The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 9 ทศพล คําบ่อ, 2024-02-17 12:21:23

นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

ilovepdf_merged

ก คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา เรื่อง นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา จัดทำขึ้นเพื่อให้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี สารสนเทศต่อการศึกษา พัฒนาเทคโนโลยีการสอนอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นและความ สะดวกสบายของมนุษย์ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาและปรับใช้ในการเรียนการสอนได้ดียิ่งขึ้น ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้ จะก่อประโยชน์ต่อผู้ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูและผู้สนใจ ที่จะศึกษาไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำยินรับคำติชมจากท่านทุกประการ คณะผู้จัดทำ


ข สารบัญ เรื่อง หน้า บทที่ 1 เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา 1 บทที่ 2 เรื่อง ความรู้เบื่องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ 13 บทที่ 3 พัฒนาการและความเป็นมาของเทคโนโลยีการศึกษา 43 บทที่ 4 สื่อการสอน 58 บทที่ 6 กฎหมาย จริยธรรมและจรรยาบรรณการใช้เทคโนโลยี 69 ข้อสอบท้าบบท 80


1 บทที่1 เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา เทคโนโลยีได้มีวิวัฒนาการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย ไปพร้อมๆกับวิถี ชีวิตของประชาชนเพราะเทคโนโลยีเริ่มมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นปัจจัยที่ 5 เลยทีเดียวอีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเหมือนกับโลกของเรา ไม่ได้หยุดหมุนแต่เพียงเท่านี้ ในระยะเวลาสองทศวรรษที่ผ่านมานี้เทคโนโลยีได้มีบทบาทในวงการศึกษาของไทยเป็นอย่าง มาก ถูกพัฒนา ดัดแปลงและพยายามนาความคิดวิธีการใหม่ๆ หรือที่เรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” มาใช้เพื่อพัฒนาทำให้ผลลัพธ์ทางการศึกษาในหลายๆด้านดีขึ้น โดยนาใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมมา พัฒนาดัดแปลงโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ศึกษาค้นคว้าและทดลอง เพื่อการออกเผยแพร่ใช้ กลายเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยนั้นเอง ความหมายของเทคโนโลยีทางการศึกษา เทคโนโลยี(Technology) ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 คือ วิทยาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่นามาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติและอุตสาหกรรม เทคโนโลยีมาจากคำว่า Techno ภาษาไทยแปลว่าวิธีการ หรือการสร้าง ส่วนคำว่า Logy มี ความหมายว่าความรู้เกี่ยวกับศาสตร์หรือการศึกษา เกี่ยวกับความเรื่องหรือสิ่งของที่ต้องการศึกษา การกำหนดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้การจัดการความรู้การประเมินผ่านช่องทางต่างๆ ที่เหมาะสม กับโครงสร้างพื้นฐานและความพร้อมของผู้เรียน เอ็ดก้า เดล (Edgar Dale, 1969) กล่าวว่า เทคโนโลยีการศึกษาไม่ใช่เครื่องมือ แต่เป็น แผนการหรือวิธีการทางานอย่างเป็นระบบให้บรรลุผลตามแผนการ เจมส์ดีฟินส์(James D.Finn, 1972) ได้กล่าวไว้ว่า เทคโนโลยีมีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่าการ ประดิษฐ์ เครื่องมือ เครื่องยนต์กลไกตต่างๆ แต่หมายถึง กระบวนการ แนวความคิด แนวทาง หรือ วิธีการในการคิดในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จากแนวคิดต่างๆ อาจนามาสรุปความหมายของคำว่า “เทคโนโลยี” ได้ว่า การนำแนวคิด หลักการเทคนิค วิธีการ กระบวนการ ตลอดจนผลิตผลทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์และนามาใช้ให้ เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติและอุตสาหกรรม


2 ในปัจจุบันได้มีการนาเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาในหลายวงการและด้านต่างๆ รวมทั้ง ทางด้านการศึกษา เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในด้านนี้จนถึงขั้นที่ เรียกได้ว่าขาดไม่ได้ในการ นามาใช้พัฒนาระบบการศึกษาให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในหลายๆส่วนของการศึกษา ซึ่งการศึกษา เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีการให้ความหมายของ เทคโนโลยี การศึกษา (Educational technology) ไว้หลากหลายความหมายดังต่อไปนี้ สันทัด ภิบาลสุข และพิมพ์ใจ ภิบาลสุข (2525) ให้ความหมายของ เทคโนโลยีการศึกษาไว้ว่า การนำเอาความรู้แนวคิด กระบวนการ ตลอดจนวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ มาใช้ร่วมกันอย่างมีระบบ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาการศึกษาให้ต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ ชัยยงค์พรหมวงศ์(2526) นิยามไว้ว่า เทคโนโลยีการศึกษาเป็นระบบการประยุกต์การผลิต ทางวิทยาศาสตร์มาใช้กับการศึกษาในการนาเทคโนโลยีทางการศึกษามาปรับปรุงประสิทธิภาพใน การศึกษา ครอบคลุม 3 ด้านคือ 1. วัสดุ (Materials หรือ Software) เป็นการนาอุปกรณ์มาประยุกต์ใช้ในการศึกษา เช่น สิ่งที่มีการผุพังสิ้นเปลืองต่างๆ อาทิชอล์ค ดินสอ กระดาษ ฟิล์ม เป็นต้น 2. อุปกรณ์หรือเครื่องมือ (Devices หรือ Hardware) เป็นการผลิตวัสดุการนาเอา วัสดุมาใช้ในการสอน คิดการสอนแบบใหม่ๆ เช่น สิ่งที่มีความคงทนถาวร อาทิกระดานดา เครื่องฉาย ภาพยนตร์เครื่องฉายแผ่นใส เครื่องบันทึกภาพ ฯลฯ เป็นต้น 3. วิธีการ (Method and Techniques) เป็นการกระทาต่างๆ ที่ให้ให้เกิดรูปแบบ ของการศึกษา เช่น กิจกรรม การสาธิต ทดลองต่างๆ เป็นต้น คาร์เตอร์วีกูด (Carter V.Good, 1973) ได้กล่าวว่า เทคโนโลยีการศึกษา คือการนาหลักการ ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อการออกแบบและส่งเสริมระบบการเรียนการสอน มีวัตถุประสงค์ ทางการศึกษาคือสามารถวัดได้อย่างถูกต้องแน่นอน มีการยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนมากกว่าที่ จะยึดเนื้อหาวิชา มีการใช้การศึกษาเชิงปฏิบัติผ่านการวิเคราะห์และการใช้เครื่องมือโสตทัศนูปกรณ์ รวมถึงเทคนิคการสอนโดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์สื่อการสอนต่างๆ ในลักษณะของ สื่อประสมและการศึกษาด้วยตนเอง กิดานันท์มะลิทอง (2543) ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษาว่า คือการประยุกต์เอา เทคนิควิธีการ แนวความคิด วัสดุอุปกรณ์และสิ่งต่างๆที่เป็นเทคโนโลยีมารวมกัน มาใช้ในวงการศึกษา จากแนวคิดต่างๆ ของ เทคโนโลยีการศึกษา อาจสรุปได้ว่า เทคโนโลยีการศึกษาเป็นสาขาที่ เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่มีการบูรณาการเกี่ยวกับบุคคล กรรมวิธีแนวคิด เครื่องมือ อุปกรณ์และ


3 องค์กรอย่างซับซ้อน โดยการวิเคราะห์ปัญหา การผลิต การนาไปใช้และประเมินผลเพื่อแก้ปัญหา ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของมนุษย์ ข้อคำนึงถึงในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการศึกษา หลักการทั่วไปในการนาเทคโนโลยีมาใช้ในการศึกษามี3 ประการ (สะอาด วรรณภีร์) ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพทางการเรียนการสอน (Efficiency) ขณะที่นาเอาเทคโนโลยีมาใช้ จะต้องทาให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น เข้าใจมากขึ้น ตามกระบวนการตามที่ได้วางแผนการสอนเอาไว้ 2. ประสิทธิผลทางการเรียนการสอน (Productivity) หลังจากการเรียนการสอน เสร็จสิ้นลงไปแล้วผู้เรียนสามารถนาความรู้ความเข้าใจที่ได้รับ นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ 3. ประหยัด (Economy) การนาเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการสอน สิ่งที่ตามมานั้นก็คือ ค่าใช้จ่ายที่ได้ใช้เทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น เงิน เวลา แรงงาน ในการทางาน ดังนั้นจาเป็นอย่างยิ่งที่ จะต้องลดต้นทุนเหล่านี้เพื่อให้ต้นทุนในการใช้เทคโนโลยีให้ได้มากที่สุด ประโยชน์ของเทคโนโลยีต่อการศึกษา วรวิทย์นิเทศศิลป์(2551) ได้บอกประโยชน์ของเทคโนโลยีต่อการศึกษาไว้ดังนี้ 1. ช่วยส่งเสริมให้คุณภาพการเรียนรู้ผู้เรียนมีความเช้าใจในเนื้อหาที่ศึกษามากขึ้น 2. ช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการศึกษาแก่ผู้เรียน 3. ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือเน้นที่ตัวผู้เรียนเป็นสำคัญ 4. ช่วยกระตุ้นผู้เรียนให้มีความสนใจในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น ในรูปแบบใหม่ที่ตัว ผู้เรียนสบายใจที่จะศึกษา 5. ช่วยเหลือเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้เช่น ผู้ที่อยู่ห่างไกลชุมชน ผู้พิการ เป็นต้น 6. ช่วยอานวยความสะดวกในการการติดต่อสื่อสาร เช่น การประชาสัมพันธ์การ ทำงาน เป็นทีม เป็นต้น เทคโนโลยีทางการสอน เทคโนโลยีทางการสอนเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีทางการศึกษา หมายถึงการนำเทคโนโลยีมา ใช้กับการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอน ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของเทคโนโลยี การศึกษา


4 การเรียนการสอนหรือการทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ เทคนิค และ วิธีการมากมาย แต่ความจริงไม่มีเทคนิคหรือวิธีการที่ดีที่สุด ทุกเทคนิคหรือวิธีการล้วนต้องมีปัญหา และต้องได้รับการพัฒนาต่อ ดังนั้นเราจึงต้องเลือกเทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เนื้อหาวิชา ที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงการเลือกวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือให้เหมาะสมกับเทคนิควิธีการ อีกด้วย โดยเน้นให้ผู้เรียนได้รับความรู้และประสบการณ์มากกว่าการเรียนการสอน ไม่ใช่ให้ผู้เรียนได้ แต่ฟังการสอนจากผู้สอน แต่ต้องสามารถที่จะนำความรู้และประสบการณ์มาใช้ได้จริง แนวโน้มของการศึกษาในปัจจุบันเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงอย่าง แทนการฟังจากผู้สอน เนื่องจากจำนวนผู้เรียนที่มากขึ้น ความรู้ที่ยิ่งนานไปยิ่งมีมากขึ้น วิทยาการ ใหม่ๆ ซึ่งผู้เรียนจะต้องเรียนรู้และสามารถนำไปประยุกต์ผสมผสานให้เกิดสิ่งใหม่เพื่อการพัฒนาใน อนาคต จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาทางให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ให้ได้มากที่สุด โดยใช้ เวลาในการเรียนน้อยกว่าเดิม ถึงแม้การเรียนการสอน แบบประสบการณ์ตรงหรือการลงมือทำจริงๆจะเป็นวิธีการที่ทำให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุด แต่เราไม่สามารถที่จะให้ผู้เรียนได้ทุกเนื้อหาวิชาเนื่องจากอาจมี ข้อจำกัดบางประการ เช่น 1. ต้องลงทุนมาก 2. ต้องใช้เวลานานมาก อาจเป็นหลายวัน หลายปีหรือหลายร้อยปี 3. มีความยุ่งยากซับซ้อนมาก 4. ความรู้บางอย่างไม่อาจสัมผัสได้โดยตรง ดังนั้นเราจึงต้องจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างอื่นขึ้นมาแทนเพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้คล้ายกับ ประสบการณ์ตรง เช่น การใช้รูปภาพ หนังสือ แผนภูมิ วิทยุโทรทัศน์ วิธีการอื่นๆ อีกมากมายเพื่อให้ ผลิตทางการศึกษามีคุณภาพสูงสุด ความหมายของนวัตกรรม ในหนังสือประมวลศัพท์บัญญัติวิชาการการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการได้บัญญัติคำว่า นวัตกรรม ไว้ว่ามีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า innovate แปลว่า to renew หรือ to modify และ ในภาษาบาลีและสันสกฤต ดังนี้ นว+อตต (บาลี) = ใหม่+กรณ์(สันสกฤต) คือการกระทำปฏิบัติ ความคิด เมื่อนำมารวมกันจะหมายถึงความคิดหรือการกระทำใหม่ๆ ที่นำมาใช้แก้ปัญหาในการ ปฏิบัติงานด้านต่างๆ (ปรัชญา ใจสะอาด,2534)


5 เมื่อนำคำว่านวัตกรรมและการศึกษามารวมกันได้ว่า นวัตกรรมทางการศึกษา (educational innovation) ซึ่งหมายถึงการนำเอาความคิดหรือ วิธีปฏิบัติใหม่ๆมาใช้กับการศึกษาความหมายของ นวัตกรรมได้มีผู้นิยามไว้ในด้านต่างมากมายหลายความหมาย ดังตัวอย่างเช่น มอร์ติน (Morton,1972) ให้นิยามของคำว่านวัตกรรมไว้ว่า คือการทำใหม่ขึ้นอีกครั้ง หรือที่ เรียกว่า การปรับปรุงของเก่าที่มีอยู่แล้วให้เป็นของใหม่แล้วเพื่อการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆ นวัตกรรมไม่ใช่การเอาของเก่าทิ้งให้หมด แต่เป็นการปรับปรุงให้ มีศักยภาพมากขึ้น ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2526) กล่าวว่า นวัตกรรม หมายถึงวิธีการปฏิบัติใหม่ๆ ที่แปลกไปจาก เดิมโดยอาจจะได้มาจากการคิดค้นวิธีการใหม่ขึ้นมาหรือมีการปรับปรุงของเก่าที่มีอยู่แล้ว และได้รับ การทดลองพัฒนาจนเป็นที่เชื่อถือได้แล้วว่าได้ผลดีในทางปฏิบัติทำให้ระบบก้าวไปสู่จุดประสงค์ที่ ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ บุญเกื้อ ครวญหาเวช (2543) กล่าวว่า นวัตกรรมการศึกษา หมายถึงการนำเอาสิ่งใหม่ใหม่อาจ อยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์เข้ามาใช้ในระบบการศึกษาเพื่อที่จะ เปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีเดิมอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จากความหมายของนวัตกรรมที่กล่าวมา สามารถจะนำมาสรุปความหมายของคำว่า “นวัตกรรมการศึกษา” ได้ว่า เป็นการนำเอาสิ่งใหม่ๆซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์เข้ามาใช้ในระบบการศึกษาโดยมีจุดประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอาศัยหลักการทฤษฎีที่ได้ผ่านการทดลองวิจัยจน เชื่อถือได้ นวัตกรรมเป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี ขยายก็คือ ก่อนเป็นเทคโนโลยีได้นั้นต้องเป็น นวัตกรรมมาก่อนนั่นเอง ถ้าเปรียบเทียบแล้วก็เหมือนกับต้นกล้าที่จะเจริญเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ ซึ่ง เปรียบเทียบได้กับเทคโนโลยีถ้าต้นกล้าไม่เกิดต้นไม้ใหญ่ก็จะไม่เกิด ถ้านวัตกรรมไม่เกิดเทคโนโลยีก็จะ ไม่เกิดเช่นกัน แนวความคิดที่ทาให้เกิดนวัตกรรมทางการศึกษา ปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อวิธีการศึกษา ได้แก่ แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่ เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นผลทำให้เกิดนวัตกรรมการศึกษา พอจะสรุปได้4 ประการ คือ (วรวิทย์นิเทศศิลป์, 2551)


6 1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) จากปัญหาของคนที่ แน่นอนไม่เหมือนกัน ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ การเลี้ยงดูและปัจจัยอื่น ๆ อีกนานับประการ ซึ่งมี ผลกระทบต่อการเรียนการสอนในหลาย ๆ ด้าน ดังนั้นจัดการศึกษาจึงต้องให้ความสำคัญในเรื่องความ แตกต่างระหว่างบุคคล เช่น มุ่งจัดการศึกษาตามความถนัดความสนใจและความสามารถของแต่ละ คนเป็นเกณฑ์ตัวอย่างที่เห็นได้เช่น การจัดระบบห้องเรียน โดยใช้อายุเป็นเกณฑ์บ้าง ใช้ ความสามารถเป็นเกณฑ์บ้าง ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นวิธีใหม่ๆ เช่น การใช้บทเรียนโปรแกรม เครื่อง สอน การสอนเป็นคณะ เป็นต้น 2. ความพร้อม (Readiness) เมื่อก่อนผู้สอนไม่ได้ใส่ใจกับความพร้อมของเด็ก เนื่องจากความพร้อมเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติแต่ในปัจจุบันมีการวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ ชี้ให้เห็นว่าความพร้อมในการเรียนเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้และหากมีการจัดบทเรียนให้พอเหมาะกับระดับ ความสามารถของเด็กแต่ละคนวิชาที่ว่ากันว่ายากและไม่เหมาะสมสำหรับเด็กก็สามารถนำมาให้ศึกษา ได้อย่างง่ายดาย นวัตกรรมที่ตอบสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ได้แก่ ศูนย์การเรียน การจัดระบบ หลักสูตรในโรงเรียน เป็นต้น 3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา แต่เดิมมาการจัดตารางสอน ส่วนใหญ่จะจัดตามความ สะดวกเป็นเกณฑ์เช่น ใช้หน่วยเวลาเป็นชั่วโมงเท่ากันทุกวิชาทุกวัน และยังจัดเวลาเรียนเอาไว้ตายตัว เป็นภาคเรียน เป็นปีแต่ในปัจจุบันได้เน้นการจัดตารางสอนให้สัมพันธ์กับลักษณะของแต่ละวิชาซึ่งจะ ใช้เวลาไม่เท่ากัน บางวิชาอาจใช้ช่วงสั้น ๆ แต่สอนบ่อยครั้ง แล้วแต่ลักษณะของรายวิชานั้น ๆ และ การเรียนก็ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในสถานที่เรียนเท่านั้น นวัตกรรมที่สนองความคิดอันนี้ได้แก่ การจัด ตารางสอนแบบยืดหยุ่น มหาวิทยาลัยเปิด บทเรียนสำเร็จรูป การเรียนทางไปรษณีย์เป็นต้น 4. ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ความรู้ที่มีเพิ่มขึ้นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน (ความรู้ใน ปัจจุบันเกิดจากอดีตซึ่งต้องเรียนรู้มากขึ้น) และการเปลี่ยนแปลงของสังคมทำให้คนจะต้องเรียนรู้ เพิ่มขึ้นมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ จึงจำเป็นต้องแสวงหา วิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นทั้งในด้านปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้เรียนและปัจจัยภายนอก วิธีระบบ วิธีระบบ (System Approach) คือ การแสดงภาพโดยรวมของขบวนการอย่างหนึ่งเพื่อจัด ระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ เพื่อให้เกิดผล (Output) ต้องอาศัยทรัพยากร คือ ตัวป้อน (Input) และวิธีการ (Process) ของการทางานนั้นๆ ดังนั้น ระบบจึงมีองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่


7 1. สิ่งที่ป้อนเข้าไป (Input) หรือทรัพยากรที่ใช้วัตถุดิบ หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่ จำเป็นต้องใช้เพื่อเริ่มกระบวนการ เช่น ระบบการเรียนการสอนในชั้นเรียน อาจได้แก่ ผู้สอน ผู้เรียน ชั้นเรียน หลักสูตร ตารางสอน วิธีการ เป็นต้น ถ้าในเรื่องของระบบการหายใจ ได้แก่ จมูก ปอด กระ บังลม อากาศ เป็นต้น 2. กระบวนการหรือการดำเนินงาน (Process) หมายถึง การนำเอาวัตถุดิบมาผ่าน กระบวนการให้เกิดผลตามที่ต้องการ เช่น การสอนของผู้สอน หรือการให้ผู้เรียนทำกิจกรรม เป็นต้น 3. ผลผลิตหรือการประเมินผล (Output) หมายถึง ผลที่ได้จากการผ่านกระบวนการ ได้แก่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนหรือผลงานของผู้เรียน เป็นต้น การวิเคราะห์ระบบ การวิเคราะห์ระบบ (System analysis) เป็นวิธีการนำเอาผลลัพธ์ที่ได้สิ่งเรียกกันว่า ข้อมูล ย้อนกลับ (Feed Back) จากผลผลิตมาประเมินผลและพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระบบให้มีประสิทธิภาพ ยิ่งขึ้น การพิจารณาแก้ไขนั้นอาจจะแก้ไขสิ่งที่ป้อนเข้าไปหรือที่ขบวนการก็แล้วแต่ว่าส่วนใดมีปัญหา และเป็นเหตุเป็นผลให้เกิดการแก้ไข และหากปรับปรุงแล้วอาจจะได้ผลออกมาไม่เป็นที่พอใจอีกก็ต้อง นำผลนั้นมาปรับปรุงแก้ไขใหม่ต่อเรื่อยๆจนเกิดความพอใจหรือมีผลที่ดีขึ้น จะเห็นว่าวิธีระบบเป็น ขบวนการต่อเนื่องที่ทำให้เกิดการวิเคราะห์ระบบและมีลักษณะเช่นเดียวกันวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการวิเคราะห์ระบบ คือบุคคลที่จะทำการวิเคราะห์ระบบควรจะเป็นบุคคลที่ เกี่ยวข้องในระบบมาพิจารณาร่วมกัน Input Process Output Feed Back รูปที่ 1 System Approach (ที่มา วรวิทย์ นิเทศศิลป์. 2551)


8 คุณสมบัติของนวัตกรรม การที่จะพิจารณาว่า วิธีการ หลักปฏิบัติ แนวคิดหรือสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้น เป็นนวัตกรรม หรือไม่ มีเกณฑ์ดังต่อไปนี้ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์ 2526; ไชยยศ เรืองสุวรรณ 2533) 1. สิ่งนั้นต้องแปลกใหม่จากของเดิมที่มีอยู่ อาจจะใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ 2. มีการทดลองใช้ ปรับปรุง และวิจัย เพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่สร้างขึ้นมานั้นมี ประสิทธิภาพที่ดีกว่าของเดิม 3. ในการประดิษฐ์หรือคิดค้นต้องอาศัยหลักการ System Approach เพื่อเป็นการ ยืนยันการสร้างได้อย่างมีมาตรฐาน 4. สิ่งนั้นยังไม่มีการใช้อย่างแพร่หลาย หรือยังอยู่ในขั้นตอนทดลองใช้งาน ถ้าวิธีการ หลักปฏิบัติ แนวคิดและสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นนวัตกรรมใช้งานได้ดีจนได้รับการยอมรับและมีการใช้งาน อย่างแพร่หลายหรือมีการนำไปใช้จริง คำว่านวัตกรรมจะกลายเป็นคำว่าเทคโนโลยีนั่นเอง ข้อสำคัญที่จะบอกได้ว่านวัตกรรมนั้นใช้ได้จริงและเป็นที่ยอมรับ เมื่อมีการนำนวัตกรรมการศึกษามาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน มีลำดับขั้นการบูรณาการ นวัตกรรมทั้งสิ้น 5 ลำดับ (Sandholtz, Ringstaff, and Dwyer, 1997 อ้างอิงใน Bitter, and Pierson, 2002) ที่ผู้ใช้มีพัฒนาการในการยอมรับและนำนวัตกรรมนั้นมาใช้ 1. ขั้นเริ่มทดลอง (Entry stage) เป็นขั้นแรกที่ผู้สอนได้นับการแนะนำให้รู้จักและใช้ นวัตกรรม ในขั้นนี้ผู้สอนอาจจะมีอุปสรรคในการใช้นวัตกรรม เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้ลองใช้ ผู้สอน อาจเกิดการต่อต้านเพราะไม่มีความสามารถอย่างเพียงพอในการใช้นวัตกรรมนั้นได้อย่างมี ประสิทธิภาพซึ่งอาจเป็นเพราะปัญหาด้านวิธีการใช้งานเป็นผลให้คนบางคนอาจเกิดความกลัวและเลิก ใช้งานไปในที่สุด 2. ชั้นนำมาใช้งาน (Adoption stage) ผู้สอนจะเริ่มคุ้นเคยเพราะผ่านขั้นตอนแรก มาได้แล้ว ใน ขั้นตอนนี้ผู้สอนจะเริ่มมีทัศคติที่ดีต่อนวัตกรรม จนกล้าที่จะน ามาประยุกต์ใช้ในการ เรียนการสอนและเรียนรู้จากความผิดพลาดบางประการที่อาจเกิดขึ้นเพื่อพยายามแก้ไขให้ข้อเสียใน นวัตกรรมนั้นๆ 3. ขั้นปรับให้เหมาะสม (Adaptation stage) ในขั้นนี้ผู้สอนใช้นวัตกรรมได้อย่างมี ประสิทธิภาพและเริ่มพัฒนาตนเองในปรับปรุงนวัตกรรมนั้นให้เหมาะสมกับเนื้อหาของบทเรียนและ วิธีการการเรียนการสอนของวิชาที่ตนเองสอนเมื่อผู้สอน


9 4. ขั้นจัดสรรอย่างเหมาะสม (Appropriation stage) เป็นขั้นที่ผู้สอนบริหารจัดการ งานนวัตกรรมนั้น ให้เหมาะสมกับการทำงานประจำวันและเริ่มปรับใช้การเรียนการสอนทั้งในวิชาและ ระหว่างวิชา รวมถึงเริ่มรับ เทคโนโลยีใหม่อื่นๆ เข้ามาใช้ในวิชาที่ตนเองสอน 5. ขั้นประดิษฐ์กรรม (Invention stage) ในขั้นนี้ไม่เพียงผู้สอนจะยอมรับนวัตกรรม นั้น ผู้สอนยังสามารถนำนวัตกรรมนั้นไปเผยแพร่ให้ผู้อื่นหรือร่วมสื่อสารใช้งานกับผู้สอนคนอื่นๆ ในขั้น สุดท้ายนี้ผู้สอนจะพัฒนานวัตกรรมที่ตนเองใช้อยู่เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ รวมไปถึงการที่จะก้าวไปสู่ ที่ปรึกษาทางวิชาการให้ผู้อื่นได้ด้วย นวัตกรรมการศึกษาที่ควรรู้ นวัตกรรม เป็นความคิดหรือการกระทำใหม่ๆ ซึ่งนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการ ให้ความสำคัญเพื่อคิดและทำสิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นนวัตกรรมจึงเกิดขึ้นใหม่ได้ทุกเวลา สิ่งใดที่คิด และทำมานานแล้ว จะถือว่าหมดความเป็นนวัตกรรมไปเพราะจะมีสิ่งใหม่มาแทน ในวงการศึกษา ปัจจุบัน มีสิ่งที่เรียกว่า นวัตกรรมทางการศึกษา อยู่เป็นจำนวนมาก บางอย่างเกิดขึ้นใหม่ บางอย่างมี การใช้มาหลายสิบปีแล้วแต่ก็ยังคงถือว่าเป็น นวัตกรรม เนื่องจากนวัตกรรมเหล่านั้นยังไม่แพร่หลาย เป็นที่รู้จักทั่วไป ในวงการศึกษา นวัตกรรมทางการศึกษาต่างๆ ที่กล่าวถึงกันมาก ได้แก่ บทเรียน โปรแกรม ชุดการสอน ศูนย์การเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การสอนทางไกล ฯลฯ 1. บทเรียนโปรแกรม บางครั้งเรียกว่า บทเรียนสำเร็จรูป บทเรียนด้วยตนเอง เป็น บทเรียนที่จัดลำดับขึ้น จากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก แต่ละส่วนจะมีคำอธิบายและคำถามต่อเนื่องกันไป คำถามอาจให้เติมคำถูกผิด หรือเลือกคำตอบ เมื่อผู้เรียนตอบคำถามแล้ว จะสามารถตรวจคำตอบได้ ทันทีว่า คำตอบของคนนั้นถูกหรือผิด ผู้เรียนจะศึกษาไปตามลำดับขั้นและปฏิบัติตามคำแนะนำที่ กำหนดไว้ในแบบเรียน แบบเรียนนี้จะทำหน้าที่แทนผูสอนเป็นรายตัว (Tutor) 2. เครื่องสอน (Teaching machine) คือ เครื่องมือที่สร้างขึ้นเพื่อใช้สอนผู้เรียนเป็น รายบุคคล มีส่วนประกอบที่สำคัญคือรายการสอน (Programs) เช่น สิ่งพิมพ์ หรือสิ่งที่เขียนเป็น รายการป้อนเข้าไปในเครื่องสอนเพื่อใช้เป็นบทเรียนให้ผู้เรียน เรียนได้ด้วยตนเองผู้เรียนจะต้อง สามารถเข้าใจได้ทันทีและกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากรู้อยากเห็นอยู่ได้ตลอดเวลา เครื่องสอนอาจรวมเอา สื่อหรือเทคนิคหลายอย่างประกอบกัน ซึ่งจะเป็นการเสริมให้เกิดการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น 3. การใช้คอมพิวเตอร์การเรียนการสอน (CAI) ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้ถูกนำมาใช้ กับการเรียนการสอนมากขึ้น และกลายเป็นรูปแบบของการเรียนการสอนแนวใหม่ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง


10 บทเรียนของคอมพิวเตอร์จะถูกทำให้เป็นโปรแกรมที่แปลกใหม่ ผู้เรียนไม่รู้สึกเบื่อหน่ายต่อการเรียน และดูเหมือนว่าคอมพิวเตอร์จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบทเรียนแบบโปรแกรม 4. ชุดการสอน และโมดูล (Instructional packages and module) เป็นวิธีการ จัดเตรียมกิจกรรมการเรียนรู้ที่เลือกสรรแล้ว อันประกอบด้วย จุดมุ่งหมาย เนื้อหา และวัสดุอุปกรณ์ ทั้งหลายที่รวบรวมไว้เป็นระเบียบ เพื่อให้ผู้สอนหรือผู้เรียนได้ศึกษาจากประสบการณ์ทั้งหมดนี้ชุดการ สอนสร้างขึ้นโดยอาศัยหลักการและทฤษฏีที่สำคัญ คือ การใช้สื่อประสม และการใช้วิธีวิเคราะห์ระบบ รู้จักแพร่หลายในชื่อต่างๆ กัน เช่น Learning package, Instructional Packages, Instructional Kits. ฯลฯ 5. การสอนเป็นคณะ (Team teaching) การสอนเป็นคณะเป็นการจัดการเรียนการ สอนแบบหนึ่ง ที่จัดให้ผู้สอนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ทำการสอนร่วมกันมาช่วยงานด้านวางแผนการสอน เพื่อให้ได้ประโยชน์จากความสามารถพิเศษของผู้สอน ผู้ร่วมคณะ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Team teaching จำนวนผู้เรียน ในทีมการสอนหนึ่งๆ อาจมีจำนวนตั้งแต่ 40 - 300 คน การจัดกลุ่มคำนึงถึง อายุ ความสนใจ ความถนัด อาจใช้ชั้นเรียนเดิมหรือคละกัน ทั้งนี้แล้วแต่วัตถุประสงค์ของคณะ ซึ่งมีทั้ง ผู้มีความรู้ทั่วไปและเฉพาะทางผู้สอนในทีมแต่ละคนจะต้องสอนร่วมกันมีการประชุมปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันอยู่เสมอ รับผิดชอบการสอนทั้งในกลุ่มใหญ่และเป็นผู้รับผิดชอบประจำ กลุ่มย่อย 6. ศูนย์การเรียน (Learning center) เป็นการจัดเนื้อหาวิชาออกเป็นหน่วยๆ แต่ละ หน่วยจะมีกิจกรรม อุปกรณ์และเนื้อหาวิชาแตกต่างกัน ผู้เรียนจะเรียนรู้ด้วยการประกอบกิจกรรม จากหน่วยต่างๆ ตามที่กำหนดในแต่ละหน่วยการเรียนภายใต้การควบคุมของผู้สอนโดยอาศัยหลักการ และทฤษฏีที่สำคัญ คือ การใช้สื่อประสม กระบวนการกลุ่ม 7. การสอนแบบจุลภาค (Micro teaching) เป็นการสอนที่ย่อส่วนหรือจำลอง สถานการณ์มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอย่างรัดกุมเป็นการสอน ในสถานการณ์ของ ห้องเรียนแบบง่ายๆ กับผู้เรียน 5-10 คน ใช้เวลา 5 – 15 นาที เปิดโอกาสให้ผู้สอนได้ฝึกฝนทักษะการ สอนใหม่ๆ หลังจากได้ดูแบบหรือตัวอย่างมาแล้ว ขณะสอนมีการบันทึกภาพ เพื่อให้ผู้สอนได้ดูการ สอนของตน จะได้ปรับปรุงการสอนให้ดีขึ้นก่อนนำไปทำการสอนจริงๆ การสอนแบบนี้เหมาะสำหรับ การฝึกอบรมผู้สอนผู้สอนใหม่ 8. การจัดตารางเรียนแบบยืดหยุ่น (Flexible scheduling) เกิดจากแนวความคิด ที่ว่า การเรียนรู้ในแต่ละเนื้อหาวิชานั้นไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเท่ากันเพราะการเรียนรู้ในแต่ละวิชาย่อมมี ระดับความยากง่าย และวิธีการจัดลำดับการเรียนรู้ที่แตกต่างกันออกไป อีกประการหนึ่งก็คือ ผู้เรียน


11 นั้นย่อมมีความแตกต่างกันทั้งทางด้าน สติปัญญา ความสามารถ และช่วงความสนใจของผู้เรียนที่มีต่อ วิชาต่างๆ นั้นไม่เท่ากัน เด็กเล็กจะมีช่วงความสนใจ ในบางวิชาเพียง 10 -15 นาที แต่เด็กโตจะมีช่วง ความสนใจที่มากกว่า ดังนั้นการจัดตารางสอน จึงต้องจัดให้เหมาะสมสำหรับแต่ละวิชา 9. โครงการส่งเสริมสมรรถภาพการสอน (RIT) เป็นการจัดระบบการเรียนการสอน ที่จะลดเวลาที่ผู้สอนจะต้องสอนหรือเกี่ยวข้องกับผู้เรียนให้น้อยลงกว่าอัตราเวลาเป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ทำให้คุณภาพการศึกษา หรือผลการเรียนของผู้เรียนลดลงกว่าเดิม เช่นเดิมที่ผู้สอนต้องใช้เวลา สอน 60 นาที แต่หากนำนวัตกรรมนี้มาใช้แล้วอาจจะลดเวลาเหลือเพียง 15-30 นาทีเท่านั้น ที่ผู้เรียน จะเรียนกับผู้สอน เวลาที่เหลือผู้เรียนก็จะเรียนกับสื่อการเรียนต่างๆ ที่จัดไว้ให้ช่วยให้ผู้สอนมีเวลา ตรวจงานผู้เรียนกวดขันผู้เรียนอ่อนหรือที่เรียนไม่ทันเพื่อน ผู้สอนคนหนึ่งอาจสอนผู้เรียนได้หลายห้อง เพราะสามารถใช้เวลาที่เหลือจากการสอนห้องหนึ่ง ไปสอนอีกห้องหนึ่งได้ 10. การใช้สื่อมวลชนเพื่อการศึกษา เนื่องจากปัจจุบัน สื่อมวลชนประเภทต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วารสารนิตยสาร วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ ภาพยนตร์ ได้เข้ามามีบทบาทต่อ ชีวิตประจำวันในด้านการรับรู้ข่าวสาร การสร้างค่านิยมและการศึกษาประชาชนอย่างกว้างขว้าง การ ใช้สื่อมวลชนเพื่อการศึกษามีทั้งในรูปการศึกษาทั่วไป และการศึกษาในวิชาการเฉพาะสาขา คุณค่า ของการใช้สื่อมวลชนเพื่อการศึกษา คือ สามารถให้การศึกษาแก่ประชาชนได้รวดเร็ว และได้จำนวน มากพร้อมๆ กัน นอกจากนวัตกรรมทางการศึกษาต่างๆ เหล่านี้แล้ว ยังมีนวัตกรรมทางการศึกษาอีก หลายอย่าง ที่ผู้เรียน ผู้สนใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากเอกสารตำราที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและ นวัตกรรมทางการศึกษา สรุปเนื้อหาบทที่ 1 นวัตกรรม และเทคโนโลยีในปัจจุบันได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นและ ความสะดวกสบายของมนุษย์ นอกจากนี้ยังถูกประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน การศึกษา โดยมีจุดประสงค์เพื่อแก้ปัญหา เช่น การขยายพิสัยในการเรียนรู้ การเรียนรู้แบบเอกัต บุคคล รวมถึงการจัดการระบบทางการศึกษาเทคโนโลยีการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันเกิดจากปัญหาที่ เกิดขึ้นในอดีตที่ช่วยทำให้การศึกษาในปัจจุบันนั้นเข้าถึง และเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหา ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพราะความไม่สมบูรณ์ของเทคโนโลยี ปัญหาเหล่านั้น จะต้องได้รับการแก้ไข โดยการ สร้างสิ่งใหม่โดยสิ่งใหม่ที่เราสร้างขึ้นมามีเป้าหมาย เพื่อแก้ปัญหาทางการศึกษาที่เกิดขึ้นเหล่านั้น เรียกว่า นวัตกรรมทางการศึกษา ซึ่งนวัตกรรมยังคงต้องพึ่งเทคโนโลยีหรือของที่มีอยู่เดิม พัฒนาผ่าน


12 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ค้นคว้า ทดลอง และได้ยอมรับการว่าสามารถที่แก้ปัญหาได้ในที่สุดจน นวัตกรรมนั้นกลายเป็น เทคโนโลยี จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมขาดซึ่งกันและกันไม่ได้เลย ต่างกันแค่เพียงคุณสมบัตินั้นเอง ในความเป็นจริงถึงแม้ว่าเทคโนโลยี ที่ผู้คนนำเอาไปใช้จริงๆ ใน ชีวิตประจำวันแล้ว สิ่งที่ยังเหลืออยู่นั้นก็คือความไม่สมบูรณ์ของเทคโนโลยี จึงต้องมีนวัตกรรมขึ้น โดย ทุกๆ สิ่งยังมีคงข้อเสียหรือปัญหาที่เราต้องแก้ ต้องมีนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีเกิดขึ้นเรื่อยๆ นั้นเป็น เหตุผลที่ว่าทำไมโลกเราถึงยังมีการพัฒนาต่อไปอย่าง ต่อเนื่อง


13 บทที่ 2 เรื่อง ความรู้เบื่องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ความรู้เบื่องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ในการดำเนินชีวิตของเราในยุคปัจจุบันนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทและเกี่ยวข้อง กับการดำเนินชีวิตประจำวันของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอนการ ดำเนินชีวิตประจำวันในหลาย ๆ กิจกรรมเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศโดยที่เราไม่รู้ตัว เช่นการ ตื่นนอนโดยการใช้อุปกรณ์ตั้งปลุกเวลา การติดตามข่าวผ่านอุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ การตรวจสอบ ตารางนัดหมาย การตรวจสอบสภาพการจราจร การติดต่อสื่อสารทั้งแบบข้อความ ภาพ หรือเสียงการ รับงาน-ส่งงานผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ การเปิดดูรายละเอียดสินค้าหรือบริการทางเว็บไซต์ ก่อนตัดสินใจ การทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น สอบถามยอดเงิน โอนเงิน ชำระค่าบริการ เป็นต้นการ ค้นหาสถานที่ การค้นหาแผนที่หรือเส้นทางการเดินรถก่อนการเดินทาง การติดต่อและทำธุรกรรมกับ หน่วยงานต่าง ๆ เช่น การลงทะเบียนและดูผลการเรียนกับสถานศึกษา การชำระภาษีออนไลน์เป็นต้น การสำรองที่นั่งเพื่อการเดินทาง การสำรองที่พัก สิ่งเหล่านี้สามารถทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วผ่าน เครือข่ายอินเทอร์เน็ต โทรคมนาคมและการสื่อสาร ด้วยคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟนทั้งที่ บ้านหรือที่ทำงาน จึงทำให้รูปแบบการดำรงชีวิตประจำวันของคนเราที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นผลมา จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งผลให้คนเราต้องพึ่งพาอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศใน การดำรงชีวิตประจำวันมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ เราจึงต้องเริ่มศึกษา ตั้งแต่ที่มาของสารสนเทศ การจัดการสารสนเทศเพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ องค์ประกอบและหน้าที่ ของระบบสารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) หรือไอทีมี องค์ประกอบและความสำคัญในการดำเนินชีวิตของเราในปัจจุบันอย่างไร ดังรายละเอียดที่เราจะได้ ศึกษาต่อไปนี้ ข้อมูลและสารสนเทศ ก่อนที่เราจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เราควรทราบถึงความเป็นมาของ สารสนเทศด้วย ซึ่งสารสนเทศมีที่มาจากข้อมูล คำว่า “ข้อมูล” และคำว่า “สารสนเทศ” เป็นคำที่มี ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันแต่ไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งเราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับคำที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 คำ ดังต่อไปนี้


14 ข้อมูล (Data) คำว่า “ข้อมูล” ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Data” ซึ่งในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลจะต้อง ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลดังต่อไปนี้ 1. ความหมายของข้อมูล จากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับความหมายของข้อมูล พบว่า ได้มีผู้ให้ความหมายของคำว่า “ข้อมูล” ไว้ดังต่อไปนี้ ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่ถือหรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง สำหรับใช้เป็นหลักอนุมาน หาความจริงหรือการคำนวณ (ราชบัณฑิตยสถาน. 2546: 173) ข้อมูล หมายถึง กลุ่มตัวอักขระที่เมื่อนำมารวมกันแล้วมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งและมี ความสำคัญ ควรค่าแก่การจัดเก็บเพื่อนำไปใช้ในโอกาสต่อ ๆ ไป ข้อมูลมักเป็นข้อความที่อธิบายถึงสิ่ง ใดสิ่งหนึ่ง อาจเป็นตัวอักษร ตัวเลข หรือ สัญลักษณ์ใด ๆ ที่สามารถนำไปประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ได้(ทักษิณา สวนานนท์ และฐานิศรา เกียรติบารมี. 2546: 165) ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงที่มีการรวบรวมไว้และมีความหมาย อาจเกี่ยวข้องกับคน สิ่งของหรือ เหตุการณ์อื่น ๆ ในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์นิยมใช้เป็นส่วนนำเข้าพื้นฐาน เพื่อให้ได้ สารสนเทศสำหรับการช่วยตัดสินใจและนำเอาไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ อีกได้ตามต้องการ (วศินเพิ่ม ทรัพย์ และวิโรจน์ ชัยมูล. 2548: 12-13) ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงต่าง ๆ อาจอยู่ในรูปของตัวเลข ตัวอักษร สัญลักษณ์ รูปภาพหรือ เสียงก็ได้(ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล และเจษฎาพร ยุทธนวิบูลชัย. 2549: 16) ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ และยังไม่ได้ผ่านการประมวลผลหรือเรียบเรียงใหม่ อาจจะ อยู่ในรูปของตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ สัญลักษณ์ เสียง และมัลติมีเดีย เช่น น้ำหนักของนักศึกษาแต่ ละคนรายได้ของผู้บริหารแต่ละคน ยอดขายสินค้าให้กับลูกค้าแต่ละรายในแต่ละวัน (ธีระ กุลสวัสดิ์. 2553: 1) ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ข้อมูล หรือ Data หมายถึง ข้อเท็จจริง เรื่องราว หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง กับสิ่งต่าง ๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ฯลฯ โดยอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมต่อการสื่อสาร การแปล ความหมายและการประมวลผล ซึ่งข้อมูลอาจจะได้มาจากการสังเกต การรวบรวม การวัด ข้อมูล เป็นได้ทั้งตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ สัญลักษณ์ เสียง และมัลติมีเดีย ที่สำคัญจะต้องมีความเป็นจริง ตัวอย่างของข้อมูลนักศึกษา เช่น รหัสนักศึกษา ชื่อ-สกุลนักศึกษา ชั้นปี วิชาลงทะเบียน หน่วยกิต เป็นต้น


15 ตาราง 1 ตัวอย่างข้อมูล 2. คุณสมบัติของข้อมูล ข้อมูล เป็นที่มาของสารสนเทศ ซึ่งการที่เราจะได้สารสนเทศที่ดีจะต้องมาจากข้อมูลที่ดีด้วย เช่นกัน โดยข้อมูลที่ดีต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ 2.1 ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ข้อมูลที่ดีควรจะมีความถูกต้องแม่นยำสูง หรือให้มีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุดและต้องควบคุม ได้ หากข้อมูลที่เราจัดเก็บและรวบรวมนั้นเชื่อถือไม่ได้จะทำให้เกิดผลเสียอย่างมาก จะทำให้เกิดการ ประมวลผลที่ผิดพลาด ผู้ใช้จะไม่กล้าอ้างอิงหรือนำเอาไปใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นเหตุให้การตัดสินใจขาด ความแม่นยำ และอาจมีโอกาสผิดพลาดได้ โดยปกติความผิดพลาดของสารสนเทศส่วนใหญ่มาจาก ข้อมูลที่ไม่มีความถูกต้อง ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากคน เครื่องจักร หรือการออกแบบระบบ 2.2 ความรวดเร็ว ทันเวลาและเป็นปัจจุบัน (Timeliness/Up to Date) การได้มาของข้อมูลจำเป็นต้องให้มีความรวดเร็ว ทันต่อความต้องการของผู้ใช้ มีการตอบสนอง ต่อผู้ใช้ได้เร็ว ประมวลผลสารสนเทศได้ทันต่อเหตุการณ์หรือความต้องการ หากผลิตข้อมูลออกมาช้า ก็ไม่มีคุณค่าถึงแม้จะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำก็ตาม 2.3 ความสมบูรณ์ครบถ้วน (Completeness) ข้อมูลที่เก็บรวบรวมต้องเป็นข้อมูลที่ให้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกด้าน หากขาดส่วนหนึ่ง ส่วนใดไปจะทำให้นำไปประมวลผลหรือนำไปใช้การไม่ได้ ซึ่งความสมบูรณ์ของสารสนเทศขึ้นกับการ รวบรวมข้อมูลและวิธีการทางปฏิบัติด้วย 2.4 ความชัดเจนและกะทัดรัด (Conciseness) ข้อมูลที่ได้รับส่วนใหญ่จะกระจัดกระจาย ควรจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่กะทัดรัด ไม่เยิ่นเย้อ สะดวกต่อการใช้และค้นหา ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากจะต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากจึง


16 จำเป็นต้องออกแบบโครงสร้างข้อมูลให้กะทัดรัดและสื่อความหมายได้ มีการใช้รหัสข้อมูลให้เหมาะสม เพื่อที่จะจัดเก็บเข้าไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ 2.5 ความสอดคล้อง (Relevant) การได้สารสนเทศที่ตรงกับความต้องการเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นจึงต้องมีการสำรวจข้อมูลให้ สอดคล้องและตรงตามความต้องการของผู้ใช้ หน่วยงานและองค์กร ดูสภาพการใช้ข้อมูลความลึกหรือ ความกว้างของขอบเขตของข้อมูลให้สอดคล้องกับความต้องการ 2.6 ตรวจสอบได้(Verifiable) ข้อมูลที่ดีต้องสามารถตรวจสอบได้ว่าถูกต้อง น่าเชื่อถือหรือไม่ และรู้แหล่งที่มาของข้อมูลที่ สามารถอ้างอิงตรวจสอบได้ตัวอย่างเช่น หากผลการคิดเกรดเฉลี่ยสะสมมีความผิดพลาด ต้องสามารถ ย้อนตรวจสอบได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด เช่น การบันทึกข้อมูลผิดพลาด หรือการใช้สูตรคำนวณผิดพลาด เป็นต้น ภาพ 1 คุณสมบัติของข้อมูลที่ดี 3. ชนิดของข้อมูล ข้อมูลโดยทั่วไปมีหลายรูปแบบ แตกต่างกันทั้งชนิดและความหมาย และต้องจัดเก็บในสื่อชนิดใด ชนิดหนึ่งที่สามารถนำออกมาใช้ประโยชน์ได ้หากเราจำแนกข้อมูลตามลักษณะการจัดเก็บสามารถ แบ่งได้4 ชนิด คือ 3.1 ตัวเลข (Numeric Type)


17 ข้อมูลที่เป็นตัวเลข หมายถึง ข้อมูลที่เป็นตัวเลขใช้ระบุความหมายของสิ่งต่าง ๆ เชิงปริมาณ และสามารถนำมาคำนวณทางคณิตศาสตร ์เ ช่น การ บวก ลบ คูณ หาร ได้ เช่น จำนวนหน่วยกิตที่ ลงทะเบียน ราคาสินค้า จำนวนสิ่งของ อายุ ความสูง โดยระบุเป็นตัวเลขเท่านั้น เช่นจำนวน 20 หน่วยกิต ราคา 500 บาท จำนวน 2 กล่อง อายุ18 ปี สูง 170 เซนติเมตร เป็นต้น 3.2 ตัวอักขระ (Character Type) ข้อมูลที่เป็นตัวอักขระ หมายถึง ข้อมูลที่ ไม่สามารถนำ ไปคำนวณได้ แต่อาจนำไปเรียงลำดับได้ เช่น การเรียงลำดับตัวอักษร ข้อมูลอาจเป็นตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายใด ๆ ใช้ บรรยายความหมายแทนขอมูลบางอย่าง เช่น ชื่อ อายุ หมู่โลหิต เพศ เป็นต้น 3.3 มัลติมีเดีย (Multimedia Type) ข้อมูลมัลติฎมีเดีย หมายถึง ข้อมูลประเภทสื่อประสม ที่อาจประกอบด้วยภาพ เสียงข้อความ เป็นต้น เป็นข้อมูลอีกประเภทหนึ่งที่กล่าวถึงกันมากในปัจจุบัน ข้อมูลชนิดนี้ถูกจัดเก็บในคอมพิวเตอร์ สารสนเทศ (Information) คำว่า “สารสนเทศ” ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Information” จากที่กล่าวมาแล้วว่า ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เช่น คน สถานที่ สิ่งของต่าง ๆ ซึ่งมีการเก็บรวบรวมไว้ และสามารถเรียกเอามาใช้ประโยชน์ได้ในภายหลัง ข้อมูลจึงจำเป็นต้องเป็นข้อมูลที่ดีมีความถูกต้อง แม่นยำ ซึ่งข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลและถูกเรียกมาใช้ประโยชน์นี้เรียกว่า สารสนเทศ โดยต่อไปนี้ เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของสารสนเทศให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้ 1. ความหมายของสารสนเทศ จากการศึกษาค้นคว้า พบว่า ได้มีผู้ให้ความหมายของคำว่า “สารสนเทศ” ไว้หลายความหมาย ดังต่อไปนี้ สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับการสรุป คำนวณ จัดเรียง หรือประมวล แล้วจากข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ จนได้เป็นข้อความรู้เพื่อนำมา เผยแพร่และใช้ประโยชน์ในงานด้านต่าง ๆ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. 2538: 3) สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงหรือมีการประมวลหรือวิเคราะห์ ผลสรุปด้วยวิธีการต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความหมาย มีคุณค่าเพิ่มขึ้นและมี วัตถุประสงค์ในการใช้งาน (ไพโรจน์ คชชา. 2542: 23) สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่ได้รับการประมวลผล หรือปรุงแต่งเพื่อให้มีความหมายและเป็น ประโยชน์ต่อผู้ใช้(เกริกศักดิ์ บุญญานุพงศ์. 2547: 8)


18 สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ได้รับการประมวลผลแล้ว ด้วยวิธีการต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ต้องการสำหรับใช้ทำประโยชน์ เป็นสิ่งที่สื่อความหมายให้ผู้รับเข้าใจ ใช้ประกอบการ ตัดสินใจของผู้บริหาร สารสนเทศอาจเป็นตัวเลข ตัวหนังสือ กราฟ สัญลักษณ์ ภาพ เสียง (จุฬาลักษณ์ ถาไชยลา. ม.ป.ป.: 50) โดยสรุปแล้ว สารสนเทศ หรือ Information หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล(Process) โดย วิธีการต่าง ๆ เช่น การคำนวณ การจำแนก การเรียงลำดับ เพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ข้อมูลสรุป ตาราง แผนภูมิ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ และตรงตามความต้องการของผู้ใช้ สารสนเทศ เป็นสิ่งที่ได้จากการนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาทำการประมวลผล เพื่อนำมาใช้ ประโยชน์ตามจุดประสงค์ สารสนเทศที่ดีต้องมาจากข้อมูลที่ดี ตัวอย่างของสารสนเทศ เช่น เกรดเฉลี่ย ของนักศึกษาในแต่ละภาคเรียน ซึ่งได้มาจากการนำเกรดของแต่ละวิชามาทำการประมวลผล เกรดแต่ ละวิชาเป็น “ข้อมูล” ในขณะที่เกรดเฉลี่ยเป็น “สารสนเทศ” หรือ จากข้อมูลคะแนนสอบของ นักศึกษาแต่ละคน นำมาสรุปรายงานผลการสอบแยกเป็นจำนวนผู้สอบได้ในแต่ละเกรด จำนวนกี่คน เช่น เกรดA จำนวนกี่คน เกรด B จำนวนกี่คน เราเรียกรายงานผลการสอบนี้ว่า “สารสนเทศ” โดยปกติแล้วข้อมูลจะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารสนเทศได้ ก็ด้วยการนำเอาไปใช้หรือประยุกต์ใช้ข้อมูล โดยแต่ละกระบวนการของการนำเอาข้อมูลไปประยุกต์ใช้ แสดงถึงการนำไปใช้ที่เฉพาะเจาะจงและ มูลค่าเพิ่มของข้อมูลนั้นมากกว่าแค่การนำเอาข้อมูลไปสรุปอย่างง่าย ๆ หรือแค่การเรียกข้อมูลกลับมา ดูเท่านั้น ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการค้าการผลิต การบริการ การบริหาร การแพทย์ การสาธารณสุข การศึกษา การคมนาคม การทหาร และอื่น ๆ ตัวอย่าง เช่น น้ำหนักเฉลี่ยของนักศึกษาในสาขาวิชารัฐศาสตร์ รายได้เฉลี่ยของผู้บริหารในภาคเอกชน สรุปยอดขายสินค้ารวมของบริษัทใน 1 เดือน ผลกำไรจากการดำเนินงานในรอบไตรมาสแรกของปี รายงานสรุปผลการแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในประเทศไทย เป็นต้น(ธีระ กุลสวัสดิ์. 2547: 9) 2. คุณสมบัติของสารสนเทศที่ดี สารสนเทศที่ดี จะมีความสำคัญในการนำสารสนเทศไปใช้ในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและตรง ตามวัตถุประสงค์ ซึ่งคุณสมบัติของสารสนเทศที่ดี มีดังนี้(โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์. 2551: 36) 2.1 มีความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ความจริงที่มีคุณค่าจะต้องไม่ผิดพลาด ซึ่งอาจจะมีผลต่อการใช้สารสนเทศของผู้บริหารในการ ตัดสินใจผิดพลาดตามไปด้วย หากสารสนเทศมีความผิดพลาดไม่ถูกต้องจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ ผิดพลาด การที่ได้รับสารสนเทศที่ผิดพลาดบ่อย ๆ ทำให้เกิดความไม่เชื่อถือในระบบที่ทำหน้าที่ผลิต สารสนเทศ


19 2.2 ความครบถ้วนสมบูรณ์(Complete) สารสนเทศที่ให้บริการจะต้องเป็นข้อเท็จจริงและครบถ้วนสมบูรณ์ ภายใต้ขอบเขตที่กำหนดไว้ จะต้องมีความครบถ้วนสมบูรณ์ในเนื้อหา ช่วยให้ผู้รับสารสนเทศทำความเข้าใจในสถานการณ์ ลด ความไม่แน่นอนในความเห็นของผู้รับสารสนเทศลงได้ 2.3 มีความน่าเชื่อถือ (Reliability) ในแหล่งของข้อมูลที่เป็นจุดเริ่มต้นของสารสนเทศ จะมีการสร้าง บันทึกข้อมูล ไว้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ความเชื่อถือได้ของวิธีการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ การประมวลผลข้อมูล เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าได้สารสนเทศที่ถูกต้อง ตรงตามความต้องการ ความคงที่ความสม่ำเสมอใน ผลลัพธ์ที่ได้รับจากการประมวลผลข้อมูล จะนำมาใช้ในการยอมรับในความถูกต้องเชื่อถือใน สารสนเทศ การเสื่อมถอยลงในความเชื่อถือจะนำ พามาซึ่งความสงสัยในความถูกต้องของสารสนเทศ ได้ จะต้องใช้เวลาในการสร้างแต่การลดความเชื่อถือนั้นใช้เวลาไม่นานก็ทำให้ความน่าเชื่อถือเสื่อม ถอยลงได้มาก 2.4 ความทันเวลา (Timeliness) สารสนเทศที่ดีจะต้องใหม่ เป็นปัจจุบันและทันต่อเหตุการณ์ จึงจะสามารถสนับสนุนการตัดสินใจ ที่ทันเวลาที่ผู้ใช้ต้องการ จึงเป็นเวลาที่พอดี ไม่เร็วเกินไปหรือไม่ช้าเกินไป จนนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ 2.5 มีความเกี่ยวข้อง (Relevance) สารสนเทศที่รวบรวมไว้ต้องมีความเกี่ยวข้องกัน สามารถนำไปตัดสินใจได้รอบครอบยิ่งขึ้น ถ้า พิจารณาสามารถแบ่งได้2 ประเด็น คือ ความเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องของข้อมูลที่มีต่อผู้รับถ้าผู้รับมี ความเกี่ยวเนื่องกับข้อมูล ข้อมูลนั้นก็จะมีสภาพเป็นสารสนเทศในสายตาผู้รับ แต่ถ้าไม่มีความ เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่อง ข้อมูลมูลนั้นก็คงเป็นสภาพการเป็นข้อมูลเหมือนเดิม ความเกี่ยวเนื่องใ น เนื้อหาสารสนเทศ คือ เนื้อหาที่บรรจุไว้ในรายงานแต่ละรายการมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เพื่อให้ สอดคล้องตรงตามเป้าหมายของผู้รับ 2.6 สะดวกต่อการใช้(Friendly) สารสนเทศที่ดีจะต้องมีเนื้อหาที่กระชับ อ่านง่ายเข้าใจง่าย การจัดเก็บของเนื้อหาสารสนเทศที่ รวบรวมจะต้องมีระบบจัดเก็บที่ง่ายต่อการค้นหาหรือสืบค้น และเนื้อหาของสารสนเทศที่มากเกินไป จะทำให้ผู้ได้รับมีปัญหาในการประมวลผลสารสนเทศ เกิดสภาพที่เรียกว่า “การท่วมล้นใน สารสนเทศ” (Information Overload) ในสภาพนี้ผู้รับสารสนเทศจะได้รับสารสนเทศในปริมาณที่ มากเกินไป จนไม่สามารถนำสารสนเทศไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ 2.7 สามารถตรวจสอบได้(Verifiability)


20 ในการจะสร้างสารสนเทศที่มีความถูกต้อง เชื่อถือได้ ผู้รับสารสนเทศจะต้องสามารถตรวจสอบ ความถูกต้องได้ว่าสารสนเทศมีความสอดคล้องแค่ไหน รวมทั้งตรวจสอบไปยังกระบวนการในการ รวบรวม บันทึกและการประมวลผลได้ ภาพ 2 คุณสมบัติของสารสนเทศที่ดี ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลและสารสนเทศ ข้อมูลและสารสนเทศมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกัน เนื่องสารสนเทศนั้นจะต้องมาจากการ ประมวลผลของข้อมูล หากไม่มีข้อมูลก็จะไม่มีสารสนเทศ หากข้อมูลที่มีไม่ถูกต้อง สารสนเทศที่ได้จาก การประมวลผลข้อมูลก็จะไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน การประมวลผล (Processing) หมายถึง กระบวนการคิด หรือ การจัดระเบียบแบบแผนของข้อมูล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ซึ่งทำได้โดยการคำนวณ เคลื่อนย้ายข้อมูล การเปรียบเทียบ และการ วิเคราะห์ข้อมูล โดยอาจใช้สูตรทางคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ วิธีการต่าง ๆ เหล่านี้ทำได้โดยอาศัย คำสั่งหรือโปรแกรมที่เขียนขึ้น (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “การประมวลผล”. 2556: ออนไลน์) ภาพ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลและสารสนเทศ


21 ความแตกต่างระหว่างข้อมูลและสารสนเทศ ข้อแตกต่างของข้อมูลและสารสนเทศ คือ ข้อมูลเป็นข้อเท็จจริงที่รวบรวมมาได้แต่ยังไม่ได้ผ่าน กระบวนการประมวลผลใด ๆ ซึ่งไม่นิยมนำไปใช้ในการตัดสินใจใด ๆ จนกว่าจะถูกนำไปประมวลผล อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ตรงกับจุประสงค์การใช้งาน ผลลัพธ์ที่ได้เรียกว่า “สารสนเทศ” ซึ่งเกิดจากการ นำข้อมูลที่รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยผ่าน ขั้นตอนการ ประมวลผล เช่นการเรียงลำดับ การจัดหมวดหมู่ การหาค่าเฉลี่ย การพิมพ์รายงานสรุป การวิเคราะห์ ค่าสูงสุด-ต่ำสุดเป็นต้น เพื่อให้ได้สารสนเทศมาประกอบการตัดสินใจ (จุฬาลักษณ์ ถาไชยลา. ม.ป.ป.: 50) ข้อมูลแตกต่างจากสารสนเทศคือ ข้อมูลเป็นส่วนของข้อเท็จจริง โดยได้จากการเก็บมาจาก เหตุการณ์ต่าง ๆ ส่วนสารสนเทศ คือ ข้อมูลที่นำมาผ่านกระบวนการ เพื่อสามารถนำไปใช้ในการ ตัดสินใจต่อไปได้ทันทีหรือการนำข้อมูลมาประมวลผลเพื่อการนำไปใช้งาน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “ข้อมูล”. 2556: ออนไลน์) ตาราง 2 ข้อแตกต่างระหว่างข้อมูลและสารสนเทศ ด้าน/ข้อแตกต่าง ข้อมูล สารสนเทศ ด้านที่มา ได้มาจากการเก็บรวบรวม ได้มาจากการประมวลผล ด้านการประมวลผล ยังไม่ผ่านการประมวลผล ผ่านการประมวลผลแล้ว ด้านการนำผลประโยชน์ไปใช้ ไม่นิยมนำไปใช้ในการตัดสินใจ นำไปใช้ในการตัดสินใจได้ การจัดการสารสนเทศ การดำเนินการประมวลผลข้อมูลเพื่อให้เป็นสารสนเทศ จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยใน การดำเนินการ เริ่มตั้งแต่การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล การประมวลผลข้อมูลให้กลายเป็น สารสนเทศ และการดูแลและเก็บรักษาข้อมูลเพื่อการนำกลับมาใช้งาน โดยมีรายละเอียดดังนี้ การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล 1. การเก็บรวบรวมข้อมูล ปัจจุบันมีเทคโนโลยีช่วยในการจัดเก็บข้อมูลอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น การป้อนข้อมูลเข้าเครื่อง คอมพิวเตอร์ผ่านแป้นพิมพ์ การอ่านข้อมูลจากรหัสแท่ง (Barcode) การกวาดตรวจหรือสแกน(Scan) กระดาษคำตอบที่มีการฝนดินสอดำในตำแหน่งต่าง ๆ เป็นต้น 2. การตรวจสอบข้อมูล เมื่อมีการรวบรวมข้อมูลแล้วจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูลเพื่อความถูกต้อง ข้อมูลที่เก็บเข้า ในระบบต้องมีความน่าเชื่อถือได้ หากพบที่ผิดพลาดต้องแก้ไข การตรวจสอบข้อมูลอาจตรวจสอบโดย


22 สายตามนุษย์หรือตั้งกฎเกณฑ์ให้คอมพิวเตอร์ตรวจสอบ เช่น ข้อมูล “อายุ” ไม่สามารถเก็บข้อมูลเป็น ตัวอักษรได้ เป็นต้น การประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ การประมวลผลข้อมูล เป็นการดำเนินการเพื่อการจัดทำข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ อาจ ประกอบด้วยกิจกรรมดังต่อไปนี้ 1. การจำแนกหรือการจัดกลุ่มข้อมูล ข้อมูลที่เก็บอาจมีการจัดกลุ่ม เพื่อเตรียมไว้สำหรับการใช้งาน การแบ่งแยกกลุ่มมีวิธีการที่ชัดเจน เช่น ข้อมูลในโรงเรียนมีการแจกแจงหรือแบ่งกลุ่มประวัตินักเรียนตามระดับชั้นเรียน ข้อมูลในสมุด โทรศัพท์หน้าเหลืองมีการจัดกลุ่มเลขหมายโทรศัพท์ตามชนิดสินค้าและบริการ 2. การจัดเรียงข้อมูล เมื่อจัดกลุ่มข้อมูลแล้ว ควรมีการจัดเรียงข้อมูลตามลำดับ ตามตัวเลข หรืออักขระ เพื่อให้เรียกใช้ งานได้ง่าย ประหยัดเวลา ตัวอย่างการจัดเรียงข้อมูล เช่น การจัดเรียงรายชื่อนักศึกษาตามตัวอักษร การจัดเรียงบัตรข้อมูลผู้แต่งหนังสือในตู้บัตรรายการของห้องสมุดตามลำดับตัวอักษรการจัดเรียงชื่อ คนในสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ตามลำดับตัวอักษร เป็นต้น 3. การสรุปผลข้อมูล บางครั้งข้อมูลที่จัดเก็บมีจำนวนมาก จำเป็นต้องมีการสรุปผลหรือสรุปเป็นรายงาน เพื่อนำไปใช้ ประโยชน์ ข้อมูลที่สรุปนี้จะสื่อความหมายได้ดีกว่า เช่น สถิติจำนวนนักเรียนแยกตาม ชั้นเรียนแต่ละ ชั้น สรุปผลการเรียนแยกตามเกรด เป็นต้น 4. การคำนวณหรือประมวลผลข้อมูล ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมานั้น ข้อมูลบางส่วนเป็นข้อมูลจำนวนที่สามารถนำไปคำนวณเพื่อหา ผลลัพธ์บางอย่างได้ ดังนั้นการสร้างสารสนเทศจากข้อมูลจึงอาศัยการคำนวณข้อมูลที่เก็บไว้ด้วย เช่น การคำนวณเกรดเฉลี่ยของนักเรียนแต่ละคน การดูแลรักษาข้อมูลและสารสนเทศ การดูแลรักษาข้อมูลและสารสนเทศ อาจประกอบด้วยกิจกรรมต่อไปนี้ 1. การเก็บรักษาข้อมูล การเก็บรักษาข้อมูล หมายถึง การนำข้อมูลมาบันทึกเก็บไว้ในสื่อบันทึกต่าง ๆ เช่น ฮาร์ดดีสก์ แผ่นบันทึกข้อมูล นอกจากนี้ยังรวมถึงการดูแล และทำสำเนาข้อมูลเพื่อให้ใช้งานต่อไปในอนาคตได้ 2. การทำสำเนาข้อมูล การทำสำเนาเพื่อเก็บรักษาข้อมูล หรือนำไปแจกจ่าย จึงควรคำนึงถึงความจุและความทนทาน ของสื่อบันทึกข้อมูล


23 3. การสื่อสารและเผยแพร่ข้อมูล ข้อมูลต้องกระจายหรือส่งต่อไปยังผู้ใช้งานที่ห่างไกลได้ง่าย การสื่อสารข้อมูลจึงเป็นเรื่องสำคัญ และมีบทบาทที่สำคัญยิ่งที่จะทำให้การส่งข่าวสารไปยังผู้ใช้ทำได้รวดเร็วและทันเวลา 4. การปรับปรุงข้อมูล ข้อมูลที่จัดเก็บไว้มีจุดประสงค์เพื่อการใช้งาน เช่น ในการตัดสินเพื่อดำเนินการ ดังนั้นข้อมูลจึง ต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาและจัดเก็บอย่างเป็นระบบ เพื่อการค้นหาได้อย่างรวดเร็ว ภาพ 4 กระบวนการจัดการสารสนเทศ ในการจัดการสารสนเทศนั้นมีกระบวนการ 3 ขั้นตอนตามลำดับ คือ 1) การรวบรวมและ ตรวจสอบข้อมูล 2) การประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ และ 3) การดูแลรักษาข้อมูลและ สารสนเทศเพื่อการนำกลับมาใช้งาน ระบบสารสนเทศ (Information System : IS) ในการจัดการสารสนเทศนั้นต้องอาศัยเทคโนโลยีจากระบบสารสนเทศ ซึ่งระบบสารสนเทศมี ความหมาย กระบวนการ และองค์ประกอบ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ความหมายและกระบวนการของระบบสารสนเทศ 1. ความหมายของสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ หมายถึง การรวบรวมองค์ประกอบต่าง ๆ (ข้อมูล การประมวลผล การเชื่อมโยง เครือข่าย) เพื่อนำเข้า (Input) สู่ระบบใด ๆ แล้วนำมาผ่านกระบวนการบางอย่าง (Process) ที่อาจใช้ คอมพิวเตอร์ช่วยเพื่อเรียบเรียง เปลี่ยนแปลง และจัดเก็บ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ (Output) ที่สามารถใช้ สนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจได้(กิตติ ภักดีวัฒนะกุล และพนิดา พานิชกุล. 2546: 24) 2. กระบวนการสารสนเทศ


24 ระบบสารสนเทศ มีกระบวนการ ดังนี้ 2.1 การนำเข้า (Input) การนำเข้า คือ การเก็บรวบรวมสมาชิกหรือองค์ประกอบของระบบ เช่น ข้อมูล หรือสารสนเทศ เพื่อนำไปทำการประมวลผลต่อไป เช่น การเก็บข้อมูลที่เป็นคะแนนสอบของนักศึกษาเพื่อที่จะนำไปสู่ การคำนวณให้เป็นเกรดต่อไปการนำเข้าข้อมูลอาจจะกระทำได้โดยใช้มือ (Manual) หรือเครื่อง คอมพิวเตอร์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับองค์กรนั้น ๆ หรืออาจจะเป็นอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลอื่น ๆ เช่น เครื่องสแกน เครื่องบันทึกเสียง เป็นต้น 2.2 การประมวลผล (Processing) การประมวลผล คือ การเปลี่ยนแปลง หรือแปรสภาพข้อมูลที่นำเข้าสู่ระบบ (Input) เพื่อให้ได้ ผลลัพธ์(Output) ที่สามารถใช้ในการตัดสินใจได้ โดยการเปลี่ยนแปลงหรือแปรสภาพนั้นอาจจะเป็น การคำนวณ เปรียบเทียบ หรือวิธีการอื่น ๆ ก็ได้ เช่น จากคะแนนสอบของนักศึกษาเมื่อนำเข้าสู่ระบบ แล้วทำการแปรสภาพคะแนนโดยการคำนวณให้เป็นเกรด และจัดเก็บไว้เพื่อใช้ในการออกรายงานผล การเรียนของนักศึกษาต่อไป 2.3 ผลลัพธ์(Output) ผลลัพธ์ คือ ผลลัพธ์ที่ได้เนื่องจากการประมวลผลข้อมูลหรือสารสนเทศ แสดงอยู่ในรูปแบบขอ รายงาน (Report) หรือเป็นแบบฟอร์มต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินงานต่อไป เช่นรายงานผลการ เรียนของนักศึกษา ซึ่งได้จากการคำนวณเกรดจากคะแนนสอบทั้งหมดของนักศึกษารายงานยอดการ สั่งซื้อวัตถุดิบรายเดือนรายงานยอดค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดรายสัปดาห์ เป็นต้น 2.4 ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ข้อมูลย้อนกลับ คือ ผลลัพธ์ที่ทำให้เกิดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ในการนำข้อมูลเข้าหรือ การ ประมวลผลข้อมูล เช่น ข้อผิดพลาดที่พบจากรายงานต่าง ๆ นั้น ทำให้ทราบได้ว่าในขณะนำข้อมูลเข้า หรือการประมวลผลนั้น อาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นทำให้เกิดการปรับปรุงพฤติกรรมในการทำงานของ องค์กรเพื่อให้มีความถูกต้องมากขึ้น ดังนั้น ผลป้อนกลับจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานเพื่อให้ เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลเป็นที่น่าพอใจ ภาพ 5 กระบวนการทำงานของระบบสารสนเทศ ที่มา: (กิตติ ภักดีวัฒนะกุล และพนิดา พานิชกุล. 2546: 24)


25 องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ เป็นระบบพื้นฐานของการทำงานต่าง ๆ ในรูปแบบของการเก็บ (Input) การ ประมวลผล (Processing) เผยแพร่ (Output) และมีส่วนจัดเก็บข้อมูล (Storage) องค์ประกอบของ ระบบสารสนเทศคือ ฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ มนุษย์ กระบวนการ ข้อมูล และเครือข่าย (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “ระบบสารสนเทศ”. 2556: ออนไลน์) ภาพ 6 องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ องค์ประกอบของระบบสารสนเทศที่ทำให้การจัดการสารสนเทศมีประสิทธิภาพ และได้ สารสนเทศที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ มีดังนี้ 1. ฮาร์ดแวร์(Hardware) ฮาร์ดแวร์ คือ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้งานในระบบสารสนเทศ เช่น อุปกรณ์สำนักงาน และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ โดยฮาร์ดแวร์ที่สำคัญที่สุดในระบบสารสนเทศ คือเครื่อง คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งได้ตามหน่วยการทำงาน ดังนี้ 1.1 หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยรับข้อมูล เป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่ในการรับข้อมูล เรียกว่า อุปกรณ์รับข้อมูล (InputDevices) ได้แก่ แป้นพิมพ์ เมาส์ กล้องดิจิตอล สแกนเนอร์ และไมโครโฟน เป็นต้น


26 ภาพ 7 ตัวอย่างอุปกรณ์รับข้อมูล ที่มา 7.1: (MR.ITANRICH. 2556: ออนไลน์) ที่มา 7.2: (MOUSETHAI. 2556: ออนไลน์) ที่มา 7.3: (NICHAACC COMPUTER. 2556: ออนไลน์) ที่มา 7.4: (PHOTOKINA. 2556: ออนไลน์) ที่มา 7.5: (ISANRADIO.COM. 2556: ออนไลน์) 1.2 หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู(Central Processing Unit : CPU) หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู บางครั้งเรียกว่า โปรเซสเซอร์ (Processor) มีลักษณะเป็น วงจรอิเล็กทรอนิกส์หรือชิป (Chip) ภายในประกอบด้วยทรานซิสเตอร์(Transistor) และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่รวมอยู่ด้วยกันจำนวนมาก ภาพ 8 ตัวอย่างหน่วยประมวลผลกลาง ที่มา 8.1: (TECHETA. 2556: ออนไลน์) ที่มา 8.2: (HARDWAREZONE.IT. 2556: ออนไลน์)


27 1.3 หน่วยความจำ (Memory Unit) หน่วยความจำ เป็นหน่วยที่ทำงานในเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยความเร็วมากที่สุด มีหลายแบบทั้ง แบบที่ติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์และแบบพกพา หน่วยความจำแบ่งตามลักษณะการทำงานเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.3.1 หน่วยความจำหลัก (Main Memory) หน่วยความจำหลัก ได้แก่ แรม (RAM : Random Access Memory) รอม (ROM : ReadOnly Memory) และซีมอส (CMOS : Complementary Metal-Oxide Semiconductor) ภาพ 9 ตัวอย่างหน่วยความจำหลัก ที่มา 9.1: (ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 2556: ออนไลน์) ที่มา 9.2: (กันยารัตน์ สมเกตุ. 2556: ออนไลน์) 1.3.2 หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage) หน่วยความจำสำรอง เป็นฮาร์ดแวร์สำหรับบันทึกหรือสำรองข้อมูล ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์(Hard Disk) แผ่นซีดี(CD : Compact Disc) แผ่นดีวีดี(DVD : Digital Versatile Disc) แฟลชไดร์ฟ(Flash Drive) เป็นต้น


28 ภาพ 10 ตัวอย่างอุปกรณ์หน่วยความจำสำรอง ที่มา 10.1: (TARAD.COM. 2556: ออนไลน์) ที่มา 10.2: (HARDWAREZONE.IT. 2556: ออนไลน์) ที่มา 10.3: (NIMMITA NIJJANPANSRI. 2556: ออนไลน์) ที่มา 10.4: (DOREMISOFT. 2556: ออนไลน์) ที่มา 10.5: (TUNCHANOK16103. 2556: ออนไลน์) 1.4 หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยแสดงผล ทำหน้าที่แสดงผลที่ได้จากการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ จอภาพเครื่องพิมพ์ และ ลำโพง เป็นต้น ภาพ 11 ตัวอย่างอุปกรณ์หน่วยแสดงผล 2. ซอฟท์แวร์(Software) ซอฟท์แวร์ หรือ โปรแกรม คือชุดคำสั่งที่เรียงเป็นลำดับขั้นตอน เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานและ ประมวลผลข้อมูลให้ได้สารสนเทศที่ต้องการ ปัจจุบันซอฟท์แวร์ที่ใช้ในการทำงานระดับบุคคล ระดับ กลุ่ม และระดับองค์กร มี2 ประเภท ดังนี้ 2.1 ซอฟท์แวร์ระบบ (System Software) ซอฟท์แวร์ระบบ เป็นตัวกลางระหว่างฮาร์ดแวร์และโปรแกรมประยุกต์ ใช้ในการควบคุมและ ดูแลการทำงานทั้งหมดของระบบคอมพิวเตอร์ ขณะที่เรากำลังใช้โปรแกรมประยุกต์ ซอฟท์แวร์ระบบ จะควบคุมการทำงานของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง ซอฟท์แวร์ระบบประกอบด้วย ระบบปฏิบัติการและตัวแปรภาษา 2.2 ซอฟท์แวร์ประยุกต์(Application Software) ซอฟท์แวร์ประยุกต์ คือ ซอฟท์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานด้านต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น ซอฟท์แวร์กราฟิก ซอฟท์แวร์ประมวลคำ ซอฟท์แวร์ตารางคำนวณ เป็นต้น


29 3. บุคลากร (People Ware) บุคลากร คือ บุคคลที่ใช้งาน จัดการ และควบคุมระบบสารสนเทศ ซึ่งหากบุคลากรมีความรู้ ความสามารถในการใช้ฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ และปฏิบัติงานตามขั้นตอนที่ถูกต้อง จะส่งผลให้ระบบ สารสนเทศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลงานที่มีคุณภาพ บุคลากรที่เกี่ยวข้องในการจัดการ ระบบสารสนเทศ มีดังนี้ 3.1 ผู้บริหารระบบคอมพิวเตอร์(System Manager) ผู้บริหารระบบคอมพิวเตอร์ เป็นผู้มีหน้าที่บริหารทรัพยากรทุกชนิดที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ให้เกิด ประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร 3.2 นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) นักวิเคราะห์ระบบ คือ ผู้ทำหน้าที่วิเคราะห์ระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือระบบ สารสนเทศที่ต้องการ โดยศึกษาปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในระบบสารสนเทศ ตลอดจนหาแนวทางในการ แก้ไขและปรับปรุงระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 3.3 โปรแกรมเมอร์(Programmer) โปรแกรมเมอร์ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่รับระบบสารสนเทศจากนักวิเคราะห์ระบบที่ได้จัดทำไว้มาเขียน หรือสร้างให้เป็นโปรแกรม เพื่อสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ทำหน้าที่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ออกแบบ มา 3.4 เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงาน (Operator) เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงาน คือ ฝ่ายที่ทำหน้าที่ติดตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ลงในเครื่อง คอมพิวเตอร์เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถใช้งานได้ตรงตามความต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ 3.5 ผู้ใช้(User) ผู้ใช้ เป็นผู้ใช้งานระบบสารสนเทศโดยตรง ผู้ใช้ระบบสารสนเทศที่ดีจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับการ ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และซอฟท์แวร์ที่ใช้ 4. กระบวนการหรือขั้นตอนการปฏิบัติงาน (Procedure) ขั้นตอนการปฏิบัติงาน คือ ระเบียบ วิธีการปฏิบัติงาน ลำดับขั้นตอนในการปฏิบัติงานหรือ กระบวนการในการจัดการข้อมูลให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ขั้นตอนการ ปฏิบัติงานที่ชัดเจนของผู้ใช้หรือของบุคลากรที่เกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง เมื่อได้ พัฒนาระบบงานแล้วจำเป็นต้องปฏิบัติงานตามลำดับขั้นตอน ในขณะที่ใช้งานก็จำเป็นต้องคำนึงถึง ลำดับขั้นตอนการปฏิบัติของคนและความสัมพันธ์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งในกรณีปกติและกรณี ฉุกเฉิน เช่น ขั้นตอนการบันทึกข้อมูล ขั้นตอนการประมวลผล ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเครื่องชำรุดหรือ


30 ข้อมูลสูญหาย และขั้นตอนการทำสำเนาข้อมูลสำรองเพื่อความปลอดภัย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะต้องมี การซักซ้อม มีการเตรียมการ และการทำเอกสารคู่มือการใช้งานที่ชัดเจน 5. ข้อมูล (Data) ข้อมูล เป็นองค์ประกอบที่ชี้วัดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของระบบสารสนเทศ ข้อมูลที่ดี เหมาะแก่การนำไปใช้งานต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ทันสมัย และมีความน่าเชื่อถือ โดยผ่านกระบวนการ กลั่นกรองและตรวจสอบแล้ว นอกจากนี้ต้องมีระบบการจัดการข้อมูลให้เป็นระเบียบเพื่อความสะดวก ในการเข้าถึงและค้นหาข้อมูล 6. เครือข่าย (Network) เครือข่าย เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดการสื่อสาร (Telecommunication) เป็นการส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง โดยใช้อุปกรณ์รับ และส่งสัญญาณ มีตัวกลางนำสัญญาณ และซอฟท์แวร์สำหรับการสื่อสาร สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จะ พาข้อมูลสารสนเทศ ทั้งภาพ ข้อความ และเสียง ไปยังผู้รับ โดยสรุปแล้วองค์ประกอบของระบบสารสนเทศ ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ 1) ฮาร์ดแวร์ 2) ซอฟท์แวร์3) บุคลากร 4) กระบวนการหรือขั้นตอนการปฏิบัติงาน 5) ข้อมูล และ 6) เครือข่ายซึ่ง หากทุกองค์ประกอบทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพก็จะทำให้การจัดการสารสนเทศเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) เนื่องจากการพัฒนาการของเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้การจัดการสารสนเทศเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งเราเรียกว่าเทคโนโลยีนี้ว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ” โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศมีกำเนิดจากคำสองคำคือ “เทคโนโลยี” และคำว่า “สารสนเทศ” ซึ่งได้ให้ ความหมายไว้แล้วข้างต้น ส่วนคำว่า “เทคโนโลยี” หมายถึง การนำความรู้ทางธรรมชาติวิทยาและ ทางวิทยาศาสตร์ มาเป็นวิธีการปฏิบัติและประยุกต์ใช้เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ อัน ก่อให้เกิดวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ความรู้นามธรรม เช่น ระบบหรือ กระบวนการต่าง ๆเพื่อให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “เทคโนโลยี”. 2556:ออนไลน์) เมื่อรวมกันระหว่างคำว่า “เทคโนโลยี” และคำว่า “สารสนเทศ” ก็ กลายเป็นคำว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ”


31 เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอที คือการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคมเพื่อ จัดเก็บ ค้นคืน ส่งผ่าน และจัดดำเนินการข้อมูล ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับธุรกิจหนึ่งหรือองค์การอื่น ๆ ศัพท์ นี้โดยปกติก็ใช้แทนความหมายของเครื่องคอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และยังรวมไปถึง เทคโนโลยีการกระจายสารสนเทศอย่างอื่นด้วย เช่น โทรทัศน์และโทรศัพท์ อุตสาหกรรมหลายอย่าง เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ อินเทอร์เน็ต อุปกรณ์โทรคมนาคม การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และบริการทางคอมพิวเตอร์ (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “เทคโนโลยีสารสนเทศ”. 2556: ออนไลน์) คำว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ” เรียกสั้น ๆ ว่า IT มาจากคำว่า Information Technologyต่อมา มีคำว่า ICT เริ่มนำมาใช้โดยคณะกรรมาธิการการศึกษาของรัฐสภาอังกฤษ เนื่องจากเห็นว่าการใช้คำ ว่า IT หรือ เทคโนโลยีสารสนเทศ ยังขาดความชัดเจน ควรเพิ่มคำว่า Communication เข้าไปด้วย ต่อจากนั้นมาทางองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UnitedNations Educational, Scientific and Cultural Organization: UNESCO) จึงเริ่มใช้ตาม และแพร่หลายไปทั่วโลก แต่ความหมายของคำว่า ICT และ IT ไม่มีความแตกต่างกันแต่ประการใดจึง กล่าวว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ” และ “เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” เป็นคำที่ใช้ทดแทน กันได้ ซึ่งหมายถึง เทคโนโลยีสองสาขาหลักที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี สื่อสารโทรคมนาคม ที่ผนวกเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ในกระบวนการสร้างสรรค์ จัดหา จัดเก็บค้นคืน จัดการ ถ่ายทอดและเผยแพร่ข้อมูลในรูปดิจิทัล (Digital Data) ไม่ว่าจะเป็นเสียง ภาพภาพเคลื่อนไหว ข้อความหรือตัวอักษร และตัวเลข เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้อง ความแม่นยำและความรวดเร็ว ให้ทันต่อการนำไปใช้ประโยชน์(สุขุม เฉลยทรัพย์ และคณะ. 2551: 6) สรุปได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่ใช้ในการทำงานเกี่ยวกับ สารสนเทศ เริ่มตั้งแต่การสร้างหรือผลิตข้อมูล จัดเก็บ ประมวลผล วิเคราะห์ เผยแพร่ และสื่อสาร ข้อมูล โดยกระบวนการทำงานเหล่านี้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือหลัก รวมทั้งเทคโนโลยีด้านการ สื่อสารและโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้องค์ประกอบ สามารถทำงานได้ดีขึ้นตามความสามารถของเทคโนโลยีในแต่ละยุคสมัยนั้น ๆ องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 2 องค์ประกอบ คือ 1) เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ เพื่อใช้สำหรับการประมวลผล และ 2) เทคโนโลยีสื่อสารและโทรคมนาคม เพื่อใช้สำหรับ การเผยแพร่ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์


32 เนื่องจากความซับซ้อนในการปฏิบัติงานและความต้องการสารสนเทศที่หลากหลาย ทำให้มีการ จัดการและการประมวลผลข้อมูลด้วยมือไม่สะดวก ล่าช้า และอาจผิดพลาด ปัจจุบันจึงต้องจัดเก็บ และประมวลผลข้อมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สนับสนุนในการ จัดการข้อมูล เพื่อให้การทำงานถูกต้องและรวดเร็วขึ้น คอมพิวเตอร์ประกอบด้วยเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ ดังนี้ 1.1 ฮาร์ดแวร์(Hardware) ประกอบด้วย 5 ส่วนหลัก คือ 1.1.1 หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยรับข้อมูล ทำหน้าที่รับข้อมูลจากภายนอกเข้าสู่หน่วยความจำ แล้วเปลี่ยนเป็นสัญญาณใน รูปแบบที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ เครื่องอ่านพิกัด (Digitizer)แผ่นสัมผัส (Touch pad) จอภาพสัมผัส (Touch Screen) ปากกาแสง (Light Pen) เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก (Magnetic Strip Reader) และเครื่องอ่านรหัสแท่ง (Bar Code Reader) เป็นต้น 1.1.2 หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) หน่วยประมวลผลกลาง ทำหน้าที่ในการประมวลผลตามคำสั่งของโปรแกรมที่เก็บอยู่ใน หน่วยความจำหลัก หน่วยประมวลผลกลางประกอบด้ว ยวงจรไฟฟ้า ที่เรียกว่า ไมโครโปรเซสเซอร์(Microprocessor) หน่วยประมวลผลกลางประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ หน่วย ควบคุม (ControlUnit) และหน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU) 1.1.3 หน่วยความจำ (Memory Unit) หน่วยความจำ เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่รับจากหน่วยรับข้อมูลเพื่อเตรียมส่งให้ หน่วยประมวลผลกลางประมวลผลตามโปรแกรมคำสั่ง และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล เพื่อ ส่งต่อให้กับหน่วยแสดงผล หรือเรียกใช้ข้อมูลภายหลังได้ หน่วยความจำมี2 ส่วนหลักคือ 1) หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit) เป็นหน่วยความจำที่เก็บข้อมูลและโปรแกรมคำสั่งที่อยู่ ระหว่างการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น RAM และ 2) หน่วยความจำสำรอง(Secondary Memory Unit) มีหน้าที่ในเก็บข้อมูลและโปรแกรมคำสั่งอย่างถาวร เพื่อการใช้งาน ในอนาคต เช่น ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น 1.1.4 หน่วยติดต่อสื่อสาร (Communication Unit) หน่วยติดต่อสื่อสาร เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ให้สามารถสื่อสารถึงกันได้เช่น โมเด็ม (Modem) การ์ดแลน (LAN card) อุปกรณ์รับสัญญาณไร้สาย (Wireless Adapter) เป็นต้น 1.1.5 หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยแสดงผล ทำหน้าที่ส่งออกข้อมูลที่ได้จากการประมวลผลแล้ว เช่น จอภาพเครื่องพิมพ์ เครื่องฉายภาพ และลำโพง เป็นต้น


33 ภาพ 12 แสดงโครงสร้างฮาร์ดแวร์ 1.2 ซอฟท์แวร์(Software) ซอฟท์แวร์ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญและจำเป็นมากในการควบคุมการทำงานของเครื่อง คอมพิวเตอร์ ซอฟท์แวร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1.2.1 ซอฟท์แวร์ระบบ (System Software) ซอฟท์แวร์ระบบ มีหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ ภายในระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นตัวกลางระหว่าง ผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์หรือฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ระบบแบ่งเป็น 3 ชนิดใหญ่ คือ 1.2.1.1 โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Operation System Program) โปรแกรมระบบปฏิบัติการ ใช้ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พ่วงต่อกับ เครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เช่น UNIX, Linux,Microsoft Windows, Windows Mobile, iOS และ Android เป็นต้น 1.2.1.2 โปรแกรมอรรถประโยชน์(Utility Program) โปรแกรมอรรถประโยชน์ ใช้ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในระหว่าง การประมวลผลข้อมูลหรือในระหว่างที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เช่น โปรแกรมเอดิเตอร์(Editor) โปรแกรมนอร์ตัน ยูติลิตี้(Norton’s Utility) เป็นต้น 1.2.1.3 โปรแกรมแปลภาษา (Translation Program)


34 โปรแกรมแปลภาษา ใช้ในการแปลความหมายของคำสั่งที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ให้อยู่ใน รูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจและทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ 1.2.2 ซอฟท์แวร์ประยุกต์(Application Software) ซอฟท์แวร์ประยุกต์ เป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อทำงานเฉพาะด้าน ตามความต้องการ ซึ่งซอฟท์แวร์ ประยุกต์นี้สามารถแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1.2.2.1 ซอฟท์แวร์ประยุกต์เพื่องานทั่วไป ซอฟท์แวร์ประยุกต์เพื่องานทั่วไป เป็นซอฟท์แวร์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานทั่วไปไม่เจาะจง ประเภทของธุรกิจ ตัวอย่าง เช่น โปรแกรมประมวลผลคำ โปรแกรมตารางคำนวณโปรแกรมจัดการ ฐานข้อมูล และ โปรแกรมนำเสนองาน เป็นต้น 1.2.2.2 ซอฟท์แวร์ประยุกต์เฉพาะงาน ซอฟท์แวร์ประยุกต์เฉพาะงาน เป็นซอฟท์แวร์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในธุรกิจเฉพาะตามแต่ วัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ ซึ่งเขียนขึ้นโดยโปรแกรมเมอร์ ภาพ 13 โครงสร้างซอฟท์แวร์ 2. เทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม การสื่อสารข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการจัดการและประมวลผล ตลอดจนการใช้ข้อมูลหรือ สารสนเทศในการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศที่ดีต้องประยุกต์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ในการสื่อสาร ข้อมูลระหว่างระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และผู้ใช้ที่อยู่ห่างกันให้สามารถสื่อสารกันได้ อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน ทันเหตุการณ์ และมีประสิทธิภาพเทคโนโลยีการสื่อสารและ โทรคมนาคม เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารรับ-ส่งข้อมูลจากที่ไกล ๆ ให้สามารถส่งข้อมูลถึง กันได้ อาจเป็นการส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือที่อยู่ห่างไกลกัน ซึ่งจะช่วยให้การ


35 เผยแพร่ข้อมูลหรือสารสนเทศไปยังผู้ใช้ในแหล่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็วถูกต้อง ครบถ้วน และทันการณ์ ซึ่งรูปแบบของข้อมูลที่รับ-ส่งอาจเป็นตัวเลข ตัวอักษร ภาพ และเสียงเทคโนโลยีที่ใช้ใน การสื่อสารหรือเผยแพร่สารสนเทศ เริ่มต้นจากการสื่อสารด้วยสื่อสิ่งพิมพ์แล้วพัฒนามาเป็นการสื่อสาร ระยะไกลด้วยระบบดิจิทัล เกิดระบบโทรเลข ระบบโทรศัพท์ ระบบคลื่นวิทยุ ระบบดาวเทียม และ จากการพัฒนาของระบบโทรศัพท์ทำให้มีบทบาทมากขึ้นในการกระจายข่าวสารไปยังท้องถิ่น ทุรกันดาร จวบจนระบบโทรศัพท์ก็ได้ถูกพัฒนาให้สามารถติดต่อกันได้แบบไร้สาย คอมพิวเตอร์ก็ได้ เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิตและการทำงานของมนุษย์ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์สามารถ เชื่อมต่อกันได้ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่ผู้คนแต่ละซีกโลกสามารถติดต่อสื่อสารกันได้แบบไร้ พรมแดน ประโยชน์และความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศจัดว่าเป็นเทคโนโลยียุทธศาสตร์สำคัญแห่งยุคปัจจุบันและอนาคตเนื่องจากมี ความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถภาพในเกือบทุก ๆ กิจกรรม โดยก่อให้เกิดการลด ต้นทุนหรือค่าใช้จ่าย ช่วยเพิ่มคุณภาพงาน การสร้างกระบวนการหรือกรรมวิธีใหม่ ๆแก่ผู้ใช้ ได้รับ สารสนเทศตามต้องการ เทคโนโลยีสารสนเทศมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ สรุปได้ดังนี้(สุขุมเฉลยทรัพย์ และ คณะ. 2555: 14-15) 1. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในการ ประกอบธุรกิจและการอุตสาหกรรม จึงได้มีการนำคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมเข้ามา ช่วยในการทำงาน เช่น ระบบสำนักงานอัตโนมัติ การบริการในระบบออนไลน์ที่สามารถดำเนิน กิจกรรมทางการเงินได้สะดวกรวดเร็ว โดยไม่จำกัดสถานที่และเวลา เป็นต้น 2. เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนรูปแบบการบริการเป็นแบบกระจาย โดยการพัฒนาระบบข้อมูล และรูปแบบการบริการให้ผู้ใช้บริการสามารถเลือกรูปแบบการบริการได้ตามความต้องการและ สามารถเลือกเวลาและสถานที่บริการได้ตามสะดวก เช่น สามารถสั่งซื้อสินค้าได้ทุกที่ ทุกเวลาสามารถ สอบถามข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ นักศึกษาทำการลงทะเบียน และตรวจผลการเรียนได้โดยไม่จำกัด สถานที่ เป็นต้น 3. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลในหน่วยงาน ต่าง ๆ ในปัจจุบันทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นองค์กรของรัฐหรือเอกชน ต่างก็พัฒนาระบบรวบรวม จัดเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในองค์กร เนื่องจากสามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมาก ใช้พื้นที่ในการจัดเก็บน้อย อำนวยความสะดวกในการค้นหา และปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้โดยง่าย ตัวอย่างของงาน เช่น ระบบทะเบียนราษฎร์ ระบบเวชระเบียนในโรงพยาบาล ระบบการจัดเก็บภาษี เป็นต้น


36 4. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น สภาพความเป็นอยู่ของสังคม เมือง มีการพัฒนาระบบประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ มีการพัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อ ติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น ดังนั้นในการดำเนินชีวิตประจำวันจึงสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นจากการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับเครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้าน เช่น บ้านอัจฉริยะที่มีการ ควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ตู้เย็นอัจฉริยะที่สามารถยืดอายุอาหารที่แช่ในตู้เย็นและมี ระบบเตือนเมื่ออาหารใกล้หมดอายุ เป็นต้น 5. เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาการเรียนการสอน ปัจจุบันระบบการเรียนการสอนมีความ ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เมื่อมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนที่เอื้อให้ ผู้เรียนเรียนได้ตามอัธยาศัย โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ เช่น บทเรียนออนไลน์ที่สามารถเรียนผ่าน เว็บ ยูบิควิตัสเลิร์นนิ่ง (Ubiquitous Learning) ที่ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ตาม ความต้องการของตน วีดีทัศน์ตามอัธยาศัย (Video on Demand) ที่ผู้เรียนสามารถควบคุมบทเรียน ได้เหมือนเปิดวิดีทัศน์ นอกจากนี้เทคโนโลยีสารสนเทศยังนำมาช่วยในด้านการจัดการ เช่น การจัด ตารางสอน การคำนวณระดับคะแนน การเก็บข้อมูลต่าง ๆ ของผู้เรียน เป็นต้น 6. เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการสภาพแวดล้อม ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้มีการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อช่วยในการจัดการ อาทิ การใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การใช้ระบบ สารสนเทศภูมิศาสตร์(Geographic Information System: GIS) การจำลองรูปแบบสภาวะแวดล้อม การติดตามข้อมูลสภาพอากาศ การตรวจวัดมลภาวะ การจัดการน้ำและการเฝ้าระวังอุทกภัยด้วย ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เป็นต้น 7. การป้องกันประเทศและความมั่นคงโดยเทคโนโลยีสารสนเทศ ในด้านกิจการทหารและตำรวจ เพื่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการป้องกันประเทศ มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยใน การดำเนินการ อาทิ การใช้คอมพิวเตอร์ทำประวัติผู้ก่อการร้าย ผู้ก่ออาชญากรรม ระบบเฝ้าระวังโดย ใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมการทำงาน อาวุธยุทธโธปกรณ์ และขีปนาวุธสมัยใหม่ เป็นต้น 8. การผลิตในอุตสาหกรรมและการพาณิชยกรรม ในการแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้า อุตสาหกรรม จำเป็นต้องหาวิธีในการเพิ่มผลผลิต ควบคุมการผลิตให้ได้มาตรฐาน ดำเนินการได้ รวดเร็ว และลดต้นทุนการผลิต เช่น การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการผลิตและการบริการ การใช้ หุ่นยนต์มาช่วยในด้านแรงงาน และการทดสอบคุณภาพแทนแรงงานของมนุษย์ เป็นต้น 9. เทคโนโลยีสารสนเทศในด้านการแพทย์ จะนำ มาใช้ในระบบแพทย์ทางไกล(Telemedicine) สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางไกลได้ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นำระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยใน การควบคุมคุณภาพและการตรวจรักษาโรค การใช้ระบบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ(Expert System) เพื่อการ วินิจฉัยโรค


37 10. ความบันเทิงโดยอาศัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจุบันความบันเทิงรูปแบบต่าง ๆได้นำ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อเพิ่มขีดความบันเทิง ให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกสบายมาก ยิ่งขึ้น เช่น การจองตั๋วหนังทางออนไลน์ การใช้คาราโอเกะออนดีมานด์ และระบบโฮมเธียร์เตอร์ที่ ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เป็นต้นจะเห็นว่าเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญและมีประโยชน์ ต่อชีวิตประจำวันเป็นอย่างมากสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้หลากหลายสาขา อาทิ ด้านการศึกษา การแพทย์ด้านอุตสาหกรรม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความบันเทิง ด้านการทหารและ ตำรวจ ตลอดจนอำนวยความสะดวก สบายในการดำเนินชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น ผลกระทบของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ผลกระทบของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ มีดังนี้(สุขุม เฉลยทรัพย์ และคณะ. 2555: 15-17) 1. ผลกระทบในเชิงบวก การกำเนิดของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณหกสิบกว่าปีที่แล้ว เป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่ยุค สารสนเทศ ในช่วงแรกมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องคำนวณ แต่ต่อมาได้มีความพยายาม พัฒนาให้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการจัดการข้อมูล เมื่อเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้ ก้าวหน้ามากขึ้นทำให้สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลง แต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น สภาพการใช้ งานจึงใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่และสังคมจึงมี มาก มีการเรียนรู้และใช้สารสนเทศกันอย่างกว้างขวาง ผลเชิงบวกของเทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวม กล่าวได้ดังนี้ 1.1 การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ ระบบสื่อสารโทรคมนาคมเพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น มีการประยุกต์มาใช้กับเครื่องอำนวยความ สะดวกภายในบ้าน เช่น ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศและใช้ควบคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นต้น 1.2 เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิด การกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ถิ่นทุรกันดาร ทำให้มีการกระจายโอกาสการเรียนรู้มีการใช้ ระบบการเรียนการสอนทางไกล การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล นอกจากนี้ในปัจจุบันมีความ พยายามที่ใช้ระบบการรักษาพยาบาลผ่านเครือข่ายสื่อสาร 1.3 สารสนเทศกับการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษา การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนำ คอมพิวเตอร์และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ เช่น วีดีทัศน์ เครื่องฉายภาพคอมพิวเตอร์ช่วย สอนคอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คำนวณระดับคะแนน จัดชั้นเรียนทำรายงาน เพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในสถานศึกษา ปัจจุบันมีการเรียนการ สอนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในสถานศึกษาทุกระดับมากยิ่งขึ้น


38 1.4 เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างจำเป็นต้อง ใช้สารสนเทศ เช่น การดูแลรักษาป่าจำเป็นต้องใช้ข้อมูล มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การติดตามข้อมูล สภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจำลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อมเพื่อปรับปรุงแก้ไข การเก็บ รวมรวมข้อมูลคุณภาพน้ำในแม่น้ำต่าง ๆ การตรวจวัดมลภาวะ ตลอดจนการใช้ระบบการตรวจวัด ระยะไกลมาช่วย ที่เรียกว่า “โทรมาตร” เป็นต้น 1.5 เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ กิจการทางด้านการทหารมีการใช้เทคโนโลยี อาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม มีการใช้ระบบป้องกัน ภัย ระบบเฝ้าระวังที่มีคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน 1.6 การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม การแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้า อุตสาหกรรมจำเป็นต้องหาวิธีการในการผลิตให้ได้มาก ราคาถูกลง เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามี บทบาทมาก มีการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อการบริหารและการจัดการ การดำเนินการและยังรวมไปถึง การให้บริการกับลูกค้า เพื่อให้ซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน บทบาทเหล่านี้มีแนวโน้มที่ สำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่จึงควรเรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้ก้าวหน้าและเกิดประโยชน์ต่อประเทศ ต่อไป 2. ผลกระทบในเชิงลบ เทคโนโลยีสารสนเทศ นอกจากจะมีประโยชน์กับสังคมมนุษย์เราแล้วแต่ยังมีผลกระทบด้านลบ ต่อสังคมเราด้วย หากเราใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนั้นอย่างไม่ระมัดระวัง โดยอาจมีผลกระทบเชิงลบใน ด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 2.1 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการศึกษา การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ มาผลิตสื่อ การเรียนการสอน อาทิ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนผ่านเว็บ หรือบทเรียนออนไลน์ (eLearning) อาจทำให้เกิดปัญหาที่เห็นได้ชัด เช่น 2.1.1 ผู้สอนกับผู้เรียนจะขาดความสัมพันธ์และความใกล้ชิดกันเพราะผู้เรียนสามารถที่จะเรียน ได้ในโปรแกรมสำเร็จรูปทำให้ความสำคัญของสถานศึกษาและผู้สอนลดน้อยลง 2.1.2 ผู้เรียนที่มีฐานะยากจนไม่สามารถที่จะใช้สื่อประเภทนี้ได้ ทำให้เกิดข้อได้เปรียบ เสียเปรียบกันระหว่างนักเรียนที่มีฐานะดีและยากจน ทำให้เห็นว่าผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจ ก็ย่อมที่จะ มีโอกาสทางการศึกษาและทางสังคมดีกว่าด้วยผลกระทบในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในด้าน การเรียนการสอน ควรนำมาใช้เป็นสื่อเสริมอย่างเหมาะสม ต้องยึดผู้เรียนเป็นสำคัญให้ผู้เรียนเกิด


39 กระบวนการคิด ส่วนบทบาทของสถาบันการศึกษาควรจัดสรรสื่อให้เพียงพอและเหมาะสมกับผู้เรียน และสภาวะแวดล้อม จะทำให้เกิดการใช้เทคโนโลยีได้อย่างคุ้มค่า 2.2 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อสิ่งแวดล้อม อาจเกิดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ก็เพราะมนุษย์นำเทคโนโลยีทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ไปพัฒนาอย่างผิดวิธีและนำไปใช้ ในทางที่ผิด เพราะมุ่งเพียงแต่จะก่อประโยชน์ให้แก่ตนเองเท่านั้น ดังนั้นผู้นำมาใช้จึงควรพิจารณาให้ รอบคอบ ความเหมาะสม มีการประเมินความจำเป็น วิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อนที่จะ นำมาใช้ 2.3 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อสังคม 2.3.1 การนำเทคโนโลยีมาใช้อาจทำให้เกิดปัญหาการว่างงานจากการใช้แรงงานมนุษย์เพราะ ภาคอุตสาหกรรมหรือภาคการเกษตรมีความต้องการใช้แรงงานมนุษย์ในการเพิ่มผลผลิตลดลง 2.3.2 การปรับตัวเพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ของพนักงานที่มีอายุมากหรือมีความรู้น้อย ก็จะทำให้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ และรู้สึกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นสิ่งที่ทำได้ ยาก ต้องมีความรู้จึงจะเข้าใจได้ 2.3.3 สมาชิกในสังคมมีการดำเนินชีวิตที่ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีความสัมพันธ์กันภายในสังคม เพราะต่างมีชีวิตที่ต้องรีบเร่งและดิ้นรนดังนั้นคนในสังคมจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสังคมสารสนเทศ ต้องพัฒนาตนเอง รู้เท่าทันเทคโนโลยีสารสนเทศแล้วใช้ให้เหมาะสมกับงาน 2.4 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อเศรษฐกิจ 2.4.1 มนุษย์สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ง่ายมากขึ้น เพราะมีบัตรเครดิตทำให้ไม่ต้องพกเงินสด หากต้องการซื้ออะไรที่ไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าก็สามารถซื้อได้ทันที เพียงแต่มีบัตรเครดิตเท่านั้น ทำให้อัตราการเป็นหนี้สูงขึ้น 2.4.2 การแข่งขันกันทางธุรกิจมีมากขึ้น เพราะต่างก็มุ่งหวังผลกำไร ซึ่งก็เกิดผลดี คืออัตราการ ขยายตัวทางธุรกิจสูงขึ้น แต่ผลกระทบก็เกิดตามมา ซึ่งบางครั้งก็มุ่งแต่แข่งขันจนลืมความมี มนุษยธรรมหรือความมีน้ำใจไปหากจะนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในวงการธุรกิจ ควรเป็นลักษณะ ของหุ้นส่วนการค้าการร่วมทุน โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยในการสื่อสารและกำหนดมาตรฐานร่วมกัน เช่น การใช้ระบบแลกเปลี่ยนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์(Electronics Data Interchange: EDI) ในการ แลกเปลี่ยนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ในการค้าอิเล็กทรอนิกส์ 2.5 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อสุขภาพจิต 2.5.1 เมื่อดำเนินการชีวิตแบบเดิมที่เป็นแบบเรียบง่าย ต้องเปลี่ยนมาปรับตัวให้ทันกับ เหตุการณ์ปัจจุบันตลอดเวลา ก็อาจจะทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวลไม่ว่าจะในหน้าที่การ งานหรือการดำเนินชีวิตประจำวัน


40 2.5.2 พฤติกรรมของเยาวชน โดยเฉพาะเกมคอมพิวเตอร์ทำให้เยาวชนมีพฤติกรรมก้าวร้าว ชอบการต่อสู้ และการใช้กำลัง เป็นต้น 2.5.3 นักธุรกิจต้องทำงานแข่งกับเวลา ไม่มีเวลาได้พักผ่อนก็ก่อให้เกิดวามเครียดสุขภาพจิตก็ เสียตามมาด้วย ดังนั้นทุกคนในครอบครัวตลอดจนสังคมควรเอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกัน ให้ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศให้เหมาะสม ถูกต้องตามหลักศีลธรรม กล่าวโดยสรุป ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมีทั้งด้านบวกและด้านลบ หากนำมาใช้ให้ เหมาะสมก็จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และเพิ่มศักยภาพการทำงานในหลายสาขาอาชีพ เช่น การศึกษา สิ่งแวดล้อม และด้านอุตสาหกรรม เป็นต้น แต่หากใช้เทคโนโลยีสารสนเทศโดยไม่ ระมัดระวังและขาดจิตสำนึก คุณธรรมจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ก็จะส่งผลกระทบ หลายด้านเช่นกัน อาทิ ด้านสังคม สุขภาพจิต รวมถึงการศึกษาด้วย ดังนั้นผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงควรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ รวมถึงความปลอดภัยในการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ ในระบบสารสนเทศนั้นจะมีการนำข้อมูลต่าง ๆ มาประมวลผลให้ข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์ต่อการ นำไปใช้งานหรือที่เราเรียกว่า “สารสนเทศ” ในอดีตที่ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ก็ยังมีเครื่องมืออื่นมาช่วย ในการประมวลผลข้อมูลและช่วยในการสร้างผลผลิตได้ จนถึงปัจจุบันได้มีการนำเอาคอมพิวเตอร์มา ช่วยในการประมวลผลข้อมูล ก็ทำให้ระบบสารสนเทศนี้พัฒนาไปได้มากขึ้น ช่วยให้การดำรงชีวิตของ มนุษย์ดีขึ้น ในโลกของเราได้มีการนำเสนอเครื่องมือมาช่วยในการดำรงชีวิตมากมายจนปัจจุบันนั้น ถือได้ว่าเป็นยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศ หากแบ่งวิวัฒนาการของยุคสารสนเทศจะแบ่งได้ดังนี้ (ธนา วุฒิ ประกอบผล. 2555: 2-3) 1. ยุคกสิกรรม (Agriculture Age) ยุคกสิกรรม ยุคนี้นับตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ. 1800 ถือว่าเป็นยุคที่การดำเนินชีวิตของมนุษย์ขึ้นอยู่กับ การทำนา ทำสวน ทำไร่ โลกในยุคนี้มีการซื้อขายสินค้าระหว่างกัน แต่ก็ถือว่าเป็นสินค้าเกษตรกรเป็น หลัก มีการนำเครื่องมือเครื่องทุ่นแรงมาใช้ให้ได้ผลผลิตดีขึ้น ในระบบหนึ่ง ๆ จะมีผู้ร่วมงานเป็น ชาวนา ชาวไร่เป็นหลัก 2. ยุคอุตสาหกรรม (Industrial Age) ยุคอุตสาหกรรม ยุคนี้นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 เป็นต้นมา โดยในประเทศอังกฤษได้นำเครื่องจักรกล มาช่วยงานทางด้านการเกษตร ทำให้มีผลผลิตมากขึ้นและมีผู้ร่วมงานในระบบมากขึ้นเริ่มมีโรงงาน อุตสาหกรรม เริ่มมีคนงานในโรงงาน ต่อมาการนำเครื่องจักรมาใช้งานนี้ได้ขยายไปสู่ประเทศต่าง ๆ


41 และได้มีการแปรรูปผลิตผลทางด้านการเกษตรออกมามากขึ้น และเครื่องจักรกลก็เป็นเครื่องมือที่ ทำงานร่วมกับมนุษย์ และเริ่มมีโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งทำให้โลกของเรามีทั้ง ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรมควบคู่กันไป 3. ยุคสารสนเทศ (Information Age) ยุคสารสนเทศ ยุคนี้นับตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1957 จากที่การทำงานของมนุษย์มีทั้งด้าน การเกษตรและด้านอุตสาหกรรม ทำให้คนงานต้องมีการสื่อสารกันมากขึ้น ต้องมีความรู้ในการใช้ เครื่องจักรกล ต้องมีการจัดการข้อมูลเอกสาร ข้อมูลสำนักงาน งานด้านบัญชี จึงทำให้มีคนงานส่วน หนึ่งมาทำงานในสำนักงาน คนงานเหล่านี้ถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้และต้องทำหน้าที่ประสานงาน ระหว่างฝ่ายผลิตและลูกค้า ทำให้มีการพัฒนาเครื่องมือต่าง ๆ มาช่วยในการประมวลผล จัดการให้ ระบบงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้เกิดการใช้เครื่องมือทางสารสนเทศขึ้นมา ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ภาพ 14 วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ เมื่อเข้าสู่ยุคสารสนเทศ องค์กรต่าง ๆ ที่นำเทคโนโลยีสื่อสารมาใช้ในการจัดการงานประจำวัน จะทำงานได้สำเร็จเร็วขึ้น การผลิตทำได้เร็วขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตสามารถประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ ได้ รวดเร็วขึ้น มีการนำระบบอัตโนมัติด้านการผลิตมาใช้ มีระบบบัญชี และมีโปรแกรมที่ทำงานเฉพาะ ด้านมากขึ้น สรุป จากการศึกษาเนื้อหาข้างต้น ทำให้เราทราบว่า สารสนเทศ (Information) มีที่มาจากการ ประมวลผล (Processing) ข้อมูล (Data) ซึ่งหากข้อมูลมีคุณภาพก็จะทำให้การประมวลผลข้อมูล ถูกต้องและเกิดสารสนเทศที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน เครื่องมือที่นิยมใช้ในการประมวลผลในปัจจุบัน คือเครื่องคอมพิวเตอร์ หากระบบคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพและมีองค์ประกอบที่สมบูรณ์จะทำให้ การประมวลผลสารสนเทศมีประสิทธิภาพถูกต้อง รวดเร็ว และตรงตามความต้องการนอกจากการใช้ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการประมวลผลสารสนเทศแล้วยังจำเป็นต้องอาศัยและเทคโนโลยีการ สื่อสารและโทรคมนาคม เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและเผยแพร่สารสนเทศได้อย่างสะดวก


42 และรวดเร็ว ซึ่งเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคมนี้ เป็น องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที ซึ่งไอทีทำให้การใช้ชีวิตของมนุษย์เรามีความ สะดวกสบาย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน


43 บทที่ 3 พัฒนาการและความเป็นมาของเทคโนโลยีการศึกษา เทคโนโลยีได้ถูกนำมาใช้ทางการศึกษานับตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล มีการกล่าวถึงนัก เทคโนโลยีทางการศึกษาพวกแรก คือกลุ่มโซฟิสต์ (The Elder sophist) ที่ใช้วิธีการสอนการเขียน เช่น การใช้มือวาด การเขียนสลักลงบนไม้ ส่วนการใช้ชอล์คเขียนบนกระดานดำได้เริ่มขึ้นในทศวรรษ ที่ 1800 สำหรับการใช้เทคโนโลยีทางสื่อโสตทัศน์(audio visual) นั้น สามารถนับย้อนหลังไปได้ถึงต้น ทศวรรษที่ 1900 ในขณะที่โรงเรียนและพิพิธภัณฑ์หลายๆ แห่งเริ่มมีการจัดสภาพห้องเรียนและการใช้ สื่อการสอนประเภทต่างๆ เช่น ใช้สื่อภาพ ภาพวาด ภาพระบายสี สไลด์ ฟิล์ม วัตถุ และแบบจำลอง ต่างๆ ในช่วงทศวรรษที่ 1920 – 1930 เริ่มมีการใช้เครื่องฉายภาพแบบข้ามศีรษะ (overhead projector) เครื่องบันทึกเสียง วิทยุกระจายเสียง และภาพยนตร์ เข้ามาเสริมการเรียนการสอน วิทยุกระจายเสียงจึงเป็นสื่อใหม่ที่ได้รับความนิยม ในช่วงทศวรรษที่ 1950 วิทยุโทรทัศน์เกิดเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมตะวันตกซึ่งสามารถ ใช้เป็นสื่อเพื่อการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิทยุโทรทัศน์จึงมีบทบาทสำคัญและกลายเป็น เทคโนโลยีแถวหน้าของสังคมนับแต่บัดนั้น – ในทวีปยุโรป วิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษาเริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 – ประเทศอิตาลี ก็ริเริ่มบ้างโดยมีการสอนตรงผ่านสื่อวิทยุโทรทัศน์ – ประเทศในเครือคอมมิวนิสต์ ได้มีโอกาสรับชมรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาเป็นครั้งแรก ในปี 1960 นำโดยประเทศยูโกสลาเวีย – ประเทศโซเวียต ได้เริ่มออกอากาศรายการทั่วไปและรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาเมื่อปี 1962 ในปี 1965 ประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันออกก็ได้ทำการออกอากาศรายการโทรทัศน์เพื่อ การศึกษาโดยผ่านดาวเทียมกันอย่างแพร่หลาย เทคโนโลยีการศึกษาและการสื่อสาร ได้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นอย่างมากในช่วง ปลายทศวรรษที่ 1960 เมื่อโลกได้หันเข้ามาสู่ยุคของคอมพิวเตอร์ ในด้านการศึกษานั้น ซึ่งได้มีการใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนเป็นครั้งแรกในปี 1977 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการใช้ในระยะแรก นั้นมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการบริหารจัดการ ต่อมาได้มีการพัฒนาโปรแกรมต่างๆ เพื่อให้ใช้ได้ง่าย และสามารถช่วยในการเรียนการสอนได้มากขึ้น คอมพิวเตอร์จึงเป็นสิ่งที่ครูและนักเรียนคุ้นเคย และมี การใช้กันอย่างแพร่หลายจนทุกวันนี้


44 พัฒนาการทางเทคโนโลยีการศึกษาในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต การศึกษาในปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาเพื่อพัฒนาปฏิรูปการจัดการศึกษาให้ เท่าเทียบกับสากลดังนั้นจึงได้มีการนำสารสนเทศเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายการศึกษา คือ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายว่าด้วยการศึกษาของชาติฉบับแรก ของประเทศ สำหรับการกำหนดรูปแบบของการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ 1. สภาพการเรียนการสอนในระบบ (Formal Education) หมายถึง การที่เทคโนโลยี การศึกษามีส่วนสนับสนุนการเรียนการสอนในระบบ ในชั้นเรียนที่มีหลักสูตรเฉพาะ โดยครูจะนำ เทคโนโลยีการศึกษาที่เหมาะสมเข้ามาช่วยสนับสนุนการเรียนการสอนในชั้นเรียน ทำให้การเรียนการ สอนในระบบเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น 2. สภาพการเรียนการสอนนอกระบบ (Informal Education) หมายถึง การเรียนการสอนที่ มีหลักสูตรเฉพาะกลุ่มหรือหลักสูตรที่มีกรอบการเรียนค่อนข้างกว้างขวาง โดยไม่กำหนดระยะเวลาที่ แน่นอน การเรียนการสอนประเภทนี้ ผู้สร้างหลักสูตรจำเป็นต้องคัดเลือกเทคโนโลยีการศึกษาที่ เหมาะสมมาช่วยสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นสื่ออุปกรณ์ ซึ่งได้แก่ ดาวเทียม โทรทัศน์เพื่อการศึกษา วิทยุเพื่อการศึกษา สื่อวัสดุ 3. สภาพการเรียนการสอนตามอัธยาศัย (Nonformal Education) หมายถึง การที่ เทคโนโลยีการศึกษามีส่วนช่วยสนับสนุนการเรียนการสอนตามอัธยาศัย โดยใช้เทคโนโลยีการศึกษา เข้ามาช่วยสนับสนุนให้การจัดการศึกษาตามอัธยาศัยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จากรูปแบบของการจัดการศึกษาทั้ง 3 รูปแบบดังกล่าวได้สะท้อนความตื่นตัวที่จะปฏิรูป การศึกษา ซึ่งส่งผลดีต่อการจัดการศึกษาโดยภาพรวมพอได้ดังนี้ 1. การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดกิจกรรมและพัฒนาการเรียนการสอนโดยยึด ผู้เรียนเป็นสำคัญ 2. การจัดระบบเครือข่ายการเรียนรู้ที่ให้มีแหล่งความรู้ที่หลากหลาย สำหรับการค้นคว้าหา ความรู้ทุก ๆ ด้านที่ผู้เรียนต้องการและเหมาะสมกับผู้เรียน 3. การปรับกระบวนการเรียนการสอน โดยเน้นให้ครูเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกและ ชี้แนะให้ผู้เรียนทำการศึกษาค้นคว้าคิด ตัดสินใจด้วยตนเอง 4. ส่งเสริมการเรียนรู้ตามอัธยาศัยโดยการประสานกับชุมชนและท้องถิ่นในการพัฒนาการ เรียนการสอนตามอัธยาศัยเน้นการค้นคว้าและทักษะการสืบค้นสารสนเทศ


45 พัฒนาการของเทคโนโลยีการศึกษาในยุคต่างๆ 1. เทคโนโลยีการศึกษาของกลุ่มโซฟิสต์ รูปแบบการสอนของกลุ่มโซฟิสต์มี 3 ขั้นตอนคือ – เตรียมคำบรรยายอย่างละเอียด – เปิดโอกาสให้ผู้ฟังเสนอแนะให้บรรยายในสิ่งที่เขาต้องการรู้ – บรรยายตามความต้องการของผู้บรรยายหรือผู้ฟัง 2. เทคโนโลยีการศึกษาของโสเครติส เทคโนโลยีการศึกษาของโสเครติส (ค.ศ.399-470) วิธีการสอนของโสเครติส ที่อธิบายไว้ใน Plasto’s Meno นั้น มุ่งที่จะสอนให้ผู้เรียนเสาะแสวงหรือสืบเสาะหาความรู้ที่เหมาะสมเอง จากการ ป้อนคำถามต่าง ๆ ที่เป็นการชี้แนะแนวทางให้ผู้ตอบได้ข้อคิด วิธีการของ โสเครติสนี้อาจจะเทียบได้ กับวิธีการสอนแบบสืบสวนสอบสวน (Inquiry Method) 3. เทคโนโลยีการศึกษาของอเบลาร์ด ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12 – 13 ยุโรปเริ่มตื่นตัวในเรื่องการจัดการเรียนการสอนแบบมี สถานศึกษาหรือโรงเรียน ซึ่งนับว่าเป็นวิธีใหม่แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางจนถึงกับการให้สิทธิ แก่ผู้สอนตั้งโรงเรียนในโบสถ์หรือวัดได้ 4. เทคโนโลยีทางการศึกษาของคอมินิอุส จุดมุ่งหมายทางการศึกษาของคอมินิอุส คือ ความรู้ คุณธรรม และความเคร่งครัดในศาสนา เขาเชื่อมั่นว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือสำหรับเตรียมคนเพื่อดำรงชีพอยู่อย่างเป็นสุขมากกว่าที่จะให้ การศึกษาเพื่อมีอาชีพหรือตำแหน่ง และนอกจากนั้น คอมินิอุสยังมุ่งหวังที่จะให้การศึกษาเพื่อสังคม มากกว่าที่จะเน้นเรื่องความสามารถเฉพาะ ดังนั้นเพื่อให้จุดหมายทางการศึกษาของเขาสัมฤทธิ์ผล คอ มินิอุส จึงจัดระบบการศึกษาเป็นแบบเปิด สำหรับทุก ๆ คน นับตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัย ในบรรดา หลักการสอนของคอมินิอุสทั้งหลาย


46 การจัดการศึกษาแบบมวลชน (Mass Education) 1.เทคโนโลยีการศึกษาของแลนตาสเตอร์ Joseph Lancaster (1778-1838) ได้ริเริ่มการสอนระบบพี่เลี้ยง (Monitor System) อัน ยังผลให้เขาประสบความสำเร็จในการจัดการศึกษาในยุคนั้น วิธีการของเขาก็คือ การจัดสภาพ ห้องเรียนและดำเนินการสอนแบบประหยัด รวมถึงการจัดระบบเนื้อหาวิชาที่เรียนโดยพิจารณาถึง ระดับชั้น สำหรับการสอนนักเรียนเป็นชั้นหรือเป็นกลุ่ม แนวคิดของเขาได้รับอิทธิพลมาจากคอมินิอุส และวิธีการของพระเยซูคริสต์ จึงทำให้เขาศึกษาการเลือกใช้สื่อที่มีประสิทธิภาพในการเรียนการสอน 2.เทคโนโลยีการศึกษาของเปสตาลอสซี Johann Heinrich Pestalozzi (1746-1827) เกิดที่เมืองซูริค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ชีวิต การศึกษาของเขาในเบื้องต้นนั้น มุ่งที่จะออกไปเป็นนักกฎหมายแต่ด้วยอิทธิพลของสังคมและความคิด ทางการศึกษาของ Jean Jacgues Rousseau (1712-1778) เขาจึงเปลี่ยนวิถีทางชีวิต ไปศึกษา หลักการทางการศึกษาจากหนังสือ Emile ของรุสโซ เขาเริ่มการทดลองที่บ้านของเขาใกล้ ๆ กับ หมู่บ้าน Birrfield (1774-1780) ต่อจากนั้นก็มาทำการทดลองต่อในโรงเรียนที่ Stanz (1798) Burgdorf (1799-1804) และ Yverdon (1805-1825) อันเป็นที่ที่เขาทำงานครั้งสำคัญที่สุด ทฤษฎี


47 ทางการศึกษาของเปสตาลอสซี เป็นที่รู้จักกันดีจากคำพูดของเขาเอง คือ “I wish to psychologize Instruction” ซึ่งหมายถึง การพยายามทำให้การสอนทั่วไปเข้ากันได้กับความเชื่อของเขาอย่างมี ระเบียบและปรับปรุงพัฒนาไปด้วยกัน เขารู้สึกว่าศีลธรรม สติปัญญาและพลังงานทางกายภาพของ ผู้เรียนควรจะได้รับการคลี่คลายออกมา โดยอาศัยหลักธรรมชาติในการสร้างประสบการณ์อย่างเป็น ขั้นตอน จากหลักการที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เปสตาลอสซีเชื่อว่า กระบวนการสอนโดยการเพิ่มความรู้สึก ต่อความรู้ในเรื่องความเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กนั้น เป็นสิ่งจำเป็นที่สุด นอกจากนั้น เปสตาลอสซี ยังคำนึงถึงเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลอันจะมีผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วย เปสตาลอสซี ได้เสนอแนะกระบวนการของการรับความรู้ของผู้เรียนเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1. ให้รู้ในเรื่องส่วนประกอบของจำนวน (เลขคณิต) 2. ให้รู้ในเรื่องของรูปแบบ (Form) เช่น การวาด การเขียน เป็นต้น 3. ให้รู้จักชื่อ และภาษาที่ใช้ 3. เทคโนโลยีทางการศึกษาของฟรอเบล Friedrich Wilhelm Froebel (1782-1852) เป็นนักการศึกษา ซึ่งได้เจริญรอยตามความ คิดเห็นของเปสตาลอสซี ฟรอเบล เกิดที่เมือง oberwcissbach ประเทศเยอรมันนี และได้ร่วมงาน ด้านการสอนกับเปสตาลอสซี ที่ฟรังเฟิท เขารู้สึกพอใจและสนใจมาก โดยเฉพาะการสอนเด็กเล็ก ทำ ให้ฟรอเบลมีความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะปฏิวัติการศึกษาของเด็กเสียใหม่ จึงกลับไปศึกษาต่อใน มหาวิทยาลัย เมื่อจบการศึกษาแล้วได้ออกมาตั้งโรงเรียนอนุบาลขึ้นเป็นแห่งแรกที่เมืองแบลงเกน เบอร์ก (Blankenburg)ในปี ค.ศ. 1837 ฟรอเบลมีความเชื่อในเรื่องศาสนาเป็นพื้นฐาน เขาเห็นว่าการ เกิดของแร่ธาตุก็ดี การเจริญเติบโตของต้นไม้ก็ดี ตลอดจนพัฒนาการของเด็กทั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่ เป็นผลมาจากพระเจ้า ดังนั้นจุดมุ่งหมายของนักการศึกษาก็คือการควบคุมดูแลเยาวชนให้เติบโตเป็น ผู้ใหญ่เท่านั้นเช่นเดียวกับจุดมุ่งหมายของคนทำสวนคือการควบคุมดูแลต้นไม้ต้นเล็ก ๆ ไปจนมัน เจริญเติบโตออกดอกผลในที่สุด อย่างไรก็ตาม การควบคุมดูแล (Control) ตามแนวคิดของฟรอเบลนี้ ยังมีความหมายกว้างออกไปถึงการควบคุมพัฒนาการต่าง ๆ โดยให้ผู้เรียนได้สัมผัสกับชีวิตจริงในฐานะ


Click to View FlipBook Version