The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิเคราะห์แบบเรียนหลักภาษาไทย ม.3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Suphachai Boonladee, 2024-06-17 11:51:26

วิเคราะห์แบบเรียนหลักภาษาไทย ม.3

วิเคราะห์แบบเรียนหลักภาษาไทย ม.3

วิเคราะห์หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) โดย นายศุภชัย บุญละดี 631031309 นางสาวอมฤต จิตรนิรัตน์ 631031318 นิสิตชั้นปีที่ 4 สาขาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ เสนอ อาจารย์ ปริยากรณ์ ชูแก้ว รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 0111452 แบบเรียนภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 มหาวิทยาลัยทักษิณ


ก ค าน า รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 0111452 แบบเรียนภาษาไทย จัดท าขึ้นเพื่อศึกษาและ วิเคราะห์หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) ในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ 1. ลักษณะของรูปเล่ม 2. ลักษณะภายใน 3. เนื้อหาภายในแบบเรียน 4. จุดเด่น จุดด้อย และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแบบเรียน และ 5. องค์ความรู้ใหม่จากการสังเคราะห์แบบเรียนภาษาไทย เพื่อท าความ เข้าใจเกี่ยวกับแบบเรียนรายวิชาภาษาไทยเพิ่มมากยิ่งขึ้นอีกทั้งยังสามารถพิจารณาคัดเลือกแบบเรียนไปใช้ ประกอบกระบวนการจัดการเรียนการสอนต่อไป การจัดท าวิเคราะห์แบบเรียนภาษาไทยครั้งนี้ผู้ศึกษาขอขอบคุณ อาจารย์ปริยากรณ์ชูแก้ว อาจารย์ผู้สอนประจ ารายวิชา ที่ได้ให้ค าปรึกษาและข้อเสนอแนะในการจัดท ารายงาน ผู้ศึกษาหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษาค้นคว้า หากมีสิ่งใดในรายงานฉบับนี้ จะต้องปรับป รุง หรือมีข้อผิดพลาด ผู้ศึกษาขอน้อมรับไว้เพื่อเป็นอย่างในการปรับปรุงการจัดท ารายงานในครั้งถัดไป ผู้ศึกษา


ข สารบัญ หน้า ค าน า ก สารบัญ ข สารบัญภาพ ค 1. ลักษณะของรูปเล่ม .................................................................................................................. 1 1.1 ปกนอก …………………………………………………………………………………………………………..….. 1 1.2 ปกใน ................................................................................................................................. 2 1.3 ปกหลัง .............................................................................................................................. 3 2. ลักษณะภายใน ......................................................................................................................... 4 2.1 ค าน า ................................................................................................................................ 4 2.2 แนวทางการใช้หนังสือ ………………………………………………………………………………………….. 5 2.3 สารบัญ ……………………………………………………………………………………………………………….. 6 2.4 บรรณานุกรม …………………………………………………………………………………………………….…. 7 3. เนื้อหาภายในแบบเรียน ........................................................................................................... 10 3.1 บทที่ 1 อะไร ๆ ก็ “ไม่เป็นไร” …………………………………………………………..…………………. 10 3.2 บทที่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม ……………………………………………………………….……. 13 3.3 บทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ ……………………………………………………………………………………………. 16 3.4 บทที่ 4 เขียนได้ความตามรูปแบบ …………………………………………………………………………. 20 3.5 บทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติ …………………………………………………………………………………….…. 23 3.6 บทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ …………………………….………………………………………………. 27 3.7 บทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม …………………………………..……………………………………. 30 3.8 บทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า ………………………….…………………………………………………………. 34 3.9 บทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี ……………………………………………………………………………. 37 3.10 บทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ ……………………………..…………………………………………………………. 41 3.11 บทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว ……………………………………………………………………………………. 45 3.12 บทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา ……………………………………………………………….……………. 50 3.13 บทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม …………………………………………………………………. 55 3.14 บทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน ………………………………………………………………. 59 4. จุดเด่น จุดด้อย และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแบบเรียน .............................................................. 65 5. องค์ความรู้ใหม่จากการสังเคราะห์แบบเรียนภาษาไทย .......................................................... 66 บรรณานุกรม ................................................................................................................................... 67


ค สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 1 หน้าปกหนังสือเรียน ………………………………………………………………..…………………..…. 1 ภาพที่ 2 ปกใน ........................................................................................................................... 2 ภาพที่ 3 ปกหลัง ........................................................................................................................ 3 ภาพที่ 4 ค าน าแบบเรียน ........................................................................................................... 4 ภาพที่ 5 สารบัญแบบเรียน ........................................................................................................ 6 ภาพที่ 6 สารบัญแบบเรียน ........................................................................................................ 6 ภาพที่ 7 บรรณานุกรมแบบเรียน ............................................................................................... 8 ภาพที่ 8 บรรณานุกรมแบบเรียน ............................................................................................... 8 ภาพที่ 9 บรรณานุกรมแบบเรียน .............................................................................................. 9


1 วิเคราะห์หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) การวิเคราะห์หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดท าขึ้น โดยส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นแบบเรียนที่ได้รับการประกาศจ าส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน อนุญาตให้ใช้หนังสือเรียนดังกล่าวให้ใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ในสถานศึกษา ตามความ เห็นชอบของ นายอัมพร พินะสา เลขาธิการกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ได้ท าการประเมินค่าของแบบเรียน ดังกล่าวแล้วว่า แบบเรียนเล่มนี้สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ เกิดทักษะกระบวนการ และเกิด สมรรถนะส าคัญของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ได้ อีกทั้งยังช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามตัวชี้วัดทั้ง 4 สาระ ได้แก่ สาระที่ 1 การอ่าน สาระที่ 2 การเขียน สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด และสาระที่ 4 หลักการใช้ ภาษาไทย ได้อย่างเข้าใจและน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ต่อไป จากการศึกษาวิเคราะห์หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดท าขึ้นโดยส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน ผู้ศึกษาสามารถอภิปรายลักษณะของแบบเรียตามประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1. ลักษณะของรูปเล่ม ลักษณะของรูปเล่ม เป็นส่วนหนึ่งส าคัญในการดึงดูดความสนใจให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในแบบเรียน เนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐานของ 2551 หนังสือเรียนกลุ่มสาระการ เรียนรู้ราย วิชาภา ษาไทย ที่จัดท าขึ้นโดยส านั กง า น คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ผ่านการพิจารณาแล้วว่าเหมาะสมที่จะใช้เป็นรายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1.1 ปกนอก ปกนอกของหนังสือเรียนวิวิธภาษามีความน่าสนใจและโดดเด่นในองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เหมาะส าหรับ การดึงดูดความสนใจของผู้เรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากการพิจารณาและสังเคราะห์รายละเอียดของปกใน หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สามารถอภิปรายผลได้ดังหัวข้อ ต่อไปนี้ ภาพที่ 1 : หน้าปกของหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ)


2 1.1.1 รูปภาพและสี จากการพิจารณาพบว่า รูปภาพที่ปรากฏอยู่บนปกนอกมีความโดดเด่นด้วยสีสันสดใส ปรากฏ แถบสีม่วง สีชมพู สีเขียวอ่อน สีเขียวมิ้นต์ สีชมพูอ่อน สีส้มอ่อน และสีชมพูบานเย็น บนแถบสีต่าง ๆ นี้มี รูปภาพเด็กผู้เรียนอ่านหนังสือ รูปภาพผู้หญิงจากวรรณคดี รูปเสาชิงช้า ด้านหลังมีเงาของต้นไม้ บ้านเรือนไทย ทิวทัศน์ภูเขาและดอกไม้ ซึ่งเป็นการใช้ภาพและสีสันที่สดใสเร้าความสนจของผู้เรียนได้ดี อย่างไรก็ตามผู้ศึกษา ตั้งข้อสังเกตว่าหากใช้รูปภาพที่สื่อถึงความเป็นหนังสือที่สอนเรื่องหลักภาษาเป็นหลักได้จะท าให้มีความ สอดคล้องกับเนื้อหาภายในมากกว่านี้ 1.1.2 ตัวอักษรและขนาด จากการพิจารณาพบว่า ตัวอักษรส่วนใหญ่ใช้รูปแบบภาษาไทยมาตรฐาน พิมพ์ด้วยสีม่วงเข้ม ท าให้อ่านได้ง่าย เว้นแต่ชื่อหนังสือที่มีการใช้รูปแบบตัวอักษรศิลป์และหน้าเป็นพิเศษเพื่อท าให้เห็นเด่นชัดกว่า ข้อความส่วนอื่น โดยข้อความที่ปรากฏบนปกนอกได้บอกข้อมูลหนังสือเบื้องต้นได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ด้าน บนสุดมีข้อความระบุว่าเป็นหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย ทางซ้ายมีข้อความระบุระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยเน้นอักษรตัวหนาและขนาดใหญ่ที่เลข 3 และล่างสุดมีข้อความระบุกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมุมขวาล่างมีข้อควา มร ะบุ ราคาของหนังสือด้วยตัวอักษรสีด า 1.1.3 ตรา จากการพิจารณาพบว่า ตราสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่บนปกนอกคือตราสัญลักษ ณ์ข อง กระทรวงศึกษาธิการ โดยปรากฏอยู่มุมบนด้านซ้ายของปกหนังสือ พิมพ์ลายเส้นสีขาวบนแถบพื้นหลังสีม่ วง มีขนาดใหญ่เห็นชัดเจน 1.2 ปกใน ปกใน เป็นส่วนที่อยู่ถัดมาจากปกนอก จะมีข้อความที่ให้รายละเอียดของหนังสือเล่มนั้น ๆ จากการ พิจารณาปกในของหนังสือวิวิธภาษาได้ระบุข้อมูลเดียวกับข้อความบนปกนอก จากการพิจารณาและสังเคราะห์ รายละเอียดของปกในหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สามารถ อภิปรายผลได้ดังหัวข้อต่อไปนี้ ภาพที่ 2 : ปกในของหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ)


3 1.2.1 รูปภาพและสี รูปภาพที่ปรากฏอยู่ในปกในอยู่ในหน้าแรก โดยปรากฏเป็นรูปเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงใต้ ต้นมะละกอซึ่งเป็นฉากหนึ่งจากบทมหัศจรรย์แห่งมะละกอภายในหนังสือแบบเรียน พิมพ์ 4 สีเห็นชัดเจน โดยต าแหน่งอยู่ตรงกลางหน้ากระดาษท าให้มีความโดดเด่น 1.2.2 ตัวอักษรและขนาด ตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนปกในทั้งหน้าแรกและหน้าหลังใช้อักษรที่ใกล้เคียงกับรูปแบบ อักษรไทยมาตรฐาน อ่านง่าย เห็นชัดเจน โดยมีข้อความเช่นเดียวกับกับปกนอก เพียงแต่เพิ่มข้อควา มตรง ส่วนล่างระบุข้อความส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ในส่วนของตัวอักษร ที่ใช้มีการใช้สีต่างกันทั้งสีด า สีชมพู และสีม่วงเข้ม ในส่วนของปกในหน้าหลังมีข้อความระบุชื่อหนังสือเรียน ระดับชั้น กลุ่มสาระการเรียนรู้ ลิขสิทธิ์ และข้อมูลการจัดพิมพ์ต่าง ๆ อย่างครบถ้วน โดยเน้นขนาดใหญ่ที่สุดที่ ชื่อหนังสือและระดับชั้นของผู้เรียน 1.2.3 ตรา ตราสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ในปกในคือตราครุฑหรือตราแผ่นดินของไทย โดยต าแหน่งอยู่บนสุด ของหน้ากระดาษ พิมพ์ด้วยลายเส้นบางสีด า 1.3 ปกหลัง ปกหลังของหนังสือวิวิธภาษามีความน่าสนใจเนื่องจากได้มีการน าบทอ่านร้อยกรองมาให้ผู้เรียนได้ ศึกษาอ่านด้วยตนเอง โดยบทร้อยกรองที่น ามานั้นคือ บทชวนรักชาติ ความยาว 7 บท เป็นบทพระราชนิพนธ์ ร้อยกรองร้อยเรื่องในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จากการพิจารณาและสังเคราะห์รายละเอี ยด ของปกหลังหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สามารถอภิปรายผลได้ดัง หัวข้อต่อไปนี้ ภาพที่ 3 : ปกหลังของหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ)


4 1.3.1 ตัวอักษรและขนาด ตัวอักษรที่ใช้บนปกหลังเป็นรูปแบบตัวอักษรไทยมาตรฐาน เว้นแต่บริเวณส่วนล่างที่ระบุข้อมูล ของบริษัทผู้จัดท าหนังสือ ในส่วนของบทร้อยกรองพิมพ์ตัวอักษรสีขาวบนพื้นหลังสีม่วง เน้นขนาดใหญ่ที่ชื่อบท ร้อยกรอง ส่วนท้ายบทร้อยกรองมีอักษรตัวเองระบุที่มาและชื่อผู้ประพันธ์ มุมซ้ายล่างของกระดาษระบุบาร์โค้ด และราคาของหนังสือด้วยตัวอักษรสีด าขนาดเล็ก และมุมขวาล่างของกระดาษระบุข้อมูลผู้จัดท าหนังสือด้วย ตัวอักษรสีด าขนาดเล็กเช่นกัน 1.3.2 ตรา ตราสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่บนปกหลังคือตราสัญลักษณ์องค์การค้าของ สกสค. และตรา สัญลักษณ์ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ซึ่งเป็นผู้จัดท าหนังสือ พิมพ์ลายเส้นสีด าบนพื้นหลังสีม่วง 2. ลักษณะภายใน ลักษณะภายในของแบบเรียน เป็นการให้รายละเอียดอย่างพอสังเขปเกี่ยวกับ หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน ภาษาไทย “วิวิธภาษา” ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งส านักงานคณะกรรมการ ก า รศึกษ าขั้น พื้นฐานด าเนินการจัดท าขี้นเพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย กลุ่มสาระก าร เรี ยนรู้ ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 2.1 ค าน า ค าน าเป็นส่วนแรกที่เห็นเมื่อเปิดหนังสือหรือเล่มรายงาน ซึ่งจะเล่าถึงวัตถุประสงค์ ท าขึ้นเพื่ออะไร รายงานเล่มนี้มีความส าคัญอย่างไรบ้าง ขอบเขตของข้อมูลหรือเนื้อหา การเขียนเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และผลการคาดหวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้อ่านอย่างไร ภาพที่ 4 : ค าน าของหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ)


5 จากการศึกษาลักษณะและการให้รายละเอียดของค าน าในหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) พบว่า มีการกล่าวถึงสาระส าคัญตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 โดยปรับปรุงและพัฒนาจากหนังสือเรียนตามหลักสูตรเดิมให้มี ความสอดคล้องกับหลักสูตรปัจจุบัน มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ศึกษางานเขียนหลากหลายเพื่อสังเกตและเข้าใจ ลักษณะของภาษาไทย สามารถใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือสื่อความคิด ความรู้สึก และจินตนาการ น าไปสื่อสาร ในชีวิตประจ าวันได้อย่างเหมาะสม ฝึกกระบวนการคิดในมิติต่าง ๆ ส่งเสริมให้มีนิสัยรักการอ่านน าไปสู่การ เชื่อมโยงทักษะทั้ง 4 คือ การฟัง การดู การพูด และการอ่าน นอกจากนี้ ยังปลูกฝังวัฒนธรรมทางภาษา ความเป็นชาติ ความเป็นคนดีของสังคมไทยและสังคมโลก รวมทั้งสามารถน าความรู้ ความคิดไปใช้เป็นแนวทาง ในการด าเนินชีวิต ตลอดจนพัฒนาตนเองตามค่านิยมและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ได้ จะเห็นได้ว่า จากการศึกษาลักษณะและการให้รายละเอียดของค าน า ในหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) พบว่า ในส่วนของค าน ามีการแสดงถึง จุดประสงค์ของแบบเรียนที่เกิดจากการปรับปรุงและพัฒนาจากหนังสือเรียนตามหลักสูตรเดิมให้มีความ สอดคล้องกับหลักสูตรปัจจุบัน จนกลายมาเป็นแบบเรียนที่มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดทักษะในด้านต่าง ๆ ตาม สาระของภาษาไทยทั้ง 4 สาระเป็นส าคัญ อีกทั้งยังส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความรักถิ่นฐาน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภาคภูมิใจในความเป็นไทย รวมถึงการน าความรู้ไปต่อยอดเพื่อเป็นแนวทางในการด ารงชีวิตต่อไป 2.2 แนวการใช้หนังสือเรียน จากการศึกษาลักษณะและการให้รายละเอียดของแนวการใช้หนังสือ ในหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) ประกอบด้วยเนื้อหาดังนี้ 1. วิธีการศึกษา กล่าวถึงแนวทางในการศึกษาเพื่อที่จะน าไปสู่การปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ให้สนใจ ภาษาเขียนซึ่งจะน าไปสู่การศึกษาค้นคว้าความรู้เรื่องต่าง ๆ ที่น่าสนใจต่อไป 2. ค าอธิบายและกิจกรรม กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของกิจกรรมที่จัดไว้อย่างหลากหลายเพื่อให้ผู้เรียนรู้จัก การคิดวิเคราะห์ รู้จักใช้เหตุผลในการเลือกหรือไม่รับสิ่งที่มีผลต่อการอนุรักษ์ภาษาของชาติ วิธีการศึกษาด้วย การอ่านเก็บใจความส าคัญ (สอดคล้องกับแบบเรียนเร็วเล่มที่ 3 ของสมเด็จฯ กรมพระยาด ารงราชานุภาพ) คิด วิเคราะห์ หาสาระ และเชื่อมโยงสาระที่ได้เรียนรู้ไปสู่ความรู้อื่น จะเป็นแนวทางให้ผู้เรียนสามารถน าไปศึกษา หาความรู้จากต ารา และหนังสืออื่น ๆ ต่อไปได้ด้วย 3. เนื้อหาของหนังสือเรียน กล่าวถึงจ านวนบทเรียน ความรู้และข้อคิดจากบทเรียนที่ผู้เรียนสา มารถ ท าความเข้าใจได้และอาจจะน าไปเป็นแนวทางในการด ารงชีวิต อธิบายกฏเกณฑ์ทางภาษาในลักษณะให้เป็น ข้อสังเกตของผู้เรียนมากกว่าเป็นการสอนให้รู้กฏเกณฑ์ของภาษาโดยตรง เป็นต้น สะท้อนให้เห็นว่าแนวทางการใช้หนังสือเรียนของหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) มีการจัดระบบความคิดที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กันอย่างเป็น เอกภาพ ท าให้ผู้เรียนไม่เกิดความสับสนเกี่ยวกับแนวทางการใช้หนังสือเรียน มีการกล่าวย้ าถึงจุดประสงค์หลัก ของแบบเรียนในหลายย่อหน้าคือการเชื่อมโยงทักษะการใช้ภาษาทั้ง 4 คือ การอ่าน การเขียน การพูด และ การฟัง ที่มุ่งเน้นพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดทั้งความรู้ ทักษะกระบวนการ ตลอดจนการน าไปใช้ หนังสือเรียนวิ วิธ ภาษา จึงเน้นความรู้ที่ถูกต้อง ไม่มีกิจกรรมประเภทหาที่ผิด แก้ภาษาที่ใช้ผิด หรือลักษณะทางภาษา ที่เป็น ปัญหา


6 2.3 สารบัญ สารบัญ เป็นส่วนที่ท าให้ผู้อ่านสามารถเลือกอ่านตามเรื่องที่ต้องการและเป็นส่วนช่วยให้ผู้อ่าน สามารถตัดสินใจศึกษาได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น สารบัญจะต้องประกอบไปด้วย ชื่อบทต่าง ๆ โดยที่ใส่รายละเอียด หัวข้อย่อยในแต่ละบทลงไปโดยไม่ควรเกิน 2 หัวข้อย่อย เพื่อให้สารบัญมีความละเอียดและช่วยดึงดูดผู้อ่าน ได้มากยิ่งขึ้น ภาพที่ 5 : สารบัญของหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) ภาพที่ 6 : สารบัญของหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ)


7 จากการศึกษาสารบัญของหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) พบว่า จ านวนบทเรียนในแบบเรียนเล่มนี้มีด้วยกันทั้งหมดจ านวน 14 บท ได้แก่ บทที่ 1 อะไร ๆ ก็ “ไม่เป็นไร” บทที่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม บทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ บทที่ 4 เขียนได้ความตามรูปแบบ บทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติ บทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ บทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม บทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า บทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี บทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ บทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว บทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา บทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม บทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน จบด้วยบรรณานุกรม ซึ่งในแต่ละหัวข้อได้ระบุเลขหน้าด้วยตัวเลขไทยในบรรทัดที่เท่ากันท าให้ผู้เรียนหรือครูผู้สอนหนังสือ สามารถเปิดไปในบทนั้น ๆ ได้ง่าย และสิ่งที่พิเศษในแบบเรียนเล่มนี้คือชื่อเรื่องของบทเรียนมีความน่าสนใจ คือ มีการตั้งชื่อบทเรียนที่มีความสอดรับกับสิ่งที่ต้องการจะสอนให้แก่ผู้เรียนและมีการแสดงหัวข้อย่อยและเลขหน้า ในบทเรียนแต่ละเรื่องว่าในแต่ละบทมีความรู้เรื่องอะไรบ้าง เป็นการเร้าความสนใจให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนในการ สร้างเสริมประสบการณ์การเรียนรู้เบื้องต้นก่อนจะเข้าสู่กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเต็มรูปแบบต่อไป 2.4 บรรณานุกรม บรรณานุกรม เป็นส่วนส าคัญของการเขียนงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือต ารา ซึ่งจะปรากฏอยู่ ท้ายเล่ม เป็นแหล่งรวบรวบรายการข้อมูลที่หนังสือหรือต ารานั้น ๆ ได้อ้างอิงถึง อีกทั้งเป็นส่วนที่เชื่อมโยงไปยัง ต้นทางของแหล่งข้อมูลที่ให้ผู้อ่านสามารถค้นหาและสืบค้นเพิ่มเติมได้ จากการศึกษาการเขียนบรรณานุกรมใน หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) พบว่ามี รายละเอียดดังต่อไปนี้ 2.4.1 ความถูกต้องของการเขียนบรรณานุกรม จากการศึกษาการเขียนบรรณานุกรมของหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) มีรายละเอียดดังต่อไปนี้


8 ภาพที่ 7 : บรรณานุกรมของหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) ภาพที่ 8 : บรรณานุกรมของหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ)


9 ภาพที่ 9 : บรรณานุกรมของหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) จากภาพข้างต้นจะเห็นได้ว่า หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) มีการเขียนบรรณานุกรมที่ถูกต้องตามหลักการเขียนบรรณานุกรมแบบ "บรรณานุกรม APA" ย่อมาจาก American Psychological Association ซึ่งถือเป็นการเขียนเรียบเรียงบรรณานุกรมอย่าง เป็นระบบ ประกอบด้วย ชื่อสกุลผู้แต่ง, ปีที่พิมพ์, ชื่อเรื่อง, เมืองที่พิมพ์ และส านักพิมพ์ ตามล าดับ ในส่วนของ การอ้างอิงแหล่งข้อมูลจากเว็บไซต์ยังไม่ถูกต้องตามหลักการเขียนบรรณานุกรม APA ปรากฏแค่ชื่อเว็บไซต์ เพียงอย่างเดียว แต่ลักษณะของการเขียนอ้างอิงเว็บไซต์ที่ถูกต้องจะต้องประกอบด้วย ผู้แต่ง./(ปีพิมพ์).//ชื่อ บทความ./สืบค้น หรือ Retrieved/วัน เดือน ปี,//จาก หรือ from/http://www.xxxxxxxxxx 2.4.2 ความหลากหลายของแหล่งข้อมูล จากการศึกษาความหลากหลายของแหล่งข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ จากภาพข้างต้น อ้างอิงจากหัวข้อที่ 2.4.1 ความถูกต้องของการเขียนบรรณานุกรม จะเห็น ได้ว่า หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) มีการใช้แหล่งข้อมูลที่น ามาอ้างอิงในการบันทึกแบบเรียนอย่างหลากหลาย เช่น หนังสือ ต ารา บทความ เว็บไซต์ เป็นต้น แสดงให้เห็นว่าคณะผู้เรียบเรียงไม่ได้เชื่อถือแหล่งข้อมูลเพียงแหล่งเดียวแต่พยายามสืบค้น ข้อมูลแล้วน ามาสังเคราะห์ให้กลายเป็นแบบเรียนเล่มนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้ที่ผ่านกระบวนการคัดสรร อย่างมีประสิทธิภาพ


10 3. เนื้อหาภายในแบบเรียน (วิชาการ) 3.1 บทที่ 1 อะไร ๆ ก็“ไม่เป็นไร” 3.1.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 1) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 1 อะไร ๆ ก็“ไม่เป็นไร” พบว่าเป็นการแสดงทัศนเกี่ยวกับ ค าว่า “ไม่เป็นไร” ที่เกี่ยวข้องกับบริบทการใช้ค าดังกล่าวในชีวิตประจ าวัน เร้าความสนใจของผู้เรียนโดยการท า ให้เห็นข้อดีหรือผลเชิงบวกของการพูดค าว่าไม่เป็นไรในการแสดงความสุภาพและการให้อภัย 3.1.2 เนื้อหา 3.1.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้นจากการกล่าวถึง เนื้อหาของบทเรียนคือเรื่อง ไม่เป็นไร แสดงตัวบทเรียนจนจบ และลงท้ายด้วยชื่อของผู้แต่ง ต่อมาแสดงข้อคิด ที่ได้จากเรื่อง ตามด้วยการกล่าวถึงบทความแสดงทัศนะของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่อง ไม่เป็นไร เพื่อเชื่อมโยงจาก เนื้อหาเข้าสู่สาระภาษาไทยที่ต้องการจะสอนในบทเรียน ได้แก่ ภาษาในการสื่อสาร ลักษณะการใช้ภาษาในการ สื่อสาร และปัจจัยการใช้ภาษาในการสื่อสาร ตามด้วยบทความแสดงความคิดเห็นและข้อคิดที่สังเคราะห์ได้จาก เรื่อง ไม่เป็นไร เพื่อเน้นย้ าและเชื่อมโยงเนื้อเรื่องดังกล่าวกับความรู้ทางหลักภาษาเรื่องการสื่อสาร และจบด้วย กิจกรรมท้ายบทเรียน 3.1.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มาต า มที่ คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องและ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 2-4) จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 1 อะไร ๆ ก็“ไม่เป็นไร” สามารถสรุปใจความ ส าคัญของเรื่องได้ว่าผู้แต่งกล่าวถึงค าว่า “ไม่เป็นไร” ว่าเป็นค าที่ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่เมืองไทยมักจะรู้จัก และแปลความไปในท านองว่าคนไทยเฉื่อยชา ท าอะไรไม่จริงจังและไม่ค่อยจะส าเร็จ มักจะใช้ค านี้เป็นค าแก้ตัว เสมอ บางคนก็ใช้จนชินท าให้ดูเป็นคนขาดความกระตือรือร้น แม้ว่าค าว่า “ไม่เป็นไร” จะถูกกล่าวหาไปในทาง ที่ไม่ดี แต่ส าหรับผู้แต่งแล้วยังศรัทธาและเชื่อว่าค าค านี้จะยังมีผลต่อจิตใจของผู้พูดและผู้ฟังอยู่ เพราะหลาย ครั้งที่ค าว่า “ไม่เป็นไร” สามารถระงับเรื่องราวที่ใหญ่โต ความโกรธแค้น ความเศร้าความพลาดหวังต่าง ๆ ให้ ผ่อนคลายลงได้ และผู้แต่งก็ยังเชื่ออีกว่า ค าว่า “ไม่เป็นไร” นี้แทรกอยู่ในชีวิตประจ าวันของคนทุก ๆ คน ไม่มี ใครที่ไม่เคยพูดค านี้ และคนที่พูดค านี้ก็จะเป็นผู้ที่มีจิตใจสุขสงบ เป็นปรัชญาชีวิตของคนไทยที่เป็นคนสุภาพ และมักให้อภัยผู้อื่นอยู่เสมอ และค าว่า “ไม่เป็นไร” จะมีความหมายไปในทางบวกหรือทางลบนั้นก็จะขึ้น อยู่กับ น้ าเสียงที่พูด (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 1 อะไร ๆ ก็“ไม่เป็นไร” พบว่า มีการประพันธ์เรื่องราว ในรูปแบบร้อยแก้ว มีการใช้ระดับภาษาที่หลากหลาย เช่น ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับกึ่งทางการ มีการ เน้นย้ าส่วนที่เป็นค าส าคัญนั่นคือว่าค าว่า “ไม่เป็นไร” และ “ขอโทษ” เพื่อท าให้ผู้เรียนอ่านและได้สังเกตบริบท การใช้ค าดังกล่าวในข้อความที่แสดงสถานการณ์ที่ใช้ค านั้นได้อย่างลื่นไหล อ่านเพลินตั้งแต่ต้นไปจนจบเรื่อง อีกทั้งยังมีการย่อหน้าบ่อยครั้งเพื่อให้ผู้เรียนอ่านจับใจความในย่อหน้านั้น ๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ท าให้อ่านตาม เรื่องราวได้ทัน


11 (3) ข้อคิดจากเรื่อง (หน้าที่ 5) จากการศึกษาบทที่ 1 อะไร ๆ ก็“ไม่เป็นไร” พบว่า มีการกล่าวถึงที่มาของ เรื่อง ไม่เป็นไร กล่าวถึงข้อมูลเบื้องต้นของผู้แต่ง จากนั้นจึงได้สรุปข้อคิดที่ได้จากเรื่อง ไม่เป็นไร โดยแยกเป็น ประเด็นท าให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้นได้แก่ ผลของการใช้ค าว่าไม่เป็นไรในทางที่ไม่ดีและผลของ การใช้ค าว่าไม่เป็นไรในทางที่ดี จากนั้นจึงแสดงทัศนะว่าการใช้ค าว่าไม่เป็นไรนั้นจะต้องค านึงถึงบริบทการใช้ แม้ว่าจะเป็นค าที่มีความหมายดีในส่วนใหญ่แต่ก็ขึ้นอยู่กับน้ าเสียงและสถานการณ์ด้วย เป็นการให้ข้อคิดเพื่อ แสดงการใช้ค าดังกล่าวให้ถูกวิธีอีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาหลักภาษาที่จะสอนต่อไป (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 1 อะไร ๆ ก็“ไม่เป็นไร” พบว่า เนื้อหาภายในบทปรากฏ 1 สาระส าคัญด้วยกัน คือ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด โดยได้ให้ความรู้ในเรื่องของภาษาในการสื่อสาร ลักษณะการใช้ภาษาในการสื่อสาร ปัจจัยการใช้ภาษาในการสื่อสาร การตั้งประเด็นในการสื่อสาร จุดมุ่งหมาย ในการสื่อสาร สารที่ต้องการสื่อ ความชัดเจน ความเข้าใจง่าย ความถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาไปจนถึงการ ใช้เสียง สายตา และกิริยาท่าทางในการสื่อสาร 3.1.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 10) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 1 กิจกรรม คือ คิดตรอง ลองท าดู จากการพิจารณาพบว่ากิจกรรมหลักในบทนี้คือการให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์การใช้ภาษาของพิธีกรในราย การที่ สนใจและน าเสนอ ต่อไปเป็นกิจกรรมแบ่งกลุ่มฝึกทักษะการพูดตามหัวข้อ และสุดท้ายเป็นกิจกรรมแบ่งกลุ่มคิด และน าเสนอสถานการณ์ที่สะท้อนความคิดว่า “อะไร ๆ ก็ไม่เป็นไร” ที่ต่างไปจากหนังสือเรียนมากลุ่มละ 1 สถานการณ์ จะเห็นได้ว่าทั้ง 3 กิจกรรมมีทั้งที่เป็นกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ส ารวจความสนใจของตนเองและน ามา เชื่อมโยงกับบทเรียนและกิจกรรมกลุ่มที่ก็ยังคงให้ความส าคัญกับการคิดสร้างสรรค์และให้อิสระทางควา มคิด แก่ผู้เรียนโดยอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับเนื้อหาบทเรียนได้อย่างเหมาะสม 3.1.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 1 อะไร ๆ ก็“ไม่เป็นไร” พบว่า เนื้อเรื่อง เนื้อหาทางหลักภาษาไทย และ กิจกรรมท้ายบทเรียนมีความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้เรียนอยู่ในวัยที่สนใจ ชีวิตประจ าวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งค าพูดที่เป็นค าพูดติดปากซึ่งผู้เรียนและคนรอบตัวของผู้เรียนใช้สื่อสารกันใน ชีวิตประจ าวัน เป็นการน าเรื่องราวใกล้ตัวของผู้เรียนมาเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาและให้ผู้เรียนได้ท ากิจกรร มที่ให้ ความส าคัญกับความสนใจของผู้เรียนร่วมด้วยซึ่งจะท าให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาได้อย่างเข้าใจและเป็น ธรรมชาติ ไม่ดูเป็นการบังคับหรือตีกรอบทางความคิดจนเกินไป 3.1.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 1 อะไร ๆ ก็“ไม่เป็นไร” พบว่า บทเรียนนี้ได้สอนผู้เรียนในเรื่องของการใช้ ภาษาในการสื่อสาร โดยเน้นไปที่ลักษณะการใช้ภาษาในการสื่อสารและปัจจัยการใช้ภาษาในการสื่อสารตรงกับสาระ ที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณาญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ ตัวชี้วัด ท 3.1 ม. 3/6 มีมารยาทในการ ฟัง การดู และการพูด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง ได้แก่ มารยาท ในการฟัง การดู และการพูด


12 3.1.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.1.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 1 อะไร ๆ ก็“ไม่เป็นไร” พบว่าสมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏ มีดังนี้ (1) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสมจากการที่ผู้เรียนจะต้องคิด ตีความบริบทการใช้ค าว่า “ไม่เป็นไร” ให้ถูกต้องและคิดวิเคราะห์ คิดค านึงถึงสถานการณ์การใช้ค าดังกล่าว ในทางที่ดี (2) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับแล ะส่งส า ร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคมจากก ารที่ ผู้เรียนได้ท ากิจกรรที่ต้องฝึกการสื่อสารและแบ่งกลุ่มกันซึ่งเป็นการสื่อสารภายในทีมของตัวเองและสื่อสารกับ ผู้ฟังคนอื่น ๆ ตอนที่ได้น าเสนอ 3.1.6.2 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 1 อะไร ๆ ก็“ไม่เป็นไร” พบว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ปรากฏมีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูง พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และ ตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณด้วยเหตุผลรอบด้าน โดยค านึงถึงบริบทการใช้ค าพูดและการสื่อสารต่าง ๆ ให้ ถูกต้องเหมาะสม ทั้งยังต้องอาศัยความสามารถในการตีความควาหมายทั้งในด้านบวกและด้านลบอย่าง รอบคอบ (2) การสื่อสาร พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถรับสารและส่งสารได้อย่าง ปราศจากอคติ มีสติ เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง เลือกใช้กลวิธีสื่อสารได้อย่างเหมาะสมโดยมีความ รับผิดชอบต่อสังคม ด้วยทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาผ่านการท ากิจกรรมกลุ่มและการน าเสนอหน้าชั้น เรียน รวมไปถึงการเป็นผู้ฟังที่ดี (3) การรวมพลังท างานเป็นทีม พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามาร ถจัด ร ะบบ และออกแบบกระบวนการท างานทั้งของตนเองและกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ ได้ฝึกควา ม เป็น ผู้น าและผู้ตามที่ดี ฝึกการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าท า ยได้ เพื่อให้งานออกมาส าเร็จ 3.1.7 ภาพประกอบ ภาพประกอบที่ปรากฏในบทที่ 1 อะไร ๆ ก็“ไม่เป็นไร” พิมพ์ด้วยสีสันสดใสคมชัด มี 3 ภาพ ได้แก่ 1. ภาพประกอบเรื่องราว ไม่เป็นไร โดยเป็นภาพนักวิ่งที่วิ่งแข่งกันและยอมให้คนข้างหลังแซงไป เนื่องจากเห็นว่าเขาเหนื่อยล้า (หน้าที่ ๓) โดยเป็นรูปขนาดใหญ่เต็มหน้ากระดาษ 2. ภาพคนคิดบวก ประกอบการพูดถึงข้อดีของการพูดค าว่าไม่เป็นไร (หน้าที่ 4) และ 3. ภาพผู้ชายก าลังพูดในที่สาธารณะ (หน้าที่ 7) ประกอบการอธิบายเรื่องการสื่อสาร ซึ่งถือว่าภาพประกอบสามารถช่วยท าให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในเนื้อหา มากขึ้น อย่างไรก็ตามหากเพิ่มภาพประกอบในส่วนของการอธิบายเรื่องการใช้ภาษาให้สอดคล้องกันเพื่อแสดง ขั้นตอนการเตรียมตัวสื่อสารก็อาจท าให้ผู้เรียนเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น


13 3.1.8 ตัวอักษรและขนาด ในหน้าแรกที่แสดงเลขอักษรไทยขนาดใหญ่และมีสีสันฉูดฉาด ด้านล่างของเลขอักษรไทยที่ แสดงล าดับของบทเรียนจะเป็นชื่อของบทเรียน ใช้ขนาดและสีตัวอักษรที่ต่างกัน โดยค าว่า “อะไร ๆ” ใช้สีส้ม ซึ่ง ค าว่า “ก็” ใช้สีด า และค าว่า “ไม่เป็นไร” ใช้สีเขียว จากนั้นข้อความในส่วนเกริ่นน าใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐาน เป็นตัวเอียงในเครื่องหมายค าพูด ในส่วนของหัวข้อการอธิบายเนื้อหาใช้ตัวอักษรสีเขียว เน้นตัวหนา ขนาดใหญ่ กว่าเนื้อหาทั่วไป หัวข้อย่อยใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐาน เน้นรูปแบบตัวหนา สีด า และเนื้อหาใช้รูปแบบ อักษรไทยมาตรฐานขนาดเล็กลงมาแต่ยังสามารถอ่านได้ชัดเจนเหมือนกันหมดทั้งบท ซึ่งการใช้สีและขนาดที่ ต่างกันของตัวอักษรนี้ท าให้ช่วยกระตุ้นความสนใจเพื่อเข้าสู่บทเรียนได้มากยิ่งขึ้น 3.2 บทที่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม 3.2.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 11) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม พบว่าเป็นการกล่ าวถึง ใจความส าคัญของการโน้มน้าวใจ โดยแสดงให้เห็นถึงกลวิธีที่ส าคัญของการโน้มน้าวใจและการ ย กตั วอย่าง ท าให้ผู้เรียนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการโน้มน้าวใจได้ดียิ่งขึ้นก่อนเข้าสู่บทเรียน 3.2.2 เนื้อหา 3.2.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนโดยเริ่มต้นจากการกล่าวถึง เนื้อหาของบทเรียนคือเรื่อง มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม แสดงตัวบทเรียนจนจบ และลงท้ายด้วยชื่อของผู้แต่ง ต่อมาแสดงข้อคิดที่ได้จากเรื่อง มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม เพื่อเชื่อมโยงจากเนื้อหาเข้าสู่สาระภาษาไทย ที่ต้องการจะสอนในบทเรียน ได้แก่การเรียนรู้เรื่องโฆษณา ส่วนประกอบของโฆษณา ประโยชน์และโทษของ การโฆษณา และอิทธิพลของภาษาโฆษณาและจบด้วยกิจกรรมท้ายบทเรียน 3.2.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มาตา มที่ คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องและ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 12-14) จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม สามารถสรุป ใจความส าคัญของเรื่องได้ว่าการโฆษณานั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสนใจให้ผู้คนจดจ าสินค้า หรือบริการ ที่โฆษณา โดยอาจใช้วิธีการต่างต่าง ๆ กันในการส่งสาร เช่น บอกเล่ากันตรง ๆ หรือเสนอเป็นละครฉากสั้น ๆ หรือใช้ค าที่คล้องจองกันโดยใช้ค าที่กระตุ้นให้เกิดความประทับใจ ท าให้ผู้ฟังได้รับ “สาร” จากบทโฆษณานั้น ๆ การโน้มน้าวใจในโฆษณาบางเรื่อง ใช้กลวิธีเร้าความรู้สึกให้เกิดอารมณ์ร่วมกับคนอื่น ๆ ที่เป็นคนส่วนใหญ่ แต่บางเรื่องก็เกี่ยวกับคนบางกลุ่มเท่านั้นและต้องใช้กลวิธีอื่น ส าหรับในบางโฆษณาอาจใช้วิธีเดียวกับในบท ละครหรือในนวนิยาย โดยเจาะจงไปที่ฉากหนึ่งและจบในตอนสั้น ๆ ซึ่งอาจมีทั้งเนื้อเรื่อง ตัวละคร ฉาก บทสนทนาและแนวคิด โฆษณาบางชิ้นก็เป็นวรรณกรรมได้เช่นกันเพราะเป็นศิลปะจรรโลงใจ ทั้งนี้เจ้าของ สินค้าที่ท าโฆษณาก็จะได้ประโยชน์ถึง 2 ทาง คือ มีผู้รับรู้ว่าสินค้าของตนมีคุณภาพและยังช่วยสร้างส านึกที่ดี ในใจผู้ดูอีกด้วย ดังนั้นหากผู้สร้างโฆษณามีความตั้งอกตั้งใจ พิถีพิถัน และมีรสนิยมในการท าโฆษณาที่ดีออกมา มาก ๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม


14 (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม พบว่า มีการประพันธ์ เรื่องราวในรูปแบบบทความร้อยแก้ว มีการใช้ระดับภาษาที่หลากหลาย เช่น ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับ กึ่งทางการ มีการเน้นย้ าข้อความส าคัญหรือการยกตัวอย่างที่ส าคัญด้วยตัวอักษรตัวเอียง อีกทั้งยังมีการย่อหน้า บ่อยครั้งเพื่อให้ผู้เรียนอ่านจับใจความในย่อหน้านั้น ๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ท าให้อ่านตามเรื่องราวได้ทัน (3) ข้อคิดจากเรื่อง (หน้าที่ 15) จากการศึกษาบทที่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม พบว่าเป็นการสรุปข้อคิด อันเป็นใจความส าคัญของเนื้อเรื่องที่ได้น านั้นเสนอ โดยมีการสรุปรวบยอดให้ผู้เรียนได้ทราบว่าโฆษณาที่มีความ พิถีพิถัน สามารถโน้มน้าวด้วยวิธีการที่น่าสนใจ มีการสรรค า และใช้กลวิธีต่าง ๆ ที่เป็นศิลปะนั้นก็นับเป็น วรรณกรรมอย่างหนึ่ง จากนั้นได้บอกถึงหน้าที่ของโฆษณาในฐานะวรรณกรรมที่ส่งสารจรรโลงใจและโน้มน้าว ใจผู้อ่าน ชี้ให้เห็นความส าคัญของโฆษณาที่ดีต่อสังคมเพื่อเป็นการเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาหลักภาษาที่จ ะสอน ต่อไป (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม พบว่า เนื้อหาภายในบท ปรากฏ 1 สาระส าคัญด้วยกัน คือ สาระที่ 2 การเขียน โดยได้ให้ความรู้ในเรื่องของส่วนประกอบของโฆ ษณา ที่ประกอบไปด้วยเนื้อหา รูปแบบการน าเสนอ ภาษาโฆษณา การโน้มน้าวใจ ประโยชน์และโทษของการโฆษณา และอิทธิพลของโฆษณา 3.2.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 20) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 2 กิจกรรม คือ คิดตรอง ลองท าดู และคิดเพิ่มเสริมทักษะ จากการพิจารณาพบว่ากิจกรรมหลักในบทนี้คือการให้ผู้เรียนได้ท าอย่างหลากหลาย ได้แก่ การสนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับโฆษณาที่พบเห็นจากสื่อทั้งด้านบวกและด้านลบ แบ่งกลุ่มศึกษาโฆษณาสินค้าและบริการต่าง ๆ ทั้งด้านบวกและลบพร้อมจัดป้ายนิเทศ แบ่งกลุ่มประกวดค า โฆษณาสินค้าผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น ฝึกท าโฆษณาและเผยแพร่ ศึกษาเพิ่มเติมเรื่องกฏหมายและข้อปฏิบัติ เกี่ยวกับการโฆษณา ไปจนถึงการจัดกิจกรรมชมรมคุ้มครองผู้บริโภคเพื่ออภิปรายและเปลี่ยนกัน จะเห็นได้ว่า กิจกรรมมีความหลากหลายที่จะท าให้ผู้เรียนได้ฝึกวิเคราะห์และพิจารณาเกี่ยวกับโฆษณาในชีวิตประจ าวันได้ ทั้งด้านดีและด้านบวกในหลาย ๆ แง่มุม ซึ่งสามารถสร้างความเชื่องโยงระหว่างผู้เรียนและเนื้อหาได้อย่าง เหมาะสม 3.2.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม พบว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาทางหลักภาษาไทย และกิจกรรมท้ายบทเรียนมีความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้เรียนอยู่ในวัยที่สนใจ สิ่งใหม่ ๆ และอยากรู้อยากลอง ดังนั้นการสร้างเสริมความรู้เรื่องการรู้เท่าทันการโฆษณาโดยการท าให้เห็น กลวิธีการโน้มน้าวใจ แสดงข้อดีข้อเสียให้ผู้เรียนได้เห็นจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้เรียนในการเสพสื่อ โฆษณาในชีวิตประจ าวันได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะท าให้ผู้เรียนได้ค านึงถึงคุณและโทษของโฆษณาต่าง ๆ ด้วย ความคิดสร้างสรรค์และมองเห็นความดีงามและความไม่ดีของโฆษณานั้น ๆ ได้อย่างเท่าทันสื่อสมัยใหม่ที่ เปลี่ยนไปทุกวันในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี


15 3.2.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม พบว่า ในบทเรียนนี้ได้สอนให้ผู้เรี ยน รู้จักการเขียนสื่อโฆษณาและการเขียนวิเคราะห์วิจารณ์บทโฆษณาตรงกับสาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูป แบบต่าง ๆ เขียน รายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ ต รงกับตั วชี้ วัด ท 2.1 ม. 3/ 7 เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้งในเรื่องต่าง ๆ โดยมีสาระการเรียนรู้ แกนกลางคือการเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้งจากสื่อต่าง ๆ เช่น บท โฆษณาและบทความทางวิชาการ 3.2.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.1.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม พบว่าสมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏ มีดังนี้ (1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในกา รรับแ ล ะส่งส า ร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคมจากก ารที่ ผู้เรียนได้ท ากิจกรรมที่ต้องแลกเปลี่ยนพูดคุยและรับฟังกันและกันด้วยเหตุผล (2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสมจากการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ และได้คิดวิเคราะห์คุณและโทษของโฆษณา ได้พิจารณาเพื่อมองเห็นกลวิธีต่าง ๆ ที่สามารถท าให้เท่าทัน สื่อ โฆษณาและสามารถเป็นผู้ผลิตสื่อโฆษณาที่ดีต่อสังคมได้ (3) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ในการน ากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการ ด าเนินชีวิตประจ าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การท างาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลจากการที่ผู้เรียนได้ท ากิจกรรมในลักษณะของการจัดตั้ง ชมรมเนื่องจากต้องใช้ความต่อเนื่องและความร่วมมือกันของหลายฝ่ายในการท างาน ซึ่งจะท าให้ผู้เรียน เกิด ทักษะชีวิตเมื่อต้องรับท างานในส่วนต่าง ๆ กับคนหลายคน 3.1.6.2 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบทบทที่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม พบว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ปรากฏมีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูง พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และ ตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณด้วยเหตุผลรอบด้านเพื่อตีความและท าความเข้าใจสารและกลวิธีในโฆษณาต่าง ๆ จากเนื้อหาที่ได้เรียนและในชีวิตจริง โดยจะต้องวิเคราะห์คุณและโทษของโฆษณาอย่างรอบด้าน (2) การสื่อสาร พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถรับสารและส่งสารได้อย่าง ปราศจากอคติ มีสติ เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง เลือกใช้กลวิธีสื่อสารได้อย่างเหมาะสมโดยมีความ รับผิดชอบต่อสังคม ด้วยทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาผ่านการการพูดคุยแลกเปลี่ยน การฝึกท าโฆษณา และ การน าเสนอหน้าชั้นเรียน


16 (3) การรวมพลังท างานเป็นทีม พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถจัดระบบแล ะ ออกแบบกระบวนการท างานทั้งของตนเองและกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ ได้ฝึกความเป็นผู้น าแล ะผู้ ตามที่ดี ฝึกการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้เพื่อให้งานออกมา ส าเร็จผ่านการท ากิจกรรมกลุ่ม การพูดคุยแลกเปลี่ยนแบบกลุ่ม และการจัดตั้งชมรม 3.2.7 ภาพประกอบ ภ าพป ระกอบที ่ปรากฏในบทที ่ 2 มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม พิมพ์ด้วยสีสันสดใส คมชัด มี5 ภาพด้วยกัน ได้แก่ 1. ภาพประกอบเรื่องราว มองโฆษณาอย่างวรรณกรรม โดยเป็นภาพลูกโลก ขนาดเล็ก (หน้าที่ 12) 2. ภาพขนาดใหญ่เต็มหน้ากระดาษซึ่งเป็นภาพพ่อกับลูกชายจากเรื่องราวที่ได้น า เสนอ (หน้าที่ 13) 3. รูปขนาดเล็กภาพดอกไม้วางอยู่บนหนังสือปิดท้ายเรื่องราว (หน้าที่ 14) 4. รูปดอกไม้หลาก สีสันประกอบการอธิบายเรื่องค าโฆษณา (หน้าที่ 16) และ 5. รูปขนมปปัง กระเป๋า และส้มปิดท้ายเรื่องการ โฆษณาสินค้า (หน้าที่ 19) จากการพิจารณาผู้ศึกษาคิดว่าควรมีรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับโฆษณามากกว่านี้ เช่น ผลิตภัณฑ์หรือป้ายโฆษณาในชีวิตประจ าวัน และลดทอนภาพที่ไม่จ าเป็นต้องใส่มาออกโดยแทนที่ด้วยรูปที่ เกี่ยวข้องมากกว่าจะท าให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเนื้อหากับรูปภาพได้ดียิ่งขึ้น 3.2.8 ตัวอักษรและขนาด ในหน้าแรกที่แสดงเลขอักษรไทยขนาดใหญ่และมีสีสันฉูดฉาด ด้านล่างของเลขอักษรไทย ที่แสดงล าดับของบทเรียนจะเป็นชื่อของบทเรียนมีการใช้ขนาดและสีตัวอักษรที่ต่างกัน โดยค าว่า “มอง” และ “อย่าง” ใช้สีแดงก่ า ส่วนค าว่า “โฆษณา” และ “วรรณกรรม” ใช้สีส้มซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าค าอื่น ๆ เพื่อเน้น ข้อความ จากนั้นข้อความในส่วนเกริ่นน าใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐานเป็นตัวเอียงในเครื่องหมายค าพูด ใน ส่วนของหัวข้อการอธิบายเนื้อหาจ ะใช้เป็น ตัวอักษร สีส้ม เน้นตัวห นา ขนาดใหญ่กว่าเนื้อหา ทั ่วไป หัวข้อย่อยใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐานเน้นตัวหนาสีด า และเนื้อหาใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐานขนาดเล็ก ลงมาแต่ยังสามารถอ่านได้ชัดเจนเหมือนกันหมดทั้งบท ซึ่งการใช้สีและขนาดที่ต่างกันของตัวอักษรนี้ท าให้ช่วย กระตุ้นความสนใจเพื่อเข้าสู่บทเรียนได้มากยิ่งขึ้น 3.3 บทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ 3.3.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 21) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ พบว่า เป็นการน าข้อความส่วนหนึ่งจากใน บทเรียนซึ่งแสดงโทษของสุราอันเป็นใจความส าคัญของเรื่องราวที่ได้น าเสนอขึ้นมากล่าวเพื่อให้ผู้เรียนได้รู้ว่า ก าลังจะได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับอะไร เป็นการเร้าความสนใจของผู้เรียนว่าใครเป็นคนพูดประโยคดังกล่าวแล ะเกิด อะไรขึ้นในเรื่องราวนั้น 3.3.2 เนื้อหา 3.3.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้นจากการกล่าวถึง เนื้อหาของบทเรียนคือเรื่อง ไม่เป็นไร แสดงตัวบทเรียนจนจบ และลงท้ายด้วยชื่อของผู้แต่ง ต่อมาแสดงข้อคิด ที่ได้จากเรื่องเพื่อเชื่อมโยงจากเนื้อหาเข้าสู่สาระภาษาไทยที่ต้องการจะสอนในบทเรียน ได้แก่ การจับประเด็น ส าคัญ การศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง การสร้างค่านิยมใหม่ อธิบายศัพท์ ศัพท์วิชาการ ศัพท์บัญญัติ ค าทับ ศัพท์ ค าภาษาปากและจบด้วยกิจกรรมท้ายบทเรียน


17 3.3.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มาตา มที่ คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องและ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน เนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 22-27) จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ สามารถสรุปใจคว า ม ส าคัญของเรื่องได้ว่าเรื่องที่อ่านเป็นบทสนทนาของผู้เรียนชาย 2 คนคือสุพจน์มีพ่อที่ดื่มสุราจึงต ร ะหนักถึง พิษภัยของสุรา แต่ศรัณย์มองว่าเหล้านั้นดี บทสนทนาของทั้งสองคนมีลักษณะโน้มน้าวใจให้เห็นโทษของ สุรา โดยใช้เหตุผลของผู้เรียนชายทั้งสองคน ที่ทั้งสนับสนุนและโต้แย้งกัน เสริมด้วยข้อมูลที่ได้ จ า ก การศึกษาทั้งจากสารานุกรม จากอินเทอร์เน็ต จากการสอบถามบุคคลและจากการสังเกตของตน เอง ผู้เรียนทั้งสองประมวลความรู้แล้วพิจารณาเลือกทางปฏิบัติสิ่งที่ดีที่เหมาะสม มีประโยชน์ต่อตน เองแ ล ะ สังคมสุดท้ายได้ตัดสินใจยืนหยัดท าสิ่งที่ตนเห็นว่าถูกต้อง เนื้อหาส าคัญของเรื่องที่อ่านในบทนี้จึงเป็น การ แสดงโทษของสุราซึ่งปรากฏในการแสดงความคิดเห็นของศรัณย์และสุพจน์ รวมทั้งในข้อมูลคว า มรู้ที่ ผู้เรียนทั้งสองค้นคว้ามา จุดมุ่งหมายของเรื่องคือการโน้มน้าวใจให้งดดื่มสุราด้วยการแสดงโทษของสุ ราที่ มีต่อผู้ดื่ม ทั้งโทษต่อสุขภาพ โทษต่อบุคลิกภาพ โทษต่อศีลธรรมและคุณธรรม ก่อให้เกิดปัญหา เศ รษฐกิจ และท าให้ครอบครัวไม่สงบสุขตลอดจนอาจท าให้เกิดผลร้ายต่อผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ สุดท้ายทั้งสองคนได้ท า รายงานเรื่องโทษของการดื่มสุราส่งครูจนได้รับค าชม (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ พบว่าการเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาแบบ ร้อยแก้ว โต้ตอบกับระหว่างตัวละคร 2 ตัว คือ สุพจน์และศรัณย์ มีการใช้ระดับภาษาแบบกันเองเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากตัวละครทั้งสองตัวเป็นเพื่อนกัน การที่ได้น าเสนอเนื้อเรื่องดังกล่าวผ่านบทสนทนาท าให้เรื่องด า เนิน รวดเร็ว ไม่น่าเบื่อหน่าย และผู้เรียนสามารถติดตามเรื่องราวต่อไปอย่างตั้งใจและน่าติดตาม (3) ข้อคิดจากเรื่อง (หน้าที่ 28) จากการศึกษาบทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ พบว่าได้มีการกล่าวสรุปเรื่องรา วที่ได้ น าเสนอไปอย่างคร่าว ๆ พอให้เห็นภาพรวมของเรื่องราวเพื่อเป็นการทบทวนสิ่งที่ได้น าเสนออีกครั้ง จากนั้นจึง แสดงข้อคิดผ่านบทสนทนาของตัวละครเรื่องโทษของสุราและความส าคัญของการใช้เหตุผลและวิธีที่ หลากหลายในการค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อให้ได้มาซึ่งค าตอบที่ถูกต้องเพื่อเพิ่มพูนความรู้และตัดสินใจเลือกท าใน สิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้สามารถเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาหลักภาษาที่จะสอนต่อไป (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ พบว่า เนื้อหาภายในบทปรากฏ 2 สาระส าคัญด้วยกัน คือ สาระที่ 1 การอ่าน โดยได้ให้ความรู้ในเรื่องของการอ่านจับประเด็นส าคัญ และการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง และสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย โดยได้ให้ความรู้ในเรื่องของ การอธิบายศัพท์ ศัพท์วิชาการ ศัพท์บัญญัติ ค าทับศัพท์ และค าภาษาปาก


18 3.3.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 35-36) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 2 กิจกรรม คือ คิดตรอง ลองท าดู และคิดเพิ่มเสริมทักษะ จากการพิจารณาพบว่ากิจกรรมหลักในบทนี้คือการให้ผู้เรียนได้ท าอย่างหลากหลาย ได้แก่ สรุปใจความส าคัญของบทสนทนาที่น ามาให้อ่านแล้วแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แสดงบทบาทสมมุติ แบ่งกลุ่มประกวดท าแผนภูมิแสดงพิษภัยของสุรา อภิปรายแสดงความเห็น แบ่งกลุ่มรวบรวมค าศัพท์ปร ะเภท ต่าง ๆ แต่งค าประพันธ์รณรงค์ เชิญวิทยากรมาให้ความรู้ และการจัดกิจกรรมครอบครัวสัมพันธ์ จะเห็นได้ว่า ในบทเรียนมีกิจกรรมหลากหลายให้ผู้เรียนได้เลือกท าหรือด าเนินการโดยการให้ความช่วยเหลือจ า ก ครูผู้สอน โดยมีทั้งกิจกรรมเดี่ยวและกิจกรรมกลุ่มซึ่งในการท ากิจกรรมต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับสา ร ะการ เรียนรู้และตัวชี้วัดทั้งสองอย่างสมดุล เป็นการเชื่อมโยงผู้เรียนกับเนื้อหาทั้งสองอย่างได้อย่างกลม กลืน สามารถท าให้ผู้เรียนได้ท าความรู้จากเนื้อหาที่ได้เรียนมาท ากิจกรรมอย่างเหมาะสม 3.3.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ พบว่า เนื้อเรื่อง เนื้อหาทางหลักภาษาไทย และกิจกรรม ท้ายบทเรียน มีความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้เรียนอยู่ในวัยที่อยากรู้อยา กลอง ดังนั้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโทษของสิ่งมึนเมาจึงเป็นสิ่งส าคัญที่ผู้เรียนควรมีความรู้และความเข้าใจให้ ถ่องแท้ เพื่อที่ผู้เรียนจะได้มีภูมิคุ้มกันเมื่อต้องถูกชักชวนให้ดื่มหรือต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิด อันตรายจากการดื่มของมึนเมาดังกล่าว นอกจากนี้การที่ได้น าเอาการน าเสนอเรื่องโทษของสุราไปพร้อม ๆ กับการให้แนวทางการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองก็เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะในการหาความรู้ใน เรื่อง ดังกล่าวตลอดจนเรื่องอื่น ๆ ที่สนใจได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน 3.3.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ พบว่า บทนี้ได้ส่งเสริมการอ่านจับใจความหรือการจับ ประเด็นส าคัญของเนื้อเรื่อง ซึ่งตรงกับสาระที่ 1 การอ่าน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างคว า มรู้แ ล ะ ความคิดเพื่อน าไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการด าเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัด ท 1.1 ม. 3/3 ระบุใจความส าคัญและรายละเอียดของข้อมูลที่สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน โดยมีสาระการเรียนรู้แ กน กลาง ได้แก่ การอ่านจับใจความจากสื่อต่าง ๆ และได้ให้ความรู้กับผู้เรียนในเรื่องของการอธิบายศัพท์ ศัพท์ วิชาการ ศัพท์บัญญัติ ค าทับศัพท์ และค าภาษาปาก ซึ่งตรงกับสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย ท. 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลังของภาษา ภูมิปัญญา ทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ตัวชี้วัด ท 4.1 ม. 3/4 ใช้ค าทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ โดยมีสาระการเรียนรู้แกนกลาง ได้แก่ ค าทับศัพท์และค าศัพท์บัญญัติ 3.3.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.3.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ พบว่าสมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏมีดังนี้ (1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งส า ร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคมจ า ก ก า รที ่ผู้เ รียนได้ท ากิจก รรมที่ต้องแลกเปลี ่ยนพูดคุย อภิป ราย แ สดงบทบ าทสมมุติ เขียนข้อความ รณรงค์ และรับฟังกันและกันด้วยเหตุผล


19 (2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสมจากการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ และได้คิดวิเคราะห์โทษของสุราและได้ไตร่ตรองถึงความส าคัญของการศึกษาหาความรู้ได้ตนเองจาก แหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ 3.3.6.2 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ พบว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ปรากฏมีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูง พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และ ตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณด้วยเหตุผลรอบด้านเพื่อวิเคราะห์ข้อเสียหรือโทษในแง่มุมและด้านต่าง ๆ ของสุรา ผ่านการท ากิจกรรมสรุปความในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปอย่างรอบด้าน (2) การสื่อสาร พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถรับสารและส่งสารได้อย่าง ปราศจากอคติ มีสติ เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง เลือกใช้กลวิธีสื่อสารได้อย่างเหมาะสมโดยมีความ รับผิดชอบต่อสังคม ด้วยทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาผ่านการการพูดคุยแลกเปลี่ยน การอภิปราย การแสดง บทบาทสมมุติ และการแต่งค าประพันธ์ (3) การรวมพลังท างานเป็นทีม พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถจัดระบบ และออกแบบกระบวนการท างานทั้งของตนเองและกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ ได้ฝึกความเป็นผู้น า และผู้ตามที่ดี ฝึกการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้เพื่อให้งาน ออกมาส าเร็จผ่านการท ากิจกรรมกลุ่ม การพูดคุยแลกเปลี่ยนแบบกลุ่ม และการจัดกิจกรรมครอบครัวสัมพันธ์ และการร่วมกันจัดป้ายนิเทศ 3.3.7 ภาพประกอบ ภาพประกอบที่ปรากฏในบทที่ 3 เช้าฮาเย็นเฮ พิมพ์ด้วยสีสันสดใสคมชัด มี4 ภ าพ ได้แก่ 1. ภาพประกอบเรื่อง เช้าฮาเย็นเฮ เป็นภาพขนาดใหญ่เต็มหน้ากระดาษรูปผู้ชาย ถือข วดเหล้า (หน้าที่ 2๓) 2. ภาพขนาดเล็กรูปขวดเหล้าและไวน์ในขวดแบบต่าง ๆ ประกอบเรื่องราวเช้า ฮา เย็น เฮ (หน้าที่ 24, 25) 3. รูปคนป่วยปิดท้ายเรื่องราวอยู่ตรงกลางหน้ากระดาษส่วนล่าง (หน้าที่ 27) และ 4. รูปเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายอ่านหนังสือและศึกษาด้วยตนเองประกอบการให้ความรู้เรื่องกา รจับป ร ะเด็น ส าคัญและการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองตามล าดับ (หน้าที่ 28, 29) ผู้ศึกษาพิจารณา ว่ารูปภาพที่ได้ น ามาประกอบเนื้อหานั้นล้วนมีความเกี่ยวข้องกับบทเรียนทั้งสิ้น ซึ่งช่วยท าให้ผู้เรียนเชื่อมโ ยงเนื้อห ากับ รูปภาพได้ดียิ่งขึ้น 3.3.8 ตัวอักษรและขนาด ในหน้าแรกที่แสดงเลขอักษรไทยขนาดใหญ่และมีสีสันฉูดฉาด ด้านล่างของเลขอักษรไทย ที่แสดงล าดับของบทเรียนจะเป็นชื่อของบทเรียนมีการใช้ขนาดและสีตัวอักษรที่ต่างกัน โดยค าว่า “เช้า” และ “ฮา” ใช้ตัวอักษรสีน้ าเงินเข้ม ค าว่า “ฮา” ใช้ตัวอักษรสีส้ม และค าว่า “เย็น” ใช้ตัวอักษร สีฟ้า มี ขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งผู้ศึกษาพิจารณาว่าถึงแม้จะใช้ขนาดและสีที่ต่างกันเพื่อเน้นข้อความ แต่ข้อความที่เน้น ไม่ได้มีนัยส าคัญเท่าไรนัก จากนั้นข้อความในส่วนเกริ่นน าใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐาน เป็นตั วเอี ยงใน เครื่องหมายค าพูด ในส่วนของหัวข้อการอธิบายเนื้อหาจะใช้เป็นตัวอักษรสีฟ้า เน้นตัวหนา ขนาดใหญ่กว่า เนื้อหาทั่วไป หัวข้อย่อยใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐานเน้นตัวหนาสีด า และเนื้อหาใช้รูปแบบอักษ รไทย


20 มาตรฐานขนาดเล็กลงมาแต่ยังสามารถอ่านได้ชัดเจนเหมือนกันหมดทั้งบท ซึ่งการใช้สีและขนา ดที่ต่ างกัน ของตัวอักษรนี้ท าให้ช่วยกระตุ้นความสนใจเพื่อเข้าสู่บทเรียนได้มากยิ่งขึ้น 3.4 บทที่ 4 เขียนได้ความตามรูปแบบ 3.4.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 38) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 4 เขียนได้ความตามรูปแบบ พบว่า ได้มีการบอกถึง ลักษณะส าคัญในเนื้อความของจดหมายกิจธุระและการเขียนจดหมายกิจธุระในภาพรวมอย่างคร่าว ๆ เพื่อแสดงให้ผู้เรียนเห็นว่าเรื่องที่จะได้เรียนต่อไปนี้จะเกี่ยวกับจดหมายกิจธุระ 3.4.2 เนื้อหา 3.4.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้น จ า กก า ร กล่าวถึงเนื้อหาของบทเรียนคือเรื่อง เขียนได้ความตามรูปแบบ แสดงตัวบทเรียนจนจบ จากนั้นแสดง จดหมายกิจธุระที่ตัวละครในเรื่องได้เขียนขึ้นมาทั้ง 3 ฉบับ เพื่อเชื่อมโยงเนื้อเรื่องดังกล่าวกับควา มรู้ทาง หลักภาษาเรื่องส่วนต่าง ๆ ของจดหมายกิจธุระ จดหมายกิจธุระที่ดี และการกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ และ จบด้วยกิจกรรมท้ายบทเรียน 3.4.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มาต า มที่ คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องและ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 38-43) จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 4 เขียนได้ความตามรูปแบบ สามารถสรุป ใจความส าคัญของเรื่องได้ว่า เนื้อเรื่องเล่าถึงงานวันภาษาไทยแห่งชาติที่คุณครูสนับสนุนให้ผู้เรียนเป็นผู้ ด าเนินกิจกรรมเอง โดยจะต้องจัดกิจกรรมนิทรรศการ ประกวด และร่วมงานวันภาษาไทยแห่งชา ติ หลังจากที่ผู้เรียนได้แบ่งงานตามฝ่าย ตะวัน ซึ่งเป็นเลขานุการชมรมภาษาไท ยจะต้องเขียนจดหมายกิจ ธุระท าหนังสือถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยมีอาจารย์ภาณุพงศ์ ช่วยแนะน าและแก้ไขให้ เมื่อตะวันได้เขียน จดหมายให้อาจารย์ภาณุพงศ์ช่วยตรวจให้ก็ได้รับค าชมและได้รับความรู้เรื่องการเขียนจดหมายกิจธุระ อาจารย์จึงจะน าตัวอย่างจดหมายที่ตะวันร่างมาอธิบายแก้ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อไป ภายหลัง ง า น เสร็จสิ้นก็มีการรวบรวมแบะเรียบเรียงจดหมายดังกล ่าว จ ากนั้นเนื้อเ รื่องจึงแสดงเนื้อความใน จดหมายทั้ง 3 ฉบับ ได้แก่ จดหมายขอเชิญเป็นวิทยากร จดหมายขอความอนุเคราะห์ส ารองที่นั่งฟัง การอภิปราย และจดหมายขอบคุณ (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 4 เขียนได้ความตามรูปแบบ พบว่า มีการ ประพันธ์เรื่องราวในรูปแบบร้อยแก้ว โดยเล่าด้วยภาษาระดับกึ่งทางการ ที่พิเศษนั่นคือมีการแสดงรูปแบบแล ะ เนื้อความในจดหมายกิจธุระที่ตัวละครได้เขียนประกอบการเล่าเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ท าให้ผู้เรียนเห็นสิ่งที่ตัวล ะคร ในเรื่องได้เขียนขึ้น เป็นการเล่าเรื่องที่มีความแปลกใหม่เร้าความสนใจผู้เรียนให้อ่านเนื้อความในจดหมายมาก ขึ้น


21 (3) ความรู้ที่ได้จากเรื่อง (หน้าที่ 44-49) จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 4 เขียนได้ความตามรูปแบบ พบว่า ได้มีการ น าเสนอองค์ความรู้เรื่องจดหมายกิจธุระต่อจากกาเล่าเนื้อเรื่องและแสดงจดมหายที่ตัวละครเขียน ซึ่งความรู้ ที่ ได้น ามาเสนอได้แก่ ส่วนต่าง ๆ ของจดหมายกิจธุระ อันประกอบด้วย หัวจดหมาย ล าดับที่ของจดหมาย วัน เดือน ปี เรื่อง ค าขึ้นต้น สิ่งที่ส่งมาด้วย ข้อความ ข้อความย่อหน้าแรก ข้อความย่อหน้าที่ 2 ค าลงท้าย ลายมือ ชื่อ ชื่อเต็มของผู้เขียนจดหมาย ต าแหน่งของผู้เขียนจดหมาย หน่วยงานที่ออกจดหมายและหมายเลขโทรศัพท์ ของผู้เขียนจดหมายและซองจดหมาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ได้อธิบายนั้นแสดงบนจดหมายตัวอย่างจาก ในเรื่องราว เขียนได้ความตามรูปแบบทั้งสิ้น ท าให้ผุ้เรียนเห็นถึงวิธีการเขียนจดหมายให้ครบองค์ประกอบใน จดหมายจริง ๆ ต่อมาเป็นการให้ความรู้เรื่องจดหมายกิจธุระที่ดี โดยได้น าเสนอว่าจะต้องมีความชัดเจน สมบูรณ์ กะทัดรัด ถูกต้อง และสุภาพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของจดหมายกิจธุระที่ควรจะเป็นอย่างครบครัน และ สุดท้ายได้สอนเรื่องการกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งสามารถสรุปได้ว่านอกจากจดหมายกิจธุระที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ ไปก็ยังมีจดหมายอื่น ๆ อีกมากมายหลายรูปแบบพร้อมยกตัวอย่าง เช่น แบบสมัครงาน แบบเสียภาษี แบบขอ ท าหนังสือเดินทาง เป็นต้น ซึ่งเน้นย้ าให้ผู้เรียนมีความเข้าใจว่าจะต้องเขียนเนื้อความในจดหมายให้ถูกต้องตาม แบบฟอร์มของของจดหมายชนิดนั้น ๆ ควรเขียนตัวบรรจงอ่านง่าย และควรอ่านทบทวนก่อนส่ง ซึ่งถือเป็นการ ให้ข้อมูลความรู้ที่ส าคัญจ าเป็นอย่างครบครันและสอดคล้องกับเรื่องราวและตัวอย่างจดหมายที่ได้น ามาเสนอ (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 4 เขียนได้ความตามรูปแบบ พบว่า เนื้อหาภายในบท ปรากฏ 1 สาระส าคัญด้วยกัน คือ สาระที่ 4 การเขียน โดยได้ให้ความรู้เรื่องส่วนต่าง ๆ ของจดหมายกิจธุระ จดหมายกิจธุระที่ดี และการกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ 3.4.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 50) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 1 กิจกรรม คือ คิดตรอง ลองท าดู จากการพิจารณาพบว่ากิจกรรมหลักในบทนี้คือการให้ผู้เรียนได้ฝึกเขียนจดหมายกิจธุระขอบคุณ และยังมี กิจกรรมให้แบ่งกลุ่มกันเพื่อเขียนจดหมายกิจธุระโดยให้ก าหนดเนื้อหา วัตถุประสงค์และรายละเอียดต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ได้แก่ จดหมายเชิญวิทยากร จดหมายขอความอนุเคราะห์ และจดหมายติดต่อขอเอกสาร หรือหนังสือที่สนใจจากหน่วยงาน และสุดท้ายเป็นการให้ผู้เรียนฝึกกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ เช่น แบบสมัครงาน แบบส ารวจส ามะโนประชากร และแบบฝากเงินถอนเงินของธนาคาร เป็นต้น จากการพิจารณากิจกรรมท้าย บทดังกล่าวผู้ศึกษาพบว่ากิจกรรมได้เน้นไปที่การให้ผู้เรียนได้ฝึกเขียนจดหมายและกรอกแบบฟอร์มจริง ๆ มีทั้ง กิจกรรมแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม ซึ่งจะท าให้ผู้เรียนได้น าความรู้ที่ได้เรียนมามาฝึกเขียนจดหมายกิจธุระจริง ๆ เป็นการทบทวนบทเรียน 3.4.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 4 เขียนได้ความตามรูปแบบ พบว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาทางหลักภาษาไทย และกิจกรรมท้ายบทเรียนมีความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้เรียนอยู่ในวัยที่สามารถ เขียนจดหมายกิจธุระเพื่อติดต่อเรื่องส าคัญกับทางโรงเรียนหรือการหางานพิเศษอื่น ๆ ไปจนถึงการที่จะต้อง กรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่จ าเป็นในชีวิตประจ าวันได้ด้วยตนเอง ดังนั้นการเรียนรู้และการได้ฝึกเขียนจดหมาย กิจธุระทั้งสามแบบไปจนถึงการฝึกกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ จึงจ าเป็นส าหรับผู้เรียนเป็นอย่างมากใน ชีวิตประจ าวัน


22 3.4.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 4 เขียนได้ความตามรูปแบบ พบว่าในบทเรียนนี้ได้สอนผู้เรียนให้รู้จักการ เขียนจดหมายกิจธุระและการกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งตรงกับสาระที่ 2 การเขียน ท 2.1 ใช้กระบวนการ เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและ รายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัด ท 2.1 ม.3/5 เขียนจดหมายกิจธุระ โดยมีสาระการ เรียนรู้แกนกลางได้แก่ การเขียนจดหมายกิจธุระ จดหมายเชิญวิทยากร จดหมายขอความอนุเคราะห์ จดหมาย แสดงความขอบคุณ และตัวชี้วัด ท 2.1 ม.3/8 กรอกแบบสมัครงานพร้อมเขียนบรรยายเกี่ยวกับความรู้แล ะ ทักษะของตนเองที่เหมาะสมกับงาน โดยมีสาระการเรียนรู้แกนกลางได้แก่ การกรอกแบบสมัครงาน 3.4.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.4.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 4 เขียน ได้ความตามรูปแบบ พบว่าสมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏ ได้แก่ความสามารถในการสื่อสาร เป็น ความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง และสังคมจากการที่ผู้เรียนได้ท ากิจกรรที่ต้องฝึกการสื่อสารผ่านการเขียนจดหมายกิจธุระและการกรอก แบบฟอร์มต่าง ๆ ให้ถูกต้องตามสิ่งที่ต้องการสื่อสารตอลดจนการสื่อสารผ่านการท างานกลุ่มซึ่งจะต้องมีการ พูดคุยสื่อสารประสานกันท างานเป็นทีม ซึ่งจะต้องใช้ทักษะในการสื่อสารที่ดีจึงจะสามารถท างานที่ได้รับ มอบหมายได้ส าเร็จ 3.4.6.2 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 4 เขียนได้ความตามรูปแบบ พบว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ปรากฏมีดังนี้ (1) การสื่อสาร พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถรับสารและส่งสารได้อย่าง ปราศจากอคติ มีสติ เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง เลือกใช้กลวิธีสื่อสารได้อย่างเหมาะสมโดยมีควา ม รับผิดชอบต่อสังคม ด้วยทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาผ่านการฝึกเขียนจดหมายและกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ ในชีวิตประจ าวัน (2) การรวมพลังท างานเป็นทีม พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถจัดร ะบบแ ล ะ ออกแบบกระบวนการท างานทั้งของตนเองและกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ ได้ฝึกความเป็น ผู้น าแล ะ ผู้ตามที่ดี ฝึกการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้เพื่อให้งาน ออกมาส าเร็จผ่านการท ากิจกรรมกลุ่มที่จะต้องร่วมกันคิดเนื้อหา วัตถุประสงค์และรายละเอียดอื่น ๆ ของ จดหมายที่จะต้องเขียนร่วมกันอย่างเหมาะสม 3.4.7 ภาพประกอบ ภาพประกอบที่ปรากฏในบทที่ 4 เขียนได้ความตามรูปแบบ พิมพ์ด้วยสีสันสดใสคมชัด มี 9 ภาพ ได้แก่ 1. ภาพประกอบเรื่องราว เขียนได้ความตามรูปแบบ โดยเป็นภาพขนาดใหญ่เต็มหน้ากระดาษ เป็นภาพของ ตัวละครตะวันและอาจารย์ที่ก าลังคุยเรื่องจดหมายกิจธุระตามเนื้อเรื่อง (หน้าที่ 40) 2. รูปโบว์สีชมพูประกอบ เนื้อเรื่องที่พูดถึงการแบ่งฝ่ายงาน (หน้าที่ ๓8) 3. รูปตัวละครตะวันและอาจารย์ที่ก าลังคุยเรื่องจดหมายกิจธุระแต่ เป็นรูปขนาดเล็กประกอบการเล่าเรื่องตะวันเข้าไปคุยกับอาจารย์ (หน้าที่ ๓9) 4. รูปวิทยุขนาดเล็กประกอบการ ยกตัวอย่างเรื่องจดหมายของชมรมวิทยาศาสตร์เรื่องสิ่งประดิษฐ์ (หน้าที่ 45) 5. รูปคนก าลังจะเข้าไปใน ถ้ า ประกอบการยกตัวอย่างเรื่องการขอความอนุเคราะห์ยกเว้นค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติ(หน้าที่ 46) 6. รูปจ่าหน้า


23 ซองจดหมาย (หน้าที่ 48) 7. รูปตู้ไปรษณีย์ (หน้าที่ 48) 8. ตู้รับจดหมาย และ 9. แบบฟอร์มฝากและถอนเงิน ของธนาคารออมสิน (หน้าที่ 50) เมื่อพิจารณารูปภาพดังกล่าวแล้วพบว่ามีการใช้รูปภาพประกอบในหลายส่วน และมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ใช้ประกอบได้ดี ท าให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเนื้อหากับรูปภาพได้ดียิ่งขึ้น 3.4.8 ตัวอักษรและขนาด ในหน้าแรกที่แสดงเลขอักษรไทยขนาดใหญ่และมีสีสันฉูดฉาด ด้านล่างของเลขอักษรไทยที่แสดง ล าดับของบทเรียนจะเป็นชื่อของบทเรียนมีการใช้ขนาดและสีตัวอักษรที่ต่างกัน โดยค าว่า “เขียน” และ“ตาม” ใช้ตัวอักษรสีส้ม ค าว่า “ได้ความ” ใช้ตัวอักษรสีเขียว และค าว่า “รูปแบบ” ใช้ตัวอักษรสีเขียวแก่ โดยค าว่าตามมี ขนาดใหญ่เป็นพิเศษเพื่อเน้นสิ่งส าคัญในการเขียนจดหมายกิจธุระว่าจะต้องเขียนตามรูปแบบอย่างเคร่งครัด จากนั้นข้อความในส่วนเกริ่นน าใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐานเป็นตัวเอียงในเครื่องหมายค าพูด ในส่วนของหัวข้อ การอธิบายเนื้อหาจะใช้เป็นตัวอักษรสีเขียวเข้มเน้นตัวหนา ขนาดใหญ่กว่าเนื้อหาทั่วไป หัวข้อย่อยใช้รูปแบบ อักษรไทยมาตรฐานเน้นตัวหนาสีด า และเนื้อหาใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐานขนาดเล็กลงมาแต่ยังสามารถอ่าน ได้ชัดเจนเหมือนกันหมดทั้งบท ซึ่งการใช้สีและขนาดที่ต่างกันของตัวอักษรนี้ท าให้ช่วยกระตุ้นความสนใจเพื่อเข้าสู่ บทเรียนได้มากยิ่งขึ้น 3.5 บทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติ 3.5.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 51) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติ พบว่าได้มีการน าบทร้อยกรองบางส่วน จากเนื้อเพลง ลาวดวงเดือน ในท่อนแรกจ านวน 2 บท ซึ่งเป็นบทที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี ท าให้สามารถดึงดูด ความสนใจของผู้เรียนว่าเพลงที่ตนเองเคยได้ยินนี้มีประวัติอย่างไรตามชื่อหน่วยการเรียนรู้บทที่ 5 เพลงนี้มี ประวัติ 3.5.2 เนื้อหา 3.5.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้นจากการกล่าวถึงบท ร้อยกรองหรือเนื้อเพลงลาวดวงเดือน จากนั้นจึงเล่าที่มาหรือประวัติของเพลงลาวดวงเดือน ต่อมาแสดงข้อคิดที่ ได้จากเรื่องเพื่อเชื่อมโยงจากเนื้อหาเข้าสู่สาระภาษาไทยที่ต้องการจะสอนในบทเรียน ได้แก่ การเขียนสารคดี เชิงประวัติในประเภทต่าง ๆ ได้แก่ สารคดีประวัติสถานที่ สารคดีประวัติโบราณสถานหรือโบราณวัตถุ สารคดี ประวัติบุคคลส าคัญ และสารคดีประวัติงานประเพณี 3.5.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มาตา มที่ คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องและ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้


24 (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 52-55) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติ พบว่าเป็นการน าเสนอ บทร้อยกรองที่ได้น ามาใส่ท านองจนกลายเป็นเพลงลาวดวงเดือนซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดยมีการเล่า ในเชิงสารคดีถึงที่มาเบื้องหลังของเพลงลาวดวงเดือน ซึ่งสามารถจับใจความได้ว่ามีผู้แต่งคือ กรมหมื่นพิไชยมหิ นทโรดม พร้อมทั้งเล่าประวัติของผู้แต่งพอสังเขป จากนั้นในย่อนหน้าถัดไปได้เล่าถึงต้นเหตุหรือที่มาของการ แต่งเพลงลาวดวงเดือนว่าได้ว่าพบรักที่ไม่สมหวังจึงได้ดัดแปลงและน าท านองเพลงลาวด าเนินทรายมาใช้โดยใช้ ชื่อเพลงว่า ลาวด าเนินเกวียน ย่อหน้าถัดไปกล่าวถึงการเป็นที่รู้จักของเพลงว่าเมื่อมีผู้น าไปร้องแต่ไม่รู้ชื่อเพลง จึงได้เรียกด้วยค าขึ้นต้นจนกลายเป็น ลาวดวงเดือน ต่อมาเพลงนี้ก็ได้รับความนิยมขึ้นไปอีกด้วยมีการน าไป ดัดแปลงเป็นเพลงสากล และมีการแปลเป็นเพลงไทยอีกเพลงชื่อลาวด าเนินดอย รวมทั้งมีผู้น าค าร้องเดิมไป แปลเป็นภาษาอังกฤษ น าท านองไปแต่งใส่ค าร้องจีนและภาษาญี่ปุ่น (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติ พบว่าในส่วนของเพลงลาวดวง เดือนนั้นเป็นบทร้อยกรองและในส่วนของการอธิบายประวัติเพลงลาวดวงเดือนซึ่งเป็นเนื้อห า หลักที่ ต้องการจะมุ่งสอนผู้เรียนให้เห็นจริงนั้นเป็นลักษณะของการเขียนร้อยแก้วเชิงสารคดี โดยเป็นสาร คดีเชิง ประวัติ ใช้ภาษากึ่งทางการ และใช้เครื่องหมายค าพูดและท าอักษรตัวเอียงเพื่อเน้นข้อความที่เป็นชื่อเพลง หรือชื่อเฉพาะส าคัญ การสอนเรื่องการเขียนสารคดีเชิงประวัติโดยการน าบทเขียนสารคดีประเภทดังกล่า ว มาเขียนสัมพันธ์กับบทเพลงที่ได้ยกมานั้นเป็นวิธีการเลือกใช้กลวิธีการน าเสนอเนื้อหาให้ผู้เรียนได้เห็น จริงได้ อย่างดีและเห็นตัวอย่างการเขียนชัดเจน (3) ข้อคิดจากเรื่อง (หน้าที่ 56) จากการศึกษาบทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติ พบว่าได้มีการสรุปข้อคิดจา กเรื่อง ที่ได้อ่านเป็นข้อ ๆ ท าให้ผู้เรียนอ่านจับใจความส าคัญเป็นส่วน ๆ ไปทีละข้อได้อย่างเข้าใจง่าย ได้แก่ ข้อคิด เรื่องความประทับใจซาบซึ้งกับคนรัก หรืออารมณ์ที่รุนแรงอาจท าให้ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่า แล ะ ทรงพลังได้ นอกจากนี้ไม่ว่าใครก็สามารถชื่นชมผลงานศิลปะได้โดยไม่จ าเป็นต้องอยู่ในวงสังคมเดี ยวกันกับ ศิลปินเท่านั้น งานศิลปะจึงจัดเป็นสมบัติร่วมกันของมนุษยชาติ ข้อคิดด้านการน าผลงานที่มีอยู่มา ดัดแปลง เสริมแต่งท าให้มีผลงานสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องเป็นไปด้วยความเคารพคุณค่าและเจ้า ของผลง าน และข้อคิดด้านการศึกษาประวัติของศิลปินที่จะท าให้ทราบที่มาของผลงานศิลปะนั้น ๆ ทั้งยังช่วยให้เข้าใจ ผลงานนั้นมากขึ้นด้วย (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติ พบว่าเนื้อหาภายในบทปรากฏ 2 สาระส าคัญด้วยกัน คือ สาระที่ 1 การอ่าน โดยได้ให้ความรู้สอดแทรกในเรื่องของการอ่านค าให้ ถูกต้องและการอ่านบทร้อยกรอง และสาระที่ 2 การเขียน โดยได้ให้ความรู้ในเรื่องของการเขียนสารคดี เชิงประวัติในประเภทต่าง ๆ ได้แก่ สารคดีประวัติสถานที่ สารคดีประวัติโบราณสถานหรือโบราณวัตถุ สารคดีประวัติบุคคลส าคัญ และสารคดีประวัติงานประเพณี


25 3.5.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 64) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 2 กิจกรรม คือ คิดตรอง ลองท าดูและ กิจกรรมคิดเพิ่ม เสริมทักษะ จากการพิจารณาพบว่ากิจกรรมหลักในบทนี้คือการให้ผู้เรียนได้ฝึกขับร้องเพลง ลาวดวงเดือน และช่วยกันถ่ายทอดอารมณ์เพลง เรียบเรียงเป็นสรุปร้อยแก้ว รวบรวมค าที่หมายถึงนางอันเป็น ที่รักที่ปรากฏ แบ่งกลุ่มเขียนประวัติตามหัวข้อที่ก าหนดและน าเสนองาน ศึกษาการเขียนประวัติสถานที่ส าคัญ จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวบรวมประวัติบุคคลส าคัญ สถานที่ และอื่น ๆ และสรุปเป็นความรู้ เขียนเล่าประวัติ สถานที่ต่าง ๆ เป็นเอกสารส าหรับทัศนศึกษา และจัดกิจกรรมมัคคุเทศก์น้อย จะเห็นได้ว่ามีกิจกรรมให้ผู้เรียน ได้เลือกท าอย่าหลากหลายทั้งกิจกรรมเดี่ยว ศึกษาด้วยตนเองและกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งมีการสร้างความเชื่อมโยง ผู้เรียนเข้ากับเนื้อหาทั้งในส่วนสาระการอ่านและการเขียนอย่างกลมกลืน เป็นการท าให้ผู้เรียนได้น าความรู้ที่ได้ เรียนในบทนี้มาใช้จริงอย่างเหมาะสม 3.5.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติ พบว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาทางหลักภาษาไทย และกิจกรรม ท้ายบทเรียนมีความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้เรียนอยู่ในวัยที่มีความสนใจอย่าง หลากหลาย ดังนั้นการจูงใจให้ผู้เรียนเรื่องการเขียนสารคดีเชิงประวัติด้วยการน าเพลงที่ผู้เรียนเคยได้ยินบ่อย ๆ มาเป็นส่วนน านั้นจะท าให้ผู้เรียนถูกดึงดูดความสนใจได้ง่านมากยิ่งขึ้น และการอธิบายให้ความรู้โดยการน าบท สารคดีเชิงประวัติของเพลงนั้นที่ได้น ามาเสนอก็ท าให้ผู้เรียนได้เห็นอ่านและเห็นวิธีการเขียนหรือวิธีเล่าประวัติ แบบสารคดีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้กิจกรรมท้ายบทก็ยังท าให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนในเรื่อดังกล่าวอีกด้วย 3.5.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติ พบว่าในเนื้อหาของบทเรียนได้มีการสอดแทรกในเรื่อง การอ่านค าให้ถูกต้องให้แก่ผู้เรียนเช่นค าว่า กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม โลกบาล เทวสถาน เป็นต้น ซึ่งตรงกับ สาระที่ 1 การอ่าน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อน าไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการ ด าเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัด ท 1.1 ม. 3/1 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ ถูกต้องและเหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน โดยมีสาระการเรียนรู้แกนกลางได้แก่ การอ่านออกเสียง และได้ให้ความรู้ กับผู้เรียนในเรื่องของการเขียนสารคดีเชิงประวัติ ได้แก่ สารคดีประวัติสถานที่ สารคดีประวัติโบราณสถานหรือ โบราณวัตถุ สารคดีประวัติบุคคลส าคัญ และสารคดีประวัติงานประเพณี ซึ่งตรงกับสาระที่ 2 การเขียน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูล สารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัด ท 2.1 ม.3/3 เขียนชีวประวัติหรืออัตชี วิประวัติโดยเล่าเหตุการณ์ ข้อคิดเห็น และทัศนคติในเรื่องต่าง ๆ โดยมีสาระการเรียนรู้แกนกลางได้แก่ การ เขียนอัตชีวิตประวัติหรือชีวประวัติ 3.5.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.5.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติ พบว่า สมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏ มีดังนี้ (1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูล ข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคมจากการที่ผู้เรียนได้ท ากิจกรร มที่ ต้องอ่านบทร้อยกรองเพื่อถ่ายทอดหรือสื่อสารอารมณ์ของเพลง และเขียนสื่อสารเพื่อสรุปออกมาเป็นร้อย แก้ว


26 ให้เข้าใจได้ง่าย รวมไปถึงการเขียนเล่าเรื่องสถานที่ ประเพณี และหัวข้ออื่น ๆ ซึ่งจะต้องใช้ทักษะในการสื่อสาร ที่ดี (2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสมจากการที่ผู้เรียนได้คิดและวางแ ผนว่า จะเล่าเรื่องประวัติของสิ่งต่าง ๆ ในรูปแบบของสารคดีอย่างไรเนื่องจากมีความแตกต่างไปจากการเขียน เล่า เรื่องแบบบันเทิงคดีหรือการเล่าเรื่องปกติในชีวิตประจ าวัน ซึ่งจ าเป็นต้องอาศัยความคิดในขั้นสูงและความคิด อย่างเป็นระบบเพื่อจัดการกับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของการเขียนสารคดีเชิงประวัติ 3.5.6.2 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติพบว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ปรากฏมีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูง พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และ ตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณด้วยเหตุผลรอบด้านเพื่อวิเคราะห์ จัดระบบการเล่าเรื่อง และเรียงล าดับข้อมูลของ เรื่องนั้น ๆ เพื่อน ามาเล่าในรูปแบบของสารคดี (2) การสื่อสาร พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถรับสารและส่งสารได้อย่าง ปราศจากอคติ มีสติ เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง เลือกใช้กลวิธีสื่อสารได้อย่างเหมาะสม โดยมีความ รับผิดชอบต่อสังคม ด้วยทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาผ่านการท ากิจกรรมที่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ควา มรู้สึก ความคิดเห็น การสรุปความ การน าเสนอ และการเขียนสารคดีให้สามารถอ่านเข้าใจง่ายตรงตามที่ต้องการ (3) การรวมพลังท างานเป็นทีม พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถจัดระบบแล ะ ออกแบบกระบวนการท างานทั้งของตนเองและกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ ได้ฝึกความเป็นผู้น าแล ะผู้ ตามที่ดี ฝึกการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้เพื่อให้งานออกมา ส าเร็จผ่านการท ากิจกรรมกลุ่มเขียนประวัติตามหัวข้อที่ก าหนดและการจัดกิจกรรมมัคคุเทศก์น้อยซึ่งจะต้องใช้ ทักษะในการท างานร่วมกับทีมอย่างสามัคคี ต้องประสานงานกับกับหลายฝ่ายมากยิ่งขึ้น 3.5.7 ภาพประกอบ ภาพประกอบที่ปรากฏในบทที่ 5 เพลงนี้มีประวัติ พิมพ์ด้วยสีสันสดใสคมชัด มี7 ภาพ ได้แก่ 1. ภาพผู้หญิงในดอกไม้และภาพคนขับเกวียนใต้แสงจันทร์ประกอบเนื้อเพลงลาวดวงเดือน (หน้าที่ 52, 53) 2. ภาพโบราณสถานส าคัญ (หน้าที่ 56) 3. ภาพพระธาตุดอยสุเทพ (หน้าที่ 57) ภาพเสาชิงช้า (หน้าที่ 58) 4. ภาพดอกไม้สด (นักเขียน) (หน้าที่ 59) 5. ภาพผลงานหนังสือเรื่องสามชายและเรื่องผู้ดี (หน้าที่ 61) 6. ภาพดอกบัว (หน้าที่ 62) และ 7.ภาพโบราณสถานประกอบการอธิบานเรื่องการเขียนสารคดีเชิงประวัติ (หน้าที่ 63) ได้แก่ สารคดีประวัติสถานที่ ประวัติโบราณสถานหรือโบราณวัตถุ ประวัติบุคคลส าคัญ และ ประวัติงานประเพณีตามล าดับ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วพบว่ามีการใช้รูปภาพในหลายส่วน มีความหลากหลาย และประกอบสิ่งที่อธิบายได้มีความสอดคล้องกันดีท าให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเนื้อหากับรูปภาพได้ดียิ่งขึ้น 3.5.8 ตัวอักษรและขนาด ในหน้าแรกที่แสดงเลขอักษรไทยขนาดใหญ่และมีสีสันฉูดฉาด ด้านล่างของเลขอักษ รไทย ที่แสดงล าดับของบทเรียนจะเป็นชื่อของบทเรียนมีการใช้ขนาดและสีตัวอักษรที่ต่างกัน โดยค าว่า “เพลง” และ “มี” ใช้สีฟ้า ส่วนค าว่า “นี้” ใช้สีส้ม และค าว่า “ประวัติ” ใช้สีม่วงเข้มเพื่อเน้นข้อคว า ม จากนั้น ข้อความในส่วนเกริ่นน าใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐานเป็นตัวเอียงในเครื่องหมายค าพูด ในส่วนของหัวข้อ การอธิบายเนื้อหาจะใช้เป็นตัวอักษรสีม่วงเข้ม เน้นตัวหนา ขนาดใหญ่กว่าเนื้อหาทั่วไป หัวข้อย่อยใช้


27 รูปแบบอักษรไทยมาตรฐานเน้นตัวหนาสีด า และเนื้อหาใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐานขนาดเล็กลงมาแต่ ยังสามารถอ่านได้ชัดเจนเหมือนกันหมดทั้งบท ซึ่งการใช้สีและขนาดที่ต่างกันของตัวอักษร นี้ท าให้ ช่วย กระตุ้นความสนใจเพื่อเข้าสู่บทเรียนได้มากยิ่งขึ้น 3.6 บทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ 3.6.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 65) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ พบว่าได้น าใจความส าคัญของเนื้อหามาเป็นการ เกริ่นน าให้ได้รู้ถึงเนื้อหาส าคัญด้านในนั่นคือการพูดถึงประโยชน์ของมะละกอและการใช้ประโยชน์โดยค านึงถึง ทั้งคุณและโทษของสิ่งนั้นด้วย 3.6.2 เนื้อหา 3.6.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้นจากการกล่าวถึง เนื้อหาของบทเรียนคือเรื่อง มหัศจรรย์แห่งมะละกอ แสดงตัวบทเรียนจนจบ ต่อมาแสดงข้อคิดที่ได้จากเรื่อง เพื่อเชื่อมโยงจากเนื้อหาเข้าสู่สาระภาษาไทยที่ต้องการจะสอนในบทเรียน ได้แก่ การเรียบเรียงบทควา มเชิง วิชาการ ภาษากลาง-ภาษาราชการ ภาษาถิ่น ความแตกต่างด้านเสียง ความแตกต่างด้านค าศัพท์ ปริศนาค า ทายและจบด้วยกิจกรรมท้ายบทเรียน 3.6.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มาต า มที่ คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องและ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 66-72) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ สามารถสรุป ใจความส าคัญของเรื่องได้ว่าผู้เขียนได้เริ่มต้นด้วยปริศนาค าทายเกี่ยวกับมะละกอและได้พูดถึงข้อมูลเกี่ยวกับ มะละกอในด้านต่าง ๆ ว่ามะละกอเป็นอาหารหลักในชีวิตประจ าวันของภาคอีสาน เป็นผลไม้ที่มีคุณค่า ทาง โภชนาการสูง และมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรบ าบัดรักษาโรค มีชื่อเรียกต่างกันตามท้องถิ่น มะละกอเป็นพืช มหัศจรรย์ ทุกส่วนสามารถน าไปใช้ประโยชน์ ผลน าไปประกอบอาหารได้หลายชนิด อุดมไปด้วยวิตามินเอและ สารเบต้าแคโรทีนต่อต้านโรคมะเร็ง มีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เนื้อของผลดิบและผลสุกช่วยป้องกันแล ะ บ าบัดรักษาโรค ใบ เมล็ด ราก ดอกมีสรรพคุณทางยา แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ถ้ารับประทานมาก เกินไป จะท้องเสียหรือท าให้ตัวเหลือง ฉะนั้นการน าส่วนต่าง ๆ ของมะละกอไปใช้เป็นยาสมุนไพร จ าเป็นต้อง ศึกษาและปฏิบัติให้ถูกต้อง และควรช่วยกันปลูกมะละกอไว้ประจ าบ้าน (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ พบว่ามีการประพันธ์เรื่องราวใน รูปแบบร้อยแก้ว เป็นรูปแบบของบทความเชิงวิชาการ ใช้ภาษาระดับกึ่งทางการ มีการเน้นย้ าส่วนที่เป็นค า ส าคัญด้วยตัวอักษรตัวเอียง ตัวหนา และค าในเครื่องหมายค าพูด โดยมีการแบ่งย่อหน้าย่อย ๆ ค่อนข้างถี่ท าให้ ผู้เรียนสามารถติดตามอ่านเนื้อหาเพื่อจับใจความจากในย่อหน้าต่าง ๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น


28 (3) ข้อคิดจากเรื่อง (หน้าที่ 73) จากการศึกษาบทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ พบว่าได้กล่าวถึงเรื่องราวเพื่อ เป็นการทบทวนเนื้อหาส าคัญ และได้กล่าวว่าเนื้อเรื่องที่ผู้เรียนได้อ่านไปนั้นเป็นงานเขียนประเภทใด ใช้กลวิธี การเขียนที่น่าสนใจอย่างไร และได้พูดถึงการค้นคว้าหาความรู้และการหาประสบการณ์จากแหล่งต่าง ๆ มีการ ชี้ให้ผู้เรียนเห็นถึงกลวิธีการแต่งของผู้เรียนว่าได้เริ่มจากการใช้ปริศนาค าทายแล้วค่อยให้ข้อมูลเนื้อเรื่องและปิด เรื่องอย่างน่าสนใจ จากนั้นจึงได้สรุปข้อคิดที่เป็นใจความหลักนั่นคือสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างหนึ่งอาจมี ประโยชน์อื่น ๆ แทรกอยู่ และอาจมีโทษอยู่ด้วยดังนั้นจึงต้องศึกษาค้นคว้าข้อมูลของสิ่งนั้น ๆ เป็นอย่างดีก่อน น ามาใช้เพื่อเป็นการเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาหลักภาษาที่จะสอนต่อไป (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาในบทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ พบว่าเนื้อหาภายในบท ปรากฏ 2 สาระส าคัญด้วยกัน คือ สาระที่ 1 การอ่าน โดยสอดแทรกเรื่องการอ่านภาษาถิ่นอื่น ๆ ที่แตกต่างไป จากภาษาไทยถิ่นกลาง และสาระที่ 2 การเขียน โดยให้ความรู้ในเรื่องของการเขียนเรียบเรียงบทควา มเชิง วิชาการ 3.6.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 81-82) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 2 กิจกรรม คือ คิดตรอง ลองท าดู และคิดเพิ่ม เสริมทักษะ จากการพิจารณาพบว่ากิจกรรมหลักในบทนี้คือการให้ผู้เรียนได้ช่วยกันค้นหาและ ต่อ เนื้อเพลงส้มต า ฝึกซ้อมร้องประกอบท่าทาง ช่วยกันบอกชื่อพืชที่มีประโยชน์ น าข้อมูลจากการค้นคว้าร่วมไปไป เขียนเป็นเรื่อง รวบรวมค าศัพท์ที่น่าสนใจ อภิปรายแสดงความเห็น ฝึกค้นคว้าข้อมูลด้วยตนเองด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่นจากเว็บไซต์และสัมภาษณ์ อ่านบทความวิชาการเพิ่มเติมจากแห่งข้อมูลต่าง ๆ ศึกษากลวิธีการเขียนด้วย ตนเอง ค้นคว้าเรื่องที่สนใจและน ามาเขียน จัดป้ายยนิเทศ เชิญวิทยากรให้ความรู้ และจัดท าโครงงานที่ เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรียน จะเห็นได้ว่ากิจกรรมท้ายบทเป็นกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ส ารวจความสนใจของตนเอง ค้นคว้าด้วยตนเอง และน ามาเชื่อมโยงกับบทเรียนและกิจกรรมกลุ่มที่ก็ยังคงให้ความส าคัญกับการคิด สร้างสรรค์และให้อิสระทางความคิดแก่ผู้เรียนโดยอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับเนื้อหาบทเรียนได้ อย่างเหมาะสม 3.6.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาในบทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ พบว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาทางหลักภาษาไทย และกิจกรรมท้ายบทเรียนมีความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้มีการหยิบยกพืชพันธ์ ใกล้ตัวผู้เรียนที่มีประโยชน์มาท าให้เห็นถึงประโยชน์ที่สามารถน าไปใช้ได้จริง ๆ ทั้งยังสามารถให้ผู้เรียนได้เห็น ความส าคัญกับการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองในช่องทางหรือแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เนื่องจากผู้เรียนอยู่ใน วัยที่ สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้มากมายตามความสนใจ ดังนั้นในบทเรียนนี้จึงเป็นการชี้แนะแนวทางให้ผู้เรียน เห็นวิธีการและประโยชน์ของการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งค าตอบและขยายขอบเขตควา มรู้ใน เรื่องที่สนใจและเป็นประโยชน์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป 3.6.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาในบทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ พบว่าในบทนี้ได้มีการสอดแทรกเรื่องของ การอ่านภาษาถิ่นอื่น ๆ ที่แตกต่างไปจากภาษาไทยถิ่นกลาง ภาษากลาง-ภาษาราชการ ความแตกต่างด้านเสียง ความแตกต่างด้านค าศัพท์และปริศนาค าทาย ซึ่งตรงกับสาระที่ 1 การอ่าน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้าง ความรู้และความคิดเพื่อน าไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการด าเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน และได้ให้ความรู้ เรื่องการเขียนเรียบเรียงบทความเชิงวิชาการ ซึ่งตรงกับสาระที่ 2 การเขียน ท 2.1 ใช้กระบวนการ เขียน


29 สื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศแล ะ รายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัด ท 2.1 ม.3/7 เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้งในเรื่องต่าง ๆ 3.6.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.6.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ พบว่าสมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏมีดังนี้ (1) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสมจากการที่ผู้เรียนจ ะต้อง วิเคราะห์เรื่องคุณประโยชน์และโทษของสิ่งต่าง ๆ ที่จะต้องน ามาใช้ ทั้งยังต้องคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลที่ ได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด จัดเรียงและประมวลผลออกมาด้วยตนเอง (2) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับส่งสาร มีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคมจากการที่ผู้เรียนได้ท า กิจกร ร ที่ต้องฝึกการสื่อสารและช่วยกันซึ่งเป็นการสื่อสารภายในทีมของตัวเองและสื่อสารกับผู้ฟังคนอื่น ๆ ตอนที่ ได้น าเสนอ มีการอภิปรายน่าชั้นเรียนไปจนถึงการเขียนสื่อสารในรูปแบบของบทความเชิงวิชาการด้วย 3.6.6.2 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ พบว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ปรากฏมีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูง พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และ ตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณด้วยเหตุผลรอบด้าน โดยค านึงถึงบริบทการใช้ค าพูดและการสื่อสารต่าง ๆ ให้ถูกต้องเหมาะสม ทั้งยังต้องอาศัยความสามารถในการวิเคราะห์คุณและโทษของสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบ ด้าน และฝึกวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลที่ได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองอย่างเป็นระบบ (2) การสื่อสาร พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถรับสารและส่งสารได้อย่าง ปราศจากอคติ มีสติ เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง เลือกใช้กลวิธีสื่อสารได้อย่างเหมาะสมโดยมีความ รับผิดชอบต่อสังคม ด้วยทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาผ่านการท ากิจกรรมกลุ่มและการน าเสนอหน้าชั้น ถึงการ เป็นผู้ฟังที่ดี และการเขียนสื่อความในแบบบทความเชิงวิชาการ (3) การรวมพลังท างานเป็นทีม พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถจัดระบบและ ออกแบบกระบวนการท างานทั้งของตนเองและกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ ได้ฝึกความเป็นผู้น าแล ะผู้ ตามที่ดี ฝึกการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้เพื่อให้งานออกมา ส าเร็จ


30 3.6.7 ภาพประกอบ ภาพประกอบที่ปรากฏในบทที่ 6 มหัศจรรย์แห่งมะละกอ พิมพ์ด้วยสีสันสดใสคมชัด มีทั้งสิ้น 9 ภาพด้วยกัน ได้แก่ 1. รูปเด็กหญิงและชายใต้ต้นมะละกอประกอบเรื่อง มหัศจรรย์แห่งมะละกอ เป็นรูป ขนาดใหญ่เต็มหน้ากระดาษ (หน้าที่ 67) 2. รูปทิวทัศน์ชนบท (หน้าที่ 68) 3. รูปพืชผักสวนครัว (หน้าที่ 69) 4. รูปเด็กหญิงและชายที่อยากกินมะละกอประกอบเรื่องราวไปจนจบ (หน้าที่ 72) 5. รูปผู้หญิงศึกษาผ่าน คอมพิวเตอร์ประกอบข้อคิดจากเรื่องเรื่องการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (หน้าที่ 73) 6. รูปคนต่างถิ่นสองคน จากต่างท้องที่ (หน้าที่ 74) 7. รูปพืชผักประกอบการอธิบายเรื่องภาษาถิ่น (หน้าที่ 75) ต่อไปเป็นรูปช้าง ประกอบการอธิบายศัพท์ท้องถิ่น (หน้าที่ 76) 8. รูปเครื่องทอผ้าประกอบค าถามอะไรเอ่ย (หน้าที่ 80) และ 9. รูปผู้ใหญ่ทายปัญหาเด็ก ๆ ในส่วนของกิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 81) เมื่อพิจารณารูปภาพดังกล่าวแล้วพบว่า มีการใช้รูปภาพประกอบในหลายส่วนและมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ใช้ประกอบได้ดี ท าให้ผู้เรียนเชื่อมโยง เนื้อหากับรูปภาพได้ดียิ่งขึ้น 3.6.8 ตัวอักษรและขนาด ในหน้าแรกที่แสดงเลขอักษรไทยขนาดใหญ่และมีสีสันฉูดฉาด ด้านล่างของเลขอักษ รไทย ที่แสดงล าดับของบทเรียนจะเป็นชื่อของบทเรียนมีการใช้ขนา ดแล ะสีตัวอักษ รที่ต่างกัน โดย ค า ว่ า “มหัศจรรย์” ใช้ตัวอักษรสีน้ าตาลเข้ม ค าว่า “แห่ง” ใช้ตัวอักษรสีส้ม และค าว่า “มะละกอ” ใช้ตัวอักษร สีม่วงซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด จากนั้นข้อความในส่วนเกริ่นน าใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐาน เป็น ตั วเอี ยงใน เครื่องหมายค าพูด ในส่วนของหัวข้อการอธิบายเนื้อหาจะใช้เป็นตัวอักษรสีน้ าตาล เน้นตัวหนา ขนาดใหญ่ กว่าเนื้อหาทั่วไป หัวข้อย่อยใช้รูปแบบอักษรไทยมาตร ฐานเน้นตัวหนาสีด า และเนื้อห าใช้ รูปแบบ อักษรไทยมาตรฐานขนาดเล็กลงมาแต่ยังสามารถอ่านได้ชัดเจนเหมือนกันหมดทั้งบท ซึ่งการใช้สีแ ล ะ ขนาดที่ต่างกันของตัวอักษรนี้ท าให้ช่วยกระตุ้นความสนใจเพื่อเข้าสู่บทเรียนได้มากยิ่งขึ้น 3.7 บทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม 3.7.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 81) จากการศึกษาบทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม พบว่า ได้มีการน าข้อความจากในเรื่องเป็น ข้อความสั้น ๆ นั่นคือ “ก็สมบัติมหาศาลนั้น จะมีประโยชน์อันใดเมื่อเจ้าของตายลง” ซึ่งการเกริ่นน าด้วย ประโยคสั้น ๆ แต่มีความคมคายดังกล่าวนั้นจะท าให้ผู้เรียนเกิดความสงสัยใคร่รู้และอยากติดตามเนื้อหาต่อใน เนื้อเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น จึงถือว่ามีการเกริ่นน าได้อย่างน่าสนใจ 3.7.2 เนื้อหา 3.7.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้นจากการกล่าวถึง เนื้อหาของบทเรียนคือเรื่อง รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม แสดงตัวบทเรียนจนจบ และลงท้ายด้วยชื่อของผู้แต่ง ต่อมาแสดงข้อคิดที่ได้จากเรื่อง ตามด้วยการให้ความรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องราวนั้นในเรื่องของต านาน คตินิยม เรื่อง ความเชื่อเรื่องมีบุตรชายสืบสกุล วันขึ้นปีใหม่และเทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากเนื้อเรื่องที่ให้อ่านนั้นค่อน ข้าง ยาวซึ่งมีการใช้ค าเชื่อมในหลายจุด การสอดแทรกความรู้ต่าง ๆ ดังกล่าวจึงเป็นการเชื่อมโยงจากเนื้อหา เข้าสู่ สาระภาษาไทยที่ต้องการจะสอนในบทเรียน ได้แก่ การใช้ค าเชื่อมที่ ซึ่ง อัน และค ายืมภาษามอญ และจบด้วย กิจกรรมท้ายบทเรียน


31 3.7.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มาต า มที่ คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องและ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 84-89) จากการศึกษาบทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม สามารถสรุปใจความส า คัญ ของเรื่องได้ว่าเรื่องที่ได้คัดมาให้ผู้เรียนได้อ่านนั้นเป็นต านานประเพณีสงกรานต์และการท าข้าวแช่ของชาวมอญ เรียกว่า ต านานสงกรานต์ หรือ ต านานเปิงซงกราน ประเพณีสงกรานต์ได้แพร่เข้าสู่วัฒนธรรมไทย และ กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย แก่นที่ได้จากต านานเรื่องนี้คือ ผู้มีปัญญา มีวิชาความรู้ และผู้ถือค าสัตย์ มั่นคงเป็นผู้ที่ควรแก่การสรรเสริญ ธรรมบาลกุมารเป็นแบบอย่างของผู้ที่มีปัญญาสามารถใช้ปัญญาและวิชาที่มี พาตนให้รอดพ้นจากหายนะ ท้าวกบิลพรหมก็เป็นผู้ที่น่ายกย่องในฐานะเป็นผู้รักษาสัตย์ เมื่อท้าวกบิลพรหมแพ้ ประลองปัญญาแก่ธรรมบาลกุมาร ก็ได้สละชีพตัดเศียรของตนออกบูชาปัญญาของธรรมบาลกุมารตามที่ได้ให้ สัตย์ไว้ นอกจากนี้ท้าวกบิลพรหมยังเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้มีน้ าใจนักกีฬา รู้แพ้และยอมรับความพ่ายแพ้ จึงได้ สั่งเสียธิดาทั้งเจ็ดให้จัดการเศียรของตนอย่างผู้ที่รับผิดชอบ ไม่ให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนหรือพินาศไปกับตนด้วย (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม พบว่า มีการประพันธ์ เรื่องราวในรูปแบบร้อยแก้วเชิงนิทานหรือต านาน มีการใช้ระดับภาษาที่หลากหลายตามตัวละครที่เป็น คนพูด บทสนทนานั้น ๆ มีการเน้นย้ าส่วนที่เป็นค าส าคัญด้วยตัวอักษรตัวเอียง อีกทั้งยังมีการย่อหน้าบ่อยครั้งเพื่อให้ ผู้เรียนอ่านจับใจความในย่อหน้านั้น ๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ท าให้อ่านตามเรื่องราวได้อย่างเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น เนื้องจากเนื้อเรื่องมีขนาดค่อนข้างยาว (3) ข้อคิดจากเรื่อง (หน้าที่ 90) จากการศึกษาบทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม พบว่าได้มีการให้ข้อคิดจาก เรื่องโดยจะมีการเกริ่นน าก่อนถึงที่มาและภูมิหลังของเรื่องราวที่ได้น ามาให้ผู้เรียนอ่าน จากนั้นจึงสรุปข้อคิดที่ ได้จากเรื่องในอีกย่อหน้าหนึ่งท าให้ผู้เรียนอ่านท าความเข้าใจได้ง่าย โดยสรุปไว้ว่าผู้ที่มีปัญญา มีวิชาความรู้และ เป็นคนพูดค าไหนค านั้นจะเป็นผู้ที่สมควรแก่การยกย่องสรรเสริญ โดยการใช้ข้อคิดนี้ได้มีการย้อนไปถึงลักษณะ บางประการของตัวละครเอกในเรื่องควบคู่กันไปเพื่อท าให้ผู้เรียนเข้าใจมากยิ่งขึ้น (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม พบว่าเนื้อหาภายในบท ปรากฏ 1 สาระส าคัญด้วยกัน คือ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย โดยได้ให้ความรู้ในเรื่องของการใช้ค าเชื่อม ที่ ซึ่ง อัน และค ายืมภาษามอญ โดยการให้ความรู้แจกแจงรายละเอียดถึงวิธีการทางหลักภาษาไทยในการใช้ค า ว่าที่ ซึ่ง อัน ในการเชื่อมประโยค พร้อมยกตัวอย่างประกอบ และได้ให้ความรู้ในเรื่องของค ายืมภาษามอญแล ะ ชื่อเฉพาะต่าง ๆ ทั้งที่เป็นค าใช้ชีวิตประจ าวันและค าศัพท์น่ารู้


32 3.7.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 100) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 2 กิจกรรม คือ คิดตรอง ลองท าดู และ คิดเพิ่ม เสริมทักษะ จากการพิจารณาพบว่ากิจกรรมหลักในบทนี้คือการให้ผู้เรียนได้เล่าต านานที่ได้เรียน ในแบบของตนเอง แบ่งกลุ่มแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ แต่งประโยคซับซ้อนที่ใช้ค าเชื่อมที่ได้เรียนมา และวิเคราะห์ลักษณะการใช้ค าเชื่อมดังกล่าว ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลความรู้ต่าง ๆ แล้วแลกเปลี่ยนกับ เพื่อนในห้องเรียน ศึกษาเรียนรู้และหาความรู้เพิ่มเติมด้วยประสบการณ์ตรงจากท้องถิ่นตนเอง เชิญวิทยากรให้ ความรู้ และค้นหาต านานมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง จะเห็นได้ว่ามีกิจกรรมหลากหลายให้ผู้เรียนได้ท าตามควา ม เหมาะสมและตามความเห็นของผู้ครูสอน เป็นกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ท าตามความสนใจของตนเองและน า มา เชื่อมโยงกับบทเรียนและกิจกรรมกลุ่มที่ก็ยังคงให้ความส าคัญกับการคิดสร้างสรรค์และให้อิสระทางควา มคิด แก่ผู้เรียนโดยอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับเนื้อหาบทเรียนได้อย่างเหมาะสม 3.7.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม พบว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาทางหลักภาษาไทย และกิจกรรมท้ายบทเรียนมีความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้เรียนจะได้เรียนรู้ความรู้ ทางหลักภาษาเรื่องค าเชื่อม ที่ ซึ่ง อัน และหลักการใช้ ไปจนถึงการเรียนเรื่องค ายืมภาษามอญอย่างเป็น ธรรมชาติผ่านการอ่านเรื่องยาวที่มีขนาดยาวแต่มีเนื้อหาคล้ายนิทานจึงท าให้อ่านสนุกและน่าติดตาม ผู้เรียนจะ ได้เห็นหลักการใช้ค าและค ายืมต่าง ๆ จากในเนื้อเรื่อง นอกจากนี้กิจกรรมท้ายบทยังท าให้ผู้เรียนได้ค้นหา ความรู้ด้วยตนเองด้วยไม่ใช่เป็นเพียงแต่การท าตามค าชี้แจงของครูอย่างเดียว มีทั้งกิจกรรมที่หลา กหลา ย ซึ่งสามารถสร้างทางเลือกให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ที่ได้เรียนมาสนุกไปกับกิจกรรมท้ายบทได้ 3.7.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม พบว่าในบทเรียนนี้ได้สอนผู้เรียนใน เรื่อง ของการใช้ค าเชื่อม ที่ ซึ่ง อัน และค ายืมภาษามอญ ซึ่งตรงกับสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย ท 4.1 เข้าใจ ธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ตัวชี้วัด ท 4.1 ม.3/5 อธิบายความหมายค าศัพท์ทางวิชาการแล ะ วิชาชีพ ตรงกับสาระการเรียนรู้แกนกลางเรื่องค าศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ 3.7.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.7.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม พบว่าสมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏมีดังนี้ (1) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสมจากการที่ผู้เรียนจะต้องคิด จับใจความจากเรื่องราวที่ได้อ่านและสังเกตเพื่อสร้างองค์ความรู้เรื่องการใช้ค าเชื่อมและค ายืมจากภาษา มอญ ด้วยตนเองขณะอ่านเรื่องราว และยังฝึกความคิดสร้างสรรค์ในการแต่งประโยคและคิดวิเคราะห์ในการค้น คว้า ความรู้ด้วยตนเอง (2) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับส่งสาร มีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูล ข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคมจากการที่ผู้เรียนได้ท ากิจกรร ม


33 ที่ต้องฝึกการสื่อสารและแบ่งกลุ่มกันซึ่งเป็นการสื่อสารภายในทีมของตัวเองและสื่อสารกับผู้ฟังคนอื่น ๆ ตอนที่ ได้น าเสนอ ได้เล่าเรื่องให้เพื่อน ๆ ฟัง และได้แสดงความคิดเห็น พร้อมทั้งเป็นผู้ฟังที่ดี 3.7.6.3 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม พบว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ปรากฏมีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูง พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และ ตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณด้วยเหตุผลรอบด้านในการค้นคว้าหาความรู้ได้ด้วยตนเองเพื่อให้ได้มา ซึ่ง ค าตอบและจะต้องผ่าน การคิดวิเครา ะห์ปร ะมวลผลข้อมูลแล ะปร ะเมิน ควา มน่าเชื่อถือ ของข้อมู ล ตลอดจนการแต่งประโยคใหม่ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องใช้ค าเชื่อมที่ได้เรียนมาอีกด้วย (2) การสื่อสาร พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถรับสารและส่งสารได้อย่าง ปราศจากอคติ มีสติ เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง เลือกใช้กลวิธีสื่อสารได้อย่างเหมาะสมโดยมีความ รับผิดชอบต่อสังคม ด้วยทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาผ่านการท ากิจกรรมกลุ่ม การเล่าเรื่อง การแสดงความ คิดเห็น และการน าเสนอหน้าชั้นเรียนรวมไปถึงการเป็นผู้ฟังที่ดี (3) การรวมพลังท างานเป็นทีม พิจารณาจากการที่ผู้เรียนสามารถจัดร ะบบแ ล ะ ออกแบบกระบวนการท างานทั้งของตนเองและกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ ได้ฝึกควา มเป็น ผู้น า และผู้ตามที่ดี ฝึกการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้า ทา ยได้เพื่อให้ งานออกมาส าเร็จผ่านการท ากิจกรรมกลุ่มในกิจกรรมท้ายบท 3.7.7 ภาพประกอบ ภาพประกอบที่ปรากฏในบทที่ 7 รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม พิมพ์ด้วยสีสันสดใสคมชัด มี 8 ภาพ ได้แก่ 1. ภาพประกอบเรื่องราว รู้ต านานสืบสานวัฒนธรรม โดยเป็นภาพขนาดใหญ่เต็ม หน้ากระดาษ ซึ่งเป็นภาพของตัวละครที่ก าลังไหว้ขอพรต้นไม้ (หน้าที่ 84) 2. ภาพตัวละครก าลัง ทะเลาะกัน (หน้าที่ 85) 3. ภาพเด็กผู้ชายท าสวนประกอบการอธิบายเรื่องความเชื่อเรื่องมีบุตรชาย สืบสกุล (หน้า ที่ 91) 4. ภ าพเด็กหญิงช ายก าลังเล ่นน้ า (หน้าที ่ 92) 5. ภ าพก า ลังก ่อกองทราย ประกอบการอธิบายเรื่องวันขึ้นปีใหม่และเทศกาลสงกรานต์ (หน้าที่ 93) 6. ภาพปฏิทิน ภาพดวง จันท ร์และพระอ าทิตย์ประกอบก ารอ ธิบาย 7. ย กตัวอย ่างเรื ่องอนุปร ะโ ยคที่มีค าว่ากลางวันและ กลางคืน (หน้าที่ 95) และ 8. ภาพคนนั่งสมาธิประกอบการอธิบายเรื่องส านวนเทศนา (หน้าที่ 97) เมื่อพิจารณารูปภาพดังกล่าวแล้วพบว่ามีการใช้รูปภาพประกอบในหลายส่วนและมีความเกี่ยวข้องกับ เนื้อหาที่ใช้ประกอบได้ดี ท าให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเนื้อหากับรูปภาพได้ดียิ่งขึ้น 3.7.8 ตัวอักษรและขนาด ในหน้า แ ร กที ่แสดงเลขอักษ รไทย ขน าดใหญ ่แ ละมีสีสัน ฉูดฉ าด ด้า น ล ่างของเลข อักษรไทยที่แสดงล าดับของบทเรียนจะเป็นชื่อของบทเรียนมีการใช้ขนาดและสีตัวอักษรที่ต่างกัน โดย ค าว่า “รู้” และ “สืบสาน” ใช้ตัวอักษรสีส้ม ค าว่า “ต านาน” และค าว่า “วัฒนธรรม” ใช้ตัวอักษรสี แดง โดย ค า ว ่าสืบสานมีขน าดใหญ ่เป็นพิเศษเพื ่อเน้นข้อคว าม จ า กนั้น ข้อความในส ่วนเกริ่นน าใช้ รูปแบบอักษรไทยมาตรฐานเป็นตัวเอียงในเครื่องหมายค าพูด ใน ส่วนของหัวข้อการอธิบายเนื้อหาจะ ใช้เป็น ตัวอักษ ร สีแดงเน้น ตัวหน า ขน า ดใหญ ่กว ่าเนื้อหา ทั ่วไป หัวข้อย ่อยใช้รูปแบบอักษรไทย มาตรฐานเน้นตัวหนาสีด า และเนื้อหาใช้รูปแบบอักษรไทยมาตรฐานขนาดเล็กลงมาแต่ยังสามารถอ่าน ได้ชัดเจนเหมือนกันหมดทั้งบท ซึ่งการใช้สีและขนาดที่ต่างกัน ของตัวอักษรนี้ท าให้ช่วยกระตุ้นคว า ม สนใจเพื่อเข้าสู่บทเรียนได้มากยิ่งขึ้น


34 3.8 บทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า 3.8.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 101) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า เป็นการแสดงทัศนคติเกี่ยวกับ ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นจากการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อน ามาพัฒนาตนเอง เป็นการเกริ่นน าเข้าสู่เนื้อหา ของบทเรียนที่มีความสอดคล้องกับชื่อของบทเรียน และเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาให้ผู้เรียนคิดตามเกิดการจูงใจใน การสร้างพฤติกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเพิ่มมากขึ้น 3.8.2 เนื้อหา 3.8.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้นจากการกล่าวถึง เนื้อหาของบทเรียนคือเรื่องที่เรียกว่าก้าวหน้า แสดงตัวบทเรียนจนจบ และลงท้ายด้วยชื่อของผู้แต่ง ต่อมา แสดงข้อคิดที่ได้จากเรื่อง ตามด้วยการกล่าวถึงบทความเพื่อเชื่อมโยงจากเนื้อหาเข้าสู่สาระภาษาไทยที่ต้องการ จะสอนในบทเรียน ตามด้วยการประเมินคุณค่าของบทความ เพื่อเป็นการกล่าวถึงหลักการพิจารณาคุณค่าของ บทความว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง ตามด้วยบทความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของตัวละค รใน เรื่องทั้งหมด 3 คน คือ ลักษมี วีณา และตัวผู้เขียน จากนั้นจะกล่าวถึงข้อคิดที่สังเคราะห์ได้จากเรื่อง ที่เรียกว่า ก้าวหน้า และจบด้วยกิจกรรมท้ายบทเรียน 3.8.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มาตา มที่ คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องและ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 102-106) จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า สามารถสรุปใจความ ส าคัญของเรื่องได้ดังนี้ ลักษมี วีณา และผู้เขียน (ศุทธินี) เป็นเพื่อนกัน พูดแสดงความคิดเห็นว่าใครจะก้าวหน้า มากกว่าใครเมื่อออกไปประกอบอาชีพ ลักษมีให้ความส าคัญกับเรื่องเกียรติยศ และมุ่งมั่นที่จะแสวงหาแนวทาง ที่จะประผลส าเร็จ เริ่มจากสมัครงานหนังสือพิมพ์ เป็นนักเขียนข่าว และนวนิยาย และประสบความส าเร็จจาก การได้เขียนเรียงความแนวเพ้อฝันมีชื่อเสียงเป็นที่ รู้จัก ส่วนวีณาให้ความส าคัญกับเงินเพระเงินคือราก ฐานที่ มั่นคงในชีวิต จึงเปลี่ยนงานหลายครั้ง และได้ท างานประจ าที่องค์กรการต่างประเทศ มีรายได้จ านวน มาก ประสบกันความส าเร็จคือได้มีอาชีพที่มั่นคง ส่วนตัวผู้เขียน (ศุทธินี) ให้ความส าคัญในการเลือกอาชีพครูที่ ตนเองรักและพากเพียรจนกระทั่งได้รับปริญญาที่สูงขึ้น มีความสุขกับการศึกษาเพิ่มมากขึ้น และได้ศึกษา เพิ่มเติมและมีผลงานเป็นที่ยอมรับ มีชื่อเสียงในระดับในประเทศและนอกประเทศ ผู้เขียนได้สรุปเรื่อง ราว ดังกล่าวว่า ความก้าวหน้าที่มีความส าคัญที่สุดก็คือ การมีชื่อเสียง เงิน และวิชาความรู้ ซึ่งเราทุกคนก็ต้องเลือก ได้เพียงอย่างเดียว ถ้าเรามีความโชคดีก็คงได้ 2 อย่าง แล้วก็ขึ้นอยู่กับเราว่าเราจะเลือกทางเดินชีวิตแบบไหน (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า พบว่า มีการประพันธ์เรื่องรา ว ในรูปแบบร้อยแก้ว มีการใช้ระดับภาษาที่หลากหลาย เช่น ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับกึ่งทางการ มีการ เน้นย้ าส่วนที่เป็นใจความส าคัญหรือข้อคิดที่มุ่งจะให้เกิดแก่ผู้เรียน เป็นต้น เพื่อให้ผู้เรียนได้อ่าน ออกเสียงได้ ง่าย และไม่ต้องใช้การท าความเข้าใจที่ซับซ้อนอย่างเช่นรูปแบบร้อยกรองหรือบทความ ที่ต้องอาศั ยก าร ตีความ การวิเคราะห์จนเกิดความเข้าใจในบทเรียน


35 (3) ข้อคิดจากเรื่อง (หน้าที่ 107) จากการศึกษาบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า พบว่า มีการเกริ่นน าก่อนเข้าสู่ ข้อคิดจากเรื่องเพียงเล็กน้อย กล่าวถึงผู้ประพันธ์ และสะท้อนข้อคิดจากเรื่องดังนี้ เรื่องนี้มุ่งแสดงข้อคิดแก่ ผู้อ่านว่าคนเราย่อมมีความคิดเห็นต่อเรื่องต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน ในเรื่องนี้เลยน าค าว่า ก้าวหน้า มาให้ผู้อ่านได้ คิดวิเคราะห์แสดงความคิดเห็นที่หลายหลายมุมมอง และกล่าวถึงการจบเรื่องด้วยการสรุปเนื้อหาสาร ะที่ได้ น ามาเสนอทั้งหมดและกระตุ้นให้ผู้อ่านน าไปคิดต่อเพื่อตัดสินใจเลือกรูปแบบความก้าวหน้าของตัวเอง จะเห็นได้ว่าข้อคิดจากเรื่องดังกล่าวมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะ ที่ ส าคัญประการหนึ่งคือความสามารถในการคิด รวมทั้งท าให้ผู้เรียนเกิดการยอมรับมุมมองของความคิดเห็นใน เรื่องต่าง ๆ ที่หลากหลายจากผู้คนในสังคม เป็นต้น (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า พบว่า เนื้อหาภายในบทปรากฏ 2 สาระส าคัญด้วยกัน คือ สาระที่ 1 การอ่าน (อ่านจับใจความ อ่านสรุปความ) และ สาระที่ 2 การเขียน (งานเขียนประเภทบทความ คือ บทความแสดงความคิดเห็น) สะท้อนให้เห็นว่าในหนึ่งบทเรียนไม่จ าเป็นจะต้อง สอดแทรกสาระรายวิชาภาษาไทยเพียงสาระเดียว หากแต่บทเรียนนั้นได้ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับความรู้ใน สาระ อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน จะช่วยส่งเสริมกระบวนการและทักษะในการเรียนรู้ที่เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ตลอดจนสามารถ น าไปบูรณาการปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้ 3.8.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 111-112) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนที่มีชื่อกิจกร รม มีด้วยกันทั้งหมด 2 กิ จ ก ร ร ม ดังต่อไปนี้กิจกรรมที่ 1 คิดตรอง ลองท าดู จากการพิจารณา พบว่า กิจกรรมหลักในบทนี้คือก า รให้ ผู้เรียนได้สรุปใจความส าคัญของเรื่องที่ยกมาให้อ่าน กิจกรรมแบ่งกลุ่มแสดงควา มคิด เห็นใ น เ รื่อง ความก้าวหน้าในทัศนะแต่ละกลุ่ม การเป็นผู้น าสังคมของวัยรุ่น เยาวชนกับการมีจิตสาธารณะ แ ล ะ กิจกรรมที่ 2 คิดเพิ่ม เสริมทักษะ ได้มีการแนะน าให้ท ากิจกรรมกลุ่มโดยการศึกษาค้นคว้ าเกี่ย วกับอาชีพ ต่าง ๆ จากนั้นมีกิจกรรมแบ่งกลุ่มคัดสรรบทความที่น่าสนใจจากหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร จะเห็นได้ ว่า ทั้งกิจกรรมหลักและกิจกรรมรองมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการท างานเป็นกลุ่ม เพื่อให้สอดคล้องกับ บทเรียนที่เน้นไปที่การแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งต่างคนต่างมุมมองท าให้เกิดก าร อภิป ร าย ความคิดต่อเรื่องเดียวกันที่หลากหลาย ถือได้ว่ากิจกรรมท้ายบทเรียนตอบโจทย์กับเนื้อหาในบทเรี ยนได้ เป็นอย่างดี 3.8.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า พบว่า เนื้อหาในบทเรียนมีความเหมา ะสมกับ ช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องใช้ชีวิตในสังคมที่มีความหลากหลาย บทเรียนมีส่วนช่วยท าให้ผู้เรี ยน เกิดการ เรียนรู้ท่ามกลางความหลากหลายจากการท ากิจกรรมโดยอาศัยกระบวนการกลุ่ม ท าให้เห็นมุมมอง ความคิดของสมาชิกภายในกลุ่มที่หลากหลายที่มีต่อเรื่องเดียวกัน ส่งเสริมการคิดอย่างมีเหตุผล และการ อ่านที่มีประโยชน์ในการน าไปปรับใช้ในชีวิตประจ าวันได้ 3.8.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า พบว่า ในบทเรียนนี้ได้สอนให้ผู้เรียนใน เรื่อง ของการเขียนบทความและการประเมินคุณค่าของบทความตรงกับสาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐา น ก าร เรียนรู้ ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อน าไปตัดสินใจแก้ปัญหาใน กา ร ด า เนิน ชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัด ม.3/3 ระบุใจความส าคัญและรายละเอียดของข้อมูลที่สนับสนุนจา ก


36 เรื่องที่อ่าน และสอดคล้องกับสาระที่ 2 การเขียน มาตรฐานการเรียนรู้ ท 2.1 ใช้กระบวน ก า ร เขี ยน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายง า น ข้อมูล สารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัด ม.3/7 เขียนวิเครา ะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิดเห็นหรือโต้แย้งในเรื่องต่าง ๆ และปรากฏสาระการเรียนรู้แกนกลาง 2 สาระ คือ 1. การอ่านจับใจความส าคัญจากสื่อต่าง ๆ เช่น บทความ งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ บันเทิงคดี และ 2. การเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้งจากสื่อต่าง ๆ เช่น บทโฆษณา บทความวิชาการ 3.8.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.8.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 8 ที่เรียกว่า ก้าวหน้า พบว่า สมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏ คือ ความสามารถในการคิด จากการพิจารณาพบว่า บทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า ตัวชี้วัดประจ าหน่วยมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะในด้านความสามารถในการคิด เนื่องจาก ตัวชี้วัดจะเน้นไปที่การระบุใจความส าคัญและการเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิดเห็น หรีอ โต้แย้งในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งจะต้องอาศัยความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ความรู้ที่ตอบโจทย์ตัวชี้วัดประจ า หน่วยต่อไป 3.8.6.2 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า พบว่า ทักษะในหลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่ปรากฏ มีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูง พิจารณาจากตัวชี้วัดประจ าหน่วยมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะ ดังกล่าว เนื่องจากตัวชี้วัดที่ปรากฏในบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า จะเน้นไปที่การระบุใจความส าคัญจากเรื่องที่ อ่านและการเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิดเห็น หรีอโต้แย้งในเรื่องต่าง ๆ เข้าใจความ เชื่อมโยงของสรรพสิ่งที่อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ใช้จินตนาการและองค์ความรู้แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ (2) การรวมพลังท างานเป็นทีม จากการพิจารณาบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า พบว่า กิจกรรมท้ายบทเรียนจะเน้นไปที่กระบวนการเรียนรู้แบบกลุ่ม ท าให้ผู้เรียนสามารถจัดระบบและออกแบบ กระบวนการท างานทั้งของตนเอง และกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ มีความเป็นผู้น า โปร่งใส และ ตรวจสอบได้ มีมนุษยสัมพันธ์ดี และจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้ 3.8.7 ภาพประกอบ ในบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า ได้มีการใช้ภาพประกอบที่มีสีสันสดใส พิมพ์สีคมชัดปร ะกอบ เนื้อหาและการอธิบาย โดยปรากฏภาพประกอบในหลายจุดตั้งแต่เนื้อหาในบทเรียน เป็นรูปของผู้เขียนเรื่อง (ศุทธสินี) ก าลังนึกถึงภาพการเป็นครุของตัวเองในอนาคต (หน้าที่ 103) ถัดจากนั้นเป็นรูปของวีณา ที่ก าลังนั่ง นึกถึงภาพตัวเองในอนาคตที่ตนให้ความส าคัญกับเงินเป็นหลัก (ปรากฏอยู่ส่วนบนหน้าที่ 104) และตามด้วย รูปภาพของผู้เขียนเรื่อง (ศุทธสินี) ที่ตนเองได้ประกอบอาชีพครูตามที่ตนเองได้ตั้งเป้าไว้ (ปรากฏอยู่ส่วนบน หน้าที่ 106) ถัดมาเป็นรูปที่สะท้อนให้เห็นความแตกต่างของเนื้อเรื่อง เป็นรูปผู้หญิงที่เอาแต่นั่งเล่นไปวัน ๆ เหมือนคนไร้เป้าหมายและไม่คิดจะแสวงหาความก้าวหน้าให้แก่ตัวเอง (ปรากฏอยู่ส่วนล่างหน้าที่ 110) และ ภาพสุดท้ายเป็นรูปของผู้เรียนที่ก าลังนุ่งครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่อยากจะเป็น (ปรากฏอยู่ส่วนล่างของกิจกรรมคิด


37 ตรอง ลองท าดู หน้าที่ 111) ทุกภาพที่น ามาประกอบบทเรียนมีสีสันที่สดใส มองแล้วสบายตา และมีความ สอดคล้องกับเนื้อหาภายในบทเรียน ผู้ศึกษาพิจารณาการใช้ภาพประกอบในบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้าพบว่า ได้มีการใช้ ภาพประกอบที่เหมาะสม โดยเริ่มตั้งแต่การใช้ภาพประกอบที่มีความสวยงามขนาดใหญ่เร้าความสนใจของ ผู้เรียนและมีการใช้ภาพประกอบที่สอดคล้องกับเนื้อหาและกิจกรรมในบ ทเรียน เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่าน ตัวอักษรและมีภาพประกอบเสริมสร้างจินตภาพตามไปกับเนื้อหาให้แก่ผู้เรียน บทเรียนก็จะมีความน่า สนใจ มากยิ่งขึ้นและผู้เรียนก็จะเข้าใจ จดจ าบทเรียนได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 3.8.8 ตัวอักษรและขนาด ในหน้าแรกที่แสดงเลขอักษรไทยขนาดใหญ่และมีสีสันฉูดฉาด ด้านล่างของเลขอักษ รไทย ที่แสดงล าดับของบทเรียน จะเป็นชื่อของบทเรียน จะมีการใช้ขนาตัวอักษรที่ต่างกัน กล่าวคือ เน้น ตัวอักษรขนาดใหญ่ตรงค าว่า ที่ และ ว่า จากนั้นจะเป็นนิยามของความก้าวหน้าโดยใช้ตัวอักษรไทย สารบัญ ต่อมาชื่อเรื่องใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 18 พ้อยท์สีน้ าเงิน ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์ สีด า ต่อมาหัวข้อหลัก ข้อคิดจาเรื่อง บทความ การประเมินคุณค่าของบทความ คิดตรอง ลองท าดู และ คิดเพิ่ม เสริมทักษะ ใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 20 พ้อยท์สีน้ าเงิน ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์ สี ด า มีการเน้นตัวหน้าบ้าง ตัวเอียงบ้างในส่วนที่เป็นสาระส าคัญของบทเรียน พิจารณาได้ว่าการใช้ตัวอักษรและขนาดในบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้ามีควา ม เหมา ะสม เนื่องจากสามารถท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะการอ่านที่ง่ายต่อการเรียนรู้ และมีความสอดคล้องเหมา ะสมกับ วัยของผู้เรียน หากใช้ตัวอักษรที่อ่านยากและขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างอาจจะท าให้การกระตุ้น ควา มสนใจ เพื่อเข้าสู่บทเรียนของผู้เรียนลดน้อยลงได้ 3.9 บทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี 3.9.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 113) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี พบว่า เป็นการแสดงทัศนคติ เกี่ยวกับสถานที่ในกรุงเทพฯ บอกเกี่ยวกับอาณาเขตของท้องสนามหลวงในสมัยก่อนและเปรียบเทียบกับ ปัจจุบัน เป็นการเกริ่นน าที่มีความสอดคล้องกับบทเรียนที่อยู่ภายใน เนื่องจากมีความสอดคล้องกับชื่อเรื่องแล ะ สาระการเรียนรู้ที่อยู่ในเนื้อหา 3.9.2 เนื้อหา 3.9.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้นจากการกล่าวถึง เนื้อหาของบทเรียนคือเรื่องกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อพุทธศักราช 2430 แสดงตัวบทเรียนจนจบ และลงท้ายด้วย ชื่อของผู้แต่ง ต่อมาแสดงข้อคิดที่ได้จากเรื่อง ตามด้วยการกล่าวถึงบทความเพื่อเชื่อมโยงจากเนื้อหาเข้าสู่สาระ ภาษาไทยที่ต้องการจะสอนในบทเรียน คือ การบอกทิศทาง การเปลี่ยนแปลงของภาษาและจบด้วยกิจกรร ม ท้ายบทเรียน 3.9.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มาตา มที่ คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องและ


38 สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 114-118) จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี สามารถสรุป ใจความส าคัญของเรื่องได้ดังนี้ พ่อ ใหญ่ และเล็ก พูดคุยเรื่องแผนที่สมัยรัตนโกสินทร์ที่พ่อน าขึ้นมาดู ในแผนที่ นั้นแตกต่างกับกรุงเทพฯในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง บริเวณที่เป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและถนนเพชรบุรี ยังเป็น ท้องนายังไม่มีถนนราชด าเนินชื่อสถานที่ก็เรียกแตกต่างไปจากปัจจุบัน เช่น โรงเรียนสตรีวิทยา เรียก โรงเรียน ตึกดิน วัดมกุฏกษัตริยารามเมื่อก่อนชื่อวัดพระนามบัญญัติ และสนามหลวงก็มีเล็กกว่าปัจจุบัน พ่อได้เล่าต่อว่า สมัยก่อนมีถนนส าคัญสามสาย คือ ถนนเจริญกรุง ถนนบ ารุงเมือง และถนนเฟื่องนคร โดยเฉพาะถนนเจริญกรุง มีความเจริญเพราะมีสถานกงสุลต่าง ๆ ตั้งอยู่จ านวนมาก ด้านคมนาคมนอกจากจะมีรถแล้วยังมีรถรางซึ่งใช้ม้า ลากอีกด้วย (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี พบว่า มีการประพันธ์ เรื่องราวในรูปแบบบทละครพูดองก์เดียวกล่าวคือ เป็นบทละครพูดที่จบภายในตอนเดียวไม่ได้มีการสื่อความ ยาวเป็นหลายตอน ผู้ประพันธ์ คือหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล มีการใช้ถ้อยค าสื่ออารมณ์ประกอบเครื่องหมาย วรรคตอน เช่น ค าว่า อ๋อ! กรุงเทพฯ พุธโธ่! เอ๊ย เป็นต้น มีการใช้ประโยคชนิดต่าง ๆ ในการสื่อสาร ทั้งประโยค สามัญ ประโยครวมที่แบ่งตามโครงสร้าง และประโยคที่แบ่งตามเจตนาการสื่อสาร พบประโบ คบอกเล่า ประโยคค าถาม เป็นต้น ท าให้เนื้อหาสามารถสื่อความตามเจตนาของรูปแบบค าประพันธ์ที่เป็นบทละครพูดได้ (3) ข้อคิดจากเรื่อง (หน้าที่ 119) จากการศึกษาบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี พบว่า มีการเกริ่นน าก่อน เข้าสู่ข้อคิดจากเรื่องเพียงเล็กน้อย กล่าวถึงผู้ประพันธ์ และสะท้อนข้อคิดจากเรื่องดังนี้ แสดงให้เห็น ถึง ความเจริญรุ่งเรื่องของกรุงเทพฯ ที่สืบทอดมาจากอิทธิพลตะวันตก จะเห็นได้ว่าข้อคิดจากเรื่องดังกล่าว มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะที่ ส าคัญประการหนึ่ง คือ ความสามารถในการคิด ที่ท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงจากอดีต มาสู่ปัจจุบัน เป็นต้น เป็นการมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เข้าใจ ยอมรับ ปรับตัว เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านใน ทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นภูมิศาสตร์ การให้ความนิยมกับสิ่งต่าง ๆ หรือแม้แต่การรับวัฒนธรรมของตะวันตกเข้า มาใช้ นอกจากนี้ยังเป็นการสะท้อนคิดให้กับผู้เรียนว่าในการที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ จะต้องมีองค์ประกอบ อะไรบ้าง และเมื่อเปลี่ยนแปลงแล้วเกิดผลกระทบต่อสังคมอย่างไร (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี พบว่า เนื้อหาภายในบท ปรากฏ 2 สาระส าคัญด้วยกัน คือ สาระที่ 1 การอ่าน (อ่านจับใจความ อ่านสรุปความ) และ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย (อธิบายความหมายของค า การเปลี่ยนแปลงทางภาษา การบอกทิศทาง) สะท้อนให้เห็น ว่าการอ่านอ่านสามารถเชื่อมโยงไปสู่ทักษะด้านการวิเคราะห์ สังเคราะห์เกี่ยวกับเนื้อหาของหลักภาษาไทยได้ และสามารถบูรณาการร่วมกันได้ เพราะจะท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากกว่า 1 สาระในภาษาไทย และเป็น การสร้างเสริมองค์ความรู้เพื่อต่อยอดการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น


39 3.9.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 122) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนที่มีชื่อกิจกรรม มี1 กิจกรรม คือ กิจกรรมที่ 1 คิดตรอง ลองท าดู จากการพิจารณาพบว่า กิจกรรมท้ายบทเรียน เป็นกิจกรรมหลักในบทนี้ได้ให้ผู้เรียนสรุปใจ ควา ม ส าคัญจากบทละครพูดที่ยกมาให้อ่าน จากนั้นให้ผู้เรียนเขียนแผนที่กรุงเทพ เขียนแผนที่เส้นทางระหว่าง บ้านพักของผู้เรียนกับโรงเรียน มีการแบ่งกลุ่มระดมความคิดเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากป้ายบอก เส้นทาง มีการให้ผู้เรียนเขียนแผนที่ตั้งสถานที่ส าคัญและมีการแบ่งกลุ่มรวบรวมชื่อสถานที่ ชื่อบุคคล องค์การ มาจัดท าเป็นรูปเล่ม และในบทนี้ไม่ปรากฏกิจกรรมรอง คือ คิดเพิ่ม เสริมทักษะ กิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรม ที่ช่วยพัฒนาระบบความคิด การคิดอย่างมีเหตุผล กระบวนการท างานกลุ่ม และฝึกทักษะการเชื่อมโยงความรู้ จากบริบทต่าง ๆ ที่ไกลตัวเข้ามาสู่สิ่งที่ใกล้ตัว ท าให้การเรียนรู้ของผู้เรียนง่ายมากยิ่งขึ้นและสามารถสร้างเสริม พฤติกรรมการเรียนรู้ที่สามารถช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการในด้านต่าง ๆ ได้อีกด้วย 3.9.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี จากหนังสือเรียนพื้นฐานรายวิชาภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดท าขึ้นโดยกระทรวงศึกษา พบว่า เนื้อหาในบทเรียนมีความ เหมาะสมกับช่วงวัยเนื่องจากบทเรียนดังกล่าว มีการสอดแทรกทักษะในสาระภาษาไทยที่ครบทุกด้านหา กครู น ามาจัดกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้ง 4 สาระ ได้แก่ การอ่าน การเขียน การฟัง การดู และ การพูด และหลักการใช้ภาษาไทย เนื่องจากบทเรียนดังกล่าวเป็นบทละครพูดแบบองก์เดียว และมีการสอน อธิบายเกี่ยวกับหลักภาษาคือการบอกทิศทาง และการเปลี่ยนแปลงทางภาษาว่ามีด้านใดบ้าง และฝึกการเขียน แผนที่จากบทเรียนเชื่อมโยงมาสู่ชีวิตจริงของผู้เรียน จะเห็นได้ว่าบทเรียนดังกล่าวมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียน รู้ตา ม สาระภาษาไทยทั้ง 4 กลุ่มสาระ เพื่อฝึกทักษะการเชื่อมโยงทั้ง 4 สาระเข้าด้วยกัน อันเกิดมาจากการเ รียนรู้ ของผู้เรียนในระดับบการคิดขั้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์ 3.9.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี จากหนังสือเรียนพื้นฐานรายวิชาภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดท าขึ้นโดยกระทรวงศึกษา พบว่า บทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี ตรงกับสาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐานการเรียนรู้ ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อน าไป ตัดสินใจแก้ปัญหาในการด าเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัด ม.3/3 ระบุใจความส าคัญและรายละเอียด ของข้อมูลที่สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน และสอดคล้องกับสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐานการเรียนรู้ ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภูมิปัญญา ทาง ภาษา และรักษาภาษาไทยไว้ให้เป็นสมบัติของชาติ ตัวชี้วัด ม.3/5 อธิบายความหมายของค าศัพท์ทางวิชาการ และวิชาชีพและปรากฏสาระการเรียนรู้แกนกลาง 2 สาระ คือ 1. การอ่านจับใจความส าคัญจากสื่อต่าง ๆ เช่น บทความ งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ บันเทิงคดี และ 2. ค าศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ 3.9.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.9.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี พบว่า สมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏ คือ ความสามารถในการคิด จากการพิิจารณาพบว่า บทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี ตัวชี้วัดประจ าหน่วยมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะในด้านความสามาร ถใน การคิด เนื่องจากตัวชี้วัดจะเน้นไปที่การระบุใจความส าคัญและค าศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ ซึ่งจะต้องอาศัย ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และ


40 การคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ความรู้ที่ตอบโจทย์ตัวชี้วัดประจ าหน่วยและการเรียนรู้เนื้อห าใน บทเรียนต่อไป 3.9.6.2 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาบทที่ 8 ที่เรียกว่าก้าวหน้า พบว่า ทักษะในหลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่ปรากฏ มีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูง พิจารณาจากตัวชี้วัดประจ าหน่วยมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะ ดังกล่าว เนื่องจากตัวชี้วัดที่ปรากฏในบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี จะเน้นไปที่การระบุใจความส าคัญจาก เรื่องที่อ่านและการเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิดเห็น หรีอโต้แย้งในเรื่องต่าง ๆ เข้า ใจความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งที่อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ใช้จินตนาการและองค์ความรู้แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ได้ (2) การรวมพลังท างานเป็นทีม จากการพิจารณาบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี พบว่า กิจกรรมท้ายบทเรียนจะเน้นไปที่กระบวนการเรียนรู้แบบกลุ่ม ท าให้ผู้เรียนสามารถจัดระบบและ ออกแบบกระบวนการท างานทั้งของตนเอง และกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ มีความเป็นผู้น า โปร่งใส และตรวจสอบได้ มีมนุษยสัมพันธ์ดี และจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้ 3.9.7 ภาพประกอบ ในบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี ปรากฏรูปภาพประกอบจ านวน 4 ภาพ ตามเนื้อหาใน บทเรียน ดังนี้ 1. รูปภาพของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยขนาดเล็ก (หน้าที่ 114). 2. รูปเกี่ยวกับเนื้อหาใน บทเรียน เป็นภาพของตัวละครภายในเรื่อง 3 คน คือ คุณพ่อ ใหญ่ และเล็ก ก าลังพูดคุยเกี่ยวกับแผนที่ของ กรุงเทพฯในอดีต (หน้าที่ 115) 3. รูปภาพของครอบครัวก าลังนั่งดูแผนที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูกอีก 2 คน (หน้าที่ 116 ส่วนล่างสุด) และ 4. รูปภาพพระบรมมหาราชวัง (หน้าที่ 119 ตรงกลางหน้ากระดา ษ) กล่าวได้ว่ามีการใช้ภาพประกอบที่มีสีสันสดใส เว้นแต่บางรูปภาพที่มีลักษณะคล้ายภาพถ่ายในอดีต เช่น รูปภาพพระบรมมหาราชวัง แต่มีความคมชัด ในการประกอบเนื้อหาและการอธิบาย ผู้ศึกษาพิจารณาการใช้ภาพประกอบในบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปี พบว่า ได้มีการใช้ ภาพประกอบที่เหมาะสม โดยเริ่มตั้งแต่การใช้ภาพประกอบที่มีความสวยงามขนาดใหญ่เร้าความสนใจของ ผู้เรียนและมีการใช้ภาพประกอบที่สอดคล้องกับเนื้อหาและกิจกรรมในบทเรียน เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่าน ตัวอักษรและมีภาพประกอบเสริมสร้างจินตภาพตามไปกับเนื้อหาให้แก่ผู้เรียน บทเรียนก็จะมีความน่า สนใจ มากยิ่งขึ้นและผู้เรียนก็จะเข้าใจ จดจ าบทเรียนได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 3.9.8 ตัวอักษรและขนาด ในหน้าแรกที่แสดงเลขอักษรไทยขนาดใหญ่และมีสีสันฉูดฉาด ด้านล่างของเลขอักษ รไทย ที่แสดงล าดับของบทเรียน จะเป็นชื่อของบทเรียน จะมีการใช้ขนาตัวอักษรที่ต่างกัน กล่าวคือ เน้น ตัวอักษรขนาดใหญ่ตรงค าว่า เมื่อ และ กว่าปี โดยค าว่าเมื่อจะมีสีสันที่เด่นชัดมากกว่าค าว่ า ก ว่ า ปี จากนั้นจะเป็นนิยามของความก้าวหน้าโดยใช้ตัวอักษรไทยสารบัญ ต่อมาชื่อเรื่องใช้ตัวอักษ รไทยสา รบัญ ขนาด 18 พ้อยท์ สีชมพูออกแกมม่วง ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์ สีด า ต่อมาหัวข้อหลัก ข้อคิดจาก เรื่อง การบอกทิศทาง และคิดตรอง ลองท าดู ใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 20 พ้อยท์ชมพูแ กม ม่ วง ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์ สีด า มีการเน้นตัวหน้าบ้าง ตัวเอียงบ้างในส่วนที่เป็น ส า ร ะส า คัญ ของ บทเรียน


41 พิจารณาได้ว่าการใช้ตัวอักษรและขนาดในบทที่ 9 กรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปีมีความเหมา ะสม เนื่องจากสามารถท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะการอ่านที่ง่ายต่อการเรียนรู้ และมีความสอดคล้องเหมาะสมกับวัยของ ผู้เรียน หากใช้ตัวอักษรที่อ่านยากและขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างอาจจะท าให้การกระตุ้นความสนใจเพื่อเข้าสู่ บทเรียนของผู้เรียนลดน้อยลงได้ 3.10 บทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ 3.10.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 123) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ พบว่า มีการกล่าวถึง การใส่บาตร ต่อพระภิกษุสงฆ์ที่ต้องค านึงเป็นอย่างมาก เพราะการใส่บาตรต้องถวายของที่บริสุทธิ์แก่พระภิกษุสงฆ์ เป็นการ เกริ่นน าที่น าเข้าสู่เนื้อหาเรื่องการใส่บาตรของบทเรียนนี้ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีความสอดคล้องกับบทเรียน 3.10.2 เนื้อหา 3.10.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้นจากการ กล่าวถึงเนื้อหาของบทเรียนคือเรื่องใส่บาตร และลงท้ายด้วยชื่อของผู้แต่ง ต่อมาแสดงข้อคิดที่ได้จ ากเรื่อง ตามด้วยการกล่าวเชื่อมโยงจากเนื้อหาเข้าสู่สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทยที่ต้องการจะสอนในบทเรี ยน ได้แก่ งานเขียนสร้างสรรค์ ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ องค์ประกอบของการเขียนส ร้างสร ร ค์ ประกอบด้วย เนื้อหา รูปแบบ ภาษา ความมุ่งหมาย ประโยคกรรม และชนิดของค าต่าง ๆ ได้แก่ ค าบุพบท ค าเชื่อม ค าอุทาน และจบบทเรียนด้วยกิจกรรมท้ายบทเรียน 3.10.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มา ตามที่คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องแล ะ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 124-129) จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ สามารถสรุปใจความ ส าคัญของเรื่องได้ดังนี้ คนเราควรท าบุญด้วยใจที่บริสุทธิ์ และไม่ยึดติดในสิ่งใด ผลผลิตที่เราได้รับย่อมดีตา มไป ด้วย ขอเพียงจิตที่เราคิดจะท าบุญเป็นจิตที่ใสสะอาดและท าด้วยใจจริงไม่หวังผลประโยชน์หรือแข่งขันกับใคร การท าบุญนั้นก็จะเป็นกุศลขึ้นมาทันที แม้จะท าบุญน้อยแต่ได้บุญมหาศาล ซึ่งเนื้อหาของบทเรียนเป็นเรื่องราว ระหว่างไก่กับแม่ เนื่องในวันเกิดของไก่ แม่ก็เลยอยากให้ไก่ท าบุญตักบาตรในวันเกิด แม่ปลุกไก่แต่เช้า พอเข้า มาในครัว แม่ก็เรียกไก่ไปหุงข้าว แม่บอกว่าจะท าอาหารง่าย ๆ คือ แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ไก่ถามแม่ว่า “แม่จ๋า… ถ้าเราใส่บาตรกับพระไม่ดีละ” แม่นิ่งไปอึดใจใหญ่ แม่จึงบอกว่า “หลวงตาที่แม่เคยไปกราบ ท่านสอนแม่ไว้นะ ว่า ถ้าจะใส่บาตรก้ใส่ไปเลย นึกเสียว่าท าบุญด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ท าเพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา เพื่อให้ความ เป็นพระสงฆ์ยังด ารงอยู่ได้ในสังคมปัจจุบัน ถ้าเป็นพระจริงก็ถือว่าท าบุญ ถ้าเป็นพระปลอม ก็ถือว่าท าทานให้ แล้วให้เลย เขาจะเป็นใคร อย่างไร ไม่ต้องสนใจ สนใจการกระท าของตนเองไม่สนใจการกระท าของคน อื่น ” คนเราควรมีเหตุผลอธิบายการกระท าทุกอย่างในชีวิต ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจ ถ้าหากมีความตั้งใจ เป็นจุดยืน มันก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอส าหรับการกระท านั้น


42 (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ พบว่า มีการประพันธ์เรื่องราว ในรูปแบบบร้อยแก้ว มีการใช้ถ้อยค าสื่ออารมณ์ การใช้ค าลงท้ายแสดงทัศนภาวะ การใช้ค าชนิดต่าง ๆ ตามที่ กล่าวไว้ในส่วนของการจัดล าดับเนื้อหาข้างต้น อันได้แก่ ค าบุพบท ค าเชื่อม ค าอุทาน มีการใช้ประโยคกรรม ตามชนิดของโครงสร้างที่แบ่งตามโครงสร้างประโยคในภาษาไทย ท าให้เนื้อหาสามารถสื่อความตามเจตนาของ รูปแบบค าประพันธ์ที่เป็นงานเขียนสร้างสรรค์ที่ชมัยภร บางคมบาง (แสงกระจ่าง) ผู้ประพันธ์เรื่องดังกล่าว ต้องการจะสื่อสารมายังผู้อ่าน (3) ข้อคิดจากเรื่อง (หน้าที่ 130) จากการศึกษาบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ พบว่า มีการเกริ่นน าก่อนเข้าสู่ ข้อคิดจากเรื่องเพียงเล็กน้อย กล่าวถึงผู้ประพันธ์ และสะท้อนข้อคิดจากเรื่องดังนี้ ทุกคนควรมีเหตุผลอ ธิบาย การกระท าทุกอย่างในชีวิต แม้จะเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจ การยอมรับฟังความคิดเห็นระหว่างกัน การกระท า บางอย่างที่ไม่ส าคัญหากมีเหตุผลประกอบเพื่อให้สิ่งนั้นท าออกมาดี จะเห็นได้ว่าข้อคิดจากเรื่องดังกล่าวมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดสมรรถน ะที่ ส าคัญประการหนึ่งคือความสามารถในการคิด รวมทั้งท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับความคิดเห็นที่ แตกต่างกัน การมีเหตุผลมารองรับการกระท าอาจจะช่วยให้คนที่ตัดสินเพียงแค่การกระท าหากได้ฟังเหตุผล อาจจะท าให้เกิดทัศนคติที่เปลี่ยนไป เป็นต้น (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ พบว่า เนื้อหาภายในบทปรากฏ 2 สาระส าคัญด้วยกัน คือ สาระที่ 1 การอ่าน (อ่านจับใจความ อ่านสรุปความ) สาระที่ 2 การเขียน (การเขียน สร้างสรรค์ ด้านความหมาย องค์ประกอบ) และสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย (ประโยคกรรม ชนิดของค า ได้แก่ ค าบุพบท ค าเชื่อม และค าอุทาน) โดยที่มีการให้รายบละเอียดที่พอจะท าความเข้าใจได้ แต่การจัดระบบ กลวิธีการน าเสนอยังไม่เป็นเอกภาพเท่าที่ควร กล่าวคือ ในส่วนชนิดของค ามีการยกตัวอย่างประโยคเพื่อให้ ผู้เรียนได้สังเกตค าบ่งชี้ ไม่ได้ให้นิยามความหมายของค าชนิดต่าง ๆ อาจท าให้ผู้เรียนเกิดความสับสนแล ะไม่ เข้าใจบทเรียนได้ จึงจ าเป็นต้องอาศัยการอธิบายเพิ่มเสริมความรู้จากครูผู้สอนไปสู่ผู้เรียน อย่างไรก็ตาม บทเรียนดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นการเชื่อมโยงไปเนื้อหาไปสู่ทักษะด้านต่าง ๆ และสามารถบูรณาการร่วมกัน ได้ เพราะจะท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากกว่า 1 สาระในภาษาไทย และเป็นการสร้างเสริมองค์ความรู้เพื่อ ต่อยอดการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น 3.10.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 138) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนที่มีชื่อกิจกรรม มี 1 กิจกรรม คือ กิจกรรมที่ 1 คิดตรอง ลองท าดู จากการพิจารณาพบว่า กิจกรรมท้ายบทเรียน เป็นกิจกรรมหลักในบทนี้ได้ให้ผู้เรียนสรุปใจ ควา ม ส าคัญจากเรื่องที่ยกมาให้อ่าน มีการแบ่งกลุ่มแสดงความคิดเห็นในเรื่องความเชื่อเรื่องการท าบุญใส่บาตรของ คนไทย ค าสอนของหลวงตาเกี่ยวกับการใส่บาตร การปฏิบัติตนต่อพระภิกษุสงฆ์ และการปฏิบัติตคนในศาสน สถาน ค่านิยมการท าตามแบบอย่างตะวันตก จากนั้นมีการแบ่งกลุ่มคัดสรรงานเขียนสร้างสรรค์ที่น่าสนใจจาก นิตยสาร มีการให้ผู้เรียนได้ฝึกแต่งเรื่องเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกที่ดี มีการบอกความหมายของส านวนต่อไปนี้ เช่น แยกทางกันชนคันปาก อีกทั้งยังมีกิจกรรมบอกความหมายของค า เช่นค าว่า โวยวายเงียบสงบ ซี่งใน บทเรียนนี้ไม่ปรากฏกิจกรรมรอง คือ คิดเพิ่ม เสริมทักษะ กิจกรรมท้ายบทเรียนดังกล่าวมีความสอดคล้องกับ


43 สาระและตัวชี้วัดในรายวิชาภาษาไทยที่ปรากฏในบทเรียน และเสริมสร้างทักษะการท างานเป็นกลุ่มให้กับ ผู้เรียนท าให้กิจกรรมท้ายบทเรียนมีส่วนช่วยพัฒนาความรู้ ทักษะ กระบวนการของผู้เรียนได้ดีอีกด้วย 3.10.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ จากหนังสือเรียนพื้นฐานรายวิชาภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดท าขึ้นโดยกระทรวงศึกษา พบว่า เนื้อหาในบทเรียนมีความเหมาะสมกับช่วงวัย เนื่องจากบทเรียนดังกล่าว มีการสอดแทรกทักษะในสาระภาษาไทยที่ครบทุกด้านหากครูน ามาจัดกระบวนการ เรียนรู้ที่สามารถตอบโจทย์ ได้แก่ การอ่าน การเขียน และหลักการใช้ภาษาไทย เนื่องจากบทเรียนดังกล่าว มุ่งเน้นไปที่การเขียนสร้างสรรค์ ชนิดของประโยค และชนิดของค า ได้แก่ ค าบุพบท ค าเชื่อม และค าอุทาน จะเห็นได้ว่าบทเรียนดังกล่าวมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามสาระภาษาไทยที่สอดคล้องกับบทเ รียน เพื่อฝึกทักษะการเชื่อมสาระต่าง ๆ เข้าด้วยกัน อันเกิดมาจากการเรียนรู้ของผู้เรียนในระดับการคิดขั้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์ 3.10.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ พบว่า บทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ ตรงกับสาระที่ 1 การ อ่าน มาตรฐานการเรียนรู้ ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อน าไปตัดสินใจแก้ปัญหาใน การด าเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัด ม.3/3 ระบุใจความส าคัญและรายละเอียดของข้อมูลที่ สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน และสอดคล้องกับสาระที่ 2 การเขียน มาตรฐานการเรียนรู้ ท 2.1 ใช้กระบวนการ เขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูล สารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัด ม.3/2 เขียนข้อความโดยใช้ถ้อยค าได้ ถูกต้องตามระดับภาษาและปรากฏสาระการเรียนรู้แกนกลาง 2 สาระ คือ 1. การอ่านจับใจความส าคัญจาก สื่อต่าง ๆ เช่น บทความ งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ บันเทิงคดี และ 2. การเขียนข้อความตามสถานการณ์แล ะ โอกาสต่าง ๆ เช่น ค าขวัญ ค าคม สุนทรพจน์ 3.10.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.10.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ พบว่า สมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏ คือ ความสามารถในการคิด จากการพิจารณาพบว่า บทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ ตัวชี้วัดประจ าหน่วยมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะในด้านความสามารถในการคิด เนื่องจากตัวชี้วัดจะเน้นไปที่การระบุใจความส าคัญและการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งจะต้องอาศัยความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็น ระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ความรู้ที่ตอบโจทย์ตัวชี้วัดประจ าหน่วยและการเรียนรู้เนื้อหาในบทเรียนต่อไป และความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เนื้อหาของบทเรียนเรื่องนี้มีใจความส าคัญที่สอดคล้องความสามารถใน การใช้ชีวิต เนื่องจากเป็นการสอนและให้ข้อคิดเกี่ยวกับการตักยาตรที่เป็นการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้าง เสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผล กระทบต่อตนเองและผู้อื่นเช่นกัน


44 3.10.6.2 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ พบว่า ทักษะในหลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่ปรากฏ มีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูง พิจารณาจากตัวชี้วัดประจ าหน่วยมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนเกิด ทักษะดังกล่าว เนื่องจากตัวชี้วัดที่ปรากฏในบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ จะเน้นไปที่การระบุใจความส าคัญจากเรื่อง ที่อ่านและการเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิดเห็น หรีอโต้แย้งในเรื่องต่าง ๆ เข้าใจความ เชื่อมโยงของสรรพสิ่งที่อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ใช้จินตนาการและองค์ความรู้แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ (2) การรวมพลังท างานเป็นทีม จากการพิจารณาบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ พบว่า กิจกรรมท้ายบทเรียนจะเน้นไปที่กระบวนการเรียนรู้แบบกลุ่ม ท าให้ผู้เรียนสามารถจัดระบบและออกแบบ กระบวนการท างานทั้งของตนเอง และกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ มีความเป็นผู้น า โปร่งใส และ ตรวจสอบได้ มีมนุษยสัมพันธ์ดี และจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้ 3.10.7 ภาพประกอบ ในบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ ปรากฏรูปภาพประกอบจ านวน 3 ภาพ ตามเนื้อหาในบทเ รียน ดังนี้ 1. รูปภาพการเตรียมกับข้าวใส่บาตรของแม่และไก่ (หน้าที่ 125). 2. รูปภาพไก่และแม่ก าลังใส่บา ตร (หน้าที่ 127) และ 3. รูปภาพนาฬิกาประกอบการยกตัวอย่างอธิบายหัวข้อประโยคกรรม (หน้าที่ 134) ส่วนล่าง) ผู้ศึกษาพิจารณา การใช้ภาพปร ะกอบในบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ พบว่า ได้มีกา รใช้ ภาพประกอบที่เหมาะสม โดยการใช้ภาพประกอบที่มีความสวยงามขนาดใหญ่เร้าความสนใจของผู้เรียน และมี การใช้ภาพประกอบที่สอดคล้องกับเนื้อหาและกิจกรรมในบทเรียน เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านตัวอักษรแ ละมี ภาพประกอบเสริมสร้างจินตภาพตามไปกับเนื้อหาให้แก่ผู้เรียน บทเรียนก็จะมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นแล ะ ผู้เรียนก็จะเข้าใจ จดจ าบทเรียนได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 3.10.8 ตัวอักษรและขนาด จากการพิจารณา บทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ พบว่า ในหน้าแรกที่แสดงเลขอักษรไทยขนาดใหญ่ และมีสีสันฉูดฉาด ด้านล่างของเลขอักษรไทยที่แสดงล าดับของบทเรียน จะเป็นชื่อของบทเรียน จะมีการใช้ขนา ตัวอักษรที่ต่างกัน กล่าวคือ เน้นตัวอักษรขนาดใหญ่ตรงค าว่า ดี ก็ และได้ โดยค าว่า ก็ จะมีขนาดที่ใหญ่ที่สุด ในชื่อเรื่อง จากนั้นจะเป็นนิยามของความก้าวหน้าโดยใช้ตัวอักษรไทยสารบัญ ต่อมาชื่อเรื่องใช้ตัวอักษรไทย สารบัญขนาด 18 พ้อยท์สีส้มอิฐ ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์สีด า ในส่วนของชื่อผู้แต่งเรื่อง ปรากฏอยู่ ริมขวาสุดของกระดาษในหน้าสุดท้ายของเนื้อหา ต่อมาหัวข้อหลัก ข้ิอคิดจากเรื่อง งานเขียนสร้างสรรค์ ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ องค์ประกอบของการเขียนสร้างสรรค์ เนื้อหา รูปแบบ ภาษา ความมุ่ง หมาย ประโยคกรรม ค าบุพบท ค าเชื่อมค าอุทาน และคิดตรอง ลองท าดู ใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 20 พ้อยท์สีส้มอิฐ ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์สีด า มีการเน้นตัวหน้าบ้างในส่วนที่เป็นค าบ่งชี้ที่บ่งบอกถึงชนิด ของค า ตัวเอียงบ้างในส่วนที่เป็นสาระส าคัญของบทเรียน พิจารณาได้ว่าการใช้ตัวอักษรและขนาดในบทที่ 10 คิดดีก็ได้บุญ มีความเหมาะสม เนื่องจากสามารถท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะการอ่านที่ง่ายต่อการเรียนรู้และต่อยอดทักษะในการเรียนรู้เรื่องที่ยาก


45 ขึ้น และมีความสอดคล้องเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน หากใช้ตัวอักษรที่อ่านยากและขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง อาจจะท าให้การกระตุ้นความสนใจเพื่อเข้าสู่บทเรียนของผู้เรียนลดน้อยลงได้ 3.11 บทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว 3.11.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 139) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว พบว่า มีการกล่าวถึงกิจ กรร ม ในช่วงวันหยุด การอยู่บ้านก็สามารถพักผ่อนได้ โดยที่ไม่ต้องเดินทางไกล เป็นการเกริ่นน าที่น าเข้าสู่เนื้อหาเรื่อง การปาร์ตี้บาร์บีคิว ซึ่งอาจจะท าให้ผู้เรียนอนุมานเกี่ยวกับเรื่องราวที่จะศึกษาในบทเรียนดังกล่าวได้จากชื่อ บทเรียนและการร้อยเรื่องราวของการเกริ่นน าให้ผู้เรียนเกิดจินตนาการตามค าเกริ่นน า 3.11.2 เนื้อหา 3.11.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้นจากการ กล่าวถึงเนื้อหาของบทเรียนคือเรื่องปาร์ตี้ บาร์บีคิว ต่อมาแสดงความรู้จากเรื่อง ค ายืมภาษาต่างประเทศ ได้แก่ ค ายืมภาษาจีน ค ายืมภาษาญี่ปุ่น ค ายืมภาษาอังกฤษ ค ายืมภาษาเขมร เป็นต้น ความสัมพันธ์ของนามกับกริยา ความรู้เกี่ยวกับการฟัง การเลือกผู้พุดและเรื่องที่จะฟัง สิ่งที่ควรท าในการฟัง มารยาทในการฟัง และจบด้วย กิจกรรมท้ายบทเรียน 3.11.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มาที่ คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องและ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 140-142) จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 11 ปาร์ตี้บาร์บีคิว สามารถสรุป ใจความส าคัญของเรื่องได้ดังนี้ เป็นการน าเสนอเรื่องราวของคนในหมู่บ้านในวันศุกร์คือวันสุดท้ายของการ ท างาน และจะก้าวเข้าสู่วันหยุด โดยเสียงตามสายได้เชิญชวนให้คนในหมู่บ้านมาร่วมกันจัดปาร์ตี้บา ร์บีคิว บอกล าดับของการจขัดปาร์ตี้บาร์บีคิว เริ่มต้นด้วยการชักชวนญาติ ๆ ต่อจากนั้นเริ่มลงมือคิดเมนูอาหารแล ะ เครื่องดื่ม และอย่าลืมส ารวจความพร้อมของอุปกรณ์ และจบการเชิญชวนของเสียงตามสายในรายการ วัน สบาย (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว พบว่า มีการประพันธ์เรื่องราว ในบทวิทยุ ประเภทให้ค าแนะน า มีการใช้ถ้อยค าสื่ออารมณ์ การใช้ค าลงท้ายแสดงทัศนภาวะ มีการใช้ประโยค บอกเล่า ตามชนิดของโครงสร้างที่แบ่งตามเจตนาในการสื่อสาร ท าให้เนื้อหาสามารถสื่อความตามเจตนาของ รูปแบบค าประพันธ์ (3) ความรู้จากเรื่อง (หน้าที่ 143-152) จากการศึกษาบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว พบว่า มีการเกริ่นน าเข้าสู่ ข้อคิดจากเรื่องเพียงเล็กน้อย กล่าวถึงผู้ประพันธ์ และสะท้อนความรู้จากเรื่องดังนี้ลักษณะเด่นประการหนึ่งของ บทวิทยุนี้คือ มีค ายืมภาษาต่างประเทศปรากฏร่วมอยู่เป็นจ าวนมาก โดยเพาะค ายืมจากภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ และการเขียนค ายืมภาษาต่างประเทศนั้นตามเสียงพูด ยกตัวอย่างประกอบอย่างพอสังเขป


46 จากนั้นในหัวข้อ ค ายืมภาษาต่างประเทศ กล่าวถึงลักษณะของการยืม ค าภาษาต่างประเทศ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ค าต่างประเทศที่จ าเป็นต้องใช้คือ ค าที่ใช้ส าหรับเรียกสิ่งที่ไม่ เคยมีมาก่อนในสังคมไทย และค าต่างประเทศที่ไม่จ าเป็นต้องใช้คือ มีค าไทยใช้อยู่แล้ว และต่อด้วยการแนะน า การใช้ค ายืมภาษาต่างประเทศพอสังเขป ต่อด้วยการกล่าวถึงค ายืมภาษาจีน ได้แก่ ประวัติความเป็น มา ข้อสังเกตเกี่ยวกับค ายืมภาษาจีน เช่น การใช้เครื่องหมายวรรณยุกต์ตรี และจัตวาเขียนก ากับ และลักษณะของ ค ายืมภาษาจีนส่วนใหญ่เป็นชื่ออาหาร ชื่อผัก ผลไม้ ดอกไม้ ชื่อเครื่องเรือนและของใช้ต่าง ๆ ค าเรียกญาติ และค าอื่น ๆ ต่อด้วยค ายืมภาษาญี่ปุ่น ในหัวข้อนี้ไม่ปรากฏประวัติความเป็นมา ข้อสังเกต แต่มีการยกตัวอย่าง ค าภาษาญี่ปุ่นที่ภาษาไทยน ามาใช้ ได้แก่ ชื่ออาหาร ชื่อกีฬา และค าอื่น ๆ จากนั้นกล่าวถึงหัวข้อค ายืม ภาษาอังกฤษ บอกลักษณะของค ายืมภาษาอังกฤษ ค ายืมที่ปรากฏในพจนานุกรมฉบับลราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 พร้อมทั้งมีการยกตัวอย่างประกอบให้เข้าใจอย่างชัดเจน ส่วนท้ายมีการกล่าวเชื่อมโยงไปสู่ค ายืม ของภาษาเขมร ในหัวข้อดังกล่าวมีการบอกประวัติความเป็นมาของการยืมค าภาษาเขมรเข้ามาใช้ การจ าแนก ค ายืมภาษาเขมรออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ค าที่เป็นค าราชาศัพท์ ค าที่ใช้ในวรรณคดี ค าที่ใช้ทั่วไป ค าทั่วไปที่ น ามาใช้ซ้อนกับค าไทย และค าไทยที่เขมรยืมไป หลังจากจบค ายืมภาษาต่างประเทศ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของนา ม กับกริยา โดยมีการอธิบายว่าค านามกับค ากริยามีความสัมพันธ์กันในทางไวยากรณ์ 3 ลักษณะ คือ 1. ค านาม เป็นผู้ิกระท ากริยา 2. ค านามเป็นผู้มีสภาพ และ 3.ค านามเป็นผู้ประสบหรือผู้มีความรู้สึก โดยมีการอธิบาย พร้อมยกตัวอย่างประกอบ นอกจากนี้กล่าวถึงความสัมพันธ์ในด้านความหมายของค านามและค ากริยา ในการ ใช้ภาษาด้วยเช่นกัน สุดท้ายเป็นการกล่าวถึงความรู้เกี่ยวกับการฟัง ประกอบไปด้วย 1. นิยามของการฟัง 2. การเลือกผู้พูดและผู้ฟัง ว่ามีข้อควรค านึงและรายละเอียดกี่ข้อ เป็นอย่างไรบ้ าง 3. สิ่งที่ควรท าในการฟัง แจกแจงรายละเอียดออกเป็นข้อ ๆ ดังนี้ 1. การมีสมาธิ 2. การมีวิจารณญา ณใน การฟัง และ 3. การจดบันทึก สุดท้ายคือ มารยาทในการฟัง กล่าวถึงข้อควรค านึงในการฟังว่ามีกี่ข้อ อะไรบ้าง จะเห็นได้ว่าความรู้จากเรื่องดังกล่าวมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับสาระภาษาไทยประจ าบทเรียน เสริมสร้างภูมิรู้และสามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีทักษะใน กระบวนการสร้างพฤติกรรมแห่งการเรียนรู้ได้สอดคล้องกับเป้าหมายของบทเรียน โดยส่วนใหญ่ความรู้จาก เรื่องนี้จะมุ่งเน้นไปที่หลักการใช้ภาษาไทยเป็นส าคัญ โดยเฉพาะค ายืมจากภาษาต่างประเทศ ที่ผ่านการ น าเสนอเรื่องราวผ่านบทวิทยุประเภทให้ค าแนะน าตามเนื้อเรื่อง (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว พบว่า เนื้อหาภายในบทปรากฏ 2 สาระส าคัญด้วยกัน คือ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด (ความรู้เกี่ยวกับการฟัง ได้แก่ การเลือกผู้พูด และเรื่องที่จะฟัง สิ่งที่ควรท าในการฟัง มารยาทในการฟัง) และสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย (ค ายืม ภาษาต่างประเทศ ได้แก่ ค ายืมภาษาอังกฤษ ค ายืมภาษาจีน ค ายืมภาษาเขมร เป็นต้น และความสัมพันธ์ของ นามกับกริยา) โดยที่มีการให้รายละเอียดที่พอจะท าความเข้าใจได้ แต่การจัดระบบกลวิธีการน าเสนอยังไม่เป็น


Click to View FlipBook Version