The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พัฒนาครูภาษาอังกฤษ การสร้างนวัตกรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chtsan6, 2021-12-21 23:10:42

รายงานการนิเทศ ภาษาอังกฤษ การสร้างนวัตกรรม

พัฒนาครูภาษาอังกฤษ การสร้างนวัตกรรม

การนเิ ทศดว้ ยกระบวนการวจิ ยั เพือ่ สง่ เสริมความสามารถในการพฒั นา
นวัตกรรมการจดั การเรียนรู้ของครกู ล่มุ สาระการเรียนรู้

ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้
สงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาพะเยา เขต 2

(รหัส 09503)

โดย
สกาวรตั น์ ไกรมาก

ศกึ ษานเิ ทศก์

สังกัดสานักงานเขตพื้นทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพะเยา เขต 2
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

สารบัญ 1

บทท่ี 1 บทนา……………………………………………………………………………………………………….. หน้า
1. ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา………………………………………………….
2. วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย...................................................................................... 3
3. คาถามวจิ ยั ...................................................................................................... 3
4. ขอบเขตของการวจิ ัย....................................................................................... 6
5. กรอบแนวคดิ การวจิ ยั ...................................................................................... 7
6. นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ…………………………………………………………………………………. 7
7. ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะได้รับ/นวัตกรรม............................................................. 8
9
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง............................................................................... 9
1. การนิเทศดว้ ยกระบวนการวิจยั ……………………………………………………….……… 10
1.1 ความหมายการนิเทศ……..………………………………………………………………. 10
1.2 กระบวนการนิเทศ……..………………………………………………………………….. 10
1.3 การนิเทศแนวใหม่……..………………………………………………………………….. 11
1.4 การนเิ ทศด้วยกระบวนการวิจัย……..……………………………………………….. 15
1.5 งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการนเิ ทศด้วยกระบวนการวิจัย……..……………….. 16
2. การพัฒนานวตั กรรมการจดั การเรยี นรู้…………………………………………………… 17
2.1 ความหมายของนวตั กรรมการเรยี นรู้……..………………………………………… 18
2.2 ประเภทของนวัตกรรมการเรยี นรู้……..…………………………………………….. 18
2.3 การพฒั นานวัตกรรมการเรยี นรู้……..……………………………………………….. 19
2.4 ประโยชนข์ องนวตั กรรมการเรียนรู้……..…………………………………………... 21
2.5 งานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วข้องกับการพฒั นานวัตกรรมการเรยี นรู้……………………….. 26
3. การจดั การเรียนรู้กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ (อังกฤษ)................ 27
3.1 หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ……..…………………………. 28
3.2 แนวคิดการจัดการเรียนรูภ้ าษาต่างประเทศ……..……………………………….. 28
3.3 งานวจิ ยั ทีเ่ ก่ยี วข้องกบั การจัดการเรยี นร้กู ลุม่ สาระการเรยี นรู้.................. 33
ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ……..…………………………………………….
39
บทที่ 3 วธิ ีดาเนนิ การวิจัย.................................................................................................. 42
1. กลุม่ เปาู หมายการวจิ ยั ........................……………………………………………………… 42
2. ตัวแปรในการวิจยั ............................................................................................. 42
3. เครื่องมือท่ใี ชใ้ นการวิจยั และการหาคณุ ภาพของเครอื่ งมอื ............................... 42
4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ...................................................................................... 46
5. การวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................................... 47
6. สถิติที่ใช้ในการวิจัย........................................................................................... 49

สารบัญ (ต่อ) 2

ภาคผนวก.......................................................................................................................... 52
ภาคผนวก ก เคร่ืองมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั …………………………………………………….. 53
ภาคผนวก ข รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ....................................................................... 72
76
บรรณานุกรม………………………………………………………………………………………………………..

3

บทที่ 1
บทนา

ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา

การจัดการศึกษาของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาดาเนินการภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงที่เป็น
พลวัตของโลกศตวรรษที่ 21 และสภาวการณ์ทเี่ ป็นแรงกดดันทง้ั จากภายในและภายนอกประเทศ โดยใช้กรอบ
และแนวทางการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และฉบับแก้ไข
เพ่ิมเติม พ.ศ. 2545 กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายเร่งปฏิรูปการเรียนรู้ท้ังระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
เพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษาและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน การเสริมสร้างสมรรถนะและความสามารถ
ในการสอ่ื สารเป็นภาษาอังกฤษของคนไทยก็เปน็ อีกความจาเปน็ เร่งด่วนของประเทศไทยในปัจจุบันในสภาวะท่ี
ระดบั ความสามารถของคนไทยในดา้ นภาษาอังกฤษยงั อยู่ระดับตา่ มาก ขณะที่ตอ้ งเรง่ พัฒนาประเทศให้ก้าวทัน
การเปลย่ี นแปลงของโลกและรองรบั ภาวะการค้าการลงทนุ การเชอ่ื มโยงระหว่างประเทศ และการเข้าร่วมเป็น
สมาชิกของประชาคมอาเซียนท่ีใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางหรือภาษาที่ใช้ในการทางาน การปฏิรูป
การเรียนการสอนภาษาองั กฤษจึงเป็นนโยบายสาคัญของกระทรวงศึกษาธกิ ารทจ่ี ะตอ้ งเรง่ ดาเนินการให้เกิดผล
สาเร็จโดยเร็ว (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐาน, มปป. คานา)

ขอ้ มูลดา้ นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในด้านภาษาอังกฤษของประเทศไทยในภาพรวมที่ผ่านมานับเป็น
กลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ีมีผลสัมฤทธิ์ต่ามาอย่างต่อเนื่อง เม่ือดูผลสัมฤทธิ์ในการทดสอบการศึกษาระดับชาติ
ขั้นพืน้ ฐาน (O-NET) มีคา่ เฉลีย่ ตา่ มากเม่ือเทยี บกบั ผลสัมฤทธิ์กลุ่มสาระอ่ืนๆ ใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยมี
ข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี (ปีพ.ศ. 2557 – 2559) พบว่า ผลการทดสอบทางการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 และ
มัธยมศึกษาปีท่ี 3 มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละของระดับประเทศต่ามาอย่างต่อเนื่อง มีคะแนนไม่เกินร้อยละ 40
ทุกปีและเม่ือพิจารณาข้อมูลในระดับเขตพ้ืนที่การศึกษา สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาพะเยา
เขต 2 มีผลการทดสอบระดับชาติขั้นพ้ืนฐาน ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 และมัธยมศึ กษาปีท่ี 3 ต่ากว่า
ระดบั ประเทศทงั้ 3 ปี ข้อมลู ดงั ตาราง

กลุม่ สาระ ระดบั พ.ศ.2557 พ.ศ. 2558 พ.ศ. 2559
การเรยี นรู้ ระดับ ระดับ ระดับ ระดับ ระดับ ระดบั
ประถมศึกษาปที ี่ 6 ประเทศ เขตพ้นื ที่ ประเทศ เขตพน้ื ที่ ประเทศ เขตพ้นื ท่ี
ภาษา มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
ตา่ งประเทศ 36.02 35.55 40.31 39.97 34.59 33.33
27.46 26.18 30.62 27.08 31.80 28.81

เมอื่ ไดว้ ิเคราะห์ปัญหาทั้งเอกสารและการนิเทศติดตามการจัดการเรียนการสอนของครูภาษาอังกฤษ
พบว่า ครูผู้สอนภาษาอังกฤษของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 จัดการเรียนการ

สอนโดยใชภ้ าษาองั กฤษในการส่อื สารกบั นักเรียนนอ้ ย และการจัดการเรียนการสอนไม่สอดคล้องกันต้ังแต่การ
ต้ังเปูาหมาย การออกแบบกิจกรรมและการวัดผลประเมินผล ครูมีเทคนิควิธีการสอนท่ียังไม่หลากหลาย

ตลอดจนมีนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาให้เหมาะสมและนามาใช้กับผู้เรียนน้อย ส่วนปัญหาการเรียน
การสอนภาษาอังกฤษท่ีส่งผลให้การเรียนการสอนภาษาอังกฤษยังไม่ช่วยส่งเสริมความสามารถในการใช้
ภาษาอังกฤษและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่า เนื่องจากการเรียนการสอนภาษาอังกฤษยังไม่บูรณาการ

4

ทั้ง 4 ทักษะ การฝึกปฏิบัติยังไม่เพียงพอ ส่วนใหญ่เน้นการสอนไวยากรณ์และท่องศัพท์ ส่งผลให้ผู้เรียน
ไมส่ ามารถใชภ้ าษาอังกฤษในการสือ่ สารได้ วิธีการเรยี นการสอนยังไม่หลากหลายและไม่สอดคล้องกับพ้ืนฐาน
ของนักเรียน จานวนนักเรียนในชั้นเรียนมากเกินไป ทาให้ไม่สามารถดูแลหรือจัดให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติได้อย่าง
ท่วั ถึง ครสู ่วนใหญ่ขาดความรู้และทักษะ ครูสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษากว่าร้อยละ 80 ไม่ได้จบ
วิชาเอกภาษาองั กฤษ และมีภาระงานต้องสอนหลายกลุ่มสาระ รวมทงั้ มีภาระงานอื่นที่นอกเหนือจากการสอน
มาก ครูส่วนใหญย่ ังดอ้ ยท้ังทกั ษะภาษา โดยเฉพาะการสอื่ สาร ทกั ษะการสอน และขาดเจตคติที่ดีต่อการเรียน
การสอนภาษาอังกฤษ ผลการประเมินความสามารถตนเองของครูสอนภาษาอังกฤษ ของสานักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พบว่า ครูร้อยละ 51.91 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในระดับท่ีต้องปรับปรุง
ดังนน้ั ความคาดหวงั ทจี่ ะให้ครูพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา จัดทาแผนการสอน ผลิตส่ือ และจัดการเรียนการ
สอนตามท่ีกาหนดจงึ ไม่สอดคลอ้ งกับสภาพความเป็นจริง ครูสอนภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จัดการเรียนการสอน
โดยยึดแบบเรียนเป็นหลักและเลือกเฉพาะบางกิจกรรมท่ีสามารถสอนได้ ครูขาดการสนับสนุนให้ได้รับ
การพัฒนาอยา่ งต่อเนื่องเปน็ ระบบ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน, 2557)

นอกจากน้ัน พบว่า ผู้เรียนไม่พร้อมที่จะเรียนรู้หรือไม่ชอบเรียนภาษาอังกฤษ หรืออีกนัยหนึ่งการ
จดั ระบบการเรยี นยังไม่ดพี อ ทาให้การเรียนไม่ได้ผลเต็มท่ี มีความบกพร่องทางการเรียน ขณะเดียวกันผู้สอน
ก็มีความบกพร่องในดา้ นการจัดการเรียนการสอนเช่นกัน ปัญหาที่เกิดจากผู้สอน คือ คุณภาพของครู วิธีสอน
การใชส้ อ่ื และการจัดชั้นเรียน เป็นต้น ครูผู้สอนส่วนใหญ่ให้ความสาคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ค่อนข้างน้อย หรือใช้วิธีสอนท่ีไม่มีประสิทธิภาพ ไม่น่าสนใจ ใช้วิธีการสอนแบบเก่า ไม่ยอมปรับปรุงตนเอง
ด้วยเหตุน้ีจึงทาให้นักเรียนไม่สนใจในบทเรียน เกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน จึงควรมีสื่อ นวัตกรรมมาใช้
ประกอบการจดั การเรยี นรู้ เพอ่ื ให้สามารถเรียนรแู้ ละพฒั นาตนเองได้ (นิตยา แก้วรตั น์, ม.ป.ป.)

นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ จึงเป็นสิ่งที่มีความจาเป็นอย่างยิ่งในการท่ีจะช่วยพัฒนาให้การจัดการ
เรียนรู้ ใหผ้ ู้เรยี นเรียนรูอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เพราะนวตั กรรมเป็นการพัฒนา คิดค้น และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
เพื่อนามาใช้ในการจดั การเรียนรู้ มปี ระโยชน์ในการช่วยแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ ช่วยให้บทเรียนน่าเรียนรู้
กระตุ้นความสนใจในการเรียนรู้ของผู้เรียน ช่วยทาเร่ืองที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมมากข้ึน ทาให้ผู้เรียน
เรียนรู้ได้ง่าย เข้าใจได้รวดเร็ว ส่งเสริมให้การจัดการเรียนรู้เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ตาม
จุดประสงคข์ องรายวิชา เพิ่มประสทิ ธภิ าพการเรยี นการสอน ซึ่งนวตั กรรมท่ีนามาใช้อาจมีผู้คิดค้นข้ึนแลว หรือ
คิดขน้ึ ใหมเ่ พอ่ื ให้เหมาะสมกับแต่ละปัญหา หรอื แต่ละสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม ยังคงพบว่า ครูผู้สอนมีความรู้ความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้
ในระดับที่ต่า การพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหา ครูขาดความรู้ความชานาญ ไม่มีประสบการณ์หรือความรู้
ในดา้ นการผลิตสือ่ นวตั กรรมเลย ไม่มีเคร่ืองมือ (คอมพิวเตอร์) ท่ีใช้ในการผลิตส่ือนวัตกรรม ค่าใช้จ่ายในการ
ผลิต ค้นคว้ามีน้อย ครูยังขาดความร่วมมือกันในการร่วมคิดร่วมทาเพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน
ท่ีสามารถพัฒนาผู้เรียนอย่างครอบคลุมและบูรณาการแบบองค์รวม เครื่องมือท่ีครูใช้ส่วนใหญ่ไมมีการ
ตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือทาให้ไม่แน่ใจว่าจะสามารถนาไปใช้กับนักเรียนกลุ่มอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หรอื ไม่ (ศรีนอ้ ย ลาวงั ,2552, https://sites.google.com/site/techno5040407/tidtx-1)

จากเหตุผลดังกล่าว การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบันต้องปรับเปล่ียน โดยต้อง
ประยกุ ตใ์ ชส้ ือ่ ประกอบการสอนให้ทันสมยั ในยุคดิจทิ ัล เพือ่ กระตุ้นความสนใจของผ้เู รียน และส่งเสริมให้ผู้สอน
จัดกิจกรรมการเรยี นการสอนภาษาอังกฤษให้ดาเนินไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้และเกิดประสิทธิผล (อนามัย
ดาเนตร, 2561) มีการส่งเสริมให้มีการใช้สื่อ เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการศึกษาเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการ
ช่วยพัฒนาความสามารถทางภาษาของครูและผู้เรียน ทั้งการส่งเสริมให้มีการผลิต การสรรหา e-content,

5

Learning applications รวมถึงแบบฝึกและแบบทดสอบที่ไดมาตรฐานและมีคุณภาพสาหรับการเรียนรู
รวมทัง้ สง่ เสริมให้มีการใช้ช่องทางการเรียนรูผ่านโลกดิจิทัล ยกตัวอย่างเช่น การเรียนรูการฟัง การออกเสียง
ทีถ่ ูกต้องตาม Phonics จากส่ือดิจิทัล (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2557) แนวคิดการสอน
ภาษาอังกฤษให้กับผู้เรียนในปัจจุบัน ควรมุ่งเน้นส่งเสริมการจัดการเรียนรู้แนวสื่อสาร(Communicative
Approach) มีกิจกรรม เรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ภาษาสื่อสาร (Communicative Activities) ตามความ
สนใจของผู้เรียน เป็นหลักสูตรวิชาภาษาอังกฤษท่ียึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered Curriculum)
การสอนภาษาอังกฤษที่เน้นภาระงาน (Task-Based Instruction) ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะ ภาษาอังกฤษ ทักษะ
การคิด การแก้ปัญหา และการทางานร่วมกัน ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่ต่อยอดความรู้เดิม ส่งเสริมการคิด
สร้างสรรคน์ วตั กรรมและสงิ่ ใหม่ ๆ (สมบัติ คชสิทธ์ิ และคณะ, 2560)

สานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพะเยา เขต 2 เห็นถึงความจาเปน็ อย่างยง่ิ ทต่ี อ้ งหาแนวทาง
ในการแก้ปัญหาและพัฒนาการจัดการเรียนรู้เพ่ือจะได้ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาอังกฤษใหส้ งู ข้ึน และให้สอดคล้องกับการท่ีกระทรวงศึกษาธิการได้กาหนดนโยบายการปฏิรูปการเรียน
การสอนภาษาอังกฤษในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานโดยใช้กรอบอ้างอิงความสามารถทางภาษาของสหภาพ
ยุโรป (CEFR) เทียบเคียงกับคุณภาพผู้เรียนที่ได้กาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พทุ ธศักราช 2551 กลมุ่ สาระการเรยี นร้ภู าษาตา่ งประเทศ และมีนโยบายใหป้ รบั การเรยี นการสอนจากการเน้น
ไวยกรณม์ าเน้นการส่ือสารทเี่ รม่ิ จากการฟังตามด้วยการพูด การอ่าน และการเขียน ตามลาดับ อีกทั้งเป็นการ
พัฒนาทกั ษะการสื่อสาร ซ่ึงเป็นทักษะท่ีจาเปน็ ในยคุ ศตวรรษที่ 21

ผู้วิจัย ซึ่งดารงตาแหน่งศึกษานิเทศก์ มีบทบาทหน้าที่ในการนิเทศติดตาม ช่วยเหลือและพัฒนาครู
จงึ ไดห้ าแนวทางในการนาพาและร่วมมือกับครูเพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนรู้ ช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนกลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาองั กฤษใหส้ งู ขึน้ อีกท้ังช่วยสง่ เสริมให้นักเรียนเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้บรรลุตาม
เปูาหมายท่ีกาหนดไว้ โดยนาเทคนิคการนิเทศด้วยกระบวนการวิจัย ซ่ึงเป็นการนิเทศแบบร่วมมือ พาครูคิด
และพาครูพฒั นานวัตกรรมการจดั การเรียนรู้เพอ่ื แก้ปญั หาการจดั การเรยี นการสอนภาษาองั กฤษ พัฒนาทักษะ
ภาษาอังกฤษของนักเรียนและช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น ทั้งน้ี การนิเทศโดยใช้การวิจัย
เปน็ ฐาน เป็นการนิเทศแนวใหม่ที่จะต้องปรับบทบาทของศึกษานิเทศก์ให้ฟังมาก พูดน้อย ใช้คาถาม สะท้อน
การคดิ บนพ้นื ฐานของข้อมลู ลดการบอกคาตอบไม่สัง่ การใดๆ และยึดหลักผู้รับการนิเทศคือ เพ่ือนร่วมเรียนรู้
ตามเทคนิคการนิเทศแบบช้ีแนะสะท้อนคิด (Reflective Coaching) โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นฐานในการ
พัฒนานวัตกรรมบนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นจริงในพ้ืนที่การปฏิบัติงานหรือในห้องเรียน (Working in
Classroom) ซึ่งทั้งศึกษานิเทศก์ และครูจะวิเคราะห์สภาพปัญหาร่วมกันเพ่ือหาแนวทางในการพัฒนา
นวตั กรรมแก้ปญั หาร่วมกันผา่ นกระบวนการ วิจัยปฏิบัติการ (P-A-O-R) ซึ่งจะมีการกาหนดแนวทางการแก้ไข
ปัญหาจากสาเหตุของปัญหา ผู้นิเทศจะร่วมกับผู้รับการนิเทศกาหนดวิธีและแนวทางเพื่อแก้ปัญหาการเรียน
การสอน รู้จักคิด พัฒนาส่ือและนวัตกรรม ซ่ึงอาจเป็นวิธีการ หรือกิจกรรมการนิเทศท่ีอยู่บนพื้นฐานของ
หลักการและทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องกับวิธีการน้ันๆ ตลอดท้ังมีการหาคุณภาพของส่ือท่ีพัฒนาขึ้นเพ่ือให้มีความ
เชือ่ ถอื ได้ (สุพิชญา ตนั ตวิ ฒั นะผล, 2559)

การนิเทศด้วยกระบวนการวิจัย ตามแนวคิดของ เคมมิส และแม็คแท็กการ์ด (Kemmis and
McTaggart, 1988 : 11-15) ประกอบไปดว้ ย 4 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 1) ข้นั การวางแผน (Planning) เร่ิมต้นด้วยการ
สารวจปัญหาท่ีตองการใหมีการแกไข นักวิจัยและผู้เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผนด้วยกันสารวจสภาพปัญหา
วิเคราะห์สภาพปัญหาเพื่อเป็นแนวทางในการหาโครงสร้างของปัญหาอย่างมีระบบ ทบทวนแง่มุมปัญหา
ถกปัญหาอย่างกว้างขวางซึ่งจะทาให้เห็นปัญหาอย่างชัดเจน 2) ข้ันการปฏิบัติการ (Action) เป็นการกาหนด

6

แนวคดิ ท่ีกาหนดเป็นกจิ กรรมในขัน้ วางแผนมาดาเนนิ การ เมื่อลงมอื ปฏบิ ัตติ ้องใช้การวิเคราะห์วิจารณ์ประกอบ
ไปด้วย โดยรับฟงั จากผ้เู กีย่ วขอ้ งซง่ึ จากการปฏิบตั ิจะเป็นข้อมูลย้อนกลับว่า แผนท่ีวางไวอย่างดีน้ันปฏิบัติไดดี
มากน้อยเพียงใด มีอุปสรรค อย่างไรบ้าง ในการปฏิบัติดังนั้นแผนงานที่กาหนดไวอาจจะยืดหยุ่นโดยผู้วิจัย
ตองใชวจิ ารณญาณ และการตดั สนิ ใจทเ่ี หมาะสม และมงุ่ ปฏิบัติเพื่อให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงตามข้ันตอนท่ีวางไว้
3) ขนั้ การสังเกต (Observation) เปน็ ขั้นท่ขี ณะวจิ ัยมกี ารดาเนนิ กจิ กรรมตามขั้นตอนที่วางไวตองมีการสังเกต
ควบคูไปดวย พรอมจดบันทึกเหตุการณท่ีเกิดข้ึนท้ังหมดที่คาดหวังและไมคาดหวัง โดยสิ่งท่ีสังเกตก็คือ
กระบวนการปฏิบัติการ (The action process) และผลของการปฏิบัติการ (The effects of action ) การสังเกตนี้
จะรวมถึงการรวบรวมผลการปฏบิ ัติท่เี หน็ ดว้ ยตา การไดฟง การไดใช้ เคร่ืองมือเชาว์แบบทดสอบ เป็นต้น ซึ่งขณะที่
การปฏบิ ัติการวิจัยกาลงั ดาเนนิ การไปควบคูกบั การสังเกตผลการปฏบิ ตั คิ วรใช้เทคนิคต่างๆ ที่เหมาะสมมาช่วย
ในการรวบรวมข้อมูลด้วย 4) ขั้นการสะท้อนผล (Reflection) เป็นข้ันสุดท้ายของวงจรการทาวิจัยเชิงปฏิบัติการ
คอื การประเมินหรือตรวจสอบกระบวนการ ปัญหาหรืออุปสรรคต่อการปฏิบัติการซ่ึงผู้วิจัยและผู้ที่เกี่ยวข้อง
ตองตรวจสอบกระบวนการ ปัญหา หรืออุปสรรคต่อการปฏิบัติการซึ่งผู้วิจัยและผู้ท่ีเกี่ยวข้องต้องตรวจสอบ
ปัญหาที่เกิดขึ้นในแง่มุมต่างๆ โดยผ่านการถก – อภิปรายปัญหา ซึ่งจะไดแนวทางของการพัฒนาข้ันตอน
การดาเนินกิจกรรมและเป็นพ้ืนฐานข้อมูลที่นาไปสู่การปรับปรุงและวางแผนการปฏิบัติต่อไป โดยวงจร
4 ขั้นตอนดังกล่าวจะมีลักษณะการดาเนินการเป็นข้ันบันไดเวียน (Spiral) การทาซ้า ตามวงจรจนกว่าจะได
ผลงานวิจัย และแสดงใหเห็นแนวทาง หรอื รปู แบบปฏิบตั ิทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพเพอ่ื แกปัญหาในสง่ิ ท่ีศึกษานั้น

ในฐานะผู้รับผิดชอบงานด้านวิจัยการศึกษา รับผิดชอบกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ และ
รบั ผิดชอบกล่มุ งานนเิ ทศติดตามและประเมนิ ผลระบบการบรหิ ารและการจดั การศกึ ษา เหน็ ถงึ ความสาคัญของ
การท่จี ะนากระบวนการนิเทศด้วยกระบวนการวิจัย ซงึ่ เปน็ การวจิ ัยแบบมีสว่ นรว่ มเขา้ ช่วยเหลือและส่งเสริมให้
ครูสามารถพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นกล่มุ สาระการเรียนรทู้ ีม่ ผี ลสัมฤทธิ์ต่า และมีสภาพปัญหาในทุกระดับ
ต้งั แต่ระดบั โรงเรียน ระดบั เขตพนื้ ที่และระดบั ประเทศ ให้มกี ารพัฒนาใหบ้ รรลตุ ามเปาู หมายการจัดการเรียนรู้
ท่ีตงั้ ไว้

วัตถุประสงค์การวจิ ัย
1. เพื่อพัฒนาคู่มือการนิเทศด้วยกระบวนการวิจัยที่ส่งเสริมความสามารถในการพัฒนานวัตกรรม

การจัดการเรียนรู้ของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2

2. เพื่อศึกษาผลการนิเทศด้วยกระบวนการวิจัยที่ส่งเสริมความสามารถในการพัฒนานวัตกรรม
การจัดการเรียนรู้ของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
สังกดั สานักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2

2.1 เปรียบเทียบความรู้และความสามารถด้านการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ก่อนและหลังได้รับการนิเทศด้วย
กระบวนการวิจัย

2.2 ประเมินนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
(ภาษาองั กฤษ) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลังการไดร้ ับการนิเทศดว้ ยกระบวนการวจิ ยั

2.3 ศึกษาผลการใชน้ วตั กรรมการจดั การเรียนร้ใู นการแกป้ ัญหาการเรยี นการสอนทคี่ รูกาหนดไว้

7

2.4 ศึกษาความพึงพอใจของครูต่อการนิเทศด้วยกระบวนการวิจัยที่ส่งเสริมความสามารถในการ
พัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ระดับ
มธั ยมศกึ ษาตอนต้น

2.5 ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครูกลุ่มสาระ
การเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้

คาถามวจิ ัย
1. การนิเทศดว้ ยกระบวนการวิจัยช่วยสง่ เสรมิ ความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้

ของครูกลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ (อังกฤษ) หรือไม่อยา่ งไร
2. ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (อังกฤษ) มีความรู้และความสามารถในการพัฒนา

นวัตกรรมการจัดการเรยี นรู้หลงั จากได้รับการนิเทศด้วยกระบวนการวจิ ัยดีขึ้นหรือไม่อยา่ งไร
3. นวตั กรรมการจดั การเรียนรทู้ ี่ครูพัฒนาขนึ้ มคี ุณภาพตามเกณฑ์หรอื ไม่อย่างไร
4. นวตั กรรมการจัดการเรียนร้ชู ว่ ยแกป้ ัญหาให้ครไู ด้หรือไม่อยา่ งไร
5. ครผู ู้รบั การนิเทศมีความพึงพอใจในการนิเทศด้วยกระบวนการวจิ ัยของศึกษานเิ ทศก์หรือไมอ่ ย่างไร
6. นักเรียนมีความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้

ภาษาต่างประเทศ (องั กฤษ) ของครหู รอื ไม่ อย่างไร

ขอบเขตการวจิ ัย

1. กลุม่ เปา้ หมายการวิจัย
ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

ในสงั กัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา พะเยา เขต 2 จานวน 34 คน ประจาปีการศึกษา 2561
2. ตัวแปรที่ใช้ในการวจิ ัย
1) ตวั แปรอิสระ (ตน้ ) : การนเิ ทศดว้ ยกระบวนการวจิ ยั
2) ตัวแปรตาม
2.1) ความสามารถในการพฒั นานวัตกรรมการจัดการเรยี นรู้ของครูกลมุ่ สาระการเรยี นรู้

ภาษาต่างประเทศ (อังกฤษ)
2.2) ความรู้ด้านการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้

ภาษาตา่ งประเทศ (องั กฤษ)
2.3) คุณภาพของนวัตกรรมการจัดการเรยี นรู้
2.4) ผลการแกป้ ญั หาของครู
2.5) ความพึงพอใจของครตู ่อกระบวนการนิเทศของศกึ ษานเิ ทศก์
2.6) ความพึงพอใจของนกั เรียนต่อการใช้นวัตกรรมการจดั การเรียนรู้

3. ขอบเขตด้านเนอ้ื หา
1) การนเิ ทศด้วยกระบวนการวิจัย ของ เคมมสิ และแมก็ แท็กการ์ด (Kemmis and McTaggart,

1988 : 11-15) ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน ดังน้ี 1) ขั้นการวางแผน (Planning) 2) ขั้นการปฏิบัติการ
(Action) 3) ขัน้ การสังเกต (Observation) 4) ข้นั การสะทอ้ นผล (Reflection)

8

2) การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากผลการทดสอบระดับชาติข้ันพ้ืนฐาน (O-NET)
กลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาตา่ งประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ด้วยโปรแกรมการวิเคราะห์
ผลสมั ฤทธิ์ (Profile) 3 ปี (พ.ศ.2558 – พ.ศ. 2560) (สุรางค์ เตชะแก้ว, 2559)

4. สถานที่
โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา

เขต 2 จานวน 34 โรงเรียน
5. ระยะเวลา
16 พฤษภาคม 2561 – 30 มีนาคม 2562

กรอบแนวคดิ การวจิ ยั

การนเิ ทศด้วยกระบวนการวจิ ัย นวตั กรรมการ - ความรู้และความสามารถ
จัดการเรียนรู้
1) ขน้ั การวางแผน (Planning) ในการพฒั นานวัตกรรมการ
2) ขั้นการปฏิบตั กิ าร (Action) - คู่มอื นิเทศดว้ ย จดั การเรยี นรู้
3) ขนั้ การสงั เกต (Observation) กระบวนการวิจยั 1. การวิเคราะห์ปัญหาการ
4) ขั้นการสะท้อนผล
(Reflection) - คมู่ ือพฒั นา จดั การเรยี นรู้
นวตั กรรมการ 2. การออกแบบนวัตกรรม
จดั การเรยี นรู้
3. การหาคุณภาพหรือ
ประสิทธภิ าพนวัตกรรม

4. การนานวตั กรรมไปใช้

5. การเขียนรายงานผลการ
พัฒนานวตั กรรม

- คุณภาพของนวตั กรรมการ
จดั การเรียนรู้

- ผลการแก้ปญั หานกั เรยี นของ

ครู
- ความพึงพอใจของครตู อ่

กระบวนการนิเทศ
- ความพึงพอใจของนกั เรยี นต่อ

การใช้นวัตกรรมการจดั การ
เรียนรู้ของครู

9

นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
การนิเทศดว้ ยกระบวนการวิจัย หมายถึง การนิเทศโดยใช้แนวคิดการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม

ตามข้ันตอน P-A-O-R โดยดาเนนิ การ 4 ข้ันตอน ได้แก่ 1) ข้ันการวางแผน (Planning) 2) ขั้นการปฏิบัติการ
(Action) 3) ขนั้ สังเกตการณ์ (Observation) และ 4) ขั้นการสะท้อนผล (Reflection) โดยแต่ละข้ันตอนผู้รับ
การนิเทศจะมสี ว่ นรว่ มในการดาเนนิ กิจกรรมในทุกข้นั ตอน

การพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การกระทา การสร้าง สิ่งใหม่ หรือการพัฒนา
ดัดแปลง วิธีการ เทคนิค ส่ือ ส่ิงประดิษฐ์ โดยดาเนินการวิเคราะห์ปัญหา การออกแบบ การลงมือสร้าง
หาประสทิ ธภิ าพ คุณภาพนวตั กรรม การนานวัตกรรมไปใชใ้ นการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม
ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีความสนใจในการเรียนรู้ ช่วยให้เข้าใจในบทเรียน เน้ือหา สาระการเรียนรู้ท่ีครู
ตั้งเปูาหมายไว้

ความสามารถในการพัฒนานวัตกรรม หมายถึง ผลการประเมินตนเองของครู และผลการประเมิน
จากผู้นิเทศจากแบบประเมินความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมท่ีครอบคลุมต้ังแต่ การวิเคราะห์ปัญหา
การกาหนดนวัตกรรม การสร้าง การหาประสิทธิภาพ คุณภาพของนวัตกรรมที่สร้างขึ้น ตลอดจนการนา
นวตั กรรมไปใช้ และการรายงานผลการใชน้ วัตกรรม

กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) หมายถึง กลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ีเป็นสาระ
การเรียนรู้พื้นฐานซ่ึงกาหนดให้เรียนตลอดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วยสาระสาคัญ 4 สาระ
ไดแ้ ก่ ภาษาเพื่อการส่อื สาร ภาษาและวฒั นธรรม ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นและภาษา
กบั ความสัมพนั ธก์ ับชุมชนและโลก

ประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รบั /นวัตกรรม
1. สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 มผี ลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (อังกฤษ) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเพื่อเป็นสารสนเทศในการ
พัฒนาการเรยี นรู้

2. สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 มีคู่มือการนิเทศติดตามด้วย
กระบวนการวิจัยเพื่อส่งเสริมความสามารถการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ (องั กฤษ)

3. สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 มีนวัตกรรมเพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนรู้
กลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ (อังกฤษ)

4. ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้รับการพัฒนาความสามารถ
ด้านการพัฒนานวตั กรรมการจัดการเรียนรู้กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ (อังกฤษ)

5. ครูมกี ารใชน้ วตั กรรมในการจดั การการเรียนร้ใู นห้องเรียน
6. นักเรยี นได้รับการแก้ปญั หาด้วยนวัตกรรมการจดั การเรียนรู้และได้เรยี นรู้ผา่ นนวัตกรรมการจัดการ
เรียนรทู้ ่คี รสู รา้ งขน้ึ
7. ครูได้รับการนิเทศตดิ ตามอย่างเปน็ ระบบทง้ั จากศึกษานเิ ทศก์และผู้บริหารสถานศึกษา

10

บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วข้อง

การนิเทศด้วยกระบวนการวิจัยเพ่ือส่งเสริมความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ของครู
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดสานักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 มีเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องเพ่ือสรุปเป็นองค์ความรู้ในการ
ดาเนนิ การวิจัย ดังน้ี

1. การนิเทศด้วยกระบวนการวิจยั
1.1 ความหมายการนิเทศ
1.2 กระบวนการนเิ ทศ
1.3 การนเิ ทศแนวใหม่
1.4 การนิเทศด้วยกระบวนการวิจัย
1.5 งานวิจยั ทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั การนเิ ทศดว้ ยกระบวนการวจิ ยั

2. การพัฒนานวตั กรรมการเรยี นรู้
2.1 ความหมายของนวตั กรรมการเรยี นรู้
2.2 ประเภทของนวตั กรรมการเรยี นรู้
2.3 การพฒั นานวัตกรรมการเรยี นรู้
2.4 ประโยชนข์ องนวตั กรรมการเรยี นรู้
2.5 งานวิจยั ท่เี กี่ยวขอ้ งกับการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้

3. การจัดการเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ)
3.1 หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาตา่ งประเทศ
3.2 แนวคดิ การจัดการเรยี นรูภ้ าษาต่างประเทศ
3.3 งานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วขอ้ งกับการจัดการเรยี นร้กู ลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ (ภาษาอังกฤษ)

1. การนิเทศดว้ ยกระบวนการวจิ ัย
1.1 ความหมายการนเิ ทศ
สงัด อุทรานันท์ (2530: 7) ได้ให้ความหมายของการนิเทศการศึกษา คือ กระบวนการทางาน

ร่วมกันของครูและผู้นิเทศเพื่อให้ได้มาซึ่งสัมฤทธ์ิผลสูงสุดในการเรียนของนักเรียน นอกจากนี้การนิเทศการ
สอนซ่ึงเป็นองค์ประกอบหน่ึงท่ีสาคัญของการนิเทศก ารศึกษาท่ีเป็นกระบวนการ ดาเนินงานร่วมกันระหว่าง
ผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศเพ่ือพัฒนาการสอนของครู อันจะนาไปสู่ผลการเรียนรู้ท่ีดีข้ึนของนักเรียนโดยตรง หรืออาจ
กลา่ วไดว้ ่า งานนเิ ทศการสอนเป็นงานทชี่ ่วยใหค้ รูปรบั ปรุงการเรียนการสอนได้ดีข้ึน และการที่ครูผู้สอนได้รับการ
นเิ ทศภายในอย่างสม่าเสมอ เป็นวิถีทางหน่ึงที่ช่วยให้ครูได้รับการพัฒนาประสิทธิภาพการสอนมีความร่วมมือ
ร่วมใจในการปฏิบตั ิมากขึน้ มีความมั่นใจและคลอ่ งตวั ในการปฏบิ ัติงาน

สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2530: 17) ได้ให้ความหมายของการนิเทศการศึกษา
ว่าเป็นกระบวนการทางานของศึกษานิเทศก์ร่วมกับครูและบุคลากรทางการศึกษาเพ่ือให้ได้มาซ่ึงผลสัมฤทธิ์
สูงสุดในการเรยี นของนกั เรยี น

11

สนอง เครือมาก (2539: 12) ได้สรุปความหมายของการนิเทศการศึกษาว่า การนิเทศการศึกษา
หมายถึง กระบวนการทางานร่วมกันท่ใี ชเ้ หตุผลและปัญญาในการใช้หลักสูตรและการเรียนการสอน เพ่ือให้เกิด
ความมั่นใจว่าจะปฏบิ ัตไิ ด้อย่างถูกตอ้ ง กา้ วหน้าและเกิดประโยชน์สูงสุด

Harris (1985: 19) ได้กล่าวว่า การนิเทศการศึกษา หมายถงึ สิ่งทีบ่ คุ ลากรในโรงเรียนกระทาตอ่
บคุ คลหรือส่ิงหนึ่งสิ่งใด โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือดาเนินการหรือเปล่ียนแปลงการปฏิบัติงานของโรงเรียนมุ่งให้
เกดิ ประสิทธิภาพในการสอนเป็นสาคญั

Wiles (1967: 6) ได้เสนอว่า การนิเทศการศึกษา หมายถึง การแนะนาซ่ึงกันและกันการวางแผน
รว่ มกัน เพอื่ หาแนวทางการปรับปรุงการเรียนการสอนใหด้ ีข้ึน

Good (1973: 374) กลา่ ววา่ การนิเทศการศกึ ษา เปน็ ความพยายามทุกชนดิ ของฝาุ ยการศึกษา
ทไี่ ดร้ ับมอบหมายให้ทาหน้าที่ในการนิเทศการศึกษา ให้การแนะนาครูหรือผู้อื่นที่ทาหน้าท่ีเกี่ยวกับการศึกษา
ให้รู้จักปรับปรุงวิธีสอนหรือการให้การศึกษา ทาให้เกิดความงอกงามในวิชาชีพด้านการศึกษา ร่วมพัฒนาครู
ชว่ ยเหลือและปรงั ปรงุ วตั ถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา เนือ้ หา และการสอน และการประเมนิ ผลการสอน

จากแนวคดิ ท่เี สนอมาแล้วนน้ั พอจะสรุปไดว้ ่าการนเิ ทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการทางาน
ร่วมกันของบุคลากรทุกฝุาย เพ่ือปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาและพัฒนาผู้เรียน โดยความร่วมมือ
ระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครู ให้สามารถจัดกิจกรรมการเรียนได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ ที่มีวิธีการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอนและต่อเน่ือง ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยความร่วมมือของผู้
นิเทศและผู้รับการนิเทศตามแนวทางของประชาธปิ ไตยท่ีเน้นการใหค้ วามชว่ ยเหลือ แนะนา และการเคารพซึ่งกันและ
กันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศ โดยมีเปูาหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพนักเรียนและยกระดับคุณภาพ
การศึกษา

1.2 กระบวนการนิเทศ
ความหมายของกระบวนการนเิ ทศ มีนักวชิ าการให้ความหมายไว้แตกตา่ งกัน ดงั น้ี
ภิญโญ สาธร (2519: 138 – 139) กล่าววา่ กระบวนการนเิ ทศการศึกษา หมายถึง แบบแผนของการ

นิเทศการศกึ ษาท่ีวางลาดบั ขนั้ ตอนไว้ต่อเนอื่ งกนั อย่างมีระเบียบแบบแผนนั้น ต้องเป็นแบบแผนท่ีดีมีลาดับข้ันตอน
อย่างชดั เจน

บวร เทศารินทร์ (2551: 50) กล่าวว่า กระบวนการนิเทศ หมายถึง ขั้นตอนในการดาเนินงาน และการ
ปฏิบัติ การนิเทศอย่างมีระบบ มีการประเมินสภาพการทางาน การจัดลาดับงานที่ต้องทาการออกแบบงาน
ประสานงาน ตลอดจนอานวยการให้งานลุล่วงไป

ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2548: 39) กล่าวว่า กระบวนการนิเทศ หมายถึง ขั้นตอนในการ
ดาเนินงานและการปฏิบัติงานการนิเทศอย่างมีระบบ มีการประเมินสภาพการทางาน การจัดลาดับงาน
ทต่ี อ้ งทา การออกแบบงาน การประสานงาน ตลอดจนการอานวยการใหง้ านลุลว่ งไป

จากความหมายของนักวิชาการต่าง ๆ ได้สรุปความหมายกระบวนการนิเทศ หมายถึง ขั้นตอน
ในการดาเนินงานหรือปฏิบัติงานในการนิเทศอย่างมีระบบ โดยมีการออกแบบ วางลาดับข้ันตอน และ
ดาเนนิ การเพ่ือใหผ้ ู้รับการนเิ ทศบรรลเุ ปูาหมายการทางาน

นักวิชาการทัง้ ชาวไทยและตา่ งประเทศ กลา่ วถงึ กระบวนการนเิ ทศ ดังน้ี
Harris (1985 อ้างถึงใน บวร เทศารินทร์ 2551, 50 – 51) กระบวนการนิเทศท่ีแฮริส กาหนดข้ึน
มคี วามเหมาะสมกับการนิเทศการศกึ ษาและเป็นกระบวนการมุ่งเน้นการวางแผนการปฏิบัติงานมากกว่าการควบคุม
งาน เพื่อกอ่ ให้เกิดการเปลย่ี นแปลงในการนเิ ทศ ไดเ้ รยี กกระบวนการวา่ Harris’Polca ซ่งึ มี 6 ข้ันตอน ดงั นี้

12

1. การประเมินสภาพการทางาน (Assessing) เป็นกระบวนการศึกษาถึงสภาพต่าง ๆ เพ่ือให้ได้
ข้อมลู เพื่อเป็นตวั กาหนดการเปลี่ยนแปลง มกี ระบวนการยอ่ ย ๆ ดงั นี้

1.1 การวิเคราะหข์ ้อมลู เพ่อื จะศึกษาถงึ ธรรมชาติและความสมั พันธ์ของเรือ่ งต่าง ๆ
1.2 การสงั เกตเป็นการมองสงิ่ รอบตวั ดว้ ยความละเอียดถี่ถ้วน
1.3 การทบทวนเปน็ การตรวจสอบสง่ิ รอบตัวอย่างตั้งใจ
1.4 การวดั พฤติกรรมการทางาน
1.5 การเปรียบเทียบพฤตกิ รรมการทางาน
2. การจัดลาดับความสาคัญของงาน (Prioritizing) เป็นกระบวนการกาหนดความสาคัญของงาน
ตามเปาู หมายวตั ถปุ ระสงค์และกิจกรรมตามลาดับความสาคัญ ซ่ึงประกอบดว้ ยหัวข้อต่อไปนี้
2.1 การกาหนดเปาู หมาย
2.2 การกาหนดวตั ถุประสงคเ์ ฉพาะ
2.3 การกาหนดทางเลอื ก
2.4 การจัดลาดบั ความสาคญั ของงาน
3. การออกแบบวธิ ีการทางาน (Designing) เป็นกระบวนการวางแผนหรอื กาหนดโครงการต่าง ๆ
เพื่อก่อใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลง โดยประกอบด้วยกระบวนการย่อย ๆ ดงั น้ี
3.1 การจดั สายงานเป็นการจดั ส่วนประกอบตา่ ง ๆ ของงานให้สัมพันธ์กนั
3.2 การหาวิธีการนาเอาทฤษฎี หรอื หลกั การไปสูก่ ารปฏิบตั ิ
3.3 การเตรยี มการตา่ ง ๆ ใหพ้ ร้อมท่ีจะทางาน
3.4 การจัดระบบการทางาน
3.5 การกาหนดแผนในการทางาน
4. การจัดสรรทรัพยากร (Allocating Resources) เป็นกระบวนการกาหนดทรัพยากรต่าง ๆ
ให้เกิดประโยชน์สูงสดุ ในการทางาน ซึง่ ประกอบดว้ ยกระบวนการยอ่ ย ๆ ดงั น้ี
4.1 การกาหนดทรพั ยากร ทตี่ ้องใชค้ วามตอ้ งการของหน่วยงานต่าง ๆ
4.2 การจดั สรรทรัพยากรไปใหห้ น่วยงานตา่ ง ๆ
4.3 การกาหนดทรพั ยากร ท่ีจาเป็นจะต้องใช้สาหรบั ความมงุ่ หมายเฉพาะอย่าง
4.4 การมอบหมายบคุ ลากร ใหท้ างานในแต่ละโครงการหรือแตล่ ะเปาู หมาย
5. การประสานงาน (Coordination) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับงาน เวลา วัสดุอุปกรณ์
และส่งิ อานวยความสะดวกทุก ๆ อย่าง เพอ่ื ให้การเปลีย่ นแปลงบรรลุผล ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการย่อย ๆ ดงั นี้
5.1 การประสานการปฏิบัติงานในฝาุ ยตา่ ง ๆ ให้ดาเนนิ การไปด้วยความราบรื่น
5.2 การสรา้ งความกลมกลนื และความพร้อมเพรยี งกนั
5.3 การปรับการทางานในส่วนตา่ ง ๆ ใหม้ ปี ระสิทธิภาพให้มากที่สดุ
5.4 การกาหนดเวลาในการทางานในแต่ละช่วง
5.5 การสรา้ งความสัมพนั ธใ์ หเ้ กิดขึ้น
6. การอานวยการ (Directing) เป็นกระบวนการท่ีมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติ เพ่ือให้เกิดสภาพ
ทเ่ี หมาะสมที่จะสามารถบรรลุผลแห่งการเปลยี่ นแปลงใหม้ ากท่ีสดุ มกี ระบวนการย่อย ๆ ดงั นี้
6.1 การแตง่ ตงั้ บคุ ลากร
6.2 การกาหนดแนวทางหรือกฎเกณฑใ์ นการทางาน
6.3 การกาหนดระเบียบแบบแผนเกีย่ วกับเวลา ปรมิ าณ หรอื อตั ราเรง่ ในการทางาน

13

6.4 การแนะนาการปฏิบัติงาน
6.5 การตดั สินใจเกย่ี วกับทางเลอื กในการปฏิบตั งิ าน

สงัด อุทรานันท์ (2530: 44) มีความเห็นว่ากระบวนการนิเทศการศึกษาจะประสบผลสาเร็จได้
จาเปน็ ตอ้ งดาเนินการอยา่ งเปน็ ขนั้ ตอนและตอ่ เนือ่ งกัน ดังนี้

ข้ันที่ 1 วางแผนการนิเทศ (Planning) เป็นขั้นตอนที่ผู้บริหาร ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศจะทา
การประชมุ ปรึกษาหารอื เพ่ือใหไ้ ดม้ าซง่ึ ปญั หาและความต้องการจาเป็นทจี่ ะตอ้ งมีการนเิ ทศ รวมทั้งวางแผนถึง
ขน้ั ตอนปฏบิ ัติงานเกีย่ วกบั การนเิ ทศท่จี ะจัดข้นึ อกี ด้วย

ขน้ั ที่ 2 ใหค้ วามรูใ้ นสงิ่ ทีจ่ ะทา (Informing) เป็นข้ันตอนของการให้ความรู้ความเข้าใจถึงสิ่งท่ีจะ
ดาเนินการว่าจะต้องอาศัยความรู้ความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีข้ันตอนในการดาเนินงานอย่างไร และจะทา
อยา่ งไรจงึ จะทาใหไ้ ดผ้ ลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ ข้ันน้ีจาเป็นทุกครั้งสาหรับการเร่ิมการนิเทศท่ีจัดข้ึนใหม่ ไม่ว่า
จะเป็นเรื่องใดกต็ าม และมคี วามจาเปน็ สาหรับการนเิ ทศทย่ี ังเปน็ ไปอยา่ งไมไ่ ด้ผล หรือได้ผลยังไม่ถึงข้ันท่ีพอใจ
ซ่งึ จาเป็นจะตอ้ งทาการทบทวนให้ความรใู้ นการปฏบิ ัติงานท่ีถูกต้องอีกครง้ั หนึง่

ขั้นท่ี 3 การปฏบิ ตั งิ าน (Doing) ประกอบด้วยการปฏบิ ัตงิ าน 3 ลกั ษณะคือ
1) การปฏบิ ตั งิ านของผรู้ ับการนเิ ทศ เป็นขั้นท่ผี ูร้ บั การนิเทศลงมอื ปฏบิ ัติงานตามความรู้

ความสามารถทไี่ ด้รับมาจากการดาเนินงานในข้นั ที่ 2
2) การปฏบิ ตั ิงานของผู้ให้การนิเทศ ขั้นน้ีผู้ให้การนิเทศจะทาการนิเทศและควบคุมคุณภาพ

ใหง้ านสาเรจ็ ออกมาทันตามกาหนดเวลาและมีคุณภาพสูง
3) การปฏิบัตงิ านของผู้สนบั สนนุ การนิเทศ ผูบ้ ริหารก็จะใหก้ ารสนับสนุนในเรอ่ื ง

วสั ดอุ ปุ กรณ์ ตลอดจนเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ทจ่ี ะชว่ ยให้การปฏิบัติงานเปน็ ไปอยา่ งได้ผล
ข้ันที่ 4 การสร้างขวัญและกาลังใจ (Reinforcing) ในข้ันนี้ เป็นขั้นของการเสริมกาลังใจของผู้บริหาร

เพ่ือให้ผู้รับการนิเทศมีความม่ันใจและบังเกิดความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน ข้ันนี้อาจดาเนินการไปพร้อม ๆ กับ
ผู้รบั การนเิ ทศกาลังปฏบิ ตั งิ านหรอื การปฏิบัติงานไดเ้ สร็จสิน้ ลงไปแล้วก็ได้

ข้ันท่ี 5 การประเมินผลการดาเนินงาน (Evaluating) เป็นข้ันที่ผู้นิเทศทาการประเมินผล
การดาเนินงานซ่ึงผ่านไปแล้วว่าเป็นอย่างไร หลังจากการประเมินผลการนิเทศ หากพบว่ามีปัญหาหรืออุปสรรค
อย่างหนึ่งอย่างใด ก็สมควรจะต้องทาการปรับปรงุ แก้ไข

สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2530: 46 – 57) กาหนดกระบวนการนิเทศ
สาหรับศกึ ษานิเทศก์สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ใช้ในการนิเทศการศึกษาโรงเรียนในสังกัด
มี 5 ขน้ั ตอน คอื

ขั้นท่ี 1 การศกึ ษาสภาพปัจจบุ นั ปญั หาและความตอ้ งการ
การศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาและความต้องการเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการนิเทศการศึกษา
กระทาได้หลายวิธี เป็นต้นว่า การวิเคราะห์องค์ประกอบด้านปัจจัยกระบวนการและผลผลิตที่เกี่ยวข้องกับ
การศกึ ษา ประเมินความต้องการการใช้ส่อื และเคร่อื งมอื ต่าง ๆ หรอื การประชมุ สมั มนาคน้ หาปัญหา
ข้ันที่ 2 การวางแผน
การวางแผน เป็นการนาข้อมูลจากการวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการมาใช้
วางแผนและกาหนดทางเลือกในการนเิ ทศการศึกษา ซ่ึงอาจดาเนินการตามขนั้ ตอนต่อไปน้ี

14

1) นาขอ้ มูลจากการศกึ ษาสภาพปจั จุบันมาจัดลาดบั ความสาคญั
2) ศกึ ษาและทาความเข้าใจเร่ืองที่เกี่ยวกับปัญหาน้ัน ๆ เช่นนโยบาย หลักสูตร ส่ือ เครื่องมือใน

การปฏิบตั ิงานตามข้ันตอนต่าง ๆ
3) กาหนดเปูาหมายและทางเลือกในการปฏบิ ตั ิงาน
4) เขยี นแผนปฏบิ ตั กิ ารนเิ ทศ
5) จัดทาคู่มือการนิเทศ โดยสรุปสาระสาคัญของเร่ืองที่นิเทศเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการ

ปฏบิ ัตงิ านและเปน็ เอกสารอา้ งองิ
ขั้นที่ 3 การสร้างสื่อ เคร่อื งมือ และพฒั นาวธิ ีการ
การสร้างสื่อ เครอื่ งมือ และพัฒนาวธิ กี าร เปน็ ข้ันตอนการสร้างสือ่ หรือเครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ น
การนิเทศ ท่ีจะช่วยให้การนิเทศเป็นไปอย่างราบร่ืนและบรรลุผลสาเร็จ ถ้าหากว่าส่ือและเคร่ืองมือเหมาะสม
และมีคุณภาพแลว้ จะชว่ ยให้การนิเทศมปี ระสทิ ธิภาพย่งิ ข้ึน
ข้ันท่ี 4 การปฏิบตั กิ ารนิเทศ
การปฏบิ ัตกิ ารนิเทศ เป็นขนั้ ตอนท่ีผู้นิเทศจะต้องนาหลักเกณฑ์การนิเทศ เทคนิค ทักษะและสื่อ
หรอื เครื่องมือที่จาเปน็ ต่อการนเิ ทศการศกึ ษามาประยุกต์ ซึ่งดาเนนิ การตามขนั้ ตอน ดงั ต่อไปนี้

1) การประชุมคณะปฏิบัติ หรือคณะทางาน
2) ทาความเขา้ ใจหรอื ศกึ ษารายละเอยี ดเกีย่ วกบั งานสอ่ื หรอื เคร่ืองมือ
3) แบ่งงานรบั ผิดชอบ
4) กาหนดวิธีการปฏบิ ัตงิ าน
5) กาหนดวธิ ีการเกบ็ ข้อมูล หรอื วิธรี ายงานผล
6) เรม่ิ ปฏบิ ตั กิ ารนเิ ทศ
7) ประชมุ ทบทวนการปฏบิ ัติงาน
8) สรุปผลการปฏิบตั ิงาน
9) นาผลไปพฒั นาการปฏบิ ตั งิ าน
ขน้ั ที่ 5 การประเมนิ ผลและรายงานผล
การประเมินผลและรายงานผลเป็นข้ันตอนสุดท้ายของกระบวนการนิเทศการศึกษาประกอบด้วย
2 ขนั้ ตอน คือ
1) การประเมินผล โดยใช้เคร่ืองมือประเมินประเภทต่าง ๆ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสังเกต
พฤติกรรม แบบสารวจข้อมูล ฯลฯ โดยทาการประเมิน 3 ระยะ คือ ก่อนการปฏิบัติงานนิเทศ
ระหว่างการปฏิบัติงานนิเทศ และประเมินเพ่ือสรุปผลการนิเทศ แล้วนาผลท่ีได้ไปปรับปรุงการ
ปฏิบัติงาน หรอื จดุ ท่ีเปน็ ปญั หา
2) การรายงานผล เป็นข้ันตอนสาคัญของการปฏิบัติการนิเทศ เพ่ือผู้บังคับบัญชาและผู้เก่ียวข้อง
ได้ทราบรายละเอียดการปฏิบัติงาน ซึ่งการรายงานควรทา 3 ระยะ คือ รายงานเตรียมการ
กอ่ นออกปฏิบตั ิงาน การรายงานระหวา่ งการปฏิบัติงาน และการรายงานหลังการปฏบิ ัติงาน
ตามทเี่ สนอมาแลว้ จะเหน็ ได้วา่ กระบวนการนิเทศเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ีมีขั้นตอน
สาคัญ คอื การวางแผนซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานสภาพปัญหา เตรียมสื่อ เครื่องมือ แล้วปฏิบัติตามแผน หลังจาก
นนั้ ตอ้ งมกี ารประเมินผลการดาเนนิ งาน และปรบั ปรุงพัฒนางานตามลาดับ

15

1.3 การนเิ ทศแนวใหม่
ภายใต้บริบททางสังคมที่มุ่งการแข่งขัน และการเช่ือมโยงกันเป็นหน่ึงของโลกมากขึ้น ระบบ

การศึกษา มีบทบาทสาคัญในการตอบสนองความต้องการทางสังคมในแง่ การผลิตและการส่งมอบคนท่ีมี
ศกั ยภาพสงู และมีสมรรถนะพรอ้ มในทุกด้าน ประเทศไหนเตม็ ไปด้วยคนท่ีมีคุณภาพก็จะช่วงชิงความได้เปรียบ
ในเวทีโลก และมีโอกาสดารงอยู่อย่างม่ันคงภายใต้เง่ือนไขที่ทรัพยากรต่าง ๆ ในโลกลดน้อยลงทุกขณะ
การศึกษาจึงต้องพัฒนาทั้งระบบอย่างรู้เท่าทันและสอดคล้องกับเปูาหมายในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ใน
ฐานะที่การนิเทศการศกึ ษาเป็นหน่ึงในกลไกสาคัญทางการศึกษา จึงต้องมีการปรับเปล่ียนหรือพัฒนารูปแบบ
การนิเทศ เพอื่ ชว่ ยพัฒนาและแก้ไขปญั หาของครูหรอื สถานศึกษาอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

กระทรวงศึกษาธกิ าร (2554: 7) กล่าวถงึ การพัฒนารปู แบบการนิเทศ ดังนี้
1) การสรา้ งเอกภาพการนิเทศ ด้วยการกาหนดเปูาหมาย และมาตรฐานดา้ นคณุ ภาพ
การศกึ ษาขัน้ พื้นฐานใหเ้ ป็นบรรทดั ฐานเดียวกันในการพัฒนางานนิเทศการศึกษาระดับประเทศสอดคล้องกับ
นโยบายการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาของสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน
2) พฒั นาเครอื ขา่ ยการนิเทศแบบมีสว่ นร่วม ให้เกดิ ความร่วมมือกนั ในด้านต่าง ๆ ดังน้ี

2.1) ดา้ นการวางแผน ปฏิบตั ิ และการติดตามผลการนิเทศ
2.2) ดา้ นความร่วมมือกนั จดั กิจกรรมการนิเทศการศกึ ษา อาทิ การพฒั นาหลกั สตู ร
สถานศึกษาตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 การพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่น
การพัฒนาสอื่ ประกอบการนเิ ทศ การวจิ ัยพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา แบบมีสว่ นร่วม การจัดประชุมสัมมนา เพ่ือ
การพฒั นาคุณภาพครูและคณุ ภาพการศกึ ษา เปน็ ตน้
2.3) ด้านการใช้ทรพั ยากรรว่ มกัน เพือ่ รว่ มมอื กันแก้ปัญหาดา้ นความพร้อม ความขาดแคลน
ศกึ ษานิเทศก์และการใช้ศักยภาพสว่ นบคุ คลของศึกษานเิ ทศก์ ในการนิเทศการศกึ ษาในเขตพื้นท่ีการศึกษาและ
ตา่ งเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษา
3) ใชก้ ระบวนการวจิ ยั และพฒั นาอย่างต่อเนือ่ ง ดังน้ี
3.1) มกี ารกาหนดสภาพปญั หา และความต้องการจาเป็นในการพัฒนาคุณภาพการจดั

การศึกษารว่ มกนั
3.2) กาหนดมาตรฐานคณุ ภาพออกแบบกิจกรรมและการดาเนินการนเิ ทศเพอ่ื พัฒนา
3.3) ดาเนนิ การนเิ ทศติดตามผลโดยใชร้ ูปแบบการวจิ ัยและพัฒนาคณุ ภาพการศึกษา
3.4) จัดให้มีการรายงานผลการพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาในภาพรวมในระดับ เขตพ้ืนที่

การศึกษา ระดับจงั หวัด ระดบั กลมุ่ จงั หวัด และระดับประเทศ
กระทรวงศึกษาธิการ (2553: 67) ได้ศึกษาเปน็ ปจั จัยทีม่ ีความสาคญั สงู สุดในการพัฒนาบคุ คล
และสังคมไปสู่ความเจริญในแทบทุกมิติและเนื่องจากบริบททางสังคมมีความเปล่ียนแปลงตลอดเวลา
กระบวนการนิเทศการศึกษาจึงเป็นหัวใจสาคัญประการหนึ่งของการพัฒนาระบบการศึกษาที่ส่งผลต่อ
ผู้เก่ยี วข้องทกุ ระดับโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ระดบั สถานศึกษา ผู้เก่ียวข้องในการพัฒนาระบบการศึกษาต้ังแต่ระดับ
ของสถานศกึ ษา เป็นต้นมา
กระบวนการนเิ ทศการศกึ ษาท่ีจะสัมฤทธ์ิตามวัตถุประสงค์และเปูาหมายน้ัน ศึกษานิเทศก์เป็นผู้มี
บทบาทสาคัญจาเป็นต้องเข้าใจภารกิจและระบบการนิเทศภายใต้สถานการณ์ท่ีมีการปรับเปล่ียนทั้งในด้านนโยบาย
และสังคม สภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลาย สามารถประยุกต์ใช้กระบวนการนิเทศโดยต้ังเปูาหมายท่ีการ
พัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพและจัดการศึกษาให้นักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคุณลักษณะของ
ศึกษานเิ ทศกท์ พี่ ึงประสงค์ หรือมอื อาชีพ คือ ควรเนน้ ผู้ให้คาปรึกษาช่วยเหลือ (Coach) เป็นพี่เลี้ยง (Mentor)

16

เป็นผู้วิจัย (Research) เป็นผู้พัฒนา (Development) มีสมรรถนะหลัก คือ มีทักษะการคิด การแก้ปัญหา
การวจิ ยั การสือ่ สาร การทางานเปน็ ทมี

ดังน้ัน ศึกษานิเทศก์จึงต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีความรู้เท่าทันวิทยาการท่ีเปล่ียนแปลงไปใน
ศตวรรษที่ 21 มีคุณลักษณะของการเป็นพ่ีเล่ียง (Mentor) ความเป็นกัลยาณมิตร (critical Friend) มีทักษะในการ
ชี้แนะสะทอ้ นคิด (Reflective Coaching)

สรปุ ได้วา่ การนิเทศแนวใหม่เป็นการปรบั เปลย่ี นการนิเทศภายใต้บริบทสังคมท่ีเปล่ียนแปลงเป็น
การพัฒนารูปแบบการนิเทศเพ่ือให้เกิดการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยก่อให้เกิดความร่วมมือและใช้
ทรัพยากรร่วมกัน อาจใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซ่ึงผู้มีบทบาทในการนิเทศ ได้แก่
ศกึ ษานิเทศกจ์ งึ ต้องมีคณุ ลกั ษณะเปน็ มืออาชพี เน้นการเป็นผู้ให้คาปรึกษาช่วยเหลือ เป็นพี่เลี้ยงเป็นผู้วิจัยและ
เปน็ ผูพ้ ัฒนาอย่างเปน็ กัลยาณมิตร

1.4 การนเิ ทศด้วยกระบวนการวิจยั
การนิเทศโดยใช้การวิจัยเป็นฐาน สังคมปัจจุบันเป็นสังคมแห่งข่าวสารข้อมูลบนฐานของระบบ

เศรษฐกิจฐานความรู้ และสังคม เครือข่ายการนิเทศแนวใหม่จึงต้องปรับบทบาทของศึกษานิเทศก์ให้ฟังมาก
พูดน้อย ใช้คาถาม สะท้อนการคิดบนพื้นฐานของข้อมูล ลดการบอกคาตอบ ไม่ส่ังการใดๆ และยึดหลักผู้รับ
การนิเทศคือ เพ่ือนร่วมเรียนรู้ตามเทคนิคการนิเทศแบบชี้แนะ สะท้อนคิด (Reflective Coaching) โดยใช้
กระบวนการวจิ ัยเป็นฐานในการพฒั นานวัตกรรมบนพ้นื ฐานของขอ้ มูลท่ีเป็นจริงในพ้ืนท่ีการปฏิบัติงานหรือใน
ห้องเรียน (Working in Classroom) ซ่ึงท้ังศึกษานิเทศก์ และครูจะวิเคราะห์สภาพปัญหาปัจจุบันร่วมกันเพื่อ
หาแนวทางในการพัฒนานวัตกรรมแก้ปัญหา นั่นคือการปฏิบัติงานในหน้าที่ของทั้งศึกษานิเทศก์และครูโดย
กระบวนการวิจยั ปฏิบัตกิ าร (P-A-O-R) นน่ั เอง (สุพชิ ญา ตนั ตวิ ัฒนะผล, 2559)

เทคนิคการนิเทศดว้ ยกระบวนการวจิ ยั
1. กาหนดและวิเคราะหป์ ญั หา ผนู้ เิ ทศจะร่วมมอื การนิเทศโดยตรง ดงั น้นั จงึ ตอ้ งวิเคราะห์
สภาพการปฏิบตั ิงานของผรู้ บั การนเิ ทศ จดุ ควรพฒั นา รว่ มกับครูวเิ คราะห์หาสาเหตุของปัญหา ลักษณะปัญหา
สาคัญทเี่ กย่ี วข้องกับครู
2. การกาหนดแนวทางการแกไ้ ขปญั หาจากสาเหตขุ องปัญหาผูน้ ิเทศจะรว่ มกับผ้รู บั การนิเทศ
กาหนดวิธีและแนวทางการนิเทศเพ่ือแก้ปัญหาน้ันๆ คิด พัฒนาส่ือและนวัตกรรม ซึ่งอาจเป็นวิธีการ หรือ
กิจกรรมการนิเทศซึ่งจะอยู่บนพื้นฐานของหลักการและทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับวิธีการนั้นๆ ตลอดท้ังมีการหา
คณุ ภาพของสื่อที่พฒั นาขึน้ เพอ่ื ให้มีความเช่อื ถือได้
3. การดาเนินการนิเทศ โดยนาวธิ ีการ หรือกิจกรรมที่เปน็ สอ่ื นวตั กรรมที่พัฒนาไปใช้ในการนิเทศ
ในข้ันตอนน้ีจะมีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและนาข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์โดยใช้
สถติ ทิ เี่ หมาะสม
4. การสรุปผลและเขียนรายงาน โดยการนาผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลไปสรุปผลตาม
วัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ให้ครอบคลุมทุกประเด็น แล้วนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบท่ีเหมาะสม
และมีคุณภาพ
5. การเผยแพร่ หลงั จากท่ีไดม้ กี ารสรุปและเขียนรายงานผลการปฏบิ ัตงิ านแล้วผู้นิเทศควรจะได้มี
การเผยแพร่ผลการปฏิบตั งิ านเพือ่ ให้ผู้ท่เี ก่ยี วข้องและมีความสนใจนาไปใช้หรือต่อยอดต่อไป

17

1.5 งานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับการนิเทศด้วยกระบวนการวิจัย
จันทรา ด่านคงรักษ์ (2557) ดาเนินการวิจัยการพัฒนาคู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในช้ันเรียน สาหรับ
ครูชานาญการ สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อ
พัฒนาคู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน และเพ่ือศึกษาผลการใช้คู่มือการเขียนรายงานการวิจัย
ในชั้นเรียน ดาเนินการ 3 ระยะ ระยะที่ 1 การสร้างและพัฒนาคู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน
(ปีการศึกษา 2553-2554) ระยะท่ี 2 การทดลองใช้และพัฒนาคู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในช้ันเรียน
(ปีการศึกษา 2555) ระยะที่ 3 การขยายผลการใช้คู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในช้ันเรียน (ปีการศึกษา
2556) โดยนากระบวนการนิเทศการศึกษามาปรับใช้ 6 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน
ปัญหา ความต้องการและกาหนดจุดพัฒนา ข้ันที่ 2 การวางแผนการพัฒนา/การวางแผนการนิเทศ ข้ันท่ี 3
การสร้างส่ือและเครื่องมือนิเทศ ข้ันท่ี 4 การปฏิบัติการนิเทศ ขั้นที่ 5 การติดตามประเมินผล และข้ันที่ 6
การสรุปรายงานและเผยแพรผ่ ลงาน เคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการวิจัย ประกอบดว้ ย 1) คู่มือการเขียนรายงานการวิจัย
ในช้ันเรียน 2) แบบทดสอบการเขียนรายงานการวิจัยในช้ันเรียน 3) แบบสอบถามความคิดเห็นต่อคู่มือ
4) แบบประเมินคุณภาพรายงานวิจัยในชั้นเรียน และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า
ค่มู อื การเขยี นรายงานการวจิ ัยในช้นั เรียน มปี ระสทิ ธิภาพ E1/E2 = 84.96/84.76 ซงึ่ สงู กว่าเกณฑ์ประสิทธิภาพ
E1/E2 = 80/80 ทก่ี าหนดไว้ ความรูด้ ้านการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน หลังได้รับการนิเทศและใช้คู่มือ
การเขียนรายงานการวิจัยในช้ันเรียนของครูชานาญการ สูงกว่าก่อนได้รับการนิเทศและใช้คู่มือการเขียน
รายงานการวจิ ยั ในช้ันเรยี น แตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สาคัญทีร่ ะดับ .01 รายงานการวจิ ยั ในช้ันเรยี นของครูชานาญ
การ ท่ไี ด้รบั การนเิ ทศและใชค้ ู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในช้ันเรียน โดยรวมในระดับดีมาก ความพึงพอใจ
ของครูชานาญการท่มี ตี ่อการใช้คู่มือการเขียนรายงานการวิจยั ในชั้นเรียนโดยรวมในระดับมากที่สุด
สุบรรณ์ จาปาศรี ได้ดาเนินการวิจัย เรื่อง กระบวนการนิเทศภายในเพื่อส่งเสริมการทาวิจัยในชั้น
เรียนของครู กรณีศึกษา โรงเรียนบ้านหนองครก อาเภอสตึก สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4
การวจิ ัยครั้งน้ี เปน็ การวิจยั เชิงคณุ ภาพ มีความมงุ่ หมายเพือ่ ศกึ ษาปัญหาและความต้องการในการทาวิจัยในชั้น
เรยี นของครู และศกึ ษาผลการนากระบวนการนิเทศภายใน 5 ข้นั ตอน ซ่ึงไดแ้ ก่ (1) การศึกษาสภาพปัญหาและ
ความต้องการ (2) การวางแผนและกาหนดทางเลือก (3) การสร้าง สื่อและเคร่ืองมือ (4) การปฏิบัติการนิเทศ
และ (5) การประเมินและรายงานผล มาใช้เพื่อการสนับสนุน ส่งเสริมการทาวิจัยในช้ันเรียนของครูผู้สอนใน
โรงเรียนบา้ นหนองครก อาเภอสตึก สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 กลุ่มเปูาหมาย คือ ครูผู้สอน
ในโรงเรียนบ้านหนองครกภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จานวน 7 คน โดยใช้เทคนิคการวิจัยแบบมีส่วน
รว่ ม (Participatory Action Research : PAR)
ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาในการดาเนินการวิจัยในช้ันเรียนของครูผู้สอนในโรงเรียนบ้าน
หนองครก อาเภอสตกึ สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาบรุ รี ัมย์ เขต 4 โดยรวมอยู่ในระดบั ปานกลาง (X = 3.39)
โดยเรียงลาดับจากข้อท่ีมีปัญหามากที่สุด 3 อันดับแรก คือ (1) การสร้างเคร่ืองมือเพ่ือการวิจัยในช้ันเรียน
(2) การวิเคราะห์ข้อมูล (3) การสนับสนุนการทาวิจัยในช้ันเรียนจากเพื่อนร่วมงานและผู้บริหารโรงเรียน
2. ครูผู้สอนมีความต้องการในการดาเนินการวิจัยในช้ันเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.30) โดย
เรยี งลาดบั จากข้อท่ีมคี วามต้องการสูงสุด 3 อันดับแรก คือ (1) ความรู้เก่ียวกับการดาเนินการวิจัยในช้ันเรียน
(2) การสร้างเคร่ืองมือสาหรับการวิจัยในชั้นเรียน (3) การได้รับคาปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บริหาร
โรงเรียน 3. ผลการวิเคราะหก์ ารนารูปแบบกระบวนการนิเทศภายใน 5 ขนั้ ตอน ปรากฏผลดังนี้ 3.1 การศึกษา
สภาพปัญหาและความต้องการ พบว่า ครูขาดความรู้ในการสร้างเคร่ืองมือเพื่อการวิจัยในชั้น เรียน การ
วิเคราะห์ข้อมลู การไดร้ บั การสนบั สนนุ สง่ เสริมการทาวิจัยในช้นั เรียนจากเพ่อื นร่วมงานและผู้บริหารโรงเรียน

18

การวางแผนดาเนินการวจิ ัยในชน้ั เรยี น และการอภิปรายผลการดาเนินการวิจัยในชั้นเรียน และความต้องการ
ในการทาวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอน คือ ครูผู้สอนมีความต้องการสูงสุด คือ ความรู้เกี่ยวกับการวิจัย
ในชั้นเรียน รองลงมา คือ การสร้างเคร่ืองมือสาหรับการทาวิจัยในชั้นเรียน การได้รับคาปรึกษาจาก
ผูท้ รงคุณวุฒแิ ละผบู้ รหิ ารโรงเรยี นการสง่ เสรมิ ให้ครูไดเ้ ขา้ ร่วมการประชมุ อบรมสมั มนา และการเขียนรายงาน
การวจิ ยั ในช้ันเรียน 3.2 การวางแผนและกาหนดทางเลือก พบว่า การท่ีให้ครูได้มีส่วนร่วมในการแสดงความ
คดิ เหน็ ไดเ้ สนอสิ่งทีต่ ้องการทาให้บรรยากาศการทางานดีข้ึน ทุกคนมีความเป็นเจ้าของงาน มีความรับผิดชอบ
ต่องานเพมิ่ ขึ้น ทกุ คนไดแ้ ลกเปลย่ี นเรยี นรจู้ ากกนั และกัน 3.3 การสร้างสือ่ และเครื่องมือ พบว่า เอกสารชุดฝึก
อบรมด้วยตนเอง เรื่องการทาวิจัยในชั้นเรียน จานวน 4 หน่วย ท่ีให้ครูศึกษาด้วนตนเองน้ัน ครูมีความพอใจ
แต่ยังมีบางส่วนของเอกสารที่ยังไม่ชัดเจน 3.4 การปฏิบัตินิเทศภายในโรงเรียน พบว่า ครูมีความสนใจและ
เข้าใจ ยอมรับในวิธีการทาวิจัยในชั้นเรียนมากข้ึน ครูมีความกระตือรือร้น ในเรื่องการทาวิจัยในชั้นเรียน
ครูส่วนมากสนใจเอกสารประกอบการฝึกอบรมและนาไปศึกษาต่อท่ีบ้าน 3.5 การประเมินและรายงานผล
พบวา่ ก่อนการดาเนินการ ครูมีความสนใจการทาวิจัยในช้ันเรียนน้อย มีทัศนคติต่อการทาวิจัยในช้ันเรียนว่า
เปน็ ปญั หาและยากเกินกวา่ จะทาได้ระหวา่ งดาเนนิ การพบว่าครูมคี วามสนใจและกระตือรือร้นที่จะทาวิจัยมาก
ขึ้น การเชิญผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ มาให้คาปรึกษาทาให้ครูมีความม่ันใจ และมีแนวทางการทาวิจัยในช้ันเรียนท่ีชัดเจน
4. ครูผู้สอนแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเก่ียวสภาพปัญหาในการดาเนินการวิจัยในช้ั นเรียน
โดยเรียงลาดับจากมากไปหาน้อย 3 ลาดับแรก ได้แก่ ครูขาดความรู้ความเข้าใจในแนวทางการทาวิจัยในช้ัน
เรียนและคิดว่าเป็นเรือ่ งยากจงึ ไม่อยากทาวิจัยในช้ันเรียน ( ร้อยละ 28.58 ) ครูไม่มีเวลาเพียงพอท่ีจะทาวิจัย
ในช้ันเรียน เน่ืองจากมีงานท่ีรับผิดชอบมากท้ังงานสอนและงานพิเศษอื่น ๆ (ร้อยละ 14.28 ) ขาดที่ปรึกษา
หรือผู้ชานาญด้านการวิจัยในช้ันเรียน (ร้อยละ 14.28 ) 5. ครูผู้สอนแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
เกยี่ วกบั ความตอ้ งการในการดาเนนิ การวิจยั ในชนั้ เรยี น โดยเรยี งลาดบั จากมากไปหานอ้ ย ได้แก่ ควรจดั ประชุม
อบรม สัมมนาด้านการทาวิจัยในชั้นเรียนให้ครู ได้มีความรู้ความเข้าใจโดยให้ครูได้ฝึกปฏิบัติจริง (ร้อยละ
28.58) ควรจัดให้มีท่ีปรึกษาหรือเชิญผู้ที่มีความรู้และทักษะในการทาวิจัยในชั้นเรียนมาให้คาแนะนาเม่ือเกิด
ปัญหา (ร้อยละ 25.58) โรงเรียนควรจัดหาเอกสารความรู้และตัวอย่างงานวิจัยในช้ันเรียนมาให้ครู ได้นาไป
ศกึ ษาสาหรับการทาวจิ ยั ในชน้ั เรยี น (ร้อยละ 14.28 )

2. การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้
2.1 ความหมายของนวตั กรรมการเรียนรู้
นวัตกรรม (Innovation) มาจากคาบาลวี า่ นวต + คาสนั สกฤตว่า กรฺม และ คาภาษาอังกฤษวา่

(Innovation) หมายถงึ สิ่งทที่ าข้ึนใหม่หรอื แปลไปจากเดิม ซ่ึงอาจจะเป็นความคดิ คดิ วธิ กี าร หรอื อุปกรณ์
เปน็ ต้น (พจนานกุ รมฉบบั บณั ฑติ ยสถาน, 2542)

ในวงการศึกษามคี าเก่ียวกับนวตั กรรมอยู่ 3 คา ไดแ้ ก่
1. นวัตกรรมการศึกษา (Educational innovation) หมายถึง ส่ิงใหม่ท่ีนามาใช้ในการจัด
การศึกษา
2. นวัตกรรมการเรียนการสอน (Instructional innovation) หมายถึง สิ่งใหม่ท่ีนามาใช้ในการ
จดั การเรยี นการสอน
3. นวัตกรรมการเรียนรู้ (Learning innovation) หมายถึง สิ่งใหม่ที่นามาใช้ให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้

19

จะเห็นไดว้ ่านวัตกรรมการศึกษาเป็นนวัตกรรมที่ใช้ในวงกว้างดา้ นต่างๆ ที่เป็นการจัดการศึกษา
ส่วนนวตั กรรมการเรียนการสอนและนวัตกรรมการเรียนรู้ จัดเป็นนวัตกรรมประเภทเดียวกัน มีจุดเน้นที่การ
จดั การเรยี นการสอนเพ่ือใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรียนรู้ จากการศึกษาความหมายจากนักวิชาการหลากหลาย ดงั น้ี

สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553) นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง สิ่งใหม่ๆ ท่ีสร้างข้ึนมาเพื่อช่วย
แก้ปัญหาเก่ียวกับการจัดการเรียนการสอนหรือพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
แนวคิด รปู แบบ วิธกี าร กระบวนการ สอ่ื ตา่ งๆ ท่เี กยี่ วกบั การศกึ ษา

ทศิ นา แขมมณี (2557) กล่าววา่ นวตั กรรมหรือนวกรรม วงการศกึ ษานาคานีม้ าใช้ในความหมาย
ของ “การทาข้ึนใหม่” หรอื “ส่งิ ทที่ าขน้ึ ใหม่” ซ่ึงได้แก่ แนวคิด แนวทาง ระบบ รูปแบบ วิธีการ กระบวนการ
สอ่ื และเทคนคิ ตา่ งๆ ท่เี ก่ียวขอ้ งกับการศึกษาซึ่งไดร้ ับการคดิ คน้ และจัดทาข้ึนใหม่ เพอื่ ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ทาง
การศึกษา

รัตนพร ทองรอด (2557) กล่าวว่า นวัตกรรม หมายถึง ความคิด การปฏิบัติและการกระทา
ใหม่ ๆ ที่ไมเ่ คยมมี าก่อนหรอื การพัฒนาดดั แปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งข้ึน เมื่อ
นานวตั กรรมมาใช้จะช่วยให้การทางานนั้นได้ผลดมี ปี ระสิทธิภาพและประสทิ ธิผลสงู กวา่ เดิม

Longman Exams Diction (2006) นวัตกรรมการเรียนรู้ (Learning Innovation) หมายถึง
การนาความคิดใหม่ วิธกี ารสอนใหม่ หรอื ส่งิ ที่ประดิษฐ์ใหม่ และการพัฒนาวิชาเทคนิคใหม่ (Technological
innovation) เกยี่ วกบั วิชาชา่ งทางอุตสาหกรรม

ในงานวิจัยนี้ จึงใช้คาว่า นวัตกรรมการเรียนรู้ หมายถึง สิ่งใหม่หรือวิธีการใหม่ท่ีนามาใช้
ในวงการศึกษา ไดแ้ ก่ แนวคดิ วิธีการ กระบวนการ เทคนิค แนวปฏิบัติ หรือ ส่ิงประดิษฐ์ใหม่ เพ่ือแก้ปัญหา
การจัดการเรียนร้หู รือพัฒนานกั เรียนใหเ้ กดิ การเรียนรู้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ

2.2 ประเภทของนวัตกรรมการเรยี นรู้
การจัดประเภทของนวัตกรรม สามารถจาแนกได้ตามเกณฑ์ที่กาหนดข้ึน โดยท่ัวไปสามารถ

จาแนกไดห้ ลายวธิ ี เชน่
1) จาแนกตามผใู้ ชป้ ระโยชน์จากนวัตกรรมโดยตรง
1.1) นวัตกรรมจัดการเรยี นรขู้ องครู เชน่ วิธีการสอน กจิ กรรมที่ครูนามาใชก้ บั ผูเ้ รยี น และส่อื

การสอนต่างๆ
1.2) นวัตกรรมการเรยี นรูข้ องผู้เรียน เชน่ แบบฝึกหัดตา่ งๆท่คี รูสรา้ งขึ้น บทเรยี นสาเร็จรูป สอื่

มัลตมิ เี ดียฯลฯ
1.3) นวัตกรรมเพอื่ การบริหารและพัฒนาการทางานของครแู ละนักเรยี น

2) จาแนกตามลักษณะของนวัตกรรม
2.1) เทคนิควธิ กี าร วธิ กี ารจัดกจิ กรรมพัฒนา การจดั กิจกรรมสาหรับผเู้ รียน เชน่ การจดั

บรรยากาศในห้องเรยี นใหเ้ หมาะสมกับผู้เรียน และเหมาะกบั วธิ ีการสอนของครู
2.2) ส่ือการเรยี นรู้ สือ่ การเรยี นรเู้ ปน็ ตวั กลาง หรอื เครื่องมอื ที่ช่วยใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความรู้ความ

เขา้ ใจ สอ่ื การเรยี นรูแ้ บ่งออกเปน็ 2 ประเภท ดังน้ี
2.3) สอื่ ประเภทวัสดุ ส่ือการเรยี นรู้ทีม่ ลี กั ษณะเกบ็ ความรู้ หรือถ่ายทอดความรู้ โดยใชภ้ าพ

เสยี งตัวอกั ษร ในรปู แบบตา่ งๆ แบ่งเป็น 2 ประเภทคอื
2.3.1) วัสดุที่เสนอความรู้จากตัวสือ่
2.1.2) วัสดทุ ี่ตอ้ งอาศยั ส่อื ประเภทเครอื่ งกลเปน็ ตัวนาเสนอความรู้

20

2.4) ส่ือประเภทเครือ่ งมอื หรอื โสตทัศนปู กรณ์ เป็นส่ือที่เปน็ ตัวกลางหรือตัวผา่ นของความรูท้ ่ี
ถา่ ยทอดไปยงั ผู้รับ เช่น เครอื่ งชว่ ยสอน เคร่อื งฉาย คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน ฯลฯ

3) การจาแนกตามจุดเน้นของนวัตกรรม
3.1) นวตั กรรมการจดั การเรียนรทู้ ่ีเน้นผลผลิต เป็นนวตั กรรมท่ีเป็นวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องมอื ที่

ใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ เชน่ วดี ทิ ัศน์ ซีดี สไลด์ ฯลฯ
3.2) นวัตกรรมการจัดการเรียนรทู้ ่ีเนน้ เทคนิค วธิ กี าร หรอื กระบวนการในการจัดการเรยี นรู้

เชน่ โครงงาน ผงั มโนทัศน์ บทบาทสมมตุ ิ ฯลฯ
3.3) นวัตกรรมท่ีเน้นทั้งผลผลิตและเทคนิคกระบวนการ เช่น ระบบการผลิตและสร้างสื่อ

การเรียนรู้กระบวนการท่สี ามารถให้นักเรียนเรยี นรูด้ ้วยตัวเองอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
4) จาแนกตามผูใ้ ชป้ ระโยชน์
4.1) ประเภทสือ่ สาหรบั ครู เช่น แผนการจัดการเรียนรู้ คมู่ ือครู เอกสารประกอบ การสอน

ชดุ การสอน (ส่อื ประสม) หนังสืออ้างอิง เคร่ืองมอื วัดผล อุปกรณโ์ สตทัศนวัสดุ เป็นต้น
4.2) ประเภทสือ่ สาหรับสาหรับนักเรียน เชน่ บทเรียนสาเร็จรูป เอกสารประกอบการเรียนชดุ ฝึก

ปฏบิ ตั ิ ใบงาน แบบฝึก หนงั สอื เสริมประสบการณ์ ชดุ เพลง ชุดเกม และการ์ตูน เป็นตน้
5) จาแนกตามการจัดการศึกษา
5.1) นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใชว้ ธิ ีการใหม่ๆในการพัฒนาหลกั สตู รให้สอดคล้องกบั

สภาพแวดล้อมในท้องถ่ินและตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากข้ึน เนื่องจากหลักสูตรจะต้องมีการ
เปลี่ยนแปลงอยูเ่ สมอ เพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
และของโลก นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการ หลักสูตรรายบุคคล หลักสูตร
กจิ กรรมและประสบการณ์ และหลกั สูตรท้องถ่นิ

5.2) นวัตกรรมการเรียนการสอน เป็นการใช้วิธีระบบในการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีสอน
แบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบมีส่วน
ร่วม การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา การพัฒนาวิธีสอนจาเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจัดการ
และสนับสนนุ การเรยี นการสอน

5.3) นวตั กรรมส่อื การสอน เนอ่ื งจากมีความก้าวหนา้ ของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพวิ เตอร์
เครือข่ายและเทคโนโลยีโทรคมนาคม ทาให้นักการศึกษาพยายามนาศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่าน้ีมาใช้ใน
การผลติ สือ่ การเรยี นการสอนใหม่ๆ จานวนมากมาย ทั้งการเรียนด้วยตนเอง การเรียนเป็นกลุ่ม และการเรียน
แบบมวลชน ตลอดจนสื่อทใ่ี ชเ้ พ่ือสนบั สนุนการฝึกอบรมผา่ นเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์

5.4) นวัตกรรมทางด้านการประเมินผล เป็นนวัตกรรมท่ีใช้เป็นเคร่ืองมือเพ่ือการวัดผลและ
ประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทาได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน
ด้วยการประยกุ ต์ใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์มาสนบั สนนุ การวัดผล ประเมินผลของสถานศกึ ษา ครู อาจารย์

5.5) นวัตกรรมการบรหิ ารจัดการ เปน็ การใชน้ วตั กรรมทีเ่ กย่ี วข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยใน
การบริหารจัดการ เพ่ือการตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษา ให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการ
เปล่ียนแปลงของโลก นวัตกรรมการศึกษาที่นามาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการ
ฐานข้อมลู ในหน่วยงานสถานศกึ ษา

21

2.3 การพัฒนานวัตกรรมการจดั การเรยี นรู้
1) ข้ันตอนการพฒั นานวตั กรรมการจัดการเรียนรู้
หลังจากวิเคราะห์ปัญหาสาเหตุของปัญหาการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นช่วงท่ีครูจะคิดค้นหา

นวตั กรรมนามาใช้ในการพฒั นา และแกป้ ัญหาทไ่ี ด้จากการวิเคราะห์ จากการศึกษาจากนักวิชาการหลายท่าน
สามารถสรุปขั้นตอนในการพฒั นานวัตกรรมหลังจากการวิเคราะห์สภาพปัญหา ดงั นี้

1. การกาหนดและจดั ทานวัตกรรมการจัดการเรยี นรู้
ขั้นตอนนีเ้ ป็นการคดิ ค้น แสวงหาและจัดทานวตั กรรม เพ่อื นามาใช้แกป้ ญั หาและพัฒนา
การจัดการเรยี นรใู้ ห้มคี ุณภาพ โดยมขี ัน้ ตอนการดาเนนิ งานดงั น้ี
1.1 พิจารณาเลือกปญั หา/ความต้องการพัฒนา ที่ได้จัดลาดับความสาคัญ/ความต้องการจาเป็น
ไว้แลว้ ในข้นั การศกึ ษาปญั หาการเรียนการสอน
1.2 กาหนดนวัตกรรมที่จะนามาใช้แก้ปัญหา/พัฒนาการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสาเหตุ
หรอื อาการของปัญหา
1.3 ก่อนการออกแบบสื่อ นวัตกรรมการเพื่อการเรียนรู้ในแต่ละประเภท ผู้ออกแบบจะต้อง
คานึงถึงองค์ประกอบ และเง่ือนไขต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของส่ือ วิธีการนาไปใช้ จนถึงกลุ่มเปูาหมาย
ผู้ใช้งาน ในการออกแบบจาเป็นต้องศึกษาและเข้าใจหลักการรวมถึงขั้นตอนในการออกแบบ เพื่อนามา
ประยุกต์เป็นแนวทางในการปฏิบัติและลงมือสร้าง เพ่ือให้ได้ส่ือการเรียนรู้ที่เหมาะสมต่อกระบวนการศึกษา
และการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
1.4 สร้างนวัตกรรมการจดั การเรยี นรู้ โดยมขี ั้นตอนการสรา้ ง ดงั น้ี

(1) วเิ คราะห์หลกั สูตร
(2) ศึกษาหลักการ แนวคดิ ทฤษฎแี ละผลงานท่เี กย่ี วข้อง
(3) จัดทาโครงสรา้ งของนวตั กรรมการจดั การเรยี นรู้
(4) สรา้ งนวตั กรรมการจัดการเรียนรตู้ ามโครงสร้างและขน้ั ตอนที่กาหนด
(5) นานวตั กรรมการจดั การเรียนรทู้ ี่สร้างขนึ้ ไปพิสจู นค์ ุณภาพและประสิทธภิ าพ
1.5 การจัดทาเครอื่ งมือประเมินคุณภาพและประสทิ ธภิ าพของนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้
การนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ท่ีสร้างขึ้นพิสูจน์คุณภาพและประสิทธิภาพ จาเป็นต้องมี
เคร่ืองมือเก็บรวบรวมขอ้ มลู ประกอบดว้ ย การจดั ทาเครื่องมอื ดังกลา่ ว ดาเนนิ การดังนี้
(1) ศึกษาวัตถปุ ระสงคข์ องนวตั กรรมการเรยี นการสอนทสี่ ร้างขึ้น
(2) กาหนดเครื่องมือที่ต้องใช้ประกอบการประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของนวัตกรรม
การเรียนการสอน
(3) ศึกษาแนวทางการสร้างเคร่ืองมอื
(4) ออกแบบและสรา้ งเครื่องมือ
(5) ตรวจสอบและผา่ นการกลัน่ กรองของผู้เช่ียวชาญ
(6) ศึกษาคุณภาพและประสิทธิภาพของเครอ่ื งมอื
(7) จัดทาเป็นเคร่อื งมือฉบับจริง
1.6 การทดลองศึกษาคณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพของนวตั กรรมการจัดการเรียนรู้
เมื่อได้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ฉบับร่างและเครื่องมือท่ีจาเป็นต้องใช้ในการประเมิน
คุณภาพและประสิทธภิ าพของนวตั กรรมครบถว้ น เรยี บร้อยแล้ว ก็นานวตั กรรมการจดั การเรยี นรู้ท่ีจัดทาขึ้นไป
ศกึ ษาคณุ ภาพและประสิทธิภาพด้วยวธิ กี ารท่เี ช่อื ถอื ได้ ดงั นี้

22

(1) การศกึ ษาคุณภาพของนวัตกรรมการเรยี นการสอน ดาเนนิ การดงั นี้
(1.1) กลั่นกรองเบ้ืองต้นโดยให้ผู้เรียนและครูผู้สอนกลุ่มสาระนั้นอ่านเพ่ือตรวจสอบดูว่ามี

ขอ้ บกพร่องที่ใดบ้าง แลว้ นาข้อบกพรอ่ งมาปรบั ปรงุ แกไ้ ขให้เหมาะสม
(1.2) นานวัตกรรมการเรียนการสอนที่ปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วให้ผู้เช่ียวชาญจานวน

3 – 5 คน ประเมินเพ่ือตรวจสอบคุณภาพ และให้ข้อเสนอแนะเพ่ือปรับปรุงนวัตกรรมการเรียนการสอนให้มี
คุณภาพสงู ข้ึน

(1.3) วิเคราะห์ผลการประเมินของผู้เช่ียวชาญเพื่อดูว่านวัตกรรมการเรียนการสอนมี
คุณภาพอยใู่ นระดบั ใด และปรับปรงุ ขอ้ บกพรอ่ งในกรณีทีผ่ ู้เช่ียวชาญไดใ้ ห้ขอ้ เสนอแนะมา

(1.4) จัดทาเป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนที่พร้อมสาหรับนาไปทดลองใช้เพ่ือศึกษา
ประสทิ ธิภาพตอ่ ไป

(2) การศึกษาประสทิ ธิภาพของนวตั กรรมการเรียนการสอน ดาเนินการดังน้ี
(2.1) นานวัตกรรมการเรียนการสอนท่ีผ่านการตรวจสอบและประเมินคุณภาพของ

ผู้เชี่ยวชาญแล้ว ไปทดลองใช้กับผู้เรียนที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับกลุ่มเปูาหมายของการแก้ปัญหาหรือพัฒนา
ตามรปู แบบและวธิ กี ารท่ีกาหนด

(2.2) นาผลการทดลองมาคานวณหาประสิทธภิ าพของนวัตกรรมการเรยี นการสอนโดยใช้สูตร E1/ E2
(3) ข้ันตอนการหาคุณภาพนวตั กรรม

นวัตกรรมท่คี รูพัฒนาขึ้นเพ่อื ใช้แกป้ ัญหาการเรียนร้ขู องผ้เู รียน จะต้องผ่านการตรวจสอบ
คณุ ภาพก่อนนาไปใช้จริง อาจตรวจสอบโดยใช้ดุลยพินิจของผู้เช่ียวชาญ หรือตรวจสอบโดยการทดลองใช้สื่อ
ซง่ึ ขึน้ อยู่กบั นวตั กรรมแตล่ ะประเภท ดงั ตาราง ขน้ั ตอนการหาคณุ ภาพนวัตกรรม

1.7 การนานวัตกรรมการเรียนการสอนไปใชแ้ ก้ปญั หา/พฒั นาผ้เู รียน
หลงั จากไดศ้ กึ ษาคุณภาพและประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนการสอน ตามวิธีการและ

ขน้ั ตอนทีเ่ ชอื่ ถือได้ และนวัตกรรมการเรียนการสอนนั้นมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพตามท่ีกาหนดแล้ว จึงนา
นวัตกรรมการเรยี นการสอนไปใช้แกป้ ัญหาและพัฒนาผู้เรียนท่ีเป็นประชากรกลุ่มตัวอย่าง หรือกลุ่มเปูาหมาย
ของการแก้ปญั หา/พัฒนา เพื่อสร้างความเชอื่ มนั่ วา่ นวตั กรรมการเรียนการสอนท่ีสร้างข้ึนมาน้ันมีคุณภาพและ
มปี ระสทิ ธภิ าพอย่างแทจ้ ริง ไม่วา่ จะนาไปใชก้ ับนกั เรียนกลมุ่ ใดในระดบั เดียวกัน

1.8 การเขยี นรายงานผลการพฒั นานวตั กรรมการเรียนการสอน
เป็นการนาผลการดาเนินงานสร้างและทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนการสอนทุกขั้นตอนมา

เขยี นเพ่ือแสดงถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนการสอน ว่ามีมากน้อยเพียงใดการเขียน
รายงานใชแ้ นวเดยี วกับการเขียนรายงานการวจิ ยั ซ่ึงแบ่งการเขียนออกเป็น 5 บท ดงั นี้

บทที่ 1 บทนา นาเสนอรายละเอียดตามหัวข้อตอ่ ไปน้ี
- ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
- วตั ถุประสงค์ของการทดลอง
- สมมุตฐิ านของการทดลอง
- ขอบเขตของการทดลอง
- ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รบั
- นิยามศัพท์

23

บทที่ 2 การศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง
เป็นการนาเสนอแนวคิด หลักการ ทฤษฎี และผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องที่นามาใช้ใน

การพฒั นานวัตกรรมการเรยี นการสอน โดยนาเสนอรายละเอียด ดงั น้ี
- หลักการ แนวคดิ ทฤษฎี ท่ีเกี่ยวข้องกบั การพัฒนานวัตกรรมการเรยี นการสอน
- ผลการวจิ ัยที่เกย่ี วขอ้ งกับการพฒั นานวตั กรรมการเรยี นการสอน
- หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎี และผลการวิจัยที่นามาใช้พัฒนานวัตกรรมการเรียนการ

สอนในกลุม่ สาระ/วชิ าท่ีคิดค้นและสรา้ งนวัตกรรมการเรยี นการสอน
บทท่ี 3 วธิ ดี าเนินการสรา้ งและทดลองใช้นวัตกรรมการเรยี นการสอน
บทน้ี นาเสนอขนั้ ตอนการสรา้ งและพฒั นานวตั กรรมการเรยี นการสอน โดยมีหัวข้อการ

นาเสนอ ดังนี้
- วัตถปุ ระสงคข์ องการทดลอง
- สมมตุ ฐิ านของการทดลอง
- ประชากรทีใ่ ช้ในการทดลอง
- กลมุ่ ตวั อย่างท่ใี ช้ในการทดลอง
- นวัตกรรมและเครอ่ื งมือที่ใช้ในการทดลอง
- การสร้างนวัตกรรมและเคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการทดลอง
- การดาเนนิ การทดลอง
- การวเิ คราะหผ์ ลการทดลอง
- สถติ ิทใ่ี ช้ในการวเิ คราะหผ์ ลการทดลอง

บทที่ 4 การวเิ คราะห์ขอ้ มูลและผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
โดยนาเสนอในรูปของตาราง กราฟ หรือบรรยาย ตามวัตถปุ ระสงค์ของการทดลองที่กาหนดในบทที่ 1

บทที่ 5 การสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ บทน้ีนาเสนอผลการดาเนินการวิจัยโดยมุ่ง
นาเสนอสาระสาคัญ 3 ประเดน็ คอื

- สรุปผลการวิจัย นาเสนอวัตถุประสงค์ ขั้นตอนการดาเนินงาน และผลการวิจัย
โดยสรุป ใหเ้ หน็ ภาพของการดาเนินการสรา้ งและพัฒนานวัตกรรมการเรยี นการสอนตลอดแนว

- อภิปรายผลการวิจัย เป็นการนาผลท่ีเกิดข้ึนจากการวิจัยมานาเสนอให้เห็น
ภาพรวมที่เป็นผลน่าพอใจ สิ่งที่เป็นข้อสังเกต โดยอ้างอิงหลักการ ทฤษฎีและผลการวิจัยที่สอดคล้อง
ประกอบการอภปิ รายอยา่ งเหมาะสม

- ขอ้ เสนอแนะ เปน็ การนาเสนอส่ิงทค่ี วรดาเนินการต่อเนื่อง หรือพัฒนาผลการวิจัย
อยา่ งต่อเน่อื ง ทีจ่ ะทาใหเ้ กดิ คณุ ภาพในการพัฒนาอย่างเด่นชัดและเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาการเรียนการ
สอนมากย่ิงข้นึ

2. หลักการออกแบบสอื่ เพอ่ื การเรยี นรู้
หลักการออกแบบสอื่ เพ่ือการเรียนรปู้ ระกอบด้วย 9 ข้ันตอน ดงั น้ี
(https://sites.google.com/site/techno5040407/bth-thi-3/hlak-kar-xxkbaeb-sux-

pheux-kar-reiyn-ru)
2.1 เร้าความสนใจ (Gain Attention)
สื่อการเรียนรู้ ต้องมีลักษณะที่เร้าความสนใจและดึงดูดความสนใจของผู้เรียน เพื่อเป็นการ

24

กระตุน้ และเกิดแรงจูงใจให้ผู้เรียนมีความต้องการท่ีจะเรียน ผู้ออกแบบจึงต้องกาหนดสิ่งท่ีจะดึงดูดความสนใจ
เพื่อให้เกิดพฤติกรรมและเปูาหมายตามท่ีต้องการ ส่วนใหญ่จะเริ่มด้วยหน้านาเร่ือง ซ่ึงควรมีรูปภาพ
ภาพเคล่ือนไหวหรือสีสันต่าง ๆ เพื่อให้น่าสนใจ ซึ่งก็ต้องเก่ียวข้องกับบทเรียนด้วย คือการแสดงชื่อของ
บทเรียน ช่ือผู้สร้างบทเรียน การแนะนาเร่ืองหรือการแนะนาเนื้อหาของบทเรียน สิ่งที่ต้องพิจารณาเพ่ือเร้า
ความสนใจของผูเ้ รยี น

2.2 บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objectives)
การบอกวัตถุประสงค์แกผ่ ู้เรยี น เพื่อเปน็ การให้ผู้เรียนได้ทราบถึงเปูาหมายในการเรียนหรือสิ่ง
ท่ีผู้เรียนสามารถทาได้หลังจากทเ่ี รยี นจบบทเรียน ซึ่งสว่ นใหญจ่ ะเปน็ จุดประสงค์กว้าง ๆ จนถึงจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรม การบอกจุดประสงค์จะทาให้ผู้เรียนทาความเข้าใจเน้ือหาได้ดีขึ้น สิ่งที่ต้องพิจารณาในการบอก
วัตถปุ ระสงค์ มดี งั น้ี
1. ใช้คาส้ัน ๆ และเขา้ ใจไดง้ า่ ย
2. หลีกเลี่ยงคาที่ยังไม่เป็นทร่ี จู้ ักและเป็นทีเ่ ข้าใจ โดยทว่ั ไป
3. ไมค่ วรกาหนดวตั ถุประสงคห์ ลายขอ้ เกินไปในเนือ้ หาแตล่ ะส่วน
4. ผูเ้ รียนควรมโี อกาสที่จะทราบว่าหลงั จบบทเรยี นเขาสามารถนาไปใช้ทาอะไรไดบ้ า้ ง
5. หากบทเรียนนนั้ ยังมีบทเรยี นย่อย ๆ ควรบอกจดุ ประสงค์กวา้ ง ๆ และบอกจดุ ประสงค์

เฉพาะสว่ นของบทเรียนยอ่ ย
2.3 ทวนความรเู้ ดิม (Activate Prior Knowledge)
ลักษณะของการทวนความรู้เดิมของผู้เรียน เป็นการทบทวนหรือการเช่ือมโยงระหว่างความรู้
เดมิ เพือ่ เชื่อมกบั ความรใู้ หม่ ซ่งึ ผู้เรียนจะมพี นื้ ฐานความรทู้ ่ีแตกต่างกันออกไป การรับรู้ส่ิงใหม่ ก็ควรจะมีการ
ประเมินความรู้เดิม คือการทดสอบก่อนการเรียน และเพ่ือเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการระลึกความรู้เดิม
เพือ่ เตรียมพรอ้ มในการเช่ือมโยงกบั ความรู้ใหม่ ซ่งึ การทดสอบจะทาให้ผูเ้ รียนได้รู้ตัวเองและกลับไปทบทวนใน
สิ่งที่เก่ียวข้อง สาหรับคนท่ีรู้ในเนื้อหาบทเรียนดีแล้วอาจข้ามบทเรียนไปยังเน้ือหาอ่ืนๆ ต่อไป การจะทา
แบบทดสอบก่อนเรียนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบทเรียนเพื่อให้เกิดความเหมาะสม ส่ิงท่ีจะต้อง
พจิ ารณาในการทบทวนความรู้เดมิ มดี ังนี้

1) ไม่ควรคาดเดาเอาว่าผู้เรียนมีความรู้พ้ืนฐานก่อนแล้วจึงมาศึกษาเนื้อหาใหม่ ควรมีการ
ทดสอบหรอื ใหค้ วามรู้เพ่ือเป็นการทบทวนให้พร้อมท่จี ะรับความร้ใู หม่

2) การทดสอบหรอื ทบทวนควรให้กระชบั และตรงตามวตั ถุประสงค์
3) ควรเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนออกจากแบบทดสอบหรือเนอื้ หาใหมเ่ พ่อื ไปทบทวนไดต้ ลอดเวลา
4) หากไมม่ กี ารทดสอบ ควรมกี ารกระตนุ้ ให้ผู้เรียนกลบั ไปทบทวนหรือศึกษาในสงิ่ ท่ีเกี่ยวข้อง
2.4 การเสนอเนอ้ื หา (Present New Information)
การเสนอเนื้อหาใหม่เป็นการนาเสนอเนื้อหาโดยใช้ตัวกระตุ้นท่ีเหมาะสม เป็นส่ิงสาคัญสาหรับ
การเรียนการสอนเพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รูปแบบการนาเสนอมีหลายลักษณะ ได้แก่
การใชข้ ้อความ ภาพน่งิ กราฟ ตารางข้อมูล กราฟิก ตลอดจนภาพเคล่ือนไหว ซ่ึงเป็นการใช้ส่ือหลายรูปแบบ
ท่เี รียกวา่ ส่ือประสม เป็นการเรา้ ความสนใจของผ้เู รียน สง่ิ ทีจ่ ะต้องพจิ ารณาในการนาเสนอเนื้อหาใหม่ มดี งั น้ี
1) ใช้ภาพน่งิ ประกอบการเสนอเนอื้ หา โดยเฉพาะส่วนเน้ือหาทีส่ าคญั
2) พยายามใช้ภาพเคลื่อนไหวในเนื้อหาที่ยาก และท่ีมีการเปลี่ยนแปลงตามลาดับใช้แผนภูมิ
แผนภาพ แผนสถิติ สญั ลกั ษณ์หรือภาพเปรียบเทยี บประกอบเนือ้ หา

25

3) ในเนื้อหาท่ียากและซับซ้อนให้เน้นข้อความเป็นสาคัญ ซึ่งอาจเป็นการตีกรอบ ขีดเส้นใต้
การกระพรบิ การทาสีใหเ้ ด่น

4) ไม่ควรใชก้ ราฟิกที่เข้าใจยากหรอื ไม่เกี่ยวกับเนือ้ หา
5) จัดรปู แบบของคา ข้อความใหน้ า่ อ่าน เนอ้ื หาท่ยี าวให้จัดกลุม่ แบ่งตอน
2.5 ชแ้ี นวทางการเรียนรู้ (Guide Learning)
การช้ีแนวทางการเรียนรู้ เป็นการใช้ในช้ันเรียนตามปกติ ซ่ึงผู้สอนจะยกตัวอย่างหรือต้ังคาถาม
ชแี้ นะแบบกว้าง ๆ ใหแ้ คบลง เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนวิเคราะห์เพ่ือค้นหาคาตอบ สาหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ควรต้องใช้การสร้างสรรค์เทคนิคเพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหาคาตอบด้วยตนเอง การจัดกิจกรรมที่เหมาะสม
เพ่อื เป็นตวั ชีแ้ นวทาง สงิ่ ทจ่ี ะต้องพิจารณาในการชแี้ นวทางการเรียนรู้ มดี ังนี้
1) แสดงใหผ้ ูเ้ รียนไดเ้ ห็นถงึ ความสัมพนั ธข์ องเน้ือหาและช่วยให้เห็นส่ิงย่อยน้ันมีความสัมพันธ์กับ
สงิ่ ใหมอ่ ยา่ งไร
2) แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสัมพนั ธ์ของสง่ิ ใหมก่ บั สิ่งท่ผี เู้ รียนมคี วามรหู้ รอื ประสบการณม์ าแลว้
3) พยายามใหต้ ัวอย่างท่ีแตกตา่ งกันออกไป เพือ่ ช่วยอธิบายความคิดใหม่ใหช้ ดั เจนขนึ้
4) การเสนอเน้ือหาท่ียาก ควรให้เห็นตัวอย่างท่ีเป็นรูปธรรมไปสู่นามธรรม ถ้าเนื้อหาไม่ยาก ให้
เสนอตวั อยา่ งจากนามธรรมไปสรู่ ปู ธรรม
5) กระตุ้นใหผ้ ้เู รยี นคดิ ถงึ ความรูแ้ ละประสบการณ์เดิม
2.6 กระตุน้ การตอบสนอง (Elicit Responses)
การกระตนุ้ ใหเ้ กิดการตอบสนองจากผู้เรียน เมื่อผู้เรียนได้รับการชี้แนวทางการเรียนรู้แล้ว ต้องมี
การกระตนุ้ ให้เกิดการตอบสนองโดยกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทาให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการคิดและ ปฏิบัติเชิงโต้ตอบ
เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ในการเรียน การกระตุ้นต้องจัดกิจกรรมให้เหมาะสม ส่ิงที่ต้องพิจารณาในการ
กระต้นุ การตอบสนอง มดี งั น้ี
1) พยายามให้ผเู้ รยี นได้ตอบสนองดว้ ยวธิ ีใดวิธีหนง่ึ ตลอดการเรยี น
2) ควรใหผ้ เู้ รียนได้มีโอกาสพิมพค์ าตอบหรือข้อความเพ่อื เร้าความสนใจ แตก่ ็ไมค่ วรจะยาวเกินไป
3) ถามคาถามเป็นช่วง ๆ ตามความเหมาะสมของเนื้อหา เพ่ือเร้าความคิดและจินตนาการของ
ผู้เรียน
4) หลีกเล่ียงการตอบสนองซ้า ๆ หลายครั้งเม่ือทาผดิ ควรมีการเปลย่ี นกิจกรรมอย่างอื่นต่อไป
5) ควรแสดงการตอบสนองของผ้เู รียนบนเฟรมเดยี วกันกบั คาถาม รวมท้ังการแสดงคาตอบ
2.7 ใหข้ ้อมลู ย้อนกลับ (Provide Feedback)
หลังจากท่ีผู้เรียนได้รับการทดสอบความเข้าใจของตนในเน้ือหารวมท้ังการกระตุ้นการตอบสนอง
แลว้ จาเป็นอยา่ งยงิ่ ทจี่ ะต้องใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั หรือการให้ผลกลับไปยังผู้เรียนเก่ียวกับความถูกต้อง การให้ผล
ย้อนกลับถือเป็นการเสริมแรงอย่างหนึ่ง การให้ข้อมูลย้อนกลับสามารถแบ่งขั้นตอนได้เป็น 4 ประเภทตาม
ลกั ษณะทีป่ รากฏไดด้ ังนี้
1) แบบไม่เคลื่อนไหว หมายถึง การเสริมแรงด้วยการแสดงคา หรือข้อความ บอกความ ถูก หรือ
ผิด และรวมถงึ การเฉลย
2) แบบเคล่ือนไหว หมายถงึ การเสรมิ แรงด้วยการแสดงกราฟกิ เชน่ ภาพหน้าย้ิม หน้าเสียใจ หรือ
มีข้อความประกอบใหช้ ดั เจน
3) แบบโตต้ อบ หมายถงึ การเสรมิ แรงดว้ ยการให้ผู้เรียนได้มีกิจกรรมเชิงโต้ตอบกับบทเรียน เป็น

26

กิจกรรมทจี่ ัดเสริมหรือเพอ่ื เกิดการกระตนุ้ แก่ผู้เรียน เช่น เกมส์
4) แบบทาเครอ่ื งหมาย หมายถึง การทาเคร่ืองหมายบนคาตอบของผู้เรียนเม่ือมีการตอบคาถาม

ซึ่งอยู่ในรูปของวงกลม ขดี เสน้ ใต้ หรอื ใช้สีท่แี ตกตา่ ง
2.8 ทดสอบความรู้ (Access Performance)
การทดสอบความรู้หลงั เรียน เพอ่ื เป็นการประเมินผลว่าผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ได้ตามเปูาหมาย

หรือไม่อย่างไร การทดสอบอาจทาหลังจากผู้เรียนได้เรียนจบวัตถุปร ะสงค์หน่ึง หรือหลังจากเรียนจบทั้ง
บทเรียนก็ได้ กาหนดเกณฑ์ในการผ่านให้ผู้เรียนได้ทราบ ผลจากการทดสอบจะทาให้ทราบว่าผู้เรียน ควรจะ
เรียนเน้ือหาบทเรียนใหม่หรือว่าควรต้องกลับไปทบทวน ส่ิงท่ีต้องพิจารณาในการออกแบบทดสอบหลัง
บทเรียน มีดังนี้

1) ต้องแน่ใจวา่ สงิ่ ทีต่ อ้ งการวัดนัน้ ตรงกับวตั ถุประสงค์
2) ข้อทดสอบ คาตอบและ Feedback อยใู่ นเฟรมเดยี วกนั
3) หลีกเลย่ี งการใหพ้ มิ พค์ าตอบทย่ี าวเกนิ ไป
4) ให้ผเู้ รยี นตอบครัง้ เดยี วในแตล่ ะคาถาม
5) อธบิ ายใหผ้ ู้เรยี นทราบวา่ ควรจะตอบด้วยวธิ ีใด
6) ควรมีรูปภาพประกอบด้วย นอกจากขอ้ ความ
7) คานงึ ถึงความแมน่ ยาและความน่าเชื่อถอื ของแบบทดสอบด้วย
2.9 การจาและนาไปใช้ (Promote Retention and Transfer)
สง่ิ สดุ ทา้ ยสาหรับการสอน การจาและนาไปใช้ ส่ิงสาคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนมีความคงทนในการจา
ข้อมลู ความรู้ ต้องทาให้ผูเ้ รยี นตระหนกั วา่ ขอ้ มูลความรใู้ หมท่ ีไ่ ด้เรยี นรู้ไปนน้ั มคี วามสัมพันธ์กับความรู้เดิม หรือ
ประสบการณ์เดิม โดยการจัดกิจกรรมท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ใช้ความรู้ เพ่ือการเช่ือมโยงข้อมูล
ความรเู้ ดิมกับความรู้ใหม่ รวมท้งั การนาไปใช้กบั สถานการณ์ สงิ่ ท่คี วรพจิ ารณาในการจาและนาไปใช้ มีดังน้ี
1) ทบทวนแนวคิดทสี่ าคญั และเน้อื หาที่เปน็ การสรปุ
2) สรุปให้ผู้เรียนได้ทราบว่าความรู้ใหม่มีความสัมพันธ์กับความรู้เดิมหรือประสบการณ์ท่ีผ่านมา
อยา่ งไร
3) เสนอแนะเนื้อหาท่เี ปน็ ความรู้ใหมซ่ ่งึ จะนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
4) บอกแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการศกึ ษาให้กับผู้เรียน

2.4 ประโยชน์ของนวตั กรรมการเรยี นรู้
การนานวัตกรรมไปใชจ้ ัดการเรียนรเู้ ปน็ ประโยชนท์ ้ังครผู สู้ อนและผ้เู รียน ผ้วู จิ ัยวิเคราะห์และแบ่งตาม
ประโยชน์ของบุคคล ได้ดงั น้ี
1) ประโยชนต์ ่อครผู สู้ อน

1.1) ช่วยแก้ปญั หาการเรียนการสอน
1.2) ช่วยให้บทเรยี นนา่ สนใจ
1.3) ชว่ ยลดเวลาในการสอน
1.4) ชว่ ยประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ย
1.5) ชว่ ยทาเร่อื งท่เี ป็นนามธรรมให้เป็นรปู ธรรมมากขนึ้
1.6) ช่วยทาเรอ่ื งยากใหเ้ ปน็ เร่อื งง่าย

27

1.7) ช่วยกระตุ้นและเร้าความสนใจให้กับผูเ้ รียน
1.8) ชว่ ยพฒั นาการเรยี นรตู้ ามจดุ ประสงค์ของรายวิชา
1.9) ชว่ ยให้การจดั การเรียนการสอนเน้นผ้เู รียนเป็นศูนยก์ ลาง
1.10 เพม่ิ ประสทิ ธิภาพการสอน
1.11 ประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาชีพโดยผู้สร้างนวัตกรรมสามารถนาผลจากการนานวัตกรรมไป
ใชเ้ ปน็ ผลงานวชิ าการเพอื่ ขอเลือ่ นวิทยฐานะ หรือปรบั ตาแหน่งให้สูงข้นึ ได้
2) ประโยชนต์ อ่ ผเู้ รยี น
2.1) ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นเรยี นรู้ไดเ้ ร็วข้นึ
2.2) ช่วยใหผ้ ้เู รยี นเขา้ ใจบทเรียนเปน็ รูปธรรม
2.3) ช่วยใหบ้ รรยากาศการเรียนรู้ สนุกสนาน ชว่ ยให้ผ้เู รียนมีทัศนคติที่ดตี ่อการเรียนการสอน
2.4) ช่วยใหผ้ เู้ รยี นไม่เบ่อื การเรยี น
2.5) ช่วยใหผ้ ู้เรียนเรียนรบู้ รรลตุ ามวตั ถปุ ระสงค์

2.5 งานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั การพัฒนานวัตกรรมการเรยี นรู้

ปวันรัตน์ นิกรกิตติโกศล (2559) การพัฒนานวัตกรรมการส่ือสารภาษาอังกฤษ สาหรับผู้ประกอบ
การร้านขายของท่ีระลึก ร้านอาหารและเครื่องด่ืมท่ีเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนา
นวัตกรรมการสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเท่ียวสาหรับผู้ประกอบการ ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร
และเครื่องดื่มที่เกาะเกร็ด โดยมี 5 ขั้นตอนหลักคือ 1) การศึกษาความต้องการด้านเนื้อหา และรูปแบบ
นวัตกรรมที่เหมาะสมในการฝึกทักษะภาษาองั กฤษสาหรับผปู้ ระกอบการ 2) การออกแบบและสร้างนวัตกรรม
การสื่อสารภาษาอังกฤษ 3) ทดลองใช้และ 4) ประเมินผลและปรับปรุง 5) ศึกษาความพึงพอใจ ผลการวิจัย
พบว่า เน้ือหา โดยรวมที่ผู้ประกอบการมีความต้องการคือคาศัพท์และบทสนทนาเฉพาะในการค้าขายที่มีบท
แปลและคาอ่านภาษาไทย ในรูปของหนังสือเล่มเล็กและซีดีคลอบคลุมหัวข้อเกี่ยวกับการทักทายและการ
ตอ้ นรับและการสอบถามความต้องการของ ลูกค้าเป็นต้น ก่อนและหลังการใช้นวัตกรรมสื่อสารภาษาอังกฤษ
พบว่ามคี ะแนนสงู ข้นึ ในทกุ องคป์ ระกอบของทั้งทักษะ การฟังและพูดภาษาอังกฤษ ผลจากการประเมินความ
พงึ พอใจจากผู้ประกอบการพบวา่ ได้ค่าเฉล่ียเทา่ กับ 4.33 คา่ ส่วน เบีย่ งเบนมาตราฐานเท่ากับ 0.73 ซึ่งสามารถ
สรุปได้ว่านวัตกรรมการส่ือสารภาษาอังกฤษที่พัฒนาขึ้นมีความพึงพอใจใน ระดับดีและสามารถนาไปใช้
ประโยชนไ์ ดจ้ รงิ

นภสินธุ เสือดี (2551). การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรูเพื่อปลูกฝังค่านิยมเศรษฐกิจพอเพียงด้าน
ความพอประมาณสาหรับนักเรียนปฐมวัย กรณีศึกษา: โรงเรียนบ้านหนองขาม อาเภอสวนผึ้งจังหวัดราชบุรี
มีจุดมุ่งหมายในการพฒั นานวัตกรรมการเรียนรูเพอ่ื ปลูกฝงั ค่านิยมเศรษฐกจิ พอเพยี ง ความพอประมาณสาหรับ
นกั เรยี นปฐมวยั ชัน้ อนุบาล 1 และอนุบาล 2 โรงเรยี นบา้ นหนองขาม อาเภอสวนผ้ึง จังหวัดราชบุรีท่ีศึกษาอยู่
ในปการศึกษา 2550 จานวน 22 คน โดยมีเครื่องมือในการวิจัยดังนี้ 1) สื่อการเรียนรู้ ไดแก การตูน
(Animation) การแสดงละครหุ่น และบทเพลง 2) คูมือการใช้และแผนการจัดการเรียนรูท่ีสอดคลองและ
ส่งผลให้เกิดการพัฒนาค่านิยมดังกลาว 3) แบบสังเกต พฤติกรรมการมีคานิยมเศรษฐกิจพอเพียงด้านความ
พอประมาณ 4) แบบประเมินคุณภาพของนวัตกรรม โดยใชระยะเวลาในการทดลอง 3 สัปดาห์ เก็บข้อมูล
เชงิ ปริมาณ ก่อน ระหวา่ ง และ หลังการใชน้ วัตกรรม เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างและพัฒนาการ และเก็บ
ข้อมลู เชิงคุณภาพโดยการสงั เกตโดยผู้วิจัยและครซู ง่ึ เปน็ ผู้ใช้นวัตกรรม ผลการวจิ ยั ไดนวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อ
ปลกู ฝังค่านยิ มเศรษฐกิจพอเพียงด้านความพอประมาณท่ีมีคุณภาพด้านเนื้อหาในระดับดีและด้านเทคโนโลยี

28

การศึกษาในระดบั ดมี าก ผลการ วเิ คราะห์ข้อมูลเชงิ ปริมาณปรากฏว่านักเรียนมีพัฒนาการของคะแนนค่านิยม
เศรษฐกจิ พอเพยี งดา้ น ความพอประมาณเพม่ิ ขึ้น และมคี วามแตกต่างกนั อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิท่ี .01

มาเรียม นิลพันธุ์ และศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย (2558) มีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือวิเคราะห์และ
สงั เคราะห์นวตั กรรมการ เรยี นรูร้ ะดับการศกึ ษาขัน้ พื้นฐานแบบมีส่วนร่วมกบั ชมุ ชนโดยใช้พิพิธภัณฑ์และแหล่ง
เรยี นรู้ในท้องถนิ่ 2) เพอ่ื พัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ 3) เพ่ือศกึ ษาผลการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ และ 4) เพ่ือ
สังเคราะห์และเสนอรูปแบบการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ ผลการวิจัย พบว่า นวัตกรรมการเรียนรู้
ประกอบด้วย หลักสูตรสถานศึกษาที่บูรณาการพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ ท้องถ่ินกิจกรรมบูรณาการ และ
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน รูปแบบการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้มี 10 ข้ันตอน ประกอบด้วย การวิเคราะห์
บรบิ ทชุมชนและ สภาพพิพิธภัณฑ์/แหล่งเรียนรู้การสร้างความเข้าใจร่วมกับทีมวิจัย ร่วมประสานกับทีมวิจัย
และการสรา้ งเครอื ข่าย ร่วมประชมุ วางแผน การออกแบบพัฒนานวัตกรรม รว่ มแลกเปลี่ยนเรยี นรกู้ จิ กรรมและ
วเิ คราะหS์ WOT รว่ มจดั กิจกรรม นาเสนอผลการจดั กิจกรรม รว่ มประเมินผลให้ข้อมูลย้อนกลับ และขยายผล
และสร้างเครอื ข่าย

ศรีน้อย ลาวัง (2552) ได้วิเคราะห์กระบวนการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนของครูโดยใช้
เทคนิคการสืบสอบแบบชน่ื ชม โดยมวี ตั ถุประสงค์ ได้แก่ วิเคราะหก์ ระบวนการเรียนการสอนท่ีดีมีคุณภาพและ
เหมาะสมกับผเู้ รยี น วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทียบกระบวนการเรยี นการสอนของครรู ะหว่างครูต้นแบบท่ีได้รางวัลและ
ครูปกติทั่วไป และเพ่ือวิเคราะห์ เปรียบเทียบการเรียนการสอนของครูท่ีผลิตได้จากกระบวนการพัฒนาการ
เรียนการสอนของครูต้นแบบท่ีได้รับรางวัลกับของครูปกติท่ัวไป ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการพัฒนา
นวัตกรรมการเรียนการสอนมีคุณภาพ เหมาะสมกับผู้เรียน ต้องมีการศึกษาสภาพผู้เรียน เน้ือหา สภาพแวดล้อม
มีการศึกษาเอกสาร อบรม ดงู าน มีการวางแผนการสร้าง เน้นผู้เรียนในการสร้าง มีการขอคาแนะนาจากผู้อื่น
และทดลองใช้ ปรับปรงุ มกี ารวดั ประเมนิ ผลหลังการใช้ และให้มกี ารแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน โดยกรณีศึกษา
จะใหค้ วามสาคญั กบั การทดลองใช้นวตั กรรมและปรับปรุงมากท่ีสุด

3. การจดั การเรยี นรูก้ ลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ (อังกฤษ)
3.1 หลักสูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ
1) สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 1 ภาษาเพอื่ การสือ่ สาร
มาตรฐาน ต 1.1 เขา้ ใจและตีความเร่อื งที่ฟังและอา่ นจากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความ
คดิ เหน็ อย่างมเี หตุผล
มาตรฐาน ต 1.2 มที ักษะการสอ่ื สารทางภาษาในการแลกเปลย่ี นขอ้ มูลข่าวสาร แสดงความร้สู กึ
และความคดิ เหน็ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอขอ้ มลู ขา่ วสาร ความคดิ รวบยอด และความคิดเห็นในเร่ืองตา่ งๆ
โดยการพูดและการเขยี น
สาระท่ี 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธร์ ะหว่างภาษากบั วัฒนธรรมของเจา้ ของภาษา และนาไปใช้
ไดอ้ ย่างเหมาะสมกบั กาลเทศะ
มาตรฐาน ต 2.2 เขา้ ใจความเหมือนและความแตกตา่ งระหว่างภาษาและวฒั นธรรมของเจา้ ของ
ภาษากบั ภาษาและวฒั นธรรมไทย และนามาใช้อยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม

29

สาระท่ี 3 ภาษากับความสัมพนั ธ์กับกลมุ่ สาระการเรยี นร้อู ่นื
มาตรฐาน ต 3.1 ใชภ้ าษาต่างประเทศในการเช่ือมโยงความรูก้ ับกลุ่มสาระการเรียนรอู้ ืน่ และเปน็

พ้ืนฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทศั น์ของตน
สาระท่ี 4 ภาษากบั ความสัมพันธก์ บั ชมุ ชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ตา่ งๆ ท้ังในสถานศกึ ษา ชุมชน และสงั คม
มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาตา่ งประเทศเป็นเครอ่ื งมอื พืน้ ฐานในการศกึ ษาตอ่ การประกอบอาชีพ

และการแลกเปลี่ยนเรยี นรกู้ บั สงั คมโลก

2) ตวั ชีว้ ัดช้ันปี ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้
สาระท่ี 1 ภาษาเพ่ือการสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เขา้ ใจและตีความเรอื่ งท่ีฟังและอ่านจากสอ่ื ประเภทต่างๆ และแสดงความ

คดิ เหน็ อย่างมเี หตุผล

ตวั ชีว้ ัดชนั้ ปี

ม.1 ม.2 ม.3

1. ปฏบิ ัติตามคาสัง่ คาขอร้อง 1. ปฏิบัตติ าม คาขอรอ้ ง 1. ปฏบิ ตั ิตามคาขอรอ้ ง คาแนะนา

คาแนะนา และคาช้แี จงง่ายๆ ทฟ่ี งั คาแนะนาคาชี้แจง และ คาชี้แจง และคาอธิบายทฟ่ี งั และ

และอ่าน คาอธิบายงา่ ยๆ ท่ีฟงั และอา่ น อ่าน

2. อ่านออกเสียงขอ้ ความ นทิ าน 2. อา่ นออกเสยี งข้อความ ข่าว 2. อ่านออกเสยี ง ข้อความ ข่าว

และบทร้อยกรอง (poem) สนั้ ๆ ประกาศ และบทร้อย-กรองสัน้ ๆ โฆษณา และบทร้อย-กรองส้นั ๆ

ถูกต้องตาม หลกั การอ่าน ถกู ต้องตาม หลกั การอ่าน ถูกตอ้ งตาม หลักการอ่าน

3. เลือก/ระบุ ประโยคและ 3. ระบ/ุ เขียนประโยค และ 3. ระบุและเขยี นสื่อทไ่ี ม่ใช่ความ

ขอ้ ความ ใหส้ มั พันธก์ ับสื่อท่ีไมใ่ ช่ ขอ้ ความ ใหส้ ัมพนั ธก์ บั สือ่ ท่ีไมใ่ ช่ เรียง รูปแบบตา่ งๆ ให้สัมพนั ธ์กบั

ความเรียง (non-text ความเรียง รปู แบบต่างๆ ทีอ่ า่ น ประโยค และขอ้ ความทีฟ่ ังหรอื

information) ที่อ่าน 4. เลอื กหวั ขอ้ เรอื่ ง ใจความสาคัญ อา่ น

4. ระบุหวั ข้อเร่อื ง (topic) ใจความ บอกรายละเอยี ดสนับสนุน 4. เลือก/ระบุหวั ขอ้ เรอ่ื ง ใจความ

สาคญั (main idea) และตอบ (supporting detail) และแสดง สาคญั รายละเอียดสนับสนุน และ

คาถามจากการฟงั และอ่านบท ความคดิ เหน็ เก่ียวกับเร่ืองท่ีฟังและ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั เร่อื งท่ี

สนทนา นทิ าน และเร่ืองสนั้ อา่ น พร้อมทัง้ ให้เหตผุ ลและ ฟังและอา่ นจากสอ่ื ประเภทต่างๆ

ยกตัวอยา่ งง่ายๆ ประกอบ พร้อมทง้ั ให้เหตุผลและยกตัวอยา่ ง

ประกอบ

30

สาระที่ 1 ภาษาเพ่อื การส่อื สาร

มาตรฐาน ต 1.2 มีทกั ษะการส่ือสารทางภาษาในการแลกเปลีย่ นข้อมลู ขา่ วสาร แสดงความรู้สึก
และความคิดเหน็ อย่างมีประสิทธิภาพ

ตวั ชี้วัดช้นั ปี

ม.1 ม.2 ม.3

1. สนทนา แลกเปล่ยี นข้อมูล 1. สนทนา แลกเปล่ยี น ข้อมลู 1. สนทนาและเขียนโตต้ อบขอ้ มลู
เกย่ี วกบั ตนเอง เรอ่ื งต่างๆ ใกล้ตวั
เกี่ยวกับตนเอง กจิ กรรม และ เก่ยี วกับตนเอง เรอ่ื งตา่ งๆ ใกล้ตัว สถานการณ์ ข่าว เรือ่ งทีอ่ ย่ใู น
ความสนใจของสังคม และสื่อสาร
สถานการณต์ ่างๆในชวี ติ ประจาวัน และสถานการณต์ ่างๆ ใน อยา่ งตอ่ เนอ่ื งและเหมาะสม
2. ใชค้ าขอรอ้ ง ให้คาแนะนา
2. ใช้คาขอร้อง ให้คาแนะนา และ ชีวติ ประจาวันอย่างเหมาะสม คาชแี้ จง และคาอธบิ าย
อยา่ งเหมาะสม
คาชีแ้ จง ตามสถานการณ์ 2. ใช้คาขอร้อง ให้คาแนะนา 3. พูดและเขยี นแสดงความ
ต้องการ เสนอและให้ความ
3. พดู และเขียนแสดงความตอ้ งการ คาชี้แจงและ คาอธบิ าย ช่วยเหลือตอบรับและปฏเิ สธการให้
ความชว่ ยเหลือในสถานการณ์ต่างๆ
ขอความชว่ ยเหลือ ตอบรับและ ตามสถานการณ์ อยา่ งเหมาะสม
4. พดู และเขียนเพ่ือขอและให้
ปฏิเสธการให้ความช่วยเหลอื ใน 3. พูดและเขียนแสดงความต้องการ ขอ้ มูล อธบิ าย เปรียบเทยี บ และ
แสดงความคิดเหน็ เก่ียวกบั เรอื่ งท่ี
สถานการณต์ ่างๆ อยา่ งเหมาะสม เสนอและให้ความ ช่วยเหลือ ฟงั หรืออา่ น อยา่ งเหมาะสม
5. พดู และเขยี นบรรยายความร้สู ึก
4. พดู และเขียนเพอื่ ขอและให้ ตอบรบั และปฏิเสธการให้ ความ และความคดิ เห็นของตนเอง
เก่ียวกบั เร่อื งต่างๆ กิจกรรม
ขอ้ มูล และแสดงความคดิ เหน็ ชว่ ยเหลือในสถานการณ์ต่างๆ ประสบการณ์ และขา่ ว/เหตกุ ารณ์

เกี่ยวกับเรอื่ งทีฟ่ ังหรืออ่าน อย่างเหมาะสม พร้อมทง้ั ให้เหตผุ ลประกอบ
อย่างเหมาะสม
อย่างเหมาะสม 4. พูดและเขียนเพอ่ื ขอและให้

5. พดู และเขยี นแสดงความรู้สึก ข้อมลู บรรยาย และแสดงความ

และความคดิ เห็น ของตนเอง คิดเหน็ เกีย่ วกับ เรอ่ื งท่ีฟังหรืออา่ น

เกย่ี วกบั เรอื่ งตา่ งๆ ใกล้ตวั อยา่ งเหมาะสม

กิจกรรมต่างๆพร้อมท้ังให้เหตผุ ล 5. พดู และเขียนแสดงความรู้สกึ

สั้นๆประกอบอย่างเหมาะสม และความคดิ เหน็ ของตนเอง

เกีย่ วกับเร่ืองตา่ งๆกิจกรรม และ

ประสบการณ์พร้อมทั้ง ให้เหตุผล

ประกอบอย่างเหมาะสม

31

สาระที่ 1 ภาษาเพอ่ื การสือ่ สาร

มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเร่ืองต่างๆ
โดยการพูดและการเขียน

ตัวช้ีวัดชน้ั ปี

ม.1 ม.2 ม.3

1. พูดและเขียนบรรยายเกยี่ วกับ 1. พูดและเขยี นบรรยายเก่ียวกบั 1. พดู และเขียนบรรยายเกีย่ วกับ
ตนเอง กิจวตั รประจาวัน
ประสบการณ์ และส่ิงแวดลอ้ ม ตนเอง กิจวัตรประจาวนั ตนเองประสบการณ์ ขา่ ว/
ใกลต้ วั
2. พดู /เขยี น สรปุ ใจความสาคัญ/ ประสบการณ์ และขา่ ว/เหตกุ ารณ์ เหตุการณ์/เรอื่ ง/ประเดน็ ต่างๆ
แกน่ สาระ (theme) ทไี่ ด้จากการ
วิเคราะห์เร่ือง/เหตกุ ารณ์ท่ีอยู่ใน ท่อี ยใู่ นความสนใจของสงั คม ที่อยู่ในความสนใจ ของสงั คม
ความสนใจของสงั คม
3. พดู /เขยี นแสดงความคิดเห็น 2. พูดและเขียนสรปุ ใจความสาคญั / 2. พดู และเขียนสรปุ ใจความ
เกยี่ วกบั กจิ กรรมหรือเรอ่ื งต่างๆ
ใกลต้ วั พรอ้ มท้ังใหเ้ หตุผลสน้ั ๆ แกน่ สาระ หวั ข้อเรือ่ ง (topic) ท่ีได้ สาคญั /แก่นสาระ หวั ขอ้ เร่ือง
ประกอบ
จากการวิเคราะห์เรอ่ื ง/ข่าว/ ท่ีได้จากการวเิ คราะหเ์ รอื่ ง/ข่าว/

เหตุการณ์ท่อี ยู่ในความสนใจของ เหตกุ ารณ์/สถานการณท์ ี่อยใู่ น

สงั คม ความสนใจของสงั คม

3. พูดและเขียนแสดงความคิดเห็น 3. พดู และเขียนแสดงความคิดเหน็

เกยี่ วกับกิจกรรมเรอื่ งต่างๆ ใกลต้ ัว เกยี่ วกบั กจิ กรรมประสบการณ์

และประสบการณ์ พร้อมทงั้ และเหตกุ ารณ์พร้อมทั้งใหเ้ หตุผล

ใหเ้ หตุผลส้ันๆประกอบ ประกอบ

สาระท่ี 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพนั ธ์ระหวา่ งภาษากบั วัฒนธรรมของเจา้ ของภาษา และนาไปใช้

ไดอ้ ย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ

ตวั ช้วี ัดชนั้ ปี

ม.1 ม.2 ม.3

1. ใช้ภาษา นา้ เสียง และกิริยา 1. ใชภ้ าษา น้าเสยี ง และกริ ิยา 1. เลือกใชภ้ าษา นา้ เสียง และ
กริ ิยาทา่ ทาง เหมาะกับบคุ คลและ
ท่าทาง สุภาพ เหมาะสม ตาม ท่าทาง เหมาะกับบุคคลและโอกาส โอกาส ตามมารยาทสังคม และ
วัฒนธรรม ของเจา้ ของภาษา
มารยาทสังคม และวฒั นธรรมของ ตามมารยาทสังคม และวฒั นธรรม 2. อธบิ าย เกี่ยวกับชวี ติ ความ
เปน็ อยู่ขนบธรรมเนยี ม และ
เจา้ ของภาษา ของเจา้ ของภาษา ประเพณี ของเจา้ ของภาษา
3. เขา้ ร่วม/จดั กจิ กรรมทางภาษา
2. บรรยาย เกย่ี วกับเทศกาล 2. อธบิ ายเกีย่ วกับเทศกาล และวฒั นธรรมตามความสนใจ

วนั สาคัญ ชีวิตความเปน็ อยู่ และ วันสาคญั ชีวิต ความเปน็ อยู่

ประเพณี ของเจา้ ของภาษา และประเพณี ของเจา้ ของภาษา

3. เข้าร่วม/จัดกจิ กรรมทางภาษา 3. เขา้ ร่วม/จดั กิจกรรมทางภาษา

และวัฒนธรรมตามความสนใจ และวฒั นธรรมตามความสนใจ

32

สาระท่ี 2 ภาษาและวฒั นธรรม

มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจา้ ของ

ภาษากบั ภาษาและวฒั นธรรมไทย และนามาใช้อยา่ งถูกต้องและเหมาะสม

ตัวช้วี ัดชนั้ ปี

ม.1 ม.2 ม.3

1. บอกความเหมือนและความ 1. เปรียบเทียบและอธบิ ายความ 1. เปรยี บเทียบและอธบิ ายความ

แตกตา่ งระหว่างการออกเสยี ง เหมือนและความแตกต่างระหวา่ ง เหมือนและความแตกต่างระหวา่ ง

ประโยคชนิดต่างๆ การใช้ การออกเสียงประโยคชนิดต่างๆ การออกเสยี งประโยคชนิดตา่ งๆ

เคร่อื งหมายวรรคตอน และ และการลาดับคา ตามโครงสรา้ ง และการลาดบั คา ตามโครงสรา้ ง

การลาดบั คา ตามโครงสร้าง ประโยค ของ ภาษาต่างประเทศและ ประโยค ของภาษาต่างประเทศ

ประโยค ของ ภาษาตา่ งประเทศ ภาษาไทย และภาษาไทย

และภาษาไทย 2 เปรยี บเทียบและอธิบายความ 2. เปรียบเทยี บและอธิบายความ

2. เปรยี บเทยี บความเหมอื นและ เหมือนและความแตกต่างระหว่าง เหมือนและความแตกต่างระหว่าง

ความแตกต่างระหว่างเทศกาลงาน ชีวิตความเป็นอยูแ่ ละวฒั นธรรม ชวี ิตความเปน็ อยแู่ ละวัฒนธรรม

ฉลอง วันสาคญั และชวี ติ ความ ของเจ้าของภาษา กบั ของไทย ของเจ้าของภาษา กับของไทย และ

เปน็ อยขู่ องเจ้าของภาษา กบั ของ นาไปใช้อยา่ งเหมาะสม

ไทย

สาระท่ี 3 ภาษากบั ความสมั พนั ธ์กับกลมุ่ สาระการเรียนรอู้ นื่
มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชือ่ มโยงความร้กู บั กลมุ่ สาระการเรียนรอู้ ื่น และเป็น

พ้ืนฐานในการพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศนข์ องตน

ตวั ช้ีวัดช้นั ปี

ม.1 ม.2 ม.3

1. ค้นคว้า รวบรวม และสรปุ ข้อมูล/ 1. ค้นคว้า รวบรวม และสรุปขอ้ มลู / 1. คน้ คว้า รวบรวม และสรปุ
ข้อเท็จจรงิ ที่เก่ียวข้องกับกลุ่มสาระ ข้อเทจ็ จรงิ ท่ีเกีย่ วข้องกบั กล่มุ สาระ ข้อมลู / ขอ้ เท็จจรงิ ที่เก่ยี วข้องกบั
การเรยี นรูอ้ นื่ จากแหล่งเรยี นรูแ้ ละ การเรียนรู้อนื่ จากแหลง่ เรยี นร้แู ละ กลมุ่ สาระการเรียนรอู้ ่ืน จากแหลง่
นาเสนอด้วยการพูด/การเขยี น นาเสนอดว้ ยการพดู /การเขียน เรียนรู้และนาเสนอดว้ ยการพดู

และการเขยี น

33

สาระท่ี 4 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กับชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาตา่ งประเทศในสถานการณต์ า่ งๆ ทง้ั ในสถานศึกษา ชมุ ชน และสังคม

ตวั ชีว้ ัดชน้ั ปี

ม.1 ม.2 ม.3

1. ใช้ภาษาสื่อสาร ในสถานการณ์ 1. ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์ 1. ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์

จรงิ /สถานการณจ์ าลองทเี่ กิดขึ้นใน จรงิ /สถานการณ์จาลองท่ีเกิดข้ึนใน จริง/สถานการณ์จาลองที่เกิดข้ึน

หอ้ งเรยี นและสถานศกึ ษา หอ้ งเรยี นสถานศึกษา และชุมชน ในห้องเรียนสถานศึกษาชุมชน

และสังคม

สาระท่ี 4 ภาษากับความสมั พนั ธก์ ับชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาตา่ งประเทศเป็นเคร่ืองมอื พนื้ ฐานในการศึกษาตอ่ การประกอบอาชพี

และการแลกเปล่ียนเรียนรูก้ บั สังคมโลก

ตวั ชีว้ ัดชัน้ ปี ม.3

ม.1 ม.2 1. ใช้ภาษาตา่ งประเทศ
ในการสืบคน้ /คน้ ควา้ รวบรวม
1. ใช้ภาษาต่างประเทศในการ 1. ใช้ภาษาต่างประเทศในการ และสรุปความร/ู้ ขอ้ มูลต่างๆ จาก
สบื ค้น/คน้ ควา้ ความร้/ู ข้อมูลตา่ งๆ สบื คน้ /คน้ คว้า รวบรวมและสรุป ส่อื และแหลง่ การเรียนรู้ต่างๆใน
จากสอ่ื และแหล่งการเรียนรตู้ า่ งๆ ความรู้/ขอ้ มูลต่างๆ จากส่อื และ การศึกษาตอ่ และประกอบอาชพี
ในการศึกษาต่อ และ ประกอบ แหล่งการเรยี นรูต้ า่ งๆในการศกึ ษา 2. เผยแพร/่ ประชาสมั พันธ์ข้อมูล
อาชีพ ตอ่ และประกอบอาชพี ขา่ วสารของโรงเรยี นชุมชน และ
ท้องถ่นิ เป็นภาษาต่างประเทศ
2. เผยแพร่/ ประชาสัมพนั ธข์ อ้ มูล
ข่าวสารของโรงเรยี นเป็น
ภาษาตา่ งประเทศ

3.2 แนวคดิ การจดั การเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ
การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สานักงานคณะกรรมการ

การศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน,
1) การจัดการเรยี นรู้ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน

1.1) หลักการจัดการเรยี นรู้
การจัดการเรยี นรูเ้ พ่อื ใหผ้ ้เู รียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะ
สาคัญ และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคต์ ามท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน โดยยึดหลัก

วา่ ผู้เรียนมีความสาคัญท่ีสุด เช่ือว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ท่ีเกิดกับ
ผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ

คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมอง เนน้ ให้ความสาคัญทัง้ ความรู้ และคณุ ธรรม

34

1.2) กระบวนการเรยี นรู้
การจดั การเรยี นรู้ที่เน้นผู้เรียนเปน็ สาคัญ ผู้เรยี นจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย
เป็นเคร่ืองมือท่ีจะนาพาตนเองไปสู่เปูาหมายของหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ท่ีจาเป็นสาหรับผู้เรียน อาทิ
กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม
กระบวนการ เผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ
ลงมือทาจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการ
พัฒนาลักษณะนิสยั
กระบวนการเหล่านี้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝน พัฒนา
เพราะจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี บรรลุเปูาหมายของหลักสูตร ดังน้ัน ผู้สอนจึงจาเป็นต้อง
ศึกษาทาความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหส้ ามารถเลือกใชใ้ นการจดั กระบวนการเรยี นรู้ไดอ้ ย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
1.3) การออกแบบการจัดการเรยี นรู้
ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะ
สาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน แล้วจึงพิจารณา
ออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล
เพอื่ ให้ผูเ้ รยี นไดพ้ ฒั นาเต็มตามศักยภาพและบรรลตุ ามเปาู หมายท่ีกาหนด

1.4) ส่อื การเรยี นรู้
ส่อื การเรียนร้เู ป็นเครือ่ งมอื ส่งเสรมิ สนบั สนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเข้าถึง
ความรู้ ทักษะกระบวนการ และคณุ ลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่ือการเรียนรู้
มีหลากหลายประเภท ทั้งส่ือธรรมชาติ สอ่ื สิ่งพมิ พ์ สื่อเทคโนโลยี และเครือข่าย การเรียนรู้ต่างๆ ที่มีในท้องถ่ิน
การเลือกใช้สือ่ ควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการ และลีลาการเรียนรู้ท่ีหลากหลายของผู้เรียน
การจัดหาสอื่ การเรยี นรู้ ผเู้ รยี นและผ้สู อนสามารถจัดทาและพัฒนาขน้ึ เอง หรือปรับปรุงเลอื กใช้อย่างมีคุณภาพ
จากสื่อต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัวเพื่อนามาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมและส่ือสารให้ผู้เรียน
เกิดการเรียนรู้ โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่างพอเพียง เพ่ือพัฒนาให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง
สถานศึกษา เขตพ้ืนท่ีการศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีหน้าที่จัดการศึกษาข้ันพื้นฐาน ควรดาเนินการ
ดังนี้
(1) จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์ส่ือการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่าย
การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพท้ังในสถานศึกษาและในชุมชน เพื่อการศึกษาค้นคว้าและการแลกเปล่ียน
ประสบการณ์การเรียนรู้ ระหวา่ งสถานศกึ ษา ทอ้ งถิ่น ชมุ ชน สงั คมโลก
(2) จัดทาและจัดหาส่ือการเรียนรู้สาหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน เสริมความรู้ให้ผู้สอน
รวมท้งั จดั หาสงิ่ ท่ีมีอยู่ในท้องถิ่นมาประยกุ ตใ์ ช้เปน็ สื่อการเรยี นรู้
(3) เลอื กและใชส้ อ่ื การเรียนรู้ทีม่ ีคุณภาพ มคี วามเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้องกับ
วิธีการเรียนรู้ ธรรมชาตขิ องสาระการเรยี นรู้ และความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของผเู้ รยี น
(4) ประเมินคุณภาพของสือ่ การเรยี นรู้ท่ีเลือกใช้อย่างเปน็ ระบบ
(5) ศกึ ษาคน้ คว้า วจิ ยั เพ่อื พัฒนาสอื่ การเรียนรใู้ หส้ อดคลอ้ งกบั กระบวนการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี น
(6) จัดให้มีการกากับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเก่ียวกับสื่อและการใช้ส่ือ
การเรียนรูเ้ ปน็ ระยะๆ และสม่าเสมอในการจัดทา การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ท่ีใช้ใน
สถานศึกษา ควรคานึงถึงหลักการสาคัญของส่ือการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตร วัตถุประสงค์

35

การเรยี นรู้ การออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ การจดั ประสบการณ์ให้ผู้เรียน เน้ือหามีความถูกต้องและทันสมัย
ไมก่ ระทบความมัน่ คงของชาติ ไมข่ ัดตอ่ ศีลธรรม มีการใชภ้ าษาที่ถูกต้อง รูปแบบการนาเสนอที่เข้าใจง่าย และ
นา่ สนใจ

1.5) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการ คือ
การประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนและเพ่ือตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
ให้ประสบผลสาเร็จน้ัน ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวช้ีวัดเพ่ือให้บรรลุตามมาตรฐาน
การเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะสาคัญ และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนซ่ึงเป็นเปูาหมายหลักในการวัด
และประเมนิ ผลการเรยี นรใู้ นทกุ ระดบั ไม่ว่าจะเป็นระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพื้นท่ีการศึกษา
และระดบั ชาติ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เปน็ กระบวนการพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียนโดยใช้ผลการประเมิน
เปน็ ขอ้ มลู และสารสนเทศทีแ่ สดงพฒั นาการ ความกา้ วหนา้ และความสาเรจ็ ทางการเรยี นของผู้เรียน ตลอดจน
ข้อมลู ทีเ่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ การส่งเสริมให้ผเู้ รยี นเกดิ การพัฒนาและเรยี นรู้อย่างเตม็ ตามศกั ยภาพ

2) แนวคิดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ
2.1) แนวคดิ การเรียนการสอนภาษาตา่ งประเทศ
โดยท่ัวไปแล้วการเรียนภาษาต่างประเทศในประเทศไทย ภาษาอังกฤษนับว่าเป็นภาษา

ที่ได้รับความนิยมและเป็นภาษาท่ีมีความจาเป็นมากที่สุดเช่นเดียวกับในประเทศต่างๆ เหตุผล ในการเรียน
ภาษาอังกฤษของผู้เรียนย่อมมีความแตกต่างกนั ซึ่งอาจจาแนกดว้ ยเหตุผลดังนี้

(1) ต้องใชช้ ีวติ อยู่ในสงั คมหรือประเทศท่ีประชากรพูดภาษาอังกฤษ เช่น คนต่างชาตทิ ีย่ า้ ย
ถิ่นฐานเขา้ ไปอยูต่ ่างแดน หรือต่างประเทศที่ประชากรพูดภาษาอังกฤษ การศึกษาต่อในต่างประเทศ เป็นต้น
ซง่ึ ผเู้ รยี นท่มี จี ดุ มุง่ หมายดังกล่าวจาเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือใหส้ ามารถดารงชวี ิตอยู่ในประเทศนั้น ๆ ได้

(2) เพอื่ ใชป้ ระกอบอาชพี เฉพาะดา้ น เช่น พนักงานในร้านอาหาร พนักงานขายสินค้า ของที่
ระลกึ ให้ชาวตา่ งชาติ การทาธุรกจิ ที่ตดิ ต่อกับชาวต่างชาติ แพทย์ พยาบาล เป็นต้น ความต้องการในการเรียน
ภาษาอังกฤษเพ่ือจุดประสงค์เฉพาะของแต่ละสาขาอาชีพจึงย่อมมีความแตกต่างกันพนักงานในร้านอาหาร
อาจมคี วามที่จะพดู โตตอบได้ แพทย์อาจต้องการมีความสามารถศึกษาคน้ ควา้ หรอื อา่ นตาราได้

(3) เพื่อต้องการให้เรียนครบตามหลักสูตรของการศึกษา เป็นการเรียนท่ีผู้เรียนไม่สามารถ
หลีกเล่ยี งไดเ้ พราะหลกั สตู รบังคบั

(4) เพ่ือศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ ต้องทาความรู้จักหรือคุ้นเคย
กบั บคุ คลและสถานทน่ี น้ั ๆ ไดแ้ ก่ มิตรตา่ งแดน นกั แสดง บุคคลท่มี ชี ่อื เสยี ง เป็นต้น

(5) เพอื่ ความก้าวหนา้ ในวชิ าชพี ได้แก่กลมุ่ บุคคลต่าง ๆ ท่ีคิดว่าการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
จะทาให้ตนมีโอกาสที่จะได้ทางานที่ก้าวหน้ามากว่าบุคคลที่เรียนรู้ภาษาเดียว เช่น ผู้ประกอบการธุรกิจงาน
บรกิ ารตา่ ง ๆ

ดงั นน้ั จงึ เห็นได้วา่ ในการเรยี นภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ผู้เรียนย่อมมีเหตุผลหรือ
จุดม่งุ หมายในการเรียนท่แี ตกตา่ งกนั ไปและเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรยี นแตล่ ะกลุ่มจึงจาเป็นต้องทา
ให้เนอ้ื หาและหลักสตู รในการฝกึ ทกั ษะทางภาษาที่แตกตา่ ง

36

2.2) หลักสูตรการเรยี นรู้ดา้ นภาษา
การจัดเน้ือหาทางภาษาที่ผู้เรียนจะต้องเรียนเรียกว่าหลักสูตร (Syllabus) องค์ประกอบ
ในการพิจารณาจัดหลักสูตรหรือเนื้อหาทางภาษาย่อมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยซึ้งได้แก่ วัยและความสนใจ
ของผ้เู รียน สถานการณ์ สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ แตส่ ง่ิ ที่สาคญั ของเน้อื หาหลักสูตรจะต้องมุ่งเน้น
ใหผ้ ู้เรียนสามารถนาไปใช้เพอื่ การสอ่ื สารหรือใชไ้ ด้จรงิ ในชวี ิตประจาวนั
นอกจากหลักสูตรต้องคานึงถึงวัยและความสนใจของผู้เรียน แล้วยังต้องคานึงถึงสภาพ
สถานการณ์ต่างๆ ประกอบด้วยเช่นกัน จานวนนักเรียน ความพร้อมของส่ือและอุปกรณ์การเรียนการสอน
แหลง่ เรียนรู้ ระยะเวลาในการเรียน และอน่ื ๆ ดว้ ย
ส่ิงสาคัญอีกประการหน่ึงในการจัดเน้ือหาหลักสูตรคือ ธรรมชาติของผู้เรียน ประสบการณ์
ระดับชั้น เป็นต้น ผู้เรยี นในระดับเรม่ิ ตน้ จะมุ่งเน้นทักษะหน่ึง ผู้เรียนที่มีประสบการณ์ในการเรียนภาษาระดับ
หน่ึงแล้วจะมุ่งเน้นไปอีกทักษะหน่ึง ดังน้ันจะเห็นได้ว่าการจัดเน้ือหาทางภาษาให้ผู้เรียนนั้นย่อมขึ้นอยู่กับ
วตั ถปุ ระสงค์ หรือจุดมุ่งหมายของผ้เู รียนวา่ จะใช้ทาอะไร ผู้ทจ่ี ะไปศกึ ษาตอ่ ต้องการลกั ษณะเนื้อหาทางภาษา
แบบหน่งึ สาหรบั ผู้ท่เี รยี นเป็นพนกั งานร้านอาหาร ขายสนิ ค้าใหบ้ ริการแก่ชาวตา่ งชาติย่อมต้องการใช้ภาษาอีก
แบบหนึง่ เน้ือหาของภาษาทจี่ าแนกตมวตั ถปุ ระสงค์หรือตามหน้าที่ของภาษาเรียกว่า Function เพราะภาษา
เปรยี บเสมอื นเคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการสอื่ สารภาษามีหน้าที่ในลกั ษณะท่ีแตกต่างกันออกไป เช่น ภาษาทาหน้าที่ใน
การถาม-ให้ข้อมูล ภาษาใช้ในการขอร้อง ขออนุญาต ขอโทษ แสดงความเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เป็นต้น
ดังนั้น การสอนเน้ือหาทางภาษา ผู้สอนนอกจากจะต้องคานึงถึงความถูกต้องทางไวยากรณ์(grammar)
แล้วควรจะสอนใหผ้ เู้ รยี นไดท้ ราบถึงการใช้ภาษาให้ถกู ตอ้ งเหมาะสมตามหน้าทห่ี รือ (function) ของภาษาด้วย
หากพจิ ารณาการจัดเนอื้ หาบทเรียนในหลกั สตู รการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เทา่ ทผ่ี า่ นมาจะเหน็ ได้ว่ามีการ
จัดลาดับเนื้อหาโดยคานึงถึงความยากง่ายของไวยากรณ์ ซ่งึ ทาให้ผู้เรียนขาดประสบการณ์ในการใช้ภาษาเพ่ือ
การสอื่ สารทาใหข้ าดความคล่องแคล่วในการใชภ้ าษา การจัดเนื้อหาในลักษณะเช่นน้ีเป็นการจัดเนื้อหาโดยยึด
หลกั แนวความคิดเดิม ๆ ท่ีนักวิชาการคิดว่าการรู้เรื่องราวของไวยากรณ์ทาให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษ
เพ่อื การตดิ ต่อสื่อสารได้ ซ่ึงแนวความคิดน้ันเม่ือนามาใช้จัดลาดับเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว
ปรากฏว่าไม่ประสบความสาเร็จ กล่าวคือผู้เรียนยังไม่สามารถใช้ภาษาเพื่อการส่ือสารในระดับท่ีน่าพอใจ
แนวความคดิ น้จี ึงเรยี กได้ว่าเปน็ แนวความคิดในการจัดเนือ้ หาหลักสูตรแบบด้ังเดิมหรือTraditional syllabus
ซ่ึงในท่ัวไปเนื้อหาในบทเรียนก็มักจะประกอบด้วยเรื่อง tense, parts of speech, articles เป็นต้น
แต่เนื้อหาในปัจจุบันที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถนาไปใช้เพ่ือการสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง
จะประกอบด้วยเนื้อหาเก่ียวกับ function ต่าง ๆ เช่น Greeting, Introducing, Requesting, Inviting,
Prohibiting, Asking-giving directions เป็นต้น ลักษณะการจัดเนอื้ หาในบทเรียนแบบนี้เรียกว่า Functional
syllabus

2.3) การสอนภาษาองั กฤษเพ่อื การสอื่ สาร
การสอนภาษาเพื่อการส่ือสาร (Communicative Language Teaching : CLT) เป็นแนวคิด
ในการสอนภาษาท่ีมุ่งเน้นความสาคัญของตัวผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการสื่อสาร
ในชวี ติ ประจาวนั ไดจรงิ มกี ารจดั ลาดบั การเรียนรูเปน็ ข้ันตอนตามกระบวนการใช้ความคิดของผู้เรียน ซ่ึงเช่ือม
ระหวา่ งความรู ทางภาษา ทักษะทางภาษา และความสามารถในการสื่อสาร เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนาความรู
ดา้ นภาษาไปใช้ในการสื่อสาร ดงั นนั้ ในการจดั การเรยี นการสอน ครูผู้สอนตองคานึงถึงการให้ผู้เรียนไดสื่อสาร
ในชีวิตจริง กิจกรรมและภาระงานตา่ งๆ ท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั การสอื่ สารจรงิ ส่ือที่ใช้กเ็ ป็นสอื่ แต่กไ็ มไดละเลยความรู

37

ด้านไวยากรณ เมือ่ เกดิ ความผดิ พลาดทางด้านไวยากรณเพียงเลก็ นอ้ ยแต่ยังสามารถสื่อสารได ครูผู้สอนไมควร
ขัดจังหวะโดยการแก้ไขให้ถูกต้องทันที ควรแกไขเม่ือความผิดพลาดนั้นทาให้เกิดความไม่เข้าใจหรือส่ือสาร
ไมประสบความสาเร็จเทา่ นัน้ ทง้ั น้เี พื่อทาใหผ้ เู้ รยี นมีเจตคติท่ีดีต่อการใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสาร (Davies
& Pearse, 2000 ; Brown, 2001 ; Richard, 2006 อ้างถงึ ใน สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน,
ม.ป.ป.)

3) การสอนทกั ษะการอ่าน
การสอนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ (Reading Skill) การอ่านภาษาอังกฤษ มี 2 ลักษณะ คือ
1) การอ่านออกเสียง (Reading aloud) 2) การอ่านในใจ (Silent Reading ) การอ่านออกเสียงเป็นการอ่าน
เพ่อื ฝกึ ความถูกต้อง (Accuracy) และความคลอ่ งแคล่ว (Fluency) ในการออกเสียง สว่ นการอา่ นในใจเป็นการ
อ่าน เพื่อรับรู้และทาความเข้าใจในสิ่งท่ีอ่านซึ่งเป็นการอ่านอยางมีจุดมุ่งหมาย เช่นเดียวกบการฟังต่างกัน
ท่กี ารฟงั ใชก้ ารรบั รู้จากเสยี งที่ได้ยนิ ในขณะทก่ี ารอ่านจะใช้การรบั รู้จากตัวอักษรที่ผ่านสายตา ทักษะการอ่าน
ภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความชานาญและมี ความสามารถเพ่ิมพูนขึ้นได้ ด้วย
เทคนคิ วิธีการโดยเฉพาะครผู ู้สอนจึงควรมีความรแู้ ละเทคนิควิธกี ารสอนทักษะการอา่ น
1) เทคนิควธิ ปี ฏิบัติ

1.1) การอ่านออกเสียง การฝกึ ให้ผู้เรียนอา่ นออกเสียงได้อย่าง ถูกต้อง และคล่องแคล่ว ควรฝึกฝน
ไปตามลาดบั โดยใช้เทคนคิ วิธีการ ดงั นี้

1.1.1) Basic Steps of Teaching ( BST) มเี ทคนิคขัน้ ตอนการฝึกต่อเน่ืองกันไป ดังนี้ ครูอ่าน
ขอ้ ความทัง้ หมด 1 คร้งั / นักเรียนฟัง ครอู า่ นทลี ะประโยค / นักเรียนทั้งหมดอ่านตาม ครูอ่านทีละประโยค /
นักเรียนอา่ นตามทลี ะคน (อาจขา้ มขน้ั ตอนนไี้ ด้ ถ้านักเรยี นส่วนใหญอ่ ่านได้ดีแล้ว) นักเรียนอ่านคนละประโยค
ใหต้ อ่ เน่อื งกันไปจนจบข้อความทั้งหมด นักรเยนฝึกอา่ นเอง ส่มุ นักเรียนอ่าน

1.1.2) Reading for Fluency (Chain Reading) คือ เทคนิคการฝึกให้นักเรียน อ่าน
ประโยคคนละประโยคอย่างต่อเนื่องกันไป เสมือนคนอ่านคนเดียวกัน โดยครูสุ่มเรียก ผู้เรียนจากหมายเลข
ลูกโซ่ เช่น ครูเรียก Chain-number One นักเรียนท่ีมีหมายเลขลงท้ายด้วย 1, 11, 21, 31, 41, 51 จะเป็น
ผู้อ่านข้อความคนละประโยคต่อเน่ืองกนไป หากสะดุดหรือติดขัดทีผู้เรียนคนใด ถือว่าโซ่ขาด ต้องเร่ิมต้นที่
คนแรกใหม่ หรือ เปลย่ี น Chain-number ใหม่

1.1.3) Reading and Look up คือ เทคนิคการฝกึ ให้นักเรียนแต่ละคน อ่าน ข้อความโดยใช้
วธิ ี อ่านแลว้ จาประโยคแลว้ เงยหนา้ ขน้ึ พดู ประโยคนั้น ๆ อย่างรวดเร็ว คล้ายวธิ ี ่ อ่านแบบนักขา่ ว

1.1.4) Speed Reading คือ เทคนิคการฝกึ ให้นกั เรยี นแตล่ ะคน อ่านข้อความ โดยเร็วท่ีสุด
เท่าท่ีจะเรว็ ได้ การอ่านแบบนี้ อาจไมค่ านึงถึงความถูกตอ้ งทุกตวั อกั ษร แต่ต้องอ่าน โดยไม่ข้ามคา เป็นการฝึก
ธรรมชาตใิ นการอา่ นเพ่ือความคล่องแคลว่ ( Fluency) และเปน็ การ หลีกเลี่ยงการอา่ นแบบสะกดทีละคา

1.1.5) Reading for Accuracy คือ การฝกึ อา่ นทมี่ งุ่ เนน้ ความถกู ตอ้ งชัดเจนใน การออกเสียง
ท้ัง stress / intonation / cluster / final sounds ให้ตรงตามหลักเกณฑ์ของการออกเสียง(Pronunciation)
โดยอาจนาเทคนิค Speed Reading มาใช้ในการฝกึ และเพ่มิ ความถูกต้องชดั เจนในการออกเสียงส่ิงที่ต้องการ
จะเป็นผลให้ผเู้ รยี นมีความสามารถในการอ่านไดอ้ ย่างถูกต้อง (Accuracy) และ คล่องแคล่ว (Fluency) ควบคู่
กนั ไป

1.2) การอา่ นในใจ ข้ันตอนการสอนทักษะการอา่ น มลี ักษณะเช่นเดียวกับข้ันตอนการสอนทักษะการ
ฟัง โดยแบ่งเป็น 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมนาเข้าสู่การอ่าน (Pre Reading) กิจกรรมระหว่างการอ่าน หรือ
ขณะทส่ี อนอา่ น (While-Reading) กจิ กรรมหลังการอ่าน (Post-Reading) แตล่ ะกจิ กรรมอาจใช้เทคนคิ ดังนี้

38

1.2.1) กิจกรรมนาเขา้ สู่การอา่ น (Pre-Reading) การทีผ่ ้เู รยี นจะอ่านสารไดอ้ ย่างเข้าใจ ควรต้องมี
ข้อมูลบางส่วนเก่ียวกับสารท่ีจะได้อ่าน โดยครูผู้สอนอาจใช้กิจกรรมนาให้ผู้เรียนได้มีข้อมูลบางส่วนเพื่อช่วย
สร้างความเข้าใจในบริบท ก่อนเริ่มต้นอ่านสารที่ กาหนดให้ โดยทั่วไปมี 2 ข้ันตอน คือข้ัน Personalization
เป็นข้ันสนทนา โต้ตอบ ระหว่างครู กับผู้เรียน หรือ ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน เพื่อทบทวนความรู้เดิมและ
เตรียมรบั ความรู้ใหม่จาก การอ่าน ขั้น Predicting เป็นข้ันที่ให้ผู้เรียนคาดเดาเกี่ยวกับเร่ืองท่ีจะอ่าน โดยอาจ
ใช้รูปภาพ แผนภูมิ หวั เรอื่ ง ฯลฯ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั เรือ่ งท่ีจะได้อา่ น แลว้ นา่ สนทนา หรืออภิปราย หรือ หาคาตอบ
เกี่ยวกับภาพน้นั ๆ หรือ อาจฝึกกิจกรรมที่เกย่ี วกับคาศพั ท์ เช่นขีดเส้นใต้ หรือวงกลม ล้อมรอบคาศัพท์ในสาร
ที่อ่าน หรอื อา่ นคาถามเกีย่ วกบั เรอื่ งท่ีจะได้อา่ น เพ่ือให้ผเู้ รียนไดท้ ราบ แนวทางวาจะได้อ่านสารเก่ียวกับเรื่อง
ใด เปน็ การเตรียมตวั ลว่ งหน้าเก่ียวกับข้อมลู ประกอบการอ่าน และค้นหาคาตอบที่จะได้จากการอ่านสารน้ันๆ
หรือ ทบทวนคาศพั ท์จากความรู้เดมิ ที่มอี ยู่ ซ่งึ จะปรากฏในสารท่ีจะไดอ้ า่ น โดยอาจใช้วิธีบอกความหมาย หรือ
ทาแบบฝกึ หัดเติมคา

1.2.2) กิจกรรมระหว่างการอ่าน หรือ กิจกรรมขณะที่สอนอ่าน (While Reading) เป็นกิจกรรม
ทีใ่ ห้ผูเ้ รียนไดฝ้ ึกปฏบิ ัติในขณะที่อ่านสารน้ัน กิจกรรมน้ีมิใช่การ ทดสอบการอ่าน แต่เป็นการ “ฝึกทักษะการ
อ่านเพื่อความเข้าใจ” กิจกรรมระหว่างการอ่านนี้ควรหลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ
ทักษะอื่นๆ เช่น การฟัง หรือ การ เขียน อาจจัดกิจกรรมให้พูดโต้ตอบได้บ้างเล็กน้อย เน่ืองจากจะเป็นการ
เบ่ียงเบนทักษะที่ต้องการฝึกไปสู่ทักษะอ่ืนโดยมิได้เจตนา กิจกรรมท่ีจัดให้ในขณะฝึกอ่าน ควรเป็นประเภท
ต่อไปน้ี Matching คือ อ่านแล้วจับคู่คาศัพท์ กับคาจากัดความ หรือ จับคู่ประโยค เนื้อเรื่องกับภาพ แผนภูมิ
Ordering คือ อ่านแล้วเรียงภาพ แผนภูมิ ตามเน้ือเร่ืองที่อ่าน หรือ เรียง ประโยค (Sentences) ตามลาดับ
เรื่อง หรือเรียงเน้ือหาแต่ละตอน ( Paragraph) ตามลาดับของเน้ือเร่ือง Completing คือ อ่านแล้วเติมคา
สานวน ประโยค ข้อความ ลงใน ภาพ แผนภมู ิ ตาราง ฯลฯ ตามเร่ืองที่อ่าน Correcting คือ อ่านแล้วแกไขคา
สานวน ประโยค ข้อความ ให้ถูกต้องตามเน้ือเร่ืองที่ได้อ่าน Deciding คือ อ่านแล้วเลือกคาตอบท่ีถูกต้อง
(Multiple Choice) หรอื เลอื ก ประโยคถกู ผิด (True/False) หรือ เลอื กวามีประโยคนนั้ ๆ ในเนื้อเรื่องหรือไม่
หรือ เลือกประโยคน้ันเป็นข้อเท็จจริง ( Fact) หรือ เป็นความคิดเห็น ( Opinion) Supplying / Identifying
คือ อ่านแล้วหาประโยคหัวข้อเรื่อง ( Topic Sentence) หรือสรุปใจความสาคัญ( Conclusion) หรือ
จบั ใจความสาคัญ ( Main Idea) หรอื ตง้ั ชือ่ เรื่อง (Title) หรือ ยอ่ เรอ่ื ง (Summary) หรือหา ข้อมูลรายละเอียด
จากเรื่อง ( Specific Information) 1.2.3 กิจกรรมหลังการอ่าน (Post-Reading) เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรียน
ได้ ฝึกการใชภ้ าษาในลักษณะทกั ษะสมั พนั ธเ์ พ่ิมข้นึ จากการอ่าน ทัง้ การฟงั การพูดและการเขียน ภายหลังที่ได้
ฝกึ ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมระหว่างการอ่านแล้ว โดยอาจฝึกการแข่งขนั เก่ียวกบคาศัพทส์ านวน ไวยากรณ์ จากเรื่องท่ีได้
อา่ น เป็นการตรวจสอบทบทวนความรู้ ความถูกต้องของ คาศัพท์ สานวน โครงสร้างไวยากรณ์ หรือฝึกทักษะ
การฟังการพดู โดยให้ผเู้ รยี นร่วมกันต้ัง คาถามเก่ียวกบเนื้อเร่ืองแล้วช่วยกันหาคาตอบ สาหรับผู้เรียนระดับสูง
อาจใหพ้ ูดอภิปราย เกยี่ วกบอารมณ์หรอื เจตคติของผู้เขียนเร่ืองน้ัน หรือฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็น
เก่ยี วกบั เร่อื งท่ไี ดอ้ ่าน เป็นตน้

การสอนทกั ษะการอ่านโดยใช้เทคนิคต่างๆ ในการจัดกิจกรรมให้แก่ผู้เรียนตาม ข้อเสนอแนะข้างต้น
จะช่วยพัฒนาคุณภาพทักษะการอ่านของผู้เรียนให้สูงข้ึนตามลาดับ ท้ังน้ี ขึ้นอยู่กับความถ่ีในการฝึกฝน
ซึ่งผ้เู รียนควรจะไดร้ ับการฝกึ ฝนอย่างสมา่ เสมอและตอ่ เนอื่ ง ทักษะการอ่านที่ดี จะนาผู้เรียนไปสู่ทักษะการพูด
และการเขียนท่ีดีไดเ้ ช่นเดยี วกันคาสาคัญ ( Keywords)

1. ทักษะการอา่ น
2. การอา่ นออกเสยี ง

39

3. การอา่ นในใจ
4. กจิ กรรมในการสอนอ่าน
5. กจิ กรรมนาเขา้ สกู่ ารอ่าน ( Pre-Reading)
6. กจิ กรรมระหว่างการอ่าน หรือ กิจกรรมขณะทีส่ อนอ่าน ( While-Reading)
7. กิจกรรมหลงั การอ่าน (Post-Reading)

3.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการการพัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
(ภาษาอังกฤษ)

อัชปาณี นนทสุต (2555) การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษที่มีเน้ือหาเก่ียวกับ
ท้องถนิ่ จงั หวัดกาญจนบุรี เพ่ือ พัฒนาการอ่านเพ่ือความเข้าใจสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียน
ศรสี วสั ดิพ์ ทิ ยาคม อาเภอศรสี วสั ดิ์ จงั หวดั กาญจนบุรี มีจดุ ประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพ่ือ
ความเขา้ ใจ โดยใชแ้ บบฝึก ทกั ษะท่มี ีเนอ้ื หาเกี่ยวกบั ทอ้ งถ่นิ จังหวัดกาญจนบุรี สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปีที่ 4 โรงเรยี นศรีสวัสด์ิ พทิ ยาคม เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามหัวข้อเก่ียวกับท้องถิ่น
จังหวัดกาญจนบุรี แบบฝึกเสริมทักษะการอ่าน และแบบทดสอบ โดยแบบฝึกเสริมทักษะมีจานวน 5 บท
ผลการวจิ ัยพบว่า 1) ประสทิ ธิภาพของแบบฝึกทกั ษะการอา่ นภาษาทีส่ ร้างข้ึนมปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 75/75
ไดค้ า่ ประสทิ ธภิ าพ 83.40/92.50 2) ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังจากการใช้แบบ
ฝกึ เสริมทกั ษะอ่านภาษาองั กฤษสูงกว่าความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษก่อนการใช้แบบฝึกเสริม ทักษะ
อา่ นภาษาองั กฤษ ซึ่งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ แ่ี ตกต่างกันอยา่ งมีนัยสาคัญ .05

ณภทั ร ทพิ ธนามาศ และคณะ (2556) วิจัยการพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความ
เข้าใจ โดยใช้วิธีสอนแบบ SQ4R สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแบบฝึก
ทกั ษะการอา่ นภาษาองั กฤษเพื่อความเข้าใจโดยใชว้ ิธสี อนแบบ SQ4R สาหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้
มีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน กอ่ นเรยี นและหลังเรียนของนักเรียน
ที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้วิธีสอนแบบ SQ4R สาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 3) ศึกษาดัชนปี ระสทิ ธผิ ลของแบบฝกึ ทกั ษะการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจโดย ใช้วิธี
สอนแบบ SQ4R สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วย
แบบฝึก ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพ่อื ความเขา้ ใจโดยใชว้ ิธีสอนแบบ SQ4R สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปที ี่ 1 กล่มุ ตวั อยา่ งท่ใี ชใ้ นการวจิ ัยคอื นกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2555 โรงเรียน
ประโคนชัยพทิ ยาคม อาเภอ ประโคนชัย จังหวดั บรุ รี ัมย์ จานวน 1 ห้อง รวม 40 คน ซ่ึงได้มาโดยการสุ่มอย่าง
ง่าย ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจโดยใช้วิธีสอนแบบ SQ4R
สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 88.68/98.08 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
นักเรียนท่ีเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจโดยใช้วิธีสอน แบบ SQ4R สาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 3) แบบฝึก
ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้วิธีสอนแบบ SQ4R สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1
มีค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.5128 4) นักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความ
เข้าใจโดยใช้วิธีสอนแบบ SQ4R สาหรับนักเรียน ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 มีความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มากที่สดุ

40

วาสนา อุตสาหะ และสเุ ทพ อว่ มเจริญ (2556) วิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โดยใช้กิจกรรมนันทนาการ มีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการใช้กิจกรรมนันทนาการและ2) เพื่อศึกษาความคิดเห็น
ต่อกิจกรรมนันทนาการของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย คือ นักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นยอแซฟ อปุ ถัมภ์ อาเภอสามพราน จงั หวดั นครปฐมได้มา โดยวิธีการเลือกแบบ
อาสาสมคั ร ตามกจิ กรรม จานวน 20 คน แผนการวิจยั เปน็ แบบหนึง่ กลุ่มสอบก่อนและสอบหลัง (One Group
Pretest-Posttest Design) ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการทดสอบก่อนเรียนและผลการทดสอบหลังเรียน
ภาษาองั กฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 โดยใช้กิจกรรมนันทนาการแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติทรี่ ะดับ .05 โดยผลการทดสอบหลัง เรียนมีคะแนนสูงกว่าผลการทดสอบก่อนเรียน 2) ความคิดเห็นของ
ผู้เรียนทีมีต่อการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กิจกรรมนันทนาการ
พบว่า ด้านบรรยากาศในการเรียนการสอน ผู้เรียนมีความคิดเห็นว่า ผู้เรียนมีความ ต้องการให้จัดกิจกรรม
นนั ทนาการทุกปีมากท่ีสุด

จริ นาถ อุ่นเพ็ญ (2558) การพฒั นาทกั ษะการอา่ นภาษาอังกฤษ โดยใชก้ จิ กรรมการเรียนรแู้ บบร่วมมือ
เทคนิค TAI ประกอบเกมฝึกคาศพั ท์ ระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนา
กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบเกมฝึกคาศัพท์ กลุ่มสาระการเรียนภาษาต่างประเทศ
ชั้นประถมศกึ ษาปี ที่ 6 ทีม่ ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์75/75 2) ศกึ ษาค่าดชั นปี ระสิทธผิ ลการเรียนรู้ของนักเรียน
ท่ีเรียนโดยกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบเกมฝึกคาศัพท์3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
ในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนท่ีเรียนด้วยกิจกรรม การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบเกม
ฝึกคาศัพท์ ก่อนเรียนกับหลังเรียนและ 4) ศึกษาความ พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้แบบร่วมมือ
เทคนิค TAI ประกอบเกมฝึกคาศัพท์กลุ่มเปูาหมายในการ วิจัยคร้ังน้ีคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 6
โรงเรียนท่าแสงวิทยาคมสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 1 จานวน 1 ห้อง
จานวน 20คน ผลการวิจยั พบวา่ 1) กจิ กรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบเกมฝึกคาศัพท์ กลุ่ม
สาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ ระดับช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.47/76.00
ซึ่งเปน็ ไปตามเกณฑ์ท่ี กาหนด 2) ค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบเกมฝึก
คาศัพท์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มีค่าเท่ากับ 0.5814 3) นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI มีผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนหลังเรียนสูงกวาก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 4) นกั เรยี นมีความพึงพอใจต่อการเรียนรูแ้ บบร่วมมอื เทคนคิ TAI ประกอบเกมฝึกคาศัพท์
โดยรวมอยูร่ ะดับมาก ( X = 4.26, S.D.=0.65)

อนามัย ดาเนตร (2561) ดาเนินการวิจัยเรื่อง ผลการเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้ภาพยนตร์ร่วมสมัย
ภาษาองั กฤษเพ่ือพัฒนาทักษะการวเิ คราะห์ ประโยคและไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนสิ ติ คณะศลิ ปศาสตร์และ
วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษา 1) ผลการเรียน
ภาษาอังกฤษโดยใช้ภาพยนตร์ร่วมสมัยภาษาอังกฤษเพ่ือ พัฒนาทักษะการวิเคราะห์ประโยคและไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษของผู้เรียน และ 2) ความพึงพอใจในการเรียนภาษาอังกฤษโดย ใช้ภาพยนตร์ร่วมสมัย
ภาษาอังกฤษของผู้เรียนการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยในชั้นเรียนโดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสม ระหว่าง
การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน เรยี นวิชาโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ 1 ภาคเรียนที่ 1
ปีการศึกษา 2560 จานวน 46 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้ภาพยนตร์ร่วมสมัย

41

ภาษาองั กฤษเพ่อื พฒั นาทักษะการวเิ คราะหป์ ระโยคและไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของผู้เรียน หลังเรียนแตกต่าง
จากความสามารถดังกล่าวก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ความพึงพอใจในการเรียน
ภาษาองั กฤษโดยใชภ้ าพยนตร์ร่วมสมัยภาษาอังกฤษของผู้เรยี น โดยรวมอยู่ในระดบั มากท่สี ดุ และ 3) แผนการ
จัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ประโยคและไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษโดยใช้ภาพยนตร์ร่วมสมัย
ภาษาอังกฤษสามารถช่วยพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ประโยคและไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษของผู้เรียนโดยการ
ปรับทัศนคติและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกอยากพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษด้วยตน เอง นอกจากนี้
ยังเปล่ียนบทบาทของอาจารย์จากผู้สอนเป็น “ผู้ร่วมเรียนรู้ในห้องเรียน” (Co-learner/co-investigator)
อกี ดว้ ย

42

บทท่ี 3
วิธีดาเนนิ การวิจัย

การนิเทศด้วยกระบวนการวิจัยเพื่อส่งเสริมความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้
ของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดสานักงาน
เขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพะเยา เขต 2 มีวิธีการดาเนนิ การวจิ ยั ดงั นี้

1. กลุม่ เปาู หมายการวิจยั
2. ตวั แปรในการวิจัย
3. เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจัยและการหาคุณภาพของเครือ่ งมอื
4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
5. การวิเคราะห์ขอ้ มลู
6. สถิตทิ ใ่ี ช้ในการวจิ ัย

1. กลมุ่ เป้าหมายการวิจยั
ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

ในสงั กัดสานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษา พะเยา เขต 2 จานวน 34 คน ประจาปกี ารศึกษา 2561
2. ตัวแปรท่ใี ช้ในการวจิ ัย

1) ตวั แปรอิสระ (ต้น) : การนเิ ทศดว้ ยกระบวนการวิจยั
2) ตัวแปรตาม :

2.1) ความสามารถในการพัฒนานวตั กรรมการจดั การเรียนรขู้ องครูกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ (อังกฤษ)

2.2) ความรูด้ า้ นการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรยี นรู้
2.3) คณุ ภาพของนวตั กรรมการจัดการเรยี นรู้
2.4) ผลการแกป้ ัญหาของครู
2.5) ความพึงพอใจของครูต่อกระบวนการนิเทศของศกึ ษานิเทศก์
2.6) ความพึงพอใจของนกั เรียนต่อการใช้นวตั กรรมการจัดการเรยี นรู้
3. เครื่องมือท่ใี ช้ในการวจิ ัยและการหาคุณภาพของเคร่อื งมอื

1) คูม่ อื นิเทศด้วยกระบวนการวิจัยเพ่ือส่งเสริมความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการ
เรยี นรขู้ องครูกลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาตา่ งประเทศ (อังกฤษ) ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น

1.1) ดาเนินการสร้างและหาคุณภาพคู่มือการนิเทศด้วยกระบวนการวิจัยเพ่ือส่งเสริมความสามารถ
พฒั นานวตั กรรมการจดั การเรียนรูข้ องครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (อังกฤษ) ระดับมัธยมศึกษา
ตอนต้น

(1) ศกึ ษาเอกสาร งานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือเป็นกรอบแนวทางในการสร้างคมู่ อื การนเิ ทศ
(2) ดาเนินการสร้างคู่มอื การนเิ ทศด้วยกระบวนการวิจัย ซงึ่ แบ่งเนอื้ หาเป็น 5 บท ดงั นี้

บทท่ี 1 การนิเทศด้วยกระบวนวจิ ยั เพ่ือสง่ เสรมิ ความสามารถในการพัฒนานวตั กรรมการ
จัดการเรยี นรู้

บทท่ี 2 การวิเคราะห์สภาพปญั หาการจัดการเรียนรู้

43

บทที่ 3 การพัฒนาการจัดการเรยี น
บทที่ 4 เครอ่ื งมอื และการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลในการนิเทศดว้ ยกระบวนการวิจัย
บทท่ี 5 เกณฑก์ ารประเมนิ นวตั กรรมที่เปน็ เลศิ
(3) หาคณุ ภาพของคู่มอื การนิเทศด้วยกระบวนการวิจัยเพอ่ื ยกระดับความสามารถสรา้ ง
นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ โดยผเู้ ชยี่ วชาญจานวน 7 คน และนามาปรบั ปรุง
(4) นาคมู่ อื การนเิ ทศไปใชใ้ นการนเิ ทศติดตามครกู ลุม่ เปูาหมาย

2) แบบประเมินความสามารถในการพฒั นานวตั กรรมการจดั การเรียนรู้ มกี ารสร้างและหาคุณภาพ
ดังน้ี

2.1) ศึกษาหลักการและทฤษฎีเก่ียวกับการสร้างแบบประเมิน และเนื้อหาสาระที่ใช้ในการสร้าง
แบบประเมนิ ความสามารถพัฒนานวัตกรรมการจดั การเรียนการสอน

2.2) กาหนดรปู แบบของการประเมินความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ แบ่งระดับ
คุณภาพเปน็ 5 ระดับ จานวน 20 ข้อ

2.3) สร้างแบบประเมินความสามารถ จานวน 20 ข้อ แล้วนาไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จานวน 7 คน
ตรวจสอบความตรงของเน้ือหารายข้อของแบบประเมินหน่วยการเรียนรู้ โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง
ระหว่างรายข้อการประเมินกับเนื้อหา/จุดประสงค์ (Item Objective Congruence: IOC) ใช้รายข้อของการ
ประเมินท่มี คี ่าดัชนีความสอดคล้องของรายขอ้ การประเมินกบั เนอ้ื หาตงั้ แต่ 0.5 ขึน้

2.4) นาข้อเสนอ ขอ้ ปรับปรุงไปใช้ในการพฒั นาแบบประเมนิ ความสามารถก่อนนาไปใช้จรงิ

3) แบบประเมนิ นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ มกี ารสรา้ งและหาคณุ ภาพ ดงั นี้
3.1) ศึกษาหลักการและทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างแบบประเมิน และเน้ือหาสาระท่ีใช้ในการสร้าง

แบบประเมนิ นวตั กรรมการจดั การเรียนการสอน
3.2) กาหนดรูปแบบของแบบประเมินการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ แบ่งระดับคุณภาพเป็น

3 ระดบั จานวน 12 ขอ้ ขอ้ ละ 3 คะแนน รวมคะแนนทงั้ สิ้น 36 คะแนน
3.3) สร้างแบบประเมินนวตั กรรมการจัดการเรียนรู้จานวน 12 ข้อ แล้วนาไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จานวน

7 คน ตรวจสอบความตรงของเนื้อหารายข้อของแบบประเมินหน่วยการเรียนรู้ โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง
ระหว่างรายข้อการประเมินกับเนื้อหา/จุดประสงค์ (Item Objective Congruence: IOC) ใช้รายข้อของการ
ประเมนิ ทม่ี ีค่าดชั นคี วามสอดคล้องของรายข้อการประเมนิ กบั เนื้อหาตงั้ แต่ 0.5 ขน้ึ ไป

3.4) นาขอ้ เสนอ ข้อปรบั ปรงุ ไปใช้ในการพัฒนาแบบประเมิน กอ่ นนาไปใชจ้ รงิ

4) แบบทดสอบความรู้ด้านการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาอังกฤษ
ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น จานวน 30 ขอ้ มีการสรา้ งและหาคุณภาพ ดังน้ี

4.1) ศึกษาหลักการและทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างแบบทดสอบและเน้ือหาสาระด้านการสร้างและพัฒนา
นวตั กรรมการจดั การเรียน เพือ่ ประกอบการสร้างแบบทดสอบ

4.2) กาหนดรูปแบบของแบบทดสอบกอ่ นและหลงั ได้รับการนิเทศด้วยกระบวนการวิจัย เป็นแบบปรนัยชนิด
เลือกตอบ 4 ตวั เลือก

4.3) สร้างแบบทดสอบเพอ่ื ให้ครอบคลุมวตั ถุประสงค์ในการทดสอบจานวน 40 ขอ้

44

4.4) นาแบบทดสอบแบบเลือกตอบจานวน 40 ข้อ ให้ผู้เชี่ยวชาญจานวน 7 คน ตรวจสอบความตรงของ
เนื้อหารายข้อของแบบทดสอบ โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับเน้ือหา/จุดประสงค์
(Item Objective Congruence: IOC) มเี กณฑ์การใหค้ ะแนนดังน้ี

+ 1 เม่อื ผู้เชี่ยวชาญมคี วามแนใ่ จวา่ ขอ้ คาถามวัดไดต้ รงตามเนอื้ หา/จุดประสงค์
0 เมอ่ื ผูเ้ ชย่ี วชาญมคี วามไมแ่ นใ่ จว่าข้อคาถามวัดไดต้ รงตามเนอ้ื หา/จดุ ประสงค์
- 1 เมอื่ ผเู้ ชี่ยวชาญมคี วามแนใ่ จว่าข้อคาถามวัดได้ไม่ตรงตามเนื้อหา/จดุ ประสงค์

4.5) นาแบบทดสอบไปทดลองใช้กับครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (อังกฤษ) ระดับ
ประถมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 ท่ีจบการศึกษาตรงวิชาเอก
ภาษาอังกฤษ ทไ่ี มใ่ ช่กลุ่มเปูาหมาย จานวน 30 คน

4.6) วิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาตา่ งประเทศ โดยผู้วจิ ัยนากระดาษคาตอบมาตรวจให้คะแนนข้อท่ีตอบถูกให้ 1 คะแนน และข้อที่ตอบผิดให้ 0
คะแนน จากนนั้ นามาเรยี งลาดบั แบง่ กลุ่มสูงกล่มุ ตา่ ใช้เทคนิค (เทคนิค 50%) เพ่ือคัดเลือกแบบทดสอบก่อนและ
หลังได้รับการนิเทศแบบชี้แนะสะทอ้ นคิดทีม่ ีคา่ ความยาก (P) และอานาจจาแนก (r) ของแบบทดสอบอยู่ระหว่าง
0.20 – 0.80 และนาข้อมูลที่ได้มาหาค่าความเที่ยงแบบความสอดคล้องภายใน (Measure of Internal Consistency)

ด้วยวิธีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient: ) (วรรณี แกมเกตุ, 2551: 222 -
233)

4.7) คัดเลือกข้อสอบและจัดพิมพ์แบบทดสอบการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาตา่ งประเทศ จานวน30ขอ้

5) แบบสอบถามความพงึ พอใจ

ชุดที่ 1 แบบสอบถามความพึงพอใจของครูในการนเิ ทศดว้ ยกระบวนการวจิ ัยของศกึ ษานเิ ทศก์
ลักษณะของแบบสอบถามเป็นแบบมาตรประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดับ มีการสร้างและหาคุณภาพของ
แบบสอบถามความพึงพอใจ ดงั น้ี

(1) ศกึ ษาเอกสารและตาราเกยี่ วกบั การสรา้ งแบบสอบถามเพ่ือเปน็ แนวทางในการสรา้ งแบบสอบถาม
ความพงึ พอใจ

(2) กาหนดสิ่งทจ่ี ะประเมินให้ครอบคลุมการนิเทศด้วยกระบวนการวิจัย และการจัดการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรม
การจัดการเรียนรู้ของครู

(3) กาหนดรปู แบบทจี่ ะเลอื กใช้เป็นแบบสอบถามปลายปิด แบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ
ดงั นี้

5 หมายถงึ พงึ พอใจมากท่ีสุด
4 หมายถงึ พึงพอใจมาก
3 หมายถงึ พงึ พอใจปานกลาง
2 หมายถึง พึงพอใจนอ้ ย
1 หมายถึง พึงพอใจนอ้ ยทส่ี ดุ
ทั้งน้ีได้กาหนดเกณฑ์การแปลผลคะแนนเฉล่ียของแบบสอบถามความพึงพอใจในการนิเทศด้วย
กระบวนการวจิ ยั ดังนี้
คา่ เฉลย่ี 4.51 – 5.00 แปลความหมายว่า มีความพึงพอใจในระดบั มากทีส่ ุด
ค่าเฉลย่ี 3.51 – 4.50 แปลความหมายว่า มีความพงึ พอใจในระดบั มาก

45

ค่าเฉลยี่ 2.51 – 3.50 แปลความหมายว่า มีความพึงพอใจในระดบั ปานกลาง
คา่ เฉลย่ี 1.51 – 2.50 แปลความหมายวา่ มีความพึงพอใจในระดับน้อย
ค่าเฉลย่ี 1.00 – 1.50 แปลความหมายวา่ มีความพงึ พอใจในระดบั น้อยท่ีสดุ
(4) สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจในการนเิ ทศแบบชีแ้ นะสะทอ้ นคดิ ฉบบั ร่าง ดงั น้ี
ตอนท่ี 1 สถานภาพทว่ั ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม
ตอนท่ี 2 การสอบถามความพึงพอใจตอ่ การนิเทศดว้ ยกระบวนการวจิ ัย

(Reflective Coaching) เปน็ แบบสอบถามปลายปดิ จานวน 20 ขอ้
ตอนท่ี 3 แบบสอบถามปลายเปดิ เกยี่ วกบั ขอ้ เสนอแนะและความคดิ เห็นเพิม่ เติม

จานวน 1 ขอ้
(5) ตรวจสอบคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิจานวน 5 คน
(6) จดั พิมพ์ แบบสอบถามความพึงพอใจในการนิเทศด้วยกระบวนการวจิ ัยดว้ ยกระบวนการวิจัย
เพอื่ ยกระดบั ความสามารถสรา้ งนวตั กรรมการจดั การเรยี นร้เู ป็นแบบสอบถามฉบบั สมบูรณ์

ชุดที่ 2 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมที่ครูสร้างข้ึน
โดยลักษณะของแบบสอบถามเปน็ แบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั มีการสรา้ งและหาคุณภาพ ดงั น้ี

(1) ศึกษาเอกสารและตาราเกย่ี วกับการสรา้ งแบบสอบถาม เพ่ือเปน็ แนวทางในการสรา้ งแบบสอบถาม
ความพงึ พอใจ

(2) กาหนดส่ิงท่จี ะประเมนิ ให้ครอบคลุมความพึงพอใจในการใชน้ วัตกรรมในการจัดการเรยี นรู้ของครู
(3) กาหนดรูปแบบที่จะเลือกใช้เปน็ แบบสอบถามปลายปิด แบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale)
5 ระดับ ดังนี้

5 หมายถงึ พึงพอใจมากท่ีสุด
4 หมายถงึ พึงพอใจมาก
3 หมายถงึ พึงพอใจปานกลาง
2 หมายถึง พึงพอใจน้อย
1 หมายถงึ พึงพอใจน้อยทีส่ ดุ
ทงั้ น้ไี ด้กาหนดเกณฑ์การแปลผลคะแนนเฉล่ยี ของแบบสอบถามความพงึ พอใจตอ่ การใช้นวัตกรรมการ
จัดการเรียนรขู้ องครู ดังน้ี
ค่าเฉลย่ี 4.51 – 5.00 แปลความหมายวา่ มคี วามพงึ พอใจในระดบั มากทสี่ ุด
คา่ เฉล่ีย 3.51 – 4.50 แปลความหมายวา่ มีความพึงพอใจในระดบั มาก
คา่ เฉลี่ย 2.51 – 3.50 แปลความหมายวา่ มคี วามพงึ พอใจในระดับปานกลาง
คา่ เฉลี่ย 1.51 – 2.50 แปลความหมายวา่ มคี วามพงึ พอใจในระดับน้อย
คา่ เฉลย่ี 1.00 – 1.50 แปลความหมายวา่ มคี วามพึงพอใจในระดบั น้อยท่ีสุด
(4) สรา้ งแบบสอบถามความพงึ พอใจในการใชน้ วัตกรรมในการจัดการเรยี นร้ขู องครฉู บบั ร่าง ดงั นี้
ตอนท่ี 1 สถานภาพท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
ตอนท่ี 2 การสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรยี นรู้

ของครู จานวน 20 ขอ้
ตอนที่ 3 ขอ้ เสนอแนะและความคดิ เห็นเพิ่มเติม จานวน 1 ขอ้
(5) ตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เช่ียวชาญจานวน 5 คน

46

(6) จดั พิมพแ์ บบสอบถามความพงึ พอใจในการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู หลังจากปรับปรุง
แบบสอบถามจากผู้เชย่ี วชาญเสนอแนะและการทดลองใชก้ บั ครูกลุ่มอ่ืน เป็นแบบสอบถามฉบับสมบรู ณ์

6) แบบประเมนิ นวตั กรรมทเ่ี ปน็ เลศิ

6.1) ศึกษาหลักการและทฤษฎีเก่ียวกับการสร้างแบบประเมิน และเน้ือหาสาระท่ีใช้ในการสร้าง

แบบประเมินนวตั กรรมการจัดการเรยี นร้ทู ี่เปน็ เลศิ

6.2) กาหนดรูปแบบของการประเมินนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เป็นเลิศแบ่งระดับคุณภาพเป็น 5

ระดบั แบง่ เปน็ 7 ด้าน ได้แก่ 1) ความสาคัญของนวัตกรรม/วิธีปฏิบัติท่ีเป็นเลิศ 2) วัตถุประสงค์และเปูาหมาย

ของการดาเนินงาน 3) ขนั้ ตอนการดาเนินงาน 4) ผลการดาเนินงาน/ประโยชน์ท่ีได้รับ 5) ปัจจัยความสาเร็จ

6) บทเรยี นทไี่ ด้รบั 7) การเผยแพร่/การได้รบั การยอมรบั /รางวัลท่ไี ดร้ บั 8) การนาเสนอผลงาน

6.3) สร้างแบบประเมินความสามารถ จานวน 8 ข้อ และให้น้าหนักคะแนนแต่ละข้อ โดยรวมคะแนน

ท้ังส้ิน 100 คะแนน แล้วนาไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จานวน 7 คน ตรวจสอบความตรงของเน้ือหารายข้อของแบบประเมิน

หน่วยการเรียนรู้ โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างรายข้อการประเมินกับเนื้อหา/จุดประสงค์ (Item

Objective Congruence: IOC) ใช้รายข้อของการประเมินที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องของรายข้อการประเมินกับ

เน้ือหาต้ังแต่ 0.5 ขึน้ และมเี กณฑค์ ณุ ภาพผลงาน ดังน้ี

- ผลงานที่มีคณุ ภาพดเี ยยี่ ม ไดค้ ะแนน ต้งั แต่ 91 - 100 คะแนน

- ผลงานทม่ี คี ุณภาพดีเด่น ได้คะแนน ต้ังแต่ 81 - 90 คะแนน

- ผลงานท่มี คี ุณภาพดมี าก ไดค้ ะแนน ตง้ั แต่ 71 - 80 คะแนน

- ผลงานที่มีคุณภาพดี ได้คะแนน ต้ังแต่ 61 - 70 คะแนน

- ผลงานท่มี ีคณุ ภาพพอใช้ ได้คะแนน นอ้ ยกวา่ หรือเท่ากบั 60 คะแนน

6.4) นาขอ้ เสนอ ขอ้ ปรับปรงุ ไปใช้ในการพฒั นาแบบประเมนิ ความสามารถก่อนนาไปใช้จรงิ

7) Log Book เป็นแบบบันทึกท่ีได้จากการบันทึกที่ผู้วิจัยทาขึ้นเพื่อให้ครูบันทึกและสะท้อนผลการ
แลกเปลยี่ นเรียนรู้ และในกิจกรรมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ร่วมกับครูและผู้นิเทศ และหาคุณภาพ
โดยการทดลองใช้กับครูระดับประถมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2
จานวน 30 คน

8) แบบสัมภาษณ์ เป็นแบบสัมภาษณ์ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น มีจานวน 2 ชุด ชุดท่ี 1 เป็นแบบสัมภาษณ์
ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบนวัตกรรมที่ผู้วิจัยสร้างข้ึน ชุดที่ 2 เป็นเป็นสัมภาษณ์ครูผู้เข้าร่วมการนิเทศด้วย

กระบวนการวิจัย หาคุณภาพโดยให้ผเู้ ช่ยี วชาญตรวจสอบ จานวน 7 คน

4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู

การดาเนินการวจิ ัยมขี น้ั ตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ดงั น้ี
1) ขั้นวางแผน (Plan)

1.1) จดั ประชุมวางแผนการวิเคราะห์สภาพปัญหาโดยใช้ผลการวเิ คราะหจ์ ากโปรแกรมวเิ คราะห์

ผลสมฤทธ์ิ Profile และดาเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมูลครู ดังนี้
(1) ทดสอบความรู้ความเข้าใจด้านการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการ

เรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ (ภาษาอังกฤษ) จานวน 30 ข้อ
(2) ให้ครูวิเคราะห์ผลการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษระดับชาติ (O-NET) 3 ปี

ย้อนหลงั ดว้ ย โปรแกรม Profile (สรุ างค์ ประเทศ, 2559) และนาผลมาวิเคราะห์ปัญหา

การจดั การเรยี นรู้

47

(3) ครวู างแผนการพฒั นานวัตกรรมการจัดการเรียนร้เู พ่อื แก้ปญั หาการจัดการเรียนการสอน
(4) ครูประเมนิ ตนเองดา้ นความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระ

การเรียนรูภ้ าษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) กอ่ นได้รับการนิเทศ
1.2) ให้ครจู ัดทาแผนการจดั การเรยี นร้แู ละสอดแทรกนวตั กรรมการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในแผนการ

จดั การเรียนรู้
2) ขั้นการปฏิบัติ (Act)

2.1) ครจู ัดทานวตั กรรมการจดั การเรยี นรู้และนาเสนอใหผ้ ู้เชย่ี วชาญประเมนิ นวตั กรรมการ
จัดการเรยี นรู้

2.2) ครูบนั ทึกผลการแลกเปลยี่ นเรยี นรลู้ งใน Log Book ในรูปแบบเอกสารท่ผี วู้ ิจยั จัดทาข้ึน
2.3) ครจู ัดทาแผนการจัดการเรียนร้เู พื่อนานวัตกรรมการจัดการเรยี นรไู้ ปใช้ในการจัดการ
เรยี นการสอนในช้นั เรียน
2.4) ครสู ง่ แผนการจัดการเรยี นรเู้ พอื่ ใหศ้ ึกษานเิ ทศกต์ รวจสอบและประเมนิ นวัตกรรมการจดั การ
เรยี นรกู้ ่อนนาไปใช้
3) ข้นั สังเกต (Observe)
3.1) ผูว้ ิจัยแต่งตง้ั และประชมุ สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจกบั ทมี นเิ ทศซ่งึ ประกอบด้วยศกึ ษานิเทศก์ ครู
และผบู้ ริหารสถานศกึ ษา จานวน 6 ทมี
3.2) ทีมนเิ ทศนิเทศตดิ ตามการใชน้ วตั กรรมการจัดการเรียนรูข้ องครูท้งั 34 คน และประเมิน
ความสามารถในการใช้นวัตกรรมการจัดการเรยี นรขู้ องครู
4) ขนั้ สะทอ้ นคดิ (Reflect)
4.1) ทมี นเิ ทศสะทอ้ นคิดการใช้นวัตกรรมการจดั การเรยี นร้ขู องครู
4.2) ให้นักเรียนท่ีเรียนรู้กับครูในชั้นเรียนโรงเรียนที่มีนักเรียนไม่เกิน 10 คน เก็บรวบรวมทุกคน
สาหรบั หอ้ งเรยี นที่มนี กั เรยี นจานวนนักเรยี นเกิน 10 คน ให้เกบ็ รวบรวมข้อมูล จานวน 10 คน ตอ่ โรงเรยี น
4.3) ใหค้ รกู ลมุ่ เปูาหมายทุกคนประเมินความพงึ พอใจในกระบวนการนิเทศดว้ ยกระบวนการวจิ ัย
4.4) ทดสอบความรู้ความเข้าใจด้านการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
(ภาษาองั กฤษ) หลงั เสรจ็ ส้นิ การพฒั นานวัตกรรมการจัดการเรยี นรู้
4.3) คณะกรรมการประเมินผลและคัดเลือกนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ท่ีเป็นเลิศและสะท้อนผล
การประเมินนวัตกรรม
4.4) จัดประชุมแลกเปล่ียนเรียนรู้ นาเสนอผลการประกวดนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้และมอบ
รางวัลยกย่องเชดิ ชูเกยี รติ และเก็บรวบรวมขอ้ มลู โดยการสมั ภาษณก์ ลุ่มครจู านวน 10 คน

5. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
1) การวิเคราะห์เชิงปรมิ าณ
1.1) การวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ (Profile) ผลสัมฤทธิ์ทางการทดสอบ

ระดบั ชาติ (O-NET) ย้อนหลงั 3 ปี ได้แก่ ปกี ารศึกษา 2558 – 2560 มีการแปลผล ดงั นี้
- H1 คอื คา่ เฉล่ยี รวมรายมาตรฐานของโรงเรยี นสงู กวา่ เขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษา และสว่ นเบีย่ งเบน

มาตรฐานต่ากว่าเขตพ้ืนที่การศึกษา หมายถึง ครูจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ ทาให้นักเรียนเข้าใจ
ในมาตรฐาน/ตัวชวี้ ัดนน้ั

48

- H2 คือ ค่าเฉลี่ยรวมรายมาตรฐานของโรงเรียนสูงกว่าเขตพื้นท่ีการศึกษาแต่ส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐานสูงกว่าเขตพื้นที่การศึกษา หมายถึง ครูจัดการเรียนการสอนค่อนข้างดี แต่ยังมีนักเรียนบางคน
ไมเ่ ขา้ ใจในมาตรฐาน/ตวั ชว้ี ัดนนั้ ควรใชก้ ารสอนซอ่ มเสรมิ เดก็ ออ่ น หรือการใหเ้ ดก็ เกง่ ช่วยเดก็ อ่อน

- L1 คือ ค่าเฉลี่ยรวมรายมาตรฐานของโรงเรียนต่ากว่าเขตพื้นท่ีการศึกษา แต่ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานต่ากว่าเขตพื้นที่การศึกษา หมายถึง นักเรียนท้ังห้องหรือส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเนื้อหาในมาตรฐาน/
ตวั ช้วี ัดนัน้ ครผู สู้ อนควรปรับปรงุ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้หรอื จดั หาสื่อสนับสนุนการเรียนรู้อยา่ งเรง่ ด่วน

- L2 คือ ค่าเฉล่ียรวมรายมาตรฐานของโรงเรียนต่ากว่าเขตพื้นท่ีการศึกษาแต่ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานสูงกว่าเขตพื้นที่การศึกษา หมายถึง นักเรียนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเน้ือหา ในมาตรฐาน/ตัวชี้วัดน้ัน
แต่ยังมีนักเรียนบางคนทาคะแนนได้สูง ครูผู้สอนควรปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือจัดหาส่ือ
สนับสนนุ การเรยี นรู้ หรือการใหเ้ ดก็ เกง่ ชว่ ยเดก็ อ่อน

1.2) การวิเคราะห์เชงิ ปรมิ าณ โดยใช้โปรแกรมทางคอมพิวเตอร์
(1) การวิเคราะห์หาคุณภาพของเครื่องมือ โดยการให้ผู้เช่ียวชาญเป็นผู้ตรวจสอบความตรง
เชิงเน้ือหาและนามาหาค่าความสอดคล้องภายใน IOC (Index of Item Objection Congruence) มีเกณฑ์การให้
คะแนนดงั นี้

+ 1 เมื่อผเู้ ช่ยี วชาญมคี วามแน่ใจว่าข้อคาถามสอดคลอ้ งกบั เนอ้ื หา
0 เมื่อผูเ้ ชี่ยวชาญมีความไมแ่ นใ่ จว่าข้อคาถามสอดคล้องกับเน้ือหา
- 1 เม่อื ผู้เชีย่ วชาญมคี วามแน่ใจวา่ ขอ้ คาถามไม่สอดคล้องกบั เน้ือหา

โดยใช้ข้อคาถามหรือประเดน็ ที่ผเู้ ชี่ยวชาญตรวจสอบซงึ่ มคี า่ ดัชนคี วามสอดคล้องตัง้ แต่ 0.5 ขนึ้ ไป
และนาขอ้ เสนอแนะทไ่ี ด้ปรับปรงุ เครอ่ื งมือให้มีความสมบูรณแ์ ละนาไปใช้ในการวิจัยกับกลุ่มเปาู หมายต่อไป

(2) การวเิ คราะหค์ ุณภาพเคร่อื งมือแบบทดสอบ โดยการหาค่าความยากและความง่าย (P) ค่าอานาจ
จาแนก (r) และการหาค่าความเท่ียงของแบบทดสอบทั้งฉบับ ด้วยวิธีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค
(Cronbach’s Alpha Coefficient: ) (วรรณี แกมเกตุ, 2551: 222 - 233)

(3) การวิเคราะห์ผลจากการทดสอบการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
(อังกฤษ) และการประเมินความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ โดยการวิเคราะห์คะแนน
พัฒนาการสัมพัทธ์ (Relative Growth: RG) ของครูแต่ละคนจากการทดสอบและประเมินก่อนการได้รับการนิเทศ
ด้วยกระบวนการวิจัย และแปลความหมายของคะแนนพัฒนาการ ดังนี้

คะแนนพัฒนาการสมั พัทธน์ อ้ ยกว่า 50 หมายถงึ มพี ฒั นาการนอ้ ยทสี่ ุด
คะแนนพฒั นาการสมั พทั ธ์ 51 – 60 หมายถึง มีพฒั นาการนอ้ ย
คะแนนพัฒนาการสมั พทั ธ์ 61 – 70 หมายถงึ มีพัฒนาการปานกลาง
คะแนนพฒั นาการสมั พทั ธ์ 71 – 80 หมายถึง มพี ฒั นาการมาก
คะแนนพฒั นาการสัมพัทธ์ 81 – 100 หมายถึง มพี ัฒนาการมากทีส่ ุด
(4) การวเิ คราะหค์ วามพงึ พอใจของครูตอ่ การนเิ ทศ และการวเิ คราะหค์ วามพึงพอใจ
นักเรียนตอ่ การสอนของครผู รู้ บั การนิเทศ ซึ่งมเี กณฑ์การให้คะแนน 5 ระดับ ดังน้ี
5 หมายถงึ พงึ พอใจมากทส่ี ดุ
4 หมายถงึ พึงพอใจมาก
3 หมายถงึ พึงพอใจปานกลาง
2 หมายถึง พงึ พอใจน้อย
1 หมายถึง พึงพอใจนอ้ ยทีส่ ุด

49

นาแบบสอบถามที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าเฉล่ีย (  )และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) และแปล
ความหมาย ดงั นี้

คา่ เฉลี่ย 4.51 – 5.00 แปลความหมายว่า มีความพึงพอใจในระดับมากทสี่ ดุ
คา่ เฉลยี่ 3.51 – 4.50 แปลความหมายวา่ มีความพงึ พอใจในระดับมาก
คา่ เฉล่ยี 2.51 – 3.50 แปลความหมายว่า มีความพงึ พอใจในระดับปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 แปลความหมายว่า มคี วามพงึ พอใจในระดบั น้อย
ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 แปลความหมายวา่ มีความพงึ พอใจในระดับน้อยทส่ี ดุ

2) การวเิ คราะหข์ ้อมลู เชิงคุณภาพ ดว้ ยการวิเคราะหเ์ นอ้ื หา (Content Analysis) เป็นวิธีการที่ใช้ใน
การวเิ คราะห์เอกสาร ท่ีได้จากการสัมภาษณ์ แบบสอบถามปลายเปิด และ Log Book ท่ีได้จากการสะท้อนผล
การพัฒนานวัตกรรม โดยจะวิเคราะห์เฉพาะเน้ือหาท่ีปรากฏในเอกสารเท่าน้ัน (Manifest Content)
ไมว่ ิเคราะหเ์ นอ้ื หาท่มี ีความนยั แฝงอยู่ จากน้ันจะสรปุ ใจความในเอกสารตามประเด็นทศ่ี ึกษา

6. สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการวิจยั
1) การหาความตรงของเน้ือหารายข้อ (Item Content Validity) เป็นการตรวจสอบความสอดคล้อง

ของข้อคาถามแต่ละขอ้ ว่ามคี วามสอดคล้องกับเน้ือหา และหรือนิยามตัวแปรท่ีมุ่งวัด โดยการหาค่าดัชนีความ
สอดคล้อง (Item Objective Congruence: IOC) โดยการนาข้อคาถามท่ีสร้างขึ้นพร้อมท้ังเนื้อหาและนิยาม
ปฏิบัติการของตัวแปรที่ต้องการวัดไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเนื้อหาและการวัดและประเมินผลจานวนหนึ่ง
พิจารณาตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับเน้ือหาหรือนิยามตัวแปรท่ีมุ่งวัด และนาผลการ
ตรวจสอบคานวณหาดัชนีความสอดคล้องโดยใช้สูตร ดงั น้ี (วรรณี แกมเกตุ, 2551: 220 - 221)

IOC   R

N

IOC คือ คา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งระหว่างข้อคาถามกบั เนอื้ หา/จดุ ประสงค์

 R คอื ผลรวมของคะแนนผลการตดั สนิ ขอ้ คาถามของผู้ทรงคุณวฒุ ิ

N คอื จานวนผู้ทรงคุณวฒุ ิ
โดยมีเกณฑก์ ารตัดสินความสอดคลอ้ งของข้อคาถามกับเนอ้ื หา/วตั ถปุ ระสงค์ ดงั นี้
ถา้ IOC > 0.50 ถือว่า ข้อคาถามน้นั วดั ไดส้ อดคล้องกบั เนื้อหา/วัตถปุ ระสงค์
ถ้า IOC < 0.50 ถือว่า ขอ้ คาถามนั้นวดั ไดไ้ ม่สอดคลอ้ งกบั เน้อื หา/วัตถุประสงค์

2) ค่าความยาก (Level of Difficulty: P) ของแบบทดสอบ โดยคานวณจากสูตรดังน้ี (วรรณี แกมเกตุ,
2551: 223)

P  RH  RL
nH  nL

P คือ คา่ ความยาก
RH คอื จานวนผูต้ อบถกู ในกลุม่ สูง
RL คอื จานวนผูต้ อบถูกในกลุ่มต่า
nH คือ จานวนคนในกลมุ่ สูง


Click to View FlipBook Version