The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by iamsirimart, 2022-05-27 12:07:37

การอ่านจับใจความสำหรับนักศึกษาครุศาสตร์ ชั้นปีที่ 1

ส่วนหนึ่งของงานวิจัยอาจารย์สิริมาศ

Keywords: การอ่านจับใจความ,นักศึกษาครุศาสตร์

ห น้ า | 48

เน้ือหาสาระสาคญั เสยี ไป ผูแ้ ต่งจงึ นาไปใสไ่ วใ้ นตอนทา้ ยเลม่ ต่อจากบรรณานุกรม เพอ่ื ช่วยใหผ้ ูอ้ ่านไดศ้ ึกษารายละเอียด
เพม่ิ เติมไดเ้ ขา้ ใจแจ่มแจง้ ยง่ิ ข้นึ ภาคผนวกจึงไม่ใช่สาระสาคญั ของตาราโดยตรง แมต้ าราบางเลม่ อาจมภี าคผนวกมาก
แต่ถา้ ตอ้ งการเพยี งใจความสาคญั ของตาราอย่างรวดเรว็ ไมต่ อ้ งใหค้ วามสาคญั กบั ภาคผนวกมากนกั กไ็ ด้

9) อภธิ านศพั ท์ คอื การรวบรวมคาศพั ทเ์ ขา้ ใจยากในหนงั สอื เอามาอธิบายความหมายเพม่ิ เตมิ ไวต้ อนทา้ ยเลม่
ต่อจากภาคผนวก โดยเรียงตามลาดบั ตวั อกั ษร เพอ่ื ใหผ้ ูอ้ ่านสามารถคน้ หาและนาไปช่วยทาความเขา้ ใจในการอ่านเรอ่ื ง
ไดง้ า่ ยและรวดเรว็ ข้นึ จะพบไดใ้ นตาราท่มี คี าศพั ทเ์ ฉพาะมาก ๆ หรอื วรรณคดีท่มี ศี พั ทโ์ บราณยาก ๆ จงึ มอี ภธิ านศพั ท์
อยู่ดว้ ยเสมอ เมอ่ื อ่านตาราตอนใดไมเ่ ขา้ ใจความหมายคาศพั ทก์ ส็ ามารถคน้ หาคาตอบไดด้ ว้ ยตนเองทนั ที

10) ดรรชนี หรือดชั นี คือบญั ชีเรียงคาตามลาดบั ตวั อกั ษรโดยรวบรวมคาสาคญั ๆ ท่ีกล่าวถึงในเร่ืองไว้
ตอนทา้ ยเลม่ แลว้ บอกเลขหนา้ ทม่ี คี านนั้ ๆ ปรากฏอยู่ เพอ่ื สะดวกแก่การคน้ และตดิ ตามทาความเขา้ ใจกบั ศพั ทห์ รอื เร่อื ง
สาคญั ทป่ี รากฏในหนงั สอื นน้ั ซง่ึ ถอื ว่าเป็นประโยชนต่อการอ่านจบั ใจความไดร้ วดเรว็ วธิ ีหน่ึง

วธิ กี ารอา่ นจบั ใจความจากตารา

ในการอ่านเน้ือหาตาตราเพอ่ื ใหไ้ ดป้ ระโยชนท์ างวชิ าการมกั นาไปใชใ้ นการคน้ ควา้ เพอ่ื พฒั นาความรู้ การอ่านจงึ ง
ใชว้ ิธีการอ่านคร่าว ๆ ในใจเพ่อื ใหเ้ ขา้ เน้ือหาความ ในขณะอ่านจึงตอ้ งจบั ใจความสาคญั เร่ืองท่อี ่านเพ่อื นาความรูว้ ่า
วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และสรุปความรู้ กลา่ วคืออ่านแลว้ ตอ้ งไดร้ บั ความรูต้ ามวตั ถปุ ระสงคท์ ต่ี งั้ ไว้ หรอื ตอบคาถามท่ตี งั้
ประเดน็ ไวก้ ่อนทจ่ี ะลงมอื อ่าน โดยจะแบง่ การอ่านเน้ือหาของตาราได้ ดงั น้ี

1) สารวจส่วนประกอบของตาราโดยคร่าวๆ รูว้ ่าเน้ือหาโดยรวมแต่ละบทเป็นอย่างไรก่ อนลงมอื อ่านอย่าง
ละเอยี ด อกี ทงั้ การสารวจเน้ือหาจะช่วยใหป้ ระหยดั เวลาในการอ่านอกี ดว้ ย

2) ขน้ั ลงมอื อ่านโดยละเอียด จะใชก้ ารอ่านจบั ใจความเพอ่ื เก็บรายละเอียดเน้ือหาสาระ ในขนั้ น้ีผูอ้ ่านควรจบั
ใจความสาคญั จากหวั เร่อื งต่าง ๆ ได้ โดยเร่มิ จากเขา้ ใจความหมายประโยคและความหมายโดยรวมของเน้ือหา สามารถ
แยกแยะสาระหลกั และสว่ นขยายได้ เพอ่ื ความสะดวกในการบนั ทกึ และทบทวนความรู้

ดงั กลา่ วทงั้ หมดขา้ งตน้ ถอื ว่า การอ่านตาราหรอื หนงั สอื แต่ละเล่ม ต่างกใ็ หค้ วามรูม้ ากมาย แมแ้ ต่ส่วนประกอบ
ต่าง ๆ ของตาราจะกจ็ ะช่วยใหก้ ารอ่านจบั ใจความสาคญั ไดร้ วดเร็วข้นึ แต่กต็ อ้ งอ่านรายละเอียดของเน้ือหาทง้ั หมดเพอ่ื
หาสว่ นขยายประโยคใจความสาคญั ใหช้ ดั เจนข้นึ หรอื ในกรณีทแ่ี ต่ละบทของตารานนั้ ไมม่ หี วั ขอ้ แนวคิดสาคญั หรือสรุป
ทา้ ยบทเอาไวใ้ ห้ ผูอ้ ่านกต็ อ้ งสงั เกตชอ่ื บท หวั ขอ้ ยอ่ ยแต่ละบท และรายละเอยี ดทงั้ หมดเป็นพเิ ศษ เพอ่ื จบั ใจความสาคญั
ในแต่ละบทได้ และถา้ มกี ารจดบนั ทกึ ใจความสาคญั ของตาราเอาไวด้ ว้ ย กจ็ ะช่วยใหก้ ารอ่านจบั ใจความสมบูรณม์ ากข้นึ
เพราะสามารถนาไปอ่านทบทวนความรูไ้ ดส้ ะดวกรวดเรว็

ห น้ า | 49

ตวั อย่างการอา่ นจบั ใจความจากตารา

คดั มาจากหนงั สอื “ประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปะประเทศใกลเ้คยี ง” นิพนธโ์ ดย หมอ่ มเจา้ สุภทั รดศิ ดศิ กุล

ศิลปะลาว
ศิลปะลาวมชี ่อื เสยี งทางดา้ นเคร่อื งประดบั ตกแต่ง ผลงานทางดา้ นศิลปะของลาวส่วนใหญ่ทง้ั หมดมอี ายุ
ไม่นานนกั และไม่ค่อยไดร้ บั ความเอาใจใส่จากบรรดานกั ปราชญ์ อาณาจกั รลา้ นชา้ งไดต้ ง้ั ข้นึ ตงั้ แต่ปลายพุทธ
ศตวรรษท่ี 19 และศิลปะลาวก็มกั ไดร้ บั อิทธิพลมาจากประเทศใกลเ้ คียงและประเทศอ่ืน ๆ ในเอเชยี ตะวนั ออก
เฉียงใต้ ความแตกต่างของอทิ ธิพลเหลา่ น้ีก่อใหศ้ ิลปะลาวมลี กั ษณะดงั้ เดิมของตนเองและไมค่ วรท่จี ะคิดว่าศิลปะ
ลาวเป็นศิลปะทอ้ งถน่ิ ของไทยหรือเป็นศิลปะผสมทเ่ี กดิ ข้นึ จากประเพณีหลายแบบ ในหลายกรณีศิลปะลาวเปรียบ
ประดุจดงั ศิลปะบารอคในแหลมอนิ โดจนี เหมอื นศิลปะบารอดในทวปี ยุโรป ดงั นนั้ ศิลปะลาวจงึ มลี กั ษณะเป็นของ
ตนเองและยงั คงมีลกั ษณะเช่นนนั้ อยู่จนกระทงั่ ถึงปจั จุบนั น้ี แต่ก็ไม่มลี กั ษณะทางดา้ นชาติวงศว์ ิทยามากนกั
คากลา่ วเช่นน้ีดูน่าแปลกประหลาดใจ แมว้ า่ ศิลปะลาวเพง่ิ เกดิ ข้นึ ราว 600 ปีมาน้ีเอง และมลี กั ษณะทเ่ี ก่าแก่กวา่ นน้ั
เพยี งเลก็ นอ้ ย
แมว้ ่าเป็นความจริงท่วี ่าพ้นื ท่ซี ่งึ เป็นประเทศลาวปจั จุบนั ไดเ้ ก่าแก่ไปถงึ สมยั ก่อนประวตั ิศาสตรแ์ ละได้
ผลติ เคร่อื งดนิ เผาและวตั ถทุ ส่ี ลกั มาจากศิลามาตงั้ แต่ครงั้ สมยั หนิ ใหม่ซง่ึ มลี กั ษณะงดงามอย่างยง่ิ ก็ตาม ความจริง
ควรจะกลา่ วถงึ วฒั นธรรมหนิ ใหญ่ในประเทศลาวซง่ึ ไม่เกย่ี วขอ้ งกนั เลยกบั วฒั นธรรมดองชอนซง่ึ อยู่ในยุคสมั ฤทธ์ิ
รุ่นหลงั วฒั นธรรมเช่นน้ีมตี วั อย่างมากมาย เช่น หนิ ใหญ่ในแควน้ หวั พนั (Hua Phan) ซง่ึ อยู่ในสมยั สมั ฤทธ์ิรุ่น
หลงั และท่งุ ไหหนิ ซง่ึ ประกอบดว้ ยโอ่งหนิ ขนาดใหญ่ท่ตี รานนิญ (Tranninh) ในแควน้ เชยี งของ ซง่ึ อยูใ่ นสมยั เหลก็
หลายรอ้ ยปีหลงั จากสมยั ก่อนประวตั ิศาสตรน์ ้ี ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 13-14 พทุ ธศาสนาก็ไดแ้ พร่เขา้ มายงั
แถบเมอื งเวยี งจนั ทน์ เหตกุ ารณน์ ้ีไมม่ หี ลกั ฐานมากนอกไปจากพระพทุ ธรูปแบบทวารวดีบางรูปจากประเทศไทยซ่งึ
หาไดค้ ่อนขา้ งยาก ศาสนาพราหมณ์ไดเ้ ขา้ มาทางทศิ ใตก้ ่อนสมยั การสรา้ งเมอื งพระนครในประเทศกมั พชู า คือใน
แถบแควน้ จมั ปาศกั ด์ไิ ดแ้ ก่ ศาสนสถานคือวดั ภู ซง่ึ ต่อมาจะถอื กนั ว่าเป็นศาสนสถานทศ่ี กั ด์สิ ทิ ธ์ทิ ส่ี ุดของประเทศ
กมั พชู าสมยั ก่อนสรา้ งเมอื งพระนคร การแพร่ขยายน้ีร่วมไปพรอ้ มกบั ทอ่ี านาจของเขมรไดแ้ ผ่เขา้ ไปในแหลมอินโด
จนี อาจจะมสี ่วนทาใหท้ งั้ พทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณไ์ ดแ้ พร่ข้นึ ไปยงั ดนิ แดนแถบเมอื งหลวงพระบางดว้ ย
ภายหลงั ระยะน้ีแลว้ ความรูข้ องเราเก่ยี วกบั ประวตั ิศาสตรศ์ ิลปะลาวก็ลดนอ้ ยลง ระยะน้ีเป็นระยะเวลา
กว่า 100 ปี และคงเป็นเวลาท่ีอาณาจกั รสุโขทยั ไดเ้ ขา้ ยึดดินแดนแถบเมอื งเวียงจนั ทน์ไวไ้ ด้ เป็นระยะเวลาท่ี
ราชอาณาจกั รลาวไดต้ งั้ ข้นึ ในราว พ.ศ. 1900 โดยมรี าชธานีอยู่ท่เี มอื งเชยี งดงเซยี งทองคือเมอื งหลวงพระบางใน
ปจั จุบนั ทง้ั น้ีโดยความช่วยเหลอื ของราชสานกั เขมรทเ่ี มอื งพระนครในทุกทาง รวมทง้ั ทางดา้ นศิลปะดว้ ย อย่างไร
ก็ดีจนกระทงั่ ถึงพุทธศตวรรษท่ี 21 ศิลปะลาวก็เป็นท่ีรูจ้ กั กนั แต่เพียงเลก็ นอ้ ยและทาใหไ้ ม่สามารถทราบถึง
ลกั ษณะโดยทวั่ ไปของศิลปะลาวได้ แมแ้ ต่อาคารขนาดใหญ่ซง่ึ สรา้ งข้นึ ในพทุ ธศตวรรษท่ี 21 กม็ กั ไดร้ บั การทาลาย
บ่อย ๆ และไดร้ บั การบูรณะหลายครงั้ จนกระทงั่ ในปจั จบุ นั จึงเป็นการยากอย่างย่งิ ท่จี ะทราบว่าลกั ษณะดงั้ เดมิ
เป็นอยา่ งไร

ห น้ า | 50

จากเน้ือหาทค่ี ดั มาจากหนงั สอื "ประวตั ิศาสตรศ์ ิลปะประเทศใกลเ้คียง" เมอ่ื ผูอ้ ่าน อ่านเน้ือหาแลว้ ควรทาส่งิ
ต่อไปน้ี

1) บนั ทกึ สาระสาคญั การบนั ทกึ เป็นสง่ิ สาคญั ในกระบวนการอ่าน เพราะสามารถนาไปทบทวนและใชป้ ระโยชนใ์ น
การทาความเขา้ ใจเน้ือหาไดใ้ นเวลาสนั้ ผูอ้ ่านแต่ละคนมวี ิธีการบนั ทกึ ต่างกนั อาจบนั ทึกละเอียด บนั ทกึ ย่อ ๆ หรือ
บนั ทึกโดยเขยี นเป็นแผนท่คี วามคิด ข้นึ อยู่กบั เทคนิควิธีของแต่ละคน แต่การบนั ทึกควรนามาใชท้ บทวนเร่ืองซา้ และ
เขา้ ใจเน้ือหาไดจ้ งึ ถอื ว่าเกิดประโยชน์ นอกจากน้ียงั เป็นประโยชนใ์ นการรวบรวมขอ้ มลู เพอ่ื ใชใ้ นการดนั ควา้ ทารายงาน
หรอื การวจิ ยั

2) อ่านทบทวน เป็นการยอ้ นไปอ่านเน้ือหาซา้ อีกครงั้ หน่ึง โดยท่ไี ม่ตอ้ งอ่านทง้ั เล่ม ผูอ้ ่านควรใชว้ ธิ ีการอ่าน
แบบขา้ ม (scanning) ซง่ึ เป็นการเลอื กอ่านเฉพาะจดุ สาคญั ท่ตี อ้ งการ เช่น ใจความสาคญั ขอ้ มูลเฉพาะ ดา้ นสถติ ติ วั เลข
หรอื คาจากดั ความต่าง ๆ การเลอื กอ่านแบบขา้ ม จะช่วยยา้ เตือนความจา ซง่ึ เป็นการทบทวนความรูท้ ่ไี ดใ้ หแ้ ม่นยาข้นึ
ลายลกั ษณะบางประเภทอ่านแลว้ เขา้ ใจไดท้ นั ทีเน่ืองจากเน้ือหาไมม่ ากและอาจใชก้ ารอ่านจบั ใจความสาคญั กส็ ามารถเก็บ
ประเดน็ ได้ แต่ตาราบางเร่อื งมเี น้ือหามากและซบั ซอ้ น นอกจากน้ีผูอ้ ่านตอ้ งใชก้ ารวิเคราะหใ์ นขณะท่ตี าราบางประเภท
เมอ่ื อ่านแลว้ ตอ้ งฝึกฝน หรอื ลงมอื ปฏบิ ตั ิ เช่น ตาราดา้ นการพฒั นาทกั ษะภาษา

จากบทอ่านขา้ งตน้ สามารถอ่านจบั ใจความแลว้ บนั ทกึ เป็นสาระสาคญั ได้ ดงั น้ี

เน้ือหาท่คี ดั มาจากหนงั สอื "ประวตั ิศาสตรศ์ ิลปะประเทศใกลเ้คียง" ท่กี ล่าวถงึ ลกั ษณะโดยรวมของศิลปะ
ลาว จากนน้ั จึงกล่าวประวตั ิศาสตรศ์ ิลปะและความสมั พนั ธท์ างประวตั ิศาสตรข์ องลาวกบั เพ่ือนบา้ น ศาสนาท่ีมี
อิทธิพลต่อรูปแบบศิลปะลาวคือ พทุ ธศาสนาและพราหมณ์ และสุดทา้ ยไดก้ ลา่ วถงึ ขอ้ จากดั ของการศึกษาศิลปะลาว
ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 21

ห น้ า | 51

แบบฝึ กหดั

บทท่ี 4 การอา่ นจบั ใจความจากตารา

จงเขยี นตอบคาถามต่อไปน้ี

1.ตารา หมายถงึ อะไร

.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

2. ตาราแบง่ ออกเป็นก่ปี ระเภท อะไรบา้ ง

.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

3.จงบอกสว่ นประกอบของตารา

.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

4. จงบอกวธิ กี ารอ่านจบั ใจความจากตารา

.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

ห น้ า | 52

จงอา่ นจบั ใจความขอ้ ความต่อไปน้ี แลว้ บนั ทกึ สาระสาคญั ของเน้ือหา

วรรณกรรมหรือนกั เขียนมีอิทธิพลต่อสงั คม นักเขียนท่ีย่ิงใหญ่นอกจากจะเป็นผูม้ ีพรสวรรค์ในการ
สรา้ งสรรคว์ รรณกรรมใหม้ ชี วี ติ โนม้ นา้ วจติ ใจผูอ้ ่านแลว้ ยงั เป็นผูม้ ที ศั นะกวา้ งไกลกว่าคนธรรมดา ทง้ั น้ีส่วนหน่ึงเป็น
เพราะเขามคี วามเขา้ ใจและเขา้ ถงึ สภาพของมนุษยแ์ ละสงั คม Leo Lowenthal นกั สงั คมวทิ ยากล่าวว่า "ศิลปินวาด
ภาพท่เี ป็นจรงิ เสยี ยง่ิ กว่าตวั ความจริงเอง" ซ่งึ หมายถงึ นกั เขยี นสามารถเขา้ ใจโลกและมองสภาพความเป็นจริงไดล้ กึ
กวา่ คนทวั่ ไปมองเหน็ ดว้ ยทศั นะทก่ี วา้ งไกลและลมุ่ ลกึ ภาพทเ่ี ขาใหจ้ งึ เป็นจรงิ ยง่ิ กว่าความเป็นจรงิ เพราะ
เป็นแก่นแทท้ ก่ี ลนั่ กรองแลว้ ของความเป็นจรงิ ดว้ ยเหตุน้ีวรรณกรรมทย่ี ง่ิ ใหญ่จงึ เป็นอมตะ เพราะไมเ่ พยี งแต่จะเสนอ
ภาพปจั จบุ นั อย่างถงึ แก่นของความเป็นจรงิ เท่านนั้ แต่ยงั คาดคะเนความเป็นไปไดใ้ นอนาคตไดอ้ กี ดว้ ย

(คดั มาจากหวั ขอ้ “ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งวรรณกรรมกบั สงั คม” หนา้ 7 จากหนงั สอื นวนยิ ายกบั สงั คมไทย (2475 -2500) โดย ตรีศลิ ป์ บญุ ขจร)

5. .............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

แผนการจดั การเรยี นรูเ้ปรยี บเสมอื นเขม็ ทศิ ทเ่ี ป็นเครอ่ื งมอื สาคญั ของผูส้ อนในการกาหนดทศิ ทางการจดั การ
เรียนรูใ้ หก้ บั ผูเ้ รียนอย่างมีประสิทธิภาพ และทาใหก้ ารจดั การเรียนรูแ้ ต่ละครงั้ บรรลุเป้าหมายตามแผนท่ีวางไว้
นอกจากน้ีแผนการจดั การเรียนรูย้ งั เป็นส่ิงท่ชี ่วยใหผ้ ูส้ อน ไดเ้ ตรียมความพรอ้ มในการวางแผนการจดั การเรียนรู้
ลว่ งหนา้ ไดเ้ ป็นอย่างดี ทาใหผ้ ูส้ อนเกดิ ความมนั่ ใจในการจดั การเรยี นรู้ และทาใหท้ ราบว่าในการจดั การเรยี นรูแ้ ต่ละ
ครง้ั จะสอนเน้ือหาอะไร มจี ดุ ประสงคเ์ พอ่ื อะไร สอนอย่างไร ใชส้ อ่ื การเรยี นรูอ้ ะไร และจะใชว้ ธิ กี ารวดั ผลประเมนิ ผล
อย่างไร สง่ ผลใหก้ ารจดั การเรยี นรูม้ เี ป้าหมายทช่ี ดั เจน ดงั นนั้ ในการจดั การเรียนรูท้ จ่ี ะทาใหผ้ ูส้ อนประสบความสาเร็จ
และผูเ้ รียนไดร้ บั การพฒั นาอย่างมีคุณภาพ ผูส้ อนจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะตอ้ งมีการวางแผนการจดั การเรียนรูไ้ วเ้ ป็น
ลายลกั ษณอ์ กั ษร ทงั้ น้ี เพอ่ื ใหผ้ ูส้ อนมคี วามรูเ้ขา้ ใจและแนวทางเก่ยี วกบั การวางแผนการจดั การเรยี นรูท้ ช่ี ดั เจนยง่ิ ข้นึ

(คดั มาจากหวั ขอ้ “แผนการจดั การเรยี นรู”้ หนา้ 169 จากหนงั สอื การจดั การเรยี นรู้ โดย กลุ สิ รา จติ รชญาวณิช)

6. .............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

ห น้ า | 53

มบี คุ คลจานวนมากท่มี คี วามสามรถในการใชภ้ าษาอย่างสละสลวย ไพเราะ ถูกตอ้ งตามแบบฟอรม์ ถกู ตอ้ ง
ตามกฎขอ้ บงั คบั แต่ยงั ไมจ่ ดั ไดว้ ่าเป็นงานเขยี นท่ดี ี มคี ุณค่า และมศี ิลปะ เพราะส่งิ ทจ่ี ะวดั กนั ว่างานเขยี นของใครมี
คุณค่า มศี ิลปะ ตอ้ งวดั กนั ทค่ี วามคิดท่นี ามาเสนอไวใ้ นงานเขยี นนนั้ ๆ ซ่งึ ความคิดเปรียบไดก้ บั เพชรหรือแก่ นของ
งานเขยี น ถอ้ ยคาภาษาและรูปแบบงานเขยี นเปรียบไดด้ งั สายสรอ้ ย ท่ชี ่วยส่งความคิดใหโ้ ดดเด่นเท่านนั้ หากสรอ้ ย
ไมม่ เี พชรประดบั กค็ งมคี ่าไมม่ ากนกั ฉะนน้ั การคิดจงึ เป็นสง่ิ สาคญั สาหรบั ผูเ้ขยี น

(คดั มาจากหวั ขอ้ “ขน้ั ตอนของเทคนคิ การเขยี น” หนา้ 9 จากหนงั สอื เทคนคิ การเขยี น โดย โอภาส แกว้ จาปา)

7. .............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

ศาสตรแ์ ห่งการตีความ (hermeneutics) เช่ือว่าความหมายของตวั บทนนั้ ดารงอยู่แลว้ เป็นส่งิ ท่เี พียงรอ
คอยใหผ้ ูอ้ ่านไดเ้ ขา้ ไปคน้ พบ หนา้ ท่ขี องผูอ้ ่านคือการคน้ หาความหมายท่ซี ุกช่อนอยู่ในตวั บทท่อี ่าน แนวคิดน้ีเช่ือว่า
ความหมายมคี วามแตกต่างซ่งึ เราอ่านไดจ้ ากตวั บท เป็นเพราะผูอ้ ่านตีความตามโลกทศั นแ์ ละขอบฟ้าแห่งจินตนาการ
เฉพาะตน การทาความเขา้ ใจหรือความหมายของตวั บทของผูอ้ ่านจึงเกิดข้ึนในขอบเขตท่ีแตกต่างกนั ดงั นน้ั
ในกระบวนการอ่านจงึ มสี ง่ิ ทเ่ี รยี กว่าปฏกิ ริ ยิ าระหวา่ ง "โลกของตวั บท" และ "โลกของผูอ้ ่าน"

ในทน่ี ้ีเราจงึ จะไดเ้ หน็ ว่า การอ่านภายใตแ้ นวคดิ การตคี วามน้ี เช่อื วา่ ความหมายของตวั บทนน้ั แยกเป็นคนละ
โลกกนั กบั ความหมายของผูอ้ ่าน ตวั บทนน้ั มคี วามหมายรอคอยอยู่ก่อนแลว้ เพยี งแต่ผูอ้ ่านจะคน้ พบหรือไมเ่ ท่านนั้
การคน้ พบความหมายท่ีรออยู่ทาใหโ้ ลกของตวั บทและโลกของผูอ้ ่านก็จะบรรจบกนั ดงั นนั้ การอ่านตามแนวน้ี จึง
เรยี กรอ้ งประสบการณผ์ ูอ้ ่านพอสมควร ความชา่ ชองหรือประสบการณใ์ นชวี ติ ของผูอ้ ่านเป็นสง่ิ สาคญั ความกวา้ งไกล
หรอื ลกึ ซ้งึ ในการตคี วามตวั บทเพอ่ื นาไปสู่ความเขา้ ใจความหมายท่ี "แทจ้ รงิ " ของตวั บท ข้นึ อยูก่ บั ความกวา้ งไกลของ
ประสบการณเ์ ฉพาะบคุ คลอยา่ งไมอ่ าจหลกี เลย่ี งได้

(คดั มาจากหวั ขอ้ “ศาสตรแ์ หง่ การตคี วาม” หนา้ 27 จากหนงั สอื วรรณกรรมวจิ ารณแ์ นวคดิ และการปฏบิ ตั ิ โดยพเิ ชฐ แสงทอง)

8. .............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

ห น้ า | 54

การเรยี นรูภ้ าษาแมเ่ กิดข้นึ เองตามธรรมชาติ แต่การเรยี นรูภ้ าษาต่างประเทศมธี รรมชาตกิ ารเรียนรูภ้ าษาต่าง
จากภาษาแมด่ ว้ ยปจั จยั ท่แี ตกต่างดงั กลา่ วขา้ งตน้ ทาใหผ้ ูเ้รยี นภาษาต่างประเทศอาจประสบผลสาเรจ็ หรอื ลม้ เหลวใน
การเรยี นภาษาต่างประเทศได้ ดงั นนั้ จงึ เป็นหนา้ ทส่ี าคญั ของผูส้ อนทต่ี อ้ งเขา้ ใจกระบวนการเรยี นรูภ้ าษา เพอ่ื นามาใช้
เป็นแนวทางในการจดั การเรยี นการสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ต่อไป

(คดั มาจากหวั ขอ้ “กระบวนการเรียนรูภ้ าษา” หนา้ 32 จากหนงั สอื ศาสตรก์ ารสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ โดย รุ่งฤดี แผลงศร)

9. .............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

จดุ มงุ่ หมายของการวเิ คราะหข์ อ้ สอบรายขอ้ ประกอบดว้ ย 4 ประการ มรี ายละเอียด ดงั ต่อไปน้ี (ศิรชิ ยั กาญจนวาส,ี
2552)

1. เป็นการตรวจสอบว่า ขอ้ สอบแต่ละขอ้ ไดท้ าหนา้ ทต่ี ามทผ่ี ูอ้ อกขอ้ สอบตง้ั ใจไวห้ รอื ไม่ สาหรบั แบบทดสอบ
วดั ผลสมั ฤทธ์สิ ามารถจาแนกไดเ้ป็น (1.1) ขอ้ สอบแบบองิ กลุม่ (Norm - reference test items) มคี ุณสมบตั ใิ น
การจาแนก ผูส้ อบทม่ี ผี ลสมั ฤทธ์สิ ูงและตา่ ออกจากกนั ไดด้ เี พยี งไร และ (1.2) ขอ้ สอบแบบองิ เกณฑ์ (Criterion -
reference test items) สามารถวดั ผลทเ่ี กดิ จากการเรยี นการสอนตามเกณฑห์ รอื มาตรฐานทต่ี งั้ ไวเ้พยี งไร

2. ขอ้ สอบแต่ละขอ้ มคี วามยากง่ายทเ่ี หมาะสมกบั ผูส้ อบหรอื ไม่
3. ขอ้ สอบแต่ละขอ้ มคี วามบกพร่องอยา่ งไร
4. กรณีทเ่ี ป็นขอ้ สอบแบบหลายตวั เลอื ก จะไดท้ ราบว่าตวั ลวงทส่ี รา้ งไวม้ ปี ระสทิ ธภิ าพเพยี งใด

(คดั มาจากหวั ขอ้ “แนวคดิ และหลกั การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมอื วจิ ยั ” หนา้ 262 จากหนงั สอื เคร่ืองมอื วจิ ยั ทางการศึกษาและสงั คมศาสตร์ โดย อจั ศรา
ประเสรฐิ สนิ )

10. ...........................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

ห น้ า | 55

แบบทดสอบ
บทท่ี 4

การอา่ นจบั ใจความสาคญั จากตารา

SCAN HERE

ห น้ า | 56

แบบทดสอบ
บทท่ี 4 การอา่ นจบั ใจความสาคญั จากตารา

จงเลอื กคาตอบท่ีถกู ตอ้ งทส่ี ดุ
1) ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเก่ยี วกบั ประเภทของตารา

1. สารานุกรม เป็นตาราประเภทหน่ึงทใ่ี หค้ วามรูห้ ลากหลายดา้ น
2. ชวี ประวตั ิ เป็นตาราประเภทหน่ึงท่รี วบรวมประวตั บิ คุ คลสาคญั หนงั สอื
3. หนงั สอื แบบเรยี น เป็นตาราประเภทหน่ึงทใ่ี ชเ้ป็นแบบเรยี นตามหลกั สูตรการศึกษา
4. หนงั สอื ดรรชนี เป็นตาราท่ีประเภทหน่ึงท่รี วบรวมขอ้ มลู เฉพาะเร่อื งเพอ่ื ใชใ้ นการคน้ ควา้

2) สว่ นประกอบของตาราใดท่ชี ่วยผูอ้ ่านมองเหน็ สาระสาคญั ทเ่ี ป็นภาพรวมของตาราทง้ั เลม่
1. คานา
2. ชอ่ื เร่อื ง
3. สารบญั
4. แนวคดิ หรอื สรุปทา้ ยบท

3) ส่วนประกอบของตาราใดทช่ี ่วยขอบขา่ ยหนงั สอื หรอื แมแ้ ต่สาระสาคญั ของเรอ่ื ง
1. คานา
2. ชอ่ื เร่อื ง
3. สารบญั
4. แนวคิดหรอื สรุปทา้ ยบท

ห น้ า | 57

4) ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ ูกตอ้ งเกย่ี วกบั ส่วนประกอบของตารา
1. ช่วยใหอ้ ่านทบทวนไดส้ ะดวก
2. ช่วยใหจ้ บั ใจความไดร้ วดเรว็ ข้นึ
3. ช่วยใหท้ ราบแหลง่ ทม่ี าของขอ้ มลู
4. ช่วยสะทอ้ นความคิดและอารมณส์ ะเทอื นใจของผูเ้ขยี น

5) เพราะเหตใุ ดหนงั สอื พจนานุกรมจงึ ตอ้ งมคี าช้แี จงหลกั การเขยี นและวธิ ใี ช้

1. เป็นหนงั สอื ทจ่ี ดั ทาโดยราชบณั ฑติ ยสถาน

2. เป็นหนงั สอื ท่มี หี ลกั การเขยี นและวธิ ใี ชย้ ุง่ ยากซบั ซอ้ น

3. เป็นแบบแผนการจดั ทาหนงั สอื พจนานุกรมโดยทวั่ ไป

4. เป็นการแนะนาใหใ้ ชห้ นงั สอื พจนานุกรมไดส้ ะดวกรวดเรว็

จงอา่ นขอ้ ความต่อไปน้ีแลว้ ตอบคาถาม ขอ้ 6 - 7

นวนิยายเร่อื ง จบั ตน้ มาชนปลาย ท่ดี ูเหมอื นจะเร่มิ ตน้ เป็นนิยายรกั กลบั กลายเป็นนิยายชีวติ ท่ไี มม่ ผี ูร้ า้ ย
หรอื นางอจิ ฉา ไมม่ เี รอ่ื งชงิ รกั หกั สวาท ไมม่ กี ารเอาชนะคะคานกนั มแี ต่ชวี ติ ทเ่ี ผชญิ หนา้ กบั ความทกุ ข์ มากบา้ งนอ้ ย
บา้ ง คนทเ่ี ขม้ แขง็ รูเ้ท่าทนั กเ็ อาชนะตวั เองได้ และจดั การกบั ปญั หาชวี ติ ไดอ้ ย่างมสี ติ คนทอ่ี ่อนแอบอบบางก็พ่ายแพ้
วนเวยี นหาทางออก แต่ในทส่ี ุด มอื แหง่ ความเมตตาเก้อื กูลของคนใกลต้ วั กจ็ ะช่วยกนั ฉุดดงึ ผูอ้ ่อนแอใหพ้ น้ จากหว้ ง
ทกุ ข์ แต่แมว้ ่าทางออกของการแกป้ ญั หาจะมอี ยู่ บางครงั้ กเ็ หมอื นผงเขา้ ตา ผูเ้ผชญิ ปญั หาอาจตอ้ งการการช้แี นะจาก
ผูม้ ีหลกั คิดท่ีแม่นยา ถึงกระนน้ั ผูล้ งมือแกไ้ ขก็ตอ้ งเป็นตวั เจา้ ของปญั หานน้ั เอง ผูเ้ ขยี นนิยายมีความเช่ือมนั่ ใน
หลกั ธรรมนาทางชวี ติ จงึ สอดแทรกธรรมะในพระพทุ ธศาสนาไวใ้ นตวั เรอ่ื งอย่างเหมาะสม

นวนิยายเร่ือง จบั ตน้ มาชนปลาย แสดงพฒั นาการงานเขยี น ของ ชมยั กร แสงกระจ่าง อย่างเห็นไดซ้ ดั
นวนิยายเร่อื งน้ีมโี ครงเร่อื งท่ซี บั ซอ้ น แบง่ บทโดยตงั้ ช่ือดว้ ยคาสน้ั ๆ เล่นกบั อกั ษร พ ผ หรือ ภ ตวั ละครทกุ ตวั ใน
เรอ่ื งน้ีมเี หลย่ี มมมุ คมชดั มมี ติ ดิ า้ นลกึ ทซ่ี บั ซอ้ น ซง่ึ ผูเ้ขยี นค่อยคลอ่ี อกทลี ะนอ้ ยจนผูอ้ ่านไดป้ ระจกั ษว์ ่า นบั จากตน้
จนถงึ ปลายชวี ติ มนุษยล์ ว้ นผูกปมปญั หาทงั้ โดยรูต้ วั และไมร่ ูต้ วั ไวม้ ากมาย ทบั ซอ้ นเป็นเหตเุ ป็นปจั จยั ซง่ึ กนั และกนั
แต่ถงึ แมว้ า่ เราไมอ่ าจยอ้ นกลบั ไปแกไ้ ขตน้ ทางชวี ติ เรากอ็ าจจะปรบั เปลย่ี นปลายชวี ติ ใหร้ าบร่นื ข้นึ ไดด้ ว้ ยหลกั คิดท่ี
ถกู ตอ้ ง นวนิยายเร่อื งน้ีมสี าระความคดิ ทส่ี รา้ งสรรคอ์ ยา่ งมวี รรณศิลป์

(คดั มาจากหวั ขอ้ “จบั ตน้ มาชนปลาย” หนา้ 74 -75 จากหนงั สอื ชวนอ่าน ชวนคดิ พนิ จิ วรรณกรรมร่วมสมยั โดย ร่นื ฤทยั สจั จพนั ธุ)์

ห น้ า | 58

6) ขอ้ ใดไมใ่ ช่สาระสาคญั ของเร่อื งจบั ตน้ ชนปลาย
1. เราไมอ่ าจยอ้ นกลบั ไปแกไ้ ขชวี ติ ตน้ ทางได้
2. การมสี ตชิ ่วยในการจดั การปญั หาไดร้ าบรน่ื
3. การแกป้ ญั หาบางเร่อื งจะตอ้ งใหผ้ ูอ้ ่นื ลงมอื แกไ้ ข
4. การนาหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาสอดแทรกในเรอ่ื ง

7) ขอ้ ใดเป็นแนวคดิ ของขอ้ ความน้ี
“แมว้ ่าทางออกของการแกป้ ญั หาจะมอี ยู่ บางครงั้ กเ็ หมอื นผงเขา้ ตา ผูเ้ผชญิ ปญั หาอาจตอ้ งการการช้แี นะจากผู้

มหี ลกั คิดทแ่ี มน่ ยา”
1. ปญั หาทกุ อย่างมที างออก
2. ปญั หาแกไ้ ขเร่มิ ตน้ จากตนเอง
3. การแกไ้ ขปญั หาบางครง้ั ตอ้ งกต็ อ้ งลองผดิ ลองถูก
4. การแกไ้ ขปญั หาบางครงั้ ตอ้ งกต็ อ้ งมผี ูร้ ูช้ ่วยแนะนา

จงอา่ นขอ้ ความต่อไปน้ีแลว้ ตอบคาถาม ขอ้ 8 -9

ชาวซาไก
“เงาะ” หรอื “เงาะซาไก” เป็นคาทค่ี นไทยนิยมใชเ้ รียก “ชาวซาไก” ชนพ้นื เมอื งกลุ่มหน่ึง ท่อี าศยั เร่ร่อน
อยู่ในป่าเขาบริเวณภาคใตข้ องประเทศไทย แถบจงั หวดั พทั ลุง สตูล ยะลา นราธิวาส ตลอดไปจนถึงประเทศ
มาเลเซยี ช่อื ทเ่ี รียกชาวซาไกมหี ลายช่อื เช่น ชาวพทั ลุง เรยี กว่า “เงาะ” หรอื “เงาะป่า” ตามลกั ษณะเสน้ ผมของชาว
ซาไกทห่ี ยกิ หยองคลา้ ยผลเงาะ และเรยี กตามถน่ิ ทอ่ี ยูอ่ าศยั ในป่า ชาวซาไกมผี วิ ดาและมผี มหยกิ ตดิ หนงั ศีรษะ หรอื
หยกิ ฟูเป็นกระเชิง ตาโต จมกู แบนกวา้ ง รูปร่างค่อนขา้ งเต้ีย มกั สูงประมาณไม่เกิน 150 เซนติเมตร มนี ิสยั ร่าเริง
สนุกสนาน ชอบเสยี งดนตรี กลวั ผี มวี ถิ ชี ีวติ ความเป็นอยู่ง่าย ๆ หาอาหารตามธรรมชาติ เช่น ล่าสตั ว์ หาผลไม้
ขดุ เผอื กมนั ฯลฯ นอกจากน้ียงั มคี วามรูเ้ช่ยี วชาญในเร่อื งการใชพ้ ชื สมนุ ไพรต่าง ๆ
ในปจั จุบนั ชาวซาไกในประเทศไทยในนามสกุล “ศรีธารโต” ซ่งึ สมเด็จพระศรีนครินทรบรมราชชนนี
โปรดเกลา้ ฯ พระราชทาน

(คดั มาจากหวั ขอ้ “ชาวซาไก” จากหนงั สอื แบบเรยี นวรรณคดลี านา ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 โดย กระทรวงศึกษาธกิ าร)

ห น้ า | 59

8) จากเรอ่ื งทอ่ี ่านขา้ งตน้ ทาไมจึงเรยี ก “เงาะป่า” วา่ “ซาไก”
1. เพราะวา่ เงาะป่าชอบหวั เราะและแต่งกายดว้ ยชดุ สแี ดง
2. เพราะว่าเงาะป่ามตี าโตและชอบรบั ประทานเงาะเป็นอาหาร
3. เพราะวา่ เงาะป่าอยู่อาศยั ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซยี
4. เพราะว่าเงาะป่าเป็นชนพ้นื เมอื งทเ่ี ร่ร่อนในป่า มเี สน้ ผมหยกิ หยองคลา้ ยผลเงาะ

9) จากเร่อื งทอ่ี ่านขา้ งตน้ ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ กู ตอ้ ง
1) ชาวซาไกอาศยั อยูแ่ ถบจงั หวดั พทั ลงุ
2) ชาวซาไกอาศยั อยู่แถบจงั หวดั ยะลา
3) ชาวซาไกอาศยั อยูแ่ ถบจงั หวดั นราธวิ าส
4) ชาวซาไกอาศยั อยูแ่ ถบจงั หวดั นครศรธี รรมราช
เรอ่ื งขวานฟ้ า

เรอ่ื งขวานฟ้า ไทยเราเชอ่ื วา่ ฟ้าผ่านนั้ ขวานตกลงมาจากฟ้าทกุ ทแี ละเขา้ ใจดวี ่าขวานฟ้านน้ั เป็นหนิ เป็นของวเิ ศษถงึ
ตามหากนั คือ ขนุ ตรงทฟ่ี ้าผา่ ถา้ ไดม้ าต่อยแจกกนั ไปทาเครอ่ื งรางว่าอยู่คงกระพนั ชาตรดี นี กั แต่ไมใ่ ช่ว่าขดุ ตามไดท้ กุ ที
เช่อื กนั ว่าถา้ ฟ้าผ่าเบา ๆ ขวานก็อยู่ต้นื ขดุ ตามพบ ถา้ ผ่าหนกั ขวานกล็ งลกึ ขดุ ตามไมถ่ งึ เหน็ จะสนั นิษฐานเอาเป็นแน่ไดว้ า่
แรกทเี ดยี วกท็ ง่ึ ฟ้าผา่ วา่ อะไรมนั ตกลงมาจงึ เร่ยี วแรงเหลอื เกนิ ลองขดุ ตามทฟ่ี ้าผา่ ตกดนิ ก็บงั เอญิ ไปพบขวานหนิ ตกลงมา
จากฟ้าทม่ี าแปลกนั ว่า ขวานรามสูรเหน็ จะหาเรอ่ื งประกอบทหี ลงั

(สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ สาสน์ สมเด็จ ลงวนั ท่ี 17 ตลุ าคม 2477 คดั มาจากหวั ขอ้ “เร่อื งขวานฟ้า” จากหนงั สอื แบบเรยี นวรรณคดี
ลานา ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 โดย กระทรวงศกึ ษาธิการ )

10) ขอ้ ใดเป็นสาระสาคญั ของเร่อื งขวานฟ้า
1. ทม่ี าของขวานฟ้า
2. สาเหตขุ องการฟ้าผา่
3. ประโยชนข์ องขวานฟ้า
4. ความเชอ่ื เก่ยี วกบั ขวานฟ้า

ห น้ า | 60

ห น้ า | 61

บทท่ี 5
การอา่ นจบั ใจความจากเรอ่ื งสน้ั และนวนิยาย

การอ่านจบั ใจความงานเขยี นบนั เทงิ คดี ประเภทเร่ืองสน้ั และนวนิยายเป็นการอ่านเร่ืองท่แี ต่งข้นึ โดยอาจมี
เคา้ เร่ืองหรือตน้ เร่ืองมาจากความจริงแลว้ ผูเ้ ขยี นนามาดดั แปลง แต่งเติมอารมณ์และจินตนาการ การอ่านจบั ใจความ
เร่อื งสนั้ และนวนิยายโดยทวั่ ไปจะม่งุ เนน้ ใหผ้ ูอ้ ่านเกิดความสนุกสนาน เพลดิ เพลนิ มอี ารมณค์ วามรูส้ กึ ร่วมในเน้ือเร่อื ง
เช่น รกั ชอบ โกรธ หลง เป็นตน้ นอกจากน้ีผูอ้ ่านยงั จะไดเ้ หน็ ความงามของภาษาท่ผี ูเ้ขยี นถ่ายทอด รวมถึงแง่คิดหรือ
ประการณต์ ่าง ๆ ทไ่ี ดร้ บั จากการอ่านซง่ึ ข้นึ อยู่กบั ประสบการณก์ ารอ่านของแต่ละคน

ความหมายของเรอ่ื งสน้ั

เรอ่ื งสนั้ เป็นงานเขยี นขนาดสนั้ ไมซ่ บั ซอ้ น โครงเรอ่ื งงา่ ย ใชต้ วั ละครนอ้ ย การกระทาและพฤติกรรมของตวั
ละครตอ้ งมงุ่ เสนอแนวคิดเพยี งเร่อื งเดยี ว

ชนิดของเร่อื งสน้ั
ผูอ้ ่านเร่อื งสน้ั สามารถเขา้ ใจเจตนาของผูเ้ ขยี นได้ ถา้ ผูอ้ ่านทราบชนิดของเร่ืองสน้ั ถวลั ย์ มาศจรสั (2540, น.

50 -53 ) แบง่ เรอ่ื งสนั้ ไว้ 4 ชนิด คอื
1) ชนิดผูกเร่อื ง (Plot Story) เป็นเร่อื งสนั้ ทม่ี กี าหนดเคา้ เร่อื งไวอ้ ย่างซบั ซอ้ น มกี ารผูกปมเร่ืองใหเ้กิดความ

ฉงนสนเทห่ ์ บางครงั้ เน้ือเร่อื งกท็ าใหผ้ ูอ้ ่านเขวไปทางหน่ึง แต่พอถงึ ตอนจบกลบั หกั มมุ อนั เป็นการจบทผ่ี ูอ้ ่านดาดไม่ถงึ
2) ชนิดแสดงลกั ษณะของตวั ละคร (Character Story) เป็นเร่อื งสนั้ ท่มี ่งุ แสดงบุคลกิ ภาพของตวั ละครเป็น

หลกั เป็นการวาดภาพตวั ละครเพอ่ื ซ้ใี หเ้หน็ ลกั ษณะนิสยั ของตวั ละครซ่งึ จะมดี วามโดดเด่นเป็นพเิ ศษ เช่น เกร้ยี วกราด
เมตตากรุณา ฉลาดเกนิ คน มคี วามเช่อื ในส่งิ ใดสง่ิ หน่ึงอย่างฝงั จติ ฝงั ใจ ฯลฯ เร่อื งสนั้ ท่แี สดงลกั ษณะตวั ละครน้ีผูเ้ขยี น
สามารถสอ่ื สารเร่อื งราวไดอ้ ยา่ งสมจรงิ และสอดคลอ้ งกบั ความรูส้ กึ ทต่ี อ้ งการ

3) ชนิดถอื ฉากเป็ นส่วนสาคญั (Atmosphere Story) เป็นเร่ืองสน้ั ท่ีผูเ้ ขยี นเนน้ การพรรณนาฉาก โดยตวั
ละครเป็นส่วนประกอบทเ่ี ก่ยี วโยงอยูใ่ นฉากนนั้ ผูเ้ขยี นจะบรรยายฉากอย่างละเอียด จนผูอ้ ่านสามารถเหน็ ภาพจากการ
อ่านไดช้ ดั เจน

4) ชนิดแสดงแนวความคิดเห็น (Theme Story) เป็นเร่ืองสนั้ ในแนวอุดมคติท่ีตอ้ งการช้ีใหเ้ ห็นประเด็น
ความคิดใดความคิดหน่ึงทผ่ี ูเ้ขยี นตอ้ งการจะบอกหรือช้ใี หเ้หน็ ถงึ ความเช่อื ในสง่ิ หน่ึงสง่ิ ใด รวมไปถงึ การวพิ ากษส์ งั คม
โดยผา่ นตวั ละคร

ห น้ า | 62

3.องคป์ ระกอบของเร่อื งสน้ั

1) แนวคดิ หรอื แกน่ ของเร่อื ง แนวคิด คอื สาระสาคญั ของเร่อื งทเ่ี ขยี นข้นึ เรอ่ื งสน้ั จะมแี นวคิดสาคญั เพียงจุด
เดยี ว และจะเป็นแกนของเรอ่ื ง การเสนอแนวคิดอาจบอกตรง ๆ ผ่านตวั ละคร หรอื อยูท่ ช่ี อ่ื เร่อื ง หรอื อาจจะตอ้ งตีความ
เอง เมอ่ื อ่านเร่อื งสน้ั จบแลว้ ความหมายท่ผี ูอ้ ่านสรุปไดค้ ือแนวคิดของเร่อื งสน้ั เร่อื งนน้ั เร่อื งสนั้ ท่ีดีตอ้ งเขยี นใหผ้ ูอ้ ่าน
เขา้ ใจแก่นเร่อื ง

2) โครงเร่อื ง เป็นโครงเร่อื งท่กี ระชบั ชดั เจน ไมซ่ บั ซอ้ นเพอ่ื เสนอแนวคดิ ทผ่ี ูเ้ขยี นกาหนดไว้

3) เน้ือเร่ือง คือเร่ืองราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ อาจเป็นเพียงส่วนหน่ึงของชีวติ เป็นเร่ืองราวบางแง่มมุ ไม่ใช่
เรอ่ื งราวละเอยี ดทงั้ ชวี ติ ของตวั ละคร

4) ตวั ละคร ตวั ละครในเร่อื งสนั้ จะมตี วั ละครหลกั เพยี ง 1 – 2 ตวั ตวั ละครอ่นื มเี ท่าทจ่ี าเป็นเทา่ นนั้

5) บทสนทนา จะเลา่ เร่อื ง แสดงพฤตกิ รรมเหตุการณ์ต่าง ๆ ทส่ี มเหตุสมผล บทสนทนาจะใชเ้ ท่าท่จี าเป็นเพอ่ื
ทาใหเ้น้ือเร่อื งและตวั ละครมชี วี ติ ชวี า

6) ฉาก ผูเ้ขยี นจะใชก้ ารบรรยายฉากผ่านบทสนทนา อาจเป็นฉากในชีวติ จริงหรอื เหนือจริง แต่จะไม่บรรยาย
ชดั เจนเหมอื นนวนิยาย แมฉ้ ากจะมคี วามสมั พนั ธก์ บั พฤติกรรมของตวั ละคร และสอดคลอ้ งกบั โครงเร่อื งและแนวคิด
หากผูเ้ขยี นนาเสนอฉากทผ่ี ูอ้ ่านไมร่ ูจ้ กั เช่น ฉากในต่างประเทศจะบรรยายละเอียดข้นึ เพอ่ื ใหผ้ ูอ้ ่านสรา้ งจติ นาการ

ความหมายของนวนิยาย

นวนิยาย เป็นนงานเขยี นรอ้ ยแกว้ ประเภทบนั เทงิ คดี ซง่ึ เป็นเรอ่ื งสมมตแิ ละมงุ่ ใหค้ วามสนุกสนานเพลดิ เพลนิ
เป็นหลกั เช่นเดียวกบั เร่อื งสน้ั เสนอแนวคิดสาคญั ของเรอ่ื งไดห้ ลายอยา่ ง

องคป์ ระกอบของนวนิยาย
การทาความเขา้ ใจองคป์ ระกอบทง้ั 7 ของนวนิยาย จะทาใหน้ ิยายมสี สี นั ผูอ้ ่านจะไดร้ สชาตกิ ารอ่านอนั เป็น

ความบนั เทงิ อย่างหน่ึง ดงั กลา่ วต่อไปน้ี
1 ) โครงเรอ่ื ง (plot) เป็นเคา้ โครงของพฤตกิ รรมต่าง ๆ นวนิยายแต่ละเร่อื งจะมโี ครงเรอ่ื งใหญ่และโครงเร่อื ง

ย่อย โครงเรอ่ื งใหญ่ หมายถงึ เร่อื งทเ่ี ก่ยี วพนั กบั ปญั หาความขดั แยง้ ทส่ี าคญั ของตวั ละครเอก โครงเรอ่ื งย่อยคอื เร่อื งท่ี
แทรกอยูใ่ นโครงเร่อื งใหญ่ มคี วามสาคญั นอ้ ยแด่เสรมิ ใหเ้ร่อื งสนุกสนานข้นึ ในโครงเรอ่ื งจะมสี ่วนประกอบทส่ี าคญั อยู่
2 ประการ คือ พฤตกิ รรมอนั เป็นการกระทาของตวั ละครในเรอ่ื ง และความขดั แยง้ ซง่ึ จะอยูใ่ นลกั ษณะต่าง ๆ กนั เช่น
ความขดั แยง้ ระหวา่ งมนุษยก์ บั ธรรมชาติ ความขดั แยงั ระหวา่ งมนุษยด์ ว้ ยกนั ความขดั แยง้ ระหว่างมนุษยก์ บั สงั คม
ความขดั แยง้ ระหวา่ งมนุษยก์ บั โชคชะตา ความขดั แยง้ ทเ่ี กดิ ข้นึ ภายในตวั เอง เป็นตน้

ห น้ า | 63

2) แกน่ เร่อื งหรอื ความคดิ หลกั (theme) คือ จดุ สาคญั ของเรอ่ื งทจ่ี ะเชอ่ื มโยงเรอ่ื งทง้ั หมดเขา้ ดว้ ยกนั เพอ่ื สอ่ื
ความคิดของผูแ้ ต่ง แก่นเร่อื งมหี ลายแนวทาง เช่น แนวแสดงทรรศนะเป็นแนวทผ่ี ูเ้ขยี นเสนอความคดิ เหน็ ต่อสง่ิ หน่ึงสง่ิ
ใด เช่น ต่อคุณธรรม ต่อเหตกุ ารณบ์ า้ นเมอื ง แนวแสดงอารมณเ์ ป็นแนวทผ่ี ูเ้ขยี นมงุ่ แสดงความรูส้ กึ ผา่ นตวั ละคร เช่น
ความแคน้ ความหงึ หวง ความกลวั แนวแสดงพฤติกรรมเป็นแนวทผ่ี ูเ้ขยี นเนน้ พฤตกิ รรมของตวั ละคร เช่น พฤตกิ รรม
ตอบแทนบญุ คุณตลอดทงั้ เร่อื ง แนวแสดงลกั ษณะและเหตกุ ารณ์ เป็นแนวทางทผ่ี ูเ้ขยี นมงุ่ แสดงสภาพบางอย่างหรอื บาง
ช่วงชวี ติ ของตวั ละคร เช่น สภาพความจนของคนในชนบท เป็นตน้

3) ตวั ละคร (characters) คือ ผูท้ ่ีมีบทบาทในเร่ือง จะตอ้ งเหมือนมนุษยห์ รือเทียบเท่า มีชีวิตจิตใจ
แสดงอารมณ์บทบาท คาพูดและมปี ฏกิ ริ ยิ าเช่นคนจริง ๆ พฤตกิ รรมท่แี สดงออกมาตอ้ งน่าเช่อื ถอื " รชิ ารด์ ดี ออฟดีล,
1968, น. 3) ตวั ละครสาคญั ในเรอ่ื งเรยี กวา่ ตวั ละครเอก ตวั ละครอ่นื เป็นตวั ประกอบ วธิ แี สดงลกั ษณะนิสยั ของตวั ละคร
อาจทาไดห้ ลายวิธี เช่น ผูแ้ ต่งบรรยายนิสยั ของตวั ละครเองจากการสงั เกตภายนอกหรืออธิบายความคิดความรูส้ กึ
ภายในจติ ใจของตวั ละคร บางครงั้ อาจใชว้ ธิ ที ต่ี วั ละครแสดงตวั เองดว้ ยคาพดู และพฤตกิ รรม หรอื ใชว้ ธิ กี ลา่ วถงึ ปฏกิ ิริยา
ของตวั ละครอ่ืน ๆ ท่ีมีต่อตวั ละครตวั นน้ั เพ่ือเป็นเคร่ืองช้ีว่าเป็นบุคคลเช่นใด โดยทวั่ ไปแลว้ ตวั ละครในนวนิยาย
แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ ตวั ละครท่มี ลี กั ษณะเดยี ว เป็นตวั ละครทม่ี ลี กั ษณะนิสยั ประจาหรอื แสดงนิสยั ดา้ นเดียวตลอด
เร่ือง เช่น นิสยั ร่าเริง นิสยั เศรา้ สรอ้ ย เป็นตน้ อีกประเภทหน่ึงเป็นตวั ละครท่ีมีหลายลกั ษณะ มีนิสยั หลายอย่าง
เปลย่ี นไปตามเหตกุ ารณ์และสง่ิ แวดลอ้ ม ทง้ั น้ีตวั ละครทด่ี ตี อ้ งมลี กั ษณะสมจรงิ

4) ฉากและบรรยากาศ (setting and atmosphere) ฉาก คือ ขอ้ เทจ็ จรงิ เก่ยี วกบั ส่ิงต่าง ๆ ท่ปี รากฏในเน้ือ
เร่ือง บอกใหร้ ูว้ ่าเหตุการณ์นนั้ เกิดข้นึ ท่ีใด การใชฉ้ ากท่ีมจี ริงและเป็นท่ีรูจ้ กั ย่อมทาใหเ้ ร่ือง มีความสมจริงมากข้ึน
ฉากท่ดี คี วรจะสอดคลอ้ งกบั เน้ือเร่อื งและช่วยสรา้ งบรรยากาศ นอกจากน้ีควรถูกตอ้ งตามสภาพความเป็นจริง ฉากท่ีมี
ความถูกตอ้ งตามสภาพภูมศิ าสตรแ์ ละเหตุการณ์ในประวตั ิศาสตรช์ ่วยส่งเสริมนวนิยายเร่ืองนนั้ ๆ ใหม้ คี ุณค่าเพ่ิมข้นึ
เป็นอย่างมาก ในทางตรงกนั ขา้ มจุดอ่อนของฉากบางเร่อื งทาใหค้ ุณค่าของเร่อื งนนั้ ดอ้ ยลงไปอย่างน่าเสียดาย ผูแ้ ต่งท่ี
ประณีตจงึ เอาใจใสต่ ่อความถกู ตอ้ งของฉากเป็นอย่างยง่ิ

นอกจากน้ีผูแ้ ต่งยงั ตอ้ งสรา้ งบรรยากาศ ซ่งึ เป็นรายละเอียดของเร่อื งท่กี ่อใหเ้ กิดอารมณ์และเป็นพลงั ใหเ้ กิด
พฤติกรรมตามโครงเร่อื งอีกดว้ ย เช่น บรรยากาศงานแต่งงาน บรรยากาศงานศพ เป็นตน้ การสรา้ งบรรยากาศในเร่ือง
เก่ยี วขอ้ งกบั ฉาก สถานทแ่ี ละเวลา อีกทง้ั ยงั ทาใหเ้กดิ สายสมั พนั ธท์ างอารมณร์ ะหว่างสถานท่ี เวลา ตวั ละครและผูอ้ ่าน
อกี ดว้ ย

5) บทสนทนา (dialogue) คือ การโตต้ อบระหว่างตวั ละคร บทสนทนาจะตอ้ งช่วยสรา้ งความสมจริง
เป็นธรรมชาติ คลา้ ยคลงึ กบั ชวี ติ จริงและตอ้ งเหมาะสมกบั บุคลกิ ลกั ษณะของตวั ละครแต่ละตัว ลกั ษณะบทสนทนาท่ดี ี
ควรช่วยใหเ้ น้ือเร่ืองคืบหนา้ ไปอย่างต่อเน่ือง ทาใหเ้ ห็นลกั ษณะนิสยั ของตวั ละครชดั เจนข้นึ และยงั ช่วยใหเ้ ห็นสภาพ
สงั คม ประเพณี วฒั นธรรม การศึกษา การปกครองสภาพเศรษฐกจิ และอ่ืน ๆ ประกอบไปดว้ ย ดงั นนั้ บทสนทนาจึง

ห น้ า | 64

เป็นส่วนประกอบท่ที าใหเ้ ขา้ ใจเร่อื งราวพฤติกรรมไดม้ ากข้นึ ในการอ่านนวนิยาย จะเหน็ ว่าบทสนทนาจะแยกออกจาก
บทบรรยายหรอื บทพรรณนา

6) ทรรศนะของผูแ้ ต่ง (point of view) คือ ขอ้ คิดความเหน็ ของผูแ้ ต่งท่ตี อ้ งการเสนอต่อผูอ้ ่าน ส่วนใหญ่มกั
เสนอผ่านตวั ละครในเร่อื ง เช่น ดอกไมส้ ด เสนอทรรศนะเก่ยี วกบั ผูด้ ี ในนวนิยายเร่อื งสามชายว่าผูด้ ที แ่ี ทจ้ ริงจะยงั คง
เป็นผูด้ มี คี วามประพฤตดิ อี ยู่ไมว่ ่าจะตกตา่ หรอื ยากจนเพยี งใด เป็นตน้

7) ทว่ งทานองแต่งหรอื กลวิธี (style) กลวธิ ี หมายถงึ ลกั ษณะวธิ กี ารของผูแ้ ต่งทจ่ี ะแสดงความคิด ความรูส้ กึ
เพอ่ื ใหเ้น้ือเร่อื งดาเนินไปตามโครงเร่อื งท่ผี ูกไวร้ วมไปถงึ การเลอื กใชภ้ าษาซ่งึ ข้นึ อยู่กบั ผูแ้ ต่ง วธิ ีการเลา่ เร่อื งบางเร่อื งจะ
เล่าตามลาดบั เวลาของเหตุการณ์ ในขณะทบ่ี างงเร่อื งใชว้ ธิ กี ารเล่าสลบั ไปมาตามความสาคญั ของเหตกุ ารณ์ ส่วนสานวน
ภาษาเป็นลลี าการเขยี น ผูแ้ ต่งบางคนใชก้ ารพรรณนา บางคนใช่คาสน้ั แต่กนิ ความหมาก ฯลฯ

ลกั ษณะเฉพาะท่แี ตกตา่ งระหวา่ งเร่อื งสน้ั และนวนิยาย

เรอ่ื งสน้ั (Short Story) นวนิยาย (Novel)

มขี นาดสนั้ และมงุ่ เสนอแนวคดิ สาคญั เพยี งอย่างเดยี ว มีขนาดความยาวไม่จากดั โดยมที ง้ั โครงเร่ืองใหญ่และ

โครงเร่อื งย่อย และสามารถเสนอแนะแนวคิดสาคญั ของ

เร่อื งไดห้ ลายอยา่ ง

มโี ครงเรอ่ื งทส่ี นุก เรา้ ใจใหต้ ดิ ตาม มีโครงเร่ืองท่ีซบั ซอ้ น และเรา้ ใจใหต้ ิดตามไดม้ ากกว่า

เรอ่ื งสน้ั

มกี ารดาเนินเรอ่ื งในระยะเวลาอนั สนั้ มกี ารดาเนินเร่อื งในช่วงระยะเวลายาวนานไมจ่ ากดั

มตี วั ละครสาคญั นอ้ ย มตี วั ละครสาคญั ไดม้ าก และแสดงพฤติกรรมไดอ้ ย่าง

ละเอยี ด สมจรงิ

มกี ารสรา้ งฉาก บรรยากาศ บทสนทนา และองคป์ ระกอบ มกี ารสรา้ งฉาก บรรยากาศ บทสนทนา และองคป์ ระกอบ

ต่าง ๆ ดว้ ยภาษาและกลวธิ ีการแต่งทก่ี ระชบั รดั กมุ และ ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างละเอยี ดและยดื ยาวกวา่ เรอ่ื งสนั้

ทาใหเ้รอ่ื งสมจรงิ

ห น้ า | 65

แนวทางการอา่ นจบั ใจความสาคญั จากเร่อื งสน้ั และนวนิยาย
การอ่านจบั ใจความสาคญั จากเร่ืองสนั้ และนวนิยายใหไ้ ดถ้ ูกตอ้ งแม่นยาอย่างรวดเร็วนับเป็นเร่ืองยาก

พอสมควร เพราะเป็นงานเขยี นท่มี งุ่ ใหค้ วามสนุกเพลดิ เพลนิ จึงมกั มโี ครงเร่อื งทซ่ี บั ซอ้ นและไมน่ ิยมบอกเร่อื งราวหรือ
แนวคิดสาคญั อย่างตรงไปตรงมา ผูอ้ ่านตอ้ งใชแ้ นวทางพจิ ารณา ดงั น้ี

1) ช่ือเรอ่ื ง นบั เป็นจดุ ช้แี นะหวั ใจของเรอ่ื งไวเ้ป็นอนั ดบั แรก เร่อื งสน้ั และนวนิยายบางเร่อื งแต่งช่อื ใหเ้หน็ แก่น
เรอ่ื งหรอื ใจความสาคญั ไดช้ ดั เจน แต่บางเร่อื งกย็ ากต่อการตคี วามจงึ ควรพจิ ารณาจากส่วนอ่นื มาประกอบอกี ครง้ั หน่ึง

2) แกน่ เร่อื ง นบั เป็นจดุ ซอ่ นเรน้ ทผ่ี ูแ้ ต่งเรอ่ื งสนั้ และนวนิยายจะไมบ่ อกโดยตรง แต่ผูอ้ ่านกส็ ามารถคน้ หาดว้ ย
วธิ กี าร ต่อไปน้ี

2.1) แกน่ เรอ่ื ง พจิ ารณาจากขอ้ ขดั แยง้ ของเรอ่ื งแลว้ ตดิ ตามผลของขอ้ ขดั แยง้ เหลา่ นนั้ วา่ คลค่ี ลาย
ขยายตวั และส้นิ สุดลงอยา่ งไรซง่ึ จะช่วยช้แี นะใหเ้หน็ แก่นเร่ืองไดช้ ดั เจนข้นึ

2.2) พจิ ารณาจากจุดสุดยอดของเร่อื ง ซง่ึ ส่วนใหญ่มกั อยู่ตอนทา้ ย ๆ ใกลจ้ บเร่อื ง จะทาใหม้ องเหน็
แก่นเรอ่ื งไดท้ นั ที

2.3) สรุปสาระสาคญั โดยการตอบคาถามใหไ้ ดว้ า่ ใคร ทาอะไร ทไ่ี หน เมอ่ื ไร อยา่ งไร และทาไม ซง่ึ
นอกจากจะแสดงวา่ ผูอ้ ่านจบั ใจความของเร่ืองไดแ้ ลว้ ยงั เป็นจดุ ช้นี าใหเ้หน็ แก่นเร่อื งหรอื ใจความสาคญั ไดง้ า่ ยดว้ ย

3) ภมู ิหลงั แมเ้รอ่ื งสนั้ และนวนิยายจะเป็นเรอ่ื งสมมตแิ ต่นิยมท่จี ะสรา้ งเร่อื งใหด้ ูสมจรงิ มากทส่ี ุด การมคี วามรู้
ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั สงั คมและเหตกุ ารณใ์ นเรอ่ื ง จะช่วยใหจ้ บั ใจความไดง้ า่ ยยง่ิ ข้ึน

4) น้าเสยี งหรอื หางเสยี งของผูแ้ ต่ง เน่ืองจากผูแ้ ต่งเร่อื งสน้ั และนวนิยายสามารถใชจ้ ติ นาการและกลวธิ กี าร
สรา้ งสรรคไ์ ดอ้ ย่างกวา้ งขวาง และไม่บอกสาระสาคญั ของเร่อื งอยา่ งตรงไปตรงมา บางครง้ั การนาเสนอในลกั ษณะเสยี ดสี
เหน็บแนม เป็นตน้ การจบั นา้ เสยี งหรอื หางเสยี งของผูแ้ ต่งใหไ้ ดจ้ ะชวนใหจ้ บั ใจความสาคญั ของเรอ่ื งไดแ้ มน่ ยา

5) การอา่ นงานเขียนประเภทเร่ืองสน้ั ไม่ไดม้ ่งุ ใหค้ วามรูห้ รอื ขอ้ เทจ็ จรงิ แกผ่ ูอ้ า่ นเป็นหลกั การอ่านทม่ี งุ่ จบั
ใจความสาคญั เพยี งเพอ่ื ตอบคาถามใหไ้ ดว้ ่า ใคร ทาอะไร ทไ่ี หน เมอ่ื ไหร่ อย่างไร และทาไม จงึ อาจไมไ่ ดร้ สชาตแิ ละ
คุณค่าของบนั เทงิ คดอี ยา่ งเพยี งพอ ฉะนนั้ การอ่านจบั ใจความย่อยหรอื ใจความประกอบเพอ่ื เกบ็ รายละเอยี ดของเรอ่ื งไป
พรอ้ มกนั ดว้ ยจะทาใหไ้ ดอ้ รรถรสของเรอ่ื งสนั้ และนวนิยายอย่างสมบูรณ์

ห น้ า | 66

แบบฝึ กหดั
บทท่ี 5 การอา่ นจบั ใจความจากเร่อื งสน้ั และนวนิยาย

1. แนวคดิ สาคญั ของเรอ่ื งเรอ่ื งสน้ั และนวนิยายแตกต่างกนั อย่างไร

...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

2. ลกั ษณะตวั ละครของเรอ่ื งสน้ั และนวนิยายแตกต่างกนั อยา่ งไร

...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

3.ระยะเวลาในการดาเนินเร่อื งของเรอ่ื งสน้ั และนวนิยายแตกต่างกนั อย่างไร
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

ห น้ า | 67

จงอา่ นเรอ่ื งสน้ั ต่อไปน้ีแลว้ ตอบคาถาม ขอ้ 4 - 6

จรรยาช่าง

อาจนิ ต์ ปญั จพรรค์

แมว้ ่าเขาจะเป็นเพยี งช่างตดั ผมในรา้ นเลก็ ๆ แต่เขากม็ หี วั ใจเทา่ ๆ คนทวั่ ไป เขามคี วามรกั มคี วาม
เกลยี ด มคี วามเหน่ือยมกี ารพกั ผ่อนเหมอื นคนอ่นื ๆ

ในตรอกขา้ ง ๆ รา้ นตดั ผมนน้ั มหี อพกั มนี กั ศึกษาและขา้ ราชการหนุ่ม ๆ อยู่หลายคน เกอื บทุกคนตดั ผม
ทร่ี า้ นน้ี และเขากไ็ ดต้ ดั เกอื บจะครบทกุ คน นอกจากนกั ศึกษาหนุ่มรูปหลอ่ คนหน่ึง ดว้ ยสายตาของช่างตดั ผม
เขาชอบทรงผมและเรอื นผมของนกั ศึกษาหนุ่มนนั้ มากกวา่ ใคร ๆ ทเ่ี ขาเคยพบมา หนุ่มผูน้ น้ั ตดั ผมรา้ นอน่ื เขาจงึ นึก
ปรารถนาจะไดเ้ป็นผูต้ ดั ผมใหช้ ายหนุ่มผูน้ น้ั บา้ ง เขาจะแสดงใหเ้หน็ ฝีมอื ใหช้ ายหนุ่มผูน้ น้ั ตอ้ งเลอื กเขาเป็นช่างตดั
ผมประจา และจะไมไ่ ปตดั ท่รี า้ นใดอกี เลย

ในตรอกนน้ั มเี ดก็ สาวหนา้ ตาดคี นหน่ึง ซง่ึ ช่างตดั ผมของเราแอบรกั อยู่ในใจ แต่เขาไมเ่ คยไดพ้ ดู กบั หลอ่ น
สกั คาเดียว ในวนั หน่ึงเขาเหน็ เดก็ สาวคนนน้ั กบั นกั ศึกษาหนุ่มเดนิ คลอกนั ออกมาจากตรอกเสรจ็ ...เขาระทดทอ้ ใจ
หญงิ งามกบั ชายงามคู่ควรกนั ย่งิ กวา่ หญงิ นนั้ จะมาเหลยี วแลช่างตดั ผมรา้ นเลก็ ๆ อยา่ งเขา ความหงึ ขา้ งเดยี วของ
เขาเรม่ิ ตน้ ตง้ั แต่ภาพอนั บาดตาบาดใจนน้ั

ครนั้ แลว้ เขากค็ ิดใหมว่ า่ ถา้ ไอห้ นุ่มคนนนั้ เขา้ มาตดั ผมในรา้ นเขาและมานงั่ เกา้ อ้ที เ่ี ขาประจาละก็ เขาจะ
กลอ้ นผมมนั ใหแ้ หลกไปเลย

วนั ทเ่ี ขาใฝ่ฝนั มาถงึ เมอ่ื นกั ศึกษาหนุ่มคนนน้ั ไมไ่ ปตดั ผมไกลหอพกั เพราะจะตอ้ งใชเ้วลาอยู่ใกลแ้ ฟนให้
มากข้นึ วนั สาคญั -ชวั่ โมงสาคญั -นาทสี าคญั กม็ าถงึ เมอ่ื นกั ศึกษาหนุ่มนน้ั กา้ วข้นึ นงั่ เกา้ อ้ชี ่างตดั ผมของเราประจา

"ตดั ดี ๆ นะครบั " นกั ศึกษาหนุ่มพดู "วนั น้ีผมจะไปดูหนงั กบั แฟน" เขากดั กราม กม้ หนา้ กม้ ตาคลุมผา้ ให้
ลูกคา้ ของเขา ตบฝุ่นตามตนี ผมและจอน แลว้ ขยบั กรรไกรราวกบั เพชฌฆาตกาลงั ราดาบ

ในกระจก ทงั้ ช่างตดั ผมและลูกคา้ จอ้ งตากนั นกั ศึกษาเมนิ ไปมองหนา้ ตวั เอง ช่างตดั ผมมองเลยข้ึนไปถงึ
กรอบใส่ประกาศนียบตั รวชิ าช่างตดั ผมทเ่ี ขาตอ้ งรา่ เรยี นดว้ ยความเหน่ือยยากกว่าจะไดม้ นั มา

เขาจงึ ขยบั กรรไกรดว้ ยความประณีต เช่นเดยี วกบั ช่างตดั ผมทด่ี กี าลงั จะทางาน

ห น้ า | 68

4. โครงเร่อื งของเร่อื งสน้ั “จรรยาช่าง” เป็นอย่างไร
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

5. ใจความสาคญั ของเร่อื งน้ี คืออะไร
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

6. ความขดั แยง้ ทเ่ี กิดข้นึ ในเรอ่ื งเป็นความขดั แยง้ ประเภทใด จงอธบิ าย
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

ห น้ า | 69

จงอา่ นนวนิยายตอ่ ไปน้ีแลว้ ตอบคาถามขอ้ 7 -10

โอง่ และอา่ ง

หนงั สอื เลม่ หน่ึง ทก่ี ะทอิ ่านไดไ้ มร่ ูเ้ บอ่ื ช่อื บา้ นท่มี พี ่อหกสบิ คน เป็นเร่อื งการผจญภยั ของเดก็ กาพรา้ จาก
สงครามในเมอื งจนี กบั หมอู ว้ นๆ ตวั หน่ึงทเ่ี จา้ ของตง้ั ชอ่ื วา่ เจา้ ความรุ่งโรจนข์ องหม่บู า้ น สุดทา้ ยทง้ั สองไดไ้ ปพบกบั
นายทหารอเมริกนั หกสิบคน หลงั จากระหกระเหนิ กนั อยู่นาน เร่ืองน้ีถูกใจกะทิมาก ตาตอ้ งอ่านใหฟ้ งั จนคอแหบ
คอแหง้ กว่ากะทจิ ะอ่านหนงั สอื ไดเ้อง แลว้ กะทกิ ช็ อบเรยี กบา้ นรมิ คลองน้ีวา่ บา้ นทม่ี โี อ่งสบิ เจด็ ใบ

ฟงั ดูเหมอื นมโี อ่งหรือตุ่มเกินความจาเป็น แต่จานวนสิบเจ็ดใบมเี หตุผลแอบแฝงอยู่ตรงท่ียายถือเร่ือง
ความสะอาดใบไหนใส่นา้ กิน นา้ ใช้ นา้ ด่มื ตอ้ งแยกกนั เด็ดขาด หา้ มปะปน ตาเกาหวั ว่ามนั จะต่างอะไรกนั นกั หนา
ลงคอ ลา้ งเทา้ ก็เหมอื นๆกนั ยายยนื กรานว่าไม่เหมอื น นา้ กินใส่ในโองมงั กรใบโตตง้ั ไวใ้ นครวั สาหรบั ใชป้ ระกอบ
อาหารอยา่ งเดยี ว นา้ ใชใ้ สในต่มุ ซเี มนตอ์ ยู่ใตถ้ นุ เอาไวช้ กั ผา้ ลา้ งจาน ส่วนนา้ ด่มื นน้ั พเิ ศษสุด ตงั้ ไวใ้ ตร้ างนา้ ฝนเอาไว้
ตม้ ใสข่ วดด่มื ดบั กระหาย

ตาบอกว่า นา้ ประปากไ็ หล ทาไมยายตอ้ งชอบสรา้ งสรรคง์ านในบา้ น โชคดที ่ยี ายไม่ไดย้ นิ โอ่งท่กี ะทชิ อบ
มากท่สี ุดเป็นโอ่งใบนอ้ ยลายมงั กร มองดูเป็นของดีมรี าคาเกินหนา้ โอ่งอ่างดินเผาท่มี คี นใส่เรือเอามาขายถึงท่านา้
หนา้ บา้ นบ่อย ๆ โอ่งใบน้ีเป็นโอ่งเคลอื บ ดา้ นในสีเขยี ว ตาบอกว่าสีเขยี วไข่กา ดา้ นนอกเป็นลายมงั กร ท่สี าคญั มี
ฝาปิด ยายใชใ้ ส่ขา้ วสาร รวมนา้ หนกั โอ่งกบั ขา้ วสารขา้ งในแลว้ คงจะเกนิ ความสามารถทค่ี นคนเดยี วจะยกไหวแน่ ๆ

ตรงเชิงบนั ไดมโี อ่งใบเลก็ ๆ ใส่นา้ ไวล้ า้ งเทา้ ก่อนข้นึ บา้ น ตามทางเดนิ ไปถนนใหญ่ปากทางเขา้ บา้ นก็ยงั มี
อ่างบวั ทต่ี าเล้ยี งเองกบั มอื นบั ไปนบั มากน็ ่าตอ้ งถงึ สบิ เจด็ ใบจรงิ ๆ

เมอ่ื หมดหนา้ ฝนกจ็ ะตอ้ งลา้ งโอ่งใส่นา้ ด่มื เป็นการใหญ่เพอ่ื ปิดรอไวร้ บั นา้ ฝนปีถดั ไป กะทชิ อบปืนลงไปเลน่
ในโอ่ง เน้ือดินขา้ งในเยน็ ฉา่ โอ่งใบใหญ่มเี น้ือท่พี อใหก้ ะทติ วั เลก็ ๆ ลงไปนงั่ ไดส้ บาย เป็นท่ซี ่อนตวั ท่มี แี ต่กะทิรูอ้ ยู่
คนเดยี ว ตาจงึ ไมร่ ูว้ ่ากะทไิ ดย้ นิ เสยี งของตาพดู กบั ใครคนหน่ึงทางโทรศพั ทว์ ่า

"จะใหร้ อจนโรงเรยี นปิดเทอมก่อนหรอื เรามเี วลามากขนาดนน้ั จรงิ หรอื เปลา่ "

(เน้อื หามาจากตอน โอง่ อ่าง ตดั มาจากนวนิยายเร่ือง “ความสขุ ของกะท”ิ หนา้ 23 – 24 โดย งามพรรณ เวชชาชวี ะ)

ห น้ า | 70

7. ตวั ละครของเร่อื งน้ีมกี ค่ี น
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
8. ลกั ษณะของตวั ละครทช่ี อ่ื “กะท”ิ เป็นอย่างไร
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

9. กะทพิ กั อยู่ทไ่ี หน
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

10.ใจความสาคญั ของเร่อื งน้ีเป็นอยา่ งไร
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

ห น้ า | 71

แบบทดสอบ
บทท่ี 5

การอา่ นจบั ใจความสาคญั จากเร่อื งสน้ั และนวนิยาย

SCAN HERE

ห น้ า | 72

แบบทดสอบ
บทท่ี 5 การอา่ นจบั ใจความสาคญั จากเร่อื งสน้ั และนวนิยาย

จงอา่ นเร่อื งตอ่ ไปน้ีแลว้ ตอบคาถามขอ้ 1 -4

คดิ แบบผ้งึ หรอื แมลงวนั

สมมตุ วิ ่าเราจบั ผ้งึ จานวน 6 ตวั ใสใ่ นขวด และจบั แมลงวนั 6 ตวั ใส่ในอกี ขวด จากนน้ั วางขวดนอนลง โดย
หนั กน้ ขวดไปยงั หนา้ ต่างทม่ี แี สงสว่างกว่า เราจะพบว่า…กลุม่ ผ้งึ จะพยายามบนิ ออกทางกน้ ขวด จนกระทงั่ มนั ตายจาก
การขาดอาหารหรือว่าหมดแรง ในขณะทแ่ี มลงวนั จะบนิ วนอยู่ในขวด ชนไปชนมา แต่ก็จะค่อย ๆ ทยอยบนิ หาทาง
ออกมาจากขวดได้ จากฝงั่ คอขวด ทอ่ี ยูต่ รงกนั ขา้ มกบั กน้ ขวดซง่ึ หนั ไปทางหนา้ ต่าง

ทาไมผลการทดลองจงึ ออกมาแบบน้ี….

นกั วิทยาศาสตรเ์ ช่ือว่า ผ้งึ เป็นสตั วท์ ่ฉี ลาด มอี งคค์ วามรู้ พวกมนั รูว้ ่าหากบนิ ไปในทิศทางท่มี แี สงสว่างจะ
เป็นทางออกจากรงั แต่เม่อื มนั ตอ้ งมาอยู่ในขวด ซ่ึงเป็นสถานการณ์ท่ีผ้ึงไม่เคยประสบมาก่อน มนั ก็ยงั คงเช่ือใน
ความคิดแบบเดิม ๆ ไม่เปล่ยี นแปลง คือ ตอ้ งบินออกทางแสงสว่างเท่านน้ั แต่สาหรบั แมลงวนั เป็นสตั วท์ ่ีไม่มี
ความคิดเป็นตรรกะอะไร ดงั นน้ั เมอ่ื มนั ถกู จบั ไวใ้ นขวด มนั จึงบนิ ชนผนงั ขวดแกะทางไปเร่อื ย ๆ จนในท่สี ุดกพ็ บกบั
ทางออก

ถา้ เป็นคุณ คุณจะเลอื กเป็นผ้งึ หรอื แมลงวนั !

ทม่ี า : https://www.kwamru.com/300

1. เร่อื งขา้ งตน้ จดั อยูใ่ นงานเขยี นประเภทใด
1) ขา่ ว
2) เร่อื งสนั้
3) นวนิยาย
4) ความเรยี ง

2. คนประเภทใดเปรยี บเหมอื นผ้งึ ในเรอ่ื งน้ี
1) คนอ่อนแอทไ่ี มม่ คี วามเพยี รพยายาม
2) คนทม่ี ทุ ะลุ มงุ่ มนั่ แต่ขาดความรอบคอบ
3) คนเก่ง ฉลาด และมคี วามมนั่ ใจในตวั เองสูง
4) คนฉลาดทย่ี ดึ ตดิ กบั กรอบเดมิ ๆ จนตอ้ งพลาดพลง้ั ใหก้ บั ปญั หา

ห น้ า | 73

3. คนประเภทใดเปรยี บเหมอื นแมลงวนั ในเรอ่ื งน้ี
1) คนทโ่ี งแ่ ต่อวดฉลาด
2) คนทก่ี ลา้ บา้ บน่ิ ชอบเสย่ี งอนั ตราย
3) คนทไ่ี มท่ อ้ ถอยและมวี ริ ยิ อตุ สาหะ
4) คนทม่ี คี วามคิดสรา้ งสรรคส์ ูง ชอบความแปลกแหวกแนว

4. แนวคิดสาคญั ของเรอ่ื งน้ีคืออะไร
1) ผูไ้ มร่ ูย้ ่อมไมผ่ ดิ
2) กลา้ ทาในสง่ิ ทแ่ี ตกต่าง
3) ทกุ คนต่างผดิ พลาดกนั ได้
4) อย่าใชค้ าวา่ "รูแ้ ลว้ " ในอดตี มาปิดโอกาสในชวี ติ

5. ขอ้ ใดเป็นงานเขยี นประเภทบนั เทงิ คดี
1) บทละคร ขา่ ว
2) นิทาน ชวี ประวตั ิ
3) นวนิยาย เร่อื งสน้ั
4) อตั ชวี ประวตั ิ นวนิยาย

จงพจิ ารณาตวั เลอื กต่อไปน้ีแลว้ ตอบคาถาม ขอ้ 6 – 10 2. ตวั ละคร
4. โครงเรอ่ื ง
1. ฉาก
3. แกน่ เรือ่ ง
5. บทสนทนา

6. มอมเป็นลูกโทน เกิดใตถ้ ุนบา้ นไมส้ องชน้ั หลงั เล็ก ๆ แถวมกั กะสนั มอมรูว้ ่า พ่อของมนั เป็นหมาพนั ธุ์
อลั เซเซียน แต่แม่ของมนั เป็นหมายไทยอยู่ตลาดประตูนา้ มอมปฏิสนธิข้นึ มาไดก้ ็เพราะอุปทั วเหตุ เจา้ ของพ่อของมนั
เผลอปลอ่ ยใหห้ ลุดออกมาจากบา้ นไดช้ วั่ ครู่ ทงั้ หมดน้ีมอมไม่ไดส้ นใจ มนั รูแ้ ต่ว่าภายในใตถ้ นุ บา้ นนนั้ มแี ม่อยู่สาหรบั
ดูดนมเวลาหวิ ขอ้ ความน้ีสมั พนั ธก์ บั องคป์ ระกอบใดหมายเลข ……………………………………

7. บา้ นทม่ี อมมาอยู่ใหม่นนั้ เป็นตึกใหญ่โต หนา้ ตกึ มเี กา้ อ้ี มกี ระถางตน้ ไมต้ งั้ ไวอ้ ย่างสวยงาม และมตี น้ ไมใ้ หญ่
ปลูกไวร้ ่มเยน็ ผดิ กว่าบา้ นเก่าของมอมมากมายนกั บา้ นหลงั นนั้ เป็นบา้ นสองชน้ั หลงั เลก็ ๆ ค่อนขา้ งจะเก่าและไม่ได้
ทาสี ตวั เรือนแยกจากครวั ไฟ มอมคิดถงึ บา้ นหลงั เก่าท่เี คยอยู่นาย ขอ้ ความน้ีสมั พนั ธก์ บั องคป์ ระกอบใดในการอา่ น
หมายเลข ……………………………………

ห น้ า | 74

8. นายทรุดตวั ลงนงั่ ลูบหวั ลูบคอมนั แลว้ กระซบิ ท่หี ูมนั ว่า “มอม ขา้ ไม่นึกเลยว่าขา้ จะไดพ้ บเอง็ ขา้ นึกว่าขา้ ไม่มี
อะไรเหลอื แลว้ ในโลกน้ี” นายหยุดพดู ครู่หน่ึง “เขาส่งขา้ ไปไกล ขา้ ไมไ่ ดข้ า่ วคราวจากใครเลย พอกลบั มาบา้ นเขากบ็ อกว่า
บา้ นไฟไหมห้ มด ลูกเมยี ถูกระเบดิ ตาย งานการท่ีขา้ เคยทาคนอ่ืนเขากเ็ อาตาแหน่งไปหมดแลว้ ไม่มใี ครเขาจะมาคอย
ขา้ หมดหนทางจรงิ ๆ มอมเอย๋ แต่เอง็ อยา่ นึกว่าขา้ เคยลกั ขโมย ครง้ั น้ีเป็นครงั้ แรก พอดพี บเอง็ ๆ กท็ าใหข้ า้ ตอ้ งอายทา
ไมล่ ง” ขอ้ ความน้ีสมั พนั ธก์ บั องคป์ ระกอบใดในการอา่ น หมายเลข ……………………………………

9. จากการคาดคะเนของขา้ พเจา้ ในขณะนน้ั คาดว่าอนิ ถาคงมอี ายุไมเ่ กิน 16 ปี ร่างลา่ สนั ทะมดั ทะแมง หนา้ รูป
ส่เี หลย่ี ม และอินถาก็เหมอื นเดก็ ชาวป่าทง้ั หลายนนั่ เอง คือเกดิ และเตบิ โตมาดว้ ยความปรานีของธรรมชาติ ไมม่ โี รคภยั
ชนิดใดทเ่ี ขาไมร่ ูจ้ กั นบั ตง้ั แต่มาลาเรยี จนถงึ ฝีดาษ ซง่ึ ไดฝ้ ากรอบขรุขระไวท้ วั่ ผวิ หนา้ เขาไมม่ โี อกาสสุงสงิ กบั ใครมากนกั
เพราะตอ้ งใชช้ ีวติ เกือบค่อนวนั อยู่บนคอชา้ ง แต่พวกเราทุกคนต่างชอบนิสยั เอาจรงิ เอาจงั ของเขา ขอ้ ความน้ีสมั พนั ธก์ บั
องคป์ ระกอบใดในการอา่ น หมายเลข ……………………………………

10. ขณะปนั่ จกั รยานกลบั มา ผมรูส้ กึ มคี วามสุขท่ไี ดส้ มั ผสั ถงึ ชวี ติ เรียบง่าย ไดเ้ หน็ ความขยนั ขนั แขง็ ของชาวสวน
ทน่ี ่ี ท่งุ ขา้ วทเ่ี ขยี วขจีสลบั กบั สวนผกั แลดูเยน็ ตา ลมท่งุ โชยมาอ่อน ๆ ทาใหท้ กุ คนไมร่ ูส้ กึ เหน็ดเหน่ือยกบั การเดนิ ทางแต่
อย่างใด ภาพชนบทและชวี ติ สมถะของผูค้ นทป่ี รากฏแก่สายตาขณะน้ี แทบไมน่ ่าเชอ่ื เลยว่า แต่ก่อนมนั คือแผน่ ดนิ ท่รี อ้ น
ระอุดว้ ยไฟสงครามอนั โหดรา้ ยท่ีสุดแห่งหน่ึงของโลก ขอ้ ความน้ีสมั พนั ธก์ บั องคป์ ระกอบใดในการอ่าน หมายเลข
……………………………………

ห น้ า | 75

บรรณำนุกรม

กาญจนา นาคสกลุ . (2556). ระบบเสยี งภาษาไทย. (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 7). กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงานวชิ าการ คณะ
อกั ษรศษสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .

การอ่านภาษาไทย. (2562). นนทบรุ ี : สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.
กลุ สิ รา จติ รชญาวณิช. (2562). การจดั การเรียนรู.้ กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
คณาจารยส์ าขาวชิ าภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. (2552). ศิลปะการใชภ้ าษาไทยเพอื่ การสอื่ สาร.

(พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3). เอกสารคาสอน รายวชิ า ศศภท 100 ศิลปะการใชภ้ าษาไทยเพอ่ื การสอ่ื สาร. นครปฐม:
คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล.
งามพรรณ เวชชาชวี ะ. (22560). ความสุขของกะท.ิ (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 102). กรุงเทพฯ: แพรวสานกั พมิ พ์ อมรนิ ทรพ์ ร้นิ ต้งิ
แอนดพ์ บั ลชิ ชง่ิ .
ดวงมนต์ จติ รจ์ านงค.์ (2536). สนุ ทรียภาพในภาษาไทย. (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2). กรุงเทพฯ: ศยาม.
ตรศี ิลป์ บญุ ขจร. (2547). นวนิยายกบั สงั คม 2475 -2500. (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3). กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงาน
วชิ าการ คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
ปรยี า หริ ญั ประดษิ ฐ.์ (2558). การอ่านบนั เทงิ คด.ี ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าการอ่านภาษาไทย. (ฉบบั ปรบั ปรุง
ครงั้ ท1่ี 3, หน่วยท่ี 9, น.1 -41). นนทบรุ :ี สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.
ปรมนิ ท์ จารุวร. (2560). การใชภ้ าษาในชวี ติ ประจาวนั . ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าภาษาไทยเพอื่ การสอื่ สาร.
(ฉบบั ปรบั ปรุง ครงั้ ท่ี 3, หน่วยท่ี 14, น.14-1 – 14-54). นนทบรุ :ี สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.
พเิ ชษฐ์ แสงทอง. (2561). วรรณกรรมวจิ ารณ์ แนวคดิ และปฏบิ ตั ิการ. กรุงเทพฯ: คมบาง.
ร่นื ฤทยั สจั จพนั ธุ.์ (2559). ชวน “อ่าน” ชวน “คดิ ” พนิ ิจวรรณกรรมร่วมสมยั . กรุงเทพฯ: สถาพรบคุ๊ .
________ . (2559). การสงั เคราะหค์ วามรูจ้ ากการอ่าน. ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าการอ่านภาษาไทย. (ฉบบั ปรบั ปรุง
ครงั้ ท1่ี 4, หน่วยท่ี 6, น.259 -321). นนทบรุ :ี สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.
รุ่งฤดี แผลงศร. (2560). ศาสตรก์ ารสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .
วรวรรธน์ ศรยี าภยั . (2560). ทกั ษะการอ่าน. ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าภาษาไทยเพอื่ การสอื่ สาร. (ฉบบั ปรบั ปรุง
ครงั้ ท่ี 3, หน่วยท่ี 8, น.8-1 – 8-85). นนทบรุ :ี สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.
แววมยุรา เหมอื นนิล. (2556). การอ่านจบั ใจความ. (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 4). กรุงเทพฯ: สุวรี ยิ สาสน.์
ศรสี ุดา จรยิ ากุล. (2558). การอ่านหนงั สอื พมิ พแ์ ละนิตยสาร. ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าการอ่านภาษาไทย.
(ฉบบั ปรบั ปรุง ครง้ั ท1่ี 3, หน่วยท่ี 13, น.247 -269). นนทบรุ :ี สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.
สนิท ตงั้ ทว.ี (2538). การใชภ้ าษาเชงิ ปฏบิ ตั .ิ (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2). กรุงเทพฯ: โอ. เอส. พร้นิ ต้งิ เฮา้ ส.์
สาขาวชิ าภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลาปาง. (2560). ภาษาไทยเพอื่ การสอื่ สาร. เอกสารประกอบการ
สอนรายวชิ า 1500111 ภาษาไทยเพอ่ื การสอ่ื สาร. ลาปาง : คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลาปาง.

ห น้ า | 76

สทิ ธา พนิ ิจภวู ดล. (2559). ลกั ษณะงานเขยี น. ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าการอ่านภาษาไทย. (ฉบบั ปรบั ปรุง
ครงั้ ท1่ี 4, หน่วยท่ี 2, น.37 -98). นนทบุร:ี สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.

สุนนั ทา มนั่ เศรษวทิ ย.์ (2559). ความรูเ้กย่ี วกบั การอ่าน. ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าการอ่านภาษาไทย. (ฉบบั ปรบั ปรุง
ครง้ั ท1่ี 4, หน่วยท่ี 1, น.1 -34). นนทบรุ :ี สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.

________. (2559). การอ่านจบั ใจความ. ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าการอ่านภาษาไทย. (ฉบบั ปรบั ปรุงครงั้ ท1่ี 4,
หน่วยท่ี 3, น.154 -212). นนทบรุ :ี สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.

สุภา พนู ผลและคณะ. (2562). ภาษาไทยเพอื่ การเรียนรู.้ เอกสารประกอบการสอนวชิ า ภาษาไทยเพอ่ื การเรยี นรู,้
เชยี งใหม:่ มหาวทิ ยาลยั พายพั . (อดั สาเนา)

สมเกยี รติ วฒั นาพงษากลุ . (2560). การอ่านเพอ่ื พฒั นาชวี ติ . ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าภาษาไทยเพอื่ การสอื่ สาร.
(ฉบบั ปรบั ปรุง ครงั้ ท่ี 3, หน่วยท่ี 9, น.9-1 – 9-65). นนทบุร:ี สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.

สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2561). หนงั สอื เรียน รายวชิ าพ้นื ฐานภาษาไทย
ชดุ ภาษาเพอื่ ชวี ติ วรรณคดีลานา ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4. (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 13). กรุงเทพฯ: สกสค. ลาดพรา้ ว.

โอภส์ แกว้ จาปา. (2556). เทคนิคการเขยี น. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร.์
อจั ศรา ประเสรฐิ สนิ . (2563). เครือ่ งมอื การวจิ ยั ทางการศึกษาและสงั คมศาสตร.์ กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์

มหาวทิ ยาลยั .

เวป็ ไซต์
Doubleenjoy. (ม.ป.ป.). มนตเ์ สน่หเ์ มอื งเก่า ณ กรุงย่างกงุ้ ดินแดนแหง่ ชวี ติ และสสี นั . สบื คน้ 3 กรกฎาคม 2564,

จาก https://www.doubleenjoy.com/Blogs/56/มนตเ์ สน่หเ์ มอื งเก่า ณ กรุงยา่ งกงุ้ ดนิ แดนแห่งชวี ติ และสสี นั /
Kapook! Health. (2560). อาหารคลนี (Clean Food) คืออะไร มาเริม่ ตน้ ทานอาหารเพอื่ สขุ ภาพ. สบื คน้ 1

กรกฎาคม 2564, จาก https://health.kapook.com/view92784.html
Posttoday. (2564). ควกั 7.5พนั ลา้ นเยยี วยาแรงงานรา้ นอาหารถูกปิด รฐั จ่ายใหอ้ กี คนละ2พนั . สบื คน้ 29 มถิ นุ ายน

2564, จาก https://www.posttoday.com/economy/news/656630
Posttoday. (2564). เพลงแรกจากประเทศไทย “GUYGEEGEE” และ “Sprite” พาเพลง #ทน ตดิ ชารต์ ระดบั โลก

Billboard. สบื คน้ 29 มถิ นุ ายน 2564, จาก https://www.posttoday.com/ent/news/653688
Khaosod online. (2564). โอละพ่อ! ครู เผย แมข่ อผ่อนแทบ็ เลต็ กเุ รือ่ งลูกคิดสนั้ แฉมหี ลกั ฐานเด็ด. สบื คน้

29 มถิ นุ ายน 2564, จาก https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6488403
Sanook. (2564). พมิ ฐาพน่ พษิ ! รา้ นอาหารดงั -คาเฟ่เชยี งใหมป่ ิดระนาว คนคา้ ขายหวนั่ กระทบเป็นลูกโซ่. สบื คน้

3 กรกฎาคม 2564, จาก https://www.sanook.com/news/8406398/
Sanook. (2564). เลขลา่ สุด! ธูปปู่ "แมน่ า้ หน่ึง" มาแลว้ 3 ตวั เนน้ ๆ ลนุ้ หวยงวด 1/7/64. สบื คน้ 30 มถิ นุ ายน 2564,

จาก https://www.sanook.com/news/8405418/
กชกร ศรสี ุข. (2560). ขา้ งหลงั ภาพ นพพร ตวั แทนแหง่ ความรกั อนั ฉาบฉวยของผูค้ นในปจั จุบนั . สบื คน้ 3 กรกฎาคม

2564, จาก http://www.praphansarn.com/home/content/1038

ห น้ า | 77

ประชาชาตธิ ุรกจิ ออนไลน.์ (2564). “โตเกยี ว” ยอดตดิ เช้อื โควดิ -19 พงุ่ ชาวญปี่ ่นุ จ่ออดดูโอลมิ ปิก. สบื คน้ 3 กรกฎาคม
2564, จาก https://www.prachachat.net/world-news/news-704978

ยตั ภิ งั ค์ - ธชั ชยั วงศก์ จิ รุ่งเรอื ง. (2560). ASMR แค่ฟงั กฟ็ ิน จริงหรือหลอก ?. สบื คน้ 4 กรกฎาคม 2564, จาก
https://www.sarakadee.com/2017/11/14/asmr/

สารคด.ี (2562). ผสี างเทวดา – ปกั ตะไคร.้ สบื คน้ 4 กรกฎาคม 2564, จาก
https://www.sarakadee.com/2019/05/29/ปกั ตะไคร-้ ผสี างเทวดา/

ห น้ า | 78


Click to View FlipBook Version