1. เลอื กข้อความ
2. คลกิ แทบ็ Home
3. ไปยงั กลุ่มคาสัง่ Paragraph
การตั้งค่าย่อหน้า/การเย้อื ง
1. คลกิ แทบ็ Home
2. ไปยังกลมุ่ คาสั่ง Paragraph แลว้ คลิก Dialog box
3. เลือก Indentation แล้วเลือกรูปแบบการเยอ้ื ง
4. คลิก OK
การสง่ั พิมพ์เอกสาร
คลิก แท็บ File > คลิกคาส่ัง Print > ตั้งค่าการพิมพ์รูปแบบตามที่
ต้องการ
1. พมิ พส์ ่วนทเี่ ลือก (ใสเ่ ลขหน้าทตี่ ้องการเช่น 2–5 หรือ 1, 3, 5)
2. พิมพ์ดา้ นเดียว/พิมพท์ ัง้ สองด้าน
3. ปรบั ขนาดกระดาษ (A4, Legal)
4. พิมพ์ เอกสารต่อหน้ากระดาษ (1 หน้าตอ่ หน้ากระดาษ, 2 หน้า
ต่อหนา้ กระดาษ
3
หากจะซ่อนข้อผิดพลาดคาท่ีสะกดผิดสามารถกาหนดได้ โดยคลิกแท็บไฟล์จากนั้นคลิกเลือกคาส่ัง ตัวเลือกของ Word และ
กาหนดค่า มขี น้ั ตอนดังน้ี
1. คลกิ แท็บ File
2. คลกิ เลือกคาสัง่ Option
3. คลิกเลือกคาส่ัง Proofing
4. ใส่เครื่องหมายถูก ท่ีคาส่ัง Hide spelling errors
in this document only
5. คลกิ OK
เอกสารท่ีตอ้ งการสง่ ต่อไปให้บคุ คลอ่ืน เป็นไฟล์ทต่ี อ้ งใชง้ านรว่ มกนั หลายคนนั้น กอ่ นส่งไปใหผ้ ูอ้ น่ื แก้ไขหรือใช้งาน ควรจะตอ้ ง
เปดิ โหมดติดตามการเปล่ียนแปลงก่อน เพ่อื ติดตามการแกไ้ ขขอ้ มูลในเอกสาร
ยอมรับการเปล่ียนแปลงที่ทาไว้ในเอกสารท้ังหมด
1. คลิกแทบ็ Review
2. เลือกคาส่ัง Accept
3. เลอื ก Accept All Changes
ยอมรบั การเปล่ียนแปลงเอกสาร
1. คลกิ แทบ็ Review
2. เลือกข้อความทตี่ ้องการยอมรับการแกไ้ ข
3. เลือกคาสั่ง Accept
4
ยกเลกิ /ปฏิเสธ การเปลีย่ นแปลงเอกสาร
1. คลกิ แทบ็ Review
2. เลอื กข้อความทตี่ อ้ งการยอมรบั การแกไ้ ข
3. เลือกคาสงั่ Reject
1. คลกิ ตาแหนง่ ที่จะแทรกรูปภาพ
2. คลิกแทบ็ Insert
3. เลือกคาสั่ง Pictures
4. เลอื กรปู ภาพทีต่ อ้ งการ
5. คลกิ ป่มุ Insert
แทรกตาราง
เป็นวธิ กี ารจัดขอ้ ความ ใหเ้ ปน็ ระเบียบไดอ้ กี วิธี เหมาะกับขอ้ มลู ที่ตอ้ งการแสดงผล ในรปู แบบคล้ายคอลมั น์ มขี ั้นตอนดังน้ี
1. คลิกแทบ็ Insert
2. เลอื กคาสัง่ Table
3. คลิกคาสง่ั Insert Table
4. พมิ พ์จานวนคอลมั นแ์ ละแถว
5. คลกิ ปุ่ม OK
5
แปลงขอ้ ความเปน็ ตาราง
1. เลือกข้อความ
2. คลิกแท็บ Insert
3. คลิกคาสั่ง Table
4. คาสงั่ Convert Text to Table
5. พมิ พ์จานวนคอลัมน์และแถว
6. คลกิ ปุ่ม OK
ขณะที่พมิ พ์ข้อความมาถึงจดุ สน้ิ สดุ ของหน้ากระดาษ จะมีการแทรกตัวแบ่งหน้าให้อตั โนมัติ หากผใู้ ชต้ ้องการแทรกตวั แบ่งหน้า
กอ่ นทจ่ี ะถงึ จุดส้ินสดุ ของหน้ากระดาษ ผ้ใู ชส้ ามารถเลือกตัวแบ่งหน้าได้ ในกรณที ผ่ี ู้ใชต้ ้องการแบ่งเอกสารออกเป็นส่วน ๆ ผใู้ ชส้ ามารถ
เลอื กตวั แบ่งส่วนได้ตามตอ้ งการ ซึ่งมีขั้นตอนดงั น้ี
1. คลกิ ตาแหนง่ ที่ต้องการจะขึ้นหน้าใหม่
2. คลกิ แท็บ Insert
3. คลิกเลือกคาสง่ั Page Break
เปล่ียนมุมมอง แสดงไม้บรรทัด
มมุ มองในการทางาน สามารถปรบั เปล่ียนไดต้ ามลกั ษณะของเนือ้ หา เพื่อใหเ้ หมาะสมกบั ลักษณะของงานท่ที า ซึ่งแตล่ ะมุมมอง
มปี ระโยชนใ์ นการใช้งานที่ต่างกันออกไป มขี ้นั ตอนดงั นี้
6
การจัดการข้อมลู ...........................................................................................................................................................1
การคัดลอกและการวางแบบพิเศษ ........................................................................................................................... 1
การจดั การแถวและคอลัมน์...........................................................................................................................................1
การลบแถว/คอลมั น์.................................................................................................................................................1
การเพม่ิ คอลมั น์/แถว ...............................................................................................................................................2
ตัง้ ค่าความสงู ของแถว และความกวา้ งของคอลมั น์........................................................................................................2
การปรบั ความกวา้ งคอลัมน์/ความสูงแถว.................................................................................................................2
การเรียงลาดบั และกรองขอ้ มลู เวริ ก์ ชีต.........................................................................................................................3
การเรยี งลาดบั ข้อมลู ................................................................................................................................................3
การกรองข้อมูล ........................................................................................................................................................ 3
การใชง้ านฟงั ก์ชนั สูตร และตวั ดาเนินการ ....................................................................................................................3
เครอื่ งหมายทางคณติ ศาสตร์....................................................................................................................................3
ลาดบั ความสาคัญในการทางาน ...............................................................................................................................4
ฟังกช์ ัน่ ในการคานวณ..............................................................................................................................................4
การทางานกับแผนภมู ใิ น Excel ....................................................................................................................................4
การสรา้ งแผนภมู ิ......................................................................................................................................................4
การเพมิ่ ปา้ ยช่อื ขอ้ มลู ลงในแผนภมู ิ ..........................................................................................................................4
การทางานกับตาราง Excel...........................................................................................................................................5
การจัดรูปแบบตาราง ...............................................................................................................................................5
การจัดรูปแบบเซลล์ ................................................................................................................................................. 5
การจัดการเซลล์ และขอ้ มูลท่ีอย่ใู นเซลล์ .......................................................................................................................5
การผสานเซลล์......................................................................................................................................................... 5
A
การทางานในสเปรดชตี
การพิมพ์ขอ้ มูลในแผน่ งานของโปรแกรม Excel จะแตกตา่ งกบั การพมิ พ์ข้อมูลลงในโปรแกรม Word เพราะในโปรแกรม Excel
จะมีพืน้ ทใี่ ช้พมิ พ์ข้อมูลเป็นช่องตารางเลก็ ๆ เรยี กวา่ เซลล์ ถา้ หากมกี ารพมิ พ์ข้อความยาวที่เกนิ ความกว้างของคอลมั น์ จะทาให้ขอ้ ความ
ไปแสดงในเซลล์ท่ีอยู่ข้างเคียงไปด้วย แต่ข้อความทั้งหมดที่พิมพ์ลงไปน้ันยังคงอยู่ในตาแหน่งเซลล์ท่ีเร่ิมต้นพิมพ์แค่เซลล์เดียว หาก
ต้องการแกไ้ ข ทาได้โดยผูใ้ ช้กลับไปแก้ไขท่ีตาแหน่งเซลลท์ ี่พมิ พ์ข้อมูลไว้
การคัดลอกและการวางแบบพิเศษ
1. คดั ลอกขอ้ มูล
2. คลกิ ขวาทต่ี าแหน่งทต่ี ้องการวาง
3. เลือกคาส่ัง Paste Special
4. เลอื กรปู แบบการวาง
การลบแถว/คอลัมน์
1. คลกิ ท่ี คอลมั น์/แถว ทต่ี ้องลบ
2. คลิกเลอื กคาส่งั Delete > เลอื กรปู แบบทต่ี อ้ งการลบ
1
การเพมิ่ คอลัมน์/แถว
1. คลกิ ท่ี คอลมั น์/แถว ท่ีตอ้ งเพ่ิม
2. คลิกเลอื กคาสั่ง Insert > เลอื ก Insert Sheet Rows / Insert Sheet Columns
การปรบั ความกว้างคอลมั น์/ความสูงแถว
ในการสรา้ งตารางขอ้ มูล จะพบวา่ ความกวา้ งของคอลัมน์จะมขี นาดที่เท่ากันหมด แต่บางคร้งั อาจกว้างเกินไป ในกรณที ี่ขอ้ มูล
ในคอลมั น์นนั้ มีนอ้ ย หรอื ข้อมลู มมี าก ขนาดความกวา้ งคอลัมน์ไม่พอในหนึ่งคอลมั น์ หากต้องมกี ารปรับเพ่มิ ความกว้าง
วิธีที่ 1
1. เลอื ก คอลัมน/์ แถว
2. ดบั เบิ้ลคลิกทีห่ วั คอลัมน์/แถว
จะไดข้ นาดความกว้างท่ีพอดีกับขอ้ ความ
วธิ ีที่ 2
1. เลอื ก คอลมั น/์ แถว
2. คลิกแทบ็ Home
3. คลิกเลือก Format
4. คลิก Row Height / Column Height
5. ใสค่ ่าตัวเลขทตี่ ้องการ
6. คลกิ OK
2
การเรียงลาดบั ข้อมลู
เนื่องจากข้อมูลในเอกสารมีจานวนหลายคอลัมน์ บางครั้งต้องการนาข้อมูลมาจัดเรยี งลาดับ เพ่ือให้สะดวกในการตรวจสอบ
เช่น ต้องการจดั เรียงลาดบั ของอตั ราเงินเดือน หรือจดั เรยี ง เพ่ือหารายละเอยี ดท่มี ากขนึ้ ในรายการของตารางน้นั มขี ้นั ตอนดังน้ี
1. คลกิ เซลล์ ทต่ี อ้ งการจดั เรยี ง
2. คลกิ แทบ็ Data
3. คลิกเลือกรูปแบบท่ตี ้องการเรียงลาดับ (A-Z, Z-A)
การกรองข้อมลู
ในกรณีท่ีมีขอ้ มลู ปรมิ าณมาก ๆ สามารถใช้ตัวกรองช่วยในการคน้ หาข้อมูลให้เหลือเฉพาะข้อมูลทต่ี ้องการ หรอื สบื ค้นขอ้ มูลได้
รวดเร็วย่งิ ข้ึน มขี ้ันตอนดงั นี้
1. คลิกเซลล์ ทตี่ อ้ งการกรอง
2. คลิกแทบ็ Data
3. คลกิ คาสั่ง Filter
4. คลิกปุ่ม Drop down
5. เลือกขอ้ มูลทีต่ อ้ งการกรอง
6. คลกิ ป่มุ OK
เครือ่ งหมายทางคณิตศาสตร์ ความหมาย (ตวั อยา่ ง)
ตัวดาเนินการเลขคณติ การบวก (5+40)
+ (เคร่ืองหมายบวก) การลบ (50-40)
- (เครอ่ื งหมายลบ) การคูณ (5*40)
* (เคร่อื งหมายดอกจัน) การหาร (5/40)
/ (เคร่ืองหมายทับ)
3
ลาดบั ความสาคัญในการทางาน รายละเอียด
ตัวดาเนินการ ตวั ดาเนนิ การอ้างองิ
() การคูณ และการหาร
* และ / การบวก และการลบ
+ และ -
ผลลัพธ์ท่ไี ด้
ฟังกช์ ั่นในการคานวณ หาผลรวมของข้อมูล (summary)
ชอื่ ฟงั กช์ ่นั การใช้งาน แสดงคา่ สูงสดุ ของขอ้ มูล (Maximum)
แสดงคา่ ต่าสุดของขอ้ มลู (Minimum)
SUM =SUM(number1, number2…) หาค่าเฉล่ียของขอ้ มลู
MAX =MAX(number1, number2…) นับจานวนรายการขอ้ มลู ท่เี ปน็ ตวั เลข
MIN =MIN(number1, number2…)
AVERAGE =AVERAGE(number1, number2…)
COUNT =COUNT(number1, number2…)
การสร้างแผนภูมิ
1. ลากคลุมกล่มุ ขอ้ มูล
2. คลกิ แทบ็ Insert
3. เลอื กชนิดแผนภมู ิ จากกลมุ่ คาสงั่ Charts
> เลอื กรปู แบบแผนภมู ิ
การเพม่ิ ป้ายชื่อข้อมลู ลงในแผนภูมิ
1. คลิกแผนภูมทิ ี่ต้องการปรับแต่ง
2. คลกิ Add Chart Element
3. คลิก Data Labels
4. เลือกรูปแบบการแสดงป้ายช่ือข้อมูล (Data
Labels)
4
การจดั รูปแบบตาราง
1. คลกิ แท็บ Home
2. คลิกเลือกคาส่งั จัดรปู แบบเป็นตาราง
> เลอื กรปู แบบตารางทีต่ อ้ งการ
3. เลือก/พมิ พ์ ชว่ งขอ้ มูล
4. ระบใุ หต้ ารางมสี ่วนหัวของตาราง
5. คลกิ OK
การจดั รูปแบบเซลล์
1. คลกิ แท็บ Home
2. เลอื กกลุ่มข้อมูล
3. เลือกคาสง่ั Cell Styles
> เลอื กชนดิ รปู แบบท่ตี ้องการ
การผสานเซลล์
1. เลือกข้อมูล
2. คลิกแท็บ Home
3. คลิกเลือกคาสัง่ Merage & Center
5
ลกั ษณะการใช้ฐานข้อมลู บนเวบ็ ไซต์ .............................................................................................................................1
ข้อมูล (Data)................................................................................................................................................................1
ความหมายของฐานข้อมลู .............................................................................................................................................1
ประโยชน์ของระบบจัดการฐานข้อมลู ......................................................................................................................2
ตัวอย่างโครงสร้างตาราง ............................................................................................................................................... 2
ฐานข้อมูลเชิงสมั พนั ธ์....................................................................................................................................................2
ความสัมพนั ธข์ องตาราง (Relationship) ......................................................................................................................2
ความสัมพันธ์แบบหนึ่งตอ่ หนึ่ง (One to One Relationship) ................................................................................2
ความสมั พนั ธ์แบบหน่ึงต่อกลุ่ม (One to Many Relationship)..............................................................................3
ความสัมพันธ์แบบกลุม่ ต่อกลุ่ม (Many to Many Relationship)............................................................................3
เมตาดาต้า (Metadata)................................................................................................................................................3
เมตาดาตา้ ทแี่ สดงในไฟล์..........................................................................................................................................3
ประโยชนจ์ ากการใชเ้ มตาดาต้า................................................................................................................................3
A
เข้าใจแนวคดิ ฐานข้อมูลเบื้องต้น
1. สว่ นของการคน้ หาข้อมูลบนเวบ็
2. สว่ นของการแสดงข้อมูลสินคา้
ตวั อักษร ตวั เลข หรือสญั ลกั ษณ์ต่าง ๆ ที่ใชแ้ ทนข้อเท็จจรงิ สงิ่ ใดสง่ิ หนึ่ง
• ข้อมลู ตัวเลข เช่น 0 1 2 3 -15 0.17189
• ขอ้ มูลตวั อักษร เชน่ ก ข นาย สทิ ธชิ ัย A B OK Digitals
• สัญลกั ษณ์ เชน่ £ ¥ ©
• อกั ขระ เชน่ 7 ๔ อ ฦ Z H
ตวั อย่างของข้อมูล เช่น หมายเลขนักเรียน รหสั ไปรษณีย์ คะแนนสอบ รายการหลักสูตร หมายเลขบตั รประชาชน
สารสนเทศ (Information) คือ การนาข้อมูลที่สนใจมาผ่านกระบวนการให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ เช่น ค่าเฉลี่ยความสูงของ
นกั กีฬา ซึ่งไดม้ าจาก คา่ ความสงู ของนักกฬี าแต่ละคน บวกรวมกันแลว้ หาร ด้วยจานวนนกั กีฬา
ฐานข้อมลู มาจากคา 2 คา คือ ขอ้ มลู (Data) หมายถึง ตวั อักษร ตวั เลข หรือสญั ลักษณ์ต่าง ๆ ที่ใชแ้ ทนขอ้ เทจ็ จริงสง่ิ ใดสง่ิ หนึ่ง
สว่ นคาวา่ ฐานข้อมูล (Database) หมายถึง กลุม่ ขอ้ มูลตา่ ง ๆ ทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ นั และนามาเกบ็ รวบรวมไว้ในท่ีเดียวกัน โดยมหี ัวเร่ือง
หรือจุดประสงค์อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้ภายหลงั เช่น การเก็บทะเบียนหนงั สอื การเก็บประวัตพิ นักงาน ฯลฯ
ฐานข้อมูลเหล่านี้อาจจะเก็บอยู่ในรูปของแฟ้ม หรือเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ก็ได้ ซึ่งสามารถนาไปประมวลผล หรือใช้งานต่าง ๆ ได้ตาม
ต้องการ
ข้อมูลท่ีอยู่ในฐานข้อมูลเดียวกันภายในแฟ้มเดียวกันจะมีการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วน ๆ เรียกว่า ตาราง ซ่ึงข้อมูลทุกอย่าง
ท่ีผู้ใช้ได้ทาการสรา้ งข้ึนจะตอ้ งถูกจัดเกบ็ ภายในตารางสามารถนาข้อมูลมาค้นหา ออกแบบสอบถาม สืบค้นเฉพาะข้อมูลท่ีตอ้ งการ หรือ
นามาออกรายงานเพ่ือทาการพิมพล์ งสกู่ ระดาษ หรือนาขอ้ มลู น้นั มาสรา้ งแบบฟอร์มเพื่อใหผ้ ู้ใชท้ าการกรอกขอ้ มลู ได้สะดวกมากข้ึน
1
ประโยชน์ของระบบจดั การฐานขอ้ มลู
• ลดความซา้ ซ้อนหรือขดั แย้งของขอ้ มูลได้
• การรกั ษาความถกู ต้องของข้อมูลได้
• มคี วามเป็นอสิ ระของขอ้ มูล
• สามารถใชข้ อ้ มลู รว่ มกันได้
• สามารถกาหนดระบบความปลอดภัยของขอ้ มลู โดยผา่ นรหสั
• สามารถกาหนดความเปน็ มาตรฐานเดยี วกนั ได้
เขตข้อมูล (Filed) คือ กล่มุ ของข้อมลู ซง่ึ ประกอบด้วย Item ท่เี ปน็ ข้อมูลในกลุ่มเดยี วกันตง้ั แต่ 1 Item ขึ้นไปมารวมกนั เชน่
กลุ่มของรายชอ่ื กลมุ่ ของที่อยู่ กลุ่มของเงินเดอื น
ระเบยี น (Record) คือ รายการขอ้ มูล ซง่ึ ประกอบไปดว้ ยเขตขอ้ มูลตงั้ แต่ 1 เขตขอ้ มูลข้นึ ไปมารวมกนั เช่น รายการทอ่ี ยู่ของ
พนกั งาน แตล่ ะคน หรอื รายละเอียดของหนังสือแต่ละเล่ม
โครงสร้างฐานข้อมูลท่ีนิยมใช้กันโดยส่วนใหญ่ ใช้หลักการรวบรวมข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกัน ซึ่งมองเห็นในรูปของตาราง สองมิติ
ประกอบด้วย แถว และคอลัมน์ ตัดกัน โดย
• ข้อมูลในแต่ละแถว เรยี กว่า ระเบยี น (Record) เป็นการนาเสนอกลมุ่ ของข้อมลู ท่มี คี วามสมั พนั ธ์กันหนึ่งรายการ
• ข้อมูลในแต่ละคอลมั น์ เรียกวา่ แอตทรบิ วิ ต์ (attribute) เปน็ การนาเสนอคณุ สมบตั ขิ องข้อมูลหนึ่งรายการ
• ในตารางหน่ึงอาจมีข้อมูลบางตัวท่ีมีความสัมพันธ์กับข้อมูลในตารางอ่ืนซ่ึงสามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันได้อย่าง
สะดวก
ความสัมพันธ์ แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คอื
ความสัมพันธ์แบบหนงึ่ ต่อหน่งึ (One to One Relationship)
เป็นความสัมพันธ์ท่ีอธิบายได้เห็นภาพชัดเจน โดยเป็นความสัมพันธ์ของข้อมูลใน 1 ระเบียน (Record) ของตาราง
หน่ึงท่ีมีความสมั พันธก์ ับข้อมลู 1 ระเบียนของอีกตารางหน่ึงดว้ ย ในลักษณะหน่ึงต่อหน่ึง เช่น นักศึกษา 1 คนเท่านั้นท่จี ะเปน็
ประธานนักศกึ ษา
2
ความสมั พนั ธ์แบบหนึง่ ต่อกลมุ่ (One to Many Relationship)
เป็นความสัมพันธ์ที่พบบ่อยในฐานข้อมูล โดยเป็นความสัมพันธ์ของข้อมูลใน 1 ระเบียนของตารางหน่ึงมี
ความสมั พนั ธ์กับขอ้ มลู มากกว่าหนึ่งข้อมลู กับอีกระเบยี น ในอกี ตารางหน่งึ เทา่ น้ัน ในลักษณะท่เี ป็นหน่ึงต่อกลุ่ม เช่น นักศึกษา
แต่ละคนสามารถลงทะเบียนเรยี นไดม้ ากกวา่ 1 วชิ า
ความสมั พนั ธแ์ บบกลุ่มตอ่ กลุม่ (Many to Many Relationship)
เป็นความสัมพนั ธ์ท่ีไม่คอ่ ยพบบ่อย โดยเปน็ ความสมั พนั ธข์ องข้อมลู ในระเบียนใด ๆ ของตารางหนึ่งมีคา่ ตรงกับขอ้ มลู
ของหลาย ๆ ระเบยี น ในตารางอื่น ๆ เช่น
• การสัง่ ซ้อื สินค้าในแต่ละครง้ั สามารถสง่ั ซอื้ สินคา้ ไดม้ ากกว่า 1 อยา่ ง
• ในรายวิชา 1 รายวิชาสามารถมีอาจารยส์ อนไดม้ ากกวา่ 1 คนข้นึ ไป
เมตาดาตา้ (metadata) หมายถงึ ขอ้ มลู ท่ีใช้กากบั และอธิบายขอ้ มูลหลกั หรอื ตวั อยา่ งเมตาดาต้าของไฟล์
กลุ่มของข้อมูลอน่ื ตัวอย่างเช่น บัตรในห้องสมุดสาหรบั สืบค้นหนังสือ จะมีข้อมูลเกย่ี วกบั รปู ภาพ
ชื่อหนังสือ และตาแหน่งของหนังสือ ที่ต้องการหา ซึ่ง หนังสือ เป็นข้อมูลที่ต้องการ และ
บัตร เปน็ ข้อมลู ทีอ่ ธิบายรายละเอียดของข้อมูลนน้ั
สรุปได้ว่า เมตาดาต้า ก็คือ ข้อมูลที่อธิบายรายละเอียดของข้อมูล หรือ
สารสนเทศน่ันเอง ท่ีสามารถบอกถึงความเป็นมาของข้อมูล เช่น ช่ือเจ้าของผลงาน ปีท่ี
สร้างผลงาน ชือ่ เรอื่ ง ฯลฯ
เมตาดาต้าที่แสดงในไฟล์
ข้อมูลที่แสดงของไฟล์รูปภาพในเคร่ืองคอมพิวเตอร์ จะระบุข้อมูลท่ีเกี่ยวกับ
ขนาดของไฟล์, ตาแหนง่ ท่ีจดั เกบ็ ไฟล์, วนั ทีม่ ีการเปลี่ยนแปลงขอ้ มูล เป็นตน้
ประโยชน์จากการใชเ้ มตาดาตา้
• สามารถใชอ้ ่านขอ้ มูล
• ชว่ ยในการจดั เรยี งขอ้ มูล
• ช่วยในการคน้ หาข้อมลู เฉพาะ
ข้อมูลทต่ี ้องการ
3
การใชอ้ ปุ กรณ์แสดงเสยี ง และวิดีโอ ..............................................................................................................................1
การขยายจอแสดงผลเป็นสองหนา้ จอ.......................................................................................................................1
ส่วนประกอบของแอพพลิเคชั่น PowerPoint 2016.....................................................................................................1
พมิ พง์ านเอกสาร...........................................................................................................................................................1
ตั้งคา่ การนาเสนอสไลด์ .................................................................................................................................................2
การเคลอ่ื นไหวของเนอ้ื หาสไลด์.....................................................................................................................................3
กาหนดคา่ เอฟเฟ็กต์แอนเิ มชัน .................................................................................................................................3
กาหนดการเคล่อื นไหวและเวลาในการเปลยี่ นสไลด์ .................................................................................................3
การแทรกรูปภาพบนสไลด์............................................................................................................................................. 4
การแทรกรูปภาพจากไฟล์ ........................................................................................................................................ 4
การแทรกรปู ภาพออนไลน์ .......................................................................................................................................4
การปรับแตง่ ขนาดรูปภาพบนสไลด์...............................................................................................................................5
เปล่ียนรปู แบบพืน้ หลังของสไลด์ ...................................................................................................................................5
การจดั การเคา้ โครงสไลด์ เปลี่ยนสไลดเ์ ปน็ เคา้ โครงอื่น..................................................................................................6
สรา้ งงานพรเี ซนต์เทชนั่ โดยนาเสนอสไลดแ์ บบกาหนดเอง............................................................................................7
การเพิ่มสไลด์ ................................................................................................................................................................7
การลบสไลด์.................................................................................................................................................................. 8
การยา้ ยตาแหน่งสไลด์...................................................................................................................................................8
A
การทางานในพรีเซนตเ์ ทชั่น
การขยายจอแสดงผลเป็นสองหนา้ จอ
1. คลิกขวาหน้า Desktop
2. คลิกเลอื ก Display settings
(การต้ังค่าการแสดงผล)
3. กล่มุ คาสงั่ Multiple displays (การ
แสดงผลหนา้ หน้าจอ)
เลือกรปู แบบการแสดงผล
4. เลือก Keep changes (บันทึกการ
เปลย่ี นแปลง)
เมื่อผู้ใช้ได้ทาการตั้งค่ากระดาษก่อนพิมพ์ และตรวจดูตัวอย่างก่อนพิมพ์เรียบร้อยแล้kว ผู้ใช้สามารถสั่งพิมพ์งานออกทาง
เครื่องพิมพ์ เพือ่ พมิ พ์คมู่ ือประกอบขณะนาเสนอ มขี ั้นตอนดงั น้ี
1. คลกิ แทบ็ ไฟล์ > เลอื กคาส่งั พิมพ์
2. เลอื กรูปแบบการพิมพ์
3. เลือกเค้าโครงเอกสารการพมิ พ์
4. เลอื กรปู แบบสเี อกสาร
* คลิกคาสัง่ Print เมือ่ ต้องการพมิ พเ์ อกสาร
1
การนาเสนองานในแต่ละคร้ังนั้น อาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันในการนาเสนอ ผู้ใช้สามารถกาหนดรูปแบบของการนาเสนอได้
เชน่ สไลด์มกี ารกาหนดการแสดงภาพเคล่อื นไหวไว้แลว้ หรือต้องการตัง้ ค่าอนื่ ๆ ให้เหมาะสมกบั การนาเสนอ มีข้ันตอนดงั น้ี
2
บนสไลดข์ องงานนาเสนอ ซงึ่ จะประกอบไปด้วยวัตถตุ ่าง ๆ ท่เี ป็นทง้ั ข้อความ รูปภาพ รูปทรง และแผนภมู ิ ซ่ึงวัตถุทัง้ หมด
สามารถนามาใส่คาส่งั ภาพเคลอ่ื นไหว เพือ่ ให้แสดงการเคลื่อนไหวออกมาไดอ้ ยา่ งนา่ สนใจ มีขน้ั ตอนดงั นี้
กาหนดคา่ เอฟเฟ็กต์แอนิเมชนั
การกาหนดทิศทางการเคลอ่ื นที่ และรปู แบบการแสดงผล (Effect Options)
กาหนดการเคลือ่ นไหวและเวลาในการเปล่ยี นสไลด์
ในขณะท่ีสไลด์ปัจจุบันกาลงั แสดงจบ และเปลยี่ นไปเป็นสไลดแ์ ผน่ ใหม่ หรือมีการเปลีย่ นแผน่ สไลดจ์ ากแผน่ หนึง่ ไปยงั อีกแผน่
หนึง่ สามารถกาหนดค่าการเคลือ่ นไหวให้กับแผน่ สไลด์ มีขัน้ ตอนดงั นี้
3
การแทรกภาพประเภทตา่ ง ๆ ลงบนสไลด์ ช่วยเสริมใหง้ านนาเสนอดูสวยงาม น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นภาพนง่ิ หรอื ภาพเคลอ่ื นไหว
โดยภาพเหลา่ น้ันสามารถสอ่ื ให้กลุ่มผู้ฟังเข้าใจ และสื่อความได้ง่ายข้ึนกว่าการอ่านข้อความบนสไลดเ์ พียงอย่างเดียว ทาให้การนาเสนอ
ประสบความสาเร็จตามเป้าหมายที่ตงั้ ไว้ ทง้ั นี้ภาพประกอบแตล่ ะประเภท สามารถปรบั แต่งแก้ไขไดด้ ว้ ยเครื่องมอื ท่ีมใี นโปรแกรม
การแทรกรปู ภาพจากไฟล์
การแทรกรูปภาพออนไลน์
4
เมื่อต้องการปรบั ขนาดภาพใหเ้ หมาะสมกบั การจัดวางบนสไลด์ สามารถทาได้ ดังนี้
กรณีต้องการกาหนดความกว้าง ความสูงของรูปภาพ ให้คลิกเลือกภาพท่ีต้องการ แล้วระบุค่าได้ที่ กลุ่มคาส่ัง Size บนแท็บ
Format ดงั รูป
พืน้ หลงั ของสไลด์ปกตจิ ะเป็นพน้ื สขี าวทาให้ดูแล้วเปน็ พน้ื สไลดท์ ่ีธรรมดา เมอ่ื ตอ้ งการใหง้ านนาเสนอมคี วามโดดเด่นขน้ึ ผู้ใชจ้ ึง
ควรตกแต่งพื้นสไลด์ให้สวยงาม และน่าสนใจมากย่ิงขึ้น รูปแบบสีพื้นหลังของสไลด์มีให้เลือกใช้ได้หลากหลาย เช่น การใส่สีพื้นทึบ
ใส่พื้นผิว หรือนารปู ภาพมาทาเปน็ พื้นหลัง กจ็ ะย่งิ ทาใหง้ านนาเสนอดูสวยงามน่าสนใจยิง่ ขน้ึ มีขั้นตอนดงั นี้
5
การเลอื กไฟล์รูปภาพมาสร้างเปน็ พ้นื หลงั คลกิ ทีค่ าส่งั File และกาหนดค่าต่าง ๆ ตามต้องการ
เคา้ โครงสไลด์ คือ ลกั ษณะการจัดวางองคป์ ระกอบของวตั ถภุ ายในแผ่นสไลด์แบบสาเร็จรูป เช่น เคา้ โครงสไลด์ท่ีมีแตข่ อ้ ความ
หัวเร่ืองอย่างเดียว มีหัวเรือ่ งกบั เนือ้ หา หรือวางเน้ือหาออกเป็น 2 คอลัมน์ ซ้าย-ขวา เป็นต้น ผู้ใช้สามารถเปล่ยี นเค้าโครงไดใ้ หม่ โดยไม่
ต้องเสียเวลาในการพมิ พ์ หรือแทรกวัตถุใหมอ่ ีกครงั้ มีขน้ั ตอนดงั น้ี
6
เป็นการแสดงเฉพาะสไลดท์ ี่ได้กาหนดไว้ เพื่อใช้ระยะเวลาในการทาใหง้ านนาเสนอเร็วข้ึน หรือเพื่อปรบั เน้อื หาในการนาเสนอ
ให้เหมาะสมกบั กลุ่มผฟู้ งั
เม่ือสร้างงานนาเสนอ หากมีการเพิ่มสไลด์ใหม่ โปรแกรม PowerPoint ก็จะปรากฏเค้าโครงสไลด์ในรูปแบบต่าง ๆ ให้เลือก
ใช้ได้เหมาะสมกับเนื้องาน โดยในแต่ละเค้าโครงน้ันจะมีรูปแบบเฉพาะในการจัดวางองค์ประกอบข้อมูลในสไลด์ เช่น ข้อความ รูปภาพ
กราฟ และตารางข้อมลู มีขนั้ ตอนดังนี้
7
การยา้ ยสไลด์ สามารถทาได้ทงั้ ในมมุ มองปกติ หรือมุมมองตัวเรยี งลาดบั สไลดก์ ไ็ ด้
8
ดาวน์โหลดและติดต้ังแอปพลิเคชัน่ บนเดสกท์ ็อป .........................................................................................................1
การดาวนโ์ หลด Dropbox .......................................................................................................................................1
วธิ ีสง่ั ซ้อื แอพพลิเคช่ันบนมือถือ.....................................................................................................................................1
แอปพลิเคชั่น สาหรบั สัง่ ซื้อแอปพลิเคช่นั ......................................................................................................................2
ลักษณะการใชง้ านของโปรแกรมต่าง ๆ .........................................................................................................................2
A
ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั
การใชแ้ อปพลเิ คชั่นและแพลตฟอรม์
การใชง้ านแอพพลิเคชั่น Dropbox
คือ แอพพลิเคช่ัน ที่ทาให้สามารถเช่ือมโยงเข้ากับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ได้ทุกเวลาในขณะท่ีกาลังออนไลน์อินเทอร์เน็ต โดย
เป็นบริการซิงก์ และฝากไฟล์ข้อมูลแบบออนไลน์ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถจัดเก็บและแบ่งปัน ไฟล์และโฟลเดอร์ร่วมกับคนอ่ืน หรือคนใน
องค์กรเข้ามาใช้งานดว้ ยกัน โดยสามารถเข้าถึงแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ เมื่อผู้ใช้งานได้ติดตง้ั Dropbox จะสร้างโฟลเดอร์ขึ้นมาในเครื่องคล้าย
การสร้างไดรฟ์ หนึ่งในการเกบ็ ข้อมูล แต่ถ้าต้องใช้งานคอมพวิ เตอร์ที่ไมส่ ะดวกตดิ ต้ังโปรแกรมไว้ สามารถเข้าถึงไฟล์ได้โดยการเขา้ ใช้ไฟล์
ผ่านเว็บไซต์ Dropbox โดยตรงซึ่งจะมีลกั ษณะคลา้ ย ๆ กับ Hotmail และ Gmail
การดาวน์โหลด Dropbox
1. คลิก Download
2. ทาการตดิ ตงั้ โปรแกรม
* หากติดตงั้ สมบูรณจ์ ะปรากฏหนา้ Sign Up ของโปรแกรม
1. คลิกเขา้ ไปที่ App Store/Play Store
2. ค้นหาแอพพลเิ คชน่ั ทตี่ อ้ งการ
3. คลกิ เลอื กแอพพลเิ คช่นั เพื่อทาการตดิ ตั้ง
4. ยืนยันการเข้าระบบ
5. คลิกเลือกส่งั ซือ้ แอพพลิเคช่ัน
6. คลิกเปิดการใช้งานแอพพลเิ คช่นั
1
• iPad Mini โปรแกรมทใี่ ชส้ ่ังซือ้ แอพพลิเคช่ันคอื App Store
• Surface Pro โปรแกรมทใี่ ชส้ ัง่ ซอ้ื แอพพลิเคช่ันคอื Windows Store
• Galaxy Tab โปรแกรมท่ีใช้สั่งซอ้ื แอพพลเิ คชั่นคอื Play Store
• Kindle Fire โปรแกรมที่ใช้ส่งั ซ้อื แอพพลิเคชนั่ คอื Amazon Appstore
• จดั พิมพ์เอกสาร, สรา้ งจดหมาย, บนั ทกึ ขอ้ ความ: Microsoft Word
• งานดา้ นการบัญช,ี การเงินส่วนบุคคล, การคานวณ (Calculate): Microsoft Excel
• การนาเสนองานสไลด์, นาเสนองาน (Presentation): Microsoft PowerPoint
• สรา้ งวิดีโอสาหรับงานนาเสนอ: Adobe Premiere Pro
• การคน้ ขอ้ มูลในอินเทอรเ์ นต็ (Search Internet): Browser (Internet Explorer, Google Chrome)
• ใชใ้ นการแกไ้ ขรปู ภาพ: Adobe Photoshop
• ใช้สร้างหนังสืออิเล็กทรอนกิ ส์ (E–Book): Microsoft Word, Adobe InDesign, Adobe Acrobat Pro
2
ไฟล์กราฟกิ ....................................................................................................................................................................1
แทรกรูปภาพจากคอมพิวเตอร์ ลงในเอกสาร office .....................................................................................................1
บันทึกรูปภาพจากเวบ็ ลงในเอกสาร office ..................................................................................................................2
จัดรูปแบบภาพบนสไลดโ์ ดยครอบตดั ภาพ.....................................................................................................................2
จดั รูปแบบภาพบนสไลด์โดยครอบตัดตามรปู ร่าง...........................................................................................................3
เครื่องมือจับภาพหน้าจอของ Microsoft.......................................................................................................................3
A
การแกไ้ ขงานกราฟกิ
ประเภทของไฟลก์ ราฟฟกิ มี 2 ประเภท
1. ภาพบิตแมพ (Bitmap) หรือภาพแรสเตอร์ (Raster)
เช่น ไฟล์ BMP, TIFF, GIF, JPG, PNG เกดิ จากการนาเอา
จุดสเี ล็กๆ ทเี่ รียกวา่ พิกเซล (Pixel) หลายๆ จุดมารวมกัน
เพ่ือให้เกิดภาพ ซ่ึงจะมีความกว้างยาว X pixel และ Y
pixel และความลึกคือ Z pixel (Z pixel คือ ค่าความลึก
ของสี : Color Depth) ไฟล์ Raster มีรูปแบบและวัตถุประสงค์ในการใช้งานแตกต่างกันไป ซ่ึงเราควรจะนามาใช้ให้
เหมาะสม
2. ภาพเวคเตอร์ (Vector) เช่น ไฟล์ PS, EPS, AI, SWF
คือ ไฟล์กราฟฟิกที่เกิดจาก ผลคานวณทางคณิตศาสตร์เพ่ือให้
เกิดภาพ หรือเรียกไฟล์ชนิดนี้ได้อีกอย่างหน่ึงว่า ไฟล์ประเภท
"postscript" ไฟล์ชนิดน้ีบางประเภทก็ยังสามารถเก็บภาพ
bitmap เอาไว้ในตัวได้อีกด้วย ส่วนใหญ่แล้ว ไฟล์ประเภท
Vector นีจ้ ะถูกแบง่ แยกโดยโปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ในการแก้ไข
ไฟล์นนั้ ๆ ไฟล์ประเภท Vector ทใ่ี ชก้ บั งานสอื่ สิ่งพมิ พ์นั้น จะสามารถสร้างไฟล์แยกสีชนิด 5 สี โดย 4 แรก คอื CMYK
และสสี ุดทา้ ยจะเป็นขอ้ มูลของการจดั ตาแหน่งไฟลแ์ ยกสี 5 สี ที่เรียกว่า DCS (Digital Color Separation)
การแทรกภาพจากเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ลงในเอกสาร office สามารถทาได้ 3 วธิ ี ดังน้ี
1. ใช้วิธแี ทรกรูปภาพจากไฟล์ Insert Pictures
2. ใชว้ ธิ ีแทรกรูปภาพออนไลน์ Insert Online Pictures
3. ใชว้ ิธคี ลกิ เมาสล์ ากไปวางในเอกสาร
1
รายละเอยี ดข้นั ตอน ดังน้ี
1. บันทกึ รปู ภาพทต่ี ้องการจากเว็บ
2. คลิกตาแหน่งทต่ี อ้ งการวางรปู ภาพบนเอกสาร
3. คลกิ แทบ็ Insert เลอื กคาสงั่ Pictures
4. ค้นหาไฟลร์ ปู ภาพทบ่ี นั ทกึ ไว้
5. ดับเบ้ลิ คลกิ ที่ไฟลร์ ูปภาพ
การตัดบางองค์ประกอบท่ีไม่สาคัญของรูปภาพออก เพื่อปรับแต่งให้ภาพดูสวยงาม เหมาะสม ส่ือความได้ชัดเจนข้ึน โดยใช้
คาสั่งครอบตดั (Crop) ท่ีกลุ่มคาสงั่ Size บนแทบ็ Format สามารถทาได้ ดังน้ี
2
เครื่องมือจับภาพหน้าจอ (Snipping Tool) ของ Microsoft มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการบันทึกภาพหน้าจอ โดยมี
ความสามารถในการจับภาพดงั นี้
• บนั ทึกทง้ั หน้าต่าง (Window Snip)
• บนั ทึกแบบเตม็ จอ (Full-screen Snip)
• บันทึกบางส่วนของหนา้ จอ แบบสี่เหล่ยี ม (Rectangular Snip)
• บันทกึ แบบอิสระ (Free-from Snip)
• หนว่ งเวลาการจบั ภาพ (Delay) ใชเ้ พ่อื บนั ทึกหน้าจอทีม่ เี มนยู ่อยท่ตี ้องคลิกเมาส์
นอกจากนี้อาจจะสามารถใช้ Print Screen บนแป้นพมิ พ์ (keyboard) ได้เช่นเดียวกนั โดยคยี บ์ อรด์ บางรุ่นอาจจะเป็นปุ่ม ชื่อ
PrtScn, PrntScrn หรอื Print Sc
3
สารบญั
แนวคดิ อนิ เทอรเ์ นต็ ............................................................................................................................................... 1
อนิ เทอร์เนต็ .......................................................................................................................................................... 1
คลาวดค์ อมพิวตง้ิ ................................................................................................................................................... 1
ประเภทของบริการคลาวด์คอมพวิ ติง้ ............................................................................................................... 1
ผู้ใหบ้ ริการอินเทอร์เนต็ ......................................................................................................................................... 2
โปรโตคอลการรบั สง่ ข้อมลู ..................................................................................................................................... 2
เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ ........................................................................................................................................... 3
ชนิดของเครือข่าย.................................................................................................................................................. 3
เวบ็ เพจ.................................................................................................................................................................. 4
เวบ็ ไซต์.................................................................................................................................................................. 4
การใชง้ านเว็บบราวเซอร์....................................................................................................................................... 4
เว็บบราวเซอร์.................................................................................................................................................. 4
ประโยชน์ของเว็บบราวเซอร์ ............................................................................................................................ 5
การใชง้ าน Google Chrome.......................................................................................................................... 5
ส่วนประกอบของโปรแกรม Google Chrome................................................................................................ 5
การใช้งาน Google Chrome................................................................................................................................ 6
รูปแบบของภัยคกุ คาม........................................................................................................................................... 7
การป้องกนั ภัยคุกคาม...................................................................................................................................... 8
คานิยามเกี่ยวกับภาษาเขยี นเว็บเพจ...................................................................................................................... 9
โครงสรา้ งหน้าเวบ็ HTML ..................................................................................................................................... 9
CSS (Cascading Style Sheets)........................................................................................................................10
ขนาดของไฟล์...................................................................................................................................................... 10
A
แนวคดิ อนิ เทอร์เน็ต
อนิ เทอรเ์ น็ต
อินเทอร์เน็ต (Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายทั่วโลก
โดยภาษาท่ีใช้ส่ือสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ท่ีเรียกว่า โปรโตคอล (Protocol) ผู้ใช้เครือข่ายน้ีสามารถส่ือสารถึงกันได้ในหลาย ๆ ทาง
อาทิ อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมลู และขา่ วสารตา่ ง ๆ รวมท้งั คดั ลอกแฟ้มขอ้ มูล และโปรแกรมมาใชไ้ ด้
คลาวด์คอมพวิ ต้งิ
คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เป็น
บริการหนึ่งบนอินเทอร์เน็ต หลายคนอาจจะนึกถึงแค่
บริการพ้ืนที่ฝากไฟล์บนอินเทอร์เน็ต อย่าง iCloud บน
iPhone, iPad ห รื อ Google Drive บ น Android ห รื อ
OneDrive บนมือถือ Windows Phone ซึ่งสิ่งเหล่าน้ี คือ
บริการ Cloud Storage อันเป็นบริการ Cloud ประเภท
หนง่ึ เทา่ นนั้
คลาวด์คอมพิวติ้ง คือบริการที่ครอบคลุมถึงการ
ใชก้ าลังประมวลผล หน่วยจดั เก็บขอ้ มลู และระบบออนไลน์
ต่าง ๆ จากผู้ให้บริการ เพื่อลดความยุ่งยากในการติดตั้ง
ดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลา และลดต้นทุนในการสร้าง
ระบบคอมพวิ เตอร์ และเครือขา่ ยเอง ซง่ึ มที ั้งแบบบรกิ ารฟรี
และแบบเก็บเงิน
ประเภทของบริการคลาวดค์ อมพวิ ตง้ิ
บรกิ ารคลาวดค์ อมพวิ ติ้ง มรี ูปแบบหลัก ๆ 3 รปู แบบ ดงั นี้
Software as a Service (SaaS)
เป็นการใช้ หรือเช่าบริการซอฟตแ์ วร์ หรือแอพพลิเคช่ัน ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยประมวลผลบนระบบของผู้ให้บริการ ทาให้ไม่ต้อง
ลงทนุ ในการสร้างระบบคอมพวิ เตอร์ ฮารด์ แวร์ ซอฟต์แวร์เอง ไมต่ ้องกังวลเรือ่ งค่าใช้จา่ ยในการดแู ลระบบ เพราะซอฟต์แวรจ์ ะถูกเรยี กใช้งาน
ผา่ นระบบ Cloud จากทีใ่ ดกไ็ ด้ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
บรกิ าร Software as a Service ที่ใกล้ตวั มากทสื่ ดุ คือ Gmail นอกจากนน้ั ยังมี Google Docs หรือ Google Apps ท่ีเปน็ รูปแบบ
ของการใช้งานซอฟต์แวร์ผ่านเว็บบราวเซอร์ สามารถใช้งานเอกสาร คานวณ และสร้างงานนาเสนอ โดยไม่ต้องติดต้ั งซอฟต์แวร์บนเคร่ือง
แถมใช้งานบนเครื่องใดก็ได้ สถานที่ใดก็ได้ แชร์งานร่วมกันกับผู้อ่ืนทาได้ง่ายข้ึน ซ่ึงการประมวลผลจะทาบน Server ของ Google
จงึ ไมจ่ าเป็นตอ้ งใช้เครอ่ื งคอมพวิ เตอรท์ ่ีมีกาลงั ประมวลผลสูง หรือพ้นื ที่เก็บข้อมูลมาก ๆ ในการทางาน
Platform as a Service (PaaS)
การพัฒนาแอพพลิเคช่ันที่ค่อนข้างซับซ้อนบนเซิร์ฟเวอร์ หรือ Mobile application ที่มีการประมวลผลทางานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์
ผ้ใู ช้ตอ้ งติดต้ังเซิรฟ์ เวอร์ เชือ่ มตอ่ ระบบเครือข่าย และสรา้ งสภาพแวดล้อม เพอื่ ทดสอบระบบประมวลผลซอฟต์แวร์ และแอพพลิเคชั่น เช่น
ติดตั้งระบบฐานข้อมลู Web server , Runtime , Software Library , Frameworks ต่าง ๆ เปน็ ตน้ จากนน้ั อาจยงั ตอ้ งเขียนโคด้ อีก
จานวนมาก
1
บริการ PaaS ผ้ใู ห้บรกิ ารจะเตรียมพื้นฐานท้ัง Hardware, Software และชดุ คาส่งั ซึง่ เรียกรวม ๆ ว่า Platform ไว้ใหผ้ ูใ้ ช้บริการ
ซ่ึงช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถลดต้นทุน และระยะเวลาในการพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น Google App Engine,
Microsoft Azure
Infrastructure as a Service (IaaS)
เป็นบริการให้ใช้โครงสร้างพ้ืนฐานทางคอมพิวเตอร์ อาทิเช่น หน่วย
ประมวลผล ระบบจัดเก็บข้อมูล ระบบเครือข่าย ในรูปแบบระบบเสมือน
(Virtualization) มีข้อดีคือ องค์กรไม่ต้องลงทุนส่ิงเหล่าน้ี ยืดหยุ่นในการ
ปรับเปล่ียนโครงสร้างระบบไอทีขององค์กรในทุกรูปแบบ สามารถขยายได้ง่าย
ขยายได้ตามความเติบโตขององค์กรได้ และที่สาคัญคือ ลดความยุ่งยากในการ
ดแู ล เพราะหน้าทใี่ นการดูแลจะอย่ทู ่ีผูใ้ ห้บรกิ าร
ตัวอย่างเช่น บริการ Cloud storage อย่าง DropBox ซ่ึงให้บริการ
พื้นที่เก็บข้อมูล นอกจากนี้ยังมีบริการให้เช่ากาลังประมวลผล บริการให้เช่า
เซิรฟ์ เวอร์เสมอื น เพอื่ ใช้ติดต้งั และประมวลผลแอพพลเิ คชนั่ ใด ๆ ตามทีต่ ้องการ
ได้ อาทเิ ช่น Web Application หรือ Software เฉพาะด้านขององคก์ ร เปน็ ต้น
ผ้ใู หบ้ รกิ ารอินเทอรเ์ นต็
ผูใ้ หบ้ รกิ ารอินเทอรเ์ นต็ (ISP) คอื บริษทั ทีใ่ หบ้ รกิ ารอนิ เทอร์เนต็ ISP ยอ่ มาจากคาวา่ Internet Service Provider เปน็ หน่วยงาน
ที่บริการให้เช่ือมต่อเคร่ืองคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของบริษัท เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตท่ัวโลก ในปัจจุ บัน
ประเทศไทยมผี ู้ใหบ้ รกิ ารอินเทอรเ์ น็ตอยู่ดว้ ยกัน 2 ประเภท คือ หนว่ ยงานราชการ หรือสถาบนั การศกึ ษา กับบริษัทผูใ้ ห้บริการอินเทอร์เน็ต
เชิงพาณชิ ย์ทวั่ ไป
โปรโตคอลการรบั ส่งขอ้ มูล
เอฟทีพี (FTP)
FTP ยอ่ มาจาก File Transfer Protocol ซ่งึ เป็นโปรโตคอลหนง่ึ ในเครือข่ายท่ีมหี น้าทใี่ นการส่งถ่ายข้อมูลต่าง ๆ ผา่ นอนิ เทอร์เน็ต
ซง่ึ การส่งข้อมูลต่าง ๆ ผา่ น FTP มีหนา้ ที่หลกั ๆ ในการส่งถา่ ยข้อมูลจากเคร่ืองหนง่ึ ไปยงั อีกเคร่ืองหน่ึงโดยผ่านระบบเซริ ์ฟเวอร์ โดยการใช้
งาน FTP นี้ ต้องสร้างช่องทางสื่อสารในระดบั TCP ออกมา 2 ช่องทางก่อน คือ ช่องทางรับ และส่งข้อมูล อีกหน่ึงช่องทาง คือ ช่องทางใน
การรบั คาส่ังจากผใู้ ช้งาน ก่อนท่จี ะโอนถา่ ยข้อมูลนัน้ จะต้องใส่ชื่อผใู้ ช้ และรหสั ผา่ นใหก้ ับ Server กอ่ น หลังจากน้นั ถงึ จะเห็นโฟลเดอรต์ ่าง ๆ
ที่ถูกเกบ็ ไวไ้ ด้
เอชทีทีพี (HTTP)
HTTP ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol คือ โปรโตคอลส่ือสารสาหรับการแลกเปลี่ยนสารสนเทศผ่านอินเทอรเ์ น็ต โดย
หลักแล้วใชใ้ นการรับเอกสารข้อความหลายมิติท่ีนาไปสู่การเช่ือมต่อกบั World Wide Web (WWW) จะใช้เมอ่ื เรยี กโปรแกรมเวบ็ บราวเซอร์
เช่น Firefox, Google Chrome, Safari, Opera และ Internet Explorer เรียกดขู อ้ มลู หรอื เวบ็ เพจ โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ดังกล่าวจะใช้
โปรโตคอล HTTP ซึ่งโปรโตคอลนี้ทาให้เซิร์ฟเวอร์ส่งข้อมูลมาให้เว็บบราวเซอร์ตามต้องการ และเว็บบราวเซอร์จะนาข้อมูลมาแสดงผลบน
จอภาพไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
เอชทีทีพเี อส (HTTPS)
HTTPS (HTTP Secure หรือ HTTP over SSL) โดย HTTP over SSL ยอ่ มาจาก Hypertext Transfer Protocol over Secure
Socket Layer คือโปรโตคอลที่ระบุถึงการเช่ือมต่อแบบ Secure http โปรโตคอล HTTPS สร้างเพ่ือความปลอดภัยในการสื่อสารผ่าน
อินเทอร์เน็ตข้อมูลท่ีทาการสง่ จะถกู เขา้ รหสั เอาไว้ โดยใช้ Asymmetric Algorithm ถ้าถูกดักจับได้ก็ไม่สามารถทจ่ี ะอ่านข้อมูลนั้นได้รู้เรอื่ ง
2
โดยขอ้ มลู นั้น จะสามารถอา่ นได้เข้าใจเฉพาะไคลเอนต์กบั เคร่ืองเซิรฟ์ เวอร์เทา่ น้นั นิยมใช้กบั เวบ็ ไซต์ท่ีตอ้ งการความปลอดภยั สงู เชน่ เว็บไซต์
ของธนาคาร ร้านคา้ ออนไลน์ เป็นต้น
ทซี ีพี/ไอพี (TCP/IP)
TCP ย่อมาจากคาว่า Transmission Control Protocol
IP ยอ่ มาจากคาว่า Internet Protocol
TCP/IP คือ ชุดของโปรโตคอลท่ีถูกใช้ในการส่ือสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้สามารถใช้ส่ือสาร
จากตน้ ทางขา้ มเครือขา่ ยไปยงั ปลายทางได้ และสามารถหาเส้นทางที่จะสง่ ขอ้ มูลไปไดเ้ องโดยอตั โนมัติ
การท่ีเคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีถูกเช่ือมโยงกันไว้ในระบบ จะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้น้ัน จาเป็นจะต้องมีภาษาสื่อสารท่ีเรียกว่า
โปรโตคอล (Protocol) ซึ่งในระบบอินเทอร์เน็ตจะใช้ภาษาส่ือสารมาตรฐานที่ช่ือว่า TCP/IP เป็นภาษาหลัก ดังน้ันหากเครื่องคอมพิวเตอร์
ไมว่ า่ จะเป็นเครือ่ งระดบั ไมโครคอมพิวเตอร์ มนิ คิ อมพิวเตอร์ หรอื เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ จึงจะสามารถเชือ่ มโยงเขา้ สอู่ นิ เทอร์เน็ตได้
TCP และ IP มีหน้าท่ตี ่างกนั คอื
1. TCP จะทาหน้าท่ีในการแยกข้อมูลเป็นส่วน ๆ หรือที่เรียกว่า แพ็คเกต ส่งออกไป ส่วน TCP ปลายทาง จะทาการรวบรวม
ข้อมูลแต่ละส่วนเขา้ ด้วยกัน เพ่ือนาไปประมวลผลต่อไป โดยระหว่างการรบั ส่งข้อมูลน้ันจะมีการตรวจสอบความถูกตอ้ งของ
ขอ้ มูลด้วย ถ้าเกิดผิดพลาด TCP ปลายทางจะขอไปยงั TCP ต้นทางให้ส่งข้อมูลมาใหม่
2. IP จะทาหนา้ ทใ่ี นการจัดสง่ ขอ้ มูลจากเครื่องตน้ ทางไปยงั เครอื่ งปลายทางโดยอาศยั IP Address เช่น 192.182.150.24
รูปแบบของไฟล์สาหรับเว็บเรียกว่า เอชทีเอ็มแอล (HTML) และสนับสนุนไฟล์รูปแบบอื่น ๆ เช่น รูปภาพ (JPG, GIF, PNG) หรือ
เสียง เป็นตน้
เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือระบบเน็ตเวิร์ก คือ กลุ่มของคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ถูกนามาเช่ือมต่อกันเพื่อให้ผู้ใช้ใน
เครือข่ายสามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ในเครือข่ายร่วมกันได้ เครือข่ายน้ันมีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็ก
ที่เช่ือมต่อกันด้วยคอมพิวเตอร์เพียง 2–3 เครื่อง เพื่อใช้งานในบ้านหรือในบริษัทเล็ก ๆ ไปจนถึงเครือข่ายขนาดใหญ่ท่ีเช่ือมต่อกันทั่วโลก
เป็นท่ีรู้จักกันดีในนาม “อินเทอร์เน็ต” ข้อดีของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างหนึ่ง คือ การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรร่วมกัน เช่น
การใชเ้ ครอ่ื งพิมพ์ร่วมกัน กลา่ วคอื มีเครือ่ งพิมพเ์ พยี งเครื่องเดยี ว ทกุ คนในเครือข่ายสามารถใชเ้ คร่ืองพมิ พ์นี้ได้ ทาให้สะดวก และประหยัด
ค่าใช้จ่าย เพราะไม่ต้องลงทุนซอ้ื เคร่ืองพมิ พ์หลายเคร่อื ง นอกเสยี จากจะเปน็ เครอื่ งพมิ พค์ นละประเภท
ชนดิ ของเครือข่าย
ระบบเครือขา่ ยจะถกู แบง่ ออกตามขนาดของเครอื ขา่ ย ซึ่งปจั จบุ นั เครอื ข่ายทีร่ จู้ กั กนั ดีมีอยู่ 6 แบบ ไดแ้ ก่
1. เครือขา่ ยภายใน หรอื แลน (LAN: Local Area Network) เปน็ เครอื ข่ายทใ่ี ชใ้ นการเช่ือมโยงกัน ในพืน้ ทใ่ี กล้เคียงกัน เช่น อยูใ่ น
ห้อง หรอื ภายในอาคารเดียวกนั
2. เครือขา่ ยวงกว้าง หรอื แวน (WAN: Wide Area Network) เป็นเครือขา่ ยทีใ่ ช้ในการเช่ือมโยงกัน ในระยะทางทีห่ ่างไกล อาจจะ
เป็นหลาย ๆ กิโลเมตร หรอื ครอบคลุมทวั่ โลก
3. เครอื ขา่ ยงานบรเิ วณนครหลวง หรือแมน (MAN: Metropolitan Area Network) เปน็ เครอื ขา่ ยที่มกี ารเชื่อมต่อเครือข่าย LAN
เขา้ ไวด้ ว้ ยกัน ซ่งึ ครอบคลมุ พื้นท่ีกว้างกวา่ เครือข่าย LAN โดยครอบคลุมระดบั เมืองหรือจังหวดั ซึ่งจาเป็นต้องมีแบคโบน (Backbone) ที่ทา
หนา้ ทเี่ ป็นสายหลกั ในการเช่อื มตอ่ เครือข่ายดงั กล่าว
3
4. เครือข่ายของการติดตอ่ ระหว่างไมโครคอนโทรลเลอร์ หรอื แคน (CAN: Controller Area Network) เปน็ เครอื ข่ายที่ใชต้ ิดต่อกัน
ระหวา่ งไมโครคอนโทรลเลอร์ (MCU: Micro Controller unit)
5. เครือข่ายส่วนบุคคล หรือแพน (PAN: Personal Area
Network) เป็นเครือข่ายระหว่างอุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนบุคคล เช่น
โนต้ บุ๊ก มอื ถอื อาจมสี ายหรอื ไรส้ ายก็ได้
6. เครือข่ายข้อมูล หรอื แซน (SAN: Storage Area
Network) เปน็ เครอื ข่าย หรอื เครอื ขา่ ยยอ่ ย ความเรว็ สูงวัตถุประสงค์
เฉพาะท่เี ช่อื มต่อภายในกบั อปุ กรณจ์ ดั เก็บข้อมลู ชนดิ ต่างกันด้วย
แม่ขา่ ยขอ้ มลู สมั พันธ์กนั บนตัวแทนเครือข่ายขนาดใหญ่ของผู้ใช้
เวบ็ เพจ
เวบ็ เพจ (Webpage) หรอื เรยี กว่า หน้าเวบ็ คอื เอกสารเวบ็ ชนดิ หนึง่ เหมาะสาหรับเวิลดไ์ วดเ์ วบ็ และเว็บบราวเซอร์ เว็บบราวเซอร์
จะแสดงเว็บเพจบนจอคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เคล่ือนท่ีเว็บเพจ และยังหมายถึง แฟ้มคอมพิวเตอร์ที่มักจะเขียนเป็น HTML หรือภาษา
มาร์กอัปท่เี ทยี บเคียงได้ ซ่ึงมลี กั ษณะเด่นอันเป็นหลักคือ การที่ข้อความเช่ือมโยงไปสู่เวบ็ เพจอ่ืนผ่านทางลิงก์ เว็บบราวเซอร์จะประสานงาน
กับทรัพยากรเวบ็ ทอี่ ยูโ่ ดยรอบเว็บเพจที่เขยี น อาทิ สไตล์ชีต (CSS) สคริปต์ (Script) และรูปภาพ เพอ่ื นาเสนอเว็บเพจนน้ั
HTML คอื ภาษาหลักทใี่ ชใ้ นการเขียนเวบ็ เพจ โดยใช้ Tag ในการกาหนดการแสดงผล เชน่ <html>… </html>
CSS คือ สไตล์ชีตที่ใช้กาหนดการจัดรูปแบบหน้าตาของเว็บเพจ สามารถใช้กาหนดรูปแบบตัวอักษร สี ฉากหลัง และอ่ืน ๆ
ทแ่ี สดงบนหน้าเวบ็ ไชตท์ งั้ หมดได้
เวบ็ ไซต์
เว็บไซต์ (Website) หมายถึง หน้าเว็บเพจหลายหน้า ซ่ึงเชื่อมโยงกันผ่านทางไฮเปอร์ลิงก์ ส่วนใหญ่จัดทาขึ้นเพ่ือนาเสนอข้อมูล
ผ่านคอมพิวเตอร์ โดยถูกจัดเก็บไว้ในเวิลด์ไวด์เว็บ หน้าแรกของเว็บไซต์เรียกว่า โฮมเพจ เว็บไซต์โดยท่ัวไปจะให้บริการต่อผู้ใช้ฟรี แต่ใน
ขณะเดียวกันบางเว็บไซต์จาเป็นต้องมีการสมัครสมาชิก และเสียค่าบริการเพื่อท่ีจะดูข้อมูลในเว็บไซต์น้ัน ซึ่งได้แก่ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูล
ตลาดหลักทรัพย์ หรือข้อมูลส่ือต่าง ๆ ผู้ทาเว็บไซต์มีหลากหลายระดับ ตั้งแต่สร้างเว็บไซต์ส่วนตัว จนถึงระดับเว็บไซต์สาหรับธุรกิจ หรือ
องคก์ รต่าง ๆ การเรยี กดูเว็บไซตโ์ ดยทวั่ ไปนิยมเรยี กดผู ่านซอฟตแ์ วร์ในลักษณะของเว็บบราวเซอร์
การใชง้ านเว็บบราวเซอร์
เวบ็ บราวเซอร์
เว็บบราวเซอร์ หรือโปรแกรมเรียกดูเว็บเพจ คือ โปรแกรมสาเร็จรูปท่ีผู้ใช้สามารถใช้งานสื่อสารผ่านหน้าเว็บเพจท่ีสร้างข้ึนจาก
ภาษาคอมพวิ เตอร์อย่าง HTML โดยขอ้ มลู ของเวบ็ เพจแตล่ ะเวบ็ เพจจะถูกเกบ็ ไวใ้ นเซริ ์ฟเวอร์ เมื่อผู้ใช้งานเข้าเวบ็ บราวเซอรพ์ ร้อมทัง้ ใส่ที่อยู่
URL ลงไปในเว็บบราวเซอร์ เวบ็ บราวเซอร์จะค้นหาที่อยเู่ ว็บนั้นในเซริ ์ฟเวอร์ท่มี ีการเก็บข้อมลู ของเวบ็ เพจเหล่านั้น ซง่ึ การเชื่อมต่อดังกล่าว
เป็นการเชื่อมต่อกับโครงข่ายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยเรียกโครงข่ายนี้ว่า เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) หรือเรียกโดยย่อว่า
“WWW” และ “W3”
เวบ็ บราวเซอร์จะเช่ือมโยงกับเวบ็ เซริ ์ฟเวอรผ์ ่านมาตรฐาน หรอื โปรโตคอลการรับส่งข้อมูลแบบ HTTP ในการสง่ หนา้ เว็บไซต์ หรอื
เวบ็ เพจ ปจั จุบัน HTTP รนุ่ ล่าสดุ คอื 1.1 ซง่ึ สนบั สนนุ โดยโปรแกรมค้นดเู วบ็ ทว่ั ไป
4
ที่อยู่ของเว็บเพจเรียกว่า ยูอาร์แอล (URL) ซึ่งรูปแบบมักจะเริ่มต้นด้วยคาว่า
http:// สาหรับการติดต่อแบบ HTTP เว็บบราวเซอร์ส่วนมากสนับสนุนการเชื่อมต่อ
รูปแบบอ่ืนนอกจากนี้ เช่น ftp:// สาหรบั เอฟทีพี (FTP) และ https:// สาหรับเอชทีทีพี
แบบสนับสนนุ การเขา้ รหัสขอ้ มลู เพื่อความปลอดภัย เปน็ ตน้
ประโยชนข์ องเว็บบราวเซอร์
เว็บบราวเซอร์นั้นมีความสาคัญมากในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เพราะเป็นโปรแกรมท่ีแปลงภาษาคอมพิวเตอร์อย่างภาษาที่นิยม
ในการสร้างเว็บเพจ ภาษา HTML ให้เป็นตัวอักษร และรูปภาพที่สวยงาม อ่านง่าย เพราะถ้ายังเป็นภาษา HTML อยู่ จะทาให้เห็นแตโ่ คด้
และตัวอักษรมากมาย โดยเว็บบราวเซอร์จะเป็นโปรแกรมที่สามารถทาให้ผู้ใช้งาน (Client) สามารถโต้ตอบกับเว็บเพจได้ ในการใช้งาน
เวบ็ บราวเซอร์น้ัน ต้องใชท้ ี่อยู่ของเว็บเพจเข้าไป โดยที่อยู่ของเวบ็ เพจนั้นจะขน้ึ ต้นด้วย http://www.ชื่อของเว็บเพจ.com เปน็ ต้น
การใช้งาน Google Chrome
การเชือ่ มตอ่ เขา้ สู่อินเทอร์เนต็ จาเปน็ ต้องมเี วบ็ บราวเซอร์ เพือ่ ทาหนา้ ท่ีเช่ือมโยงไปยงั เวบ็ ไซต์ท่ีต้องการ โดยในที่นี้ จะแนะนาการ
ใช้โปรแกรม Google Chrome ซ่งึ เป็นเว็บบราวเซอรท์ ี่นิยมใช้กนั อย่างมากในปัจจบุ นั น้ี
สว่ นประกอบของโปรแกรม Google Chrome
อธิบายส่วนประกอบโปรแกรมตามลาดับหมายเลข
1. Title bar (แถบช่ือ) แสดงชือ่ เวบ็ ไซต์ทก่ี าลังเปิดใช้งานอยู่
2. Menu Bar (แถบเมนู) ทาหน้าท่แี สดงเมนคู าสัง่ ตา่ ง ๆ ซงึ่ ประกอบไปดว้ ย ดาวน์โหลด พิมพ์ ค้นหา การตัง้ คา่ และอืน่ ๆ
3. Address Bar (แถบทอี่ ย)ู่ ทาหน้าที่ในการเช่อื มโยงไปยังเวบ็ ไซต์ตา่ ง ๆ
4. Bookmark (แถบบกุ๊ มาร์ก) หนา้ เว็บโปรดจะแสดงอยู่ที่ด้านบนของหนา้ แท็บใหมเ่ ปน็ คา่ เริ่มต้น
5. Apps ไอคอนสาหรบั แอพที่ได้ตดิ ต้งั จาก Google Chrome เวบ็ สโตร์ สามารถเขา้ ถึงไดโ้ ดยการคลิกไอคอน Apps ในแถบบุ๊กมาร์ก
เมอื่ อยใู่ นหนา้ Google Chrome Apps สามารถเลอื กแอพทีต่ ้องการติดต้งั เพมิ่ เติมใน Google Chrome ได้
6. ชอ่ งคน้ หา เม่อื พิมพ์คาทีต่ ้องการค้นหาลงในช่องค้นหา จะเหน็ คาค้นหาปรากฏข้ึนในแถบอเนกประสงค์ และยงั สามารถปอ้ น URL
เพอื่ นาทางไปยงั หนา้ เว็บไซต์ไดอ้ กี ด้วย
7. เข้าชมบ่อยสุด ภาพขนาดย่อของเว็บไซต์ทเ่ี ขา้ ชมเป็นประจาจะปรากฏอยู่ด้านล่างช่องคน้ หา เพียงคลิกที่ภาพขนาดย่อท่ีตอ้ งการ
เพ่ือไปทเี่ วบ็ ไซตน์ ้นั หากตอ้ งการนาเวบ็ ไซต์ท่เี ขา้ ชมบ่อยที่สดุ ออก ใหว้ างเมาส์เหนอื ภาพขนาดย่อ และคลิกไอคอน X ท่มี ุมขวา
บนของภาพขนาดย่อน้ัน
5
การใชง้ าน Google Chrome
Google Chrome ซึง่ เปน็ เวบ็ บราวเซอร์ที่นิยมใช้กันอย่างมากในปัจจบุ ันน้ี การตั้งคา่ (คลิก เลอื ก การตงั้ คา่ ) สามารถต้ัง
คา่ ต่าง ๆ ไดด้ ังนี้
เพม่ิ ป่มุ หนา้ แรก (Home button)
ที่หัวข้อ ลักษณะที่ปรากฏ (Appearance) เปิดการแสดงปุ่มหน้าแรก (Show Home button) และพิมพ์ช่ือเว็บไซต์เพ่ือให้เป็น
ปมุ่ หนา้ แรก
กาหนดระบบค้นหา
ท่หี ัวข้อ ค้นหา (Search engine) สามารถกาหนดระบบค้นหาได้ เช่น Google, Yahoo! , Bing, Ask และ AOL
เปดิ ใช้งานระบบกรอกข้อความอตั โนมัตลิ งแบบฟอร์มบนเว็บ
ทดี่ า้ นลา่ งของการตัง้ คา่ (Settings)
1. คลิกแสดงการตงั้ คา่ ขั้นสงู (Advanced)
2. ทหี่ ัวข้อ รหัสผ่านและฟอร์ม (Password and forms )
3. คลิก เปิดใช้งานป้อนอัตโนมัติเพื่อกรอกแบบฟอร์มบนเว็บด้วยการคลิกเพียงคร้ังเดียว (Enable Autofill to fill out web
forms in a single click)
1
2
6
รูปแบบของภัยคุกคาม
ภยั คุกคามที่เกดิ ข้นึ กบั ระบบคอมพวิ เตอร์ และเครอื ขา่ ยนั้นมีหลายรปู แบบ ซึ่งรปู แบบทพี่ บหลกั ๆ มดี ังนี้
1. Hacker คอื ผ้ทู ่ีแอบเขา้ ใชง้ านระบบคอมพวิ เตอร์ของหน่วยงาน หรอื องคก์ รอื่น โดยมิไดร้ ับอนญุ าต แตไ่ มป่ ระสงคร์ า้ ย หรือไม่มี
เจตนาท่ีจะสร้างความเสียหาย หรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ใครทั้งส้ิน แต่เหตุผลที่ทาเช่นน้ันอาจเป็นเพราะต้องการทดสอบความรู้
ความสามารถของตนเองเพยี งเทา่ นั้น
2. Cracker คือผู้ที่แอบเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงาน หรือองค์กรอ่ืน โดยมีเจตนาร้ายอาจจะเข้าไปทาลายระบบ
หรือสรา้ งความเสียหายให้กับระบบเครือข่ายขององค์กรอ่นื หรอื ขโมยขอ้ มลู ทเี่ ป็นความลบั ทางธรุ กจิ
3. Virus คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทหน่ึงท่ีเขียนขึ้นโดยความต้ังใจของ Programmer ถูกออกแบบมาให้แพร่กระจาย
ตวั เองจากไฟลห์ น่งึ ไปยงั ไฟลอ์ ่ืน ๆ ภายในเครอื่ งคอมพิวเตอร์ ไวรัสจะแพรก่ ระจายตวั เองอย่างรวดเร็วไปยังทุกไฟล์ภายในคอมพิวเตอร์ หรอื
อาจจะทาให้ไฟลเ์ อกสารติดเชื้ออย่างช้า ๆ แต่ไวรัสจะไม่สามารถแพร่กระจายจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหน่ึงไดด้ ้วยตัวมนั เอง โดยทั่วไป
แล้วจะเกดิ จากการที่ผูใ้ ช้ใชส้ อ่ื จัดเก็บข้อมูล เชน่ แฟลชไดร์ฟคัดลอกไฟล์ข้อมลู ลงดสิ ก์ และตดิ ไวรัสเม่ือนาไปใช้กับเคร่ืองอนื่ หรอื ไวรสั
อาจแนบมากบั ไฟล์เมื่อมีการส่ง E-mail ระหว่างกัน
4. Worms คือหนอนอนิ เทอรเ์ นต็ มีอันตรายต่อระบบมาก สามารถทาความเสียหายต่อระบบไดจ้ ากภายใน เหมือนกับหนอนที่กัด
กนิ ผลไมจ้ ากภายใน หนอนรา้ ยเป็นโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ทถี่ ูกออกแบบมาให้สามารถแพร่กระจายตัวเอง จากเครื่องคอมพิวเตอร์เคร่ืองหนึ่ง
ไปยงั อกี เคร่อื งหน่ึงโดยอาศัยระบบเครือข่าย (ผา่ นสาย Cable) ซง่ึ การแพรก่ ระจายสามารถทาไดด้ ้วยตัวของมนั เองอย่างรวดเร็ว และรนุ แรง
กว่าไวรสั เมอื่ ไรกต็ ามท่ไี ดม้ กี าร Share ไฟลข์ อ้ มูลผา่ นเครือขา่ ย เมื่อน้นั Worms สามารถเดนิ ไปกบั สายส่อื สารได้
5. Spam mail คือการส่งข้อความท่ีไม่เป็นที่ต้องการให้กับคนจานวนมาก ๆ จากแหล่งท่ีผู้รับไม่เคยรู้จัก หรือติดต่อมาก่อน
ส่วนมากมกั อยใู่ นรูปของ E-mail ทาใหผ้ ู้รับราคาญใจ และเสยี เวลาในการลบข้อความเหลา่ นั้นแล้ว Spam mail ยังทาใหป้ ระสิทธิภาพ
การขนส่งข้อมูลบนอนิ เทอรเ์ น็ตลดลงดว้ ย
6. Electronic Card Fraud คือการฉ้อโกงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึงการลักทรัพย์ และการฉ้อโกงที่กระทาโดยใช้บัตร
อิเลก็ ทรอนิกส์ บัตรเครดิต หรือสง่ิ อืน่ ใดซึง่ ใชช้ าระหน้ใี นทานองเดียวกนั เปน็ เคร่อื งมอื ให้ไดม้ าซึ่งเงนิ จากธรุ กรรม หรือบญั ชขี องผู้อ่นื หรือซ่ึง
สินค้า และบรกิ ารโดยไมต่ ้องชาระคา่ ใช้จ่าย การฉอ้ โกงบตั รอิเล็กทรอนิกส์นี้เป็นส่วนหน่ึงของอาชญากรรมทีเ่ รียกว่า "การขโมยเอกลักษณ์"
(Identity Theft)
7
การป้องกันภยั คุกคาม
Password
เป็นการรักษาความปลอดภัยขั้นพ้ืนฐานในการ Login เข้าสู่ระบบ โดยการต้ังรหัสผ่าน (Password) น้ันควรมีความยาว
อยา่ งน้อย 8 ตวั อกั ษร และไมค่ วรง่ายตอ่ การคาดเดา ควรเปลย่ี นแปลงรหสั ผา่ นอยูบ่ อ่ ย ๆ
Firewall
ไฟร์วอลล์ (Firewall) คอื ระบบรกั ษาความปลอดภัยของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ไม่ให้ถกู โจมตจี ากผู้ไมห่ วังดี นกั เจาะข้อมูล
หรือการส่อื สารที่ไม่ได้รับอนญุ าต ซงึ่ สว่ นใหญ่จะมาจากระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รวมถงึ เครอื ขา่ ย LAN ด้วย ซึ่งในปัจจบุ ันไฟร์
วอลล์มีทัง้ อุปกรณ์ท่เี ป็นฮารด์ แวร์ และซอฟต์แวร์
หนา้ ท่ขี อง Firewall
คือ ปอ้ งกันข้อมูลท่ีจะส่งผ่านน้ัน มีความปลอดภัยหรือไม่ โดยเปรียบเทียบกับกฏต่าง ๆ ท่ที างผู้ดแู ลระบบ หรอื เรียกว่า
“Administrator” ได้กาหนดไว้ หากไม่ผ่านกฎเพียงข้อเดียว ไฟร์วอลล์จะไม่อนุญาตให้ผ่านเข้าไป แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการ
ตัดสนิ ใจของผดู้ แู ลระบบด้วย ถา้ ขอ้ มลู ไมป่ ลอดภยั แตผ่ ู้ดูแลระบบอนญุ าตใหผ้ ่าน ไฟรว์ อลล์จะอนุญาตให้ผา่ นเข้ามาได้
Clipper Chip
เป็นวงจรฮารด์ แวร์ทางอิเล็กทรอนกิ ส์ที่จะเขา้ รหัส เพอ่ื ใช้ในการสือ่ สารกนั บนอินเทอรเ์ น็ต Clipper Chip ได้รับการเสนอ
โดยรฐั บาลสหรัฐฯ ชปิ ได้จดั ทาขึ้นโดยที่ทางรฐั บาลสามารถถอดรหัสน้ีได้ ทาให้เกดิ การโตเ้ ถยี งกันมากว่า รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถ
ติดตามการติดตอ่ ส่อื สารบนอนิ เทอร์เนต็ ไดห้ มด อยา่ งไรก็ตามทางรัฐบาลสหรัฐฯ จะถอดรหสั ข้อมูลตามคาส่ังศาลเทา่ นัน้
SSL (Secure Sockets Layer)
SSL ใช้ในการรักษาความปลอดภัยสาหรับการทาธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่ง SSL น้ันใช้ในการเข้ารหัส
(encrypt) ข้อมลู เพ่ือใช้ในการตรวจสอบ และยืนยนั ฝา่ ยผูข้ ายวา่ มตี ัวตนอยูจ่ ริง มีขั้นตอนการทางานของ SSL ดงั น้ี
1. ผใู้ ชต้ ดิ ตอ่ ไปยัง Web Server ทีใ่ ชร้ ะบบ SSL
2. จากนนั้ Server จะส่งใบรับรอง (Server Certificate) กลับมาพรอ้ มกบั เขา้ รหสั ด้วยกญุ แจสาธารณะ (Public Key)
ของ Server
3. คอมพวิ เตอร์ฝัง่ ผู้รบั จะทาการตรวจสอบตัวตนของฝ่ังผ้ขู ายจากใบรบั รอง (Server Certificate) จากนั้นจะทาการสรา้ ง
กญุ แจโดยการสุ่ม และทาการเขา้ รหัสด้วยกญุ แจสาธารณะของ Server ท่ีไดร้ ับมา เพอื่ สง่ กลบั ไปยงั Server
4. เม่ือ Server ไดร้ บั ข้อมูลส่งกลบั จงึ จะถอดรหสั ดว้ ยกุญแจสว่ นตัว (Private Key) จะไดก้ ุญแจของลกู ค้ามาไว้ใชใ้ นการ
ตดิ ตอ่ สือ่ สาร
5. จากนั้นสามารถติดต่อส่อื สารกัน โดยการเข้ารหสั ติดต่อสอ่ื สาร
8
Anti-Virus Software
ซอฟต์แวรป์ อ้ งกนั ไวรสั (Anti-Virus Software) จาเป็นเสมอสาหรับการใชง้ านคอมพิวเตอร์ ถึงแมว้ ่าเครื่องน้ันจะไม่มีการ
เชื่อมต่อเครือข่ายกต็ าม หนา้ ทห่ี ลักของ Anti-Virus คอื ตรวจจบั และทาลายไวรัส แตไ่ ม่สามารถป้องกันไวรัสตัวใหม่ ๆ ไม่ให้เข้า
มาส่เู ครอื่ งคอมพวิ เตอร์ได้
ดังน้นั ซอฟต์แวร์ Anti-Virus จากค่ายใดก็ตามจะมปี ระสิทธิภาพสงู สุด เพยี งช่วงระยะเวลาหน่ึงเทา่ น้ัน เมื่อมีไวรสั ตวั ใหม่
เกิดขึ้นอาจไม่มีความสามารถเพียงพอท่ีจะดักจับ และทาลายไวรัสน้ันได้ ผู้ใช้จึงควรอัพเดทซอฟต์แวร์ Anti-Virus ให้ทันสมัยอยู่
เสมอ และปัจจุบนั มซี อฟตแ์ วร์ Anti-Virus ทีม่ ชี อ่ื เสียง เป็นท่ีนิยมในอนั ดับต้น ๆ ซง่ึ ผใู้ ชส้ ามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ
คานิยามเกย่ี วกบั ภาษาเขียนเวบ็ เพจ
Browser cache: เกบ็ ขอ้ มูลท่ีชว่ ยทาให้การโหลดเข้าเว็บไซต์นน้ั เร็วขึ้น
Cookie: เกบ็ ข้อมูลที่ใช้ในการตดิ ตามกจิ กรรมของผู้ใชเ้ วบ็ ไซต์
CSS: โค้ดทีใ่ ช้อธบิ ายรปู ลักษณ์ และรปู แบบของเว็บเพจ
HTML: ภาษาทใี่ ช้นยิ ามโครงสร้างของเวบ็ เพจ
ISP: หน่วยงาน หรือบรษิ ัททใ่ี ห้บรกิ ารการเช่ือมต่อกับระบบอินเทอรเ์ นต็
XML: ภาษาท่ีใช้แสดงผลข้อมลู เก็บข้อมูลและโครงสรา้ งขอ้ มลู ไวด้ ว้ ยกัน
โครงสร้างหนา้ เวบ็ HTML
เฉพาะเนื้อหาภายในส่วน <body> (พ้ืนที่สีขาว) ที่จะแสดงในบราวเซอร์บันทึกให้อยู่ในรูปแบบเอกสาร HTML โดยการพิมพ์ช่ือ
ไฟล์ และตามดว้ ยนามสกุลไฟล์ .htm หรือ .html เช่น index.htm เป็นต้น
9
CSS (Cascading Style Sheets)
CSS เปน็ ภาษาทใี่ ช้อธบิ ายการแสดงผลของส่วนประกอบ HTML เม่ือดใู นเว็บบราวเซอร์ เพอ่ื การตกแต่งเอกสาร HTML ให้หนา้ ตา
สีสัน ระยะห่าง พน้ื หลัง เส้นขอบ และอื่นๆ ตามท่ตี อ้ งการ เช่น
1. background-color: lightbule; สพี ้ืนหลัง
2. color: white; สีข้อความ
ตวั อยา่ ง CSS 3. text-align: center; ตาแหน่งของข้อความ
4. font-family: verdana; แบบอกั ษร
5. font-size: 20px ขนาดตวั อักษร
ผลลพั ธ์
บนเวบ็
เพจ
ขนาดของไฟล์
ขนาดของไฟล์ก็เป็นเร่อื งสาคัญ ขนาดของไฟลน์ ยิ มใช้หนว่ ยทีเ่ ปน็ ไบต์ (Byte) ซ่ึงอาจเทยี บได้กับ 1 ตวั อกั ษร และเพือ่ ความสะดวก
สาหรับไฟล์ที่มขี นาดใหญม่ าก จะเทียบหน่วยของไฟลท์ ี่เป็นไบต์ใหเ้ ปน็ หน่วยท่ีมขี นาดใหญข่ ้ึนได้ ดังนี้
8 Bit = 1 Byte
1,024 Byte = 1 KB (กโิ ลไบต์)
1,024 KB = 1 MB (เมกกะไบต์)
1,024 MB = 1 GB (กิกะไบต์)
1,024 GB = 1 TB (เทระไบต)์
10
สารบญั
ฟังกช์ นั ทัว่ ไป ......................................................................................................................................................... 1
การออกแบบเวบ็ ไซต์............................................................................................................................................. 1
การจัดตาแหน่ง................................................................................................................................................ 1
การทางานกับ Navigation .............................................................................................................................. 2
ข้อมลู ของผจู้ ัดทาเว็บไซต์................................................................................................................................. 3
การกระทากบั เวบ็ ไซต์...................................................................................................................................... 3
การตัง้ ค่าเวบ็ ไซต์ Google..................................................................................................................................... 4
ปมุ่ หน้าหลกั ของ Google ................................................................................................................................ 4
การสบื คน้ ข้อมลู ด้วยเวบ็ ไซต์ Google ................................................................................................................... 4
การสบื คน้ ข้อมลู โดยการใช้ Search Engine.................................................................................................... 4
หลักพื้นฐานในการคน้ หาข้อมลู ดว้ ย Google ................................................................................................... 5
การค้นหารปู ภาพด้วย Google........................................................................................................................ 6
A
ฟังก์ชนั ทวั่ ไป
การออกแบบเว็บไซต์
เว็บไซต์ที่ดีถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ที่ถูกออกแบบมาได้อย่างสร้างสรรค์ สามารถเป็นสื่ออย่างหนึ่งท่ีดีและมีประสิทธิภาพอย่างมาก
จนกระท่ังเว็บไซต์นั้น ๆ จะได้รับความนิยมอย่างสูงสุดบนอินเทอร์เน็ต เพราะมีรูปแบบตามหลักของการออกแบบเว็บ ไซต์ที่ดี และ
มีประสิทธิภาพโดยตรง ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วน้ัน เว็บไซต์ที่ทาหน้าท่ีเป็นส่ือกลางจะสามารถอยู่ในความควบคุมของผู้ใช้งาน
ไดอ้ ย่างสมบูรณ์แบบ การออกแบบเว็บไซตท์ ด่ี นี ้ัน มีองค์ประกอบดงั ตอ่ ไปนี้
1. มีความเรยี บง่าย
2. มีหลักการในส่วนของความสม่าเสมอ
3. มีความเปน็ เอกลักษณ์
4. กาหนดเนอื้ หาทีช่ ดั เจน
5. สะดวกตอ่ การเข้าใช้งาน
6. ระบุแหลง่ ทีม่ าของขอ้ มูลเพอ่ื เพิ่มความนา่ เชื่อถือ
การใช้งานเว็บไซต์นั้นจะต้องเป็นไปโดยไม่มีข้อจากัด หรือผู้เข้าเว็บไซต์จะต้องสามารถเข้าใช้เว็บไซต์ ในส่วนต่าง ๆ ได้อย่าง
สะดวกสบาย และมีความครบถ้วน โดยเฉพาะกระบวนการออกแบบเว็บไซต์ท่ีดจี ะต้องมีการกาหนดทิศทางให้เว็บไซต์น้ัน ๆ สามารถแสดง
ผลไดเ้ ปน็ อยา่ งดใี นทกุ ๆ ระบบปฏบิ ตั กิ าร
การจัดตาแหน่ง
ตาแหนง่ บนซา้ ย: ลงิ กท์ ก่ี ลบั ไปยงั หนา้ หลักของเวบ็ ไซต์
ตาแหน่งบนขวา: ลงิ กท์ ใ่ี ช้เขา้ สรู่ ะบบ (Log In), สมคั รใช้งาน (Register)
ตาแหนง่ กลาง: ลิงกท์ เี่ กย่ี วกับเน้ือหา ข้อมลู ส่ือต่าง ๆ
ตาแหนง่ ลา่ ง: ลิงกท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ขอ้ มูลเพม่ิ เติม แหล่งอ้างอิง การติดตอ่
1
การทางานกับ Navigation
การออกแบบเพื่อทาให้เว็บไซต์นั้น มีความน่าสนใจต่อผู้ที่เข้ามารับชมเว็บไซต์ ส่วนมากเป็นเว็บไซต์ที่สามารถใช้งานง่าย และ
สะดวกตอ่ การใช้งาน เว็บไซตท์ ่มี ีการใช้งานได้อย่างรวดเรว็ และทัว่ ถึงน้ันจาเป็นตอ้ งอาศัยการออกแบบอย่างทั่วถงึ เรียกว่า Navigation
Navigation น้ันเป็นเหมือนป้ายบอกทางท่ีจะทาให้ผู้เข้ารับชมเว็บไซต์น้ัน รู้ว่าจะไปยังจุดใดของเพจต่าง ๆ ในเว็บไซต์ได้ และ
สามารถท่ีจะกลับมาทีห่ นา้ หลกั ของเวบ็ ไซต์ได้ด้วย มคี วามสะดวกในการลิงก์ไปยังหนา้ ต่าง ๆ ทมี่ ที ้งั หมดได้ ทาใหไ้ มม่ หี น้าเว็บเพจที่ถูกปล่อย
ท้ิงไวโ้ ดยไมม่ กี ารเขา้ ถึง ดังตวั อยา่ ง www.certiport.com
อธบิ าย Navigation ในรปู แบบต่าง ๆ ตามลาดับหมายเลข
1. เมนหู ลัก เป็นเมนสู าหรบั ลิงก์ไปยงั หัวข้อหลักตา่ ง ๆ ภายในเวบ็ ไซต์ อาจจะพบเหน็ ได้บ่อย ๆ ในรปู แบบรปู ภาพ หรือกราฟกิ ตา่ ง ๆ
จาพวก Flash Animation
2. เมนูเฉพาะกลมุ่ เปน็ เมนูท่เี ช่อื มโยงเฉพาะภายในกลมุ่ ย่อย ๆ หรอื ข้อมูลท่จี ดั เปน็ กล่มุ ๆ ภายในเวบ็ ไซตน์ ้นั
3. เมนูค้นหา เป็นเครื่องมือเสริมท่ีสามารถช่วยให้ผู้เข้าชมใช้เว็บไซต์ได้สะดวกขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ช่องค้นหาข้อมูล ( Search) ช่วย
คน้ หาขอ้ มูลภายในเวบ็ ไซตไ์ ด้ หรอื อมิ เมจแมพ (Image Map) เป็นรปู แบบลิงก์ท่เี ป็นรูปภาพแทน
4. เมนูสมัครสมาชิก (Register) หรอื เข้าสูร่ ะบบ (Login) โดยเวบ็ ไซต์ทั่วไปจะจดั ไว้ตาแหนง่ ด้านบนทางขวาเป็นหลัก
Navigation bar หรือ Navigation menu
มี 2 แบบทนี่ ิยมออกแบบบนหน้าเว็บไซตค์ อื เมนูแนวนอน และเมนูแนวต้ัง
Navigation แนวนอน
2
Navigation แนวตงั้
ขอ้ มูลของผจู้ ดั ทาเวบ็ ไซต์
เมอื่ ตอ้ งการดขู อ้ มลู ของผู้จดั ทาเวบ็ ไซต์ สามารถคลิกเพ่ือนอ่านไดจ้ าก Navigation ซึ่งนิยมใสล่ งิ กข์ ้อมลู ของผู้จดั ทา หรอื บรษิ ทั ท่ี
เปน็ เจ้าของ ไวใ้ นสว่ นของ เมนู ดงั รปู
การกระทากบั เวบ็ ไซต์
การกระทาทโ่ี ดยทว่ั ไปใช้เพอ่ื ไปยังเมนูของเวบ็ ไซตต์ า่ ง ๆ ไดแ้ ก่
การคลิกครงั้ เดยี ว: การเลือกดขู อ้ มลู หรือเข้าไปยงั ลงิ ก์ขอ้ มูลต่าง ๆ
การเลอื่ นเม้าส์ไปบนคาส่งั : เพอ่ื ต้องการดูลิงก์ หรือคาอธิบายก่อนคลกิ ลงิ ก์
3
การต้ังคา่ เวบ็ ไซต์ Google หรือจุดสามจดุ
การต้งั ค่าเวบ็ ไซต์ใน Google Chrome ให้สงั เกตขวามือของเว็บไซต์ จะมีปมุ่ ตั้งค่ารูปเฟือง
ปุ่มหน้าหลักของ Google
เมื่อสบื ค้นขอ้ มูลบน Google และหากตอ้ งการกลับมาที่หนา้ หลกั ของ Google ทาไดโ้ ดยคลิก
การสืบคน้ ข้อมลู ดว้ ยเวบ็ ไซต์ Google
การสบื ค้นขอ้ มูลโดยการใช้ Search Engine
Search Engine คือ โปรแกรมซึ่งทาหน้าที่เป็นตัวค้นหาข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่ง Search Engine ท่ีนิยมใช้น้ันมีด้วยกัน
หลายตัวด้วยกัน เช่น Google (www.google.co.th), Dogpile (www.dogpile.com), ALLTHEWEB (www.alltheweb.com), Yahoo
(www.yahoo.com) เป็นต้น แต่ในทนี่ จ้ี ะอธิบายวธิ กี ารใช้งาน Google ซึง่ เป็น Search Engine ท่มี ีความนิยมทส่ี ดุ ในขณะน้ี
4
หลกั พื้นฐานในการคน้ หาข้อมูลด้วย Google
การค้นหาข้อมูลด้วย Google น้ันทาได้ไม่ยาก เพียงแค่พิมพ์หัวข้อค้นหา (ซ่ึงเป็นคาหรือวลีท่ีอธิบาย ข้อมูลท่ีต้องการค้นหา)
ในกลอ่ งขอ้ ความ จากนั้นกดปุ่ม “Enter” หรอื คลกิ ทป่ี มุ่ “Google Search” หรอื “คน้ หาโดย Google” จากน้นั Google จะแสดงผลลัพธ์
เป็นรายการของหน้าเว็บไซต์ท่ีมีเน้ือหาเกี่ยวข้องกับ หัวข้อค้นหา โดยหน้าเว็บไซต์ท่ีมีข้อมูลเก่ียวข้องที่ชัดเจนท่ีสุด จะปรากฏออกมาเป็น
ลาดบั แรก
ช่องค้นหา พิมพห์ ัวขอ้ หรือเรอื่ งที่ตอ้ งการจะคน้ หา
หนา้ ต่างการใช้ Google คน้ หาข้อมูล ยกตัวอย่าง ต้องการค้นหาขอ้ มลู เกีย่ วกับ arit
5
อธิบายหน้าตา่ งการใช้ Google ค้นหาข้อมลู ตามลาดบั หมายเลข
1. คลกิ Google เมอ่ื ต้องการกลับไปยังหนา้ หลกั ของเวบ็ ไซต์ Google
2. คลิกเลอื กหวั ข้อที่ Google จัดลาดับไว้ได้ตามตอ้ งการ
3. คลิกเลือกดูแผนท่ี หรอื ท่ีอยไู่ ด้ หากข้อมูลทค่ี ้นหาน้นั เป็นขอ้ มูลประเภท บ้าน คอนโด บริษทั หรืออืน่ ๆ
4. คลกิ เมอื่ ต้องการตัง้ ค่าเว็บเพจน้ี
การค้นหารูปภาพดว้ ย Google
คลิกปุ่ม ค้นรูป (Image) และพิมพ์ชื่อรูปท่ีต้องการค้นหา จากนั้น คลิกปุ่ม เคร่ืองมือค้นหา (Tools) เพ่ือกาหนดค่าการค้นหา
เพมิ่ เตมิ ได้ เชน่ รูปขนาดใหญ่กวา่ 800x600, 1024x768 เป็นต้น
6
สารบญั
โปรแกรมรับส่งอเี มล.............................................................................................................................................. 1
การใช้งานอเี มลเพ่อื การติดต่อสอื่ สาร .................................................................................................................... 1
สว่ นประกอบของหนา้ ตา่ งการสง่ อเี มล ............................................................................................................. 1
การใช้งานและจัดการอเี มล.................................................................................................................................... 2
การสร้างป้ายกากบั .......................................................................................................................................... 2
การลบอีเมล (Delete Gmail) ......................................................................................................................... 3
การยา้ ยอีเมล (Move Gmail).......................................................................................................................... 3
การแนบไฟล์อีเมล............................................................................................................................................ 4
คาศัพทท์ ี่เกยี่ วกบั อีเมล..................................................................................................................................... 4
รูปแบบการสง่ อีเมล.......................................................................................................................................... 4
ผใู้ หบ้ ริการอเี มล............................................................................................................................................... 4
การใชง้ านโปรแกรมจดั การอเี มล ........................................................................................................................... 5
ประโยชนข์ องการใช้งานโปรแกรมจัดการอีเมล ................................................................................................ 5
ข้อควรตระหนกั เมอ่ื ใช้งานอเี มล....................................................................................................................... 5
การซงิ คข์ อ้ มลู .................................................................................................................................................. 6
การจัดการรายชือ่ ผู้ตดิ ต่อบนอเี มล ................................................................................................................... 6
A
โปรแกรมรับส่งอเี มล
การใช้งานอีเมลเพ่ือการติดตอ่ สือ่ สาร
อีเมล (Electronic mail) เป็นบริการรับส่งจดหมายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ โดยสามารถส่งได้ทั้ง
ข้อความ และไฟล์ต่าง ๆ ซ่ึงผู้รับและผู้ส่งต้องมีทอ่ี ยู่อีเมล (Email Address) เพื่อระบุตัวตนบนเครือข่าย เปรียบเสมือนกับเป็นท่ีอย่ทู ใ่ี ช้รับ
และส่งจดหมาย เวบ็ ไซตท์ ีผ่ ้ใู ชน้ ิยมสมัครอีเมลอันดับตน้ ๆ คือ Hotmail, Yahoo และ Gmail ในทน่ี ี้จะกล่าวถึงการใชง้ านอีเมลผา่ น Gmail
ส่วนประกอบของหนา้ ต่างการส่งอีเมล
อเี มล มีส่วนประกอบลักษณะเดยี วกบั จดหมายธรรมดาแบ่งออก ไดเ้ ปน็ 2 สว่ นคือ
สว่ นหวั ของหน้าตา่ ง
เป็นสว่ นท่รี ะบชุ ื่อ และทีอ่ ยขู่ องผรู้ ับ (To...) ชอื่ และทีอ่ ย่ขู องผทู้ ่ตี อ้ งการจะส่งถึง และหากต้องการสง่ สาเนาอีเมลนั้น ไปใหก้ ับผรู้ ับ
อีกคน สามารถใส่อีเมลตรงช่องสาเนา (Cc...) ได้ หลังจากนั้นเป็นชื่อเรื่อง (Subject) ของอีเมล ขณะท่ีผู้รับได้รับอีเมลแบบฟอร์ม อีเมลจะ
แสดงชอื่ และท่ีอยูข่ องผูส้ ่ง และวันท่มี าด้วย
ส่วนท่สี องของอีเมล
คือ ส่วนท่ีเป็นเนื้อเร่ือง (body) ของอีเมล ซ่งึ บรรจุข้อความ หรือเนื้อเรอ่ื งของอีเมลฉบับน้ัน จะเหมือนกับการส่งจดหมายธรรมดา
ต้องใส่หน้าท่ีอยู่ของผู้รับให้ถูกต้อง หากใส่ช่ือผู้รับผิด หรือ E-mail ผิด อีเมลน้ันจะถูกตีกลับมา ในการส่งคืนกลับมาที่ผู้ส่ง จะมาพร้อม
ข้อความที่บอกว่า ที่อยู่ของผู้รับไม่มี (Address Unknown) กรณีท่ีได้รับอีเมลนั้นส่วนหัวของอีเมล จะบอกให้ทราบว่าอีเมลนั้นส่งมาจากที่
ไหน ส่งมาอย่างไร และส่งมาต้ังแต่เมื่อไหร่ ซ่ึงจะคล้ายกับตราท่ีประทับบนซองจดหมาย แต่ที่ไม่เหมือนกับจดหมายธรรมดาตรงที่จดหมาย
ธรรมดาต้องใส่ซองปิดผนึก เก็บความลับได้ แต่อีเมลไม่ถึงกับเป็นจดหมายส่วนตัว แต่มีลักษณะคล้ายไปรษณียบัตรมากก ว่า เนื้อความบน
อีเมลสามารถดักจับเอามาอ่านได้ โดยคนท่ีมีความร้พู ิเศษ ดังนั้นอย่าใส่เรอ่ื งท่ีต้องการปกปดิ หรือเป็นความลับลงไปในอีเมล ยกเว้นอีเมลมี
ระบบปอ้ งกันดว้ ยการแปลงข้อมลู ใหเ้ ปน็ รหัสป้องกัน ไม่ใหค้ นทีไ่ ม่ได้รบั อนุญาตอา่ น ทเ่ี รียกวา่ Encryption
ส่วนหัวของหน้าต่าง
การส่งอีเมล...
11
ส่วนเนื้อเรอื่ ง
1