The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงการฝึกอบรมหลักสูตรพระวิปัสสนาจารย์ เฉลิมพระเกียรติฯ ประจำปี ๒๕๖๓ ณ สำนักปฏิบัติธรรมประจำกรุงเทพมหานคร แห่งที่ ๑ วัดยานนาวา ระหว่างวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๓

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Penkiat Sitthisit, 2020-03-27 06:05:17

โครงการฝึกอบรมหลักสูตรพระวิปัสสนาจารย์ เฉลิมพระเกียรติฯ ประจำปี ๒๕๖๓

โครงการฝึกอบรมหลักสูตรพระวิปัสสนาจารย์ เฉลิมพระเกียรติฯ ประจำปี ๒๕๖๓ ณ สำนักปฏิบัติธรรมประจำกรุงเทพมหานคร แห่งที่ ๑ วัดยานนาวา ระหว่างวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๓

สำ� นักปฏบิ ตั ิธรรมประจ�ำกรุงเทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วัดยานนาวา I 133

134 I โครงการฝกึ อบรมหลักสตู รพระวปิ ัสสนาจารย์ เฉลิมพระพระเกียรตฯิ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

พธิ ีเจรญิ พระพทุ ธมนตถ์ วายพระพรชัยมงคล
และเพ่ือความเป็นสรรพสวสั ดิมงคล

บำ� บัดโรคาพยาธแิ ก่ประชาชน สังคม ประเทศชาติ
และนานาอารยประเทศ

เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดยานนาวา
ประธานสำ� นกั งานกำ� กบั ดแู ลพระธรรมทตู ไปตา่ งประเทศ เจา้ สำ� นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมประจำ� กรงุ เทพมหานคร
แหง่ ท่ี ๑ วดั ยานนาวา เปน็ ประธานนำ� พระราชาคณะ พระเถรานเุ ถระ พระภกิ ษผุ เู้ ขา้ รบั การอบรมหลกั สตู ร
พระวิปัสสนาจารย์ ทานบดี อุบาสก อุบาสิกา สาธุชน วัดยานนาวา ร่วมเจริญพระพุทธมนต์และ
เจริญจิตตภาวนาถวายพระราชกุศล และเพ่ือความเป็นสวัสดิมงคลแก่ประชาชน สังคม ประเทศชาติ
ด้วยอานุภาพคุณพระศรีรัตนตรัยและพระพุทธมนต์ และด้วยพลานุภาพแห่งสมาธิและเมตตา บ�ำบัด
ปัดเป่าโรคาพยาธิ และภัยพิบัติทั้งมวล ยังผู้ปฏิบัติหน้าท่ี พุทธศาสนิกชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ทุกภาคส่วน มีสุขภาพร่างกายอุดมบริบูรณ์ตรีคูณด้วยทาน ศีล ภาวนา สัมมาปฏิบัติ มีสติปัญญาแก้ไข
ปัญหาโรคไวรัส COVID-19 ให้เบาบางจางหายสลายไปในที่สุด ณ อาคารมหาเจษฏาบดินทร์ ชั้น ๒
วัดยานนาวา เขตสาทร กรงุ เทพมหานคร

สำ� นักปฏบิ ตั ิธรรมประจ�ำกรุงเทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วัดยานนาวา I 135

136 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพระวปิ สั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกียรตฯิ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

สำ� นักปฏบิ ตั ิธรรมประจ�ำกรุงเทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วัดยานนาวา I 137

138 I โครงการฝึกอบรมหลกั สูตรพระวิปัสสนาจารย์ เฉลิมพระพระเกยี รติฯ ประจำ� ปี ๒๕๖๓

ศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ ๑๔ แก้วสบี ญุ เรอื ง ตรวจวดั ไข้/ไวรสั COVID-19

สำ� นักปฏบิ ตั ธิ รรมประจำ� กรงุ เทพมหานคร แห่งท่ี ๑ วัดยานนาวา I 139

ศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสุข ๑๔ แก้วสบี ุญเรอื ง ตรวจคัดกรองสุขภาพ

140 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สูตรพระวิปสั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกยี รตฯิ ประจำ� ปี ๒๕๖๓

พธิ ฟี ังสวดพระปาฏิโมกข์ วนั ที่ ๘ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๓

สำ� นักปฏิบัตธิ รรมประจ�ำกรุงเทพมหานคร แห่งท่ี ๑ วัดยานนาวา I 141

พธิ ฟี ังสวดพระปาฏิโมกข์ วนั ที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓

142 I โครงการฝึกอบรมหลักสตู รพระวิปัสสนาจารย์ เฉลมิ พระพระเกยี รติฯ ประจำ� ปี ๒๕๖๓

การปฏิบตั วิ ปิ สั สนากรรมฐานประจ�ำวนั อาทิตย์
ส�ำนกั ปฏบิ ัติธรรมประจ�ำกรงุ เทพมหานคร แหง่ ที่ ๑ วดั ยานนาวา

สำ� นักปฏบิ ตั ิธรรมประจ�ำกรุงเทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วัดยานนาวา I 143

144 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพระวปิ สั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกียรตฯิ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

สำ� นักปฏิบัตธิ รรมประจำ� กรุงเทพมหานคร แหง่ ที่ ๑ วดั ยานนาวา I 145

กิจกรรมคณะท�ำงาน

146 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพระวปิ สั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกียรตฯิ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

สำ� นักปฏบิ ตั ิธรรมประจ�ำกรุงเทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วัดยานนาวา I 147

148 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพระวปิ สั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกียรตฯิ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

ส�ำนกั ปฏบิ ัตธิ รรมประจำ� กรงุ เทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วดั ยานนาวา I 149

พิจารณาฉันภตั ตาหาร
ฉลองศรัทธาสาธุชน

150 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพระวปิ สั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกียรตฯิ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

สำ� นักปฏบิ ตั ิธรรมประจ�ำกรุงเทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วัดยานนาวา I 151

152 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพระวปิ สั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกียรตฯิ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

สำ� นักปฏบิ ตั ิธรรมประจ�ำกรุงเทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วัดยานนาวา I 153

154 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพระวปิ สั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกียรตฯิ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

สำ� นักปฏบิ ตั ิธรรมประจ�ำกรุงเทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วัดยานนาวา I 155

ภาควิชาการ



158 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพระวปิ สั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกียรตฯิ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

สำ� นักปฏิบตั ิธรรมประจำ� กรุงเทพมหานคร แห่งท่ี ๑ วดั ยานนาวา I 159

ส�ำนักปฏบิ ตั ธิ รรมประจำ� กรุงเทพมหานคร แห่งท่ี ๑ วัดยานนาวา

๑. บรเิ วณส�ำนกั
ส�ำนักปฏิบัติธรรมประจ�ำกรุงเทพมาหานคร แห่งที่ ๑ วัดยานนาวา พระอารามหลวงชั้นตรี
ชนิดสามัญ ต้งั อยู่ริมแม่น้�ำเจ้าพระยาฝง่ั ตะวนั ออก เลขท่ี ๔๐ ถนนเจรญิ กรงุ แขวงยานนาวา เขตสาทร
กรงุ เทพมหานคร
อาณาเขตของส�ำนัก ทิศเหนือติดกับราชพัสดุ ทิศใต้ติดอู่บางกอกด๊อก โดยยาวด้านละ ๕ เส้น
ทิศตะวันออกติดกับถนนเจริญกรุง ทิศตะวันตกติดแม่น�้ำเจ้าพระยา โดยกว้างด้านละ ๔ เส้น ๑๒ วา
๒ ศอก รวมท้ังหมดมเี นอื้ ท่ีประมาณ ๒๓ ไร่ ๒๙ ตารางวา
บรเิ วณดา้ นนอกสำ� นกั จะมปี า้ ยชอ่ื สำ� นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมประจำ� กรงุ เทพมหานครแหง่ ท่ี ๑ วดั ยานนาวา
และติดป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ของส�ำนักไว้อย่างชัดเจน เพ่ือสะดวกแก่ผู้ที่สนใจที่จะ
มาศึกษาปฏิบัติธรรม สว่ นภายในของส�ำนักนนั้ ก็จัดเปน็ ระเบียบสถานท่ีอย่างเปน็ สัดสว่ น ไดแ้ ก่
๑) สถานท่ศี ึกษาปฏิบตั ิธรรม คอื การนง่ั สมาธิการเดนิ จงกรม และฟงั การบรรยายธรรมมสี ถานที่
สามารถจดั ไดท้ งั้ กลุ่มใหญ่ และกลุม่ เล็กๆ
๒) สถานที่ฉันอาหารหรือรับประทานอาหารและเคร่ืองดื่ม จะมีโต๊ะ เก้าอ้ี และภาชนะอื่นๆ
ท่สี ะอาดและเพียงพอ
๓) สถานทนี่ อน จะมีทัง้ ของพระภกิ ษุสามเณร และอบุ าสกอบุ าสกิ า ซึง่ แยกเพศชายและเพศหญงิ
อย่างชัดเจน
๔) ห้องอาบน�ำ้ และห้องสขุ า แยกเพศชายและเพศหญงิ ไว้อยา่ งชัดเจน
๕) สถานท่ีจอดรถ ไดจ้ ัดไวอ้ ยา่ งเป็นระเบียบและเพียงพอ
๖) สถานที่พักผ่อนหย่อนใจในบริเวณส�ำนัก มีการจัดสวนหย่อม ปลูกไม้ดอก ไม้ประดับและ
ตน้ ไม้ยืนต้นอยา่ งเปน็ ระเบียบเรยี บร้อยร่มรนื่ สวยงาม
ซ่ึงโดยภาพรวมของส�ำนักน้ัน มีความสะอาด สะดวก และปลอดภัย หรือความเป็นสัปปายะ
เหมาะแกผ่ ู้ทเ่ี ข้ามาศกึ ษาปฏิบัติธรรมเปน็ อยา่ งย่ิง

160 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สูตรพระวิปสั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกียรตฯิ ประจำ� ปี ๒๕๖๓

I สถานที่ศึกษาปฏิบตั ิธรรม I

สำ� นกั ปฏบิ ตั ิธรรมประจ�ำกรงุ เทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วดั ยานนาวา I 161

I สถานท่ีรบั ประทานอาหาร I
I หอ้ งสขุ าและห้องอาบนำ้� I

I ลานจอดรถ I

162 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพระวปิ สั สนาจารย์ เฉลมิ พระพระเกยี รติฯ ประจำ� ปี ๒๕๖๓

I สถานทพี่ กั ผอ่ นหยอ่ นใจ I

สำ� นักปฏบิ ตั ิธรรมประจำ� กรงุ เทพมหานคร แห่งท่ี ๑ วดั ยานนาวา I 163

๒. อาคารที่พกั และสถานที่ปฏิบัติธรรม
อาคารท่ีพักและสถานที่ปฏิบัติธรรมของส�ำนักปฏิบัติธรรมของกรุงเทพมหานคร แห่งที่ ๑

วัดยานนาวา สามารถรองรับผู้เข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรมได้ครั้งละประมาณ ๑๒๐ คน โดยจะใช้อาคาร
มหาเจษฎาบดนิ ทร์ ช้ัน ๒ ไว้เปน็ ที่พกั และศึกษาปฏบิ ัตธิ รรมเป็นหลกั กบั ทง้ั จะใชบ้ รเิ วณลานของส�ำนัก
เปน็ สถานที่เดมิ จงกรม แต่ถา้ โครงการใดมผี ู้เข้ารว่ มโครงการจ�ำนวนมากๆ (เกนิ ๕๐๐ คน) ก็จะมีสถานท่ี
สำ� รองกค็ อื อาคารปฏบิ ตั ธิ รรมพรหมวชริ ญาณ สถาบนั แมช่ ี วดั ยานนาวา ซง่ึ ทพ่ี กั นอนมที งั้ ของภกิ ษสุ ามเณร
และอบุ าสกอบุ าสิกา ห้องอาบนำ้� หอ้ งสขุ าท่ีแยกเพศชาย เพศหญงิ ไวอ้ ย่างชัดเจน

I อาคารมหาเจษฎาบดนิ ทร์ I
I อาคารปฏบิ ตั ิธรรมของสำ� นักปฏิบตั ธิ รรมประจ�ำกรงุ เทพมหานครแหง่ ท่ี ๑ วดั ยานนาวา I

164 I โครงการฝึกอบรมหลกั สูตรพระวปิ ัสสนาจารย์ เฉลิมพระพระเกยี รติฯ ประจำ� ปี ๒๕๖๓

๓. สิ่งอ�ำนวยความสะดวกพน้ื ฐาน
ส่ิงอ�ำนวยความสะดวก ส�ำหรับรับรองผู้ท่ีเข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรมในส�ำนักปฏิบัติธรรมประจ�ำ
กรงุ เทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วดั ยานนาวา โดยอาคารมหาเจษฎาบดนิ ทรช์ นั้ ๒ นนั้ จะตดิ แอรแ์ ละพดั ลมทกุ หอ้ ง
ไว้เป็นท่ีประกอบพิธีต่างๆ เป็นห้องปฏิบัติ ห้องพัก ห้องสนทนาธรรม ห้องส่งอารมณ์ ห้องสอบอารมณ์
ระบบเครื่องเสียง เครอื่ งฉายวดี ที ัศน์ มสี ถานีวทิ ยโุ ทรทัศน์โลกพระพุธศาสนา เฉลิมพระเกยี รตฯิ world
Buddhist Television of Thailand (WBTV) วัดยานนาวา กบั ทงั้ มีเครื่องนอน ผา้ อาสนะ หรอื ผ้าปนู ัง่
เคร่ืองเวชภัณฑ์ต่างๆ และสิ่งอ�ำนวยความสะดวกอื่นๆ เพื่อเป็นความสัปปายะแก่ผู้เข้ามาศึกษา
ปฏิบัตธิ รรมในส�ำนักฯ แต่ในกรณีที่ผู้ปฏิบตั เิ กิดอาการเจ็บป่วยหนกั ก็จะจัดสง่ โรงพยาบาล ท่ไี ด้ประสาน
ขอความชว่ ยเหลอื อยตู่ ลอดเวลา การรกั ษาความปลอดภยั และการดแู ลสขุ อนามยั ภายในสำ� นกั ปฏบิ ตั ธิ รรม
ประจ�ำกรุงเทพมหานครแห่งที่ ๑ วัดยานนาวา น้ันจะมีเจ้าหน้าท่ีประจ�ำส�ำนัก และประสานขอ
ความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ต�ำรวจ และเจ้าหน้าท่ีจากโรงพยาบาลใกล้เคียงมาคอยประจ�ำการอยู่เสมอ
เชน่ สถานตี ำ� รวจนครบาลยานนาวา, โรงพยาบาลเลดิ สนิ , ศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ ๑๔ แกว้ สบี ญุ เรอื ง เปน็ ตน้
๔. การประชาสมั พนั ธ์
การประชาสัมพนั ธก์ ิจกรรมของสำ� นกั ปฏิบตั ิธรรมประจ�ำกรงุ เทพมหานคร แห่งที่ ๑ วดั ยานนาวา
จะมีการประชาสัมพันธ์ในช่องทางต่างๆ ดงั นี้
๑) ทางสถานวี ิทยุโทรทศั น์โลกพระพุทธศาสนา เฉลิมพระเกียรติฯ WBTV
๒) ทางเว็บไซต์ www.bhavanatoday.org
๓) ติดป้ายประชาสมั พันธใ์ นด้านหน้าวดั และตามสถานทต่ี ่างๆ
๔) ใบโบรชวั ร์ประชาสัมพนั ธ์
๕) จดั พมิ พห์ นังสอื เผยแพร่ในโอกาสต่างๆ

สำ� นักปฏบิ ตั ิธรรมประจ�ำกรุงเทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วัดยานนาวา I 165

166 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพระวปิ สั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกียรตฯิ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

สำ� นกั ปฏิบัตธิ รรมประจำ� กรงุ เทพมหานคร แห่งที่ ๑ วัดยานนาวา I 167

สารัตถะ วปิ สั สนากรรมฐานในพระพุทธศาสนา

สมเดจ็ พระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจา้ อาวาสวัดยานนาวา

เจ้าสำ� นกั ปฏิบัติธรรมประจำ� กรงุ เทพมหานคร แหง่ ท่ี ๑ วดั ยานนาวา
หลังจากท่ีเจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกผนวชแล้ว พระองค์ได้ทรงแสวงหาสัจธรรมจากเจ้าลัทธิ
ตา่ งๆ มากมาย แตก่ ็ไม่เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ เพราะแนวปฏิบัตเิ หล่านัน้ กไ็ ม่ใช่แนวทางท่ีจะทำ� ให้
หลดุ พน้ ไปจากทกุ ขท์ ง้ั ปวงไดจ้ รงิ เพราะการปฏบิ ตั สิ ว่ นใหญเ่ ปน็ วธิ กี ารทรมานกาย พระองคจ์ งึ ทรงเปลย่ี น
มาบ�ำเพ็ญความเพียรทางใจ ในแนวมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง ด้วยการเจริญสมาธิหรือการบ�ำเพ็ญ
จติ ภาวนา จนในทีส่ ดุ โดยหลกั ปฏบิ ตั นิ ้ี จงึ ท�ำใหพ้ ระองคไ์ ดต้ รัสรเู้ ปน็ พระอรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธเจา้
เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จึงได้ทรงแสดงแนวทางการปฏิบัติธรรม ท่ีเรียกว่า “กรรมฐาน” ซ่ึง
แปลว่า “ธรรมเป็นท่ีต้ังแห่งการงาน” หมายถึง “ธรรมปฏิบัติซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งการงานทางจิต”
เพอ่ื ให้เวไนยสตั วไ์ ด้ตรัสร้ตู ามพระองค์
ส�ำหรบั “การปฏิบัติธรรม” หรอื “การปฏิบตั ิกรรมฐาน” ในพระพทุ ธศาสนานั้น พระพุทธเจ้า
ไดท้ รงจำ� แนกไว้ ๒ อย่าง คือ สมถกรรมฐาน และ วปิ สั สนากรรมฐาน

ความหมายสมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน

ในกรรมฐาน ๒ ประการนั้น
“สมถกรรมฐาน” พระพุทธเจา้ ได้ตรสั อธิบายความหมายไวใ้ นพระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๓๔ ขอ้ ที่ ๕๔
หน้า ๓๐ (ฉบับมหาจุฬา) ว่า ความต้ังอยู่แห่งจิต ความด�ำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นคงทางจิต ความไม่
ซัดส่ายแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบแห่งจิต สมาธินทรีย์ สมาธิพละ
ความตั้งจิตไว้ชอบในสมยั น้ันอันใด น้ีช่อื วา่ “สมถะ”
ดังนั้น สมถกรรมฐาน จึงหมายถึง หลักการหรือวิธีการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบทางจิตใจ
หรอื หลักการทำ� จติ ใจให้เป็นสมาธิความมั่นคง นัน่ เอง
“การบ�ำเพ็ญ” หรือ “การเจรญิ สมถกรรมฐาน” จงึ หมายถึง การทำ� ความเพิ่มพนู แห่งจิตใจ
ใหส้ งบ หรอื การทำ� ความเพมิ่ พนู จติ ใจใหเ้ ปน็ สมาธคิ วามมนั่ คงนนั่ เอง บางทที า่ นเรยี ก “ภาวนา” การทำ� ให้
เจรญิ เชน่ “สมถภาวนา” หรือ “สมาธภิ าวนา” แมค้ ำ� ว่า “จติ ภาวนา” กเ็ รียก

การบำ� เพญ็ สมถะ หรอื เจริญสมาธเิ ปน็ หลกั สากล

การบ�ำเพ็ญสมถะ หรือการเจริญสมาธินี้ มีมาก่อนพระพุทธศาสนา เพราะในสมัยก่อนพุทธกาล
ผทู้ หี่ วังความสงบแห่งจติ ใจ นยิ มพากนั ฝึกอบรมสมาธติ ามแนวทางทีค่ รูอาจารย์ได้อบรมสั่งสอนมา
บางพวกต้องการความสงบระงับแห่งจิตใจให้ย่ิงๆ ข้ึนไป ถึงกับปลีกตนหลีกเร้นออกบวชเป็น

168 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพระวิปัสสนาจารย์ เฉลิมพระพระเกียรตฯิ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

ดาบสบ้าง เปน็ โยคีบา้ ง เพ่ือบ�ำเบญ็ ตะบะหรือหาอุบายในการฝกึ อบรมจติ ให้เกิดความสงบ และผู้ปฏบิ ัติ
เหล่าน้ันสามารถปฏิบัติจนบรรลุคุณวิเศษได้ฌานอภิญญาเป็นจ�ำนวนมาก ดังเช่น อาฬารดาบส และ
อุทกดาบส ท่ีพระพุทธเจ้าเมื่อคร้ังเสด็จออกผนวชแสวงโมกขธรรมได้เคยไปศึกษาเล่าเรียนด้วย ก็บรรลุ
ธรรมในระดับได้ฌานอภญิ ญา
ส�ำหรบั วิธี “การบ�ำเพญ็ สมถกรรมฐาน” ทปี่ ฏิบัติสบื มาแตก่ อ่ นพทุ ธกาลนั้น ยอ่ มแตกตา่ งกนั ไป
ตามหลกั การของแตล่ ะส�ำนกั
แตห่ ลักและวธิ ีปฏิบตั ใิ นพระพทุ ธศาสนา พระพุทธเจา้ ทรงแสดงไว้ มีทั้งสนิ้ ๔๐ ประการ ไดแ้ ก่
กสิณ ๑๐ อสภุ ะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อปั ปมญั ญา ๔ อรปู ๔ อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา ๑ จตุธาตวุ วฏั ฐาน ๑
ในธรรมกถาแนวปฏิบัติกัณฑ์น้ี จะไม่น�ำข้ันตอนและวิธีการปฏิบัติกรรมฐานท้ัง ๔๐ ประการ
มาแสดง เพยี งแตจ่ ะชีใ้ หเ้ หน็ ถึงหวั ขอ้ ที่เปน็ วธิ ปี ฏบิ ตั ิกรรมฐานเท่านนั้ เพราะเชื่อว่ารายละเอยี ดของการ
ปฏบิ ัตกิ รรมฐานนน้ั ทา่ นท้งั หลายที่เปน็ นกั ปฏิบตั คิ งจะได้ศึกษาอบรมและปฏิบัติกันมาพอสมควรแล้ว
สำ� หรบั หลกั การปฏบิ ตั กิ รรมฐานในศาสนาตา่ งๆ นนั้ สว่ นมากมกั จะใชว้ ธิ สี วดมนต์ หรอื นง่ั บรกิ รรม
ช่อื ของเทพเจ้าทต่ี นเคารพนบั ถือ เพื่อใหเ้ กิดความสงบทางจติ ใจเปน็ สำ� คญั
สมถกรรมฐานน้ี เป็นวิธีการอบรมจิตในยามที่ชาวบ้านปฏิบัติหน้าท่ี หรือประกอบธุรกิจการงาน
ต่างๆ ในชีวิตประจ�ำวันแล้วเกิดความเครียด มีความสับสนวุ่นวายด้วยปัญหาต่างๆ เมื่อปฏิบัติแล้วก็จะ
เกิดผลให้จิตใจผู้ปฏิบัติสงบเย็น เป็นอุบายวิธีให้เกิดสมาธิ เก้ือกูลแก่การประกอบธุรกิจและการปฏิบัติ
หน้าที่การงานได้ด้วยดี ซึ่งเป็นเร่ืองของธรรมชาติท่ีเป็นหลักสากล และได้มีการฝึกอบรมและปฏิบัติกัน
แทบทกุ ชาติทุกภาษาและทกุ ศาสนา
สมถะ หรือ สมาธิ ๓ ระดบั
สำ� หรบั ระดบั จติ ทเี่ ป็นสมาธขิ องมนุษย์ทัว่ ไปน้นั สามารถแบง่ ออกเปน็ ๓ ขนั้ คือ
๑. ขณิกสมาธิ เป็นสมาธิตามปกติธรรมดาที่เราปฏิบัติประจ�ำวันในขณะท่ีตั้งใจจะประกอบ
กจิ การงานในชวี ิตประจำ� วัน เป็นสมาธเิ บ้อื งตน้
๒. อุปจารสมาธิ เป็นสมาธิระดับกลางท่ีเกิดจากการฝึกจิตให้ต้ังม่ันอยู่ในส่ิงใดสิ่งหน่ึง อยู่ใน
ระดับสงู ข้นึ ใกล้จะถงึ สมาธใิ นระดับปฐมฌาน
๓. อัปปนาสมาธิ เปน็ สมาธริ ะดับสูง นับตงั้ แต่ปฐมฌาณขน้ึ ไปจนถงึ จตตุ ถฌาน
ในสมาธิท้ัง ๓ ขั้น สมาธิขั้นที่ ๑ เป็นสมาธิตามธรรมชาติ ดังที่ได้อธิบายแล้วข้างต้น ถึงแม้ว่า
ตามธรรมชาติของจิตของมนุษย์ปุถุชนมักจะคิดไปตามอารมณ์ที่มากระทบและยินดียินร้ายไปตาม
อารมณ์น้ัน แต่ไม่ใช่ว่าจิตจะไม่สงบเลย ในการงานท่ีคนเราประพฤติปฏิบัติกันอยู่ในชีวิตประจ�ำวัน
คนเรายอ่ มมีความต้ังใจโดยธรรมชาตอิ ยแู่ ล้ว ในการเอาใจจดจอ่ ในการงานท่กี ระทำ� นั้นๆ นีจ้ ัดเป็นสมาธิ
เบ้ืองตน้ ทเ่ี รียกวา่ ขณิกสมาธิ สมาธชิ ่วั ขณะหนึ่ง
ในสมาธิข้ันที่ ๒ เป็นสมาธิท่ีสูงกว่าขณิกสมาธิ เพราะเป็นสมาธิที่ได้รับการฝึกฝนให้จดจ่ออยู่กับ

สำ� นกั ปฏิบัตธิ รรมประจ�ำกรุงเทพมหานคร แห่งท่ี ๑ วัดยานนาวา I 169

อารมณใ์ ดอารมณห์ นงึ่ เชน่ ผปู้ ฏบิ ตั สิ มถกรรมฐานเจรญิ ภาวนาใหจ้ ติ จดจอ่ อยกู่ บั คำ� บรกิ รรมวา่ “พทุ โธ”
โดยหายใจเข้าว่า “พุท” หายใจออกว่า “โธ” จนจิตสงบเป็นสมาธิ แต่สมาธิระดับน้ียังไม่แน่วแน่
เปน็ เพียงสงบแบบเฉยี ดๆ ไม่สงบเตม็ ที่
ส่วนในสมาธิข้ันที่ ๓ เป็นสมาธิที่จดจ่ออยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งจนแน่วแน่เต็มท่ี และได้
บรรลุฌานตงั้ แตฌ่ าณที่ ๑ จนถงึ ฌานที่ ๔
โดยฌานท่ี ๑ เป็นฌานที่ปราศจากนิวรณ์ ๕ และมีความบริบูรณ์แห่งองค์ประกอบ ๕ คือ
วิตก (ความตรึก) วิจาร (ความไตร่ตรอง) ปติ ิ สุข และเอกัคคตา (ความมีอารมณเ์ ป็นหน่ึง)
ฌานที่ ๒ เป็นฌานที่ปราศจากวิตก และมีความบริบูรณ์แห่งองค์ประกอบ ๔ อย่าง คือ วิจาร
ปีติ สุข และเอกคั คตา
ฌานท่ี ๓ เป็นฌานที่ปราศจากวิตก วิจาร และมีความบริบูรณ์แห่งองค์ประกอบ ๓ อย่าง คือ
ปตี ิ สุข และเอกคั คตา
ฌานท่ี ๔ เปน็ ฌานทป่ี ราศจากวิตก วจิ าร และมีความบริบูรณ์แห่งองค์ประกอบ ๒ อย่างท่เี หลอื
คือ สขุ และเอกคั คตา

จดุ มงุ่ หมายของการปฏิบตั สิ มถกรรมฐาน

จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติสมถกรรมฐาน หรือ การเจริญสมาธิ นั้น ส่วนมากมุ่งให้จิตใจสงบ
ไม่ใหน้ วิ รณ์ทัง้ ๕ ครอบง�ำ เพ่อื รกั ษาสขุ ภาพ เพ่ือใหบ้ งั เกดิ ฌาณ อภิญญา อิทธฤิ ทธ์ิ และเพ่ือใหไ้ ด้ไปเกิด
ในพรหมโลก
แต่ในพระพุทธศาสนา สมถะ หรือ สมาธิ สามารถท�ำให้เกิดอานิสงส์ ๔ อย่าง คือ อยู่เป็นสุข
ในปัจจุบัน ๑ เสวยอารมณ์ทุกอยา่ งดว้ ยความใคร่ครวญ ๑ ได้โลกยิ อภญิ ญา ๑ และบรรลมุ รรคผล ๑
ในขอ้ ที่ ๑ วา่ อยเู่ ปน็ สขุ ในปจั จบุ นั หมายความวา่ ผทู้ ฝี่ กึ สมถะจนจติ ใจแนว่ แนเ่ ปน็ สมาธิ ยอ่ มเปน็
ผูม้ จี ิตตงั้ มน่ั ดำ� รงอยู่ด้วยดี ไมฟ่ ุ้งซา่ น ไมห่ ดหู่ ไม่ทอ้ แท้ ไมร่ �ำคาญมคี วามอิม่ เอบิ สบายใจ ท�ำให้มพี ลงั จติ
เข้มแข็งสามารถนำ� ไปใชใ้ นการศึกษาเลา่ เรยี น ในการแก้ไขปัญหาชีวิต ในการดำ� เนินธรุ กิจและการทำ� งาน
ตา่ งๆ ทุกระดับไดเ้ ปน็ อย่างดี ทำ� ให้ผปู้ ฏบิ ตั มิ ีความสุขใจ ซึง่ เปน็ ความสขุ ที่เกิดจากจิตทว่ี า่ งจากถกู นิวรณ์
ทั้ง ๕ ครอบง�ำ เมื่อมีความสุขทางใจแล้ว ย่อมส่งผลให้เกิดความสุขทางกายด้วย คือท�ำให้สุขภาพ
กายดี เพราะโรคบางอย่าง เกิดจากความวิตกกังวล และจากความเครียด เช่น โรคประสาท โรคจิต
และโรคกระเพาะ เปน็ ต้น เม่อื ผปู้ ฏบิ ตั มิ ีจติ เป็นสมาธิ ความวิตกกังวล ความฟงุ้ ซ่านตา่ ง ๆ ย่อมไมเ่ กิดขึน้
หรือทเ่ี กดิ แลว้ กจ็ ะหมดไป
ในข้อที่ ๒ ว่า เสวยอารมณ์ทุกอย่างด้วยความใคร่ครวญ คือ ท�ำให้มีสติ ความระลึกได้และ
สมั ปชญั ญะ ความรตู้ วั เองตลอดเวลา ไมเ่ กดิ ความประมาท จะคดิ จะพดู กระทำ� กจิ การใดกร็ อบคอบวอ่ งไว
มีความจ�ำดี ตัดสินใจได้รวดเร็วและตัดสินด้วยเหตุและผล ปฏิภาณเฉียบแหลมว่องไว และส�ำคัญท่ีสุด
คือ มีสตสิ ัมปชัญญะในการดำ� เนินชวี ติ ที่สมบรู ณ์เกื้อกลู แกก่ ารปฏบิ ัตธิ รรมใหล้ ึกซึ้งยงิ่ ขนึ้ ตอ่ ไป

170 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สูตรพระวิปสั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกยี รติฯ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

ในข้อที่ ๓ ว่า ไดโ้ ลกิยอภิญญา คอื ในเฉพาะบางคนอาจเกิดมอี ำ� นาจทิพย์ เชน่ หูทิพย์ ตาทิพย์
หรอื อำ� นาจพเิ ศษเหนอื ธรรมชาติ ที่เรียกวา่ อภญิ ญา
ในขอ้ ท่ี ๔ วา่ ไดบ้ รรลมุ รรคผล สมถกรรมฐานยอ่ มเปน็ ปจั จยั ขนั้ พน้ื ฐานทจี่ ะทำ� ใหไ้ ดบ้ รรลมุ รรคผล
ข้ันสูงสุดคือ ความเปน็ พระอรหันต์ แม้ยังไม่บรรลุก็จะไมต่ กต�่ำแนน่ อน ย่อมไดร้ ับผลเป็นสขุ เพราะท�ำให้
ได้บรรลรุ ูปฌาน อรูปฌานเมือ่ ส้นิ ชีพแล้ว ยอ่ มบงั เกิดในรูปพรหมและอรูปพรหม
การเจรญิ สมถะหรือสมาธิ จงึ เป็นการอบรมใจให้ไดร้ บั ความสงบ เป็นการสร้างพลังใจใหใ้ จสงบ
นิ่งอยู่ในอารมณ์เดียว เมื่อจิตน่ิงย่อมท�ำให้สามารถประกอบกิจการต่าง ๆ ได้ดี ไม่ว่าจะศึกษาเล่าเรียน
หรอื ประกอบธุรกิจ และหนา้ ที่การงานต่างๆ ก็จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเป็นการพฒั นาคณุ ภาพ
ชีวิตให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น อันจะอ�ำนวยให้ผู้ปฏิบัติประสบความส�ำเร็จและความสุข
ทางใจและจะเกือ้ กลู ใหเ้ กิดความสุขทางกายได้เป็นอยา่ งดี
การเจรญิ สมถะหรอื สมาธิ นี้ เปน็ หลกั ปฏบิ ตั ทิ ม่ี มี ากอ่ นพทุ ธกาล ทกุ ชาติ ทกุ ภาษา และทกุ ศาสนา
กม็ แี นวทางปฏบิ ตั เิ พอ่ื ใหจ้ ติ สงบตามรปู แบบปฏบิ ตั ทิ เ่ี ปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะของตนเอง ดงั นน้ั สมถะจงึ เปน็
เร่ืองสากล ไม่เจาะจงว่าเป็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่สมถะย่อมแตกต่าง
ไปจากคำ� วา่ “วปิ สั สนา” ซึ่งเปน็ เรอ่ื งของพระพุทธศาสนาโดยตรง พระพุทธองค์ทรงเปน็ ผู้คน้ พบวิถที างนี้
ด้วยพระองค์เอง อันนับได้ว่า เป็นวิชาพิเศษของพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะเป็นการปฏิบัติท่ียิ่งยวด
กว่าสมถะ ท่เี ป็นเพยี งการปฏิบัติใหจ้ ติ เปน็ สมาธเิ พ่ือความสงบแห่งจติ ใจเทา่ น้ัน โดยไม่ได้ใชก้ ารพจิ ารณา
ดว้ ยปญั ญาใหร้ ู้แจ้งโลกและชวี ิตตามความเป็นจรงิ แต่อยา่ งใด

ความหมายวิปสั สนากรรมฐาน

สาระของวปิ สั สนา คอื อบุ ายวธิ สี ำ� หรบั ฝกึ จติ ใหเ้ กดิ ปญั ญา รแู้ จง้ ตามความเปน็ จรงิ ในพระไตรปฎิ ก
เลม่ ท่ี ๓๔ ขอ้ ๕๕ หนา้ ๓๐ (ฉบบั มหาจฬุ าฯ) พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ถงึ ความหมายของวปิ สั สนาไวว้ า่ ปญั ญา
ท่ีร้ชู ดั ดว้ ยการวจิ ยั เลอื กเฟน้ ก�ำหนดหมายคิดคน้ ใครค่ รวญธรรมให้รู้แจ้งเหน็ จริง เห็นชอบตามธรรม
นั้น น้ชี ื่อว่า วปิ ัสสนา
ตามความหมายในพระไตรปฎิ ก วิปัสสนาจึงหมายถงึ ปญั ญาทีร่ ูช้ ดั เห็นจรงิ ในธรรม
ปัญญาในความหมายทางโลกคือ สตปิ ญั ญา ความเฉลยี วฉลาดในกจิ ธรุ ะหนา้ ทีต่ ่างๆ อาจจะเป็น
ความฉลาดในทางท่ีดีก็ได้ ในทางที่ไม่ดีก็ได้ แต่ปัญญาในทางพระพุทธศาสนาน้ัน เป็นปัญญาท่ีจะต้อง
ฟาดฟนั กเิ ลสในตวั เราเอง ให้เกิดความรู้ทางใจ ที่เรียกวา่ “วปิ สั สนา”
ฉะนนั้ การปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐาน จงึ เปน็ การฝกึ ปญั ญาใหเ้ หน็ สภาพตามความเปน็ จรงิ ของโลก
และชีวิต เช่น การพจิ ารณาใหเ้ หน็ ลกั ษณะ ๓ ทีเ่ รยี กวา่ ไตรลกั ษณ์ คือ พิจารณาวา่ ชวี ิตคนเรานี.้ ..
เป็นอนจิ จงั ไมม่ อี ะไรเทยี่ งแท้แน่นอน มีเกิด มเี ส่ือม และจะต้องมีดบั เสมอ หมนุ เวียนเปล่ียนไป
เป็นวฏั สงสาร
เป็นทกุ ขงั มคี วามไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ เปน็ สงิ่ ทที่ นไดย้ าก เพราะไมอ่ ยู่ในสภาพเดมิ มีการ
เปลยี่ นแปลงไมค่ งท่ี

สำ� นักปฏบิ ตั ิธรรมประจำ� กรุงเทพมหานคร แห่งท่ี ๑ วัดยานนาวา I 171

เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นส่ิงท่ีตนบังคับไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่สมมุติข้ึน
ท้ังนัน้ ฉะน้ันจะต้องไมห่ ลงตน ไมล่ ืมตวั
แต่สาระส�ำคัญของวิปัสสนาก็คือ ก�ำหนดรู้ให้เท่าทันในอารมณ์ท่ีเกี่ยวข้อง โดยหลักการท่านให้
ก�ำหนดรู้ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ คือ
๑. กายานุปัสสนา ก�ำหนดรทู้ ันปรากฏการณ์ทางกาย เชน่ ยืน เดนิ นง่ั นอน กนิ ดื่ม ท�ำ เปน็ ตน้
เพื่อให้เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือ รู้เห็นไตรลักษณ์ของรูปนามละเอียดถ่ีถ้วนที่จะท�ำให้
สติสัมปชัญญะว่องไวทันอารมณ์ แม้กิเลสจรมาหรือเกิดขึ้น จะรู้ทันกิเลสทันทีสามารถจับกิเลสได้ทันที
เป็นการรทู้ ันดว้ ยปัญญา และเป็นการจบั ด้วยปญั ญา
๒. เวทนานปุ สั สนา ก�ำหนดรูท้ นั เวทนา เช่น เมื่อเสวยสุขเวทนา กใ็ หร้ ู้วา่ สขุ เมือ่ เสวยทุกขเวทนา
กใ็ ห้รู้ว่า ทุกข์ เม่อื เสวยอารมณฝ์ า่ ยเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกขก์ ็ใหร้ วู้ า่ ไม่สขุ ไม่ทกุ ข์
สุขเวทนา เป็นที่ต้ังที่เกิดของราคานุสัย ฉะนั้น การก�ำหนดให้รู้เท่าน้ันย่อมเป็นอุบายป้องกัน
ความยินดี เพลดิ เพลิน และความตดิ ใจหลงใหลไปตามเวทนานนั้
ทกุ ขเวทนา เป็นที่ต้ังทเ่ี กดิ ของปฏิฆานสุ ยั คอื ความยินรา้ ย ความขุ่นเคอื ง ความขดั ขอ้ งหมองใจ
การก�ำหนดใหร้ เู้ ท่าทนั จึงเป็นอุบายแยบคาย เพ่อื ป้องกันความหงดุ หงิด ความโกรธ ความพยาบาท
อเุ บกขาเวทนา ยอ่ มเปน็ ทตี่ ง้ั ทเี่ กดิ แหง่ อวชิ ชานสุ ยั ไดแ้ ก่ ความไมร่ ู้ ความมดื บอด ความไมช่ ดั เจน
ความคลุมเครือ สงสัยไม่รู้จริง ไม่รู้จักวิธีดับทุกข์ การก�ำหนดให้รู้เท่าทันจึงเป็นอุบายแยบคาย เพื่อให้มี
สตสิ ัมปชญั ญะในอันทีจ่ ะป้องกนั ความไมร่ ู้ ความมืดบอด ความสงสยั ไม่รูจ้ รงิ
๓. จิตตานุปัสสนา สติก�ำหนดพิจารณาจิตเป็นอารมณ์ได้แก่ มีสติระลึกรู้ทันปรากฏการณ์
ความคิดอ่านทางอารมณ์จนกว่าความคิดชนิดน้ันจะดับไป เม่ือความคิดชนิดนั้นดับไปก็รู้ชัดว่า ความคิด
ชนิดน้นั ดบั
๔. ธัมมานุปัสสนา สติก�ำหนดพิจารณาธรรมทั้งหลายเป็นอารมณ์ ได้แก่มีสติก�ำหนดรู้ทันธรรม
เช่น อริยสัจ ๔ ซ่ึงเป็นความจริงที่ท�ำให้เป็นผู้ประเสริฐ อันเป็นแก่นค�ำสอนของพระพุทธศาสนาที่ฝึก
ปญั ญาใหเ้ ขา้ ใจวา่
ทกุ ข์ หรือปญั หาในชีวิต เชน่ ความเกดิ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความท่จี ะตอ้ งเกย่ี วขอ้ ง
กบั คนหรอื สงิ่ แวดลอ้ มทไ่ี มน่ า่ ชอบใจ การพลดั พรากจากบคุ คลทตี่ นรกั หรอื สง่ิ ของทต่ี นรกั ความปรารถนา
สง่ิ ใดแตไ่ ม่ได้สง่ิ นั้นตามทีต่ นอยากได้ ความโศก ความพิไรร�ำพนั ความเหยี่ วแห้งใจ ความทุกข์ท้ังทางกาย
และทางจิตใจทกุ รปู แบบ เป็นส่ิงท่ที นได้ยาก
สมุทยั เปน็ สาเหตแุ ห่งทกุ ข์หรือปัญหาคือ ตัณหา ความดนิ้ รนอยากได้กามคุณ คอื รปู เสยี ง กลิ่น
รส โผฏฐพั พะ ท่ีนา่ ปรารถนานา่ ชอบใจ ความด้นิ รน อยากมอี ยากเป็นนนั่ เปน็ น่ี และอยากหลดุ พน้ ไปจาก
อารมณ์ทไี่ มน่ า่ ปรารถนาไมน่ ่าชอบใจ
นิโรธ เป็นความดับทุกข์หรือปัญหา ให้รู้จักดับตัณหาลดความด้ินรนทะยานอยากลงเสียบ้าง
หรอื ให้หมดไปอย่างส้ินเชงิ

172 I โครงการฝกึ อบรมหลักสตู รพระวปิ ัสสนาจารย์ เฉลิมพระพระเกยี รติฯ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

มรรค เป็นหนทางแห่งความดับทุกข์ หรือปัญหา ให้รู้จักหาแนวทางและวิธีปฏิบัติให้ถึงการ
ดบั ทกุ ข์ ทเ่ี รยี กวา่ หนทางอนั ประเสรฐิ ๘ อยา่ ง คอื สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ
สัมมาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สัมมาสต ิ และสัมมาสมาธิ
ธรรมเหล่าน้ี ต้องก�ำหนดให้รู้เท่าทัน ไม่เช่นนั้นจะฟุ้งซ่าน เสียปัจจุบันธรรม แทนท่ีจะรู้แจ้ง
เห็นจรงิ ในธรรมกไ็ มเ่ หน็ เมาเพลนิ ยนิ ดียินรา้ ยและยดึ ติดไปตามกระแสแห่งอารมณ์มากระทบ
การเจรญิ วปิ ัสสนานี้ ตอ้ งเจริญใหส้ มั พนั ธก์ ับไตรสกิ ขา คือ ศลี สมาธิ ปัญญา
ศลี ไดแ้ ก่ การสำ� รวมอนิ ทรยี ใ์ หเ้ รยี บรอ้ ย เมอ่ื เราสำ� รวมอนิ ทรยี เ์ รยี บรอ้ ยดแี ลว้ ยอ่ มเปน็ วเิ สสศลี
ในองค์มรรค ไมใ่ ช่ปกตศิ ลี คือ ศลี ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ แต่เป็นศีลข้ันวิเศษ ทเี่ ป็นปัจจัยให้เกดิ
สมาธใิ นขณะที่ก�ำหนด และส�ำรวมอนิ ทรยี ์ คือ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ทุกๆ คร้งั
สมาธ ิ นเี้ อง เปน็ หลักสำ� คญั อีกประการหน่ึง ในการเจริญวปิ ัสสนา เพราะผู้ปฏิบตั ิต้องมสี มาธิเปน็
ขนั้ พนื้ ฐาน ไมว่ า่ จะเปน็ สมาธใิ นขนั้ ใดกต็ าม กต็ อ้ งนำ� มาเปน็ เครอื่ งมอื ในการเจรญิ วปิ สั สนา แมแ้ ตจ่ ติ ทสี่ งบ
ชวั่ ขณะทเ่ี รยี กวา่ ขณกิ สมาธิ กส็ ามารถนำ� มาเปน็ พนื้ ฐานในการเจรญิ วปิ สั สนากรรมฐานไดด้ งั ทที่ า่ นไดก้ ลา่ ว
ไวใ้ นคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า “ปราศจากขณกิ สมาธิเสียแลว้ วิปสั สนายอ่ มมไี มไ่ ด”้ (วสิ ุทธ.ิ ฏกี า. ๑/๑๕/๒๑)
เมอื่ มสี มาธมิ นั่ คงแลว้ ยอ่ มเปน็ ปจั จยั ทเ่ี ออ้ื ตอ่ การใหเ้ กดิ ปญั ญา ความรตู้ รงตามความเปน็ จรงิ และ
เหน็ ชดั ตามลำ� ดบั ไดง้ า่ ย ดงั นนั้ การปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนาจำ� ตอ้ งอาศยั ความเกยี่ วเนอื่ งสมั พนั ธก์ นั ของไตรสกิ ขา
ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งนับว่าบกพร่องไม่สมบูรณ์ จ�ำเป็นต้องสัมพันธ์กันเสมอ เพราะศีลปราบกิเลสอย่าง
หยาบ สมาธปิ ราบกเิ ลสอยา่ งกลาง ปัญญาปราบกเิ ลสอยา่ งละเอียด ศีลเหมอื นไม้กวาดแข็งทีน่ �ำมากวาด
เศษขยะมลู ฝอยทห่ี ยาบ สมาธเิ หมอื นไมก้ วาดออ่ นรวมทง้ั ไมข้ นไกท่ นี่ ำ� มาปดั กวาดบนบา้ น ปญั ญาเหมอื นผา้
ท่นี ำ� มาเช็ดถูกระจกใหใ้ สสะอาด ฉะนั้น

อานิสงส์การปฏิบัติวปิ สั สนา

อานิสงสข์ องการเจรญิ วปิ สั สนานน้ั สามารถน�ำมาแสดงใหเ้ หน็ ตามนยั ทีท่ ่านกล่าวสรปุ ไว้ในคัมภรี ์
วิสทุ ธิมรรคมอี ยู่ ๔ ประการ คือ
๑. นานากิเลสวิทฺธสนํ ก�ำจัดกิเลสต่างๆ มีสักกายทิฏฐิคือความเห็นผิดในรูปนามขันธ์ ๕ ว่า
มีอตั ตาตัวตน เป็นต้นได้
๒. อริยผลรสานภุ วํ เสวยรสของอรยิ ผล อริยผลได้แก่ อรยิ ผล ๔ คือ โสดาปตั ตผิ ล สกทาคามผิ ล
อนาคามผิ ล อรหัตตผล
การเสวยรสแหง่ ผลนัน้ ๆ มีอยู่ ๒ ประการ คอื เสวยรสแหง่ อริยผลในมคั ควิถี ๑ (เสวยผลในขณะที่
ก�ำลังปฏบิ ัตไิ ปตามแนวทางท่เี ขา้ สอู่ รยิ ผลน้ันๆ) เสวยผลแหง่ อริยะผลในสมาบตั ติ วิ ิถี ๑ (เสวยผลในขณะ
ที่กำ� ลงั เข้าฌานสมาบัต)ิ
๓. นโิ รธสมาปตตฺ ิสมาปชฺชนสมตฺถตา สามารถเข้านโิ รธสมาบัตไิ ด้
๔. อาหุเนยฺยภาวาทสิ ทิ ธฺ ิ ส�ำเร็จเปน็ อาหเุ นยยบคุ คลของเทวดา และมนษุ ยท์ ้งั หลาย อาหุเนยย-

ส�ำนกั ปฏบิ ตั ธิ รรมประจำ� กรงุ เทพมหานคร แห่งท่ี ๑ วดั ยานนาวา I 173

บุคคล ไดแ้ ก่ พระอรหันตซ์ ่ึงเป็นบุคคลผสู้ มควรแกเ่ คร่อื งสกั การะทเี่ ทวดาและมนุษย์ทงั้ หลายน�ำมาบูชา
(วสิ ุทธิ. ๓/๓๓๕ ฉบบั บมหามกุฏราชวิทยาลัย ปี ๒๕๐๙)
อยา่ งไรกต็ าม คณุ ประโยชนใ์ นการเจรญิ วปิ สั สนานน้ั ยอ่ มเกอื้ หนนุ ใหไ้ ดร้ บั ความสขุ ทงั้ ทางรา่ งกาย
และจิตใจในชวี ติ ประจ�ำวนั ไดด้ ว้ ย คือ
คุณประโยชน์ทางร่างกาย ในการเจริญวิปัสสนานั้น ย่อมมีสมถะเป็นพื้นฐานอยู่เสมอ ดังน้ัน
จึงทำ� ให้ร่างกายมี
- อตั ราการหายใจละเอยี ดและยาวขนึ้ เปน็ ผลดตี อ่ ปอดกลา่ วคอื รา่ งกายใชอ้ อกซเิ จน และ
ขับถ่ายคาร์บอนไดออกไซดน์ อ้ ยลง
- อตั ราการเตน้ ของหัวใจน้อยลง เปน็ ผลดีต่อหัวใจ
- ปรมิ าณแลคเตท (Lactate) ในเลือด ซ่งึ เกีย่ วกับการวติ กกังวลจะลดต่ำ� ลงเปน็ ลำ� ดับ
- เลอื ดเป็นกรดสงู ขนึ้ เลก็ นอ้ ย แสดงถงึ สขุ ภาพดี
- คลืน่ สมองมีความราบเรยี บ ท�ำให้มสี ตปิ ัญญาดี
- ความตา้ นทานของผวิ หนงั สงู ข้นึ ผวิ พรรณผอ่ งใส
- ความต้านทานของร่างกายดีข้ึน อาจบรรเทาโรคแพ้ต่างๆ และโรคที่เกิดทางร่างกาย
บางอยา่ งได้
คณุ ประโยชน์ทางจติ ใจ
- ทำ� ใหจ้ ิตใจผอ่ นคลายความตึงเครยี ด
- ทำ� ใหจ้ ิตใจผ่องใส เกดิ ความสงบ เยือกเย็น ใจเย็น
- ท�ำให้จิตใจเข้มแข็ง มปี ระสทิ ธิภาพในการเรียน และการทำ� งาน
- เปน็ ผมู้ จี ิตเมตตากรณุ า และเห็นอกเหน็ ใจผู้อืน่
- เปน็ ผู้มีสติดี คอื ระลึกไดว้ า่ จะท�ำอะไร ไม่หลงลืม
- เป็นผมู้ สี ัมปชญั ญะ คอื รู้ตัวว่ากำ� ลงั ท�ำอะไรอยู่ ไมใ่ จลอย
- เป็นผมู้ ีศีล คอื ไม่ประพฤตทิ จุ รติ
- เป็นผมู้ ีสมาธิ คือ มีจติ ต้ังมนั่ เป็นอันเดียว ไมว่ อกแวกคิดฟ้งุ ซ่าน
- เป็นผู้มีปัญญา คือ มีความรอบรู้ในสิ่งท่ีเป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ส่ิงที่เป็นบุญ
และเปน็ บาป
- เปน็ ผู้มคี วามกตญั ญูตอ่ ผมู้ พี ระคุณ อ่อนน้อมถ่อมตน
ความแตกตา่ งระหว่างสมถะกับวปิ ัสสนา
การปฏิบัติธรรม หรอื ที่เรยี กว่า ปฏิบัติกรรมฐาน ดงั ทีไ่ ดอ้ ธบิ ายแล้ววา่ มีท้ังสมถกรรมฐาน และ
วิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานในประเทศไทยมีส�ำนักที่สอนทั้งสมถะและวิปัสสนาหลายแห่ง
กรรมวิธีด�ำเนินการสอนและปฏิบัตินั้นย่อมแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของจริตนิสัยของผู้ปฏิบัติ
และตามทสี่ ืบทอดกนั มาจากบุรพาจารย์ของแตล่ ะสำ� นัก เช่น

174 I โครงการฝกึ อบรมหลกั สตู รพระวิปัสสนาจารย์ เฉลมิ พระพระเกียรตฯิ ประจำ� ปี ๒๕๖๓

บางแห่งสอนใหภ้ าวนาคำ� ว่า พทุ โธ โดยใหห้ ายใจเขา้ ว่า “พทุ ” หายใจออกวา่ “โธ” บางแห่ง
ให้ภาวนาค�ำว่า “สัมมา อะระหัง” โดยใหห้ ายใจเขา้ ว่า “สัมมา” หายใจออกว่า “อะระหัง” บางแห่ง
ให้ก�ำหนดอาการพองยุบของท้อง โดยหายใจเข้าให้ก�ำหนดว่า “พองหนอ” หายใจออกให้ก�ำหนดว่า
“ยุบหนอ” บางแหง่ ให้ถอื เอานมิ ติ อย่างใดอย่างหน่งึ มาเปน็ อารณณ์ เชน่ ให้เพ่งลูกแก้ว ใหเ้ พง่ ไฟ ใหเ้ พ่ง
น้ำ� เปน็ ต้น และบางแห่งใหก้ ำ� หนดอาการเคลอ่ื นไหวของอิรยิ าบถในชีวติ ประจำ� วนั เช่น เม่ือกิน ดื่ม ท�ำ
พดู คิด ก็ให้มีสติร้เู ทา่ ทันในกริ ิยาอาการท่เี กิดขึน้ นน้ั
ในบรรดาการปฏิบัติเหล่าน้ัน ถ้าปฏิบัติโดยก�ำหนดให้จิตจดจ่ออยู่กับอารมณ์หรือส่ิงใดส่ิงหนึ่ง
โดยไม่สนใจอารมณ์หรือส่ิงอ่ืนท่ีปรากฏขึ้นในขณะปฏิบัติจนท�ำให้จิตเกิดเป็นสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นสมาธิใน
ระดบั ใดกต็ าม นถ้ี อื วา่ เปน็ สมถะ เพราะเปน็ หลกั การกระทำ� หรอื วธิ กี ารปฏบิ ตั เิ พอ่ื ใหเ้ กดิ ความสงบทางใจ
หรอื เป็นหลกั การท่ที ำ� ใหจ้ ิตไม่ซัดส่าย ไมฟ่ ้งุ ซา่ น ด�ำรงตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ใดอารมณห์ นึ่ง
แต่ถ้าปฏิบัติโดยมีอารมณ์เป็นปรมัตถ์ ได้แก่รูปนาม ตั้งสติก�ำหนดทุกอย่าง เช่น การเห็น
การได้ยิน การกิน การดม่ื การพูด การคิด เปน็ ตน้ อารมณใ์ ดปรากฏชดั เจน ก็ต้ังสตกิ ำ� หนดอารมณน์ ้ัน
ถ้ามีอารมณ์อื่นที่ชัดเจนแทรกเข้ามา ก็ท้ิงอารมณ์เดิมแล้วไปก�ำหนดอารมณ์ใหม่ เป็นการก�ำหนดให้รู้
เท่าทันรูปนาม ไม่ให้มีความยินดียินร้ายไปตามอารมณ์นั้น นี้ถือว่า เป็นวิปัสสนา เพราะธรรมดาของ
วปิ สั สนาน ี้ อารมณไ์ หนกิเลสเกิดข้นึ ได้ ก็ควรต้งั สตกิ �ำหนดอารมณน์ น้ั เพ่อื ทำ� ลายอนุสัยทจี่ ะท�ำใหเ้ กดิ
กิเลสและเพ่ือสรา้ งภมู สิ ติปัญญาใหเ้ จริญขน้ึ และเม่อื ปฏบิ ตั ิจนสติปญั ญามกี ำ� ลังมากขึน้ ก็สามารถบรรลุ
มรรคผลนพิ พานได้
“จดุ มงุ่ หมายของสมถะ” อยทู่ ก่ี ารระงบั ดบั นวิ รณ์ ๕ ทำ� ใหจ้ ติ ใจสงบ บงั เกดิ ฌาน อภญิ ญา อทิ ธฤิ ทธิ์
มีพรหมโลกเป็นท่สี ุด
ส่วน “จุดมุ่งหมายของวิปัสสนา” มงุ่ ใหเ้ กดิ ปญั ญา คือ ให้รูแ้ จง้ และเหน็ ในสภาพตามความเป็น
จริงแห่งสัจธรรมท้ังหลายว่า ธาตุแท้แห่งสังขารท่ีลุ่มหลงกันน้ันเป็นอย่างไร มีอะไรบ้างที่ไม่เปล่ียนแปลง
ไมแ่ ตกสลาย เปน็ การถอนความยึดมัน่ ถอื มนั่ ในสิ่งท้งั หลาย เพอื่ บรรลุจดุ มุ่งหมายอนั สูงสดุ ในพระพทุ ธ
ศาสนาคือพระนพิ พาน

ความเขา้ ใจทีถ่ ูกต้องตอ่ การปฏิบตั กิ รรมฐาน

ในการปฏบิ ตั กิ รรมฐานนนั้ บางคนกไ็ ดร้ บั ความสขุ สงบจากการปฏบิ ตั ิ บางคนกไ็ มไ่ ด้ การทไ่ี มไ่ ด้
นน้ั ส่วนหน่ึงน่าจะมาจากท�ำผดิ วิธี คอื บางคนเขา้ ใจผิดในเรือ่ งของนมิ ิต เช่น เม่ือกำ� ลังปฏิบตั กิ ็เหน็ นิมิต
(บางคนต้ังใจอยากเห็นเองก็มี) สมมติว่า เห็นนรกสวรรค์ เห็นผี เห็นเทวดา เห็นพระพุทธเจ้า เป็นต้น
หรอื บางคนไดก้ ลนิ่ หรอื ได้ยินเสยี งตา่ ง ๆ
ในเร่อื งน้ ี ขอทำ� ความเขา้ ใจวา่ การปฏิบตั กิ รรมฐานน้ี เมอ่ื จติ เรม่ิ สงบพอสมควรแลว้ มกั จะมนี ิมติ
มาปรากฏขน้ึ นิมติ หรอื เนรมิต ก็เรยี ก แปลวา่ สร้างขึ้น หรอื ท�ำใหเ้ กดิ ข้นึ ๓ ประเภท ๑) นิมติ ทเ่ี ปน็
รูป ๒) นมิ ติ ท่ีเป็นกลิน่ และ ๓) นิมิตที่เปน็ เสียง นมิ ิตนีแ้ บ่งเปน็ สองสว่ นคอื นิมิตนอกกับนมิ ติ ใน

สำ� นักปฏิบัติธรรมประจำ� กรงุ เทพมหานคร แห่งท่ี ๑ วัดยานนาวา I 175

ในนมิ ติ ท้งั สองนัน้ นิมติ นอก คือสงิ่ ทมี่ ีอยู่จรงิ นอกตวั เรา แล้วเราไปพบไปเหน็ เขา้ เชน่ อาจเกิด
จากเทวดา หรอื เทวบตุ รมาบันดาลใหเ้ กดิ ข้นึ กไ็ ด้
ส่วนนิมิตใน หรือนิมิตภายใน นั้น คือสิ่งท่ีใจเราสร้างเอาคิดเอาเอง เช่น สร้างรูป สร้างกลิ่น
สร้างเสยี ง สรา้ งเปน็ ตวั เป็นตนจรงิ ๆ
เพราะฉะนั้น เวลาเรานั่งสมาธิ ถ้ามีภาพอย่างน้ีบ้าง มีกล่ินอย่างนี้บ้าง มีเสียงอย่างน้ีบ้าง
แสดงว่า จิตก�ำลังเร่ิมจะสงบและก�ำลังมีอุปสรรคขวางก้ัน หรือเมื่อผู้ปฏิบัติวิปัสสนาผ่านไปจนถึงญาณที่
๔ ในบรรดาญาณ ๑๖ มกั จะเห็นสภาวะทีแ่ ปลกๆ มภี าพมาปรากฏให้เห็น มแี สงสว่างเขา้ มาปรากฏอยู่
จะเกดิ ความยินดี หรืออาจจะเขา้ ใจผดิ วา่ ตนเองไดบ้ รรลุมรรค ผล นิพพาน ก็เปน็ ได ้
ภาวะเชน่ น ี้ เรยี กวา่ “วปิ สั สนปู กเิ ลส” ซงึ่ เปน็ เหตใุ หว้ ปิ สั สนาเศรา้ หมอง วปิ สั สนปู กเิ ลส มอี ยู่๑๐ อยา่ ง
คอื โอภาส แสงสวา่ ง ฌาณ ความรู้ ปีติ ความเอิบอิม่ ใจ ปัสสัทธิ ความสงบ สขุ ความสุข อธิโมกข์
ความน้อมใจเชอ่ื ปัคคาหะ ความเพยี ร อุปฎั ฐานะ การต้ังสตไิ ว้ อเุ บกขา ความวางเฉย และ นกิ ันติ
ความใคร่
การประสบกบั ภาวะเชน่ น ้ี จะเปน็ เครื่องทดสอบว่า ผปู้ ฏบิ ตั ไิ ด้ปฏิบัตถิ กู หรือไม่ ในความเป็นจริง
ผู้ปฏิบัติในข้ันน้ียังไม่สามารถก�ำหนดให้เห็นไตรลักษณ์ได้ เพราะจิตมักถูกนิมิตและวิปัสสนูปกิเลสเข้า
ครอบงำ� อย่เู สมอ ดงั น้นั ในการเรียนกรรมฐานท่านจงึ สอนใหถ้ วายตวั มอบตัวเปน็ ศษิ ย์ของอาจารย์หรือ
พระวปิ สั สนาจารยท์ มี่ คี วามชำ� นาญในการปฏบิ ตั เิ สยี กอ่ น อาจารยเ์ หลา่ นนั้ จะเปน็ กลั ยาณมติ รคอยแนะนำ�
หรือชว่ ยแก้ไขให้หลดุ พ้นไปจากอุปสรรคทีม่ าขัดขวางนั้น
ตามหลกั ปฏบิ ตั ธิ รรมในพระพทุ ธศาสนา ถา้ มนี มิ ติ และวปิ สั สนปู กเิ ลสเกดิ ขนึ้ ทา่ นใหก้ ำ� หนดรปู นาม
เพอ่ื ใหเ้ หน็ ความเกดิ ดบั ความเปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง เปน็ ทกุ ข์ เปน็ อนตั ตาของสรรพสงิ่ โดยไมใ่ หใ้ สใ่ จถงึ สภาวะ
ต่างๆ ทีป่ รากฏขน้ึ ไมค่ วรไปยึดม่ันถือม่ัน เพราะจะทำ� ให้จิตฟัน่ เฟอื นหรือเสียสติได้ หรือถ้าหากจะใสใ่ จ
ต่อสภาวะเชน่ นั้นก็ควรกำ� หนดวา่ เห็นหนอ ได้ยนิ หนอ เปน็ ต้น โดยไม่แตง่ ไปตามอารมณ์น้ัน เมือ่ ทำ� ได้
เชน่ น ้ี ย่อมสามารถสลัดความยดึ ตดิ ในสภาวะท่ีเกดิ ขน้ึ นัน้ ได้ และควรกำ� หนดรูปนามต่อไปเพราะจะเปน็
หนทางทีจ่ ะท�ำใหก้ ้าวหน้าในการปฏบิ ัตยิ งิ่ ๆ ขนึ้ ไป
อีกประการหน่ึง การที่บุคคลปฏิบัติกรรมฐานไปแล้ว มีอาการปวดศีรษะ หรือฟุ้งซ่านไปบ้าง
ปวดตามสว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกายบา้ ง ซงึ่ อาการตา่ งๆ ดงั กลา่ วน้ี ยอ่ มมสี าเหตมุ าจากการปฏบิ ตั ทิ เ่ี ครง่ เกนิ ไป
หรอื เพราะการปรับอินทรียไ์ ม่เทา่ กนั เช่น น่ังมากเกนิ ไป เดนิ จงกรมมากจนเกินไป อยากจะให้จติ สงบ
น่งิ เร็ว หรืออยากจะบรรลุธรรมเรว็ ๆ เลยไปบงั คับจิตบังคบั ลมทตี่ นเองก�ำหนดมากเกินไป เป็นต้น เชน่ น้ี
ย่อมทำ� ใหเ้ กดิ ความผิดปรกตทิ างร่างกายขึ้นได้ เพราะฉะนนั้ ในเวลาปฏบิ ัติ อาจารยท์ า่ นจงึ สอนให้ปรบั
อนิ ทรยี ใ์ หเ้ สมอกนั นัง่ พอประมาณ เดนิ พอประมาณ ไมต่ อ้ งไปบังคับลม ท�ำจิตใจใหส้ บาย เมอื่ ท�ำได้เช่น
นี้ อาการเหล่าน้ันกจ็ ะหายไป
แต่ถ้าปรับอินทรีย์ให้เสมอกันแล้ว อาการเหล่านั้นยังไม่หายไป ตามหลักการปฏิบัติธรรมในทาง
พระพุทธศาสนา ท่านถือว่าอาการเหล่าน้ีเกิดจากกรรมเก่า กรรมที่เคยท�ำมาในอดีตชาติ หรือในชาติ

176 I โครงการฝึกอบรมหลกั สตู รพระวิปัสสนาจารย์ เฉลมิ พระพระเกยี รตฯิ ประจำ� ปี ๒๕๖๓

ปจั จบุ นั ก่อนทจ่ี ะมาปฏบิ ัตกิ รรมฐาน เช่น เคยเบียดเบียนท�ำร้ายมนษุ ย์และสัตว์มากอ่ น เป็นตน้ ในการที่
จะระงบั อาการเชน่ นไ้ี ด้ ทา่ นสอนใหผ้ ปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมทง้ั หลาย ใหห้ มน่ั ทำ� บญุ แผเ่ มตตา ใหเ้ จา้ กรรม
นายเวร และอทุ ศิ สว่ นบญุ สว่ นกศุ ลใหเ้ ขาอยเู่ สมอ บญุ กศุ ลยอ่ มจะชว่ ยผอ่ นหนกั ใหเ้ ปน็ เบาไดอ้ ยา่ งแนน่ อน

วิปสั สนามีเฉพาะในพระพุทธศาสนา

คำ� วา่ MEDITATION ทนี่ กั ปฏบิ ตั ธิ รรมทงั้ หลายเรยี กรวมการปฏบิ ตั ธิ รรม หรอื การปฏบิ ตั กิ รรมฐาน
ทง้ั สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานนั้น มีความหมายเพยี งในขั้นสมถกรรมฐาน กรรมฐานเป็นอุบาย
ท�ำจิตใจให้สงบ คอื สงบจากกิเลสความโลภความโกรธและความหลงเป็นต้น แตย่ ังไม่สามารถดับกเิ ลสได ้
ท่านเปรียบคุณภาพของสมถกรรมฐานเพียงดุจเอาหินทับหญ้าไว้เท่านั้น คือหญ้ายังไม่ตาย เมื่อหินร้าว
หญ้าอาจท�ำให้หนิ แตกได ้ และสมถกรรมฐานน้ีมใี นทกุ ศาสนา
แต่ วปิ สั สนากรรมฐาน คอื หลกั ปฏบิ ตั เิ พอื่ ใหเ้ กดิ ธรรมปญั ญา ทำ� จติ ใจใหส้ ะอาดสวา่ งสงบ และ
มคี ณุ ภาพวเิ ศษสามารถดบั กเิ ลส ใหบ้ รรลถุ งึ มรรคผลนพิ พานได้ ซง่ึ วปิ สั สนากรรมฐานน้ี มหี ลกั ปฏบิ ตั ิ
เฉพาะในพระพุทธศาสนาเทา่ นน้ั
เพราะฉะนน้ั พระพทุ ธศาสนา เปน็ ศาสนาทป่ี ระเสรฐิ เปน็ มรดกธรรมอนั อมตะและบรสิ ทุ ธห์ิ มดจด
ทพ่ี ระบรมศาสดาสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดท้ รงเมตตาประทานไวแ้ กเ่ ราทงั้ หลาย เราทง้ั หลายจงึ ควรภาคภมู ใิ จที่
มโี ชค ไดเ้ กดิ มาพบพระพทุ ธศาสนา และไดม้ โี อกาสศกึ ษาอบรมประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นทาน ศลี ภาวนา เปน็ ตน้
โดยเฉพาะไดบ้ ำ� เพญ็ อธกิ ศุ ล ในสมถกรรมฐานและวปิ สั สนากรรมฐาน สบื สานใหเ้ กดิ ความรม่ เยน็ สขุ สวสั ดี
ตลอดมา

ขออ�ำนวยพร

ในท่ีสุดแห่งธรรมกถาส่งเสริมศรัทธาการปฏิบัติธรรมน้ี ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และขอ
กศุ ลมยั ในการบำ� เพญ็ สว่ นทาน สว่ นศลี โดยเฉพาะในสว่ นแหง่ ภาวนามยั กศุ ล พรอ้ มดว้ ยอานสิ งสแ์ หง่ การ
ปฏบิ ตั กิ รรมฐาน ทง้ั ในทางสมถกรรมฐานและในทางวปิ สั สนากรรมฐาน จงเปน็ พลวปจั จยั อำ� นวยชยั มงคล
ใหท้ า่ นสาธชุ นผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมทง้ั หลาย เจรญิ ดว้ ยจตรุ พธิ พรชยั ทงั้ ในปจั จบุ นั และในอนาคตกาล โดยเฉพาะ
ให้บรรลุถึงซ่ึงมรรคผลนิพพาน สมดังมโนปณิธานปรารถนา ในการประพฤติปฏิบัติธรรม ทุกประการ
ทุกทา่ น เทอญฯ

สำ� นักปฏิบัติธรรมประจำ� กรุงเทพมหานคร แห่งท่ี ๑ วดั ยานนาวา I 177

ค�ำสมาทานกรรมฐาน

สำ� นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมประจ�ำกรงุ เทพมหานคร แหง่ ที่ ๑ วัดยานนาวา

อมิ าหํ ภควา อตฺตภาวํ ตมุ หฺ ากํ ปริจฺจชาม.ิ
ขา้ แตอ่ งคส์ มเด็จพระผูม้ พี ระภาคเจ้า ขา้ พระพทุ ธเจา้ ขอมอบกายถวายตัว แด่พระองค์ เพ่ือเจรญิ
วปิ ัสสนากรรมฐาน
อมิ าหํ อาจรยิ อตตฺ ภาวํ ตุมฺหากํ ปรจิ จฺ ชาม.ิ
ข้าแต่พระอาจารย์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายตัว ต่อครูบาอาจารย์ เพื่อเจริญวิปัสสนา
กรรมฐาน
นิพพฺ านสฺส เม ภนเฺ ต สจฺฉกิ รณตถฺ าย กมมฺ ฏฺฐานํ เทหิ.
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้กรรมฐานแกข่ า้ พเจ้า เพ่ือทำ� ใหแ้ จง้ ซง่ึ มรรค ผล นพิ พานต่อไป
อหํ สุขิโต โหมิ, นิทฺทุกฺโข โหมิ, อเวโร โหมิ, อพฺยาปชฺโฌ โหมิ, อนีโฆ โหมิ, สุขี อตฺตานํ
ปริหราม.ิ
ขอใหข้ า้ พเจา้ ถงึ ความสขุ ปราศจากความทกุ ข์ ไมม่ เี วร ไมม่ ภี ยั ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี น ซงึ่ กนั และกนั
ไม่มคี วามลำ� บาก ไม่มีความเดอื ดรอ้ น ขอให้มคี วามสขุ รักษาตนอย่เู ถิด
สพฺเพ สตตฺ า สขุ ิตา โหนฺตุ, นิทฺทุกขฺ า โหนตฺ ,ุ อเวรา โหนฺต,ุ
อพฺยาปชฌฺ า โหนฺต,ุ อนีฆา โหนฺตุ, สขุ ี อตฺตานํ ปริหรนฺต.ุ
ขอให้สัตว์ทั้งหลายทุกตัวตน ตลอดเทพบุตร เทพธิดาทุกองค์ พระภิกษุสามเณร และผู้ปฏิบัติ
ธรรมทุกๆ ทา่ น จงเปน็ ผมู้ คี วามสขุ ปราศจากความทกุ ข์ ไมม่ เี วร ไมม่ ภี ยั ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี นซง่ึ กนั และกนั
ไมม่ ีความล�ำบาก ไม่มีความเดอื ดร้อน ขอใหม้ คี วามสขุ รกั ษาตนอยู่เถิด
อทฺธวุ ํ เม ชีวิต,ํ ธุวํ มรณ,ํ อวสฺสํ มยา มรติ พฺพํ, มรณปรโิ ยสานํ เม ชีวิต,ํ ชวี ติ เมว อนยิ ต,ํ มรณํ
นยิ ตํ.
ชีวิตของเราเป็นของไม่ย่ังยืน ความตายเป็นของย่ังยืน เราจะต้องตายแน่ เพราะว่าชีวิตของเรา
มีความตายเป็นที่สุด ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ความตายเป็นของแน่นอนแท้ เป็นโชคอันดีท่ีเราได้เข้ามา
ปฏบิ ัตวิ ิปสั สนากรรมฐาน ในโอกาสนี้ ไม่เสยี ทที ีไ่ ดเ้ กดิ มาเปน็ มนษุ ย์ พบพระพุทธศาสนา
เยเนว ยนฺติ นพิ ฺพานํ พุทฺธา เตสญจฺ สาวกา
เอกายเนน มคเฺ คน สติปฏฐฺ านสญฺญินา
พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอริยสาวก ได้ด�ำเนินไปสู่พระนิพพานด้วยหนทางสายน้ี อันเป็นทาง
สายเอก ซ่ึงนักปราชญ์ราชบัณฑติ ท้งั หลายรู้ท่วั ถึงกันแลว้ ว่าได้แก่ สตปิ ฏั ฐาน ๔
ข้าพเจ้าขอต้ังสัจอธิษฐานปฏิญาณตนต่อพระรัตนตรัย และต่อครูบาอาจารย์ว่า“ต้ังแต่น้ีต่อไป
ขา้ พเจา้ จะตงั้ อกตง้ั ใจประพฤตปิ ฏบิ ตั จิ รงิ ๆ เทา่ ทตี่ นสามารถ เทา่ ทต่ี นมโี อกาสจะปฏบิ ตั ไิ ด้ เพอ่ื ใหไ้ ดบ้ รรลุ
มรรค ผล นพิ พาน”

178 I โครงการฝึกอบรมหลกั สตู รพระวปิ สั สนาจารย์ เฉลมิ พระพระเกยี รติฯ ประจำ� ปี ๒๕๖๓

อมิ าย ธมมฺ านธุ มฺมปฏปิ ตตฺ ิยา รตนตตฺ ยปํ ูเชม.
ขา้ พเจา้ ขอบชู าพระรัตนตรัย ดว้ ยการปฏิบัตธิ รรมสมควรแก่มรรค ผล นพิ พาน นี้ ดว้ ยสจั วาจาท่ี
กลา่ วอา้ งมาน้ี ขอใหข้ า้ พเจา้ ได้บรรลมุ รรค ผล นพิ พาน ดว้ ยเทอญ.
สวดบท อติ ปิ โิ ส ฯลฯ กรณียเมตตสูตร, ขนั ธปริตร และ ภะวะตุสัพพะ ฯ

สำ� นกั ปฏบิ ัตธิ รรมประจ�ำกรุงเทพมหานคร แห่งที่ ๑ วัดยานนาวา I 179

วิธีปฏบิ ัติวปิ ัสสนากรรมฐาน

พระมหานงค์ สมุ งคฺ โล ป.ธ.๙, ดร. ผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวัดยานนาวา
อาจารยใ์ หญฝ่ า่ ยวปิ สั สนาธรุ ะ สำ� นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมประจำ� กรงุ เทพมหานคร แหง่ ที่ ๑ วดั ยานนาวา

วิธกี ราบพระอย่างมีสติทกุ ขณะ ใจน้อมสธู่ รรมะไดเ้ ร็ว

เบ้ืองต้นของการประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องมีการกราบพระกราบครูบาอาจารย์ การกราบใน
ขณะปฏิบัติธรรม เป็นการฝึกกราบด้วยสติ ไม่ใช่กราบพอเป็นพิธีเท่านั้น กราบเป็นการแสดงถึงความ
เคารพ การมีความเคารพแสดงออกถึงความเป็นผู้มีจิตอ่อนโยน อ่อนน้อม และพร้อมที่จะรับค�ำสอน
เพราะถา้ ขาดความเคารพ ความสงบกไ็ มม่ ี ดงั ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวใ้ นคารวสตู รท่ี ๑ วา่ “ดกู รภกิ ษทุ งั้ หลาย
ข้อที่ภิกษุผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความย�ำเกรง ไม่มีความประพฤติเสมอในเพ่ือนพรหมจรรย์ จักบ�ำเพ็ญ
ธรรมคืออภิสมาจาริกวัตรให้บริบูรณ์นั้น ไม่ใช่ฐานะท่ีจะมีได้ ข้อที่ภิกษุไม่บ�ำเพ็ญธรรม คืออภิสมาจาริก
วัตรให้บรบิ ูรณแ์ ลว้ จักบ�ำเพญ็ ธรรมของพระเสขะใหบ้ รบิ รู ณน์ ้นั ไม่ใชฐ่ านะทีจ่ ะมีได้ ข้อทภี่ กิ ษไุ ม่บ�ำเพ็ญ
ธรรมของพระเสขะให้บริบูรณ์แล้ว จักรักษาศีลให้บริบูรณ์น้ัน ไม่ใช่ฐานะท่ีจะมีได้ ข้อที่ภิกษุไม่รักษาศีล
ให้บรบิ รู ณแ์ ลว้ จกั อบรมสมั มาทฐิ ใิ หบ้ รบิ รู ณน์ น้ั ไมใ่ ชฐ่ านะทจี่ ะมไี ด้ ขอ้ ทภี่ กิ ษไุ มอ่ บรมสมั มาทฐิ ใิ หบ้ รบิ รู ณแ์ ลว้
จกั เจรญิ สมั มาสมาธใิ ห้บรบิ ูรณไ์ ดน้ ั้น ไม่ใชฐ่ านะทจ่ี ะมีได”้ (พระไตรปฎิ ก เล่มที่ ๒๒)
การฝึกเจริญสติด้วยการกราบในท่าเบญจางคประดิษฐ์ จะท�ำให้ผู้ปฏิบัติเกิดสติได้เร็วและมีจิตที่
อ่อนโยนมากขึน้ ตามล�ำดับ ดังน้ี
๑. ขณะนง่ั อยู่ มอื ทั้งสองข้างวางไวห้ นา้ ขา ให้กำ� หนดรอู้ าการนง่ั ภาวนาวา่ “นง่ั หนอๆๆ”
๒. ขณะนนั้ มคี วามรสู้ ึกว่าอยากกราบพระ กำ� หนดทตี่ น้ จติ ภาวนาว่า “อยากกราบหนอๆๆ”
๓. ขณะพลกิ มอื ซา้ ยตะแคงขนึ้ ภาวนาวา่ “พลกิ หนอๆๆ” จนกระทง่ั มอื ซา้ ยตะแคงตง้ั ขนึ้ มอื ขวา
ก็ก�ำหนดรเู้ ชน่ กัน
๔. ขณะยกมือขึ้นตรงจากหน้าขา (ท้ัง ๒ มือ) ให้จิตอยู่กับมือที่ค่อยๆ ยกมาช้าๆ ภาวนาว่า
“ยกหนอ” รูท้ ลี ะขา้ ง ทีละขณะจติ
๕. ขณะเคลื่อนมือมาช้าๆ ภาวนาวา่ “มาหนอ”
๖. ขณะมือ ๒ ข้างประกบกนั จิตรูก้ ารสัมผัสท่เี กิดข้นึ ภาวนาว่า “ถูกหนอ”
๗. ให้พนมมือในลักษณะท่ีสวยงาม คอื ๕ น้วิ เหยียดตรงชดิ ติดกนั มอื ไมก่ าง มอื ท้งั ๒ แนบติด
หนา้ อกในท่า “อญั ชลี” คอื การพนมมือเพื่อเตรียมตวั กราบ
๘. จิตอยทู่ ่มี ือท้งั สองข้าง คอ่ ยๆ ยกมอื ขนึ้ ในทา่ วนั ทา ภาวนาวา่ “ยกหนอ”
๙. ขณะทีม่ ือถกู หน้าผาก ภาวนาว่า “ถูกหนอ”
๑๐. ในทา่ น้ีเรยี กวา่ “วันทา” คอื การไหว้หัวแมม่ อื อยรู่ ะหวา่ งค้วิ ปลายนิ้วอยทู่ ี่เชงิ ผม โนม้ ศรี ษะ
ลงเลก็ น้อย

180 I โครงการฝึกอบรมหลักสตู รพระวิปัสสนาจารย์ เฉลมิ พระพระเกยี รติฯ ประจำ� ปี ๒๕๖๓

๑๑. ขณะท่ีก้มลงกราบช้าๆ (ก้มลงท้ังตัวและทั้งศีรษะ หัวแม่มือแนบติดหน้าผาก) ก�ำหนดว่า
“กม้ หนอๆๆ” จนถงึ พ้นื
๑๒. ขณะฝ่ามือถูกพ้นื หน้าผากถกู พนื้ ภาวนาว่า “ถูกหนอ”
๑๓. ภาวนาในใจวา่ “พุธโธ เม นาโถ พระพุทธเจ้าเปน็ ทพ่ี ึง่ ของข้าพเจ้า”
๑๔. ขณะค่อยๆ ยกศีรษะขน้ึ ภาวนาวา่ “เงยหนอ”
๑๕. ขณะจติ อยูก่ ับกายทีก่ �ำลงั ตง้ั ขึน้ ภาวนาวา่ “ตงั้ หนอ”
๑๖. ขณะลำ� ตวั ตัง้ ตรง ภาวนาวา่ “ตรงหนอ”
๑๗. จากนนั้ ให้ฝกึ กราบต้ังแต่ข้อ ๔-๑๖ อกี ๒ คร้ัง จนครบ ๓ คร้งั ขณะกราบครง้ั ท่ี ๒ ภาวนา
ในใจว่า “ธัมโม เม นาโถ พระธรรมเปน็ ที่พงึ่ ของขา้ พเจา้ ” ขณะกราบคร้ังที่ ๓ ภาวนาในใจวา่ “สงั โฆ
เม นาโถ พระสงฆ์เปน็ ท่พี ่ึงของข้าพเจา้ ”
๑๘. ขณะปล่อยมือลง ภาวนาวา่ “ลงหนอ”
๑๙. ขณะมอื ถูกเขา่ ภาวนาวา่ “ถูกหนอ” ในลักษณะมือตั้งไว้
๒๐. ขณะควำ�่ ฝ่ามอื ภาวนาวา่ “คว�่ำหนอ”
เมื่อจะลุกข้ึนเดินจงกรมก�ำหนดต้นจิตว่า “อยากลุกหนอๆ” ถ้าจะน่ังสมาธิให้ก�ำหนดต้นจิตว่า
“อยากนั่งหนอๆๆ” แล้วจึงขยบั กายเพื่อนั่งสมาธติ ่อไป
ขณะกราบพระเป็นเวลาส�ำหรับการภาวนา ควรหลับตาด้วยการก�ำหนดในใจ เพราะจะท�ำให้จิต
เป็นสมาธิเร็ว เม่ือฝึกใหม่ๆ ถา้ รูส้ กึ เครยี ดหรอื ตงึ ใหล้ ดขน้ั ตอนการภาวนาลง ภาวนาแบบสบายๆ กอ่ น
ไมต่ อ้ งละเอยี ดมาก แตใ่ หม้ สี ตอิ ยกู่ บั กายเทา่ ทจี่ ะกำ� หนดรไู้ ด้ แตเ่ มอ่ื ฝกึ บอ่ ยๆ จนชำ� นาญแลว้ ใหเ้ พม่ิ ความ
ละเอียด ยงิ่ เปน็ การดีมาก เพราะจะท�ำใหจ้ ิตละเอียด สติ และสมาธิดขี ึน้ ตามลำ� ดับ
ควรกราบพระทุกคร้ังก่อนออกจากห้องและกลบั เข้าห้องปฏิบัติ ถา้ ฝึกไดอ้ ยา่ งน้เี ราก็จะไมพ่ ลาด
จากการเจรญิ สติแม้แตข่ ณะจิตเดียว

ส�ำนกั ปฏบิ ัติธรรมประจำ� กรงุ เทพมหานคร แห่งท่ี ๑ วดั ยานนาวา I 181
วางมอื สำ� รวมกายา เดนิ ช้า เหมือนคนป่วย

ในขณะเดินจงกรมหรือเดินไปมาระหว่างวัน ควรเก็บวางมือในท่าส�ำรวม จะวางไว้ด้านหน้าหรือ
ด้านหลังก็ได้ตามถนัด ให้ยืนตัวตรง ก้มศีรษะเพียงเล็กน้อย ไม่ก้มหน้ามาก เพราะจะท�ำให้เสียบุคลิก
และปวดไหล่ ส้นเท้าท้ังสองชิดกัน ปลายเท้าแยกห่างกันเล็กน้อย ให้ทอดสายตามองต่�ำ ห่างจากปลาย
เทา้ ประมาณ ๔ ศอก หรือ ๒ เมตร ห้ามหลับตาเดิน ตามวธิ ฝี ึก ดังนี้
แบบท่ี ๑
๑. ยกมือข้ึนในท่าส�ำรวม จิตมารู้ที่มือซ้ายขณะท่ียกมือซ้ายข้ึนช้าๆ ภาวนาว่า “ยกหนอ”
จนกระท่งั มือตงั้ เหยียดตรง นิ้วชดิ ติดกนั ไมก่ างมอื ไมม่ องมือ แต่จิตอยู่กับการเคล่อื นไหวมอื
๒. ขณะเคล่ือนเข้าหาตวั ครงึ่ หน่งึ ภาวนาว่า “มาหนอ”
๓. ขณะวางมอื ลงแนบกาย ภาวนาวา่ “วางหนอ” โดยวางมือในลักษณะเฉยี งลงเล็กนอ้ ย มือขวา
ก็กำ� หนดรูเ้ ชน่ กัน
๔. วางมือในท่าส�ำรวม คือมือขวาจับข้อมือซ้าย หย่อนลงเล็กน้อยไม่เกร็งมือ เป็นท่ามาตรฐาน
ทวั่ ไป
แบบท่ี ๒
๑. ในกรณีเดนิ ไปนานๆ รสู้ กึ เมอ่ื ย ภาวนาว่า “เมอื่ ยหนอๆๆ”
๒. เมอื่ ต้องการเปลยี่ นมือ ไม่ควรรบี เปล่ียนตามใจ กำ� หนดทต่ี ้นจติ ว่า “อยากเปลีย่ นหนอๆๆ”
ให้สติเปน็ ตัวช่วยในการเปลย่ี น
๓. ขณะยกมือขวาออกจากมอื ซา้ ย ภาวนาว่า “ยกหนอ” ยกในลักษณะตง้ั ตรงกับล�ำตัว
๔. ขณะเคลอ่ื นมอื ไปด้านหลงั ช้าๆ ภาวนาวา่ “มาหนอ”
๕. ขณะมอื วางลงด้านหลัง ภาวนาวา่ “วางหนอ” มือซ้ายกก็ �ำหนดรูเ้ ช่นกัน
๖. หากเมอื่ ย เม่อื จะเปลยี่ นกลับมาอกี ครงั้ ให้กำ� หนดรอู้ าการว่า “เมอ่ื ยหนอๆๆ”
๗. กำ� หนดทตี่ น้ จติ “อยากเปลีย่ นหนอๆๆ”
จากนัน้ จึงก�ำหนด “ยกหนอ” “มาหนอ” “วางหนอ” ตามล�ำดบั จนกระทั่งวางมือในท่าส�ำรวม
ดา้ นหนา้ ตามเดิม

วธิ ีก�ำหนดยนื สมาธิ

กอ่ นนั่งสมาธทิ ุกคร้งั ให้เดินจงกรมก่อน การยนื กำ� หนดเป็นการฝกึ ปฏิบัตติ ามหลักมหาสติปฏั ฐาน
ในหมวดอิริยาบถวา่ ฐโิ ต วา ฐิโตมหีติ ปะชานาติ (เม่อื ยนื อยู่ กร็ ้ชู ัดวา่ ยนื อย)ู่ ดังนี้
๑. เมอื่ อยากลกุ ยนื ใหก้ ำ� หนดตน้ จติ วา่ “อยากลกุ หนอ” แลว้ คอ่ ยๆ รอู้ ริ ยิ าบถยอ่ ยขยบั กายลกุ ขนึ้
๒. ขณะยืนอยูใ่ ห้ภาวนาว่า “ยนื หนอ” คร้ังท่ี ๑ ให้ก�ำหนดรู้กายทยี่ ืน ตั้งแต่เสน้ ผมบนศรี ษะจรด
ปลายเทา้ จิตอยูก่ ับกาย สตกิ ำ� หนดรทู้ ่ีอาการยนื (คืออาการตั้งตรงของรา่ งกายท้งั หมด ไม่จดจ่ออยทู่ ่รี ูป
พรรณสณั ฐานจุดใดจุดหน่ึง)

182 I โครงการฝึกอบรมหลักสตู รพระวิปสั สนาจารย์ เฉลิมพระพระเกยี รตฯิ ประจ�ำปี ๒๕๖๓

๓. ภาวนาวา่ “ยนื หนอ” ครง้ั ที่ ๒ ใหก้ ำ� หนดรกู้ ายทยี่ นื ตงั้ แตป่ ลายเทา้ ขนึ้ มาจนถงึ เสน้ ผมบนศรี ษะ
๔. ภาวนาวา่ “ยนื หนอ” ครงั้ ที่ ๓ ใหก้ ำ� หนดรกู้ ายทยี่ นื ตงั้ แตเ่ สน้ ผมบนศรี ษะจรดปลายเทา้ ทบทวน
กลบั ไปกลบั มาอยา่ งน้ี โดยอนุโลมและปฏิโลมจนจติ ต้ังมน่ั อยู่กบั กายท่ียืน
๕. จะก�ำหนด ๕ ครั้ง หรือกี่ครั้งก็ได้จนกวา่ จติ จะสงบ เรยี กวา่ “ยนื สมาธิ” ท้ังนี้ เราสามารถยืน
กำ� หนดได้ในอริ ิยาบถน้ี เมื่อต้องการพกั ในท่ายนื จนกวา่ จิตจะสงบเกดิ สมาธิ
ขณะยนื มอี าการคดิ เกดิ ขนึ้ ใหล้ ะจากการกำ� หนดรรู้ ปู ยนื มากำ� หนดใหท้ นั อาการคดิ วา่ “คดิ หนอๆๆ”
จนกวา่ ความคิดจะดบั หายไปด้วยการภาวนาอย่างตดิ ตอ่ แลว้ จึงกลับมาก�ำหนดอาการยืนต่อไป
ไม่ควรหลบั ตา หรือสอดส่ายสายตาเพอื่ หาอารมณ์อืน่ ๆ
ไม่ควรก้มจนเกินไป หรอื แหงนหน้ามองสงิ่ อืน่ ๆ โดยไม่จ�ำเปน็
ไม่เพ่งดูสัณฐานบัญญัติส่วนใดส่วนหน่ึงของร่างกายโดยเฉพาะที่ถูกแล้วควรก�ำหนดรู้เพียงแค ่
อาการ หรือความรสู้ กึ ตัววา่ ยนื อยเู่ ท่านั้น
การยืนก�ำหนดควรยืนน่ิงๆ อยู่กับอาการยืน สติท่ีเข้าไปก�ำหนดรู้ ต้องจดจ่อต่อเนื่องไม่ขาดตอน
เมอ่ื ฝึกกำ� หนดบอ่ ยๆ จะทำ� ใหส้ มาธดิ ยี ่ิงข้ึน
จงึ จะเรยี กวา่ “การยืนสมาธ”ิ

วิธีเดินจงกรม ระยะที่ ๑

การเดินจงกรมเป็นเทคนคิ ฝึกให้สมาธติ ั้งมัน่ ได้ดี ขณะเดนิ จงกรมห้ามหลบั ตาเดิน ห้ามเดนิ ต่อส้น
เท้า ไมก่ ้าวยาวจนเขยง่ เท้า เดนิ ใหเ้ ป็นธรรมชาติ ไมม่ องดูรปู ร่างสัณฐานของเท้า แตใ่ ห้ส่งความรูส้ กึ ไปที่
เท้า รับรู้อาการเคลื่อนไหวของเท้าให้ทันปัจจุบัน ต้ังแต่เร่ิมต้นจนส้ินสุดการเดิน ให้ส�ำรวมสายตาตลอด
เวลา ไมม่ องซา้ ยมองขวา ให้เดนิ จงกรมภายในระยะประมาณ ๕-๑๐ เมตร ไม่ควรเดนิ ไกลมากเกนิ ไปหรอื
ส้ันเกนิ ไป
ควรเดินจงกรมกอ่ นนัง่ สมาธิทกุ คร้งั
เพราะจะไมม่ อี าการงว่ งนอน จะทำ� ให้น่งั ได้ดีและอนิ ทรียเ์ สมอกนั ตามขั้นตอน ดังน้ี
๑. การเดนิ ระยะท่ี ๑ เปน็ การเดนิ ระยะเบอื้ งตน้ เห็นการเกดิ ดับของรูปนาม ๑ ขณะ เพือ่ ใหจ้ ติ
อยกู่ บั กายทุกๆ ขณะ มีค�ำภาวนาวา่ “ขวายา่ งหนอ” หรอื “ซา้ ยย่างหนอ”
๒. กำ� หนดทต่ี ้นจติ วา่ “อยากเดินหนอๆๆ”
๓. จติ อยทู่ ีส่ น้ เทา้ ขวา ภาวนาว่า “ขวา” พร้อมกับอาการยกเฉพาะสน้ เท้าขวาขนึ้ ชา้ ๆ ปลายเท้า
ยังแตะพ้ืนอยู่ (คำ� ภาวนากับอาการยกเท้าตอ้ งพรอ้ มกัน) กำ� หนดให้ได้ปจั จุบันมิใช่เพยี งพูดหรอื ทอ่ ง
๔. ภาวนาว่า “ย่าง” พรอ้ มกับค่อยๆ เคลอ่ื นเทา้ ไปขา้ งหนา้ ช้าๆ จนสน้ เทา้ ขวาเลยปลายเท้าซ้าย
ประมาณ ๒ นว้ิ แลว้ คอ่ ยๆ วางฝา่ เทา้ ลงสพู่ ืน้ (เอาปลายเท้าลงก่อน)
๕. ขณะเทา้ ถูกพนื้ ภาวนาวา่ “หนอ” พรอ้ มกับอาการวางเท้าลงแตะถูกพ้นื จนสน้ เรียบแล้วนิ่ง
คือสนิ้ สุดอาการเดิน


Click to View FlipBook Version