ ไดม้ ากกว่าผวิ หนงั ถงึ 6 เท่า ดงั นนั้ ริมฝีปากจงึ เป็นผวิ หนงั
สว่ นทบ่ี อบบางและตอ้ งการการดูแลเป็นพเิ ศษมากกวา่ ผวิ บริเวณอ่นื ก่อนนอนจงึ ควรทาลปิ บาลม์ หรอื ข้ผี ้งึ เพอ่ื ช่วยเตมิ
ความช่มุ ช้นื อย่างต่อเน่ืองเป็นประจา นอกจากน้ียงั ควรรบั ประทานอาหาร ผกั และผลไมท้ ่มี วี ติ ามนิ ซแี ละบสี ูง รวมถงึ
การดม่ื นา้ สะอาดในปรมิ าณทม่ี ากพอต่อความตอ้ งการของร่างกายในแต่ละวนั เพยี งเทา่ น้ีกจ็ ะช่วยใหร้ ิมฝีปากของคุณดู
อวบอ่มิ สดใสไปอกี นาน

ห น้ า | 14

ห น้ า | 15

บทท่ี 2
การอา่ นจบั ใจความจากข่าว

การอ่านขา่ วเป็นการอ่านเพ่อื เพม่ิ ความรอบรู้ การรบั รูข้ อ้ มลู ความเปลย่ี นแปลงของโลกเป็นสง่ิ ท่ผี ูอ้ ่านควรจะ
อ่านเป็นประจาเพ่อื จะเป็นคนท่ีทนั ต่อเหตุการณ์ ปจั จุบนั ผูอ้ ่านสามารถอ่านข่าวไดจ้ ากหลายแหล่งไม่ว่าเป็น ข่าวจาก
หนงั สอื พมิ พ์ หรือข่าวจากอินเทอรเ์ น็ต ก็ข่าวถอื ว่าเป็นขอ้ มลู “สาธารณะ” ทเ่ี สนอใหผ้ ูอ้ ่านกลุม่ ใหญ่ไดร้ บั ขอ้ มลู ดงั นน้ั
การจะรบั สารจากข่าวส่งิ ท่ผี ูอ้ ่านควรจะพิจารณาคือขอ้ เท็จจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ และขอ้ คิดเหน็ ท่ปี รากฏอยู่ในข่าว
และทส่ี าคญั การอ่านขา่ วควรเลอื กอ่านจากหลายแหลง่ ขอ้ มลู เพอ่ื ตรวจสอบความน่าเช่อื ถอื ของเน้ือหา ซง่ึ จะช่วยใหผ้ ูอ้ ่าน
ขา่ วรบั ขอ้ มลู ทถ่ี กู ตอ้ งตรงกบั ความจรงิ มากทส่ี ุด

ความหมายของข่าว
ขา่ ว หมายถงึ การรายงานเหตกุ ารณ์หรือเร่อื งราวท่เี กดิ ข้นึ ซ่งึ อยู่ในความสนใจใคร่รูข้ องประชาชน อาจะเป็น

เหตกุ ารณ์ท่มี ผี ลกระทบต่อชีวติ ความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ หรอื เป็นเหตกุ ารณท์ ่เี กดิ แลว้ ทาใหป้ ระชาชนสนใจ
อยากตดิ ตาม

หลกั การอา่ นจบั ใจความจากข่าว
ปจั จบุ นั ขา่ วท่ปี รากฏอยู่ในหนา้ หนงั สอื พมิ พห์ รอื จากอินเทอรเ์ น็ตมเี น้ือข่าวหลากหลายดา้ น ทงั้ ข่าวทวั่ ไป ข่าว

บนั เทงิ ข่าวการเมอื ง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการศึกษา นอกจากน้ียงั มบี ทความพิเศษ การอ่านข่าวอาจจะใชห้ ลกั การจบั
ใจความอยา่ งกวา้ ง ๆ ดงั น้ี

1) เลอื กประเภทของข่าว
1.1 ข่าวการเมือง คือข่าวท่ีนาเสนอเก่ียวกบั ความเคล่ือนไหวของพรรคการเมือง นกั การเมือง

กระบวนการต่าง ๆ ทางการเมอื ง
1.2 ข่าวเศรษฐกิจ คือข่าวความเคล่อื นไหวทางเศรษฐกิจ การเงนิ ราคาสินคา้ ดชั นีท่ใี ชว้ ดั ค่าทาง

เศรษฐกจิ ต่าง ๆ
1.3 ข่าวอาชญากรรม คือขา่ วทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั คดอี าชญากรรมต่าง ๆ เช่น การฆาตกรรม การใชค้ วาม

รุนแรง ทารา้ ยร่างกาย ขม่ ขนื มจิ ฉาชพี ยาเสพตดิ การเขา้ จบั กมุ คนรา้ ย ซง่ึ ขา่ วประเภทน้ีกเ็ ป็นขา่ วทม่ี กั จะมคี นนิยมอ่าน
1.4 ข่าวบนั เทงิ คือข่าวทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั เร่อื งราวในวงการบนั เทงิ ของดารา นกั รอ้ ง ศิลปิน ผูท้ ่เี ป็นท่ชี ่นื

ชอบ รวมถงึ เร่อื งซบุ ซบิ ในวงการดว้ ย และเป็นขา่ วทค่ี นนิยมอ่านมากท่สี ุด
1.5 ข่าวกฬี า คือข่าวท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การรายงานเร่อื งกฬี าประเภทต่าง ๆ เช่น ฟตุ บอล มวย บาสเก็ต

บอล เทควนั โด วอลเล่บอล ฯลฯ ข่าวประเภทน้ีจะไดร้ บั ความนิยมมากถา้ อยู่ในช่วงการแข่งขนั กีฬาใหญ่ ๆ เช่น
โอลมิ ปิก หรอื ฟตุ บอลโลก

1.6 ข่าวต่างประเทศ คือ ขา่ วทน่ี ่าสนใจจากทกุ ประเทศทวั่ โลก

ห น้ า | 16

2) พจิ ารณาโครงสรา้ งการเขียนข่าว เพ่อื ทจ่ี ะอ่านจบั ใจความใหไ้ ดส้ าระสาคญั อย่างตรงไปตรงมา การเขา้ ใจ
โครงสรา้ งการเขยี นขา่ วจงึ เป็นสง่ิ ทค่ี วรพจิ ารณา ดงั น้ี

2.1 พาดหวั ข่าว เป็นจดุ บอกใจความสาคญั ทส่ี ุดของขา่ วไดช้ ดั เจนและรวดเรว็ ท่สี ุด เพราะจะประมวล
หวั ใจของข่าวทง้ั หมดมาเสนอไวอ้ ย่างสนั้ ๆ เป็นอนั ดบั แรก หากไดใ้ จความสาคญั ชดั เจนเพยี งพอแก่ความตอ้ งการแลว้
ไม่ตอ้ งอ่านส่วนอ่ืนอีกก็ได้ แต่ถา้ ยงั ไม่ชดั เจนหรือตอ้ งการรายละเอียดเพ่ิมเติมก็พิจารณาท่ีพาดหวั ข่าวรอง ( Sub
headline) และสว่ นประกอบอน่ื ต่อไป

2.2) ความนาหรอื วรรคนา เป็นส่วนท่อี ยู่ต่อเร่อื งจากพาดหวั ขา่ วและพาดหวั ขา่ วรอง โดยผูเ้ขยี นข่าว
จะจบั ประเด็นสาคญั ของเหตุการณ์ทง้ั หมดมารายงานใหผ้ ูอ้ ่านรบั รูท้ นั ทอี ย่างสนั้ ๆ ว่า มอี ะไรเกดิ ข้นึ บา้ ง แมก้ ารเขยี น
ความนาสามารถทาไดห้ ลายแบบ แต่ท่ีนิยมกนั มากและเป็นพ้ืนฐานการเขียนข่าวทวั่ ไป ไดแ้ ก่ แบบสรุปความ
(Summary Lead) ซง่ึ ไดแ้ ก่การบอกใหท้ ราบว่า ใคร (Who) ทาอะไร (What) ทไ่ี หน (Where) เมอ่ื ไหร่ (When) ทาไม
(Why) และอย่างไร (How) หรอื เขยี นเป็นสูตรงา่ ย ๆ ว่า 5W1H

การเขยี นความนาหรอื วรรคนาแต่ละครงั้ ไมจ่ าเป็นจะตอ้ งตอบคาถามทกุ ประเดน็ ตามสูตร 5W1H แต่
อาจเลอื กบอกเฉพาะประเดน็ ทส่ี าคญั และคาดว่าผูอ้ ่านอยากรูม้ ากทส่ี ุดเท่านนั้ ก็ได้

อย่างไรกต็ าม การเขยี นความนาหรอื วรรคนาแต่ละครงั้ อาจไมส่ ามารถเกบ็ สาระสาคญั ของขา่ วทงั้ หมด
ไวไ้ ดใ้ นตอนเดียว จึงมกี ารเพ่มิ ส่วนท่ีโยงความสมั พนั ธร์ ะหว่างความนากบั เน้ือข่าวใหช้ ดั เจนไวอ้ ีกตอนหน่ึงเรียกว่า
“ส่วนเชอ่ื ม” (Bridge) ซง่ึ มกั มคี วามยาวไมม่ ากนกั และในปจั จบุ นั กไ็ มไ่ ดน้ ิยมใชก้ นั ทวั่ ไป ยกเวน้ เฉพาะทจ่ี าเป็นเท่านน้ั

2.3 เน้ือข่าว เป็นรายละเอยี ดของเหตุการณ์หรอื เร่อื งราวทเ่ี กดิ ข้นึ โดยมรี ูปแบบการนาเสนอไดห้ ลาย
อยา่ ง เช่น เรยี งลาดบั ตามความสาคญั ของเหตกุ ารณห์ รอื เรียงลาดบั ตามระยะเวลาทเ่ี กิดเหตกุ ารณ์ เป็นตน้ แต่ทน่ี ิยมใช้
กนั มากท่สี ุด คือ การรายงานขา่ วโดยเรียงลาดบั ตามเหตุการณ์สาคญั มากไปยงั เหตุการณ์สาคญั นอ้ ย เพอ่ื ใหผ้ ูอ้ ่านจบั
สาระสาคญั ของขา่ วไดร้ วดเรว็ ทส่ี ุดโดยใชเ้วลาอ่านนอ้ ยท่สี ุด

3) พจิ ารณารูปแบบการเขยี นข่าว
3.1 แบบพรี ะมิดหวั กลบั เป็นการเขยี นขา่ วทเ่ี รียงลาดบั จากส่วนท่สี าคญั ทส่ี ุดไปถงึ ส่วนทส่ี าคญั นอ้ ย

ทส่ี ุด รูปแบบการเขยี นขา่ วลกั ษณะน้ีนิยมใชก้ นั มากทส่ี ุดในปจั จบุ นั เพราะเรยี กรอ้ งความสนใจไดด้ ี ผูอ้ ่านจบั สาระสาคญั
ของขา่ วไดร้ วดเรว็ สะดวกสาหรบั ผูอ้ ่านทม่ี เี วลานอ้ ย ในขณะทผ่ี ูจ้ ดั ทาหนงั สอื พมิ พก์ ส็ ะดวกในการปรบั ตน้ ฉบบั ของขา่ ว
ใหเ้หมาะสมกบั เน้ือหาของหนงั สอื พมิ พด์ ว้ ย

พาดหวั ขา่ ว
ความนา
เนอื้ ขา่ ว
เนอื้ ขา่ ว
เนอื้ ขา่ ว

ห น้ า | 17

ตวั อย่าง ความนา

ผอ. กองแรงงานสมั พนั ธช์ ้ปี ญั หาพพิ าทแรงงานมแี นวโนม้ ลดลง ลูกจา้ ง – นายจา้ งเขา้ ใจกนั มากข้นึ

เนอื้ ขา่ ว 1

นายประสงค์ รณะนนั ทน์ ผูอ้ านวยการกองแรงงานสมั พนั ธเ์ ผยถึงแนวโนม้ ของการเกิดขอ้ พพิ าทแรงงานว่า
หากเปรยี บเทยี บจากสถติ ิแลว้ ในปี 2527 มขี อ้ พพิ าทแรงงานเกดิ ข้นึ ทวั่ ประเทศ 86 ราย เกดิ ข้นึ ใน กทม. 42 ราย แต่ใน
ปี 2528 เกิดข้นึ 175 ราย เกิดข้นึ ใน กทม. 139 ราย อย่างไรก็ตามจานวนดงั กลา่ วเป็นขอ้ พพิ าทขององคก์ ารขนส่งทาง
นา้ ถงึ 90 ราย ซง่ึ หากหกั ออกแลว้ สถติ ดิ งั กลา่ วมแี นวโนม้ ลดลง

เนอื้ ขา่ ว 2

“สาหรับการนัดหยุดงานและปิ ดงาน งดจา้ งซ่ึงถือว่าเป็ นเร่ืองสาคัญน้ันสามารถลดลงไปไดม้ าก ”
นายประสงคก์ ลา่ วและว่า จากสถติ ใิ นปี 2527 มกี ารหยุดงานทวั่ ประเทศ 17 ครงั้ เป็นการหยุดงานใน กทม.4 ครงั้ ปิด
งานงดจา้ งทวั่ ประเทศ 10 ครงั้ ในครง้ั กทม. 3 ครงั้ แต่ในปี 2528 จนถงึ เดอื นตลุ าคม มกี ารหยุดงานเพยี ง 4 ครงั้ ใน
กทม. 1 ครงั้ ปิดงานงดจา้ งทวั่ ประเทศ 3 ครงั้ ใน กทม. 2 ครงั้ จะเหน็ ไดว้ ่าแนวโนม้ ในเร่อื งดงั กล่าวดีข้นึ มาก สาเหตุ
เน่ืองมาจากนายจา้ งและลูกจา้ งมคี วามเขา้ อกเขา้ ใจกนั มากข้นึ มกี ารสอ่ื สารใหร้ ูส้ ภาพปญั หาของงานไดด้ ขี ้นึ

(หนงั สอื พมิ พม์ ตชิ น 26 ธนั วาคม 2528)

3.2 แบบพีระมิดหวั ตง้ั การเขยี นข่าวแบบน้ีตรงขา้ มกบั แบบพีระมิดหวั กลบั โดยจะเร่ิมจากการ
รายงานขอ้ เทจ็ จริงทม่ี คี วามสาคญั นอ้ ยไวใ้ นตอนตน้ จากนน้ั จะค่อย ๆ เสนอขอ้ เทจ็ จริงท่มี คี วามสาคญั เพ่มิ ข้นึ เร่อื ย ๆ
จนถงึ ย่อหนา้ สุดทา้ ยซง่ึ เป็นฐานพรี ะมดิ จะเป็นช่วงทเ่ี สนอขอ้ เทจ็ จรงิ ทม่ี คี วามสาคญั ทส่ี ุด

การเขยี นขา่ วแบบน้ีใชก้ นั มากในการเขยี นขา่ วสน้ั ๆ ซ่งึ มี เน้ือหาไม่เคร่งเครียด หรือไมม่ เี น้ือข่าวทส่ี าคญั มาก
นกั หากผูเ้ขยี นเปิดเผยจุดสาคญั ของเร่อื งเสยี แต่แรกแลว้ ก็อาจไมม่ ใี ครอ่านรายละเอียดของขา่ วก็ได้ ฉะนน้ั การเขยี น
หน่วงเหน่ียวความสนใจของผูอ้ ่านเป็นช่วง ๆ จนกวา่ จะจบจงึ เหมาะสมและน่าสนใจกวา่

ห น้ า | 18

ความนา
เน้ือขา่ ว
เน้ือขา่ ว
จดุ สาคญั

แบบพรี ะมิดหวั ต้ัง

ตวั อยา่ ง

ความนา

ศาสตราจารยน์ ายแพทยป์ ระเวศ วะสี อดีตหมอแมกไซไซ ใหส้ มั ภาษณ์ “เดลินิวส”์ เม่ือเร็ว ๆ น้ี กรณี
ประชาชนพากนั หวาดวติ กเป็นอยา่ งมาก เมอ่ื พบตนเองเป็นไวรสั ลงตบั หรอื โรคตบั อกั เสบ บางคนถงึ กบั ตอ้ งเสยี ค่าใชจ้ ่าย
เป็นจานวนมากเพอ่ื การตรวจรกั ษา ซง่ึ หมอประเวศกลา่ วตงิ ว่าอย่าไดต้ ระหนก เพราะโรคดงั กลา่ วน้ีจะเรม่ิ ตน้ ดว้ ยอาการ
ไข้ 3 วนั แรก หลงั จากนนั้ ไขล้ ดลงและอาการเด่นคือตวั เหลืองหรือตาเหลอื งท่เี รียกว่า ดีซ่าน จะเขา้ มาแทนท่ี ซ่งึ ไม่
จาเป็นตอ้ งนอนพกั รกั ษาตวั ท่โี รงพยาบาลเสยี ค่าใชจ้ ่ายแพง ๆ เพราะอาการดังกล่าวน้ีจะหายไปเอง เน่ืองจากร่างกายได้
สรา้ งภมู คิ ุม้ กนั ข้นึ มาแทนท่ี โดยปกติในร่างกายมนุษยน์ น้ั มไี วรสั อยู่ 10% และ 90% ของคนไขเ้ป็นตบั อกั เสบแลว้ มกั
หายเอง นอกจากบางรายอาการหนกั มากจาเป็นตอ้ งส่งเขา้ โรงพยาบาล

เนอื้ ขา่ ว

หมอประเวศ ช้แี จงเพม่ิ เตมิ ว่าสาเหตขุ องโรคตบั อกั เสบหรอื ไวรสั ลงตบั นนั้ เกดิ จากการขาดการดูแลดา้ นความ
สะอาดของอาหารการกิน เคร่ืองมือใชส้ อยต่าง ๆ เช่นเดียวกบั โรคทอ้ งร่วง หรือไทยฟอยดอ์ นั เป็นโรคเขตรอ้ น
นอกจากน้ีตบั อกั เสบยงั เกิดจากสาเหตุการใชเ้ ขม็ ฉีดยาสกปรก โดยเฉพาะพวกติดยาเสพติดและบรรดาหมอเถอ่ื นท่ีใช้
เขม็ ฉีดยาไมส่ ะอาดทาใหค้ นไขใ้ นชนบทเป็นโรคน้ีกนั มาก

ห น้ า | 19

เนอื้ ขา่ ว
จดุ สาคญั

สาหรบั การป้องกนั โรคดงั กล่าวน้ีตอ้ งรกั ษาความสะอาดทง้ั สุขภาพร่างกายและอาหาร เคร่อื งใชไ้ มส้ อยต่าง ๆ
ตลอดจนระวงั การติดเช้อื จากคนไข้ ไมค่ วรถ่ายอุจจาระลงแมน่ า้ ลาคลองซ่งึ เช้อื ดงั กล่าวอาจปะปนมาดว้ ย และเมอ่ื เป็น
โรคไวรสั ลงตบั แลว้ ควรงดการดม่ื สุราเดด็ ขาด มฉิ ะนน้ั จะเป็นสอ่ื นาไปสูโ่ รคตบั แขง็ เป็นอนั ตรายถงึ ชวี ติ ไดง้ า่ ย

(หนงั สอื พมิ พ์ เดลนิ ิวส:์ 24 สงิ หาคม 2527)

4.เลอื กอา่ นตามความสนใจ การอ่านขา่ วควรเลอื กจากเน้ือหาทต่ี นสนใจเพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ตามวตั ถปุ ระสงค์ เช่น
สนใจเร่ืองสงั คมควรเลือกอ่านข่าวสงั คม การเมอื ง หรือบทวเิ คราะหว์ ิจารณ์ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั สงั คมการเมอื ง หรือหาก
ตอ้ งการตดิ ตามขา่ วทางดา้ นการศึกษาอาจจะเลอื กจากคอลมั นท์ ป่ี รากฏในหนงั สอื พมิ พ์

5.อา่ นรายละเอยี ด หลงั จากเลอื กเน้ือข่าว พจิ ารณาส่วนประกอบต่าง ๆ ของข่าวแลว้ ในขน้ั น้ีผูอ้ ่านจอ้ งเขา้ ใจ
ความหมายของเน้ือหา ทงั้ เขา้ ใจความหมาย “คา” และเขา้ ใจความหมาย “ความ” อนั เป็นขนั้ ตอนการรบั รูเ้ น้ือหาสาระใน
การอ่านรายละเอียด คาทม่ี กั จะพบจะมคี วามหมายเฉพาะ ฉายานาม คาภาษาปาก คาย่อ คาตดั ซง่ึ บางครงั้ เป็นภาษาท่ี
เนน้ สอ่ื สารมากกวา่ ความถกู ตอ้ งตามหลกั ภาษา เพ่อื ดงึ ดูดความสนใจของผูอ้ ่าน ดงั ตวั อย่าง

ศึกพรีเมยี รล์ กี องั กฤษ เมอ่ื วนั จนั ทรท์ ่ผี ่านมา ทอดแนมฮอดสเปอร์ รองจ่าฝูง ยงั คงทาผลงานได้
อยา่ งรอ้ นแรง เมอ่ื บกุ ไปอดั สโตคซตี ี คารงั 4-0 ทาแตม้ จ้ี เลสเตอรซ์ ติ ี ทมี จ่าฝูง เหลอื 2 คะแนน โดย แฮรร์ ่ี เคน เหมา
ให้ "ไก่เดอื ยทอง" คนเดยี ว 2 ลูก ในนาทที ่ี 9 กบั 71 ขณะทอ่ี กี 2 ลูกเป็นผลงานของ เดลี อลั ลี ทซ่ี ดั เบ้ลิ เช่นกนั ในนาที
ท่ี 27 กบั 82 จากชยั ชนะนดั น้ีทาให้ สเปอรส์ เก็บไปแลว้ 68 คะแนนจาก 34 นดั อยู่ท่ี 2 ส่วน "ช่างปนั้ หมอ้ " มี 47
คะแนนจากการลงเลน่ เท่ากนั อยู่ท่ี 9

(หนงั สอื พมิ พเ์ ดลนิ ิวส์ : วนั ท่ี 19 เมษายน 2559)

จากตวั อยา่ งมกี ารใชค้ าภาษาปาก เช่น ไปอดั บกุ ดารงั จ่าฝูง เหมา และฉายานาม เช่น ไก่เดอื ยทอง หมายถงึ
ทมี สโมสรทอตแนม ฮอตสเปอร์ และช่างปน้ั หมอ้ หมายถงึ ทมี สโมสรสโดคซติ ี ผูอ้ ่านตอ้ งเขา้ ใจความหมายเหล่าน้ีก่อน
จงึ จะสามารถรบั รู้ "ความ" ของเน้ือหาขา่ วได้

ห น้ า | 20

6. ไตร่ตรอง ผูอ้ ่านควรคิดพจิ ารณาไตร่ตรองขา่ วหลงั อ่าน โดยยงั ไมป่ กั ใจเชอ่ื ทนั ที การไตร่ตรอง

เร่มิ จากเกบ็ ประเด็นมาคิดพจิ ารณา จากนน้ั คนั หาขา่ วเดียวกนั จากหนงั สอื พมิ พอ์ ่นื เพ่อื เปรยี บเทยี บเน้ือหาข่าว เน่ืองจาก

ผูเ้ขยี นขา่ วอาจใส่อารมณ์ ความรูส้ กึ หรอื ความคดิ เหน็ จนทาใหเ้น้ือขา่ วถกู เบย่ี งประเด็นไป
7.การพจิ ารณาขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ คดิ เหน็

ขอ้ เทจ็ จรงิ ขอ้ คิดเหน็

หมายถึง ข้อคว ามท่ีแสดงเร่ืองราวเหตุการณ์ หมายถงึ ขอ้ ความทแ่ี สดงความรูส้ กึ ความเชอ่ื ความ

ปรากฏการณ์ ขอ้ มูล และส่ิงต่าง ๆ ท่ีเป็นจริงตาม คดิ เหน็ หรอื การคาดคะเนของบคุ คลใดบคุ คลหน่ึงทม่ี ตี ่อ

ธรรมชาติ สามารถพิสูจนใ์ หเ้ ห็นจริงไดแ้ ละมีหลักฐาน สง่ิ ใดสง่ิ หน่ึง

สนบั สนุนยนื ยนั

มลี กั ษณะมคี วามเป็นไปได้ เป็นขอ้ ความทแ่ี สดงความรูส้ กึ

มคี วามสมจรงิ เป็นการแสดงความคาดคะเน

มหี ลกั ฐาน แสดงความเปรยี บเทยี บ

มคี วามสมเหตสุ มผล เป็นขอ้ เสนอแนะหรอื เป็นแนวคิดของผูพ้ ดู และผูเ้ขยี น

เอง

ตวั อย่าง
- สุนขั โดยปกตมิ ี 4 ขา แต่บางตวั มลี กั ษณะพเิ ศษมี 3 ขา (ขอ้ เทจ็ จรงิ )
- สุนทรภ่เู ป็นกวเี อกผูห้ น่ึงของไทยและของโลก (ขอ้ เทจ็ จรงิ )
- วนั น้ีฉนั เดนิ ไปทางาน ระหว่างทางเหน็ หมาตวั หน่ึงมี 5 ขา มนั คงมคี วามมนั่ คงในชวี ติ เพราะมขี าถงึ 5 ขา จะ

ไดช้ ่วยพยุงลาตวั มใิ หล้ ม้ (ขอ้ ความทข่ี ดี เสน้ ใต้ = ขอ้ คดิ เหน็ )
- สุนทรภ่เู ป็นกวเี อกผูห้ น่ึงของไทยและของโลกล ท่านเป็นผูม้ คี ุณูปการต่อชาวไทยและชาวโลกเป็นอนั มาก ท่ี

เร่อื งแต่งของทา่ นช่วยใหค้ วามรน่ื รมยใ์ หแ้ ก่ผูอ้ ่าน (ขอ้ ความทข่ี ดี เสน้ ใต้ = ขอ้ คดิ เหน็ )

จากทก่ี ลา่ วมาทงั้ หมดขา้ งตน้ เป็นการอ่านจบั ใจความจากขา่ ว แต่ทง้ั น้ีในการอ่านขา่ วผูอ้ ่านควรพจิ ารณาคือส่งิ ท่ี
ผูเ้ ขยี นตอ้ งการอยากจะส่ือสารดว้ ย โดยอาศยั การตีความสารเพ่ือใหเ้ ขา้ ใจข่าวสารท่ีผูเ้ ขยี นตอ้ งการอยากจะส่ือ สาร
ไดม้ ากยง่ิ ข้นึ

แบบฝึ กหดั ห น้ า | 21
บทท่ี 2 การอา่ นจบั ใจความจากข่าว
1
จงอา่ นข่าวต่อไปน้ีแลว้ ตอบคาถามในขอ้ 1 -10

2

3 4

บ๊กิ ตู่ อนุมตั มิ าตรการเยยี วยาพเิ ศษ จา่ ยเงนิ เพ่มิ ลกู จา้ งคนละ 2,000 บาท รา้ นอาหาร 3,000 บาท เป็นเวลา 1 เดือน 5
นายดนุชา พชิ ยนนั ท์ เลขาธิการ สานกั งานสภาพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ (สศช.) ทป่ี ระชุมทมี เศรษฐกจิ 6
7
รฐั บาล ทม่ี พี ล.อ.ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา นายกรฐั มนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานเหน็ ชอบมาตรการพเิ ศษช่วยเหลอื ประชาชน 8
และผูป้ ระกอบการทไ่ี ดร้ บั ประทบจากคาสงั่ ล่าสุด เป็นเวลา 1 เดอื น ตามคาสงั่ ประกาศท่ี 25 โดยม่งุ ไปจงั หวดั ทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบ
ตามประกาศ 6 จงั หวดั คือ กรุงเทพ นนทบรุ ี สมทุ รปราการ นครปฐม สมทุ รสาคร และปทมุ ธานี ซ่งึ ธุรกิจการก่อสรา้ งไดร้ บั
ผลกระทบมากเพราะถกู สงั่ ปิดแคมป์คนงาน และธุรกจิ รา้ นอาหารทถ่ี กู สงั่ หา้ มกนิ ในรา้ น ซง่ึ มาตรการเยยี วยาประกอบดว้ ย

1. ผูอ้ ยู่ในระบบประกนั สงั คม กระทรวงแรงงานจ่ายค่าแรงใหก้ บั แรงงาน 50% ของฐานเงนิ เดอื น สูงสุดไม่เกิน 7,500
บาท รฐั บาลจ่ายเงนิ ใหล้ ูกจา้ งเพม่ิ เตมิ อกี 2,000 บาท และกระทรวงแรงงานจ่ายเงนิ ช่วยเหลอื นายจา้ ง 3,000 บาทต่อการจา้ งงาน 1
คน แต่สูงสดุ ไมเ่ กนิ 200 คน เป็นเวลาเวลา 1 เดอื น

2. ผูท้ อ่ี ยูน่ อกระบบประกนั สงั คม ซง่ึ รฐั บาลมฐี านขอ้ มลู ผูป้ ระกอบการจากระบบถงุ เงนิ หากตอ้ งการไดร้ บั การช่วยเหลอื
ใหไ้ ปข้นึ ทะเบยี นเขา้ ระบบประกนั สงั คมภายใน 1 เดอื นน้ี แลว้ รฐั บาลจะช่วยเหลอื ใหล้ ูกจา้ งทเ่ี ป็นสญั ชาตไิ ทยเป็นเงนิ 2,000 บาท
เวลา 1 เดอื น และนายจา้ ง 3,000 บาทต่อการจา้ งงาน 1 คน แต่สูงสดุ ไมเ่ กนิ 200 คน เป็นเวลา 1 เดอื น

3. ผูป้ ระกอบการท่ไี ม่สามารถข้ึนทะเบยี นเขา้ ระบบประกนั สงั คมได้ เพราะไมม่ ลี ูกจา้ งใหไ้ ปลงทะเบยี นในแอปพลเิ คชนั
“ถงุ เงนิ ” ภายใตโ้ ครงการคนละคร่งึ ซ่งึ เป็นผูป้ ระกอบการรา้ นอาหารและเครอ่ื งด่มื จะไดร้ บั เงนิ ช่วยเหลอื จากรฐั บาล 3,000 บาท
เป็นเวลา 1 เดอื น

นายดนุชา กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือพิเศษครงั้ น้ีใชง้ บประมาณจากรฐั บาล 4,000 ลา้ นบาท งบของกองทุน
ประกนั สงั คม 3,500 ลา้ นบาท รวมเป็น 7,500 ลา้ นบาท

ทม่ี า : Posttoday. (2564). ควกั 7.5พนั ลา้ นเยยี วยาแรงงานรา้ นอาหารถกู ปิด รฐั จ่ายใหอ้ กี คนละ2พนั . สบื คน้ 29 มถิ นุ ายน
2564, จาก https://www.posttoday.com/economy/news/656630

ห น้ า | 22

1) จากขนาดตวั อกั ษรในการ “พาดหวั ขา่ ว” แสดงว่าขา่ วน้ีมคี วามสาคญั มากพอสมควร จงพจิ ารณาลกั ษณะของขา่ วว่า
เป็นเพราะเหตใุ ด

1. เป็นเรอ่ื งเก่ยี วกบั โควดิ - 19
2. เป็นขา่ วเก่ยี วกบั การทางานของรฐั บาล
3. เป็นการใชเ้งนิ ประกนั สงั คมของรฐั บาล
4. เป็นการช่วยเหลอื เยยี วยาผลกระทบจากการปิดแคมป์คนงานกะทนั หนั

2) ขอ้ ความในตอนท่ี 2 เป็นโครงสรา้ งสว่ นใดของขา่ ว
1. ส่วนเช่อื ม
2. เน้ือความ
3. พาดหวั ขา่ วรอง
4. ความนาหรอื วรรคนา

3) ขอ้ ความในตอนท่ี 3 เป็นโครงสรา้ งสว่ นใดของขา่ ว
1. ส่วนเชอ่ื ม
2. เน้ือความ
3. พาดหวั ขา่ วรอง
4. ความนาหรอื วรรคนา

4)ขอ้ ความในตอนท่ี 4 เป็นโครงสรา้ งส่วนใดของขา่ ว
1. ส่วนเช่อื ม
2. เน้ือความ
3. พาดหวั ขา่ วรอง
4. ความนาหรอื วรรคนา

5) ขา่ วน้ีเป็นขา่ วประเภทใด
1. ขา่ วราชการ
2. ขา่ วการเมอื ง
3. ขา่ วเศรษฐกจิ
4. ขา่ วอาชญากรรม

6) การรายงานขา่ วน้ีเป็นรูปแบบใด
1. พรี ะมดิ หวั กลบั
2. พรี ะมดิ หวั ตง้ั
3. พรี ะมดิ ผสม
4. ถกู ทงั้ ก และ ข

ห น้ า | 23

7) เหตใุ ดจงึ รายงานขา่ วน้ีโดยนาจานวนเงนิ งบประมาณทใ่ี ชม้ าเผยแพร่โดยละเอยี ด
1. เป็นรูปแบบการรายงานขา่ วเศรษฐกจิ
2. เป็นขา่ วเก่ยี วกบั การทางานของนายกรฐั มนตรี
3. เป็นขา่ วทม่ี รี ายละเอยี ดสาคญั และเก่ยี วขอ้ งกบั คนจานวนมาก
4. เป็นการรายงานขา่ วสถานการณฉ์ ุกเฉินเน่ืองจากประกาศลอ็ กดาวน์

8) สาระหลกั ของ “พาดหวั ขา่ ว” สอดคลอ้ งกบั เน้ือขา่ วตอนใดมากทส่ี ุด
1. ตอนท่ี 5
2. ตอนท่ี 6
3. ตอนท่ี 7
4. ตอนท่ี 8

9) ขา่ วน้ีสรุปสาระสาคญั ไวช้ ดั เจนทส่ี ุดทข่ี อ้ ความใด
1. ตอนท่ี 2
2. ตอนท่ี 3
3. ตอนท่ี 4
4. ตอนท่ี 5

10) ขอ้ ความตอนใดเป็นขอ้ คิดเหน็
1. ตอนท่ี 5
2. ตอนท่ี 6
3. ตอนท่ี 7
4. ตอนท่ี 8

ห น้ า | 24

แบบทดสอบ
บทท่ี 2

การอา่ นจบั ใจความสาคญั จากข่าว

SCAN HERE

ห น้ า | 25

แบบทดสอบ
บทท่ี 2 การอา่ นจบั ใจความสาคญั จากข่าว

จงเลอื กคาตอบท่ถี กู ตอ้ งท่สี ดุ เพยี งขอ้ เดียว

“GUYGEEGEE” และ “Sprite” พาเพลง #ทน เขา้ ชารต์ ระดบั โลก Billboard ครง้ั แรกของประเทศไทย
ก่อนอ่ืนตอ้ งขอแสดงความยินดีกบั 2 แร็ปเปอรช์ าวไทย “GUYGEEGEE (กายจีจี)” และ “SPRITE (ศุกลวฒั น์ พวงสมบตั ิ)” จากค่าย
HYPETRAIN ทส่ี ามารถสรา้ งประวตั ศิ าสตรใ์ หม่ใหก้ บั เพลงภาษาไทยเขา้ ไปตดิ ในชารต์ เพลง Billboard Global ในอนั ดบั 89 จากเพลงทวั่ โลก
ไม่รวมในอเมรกิ า เมอ่ื วนั ท่ี 20 พ.ค ทผ่ี า่ นมาไดเ้ป็นครง้ั แรกกบั เพลง “ทน”

โดยเน้ือเพลงนน้ั มที ่วงท่าทานองตดิ หู ไม่ว่าจะท่อนทร่ี อ้ งว่า “พไ่ี ม่มี Louis Vuitton มแี ต่หน้ีกอ้ นโต” หรือ “นอ้ งไม่ชอบคนทะเลน้
แต่เธอบอกชอบคนเตน้ ระบาๆ“ เรยี กไดว้ ่ารอ้ งตามกนั ไดท้ วั่ บา้ นทวั่ เมอื งไปแลว้
อกี ทงั้ ทาง Billboard ยงั ไดร้ ายงานว่า เพลงทนถอื เป็นเพลงแรกจากประเทศไทย และเป็นเพลงแรกท่มี เี น้ือรอ้ งเป็นภาษาไทย มยี อดสตรมี
สูงกว่า 20 ลา้ นครง้ั นบั ตงั้ แต่ปลอ่ ยเพลงมา ทาใหเ้พลงถกู นามาใชป้ ระกอบคลปิ บน ตกิ๊ ตอ็ กมากมาย และมยี อดววิ บนยูทบู มากกว่า 77 ลา้ น
ครงั้ หลงั จากปลอ่ ยเพลงมาไม่ถงึ เดอื น ไมแ่ ปลกใจเลยวา่ ทาไมเพลงน้ีถงึ ตดิ อนั ดบั ชารต์ เพลงระดบั โลกได้

ทม่ี า : Posttoday. (2564). เพลงแรกจากประเทศไทย “GUYGEEGEE” และ “Sprite” พาเพลง #ทน ติดชารต์ ระดบั โลก Billboard. สบื คน้ 29 มถิ นุ ายน 2564,
จาก https://www.posttoday.com/ent/news/653688

1) สาระสาคญั ของขา่ วน้ี คอื อะไร
1. เน้ือเพลง “ทน” มที ว่ งทานองตดิ หู
2. ทาไมเพลงน้ีถงึ ตดิ อนั ดบั ชารต์ เพลงระดบั โลก
3. เพลงถกู นามาใชป้ ระกอบคลปิ บนตกิ๊ ตอ็ กมากมาย
4. เพลงแรกจากประเทศไทยตดิ ชารต์ ระดบั โลก Billboard

จากกรณี ครูทราย ครูสอนทาเบอเกอร่ี โพสตเ์ ลา่ เร่อื วราว คุณแม่มาขอผ่อนแทบ็ เลต็ ใหล้ ูกเรยี นออนไลน์ แต่ยงั ไม่ทนั ตกลงจะซ้อื ก็
พบวา่ ลูกชายตดั สนิ ใจจบชวี ติ ตวั เอง ซง่ึ เหตกุ ารณด์ งั กลา่ ว สรา้ งความสะเทอื นใจในสงั คมเป็นอย่างมาก

ลา่ สดุ วนั ท่ี 3 ก.ค.2564 ครูทราย เปิดเผยวา่ คณุ แมค่ นดงั กลา่ ว ยอมรบั กบั คนสนิทของตนวา่ กเุ ร่อื งข้นึ มา โดยเหตผุ ลทต่ี อ้ งโกหก
เพราะสอ่ื สารกบั ลูกชายผดิ ลูกตอ้ งการไอแพด แต่แมส่ งั่ ซ้อื แทบ็ เลต็ กบั ตนไป แลว้ กโ็ อนเงนิ มดั จางวดแรกไปแลว้ 1,300 บาท อยากไดเ้งนิ คืน
และจะยกเลกิ การสงั่ ซ้อื จงึ กเุ รอ่ื งข้นึ มา และไม่ตอ้ งการเปิดเผยตวั ตน เพราะเป็นหน้ีนอกระบบเยอะ และตอนน้ไี ม่กลา้ คยุ กบั ตนแลว้

ครูทราย เปิดเผยดว้ ยว่า โดยในวนั น้ีเวลา 14.00 น. ตนจะนาคลปิ เสยี งการสนทนา พรอ้ มดว้ ยรายละเอยี ดทง้ั หมดไปแจง้ ความท่ี
สภ.ไทรนอ้ ย จ.นนทบรุ ี โดยยนื ยนั ว่า ตนไมม่ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั การหลอกลวงของคณุ แม่รายน้ี

ทม่ี า : Khaosod online. (2564). สบื คน้ 29 มถิ นุ ายน 2564, จาก https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6488403

2)ขา่ วน้ีควรมี “พาดหวั ขา่ ว” อย่างไร
1. แฉ !! แมม่ หี ลกั ฐานเดด็
2. ไมไ่ ดแ้ ทบ็ เลต็ นอ้ งฆ่าตวั ตาย
3. ครูเผยแมก่ ุร่อื งลูกคิดสนั้ พรอ้ มหลกั ฐาน
4. หลอกกนั ทงั้ บาง ทแ่ี ทก้ เุ ร่อื งลูกคดิ สนั้ ฆ่าตวั ตาย

ห น้ า | 26

จงอา่ นข่าวตอ่ ไปน้ีแลว้ ตอบคาถามขอ้ 3 - 7

1

...................................................... 2
3
พมิ ฐาพน่ พษิ ! รา้ นอาหารดงั -คาเฟ่เชยี งใหมป่ ิดระนาว พ่อคา้ แม่ขายหวนั่ ผลกระทบเป็นลูกโซ่ ขายไม่ออก 4
ตามๆ กนั ไปดว้ ย 5
6
ความคืบหนา้ กรณี "พมิ ฐา" หรือ นางสาวฐานิดา มานะเรอื งกลุ อายุ 28 ปี เน็ตไอดอลช่อื ดงั ตดิ เช้อื โค 7
วดิ -19 และเขา้ รกั ษาตวั ทจ่ี งั หวดั เชยี งใหม่ หลงั เดนิ ทางดว้ ยเคร่อื งบนิ จากกรุงเทพฯ ในวนั ท่ี 26 ม.ิ ย.64 ซ่งึ เมอ่ื ถงึ
แลว้ ไม่ไดก้ กั ตวั ตามคาสงั่ และมาตรการของจงั หวดั เชียงใหม่ในการควบคุมป้ องกนั โรคโควดิ -19 โดยมกี ารไปใช้ 8
บรกิ ารรา้ นอาหาร รา้ นกาแฟ และสถานทต่ี ่าง ๆ หลายแหง่ ในเชยี งใหม่และลาพูน

กระทงั่ ตรวจพบเช้อื ในวนั ท่ี 30ม.ิ ย.64 ซง่ึ เจา้ ตวั ออกมายอมรบั และขอโทษกรณีทเ่ี กิดข้นึ อย่างไรก็ตาม
เกดิ กระแสวพิ ากษว์ จิ ารณอ์ ย่างหนกั ท่ี "พมิ ฐา" มาจากกรุงเทพฯทเ่ี ป็นพ้นื ทส่ี แี ดงเขม้ แต่ไมก่ กั ตวั และยงั ตระเวนไป
หลายสถานท่ี อย่างไรค้ วามผดิ ชอบต่อส่วนรวม

ทงั้ น้ี ในส่วนของรา้ นสุก้ชี า้ งเผอื ก สาขาหลงั มช. ถนนสุเทพ ย่านหลงั มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ อาเภอเมอื ง
จงั หวดั เชยี งใหม่ ซง่ึ เป็นรา้ นช่ือดงั ท่ี "พมิ ฐา" ไปใชบ้ รกิ ารในวนั ท่ี 28 ม.ิ ย.64 ก่อนทใ่ี นคนื วนั เดยี วกนั จะเร่มิ มอี าการ
ป่วยและไปตรวจหาเช้อื ในวนั ท่ี 30 ม.ิ ย.64 และพบว่าตดิ เช้อื ตอ้ งรกั ษาตวั ในโรงพยาบาล

รายงานข่าวแจง้ ว่าตง้ั แต่วานน้ี (2 ก.ค.64) ทางรา้ นปิดใหบ้ ริการ จากปกตทิ จ่ี ะเปิดเวลา 09.00-23.00น.
ซง่ึ หลงั จากทราบข่าววา่ "พมิ ฐา" ทม่ี าใชบ้ รกิ ารทร่ี า้ นตดิ เช้อื โควดิ -19 ตง้ั แต่วนั ท่ี 1 กรกฎาคมทผ่ี ่านมา โดยทางรา้ น
ไดท้ าการฉีดพ่นนา้ ยาฆ่าเช้อื ทวั่ ทง้ั บรเิ วณภายในรา้ นก่อนทจ่ี ะปิดรา้ น

โดยเจา้ ของรา้ นรายหน่ึง เปิดเผยว่า เพง่ิ ทราบข่าวเมอ่ื เชา้ วนั น้วี า่ มผี ูต้ ดิ เช้อื โควดิ -19 ทเ่ี ป็นเน็ตไอดอลสาว
ชอ่ื ดงั มาใชบ้ รกิ ารทร่ี า้ นสุก้ชี า้ งเผอื ก สาขาหลงั มช. ซง่ึ สงั เกตเหน็ แลว้ ว่าทาไมทร่ี า้ นดงั กลา่ วมลี ูกคา้ ใชบ้ รกิ ารเบาบาง
ผดิ อย่างเห็นไดช้ ดั ทง้ั ท่ปี กติจะมลี ูกคา้ แน่นตลอด จนกระทงั่ ทราบข่าวในภายหลงั ทงั้ น้ีเห็นใจทางรา้ นท่ีเจอ
สถานการณอ์ ย่างน้ี พรอ้ มยอมรบั ว่าเป็นหว่ งและกงั วลใจอย่างมากเช่นกนั ว่ากรณีทพ่ี บผูต้ ดิ เช้อื รายน้จี ะส่งผลกระทบ
กบั รา้ นคา้ ในย่านเดยี วกนั น้หี รอื ไม่ เน่ืองจากเกรงวา่ ลูกคา้ ทส่ี ่วนใหญ่เป็นนกั ศึกษาและคนทวั่ ไปจะเกดิ ความกงั วลใจ
และไมอ่ อกมาใชบ้ รกิ ารตามปกติ

นอกจากน้ี ยงั เป็นหว่ งดว้ ยในช่วงน้อี าจจะมคี นจากกรุงเทพฯ ทเ่ี ป็นพ้นื ทเ่ี สย่ี ง เดนิ ทางเขา้ มาในพ้นื ทเ่ี ป็น
จานวนมาก และหากไม่ปฏบิ ตั ติ ามมาตรการป้องกนั แลว้ อาจจะทาใหเ้กดิ การระบาดข้นึ และส่งผลกระทบอย่างหนกั
ซา้ เตมิ การทามาหากนิ ทป่ี กตกิ ็ลาบากมากอยู่แลว้ จงึ อยากใหท้ กุ คนมคี วามรบั ผดิ ชอบต่อสงั คมดว้ ย

ทม่ี า : Sanook. (2564). สบื คน้ 3 กรกฎาคม 2564, จาก https://www.sanook.com/news/8406398/

ห น้ า | 27

3) สาระสาคญั ของขา่ วน้ี คืออะไร
1. พมิ ฐา ตดิ โควดิ - 19
2. พมิ ฐาตดิ โควดิ แต่ไมย่ อมกกั ตวั
3. รา้ นคา้ ปิดเพราะพมิ ฐาไมย่ อมกกั ตวั
4. รา้ นคา้ หวนั่ ผลกระทบโควดิ จากพมิ ฐา

4) ขา่ วน้ีควรเขยี น “พาดหวั ขา่ ว” อยา่ งไร
1. พมิ ฐาตดิ โควดิ !
2. พมิ ฐารบั ผดิ ! กลบั เชยี งใหม่ไมไ่ ดก้ กั ตวั
3. คนคา้ ขายหวนั่ ใจพมิ ฐาทาพษิ ตดิ โควดิ ทารา้ นลูกคา้ ลด
4. ตวั พมิ ฐาพน่ พษิ รา้ น-คาเฟ่ปิด คนคา้ ขายหวนั่ ผลกระทบลูกโซ่

5) สาระหลกั ของ “พาดหวั ขา่ ว” สอดคลอ้ งกบั เน้ือขา่ วตอนใดมากทส่ี ุด
1. ตอนท่ี 2
2. ตอนท่ี 3
3. ตอนท่ี 4
4. ตอนท่ี 5

6)ขอ้ ความตอนใดเป็นขอ้ เทจ็ จริงทกุ ขอ้
1. ตอนท่ี 2, 3 และ 6
2. ตอนท่ี 3, 4 และ 7
3. ตอนท่ี 4, 5 และ 6
4. ตอนท่ี 5, 6 และ 7

7)ขอ้ ความใดแทรกความคิดเหน็ ของผูเ้ขยี นไดช้ นั เจนมากท่สี ุด
1. ตอนท่ี 4
2. ตอนท่ี 5
3. ตอนท่ี 7
4. ตอนท่ี 8

ห น้ า | 28

สาหรบั การไลฟ์ในครงั้ น้ี แมน่ า้ หน่ึง ไดจ้ ุดธูปเลขปู่ เพ่อื เป็นแนวทางใหก้ บั คอหวยในการลุน้ โชคในวนั หวยออก
พรุ่งน้ี (1 ก.ค. 2564) โดยเลขธูปแมน่ า้ หน่ึงจดุ ไดน้ น้ั ไดเ้ลข 1 7 5

พรอ้ มยา้ วา่ ในการจดุ ธูปเลขปู่ในครง้ั น้ี ไวเ้พอ่ื เป็นแนวทางเท่านน้ั ชอบกต็ ามได้ ไมช่ อบกป็ ลอ่ ยผา่ น เพราะตนจดุ
ธูปเลขปู่แบบน้ีมา 3 ปีแลว้ และตนเป็นแค่คนธรรมดาทศ่ี รทั ธาในสง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ ไมไ่ ดเ้ป็นร่างทรงแต่อยา่ งใด

ทม่ี า : Sanook. (2564). เลขลา่ สดุ ! ธูปปู่ "แมน่ า้ หน่ึง" มาแลว้ 3 ตวั เนน้ ๆ ลนุ้ หวยงวด 1/7/64. สบื คน้ 30 มถิ นุ ายน 2564, จาก https://www.sanook.com/news/8405418/

8. พาดหวั ขา่ วน้ีควรตงั้ ช่อื อย่างไร 1

1. มอื ย้มิ แมน่ า้ หน่ึงใบห้ วย
2. มลี นุ้ นน หวยออกพรุ่งน้ีเจา้
3. ไมช่ อบปลอ่ ยผ่าน จดุ ธูปเลขปู่
4. ลนุ้ หวย ! เลขปู่ สามตวั เนน้ ๆ

จงอ่านขา่ วต่อไปน้ีแลว้ ตอบคาถามขอ้ 9 -10

“โตเกยี ว” ยอดตดิ เช้ือโควดิ -19 พงุ่ ชาวญ่ีป่นุ จอ่ อดดูโอลมิ ปิก

กรุงโตเกยี ว ประเทศญ่ปี ่นุ พบผูต้ ดิ เช้อื โควดิ -19 ต่อวนั มากทส่ี ุดในรอบ 5 สปั ดาห์ ซ่งึ ทางการกาลงั พจิ ารณาไม่อนุญาตใหม้ ี 2
ผูช้ มเขา้ ไปดูงานการแข่งขนั “โอลมิ ปิก” หลงั ก่อนหนา้ น้ีจะใหเ้ขา้ ไปดูไดม้ ากถงึ 10,000 คน 3

วนั ท่ี 3 กรกฎาคม 2564 สานกั ข่าวแชนเนล นิวส์ เอเชยี รายงานว่า กรุงโตเกียว ประเทศญ่ปี ่นุ พบผูต้ ดิ เช้อื โควดิ -19 มากถงึ 4
716 คนภายในหน่ึงวนั ซ่งึ เป็นอตั ราผูต้ ดิ เช้อื ต่อวนั ทม่ี ากทส่ี ุดในรอบ 5 สปั ดาห์ และทาใหท้ างการกาลงั พจิ ารณา ไม่อนุญาตใหม้ ผี ูช้ มใน 5
งาน “กฬี าโอลมิ ปิกฤดูรอ้ น 2020” หรอื “โตเกยี ว 2020” ซง่ึ จะจดั ข้นึ ในอกี ไมถ่ งึ 3 สปั ดาหน์ ้ี 6
7
ทงั้ น้ี เมอ่ื ช่วงเดอื นเม.ย. ทผ่ี า่ นมา ญป่ี ่นุ เผชญิ กบั การระบาดของโควดิ -19 ระลอก 4 ซง่ึ ทางการไดป้ ระกาศภาวะฉุกเฉิน รวมถงึ
ยกระดบั มาตรการลอ็ กดาวนท์ ก่ี รุงโตเกียว และหลายจงั หวดั ทวั่ ประเทศ แต่หลงั จากช่วงตน้ เดอื น ม.ิ ย. ทผ่ี ่านมา ซ่งึ สถานการณเ์ ร่มิ ดขี ้ึน
เรอ่ื ย ๆ นน้ั จงึ ทาใหท้ างการยกเลกิ ประกาศภาวะฉุกเฉินไปเมอ่ื วนั ท่ี 20 ม.ิ ย.

โดยเหลอื เพยี งประกาศ “ก่ึงภาวะฉุกเฉิน” ท่กี รุงโตเกียว และ 3 จงั หวดั รอบขา้ ง ซ่งึ ตอนแรกจะส้นิ สุดลงวนั ท่ี 11 ก.ค. น้ี
อย่างไรก็ดี อาจเลอ่ื นการยกเลกิ ประกาศไปอีก 2 สปั ดาห์ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยงั น่าเป็นห่วง ซ่ึงจะเลย
กาหนดการเร่มิ งานโอลมิ ปิก ซง่ึ จะเร่มิ ข้นึ วนั ท่ี 23 ก.ค. น้ี

ก่อนหนา้ น้ี ทางผูจ้ ดั งานโอลมิ ปิกจะใหม้ ผี ูช้ มทส่ี ามารถเขา้ ไปดูงานการแขง่ ขนั ไดม้ ากถงึ 50% ของความจสุ ถานท่ี หรอื มากสุดท่ี
10,000 คน แมจ้ ะมคี าแนะนาจากกลมุ่ แพทยผ์ ูเ้ชย่ี วชาญวา่ การจดั งานโดยไมม่ ผี ูช้ ม จะมี “ความเสย่ี งนอ้ ยทส่ี ดุ ” ทา่ มกลางการระบาดของ
โควดิ -19

“โยชฮิ เิ ดะ ซูงะ” นายกรฐั มนตรญี ป่ี ่นุ ระบวุ ่า “ยงั คงเป็นไปได”้ ทจ่ี ะแบนผูช้ มในการเขา้ ไปดูงาน ขณะเดยี วกนั “ยูรโิ กะ โคอเิ คะ”
ผูว้ ่าราชการโตเกียว กลา่ วว่า หากสถานการณ์ไม่ดขี ้นึ อาจไม่มผี ูช้ มภายในงาน แต่ทงั้ น้ีทางการยงั คงยนื ยนั วา่ จะสามารถจดั งานไดอ้ ย่าง
ปลอดภยั เพราะมมี าตรการควบคุมการระบาดทเ่ี ขม้ งวดมากพอ แมจ้ ะมกี ระแสต่อตา้ น การจดั งานจากหลายฝ่ายก็ตาม

ทม่ี า : ประชาชาตธิ ุรกจิ ออนไลน.์ (2564). “โตเกียว” ยอดตดิ เช้อื โควดิ -19 พงุ่ ชาวญปี่ ุ่นจ่ออดดโู อลมิ ปิก. สบื คน้ 3 กรกฎาคม 2564, จาก
https://www.prachachat.net/world-news/news-704978

ห น้ า | 29

9) สาระสาคญั ของขา่ วน้ี คอื อะไร
1. ยอดตดิ เช้อื โควดิ 19 ในโตเกยี วสูงข้นึ
2. กฬี าโอลมิ ปิกทญ่ี ่ปี ่นุ อาจมกี ารจดั งานโดยไมม่ ผี ูช้ ม
3. ญป่ี ่นุ ยนื ยนั สามารถจดั งานโอลมิ ปิกไดอ้ ยา่ งปลอดภยั
4. ประกาศ “ก่งึ ภาวะฉุกเฉิน” ท่กี รุงโตเกยี ว และ 3 จงั หวดั รอบขา้ ง

10) ขอ้ ความตอนใดเป็นขอ้ คดิ เหน็
1. ตอนท่ี 3 และ 7
2. ตอนท่ี 4 และ 7
3. ตอนท่ี 5 และ 7
4. ตอนท่ี 6 และ 7

ห น้ า | 30

ห น้ า | 31

บทท่ี 3
การอา่ นจบั ใจความจากบทความ

บทความเป็นงานเขยี นไดร้ บั ความสนใจในปจั จุบนั โดยเฉพาะในหนงั สือพิมพแ์ ละนิตยสารต่าง ๆ เพราะ
สามารถตอบสนองอยากรูอ้ ยากเห็นของมนุษยไ์ ดม้ ากกว่ารายงานข่าวธรรมดา ในขณะท่ีข่าวตอ้ งรายงานเฉพาะ
ขอ้ เทจ็ จรงิ ของเหตุการณ์ทเ่ี กิดข้นึ ไม่สามารถแสดงความคิดเหน็ ส่วนตวั ของผูเ้ขยี นลงไปได้ แต่บทความเปิดโอกาสให้
ผูแ้ ต่งแต่ละคนแสดงความคิดเหน็ สว่ นตวั ต่อสถานการณ์ท่กี าลงั เป็นทส่ี นใจร่วมกนั ไดโ้ ดยอิสระ ถา้ มผี ูเ้ขยี นบทความใน
เร่ืองเดียวกนั หลายคน ผูอ้ ่านอาจจะไดเ้ ห็นทรรศนะหรือมมุ มองอนั หลากหลายและก่อใหเ้ กิดความรูค้ วามเขา้ ใจท่ี
กวา้ งขวางลึกซ่ึงย่ิงข้นึ หรืออาจใชบ้ ทความเป็นเคร่ืองมือตรวจสอบความคิดเห็นของผูอ้ ่านเองว่าคลา้ ยคลงึ กนั หรือ
แตกต่างจากคนอ่นื มากนอ้ ยเพยี งใด

ความหมายของบทความ

บทความ คือ งานเขยี นทม่ี งุ่ เสนอความคิดเหน็ หรอื ความรูใ้ นเร่อื งท่คี นกาลงั สนใจกนั อยู่ ตามความคิดส่วนตวั
ของผูแ้ ต่ง บทความโดยทวั่ ไปจะมเี น้ือหาเก่ียวขอ้ งกบั เหตุการณ์ทนั สมยั ขนาดสน้ั ๆ และมกี ลวิธีการแต่งท่ีม่งุ แสดง
เหตผุ ลโนม้ นา้ วใจใหผ้ ูอ้ ่านเชอ่ื ถอื คลอ้ ยตาม

บทความ หมายถึง งานเขียนในลกั ษณะเรียงความหรือความเรียงท่ีเกิดข้ึนโดยมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือเสนอ
ขอ้ เทจ็ จรงิ ทส่ี ามารถอา้ งองิ ได้ โดยเรอ่ื งนนั้ เก่ยี วกบั ขา่ ว เหตกุ ารณ์ สถานการณ์ เรอ่ื งราว ทเ่ี กดิ ข้นึ ในสงั คม และผูเ้ขยี น
ตอ้ งสอดแทรกความคิดเหน็ และขอ้ เสนอแนะเชงิ สรา้ งสรรค์

ประเภทของบทความ

1) บทความวชิ าการ (Academic Article) คือ งานเขยี นทเ่ี สนอความรูห้ รอื แนวคดิ ทางวชิ าการใหม่ ๆ อนั เป็น
ผลจากการศึกษา สงั เกต สมั ภาษณ์ เป็นความรูแ้ ละขอ้ คิดทเ่ี ป็นประโยชนโ์ ดยตรงต่อวงวชิ าการ อนั ก่อใหเ้กดิ การระดม
ความคดิ และการแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ก่อนทจ่ี ะนาไปรวบรวมเป็นตารา

2) บทความวิเคราะห์ (Analytical Articles) คือ บทความทม่ี เี น้ือหาเก่ยี วกบั การวเิ คราะหเ์ หตกุ ารณ์ ปญั หา
หรอื วกิ ฤตการณอ์ ย่างใดอยา่ งหน่ึงทเ่ี กดิ ข้นึ ในสงั คม และมผี ลกระทบต่อบคุ คลหรอื สงั คมในวงกวา้ ง โดยมกี ารวเิ คราะห์
ตามหลกั วิชาการ นาเสนอขอ้ มลู ท่มี นี า้ หนกั ผูอ้ ่านยอมรบั และเช่ือถอื เป็นขอ้ มลู ท่ผี ่านการวิเคราะหอ์ ย่างเท่ยี งตรง มี
เหตผุ ล ไมว่ เิ คราะหด์ ว้ ยอคติ หรอื เจตนาบดิ เบอื นใหห้ ลงผดิ หรอื ชกั จูงไปในทางทผ่ี ดิ ๆ

3) บทความเชิงวิจารณ์ (Critical Articles) คือ บทความท่มี เี น้ือหาเชิงติชมและวพิ ากษว์ ิจารณ์เร่ืองใดเร่อื ง
หน่ึงโดยเฉพาะ สว่ นใหญ่เป็นเร่อื งเก่ยี วกบั วรรณกรรม ศิลปะ ดนตรี ภาพยนตร์ และการแสดงต่าง ๆ ผูว้ จิ ารณจ์ ะตอ้ ง
ใชห้ ลกั เกณฑห์ รอื ทฤษฎที เ่ี ก่ยี วขอ้ งมาพจิ ารณาประเมนิ คุณค่าตามเหตผุ ลและทฤษฎใี นศาสตรน์ นั้ ๆ

4) บทความแสดงความคิดเห็น (Opinion Articles) คือ บทความท่เี ขยี นข้นึ เพ่อื แสดงความคิดเห็นท่มี ตี ่อ
ประเดน็ ปญั หา เหตกุ ารณ์ วกิ ฤตการณ์ หรือเรอ่ื งใดเร่อื งหน่ึง โดยผูเ้ขยี นไดส้ ารวจปญั หา ศึกษาทม่ี าของเร่อื งและขอ้ มลู

ห น้ า | 32

ต่าง ๆ มาอย่างละเอียดถถ่ี ว้ น และนามาเขยี นแทรกดว้ ยความคิดเห็นของตนท่มี ตี ่อเร่อื งท่นี าเสนอ เป็นทศั นะส่วนตวั
ของผูเ้ขยี นทอ่ี าจจะสอดคลอ้ งหรอื ขดั แยง้ กบั ความคิดเหน็ ของคนอ่นื บทความท่ดี จี ะตอ้ งเป็นความคิดเหน็ ท่ยี งั ไม่มใี คร
คิดกนั มาก่อน หรือเป็นความคิดท่ยี งั ไม่มกี ารเผยแพร่ในส่อื ส่งิ พิมพอ์ ่ืน ๆ ไม่เป็นความคิดท่ซี า้ ซาก ซ่งึ ไดก้ ล่าวกนั มา
ก่อนแลว้ แต่ความเหน็ นนั้ ตอ้ งจดุ ประเดน็ ความคิดของผูอ้ ่าน เป็นประโยชนใ์ นทางสรา้ งสรรคต์ ่อสงั คมโดยสว่ นรวม

5) บทความสารคดี (Feature Articles) คือ บทความท่มี เี น้ือหาเป็นความรูแ้ ละประสบการณ์โดยตรงของ
ผูเ้ ขยี น ดว้ ยการคน้ พบหรือประสบพบเห็นดว้ ยตนเอง เป็นขอ้ มูลจากการศึกษาคน้ ควา้ เพ่ิมเติมดว้ ยการอ่านหรือ
สมั ภาษณ์ นามารวบรวมเรยี บเรยี งเป็นเน้ือเรอ่ื งท่สี มบูรณ์ เป็นเรอ่ื งทแ่ี ปลกใหม่ น่าสนใจ

6) บทความสมั ภาษณ์ (Interview Articles) คือ บทความทม่ี เี น้ือหาทเ่ี ขยี นจากขอ้ มลู อนั ไดจ้ ากการสมั ภาษณ์
จึงเป็นบทความท่มี เี น้ือหาสาระแสดงความคิดเหน็ ของบุคคลหรือกลุ่มบคุ คลท่ที าใหร้ ูว้ ่า คนเหลา่ นน้ั มคี วามรูส้ กึ หรอื มี
ทศั นคติต่อปญั หา เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ท่เี กดิ ข้นึ อย่างไร ผูอ้ ่านมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจและมองเหน็ แนวโนม้ จาก
ทศั นคตขิ องบคุ คลทม่ี ตี ่อปญั หาและเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ข้นึ

ลกั ษณะเฉพาะของบทความ

บทความเป็นงานเขยี นท่ีม่งุ เสนอขอ้ เท็จจริงท่ีมหี ลกั ฐานอา้ งอิงอย่างชดั เจน และมกี ารสอดแทรกความคิด
สรา้ งสรรคข์ องผูเ้ขยี นเอาไวด้ ว้ ย เมอ่ื กลา่ วถงึ ลกั ษณะเฉพาะของบทความทแ่ี ตกต่างจากงานเขยี นประเภทอน่ื ๆ กลา่ วได้
5 ประการ ดงั น้ี

1) ตอ้ งมสี าระ มแี ก่นสาร อ่านแลว้ ไดค้ วามรู้ ความคิดเพม่ิ เตมิ ไมเ่ ป็นเร่อื งเลอ่ื นลอย ไรน้ า้ หนกั
2) เน้ือหาสาระและวธิ กี ารเขยี นเหมาะกบั ผูอ้ ่านทม่ี กี ารศึกษา
3) ตอ้ งเป็นเร่อื งท่ผี ูอ้ ่านส่วนมากกาลงั สนใจอยู่ในขณะนนั้ อาจเป็นเร่ืองเก่ียวกบั ปญั หาท่คี นกาลงั ประสบอยู่
หรอื กาลงั เฝ้าดูอยู่ว่า เร่อื งนนั้ จะดาเนินไปไดอ้ ยา่ งใด หรอื มผี ลอยา่ งไร
4) ตอ้ งเป็นเรอ่ื งทผ่ี ูเ้ขยี นแสดงทศั นะ ขอ้ คดิ เหน็ หรอื ขอ้ วนิ ิจฉยั แทรกอยูด่ ว้ ย
5) วธิ ีการเขยี นตอ้ งมศี ิลปะในการถ่ายทอด เพอ่ื ชวนใหอ้ ่าน ทาใหไ้ ดร้ บั ความรูค้ วามเพลดิ เพลนิ และชวนให้
คดิ ไปในขณะเดยี วกนั

วตั ถปุ ระสงคใ์ นการเขียนบทความ
ในการอ่านจบั ใจความบทความ ผูอ้ ่านจาเป็นจะตอ้ งแยกแยะวตั ถปุ ระสงคข์ องผูเ้ ขยี น เน่ืองจากในการเขยี น

บทความทกุ ครง้ั ผูเ้ขยี นจะตอ้ งตง้ั วตั ถปุ ระสงคไ์ วอ้ ย่างชดั เจนแต่แรก โดยวตั ถปุ ระสงคใ์ นการเขยี นบทความแต่ละครง้ั
ไม่จาเป็นตอ้ งเหมอื นกนั ทง้ั น้ีข้นึ อยู่กบั เน้ือหาสาระและความตอ้ งการของผูเ้ ขียนว่าจะนาเสนอในลกั ษณะใด มาลี
บญุ ศิรพิ นั ธ์ (2548: 303- 305) ไดก้ ลา่ วถงึ วตั ถปุ ระสงคข์ องการเขยี นบทความไวอ้ ย่างครบถว้ น จานวน 8 ประการ ดงั น้ี

1) เพอ่ื อธบิ าย เป็นบทความทม่ี งุ่ ใหข้ อ้ มลู และขอ้ เทจ็ จรงิ อย่างละเอยี ด ดว้ ยการเรยี บเรยี งเรอ่ื งราวความเป็นมา
ใหอ้ ่านเขา้ ใจงา่ ย เพอ่ื อธบิ ายเรอ่ื งราว หรอื เหตกุ ารณท์ อ่ี าจมคี วามซบั ซอ้ นจนทาใหผ้ ูอ้ ่านจบั ตน้ ชนปลายไมถ่ กู

ห น้ า | 33

2) เพ่ือวิเคราะห์ เป็นบทความท่ีนาเสนอขอ้ เท็จจริงและขอ้ คิดเห็นของเหตุการณ์ปจั จุบนั หรือสถานการณ์
ปจั จุบนั ใหผ้ ูอ้ ่านทราบ โดยใหข้ อ้ เทจ็ จริง ช้ีประเด็นปญั หา แลว้ วิเคราะหป์ ระเด็นปญั หาท่เี กิดข้นึ นน้ั ตามหลกั วิชาการ
หรอื ตามเกณฑท์ ่เี หมาะสมและเป็นธรรม ช้ขี อ้ ดี ขอ้ เสยี และผลกระทบโดยมเี หตุผลท่นี ่าเช่อื ถอื ประกอบการวเิ คราะห์
อย่างรอบดา้ น

3) เพ่อื วิจารณ์ เป็นบทความท่เี นน้ ความคิดของผูเ้ ขยี นเป็นหลกั ส่วนมากผูเ้ ขยี นอาจแสดงความคิดเหน็ เชงิ
วพิ ากษจ์ ากประสบการณ์ทม่ี มี าแต่อดีต จากความรูท้ ่มี อี ยู่เดมิ หรอื สามญั สานึก แมบ้ ทความน้ีจะไมอ่ าศยั หลกั การอย่าง
เจาะจง แต่กต็ อ้ งวจิ ารณด์ ว้ ยความสานึกทด่ี ี

4) เพอ่ื ช้ีทางแกไ้ ข เป็นบทความทม่ี งุ่ อธบิ าย สาธยายเหตผุ ล ขอ้ เทจ็ จรงิ ทม่ี าของปญั หา ตลอดจนผลกระทบ
พรอ้ มกบั วเิ คราะหใ์ นทกุ มมุ มอง เพ่อื นาไปสู่แนวทางการแกไ้ ขปญั หาใหถ้ ูกประเดน็ บางครงั้ อาจช้ที างออกมากกว่าหน่ึง
ทาง

5) เพอ่ื โนม้ น้าว เป็นบทความท่ผี ูเ้ ขยี นมงุ่ โนม้ นา้ วใหส้ งั คมปฏิบตั ิหรือคลอ้ ยตามความคิดของตนท่เี สนอนน้ั
โดยมีความมุ่งหมายแฝงท่ีแสดงถึงความจาเป็นในการโนม้ นา้ วใหป้ ระชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่ีจะนาไปสู่
สาธารณประโยชน์

6) เพอ่ื รายงานหรอื กระตนุ้ เป็นบทความทม่ี งุ่ ใหเ้กดิ ความสนใจและเกดิ การปฏบิ ตั ใิ นกลมุ่ ผูร้ บั สาร มลี กั ษณะ
คลา้ ยกบั การเขยี นเพ่อื อธิบายหรือวเิ คราะห์ เพราะผูเ้ ขยี นมวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการรายงานหรือบอกเล่าเร่องท่ีเกิดข้นึ ใน
สงั คมใหร้ บั รู้ อาจนามาจากรายงานขา่ ว โดยใหข้ อ้ เทจ็ จรงิ ในแงม่ มุ อ่นื ทย่ี งั ไมป่ รากฏในขา่ ว หรอื การายงานความคืบหนา้
ของสถานการณท์ ห่ี ลุดจากกระแสความสนใจของสาธารณชนกไ็ ด้

7) เพ่ือใหค้ วามรู้ เป็นบทความท่มี ่งุ ใหค้ วามรูแ้ ก่ผูอ้ ่านทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม ซ่งึ ความรูน้ นั้ มหี ลายระดบั
ตงั้ แต่เกรด็ ความรูเ้ร่อื งเลก็ ๆ ไปจนถงึ ความรูเ้ชงิ วชิ าการ

8) เพ่ือความเพลิดเพลิน เป็นการสรา้ งอารมณ์ขนั ใหผ้ ูอ้ ่านไดผ้ ่อนคลายจากเร่ืองหนกั ทางการเมืองและ
เศรษฐกจิ บทความลกั ษณะน้ีจะไมย่ าวนกั มงุ่ จบั แงม่ มุ ทส่ี ามารถสรา้ งสสี นั หรอื รอยย้มิ ใหแ้ ก่ผูอ้ ่าน

ห น้ า | 34

กลวธิ กี ารอา่ นจบั ใจความงานเขียนประเภทบทความ

1) การอ่านจบั ใจความบทความอย่างมปี ระสิทธิภาพ คือ การพยายามคน้ หาความคิดสาคญั ท่ีสุดท่ีผูแ้ ต่ง
ตอ้ งการบอกแก่ผูอ้ ่านใหไ้ ดว้ ่าคืออะไร และผูแ้ ต่งสามารถหาเหตุผลหรือตวั อย่างมาอา้ งอิงใหน้ ่าเช่ือถือไดม้ ากนอ้ ย
เพยี งใด โดยบทความแต่ละเร่ืองจะมแี นวคิดสาคญั ซ่งึ เป็นใจความสาคญั ท่ีสุดของเร่ืองเพยี งอย่างเดียว ส่วนการอา้ ง
เหตุผล ตวั อย่างหรือรายละเอียดใหน้ ่าเช่ือถือ เป็นเพียงส่วนประกอบหรือส่วนขยายใจความสาคญั ใหช้ ดั เจนย่งิ ข้นึ
เท่านนั้ และเป็นทส่ี งั เกตว่าบทความสว่ นมาก ผูแ้ ต่งนิยมเผยใจความสาคญั ไว้ 2 ลกั ษณะ

1.1) การบอกใจความสาคญั ตอนทา้ ย เป็นแบบท่ีนิยมแต่งกนั มากท่ีสุด เพราะการกล่าวถึง
สถานการณ์หรอื ปญั หาแลว้ เสนอเหตผุ ลและรายละเอียดขยายความมาก่อนในตอนตน้ จากนนั้ สรุปแนวคิดสาคญั ของ
ผูแ้ ต่งในตอนทา้ ย

1.2) การบอกใจความสาคญั ตอนตน้ เป็นการดาเนินเร่อื งทต่ี รงกนั ขา้ มกบั แบบแรก คือบอกแนวคิด
สาคญั ท่สี ุดของผูแ้ ต่งไวต้ งั้ แต่ตน้ เร่ือง จากนน้ั เสนอเหตุผลหรือตวั อย่างมาขยายใหเ้ ห็นจริงว่า เพราะเหตุใดผูแ้ ต่งมี
แนวคิดเช่นนนั้ บทความลกั ษณะน้ีมนี อ้ ยกว่าการบอกใจความสาคญั ไวต้ อนทา้ ย เพราะจะเหมาะสมสาหรบั เร่อื งท่เี สนอ
แนวคิดแปลกใหม่ หรือน่าสนใจเป็นพิเศษเท่านั้นจึงจะจูงใจใหผ้ ูอ้ ่านติดตามไปตลอดเร่ือง หากไม่มแี นวคิดท่ีเรา้ ใจ
เพยี งพอ ผูอ้ ่านอาจไมต่ ดิ ตามรายละเอยี ดหรอื ใจความขยายของเรอ่ื งนนั้ เลยกไ็ ด้

2) การอ่านจบั ใจความงานเขยี นประเภทบทความใหไ้ ดถ้ กู ตอ้ งและรวดเรว็ มขี อ้ สงั เกตเพม่ิ เตมิ ดงั น้ี
2.1) จดุ ช้แี นะใจความสาคญั ของบทความทส่ี ามารถคน้ หาไดร้ วดเรว็ ทส่ี ุดเป็นอนั ดบั แรก คือ ชอ่ื เรอ่ื ง

เพราะบทความโดยทวั่ ไปมงุ่ เสนอทรรศนะและเหตผุ ลอย่างตรงไปตรงมา ชอ่ื เร่อื งจงึ มกั ไมซ่ บั ซอ้ นและบง่ ช้หี วั ใจสาคญั ไง่
เป็นส่วนมาก ถา้ อ่านชอ่ื เร่อื งแลว้ ยงั ไมส่ ามารถจบั ใจความไดค้ วรจะคน้ หาจากรายละเอยี ดในเรอ่ื งต่อไป

2.2) บทความเร่ืองหน่ึง ถา้ มีหลายย่อหนา้ ในแต่ละย่อหนา้ จะมีหน่ึงใจความสาคญั เสมอ เม่อื นา
ใจความสาคญั ในแต่ละย่อหนา้ มาพจิ ารณาร่วมกนั จะมองเหน็ ใจความสาคญั ทส่ี ุดของเรอ่ื งไดง้ า่ ย

2.3) งานเขยี นประเภทบทความ มกั เก่ยี วขอ้ งกบั ขา่ วและสถานการณท์ ท่ี นั สมัยอยู่ในความสนใจของ
ประชาชน การพิจารณาความหมายและใจความสาคญั ของบทความใหไ้ ดถ้ ูกตอ้ ง ชดั เจน และรวดเร็ว จึงควรมี
ประสบการณ์หรือภูมิหลงั เก่ียวกบั ข่าวของเหตุการณ์ในเร่ืองนนั้ ดว้ ย บทความส่วนมากจึงนิยมแต่งนิยมอ่านกนั ใน
หนงั สอื พมิ พม์ ากกวา่ อย่างอ่นื

2.4) บทความบางเร่ืองผูแ้ ต่งไม่เสนอทรรศนะหรือสาระสาคญั อย่างตรงไปตรงมา จึงควรสงั เกตหาง
เสยี งหรือนา้ เสยี งของผูเ้ขยี นไปพรอ้ มกนั ดว้ ย เพ่อื สรุปใหไ้ ดว้ ่าผูแ้ ต่งตอ้ งการเสนอใจความสาคญั ท่แี ทจ้ ริงอย่างไร หรอื
ในบางเรอ่ื งมกี ารเลอื กขนาดตวั พมิ พเ์ พอ่ื เนน้ จดุ สาคญั ซง่ึ กอ็ าจมสี ว่ นช้แี นะใจความสาคญั ของบทความไดบ้ า้ งเหมอื นกนั

ห น้ า | 35

แบบฝึ กหดั
บทท่ี 3 การอา่ นจบั ใจความสาคญั จากบทความ

จงอา่ นบทความตอ่ ไปน้ีแลว้ ตอบคาถาม ขอ้ 1 – 5

ยูทูบเบอรข์ องแชนเนล British Primrose ASMR หน่ึงในผูส้ รา้ งคลปิ ASMR กบั binaural microphones
หรือไมโครโฟนสาหรบั อดั เสยี งทเี่ ก็บรายละเอยี ดต่าง ๆ ไดค้ มชดั (ภาพจาก YouTube)

หากใครบงั เอญิ ไดช้ มและฟงั คลปิ ในยูทูบและอกี หลายแหลง่ บนอนิ เทอรเ์ น็ตท่มี ชี ่อื ไฟลข์ ้นึ ตน้ วา่ ASMR อาจตอ้ งประหลาดใจกบั
รูปแบบการนาเสนอค่อนขา้ งแปลก คลปิ เหลา่ น้มี คี วามยาวตงั้ แต่ไม่ก่นี าทไี ปจนร่วมชวั่ โมง มกั ทาเสยี งบางอย่างเบา ๆ ใหเ้ราฟงั ตงั้ แต่ตน้ จนจบ

จดั เป็นคลปิ เฉพาะกลุม่ หมวดหน่ึงท่มี ผี ูส้ รา้ งคลปิ และผูต้ ิดตามจานวนมาก

ASMR ย่อมาจาก autonomous sensory meridian response หมายถึงการตอบสนองต่อประสาทรบั ความรูส้ กึ โดยอตั โนมตั ิ

ผูส้ รา้ งคลปิ จะสรา้ งเสยี งท่ที าใหเ้ กิดความรูส้ กึ ผ่อนคลายและเช่อื วา่ ทาใหห้ ลบั สบาย โดยมากฟงั แลว้ อาจเสยี ววาบบริเวณหนงั ศีรษะ ตน้ คอ ไป
จนขนลุกชนั ตามแขนขา ผูช้ มจึงไดเ้ ห็นผูส้ รา้ งคลปิ ทาเสยี งเบา ๆ ตง้ั แต่กระซบิ กระซาบกบั ผูฟ้ งั แต่งหนา้ สเกตชภ์ าพ บบี ถงุ พลาสติก เค้ียว
อาหาร พลกิ หนา้ กระดาษ ใชก้ รรไกรทาท่าตดั ผมหลอก ๆ ฯลฯ คลปิ ประเภทหน่ึงของ ASMR ท่ไี ดร้ บั ความนิยมคือการใชเ้ สยี งและท่าทาง
แสดงบทบาทสมมตุ ิต่าง ๆ อาทิ ทนั ตแพทย์ ช่างทาผม ช่างตดั เส้อื โดยการถ่ายทอดผ่าน 3D Microphone ซ่งึ บนั ทกึ เสยี งเบา ๆ นุ่มนวลได้

อย่างมรี ายละเอยี ดคมชดั และครบถว้ น
แนวคิดดงั กล่าวเร่ิมเป็นท่สี นใจเมอ่ื ปี ๒๕๕๐ ในกระดานข่าวดา้ นสุขภาพ Steady Health มผี ูต้ งั้ กระทูถ้ ามถงึ ความรูส้ กึ ดี ๆ จาก

เสยี งต่าง ๆ ท่ีอธิบายไม่ไดใ้ นวยั เด็ก ก่อนจะมผี ูร้ ่วมเล่าประสบการณ์จานวนมาก จากนน้ั มกี ารพูดถึงกนั อีกหลายแห่ง ราวปี ๒๕๕๓ คลปิ

ASMR กไ็ ดร้ บั ความนิยมผลติ อย่างกา้ วกระโดดจนมผี ูบ้ ญั ญตั ิศพั ทค์ าน้ขี ้นึ มา

เวบ็ ไซต์ Huffingtonpost สมั ภาษณ์ยูทูบเบอรข์ องแชนเนล British Primrose ASMR ท่เี ร่ิมสรา้ งคลปิ มาตงั้ แต่ปี ๒๕๕๕ เธอให้
เหตุผลทน่ี ่าสนใจถงึ ความนิยมว่า “มาจากสุขภาพจติ ผูช้ มจานวนมากมคี วามเครียด ต่ืนตระหนก หงดุ หงดิ ต่าง ๆ หลายคนบรรเทาไดด้ ว้ ยการ

ดู ASMR ค่ะ” เธออา้ งจานวนผูช้ มท่ีตอบรบั เป็นเคร่ืองพิสูจนว์ ่าไดผ้ ล โดยมองว่าภาวะสุขภาพจิตท่ีไม่ปรกติเหล่าน้ียงั ไม่มกี ารศึกษาวิจยั
เท่าท่คี วร ทงั้ ท่คี นยุคปจั จบุ นั ประสบปญั หามากข้นึ เร่อื ย ๆ

ผูช้ มหลายคนเขยี นสนบั สนุนเหตผุ ลดงั กลา่ วว่าตนอยู่กบั หนา้ จอและสอ่ื ต่าง ๆ มากจนปญั หาสุขภาพจติ ทวขี ้นึ ผูต้ ดิ ตามคลปิ กลุม่ น้ี
ใหเ้ หตุผลว่าฟงั คลปิ ในยามว่างเพ่อื ผ่อนคลาย หลายคนใชเ้ พ่อื ทาใหน้ อนหลบั บางคนกลา่ วว่าเสยี งเบา ๆ จากคลปิ กระตุน้ จนิ ตนาการจนลมื

โลกความเป็นจริงไดช้ วั่ ขณะ สบื คน้ เมอ่ื

หากหลายคนท่ไี ม่ “อนิ ” กบั ASMR โดยเฉพาะเวบ็ ไซตด์ า้ นวทิ ยาศาสตรว์ จิ ารณ์ว่าคลปิ เหล่าน้ีชวนขนลุกมากกว่ารูส้ กึ ดี และตง้ั

ขอ้ สงั เกตวา่ ผูท้ าคลปิ สว่ นมากเป็นผูห้ ญงิ การสรา้ งความรูส้ กึ ชวนจกั ๊ จ้จี งึ แฝงนยั ทางเพศไมน่ อ้ ย ก่อนจะสรุปว่าปรากฏการณส์ รา้ งคลปิ ประเภท

น้เี ป็นเพยี งวทิ ยาศาสตรล์ วงโลกเท่านน้ั

มผี ูป้ ระเมนิ วา่ ในอนาคตคลปิ ASMR ยงั พฒั นาต่อไปไดอ้ กี ไมใ่ ช่แค่การบนั ทกึ เสยี ง แต่รวมทง้ั ดา้ นการถา่ ยภาพและตลาดอปุ กรณ์
เทคโนโลยโี ลกเสมอื นจริง (virtual reality) ท่เี นน้ ประสบการณใ์ กลช้ ดิ ทางภาพและเสยี ง ยงั ช่วยเปิดโอกาสใหส้ รา้ งสรรคว์ ดิ ีโอแบบอ่นื  ๆ มากข้นึ

อย่างไรก็ตามยงั ไมม่ หี ลกั ฐานทางการแพทยย์ นื ยนั ผลต่อสุขภาพจาก ASMR และแน่นอนว่าคลปิ เหล่าน้ีอาจไมช่ ่วยใหผ้ ่อนคลาย

ไดท้ ุกคน

ทม่ี า : ยตั ภิ งั ค์ - ธชั ชยั วงศก์ จิ รุ่งเรอื ง. (2564). ASMR แค่ฟงั กฟ็ ิน จริงหรือหลอก ?. สบื คน้ 4 กรกฎาคม 2564, จาก
https://www.sarakadee.com/2017/11/14/asmr/

ห น้ า | 36

1. บทความน้ีเป็นบทความประเภทใด
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

2. จดุ มงุ่ หมายของการเขยี นบทความน้ี คอื อะไร
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

3. ใจความสาคญั ของบทความน้ีอยู่ยอ่ หนา้ ใด
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

4. ย่อหนา้ ใดทป่ี รากฏทศั นะของผูเ้ขยี น
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
5. จงบอกแนวคดิ หรอื สง่ิ ทไ่ี ดร้ บั จากการอ่านบทความขา้ งตน้ จานวน 3 ขอ้
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

ห น้ า | 37

จงอา่ นบทความตอ่ ไปน้ีแลว้ ตอบคาถาม ขอ้ 6 – 10

มนตเ์ สน่หเ์ มอื งเกา่ ณ กรงุ ย่างกงุ้ ดนิ แดนแหง่ ชีวติ และสสี นั

ยอ้ นกลบั ไปในอดตี พมา่ มปี ระวตั ศิ าสตรท์ น่ี ่าสนใจอยู่หลายอย่างดว้ ยกนั ทงั้ เป็นเมอื งท่าทม่ี พี ้นื ทต่ี ดิ กบั ทะเล เป็นปากแมน่ า้ ทท่ี อด
ยาวลงไปสู่แม่นา้ อิรวดี ซ่ึงจะข้นึ สู่พม่าตอนบน ย่างกุง้ ไม่ใช่เมอื งเลก็ ๆ ไม่ไดด้ อ้ ยพฒั นา ทว่ากลบั เต็มไปดว้ ยตึกรามบา้ นช่องขนาดใหญ่
สวยงามดว้ ยสไตลแ์ บบโคโลเนยี ล มสี ง่ิ ทน่ี ่าสนใจมากมายอยู่ทน่ี ่ี ...

นกั ท่องเท่ยี วไม่ผดิ หวงั อย่างแน่นอน หากแวะมา ทวั รพ์ ม่า แลว้ ตอ้ งเขา้ มา ณ กรงุ ย่างกงุ้ นาย Patty จะพาไปช่นื มน่ื กบั ความน่า
ดงึ ดูดใจ เป็นเหตผุ ลทจ่ี ะตอบไดว้ า่ ทาไมคณุ ถงึ ตอ้ งมาย่างกงุ้ !

อดีตในกาลเวลา ณ ยานโกน สู่ ... กรงุ ย่างกงุ้
อดตี ของเมอื งย่างกงุ้ คือเมอื งหลวงท่มี คี วามเก่าแก่ แมใ้ นปจั จบุ นั จะไม่ไดถ้ กู ใหค้ วามสาคญั ขนาดนน้ั แต่ก็ยงั เป็นเมอื งเศรษฐกิจ
ตามรากฐานเดมิ ทเ่ี คยมมี า มคี วามสาคญั ท่ยี งั คงถูกจดั ไวเ้ป็นอนั ดบั ตน้ ๆ อย่างไรก็ตามขอ้ แรกทน่ี าย Patty อยากใหน้ กั ท่องเทย่ี วรูเ้ อาไวว้ ่า
กรงุ ย่างกงุ้ ไม่ไดถ้ กู ตง้ั ชอ่ื ข้นึ มาเพราะวา่ คนทน่ี ช่ี อบกนิ เมนูกงุ้ เผาหรอื กงุ้ ย่าง แต่มคี วามหมายตามชอ่ื ทช่ี าวพม่าเรยี ก คอื ยานโกน ไมใ่ ช่ย่างกงุ้
แบบพไ่ี ทยเรยี กกนั ซง่ึ หมายถงึ "จดุ จบของศตั รู" ซง่ึ เป็นเรอ่ื งราวทางประวตั ศิ าสตรข์ องทน่ี ่ใี นอดตี นนั่ แหละ
สมั ผสั ความงามของเจดยี ์ และทะเลสาบจากฝีมอื มนุษย์
พอเหยียบเทา้ เขา้ มาสู่กรุงย่างกุง้ แลว้ ส่งิ ท่นี ่าสนใจสาหรบั เมอื งแห่งน้ี เป็นแลนดม์ ารค์ แรกท่ตี ้องบอกว่าควรไปเท่ยี วใหไ้ ด้ คอื
เจดยี ช์ เวดากอง และเจดยี โ์ บดาวทาวน์ คนไทยจะรูจ้ กั กนั ในช่อื วา่ เทพทนั ใจ ส่วนคนท่ไี ม่ไดห้ ลงใหลอะไรเก่ยี วกบั เร่อื งของศาสนาเท่าใดนัก
นาย Patty จะพาไปรูจ้ กั กบั ทะเลสาบอินยา ซ่งึ เดินทางไปไดไ้ ม่ยาก ระยะทางก็ไม่ไกลมากจนเกินไป แต่อาจจะไม่ สะดวกสบายมากนกั
เนอ่ื งจากไมม่ มี อเตอรไ์ ซดใ์ หเ้รยี ก มแี ต่เพยี งรถเมลท์ จ่ี ะดูยุ่งยากสกั หน่อยสาหรบั การใชบ้ รกิ าร พอมาถงึ บรเิ วณทะเลสาบแห่งน้ี
ซง่ึ ยงั มปี ระวตั ศิ าสตรท์ เ่ี ก่ยี วขอ้ งคอื ... ไมไ่ ดเ้ป็นทะเลสาบธรรมชาติ แต่มชี าวองั กฤษมาก่อสรา้ งเอาไว ้ เพอ่ื ใชเ้ป็นอ่างเกบ็ นา้ สาหรบั
ทาประโยชนใ์ นช่วงนน้ั แต่ตอนน้ไี ดก้ ลายเป็นแหลง่ ท่องเท่ยี วทส่ี วยงาม ปลดแอก็ จากโซ่ตรวนเป็นทเ่ี รยี บรอ้ ย เมนูท่นี ่อี ร่อย โดยเฉพาะอาหาร
ทะเลทน่ี กั ท่องเทย่ี วตอ้ งลอง กนิ ไปชมววิ ไปในบรรยากาศสุดโรแมนตกิ เหมาะอย่างยง่ิ สาหรบั นกั ท่องเทย่ี วหนุ่มสาวทก่ี าลงั สวที หวาน
ชมความคลาสสคิ ของมหาวทิ ยาลยั แหง่ แรกของพม่า
ข้นึ จากนา้ แลว้ พากนั ไปต่อท่มี หาวทิ ยาลยั ย่างกงุ้ อยู่ไม่ไกลกนั นกั จากทะเลสาบอนิ ยา ลกั ษณะของอาคารทม่ี กี ลน่ิ อายความเก่าแก่
โบราณแทรกตวั อยู่ทวั่ ทกุ พ้นื ท่ี เพราะทน่ี ่คี อื มหาวทิ ยาลยั แห่งแรกทม่ี คี วามร่มรน่ื ของธรรมชาตปิ กคลุมไปทวั่ บรเิ วณ แลว้ อย่าเพง่ิ ตกใจวา่ ทาไม
นาย Patty ถงึ อยากใหเ้ดนิ ทางมาทน่ี ่ี เพราะประวตั ศิ าสตรท์ น่ี ่าต่นื ตาตน่ื ใจ ไม่ใช่แค่ความเก่าแก่ หรอื การเป็นมหาวทิ ยาลยั แห่งแรก แต่อดตี ท่ี
ผ่านมาทน่ี ค่ี อื มหาวทิ ยาลยั ชน้ั นาตดิ อนั ดบั แรกๆ ของเอเชยี มาแลว้ สว่ นบรรยากาศดา้ นในบอกไดค้ าเดยี ววา่ สวยเก๋ อบอวลดว้ ยความคลาสสคิ
ไมว่ า่ จะหนั กลอ้ งไปมมุ ไหนก็สวยไปหมดแบบ 360 องศาเลยทเี ดยี ว
กรงุ ย่างกงุ้ จะเล่าต่อคงยาว นาย Patty ขอแนะนาใหล้ องหาเวลาวนั หยุดออกไปท่องเทย่ี วสมั ผสั โลกทอ่ี ยู่ใกลป้ ระเทศของเรากนั ดู
บา้ ง ไม่เพยี งแค่สสี นั ทก่ี ลา่ วไปขา้ งตน้ ทน่ี ่ียงั มอี กี หลายอย่างทด่ี ูน่าสนใจ แบกเป้ออกไปผจญภยั เปิดหูเปิดตากบั พ้นื ทๆ่ี มกั ถกู มองขา้ ม แลว้ จะ
รูว้ า่ กรงุ ย่างกงุ้ เมอื งเก่าแห่งน้ี มวี ถิ แี ห่งการใชช้ วี ติ ทด่ี งึ ดูดดว้ ยเสน่หม์ ากมายเลยทเี ดยี ว

ทม่ี า : Doubleenjoy. (ม.ป.ป.). มนตเ์ สน่หเ์มอื งเก่า ณ กรุงย่างกงุ้ ดินแดนแห่งชีวติ และสสี นั . สบื คน้ 3 กรกฎาคม 2564,
จาก https://www.doubleenjoy.com/Blogs/56/มนตเ์ สน่หเ์ มอื งเก่า ณ กรุงย่างกงุ้ ดนิ แดนแหง่ ชวี ติ และสสี นั /

ห น้ า | 38

6. บทความน้ีเป็นบทความประเภทใด
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

7. จดุ มงุ่ หมายของการเขยี นบทความน้ี คืออะไร
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

8. ใจความสาคญั ของบทความน้ีอยู่ยอ่ หนา้ ใด
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

9. ยอ่ หนา้ ใดท่ปี รากฏทศั นะของผูเ้ขยี น
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
10. จงบอกสง่ิ ทน่ี ่าสนใจของเมอื งย่างกงุ้ จานวน 3 ขอ้
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

ห น้ า | 39

แบบทดสอบ
บทท่ี 3

การอา่ นจบั ใจความสาคญั จากบทความ

SCAN HERE

แบบทดสอบ ห น้ า | 40
บทท่ี 3 การอา่ นจบั ใจความสาคญั จากบทความ
โดย กชกร ศรสี ุข
จงอา่ นบทความทก่ี าหนดใหแ้ ลว้ ตอบคาถามขอ้ 1 – 5

ขา้ งหลงั ภาพ 1

นพพร ตวั แทนแหง่ ความรกั อนั ฉาบฉวยของผูค้ นในปจั จบุ นั

ท่านคิดวา่ ความรกั คืออะไร หลายคนใหน้ ยิ ามความรกั ไวว้ า่ เป็นความรูส้ กึ ทด่ี ที ม่ี ใี หก้ ับใครสกั คนหรอื บางสง่ิ บางอย่างโดยมหิ วงั สง่ิ 2
ตอบแทน แต่จะเป็นไปไดห้ รือกบั ความรกั ของผูค้ นในขณะน้ี ในสงั คมปจั จุบนั ความเจริญทางดา้ นเทคโนโลยีผลกั ดนั ใหม้ นุษยส์ ามารถ
ตดิ ต่อสอ่ื สารกนั ไดส้ ะดวกยง่ิ ข้นึ ทกุ เช้อื ชาติ ทกุ ภาษา ทกุ ชนชนั้ ทกุ เพศ ทกุ วยั ดงั นน้ั การทผ่ี ูค้ นหนุ่มสาวจะคบหาดูใจกนั จงึ ไมใ่ ช่เรอ่ื งยากอกี 3
ต่อไป และแน่นอนว่าสง่ิ ท่ไี ดม้ างา่ ยดายนน้ั ก็ย่อมเสยี ไปอย่างง่ายดายเช่นกนั คู่รกั หลายคู่คบหากนั เพยี งชวั่ อดึ ใจเดยี วก็เลกิ รากนั ไป นบั ไดว้ า่ 4
เป็นความรกั ในแบบฉบบั ท่ไี มม่ คี วามมนั่ คงยงั่ ยนื เป็นอย่างยง่ิ เหล่าน้ลี ว้ นเป็นสง่ิ ทม่ี าจากการสะทอ้ นเร่อื งราวของ นพพร ตวั ละครหนุ่มจากนว 5
นยิ ายของศรบี ูรพาเรอ่ื ง “ขา้ งหลงั ภาพ”

นพพร นกั เรยี นแลกเปลย่ี นไฟแรงไทย-ญป่ี ่นุ ทห่ี วงั เพยี งนาความรูจ้ ากการศึกษาในประเทศญป่ี ่นุ ไปพฒั นาความเป็นอยู่ในแผ่นดนิ
มาตภุ มู ิ นพพรผูไ้ ม่เคยหวนั่ ไหวต่อสง่ิ ยวั่ ยุและอบายมขุ ใด ๆ อย่างการเทย่ี วเตร่ตามภาษาเดก็ หนุ่ม แมก้ ระทงั่ ความพศิ วาสต่ออสิ ตรมี าตลอด
22 ปี ชวี ติ ของเดก็ หนุ่มผูน้ ้ไี ม่มสี ง่ิ ใดน่าต่นื เตน้ หวอื หวา แต่แลว้ ก็มเี หตกุ ารณ์ทเ่ี รยี กไดว้ ่าเป็นเหตกุ ารณท์ เ่ี ปลย่ี นชวี ติ ของนพพรไปอย่างส้นิ เชงิ
นนั่ ก็คอื การมาฮนั นมี นู ของ เจา้ คณุ อธกิ าร ผูเ้ป็นเพอ่ื นรกั ของพ่อ และภรรยานามว่า คณุ หญงิ กรี ติ โดยนพพรไดร้ บั มอบหมายใหป้ รนนบิ ตั ิดูแล
อานวยความสะดวกแก่ผูใ้ หญ่ทงั้ สอง หากแต่ความรูส้ กึ ทไ่ี มเ่ คยบงั เกดิ ข้นึ ก็ไดบ้ งั เกดิ ในหวั ใจอนั บรสิ ุทธ์ิของเด็กหนุ่ม ณ เรอ่ื งราวตรงน้ี นพพร
ไดบ้ รรยายคณุ หญงิ กรี ตเิ มอ่ื แรกพบไวว้ า่

“..แลดูเป็นสาว และเต็มไปดว้ ยความเปล่งปลงั่ แต่งกายงดงามมสี ง่า แมเ้ พยี งชวั่ การชาเลอื งเหน็ ครง้ั แรก ความสง่าของหล่อนก็
ปรากฏโดยเด่นชดั ในสายตาของขา้ พเจา้ ..”

จากคากลา่ วของนพพรนนั้ เหน็ ไดว้ ่าแทจ้ รงิ แลว้ นพพรกเ็ ป็นเหมอื นชายหนุ่มทวั่ ไปทเ่ี ลอื กคนทช่ี อบพอกนั ดว้ ยปจั จยั เพยี งไมก่ อ่ี ย่าง
หน่งึ ในปจั จยั นน้ั ก็คือรูปลกั ษณ์หนา้ ตา ความประทบั ใจแรกพบต่อคุณหญงิ กรี ติ เกิดจากการแต่งองคท์ รงเคร่อื งอย่างสง่าและรูปร่างหนา้ ตาท่ี
สวยงามของคณุ หญงิ กรี ตทิ ง้ั ส้นิ ปจั จยั ทต่ี ่อมากค็ อื การพดู จาหยอดคาหวานใหแ้ ก่กนั ดงั จะเหน็ ไดใ้ นหลายๆ ประโยคของนพพร ทเ่ี มอ่ื มโี อกาส
ก็มกั จะช่นื ชมเยนิ ยอคณุ หญงิ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเร่อื งหนา้ ตา บคุ ลกิ ภาพ การแต่งองคท์ รงเครอ่ื ง และคาพดู คาจา เมอ่ื เวลาผ่านไปความรูส้ กึ
ของเดก็ หนุ่มก็เพม่ิ พนู ข้นึ มากพอทจ่ี ะก่อใหเ้ กิดสง่ิ ทเ่ี ขาเขา้ ใจว่าเป็นความรกั หากแต่ขา้ พเจา้ รบั รูไ้ ดว้ า่ เป็นเพยี งความหลงใหลชวั่ ขณะเท่านนั้
นอกจากน้ยี งั มอี กี เหตกุ ารณห์ น่งึ ทแ่ี สดงถงึ ความไมย่ ง้ั คดิ ของตวั ละครน้ี นนั่ ก็คอื เหตกุ ารณท์ ม่ี ติ าเกะ เมอ่ื นพพรเผลอใจจบู คณุ หญงิ กีรติ

“..หนา้ ของขา้ พเจา้ ซบลงทพ่ี วงแกม้ สชี มพอู ่อนของเธอ ไมม่ อี านาจใดในตวั ขา้ พเจา้ เหลอื อยู่ จะควบคมุ ยบั ยง้ั ไวไ้ ด.้.”

6

ทม่ี า : กชกร ศรสี ขุ . (2560). ขา้ งหลงั ภาพ นพพร ตวั แทนแห่งความรกั อนั ฉาบฉวยของผูค้ นในปจั จุบนั . สบื คน้ 3 กรกฎาคม 2564,
จาก http://www.praphansarn.com/home/content/1038

ห น้ า | 41

1.บทความน้ีเป็นบทความประเภทใด
1. บทความวจิ ารณ์
2. บทความสารคดี
3. บทความวเิ คราะห์
4. บทความแสดงความคดิ เหน็

2.จดุ มงุ่ หมายของผูเ้ขยี นบทความน้ี คืออะไร
1. เพอ่ื บอกลกั ษณะนิสยั ของตวั ละครนพพร
2. เพอ่ื อธบิ ายเหตุการณท์ เ่ี กดิ ข้นึ กบั ตวั ละครนพพร
3. เพอ่ื ช้ที างใหเ้หน็ ขอ้ ดีและขอ้ เสยี ของตวั ละครนพพร
4. เพอ่ื แสดงความคดิ เหน็ เชงิ วพิ ากษข์ องตวั ละครนพพร

3. ย่อหนา้ ใดทป่ี รากฏทศั นะของผูเ้ขยี น
1. ยอ่ หนา้ ท่ี 3
2. ยอ่ หนา้ ท่ี 4
3. ย่อหนา้ ท่ี 5
4. ย่อหนา้ ท่ี 6

4. ยอ่ หนา้ ใดสมั พนั ธก์ บั ชอ่ื เร่อื งมากทส่ี ุด
1. ยอ่ หนา้ ท่ี 3
2. ยอ่ หนา้ ท่ี 4
3. ย่อหนา้ ท่ี 5
4. ยอ่ หนา้ ท่ี 6

5. ใจความสาคญั ทส่ี ุดทผ่ี ูแ้ ต่งตอ้ งการบอกผูอ้ ่านคอื อะไร
1. นพพรไมเ่ คยมคี นรกั
2. นพพรไมม่ นั่ คงต่อความรกั
3. นพพรเป็นเดก็ นกั เรียนนอก
4. นพพรชอบคนท่รี ูปร่างหนา้ ตา

จงอา่ นบทความท่กี าหนดใหแ้ ลว้ ตอบคาถามขอ้ 6 – 10 ห น้ า | 42

1

ผสี างเทวดา เกรด็ เรอ่ื งราวความเชอ่ื ผสี าง เทวดา ในวฒั นธรรมไทยแต่อดตี 2
3
หน่ึงในวชิ า “เคลด็ ลางอาถรรพณ”์ ทยี่ งั ไดย้ นิ ไดร้ ูไ้ ดเ้หน็ วา่ มคี นทาจริง ๆ ในชีวติ ประจาวนั จนถงึ เดยี๋ วน้ี และไมใ่ ช่คนเฒ่าคนแก่
แต่เป็นเด็กรุ่นๆ หรือสาวๆ กค็ ือการ “ปกั ตะไคร”้ ไลฝ่ น

วธิ กี ารคอื หากเหน็ ท่าไมด่ วี า่ เมฆฝนกาลงั ตรงรเ่ี ขา้ มาหา แต่วา่ เรายงั ไม่ตอ้ งการใหง้ านกลางแจง้ ใด ๆ เปียกโชก กจ็ งไปขดุ หรอื หา
ตะไครส้ กั กาหนง่ึ แลว้ ปกั ลงกลางแจง้ ทาคลา้ ย ๆ จะเอาไปปลูก แต่ใหป้ กั ยอดทม่ิ ลงดนิ เอารากหรอื โคนช้ขี ้นึ ฟ้า พรอ้ มกบั ตง้ั สตั ยาธษิ ฐาน
ขอใหฝ้ นไมเ่ ทลงมาเถดิ เจา้ ประคูณ้ …

สาคญั วา่ คนปกั ตอ้ งเป็นหญงิ สาวผูเ้ป็นพรหมจารณิ ี คอื ยงั ไม่มสี ามี เป็นสาวบรสิ ทุ ธ์ิ 4

แต่เคยไดย้ นิ บางคนเลา่ ต่างออกไปกม็ ี วา่ คนทจ่ี ะไปเป็น “พธิ กี ร” (ใชค้ าน้ไี ดไ้ หมนะ ?) ประกอบพธิ กี รรมปกั ตะไคร้ ไมใ่ ช่หญงิ สาว 5

โสดซงิ แต่ตอ้ งเป็นลูกชายคนโตต่างหาก

หากอยากลองวเิ คราะหใ์ หด้ เู ป็น “วชิ าการ” บา้ งกอ็ าจแลเหน็ ความเชอ่ื มโยงระหวา่ งคตทิ ง้ั สองแบบน้ี กบั การ “หา้ มฝน” 6 7

- ทง้ั หญงิ สาวพรหมจรรย์ ลูกชายคนโต (รวมถงึ กอตะไครแ้ ละฝน) ลว้ นมนี ยั ความหมายในทางพธิ ีกรรมว่าดว้ ยการแตกหน่อ

แพร่พนั ธุ์ สบื สกลุ มลี ูกมหี ลาน ฯลฯ แต่เมอ่ื ใหค้ นทม่ี คี ณุ สมบตั ิ “ถงึ พรอ้ ม” อย่างทว่ี า่ เอาตะไครไ้ ปปลูกดว้ ยการกลบั เอายอดลงดนิ รากช้ฟี ้า
อนั เป็นการปฏเิ สธการแตกกอเจรญิ งอกงามต่อไป จงึ เท่ากบั วา่ ไดส้ รา้ งภาวะ “ผดิ ทผ่ี ดิ ทาง” หรอื ก่อกาเนิดความ “ไม่ปกต”ิ ข้นึ มา อนั จะมผี ล
ใหก้ ลไกต่าง ๆ ทงั้ ทางธรรมชาตแิ ละเหนอื ธรรมชาติ ตดิ ขดั -ตดั ขาด คอื ไมเ่ ป็นอย่างทค่ี วรจะเป็น

เมอ่ื เป็นดงั นน้ั เทวดาจงึ ขดั ใจ แลว้ ฝนทค่ี วรจะตกตอ้ งตามฤดูกาลจงึ ไมต่ ก เป็นเหมอื นการลงโทษกลาย ๆ 8

การสรา้ งภาวะ “ผดิ ทผ่ี ดิ ทาง” ในพธิ ีกรรมทานองน้ี ว่าท่จี รงิ ก็พบเหน็ ไดท้ วั่ ไป อย่างการแห่นางแมวขอฝนก็เช่นกนั คอื จากปกตทิ ่ี

แมวทวั่ ไปไม่ชอบนา้ (ท่จี รงิ แมวชอบอาบนา้ ก็เคยเหน็ มบี า้ ง แต่คงเป็นส่วนนอ้ ย) แต่เมอ่ื จบั เอาแมวไปเขา้ ขบวนแห่กลางแจง้ เอานา้ ไปสาด 9
ไปซดั ก็เท่ากบั การสรา้ งภาวะ “ผดิ ท่ผี ดิ ทาง” ข้นึ ซง่ึ ว่ากนั ว่า “เทวดาฟ้าดิน” หรืออานาจเหนือธรรมชาติจะไม่พอใจ ทาใหบ้ นั ดาลใหฝ้ น

กระหนา่ ลงมา เพอ่ื “ชะลา้ ง” สง่ิ ผดิ ปกตนิ ้อี อกไป

ไม่เฉพาะแต่ในพธิ กี รรมชาวบา้ น แมแ้ ต่พธิ ขี องหลวง อย่างเช่น พธิ พี ริ ุณศาสตรใ์ นชุด “พระราชพธิ ี 12 เดอื น” อนั เป็นการขอฝน

เช่นเดยี วกนั ก็ตอ้ งมกี าร “ปนั้ เมฆ” คือปนั้ ดนิ เป็นตกุ๊ ตารูปหญงิ ชายเปลอื ยกายสมสู่กนั ไปตง้ั ไวก้ ลางแจง้ ในความหมายว่า เอากจิ กรรมอนั 10

พงึ เกดิ ในทบ่ี งั ลบั หูลบั ตา ไปวางโร่ไวใ้ หเ้ทวดาเหน็ สง่ิ “บดั สบี ดั เถลงิ ” แลว้ จะไดส้ ง่ ฝนลงมาไลล่ า้ งใหไ้ ปพน้ ๆ เสยี

นก่ี เ็ ขา้ หนา้ ฝนแลว้ ฝนตกย่อมเป็นเรอ่ื งธรรมชาติ สานวนไทยโบราณเขากม็ ี “ฝนจะตก ข้จี ะแตก พระจะสกึ ” จะไปหา้ มอย่างไรไหว 11

ทม่ี า : สารคด.ี (2562). ผสี างเทวดา – ปกั ตะไคร.้ สบื คน้ 4 กรกฎาคม 2564, จาก https://www.sarakadee.com/2019/05/29/ปกั ตะไคร-้ ผสี างเทวดา/

ห น้ า | 43

6.บทความน้ีเป็นบทความประเภทใด
1. บทความวจิ ารณ์
2. บทความสารคดี
3. บทความวเิ คราะห์
4. บทความแสดงความคดิ เหน็

7.จดุ มงุ่ หมายของผูเ้ขยี นบทความน้ี คอื อะไร
1. เพอ่ื วจิ ารณ์ทาพธิ ขี อฝนของไทย
2. เพอ่ื อธบิ ายการสรา้ งภาวะผดิ ทผ่ี ดิ ทาง
3. เพอ่ื โนม้ นา้ วเทวดาบนั ดาลใหฝ้ นไมต่ ก
4. เพอ่ื วเิ คราะหพ์ ธิ กี รรมของฝนของไทย

8. ย่อหนา้ ใดทป่ี รากฏทศั นะของผูเ้ขยี น
1. ย่อหนา้ ท่ี 3 และ 9
2. ย่อหนา้ ท่ี 4 และ 9
3. ยอ่ หนา้ ท่ี 5 และ 9
4. ย่อหนา้ ท่ี 6 และ 9

9. ย่อหนา้ ใดสมั พนั ธก์ บั ชอ่ื เรอ่ื งมากทส่ี ุด
1. ยอ่ หนา้ ท่ี 8
2. ย่อหนา้ ท่ี 9
3. ยอ่ หนา้ ท่ี 10
4. ยอ่ หนา้ ท่ี 11

10. ใจความสาคญั ทส่ี ุดทผ่ี ูแ้ ต่งตอ้ งการบอกผูอ้ ่านคืออะไร
1. พธิ ขี อฝนมหี ลายวธิ ี
2. สาวพรหมจรรยต์ อ้ งปกั ตะไคร้
3. พธิ ปี กั ตะไครเ้ป็นใชภ้ าวะผดิ ทผ่ี ดิ ทาง
4. ความแตกต่างพธิ กี รรมขอฝนของชาวบา้ นและวธิ ีขอฝนหลวง

ห น้ า | 44

ห น้ า | 45

บทท่ี 4
การอา่ นจบั ใจความจากตารา

งานวชิ าการเป็นงานเขยี นอธบิ ายเรอ่ื งท่ผี ูเ้ขยี นไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ แสดงความคิดเหน็ ใหค้ าแนะนา ขอ้ คิดหรอื ขอ้
เตือนใจ โดยมที ฤษฎสี นบั สนุน มแี หล่งอา้ งอิงขอ้ มลู ท่คี น้ ควา้ อย่างเป็นระบบและใชภ้ าษาเขยี นในระดบั ท่เี ป็นทางการ
งานวชิ าการมหี ลายรูปแบบ เช่น ตารา บทความวชิ าการ รายงานวชิ าการ รายงานวจิ ยั รายงานการประชุมสมั มนาทาง
วชิ าการ การอ่านจบั ใจความงานวชิ าการประเภทต่าง ๆ สง่ิ สาคญั ทผ่ี ูอ้ ่านตอ้ งรูค้ ือลกั ษณะของงานวชิ าการ ซง่ึ ในบทเรยี น
น้ีจะกล่าวถงึ งานวชิ าการท่ผี ูเ้รียนในระดบั อดุ มศึกษาไดใ้ ชป้ ระกอบการเรียนหรือคน้ ควา้ ขอ้ มลู ทางวชิ าการ คือ การอ่าน
ตารา

ความหมายของตารา
ตารา หมายถงึ หนงั สอื ทแ่ี ต่งหรือเรยี บเรยี งข้นึ เพอ่ื อธบิ ายหรอื แสดงเน้ือหาวชิ าการต่าง ๆ รวมไปถงึ หนงั สอื ท่ี

อ่านประกอบการเรยี นดว้ ย โดยมเี ป้าหมายใหค้ วามรูแ้ ก่ผูอ้ ่านเป็นหลกั

ประเภทของตาราเรยี น

1) หนงั สอื แบบเรยี น คือหนงั สอื ทใ่ี ชเ้ป็นแบบเรียนตามหลกั สูตร เช่น หนงั สอื เรยี นของนกั เรยี นชนั้
ประถมศึกษาและมธั ยมศึกษาของกระทรวงศึกษาธกิ าร

2) หนงั สอื อา้ งองิ (Text Book) คอื หนงั สอื ทข่ี ยายความรูจ้ ากแบบเรยี นใหก้ วา้ งข้นึ โดยอาจมไี ดห้ ลายเลม่
หลายสานวน เช่น พจนานุกรมไทย พจนานุกรมไทย - จนี พจนานุกรมไทย - องั กฤษ

ห น้ า | 46

3) หนังสอื อา่ นประกอบ หรอื หนังสอื อา่ นเพม่ิ เตมิ คอื หนงั สอื ทใ่ี ชอ้ ่านเพม่ิ เติมเน้ือหาบางเรอ่ื งบางตอน หรอื
เพม่ิ พนู ทกั ษะในการเรยี นบางเร่อื งใหม้ ากข้นึ

นอกจากน้ี สมเกียรติ ววิ ฒั นาพงษากลุ (2560 : 9-9)กลา่ วว่าตาราแบ่งไดห้ ลายประเภท หากแบ่งตามวธิ เี ขยี น
จาแนกตาราได้ ดงั น้ี

1) ตาราทเ่ี รยี บเรยี งข้ึนจากการคน้ ควา้ เป็นงานทเ่ี ขยี นโดยอาศยั การคนั ควา้ ความรูจ้ ากเอกสาร ประเภทต่าง ๆ
โดยนามาวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และเรยี บเรยี งข้นึ เพอ่ื เสนอความรูท้ ท่ี นั ต่อการเปลย่ี นแปลง

2) ตาราแตง่ ใหม่ เป็นงานทเ่ี ขยี นข้นึ จากความรูแ้ ละประสบการณ์ใหม่ โดยมากความรูแ้ ละประสบการณน์ น้ั ได้
จากการวจิ ยั ตาราทแ่ี ต่งข้นึ ใหมม่ กั เป็นงานเขยี นทเ่ี สนอความรูท้ ย่ี งั ไมม่ มี าก่อน

3) ตาราแปล เป็นงานแปลจากตน้ ฉบบั ภาษาอ่นื เพอ่ื ใชป้ ระโยชนท์ างวชิ าการ

หรอื จะแบง่ โดยใชเ้กณฑเ์ น้ือหา ดงั น้ี
1) ตาราดา้ นวิทยาศาสตร์ เป็นงานเขียนท่ีมีเน้ือหาขอบข่ายวิทยาศาสตร์ ทงั้ วิทยาศาสตร์บริสุทธ์ิและ
วทิ ยาศาสตรป์ ระยุกต์ เช่น คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตรส์ ง่ิ แวดลอ้ ม สถติ ิ วศิ วกรรมศาสตร์ ฯลฯ
2) ตาราดา้ นสงั คมศาสตร์ เป็นงานเขียนท่ีเน้ือหาสาระท่ีเก่ียวกบั วิชาในกลุ่มสงั คมศาสตร์ บริหารธุรกิจ
การบญั ชี สงั คมวทิ ยา นิตศิ าสตร์ คหกรรมศาสตร์ ฯลฯ
3) ตาราดา้ นมนุษยศาสตร์ เป็นงานเขียนท่ีมีเน้ือหาสาระเก่ียวขอ้ งกบั วิชาในดา้ นมนุษยศาสตรห์ รืออกั ษร
ศาสตร์ เช่น ปรชั ญา ภาษา นาฏศิลป์ ศิลปะ ฯลฯ

แมจ้ ะใชเ้ กณฑใ์ ดแบ่งประเภทของตารากต็ าม แต่ตาราลว้ นเสนอเน้ือหาในดา้ นใดดา้ นหน่ึงทใ่ี หแ้ นวคิด ทฤษฎี
ความรู้ และทาใหผ้ ูอ้ ่านเกิดความรูแ้ ละความคิด จนนาไปสู่การพฒั นาตนเองใหเ้ป็นนกั คิด (ปรีชา ขา้ งขวญั ยนื ,2520, น.
27) จนสามารถนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ไดต้ ่อไป ผูอ้ ่านจึงตอ้ งอ่านตาราอย่างละเอียด จากนนั้ จึงตคี วามและวเิ คราะห์
เน้ือหาใหเ้ ขา้ ใจ ในหลายกรณีผูอ้ ่านตอ้ งศึกษาคน้ ควา้ เพ่ิมเติม (วรนนั ท์ อกั ษรพงศ,์ 2534, น.81) เพ่อื ใหไ้ ดค้ วามรู้
ครอบคลมุ ชดั เจน และถกู ตอ้ ง

ห น้ า | 47

สว่ นประกอบของตารา

การอ่านจบั ใจความสาคญั จากตาราโดยทวั่ ไป จะเร่มิ ตน้ จากการสารวจสว่ นประกอบทส่ี าคญั ของหนงั สอื อยา่ ง
คร่าว ๆ เพราะจะช่วยช้แี นะสาระสาคญั ของตารา หรอื ช่วยใหค้ น้ หาคาตอบทต่ี อ้ งการไดร้ วดเรว็ ข้นึ สว่ นประกอบสาคญั
ทค่ี วรพจิ ารณามดี งั น้ี

1) ช่ือตาราหรอื ช่ือหนังสอื เป็นจดุ ช้แี นะใจความสาคญั ของตาราหรอื หนงั สอื ไดร้ วดเรว็ ทส่ี ุด เพราะตารา
โดยทวั่ ไปตง้ั ช่อื เร่อื งอยา่ งตรงไปตรงมา และบอกใหท้ ราบขอบขา่ ยของเน้ือหาอย่างกวา้ ง ๆ ไดท้ นั ที

2) คานา เป็นส่วนท่ีผูแ้ ต่งอาจบอกส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ต่อการอ่านจบั ใจความของผูอ้ ่านไดห้ ลายอย่าง เช่น
จุดมงุ่ หมายในการแต่ง ความเป็นมา วธิ ีเรยี บเรียง วธิ ใี ช้ ขอบขา่ ยหนงั สอื หรอื แมแ้ ต่สาระสาคญั ของเร่อื ง เป็นตน้ ซ่งึ จะ
ช่วยใหผ้ ูอ้ ่านมพี ้นื ฐานทจ่ี ะเขา้ ใจตาราหรอื หนงั สอื เร่อื งนน้ั ๆ ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็

3) คาช้ีแจง คาแนะนาการใช้ หรือคานิยม ตารางบางเล่มมวี ธิ กี ารใชท้ ่ซี บั ซอ้ น ยุง่ ยาก หรอื มเี ป้าหมายพเิ ศษ
กว่าตาราทวั่ ไป ผูแ้ ต่งอาจอธบิ ายวธิ กี ารใช้ หรอื ใหค้ าแนะนาวธิ กี ารอ่านเพอ่ื จบั สาระสาคญั ทส่ี ะดวกรวดเรว็ หรอื ตารา
บางเลม่ มคี านิยมของผูท้ รงคุณวุฒชิ ่วยช้แี นะการอ่านเอาไวด้ ว้ ย ก่อนการอ่านตาราอย่างละเอยี ดจงึ ตอ้ งใหค้ วามสาคญั
กบั คาช้แี จง คาแนะนาการใชห้ รือคานิยม เพอ่ื สะดวกต่อการจบั ใจความเสมอ เช่น

4) สารบญั หมายถงึ การบอกบทต่าง ๆ ของหนงั สอื โดยเรยี งตามลาดบั ก่อนหลงั ระบุเลขหนา้ ชดั เจน เพอ่ื ช่วย
ใหส้ ะดวกในการคน้ หาและอ่านเร่อื งนนั้ ๆ นบั เป็นองคป์ ระกอบของตาราทส่ี าคญั มาก เพราะนอกจากช่วยใหผ้ ูอ้ ่านคน้ หา
เน้ือเร่อื งท่ตี อ้ งการไดง้ า่ ย ยงั ช่วยใหผ้ ูอ้ ่านมองเหน็ สาระสาคญั ทเ่ี ป็นภาพรวมของตาราทง้ั เลม่ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ มีเน้ือหา
ทง้ั หมดก่เี ร่อื ง เก่ยี วขอ้ งกบั อะไร และมขี อบขา่ ยทงั้ หมดกวา้ งขวางเพยี งใด

5) แนวคิดสาคญั หรือสรุปทา้ ยบท มตี าราส่วนหน่ึงท่ผี ูแ้ ต่งสรุปแนวคิดสาคญั ไวต้ น้ บท เช่น แบบเรียนหรือ
ตาราของท่ผี ูแ้ ต่งสรุปแนวคิดสาคญั ไวต้ น้ บท เช่น แบบเรียนหรอื ตาราของมหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าชทกุ เลม่ และ
ตาราเรียนจานวนมากท่ผี ูแ้ ต่งสรุปใจความสาคญั ไวต้ อนทา้ ยบท ซ่งึ ทงั้ บทนนั้ คือใจความสาคญั ของแต่ละบทนนั่ เอง
ฉะนนั้ ถา้ ไมต่ อ้ งการอ่านรายละเอียดมากหรือตอ้ งการจบั สาระสาคญั ของตาราอย่างคร่าวๆ เพยี งแต่อ่านแนวคิดสาคญั
หรอื สรุปทา้ ยบทเท่านน้ั กเ็ พยี งพอแลว้

6) แบบฝึกหดั หรอื กจิ กรรมทา้ ยบท เป็นส่วนทผ่ี ูแ้ ต่งตอ้ งการทดสอบความรู้ หรอื เพม่ิ ทกั ษะในตาราแต่ละบท
เพม่ิ ข้นึ การทาแบบฝึกหดั หรอื การทากจิ กรรมทา้ ยบทจงึ เป็นการคน้ หาใจความสาคญั ในแต่ละบทสว่ นหน่ึงดว้ ย

7) บรรณานุกรม คือรายการหนงั สอื หรอื เอกสารอา้ งองิ ท่ผี ูแ้ ต่งตาราใชเ้ ป็นขอ้ มลู คน้ ควา้ เรียบเรยี ง ส่วนใหญ่
เรียงลาดบั ไวท้ า้ ยเล่มต่อจากเน้ือเร่ืองบทสุดทา้ ย แมจ้ ะไม่ใช่ส่วนท่เี ป็นใจความสาคญั ของตาราโดยตรง แต่จดั ว่าเป็น
องคป์ ระกอบท่สี าคญั มาก เพราะจะทาใหท้ ราบว่าผูแ้ ต่งคน้ ควา้ ขอ้ มูลมาจากแหล่งใดมากนอ้ ยแค่ไหน และน่าเช่ือถือ
หรอื ไม่ รวมทง้ั สามารถตดิ ตามไปอ่านรายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ จากเอกสารทอ่ี า้ งองิ ไวไ้ ดด้ ว้ ย

8) ภาคผนวก คือ ความรูท้ ไ่ี ม่ไดเ้ก่ยี วขอ้ งกบั เน้ือหาของตาราโดยตรง แต่เป็นความรูเ้พม่ิ เตมิ ทผ่ี ูแ้ ต่งเหน็ ว่าจะ
เป็นประโยชนต์ ่อผูอ้ ่าน จะนาไปเรยี บเรียงไวใ้ นเน้ือเร่อื งโดยตรงกอ็ าจจะมีเน้ือหายดื ยาวเกินไป ไมเ่ หมาะสมหรอื ทาให้


Click to View FlipBook Version