๑
๒
คู่มือการอบรมลาตดั และเพลงพื้นบา้ นภาคกลาง
กจิ กรรมอบรมศิลปะการแสดงลาตดั และเพลงพ้นื บ้านภาคกลางออนไลน์
โครงการส่งเสรมิ การอนุรักษฟ์ น้ื ฟูขนบธรรมเนียมประเพณีวฒั นธรรมท้องถน่ิ
ประจาปีงบประมาณ ๒๕๖๔
โดยการสนับสนุนจาก
กระทรวงวัฒนธรรม จังหวดั นครปฐม สานักงานวฒั นธรรมจงั หวัดนครปฐม มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล
© แหล่งเรียนรมู้ รดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมลาตดั และเพลงพ้ืนบา้ นภาคกลาง
พอ่ หวังเต๊ะ-แมศ่ รีนวล ตาบลลาลูกบัว อาเภอดอนตมู จงั หวัดนครปฐม
ท่ปี รึกษา ศรีนวล ขาอาจ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภลิ กั ษณ์ เกษมผลกูล
บรรณาธกิ าร นริ ามัย นมิ า
กองบรรณาธกิ าร อธิชนนั สิงหตระกูล
ปก บณั ฑติ ย์ แตงออ่ น
สทิ ธิพล สงั ทบั
กิตตนิ นั ท์ พลอยสระศรี
เอกสารชดุ นจี้ ัดทาขึ้นเพือ่ ประโยชนส์ าหรับการศึกษา
ห้ามจาหน่าย
๓
๔
คำนำ
คู่มือการอบรมลาตัดและเพลงพืน้ บ้านภาคกลางน้ีจดั ทาข้ึนเพื่อใชป้ ระกอบกจิ กรรมอบรม
ศิลปะการแสดงลาตัดและเพลงพ้ืนบ้านภาคกลางออนไลน์ เพ่ือถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาทาง
วัฒนธรรมสู่ผู้สนใจ โดยการสนับสนุนจากจังหวัดนครปฐม สานักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครปฐม
กระทรวงวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับแหลง่ เรียนรู้มรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมลาตัด
และเพลงพ้ืนบ้านภาคกลาง พ่อหวังเต๊ะ-แม่ศรีนวล เน้ือหาประกอบด้วยประวัติครูเพลงลาตัด
ประวัติคณะลาตัดหวังเต๊ะ ความรู้ท่ัวไปเก่ียวกับลาตัด เพลงลาตัด เพลงพื้นบ้าน ลักษณะและ
ตัวอยา่ งการแต่งเพลงลาตดั และทา่ ราแบบลาตัด
คณะกรรมการดาเนินงานขอขอบพระคุณครูเพลงพ้ืนบ้าน แม่ศรีนวล ขาอาจ และคณะ
วิทยากร ที่กรุณาอุทิศตนเพื่อสืบทอดภูมิปัญญาด้านลาตัดให้ยังคงอยู่สืบมา ทั้งยังเสียสละแรงกาย
แรงใจรว่ มเป็นผูด้ าเนนิ งานคร้ังน้ีอยา่ งดีย่งิ
คณะกรรมการดาเนนิ งาน
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔
๕ ๑
๕
สำรบญั ๙
๒๑
ประวตั ิพ่อหวังดี (หวงั เต๊ะ) นมิ ำ ๒๓
ประวัตแิ ม่ศรนี วล ขำอำจ ๓๕
ลำตัด: ประวตั ิและควำมเปน็ มำ ๓๕
ประวตั ิคณะลำตดั หวงั เตะ๊ ๓๖
คมู่ อื ลำตัดคณะพอ่ หวงั เตะ๊ -แม่ศรีนวล รปู แบบอนิ โฟกรำฟิกและสอื่ ประสม ๓๗
เพลงลำตัด ๓๘
๓๙
เพลงลอยนกนอ้ ย (หญิง) ๔๐
เพลงลอยนกนอ้ ย (ชาย) ๔๑
เพลงลอยปะ๊ เพียว ๔๒
ลาตัดทานองกลาง กลอนไลตบมือ ๔๔
ลาตดั ทานองกลาง กลอนลู ๔๖
ลาตดั ทานองกระพอื กลอนเลย ๔๗
ลาตดั ทานองกระพอื กลอนลา ๔๗
ลาตัดทานองเพราะ กลอนลี ๔๘
ลาตัดทานองโศก กลอนลอน ๕๒
ลาตดั ทานองแขก ทานองมอญ ทานองลาว ๕๔
เพลงพนื้ บ้ำน ๕๕
เพลงเรือ ๕๖
เพลงฉอ่ ย
เพลงเกีย่ วข้าว
เพลงอแี ซว
ลักษณะและตวั อยำ่ งกำรแตง่ เพลงลำตดั
ทำ่ รำแบบลำตดั
๑
๑
พอ่ หวังดี (หวงั เต๊ะ) นิมำ*
ศลิ ปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน)
พุทธศักราช ๒๕๓๑
ประวัติ
นายหวังดี นิมา หรือเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “หวังเต๊ะ” เกิดเมื่อเดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๔๖๘
ท่ีจังหวัดปทุมธานี พ่อหวังเต๊ะเป็นศิลปินผู้มีความสามารถเป็นเลิศด้านศิลปะเพลงพื้นบ้าน มีความชานาญ
เป็นพิเศษในการแสดงลาตัด โดยตั้งคณะชื่อ “ลาตัดหวังเต๊ะ” รับงานแสดงเป็นอาชีพมาจนถึงปัจจุบัน จนชื่อ
หวังเต๊ะแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของลาตัด แม้ว่าจะชานาญในเพลงพื้นบ้านแบบอื่นๆ ด้วย กล่าวได้ว่า
พ่อหวังเต๊ะเป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์และสืบทอดศิลปะการแสดงพื้นบ้านให้ยืนยงอยู่ได้อย่างน่าภาคภูมิยิ่ง
พ่อหวังเต๊ะเป็นศิลปินท่ีมีความสามารถรอบตัว มีความเป็นเลิศทั้งด้านปฏิภาณและความคิดในการแสดงเพลง
พ้ืนบ้าน สามารถด้นกลอนสดและแต่งคาร้องได้อย่างคมคาย เหมาะสมกับลีลาและสถานการณ์ สร้างความ
บันเทิงเริงรมย์แก่ผู้ฟงั ผู้ชมตลอดเวลาอย่างยากจะหาใครเทียบได้ท้ังในอดีตและปจั จุบัน พอ่ หวงั เต๊ะไดแ้ สดงให้
มหาชนประจักษ์ถึงอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาและการแสดงได้อย่างเชี่ยวชาญ สมกับสุนทรียลักษณ์ของ
ภาษาไทยท่ีมีมาแต่โบราณกาล และยังเป็นศิลปินผู้มีคุณธรรม ได้ใช้ศิลปะการแสดงเป็นสัมมาชีพอย่างซื่อสัตย์
ตลอดมา ท้งั ได้ถ่ายทอดศิลปะวิชาใหแ้ กท่ ้ังบคุ คลในคณะและสถาบนั ต่างๆ อยา่ งสม่าเสมอ นบั ไดว้ า่ พ่อหวังเต๊ะ
เปน็ ศลิ ปนิ ท่ีไดบ้ าเพญ็ ประโยชน์ท้งั ดา้ นสรา้ งสรรคแ์ ละอนุรักษ์ศลิ ปะ อันเปน็ สมบตั ทิ างวัฒนธรรมไทยมาตลอด
ระยะเวลายาวนาน
นายหวังดี นิมา หรือหวังเต๊ะ จึงได้รับการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขา
ศลิ ปะการแสดง (เพลงพน้ื บ้าน) พทุ ธศักราช ๒๕๓๑
พอ่ หวงั เต๊ะเสียชวี ิตด้วยโรคมะเร็งตับ มะเร็งปอด และโรคหัวใจ เม่ือวันองั คารท่ี ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕
เวลา ๐๓.๑๓ น. ณ โรงพยาบาลบารงุ ราษฎร์ สิรอิ ายรุ วม ๘๗ ปี
* กรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม. ๒๕๕๕. นำยหวังดี นมิ ำ (หวังเต๊ะ) ศลิ ปนิ แหง่ ชำติ สำขำศิลปะกำรแสดง (เพลงพ้ืนบำ้ น)
พุ ท ธ ศั ก ร ำ ช ๒ ๕ ๓ ๑ . ( อ อ น ไ ล น์ ) . แ ห ล่ ง ที่ ม า : http: / / www1 . culture. go. th/ subculture3 / images/
M_images/vt4.pdf. เข้าถึงวนั ท่ี ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐.
๒
๓
คำประกำศเกยี รตคิ ณุ
นายหวังดี นิมา หรอื เป็นทีร่ จู้ ักกันดใี นนามหวงั เตะ๊ เกดิ เม่ือเดือนมีนาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๖๘ ทจ่ี งั หวดั
ปทมุ ธานี หวังเตะ๊ เป็นศิลปินผู้มคี วามสามารถเป็นเลิศดา้ นศลิ ปะเพลงพ้ืนบา้ น มคี วามชานาญเป็นพิเศษในการ
แสดงลาตัด โดยตงั้ คณะชือ่ ลาตัดหวงั เต๊ะรับงานแสดงเป็นอาชีพมาจนถึงปัจจุบันกว่า ๔๐ ปี จนชอ่ื หวังเต๊ะแทบ
จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของลาตัด แม้ว่าจะชานาญในเพลงพื้นบ้านแบบอ่ืน ๆ ด้วย กล่าวได้ว่า หวังเต๊ะ เป็น
ศิลปนิ ผู้สร้างสรรค์และสืบทอดศิลปะการแสดงพื้นบ้านให้ยืนยงอยู่ไดอ้ ย่างน่าภาคภูมิย่ิง หวงั เต๊ะเปน็ ศิลปินที่มี
ความสามารถรอบตวั มีความเป็นเลศิ ท้งั ด้านปฏภิ าณและความคิดในการแสดงเพลงพนื้ บา้ น สามารถดน้ กลอน
สดและแต่งคาร้องได้อย่างคมคาย เหมาะสมกับลีลาและสถานการณ์ สร้างความบันเทิงเริงรมย์แก่ผู้ฟังผู้ชม
ตลอดเวลา อย่างยากจะหาใครเทียบได้ท้ังในอดีตและปัจจุบัน หวังเต๊ะได้แสดงให้มหาชนประจักษ์ถึง
อัจฉริยภาพในการใชภ้ าษาและการแสดงไดอ้ ย่างเชีย่ วชาญ สมกบั สุนทรยี ลักษณข์ องภาษาไทยที่มีมาแตโ่ บราณ
กาล หวังเตะ๊ เป็นศิลปนิ ผู้มีคุณธรรม ได้ใชศ้ ิลปะการแสดงเป็นสมั มาชีพอยา่ งซอื่ สตั ย์ตลอดมา ทั้งได้ถ่ายทอด
ศิลปะวิชาให้แก่ทั้งบุคคลในคณะและสถาบันต่าง ๆ อย่างสม่าเสมอ นับว่าหวังเต๊ะเป็นศิลปินท่ีได้บาเพ็ญ
ประโยชน์ทงั้ ดา้ นสร้างสรรคแ์ ละอนรุ กั ษ์ศลิ ปะ อนั เปน็ สมบตั ิทางวฒั นธรรมไทยมาตลอดระยะเวลายาวนาน
นายหวังดี นิมา หรือหวังเต๊ะ สมควรได้รับการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขา
ศลิ ปะการแสดง (เพลงพนื้ บ้าน) ประจาปี พุทธศกั ราช ๒๕๓๑
๔
๕
แม่ศรนี วล ขำอำจ
ศิลปนิ แห่งชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง (เพลงพื้นบา้ น-ลาตดั )
พุทธศักราช ๒๕๖๒
ประวตั ิ
นางศรีนวล ขาอาจ เร่ิมฝึกหัดการแสดงพนื้ บ้าน ประเภทลาตัด ตัง้ แตอ่ ายุ ๑๕ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕
โดยมี ครูเต๊ะ นิมำ ผู้เป็นบิดาของนายหวังดี นิมา หรือหวังเต๊ะ เป็นครูคนแรก นอกจากนี้ แม่ศรีนวลยังได้
ศึกษาการแต่งบทลาตัดแบบโบราณจากแม่ตะลุ่ม แม่เพลงลาตัดอาวุโสอีกท่านหน่ึง อีกทั้งยังได้ศึกษา
แบบแผนการแสดงจากศิลปินเพลงพ้ืนบ้านรุ่นเก่าด้วยตนเอง อาทิ แม่ทองอยู่ รักษำพล แม่ทองหล่อ
ทำเลทอง ตำพรหม ตำผ่ำน เป็นตน้ ตลอดจนได้ฝึกหัดแต่งบทลาตัดตามคาแนะนาของนายหวังดี (หวังเตะ๊ )
ผ้เู ปน็ หัวหน้าคณะ
นอกจากลาตัดซึ่งเป็นเพลงพ้ืนบา้ นท่ีแม่ศรนี วลมีความชานาญเป็นพเิ ศษแล้ว แม่ศรีนวลยังสนใจศึกษา
ศิลปะการแสดงเพลงพื้นบ้านประเภทอื่นๆ จากพ่อเพลงแม่เพลงหลายท่าน อันได้แก่ ฝึกหัดเพลงอีแซวและ
เพลงฉ่อยจากแม่บัวผัน จันทร์ศรี (ศิลปินแห่งชาติ) และแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ (ศิลปินแห่งชาติ) เพลง
ปรบไก่และเพลงโนเนจาก อำจำรย์นำฏยำ สุวรรณทรัพย์ อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ รวมถึง
เพลงขอทาน เพลงเกี่ยวข้าวและเพลงพวงมาลัยของจังหวัดปทุมธานีจาก พ่อหวังเต๊ะ (หวังดี)นิมำ (ศิลปิน
แห่งชาติ) ยิ่งไปว่านั้น นางศรีนวลยังได้ศึกษาศิลปะการราตามแบบนาฏศิลป์ไทยมาตรฐานจาก คุณครูทองเร่ิม
มงคลนัฏ ครนู าฏศลิ ปผ์ ูเ้ ชีย่ วชาญด้านการแสดงโขนของกรมศิลปากร และศลิ ปะการราแบบพน้ื บา้ นจาก คณะ
ลิเกศิลปพ์ ร อีกด้วย
แม่ศรีนวล เริ่มเข้าสู่วงการเพลงพ้ืนบ้านลาตัดภายหลังจากสาเร็จการศึกษาช้ันประถมศึกษาปีที่ ๔
ซ่ึงเป็นการศึกษาภาคบังคับ โดยหลังจากศึกษาและฝึกซ้อมการร้องลาตัดจากครูเต๊ะ นิมา ได้เพียง ๓ เดือน
แม่ศรีนวลก็สามารถออกแสดงเป็นคร้ังแรกในคณะลาตัดของคณะบุญช่วยในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ซ่ึงขณะน้ัน
แม่ศรีนวลมีอายเุ พียง ๑๕ ปี
๖
นานวันเข้าความสามารถของนางศรีนวลในฐานะ “แม่เพลงลาตัด” ยิ่งปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด
ส่งผลให้แม่ทองเล่ือน ครูลาตัดอาวุโสซ่ึงเป็นท่ีเคารพของคนในวงการเพลงพ้ืนบ้าน ได้สนับสนุนให้แม่ศรีนวล
เข้าร่วมกับ คณะลำตดั ของพ่อหวังเต๊ะ นิมำ และแม่ประยูร ยมเย่ียม เพ่ือให้เป็นนักแสดงหลกั อกี คนหนึง่ ของ
คณะในเวลาตอ่ มา ทงั้ นแี้ มศ่ รนี วลได้แสดงประจาคณะลาตดั ของนายหวงั ดี (หวังเต๊ะ) นิมา มาจนถงึ ปัจจุบนั
นำงศรีนวล ขำอำจ ได้รับกำรประกำศยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชำติ สำขำ
ศิลปะกำรแสดง (เพลงพ้ืนบำ้ น-ลำตัด) พุทธศักรำช ๒๕๖๒
๕ ศลิ ปินแห่งชำติ ด้ำนเพลงพื้นบำ้ นได้แก่ แม่บวั ผนั จันทร์ จนั ทรศ์ รี
พ่อหวังดี (หวงั เตะ๊ ) นมิ ำ แมข่ วญั จติ ศรปี ระจนั ต์ แม่ศรนี วล ขำอำจ และอ.เอนก นำวิกมลู
เม่อื ครงั้ ไปเล่นเพลงท่ีวัดพังม่วง อ.ศรปี ระจันต์ จ.สพุ รรณบุรี ๒๗ พฤศจิกำยน ๒๕๓๗
(ให้ควำมอนุเครำะหภ์ ำพโดย อำจำรยเ์ อนก นำวิกมูล)
๗
คำประกำศเกียรตคิ ุณ
นางศรีนวล ขาอาจ เกิดเม่ือวันท่ี ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ท่ีเขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ปัจจุบัน
อายุ ๗๓ ปี มีความสนใจใฝ่รู้ในศิลปะการแสดงพื้นบ้านมาต้ังแต่วัยเยาว์ โดยสามารถจดจาคาร้อง ท่ารา และ
ฝึกฝนด้วย ตนเอง หลังจบการศึกษาระดับประถมศึกษา ท่ีโรงเรียนวัดกลางทอง (วัดปุรณาวาส) เขตตล่ิงชัน
กรุงเทพมหานคร เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี จึงได้เริ่มฝึกหัดการแสดงพื้นบ้าน (ลาตัด) จากครูเตะ๊ นิมา ซ่ึงเป็นบิดาของ
นายหวังดี นิมา (หวังเต๊ะ) ต่อมาได้เรียนรู้การขับร้องเพลงพ้ืนบ้านเพ่ิมเติมจากครูเพลงอีกหลายท่าน อาทิ
แม่ทองอยู่ รักษาพล แม่ทองหล่อ ทาเลทอง พ่อพรหม เอ่ียมเจ้า แม่บัวผัน จันทร์ศรี แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์
(นางเกลียว เสร็จกิจ) และ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัย
ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ นางศรีนวล ขาอาจ ออกแสดงลาตัดเป็นคร้ังแรกกับคณะบุญช่วย
และด้วยความเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบ และลีลาการร้องการราอันสวยงาม จึงทาให้แม่ทองเลื่อน คุณพันธ์
ครูลาตัดอาวุโสสนับสนุนให้เข้าร่วมในคณะลาตัดของหวังเต๊ะ นับแต่นั้นเป็นต้นมา รับบทนางเอก ทาหน้าที่
แม่เพลงร้องนา ด้วยความรักในงานแสดงจึงพยายามศึกษา เพม่ิ เตมิ จากครูเพลงรุ่นเก่าที่มีชอื่ เสียง ทาให้พฒั นา
ฝีมือในการแสดงมากข้ึน รวมถึงได้รับคาแนะนาเทคนิคต่างๆ ในการแสดงลาตัดจากนายหวังดี นิมา (หวังเต๊ะ)
หัวหน้าคณะซึ่งเป็นทั้งครูและคู่ชีวิต ในช่วงเวลาเกือบ ๖ ทศวรรษ นางศรีนวลได้สร้างสรรค์ผลงานการแสดง
พน้ื บา้ น (ลาตัด) มาอยา่ งต่อเน่อื ง มคี วามสามารถด้านการขับรอ้ ง ด้นสด การประพันธบ์ ทร้องลาตดั สร้างสรรค์
ท่าราประกอบการแสดงลาตัด จนเป็นมาตรฐานให้กับศิลปินลาตัดทั่วไป เผยแพร่ การแสดงผ่านสื่อสมัยใหม่
ทกุ รปู แบบสู่สังคม รักษากฎเกณฑก์ ารใช้ภาษาที่สุภาพ และปรับวธิ กี ารแสดงให้ เหมาะสมกับกาลเทศะ เป็น
ผู้สร้างศิลปินลาตัดรุ่นใหม่และถ่ายทอดความรู้แก่เยาวชนอย่างต่อเน่ือง จนได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย ท้ังใน
ระดับท้องถิ่นและระดับชาติจึงนับได้ว่าเป็นศิลปินเพลงพื้นบ้านชั้นนาท่ีสามารถอนุรักษ์สืบสาน ศิลปะและ
วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ผ่านบทร้องราที่ไพเราะ มีอารมณ์ขัน เป็นผู้ใฝ่รู้ พัฒนาตนเองอยู่ เสมอ
นาความรู้ในโลกปัจจุบัน ปรับประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย เข้าถึงคนทุกกลุ่ม เพื่อปลุกจิตสานึกและภาคภูมิใจใน
ศิลปะการแสดงพ้นื บ้าน (ลาตดั ) ผ่านการแสดง การส่งเสรมิ การฝึกอบรม โดยเปดิ บา้ นพักให้เปน็ “แหล่งเรียนรู้
เพลงพน้ื บ้านภาคกลาง พ่อหวังเตะ๊ แม่ศรีนวล” ถ่ายทอดแก่เยาวชน และประชาชน ผู้สนใจโดยไม่คิดค่าใชจ้ ่าย
ใดๆ นอกจากน้ี ยังเป็นผู้ที่ให้ความร่วมมือสนับสนุนหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างเต็มความรู้
ความสามารถ และ เปน็ วทิ ยากรบรรยายพิเศษให้กับสถาบนั ทางการศึกษาหลายแห่ง ตลอดจนให้การชว่ ยเหลือ
งานสาธารณกุศลต่าง ๆ อย่างสม่าเสมอ นางศรีนวล ขาอาจ จึงสมควรได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปิน
แหง่ ชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพน้ื บ้าน - ลาตดั ) พุทธศกั ราช ๒๕๖๒
๘
๙
ลำตดั : ประวัตแิ ละควำมเปน็ มำ
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.อภลิ ักษณ์ เกษมผลกลู * เรยี บเรียง
ลาตัดเป็นการแสดงพื้นบ้านของภาคกลาง จัดเป็นการแสดงบนเวทีท่ีมีขึ้นในเทศกาลเพ่ือความร่ืนเริง
และได้รับความนิยมมาก การเล่นลาตัดนั้นมีท้ังการร้องด้วยทานองต่างๆ กันเปลี่ยนแปลงไปตามเนื้อร้องท่ี
ปรากฏ และการราประกอบดว้ ยลลี าต่างๆ
ในเรื่องความหมายของลาตัดนั้น มีผู้รู้ทางด้านศิลปวัฒนธรรมไดใ้ ห้ความหมายไว้อย่างน่าสนใจ ดังจะ
ยกตวั อยา่ งมาดงั ตอ่ ไปน้ี
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ใหค้ วามหมายของคาว่า “ลาตัด” ไวว้ ่า หมายถึง “การละเล่นที่
เป็นทานองร้องตอ่ กันคนละวรรคหรอื คนละหน”๑
เด่นดวง พมุ่ ศิริ ไดก้ ลา่ วถึงความหมายของลาตดั ไวว้ า่
“ลำ คือ เนื้อร้องในใจควำมต่ำงๆ กัน เช่น ลำไหว้ครู ลำเก้ียว ลำสำด ลำว่ำ ลำ
ด่ำ ลำลอย เป็นต้น ส่วนคำว่ำ ตัด หมำยถึง ว่ำตัดเข้ำทำนองเพลงต่ำงๆ ของแขกของไทย
ของเพลงมโหรี ปี่พำทย์ ในตอนที่ไพเรำะเหมำะสมที่จะร้องเข้ำจังหวะรำมะนำได้ครึกครื้น
กระฉับกระเฉง นอกจำกนี้ก็ไปตัดหรือเลียนแบบกำรแสดงอื่นๆ อย่ำงโน้นนิดน้ีหน่อย เช่น
โขน ละคร งวิ้ สวดคฤหัสถ์ และทำนองเพลงพน้ื บำ้ นอื่นๆ เช่น เพลงฉอ่ ง เพลงเก่ียวข้ำว เพลง
อีแซว ...”๒
นอกจากน้ียงั มีผูใ้ ห้ความหมายของคาวา่ ลาตัด ไวอ้ ีกว่า “ลา คอื เพลง ตดั คือ แยก ฉะนนั้ ลาตัด จึง
เป็นการนาเพลงประเภทต่างๆ เป็นบางตอนจากบทเพลงมาร้องต่อกัน ว่ากันไปเร่ือยๆ เช่น ว่าเพลงอีแซวต่อ
ดว้ ยเพลงฉอ่ ย อะไรทานองนี้ เพลงลาตดั จึงตัดสมชอ่ื จริง”๓
มนตรี ตราโมท ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านการดนตรี และการแสดงในด้านต่างๆ ก็เป็นอีกผู้หนึ่งท่ีได้
พยายามค้นหาที่มาของคาว่า ลาตัด ว่าใครเป็นผู้ตง้ั ชือ่ ของการละเล่นชนิดน้ี และการตงั้ ช่ือเช่นนี้มาจากอะไร
ซึ่งก็ไม่ได้รับคาตอบเป็นที่พอใจหรือได้รับความสว่างข้ึนอย่างไรเลย แต่เม่ือมาพิจารณาดูการเล่นลิเกบันตน
ซึ่งเปน็ การเล่นของมลายู จะพบว่ามีการเล่นที่คล้ายกับลาตัดของไทย คือ ตอนที่เรียกว่า ละกูเยา ซึ่งมีลักษณะ
เป็นกลอนด้นและมีลูกคู่รับเม่ือจบบทหน่ึงๆ ส่วนชื่อลาตัดนั้นถ้าพิจารณาตามช่ือน่าจะสันนิษฐานได้ว่า
“เป็นเพราะลาท่ีรอ้ งน้นั ตัดทอนจากเพลงต่างๆ ท่ใี ชร้ อ้ งส่งกนั ท่ัวไป”๔
นอกจากข้อสันนิษฐานดังกล่าวแล้ว มนตรี ตราโมท๕ ยังได้ให้ข้อสังเกตเพ่ิมเติมไว้ว่า คาว่า เพลง กับ
ลา นไ้ี มเ่ หมอื นกัน หากจะวา่ กันตามข้อสันนิษฐานข้างต้นกค็ วรจะเรยี กวา่ “เพลงตัด” ไม่ใช่ “ลาตัด” และหาก
จะใชค้ าว่า “ลา” ก็ควรใช้กิริยาว่า “ขับ” แตเ่ ม่ือใชก้ ิรยิ าว่า “ร้อง” กค็ วรใช้คาว่า “เพลง”
* ประธานศนู ย์สยามทรรศนศ์ กึ ษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
๑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนำนกุ รม, หน้า ๗๑๐.
๒ เด่นดวง พุม่ ศิร,ิ กำรศึกษำและวจิ ยั วฒั นธรรมพ้ืนบ้ำนในแนวศลิ ปกรรม, หนำ้ ๑๔๔.
๓ปฏิญญำ ๒, ๑๕ (๑๔ ธนั วาคม ๒๕ ๒๒): ๔๐.
๔ มนตรี ตราโมท, กำรละเลน่ ของไทย, หน้า ๙๒.
๕ เร่ืองเดิม, หน้า ๙๓.
๑๐
เมือ่ “ขับ” เป็นกริ ิยาที่ทาใหเ้ กิดเสียงออกมาเป็น “ลา” และ “ร้อง” เปน็ กิรยิ าท่ที าให้เกดิ เสียงออกมา
เป็น “เพลง” ต่อจากนั้นก็ตอ้ งมาวินิจฉัยคาว่า “ลา” กับ “เพลง” นั้นวา่ ต่างกันอย่างไร ตามหลักวชิ าคีตศิลป์
นั้น สิง่ ทป่ี ระกอบข้ึนดว้ ยเสยี งให้เกดิ ความไพเราะหรือแสดงความร้สู ึกนั้นๆ ได้แก่ ลานา ทานอง และจงั หวะ
“ลานา” หมายถึง ความสั้นยาว เบา แรง ของเสียง เรียกว่า “ทานอง” หมายถึง เสียงสูงๆ ต่าๆ
สลับกันไป เรียกว่า Melody และ “จังหวะ” หมายถึง ส่วนแบ่งย่อยท่ีเป็นระยะสม่าเสมอ เรียกว่า Timing
หรอื มาตรา
ท้ัง “ลา” และ “เพลง” ย่อมมีส่วนประกอบทั้ง ๓ ส่วนนี้ประกอบอยู่ทั้งส้ิน ผิดกันแต่ว่า “ลา” นั้น
ยดึ ลานามากกว่า ทานอง ใช้เสยี งสงู ต่าไปตามส่วนของถอ้ ยคาและจังหวะไม่ค่อยจะแน่นอน เชน่ แอ่วและเสภา
เป็นต้น สาหรับ “เพลง” ยึดทานองอย่างเคร่งครัดมากกว่าลานา เสียงสูงต่าท่ีประดิษฐ์แต่งไว้อย่างไรต้อง
ดาเนินไปอย่างนั้น แม้เสียงของถ้อยคาจะขัดกับทานองก็ต้องพยายามอนุโลมถ้อยคาน้ันให้หวนมาเข้ากับ
ทานองให้ได้ และจังหวะต้องสม่าเสมอแน่นอน เช่น เพลงร้องต่างๆ ทรี่ อ้ งส่งเข้ากับดนตรี เป็นต้น
ถึงแม้ว่าหลักวิชาจะเป็นดังกล่าวข้างต้นก็จริง แต่ความหมายอันเกิดจากการเคยชินของคาพูดก็อาจ
เปลี่ยนแปลงไปและยังตอ้ งตดิ แนน่ อยู่ในความรู้สกึ ของคนเราได้ เช่นคาว่า ดนตรี ซง่ึ มีความหมายเพยี งเครอ่ื งที่
มีสาย หรือวงบรรเลงที่มเี คร่ืองสาย (ดดี สี) เป็นประธาน ส่วนดุริยะ หมายถึง เคร่ืองปีพ่ าทย์ ซ่ึงมีเครื่องตี เป่า
เป็นประธาน แต่ความรู้สึกท่ีเราพูดกันจนมีความหมายฝังตัวแน่นด้วยความเคยชินน้ัน ไม่ว่าดุริยะหรือดนตรีก็
หมายถึงเครื่องบรรเลงไดท้ ั่วไป ไม่วา่ ชนิดไหน แม้ลา กับ เพลง ก็เช่นเดียวกัน คือ ใชพ้ ูดโดยมีความหมายถึงสงิ่
เดียวกันมาแต่โบราณแลว้ เช่น เพลงร้อง ในการเล่นสกั วา กเ็ รียก ลา ซึ่งมี ลาพระทอง ลาแขกลพบรุ ี และลาลา
เป็นต้น เพลงที่นักสวดคฤหสั ถร์ ้องกเ็ รียกกนั ว่า ลาสวด ละครพูดท่แี ทรกเพลงรอ้ ง กเ็ รียกวา่ ละครพูดสลบั คา
ดังนั้น คาว่า ลา ท่ีประกอบเป็นชื่อเรียกการละเล่นชนิดนี้ว่า ลาตัด นั้นอาจจะหมายถึง การร้องเพลง
ตดั ก็ได้ แต่เม่ือพิจารณาดูแล้วลาตัดนกี้ ็มสี ว่ นเปน็ ลาอยู่ดว้ ย คือ ตอนท่ีต้นเสียงและคอสองร้องเป็นใจความน้นั
ยึดลานา (Rythum) มากกว่าทานอง (Melody) ซ่ึงเป็นลักษณะของลา ส่วนตอนท้ายที่ลูกคู่รับน้ันจะเป็น
ลักษณะของเพลงทานองที่นามาให้ลูกคู่รับโดยมากจะตัดมาจากเพลงร้องหรือเพลงดนตรีอีกชั้นหน่ึง โดยเลือก
เอาแต่ตอนที่ ๑ เหมาะสาหรับการร้องมาเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าจะเรียกการละเล่นชนิดน้ีให้ถูกต้องตาม
ลักษณะท่ีเป็นอยู่ จะต้องใช้ช่ือเรียกอย่างยืดยาวดังที่ มนตรี ตราโมท เรียกว่า “ขับลานาด้วยร้องเพลงตัด” ๖
ซึ่งแทนท่ีจะเป็นชื่อเรียกก็จะกลายเป็นคาอธิบายไป จึงเห็นได้ว่า ผู้ท่ีเร่ิมการแสดงชนิดน้ีขึ้นพร้อมท้ังต้ังชื่อว่า
ลิเกลาตัด (เพราะมาจากดิเกร)์ และตอ่ มาก็ถูกตัดลงไปโดยความกร่อนของภาษาเหลอื เพียงคาว่า ลาตดั จึงเป็น
การตั้งช่อื ท่ีเหมาะสม เรยี กงา่ ย และมีความหมายตรงกับการแสดงมากทสี่ ุด
ดังน้ัน จึงพอสรุปได้ว่า ลาตัด หมายถึง การแสดงที่เป็นทานองเพลงท่ีชายหญิงร้องโต้ตอบกันด้วย
ถ้อยคาที่เผ็ดร้อน ชวนคิด ชวนขัน มีรามะนาเป็นดนตรีประกอบ การแสดงจะเร่ิมต้นด้วยการโหมโรงรามะนา
กอ่ น แลว้ ชายหญงิ จงึ จะวา่ กลอนโตต้ อบกนั
ประวตั คิ วำมเป็นมำของลำตดั
ลาตัดเปน็ การละเล่นที่สืบเนื่องมาจากลิเกหรือดิเกร์ของมลายูสาขาหนึ่งท่ีเรียกวา่ “ละกูเยา”๗ วิธีการ
แสดงละกเู ยาน้ี เร่มิ ดว้ ยโหมโรงรามะนาลว้ นๆ ก่อน ต่อจากน้ันผเู้ ปน็ ตน้ บทจะนาร้อง บนั ตน เพลงใดเพลงหนึ่ง
ซ่ึงเป็นภาษาแขกอันเป็นสร้อยสาหรับลูกคู่รับข้ึนก่อน แล้วบรรดาผู้ตีรามะนาในวงน้ันร้องตามอีก ๒ เท่ียว
๖ มนตรี ตราโมท, กำรละเลน่ ของไทย, หนา้ ๙๓.
๗ มนตรี ตราโมท, กำรละเลน่ ของไทย, หน้า ๓๒.
๑๑
ต้นบทจึงแยกออกร้องเป็นใจความส้ันๆ แล้วลูกคู่ก็ร้องรับยืนในทานองเดิมน้ันตลอดไป นานพอสมควรแล้วต้
นบทก็เปล่ียนเพลงต่อไปตามลาดับ ผู้ร้องต้นบทนั้นจะมีก่ีคนจะผลัดกันอย่างไรก็ได้ บางทีผลัดกันร้องเป็น
ต้นบทเรียงลาดับไปทั้งวงก็มี ถ้อยคาท่ีร้องน้ันภายหลังแทรกคาไทยเข้าไปมาก เหลือภาษาแขกไว้แต่คาท่ีลูกคู่
รับจนกระท่ังต่อมาร้องเป็นคาไทยทั้งหมด แยกออกเป็น ๒ ชนิด ชนิดหน่ึงว่ากันให้เสียหายเพ่ือให้อีกส่วนหนึ่ง
กลา่ วแก้ อกี ชนดิ หน่งึ เป็นการสอบถามความรกู้ ัน
เด่นดวง พุ่มศิริ กล่าวถึงความเป็นมาของลาตัดไว้ว่า ลาตัดน่าจะมาจากลิเกบันตน ซึ่งคาว่า บันตน นี้
กร่อนมาจากคาว่า ลเิ กบันตน เกดิ ในราวปลายรัชกาลท่ี ๕ สมัยนน้ั ชาวปัตตานที ี่เขา้ มาอยใู่ นกรุงเทพฯ นานเข้า
กไ็ ด้เรียนภาษาไทยจนอา่ นออกเขียนได้กนั บ้างแล้ว ประกอบกบั มีญาตพิ ี่นอ้ งเปน็ ไทยพทุ ธกันบ้าง การสมาคมก็
ขยายวงกว้างออกไป การจะร้องบันตนเป็นภาษามลายูอย่างเดียวคนอ่ืนท่ีไม่รู้ภาษามลายูก็ไม่เข้าใจ จึงมีการ
ปรับปรุงการเล่นโดยร้องเป็นกลอนคาไทยปนคามลายูอยู่บ้าง ในทานองเพลงมลายูเรียกว่า “เพลงกะเล็ง” ผู้ที่
เลน่ ลเิ กบนั ตนพวกแรกนัน้ เดน่ ดวง พมุ่ ศริ ิ กล่าวว่า มอี ยู่ ๔ พวก คือ
“หะยีแดง เรียกกันท่ัวไปว่า ยีแดง อยู่ตาบลไผ่เหลือง สเุ หร่าไซกองคิน อาเภอมีนบุรี ครูซัน
อยู่ตาบลถนนตก ครูพันโด่ง อยู่ตาบลสมเด็จเจ้าพระยา และครูหมัดตุ๊ อยู่ตาบลบ้านครัว
(หลังวิทยาลัยเทคนิคปทุมวัน) ยีแดงเล่นบันตนแยกออกเป็น ๒ แบบ คือ แบบหนึ่งเล่นบัน
ตนร้องเป็นเร่ือง เรียกว่า “เล่นลูกบท” และอีกแบบหนึ่งเล่นเป็นการโต้ตอบกันไปมา แบบนี้
เองทไี่ ดป้ รับปรงุ เปล่ียนแปลงไปเป็นลเิ กลาตัด ภายหลงั ตัดคาว่า ลิเกออก เหลอื แต่ “ลาตดั ”๘
เอนก นาวิกมูล ได้กล่าวถึงความเป็นมาของลาตัดไว้ว่า มีการแสดงชนิดหนึ่งซึ่งชาวมลายูจัดข้ึนเพื่อ
สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาอิสลาม โดย “เร่ิมต้นจากการตกี ลองรามะนาพร้อมกับสวดสรรเสริญพระเจ้า
ทางศาสนาอิสลาม เดิมเริ่มเล่นกันท่ีปัตตานีและในเขตวัฒนธรรมมลายู เรียกว่า “ลิเกฮูลู” ผู้เล่นหรือสวด
ทั้งหมดเป็นผชู้ ายยังไม่มผี หู้ ญงิ เข้ามาปะปน ลเิ กฮลู เู ปน็ ตน้ แบบทีแ่ ยกออกเปน็ “ลเิ กแบบลาตัด”๙
แต่มีผู้ให้ความเห็นเก่ียวกับเร่ืองท่ีมาของลาตัดที่แตกต่างไปจากความเห็นของเอนก นาวิกมูล คือ
มคี วามเห็นวา่ มาจากอนิ เดีย ดังบทความในวารสารปฏญิ ญา ว่า
“ลาตัดเป็นญาติพน่ี ้องกับลิเก มคี วามเปน็ มาจากท่ีเดยี วกัน เปน็ การละเล่นทมี่ าจากอินเดยี ซึ่ง
เดิมเป็นการสวดบูชาพระเจ้าพร้อมกับตีรามะนาไปด้วย จากการสวดและตีรามะนาก็
กลายเป็น “ฮันดาเลาะ” (ลิเก) แล “ละกูเยา” (ลาตัด) ละกูเยาหรือลาตัดสมัยบกุ เบิกน้ีผู้เล่น
จะน่ังเป็นวง แล้วเร่ิมโหมโรงด้วยเพลงรามะนาล้วนๆ ผู้เป็นต้นบทจะร้อง “บันตน” เป็น
ภาษาแขก อนั เป็นบทร้องสร้อยสาหรับลูกคู่รับข้ึนก่อน บรรดาผู้ตรี ามะนาในวงนั้น ก็ร้องตาม
อกี ๒ เท่ียว ต้นบทจึงร้องตามเป็นใจความส้ันๆ ต้นบทร้องในระยะหลังมีการแทรกคาไทยจน
กลายเป็นภาษาไทยล้วน ละกเู ยาของอสิ ลามจงึ โอนสัญชาตเิ ปน็ ลาตัดไทยโดยสมบรู ณ์”๑๐
จะเห็นได้ว่า ความเห็นเกี่ยวกับต้นกาเนิดของลาตัดของ เอนก นาวิกมูล และบทความในวารสาร
ปฏิญญาน้ันกล่าวไว้ไม่เหมือนกัน โดย เอนก กล่าวว่า มาจากแถวปัตตานีและเขตวัฒนธรรมมลายู ส่วนใน
วารสารปฏิญญากล่าวว่า มาจากอนิ เดีย แตส่ ่วนท่ีกล่าวไวเ้ หมือนกัน คือ การละเล่นชนิดนี้เดิมเป็นบทสวดบชู า
๘ เดน่ ดวง พุ่มศิริ, กำรศกึ ษำและวิจยั วฒั นธรรมพืน้ บำ้ นในแนวศิลปกรรม, หน้า ๑๔๐.
๙ เอนก นาวกิ มลู , สำรำนุกรมเพลงพืน้ บำ้ นภำคกลำง, หน้า ๗๙.
๑๐ปฏิญญำ ๒,๑๕ (๑๔ ธนั วาคม ๒๕๒๒): หน้า ๔๐.
๑๒
พระเจา้ ในศาสนาอิสลาม แต่จะเป็นอิสลามอนิ เดียหรืออสิ ลามมลายนู น้ั เราในสมัยปจั จบุ ันไมอ่ าจทราบได้แน่ชัด
นอกจากจะต้องพจิ ารณาจากความคดิ เห็นของผ้รู ู้ทไ่ี ดส้ นใจศกึ ษาค้นคว้าทางด้านน้ไี ว้
นอกจาก เด่นดวง พุม่ ศิริ แล้ว อีกท่านหน่ึงท่ีมีความเห็นในเรื่องที่มาของลาตัดตรงกับ เอนก นาวิกมูล
คือ มานิต ม่วงบญุ ไดก้ ลา่ วไวว้ ่า
“ลาตัดเท่าที่มีหลักฐานพอเช่ือว่า เป็นการแสดงแบบหน่ึงที่ไทยเรานาแบบแผนการแสดง “ดิ
เกร์” ของมลายมู าปรบั ปรุงดดั แปลงแก้ไขจนกลายเป็นลาตัดอยใู่ นปัจจุบัน ดเิ กร์นน้ั ชาวมลายู
นามาแสดงในกรุงเทพฯ คร้ังแรกเมื่อต้นรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วธิ ีการแสดงมีคน
ตีรามะนาหลายคนพร้อมด้วยเคร่ืองประกอบจงั หวะอ่ืนๆ พอผเู้ ปน็ ตน้ บทรอ้ งนาขึ้นเป็นภาษา
มลายูแล้ว พวกที่น่ังล้อมกันเป็นวงก็ร้องรับเป็นลูกคู่พร้อมกับตีรามะนาและเครื่องประกอบ
จังหวะไปด้วย ลาร้องน้ัน เรียกว่า “บันตน” เมื่อร้องบันตนไปจนจบกระบวนความหรือ
สมควรแก่เวลา การแสดงจะเร่ิมพลิกแพลงออกเป็น ๒ สาขา สาขาหน่ึงเรียกว่า “ฮันดา
เลาะ” มีการแสดงเป็นชุดและเร่ืองเบ็ดเตล็ดต่างๆ ซึ่งเป็นที่มาของลิเก ส่วนอีกสาขาหนึ่ง
เรียกวา่ “ละกูเยา” เป็นการวา่ กลอนด้นแก้กันอนั เป็นตน้ ทางท่ีก้าวสู่ “ลิเกลาตัด” หรือเรียก
สน้ั ๆ วา่ “ลาตัด”๑๑
จากความเห็นของ เด่นดวง พุ่มศิริ และมานิต ม่วงบุญ ทาให้เราทราบว่า การแสดงบันตนนั้นปรากฏ
ในเมืองไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการกล่าวถึงการแสดงในลักษณะนี้ไว้ในสาส์นสมเด็จ เล่มท่ี ๒๗ ของสมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารง
ราชานภุ าพ หน้า ๒๖๒ - ๒๖๔ ความว่า
“ยังมีตานานอีกเรื่องหนึ่ง ซ่ึงเกิดเนื่องมาแต่ครั้งงานพระศพสมเด็จพระนางสุนันทา
เหมือนกับเม่ือมีกงเต๊กเป็นงานหลวงคร้ังนั้น คนท้ังหลายคงจะเห็นเป็นการทรงบาเพ็ญพระ
ราชกุศลอย่างกว้างขวาง ผิดกับท่ีเคยมีมาก่อน เป็นเหตุให้พระยามิตรภักดี (หรือสร้อยอย่าง
อื่นจาไม่ได้แน่) เป็นแขกอาหรับ พวกเราเรียกกันแต่ว่า “ขรัวหยา” ซึ่งเป็นเขยสู่ข้าหลวงเดิม
กราบทลู ขอเอาพวกนกั สวดแขกอิสลามเข้ามาสวดช่วยพระราชกุศลและทูลรับรองว่าไม่ขัดกับ
ศาสนาอิสลาม จึงโปรดให้เข้ามาสวดในเวลาค่าตามเวลาของเขา ณ ศาลาอัฏวิจารณ์ที่พระ
ญวนเคยทากงเตก๊ หม่อมฉันไปดูเห็นล้วนเป็นแขกเกิดในเมืองไทย ทราบภายหลังว่าเป็นชาว
นนทบุรี นั่งขัดสมาธิถือรามะนาแขกล้อมเป็นวง จะเป็นวงเดียวหรือ ๒ วงจาไม่ได้แน่ แต่นั่ง
สวดโยกตัวไปมา สวดเป็นลานาอย่างแขก เข้ากันเป็นจังหวะรามะนา ได้เห็นคร้ังแรกก็ไม่สู้
เข้าใจนัก ต่อมาในปนี น้ั เองมีงานฉลองพระชันษาสมเดจ็ พระราชินวี กิ ตอเรียทสี่ ถานทูตองั กฤษ
ในงานน้ันพวกคนต่างชาตใิ นบังคับอังกฤษที่อยู่ในกรุงเทพฯ พากันหาเครื่องมหรสพต่างๆ ไป
เหน็ พวกนักสวดแขกชาวเมืองไทยนัง่ เปน็ วงตรี ามะนาสวดประชันกนั อยู่ ๒ ประรา...”๑๒
นอกจากความคิดเห็นของนักวิชาการหลายท่านดังกล่าวมาแล้วก็ยังมีศิลปินลาตัดท่านหน่ึง คือ
นายหวังดี นิมา หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ หวังเต๊ะ เจ้าของคณะลาตัดคณะหวังเต๊ะ ได้กล่าวถึงความ
เป็นมาของลาตดั ไวว้ ่า
๑๑ อมรา กลา่ เจรญิ , วฒั นธรรมไทย ๒๓,๔ (เมษำยน ๒๕๒๗): ๔๒.
๑๒ อมรา กลา่ เจริญ, วัฒนธรรมไทย ๒๓,๔ (เมษำยน ๒๕๒๗): ๔๒.
๑๓
“ลาตัดเจรญิ ในสมัยรชั กาลที่ ๖ เกิดในกรุงเทพฯ เดิมน้ันรชั กาลที่ ๑ ตีเอาปตั ตานีมาได้ก็ต้อน
ผู้คนมาปล่อยไว้แถวมีนบุรี ถนนตก ก็มี พวกน้ีได้นากลองเรียกว่า รามะนามาด้วย กลอง
รามะนานปี้ จั จบุ นั ยังมอี ยทู่ กี่ ะลันตันและปัตตานี แตไ่ ม่สวยเทา่ ของเราในปจั จุบัน ซึง่ ไดม้ ีการ
นามาเปลี่ยนแปลงรูปโฉมใหม่ให้สวยงาม แล้วนากลองรามะนานี้มาตีประชันกันว่า ใครจะดัง
กว่ากัน เรยี กวา่ ดเิ กเรยี บ หมายถึง เรยี บรอ้ ยไมม่ ีการดา่ กนั แต่เดมิ มแี สดงในปตั ตานี เรียกว่า
ดิเกฮูลู มกี ารดา่ กนั ปัจจุบันกย็ ังมกี ารแสดงอยู่ ดเิ กเรยี บไม่มวี ่ากัน เลน่ กนั นานๆ เขา้ ก็เปน็ ลา
ตัดร้องเป็นภาษาไทย พวกครูโรงเรียนเป็นคนเล่น สมัยน้ันคนไม่รู้หนังสือมาก ผู้เขียนกลอนดู
เหมือนจะเป็นครูประชาบาลเขียนเน้ือว่าแก้กัน ในกรุงเทพฯ คณะแรกคือ คณะทหารเรือ
สามสมอ เล่นกันกอ่ น ยนื รอ้ ง เอากลองตี รอ้ งวา่ กันวงเดยี ว ต่อมากแ็ ยกว่า ต่อมามีพวกหนอง
จอกเข้ามาประชันในกรุงเทพฯ พระยาไพบูลย์สมบัติเป็นคนริเริ่มการประชันขึ้น ก่อนท่ีวิก
บุษปะ ผู้ชายต่อผู้ชาย ต่อมามีการเขียนกลอนว่ากัน คนเขียนกลอนเป็นครูช่ือครูกบ หรือ
เรียกว่า หะยกี บ”๑๓
จากความเห็นของหลายๆ ท่านดังกล่าวมาแล้ว จึงพอสรุปได้ว่า ลาตัดนั้นมีแบบแผนการแสดงมาจาก
การแสดง ลิเก หรือ ดเิ กร์ ของมลายู ซึ่งแต่เดมิ ดเิ กร์นี้เป็นบทสวดบูชาพระเจ้าของศาสนาอิสลาม วธิ ีการแสดง
จะเริ่มด้วยมีคนตีรามะนาและเครื่องประกอบจังหวะอ่ืนๆ หลายคน ต้นบทจะร้องนาข้ึนมาเป็นภาษามลายู
เรียกว่า “บันตน” แล้วพวกที่ตีรามะนาก็จะเป็นลูกคู่ร้องรับไปด้วย ต่อมาการแสดงแบบนี้แยกออกเป็น
๒ สาขา คือ “ฮันดาเลาะ” ซึ่งแสดงเป็นชุดและเร่ืองเบ็ดเตล็ดต่างๆ ซ่ึงเป็นท่ีมาของลิเก ส่วนอีกสาขาหนึ่ง
เรียกว่า “ละกูเยา” เป็นการด้นกลอนว่าแก้กัน ซ่ึงเป็นท่ีมาของ “ลิเกลาตัด” หรือเรียกส้ันๆ ว่า “ลาตัด” ใน
ปัจจบุ นั
ลกั ษณะของกำรแสดง
ลักษณะการแสดงในสมัยแรกๆ กับปัจจุบนั น้ีมีความแตกต่างกันในหลายด้าน เป็นต้นว่า ผู้แสดงลาตัด
ในระยะแรกๆ น้ันเป็นชายล้วน การประชันจะประชันกันเป็นคู่ๆ อย่างเผ็ดร้อน ซ่ึงเด่นดวง พุ่มศิริ ได้กล่าวถึง
การแสดงลาตดั ในสมัยแรกๆ วา่
“ลาตัดในครั้งนั้นมีการประคารมกันอย่างเผ็ดร้อน เหมือนเป็นการโต้วาทีคากลอน ลาตัด
สมัยก่อนไม่มีเป็นวงหรือเป็นคณะอย่างในปัจจุบันน้ี เป็นการละเล่นตามงานบ้านพวกมุสลิม
ในงานแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ เข้าสุหนัต ตะมัดกุรอ่าน เป็นต้น เจ้าภาพจะไปหาลาตัดฝีปากดี
มาประชนั กนั บางทีประชนั ตัวตอ่ ตัว บางทปี ระชันเป็นคู่ คู่ประชันเป็นชายล้วน ยังไมม่ ผี หู้ ญิง
เข้ามาร่วมดว้ ย เนื้อเร่ืองที่ว่ากันเป็นการขุดคุ้ยความไม่ดีของกันและกันมาประจาน ใครไปทา
ไม่ดีไว้ที่ไหน เช่น ไปเป็นชู้เมียใครมาบ้าง ติดฝิ่นกินกัญชา หรือติดการพนันเล่นเบ้ียเสียถ่ัว
หรือเคยลักขโมยใครมา หรือไปมีแผลไว้ท่ีไหนก็เก็บมาร้องว่ากัน แบบน้ีตามภาษาลาตัด
เรียกวา่ “กล่าวประวัติ” เพราะฉะน้ันพวกลาตดั จะต้องระมดั ระวังตัวให้ดีไม่ทาอะไรเสียหาย
หรือถ้าจะมีก็ต้องปิดให้มิดชิด แต่อย่างไรก็ไม่พ้นเพราะเขาคอยสืบกันอยู่เสมอ ประชันเม่ือใด
กเ็ ป็นไดแ้ ฉกันหมดไสห้ มดพุง”๑๔
๑๓ สมั ภาษณ์ นายหวงั ดี นิมา, ศิลปนิ ลำตัดเจำ้ ของคณะหวังเตะ๊ , ๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๙.
๑๔ เดน่ ดวง พุม่ ศริ ิ, กำรศึกษำและวจิ ัยวัฒนธรรมพ้ืนบำ้ นในแนวศลิ ปกรรม, หนา้ ๑๔๔.
๑๔
การแสดงลาตัดในสมัยก่อนไม่ได้มีการต้ังเป็นวงหรือเป็นคณะอย่างในปัจจุบันนี้ เพราะถือว่าเป็น
การละเล่นมิใช่เป็นอาชีพเหมือนอย่างปัจจุบัน การประชันกันจะเป็นแบบตัวต่อตัวบ้าง คู่ต่อคู่บ้าง
มีกรรมการคอยตดั สิน แต่ละฝ่ายจะว่าและแกก้ ัน ตน้ บทต่างก็จะต้องหาทางแก้กันให้ได้ เร่ืองที่นามาว่ากันก็ไม่
พน้ เรื่องส่วนตัว หรอื ปมดอ้ ยของฝา่ ยตรงกนั ขา้ มซ่ึงจะต้องคอยสืบความลับของอกี ฝ่ายใหไ้ ด้ “ฉะนนั้ กว่าจะเล่น
ลาตัดกันที ก็ต้องเป็นกรมประมวลข่าวกลาง คือ สืบประวัติกันหน้าดาหน้าแดงไปเลย ว่ากันทีให้ดุเด็ดเผ็ดมัน
ก็ต้องว่าแบบสองแง่สองงา่ ม ฟงั แลว้ มันในอารมณ์ หวั ร่อจนท้องแข็งขากรรไกรคา้ งไปเลย”๑๕ ลักษณะอีกอย่าง
หน่งึ ของลาตดั ในระยะแรกๆ ทแ่ี ตกตา่ งจากในปจั จุบัน คือ ในเวลาท่รี อ้ งลาตัดน้ันจะไมไ่ ด้ยนื รอ้ งเต็มตัวอย่างใน
ปัจจุบัน ซึ่งเอนก นาวิกมูล ได้กล่าวไว้ว่า “เดิมลาตัดเวลาร้องก็ยืนครึ่งนั่งคร่ึง เรียกว่า “คร่ึงท่อน” คือ ยืน
ไม่เต็มตวั ตอ่ มาจึงยืนร้องเต็มตัว ผลัดกันวา่ โต้ตอบฝ่ายละ “ยืน” คือเวลาราว ๓๐ นาที คล้ายคาว่า “ยก” ใน
วงการมวย”๑๖
แต่เดิมการแสดงลาตัดมีแต่ผู้ชายล้วนๆ ต่อมาจึงมีการตั้งวงลาตัดผู้หญิงข้ึนมาบ้าง และสามารถว่าแก้
กันกับผู้ชายได้ ดงั นั้นการแสดงลาตัดจึงไดร้ ับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อมีการประชันขันแข่งกันระหว่าง
วงฝ่ายหญิงกับฝ่ายชาย เพราะถ้อยคาท่ีกล่าวแก้กันนั้นได้เพิม่ การเกี้ยวพาราสีกันเข้าไปด้วย ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน
ในวงผู้ชายล้วนๆ การประชันกันในลักษณะนี้ในบางคร้ังก็มีการกระทบกระท่ังกันอย่างรุนแรงจนเกิดเรื่อง
บาดหมางใจกัน จนกระทั่งเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งระหว่างวง จึงได้มีผู้คิดดัดแปลงโดยให้ในวงเดียวกันมีท้ัง
ฝ่ายหญงิ และฝา่ ยชาย ประชันคารมกันในวง มีการฝึกซ้อมเพ่ือความกลมกลืนและฟงั ไพเราะร่นื ดูดงั ทเี่ ห็นอยู่ใน
ปัจจบุ นั
ส่วนลักษณะการแสดงลาตัดในปัจจุบันน้ี ได้มีการพัฒนาไปหลายอย่างตามยุคสมัย ลักษณะการแสดง
ในปัจจบุ ัน อมรา กลา่ เจรญิ กล่าวไว้ว่า
“ความหมายของชื่อ ลาตดั บอกอย่ใู นตวั เองวา่ ตดั เฉอื น กนั ดว้ ยเพลง (ลา) เพราะฉะนั้นการ
วา่ ลาตัดจงึ เป็นการเลน่ ลบั ฝปี ากของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงโดยตรง มีทั้งบทเกี้ยวพาราสี เสยี ด
สี แทรกลูกขัดลูกหยอดให้ได้ตลกเฮฮากัน สานวนกลอนจะออกความหมายมีนัยเป็นสองแง่
ทางภาษาของลาตัดจะเรียกว่า “สองงา่ มสองกลอน” ถอื ว่าเปน็ ศลิ ปะการใช้ภาษา ในบางคร้ัง
การแสดงลาตัดขน้ึ อยกู่ ับโอกาสและสถานที่ บางคร้ังจะใช้ภาษาท่หี ยาบและตรงมาก ซง่ึ ถอื วา่
เป็นเรื่องธรรมดาของการวา่ เพลง เน้อื รอ้ งจะปรบั ปรุงให้เข้ากบั โอกาสและลักษณะของงาน มี
การใช้ท่าราบ้างในขณะท่ีร้องและขณะท่ีรามะนารับ ซ่ึงท่าราน้ีจะไม่มีความหมายอะไรนัก
เพียงแต่เคล่ือนไหวให้เข้ากับการร้องและจังหวะรามะนา ทาให้ดูกระฉับกระเฉง เสริมลีลาให้
น่าดูขึ้นเท่านั้น”๑๗
การแสดงลาตัดนนั้ ไดร้ ับความนยิ มมากข้ึนตามลาดับ เนอ่ื งจากมีการประชันขันแขง่ ทงั้ ในดา้ นเพลงร้อง
ฝีมอื การตีรามะนา และท่ีสาคัญคือ ปฏภิ าณหรอื ฝปี ากการว่ากลอนแก้กัน จงึ ทาให้เกดิ ความสนุกสนาน และสิ่ง
สาคัญอีกประการหนึ่งท่ีสร้างความนิยมให้แก่การแสดงลาตัดก็คือ การประชันกันระหว่างชายจริงหญิงแท้
ซึ่งแต่เดิมน้ันการแสดงลาตัดใช้ผู้ชายล้วน การประชันกันจึงเป็นเพียงการขุดคุ้ยเร่ืองส่วนตัวและปมด้อยของ
ฝ่ายตรงกันข้ามมาว่ากันเป็นส่วนมาก แต่เม่ือเกิดมีการประชันกันระหว่างชายกับหญิงนั้น จึงมีเรื่องของการ
๑๕ปฏิญญำ ๒,๑๕ (๑๔ ธันวาคม ๒๕๒๒): หน้า ๔๐.
๑๖ เอนก นาวกิ มลู , เพลงนอกศตวรรษ, หนา้ ๖๓๐.
๑๗ อมรา กลา่ เจรญิ , ศลิ ปวัฒนธรรม ๒๓, ๔ (เมษายน ๒๕๒๗): ๔๓.
๑๕
เกีย้ วพาราสี ไต่ถาม คอ่ นขอด ทาให้เกดิ ความไพเราะ เผด็ รอ้ น ในหลายรสล้วนแต่สรา้ งความตนื่ เตน้ สนกุ สนาน
แก่ผดู้ ูผู้ฟังเปน็ อย่างยง่ิ และมีผลทาใหล้ าตดั ได้รบั ความนิยมมากขึ้นเรอ่ื ยๆ จนสามารถยดึ เป็นอาชีพได้ ดงั ทีเ่ ห็น
กันในปัจจบุ นั
ดนตรปี ระกอบกำรแสดงลำตัด
ในการแสดงลาตัดน้ันดนตรีประกอบจะใช้เครื่องดนตรีประเภทเคร่ืองประกอบจังหวะเท่านั้น เช่น
รามะนา ฉ่ิง และกรับ โดยมีรามะนาเป็นตัวนา และมีฉิ่ง กรับ เป็นส่วนประกอบ จานวนรามะนาท่ีใช้ ๔-๕ ใบ
แต่จะมีอยู่ใบหน่ึงท่ีตีไม่พร้อมใบอื่นๆ คือจะตีขัดกับใบอื่น ในระยะแรกมีเคร่ืองดนตรีอีกชนิดหน่ึงคือ โหม่ง
แตใ่ นปัจจุบนั ไม่ใชแ้ ล้ว
ตาแหน่งการต้ังวงดนตรีน้ันจะต่างจากการแสดงดนตรีทั่วๆ ไป คือ การแสดงดนตรีน้ัน นักร้องจะอยู่
ข้างหน้าดนตรีอยู่ข้างหลัง แต่ลาตัดนั้นวงดนตรีจะตั้งอยู่ด้านหน้ากลางเวที ส่วนผู้แสดงหรือคนร้องจะอยู่
ดา้ นหลงั
การแสดงลาตัดนั้นกลอนท่ีร้องส่งสาหรับให้รามะนารับนั้นมีมากมายด้วยกัน จึงเกิดปัญหาว่า ผู้ตี
รามะนาจาจังหวะรามะนาที่จะใช้รับได้อย่างไร อมรา กล่าเจริญ กล่าวไว้ว่า “ในตอนแรกๆ จะผลัดกันจาต้น
เสียงของแตล่ ะคนที่ข้ึนเกริ่นหรือนาสร้อย ต่อๆ มาเม่ือเกิดความเคยชนิ เพราะการซ้อมหรือออกแสดงมากขึ้นก็
จะมีความคล่องตัวไปเอง”๑๘ ดงั น้นั ผเู้ ล่นดนตรจี ะต้องใช้ความสามารถส่วนตัวสังเกต เพอ่ื จะได้สามารถรับเวลา
ผู้ร้องลาตดั รอ้ งกลอนหน่งึ ๆ จบ
ผู้แสดง
แต่เดิมนั้นผู้แสดงลาตัดจะมีเฉพาะผู้ชายเท่านั้น ต่อมาเมื่อมีการห้ามประชันลาตัดในปี พ.ศ. ๒๔๖๕
เนื่องจากการประชันลาตัดเป็นสาเหตทุ ่ีทาใหผ้ ดู้ ูซงึ่ ถอื หางลาตดั แตล่ ะฝ่ายเกดิ การวิวาทกนั หลงั จากนั้นจึงเกิดมี
ลาตดั ผูห้ ญิงข้ึนมา คนแรกคือ นางเซาะ การแสดงในระยะแรกน้นั หญิงชายคหู่ น่ึงจะวา่ แก้กับหญิงชายอกี คู่หนึ่ง
ต่อมาเปลี่ยนเป็นฝ่ายหญิงว่าแก้กับฝ่ายชายดังเช่นในปัจจุบัน ซึ่งในวงเดียวกันนั้นจะแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ
ฝ่ายหญิงกับฝ่ายชาย จึงไม่ได้กาหนดจานวนแน่นอน อาจเป็นฝ่ายละ ๓-๕ คนก็ได้ แล้วแต่ว่าแต่ละคณะจะมี
ความสามารถฝึกหัดข้ึนมา
ผู้แสดงที่ขึ้นมาร้องคนแรกนั้น ฝ่ายชายเรียกว่า พระเอก ฝ่ายหญิงเรียกว่า นางเอก แต่ในสมัยโบราณ
เรียกว่า “ตัวพื้น”๑๙ ซ่ึงจะเป็นตัวซักทอดป้อนคาถามแก่ผู้แสดงตัวอ่ืนๆ เป็นผู้แสดงท่ีมีบทบาทสาคัญมากคน
หน่ึง แต่ไม่จาเป็นต้องเป็นหัวหน้าคณะก็ได้ พระเอกหรือนางเอกนี้จะว่ากลอนที่เป็นไปในทานองไพเราะ
ไม่หยาบหรือแม้กระทง่ั ตลกก็ไม่ได้
ส่วนผู้แสดงคนอ่ืนๆ จะไม่มีชื่อเรียกเฉพาะ แต่จะเรียกกันตามลาดับการร้องว่า คอหนึ่ง คอสอง หรือ
คอสาม ซึ่งเรียกตามสมัยโบราณเพราะในสมัยโบราณมีผู้แสดงไม่มากเพียง ๒-๓ คนเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีผู้
แสดงมากขนึ้ บางคณะอาจมี ๕-๖ คนขน้ึ ไป จงึ ไม่นิยมเรียกตามแบบโบราณ
ในการแสดงลาตัดนั้นมีลักษณะที่แตกต่างจากการแสดงประเภทอื่นๆ เป็นต้นว่า ลิเกหรือละคร ก็คือ
ในขณะที่ผู้แสดงหยุดพักบทบาทของตนโดยมีผแู้ สดงอ่ืนแสดงหรือร้องอยู่นั้น ผู้แสดงท่ีไม่มีบทบาทจะเข้าไปพกั
หลังโรงหรือเวทีท่ีมีฉากกั้น ผู้ชมจะไม่ได้เห็นผู้แสดงผู้น้ัน แต่ลาตัดต่างจากการแสดงท่ีกล่าวมาคือ ถึงแม้จะ
๑๘ อมรา กล่าเจริญ, วฒั นธรรมไทย, หนา้ ๔๓.
๑๙ จากการใหป้ ากคาในการสมั ภาษณน์ ายหวงั ดี นมิ า, ๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๙.
๑๖
ไม่ได้ข้ึนร้องก็จะต้องน่ังอยู่หน้าเวที ท้ังฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะน่ังอยู่ตรงกันข้ามกัน โดยมีวงรามะนาเป็นตัว
คั่นกลาง ส่วนมากฝ่ายหญิงจะอยู่ทางขวามือของผู้ชม ฝ่ายชายจะอยู่ทางซ้ายมือของผู้ชม ดังน้ันผู้แสดงลาตดั
มกั จะตอ้ งสารวมกริ ยิ าทุกอยา่ งเปน็ อยา่ งมาก เพราะอยู่ในสายตาของผูช้ มตลอดเวลา ถ้าแสดงกิรยิ าทีไ่ ม่สมควร
ออกไป เป็นต้นว่า บ้วนน้าลาย การนั่งท่ีไม่เรียบร้อย ก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ชม ซ่ึงจะทาให้ผู้ชมเกิดความ
เสื่อมศรัทธาในขณะไป ดังนั้นสิ่งท่ีจะทาให้ผู้ชมเกิดความนิยมและประทับใจในการแสดงลาตัดนั้น ไม่ใช่
เพียงแต่การว่ากลอนแก้กันอย่างสนุกสนานเท่านั้น แต่บทบาทของผู้แสดงทั้งขณะแสดงและหยุดพักการแสดง
จึงมีส่วนสาคัญในการสร้างความนิยมและศรัทธาแกผ่ ชู้ มไดท้ ั้งสองประการ
การด่ืมสุราของผู้แสดงในขณะแสดงก็เป็นอีกสิ่งหน่ึงท่ีไม่เหมาะสม เพราะนอกจากจะเป็นกิริยาที่ไม่
น่าดูและอาจเป็นผลเสียต่อการแสดงของผู้แสดงเอง อาจทาให้เกิดการขาดสติเน่ืองจากความมึนเมา ถ้ามีการ
เย้าแหย่จากผูช้ มอาจทาใหเ้ กิดเร่ืองววิ าทบาดหมางกันไดเ้ ชน่ กัน
กำรแตง่ กำย
การแต่งกายของผู้แสดงลาตัดแต่เดิมซ่ึงเป็นชายล้วนน้ัน จะนุ่งโสร่งสวมเส้ือแขกคอต้ัง ที่เรียกว่า
“ดาโละบลังงา”๒๐
ในปัจจุบันการแต่งกายของผู้แสดงลาตัดเปล่ียนแปลงไปจากเดิม คือ ฝ่ายชายจะนุ่งโจงกระเบนสีสด
สวมเสอ้ื คอพวงมาลัยหรอื คอกลม ตดิ กระดมุ หนา้ ๓ เม็ด เส้ือจะเป็นผ้าท่มี ีลวดลายสดใส เสือ้ ท่ีสวมนั้น หวงั เตะ๊
เรียกว่า “เสื้อมิสกรี”๒๑ มีผ้าขาวม้าคาดพุง เครื่องประดับอื่นๆ ไม่มี นอกจากบางคนจะสวมสร้อยคอพร้อม
พระเครือ่ งท่นี บั ถอื รองเทา้ ถงุ เท้า ไมส่ วม
ฝ่ายหญิง นุ่งโจงกระเบนเช่นเดียวกัน ส่วนเสื้อท่ีสวมมีหลายแบบ เช่น คอกลม คอแหลม คอปาด มี
ระบายสวยงามตามความต้องการ ผ้าที่ใช้ตัดมักจะเป็นผ้ามัน มีสอดดิ้นหรือปักเล่ือมสีสดใส เคร่ืองประดับ
ส่วนมากจะเป็นพวกต่างหู กาไล แหวน หรือสร้อยคอ มีผ้าคาดเอวเช่นเดียวกับฝ่ายชาย แต่มักจะเป็นผ้าท่ี
สวยงามไม่ใชผ่ า้ ขาวม้า ไมส่ วมถุงเทา้ รองเท้า เช่นเดียวกับฝา่ ยชาย
ลักษณะคำประพันธ์
ลักษณะกลอนลาตัดนั้นฉันทลักษณ์เป็นแนวเดียวกับเพลงฉ่อย เพลงอีแซว คือ วางสัมผัสข้างท้ายไป
เร่ือยๆ กลอนลาตัดมีลักษณะเป็นกลอนหัวเดียว จานวนคาในวรรคค่อนข้างมาก ประมาณ ๑๐ คาเป็นส่วน
ใหญ่ นิยมส่งสัมผัสในวรรคซ่ึงมักจะเป็นคาที่ ๕ กับคาท่ี ๘ จนดูคล้ายจะเป็นสัมผัสบังคับ ซ่ึงอาจแยกออกเป็น
๒ วรรค ได้
กลอนลาตดั นั้นจะมี ๒ สว่ น คือ
๑. สรอ้ ยเพลง
๒. บทรอ้ ง
๑. สร้อยเพลง
มีจานวนคาไม่มากเท่าบทร้อง คือ มีวรรคละ ๔-๘ คา สร้อยเพลงน้ีคนท่ีเป็นตน้ บทจะร้องก่อนแล้วลูก
คู่จะรับ พร้อมกับรามะนา แล้วจึงจะขึ้นบทร้อง คาสุดท้ายในวรรคสุดท้ายของสร้อยเพลงจะส่งสัมผัสไปยังคา
สดุ ทา้ ยในวรรคที่ ๒ ของบทรอ้ ง แผนผังของสร้อยเพลงมลี ักษณะดงั นี้
๒๐ เด่นดวง พุม่ ศริ ิ, กำรศกึ ษำและวิจัยวฒั นธรรมพื้นบำ้ นในแนวศิลปกรรม, หนา้ ๑๔๓.
๒๑ เอนก นาวิกมูล, สำรำนกุ รมเพลงพ้ืนบ้ำน, หน้า ๘๑.
๑๗
“
” ๒๒
ตัวอย่างสร้อยเพลง ไมห่ ว่ันเกรงกลัว
ชนไหนชนกัน วนั น้ีได้วา่ กนั นัว
ชนไหนชนวา เวลาฟา้ มัว
หรอื คลงึ เคลา้ เฝา้ ฟอนเกสรดอกบวั
นกขมน้ิ บนมา วาสนานักกลอน
นกกระจาบบินวอ่ น ได้มาหากนิ ไกลถิน่ พระนคร
หรอื
อกเราคราวชะตา
พลดั พรากจากถ่ิน
๒. บทรอ้ ง
บทร้องหรือเนื้อร้องจะมีจานวนคาในวรรคประมาณ ๑๐-๑๒ คา มีลักษณะเป็นกลอนหัวเดียว คือ ส่ง
สัมผัสในคาท้ายไปเรือ่ ยๆ ดังแผนผังตอ่ ไปนี้
“
.......................
”๒๓
ฯลฯ
ตวั อยา่ งบทร้อง
เธอกล็ าตัดฉันก็ลาตัดเคยจดประวตั ิกนั ไว้ เคยรูเ้ ส้นเหน็ ไส้ภายในครอบครัว
ครอบครัวของเธอแหมเออฉันพอรู้ ว่าเด๋ยี วฉนั จะบอกคุณหนูหนใู หเ้ ขาร้กู นั ได้ท่ัว
วนั ไหนไมม่ ีงานแหมอยบู่ ้านไมไ่ ปไหน ชอบจับกล่มุ เล่นไพ่ชนิดทไี่ มม่ ตี วั๋
ถา้ วนั ไหนไม่มีลาตดั อกี น็ ดั กนั เป็นนิจ ชอบเล่นไพญ่ าติมิตรอย่างสะกติ กับจั่ว
วันนนั้ ผมไปหางานเขา้ หลังบา้ นลืมใหเ้ สียง ฉนั เดนิ หลบเข้าระเบียบเดนิ เลาะเลี่ยงไปขา้ งร้วั
เดนิ ยอ่ งเบาเบาแล้วแอบเขา้ ไปข้างหลงั แม่ประยรู พดู เสียงดงั วา่ เขายังไมไ่ ด้ค่ัว
ผมเลยเอามือเคาะฝาทาทา่ เป็นเจ้าหนา้ ท่ี พอเห็นกางเกงสกี ากอี ีโดดหนีจนลมื ตวั
๒๒ ประเทอื ง คลา้ ยสบุ รรณ,์ รอ้ ยกรองชำวบ้ำน, หนา้ ๙๙.
๒๓ ประเทือง คล้ายสุบรรณ์, รอ้ ยกรองชำวบ้ำน, หน้า ๑๐๐.
๑๘
ฯลฯ
จานวนคาของกลอนลาตัดในวรรคหนึ่งๆ น้ันจะมีจานวนคามากกว่ากลอนทั่วๆ ไป คือ มีตั้งแต่ ๑๐-
๑๒ คา จึงทาใหก้ ลอนลาตัดสามารถบรรยายถึงส่งิ ต่างๆ ได้อย่างละเอยี ดและได้ใจความชดั เจนกว่าคาประพนั ธ์
ชนิดอื่นๆ ซึ่งบางคร้ังต้องรวบใจความเพื่อไม่ให้จานวนคาเกินกาหนดของฉันทลักษณ์ของคาประพันธ์ชนิดนนั้ ๆ
เช่น เม่ือกล่าวถึงเร่ืองของการเกิด แก่ เจ็บและตาย จะกล่าวได้อย่างละเอียดลออ ผู้ฟังเข้าใจได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างเช่น เมื่อกล่าวถึงการเกิดว่า
มนุษย์สัตวอ์ บุ ัติขึ้นในภาคพ้ืนจกั รวาล กาเนิดกายคล้ายกันทกุ คนท่านทัง้ ผอง
ไมผ่ ิดแผกแตกตา่ งนบั แตเ่ มอ่ื ตง้ั ครรภม์ า เมอ่ื ยามปลอดกค็ ลอดมาจากมารดาอ้มุ ท้อง
เปน็ ทารกตกฟากยอ่ มประจักษ์แจง้ จิต ทั้งผ่อนผ้าภูษิตไม่มปี ิดปกป้อง
ลว้ นเปลอื ยเปล่าขาวดารูปธรรมต่างกนั แตไ่ มเ่ ป็นของสาคญั ในข้อน้ันดอกพี่นอ้ ง
มันแน่นอนตอนวา่ ลว้ นแล้วแตม่ ีมามือเปลา่ ไม่วา่ ไพร่หรือเจา้ ไมม่ ีขา้ วไมม่ ขี อง
ไม่ปรากฏยศศักดิ์ลว้ นนา้ หนักเท่าเท่ากัน มาภายหลังจงึ สรา้ งสรรคแ์ ลว้ ชว่ ยกันยกยอ่ ง
ถา้ ลกู บา่ วเขาเรยี กว่าไอถ้ า้ ลูกนายเขาเรยี กคุณ แบง่ ชน้ั ขน้ั ตระกลู แลว้ แต่บุญจะสนอง
ฯลฯ
เมื่อมีการเกิดก็ต้องมีแก่และเจ็บตามมา กลอนลาตัดก็สามารถกล่าวถึงเรื่องน้ีไว้อย่างคมคายและได้
ใจความ นอกจากนั้นยังกล่าวถึงความไม่เสมอภาคระหว่างคนจนกับคนรวยในเรื่องของสวัสดิการท่ีได้รับจาก
สงั คมไว้อีกด้วย เช่น
โอ้มนษุ ย์ปุถชุ นกาเนดิ เป็นคนแล้วเลา่ ย่อมผนั แปรแกเ่ ฒา่ ลงเหีย่ วเฉาเศรา้ หมอง
มหิ นาซ้ายามเฒา่ โรคก็เขา้ รงั ควาน ความเจบ็ ปว่ ยชว่ ยกันทาใหส้ งั ขารขดั ข้อง
เดยี๋ วมืดหน้าตามวั เด๋ยี วปวดหวั ปวดหลงั ปวดแกม้ ปวดคางปวดสขี า้ งปวดทอ้ ง
ชักออดแอดแพทยม์ าคอยเยือนเคหาชชู ว่ ย เมอื่ ญาติเราเขารา่ รวยพอหยบิ ฉวยเงินทอง
อนาถแท้กแ็ ต่คนทีย่ ากจนสมบตั ิ จะตามหมอก็ติดขดั เพราะอัตคดั เงนิ ทอง
ถา้ คนปว่ ยรวยสตางค์เพยี งแตส่ งั่ ดว้ ยปากเปล่า ไมต่ ้องเดนิ ไปเชญิ เขาหรอื บอกเลา่ เป็นคาสอง
สู้รวบรวมลว่ มยามาตามเวลานดั หมาย ถงึ ทางจะไกลแสนไกลคณุ หมอก็ไม่ขัดขอ้ ง
ถ้าคนจนข้นขัดมกั บอกปัดอย่ทู กุ วัน ถึงอยู่บันไดติดตดิ กนั เขากไ็ มห่ ันมามอง
ฯลฯ
นอกจากการเกดิ แกแ่ ละเจบ็ แลว้ การตาย กลอนลาตดั กก็ ลา่ วถึงไดอ้ ยา่ งคมคายเช่นกัน เชน่
จนสดุ ข้ันบัน้ ปลายถึงความตายแนช่ ดั ต้องสน้ิ สดุ มนษุ ย์สตั ว์เมอ่ื ความวบิ ัติมาสนอง
เจ้าหรอื นายไพร่ผูด้ เี ศรษฐีหรือขอทาน มาและไปคลา้ ยกนั เมอ่ื ครบอาการสามสิบสอง
เกดิ แต่กายไปแตต่ วั ทิ้งดีชว่ั ไวเ้ บือ้ งหลัง พน้ื พภิ พกลบรา่ งเนอ้ื กพ็ ังหนังกพ็ อง
ผิดก็แต่แห่แหนขนดั แนน่ นอ้ งพ่ี ท้งั โทนกรับกระจับปมี่ โหรีขับรอ้ ง
บ่าวไพร่ใช้สอยมหี ลายรอ้ ยหลายสบิ ผู้นาตายวายชพี บรรจหุ ีบปดิ ทอง
๑๙
อนาถแทก้ แ็ ตค่ นทย่ี ากจนสมบัติ เปน็ ศพผีไม่มีญาติออกเกลือ่ นกลาดก่ายกอง
นัน่ ตายผเู้ ดียวเปลยี่ วเปล่าไม่มเี ขามาดใู จ ต้องสูญเปลา่ เน่าไปไมม่ ใี ครเขาแตะตอ้ ง
ทีว่ อดวายตายเปลา่ ไม่ได้เขา้ ไปเขตวัด แลไปกค็ ล้ายสตั วเ์ พราะไรญ้ าตพิ นี่ อ้ ง
ถา้ คนรวยมว้ ยมรณ์ผู้อาวรณ์กม็ ากมาย ต่างครวญครา่ ร่าไหน้ า้ ตาไหลเนอื งนอง
ต่างโศกเศร้าเฝ้าบ่นดว้ ยเล่ห์กลมารยา ถงึ จะไมม่ นี า้ ตาก็ยังอตุ ส่าหแ์ กล้งรอ้ ง
ถา้ คนยากซากศพถา้ ใครไดพ้ บไดเ้ หน็ ตา่ งเบือนหนา้ เบนไมอ่ ยากเห็นไม่อยากมอง
มกั จะเปน็ เชน่ นี้เร่ืองคนมีกับคนยาก ยงั ถอื ยศถือศกั ด์กิ นั มากนกั พี่นอ้ ง
ฯลฯ
เพื่อได้เห็นชัดเจนในเร่ืองของฉันทลักษณ์หรือลักษณะคาประพันธ์กลอนลาตัด จึงพอสรุปไว้เป็นข้อๆ
ดงั ตอ่ ไปน้ี
๑. บทสร้อยบทหนึ่งมี ๒ บาท หรือ ๔ วรรค จานวนคาในวรรค ๔-๘ คา กาหนดสัมผัสคาท้ายวรรค
หนา้ กับคาท่ี ๕ วรรคหลงั และคาทา้ ยบทสมั ผสั กัน
๒. บทร้องบทหนึ่งไมจ่ ากดั ความยาว จะร้องกี่บทก็ได้
๓. จานวนคาในวรรคประมาณ ๑๐-๑๒ คา แตบ่ างวรรคอาจมนี ้อยกวา่ น้ีกไ็ ด้
๔. ถ้าจานวนคามากนิยมสัมผัสในระหว่างคาท่ี ๕ กับคาที่ ๘ ในวรรคหน้า (หรือคาที่ ๓ นับจากท้าย
วรรค) และคาท่ี ๕ กับคาที่ ๘ ในวรรคหลัง
๕. คาท้ายวรรคหนา้ ทกุ บาท สัมผสั กับคาที่ ๕ ของวรรคหลัง แตบ่ างครั้งอาจเล่อื นไปสมั ผสั คาอ่นื ได้
๖. คาท้ายบทสมั ผัสจากท้ายบาทในบทสรอ้ ย สัมผสั ต่อเนือ่ งไปจนจบบท
ควำมแพร่หลำยของลำตดั
ในบรรดาเพลงพื้นบ้านด้วยกันแล้ว เม่ือกล่าวถึงลาตัด คนท่ัวไปจะรู้จักดีกว่าเพลงพ้ืนบ้านชนิดอ่ืนๆ
คณะนักแสดงท่ีมีอาชีพทางการเล่นลาตัดนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายคณะ นับว่าเป็นเพลงพื้นบ้านที่ยังแพร่หลายอยู่
ในปัจจุบัน ดังนน้ั จงึ ถือได้วา่ ลาตัดเป็นมหรสพรว่ มสมยั กับคนในยุคนม้ี ากกว่าเพลงพน้ื บ้านอืน่ ๆ
ความนิยมแพร่หลายของลาตัดนั้น กระจายไปทุกภาคและแสดงในงานรื่นเริงทุกชนิด จนแม้กระทั่ง
งานศพ ลาตดั กแ็ สดงสมโภชได้ ลาตดั ไดม้ ีการบนั ทกึ เปน็ แผน่ เสยี งข้ึนในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ โดย เอนก นาวิกมูล ได้
กลา่ วถึงเรื่องนีไ้ วว้ ่า
“ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ หนังสือพิมพ์ศรีกรุง ฉบับวันอังคำรที่ ๓ ธันวำคม หน้ำ ๔ ได้ลง
โฆษณำขำยแผ่นเสียง ตรำสุนักข์ อัดด้วยไฟฟ้ำ มีทั้งลำตัด เพลง (ฉ่อย) และโนรำ คือ ลำตัด
เรื่องลักษณวงษ์ตำมพรำหมณ์ ลำตัดเรื่องทุกข์เรื่องหนำว ลำตัดเรื่องกำเนิด ลำตัดสองง่ำม
จัด เพลงแก้กันเรื่องหนีภำษี เพลงแก้กันเรื่องกระทู้ยักคิ้ว เพลงแก้กันกระทู้รับแขกกิน
หมำก โนรำบทขุนแผนตำมวันทอง โนรำบทไกรทอง โนรำกำพรัดซัดพระ โนรำกำพรัด
เก้ียวแม่ค้ำตลำดปำกพนัง เหล่ำน้ีมีขำยที่บริษัทรัตนมำลำ จำกัด สี่แยกถนนพำหุรัด กับที่
แผ่นเสยี งสโตร์ ถนนเจริญกรงุ ตอนสแ่ี ยกรำชวงศ์”๒๔
๒๔ เอนก นาวกิ มลู , เพลงนอกศตวรรษ, หน้า ๖๓๔.
๒๐
จากข้อความดังกล่าวเป็นส่ิงท่ีช้ีให้เห็นว่า ความนิยมของลาตัดน้ันมีแพร่หลายมานานแล้ว การบันทึก
แผ่นเสียงลาตัดก็มีมาไม่ต่ากว่า ๔๕ ปีแล้ว และในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ หนังสือพิมพ์ศรีกรุง ฉบับวันพฤหัสบดีท่ี ๔
กันยายน หน้า ๒๘ ได้ลงโฆษณาขายแผ่นเสียงลาตัดคณะคลองท่าไข่ เร่ืองหญิงชายเก้ียวกัน โดยนายสะโอด
นายหล่น นางเคลือบ นางเชื่อม ๓ แผ่น มีขายที่บริษัทรัตนมาลา จากัด และแผ่นเสียงสโตร์เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้แผ่นเสียงลาตัดจริงๆ ที่อดั ข้ึนในสมัย นาย ต.เง็กชวน เป็นแผ่นเสียงตรากระต่ายก็มีอัดไวห้ ลายแผ่น
เช่นกัน
ในปัจจุบันนี้ความแพร่หลายของลาตัดก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปแต่อย่างใด การอัดบันทึกเสียงลาตัด
จาหน่ายตามท้องตลาดยิ่งมีมากข้ึนตามลาดับ แต่ในปัจจุบันจะอัดออกจาหน่ายในรูปของแถบบันทึกเสียง
(Cassette Tape) ซ่ึงเป็นทน่ี ยิ มและสะดวกในการเปิดฟงั มากกว่าแผน่ เสียงในสมัยนนั้
คณะลาตัดท่ีอัดเป็นแถบบันทึกเสียงจาหน่ายน้ัน มีหลายคณะด้วยกัน เช่น คณะหวังเต๊ะ คณะแม่
ประยูร คณะแม่บุญชู เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีนักร้องเพลงลูกทุ่งบางคนได้หันมาสนใจร้องลาตัดเหมือนกัน
และมีอดั เสยี งจาหนา่ ยดว้ ย เช่น ชนิ กร ไกรลาศ ขวญั จติ ศรปี ระจัน รุ่งนภา กลมกลอ่ ม เปน็ ตน้
ความแพร่หลายของลาตัดน้ี นอกจากจะอัดเป็นแถบบันทึกเสียงจาหน่ายเป็นธุรกิจการค้าแล้ว ใน
ปจั จบุ ันยังมีนกั กลอนสมคั รเล่นได้ส่งกลอนลาตัดไปลงในนติ ยสารโต้ตอบกนั อกี ดว้ ย ที่พบมากท่สี ุดคือ นิตยสาร
สตรีสาร ซ่ึงจะมีคอลัมน์สาหรับนักกลอนสมัครเล่น โดยเปิดโอกาสให้ส่งกลอนเพลงพื้นบ้านต่างๆ เช่น เพลง
ฉ่อย เพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงลาตัด ฯลฯ ไปลงในคอลัมน์น้ีได้ และสัปดาห์ต่อมาก็อาจจะมีผู้ส่งกลอน
โต้ตอบกลับมาและระบุว่าโต้ตอบกับเพลงอะไรในฉบับท่ีเท่าไหร่ น่ันแสดงว่า วงการเพลงพ้ืนบ้านของไทยเรา
น้ันก็ยังคงมีผู้นิยมแพร่หลายอยู่ มิไดถ้ ูกลืมเลือนไปเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างย่ิงลาตัด ซ่ึงยังคงเป็นท่ีนิยมของ
คนทุกระดับ ทุกวงการ เพราะศิลปินลาตัดในปัจจุบันได้รู้จักปรับปรุงเน้ือหา และสอดแทรกมุขตลกได้ทันต่อ
เหตุการณ์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี และก็เป็นที่แน่นอนว่าลาตัดยังคงจะเป็นท่ีนิยมในกลุ่มคนท่ัวๆ ไปอีกนาน
ทเี ดียว
๒๑
ประวตั ิคณะลำตดั หวงั เตะ๊
“ลาตัดคณะหวังเต๊ะ” ก่อตั้งโดยนายหวังดี นิมา เม่ือปี พ.ศ.๒๔๙๕ ด้วยวัย ๒๖ ปี ซ่ึงได้รับการ
ถ่ายทอดจากบดิ า (นายเต๊ะ นมิ า)เป็นนักแสดงลาตัด และการราจากมารดา (นางลาไย นมิ า) เป็นละครชาตรี
ท่ีมาของชื่อคณะ คือหวัง เปน็ ชอื่ ของตน ในสมัยนน้ั จะมคี นช่อื ซา้ ๆกนั มาก เลยจะเรยี กชื่อพอ่ พว่ งตาม
ไปเชน่ หวงั ตาเตะ๊ นายหวังดเี ลยใช้ชอ่ื หวงั เตะ๊ เป็นชอื่ คณะ
คณะลาตัดหวังเต๊ะ ไดร้ ับความนิยมและยอมรับอย่างต่อเนื่อง ดว้ ยลีลาการแสดง และบทเพลงที่แสดง
ถึงความสวยงามของภาษา ลดถ้อยคา และเน้ือหาท่ีเก่ียวกับเร่ืองเพศอย่างโจ่งแจ้ง ลดคาหยาบอย่าง
ตรงไปตรงมา อาจเลี่ยงโดยการใช้การหยุดคาร้องหรือที่เรียกวา่ หักคอรอจังหวะ หรือ ใชค้ าสองแง่สองงา่ มแทน
ดว้ ยความต้องการให้เพลงพ้นื บ้านเข้าถงึ คนทุกเพศทกุ วยั และไปไดก้ ับสังคมปจั จบุ นั ดังเน้อื เพลงลาตดั ทวี่ า่
ว่าใหเ้ ด็กฟงั ได้ใหผ้ ใู้ หญฟ่ งั ดี เพ่อื สง่ เสริมศกั ดศ์ิ รี การกวีของไทย
เพอื่ พักผ่อนหยอ่ นอารม เชญิ ทา่ นชมลาตัด แบบเสยี งดังฟังชัด เป็นสมบตั ิของไทย
ความสามารถในการแสดงลาตัด และการสืบทอดให้คณะลาตัดสามารถดารงอยู่ในสังคมสืบมาของ
นายหวังดี นมิ า และคณะหวงั เตะ๊ เป็นท่ปี ระจักษช์ ัด จนกระท่ังในปี ๒๕๓๑ นายหวงั ดี นิมา ได้รับการเชดิ ชเู กยี รติ
เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพ้ืนบ้าน) ลาตัด ซ่ึงเป็นรางวัลท่ีสร้างช่ือเสียงให้กับนายหวังดี
นิมา และคณะลาตัดหวงั เตะ๊
ในปีพ.ศ.๒๕๕๑ นายหวังดี นิมา อายุ ๘๖ ปี ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดสมองตีบ และมะเร็งตับ ทาให้ไม่
สามารถไปทาการแสดงได้ นางศรีนวล ขาอาจ ผเู้ ปน็ ภรรยา จึงทาหน้าที่ควบคมุ วงไปทาการแสดงแทนเร่ือยมา
จนกระทัง่ วันท่ี ๒๖ มถิ นุ ายนพ.ศ.๒๕๕๕ นายหวงั ดี นิมาได้เสียชวี ติ ลง
นางศรีนวล ขาอาจได้สืบทอดเจตนารมณ์ ของนายหวังดี นิมา ในการควบคุม ดูแล รับผิดชอบคณะ
ลาตัดหวงั เตะ๊ และยังคงใช้ชื่อเดมิ ไมเ่ ปล่ยี นแปลง
๒๒
ภำคผนวก ๒
๒๓
๒๔
๒๕
๒๖
๒๗
๒๘
๒๙
รำมะนำ
๓๐
๓๑
๓๒
๓๓
๓๔
๓๕
เพลงลอย นกน้อย (หญงิ )
(ลูกคู่) โอเ้ จำ้ นกนอ้ ยเอย ก่อนนีเ้ คยจบั อยู่บนคอน (ซำ้ )
เจรจำจจู๋ ี๋ กลอ่ มพี่ให้นอน เจรจำเสยี งร้องกลอ่ มนอ้ งใหน้ อน
เจำ้ มำหลดุ จำกกรงหลงเข้ำดงกลำงดอน ท้ิงน้องใหน้ อนคนเดียว......เอย
โอ้ว่าคุณครบู า ทา่ นอตุ สา่ ห์สง่ั สอน ทา่ นใหค้ วามรไู้ วเ้ ป็นกระทู้คากลอน
ถ้าไมจ่ าทา่ นให้จด มีกาหนดเอาไว้แนน่ อน ทุกตับทกุ ตอนของลาตดั .....เอย
ขอคารวะอกี สกั ครง้ั ทา่ นผูฟ้ งั ท้ังหลาย ทง้ั คณุ นายคุณน้า ที่ได้มามากมาย
กราบเรยี นท่านผ้ชู ม เชงิ คารมดิฉันไมค่ มคาย ใหร้ สู้ ึกอับอายเสยี จรงิ .....เอย
พดู ถงึ ชีวิตนักแสดง ไปทกุ แหง่ ทกุ หน ถงึ จะถูกเหยยี ดหยามกพ็ ยายามอดทน
ต้องทาความครกึ ครน้ื ส่งิ อ่นื ไม่กงั วล บรกิ ารชาวชนทีม่ าชม..........เอย
๓๖
เพลงลอย นกน้อย (ชำย)
(ลูกค)ู่ โอเ้ จำ้ นกนอ้ ยเอย กอ่ นนเี้ คยจบั อยู่บนคอน (ซำ้ )
เจรจำจจู๋ ๋ี กลอ่ มพใ่ี หน้ อน เจ้ำมำหลดุ จำกกรงหลงเขำ้ ดงกลำงดอน
ท้งิ พีใ่ ห้นอนคนเดยี ว....เอย
กอ่ นนีเ้ คยขนั คอู่ ยเู่ คียง
โอ้แมน่ กเขาเอย เจา้ เคยได้ส่งสาเนยี ง
เมอื่ เจ้าอยใู่ นกรง กรงพก่ี วา้ งไม่พอเพียง
พี่ตกอับทรพั ย์จาง ออกไปไกลเอย
เจา้ จงึ หลบเล่ียง
โอ้แมน่ กเขาชวา พ่ีปลอ่ ยเจ้าเข้าปา่ พย่ี ังอตุ สา่ ห์ระวงั
ให้เจ้าบินถลา ไปเสาะหารวงรัง
เมอื่ เข้าไพรไกลโพน้ เจา้ อยา่ ตะโกนเสียงดัง
ประเดยี๋ วจะติดเอาตัง ของตาพรานเอย
โอแ้ ม่นกเขาเสียงดี เจา้ อยูก่ รงพไ่ี ม่เคยมีมัวหมอง
เดีย๋ วน้ี เปน็ ไฉน มนี สิ ัยจองหอง
มาลมื ตวั ลืมตน ลืมคนท่คี ุ้มครอง
มาเคยี ดแค้นเจา้ ของ ท่เี คยขงั เอย
๓๗
เพลงลอย ปะ๊ เพียว
(ลกู ค)ู่ ป๊ะเพยี งซวยมอ้ งกระจ้องเยำเล เลเลเลเล้เลเลเลเล
เลเลเลเล้เลเลเลเล เลเ้ ลเลเ้ ลเลเลเลเล เรำมำเล่นเอิง้ เอยดเิ กรเอิงเออ่ เฮ่อเอย้ จะรวนเรไปทำไม
สบิ นิ้วประนมกราบกม้ วันทาเลเลเลเลเ้ ลเลเลเล
เลเลเลเล้เลเลเลเล เล้เลเล้เลเลเลเลเล กราบกม้ วันทา
ตอ่ หญิงชายเอง้ิ เอยซา้ ยขวาเอิ้งเอ่อเฮอ่ เอ้ย ฉนั ขอสมาอาภัย
--------------------------------------------------------
แถวย่านบ้านน้นี านทีจะไดผ้ า่ น เลเลเลเลเ้ ลเลเลเล
เลเลเลเลเ้ ลเลเลเล เลเ้ ลเล้เลเลเลเลเล นานทจี ะได้ผา่ น
นึกว่าเอ้งิ เอยสงสารเอิ้งเอ่อเฮ่อเอ้ย หนูซมซานมาไกล
--------------------------------------------------------
๓๘
ลำตดั ทำนองกลำง กลอนไล ตบมือ
(ลูกคู)่ ชน่ื จติ น่กี ระไร ช่ืนใจจะไปเทยี่ วเล่น
ลมพดั เย็นๆ จะไปเที่ยวเลน่ ทีส่ วนลำไย
ทกุ ๆ ท่านทีน่ บั ถอื หนยู กมอื ขน้ึ วันทา พวกลาตดั พัฒนา มลี ลี าใหมๆ่
การละเล่นทเี่ หน็ ว่า จะนามาซง่ึ ความสขุ มันเป็นของสนกุ ๆ ทท่ี ันยคุ ทันสมยั
วา่ ให้เด็กฟงั ไดใ้ หผ้ ู้ใหญ่ฟังดี เพ่อื ส่งเสริมศกั ด์ศิ รี การกวขี องไทย
เพอื่ สง่ เสรมิ สรรคส์ ร้างเปน็ แนวทางสาธิต ฟังกนั เล่นเยน็ ๆ จติ ไม่มีพษิ ไม่มีภยั
เพอ่ื พกั ผ่อนหยอ่ นอารมณ์ เชิญทา่ นชมลาตดั แบบเสยี งดงั ฟงั ชดั เป็นสมบตั ขิ องไทย
การละเล่นพ้นื เมอื ง ที่สืบเนอ่ื งมานมนาน อย่มู าหลายรชั กาล นบั วา่ นานพอใช้
ยงั อยยู่ ั้งยืนยง มน่ั คงไมแ่ คลนคลอน ใชค้ มขาในคากลอน ศัพทส์ ุนทรภาษาไทย
กรประนมก้มศรี ษะ ขอคารวะทา่ นผูฟ้ งั ข้างซ้ายขา้ งขวาขา้ งหนา้ ข้างหลงั ถ้าผิดพล้ัง
ต้องขออภยั
ทกุ ๆ ท่านทน่ี บั ถือ ชว่ ยตบมือใหห้ นซู กั ที ทา่ นใหเ้ กียรตกิ ันแบบนี้ รู้สกึ วา่ มีกาลงั ใจ
ทา่ นให้เกียรตกิ ันแบบนี้ รสู้ ึกวา่ มกี าลงั แหมท่านตบมอื กนั ไมค่ ่อยดัง ขออกี สักครัง้ ไดไ้ หม
เรารสู้ ึกครึกครน้ื สดชน่ื กระฉับกระเฉง ถา้ ทา่ นถือเป็นกนั เอง อาการเกร็งก็หมดไป
พวกเราทกุ คน จะเริ่มตน้ กันได้หรือยงั เพราะตามบรรดาทา่ นผฟู้ งั ทา่ นกาลงั ใหอ้ ภัย
ท่านตบมอื ตัง้ สองหน พวกเราทกุ คนต้องพยายาม อยากใหท้ ่านตบเปน็ ครั้งที่ สาม ตบเพ่อื ความแนใ่ จ
๓๙
ลำตดั ทำนองกลำง กลอนลู
(ลูกคู่) ตำโป๋เปำ่ ป่ี ชวำเสยี งดี ชะนแี อบดู
ตำขำแกไปไถนำ ตำดเี ดนิ มำ ตำสำดงี ู
ไหวค้ รูประเดิมเร่ิมหดั ที่คดิ ลาตัดเป็นข้นั ตอน ไหวค้ รเู ฒ่าเก่ากอ่ นทีเ่ ขียนกลอนกระทู้
ไหวค้ รพู ักลกั จา มาแต่โบร่าโบราณ จนเกดิ ความชานาญ เพราะเคยไดผ้ า่ นเข้าหู
เคยผ่านเคยพบ เราจึงเคารพครูบา ผมู้ พี ระคุณลา้ คา่ ทีใ่ ห้วชิ าความรู้
วิชาศิลปะ จงั หวะทานอง ใหก้ ารแคล่วคลอ่ ง การรอ้ งลกู คู่
จะขึน้ ลูกคู่ แบบครูสอนไว้ เราต้องเขา้ ใจ กลอนไลกลอนลู
ไม่รทู้ านอง กร็ ้องลาบาก เปน็ เรือ่ งยุ่งยาก ถา้ หากไมร่ ู้
ต้องรอ้ งให้เปน็ ต้องเน้นสมั ผัส ฉะนัน้ ลาตดั ตอ้ งหัดจากครู
ครูแกค่ รเู กา่ ครูเฒา่ ชรา ข้าขอศรัทธา บูชาเชิดชู
ไม่บดิ ไมเ่ บอื น ช่วยเตอื นกระตุ้น ขา้ ขอขอบคณุ ครูสุนทรภู่
ครดู ัง้ ครเู ดมิ ท่สี ง่ เสรมิ สงั่ สอน มกี าหนดบทกลอน แนน่ อนนา่ ดู
เรายดึ ม่ันกตญั ญุตา เราถอื ว่าเป็นของขลงั จะเลน่ ลาตัดแตล่ ะคร้ัง พวกเราต้องตั้งกานลครู
๔๐
ลำตดั ทำนองกระพอื กลอนเลย
(ลูกค่)ู กำกะไน เอย๋ ไก่ก็ขัน ..........สนน่ั แจ้ว
ได้เวลำเสยี แลว้ .............. แม่แก้วตำ..............เอ้ย
(๑) สบิ นว้ิ ขนึ้ นอบนบ ขาขอเคารพครูบา ด้วยยึดม่ันกตัญญุตา ขอบชู าเชน่ เคย
ทัง้ ครูบาอาจารย์ ท่มี ีการสอนส่งั ช่วยสง่ เสรมิ เพิม่ พลงั ถา้ ผดิ พลงั้ เกนิ เลย
ขอใหม้ าน่ังอยู่ในคอ ขอให้มาตอ่ ปญั ญา ให้ปากไวอยา่ งวา่ เมือ่ ลูกจะอา้ จะเอ่ย
ใหท้ ่านผ้ชู มนยิ มว่าดี และขอให้มชี ่อื ดัง จะรอ้ งเฉไฉยงั ไงกช็ ่าง ขอใหผ้ ฟู้ งั ชมเชย
(๒) เคารพสองรองลงมา ไหว้บรรดาผู้ฟัง ตามอัธยาศัยยังไงก็ชา่ ง ขอให้ท่านนัง่ เฉยๆ
ฉันขอเผยเอ่ยพิพจน์ ขึ้นเปน็ บทฉนา เปน็ ศภุ สร้อยถอ้ ยคา ในเนือ้ ลาเฉลย
แรกประเดิมเรม่ิ ร้อง ใชท้ านองเก่า ๆ เออากาศชกั อบอา้ ว น่ีเราจะเอายงั ไงเอย่
เกรงว่าทา่ นทีม่ า จะไปนนิ ทาภายหลัง ว่าไมอ่ รอ่ ยหูฟัง ไมเ่ หมอื นหนมปังจิ้มเนย
๔๑
ลำตดั ทำนองกระพอื กลอนลำ
(ลกู คู่)ยำซยี ำไซ เองิ เงอเออ่ เข้ำใจเล่น
ฉันรอ้ งไม่เปน็ จะใหฉ้ นั เล่นไปอยำ่ งไร
บอกเถดิ บอกเถิดเจ้ำขำ้ ฮำ้ นก่ี ฮ็ ้ำไฮ้ ตำมแต่จะเมตตำ
กำวันกตี อมำรีดูโด๊ะ อำมอตำโก๊ะ มำช่วยกันโจะ๊ รำมะนำ
(1)สวัสดีสวัสดี อ้อราตรสี วสั ดิ์ คณะไดน้ าลาตดั มาให้ทา่ นทศั นา
ทา่ นนิง่ นงั่ ฟงั คารม เชญิ ท่านชมตามสบาย ไมม่ ีหยาบไมม่ คี าย ดูลวดลายลลี า
ดูลลี าท่าทาง ตามแบบอยา่ งโบราณ ดูกนั ได้หลายดา้ น ดูเพ่อื การศกึ ษา
ควรศึกษาหาหลกั และอนุรกั ษก์ นั เอาไว้ เปน็ มรดกของไทย ความเปน็ ไปเปน็ มา
พูดถึงกลองลาตัด มาจากปตั ตานี ขอบอกอีกที เทา่ ทีร่ ้มู า
ฉนั นาเรือ่ งเกา่ มาเล่ามาสู่ เพยี งแต่เรียนรู้ จากปู่จากย่า
จากยายจากตา เล่ามายอ่ ๆ คณุ แม่คณุ พอ่ เล่าตอ่ กนั มา
ยังมองเห็นเป็นหลักฐาน คนโบราณเขารับรอง เครอ่ื งรับสาหรบั รอ้ ง เขาเรียกวา่ กลองรามะนา
(2)พดู ถึงกลองรามะนา ทมี่ ีมาเปน็ สมบัติ ท่มี องเห็นเป็นลาตดั มีหลายศตวรรษแลว้ ทา่ นขา
พอตกมาอยภู่ าคกลาง เปลย่ี นรปู ร่างจากเดิม เรามาสรา้ งเรามาเสรมิ ผดิ กวา่ เดมิ ธรรมดา
เรามาสร้างเรามาเสริมหุ่นเดมิ เขากย็ ังมี แต่ปจั จุบนั ทกุ วันนี้ แถวๆ ปตั ตานี ยะลา
สี่จงั หวัดภาคใต้ เขาก็ยงั ใชก้ ันอยู่ เขาเรียกวา่ ดเิ กฮลู ู ฉันเคยไปดเู ขามา
สจี่ งั หวดั ภาคใต้ เขากย็ ังใช้กนั อยู่ เขามาแสดงใหด้ ู ในวิทยาลยั ครูสงขลา
ฉันเคยไปโชว์ลาตัด ทางจังหวัดเขาต้องการ เป็นวัฒนธรรมพื้นบา้ นและมีการสมั มนา
ภาคกลางภาคเหนือภาคอสี าน สนกุ สนานกนั น่าดู พูดถึงดิเกฮลู ู ฉันเคยไดด้ ูเตม็ ตา
เขาเกย้ี วพาราสี แบบวิธีของลาตดั แต่เราฟงั ไมค่ ่อยชดั เพราะไม่ถนดั ภาษา
เพราะฉะนน้ั วนั นี้ พ่อคนดที ีม่ านั่ง จะลงมอื กันได้หรือยงั อยา่ มัวมาน่ังลอยหน้า
เธอร้องเป็นกนั หรอื เปลา่ แบบทฉ่ี นั กลา่ วรอ้ งเกริน่ ทานองนี้ดีเหลือเกนิ ฟงั เพลินจริงพับผ่า
ดพู ่อคนนห้ี น้าม่อย เพราะเขาไม่คอ่ ยจะรู้ เขาไมใ่ ชเ่ ชือ้ มลายู บ้านเขาอยูอ่ ยธุ ยา///
๔๒
ลำตดั ทำนองเพรำะ กลอนลี (อยำกดัง)
(ลกู ค่)ู ช่อลาไย เออ้ เอย ใบจาปี
ขอส่ิงศักดิส์ ิทธ์ิในสากล จงบันดาลดลใหท้ ุกคนโชคดี
สวัสดีทุก ๆ ทา่ น ที่ชอบการครกึ คร้นื พอดฉิ ันว่าท่านฮาครืน ก็พอจะชนื่ ฤดี
ดิฉนั เปน็ นกั ลาตดั เคยถนัดแต่ทางว่า พอมีสาเนยี งเสียงฮา ความประหม่ากเ็ ร่มิ มี
การประหม่าตน่ื เต้น ดิฉันวา่ เปน็ กนั แทบทกคน แทบทกุ ครั้งแทบทุกหน เม่อื ยา่ งขนึ้ บนเวที
พอย่างขน้ึ บนเวที ทกุ คนต้องมีประหมา่ ชักซู่ ๆ ซ่า ๆ แทบเบือนหน้าหลบหนี
แรกประเดมิ เร่ิมแสดง ใหร้ ะแวงไหวหวนั่ บา้ งหน้าซีดใจส่ัน อาทิเช่นดฉิ ันเวลาน้ี
ชักกลวั ๆ กลา้ ๆ ในเรอื่ งว่าลาตดั ฉันเปน็ นกั กลอนอ่อนหดั ยงั ไม่ถนัดถน่ี
ดี ๆ ช่ัว ๆ ขอฝากตัวเปน็ ลูกหลาน ศิโรราบกราบกราน มาขอสมานไมตรี
00---000-------------000---00
ฉนั ขอสมานไมตรี และยินดสี นอง ท่านพากันมาเนอื งนอง นับถอื เหมอื นนอ้ งเหมอื นพี่
ขอใหท้ ุกทา่ นที่มาชม และนยิ มลาตัด ให้สขุ สมบรู ณพ์ นู พพิ ัฒน์ กันตามถนัดถนี่
เมอ่ื ทา่ นจะคดิ มีเงนิ ก็ขอใหเ้ งินมากอง เมื่อทา่ นจะคดิ มีทอง ให้เหมอื นเจา้ ของเซ่งเฮงหลี
เม่ือทา่ นจะคดิ มคี ู่ กข็ อใหอ้ ยู่กันกบั เหยา้ ให้มลี ูกมีเต้า กนั หัวปที ้ายปี
ให้ทา่ นทามาคา้ ขนึ้ ยงั ยนื ย่ิงใหญ่ ท่านจะประสงค์ส่ิงใด ก็ขอใหไ้ ดท้ ันที
00---000-------------000---00
ทา่ นคิดสิง่ ใด ใหไ้ ดด้ งั คิด จะทาธุรกจิ ใหม้ ีสทิ ธิ์เสรี
ใหม้ ีอานาจ ให้มีวาสนา จะทาการค้า ขอให้พนู ทวี
ใหท้ า่ นมง่ั คงั่ เหมอื นดังคาพร ให้ท่านถาวร ดงั พรทัง้ ส่ี
อายุวรรโณ สุโขพลัง ใหม้ ชี ่อื ดัง เหมือนยังเคนาด้ี
ให้มีเหลอื เฟือ ใหเ้ หลอื ขนาด ให้มีอานาจ ดังกับราชสหี ์
ให้มีชือ่ เสียง ให้เกรียงใหไ้ กร อยา่ ได้ปว่ ยไข้ ใหไ้ รโ้ รคี
ใหม้ ีสขุ ภาพ เหมือนดงั อาบวา่ นยา ตอ่ ไปภายหน้า ใหท้ ่านเปน็ เศรษฐี
ขอให้ทา่ นเปน็ เศรษฐี มัง่ มขี ้นึ ทุกวนั ขอใหท้ กุ ๆท่านจงแฮปปแี้ ฮปป้ี
ใหล้ ือชาปรากฏ มยี ศมศี กั ดิ์ บรรดายู ๆ ทฉี่ ันไมร่ ู้จกั ให้กู๊ดลคั ตลอดปี
00---000-------------000---00
๔๓
ฉนั เป็นลาตัด เพ่งิ หัดรนุ่ หลงั ถึงช่ือจะดงั แตย่ ังไม่ดี
อยากดัง ทุกคนอยากดงั แตว่ า่ ความหวัง นั้นยงั ไมม่ ี
จะดงั หรอื จะโด่ง ก็คงแค่เก่า เขาหรอื เรา ก็เท่าท่มี ี
บางคนอยากดัง ไปในทางท่ผี ิด บางคนอยากคิด ไปในทางสขุ ี
บางคนอยากดู ให้รกู้ บั ตา บางคนอยากว่า เขาทกุ วนั ทุกว่ี
คาพระท่านจึงว่า ว่านานาจิตตัง ฉะนนั้ เพลงอยากดัง ของเขาจึงฟังเพราะดี
00---000-------------000---00
คนเสียงดังฟังชัด มีส่วนสดั เหมาะสม คนอืน่ เขาชน่ื ชม เป็นทน่ี ิยมยนิ ดี
ใครเหน็ ใครรัก อนั น้เี ป็นหลักธรรมดา กุศลกรรมทามา จึงโสภาโสภี
แขง่ เรอื แข่งแพ เขาแขง่ กันแคก่ าลงั การยื้อแย่งแขง่ กนั ดงั จะพลาดพลง้ั นะคะคุณพ่ี
จะขอเตือนพ่อคณุ อย่าหุนหนั การยอื้ แยง่ แขง่ ขนั นั้นไม่ดี
ต้องรู้แพ้รชู้ นะ จงึ จะเหมาะ แลว้ ใครค่ รวญพเิ คราะห์ ให้ถ้วนถี่
อย่าคดิ ว่าเราเท่านั้น ร้ทู ันเขา อยา่ คดิ แลว้ คิดเล่า ว่าเราดี
อยา่ คดิ วา่ พวกนั่งกับพื้น จะไร้ผล ต้องยับแย่แพ้คน บนเวที
อย่าเหอ่ เหิมเคลม้ิ คล่ัง ว่าเรานี้ดังมากกว่า เดย๋ี วจะตอ้ งเป็นคนป่า ไปช่ัวนาตาปี
00---000-------------000---00
อยากดัง ทุกคนอยากดัง แตว่ า่ ความหวัง น้นั ยงั ไมม่ ี
จะดังหรือไมด่ ัง มนั ก็อยทู่ ด่ี วง ไม่ตอ้ งเป็นหว่ ง พ่อพวงมาลี
ฉันรอ้ งเรื่องดงั อย่าเพง่ิ นั่งหนา้ งอ พ่อ...รูปหล่อ ฉนั ขอเสียที
จะดงั หรอื โดง่ ก็คงแค่เกา่ เขาหรอื เรา กเ็ ทา่ ทม่ี ี
บางคนอยากดัง ไปในทางท่ผี ิด บางคนอยากคิด ไปในทางสขุ ี
บางคนอยากดู ให้รู้กบั ตา บางคนอยากว่า เขาทกุ วันทกุ วี่
ว่าคาพระทา่ นจงึ วา่ ว่านานาจติ ตงั ฉะนัน้ เพลงอยากดัง ของเขาจึงฟงั เพราะดี
**-----**---------**-----**
๔๔
ลำตดั ทำนองโศก กลอนลอน
ลูกคู่ เม่ือชีวติ เรายงั ไมต่ าย จะทาดกี ันสกั เท่าไร กไ็ มม่ ใี ครเขาให้พร
จะนกึ ถึงกนั บา้ งหรอื กเ็ ปลา่ เขาจะเหน็ ใจเรากต็ อนเมอื่ เขา้ กองฟอน
โอ้บหุ ลันขวัญเอ๋ย กระไรเลยแลหาย หร่งิ แต่เสียงเรไร กอ้ งอยใู่ นดงดอน
ท้ังนกไม้ไก่กา ก็ไมถ่ ลาลอยลม หนาวนา้ คา้ งพรงั่ พรม ให้ทุกขร์ ะทมทอดถอน
ฉนั มาราพึงคะนึงคดิ ถงึ ชีวติ มนษุ ย์เรา ล้วนวอดวายตายเปลา่ ตา่ งหันเข้ากองฟอน
ไม่พลิกฟนื้ คนื หลัง เหมอื นแตด่ ้งั เดมิ มา น่าสมเพชเวทนา ยง่ิ คดิ ขนึ้ มายิง่ อาวรณ์
เมื่อชพี เรายงั ย่ังยืน กส็ ดชื่นกนั เยน็ เช้า พอกายพงั หนังเนา่ ใครเล่าจะรว่ มหมอน
โอป้ ่าช้าเจ้าขา้ เอย๋ ใครใครก็เคยเกลียดกลวั เปน็ ดนิ แดนอนั แสนช่วั แตแ่ ล้วตัวก็ต้องไปนอน
ใครเล่าจะล้ีหนไี ด้ จากความตายนพี้ ้น ไมว่ า่ เศรษฐีมหี รอื จน ย่อมจะไมพ่ น้ มว้ ยมรณ์
ถึงมเี งินมีทอง ออกก่ายกองท่วมกาย จะซือ้ อะไรก็ซอ้ื ได้ สดุ แต่ใจจะอาวรณ์
แม้แตช่ ีวิตเพยี งนดิ หน่ึง อยา่ หมายพงึ ซือ้ หา จงหมนั่ นกึ ถงึ ป่าช้า ทกุ เมอ่ื เวลาเราเขา้ นอน
พดู ถึงเรื่องเป็นเศรษฐี ดวงฤดกี แ็ จ่มใส พอมานึกถงึ ความตาย เลน่ เอาหวั ใจชักรอนรอน
****************************************************************
เพราะฉะน้นั ทา่ นจ๋า ตามบรรดาญาตมิ ิตร เมอ่ื เรามชี วี ิต กค็ วรจะคดิ สงั วร
ญาติสนิทมิตรสหาย ทีต่ ายตายกนั กม็ าก ที่ตกระกาลาบาก ฉนั ขอฝากเอาไวก้ ่อน
มานกึ ถึงเร่อื งนี้ ฉนั แทบไมม่ แี ก่ใจ มันหนกั หนว่ งหว่ งใย สุดอาลยั อาวรณ์
ผู้ล่วงลบั ดบั ขนั ธ์ ดวงวญิ ญาณยงั ลอ่ งลอย ฟงั ประพนั ธ์ฉันสักหนอ่ ย จะกล่าวถ้อยสนองกลอน
เราไมใ่ ชญ่ าตกิ ็เหมือนญาติ เราไมใ่ ชม่ ติ รก็เหมือนมิตร ดวงวิญญาณและชวี ิต ท่หี ลบั สนทิ แน่นอน
แมต้ วั ทา่ นตายไปภายหลัง ลกู หลานกย็ ังวนุ่ วาย สละทรัพยจ์ บั จา่ ย จนสใู่ นเชงิ ตะกอน
นกึ ถึงตัวขา้ พเจา้ เม่อื ถึงคราวตัวตาย ผจี ะไหมห้ รอื ไม่ไหม้ คิดแลว้ ใหอ้ าวรณ์
เรากาเนิดเกดิ เปน็ ตน ทกุ บุคคลหญิงชาย การเกิดแกเ่ จบ็ ตาย ประจากายแน่นอน
มาอยา่ งไรไปอย่างนั้น เราทุกท่านทกุ คน เกิดมากแ็ ตก่ ายตายไปกแ็ ตต่ น ใครเล่าจะขนเงินจร
เพราะตอนเราเกิดมาเปน็ กาย ไม่มีอะไรตดิ มา เมอ่ื ถึงวนั สัญญา กส็ ุดจะพาตดิ จร
จะเอาอะไรไปไม่ได้ ตอ้ งทง้ิ ไว้เบ้อื งหลัง ให้ลูกบา้ งหลานบา้ ง คนอยูข่ า้ งหลงั เขาแบ่งทอน
จะเหลืออยู่กันก็แต่นาม ลกู หลานกจ็ ะตามติดมา มายืนเช็ดน้าตา กนั อยทู่ ่หี น้ากองฟอน