The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ระบบต่อมไร้ท่อและระบบสืบพันธุ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by mee.2545, 2022-03-17 23:15:29

ระบบต่อมไร้ท่อและระบบสืบพันธุ์

ระบบต่อมไร้ท่อและระบบสืบพันธุ์

Endrocrine System
&

Reproductive System

(ระบบต่อมไร้ท่อและระบบสืบพันธุ์)

คู่มือ

กายวิภาคศาสตร์
ฉบับประชาชน

นักศึกษาแพทย์แผนไทย
(วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดตรัง)



คำนำ

หนังสือ“คู่มือกายวิภาคศาสตร์ฉบับประชาชนของระบบต่อม
ไร้ท่อและระบบสืบพันธุ์”เล่มนี้จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
เปนความรู้แก่ประชาชนทุกคนไม่จำกัดอายุสามารถเรียนรู้ได้ถ้ามี
ความตั้งใจที่จะศึกษาเป็ นความรู้พื้ นฐานที่เราควรรู้เอาไวเ้กียวกับ
ระบบประสาทของเราผู้จัดได้ทำได้เรียบเรียงและหาข้อมูลอย่าง
ละเอียดเพื่ อเป็ นประโยชน์แก่ผู้อ่านมากที่สุดผู้จัดได้ทำได้ไปศึกษา
ค้นคว้ารวบรวมและเรียบเรียงออกมาเป็ นหนังสือเล่มซึ่งประกอบ
ด้วยเนื้อหา โครงสร้างระบบประสาทเซลล์ประสาทชนิดของเซลล์
ประสาทฯซึ่งผู้จัดทำหวังเป็ นอย่างยิ่งว่าจะเป็ นประโยชน์แก่ผู้ที่
ศึกษาสุดท้ายนี้หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็ นความรู้สำหรับ
ประชาชนทุกคนและผู้ที่สนใจมากยิ่งขึ้น

คณะผู้จัดทำ

สารบัญ

เรื่ อง หน้ า

บทที่ 1 ระบบต่อมไร้ท่อ 1

-ระบบต่อมไร้ท่อ 2
-คุณสมบัติของฮอร์โมน 3

-การควบคุมการสังเคราะห์ 4

-การขนส่งฮอร์โมน 5
-ต่อมไร้ท้อที่สำคัญในการสร้างฮอร์โมนของร่างกาย 6
7
-ต่อมใต้สมอง

-หลอดเลือดที่มาเลี้ยงต่อมใต้สมอง 14
-Clinical Correlation 15
-ต่อมไพเนียล 16
-ต่อมไทรอยด์ 17

-ลักษณะทางจุลกายวิภาคศาสตร์ของต่อมไทรอยด์ 17

-Clinical Correlation 18

-ต่อมพาราไทรอยด์ 19

-Clinical Correlation 19
-ต่อมหมวกไต 19
-กลุ่มเซลล์ในตับอ่อน 22

-Clinical Correlation 23

-ภาวะเเทรกซ้อนที่อาจพบได้ในผู้ป่ วยเบาหวาน 25
-ต่อมเพศ
26
-ฮอร์โมนเพศชาย 26
-ฮอร์โมนเพศหญิง 26

-ไต 28

บทที่ 2 ระบบสืบพันธุ์เพศชาย 29
-อวัยวะสืบพันธุ์ของเพศชาย 30
-ลักษณะเเละหน้ าที่ของเพศชายของอวัยวะ 30
สืบพันธุ์ภายนอกของเพศชาย
-ลักษณะและหน้ าที่สำคัญของอวัยวะ 32
สืบพันธุ์ภายในของเพศชาย
-กระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ 32

บทที่ 3 ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง 37
38
-อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
41
43
-อวัยวะสืบพันธ์ุภายในของเพศหญิง 45
-ส่วนต่างๆของมดลูก 46
-เส้นเลือดที่สำคัญ 47
-อวัยวะอื่นๆที่ใกล้เคียงกับอวัยวะสืบพันธุ์ 51
-การมีประจะเดือนหรือระดู 52
-ลักษณะของประจำเดือนหรือระดู 55
-ฮอร์โมนของระบบสืบพันธุ์สตรี 57
-การตั้งครรภ์ 58
-การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระยะตั้งครรภ์
-ความสัมพันธุ์ระหว่างกายและสรีรวิทยาของระบบ 58
สืบพันธุ์กับการคุมกำเนิด 59
-กลไกลในการป้ องกันการตั้งครรภ์ 61
-ฤทธิ์และกลไกในการป้ องกันการตั้งครรภ์
บรรณานุกรม

บทที่ 1
ระบบต่อมไร้ท่อ
(Endocrine system)

วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1.ชี้เเสดงต่อมไร้ท่อ และกลุ่มเซลล์ที่ทำหน้ าที่สร้างสร้าง
ฮอร์โมนในร่างกายได้
2.อธิบายโครงสร้างและหน้ าที่ของอวัยวะในระบบต่อมไร้
ท่อได้อย่างถูกต้อง
3.อธิบายการเจริญของต่อมใต้สมอง และกลุ่มเซลล์ที่
สร้างฮอร์โมนได้
4.อธิบายลักษณะทางจุบกายวิภาคศาสตร์ของ endocrine
cell ของต่อมไร้ท่อต่างๆ และฮอร์โมนที่ผลิตได้
5.อธิบายผลของฮอร์โมนแต่ละชนิดที่ผลิตจากต่อมไร้ท่อ
ต่ออวัยวะเป้ าหมาย
6.บอกอวัยวะอื่นๆ ที่สามารถผลิตฮอร์โมนและฤทธิ์ของ
ฮอร์โมนดังกล่าวได้

1

ระบบต่อมไร้ท่อ

เป็นระบบที่ประกอบด้วยต่อมไร้ท่อ (endocrine
glands) ทำหน้ าที่สำคัญในการขับ internal secretion ซึ่ง
เป็นสารเคมี เรียกว่า ฮอร์โมน (hormone) เมื่อถูกสร้างและ
หลั่งออกมาจะถูกลำเลียงเข้าสู่กระเเสเลือดไปยังส่วนต่างๆ
ของร่างกาย ควบคุม หรือแสดงฤทธิ์ต่อเซลล์เป้ าหมาย
อวัยวะ หรือระบบต่างๆของร่างกาย ให้ทำงานไปตามปกติ
ฮอร์โมนแต่ละชนิดจะมีหน้ าที่เฉพาะอย่าง และมีอิทธิพลต่อ
อวัยวะต่างๆแตกต่างกันไปตามหน้ าที่ของฮอร์โมน และเมื่อ
ใช้เป็นประโยชน์แก่ร่างกายแล้ว ก็จะถูกขับทิ้งออกจาก
ร่างกาย แบ่งได้ 2 ชนิด คือ

1.ฮอร์โมนเฉพาะที่ (local hormone) มีผลเฉพาะที่มากกว่า

เช่น acetycholine ที่ปล่อยออกมาจากปลายประสาท

parasympathetic seretionที่ปล่อยออกมาจากผนังของ

ลำไส้เล็กส่วน duodenum เป็นต้น

2.ฮอร์โมนทั่วไป (general hormone) สร้างโดยต่อมไร้ท่อ

แล้วนำเข้าหลอดเลือด เพื่อไปมีผลต่อเนื้อเยื่อ (target tissue)

ที่อยูไกลออกไป และมีผลทั่วร่างกาย เช่น ฮอร์โมนเร่งการ

เจริญเติบโต (growth hormone) จาก pitutary gland และ

thyroxin จาก thyroid gland เป็นต้น

2

คุณสมบัติของฮอร์โมน

1.สร้างจากเซลล์ หรือกลุ่มเซลล์
2.หลั่งเข้าสู่ระบบไหลเวียน
3.ไม่กระตุ้นให้เกิดขบวนการใหม่
4.มีโครงสร้างและคุณสมบัติเฉพาะ
5.ออกฤทธิ์เฉพาะ target cell
6.target cell อาจมีมากกว่า 1 ชนิด และเซลล์ 1 เซลล์
อาจมี receptor หลายชนิด
7.การสร้าง การหลั่ง ตัวกระตุ้นแตกต่างกัน
8.ฮอร์โมนที่หลั่งออกสู่กระแสโลหิตมีทั้ง Free from และ
bound from
9.ปริมาณไม่แน่นอน และแต่ชนิดของฮอร์โมน
10.เมื่อออกกฤทธิ์แล้ว อาจเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติได้

หน้ าที่ของฮอร์โมน

1.ควบคุมการสืบพันธุ์
2.ควบคุมการเจริญเติบโต
3.รักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อมในร่างกาย
4.ควบคุมการสร้าง การใช้ การสะสมพลังงาน

3

การสังเคราะห์ฮอร์โมน
1.การสังเคราะห์โดยเอมไซม์ (enzymatic synthesis)
ได้แก่ protein and steroid
2. สังเคราะห์ในไรโบโซม (ribosomal synthesis)
ได้แก่ prorein and peptide

การควบคุมการสังเคราะห์
การควบคุมแบบย้อนกลับ (feedback control)

1.1การควบคุมย้อนกลับเชิงลบ (negative feedback)
พบได้ทั่วไปเพื่อรักษาระดับฮอร์โมนให้คงที่ เช่น hormone A
มีบทบาทในการควบคุม hormone B มากขึ้นจะมีผลไป
ยับยั้งการหลั่ง hormone A เป็นต้น

1.2การควบคุมย้อนกลับเชิงบวก (positive feedback)
การควบคุมชนิดนี้พบน้ อย

1.3การควบคุมโดยระบบประสาท (neural control)
เป็นการกระตุ้น หรือยับยั้งการหลั่งโดยระบบประสาท

1.4การควบคุมโดยช่วงเวลา (chronotropic control)
เช่น ฮอร์โมนเพศชายหลั่งทุกชั่วโมง, ACTH และคอร์ซอลจะ
เพิ่มสูงตอนช่วงเช้ามืดของทุกวันและลดลงต่ำสุดตอนเที่ยง
คืน ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตจะหลั่งมากหลังนอนหลับ 1-
2 ชั่วโมง

4

การขนส่งฮอร์โมน
1. Portal circulation transport

- Hypothalamic -hypophyseal portal circulation
เป็ นระบบขนส่งฮอร์โมนจากไฮโปธาลามัสไปยังต่อมใต้สมอง
บริเวณนี้มีฮอร์โมนสูงกว่าที่อื่นๆ ประมาณ 100 เท่า

- Hepatoc portal circulation ขนส่งฮอร์โมนจากตับ
อ่อนและทางเดินอาหารไปยังตับ
2. การขนส่งผ่านผนังหลอดเลือด (endothelial transport)
ผนังหลอดเลือดชั้นในทำหน้ าที่จับฮอร์โมนและส่งไปยังเซลล์
ต่างๆ
3. การขนส่งโดยการจับกับโปรตีน (protine binding)
ฮอร์โมนละลายน้ำได้ไม่ดีจึงจับกับโปรตีนในพลาสมาพวกอัล
บูมิน พริอัลบูมิน หรือโกลบูมิน ซึ่งฮอร์โมนที่เกาะกับโปรตีน
ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ ส่วนฮอร์โมนที่ละลายน้ำได้จะอยู่ใน
รูปอิสระและสามารถออกฤทธิ์ได้

ความผิดปกติของต่อมที่สร้างและหลั่งฮอร์โมน
Hypofunction เป็นอาการแสดงซึ่งตรวจพบทาง

clinical และ laboratory เมื่อต่อมทำหน้ าที่น้ อยกว่าปกติ เรา
อาจพบได้ในที่ตัดต่อมหนึ่งต่อมใดออกหมด จึงทำให้ขาด
internal secretion หรือ hormone ที่ต่อมนั้นๆขับออกมา

Hyperfunction เป็นลักษณะที่ต่อมทำหน้ าที่มากกว่า
ปกติ ซึ่งตรวจพบทาง clinical และ laboratory จะปรากฏว่า
มีอาการตรงกันข้ามกับ hypofunction

5

ต่อมไร้ท่อที่สำคัญในการสร้างฮอร์โมนของร่างกาย มีดังนี้

ไฮโปธาลามัส

ต่อมไพเนียล

ต่อมใต้สมอง

ต่อมพาราไทรอยด์
ต่อมไทรอยด์

ต่อมไทมัส

ตับ

ต่อมหมวกไต

ไต

ตับอ่อน

รังไข่(ในผู้หญิง)

รก

อัณฑะ(ในผู้ชาย)

1.ต่อมใต้สมอง (pituitary gland หรือ hypophasis cerebri)
2.ต่อมไพเนียล (pineal gland)
3.ต่อมไทรอยด์ (thyroid gland)
4.ต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid gland)
5.ต่อมหมวกไต (adrenal หรือ suprarenal gland)
6.กลุ่มเซลล์ในตับอ่อน (islets of langerhans)
7.ต่อมเพศ (gonads)

6

ต่อมใต้สมอง (pituitary gland หรือ hypophysis cerebri)

ออพติกไคแอสมา ส่วนเนื้อสมอง

ขั้วยึดที่เป็นเนื้อของ แกนขั้วของต่อมใต้สมองส่วน
ต่อมใต้สมองสองหน้า หลังที่ต่อกับไฮโพทาลามัส

ต่อมใต้สมองส่วนกลาง ขั้วของต่อมใต้สมอง

ต่อมใต้สมองส่วนหน้า แกนขั้วของต่อมใต้สมองส่วนหลัง

ต่อมใต้สมองส่วนหลัง

ต่อมใต้สมอง เป็นต่อมขนาดเล็ก รูปไข่ มีขนาด 1 X 1 X 0.5 ซม.
หนักประมาณ 5.0 กรัม ตั้งอยู่ในแอ่ง sella turcica ของกระดูก
spjenoid และติดต่อกับ hypothalamus โดย hypophyseal stalk หรือ
pituitary stalk ต่อมใต้สมองเป็นต่อมไร้ท่อที่สำคัญมากจนถือว่าเป็น
ต่อมแม่บท (master gland) ทั้งนี้เพราะเป็นต่อมที่ขับฮอร์โมนไป
ควบคุมการเจริญเติบโตและการทำงานของต่อมไร้ท่ออื่นๆ มากมาย
ต่อมใต้สมองสามารถแบ่งออกตามลักษณะพัฒนาการของการเจริญ
เติบโตได้เป็น 2 ส่วนคือ

1. Adenohypophysis เจริญมาจาก roof of mouth
2. Neurohypophysis เจริญมาจาก floor of brai

ไฮโปธาลามัส

7

เนื้องอกต่อมใต้สมอง ต่อมใต้สมอง

และแต่ละส่วนของต่อมใต้สมองยังถูกแบ่งตามลักษณะทางกายวิภาคศาสตร์ ดังนี้
ตารางแสดงส่วนต่างๆของต่อมใต้สมอง

Adenohypophysis Neurohypophysis

- Pars distailis (anterior lobe) - Pars nervosa (posterior
lobe)

- Pars intermedia (anterior - Infundibular stalk
lobe)

- Pars tuberalis (หุ้ม - median emince of
infundibular stalk) hypothalamus

Adenhypophysis
เป็นของต่อมใต้สมองที่เจริญมากจาก roof of mouth ประกอบเป็นส่วนใหญ่

ของต่อมใต้สมองส่วนหน้ า (anterior lobe) adenohypophysis สามารถแบ่งแแก
เป็นส่วนต่างๆ ดังนี้

1. Pars distalis เป็นเนื้อของต่อมใต้สมองส่วนใหญ่ที่ประกอบขึ้นเป็น
anterior lobe ของต่อมใต้สมอง อยู่ทางด้านหน้ า pars distalis ประกอบด้วยกลุ่ม
เซลล์ที่ทำหน้ าที่ต่างๆกัน ดังนี้

ก. Chromphil cells เป็นกลุ่มที่มี specific cytoplasmic granule ที่สามารถ
ย้อมติดสีได้ดี ประกอบด้วย

8

Cliniical correlation
ความผิดปกติของการหลั่ง growth hormone จากต่อมใต้สมองส่วน
หน้ ามากกว่าปกติ จะทำให้เกิดการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ
2 ลักษณะ คือ

Giantism เป็นภาวะที่มีการผลิตและหลั่ง growth hormone
มากกว่าปกติ พบในเด็กระยะก่อนวัยรุ่น ซึ่งป็นวัยที่กำลังเจริญ
เติบโต เมื่อมีฮอร์โมนนี้มากผิดปกติร่างกายจะเจริญเร็วมาก ทำให้
เป็ นคนที่มีลักษณะสูงใหญ่กว่าปกติ

Acromegaly เป็นภาวะที่มีการผลิตและหลั่ง growth
hormone มากกว่าปกติที่เกิดในผู้ใหญ่ (aduit) ซึ่งพ้นระยะวัยรุ่น
แล้ว จะพบว่ามีการเจริญเติมโตที่ผิดปกติของกระดูกบางส่วนใน
ร่างกาย เช่น มีการเปลี่ยนแปลงของกะโหลกศรีษะและหน้ า มือ เท้า
และกระดูกสันหลัง พบลักษณะผิวหนังหนา จมูกใหญ่หน้ าผากงอก
(large supraorbital ridge) ฟันห่าง คางยื่น (prognathism) ริมตับ
ม้าม จะโตขึ้นซึ่งการโตของหัวใจอาจทำให้มีความดันโลหิตสูง
(hypertension) ได้

ความผิดปกติของการหลั่ง growth hormone น้ อยกว่าปกติ
ในวัยเด็ก ในลักษณะตรงข้าม ถ้าขาด growth hormone ในระยะ
ก่อนวัยหนุ่มสาว (puberty) ทำให้เกิดภาวะ dwarfism คือ การเจริญ
เติบโตของอวัยวะต่างๆ หยุดชะงัก กระดูกหยุดการเจริญ เด็กจะมี
รูปร่างเตี้ยแคระ ระบบอวัยวะสืบพันธ์ุไม่เจริญเต็มที่ในเด็กผู้หญิง
อาจไม่มีประจำเดือนเลย

9

A.Acidophll (α cell) เซลล์ในกลุ่มนี้จะมี granule ย้อมติด
สีชมพูแดงของ eosin ทำหน้ าที่สร้างฮอร์โมนที่สำคัญ ประกอบ
ด้วย

-Growth hormone (GH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจาก
กลุ่มเซลล์somatotroph ฮอร์โมนนี้จะหลั่งออกมาเป็นจำนวน
มากตั้งแต่เกิดจนถึงวัยรุ่น เมื่อเลยวัยรุ่นไปแล้วฮอร์โมนนี้จะ
ลดลง หน้ าที่ของgrowth hormone คือ ช่วยในการเจริญ
เติบโตของเซลล์ซึ่งจะเพิ่มขึ้นทั้งขนาดและจำนวนของเซลล์ใน
อวัยวะต่างๆกระดูกจะใหญ่และยาวขึ้น นอกจากนี้ยังมีผลต่อ
metabolism ของโปรตีน ไขมัน และน้ำตาล

-prolactin hormone (PRL) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจาก
prolactin cells ซึ่งหลั่งออกมาเพื่อมีผลกระตุ้นการสร้างน้ำนม
ของต่อมน้ำนม (mammary glands)

-B. Basophill (β cell) เซลล์กลุ่มนี้ cytoplasm จะย้อมติด
สีน้ำเงินม่วง ทำหน้ าที่สร้างฮอร์โมนที่ สำคัญ ประกอบด้วย

- Thyroid stimulating hormone (TSH) สร้างมาจากกลุ่ม
เซลล์ที่เรียกว่า thyrotroph ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นการ
ทำงานของ endocrine cell ในต่อมไทรอยด์ และกระตุ้นให้
ต่อมไทรอยด์ทำงานโดยสร้างฮอร์โมน thyroxin ออกมาทำให้
metabolic rate เพิ่มขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น และ glycogen ที่
ตับจะถูกเปลี่ยนเป็น glucose มากขึ้น

10

-Adenocotropic hormone (ACTH) สร้างมาจากกลุ่มเซลล์
ที่เรียกว่า Corticotroph ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นการทำงาน
ของ endocrine cell ในต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal
cortex) ในการสร้างฮอร์โมนพวก hydrocortisone โดยจะ
เพิ่มจำนวน ขนาดและอัตราการผลิตฮอร์โมนของเซลล์ใน
ต่อมหมวกไตส่วนนอก
-Gonadotropic hormone สร้างมาจากกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า
gonadotroph ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญในการกระตุ้นการ
ทำงานของต่อมเพศ โดยมีฮอร์โมนต่างๆ

1.Follicular stimulating hormone (FSH) ในผู้หญิง FSH
จะช่วยควบคุมและกระตุ้นการผลิต follicular hormone แต่
สำหรับผู้ชายจะช่วยกระตุ้นให้เนื้ อเยื่ อสร้างเซลล์สืบพันธุ์
(germinal epithelium) ใน seminiferous tubules ในอัณฑะ
(testis) ให้ผลิตตัวอสุจิ (spermatozoa หรือ sperm)

2.Luteinnizing hormone (LH) ทำหน้ าที่กระตุ้นการตกไข่
(ovulation) และทำงานควบคู่กับFSH ในระยะหลังซึ่ง
ovarian follicle แตกออก และจากตกไข่ ovarian follicle
จะกลายเป็นการตกไข่จะทำให้ ovarian follicle แตกออก
และหลังจากตกไข่ ovarian follicle จะกลายเป็น corpus
luteum และ corpus luteum นี้จะทำหน้ าที่ผลิตฮอร์โมน
progesterone และ estrogen

11

3.Interstitial cells stimulating hormone (ICSH) เป็น

ฮอร์โมนของเพศชายที่ทำหน้ าที่กระตุ้น interstitial cells หรือ

Leydig's cells ใน testis ให้หลั่งฮอร์โมนเพศชาย คือ

testosterone และควบคุมการเกิดของ spermatozoa ด้วย ถ้า

ขาดฮอร์โมนนี้จะทำให้ testis เหี่ยวแฟบและไม่ทำหน้ าที่ไป

ตามปกติ

ข. Chromophobs เป็นกลุ่มเซลล์ใน pars distalis ที่

cytoplasm ย้อมไม่ค่อยจะติดสีด้วยวิธีธรรมดาเชื่อกันว่าเป็น

เซลล์ที่อยู่ระหว่างพักไม่มีการสร้างฮอร์โมน

2.Pars intermediate


เป็นเนื้อของต่อมใต้สมองส่วน anterior lobe ที่แทรกอยู่


ระหว่าง pars distalis กับ pars nervosa เป็นส่วนที่เจริญได้


ไม่ดีในคน จึงเหลือเป็นบริเวณเล็กๆ เซลล์ที่พบในส่วนนี้เป็น


)melanotropic cells ที่มีหน้ าที่สร้าง melanocyte stimulating


hormone (MSH ซึ่งจะไปกระตุ้น melanocyte ที่ผิวหนังให้


สร้าง melanin pigment

3.Pars tuberalis เป็นส่วนของ adenohypophysis ที่ยื่นขึ้น

ไปโอบล้อม infundibular stalk เซลล์ที่พบในส่วนนี้ยังไม่ทราบ

หน้ าที่ชัดเจน

12

1. Antidiuretic hormone (ADH) หรืออาจเรียกว่า vasopressin
ฮอร์โมนชนิดนี้จะออกฤทธิ์ 2 อย่าง
- ออกฤทธิ์โดยตรงกับการทำงานของไต คือ กระตุ้นให้ collecting
tubules ในไต ทำให้มีการดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่หลอดเลือด น้ำจึงถูกดูด
กลับไว้ในร่างกายมากขึ้น เป็นผลให้มีปัสสาวะน้ อยลง ถ้าร่างกายขาด
ฮอร์โมนนี้จะทำให้เกิดโรคเบาจืด (diabetes insipidus : DI) คือ ถ่าย
ปัสสาวะมาก (polyuria) อาจถึง 5-30 ลิตรต่อวัน ผู้ป่วยจะขาดน้ำ
(dehydration) กระหายน้ำและดื่มน้ำมาก (polydipsia)
- ออกฤทธิ์ที่หลอดเลือด ทำให้มีหลอดเลือดหดตัว(vasoconstriction)
มีผลให้เพิ่มความดันโลหิต(blood pressure : BP)

2. Oxytocin เป็นฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์มากที่กล้ามเนื้อเรียบของมดลูก
ช่วยทำให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัวในระหว่างการมีประจำเดือน ส่วนใน
หญิงตั้งครรภ์จะช่วยในการคลอดบุตร นอกจากนี้oxytocinยังกระตุ้น
การหลั่งน้ำนมอีกด้วย ฮอร์โมนชนิดนี้จะถูกขับออกมาในระยะหนึ่งๆ
ของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะระยะคลอด (labour) และระยะให้นมบุตร
(lactation)

ในผู้ชาย oxytocin ช่วยในการหลั่งน้ำอสุจิ (semen) ขณะเดียว
กันก็ช่วยเร่งการเคลื่อนที่ของ spermatozoa ในมดลูกด้วยเป็นการ
ช่วยทำให้เกิดการผสมกับไข่ (fertilization)

นอกจากนี้ในส่วนของ neurohypophysis ยังพบเซลล์ลักษณะ
irregular shape ซึ่งมี process มากมาย เรียกว่า pituicyte เชื่อว่า
เซลล์นี้ทำหน้ าที่คล้ายเซลล์ค้ำจุนในระบบประสาท

13

หลอดเลือดที่มาเลี้ยงต่อมใต้สมอง

เส้นเลือดแดง เส้นเลือดแดงซูพิเรีย
อินเทอร์นัลคาโรติด ไฮโพไฟเซียล

เส้นเลือด เส้นเลือด
แดงแคปซูลาร์ พอร์ทัลแบบยาว

เส้นเลือดแดง
มิลเดิลไฮโพไฟเซียล

เส้นเลือด เส้นเลือด
ดำไฮโพไฟเซียล พอร์ทัลแบบสั้น

เส้นเลือดแดง
อินพีเรียร์ไฮโพไฟเซียล

ต่อมใต้สมอง ได้รับเลือดมาจากแขนงของ internal carotid artery ดังนี้

1. Superior hypophyseal artery แตกแขนงออกเป็น

- Primary capillary plexus จะแตกแขนงเป็นกลุ่มของหลอดเลือด
ฝอยเลี้ยงบริเวณ infundibulum
- Secondary capillary plexus จะแตกแขนงเข้าไปใน pars distalis
กลุ่มหลอดเลือดดำ portal system นี้เป็นทางนำ neurohumoral
substances จาก hypothalamus มาควบคุมการทำงานของ
endocrine cell ในส่วน pars distalis ด้วย

2. Inferior hypophyseal artery ให้แขนงเลี้ยง posterior lobe ของ
ต่อมใต้สมอง

14

Clinical correlation

การควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง
โดยปกติแล้วต่อมใต้สมองจะถูกควบคุมการหลั่งโดยศูนย์ที่อยู่ใน
hypothalamus เป็นหลัก โดยศูนย์ควบคุมดังกล่าวจะทำหน้ าที่
ยับยั้ง (inhibitory hormone) มายังต่อมใต้สมอง เช่น

1. Preoptic nucleus ของ hypothalamus จะหลั่งฮอร์โมน
gonadotropin releasing hormone (GnRH) มากระตุ้นกลุ่ม
เซลล์ gonadotrop ของต่อมใต้สมองส่วนหน้ าให้ผลิตฮอร์โมนที่ไป
กระตุ้นต่อมเพศ (gonads)

2. Arcuate nucleus ของ hypothalamus จะหลั่งฮอร์โมน
growth hormone releasing hormone (GHRH) มากระตุ้นการ
สร้าง growth hormone ของเซลล์ somatotropin ที่อยู่ในต่อมใต้
สมองส่วนหน้ า และสร้าง prolactin inhibiting hormone (PRIH)
มายับยั้ง prolactin cells ที่สร้าง prolactin hormone ในต่อมใต้
สมองส่วนหน้ า นอกจากนี้ arcuate nucleus ยังหลั่งฮอร์โมน
GnRH ด้วย

3. Periventricular nucleus ของ hypothalamus หลั่ง
ฮอร์โมน thyrotropin releasing hormone (TRH) มากระตุ้นเซลล์
thyrotroph ของต่อมใต้สมองส่วนหน้ าให้เพิ่มการหลั่ง thyroid
stimulating hormone (TSH) และการหลั่ง growth hormone
inhibiting hormone (GHIH) มายับยั้งเซลล์ somatotroph ใน
ต่อมใต้สมองส่วนหน้ าในการผลิต growth hormone ด้วย

4. Supraoptic nucleus และ paraventricular nucleus ใน
hypothalamus หลั่ง antidiuretic (vasopressin) hormone และ
oxytocin มายังต่อมใต้สมองส่วนหลัง (posterior lobe)

15

ต่อมไพเนียล (pineal gland)

เป็นต่อมขนาดเล็ก ที่มีก้านสั้นๆติดกับ roof of diencephalon ส่วน thalamus ต่อมไพ
เนียล ประกอบด้วยเซลล์ 2. ชนิด คือ

- Pinealocyte เป็นเซลล์ทั่วไปในต่อมไพเนียล จะอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม (cord) มีหน้ าที่
สร้าง
ฮอร์โมน เมลาโทนิน ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ ช่วยชะลอการเข้า
สู่วัยรุ่น การหลั่งเมลาโทนินขึ้นอยู่กับปริมาณแสง กล่าวคือ ไพเนียลโลไซต์ จะสามารถ
ทำงานได้และหลั่งฮอร์โมนได้ดีในเวลากลางคืนหรือในสภาพแสงน้ อย

- interstitial cell ซึ่งเซลล์ที่อยู่ระหว่าง cort ของ Pinealocyte มีลักษณะคล้ายๆเซลล์คำ
จุของระบบประสาท

ในผู้ใหญ่ภายในเนื้อต่อมไพเนียลจะพบ. extracellular. bodiesซึ่งประกอบด้วย
calciumและphosphate มีลักษณะเป็นวงเรียงซ้อนกันติดสีม่วง เรียกว่า brain sand ซึ่งจะพบ
มากขึ้นเมื่ออายุมาก

PINEAL GLAND

การหลังของเมลาโทนินจะถูกยับหยังโดยการสัมผัสกับแสงเมื่ออยู่ในที่ที่มีแสงมาก
ผลของการขาดเมลาโทนินจะส่งผลให้เข้าสู่วัยหนุ่มวัยสาวเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น
นั่นเอง

16

ต่อมไทรอยด์

ต่อมไทรอยด์ เป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกายน้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ
25 กรัมประกอบด้วย กลีบขวาและซ้ายอยู่ด้านหน้ าของหลอดลมบริเวณต่ำกว่ากล่อง
เสียงต่อมไทรอยด์ทั้งสองกลีบเชื่อมต่อกันทางด้านหน้ า
เรียกว่า isthmus. ภายในต่อมไธรอยด์ประกอบด้วย thyroid follicles. ที่บุด้วย simple
epithelial cell จำนวนมากมายที่มีขนาดแตกต่างกันตามระยะการทำงานของต่อม
ไทรอยด์ ภายในแต่ละ follicle จะมีสารใส่ๆเรียกcolloid บรรจุอยู่เต็มซึ่งสารเหล่านี้
ประกอบด้วย thyroglobulin

Thyroid and parathyroid glands

FRONT VIEW BACK VIEW

Thyroid cartilage

Superior parathyroid gland

Inferior parathyroid gland

Thyroid gland

Trachea

ลักษณะทางจุลกายวิภาคศาสตร์ของต่อมไทรอยด์

ต่อมไทรอยด์ที่ประกอบด้วยจำนวนมากและมีโครงสร้างประกอบด้วยเซลล์สำคัญดังนี้

1.Follicular เป็นเซลล์ที่ประกอบขึ้นเป็น epithelium ของthyroid follicle ทำหน้ าที่สร้างสาร
ตั้งต้นที่จะใช้ผลิตฮอร์โมนและเก็บไว้ใน. follicle ในรูปของ. Thyroglobulins เมื่อร่างกาย
ต้องการโฮร์โมนจะเกิดการสลายออกมาเป็นโมเลกุลเล็กๆผ่านเยื่อบุ Follicle. เข้าสู่กระแส
เลือดผสมกับ albumin. และกลายเป็น thyroxine ฮอร์โมนซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลังออกมาจาก
ต่อมไทรอยด์มากที่สุด
โฮร์โมน thyroxine มีผลต่ออัตรา metabolism ของร่างกายต่อมไทรอยด์จะสร้างโฮร์โมน
Thyroxin ได้ต้องอาศัยไอโอดีนเป็นวัตถุดิบโดยที่ต่อมไทรอยด์มีความสามารถจับเเละ
Concerntrate.

17

Clinical correlation

ความผิดปกติที่เกิดจากการทำงานของต่อมไทรอยด์ แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
1.Goiterเป็ นลักษณะของต่อมไทรอยด์ที่มีขนาดโตขึ้นมากกว่าปกติ(enlargement)
จะสังเกตได้ว่าผูู้ป่วยมีคอโตมีอาการกดการกลืนแบะการหายใจ ภาวะ goiter พบ
มากทางภาคเหนือของเทศไทย เกิดจากดารขาดธาตุไอโอดีนในอาหารและน้ำ เมื่อ
ขาดไอโอดีนก็จะเกิดกาทำให้ร่างกายขาดฮาร์โมน thyroxin การขาด thyroxin จะ
ทำให้ร่างกายกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองส่วนหน้ าหลั่ง TSH ออกมาอย่างมาก TSH ที่
หลั่งออกมาจะไปกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากต่อมจึงโตขึ้น
2.Hypothyoidism เป็นภาวะที่เกิดจากฮอร์โมน thyroxin ถูกขับออกมาจากต่อม
ไทรอยด์น้ อยกว่าปกติทำให้อัตรา metsbolism ในเซลล์ต่างๆ ลดลงกว่าปกติ ถ้าเป็น
ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป เรียกว่า cretinism จะทำให้มีการเจริญเติบโตช้า
พัฒนาการต่างๆ เช่น การนั่ง ยืน เดิน พูด ไม่เป็นไปตามวัย พัฒนาการของสมองช้า
(mental retardation) สติปัญญาเสื่อม เชื่องซึม โครงกระดูกเล็ก ร่างกายเตี้ยแคระ
ลิ้นโต ผิวหนังหนา และแห้ง ขาดการตึงตัว (tone) ของกล้ามเนื้อ ความดันโลหิตต่ำ
หัวใจเต้นช้า ถ้าเป็นในผู้ใหญ่ เรียกว่า myxedema ซึ่งจะมีอาการเฉื่อยชาทางสมอง
อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อพูดและเคลื่อนไหวช้า ผิวหนังแห้งหยาบ ไม่มีขน สติ
ปัญญาทึบ ความคิดอ่านช้า ความดันโลหิตต่ำ ปวดศีรษะ อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า
ปกติ
3.Hyperthyroidism เป็นภาวะที่ต่อมไทรอยด์ขับฮอร์โมน thyroxin ออกมามากเกิน
ไปการมีฮอร์โมน thyroxin มากนี้ อาจทำให้เกิดความผิดปกติ ได้ 2 อย่าง คือ

3.1 Exophthalmic goiter เป็นลักษณะคอหอยพอก ที่ต่อมไทรอยด์ขับ
ฮอร์โมน thyroxin ออกมามาก ส่งผลให้เกิดอาการหลายอย่าง ได้แก่ ใจสั่น เหงื่อ
ออกมาก ชีพจรเต้นเร็ว ตกใจง่าย นอนไม่หลับ กินจุแต่น้ำหนักลด อาจมีท้องเสีย
อ่อนเพลีย อาการที่สำคัญ คือ ตาโปนและถลนเห็นตาขาวากกว่าปกติ อาจเป็นข้าง
เดียว หรือสองข้าง

3.2 Adenomatous goiter with hyperthyroidism เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังจาก
ต่อมไทรอยด์โตแล้ว ทำให้เกิดอาการเหมือนชนิดแรก แต่ตาไม่โปนและมากนัก

18

ต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid gland)

ต่อมพาราไทรอยด์เป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดเล็กที่สุด ขนาดเท่าเมล็ดถั่วยาว มีอยู่ 2 คู่ ตั้งอยู่
ด้านหลังของ thyroid gland ต่อมนี้ประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือ
1.Chief cell เป็นเซลล์ที่พบได้ทั่วไป ทำหน้ าที่หลั่ง parathyroid hormone ที่ออกฤทธิ์
ควบคุมระดับ calcium ion และ phosphate ในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ โดยกระตุ้นการ
สลายตัวของแคลเซียมและฟอสเฟตออกจากกระดูกมีความสัมพันธ์กับแคลเซียมในเลือด
อย่างใกล้ชิด เพราะเมื่อแคลเซียมในเลือดลดลงจะดึงเอามาจากกระดูก ในทางตรงข้ามถ้า
แคลเซียมในเลือดมากจะเอาไปเก็บไว้ในกระดูก
2.Oxyphil cell พบได้น้ อยกว่า chief cell และมีขนาดใหญ่กว่า cytoplasm ติดสีแดง ยังไม่
ทราบหน้ าที่แน่นอน

Clinical correlation

ความผิดปกติในการทำงานของต่อมพาราไทรอยด์
1.เมื่อต่อมพาราไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมาน้ อย (hypoparathyroidism) จะทำให้

ระดับของแคลเซียมในเลือดต่ำลง (hypocalcemia) เพราะว่าไม่สามารถนำแคลเซียมจาก
กระดูกเข้าสู่กระแสเลือดได้ ถ้าจำนวนของ calcium ในเลือดลดลงต่ำกว่าปกติจะทำให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงของระบบประสาท ทำให้ประสาทส่วนปลายมีการตื่นตัวมากขึ้น เกิดกล้าม
เนื้อกระนุก (tetanic spasm) ซึ่งเกิดจากความไว (excitability) ของระบบกล้ามเนื้อและ
ระบบประสาทเพิ่มขึ้ นทำให้กล้ามเนื้ อหดและเกร็งได้เอง

2.เมื่อต่อมพาราไทรอยด์สร้างฮอร์โมนมากเกินไป (hyperparathyroidism) ก็จะเกิดการ
ละลายแคลเซียมสูงในปัสสาวะ (hypercalcemi) ฉะนั้น จำนวน calcium ion จะถูกขับออก
มาทางไตมากมาก เมื่อมีปริมาณแคลเซียมสูงในปัสสาวะ (hyperalciuria) จะทำให้ตก
ตะกอนเป็นนิ่วในไต (renal stone)ได้นอกจากนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงที่กระดูก คือ เกิด
ภาวะกระดูกจะพรุนและหักง่าย กระดูกโก่ง ปวดกระดูก กล้ามเนื้ออ่อนแรงและไม่มี tone

ต่อมหมวกไต(adrenal หรือ suprarenal gland)

ต่อมหมวกไต มีอยู่ 2 ต่อม ตั้งอยู่ข้างบนและข้างหน้ าที่ปลายบนของไตทั้ง 2 ข้าง
(คล้ายหมวก) ผิวนอกของต่อมหมวกไตนี้มี capsule บางๆ ซึ่งเป็น fibrous connective
tissue หุ้มอยู่โดยรอบ ต่อมหมวกไต ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ

19

1.ส่วนเปลือก (adrenal cortex) เป็นเนื้อต่อมส่วนนอกมีลักษณะสีเหลือง
อ่อน ทำหน้ าที่สร้างฮอร์โมนหลายชนิด เรียกว่า adreno-cortical
hormone หรือ corticoid hormone ทำหน้ าที่สร้างฮอร์โมนในเนื้อต่อม
หมวกไตส่วนนี้มีการเรียงตัวในลักษณะที่แตกต่างกัน
แบ่งออกเป็นชั้นต่างๆ ดังนี้

-Zona glomerulosa เป็นกลุ่มเซลล์ที่อยู่ติดกับ capsule ที่หุ้มต่อม
หมวกไต เซลล์ในชั้นนี้มีการเรียงตัวกันเป็นกลุ่มๆ ทำหน้ าที่สร้าง
mineralocorticoid hormones ได้เเก่ aldosterone ซึ่งทำหน้ าที่ควบคุม
สมดุลของ Na+ และ K+

-Zona fasciculate อยู่ถัดเข้ามาจากชั้นแรก เซลล์ในชั้นนี้จะเรียงตัว
เป็น cord ทอดลงมาเป็นสายๆ เซลล์ในชั้นนี้จะพบ lipid droplets
จำนวนมากใน cytoplasm จึงทำให้เซลล์มีลักษณะกลมโตและย้อมติดสี
basophilic จางๆ

-Zona reticularis เป็นกลุ่มเซลล์ชั้นในสุดของ adrenal cortex มี
ขนาดเล็กกว่าชั้น zona fasciculate แต่ย้อมติดสีเข้มกว่า และเซลล์มี
ลักษณะเรียงกันเป็ นร่างแห

20

2.ส่วนแกน (adrenal medulla) เซลล์ในชั้นนี้มีรูปร่าง
polygonal shape เรียงตัวกันอยู่เป็นกลุ่มๆ cytoplasm ติดสี
basophilic เซลล์เหล่านี้ เรียกว่า chromaffin cell ทำหน้ าที่
สร้างฮอร์โมนที่สำคัญ 2 ชนิด คือ epinephrine กับ
norepinephrine การขับฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดควบคุมโดย
autonomic nervous system

ฮอร์โมน epinephrine หรือ adrenaline จะมีผลต่ออวัยวะ
ต่างๆ โดยเฉพาะระบบไหลเวียน ระบบหายใจ กล้ามเนื้อ และ
ตับ ซึ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วและเเรง ความดันโลหิตสูงขึ้น
เส้นเลือดที่ผิวหนังและอวัยวะภายในส่วนใหญ่หดตัว อัตราการ
หายใจเพิ่มขึ้น และเป็นตัวเร่งขบวนการสลาย glycogen ใน
ตับ เพื่อเปลี่ยนเป็น glucose เข้าสู่ระบบไหลเวียน ทำให้พบว่า
น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และพบน้ำตาลในปัสสาวะ
กระตุ้นcentral nervous system ทำให้มีอาการ
กระวนกระวาย ม่านตาขยาย หลอดลมขยายตัว และในขณะที่
ร่างกายอยู่ในภาวะฉุกเฉินหรือเครียด จะมีการหลั่งฮอร์โมน
ชนิดนี้มาก ทำหน้ าที่เช่นเดียวกับ sympathetic division ของ
ระบบประสาทอัตโนมัติ

สำหรับ nor-epinephrine หรือ nor-adrenaline ไม่มีผล
ต่อการเผาผลาญอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตทั้งในกล้ามเนื้ อเเละ
ตับ จึงไม่ทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูง แต่มีผลทำให้หลอดเลือด
หดตัว (vasoconstriction) ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นช้า
ลง ขยายหลอดลมแต่น้ อยกว่า adrenaline

21

กลุ่มเซลล์ในตับอ่อน (Islet cell of pancreas)

Islets cell of pancreas หรือ Islets of langerhan
เป็นกลุ่มเซลล์ที่อยู่ภายในเนื้อตับอ่อน ทำหน้ าที่สร้างฮอร์โมน
โดยจะแทรกอยู่ระหว่างกลุ่มเซลล์ตับอ่อน ทำหน้ าที่สร้างน้ำย่อย
(acinae cell)ประกอบด้วยเซลล์ที่สำคัญ 4 ชนิด ได้แก่
1.Alpha cell เป็นเซลล์ขนาดใหญ่ พบบริเวณขอบของกลุ่ม
เซลล์ islets of langerhan มีประมาณ 20% ทำหน้ าที่สร้าง
ฮอร์โมน glucagon ซึ่งมีผลในการสลาย glycogen และเพิ่ม
การดูดซึม glucose ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ระดับน้ำตาล
ในกระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้น
2.Beta cell เป็นเซลล์ขนาดเล็ก พบประมาณ 70% กระจาบ
บริเวณตรงกลางของกลุ่มเซลล์ islets of langerhan ทำหน้ าที่
สร้างฮอร์โมน insulin ซึ่มีผลต่อการนำน้ำตาลในกระแสเลือดรบ
เข้าสู่เซลล์เพื่ อเผาผลาญเป็ นพลังงานและกระตุ้นการสังเคราะห์
glycogen
3.Deta cell พลกระจายอยู่ทั่วไปในกลุ่ม islets of langerhan
ทำหน้ าที่สร้าง somatostatin ซึ่งเป็น growth inhibiting
hormone ยับยั้งการหลั่งของ insulin
4. F cell ทำหน้ าที่สร้าง pancreatic polypeptide ยับยั้งการ
ทำงานส่วน exocrine part ของตับอ่อนทำให้ตับอ่อนสร้างและ
หลั่งน้ำย่อย (pancreatic enzyme) ลดลง

22

Clinical correlation

Diabetes mellitus (DM) เบาหวาน เป็นโรคที่เกิดจาก beta cells ซึ่งพบ
เฉพาะใน Islet of Langerhan ของตับอ่อน ไม่สามารถสร้าง หรือ หลั่ง
insulin ได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย สามารถแบ่งออกเป็น 2
ชนิด ได้แก่

23

1.เบาหวานชนิดพึ่งอินซูอิน (insulin dependent diabetes, IDDM)
เป็นชนิดที่พบได้น้ อยแต่มีความรุนแรงและอันตรายสูง มักพบในเด็ก
และคนอายุต่ำกว่า 25 ปี แต่ก็อาจพบใดคนสูงอายุได้บ้าง ตับอ่อนของ
ผู้ป่วยชนิดนี้จะสร้างอินซูลินไม่ได้เลย หรือได้น้ อยมาก เชื่อว่า
ร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้านและทำลายตับอ่อนของตัวเอง
จนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ทั้งนี้เป็นผล มาจากความผิดปกติทาง
กรรมพันธุ์ร่วมกับการติดเชื้อ หรือการได้รับสารพิษ ผู้ป่วย จำเป็นต้อง
พึ่งพาการฉีดอินซูลินเข้าทดแทนในร่างกายทุกวัน จึงจะสามารถเผา
ผลาญน้ำตาลได้เป็นปกติ มิเช่นนั้น ร่างกายจะเผาผลาญไขมันจนทำ
ให่ผ่ายผอมอย่างรวดเร็ว และถ้าเป็นรุนแรง จะมีการคั่งของสารคีโตน
(ketone) ซึ่งเป็นของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญไขมัน สารนี้จะเป็น
พิษต่อระบบประสาท ทำให้ผู้ป่วยหมดสติจนถึงตายได้ เรียกว่า ภาวะ
ครั่งสารคีโตน หรือ คีโตซิล (ketosis)

2. เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (non-insulin dependent diabetes
NIDDM) เป็นเบาหวานชนิดที่พบกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมักจะมีความ
รุนแรงน้ อยกว่า มักพบในคนอายุมากกว่า 40ปีขึ้นไป แต่อาจพบใน
เด็กหรือวัยหนุ่มสาวได้บ้าง ตับอ่อนของผู้ป่วยชนิดนี้ยังสามารถสร้าง
อินซูลินได้แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ผู้ป่วยชนิดนี้
ยังอาจแบ่งเป็นพวกที่อ้วนมากๆ กับพวกที่ไม่อ้วน สาเหตุเกิดจาก
กรรมพันธุ์ อ้วนเกินไป มีลูกดก จากการใช้ยา หรือพบร่วมกับโรคอื่นๆ
ผู้ป่วยมักไม่เกิดภาวะคีโตซิสเหมือนที่เกิดกับชนิดพึ่งอินซูลิน การ
ควบคุมอาหาร หรือการใช้ยาเบาหวานชนิดกิน มักจะได้ผลในการ
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติได้ หรือบางครั้งถ้าระดับน้ำตาลสู
งมากๆก็อาจต้องใช้อินซูลินฉีดเป็นครั้งคราว แต่ไม่ต้องใช้อินซูลิน
ตลอดไป จึงถือว่าไม่ต้องพึ่งอินซูลิน

24

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ในผู้ป่วยเบาหวาน เช่น

1.ภาวะแทรกซ้อนที่ตา อาจเกิดต้อกระจกก่อนวัย ประสาทตา หรือ
จอประสาทตา (retina) เสื่อม หรือ เลือดออกในน้ำวุ้นลูกตา(viteous
hemorrhage) ทำให้มีอาการตามัวลงเรื่อยๆและอาจทำให้ตาบอดได้
2. ระบบประสาท ผู้ป่วยอาจมีปลายประสาทอักเสบ มีอาการชา
หรือ ปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า ซื่งอาจทำให้เกิดแผลที่เท้าได้
ง่าย (อาจลุกลามจนเท้าเน่า)

3.ไต มักจะเสื่อม จนเกิดภาวะไตวาย มีอาการบวม ความดันโลหิตสูง
ซึ่งเป็ นสาเหตุการตายของผู้ป่ วยเบาหวานที่พบได้ค่อนข้างบ่อย

4. ผนังหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ทำให้เป็นความดัน
โลหิตสูง เป็นอัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด ถ้าหลอดเลือดที่เท้าตีบแข็ง
เลือดไปเลี้ยงเท้าไม่พอ อาจทำให้เท้าเย็นเป็นตะคริว หรือ ปวดขณะ
เดินมากๆ หรือ อาจทำให้เป็นแผลหายยาก หรือ เท้าเน่า (ซึ่งอาจเกิด
ร่วมกับการติดเชื้อ)

5.เป็นโรคติดเชื้อได้ง่ายเนื่องจากภูมิต้านทานโรคต่ำ เช่น วัณโรคปอด
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ เป็นฝี
พุพองบ่อย เท้าเป็นแผลซึ่งอาจลุกลามจนเท้าเน่า เป็นต้น

6.ภาวะคีโตซิส (ketosis) พบเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดพึ่ง
อินซูลิน ที่ขาดการฉีดอินซูลินนานๆ ร่างกายจะมีการคั่งของสารคีโตน
ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญไขมัน ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
กระหายน้ำอย่างมาก หายใจหอบลึก และลมหายใจมีกลิ่นหอมคล้าย
น้ำผลไม้หมักมีไข้ กระวนกระวาย มีภาวะขาดน้ำรุนแรง (ตาโบ๋ หนัง
เหี่ยว ความดันต่ำ ชีพจรเบาเร็ว) อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน ผู้
ป่วยจะซึมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดสติ หากรักษาไม่ทันอาจตายได้

25

ต่อมเพศ Konads ต่อมเพศของผู้ชายได้แก่อัณฑะ (testis)ซึ่งมี 2
ข้างมีลักษณะรูปไข่มีผิวข้างปลุกคุมคือถุงอัณฑะส่วนในผู้หญิงต่อไป
คือรังไข่ (ovaries) 2 ข้าง

ฮอร์โมนเพศชาย (male sex hormones) มีหน้ าที่สังเคราะห์และ
สร้างฮอร์โมนเพศชายคือ อัณฑะ (tastis) มีหน้ าที่หลักในการสร้าง
เซลล์สืบพันธุ์ (sperm) โครงสร้างทำหน้ าที่ดังกล่าวคือ seminiferous
tubule นอกจากนี้จากการศึกษายังพบกลุ่มเซลล์แทรกอยู่ในระหว่าง
แต่ละอัน กลุ่มเซลล์เหล่านี้มีเซลล์ที่สำคัญคือ interstitial cell หรือ
Leydig’s cell ที่มีหน้ าที่ในการสร้างฮอร์โมน andregen ซึ่งส่วนใหญ่
เป็น testosterone ที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของลักษณะทาง
เพศ (secondary sex characteristic) และเร่งการสร้าง spermใน
เพศชาย

ฮอร์โมนเพศหญิง (famale sex hormones) ที่เป็นแหล่งสร้าง
ฮอร์โมนเพศหญิงคือรังไข่ (ovaries) ภายในรังไข่จะมี ovarian
follicles อยู่มากมาย ซึ่ง ovarian follicles เหล่านี้จะอยู่ในระยะต่างๆ
กันในแต่ละ ovarian follicles จะมีไข่ (ovum) อยู่ภายในหนึ่งฟอง
ไข่นี้จะถูกล้อมรอบด้วยเซลล์เป็นชั้นๆโดยกลุ่มเซลล์เป็น endocrine
call เรียกว่า theca cells มีหน้ าที่สร้าง estrogen s โดยที่ estrogen
มีผลต่อการเจริญของ secondary sex characteristic และยัง
กระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อหุ้มผนังมดลูก (endometrium) หลัง
มีการตกไข่เซลล์ของ ovarian follicle ที่เหลือในรังไข่จะมีการ
เปลี่ยนแปลงเป็นโครงสร้างที่เรียกว่า corpus luteum ซึ่งทำหน้ าที่
สร้างฮอร์โมน estrogen และ progesterone ที่จะมีผลต่อการเจริญ
ของผนังมดลูกให้พร้อมที่จะรองรับการฝังตัว (implantation)ของตัว
อ่อน และช่วยในการตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปได้เนื่องจากมีการตกไข่

26

อวัยวะอื่นๆที่มี endocrine cell ที่ทำหน้ าที่สร้างฮอร์โมน ท่อ
ทางเดินอาหาร (gastrointestinal tract ) Endocrine cell ที่พบใน
ท่อทางเดินอาหารจะพบใน epithelium ที่บุภายในท่อเซลล์เหล่านี้
สามารถสร้างฮอร์โมนต่างๆดังนี้ -Gastrin เป็นฮอร์โมนที่ช่วย
กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยจากกระเพาะอาหาร (gastric juice) และ
เพิ่มการ movement ของท่อทางเดินอาหาร -Gastric inhibitory
peptide มีฤทธิ์ระงับการหลั่ง gastric juice และลดการ
movement ของท่อทางเดินอาหาร

-Sacretin กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยจากตับอ่อน(pancreatic juice)
และน้ำดี -Cholecystokinin (CCK) กระตุ้นการหลั่ง pancrety
juice และกระตุ้นการบีบตัวของถุงน้ำดีและช่วยควบคุมการหลั่ง
น้ำดีโดยควบคุมการเปิดของ sphincter of oddi จาก (piacenta)
Endocrine cell ที่พบในรก มีหน้ าที่สร้างฮอร์โมน ดังนี้ Human
chorionic gonadotropin (hCG) เป็นฮอร์โมนมี่สร้าง และหลั่ง
ออกมามากขณะมีการตั้งครรภ์มีฤทธิ์กระตุ้น corpus luteum ให้
สร้าง progesterone และ estrogen
- Progesterone และ estrogen เป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้การตั้ง
ครรภ์ดำเนินต่อไปได้และเตรียมต่อมน้ำนมให้พร้อมที่จะสร้าง
น้ำนม
-Human chorionnic somatomammotropin (hCS) กระตุ้นต่อม
น้ำนมให้สร้างน้ำนม

27

Clinical correlation Human chorionic gonadotropin
(hCG) เป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากรูปทรงสามารถตรวจพบทาง
ปั สสาวะได้ตั้งแต่หลังสองสัปดาห์หลังจากปฏิสนธิดังนั้นจึงเป็ น
ฮอร์โมนที่นิยมให้เพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ pregnacy test)

ไต (kidney) ไตมีบทบาทในการสร้างฮอร์โมนที่สำคัญ
2 ชนิด เช่น
-Renin สร้างจาก juxtaglomerular cell (ดูรายละเอียดในระบบ
ทางเดินประสาท) ที่อยู่ในผนังของ afferent arteriole ของ renal
corpuscle มีฤทธิ์กระตุ้น adrenal cortex ให้หลั่ง aldosterone
ช่วยในการดูดกลับน้ำและโซเดียมที่ renal tubule และมีผลทำให้
เกิด vasoconstriction และความดันสูง
- Erythropoietin สร้างจากเซลล์ของperitubuiar capillaries มี
ฤทธิ์กระตุ้นไขกระดูกแดง (red bone marrow) ให้เพิ่มการสร้าง
เม็ดเลือดแดง

Clinical correlation chronic renal failure หรือ ภาวะไตวาย
เรื้ อรังโรคจากผู้ป่ วยจะมีอาการของเสียข้างและเสียสมดุลย์น้ำและ
อีเล็กโตไลท์ที่เกิดจากการทำงานของไตบกพร่องแล้วสิ่งหนึ่ งที่
ต้องคำนึงถึงคือผู้ป่วยจะมีภาวะซีด (anemia) จากการขาด
ฮอร์โมน erythropoietin จากใต้ไปกระตุ้นไขกระดูกในการสร้าง
เม็ดเลือดแดงด้วย

28

บทที่ 2
ระบบสืบพันธ์ุเพศชาย
(Male reproductive organs)

วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1.ชี้แสดงและระบุตำแหน่งของอวัยวะต่างๆ ที่ประกอบกัน
เป็ นระบบสืบพันธุ์เพศชายได้
2.อธิบายลักษณะทางจุลกายวิภาคศาสตร์ของอัณฑะ (testis)
และโครงสร้างภายในได้
3.อธิบายกระบวนการของการเจริญของเซลล์สืบพันธ์เพศ
ชาย (spermatogenesis)
4.อธิบายลักษณะของเซลล์สืบพันธ์ุเพศชายในระยะต่างๆ
ของการเจริญเติบโตได้
5.อธิบายหน้ าที่การทำงานต่างๆของอวัยวะสืบพันธ์ุเพศชาย
6.อธิบายโครงสร้างของท่อนำน้ำเชื้ออสุจิส่วนต่างๆได้

29

อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย (Male reproductive
organs)

อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย เเบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ อวัยวะ
ส่วนนอกเเละอวัยวะส่วนใน
อวัยวะส่วนนอก ประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1.ถุงอัณฑะ (Scrotum)
2.ลึงค์ หรือ องคชาติ (Penis)
อวัยวะส่วนในประกอบด้วย 6 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1.ลูกอัณฑะ (Testes)
2.ก้านอัณฑะ (Epididymis)
3.ท่อนำ้อสุจิ (Vas deferens)
4.ถุงเก็บนำ้อสุจิ (Seminal vesicle)
5.ต่อมลูกหมาก (Prostate glands)
6.ต่อมขับเมือก (Cowper s glands)

ลักษณะเเละหน้าที่ของอวัยวะสืบพันธุ์เพศชายภายนอก มีดังนี้

1.ถุงอัณฑะ(Scrotum)เป็นถุงหุ้มลูกอัณฑะ (Testes) เเละส่วนต่างๆ ของ
Spermatic cord ผิวหนังถุงอัณฑะมีลักษณะบางเป็นรอยย่นๆ สีคลำ้ มีหน้ าที่
รักษาอุณหภูมิให้พอดีกับการเจริญเติบโตของอสุจิ เเละป้ องกันอันตรายที่จะ
เกิดกับลูกอัณฑะ
2.ลึงค์ หรือองคชาติ (Penis) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อยืดหดตัวได้ (Electile-
tissue)ภายในประกอบด้วยหลอดเลือดมากมาย มีลักษณะเป็นหลอดกลม รูป
ทรงกระบอก 3 ส่วน คือ
Corpus cavernosum มี 2 ส่วน ตั้งอยู่ส่วนบนของความยาว
Corpus spongiosum อยู่ทางด้านล่างมีลักษณะเป้ นเนื้อเยื่อฟองนำ้หุ้มอยู่
รอบๆ ท่อปัสสาวะ(Urethra) ใช้เป็นทางผ่านของปัสสาวะ เเละนำ้อสุจิออกมาสู่
ภายนอก
ชั้นนอกสุดขององคชาติมีหนังหุ้มอยู่ตลอด ความยาวคลุมไปถึงส่วนปลายสุด
จะมีรูปร่างคล้ายดอกเห็ด เรียก Glans penis บริเวณนี้ไวต่อความรู้สึกมาก

เนื่องจากมีเส้นประสาทมาเลี้ยงมากมาย หนังที่หุ้ม Glans penis นี้เรียกว่า 30

Prepuce หรือ Foreskin

Urinary bladder Ureter

Public symphysis Seminal vesicle
Vas deferens Ejaculatory duct
Urethra Prostate gland
Penis
Bulbourethral gland
Foreskin Anus
Scrotum Vas deferens
Epididymis
Testis

ก. อวัยวะสืบพันธุ์ภายในของเพศชาย

ข. อวัยวะสืบพันธุ์ภายในของเพศชาย

31

ลักษณะและหน้าที่ที่สำคัญของอวัยวะสืบพันธุ์ภายในของเพศชาย มีดังนี้

1. ลูกอัณฑะ (Testes) เป็นต่อม (Glandular organ) มีอยู่ 2
ต่อม มีรูปร่างคล้ายรูปไข่ กว้าง ยาว ประมาณ 2 x 4 ซมมีน้ำ
หนักประมาณ 50 กรัม ในขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์ลูกอัณฑะจะ
อยู่ในช่องท้องของเด็ก และจะค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมาตามขาหนีบ
(Inquinal canal) ทั้งสองข้างลงสู่ถุงอัณฑะเมื่อทารกในครรภ์อายุ
ได้ ประมาณ 8 เดือนหรือก่อนคลอด บางรายอาจพบว่าเคลื่อนลง
มาหลังคลอด ถ้าเด็กอายุล่วงเลยไปถึง 12 ขวบ ยังกล่าไม่พบลูก
อัณฑะ ควรรีบปรึกษาแพทย์

หน้ าที่ของ Testes เป็นที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ Spermatozoa
และอีกส่วนหนึ่งทำหน้ าที่เป็นต่อมไร้ท่อ สร้าง Internal
secretion คือ ฮอร์โมนเพศชาย Testosterone ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่
ควบคุมลักษณะของความเป็นชาย โดยจะเริ่มทำงานเมื่อชายเข้า
สู่วัยรุ่น ต่อมปีทูอิตารี่ใต้สมอง (pituitary gland) จะผลิตฮอร์โมน
ซึ่งเรียกย่อๆ ว่า ICSH (Interstitial Cell Stimulating
Hormone) ฮอร์โมนนี้จะกระตุ้นต่อมในลูกอัณฑะ (Testes) ให้
ผลิตฮอร์โมนของชาย Testosterone ซึ่งมีผลทำให้เด็กชายมี
ลักษณะเปลี่ยนแปลงไป เช่น เสียงแตก ขนขึ้นที่รักแร้ มีหนวด
มี กล้ามเนื้อเป็นมัด ฯลฯ เป็นต้น

กระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ (Spermatogenesis)

การสร้างตัวอสุจิจะเกิดขึ้นที่ผนังของท่อ Seminaferous tubules
แต่ละท่อจากกลุ่มเซลล์พิเศษ (Primitive germ cells) เซลล์พวกนี้
จะเจริญไปเป็นเซลล์ก่อพันธุ์ (Spermatogonia) ซึ่งจะอยู่ในชั้น 2
ถึง 3 เหนือขึ้นมาจาก ชั้นฐาน (Basal lamina) ของผนังท่อ เซลล์
พวกนี้จะถูกสร้างและเจริญเติบโตขึ้น ตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้คือ

32

Sperm production Ovum production

First Polar
meiotic body
division

(ก)

Plasma Membrane Middle Head
Tail Piece Neck

Acrosome

(ข)

(ค)
รูป กระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ
(ก) Spermatogenesis (ข) เซลล์สืบพันธ์ุ (Sperm cell) (ค) Electron micrograph ของเซลล์สืบพันธุ์

1.1 จาก Spermatogonia จะเปลี่ยนเป็น Primary spermatocytes
1.2 Primary spermatocyte แบ่งตัวแบบ Meiosis เป็น Secondary
spermatocytes 2 ตัว แต่ละตัว มี 23 โครโมโซม
1.3 Secondary spermatocyte แบ่งตัวแบบ Meiosis ได้เป็น
Spermatid 2 ตัว แต่ละตัวมี 23 โครโมโซม
1.4 Spermatids เจริญเป็นตัวอสุจิ (Spermatozoa หรือ Sperm) จะ
เกาะอยู่รอบๆ และรับอาหาร จาก Sertori cells ซึ่งทำหน้ าที่เหมือนเซลล์
พี่เลี้ยง

33

กระบวนการสร้างตัวอสุจิ เริ่มจากเซลล์ก่อพันธุ์ กินเวลา
ประมาณ 74 วัน การสร้างตัวอสุจิอาศัย อุณหภูมิเหมาะสมซึ่ง
ต่ำกว่าอุณหภูมิในร่างกาย ดังนั้นลูกอัณฑะจึงอยู่ในถุงอัณฑะ
ซึ่งอยู่นอกช่องท้อง

ตัวอสุจิ (Sperm) มีลักษณะคล้ายลูกกบ มีขนาดเล็กมาก
มีความยาวประมาณ 0.6 มม. ประกอบด้วย ส่วนหัว (Head)
กลมรี มีสาร Acrosome สำหรับย่อยผิวนอกของไข่ ก่อนเข้า
ผสมกับไข่ ส่วนคอคือส่วนกลาง และส่วนหาง (Flagellum)
ซึ่งโบกไปมาทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว ในการหลั่งน้ำ
อสุจิครั้งหนึ่งๆ จะมี Spermatozoa อยู่ประมาณ 400-500
ล้านตัว ซึ่งจะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 24-25 ชม

2. ก้านอัณฑะ (Epididymis) มีลักษณะเป็นหลอดหรือท่อ
เล็กๆ ที่ขดไปมาอยู่ในลูกอัณฑะมีอยู่ ประมาณ 300 ท่อ ถ้า
นำท่อเหล่านี้มายืดออกจะได้ความยาวประมาณ 20 ฟุต
มีหน้ าที่สำคัญคือ เป็นที่พัก ชั่วคราวของเชื้ออสุจิที่เจริญเต็ม
ที่ ซึ่งผลิตจากอัณฑะก่อนที่จะส่งผ่านไปยังท่อนำอสุจิ (Vas
deferens)

34

3. ท่อนำอสุจิ (Vas deferens) มี 2 ท่อ เป็นหลอดอยู่ถัด
จากก้านอัณฑะ ท่อน้ำอสุจิจะผ่านเข้าสู่ ช่องท้อง แล้วออกมา
รวมกับถุงเก็บน้ำอสุจิ (Seminal vesicle) ผ่านต่อมลูกหมาก
ออกไปต่อกับท่อปัสสาวะ สำหรับนำตัวอสุจิออกไปสู่ภายนอก
และจากความรู้เรื่องนี้จึงสามารถทำหมันชายได้ด้วยการผูก
ท่อนำน้ำอสุจิ จากก้านอัณฑะทั้งสองท่อไว้ เรียกว่า
Vasectomy

Vas deferens ประกอบด้วย 3 ชั้นคือ ชั้นนอกเป็น
Areolar tissue ชั้นกลางเป็น Muscular tissue และ ชั้นใน
เป็น Mucous membrane

4. ถุงเก็บน้ำอสุจิ (Seminal vesicle) มีลักษณะคล้ายหลอด
ผสมกับถุง มีอยู่ 2 ถุงอยู่ระหว่าง กระเพาะปัสสาวะและทวาร
หนัก (Rectum) เป็นส่วนที่ทำหน้ าที่เก็บตัวอสุจิและสร้าง
น้ำกาม (Semen) ซึ่งมีลักษณะ เป็นเมือกสีขาวขุ่นและข้น
น้ำกามที่สร้างขึ้นนี้จะทำให้ตัวอสุจิสามารถเคลื่อนไหวได้

5. ต่อมลูกหมาก (Prostate gland) เป็นต่อมโตขนาดลูก
หมากอยู่ใต้รูเปิดด้านใน (Internal orifice) ของท่อปัสสาวะ
(Urethra) หน้ าที่สำคัญคือขับน้ำ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆ
ประกอบไปด้วยสารโซเดียม (sodium) โปตัสเซียม
(potassium) แคลเซียม (Calcium) โปรตีน กลูโคส วิตามิน
ซี กรดซิตริก (Citric acid) Alkaline phosphatase และ
cholesterol เพื่อรวมกับถุงเก็บน้ำอสุจิซึ่งมีลักษณะข้นเหลว
สีขาว (Semen) ปกติแล้วน้ำที่ขับจากต่อมลูกหมากจะมี
ปริมาณ 0.5 - 2.0 ลูกบาศก์เซนติเมตร

35

น้ำนี้จะทำหน้ าที่หล่อเลี้ยงและให้อาหารแก่ตัวอสุจิที่ ถูกส่ง
มาจากก้านอัณฑะ ดังนั้นน้ำอสุจิ (Seminal fluid) ที่หลั่ง
ออกมาแต่ละครั้งจึงประกอบด้วยเชื้ออสุจิ (Spermatozoa)
กับน้ำที่ขับจากต่อมลูกหมากร่วมกับถุงเก็บน้ำอสุจิ

6. ต่อมขับเมือก (Cowper's glands) เป็นต่อมที่มีรูปร่าง
กลมเท่าเม็ดถั่ว มีอยู่ 2 ต่อม มีท่อไปคู่ กับท่อน้ำอสุจิ โดยอยู่
ตอนล่างของต่อมลูกหมากและมีรูเล็กๆ เปิดเข้าสู่ผนังของท่อ
ปัสสาวะ (Urethra) หน้ าที่สำคัญ ของต่อมนี้คือขับน้ำหล่อลื่น
(Viscid fluid) เป็นเมือกใสๆ ไปยังองคชาติ เมื่อมีความรู้สึก
ทางเพศ ทำให้ไม่เป็นอุปสรรคในการร่วมเพศและยังทำหน้ าที่
ชำระล้างองคชาติให้สะอาดอีกด้วย กล่าวคือทำหน้ าที่ชำระล้าง
กรดของ น้ำปัสสาวะที่เคลือบท่อปัสสาวะ ทำให้ตัวอสุจิไม่ต้อง
ตายเสียก่อนในขณะที่เคลื่อนออกมา




น้ำอสุจิ (Semen)
น้ำอสุจิหลั่งออกมาจากอวัยวะเพศชายประกอบด้วยสเปิร์ม และ
น้ำเมือกจากต่อมต่างๆ เช่น Seminal vesicles, prostate,
Cowper's gland และ Urethral gland น้ำอสุจิที่หลั่งต่อครั้งมี
ปริมาตรประมาณ 2.5 - 3.5 มล. ของเหลวจาก Prostate gland
มีความเป็ นด่างจะช่วยลดความเป็ นกรดของน้ำคัดหลั่งจากต่อ
มอื่นๆ ส่วนของเหลว จากต่อม Seminal vesicle และ Mucous
gland จะมีลักษณะเป็นเมือก

36

บทที่ 3
ระบบสืบพันธ์เพศหญิง
(Female reproductive organs)

วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1.ชี้แสดงอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ทั้งส่วนที่เป็นอวัยวะ
สืบพันธ์ุภายนอก และอวัยวะสืบพันธ์ุภายในได้
2.อธิบายโครงสร้างและความสำคัญของรังไข่ ท่อนำไข่ มดลูก
ปากมดลูก และช่องคลอดได้
3..อธิบายการตั้งครรภ์และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระยะ
ตั้งครรภ์ได้
4.อธิบายการมีประจำเดือนหรือระดูได้
5.อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบ
สืบพันธุ์กับการคุมกำเนิดได้

37

อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง (Female reproductive organs)
สำหรับอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิงแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน

คืออวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก (External genital organs) และ
อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน (Internal genital organs โดยมีเยื่อ
พรหมจารี (Hymen) กั้นอยู่ระหว่าง 2 ส่วนนี้อวัยวะสืบพันธุ์
ภายนอก (External genital organs) เป็นส่วนของอวัยวะ
สืบพันธุ์ที่อยู่ภายนอกและสามารถมองเห็นได้มีขนาดและรูปร่าง
แตกต่างกันตามบุคคลและเชื้อชาติประกอบด้วยส่วนต่างๆดังนี้

1. หัวเหน่า (Mons pubis) เป็นส่วนที่ใหญ่กว่าส่วนอื่น ๆ ตั้งอยู่
หน้ ากระดูกหัวเหน่าใต้บริเวณท้องน้ อยส่วนนอกเป็นผิวหนังภายใน
เป็ นไขมันมีลักษณะเป็ นรูปสามเหลี่ยมโดยมีฐานอยู่บนและยอดอยู่ข้าง
ล่างในเด็กหญิงเมื่อเข้าสู่วัยสาว (puberty) จะมีขนขึ้นบริเวณนี้

38

2. แคมใหญ่ (Labia majora) มีลักษณะเป็นกลีบเนื้อนูนข้างละ
กลีบต่อลงมาจากหัวเหน่าปกคลุมด้วยผิวหนังมีขนใต้ลงไป
ประกอบด้วยไขมันเป็ นจำนวนมากและมีกล้ามเนื้ อเรียบเส้น
ประสาทเส้นโลหิตมาเลี้ยงมากมายปกติในหญิงสาวแคมใหญ่จะ
ปิดบริเวณปากช่องคลอดมิดชิดเพื่อป้ องกันอวัยวะต่างๆอัน
ละเอียดค่อนภายในกลีบเนื้ อทั้งสองข้างนี้จะเรียวเล็กลงมาชิด
กันที่ฝีเย็บ (Perineum) บริเวณนี้จะมีการฉีกขาดได้ในระหว่าง
ตลอดและถ้ามีการฉีกขาดถึงกล้ามเนื้ อที่ควบคุมการกลั้น
อุจจาระจะทำให้ไม่สามารถกลั้นอุจจาระได้ ที่บริเวณส่วนล่าง
ของช่องคลอดถึงทวารหนักเรียกว่าฝีเย็บ (Perineum) มีกล้าม
เนื้อที่สำคัญ 3 มัดคือ Levator ani เป็นกล้ามเนื้อใหญ่อยู่สอง
ข้างระหว่างปากช่องคลอดกับทวารหนักมีความสำคัญมากเพราะ
อวัยวะสืบพันธุ์ภายในทั้งหมดวางอยู่บนกล้ามเนื้ อเมื่ อขาดแล้ว
เย็บไม่ดีหรือกล้ามเนื้ อหย่อนจะทำให้เกิดกะบังลมเคลื่ อน
(Procedentia uteri) ได้ Sphinctor vagina เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่
รอบ ๆ ปากช่องคลอดเวลาที่คลอดจะตัดกล้ามเนื้อผู้หญิงที่มีลูก
มากๆ แพทย์จะแนะนําให้ขมิบช่องคลอด Sphinctor ani เป็น
กล้ามเนื้ อที่อยู่รอบๆทวารหนักถ้ากล้ามเนื้ อขาดจะทำให้กลั้น
อุจจาระไม่ได้

39

3. แคมเล็ก (Labia minora) อยู่ด้านในของแคมใหญ่มี
ผิวอ่อนนุ่มไม่มีขนตอนบนจะบรรจบกันและอมคลิตอริส
(Clitoris) ไว้

4. คลิตอริส (Clitoris) เป็นติ่งเนื้อเล็ก ๆ รูปร่างคล้าย
ก้านพลูมีผิวหนังโอบหุ้มอยู่ส่วนบนของ Labia minora ที่มา
บรรจบกันประกอบด้วยเนื้อที่แข็งตัวขึ้นได้ (Erectile tissue)
มีเส้นเลือดเส้นประสาทมาเลี้ยงมากจึงเป็ นจุดที่ไวต่อความ
รู้สึกมากซึ่งเทียบได้กับองคชาต (Penis) ของผู้ชาย

5. เวสติบูล (Vestibule) เป็นเนื้อที่อยู่ระหว่าง Labis
minora ทั้งสองข้างปกคลุมด้วย Mucous membrane และ
เป็นบริเวณที่มีช่องเปิด 2 ช่องคือช่องคลอด (Vagina) และ
ช่องปัสสาวะนอกจากนี้ยังมีต่อมที่มีรูเปิดอยู่ 2 ด้านคือ
Skene gland ซึ่งเป็นต่อมที่ทำให้มี Secretion มากและ
Bartholin gland ซึ่งเปิดเข้า Vestibule ทางด้านข้างของ
ปากช่องคลอดมีหน้ าที่ขับน้ำเมือกออกมาหล่อลื่นช่องคลอด
ขณะเกิดความรู้สึกทางเพศ

6. เยื่อพรหมจารี Hymen) เป็นเยื่อบาง ๆ อยู่รอบปาก
เปิ ดของช่องคลอดมีรูอยู่ตรงกลางเพื่ อให้ประจําเดือนผ่านใน
หญิงที่เคยผ่านการร่วมเพศเยื่อนี้จะขาดนอกจากนี้การทำงาน
การเล่นกีฬาบางประเภทอาจทำให้เยื่อพรหมจารีขาดได้ใน
สตรีบางคนที Hymen ปิดปากช่องคลอดจนไม่มีรูเปิดเลย
เรียกว่า Imperforated hymer ทำให้ประจําเดือนไหลออกไม่
ได้จะมีเลือดคั่งในช่องคลอดเรียกว่า Haemato calpos และ
คั่งในโพรงมดลูกเรียกว่า Haemato metra จะมีอาการปวด
ท้องมากทุกเดือนงแก้ไขได้โดยการผ่าตัด

40

อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน (Internal genital organs) ประกอบด้วย
1. ช่องคลอด (Vagina) เป็นท่อยาวจากปากช่องคลอดถึงปาก

มดลูกอยู่ระหว่างหลอดปัสสาวะและทวารหนักมีหน้ าที่เป็นทางผ่าน
ของประจำเดือนออกสู่ภายนอกเป็ นทางผ่านของเชื้ ออสุจิเข้าภายใน
และเป็ นทางผ่านของเด็กตอนคลอดที่ปากช่องคลอดมีเยื่ อพรหมจารี
ปิดอยู่ด้านบนของช่องคลอดยาวประมาณ 7 ซม. และด้านล่างยาว
ประมาณ 9 ซม. ทางช่องคลอดที่เป็นท่อนี้จะไม่เป็นเส้นตรง แต่จะทำ
มุมประมาณ 60 องศาเยื่อบุชั้นในเป็น Mucous membrane ชนิด
Stratified squamous epithelium ซึ่งมีการหลุดสลายตัวเกิดระดูขาว
ปกติในช่องคลอดการสลายตัวของเยื่อบุช่องคลอดนี้เมื่อผสมกับเชื้อ
จุลินทรีย์ชนิด Dederlein bacilli ทำให้เกิดปฏิกิริยาเป็นกรดอ่อน ๆ
ภายในช่องคลอดสามารถต่อต้านเชื้ อโรคบางอย่างได้ถัดลงไปเป็ นชั้น
กล้ามเนื้อเนื้อเยื่อพังผืดซึ่งมีลักษณะเป็นรอยย่น ๆ เรียกว่า Rugae มี
เส้นประสาทเส้นโลหิตมาเลี้ยงมากมายตอนบนสุดของช่องคลอดจะมี
ส่วนหนึ่งของปากมดลูก (Cervix) โผล่ทะลุออกมาเรียกว่า Portio
และบริเวณช่องคลอดรอบ ๆ Portio เรียก Formix ที่สำคัญคือ
Posterior fornix ซึ่งอยู่ข้างใต้ Portio และเป็นส่วนที่มีส่วนของช่อง
ท้องยกมาเรียก Cal de-sac ซึ่งมีประโยชน์ในการตรวจภายในเพราะ
จะบอกได้ว่าในช่องท้องมีหนองอันเกิดจากการอักเสบหรือมีเลือดใน
รายที่เป็ นท้องนอกมดลูก

41

2. มดลูก (Uterus) มีรูปร่างคล้ายผลชมพู่ยาวประมาณ 6-8 ซม.
กว้าง 4 ซม. หนา 2 ซม. โดยส่วนใหญ่อยู่ข้างบนส่วนเล็กอยู่ข้าง
ล่างติดต่อกับช่องคลอดและมดลูกจะทำมุมกับช่องคลอดโดยหัก
ไปข้างหน้ าเล็กน้ อย

มดลูกหน้ าที่คือทำให้เกิดระตูและ
เป็นที่อยู่ของเด็กในครรภ์โพรง

มดลูกมีเนื้อที่ประมาณ 3-4 ลูกบาศก์เซนติเมตรเท่านั้น แต่ใน
เวลาตั้งครรภ์โพรงมดลูกจะขยายตัวมากขนาดน้ำได้ถึง 3,000-
5,000 ลูกบาศก์เซนติเมตรเนื้อมดลูกประกอบด้วย 3 ชั้นชั้นนอก
สุดเรียก Serosa เป็นเยื่อบาง ๆ คลุมมดลูกอยู่ซึ่งตามจริงก็คือ
เยื่ อบุช่องท้องนั่นเองชั้นกลางเป็ นกล้ามเนื้ อเรียกว่า
Myometrium ซึ่งมีหลายชั้นเรียงตัวประสานสลับกันสับสนเป็น
ระเบียบเพื่ อเป็ นประโยชน์ในการบีบตัวของมดลูกชั้นในสุดเรียก
ว่าเยื่อบุมดลูก (Endometrium) มีลักษณะบางภายในประกอบ
ด้วยคอมต่างๆเป็ นจำนวนมากและมีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงเมื่ อ
เนื้อเยื่อ Endometrium ถูกทำลายจะมีการฉีกขาดของเส้นเลือด
ฝอยทำให้เลือดไหลออกมาเป็ นประจําเดือนและจะมีการเจริญ
งอกขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าเกิดการตั้งครรภ์เยื่อบุมดลูกจะหนาขึ้นกว่า
เดิมหลายเท่า

42

ส่วนต่างๆของมดลูกจะแบ่งได้เป็ น 4 ส่วนคือ

1. ส่วนยอดของมดลูก (Fundus) คือส่วนที่อยู่เหนือปีก

มดลูกและท่อรังไข่ (Uterine tube ขึ้นไปเป็นส่วนที่ไม่มีความสำคัญ

เท่าใดนักจาก tube จะมี Round ligament ยึดมดลูกให้ติดกับผนัง

ช่องท้องลักษณะเป็ นเอ็นกลมซึ่งตามปกติโดยประมาณขนาดดินสอด

และเมื่อตั้งครรภ์จะโตมากขึ้นเพราะจะต้องช่วยยึดมดลูกและช่วยใน

การคลอดด้วยในรายที่มีลูกมาก ๆ เย็นนี้จะถูกยึดมากทำให้เกิด

มดลูกหย่อนซึ่งอาจต้องผ่าเพื่อดึงให้มดลูกขึ้นเรียกการผ่าตัดนิ้ว่า

Shortening of round ligament

2. ตัวมดลูก (Corpus) ได้แก่ ส่วนกลางถัดจากส่วนยอด

จนถึงส่วนคอมดลูกมีความสําคัญคือเป็ นส่วนที่มีการบีบตัวเพื่ อให้

เด็กคลอด

3. ส่วนคอมดลูก (Isthmus) เป็นส่วนที่คอดเล็กที่สุดไม่มี

ความสำคัญเป็น แต่เพียงส่วนแบ่งระหว่าง Corpus กับ Cervix

เท่านั้น

4. ปากมดลูก (Cervix) เป็นส่วนปลายสุดของมดลูกมีลักษณะ

เป็นแท่งเนื้อที่มีโพรงเล็กมากเรียกว่า Cervical canal ความยาว

ประมาณ 2-3 ซมปลายสุดด้านนอกของ canal เรียก External os

มีรูเปิดติดต่อกับช่องคลอด (Vagina) คนที่ยังไม่เคยมีบุตรลักษณะ

จะกลม แต่ในคนที่เคยมีบุตรจะมีการฉีกขาดตอนคลอดโดยปกติ

External os จะมีเยื่อมุก (Mucous plug) จุกอยู่ตลอดเวลาและมูล

นี้จะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงตามระดับฮอร์โมนของรังไข่ในระยะเวลา

ใกล้ไข่สุกลูกนี้จะใสกว่าปกติและจะหลุดออกเฉพาะตอนมีประจํา

เดือนเท่านั้นดังนั้นจึงต้องระวังการติดเชื้อขณะมีประจำเดือน

Mucous plug นี้เกิดขึ้นจากต่อมต่างๆภายใน Cervical canal ส่วน

ปลายบนสุดของ Cervical canal ติดต่อกับ Uterine cavity เรียก

Internal os ซึ่งเวลาปกติจะปิและจะเปิดเมื่อมีประจําเดือนและเวลา

คลอดเท่านั้น 43

5. ปี กมดลูกหรือท่อรังไข่ (Uterine tube หรือ Follopian tube)
มีอยู่ 2 ข้างขวา-ซ้ายออกจากตอนบนของมดลูกทอดออกไปทางด้านข้าง
ยาวประมาณ 6-7 ซม. ตอนปลายอยู่ชิดกับรังไข่ (Ovary) ซึ่งโดบาน
ออกคล้ายปากแตรเรียก Fimbria ซึ่งจะเป็นทางเปิดเข้าสู่ช่องท้อง
(Peritoneal cavity) ส่วนประกอบของปีกมดลูก (Tube) มีกล้ามเนื้อซึ่ง
บีบรัดตัวเสมอและภายในของหลอดประกอบด้วยเซลล์ที่มีขนละเอียด
ช่วยพัดโบกไข่เข้าโพรงมดลูกปี กมดลูกนี้เป็ นที่ที่เกิดการผสมพันธุ์กัน
ระหว่างไข่กับตัวยสุจิเรียกว่าการปฏิสนธิ (Fertilization) และไข่ผสม
แล้วนี้เรียกว่า Fertilized ovum ซึ่งจะเดินทางไปฝังตัวที่เยื่อบุมดลูก
(Endometrium) ในโพรงมดลูก
ส่วนต่างๆของ Uterine tube มี 4 ส่วนคือ
1. Interstitial part คือส่วนของท่อมีอยู่ในเนื้อ Myometrium
2. Isthmus part คือส่วนของท่อที่มีรูแคบต่อจากส่วนที่ 1 ออกไป
3. Ampulla part คือส่วนของท่อที่มีรูกว้างอยู่ถัดออกไปอีก
4. Infundibulum เป็นส่วนปลายสุดของท่องบานออกเหมือนปากแตร

6 . รังไข่ (Ovary) มีลักษณะคล้ายเม็ดมะม่วงหิมพานต์ยาว 2-3
ซม. หนา 1 ซม. อยู่ 2 ข้างซ้ายขวาของมดลูกยึดติดกับตัวมดลูกโดย
Ovarian ligament proper ทางด้านหน้ าด้านหลังถูกยึดโดย Meso
salpinx กับผนังช่องท้องด้านนอกไม่มีอะไรคลุมและอยู่ชิดกับปากท่อ
รังไข่ตรง Fimbria ภายในรังไข่ประกอบด้วย follicle เล็ก ๆ เป็นจํานว
นมากซึ่งภายใน Follicle จะมีไข่เล็ก ๆ เรียก Primodial ova ก่อนวัย
สาว (Puberty) follicle จะให้ Hormone เรียก Follicular Hormone
เพื่อทำให้อวัยวะสืบพันธุ์เจริญขึ้น แต่ยังไม่มีไข่สุกตกจากรังไข่เมื่อถึงวัย
สาวคือวัยที่เริ่มมีประจำเดือนในรังไข่จะมีการเจริญของ follicle เต็มที่
หนึ่ง follicle และแตกปรออกปล่อยให้ไข่ตกออกมาเดือนละ 1 ฟองเรียก
ว่า Ovulation ซึ่งจะตรงกับ วันที่ 14 ของรอบประจําเดือนแล้ว follicle
นั้นจะกลายเป็น Corpus luteum

44

ซึ่งจะให้ Hormone อีกอย่างคือ Corpus lutial hormone หรือ
Progesterone ซึ่งมีผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุมดลูกส่วน
ไข่ที่หลุดออกมาในช่องท้องจะถูก ดูดโดย Fimbria เข้าไปในปีก
มดลูก
เส้นเลือดที่สำคัญคือ
1. Uterine artery อยู่สองข้างของมดลูกนำเลือดมาเลี้ยงมดลูกและ
ปี กมดลูกในขณะที่ตั้งครรภ์เส้นเลือดนี้จะโตมากถ้ามีการฉีกขาดจะ
เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ Uterine vein จะทอดสวนทางกันกับ
Uterine artery
2. Ovarian artery เส้นเล็กกว่านำเลือดมาเลี้ยงรังไข่และปีกมดลูก
ทอดไปประสานกับ Uterine artery ส่วน Ovarian vein ก็ทอดขนาน
และสวนทางกันกับ Artery

45


Click to View FlipBook Version