47 เอกภาพเท่าที่ควร กล่าวคือ ในส่วนค ายืมภาษาญี่ปุ่น มีการยกตัวอย่างประโยคเพื่อให้ผู้เรียนได้สังเกตค าบ่งชี้ ไม่ได้ให้นิยามความหมายของค าชนิดต่าง ๆ อาจท าให้ผู้เรียนเกิดความสับสนและไม่เข้าใจบทเรียนได้ จ าเป็นต้องอาศัยการอธิบายเพิ่มเสริมความรู้จากครูผู้สอนไปสู่ผู้เรียน อย่างไรก็ตามบทเรียนดังกล่าวยังสะท้อน ให้เห็นการเชื่อมโยงไปเนื้อหาไปสู่ทักษะด้านต่าง ๆ และสามารถบูรณาการร่วมกันได้ เพราะจะท าให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้มากกว่า 1 สาระในภาษาไทย และเป็นการสร้างเสริมองค์ความรู้เพื่อต่อยอดการเรียนรู้ ในระดับที่ สูงขึ้นให้แก่ผู้เรียน 3.11.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 153-154) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนที่มีชื่อกิจกรรม มี 2 กิจกรรม คือ กิจกรรมที่ 1 คิดตรอง ลองท าดู จากการพิจารณาพบว่า กิจกรรมท้ายบทเรียน เป็นกิจกรรมหลักในบทนี้ได้ให้ผู้เรียน แบ่งกลุ่มฟังรายการวิทยุหรือชมรายการโทรทัศน์ แล้วสังเกตว่าพิธีกรหรือผู้ร่วมใรายการพูดเรื่องอะไร ได้มีการ ให้ผู้เรียนสังเกตและวิเคราะห์การใช้ค าในชีวิตประจ าวันของผู้เรียน ว่าใช้ค ายืมภาษาต่างประเทศค าใดบ่อย ๆ อักทั้งมีการให้ผู้เรียนฝึกพูดแนะน าหนังสือดีที่สนใจ ฝึกทักษะการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ และในส่วนกิจกรรม ที่ 2 คือ กิจกรรมคิดเพิ่ม เสริมทักษะ มีการฝึกทักษะการฟังให้ผู้เรียนด้วยการฟังการบรรยายความรู้การ อภิปราย และการโต้วาที เป็นต้น และมีการฝึกทักษะการพูด โดยให้ผู้เรียนสรุปใจความส าคัญของเรื่อง ที่ได้ ฟังมาแล้วน ามาเล่าให้เพื่อนในห้องฟัง กิจกรรมท้ายบทเรียนดังกล่าวมีความสอดคล้องกับสาระและตัวชี้วัดใน รายวิชาภาษาไทยที่ปรากฏในบทเรียน และเสริมสร้างทักษะการท างานเป็นกลุ่มให้กับผู้เรียนท าให้กิจกรร ม ท้ายบทเรียนมีส่วนช่วยพัฒนาความรู้ ทักษะ กระบวนการของผู้เรียนได้ดีอีกด้วย 3.11.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว พบว่า เนื้อหาในบทเรียนมีควา ม เหมา ะสม กับช่วงวัยเนื่องจากบทเรียนดังกล่าว มีการสอดแทรกทักษะในสาระภาษาไทยที่ครบทุกด้านห ากครูน า มา จัดกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถตอบโจทย์ ได้แก่ การฟัง การดู และการพูด และหลักการใช้ภ า ษาไทย เนื่องจากบทเรียนดังกล่าวมุ่งเน้นไปทักษะการฟังและการใช้ค ายืมจากภาษาต่างประเทส ในประเทศต่ าง ๆ อีกทั้งกิจกรรมบางกิจกรรมท้ายบทเรียน ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้มาก่อนแล้ว อาจจะในบทเรียนหรือ ชีวิตประจ าวัน ท าให้ผู้เรียนสามารถเกิดการบูรณาการความรู้เก่ากับความรู้ใหม่เช้ า ด้ วย กัน อย่ าง มี หลักการและเหตุผล จะเห็นได้ว่าบทเรียนดังกล่าวมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามสาร ะภา ษาไทยที่ สอดคล้องกับบทเรียน เพื่อฝึกทักษะการเชื่อมสาระต่าง ๆ เข้าด้วยกัน อันเกิดมาจากการเรียน รู้ขอ ง ผู้เรียนในระดับการคิดขั้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์ 3.11.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว พบว่า บทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว ตรงกับ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐานการเรียนรู้ ท 3.1 สามารถเลือกฟังแล ะดู อย่ า งมี วิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกในดอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและ สร้างสรรค์ ตัวชี้วัด ม.3/6 มีมารยาทในการฟัง การดู การพูด และสอดคล้องกับสาระที่ 4 หลักการใช้ ภาษาไทย มาตรฐานการเรียนรู้ ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของ ภาษาและพลังของภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้ให้เป็นสมบัติของชาติ ตัวชี้วัด ม.4/1 จ าแนกและใช้ค าภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย และปรากฏสาระการเรียนรู้แกนกลาง 2 สาระ คือ 1. มารยาทในการฟัง การดู และการพูด และ 2. ค าที่มาจากภาษาต่างประเทศ
48 3.11.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.11.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดแล ะกิจกร รมท้า ย บท บทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว พบว่า สมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏ มีดังนี้ (1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับแ ล ะส ่ง สาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดควา มคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของ ตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร (2) คว า มส า มา รถในก ารคิด เป็น คว ามสามาร ถในก ารคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบ บ เพื่อ น าไปสู ่ก า รส ร้างองค์คว ามรู้หรือส าร สน เทศเพื ่อกา รตัดสินใจ เกี่ย วกับตนเองแ ล ะสังคมได้อย่าง เหมาะสม (3) ความสามารถในการแก้ปัญหาเป็นความสามารถในการแก้ปัญห า และอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูล สารสนเทศ 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการน ากระบวนการต่างๆ ไป ใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การท างาน และการ อยู่ร่วมกันในสังคม (4) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสา มารถในการ เลือก และใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกร ะบ วนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองแ ล ะ สังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การท างาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมา ะสม แ ล ะมีคุณธ ร ร ม กล ่า วได้ว ่าตัวชี้วัดแล ะกิจ กร รมกา รเ รียน รู้ป ระจ าหน่วยมีส ่วน ช่วยให้ผู้เรียนเกิด สมร ร ถนะส าคัญของผู้เ รียน ครบทั้ง 4 ด้า น เมื ่อพิจ า รณาต ามตัวชี้วัด ส า ร ะแกนกลาง เนื้อหาใน บทเรียนทุกหัวข้อ ท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะทั้ง 4 ด้านได้ หากเกิดการเรียนรู้ที่มีหลักการและเหตุผลใน การใคร่ครวญคิดถึงสิ่งส าคัญในประเด็นต่าง ๆ ตามการอธิบายของเนื้อหาและค าสั่งของกิจกรรมท้าย บทเรียน 3.11.6.2 ชุมชน จากการพิจารณาบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว พบว่า มีการสอดแทรกความรู้เกี่ย วกับ ชุมชนและการตระหนักถึงความส าคัญของชุมชน เห็นได้จากเนื้อเรื่องที่มีการน าเสนอเรื่องราวของชุมชน ในสมัยก่อนที่เมื่อถึงวันสุดท้ายของการท างานและต้อนรับวันหยุดงานจะได้ยินเสียงตามสายที่เสน อแน ะ แนวทางในการใช้ชีวิตในการพักผ่อนอยู่กับเครือญาติ ท าให้เห็นว่าการอยู่ในชุมชนก็สามารถสร้างควา มสุข ด้วยตัวเองได้ ไม่จ าเป็นจะต้องเดินทางไปที่ไหนไกลหรือสเพติดอยู่กับสื่อโซเชียลเหมือนในปัจจุบัน เพราะ แค่เราคิดกิจกรรมที่จะท าร่วมกับการพักผ่อน แค่นี้เราก็สามารถใช้ชีวิตวันหยุดได้อย่างมีความสุขแ ล ะไม่เบื่อ หน่าย อีกทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการรักและเห็นความส าคัญของถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง
49 3.11.6.3 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว พบว่า ทักษะในหลักสูตรฐาน สมรรถนะที่ปรากฏ มีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูงสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ ด้วยเหตุผลรอบด้าน เข้าใจความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งที่อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ใช้จินตนาการและองค์ความรู้ แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ (2) การสื่อสาร รับสารและส่งสารได้อย่างปราศจากอคติ มีสติ เคารพใน ความคิดเห็นที่แตกต่าง เลือกใช้กลวิธีสื่อสารได้อย่างเหมาะสมโดยมีความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยทั้งวัจ นภาษาและอวัจนภาษา (3) การรวมพลังท างานเป็นทีม จัดระบบและออกแบบกระบวนการท างาน ทั้งของตนเอง และกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ มีความเป็นผู้น า โปร่งใส และตรวจสอบได้ มีมนุษย สัมพันธ์ดี และจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้ จากการพิจารณาบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว พบว่า ตัวชี้วัดและกิจกรรม ท้ายบทเรียน สาระการเรียนรู้ จะมุ่งเน้นให้เกิดทักษะตามที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากเนื้อหาของบทเ รียน และความรู้ภายในบทเรียนมีส่วนช่วยท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะและกระบวนการต่าง ๆ ตามหลักสูตรฐาน สมรรถนะได้ เพราะเนื้อหาสาระต่าง ๆ มุ่งเน้นไปที่การฟัง การดู การพูด และหลักการใช้ภาษาไทยในการศึกษา เกี่ยวกับค ายืมภาษาต่างประเทศเป็นส าคัญ ท าให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของสาระที่สอดคล้องกันและมีควา ม เป็นเอกภาพเดียวกันกับบทเรียน อาจจะท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่สามารถเชื่อมโยงความรู้ให้เข้ากันได้อย่าง โดยผ่านทักษะการคิดขั้นสูง การสื่อสาร และการรวมพลังท างานเป็นทีม นั่นเอง 3.11.7 ภาพประกอบ ในบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว ปรากฏรูปภาพหลักจ านวน 1 รูป คือรูปภาพเหตุการ์ของ การประชาสัมพันธ์รายการวิทยุ เกี่ยวหับกิจกรรมที่จะแนะน าให้กับชาวบ้านในวันหยุด (หน้าที่ 141) นอกจากนี้ยังมีการแสดงรูปภาพประกอบในส่วนท้ายของหน้าเป็นรูปอาหารต่างประเทศ ขนาดเล็ก จ านวน 2 รูป ผู้ศึกษาพิจารณาการใช้ภาพประกอบในบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว พบว่า ได้มีการใช้ ภาพประกอบที่เหมาะสม โดยการใช้ภาพประกอบที่มีความสวยงามขนาดใหญ่เร้าความสนใจของผู้เรียน และมี การใช้ภาพประกอบที่สอดคล้องกับเนื้อหาและกิจกรรมในบทเรียน เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านตัวอักษรแ ละมี ภาพประกอบเสริมสร้างจินตภาพตามไปกับเนื้อหาให้แก่ผู้เรียน บทเรียนก็จะมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นแล ะ ผู้เรียนก็จะเข้าใจ จดจ าบทเรียนได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 3.11.8 ตัวอักษรและขนาด จากการพิจารณาบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว พบว่า ในหน้าแรกที่แสดงเลขอักษรไทยขนาดใหญ่ และมีสีสันฉูดฉาด ด้านล่างของเลขอักษรไทยที่แสดงล าดับของบทเรียน เป็นชื่อของบทเรียน มีการใช้ขนาด ตัวอักษรที่ต่างกัน กล่าวคือ เน้นตัวอักษรขนาดใหญ่ตรงค าว่า บาร์บีคิว โดยค าว่า บาร์ มีขนาดใหญ่ที่สุดในชื่อเรื่อง จากนั้นจะเป็นนิยามของความก้าวหน้าโดยใช้ตัวอักษรไทยสารบัญ ต่อมาชื่อเรื่องใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 18
50 พ้อยท์สีแดงส้ม ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์สีด า ต่อมาหัวข้อหลัก ความรู้จากเรื่อง ค ายืมภาษาต่างประเทศ ได้แก่ ค ายืมภาษาจีน ค ายืมภาษาญี่ปุ่น ค ายืมภาษาอังกฤษ ค ายืมภาษาเขมร เป็นต้น ความสัมพันธ์ของนามกับ กริยา ความรู้เกี่ยวกับการฟัง การเลือกผู้พูดและเรื่องที่ จะฟัง สิ่งที่ควรท าในการฟัง มารยาทในการฟัง คิดตรอง ลองท าดู และคิดเพิ่ม เสริมทักษะใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 20 พ้อยท์สีแดงส้ม ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์สีด า การยกตัวอย่างค า ใช้ขนาด 14 มีการเน้นตัวหนาบ้างในส่วนที่เป็นค าบ่งชี้ที่บ่งบอกถึงชนิดค ายืมใน ภาษาต่าง ๆ ตัวเอียงบ้างในส่วนที่เป็นสาระส าคัญและค าบ่งชี้ พิจารณาได้ว่าการใช้ตัวอักษรและขนาดในบทที่ 11 ปาร์ตี้ บาร์บีคิว มีความเหมา ะสม เนื่องจากสามารถท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะการอ่านที่ง่ายต่อการเรียนรู้และต่อยอดทักษะในการเรี ยนรู้เรื่องที่ ยากขึ้น กล่าวคือ ศึกษาหัวข้อหลัก หัวข้อย่อ ค าอธิบาย การยกตัวอย่าง และการสังเกตค าบ่งชี้ตา มด าดับ ท าให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นระบบและเกิดทักษะการสังเกตในสิ่งที่แตกต่างจากส่วนอื่น ๆ เพื่อจุดปร ะกา ย ความคิดให้แก่ผู้เรียนได้เห็นส่วนที่ต้องการเน้นย้ าจากการใช้ตัวอักษรและขนาดที่แตกต่างกันไป 3.12 บทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา 3.12.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 155) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา พบว่า มีการเกริ่นน ากึ่งร้อย กรอง กล่าวถึง ความรักในหลากหลายรูปแบบ เช่น รักแบบคู่รัก รักชาติ และสะท้อนให้เห็นถึงผลที่ตามมาจาก ความรัก เป็นการเกริ่นน าที่มีความสอดคล้องกับเนื้อหาและตรงตามชื่อบทเรียน เป็นการตั้งค าถามให้ผู้เรียนหา ค าตอบหลังจากเรียนเนื้อหาจบ 3.12.2 เนื้อหา 3.12.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้นจากการ กล่าวถึงเนื้อหาของบทเรียนคือเรื่องความรักใดควรใฝ่หา ปรากฏชื่อผู้แต่งท้ายเนื้อหา ต่อมาแสดงข้อคิดจาก เรื่อง ฉันลักษณ์ประเภทโคลง ค าที่ใช้ในกฏเกณฑ์ของฉันทลักษณ์ ประโยคซับซ้อน บทอ่านเสริมแบบร้อยกรอง และร้อยแก้ว และจบด้วยกิจกรรมท้ายบทเรียน 3.12.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มา ตามที่คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องแล ะ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 156-159) จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา สามารถสรุป ใจความส าคัญของเรื่องได้ดังนี้เป็นการน าเสนอแนวคิดประการหนึ่ง คือ ถ้าคนเราไม่เห็นแก่ตัวคิดที่จะ ช่วยเหลือผู้อื่นไม่เห็นแต่ประโยชนืส่วนตัว เด็กหรือผู้ใหญ่ก็ท าได้ โดยเด็กก็ท าเท่าที่เด็กจะท าได้ ผู้ใหญ่ก็ท า เท่าที่ตนจะท าได้เช่นกัน ตามความสามารถและตามหน้าที่ของตน และต้องช่วยกันท าไม่ใช่คนใดคนหนึ่งท า เพียงเท่านั้น
51 (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา พบว่า มีการประพันธ์ แบบร้อยแก้วและร้อยกรอง กล่าวคือ มีการน าบทพระราชนิพนธ์ ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ชื่อ กษัตริยานุสรณ์ ซึ่งเป็นการประพันธ์ในลักษณะร้อย กร อง ประเภทโคลง ชนิดโคลงสี่สุภาพ และน าเสนอเนื้อหาของบทเรียนเป็นเรื่องราวร้อยแก้ว มีการใช้ถ้อยค า สื่อ อารมณ์ การใช้ค าลงท้ายแสดงทัศนภาวะ มีการใช้ประโยคบอกเล่า ตามชนิดของโครงสร้างที่แบ่งตามเจตนา ในการสื่อสารและมีการใช้ประโยคซับซ้อนตามชนิดของโครงสร้างที่แบ่งตามโครงสร้างประโยคของภาษาไทย ท าให้เนื้อหาสามารถสื่อความตามเจตนาของรูปแบบค าประพันธ์ (3) ข้อคิดจากเรื่อง (หน้าที่ 160) จากการศึกษาบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา พบว่า มีการเกริ่นน าเข้า สู่ข้อคิดจากเรื่องเพียงเล็กน้อย กล่าวถึงผู้ประพันธ์ และจากการสังเคราะห์ข้อคิดจากเรื่อง สามารถอภิปรายได้ ดังนี้ 1.ประเทศไทยเรามีสถาบันส าคัญที่คนไทยทุกคนต้องรักและรักษาไว้ให้คงอยู่สืบไป คือ สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทั้งยังรักเกียรติของตนและยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ได้ 2.ความรัก และความสามัคคีของคนในชาติย่อมท าให้ประเทศชาติรอดพ้นจากภัยพิบัตินานาประการ จะเห็นได้ว่าข้อคิดจากเรื่องดังกล่าวมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณ อันพึงประสงค์ข้อที่ 1 คือ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 เนื่องจากเป็นสถาบันที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยทั้งชาติและสร้างความตระหนักรู้ให้แก่คนในชาติว่าตนคือ คนไทย ต่อให้มีอะไรเข้ามาเป็นอุปสรรคหรือพยายามแทรกแซงเข้ามาผ่านภาษา การท าศึกสงความ การค้าขาย หรือการเข้ามาเผยแพร่ แต่อิทธิพลเหล่านั้นก็ไม่สามารถท าลายความเป็นไทยได้ (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา พบว่า เนื้อหาภายในบท ปรากฏ 2 สาระส าคัญด้วยกัน คือ สาระที่ 1 การอ่าน (อ่านออกเสียงร้อยแก้วและร้อยกรอง) และสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย (ฉันทลักษณ์ของโคลง ค าที่ใช้ในกฏเกณฑ์ของฉันทลักษณ์ ได้แก่ 1. ความหมายของค า 2. ลักษณะของค าที่บรรจุลงในค าประพันธ์ ประกอบด้วย ค าเอก ค าโท ค าเอกโทษ ค าโทโทษ ค าตาย ค าเป็น 3. ค าซึ่งท าหน้าที่ส่วนต่าง ๆ ของค าประพันธ์ตามข้อบังคับของฉันทลักษณ์แบบหนึ่ง ๆ ได้แก่ ค าน าหรือค า ขึ้นต้น ค าสร้อย ค าลงท้าย และประโยคซับซ้อน) โดยที่มีการให้รายละเอียดที่ผู้เรียนสามารถอ่านท า ควา ม เข้าใจได้เลย เพราะมีความละเอียดมาก และมีตัวอย่างประกอบให้ผู้เรียนได้เห็นและเกิดการลอกเลียนแบบ ต่อไป มีการสอดแทรกความรู้เพิ่มเติมเข้าไปในการอธิบายตามหัวข้อประเด็นต่าง ๆ ทั้งนี้การเสริมสร้างความ เข้าใจให้กับผู้เรียนนอกจากจะขึ้นอยู่กับผู้เรียนแล้วกระบวนการถ่ายทอดความรู้ของครูผู้สอนและกระบวนการ จัดการเรียนรู้ก็มีส่วนส าคัญในการเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้เรียนได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจาก สาระทั้ง 2 สาระมีส่วนสัมพันธ์เชื่อมโยงกันที่จะบูรณาการร่วมกันในการเชื่อมโยงองค์ความรู้เพื่อสร้างองค์ ความรู้ของผู้เรียนขึ้นมา
52 3.12.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 168) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนที่มีชื่อกิจกรรม มี 2 กิจกรรม คือ กิจกรรมที่ 1 คิดตรอง ลองท าดู จากการพิจารณาพบว่า เป็นกิจกรรมหลักในบทนี้ ได้ให้ผู้เรียนฝึกซ้อมร้องเพลงตา มโคลง น้ าเรื่องกลอน ในบทอ่านเสริมที่น ามาให้อ่านแล้วช่วยกันหาความหมายของค าศัพท์ เช่นค าว่า ร่านเสิร์ฟไส้ และให้ผู้เรียนช่วยถอดความโคลงน าเรื่องความเรียงร้อยแก้ว มีการให้ผู้เรียนทบทวนฉันทลักษณ์ที่เคยเรียน มีการให้ผู้เรียนฝึกแต่งโคลงเพื่อใช้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น อวยพรวันขึ้นปีใหม่ ถัดมาให้ผู้เรียน ช่ วย กันหา บทความที่น่าสนใจจากหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารมาวิเคราะห์ว่า บทความนั้นใช้ประโยคซับซ้อนหรือไม่ ใน ส่วนของกิจกรรมที่ 2 กิจกรรมคิดเพิ่ม เสริมทักษะ ได้ให้ผู้เรียนช่วยกันหาบทประพันธ์ร้อยกร อง ซึ่งมีผู้ น ามาร้องเป็นเพลงให้คนที่ร้องได้ร้องน า และช่วยกันถอดความเป็นค าบรรยาย มีการเสริมทักษะ โดยการ แบ่งกลุ่มให้ผู้เรียนช่วยกันแต่งบทประพันธ์ร้อยกรอง ชมบ้านเมือง ชมธรรมชาติ ชมดอกไม้ และหญิงสาว กิจกรรมท้ายบทเรียนดังกล่าวมีความสอดคล้องกับสาระและตัวชี้วัดในรายวิชาภาษาไทยตามที่ปรา กฏใน บทเรียน และเสริมสร้างทักษะการท างานเป็นกลุ่มให้กับผู้เรียนท าให้กิจกรรมท้ายบทเรียนมีส่ วนช่วย พัฒนา ความรู้ ทักษะ กระบวนการของผู้เรียนได้ดีอีกด้วย 3.12.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา จากหนังสือเรียนพื้นฐานรายวิชาภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดท าขึ้นโดยกระทรวงศึกษา พบว่า เนื้อหาและกิจกรรมเสริมสร้าง การเรียนรู้ในบทเรียนมีความเหมาะสมกับช่วงวัยเนื่องจากบทเรียนดังกล่าว จะเห็นได้ว่าบทเรียนนี้มุ่งพัฒนา ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามสาระภาษาไทยที่สอดคล้องกับบทเรียน ได้แก่ การอ่านและหลักการใช้ภาษาไทย ซึ่งมุ่งเน้นเกี่ยวกับเรื่องของการอ่านบทร้อยกรอง การอ่านบทร้อยแก้ว เรื่องฉันทลักษณ์ที่หมายรวมถึง องค์ประกอบของฉันทลักษณ์ ประโยคซับซ้อนที่แบ่งตามโครงสร้างของไวยากรณ์โครงสร้างประโยคตา มชนิด ของประโยค เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อฝึกทักษะการเชื่อมโยงสาระต่าง ๆ เข้าด้วยกัน อันเกิดมาจากการเรียนรู้ของ ผู้เรียนจนท าให้เกิดระดับการคิดขั้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า และการ สร้างสรรค์ รวมทั้งปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้แก่ผู้เรียนด้วย คือ การรักในสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันที่คนไทยในสังคมให้ความส าคัญ ซึ่งในยุคปัจจุบันผู้เรียนหลายคนอาจจะมองข้า มไป และให้ความส าคัญกับสิ่งอื่นแทน 3.12.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา พบว่า เนื้อหาของบทเรียนตรงกับสาระที่ 1 การเขียน มาตรฐานการเรียนรู้ ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเห็นเพื่อน าไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการด าเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัด ม.3/1 อ่านออกเสียงร้อยแก้วและร้อยกรองได้ ถูกต้องและเหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน และสอดคล้องกับสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐานการเรียนรู้ ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภูมิปัญญา ทาง ภาษา และรักษาภาษาไทยไว้ให้เป็นสมบัติของชาติ ตัวชี้วัด ม.3/2 วิเคราะห์โครงสร้างประโยคซับซ้อน และ ม.3/6 แต่งบทร้อยกรอง และปรากฏสาระการเรียนรู้แกนกลาง 3 สาระ คือ 1. การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว และบทร้อยกรอง 2. ประโยคซับซ้อน และ 3. โคลงสี่สุภาพ
53 3.12.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.12.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้า ย บท บทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา พบว่า สมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏ มีดังนี้ 1. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การ สร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 2. ความสามารถในการแก้ปัญหาเป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและ อุปส ร ร คต ่างๆ ที ่เผชิญได้อย ่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐ านของหลักเหตุผล คุณธ ร ร มแล ะข้อมูล สารสนเทศ 3. คว า มส า มา ร ถใน ก า รใช้ทักษะชีวิต เป็น คว า มส า มา ร ถในก ารน า กระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การท างาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม 4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ด้าน การเรียนรู้ การสื่อสาร การท างาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม กล่าวได้ว่าตัวชี้วัดและกิจกรรมการเรียนรู้ประจ าหน่วยมีส่วนช่วยให้ผู้เรียน เกิดสมรรถนะส าคัญของผู้เรียนทั้ง 4 ด้าน เมื่อพิจารณาตามตัวชี้วัด สาระแกนกลาง เนื้อหาในบทเรียน ทุกหัวข้อ สามารถท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะทั้ง 4 ด้านได้ 3.11.6.3 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา พบว่า ทักษะในหลักสูตร ฐานสมรรถนะที่ปรากฏ มีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูง สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และตัดสินใจอย่างมี วิจารณญาณด้วยเหตุผลรอบด้าน เข้าใจความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งที่อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ใช้จินตนาการ และองค์ความรู้แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ (2) การสื่อสาร รับสารและส่งสารได้อย่างปราศจากอคติ มีสติ เคารพใน ความคิดเห็นที่แตกต่าง เลือกใช้กลวิธีสื่อสารได้อย่างเหมาะสมโดยมีความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยทั้งวัจ นภาษาและอวัจนภาษา (3) การรวมพลังท างานเป็นทีม จัดระบบและออกแบบกระบวนการท างาน ทั้งของตนเอง และกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ มีความเป็นผู้น า โปร่งใส และตรวจสอบได้ มีมนุษย สัมพันธ์ดี และจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้ จากการพิจารณาบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา พบว่า ตัวชี้วัดแ ล ะ กิจกรรมท้ายบทเรียน สาระการเรียนรู้ จะมุ่งเน้นให้เกิดทักษะตามที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากเนื้อหาของ บทเรียนและความรู้ภายในบทเรียนมีส่วนช่วยท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะและกระบวนการต่าง ๆ ตามหลักสูตร ฐานสมรรถนะได้ เพราะเนื้อหาสาระต่าง ๆ มุ่งเน้นไปที่การอ่านและหลักการใช้ภาษาไทยใน กา รศึกษา
54 เกี่ยวกับประโยคซับซ้อนและโคลงสี่สุภาพเป็นส าคัญ ท าให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของสาระที่สอดคล้องกัน และมีความเป็นเอกภาพเดียวกันกับบทเรียน นอกจากนี้ในกิจกรรมท้ายบทเรียนมีการส่งเสริมทักษะด้าน การเขียนในการแต่งบทประพันธ์ตามฉันทลักษณ์ที่กล่าวไว้ในบทเรียน คือ โคลงสี่สุภาพไว้ด้วย อาจจะท าให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่สามารถเชื่อมโยงความรู้ให้เข้ากันได้อย่างโดยผ่านทักษะการคิดขั้นสูง การสื่อสาร และการรวมพลังท างานเป็นทีม นั่นเอง 3.12.7 ภาพประกอบ ในบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา ปรากฏรูปภาพหลักจ านวน 4 รูป คือ 1.รูปภาพ ประเทศไทยที่ทับซ้อนอยู่กับโคลงสี่สุภาพในบทเริ่มต้น (หน้าที่ 156) 2. การพูดคุยและให้ิความรู้ของพ่อ แม่ แป้งหอม และแก้วใส (หน้าที่ 157) 3. รูปภาพของแก้วใสถืออาหาร (หน้าที่ 159 ด้านล่างมุมขวามือ) และ 4 รูปภาพแผนผังฉันทลักษณ์ของโคลงสี่สุภาพ (หน้าที่ 161) ผู้ศึกษาพิจารณาการใช้ภาพประกอบในบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา พบว่า ได้มีการใช้ ภาพประกอบที่เหมาะสม โดยการใช้ภาพประกอบที่มีความสวยงามขนาดใหญ่เร้าความสนใจของผู้เรียน และมี การใช้ภาพประกอบที่สอดคล้องกับเนื้อหาและกิจกรรมในบทเรียน มีบางรูปภาพที่พยายามจะสื่อความหมาย ให้เข้ากับความหลากหลายทางเพศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คือ รูปภาพประเทศไทยที่ทับซ้อนอยู่กับโคลงในส่วน เริ่ม เรื่อง มีการใช้สีที่สื่อความหมายถึงความหลากหลายในยุคปัจจุบันนั่นคือ สีรุ้ง เป็นการสื่อนัยทางความหมาย อย่างหนึ่งเกี่ยวกับบทเรียนดังกล่าวว่า ไม่ว่าประชากรในประเทศไทยจะมีสถานะทางเพศแบบใดแต่ทุกคน สามารถมีความรักได้ ที่อยู่ภายใต้วัฒนธรรมทางสังคม เมื่อผู้ิเรียนได้เรียนรู้ผ่านตัวอักษรและมีภาพปร ะกอบ เสริมสร้างจินตภาพตามไปกับเนื้อหาให้แก่ผู้เรียน บทเรียนก็จะมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นและผู้เรียนจะเข้าใจ จดจ าบทเรียนได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 3.12.8 ตัวอักษรและขนาด จากการพิจารณาบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา พบว่า ในหน้าแรกที่แสดงเลขอักษรไทย ขนาดใหญ่และมีสีสันไม่ฉูดฉาดมาก ด้านล่างของเลขอักษรไทยที่แสดงล าดับของบทเรียนจะเป็นชื่อของ บทเรียน ที่มีการใช้ขนาดตัวอักษรที่ต่างกัน กล่าวคือ เน้นตัวอักษรขนาดใหญ่ตรงค าว่า รักใดและใฝ่หา โดย ค าว่า ใด จะมีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในชื่อเรื่อง ต่อมาชื่อเรื่องใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 18 พ้อยท์ สีแดงส้ม ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์สีด า ต่อมาหัวข้อหลัก ข้อคิดจากเรื่อง ค าที่ใช้ในกฏเกณฑ์ของฉันทลักษณ์ ประโยคซับซ้อน บทอ่านเสริม คิดตรอง ลองท าดู และคิดเพิ่ม เสริมทักษะใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนา ด 20 พ้อยท์สีแดงส้ม ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์สีด า ยกเว้นในส่วนของบทอ่านเสริมในส่วนเนื้อห าที่เป็น ร้อยแก้ว ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 14 พ้อยท์ สีด า การยกตัวอย่างค า ใช้ขนาด 16 พ้อยท์ มีการเน้นตั วหนา บ้างในส่วนที่เป็นค าบ่งชี้ที่บ่งบอกถึงลักษณะขององค์ประกอบของฉันทลักษณ์โคลงสี่สุภาพ และสาระส าคัญ ในบทอ่านเสริมที่เป็นรูปแบบร้อยแก้ว และตัวเอียงบ้างในส่วนค าบ่งชี้ของในแต่ละหัวข้อให้ผู้เรียนเกิดก าร สังเกตและจดจ า พิจารณาได้ว่าการใช้ตัวอักษรและขนาดในบทที่ 12 ความรักใดควรใฝ่หา มีความเหมาะสมเนื่องจาก สามารถท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะการอ่านที่ง่ายต่อการเรียนรู้และต่อยอดทักษะในการเรียนรู้เรื่องที่ยากขึ้น กล่าวคือ ศึกษาหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย ค าอธิบาย การยกตัวอย่าง และการสังเกตค าบ่งชี้ตามด าดับ ท าให้เกิด การเรียนรู้ที่เป็นระบบและเกิดทักษะการสังเกตในสิ่งที่แตกต่างจากส่วนอื่น ๆ เพื่อจุดประกายความคิดให้แก่ ผู้เรียนได้เห็นส่วนที่ต้องการเน้นย้ าจากการใช้ตัวอักษรและขนาดที่แตกต่างกันไป
55 3.13 บทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม 3.13.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 169) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม พบว่า เป็นการ กล่าวเกี่ยวกับความส าคัญของปัญญา การศึกษา และหนังสือ ในลักษณะค าขวัญ ค าคม เป็นการเกริ่นน าที่มี ความสอดคล้องกับชื่อเรื่องหรือจุดประสงค์การเรียนรู้ประจ าบทเรียน กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใน การศึกษารายละเอียดเนื้อหาภายในบทเรียนต่อไป 3.13.2 เนื้อหา 3.13.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้นจากก าร กล่าวถึงเนื้อหาของบทเรียนคือเรื่องค าขวัญโน้มจิต ปรากฏชื่อผู้แต่งท้ายเนื้อหา ต่อมาแสดงข้อคิดจากเรื่อง จากนั้นแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับสาระภาษาไทย ประกอบไปด้วย ค าและส านวน ค าขวัญ คติพจน์ ค าคม และ ค าสแลง และจบด้วยกิจกรรมท้ายบทเรียน 3.13.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มา ตามที่คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องแล ะ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 170-174) จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม สามารถ สรุปใจความส าคัญของเรื่องได้ดังนี้ เป็นเรื่องราวของเด็กทั้ง 5 คน คือ วาสนา พิมพ์พิมล วันทนีย์ เดชา และ สิทธิศักดิ์ ก าลังอภิปรายถกเถียงกัน เรื่อง ค าขวัญ คติพจน์ คติเตือนใจ ส านวน สุภาษิต ค าคม ว่ามีความ เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม พบว่า มีการ ประพันธ์น าเสนอเนื้อหาของบทเรียนเป็นเรื่องราวร้อยแก้ว มีการใช้ถ้อยค าสื่ออารมณ์ การใช้ค าลงท้ายแสดง ทัศนภาวะ มีการใช้ประโยคบอกเล่า ประโยคค าถาม ประโยคขอร้องตามชนิดของโครงสร้างที่แบ่งตามเจตน า ในการสื่อสารท าให้เนื้อหาสามารถสื่อความตามเจตนาของรูปแบบค าประพันธ์ อีกทั้งท าให้ผู้เรียนเกิด จินตนาการเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบทเรียนได้ (3) ข้อคิดจากเรื่อง (หน้าที่ 174) จากการศึกษาบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม พบว่า มีการ เกริ่นน าเข้าสู่ข้อคิดจากเรื่องเพียงเล็กน้อย กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนส าคัญของเนื้อเรื่อง คือ การสนทนาของ ตัวละครภายในเรื่องทั้ง 5 คน เกี่ยวกับค าสั่งจากครูภาษาไทยให้คิดค าขวัญเพื่อส่งประกวด และจากการ สังเคราะห์ข้อคิดจากเรื่อง สามารถอภิปรายได้ดังนี้ 1. ค าที่ใช้เรียกสิ่งต่าง ๆ บางครั้งอาจไม่เข้าิใจ ต รงกัน จึงควรศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้จะได้ใช้ภาษาถูกต้อง หรือถามผู้รู้เพื่อที่จะได้อธิบายให้เรารู้แ ล ะเข้ าใจได้ ดียิ่งขึ้น และ 2. ควรช่วยกันปรึกษาหารือหรือออกความคิดเห็น จะท าให้ได้ข้อสรุปที่ดีขึ้น
56 จะเห็นได้ว่าข้อคิดจากเรื่องดังกล่าวมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการตั้งค าถามเกี่ยวกับสิ่งที่อยากรู้ เช่น การเรียนรู้ในสาระบางสาระหากผู้เรียนไม่เข้าใจก็แค่ให้ถามเพื่อท า ให้ข้อสงสัยที่เกิดขึ้นกับบทเรียนได้รับการอธิบายขยายความจนเกิดความเข้าใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังแสดงให้ เห็นถึงความส าคัญของการแสดงคามคิดเห็น เนื่องจากเด็กในยุคปัจจุบันจะไม่ค่อยกล้าออกความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เพียงแค่เชื่อว่า การมีความคิดเห็นที่ต่างจากคนอื่น คือ ความผิด แต่ที่จริงแล้วการ แสดงออกซึ่งทัศนคติของคนที่มีความหลากหลายในเรื่องเดียวกัน จะช่วยท าให้เกิดการถกเถียงจนได้ข้อสรุป ที่มาจากความคิดเห็นของทุกคน และผลที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลดีและงดงามเสมอ เป็นต้น เนื่องจากข้อคิดจากเรื่อง ดังกล่าวสามารถท าให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานได้แก่ ใฝ่เรียนรู้และมุ่งมั่นในการท างาน หากผู้เรียนน าไปปรับใช้ให้สอดคล้องและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมนั่นเอง (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม พบว่า เนื้อหา ภายในบทปรากฏสาระส าคัญคือ สาระที่ 2 การเขียน (การเขียนโดยใช้ค าให้ถูกต้อง) โดยที่มีการให้รายละเอียด ที่ผู้เรียนสามารถอ่านท าความเข้าใจได้เลย เพราะมีความละเอียดมาก เช่นในหัวข้อ ค าและส านวน พบว่า มีการให้ รายละเอียดที่เป็นลักษณะบ่งชี้ของค าแบะส านวน กล่าวคือ ค า จะประกอบไปด้วย 2 องค์ประกอบ คือ เสียงและ ความหมาย ส่วนส านวนมีลักษณะส าคัญ 3 ประการคือ 1. เป็นกลุ่มค าที่เรียงอยู่ด้วยกันในรูปแบบที่แน่นอน 2. ความหมาของส านวนเป็นนความหมายที่เจ้าของภาษาตกลงไว้ ไม่ตีความแบบตรง ๆ และ 3. กลุ่มของค าที่ใช้ เหมือนเป็นค าค าหนึ่งหรือประโยคประโยคหนึ่ง ทั้งนี้พิจารณาได้ว่าการมให้รายละเอียดดังกล่าวมีการยกตัวอย่าง ของส านวนที่สอดคล้องกับชื่อของบทเรียน เป็นการจุดประกายความเข้าใจให้แก่ผู้เรียนก่อนจะเชื่อมโยงไปสู่สาระ การเขียนค าขวัญ คติพจน์ ค าคม และค าสแลง ซึ่งมีการให้รายเอียดถัดตจากหัวข้อค าและส านวน ทั้งนี้การ เสริมสร้างความเข้าใจให้กับผู้เรียนนอกจากจะขึ้นอยู่กับผู้เรียนแล้วกระบวนการถ่ายทอดความรู้ของครูผู้สอนและ กระบวนการจัดการเรียนรู้ก็มีส่วนส าคัญในการเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้เรียนได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็น ว่าความรู้ที่น ามาประกอบในบทเรียนเพื่อน าเสนอให้แก่ผู้เรียนมีส่วนสัมพันธ์เชื่อมโยงกันที่จะบูรณาการร่วมกันใน การเชื่อมโยงความรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียนขึ้นมา 3.13.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 181-182) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนที่มีชื่อกิจกรรม มี 2 กิจกรรม คือ กิจกรรมที่ 1 คิดตรอง ลองท าดู จากการพิจารณาพบว่า เป็นกิจกรรมหลักในบทนี้ ได้ให้ผู้เรียนช่วยกันพิจารณาให้ ค าอธิบายค าที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน เช่น อาหารกับของหวาน ของว่างของกินเล่น จากนั้นให้ผู้เรียน รวบรวมค าสแลงที่ปรากฏในบทอ่าน แล้วเปลี่ยนค าสแลงนั้นให้เป็นภาษาปกติ มีการให้ผู้เรียนพิจา รณาบท สนทนาของเด็กทั้งห้าคน เป็นบทสนทนาที่เป็นไปได้ในชีวิตจริงหรือไม่ จากนั้นมีการแบ่งกลุ่มให้ผู้เรียนได้ ศึกษาค้นหาความหมายของค าสุภาพ ค าหยาบ ค ายืม ค าเปรียบ ค าวรรณคดี ในส่วนของกิจกรรมที่ 2 กิจกรรมคิดเพิ่ม เสริมทักษะ มีการเสริมทักษะให้ผู้เรียนประกวดเขียนค าขวัญประจ าห้องเรียนหรือโรงเรียน และมีการฝึกให้ผู้เรียนรวบรวมค าคม ค าขวัญ จากหนังสือหรือสื่อต่าง ๆ จะท าเป็นสมุดเล่มเล็ก มีการเล่น เกมทายชื่อจังหวัดจากค าขวัญประจ าจังหวัด กิจกรรมท้ายบทเรียนดังกล่าวมีความสอดคล้องกับสาร ะแล ะ ตัวชี้วัดในรายวิชาภาษาไทยที่ปรากฏในบทเรียน คือ การเขียน ในรูปแบบกิจกรรมที่มีความหลากหลา ยมา ก ทั้งกิจกรรมที่บูรณาการการเขียนเข้ากับการอ่าน การเล่นเกมที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เข้าใจ และจดจ าบทเรียนได้ง่ายมากกว่าการฟังครูอธิบาย มีการเสริมทักษะการคิดสังเคราะห์ให้แก่ผู้เรียน และมี การส่งเสริมคุณลักษณะอันพึงประสงค์เรื่องรักความเป็นไทยให้แก่ผู้เรียนในกิจกรรมทายจังหวัดจา กค า ขวัญ
57 จนสามารถใช้กิจกรรมดังกล่าวในการช่วยพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ ทักษะ กระบวนการในด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียนได้ดีอีกด้วย 3.13.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม พบว่า เนื้อหาและกิจกรรม เสริมสร้างการเรียนรู้ในบทเรียนมีความเหมาะสมกับช่วงวัยเนื่องจากบทเรียนดังกล่าว จะเห็นได้ว่าบทเรียนนี้มุ่ง พัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามสาระภาษาไทยที่สอดคล้องกับบทเรียน ได้แก่ การเขียน ซึ่งเนื้อหาจะ กล่าวถึงสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของการเขียนโดยใช้ค าให้ถูกต้อง ตามการอธิบายไว้ในบทเรียน เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การ ใช้ค าและส านวนในการเขียนค าขวัญ คติพจน์ ค าคม และค าสแลง ต่อไปทั้งนี้เพื่อฝึกทักษะการเชื่อมโยงสาร ะ ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ท าให้เกิดการเรียนรู้ของผู้เรียนจนท าให้เกิดระดับการคิดขั้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ การ สังเคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์ รวมทั้งปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้แก่ผู้เรียนด้วย คือ รักความเป็นไทย 3.13.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม พบว่า เนื้อหาของบทเรียน ตรงกับ สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐานการเรียนรู้ ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และ เขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ ตัวชี้วัด ม.3/2 เขียนข้อความโดยใช้ถ้อยค าได้ถูกต้องตามระดับภาษา และปรากฏสาร ะการ เรียนรู้แกนกลาง 1 สาระ คือ การเขียนข้อความตามสถานการณ์และโอกาสต่าง ๆ เช่น ค าอวยพรในโอกาส ต่าง ๆ ค าขวัญ ค าคม โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ 3.13.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.13.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม พบว่า สมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏ มีดังนี้ (1) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การส ร้าง องค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม (2) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและ อุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ (3) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตเป็นความสามารถในการน ากระบวน การ ต่างๆ ไปใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การท างาน และการ อยู่ร่วมกันในสังคม (4) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกแ ล ะใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการ เรียนรู้ การสื่อสาร การท างาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม กล่าวได้ว่าตัวชี้วัดและกิจกรรมการเรียนรู้ประจ าหน่วยมีส่วนช่วยให้ผู้เรียน เกิด สมรรถนะส าคัญของผู้เรียนทั้ง 4 ด้าน เมื่อพิจารณาตามตัวชี้วัด สาระแกนกลาง เนื้อหาในบทเรียนทุกหัวข้อ สามารถท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะทั้ง 4 ด้านได้
58 3.13.6.3 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม พบว่า ทักษะใน หลักสูตรฐานสมรรถนะที่ปรากฏ มีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูง สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และตัดสินใจอย่างมี วิจารณญาณด้วยเหตุผลรอบด้าน เข้าใจความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งที่อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ใช้จินตนาการ และองค์ความรู้แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ (2) การสื่อสาร รับสารและส่งสารได้อย่างปราศจากอคติ มีสติ เคารพใน ความคิดเห็นที่แตกต่าง เลือกใช้กลวิธีสื่อสารได้อย่างเหมาะสมโดยมีความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งวัจนภ าษา และอวัจนภาษา (3) การรวมพลังท างานเป็นทีม จัดระบบและออกแบบกระบวนการท างาน ทั้งของตนเอง และกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ มีความเป็นผู้น า โปร่งใส และตรวจสอบได้ มีมนุษย สัมพันธ์ดี และจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้ จากการพิจารณาบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม พบว่า ตัวชี้วัดและ กิจกรรมท้ายบทเรียน สาระการเรียนรู้ จะมุ่งเน้นให้เกิดทักษะตามที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากเนื้อหา ของ บทเรียนและความรู้ภายในบทเรียนมีส่วนช่วยท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะและกระบวนการต่าง ๆ ตามหลักสูตรฐาน สมรรถนะได้ เพราะเนื้อหาสาระต่าง ๆ มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการเขียนในการสร้างสรรค์ผลงาน นอกจากนี้ใน กิจกรรมท้ายบทเรียนมีการส่งเสริมทักษะด้านการเขียนโดยอาศัยทักษะการคิดขั้นสูง อาจจะท าให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ที่สามารถเชื่อมโยงความรู้ให้เข้ากันได้ 3.13.7 ภาพประกอบ ในบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม ปรากฏรูปภาพหลักจ านวน 1 รูป คือ 1. รูปภาพของผู้เรียน 5 คนก าลังถกเถียงกัน (หน้าที่ 171) และปรากฏรูปภาพประกอบที่เป็นดอกไม้ จ านวน 3 รูป ทั้งนี้อนุมานได้ว่าอาจจะเพิ่มเข้ามาเพื่อส ร้างความสวยงามเพราะเมื่อพิจารณาพ บ ว ่า รูปภาพดอกไม้ที่ประกอบเข้ามาไม่ได้มีความสอดคล้องกับเนื้อหาในบทเรียน ผู้ศึกษาพิจารณาการใช้ภาพประกอบในบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม พบว่า ได้มีการใช้ภาพประกอบที่เหมาะสม โดยการใช้ภาพประกอบที่มีความสวยงามขนาดใหญ่เร้าควา มสนใจ ของผู้เรียนที่สอดคล้องกับเนื้อหาและกิจกรรมในบทเรียน มีบางรูปภาพที่เพิ่มเข้ามาเพื่อตกแต่งให้ส วยงา ม เพียงอย่างเดียว อีกทั้งรูปภาพประกอบดังกล่าวไม่ได้มีความสอดคล้องกับเนื้อหาในบทเรียน เมื่อผู้เรียนได้ เรียนรู้ผ่านตัวอักษรและมีภาพประกอบเสริมสร้างจินตภาพตามไปกับเนื้อหาให้แก่ผู้เรียน บทเรียน จ ะมี ความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นและผู้เรียนก็จะเข้าใจ จดจ าบทเรียนได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
59 3.13.8 ตัวอักษรและขนาด จากการพิจารณาบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม พบว่า ในหน้าแรกที่แสดง เลขอักษรไทยขนาดใหญ่และมีสีสันฉูดฉาด ด้านล่างของเลขอักษรไทยที่แสดงล าดับของบทเรียนจ ะเป็นชื่อ ของบทเรียน ที่มีการใช้ขนาดตัวอักษรที่ต่างกัน กล่าวคือ เน้นตัวอักษรขนาดใหญ่ตรงค าว่า โน้มจิต โน้มคิด โดยจะมีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในชื่อเรื่อง ต่อมาชื่อเรื่องใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 16 พ้อยท์หนา สีเขียวเข้ม ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์สีด า ต่อมาหัวข้อหลัก ได้แก่ 1. ข้อคิดจากเรื่อง 2. ค าและส านวน ค าขวัญ คติพจน์ ค าคม และค าแสดง ใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 20 พ้อยท์ สีเขียวอ่อน ในส่วนของหั วข้อ ที่ 3. คิดตรอง ลองท าดู และ 4. คิดเพิ่ม เสริมทักษะใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 20 พ้อยท์ สีเขียวเข้ม ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์สีด า ยกเว้นในส่วนของการอธิบายหัวข้อย่อยจะใช้ ใช้ตัวอักษรไทยสารบัญ ขนาด 15 พ้อยท์สีเขียวอ่อน ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์สีด า การยกตัวอย่างค า ใช้ขนาด 16 พ้อยท์ มีการใช้รูปแบบตัวเอียงในส่วนของส านวนที่ยกตัวอย่างมาประกอบการอธิบายในแต่ละหัวข้อให้ผู้เรี ยน เกิด การสังเกตและจดจ า พิจารณาได้ว่าการใช้ตัวอักษรและขนาดในบทที่ 13 ค าขวัญโน้มจิต โน้มคิดค าคม มีความเหมาะสมเนื่องจากสามารถท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะการอ่านที่ง่ายต่อการเรียนรู้และต่อยอดทักษะ ในการเรียนรู้เรื่องที่ยากขึ้น กล่าวคือ ศึกษาหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย และค าอธิบาย ท าให้เกิดการเรียนรู้ที่ เป็นระบบและเกิดทักษะการสังเกตในสิ่งที่แตกต่างจากส่วนอื่น ๆ เพื่อจุดประกายความคิดให้แก่ผู้เรียน ได้เห็นส่วนที่ต้องการเน้นย้ าจากการใช้ตัวอักษรและขนาดที่แตกต่างกันไป 3.14 บทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน 3.14.1 เกริ่นน า (หน้าที่ 183) จากการศึกษาเนื้อหาเกริ่นน าบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน พบว่า มีการ ยกตัวอย่างบทประพันธ์ในรูปแบบร้อยกรอง ฉันทลักษณ์กลอนสุภาพ (กลอนแปด) ของสุวคนธ์ จงตระกูล เนื้อหาในบทประพันธ์ให้เห็นบุญคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ ชาวนา และการให้ข้อคิดการตอบแทน บุญคุณ เป็นการเกริ่นน าที่มีความสอดคล้องกับชื่อเรื่องหรือจุดประสงค์การเรียนรู้ประจ าบทเรียน มีการบูรณา การความรู้ในการเขียนร้อยกรองจากบทเรียนอื่น ๆ ภายในเล่ม เข้ามาช่วยสร้างความน่าใจให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน ในการศึกษารายละเอียดเนื้อหาภายในบทเรียนต่อไป 3.14.2 เนื้อหา 3.14.2.1 การจัดล าดับ คณะผู้เรียบเรียงได้จัดล าดับของเนื้อหาของบทเรียนดังนี้ เริ่มต้นจากการ กล่าวถึงเนื้อหาของบทเรียนคือเรื่อง เราควรกตัญญูต่อใคร ปรากฏชื่อผู้แต่งท้ายเนื้อหา ต่อมาแสดงข้อคิดจาก เรื่อง จากนั้นแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับสาระภาษาไทย ประกอบไปด้วย การพูดในที่ประชุมชน ได้แก่ การพูดใน ลักษณะการประชุมสัมมนา สุนทรพจน์ การอภิปราย การโต้วาที การยอวาที เป็นต้น และจบด้วยกิจกรรมท้าย บทเรียน
60 3.14.2.2 ความถูกต้องของเนื้อหา ผู้ศึกษาได้พิจารณาความถูกต้องของเนื้อเรื่องพบว่าถูกต้องตามแหล่งที่มาที่ คณะผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงไว้ในบรรณานุกรม การอธิบายของเนื้อหาภายในบทเรียนมีความถูกต้องและ สอดคล้องกันโดยตลอด ไม่มีความทับซ้อนหรือย้อนแย้งภายในเนื้อหาที่ได้น าเสนอที่อาจสร้างความสับสนให้กับ ผู้เรียน ซึ่งเนื้อหาในหัวข้อต่าง ๆ ได้มีรายละเอียดที่คณะผู้เรียบเรียงให้ความรู้ไว้ดังต่อไปนี้ (1) เนื้อเรื่อง (หน้าที่ 184-191) จากการศึกษาเนื้อเรื่องในบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน สามารถสรุปใจความส าคัญของเรื่องได้ดังนี้ คนเรานั้นแท้จริงแล้วอ่อนแอมาก เราจึงต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งอื่นแล ะ คนอื่นเสมอ และผู้ที่เราต้องกตัญญูมากที่สุด คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ท่านทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวไทยมากมาย เช่น ทรงดูและเรื่องน้ าท่วม น้ าแล้ง การท ามาหากิน การด ารงชีวิต การพัฒนาตน ฯลฯ ผู้ด าเนินรายการกล่าวสรุปข้อคิดของวิทยากรทั้ง 2 ท่ายและจบด้วยการยกค ากลอน “บ้วน บุญคุณชีวิตคิดทดแทน” ขึ้นมากล่าว (2) ลักษณะค าประพันธ์ จากการศึกษาบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน พบว่า มีการ ประพันธ์น าเสนอเนื้อหาของบทเรียนเป็นบทสนทนาโทรทัศน์ของผู้ร่วมรายการ 3 คน แล้วจบด้วยกลอนสุภาพ 4 บท มีการใช้ถ้อยค าสื่ออารมณ์ ค าลงท้ายแสดงมารยาท มีการใช้ประโยคบอกเล่า ประโยคค าถาม ตามชนิด ของโครงสร้างที่แบ่งตามเจตนาในการสื่อสาร ท าให้เนื้อหาสามารถสื่อความตามเจตนาของรูปแบบค าประพันธ์ อีกทั้งท าให้ผู้เรียนเกิดจินตนาการเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบทเรียนได้ (3) ข้อคิดจากเรื่อง (หน้าที่ 192) จากการศึกษาบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน พบว่า มีการ เกริ่นน าเข้าสู่ข้อคิดจากเรื่องเพียงเล็กน้อย กล่าวถึงลักษณะค าประพันธ์ของเรื่องที่ยกมา คือ บทโทรทัศน์ เรื่อง ความกตัญญู ลักษณะงานเขียนเป็นบท ใช้เป็นรายการสารคดี และจากการสังเคราะห์ข้อคิดจากเรื่อง สามารถ อภิปรายได้ดังนี้ 1. คนไทยต้องกตัญญูต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระมหากษัตริย์ในอดีต 2. ควรมี ความกตัญญูต่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ และแผ่นดินไทย และ 3. รายการสารคดีทางวิทยุและโทรทัศน์ เป็นรายการที่ ให้ความรู้ ให้ข้อคิด และตัวอย่างที่ชัดเจน สามารถเก็บเกี่ยวความรู้ที่เป็นประโยชน์และมีสาระเอาไว้ใช้ต่อไปใน ภายหน้าได้ จะเห็นได้ว่าข้อคิดจากเรื่องดังกล่าว มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรัก ชาติและการกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีบุญคุณเป็นหลัก และขยายความผ่านการใช้รายการสารคดีเป็นตัวกลางในการ สื่อสาร ทั้งนี้เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้เรียนได้ เกี่ยวกับการรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และการรักในความ เป็นไทย ซึ่งมีความสอดคล้องกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานอีกด้วย พยายามชี้ให้เห็นถึงการแสดงความกตัญญูโดยที่ไม่ต้องรอเวลา จะแสดงความกตัญญูในรูปแบบใดก็ได้ที่ไม่ได้ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น อีกทั้งยังแฝงค่านิยมค าสั่งสอนให้ผู้เรียนเกิดความกตัญญูต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพราะในการด าเนินชีวิตในสังคมปัจจุบันผู้คนยังคงต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา
61 (4) สาระรายวิชาภาษาไทย จากการศึกษาบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน พบ ว่ า เนื้อหาภายในบทปรากฏสาระส าคัญคือ สาระที่ 3 การฟัง การดู การพูด (การพูดในที่ประชุมชน และการพูด ในโอกาสต่าง ๆ) โดยที่มีการให้รายละเอียดที่ผู้เรียนสามารถอ่านท าความเข้าใจได้เลย เช่นในหัวข้อ การพูดใน ที่ประชุมชน พบว่า มีการให้รายละเอียดที่เป็นลักษณะบ่งชี้ของการพูดลักษณะต่าง ๆ ได้แก่ 1. การเปิด ประชุมสัมมนา หมายถึงอะไร มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง โดยให้รายละเอียดไว้พอสังเขป และไม่ได้แสดงขั้น ตอน เป็นล าดับ จะเป็นการเขียนเเบบความเรียง 2. สุนทรพจน์ มีการให้นิยามความหมายสั้น ๆ มีการยกตัวอย่าง ประกอบ รูปแบบของการพูด เนื้อหาสาระที่น ามาใช้ในการพูด เป็นต้น กล่าวได้ว่ามีการจัดวางล าดับที่การ น าเสนอข้อมูลที่ค่อนข้างมีระบบและมีการอธิบายเกี่ยวกับสุนทรพจน์ไว้พอสังเขป 3. การอภิปราย มีการให้ นิยามความหมายสั้น ๆ มีการยกตัวอย่างประกอบ บริบทที่จะพูดอภิปราย การแบ่งและบทบาทหน้าที่ของผู้ อภิปรายและผู้ฟัง ขั้นตอนในการพูดอภิปราย โดยให้รายละเอียดไว้เป็นข้อมูลที่มีเนื้อหาในการอธิบายประกอบ แต่ละประเด็นได้อย่างชัดเจนและเข้าใจได้ดี 4. การโต้วาที มีการให้นิยามความหมาย องค์ประกอบของการ โต้วาที โดยที่ให้รายละเอียดไว้อย่างชัดเจน และ 5. การยอวาที มีการให้นิยามความหมายร่วมกับองค์ประกอบ ในการยอวาที และลักษณะเด่นของการยอวาที โดยให้รายละเอียดประกอบการเรียนรู้ไว้พอสังเขปที่ผู้เรียน สามารถท าความเข้าใจได้ ทั้งนี้การเสริมสร้างความเข้าใจให้กับ ผู้เรียนนอกจากจะขึ้นอยู่กับผู้เรียนแล้ว กระบวนการถ่ายทอดความรู้ของครูผู้สอนและกระบวนการจัดการเรียนรู้ก็มีส่วนส าคัญในการเสริมสร้างองค์ ความรู้ให้แก่ผู้เรียนได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความรู้ที่น ามาประกอบในบทเรียนเพื่อน าเสนอให้แก่ ผู้เรียนมีส่วนสัมพันธ์เชื่อมโยงกันที่จะบูรณาการร่วมกันในการเชื่อมโยงความรู้เพื่อสร้างองค์ควา มรู้ของผู้เรียน ขึ้นมา 3.14.3 กิจกรรมท้ายบท (หน้าที่ 196) จากการศึกษากิจกรรมท้ายบทเรียนที่มีชื่อกิจกรรม มี 2 กิจกรรม คือ กิจกรรมที่ 1 คิดตรอง ลองท าดูจากการพิจารณาพบว่า เป็นกิจกรรมหลักในบทนี้ ได้ให้ผู้เรียนถอดความบทประพันธ์มาขยายความ เป็นการเขียนเรียงความ เป็นความเรียงร้อยแก้ว จากนั้นให้ผู้เรียนเลือกบทร้อยกรอง บทประพันธ์มา ขยาย ความเป็นเรียงความ มีการให้ผู้เรียนย่อความบทสนทนาทางโทรทัศน์เรื่องเราควรกตัญญูต่อใคร จากนั้นจึงมี การแบ่งกลุ่มให้ผู้เรียนอภิปรายแสดงความคิดเห็นเรื่อง เราควรกตัญญูต่อใคร ในส่วนของกิจกรรมที่ 2 กิจกรรม คิดเพิ่ม เสริมทักษะ ได้มีการเสริมทักษะให้ผู้เรียนแนะน ารายการสารคดีทางวิทยุหรือโทรทัศน์ที่ผู้เรียน สนใจ โดยบอกลักษณะและเนื้อความของรายการนั้น จากนั้นมีการแบ่งกลุ่มระดมความคิด ว่าทุกคนจะปฏิบัติตน อย่างไร เพื่อแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ แล้วให้ผู้เรียนเขียนแสดงความคิดเห็นว่า เห็นด้วยหรือไม่กับ ค าพูดของกรพล อีกทั้งยังมีการจัดกิจกรรมโต้วาทีหรือยอวาทีในชั้นเรียน โดยให้ผู้เรียนช่วยกันก าหนดหัวข้อ จากนั้นมีการแบ่งกลุ่มให้ผู้เรียนได้ศึกษาสุนทรพจน์ของบุคคลที่มีชื่อเสียง กิจกรรมท้ายบทเรียนดังกล่าวมีความ สอดคล้องกับสาระและตัวชี้วัดในรายวิชาภาษาไทยที่ปรากฏในบทเรียน คือการฟัง การดู และการพูด ใน รูปแบบกิจกรรมที่มีความหลากหลายมาก ทั้งกิจกรรมที่บูรณาการการฟัง การดู และการพูดเข้ากับการเขียนใน รูปแบบต่าง ๆ กระบวนการท างานเป็นกลุ่มในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทัศนคติของตัวละครที่สื่อสาร ผ่านค าพูด และการลงมือปฏิบัติหลังจากเรียนทฤษฎีในส่วนของกิจกรรมการโต้วาที มีการเสริมทักษะการ คิด สังเคราะห์ให้แก่ผู้เรียน จนสามารถใช้กิจกรรมดังกล่าวในการช่วยพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ ทักษะ กระบวนการในด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียนได้ดีอีกด้วย
62 3.14.4 ความเหมาะสมกับวัย จากการศึกษาบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน พบว่า เนื้อหาและกิจกรรม เสริมสร้างการเรียนรู้ในบทเรียนมีความเหมาะสมกับช่วงวัยเนื่องจากบทเรียนดังกล่าว จะเห็นได้ว่าบทเรียนนี้ มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามสาระภาษาไทยที่สอดคล้องกับบทเรียน ได้แก่ การฟัง การดู และการพูด ซึ่งเนื้อหาจะกล่าวถึงสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของการฟัง การดู และการพูด ตามการอธิบายไว้ในบทเรียนเพื่อเชื่อมโยง ไปการเขียนสื่อความในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อฝึกทักษะการเชื่อมโยงสาระต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ท าให้เกิดการ เรียนรู้ของผู้เรียนจนท าให้เกิดระดับการคิดขั้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า และการ สร้างสรรค์ รวมทั้งปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้แก่ผู้เรียนด้วย คือ ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการท างาน และมี จิตสาธารณะ 3.14.5 เปรียบเทียบหลักสูตรแกนกลางภาษาไทยกับแบบเรียน จากการศึกษาบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน พบว่า บทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิต คิดทดแทน ตรงกับสาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐานการเรียนรู้ ท 3.1 สามารถเลือกฟังแ ล ะดู อย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และคความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและ สร้างสรรค์ ตัวชี้วัด ม.3/4 พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และปรากฏสาระการเรียนรู้แกนกลาง 1 สาระ คือ การพูดในโอกาสต่าง ๆ 3.14.6 การส่งเสริมและพัฒนาทักษะของผู้เรียน 3.14.6.1 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน จากการพิจารณาเนื้อหาที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและกิจกรรมท้ายบท บทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน พบว่า สมรรถนะส าคัญของผู้เรียนที่ปรากฏ คือ (1) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม (2) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตเป็นความสามารถในการน ากระบวนการ ต่าง ๆ ไปใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การท างาน และการ อยู่ร่วมกันในสังคม (3) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกแ ล ะใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการ เรียนรู้ การสื่อสาร การท างาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม กล่าวได้ว่าตัวชี้วัดและกิจกรรมการเรียนรู้ประจ าหน่วยมีส่วนช่วยให้ผู้เรียนเกิด สมรรถนะส าคัญของผู้เรียนทั้ง 3 ด้าน เมื่อพิจารณาตามตัวชี้วัด สาระแกนกลาง เนื้อหาในบทเรียนทุกหัวข้อ สามารถท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะทั้ง 3 ด้านได้
63 3.14.6.3 หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากการพิจารณาบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน พบว่า ทักษะใน หลักสูตรฐานสมรรถนะที่ปรากฏ มีดังนี้ (1) การคิดขั้นสูง สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ และตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ ด้วยเหตุผลรอบด้าน เข้าใจความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งที่อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ใช้จินตนาการแล ะองค์ ความรู้แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ (2) การสื่อสาร รับสารและส่งสารได้อย่างปราศจากอคติ มีสติ เคารพในความ คิดเห็นที่แตกต่าง เลือกใช้กลวิธีสื่อสารได้อย่างเหมาะสมโดยมีความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยทั้งวัจนภาษา และอวัจนภาษา (3) การรวมพลังท างานเป็นทีม จัดระบบและออกแบบกระบวนการท างานทั้ง ของตนเอง และกระบวนการท างานร่วมกับผู้อื่นได้ มีความเป็นผู้น า โปร่งใส และตรวจสอบได้ มีมนุษยสัมพันธ์ ดี และจัดการความขัดแย้งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายได้ จากการพิจารณาบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน พบว่า ตัวชี้วัดและ กิจกรรมท้ายบทเรียน สาระการเรียนรู้ จะมุ่งเน้นให้เกิดทักษะตามที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากเนื้อหา ของ บทเรียนและความรู้ภายในบทเรียนมีส่วนช่วยท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะและกระบวนการต่าง ๆ ตามหลักสูตรฐาน สมรรถนะได้ เพราะเนื้อหาสาระต่าง ๆ มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการพูดในที่ประชุมชน นอกจากนี้ในกิจกรรมท้าย บทเรียนมีการส่งเสริมทักษะด้านการฟัง การดู และการพูด โดยอาศัยทักษะการคิดขั้นสูง การสื่อสาร การรวม พลังท างานเป็นทีม 3.14.7 ภาพประกอบ ในบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน ปรากฏรูปภาพหลัก คือ รูปภาพของการจับ มือกันของคนต่างรุ่น ต่างวัย ต่างอาชีพ (หน้าที่ 185) และปรากฏรูปภาพประกอบ คือ รูปวิทยุ (หน้าที่ 192) อนุมานได้ว่าอาจจะเพิ่มเข้ามาเพื่อสร้างความสวยงามเพราะเมื่อพิจารณาพบว่ารูปภาพประกอบมีความ สอดคล้องกับเนื้อหาในบทเรียน คือ เนื้อเรื่องดังกล่าวเป็นการน าเสนอเรื่องราวผ่านสารคดีวิทยุหรือโทรทัศน์ ผู้ศึกษาพิจารณาการใช้ภาพประกอบในบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน พบว่า ได้มีการใช้ภาพประกอบที่เหมาะสม โดยการใช้ภาพประกอบที่มีความสวยงามขนาดใหญ่เร้าความสนใจของ ผู้เรียนที่สอดคล้องกับเนื้อหาในบทเรียน มีบางรูปภาพที่เพิ่มเข้ามาเพื่อตกแต่งให้สวยงาม อีกทั้งรูปภาพ ประกอบดังกล่าวมีความสอดคล้องกับเนื้อหาในบทเรียน เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านตัวอักษรและมีภาพปร ะกอบ เสริมสร้างจินตภาพตามไปกับเนื้อหาให้แก่ผู้เรียน บทเรียนก็จะมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นและผู้เรียนก็จะเข้าใจ จดจ าบทเรียนได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 3.14.8 ตัวอักษรและขนาด จากการพิจารณาบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน พบว่า ในหน้าแรกที่แสดงเลข อักษรไทยขนาดใหญ่และมีสีสันฉูดฉาด ด้านล่างของเลขอักษรไทยที่แสดงล าดับของบทเรียนจะเป็นชื่อของ บทเรียน ที่มีการใช้ขนาดตัวอักษรที่ต่างกัน กล่าวคือ เน้นตัวอักษรขนาดใหญ่ตรงค าว่า บุญคุณอุ้มชีวิตคิด โดย จะมีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในชื่อเรื่อง ต่อมาชื่อเรื่องใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 16 พ้อยท์หนา สีม่วง ส่วนเนื้อหา ใช้ขนาด 14-15 พ้อยท์สีด า มีการเน้นตัวหนา ในส่วนของชื่อตัวละครในบทสารคดีวิทยุิ และบทร้อยกรอง
64 กลอนสุภาพตอนท้ายเรื่อง จะมีขนาดตัวอักษร ประมาณ 13 พ้อยท์รูปแบบของข้อความมีความเอนเอียงไป ทางขวามือเพียงเล็กน้อย ต่อมาหัวข้อหลัก ได้แก่ 1. ข้อคิดจากเรื่อง 2. กาารพูดในที่ประชุมชน 3. คิดตรอง ลองท าดู และ4. คิดเพิ่ม เสริมทักษะ ใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 20 พ้อยท์สีม่วง ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์สีด า ยกเว้นในส่วนของหัวข้อการอธิบายหัวข้อย่อและองค์ประกอบของการพูดโต้วาที่ และการยอวาที ใช้ตัวอักษรไทยสารบัญขนาด 16 พ้อยท์ หนา สีด า ส่วนเนื้อหาใช้ขนาด 16 พ้อยท์สีด า พิจารณาได้ว่าการใช้ตัวอักษรและขนาดในบทที่ 14 ล้วนบุญคุณอุ้มชีวิตคิดทดแทน มีความ เหมาะสมเนื่องจากสามารถท าให้ผู้เรียนเกิดทักษะการอ่านที่ง่ายต่อการเรียนรู้และต่อยอดทักษะในการเรียนรู้ เรื่องที่ยากขึ้น กล่าวคือ ศึกษาหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย และค าอธิบาย ท าให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นระบบแล ะเกิด ทักษะการสังเกตในสิ่งที่แตกต่างจากส่วนอื่น ๆ เพื่อจุดประกายความคิดให้แก่ผู้เรียนได้เห็นส่วนที่ต้องการเน้น ย้ าจากการใช้ตัวอักษรและขนาดที่แตกต่างกันไป
65 4. จุดเด่น จุดด้อย และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแบบเรียน จากการวิเคราะห์หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ) สามารถพิจารณาถึงจุดเด่นและจุดด้อยของแบบเรียนได้ดังนี้ 4.1 จุดเด่น 1. เนื้อหามีความเหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียน มีการสอดแทรกเรื่องราวของการ ด ารงชีวิตในประจ าวัน การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ การให้ก าลังใจและข้อคิดคติเตือนใจ เป็นต้น ท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากสิ่งที่อยู่รอบตัวโดยบางครั้งอาจจะไม่ได้ให้ความส าคัญมากมายเท่าไรนัก 2. ภาษาที่ใช้สื่อสารเข้าใจได้ง่าย มีการใช้ภาษาในระดับกึ่งทางการ ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารใน ชีวิตประจ าวันอยู่แล้ว ท าให้การท าความเข้าใจบทเรียนไม่ได้ยุ่งยากจนเกินไป 3. มีกิจกรรมการเรียนรู้ค่อนข้างเยอะ จะเห็นได้ว่าในแต่ละบทเรียนจะมีกิจกรรมหลักและ กิจกรรมรองที่มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะ กระบวนการที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและสาะการเรียนรู้ แกนกลาง เพื่อท าให้เกิดการสร้างพฤติกรรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนให้บรรลุตามเป้าหมายในแต่ละบทเรียน 4. ภาพประกอบในเล่มมีเนื้อหาภาพที่น่าสนใจ ซึ่งในแบบเรียนเล่มดังกล่าว ในแต่ละบทจะมี การสอดแทรกรูปภาพที่สอดคล้องกับเนื้อหาของบทเรียน ท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขั้นจ าตามทฤษฎีของบลูม ได้ ซึ่งเป็นขั้นเริ่มแรก อีกทั้งรูปภาพดังกล่าวยังมีส่วนช่วยในการสร้างความสนใจในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนได้อีก ด้วย 5. กลวิธีการน าเสนอเนื้อหามีความหลากหลาย ทั้งในส่วนชื่อบทเรียน เกริ่นน า เนื้อหาของแต่ ละบท จะมีกลวิธีการน าเสนอที่หลากหลายในส่วนของชื่อเรื่องมีการตั้งชื่อบทเรียนได้มีความสอดคล้องกับ เนื้อหาในส่วนที่เป็นตัวเรื่องของบทเรียน เกริ่นน ามีทั้งที่เป็นบทประพันธ์ ค าขวัญ การแสดงทัศนคติที่ให้ข้อคิด เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ก่อนเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหา และในส่วนของเนื้อหา ก็มีการยกบทความสารคดี ตัวอย่างบท ประพันธ์ เพื่อให้สอดคล้องกับสาระรายวิชาภาษาไทยที่ต้องการจะสอนภายในบทเรียนนั้น 6. สอดคล้องกับมาตรฐาน ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง เนื่องจากในเนื้อหาและ กิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละบทจะมีการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรรายวิชาภาษาไทย ที่มีครบทั้ง 4 ด้าน คือ 1. การอ่าน 2. การเขียน การฟัง การดู และการพูด และ 4. หลักการใช้ภาษาไทย โดยที่บางบท อาจจะมีความสอดคล้องกับหลายสาระ ทั้งนี้เพื่อฝึกให้ผู้เรียนเกิดการเชื่อมโยงความรู้และทักษะเข้าด้วย กัน เพื่อพัฒนาผู้เรียนในหลาย ๆ ด้าน ภายในบทเรียนแค่บทเดียว 7. การเน้นย้ าซ้ าเน้นด้วยการใช้รูปแบบตัวอักษร จากการพิจารณาพบว่า ในแบบเรียนดังกล่าว จะเน้นย้ าตัวหนาในส่วนที่ส าคัญ เช่น ชื่อหัวข้อ องค์ประกอบ หรือรายละเอียดต่าง ๆ ที่ควรทราบ และมีการใช้ ตัวเอียง ในการยกตัวอย่างค าบ่งชี้ของประโยค ตัวอย่างประกอบการอธิบายหัวข้อต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิด การสังเกตสิ่งที่ต้องการจะสอนและเน้นย้ าซ้ าเน้น 8. บทเรียนมีการสอดแทรกเกี่ยวกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทั้ง 8 ข้อ ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 เช่น รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใฝ่เรียนรู้ รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ เป็นต้น 9. มีการสังเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายก่อนจะน ามาจัดท าเป็นแบบเรียน
66 4.2 จุดด้อย 1. การเว้นวรรคตอน พบว่า ในการเรียบเรียงเนื้อหาของบทเรียนมีการเคาะเว้นช่องว่างระหว่าง ตัวอักษรมากเกินไป 2. เนื้อหาบางเรื่องในสาระภาษาไทยขาดการอธิบายที่ชัดเจน อาจจะท าให้เกิดความเข้ าใจ คลาดเคลื่อนแก่ผู้เรียนได้ 3. รูปภาพประกอบของบทเรียนบางรูปภาพไม่ได้มีความสอดคล้องกับบทเรียนเท่าไรนัก น ามาใช้เพียงแค่ความสวยงามเท่านั้น 4. กิจกรรมืท้ายบทเรียนในทุกบท บางกิจกรรมมีการทับซ้อนกัน เช่น เน้นกระบวนการกลุ่มใน การท ากิจกรรมทุกบทเรียน แต่เมื่อพิจารณาแล้วพบว่า บางกิจกรรมไม่สามารถที่จะเอื้อต่อการท าแบบกลุ่มได้ 5. การเขียนอ้างอิงเว็บไซต์ ในส่วนของบรรณานุกรม ยังไม่มีความถูกต้อง อาจจะท าให้ผู้เรียน สืบค้นข้อมูลเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้ยาก 6. การเรียบเรียงเนื้อหาของสาระภาษาไทยในบางเรื่องไม่มีความเป็นเอกภาพที่สอดคล้องกัน อาจจะท าให้ผู้เรียนเกิดความสับสนได้ เช่น การอธิบายเรื่องค ายืมแล้วมาสอดแทรกความสัมพันธ์ของนามกับ กริยา 5. องค์ความรู้ใหม่จากการสังเคราะห์แบบเรียนภาษาไทย จากการวิเคราะห์หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานภาษาไทย วิวิธภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานที่ได้จัดท าขึ้น ผู้ศึกษาได้พบองค์ความรู้ใหม่ที่ใช้พัฒนาผู้เรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์หลักสูตร คือ ในแบบเรียนจะเน้นให้ผู้เรียนสามารถเกิดกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดและสาระการเ รียนรู้ แกนกลางคบทุกประการ เพื่อก่อให้เกิดสมรรถนะส าคัญของผู้เรียนโดยเน้นไปที่ทักษะการคิด การสื่อสาร และการ ท างานเป็นทีมผ่านการท ากิจกรรมกลุ่ม นอกจากนี้ภายในหนังสือแบบเรียนยังมีการสอดแทรกเนื้อหาที่เกี่ยวกับชีวิตประจ าวันของผู้เรียนในบทเรียน หรือในกิจกรรมท้ายบท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าในกิจกรรมท้ายบทนั้นมีจะมีกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนได้ มีอิสระในการเลือก คิด ท า ในสิ่งที่สนใจภายใต้หัวข้ออย่างกว้าง ๆ หรือที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาทางหลักภาษาหรือ เนื้อเรื่องที่บทเรียนได้น าเสนอ ซึ่งเป็นจุดส าคัญที่ท าให้ผู้เรียนได้สร้างความเชื่อมโยงทักษะและความสามารถของ ตัวเองเข้ากับเนื้อหาวิชาได้อย่างกลมกลืน สามารถสร้างความรู้สึกภูมิใจในตนเอง และท าให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการ ท ากิจกรรมในบทเรียนหรือการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น อีกหนึ่งประเด็กที่ส าคัญคือการพยายามมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิด กระบวนการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง เพราะนอกเหนือไปจากบทเรียนที่ได้น าเสนอความรู้ในส่วนส าคัญ แล้ว ยังมีองค์ความรู้อีกมากที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจมีความลึกซึ้งหรือมีแง่มุมที่ผู้เรียนอาจสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งการสอนวิธี ค้นคว้าหรือการแนะแนวทางการศึกษาค้นคว้าดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง ท าให้ผู้เรียนสามารถศึกษาด้วยตนเองได้ใน แบบของตัวเองและเกิดทัศนคติทีดีต่อการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ท าให้สามารถสรุปได้ว่า หนังสือแบบเรียนเล่มนี้ สามารถที่จะพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 และหลักสูตรรายวิชา ภาษาไทย อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมผู้เรียนให้เกิดสมรรถนะและทักษะที่จ าเป็นในชีวิตประจ าวันได้อย่างดี
67 บรรณานุกรม กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. (2563). หลักสูตรฐานสมรรถนะ. สืบค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2566 จาก https://www.eef.or.th/teaching-learning-and-assessing- . กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา (ไม่ปรากฏ). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์แห่งประเทศไทย จ ากัด. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. ขิ่นเท นายหม่าและคณะ. (2566). วิเคราะห์แบบเรียนในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย วิวิธภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ งานวิชาการ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา. (ไม่ปรากฏ). สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน. สืบค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2566 จาก https://satitapp.kus.ku.ac.th/ ปานฉัตท์ อินทร์คง. (2560). การจัดการองค์ความรู้. กรุงเทพฯ : คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2564). หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว.