เอกสารเผยแพร่องค์ความรู้
วัฒนธรรมอยุธยา
ปกิณกะ อยุธยา
เล่มที่ ๑
โดย
งานวิชาการโบราณคดี
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
คำนำ
××××××××××
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยามีหน้าที่ดูแลรักษาพื้นที่
โบราณสถานในพื้นที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา ซึ่งยังคงหลงเหลือ
ร่องรอยอารยธรรมของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นอดีตเมืองศูนย์กลาง
ทางการค้า ศาสนา ศิลปกรรมที่สำคัญในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๔
จนได้รับให้เป็นแหล่งที่มีความสำคัญระดับโลก มีผู้เข้ามาเยี่ยมชม
โบราณสถานสำคัญไมต่ ำ่ กว่าล้านคนตอ่ ปี
นอกเหนือจากงานดูแลรักษาพื้นที่ อีกหนึ่งภารกิจคือการเผยแพร่
องค์ความรู้ด้านต่างๆ ของวัฒนธรรมอยุธยา จนเกิดเป็นหนังสือ
“ปกิณกะ อยุธยา” เลม่ นี้ข้ึน ซึ่งเป็นการเรียบเรยี งบทความวิชาการในเชงิ
เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์โบราณคดี โดยนักโบราณคดี นักวิชาการ
วัฒนธรรม เพื่อใหท้ ุกคนไดร้ บั ทราบถึงความสำคญั และก่อให้เกิดจิตสำนกึ
ท่ีจะชว่ ยกนั ดูแลรักษาพนื้ ที่อดีตกรงุ ศรีอยุธยาแห่งนอี้ ย่างย่งั ยืน ตอ่ ไป
งานวชิ าการโบราณคดี
อทุ ยานประวตั ิศาสตรพ์ ระนครศรีอยธุ ยา
××××××××××
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มที่ ๑ ๑
๘
สารบญั
๑๖
สมยั อยุธยานำสีมาจากไหน ๑๘
ฝรั่งไม่ชอบอาบนำ้ ๒๔
พระราชพิธบี รมราชาภเิ ษก ๓๐
สญั ลักษณแ์ หง่ สมมติเทวราช ๓๕
การสำเรจ็ โทษด้วยท่อนจนั ทน์ ๓๗
เจว็ดไม้ ๔๐
ตำนานแมซ่ ือ้
เสื้อผ้าและการแต่งกายของชาวอยุธยา ๔๒
พธิ โี สกนั ตเ์ จา้ ฟา้ ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ๔๔
ปลาตะเพียน ๔๖
กฎมณเฑยี รบาลเกยี่ วกับพระมหากษัตรยิ ์
แหง่ กรุงศรอี ยธุ ยา ๕๑
พธิ ศี พในสมยั อยธุ ยา
ความเก่าแกข่ อง “วัดอโยธยา” จากงานโบราณคดี
ข้อมลู ใหม่จากการดำเนนิ งานทางโบราณคดี
ป้อม คู ประตู หอรบพระนครศรอี ยุธยา
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
สมยั อยุธยานำสีมาจากไหน
∞∞∞∞∞∞∞∞∞
ในปัจจุบันการดำรงชีวิตของผู้คนทั่วไปมักจะใช้การอ่าน เขียน ฟัง
เพ่ือเพิ่มความจำ แต่มีอกี หนึง่ สิง่ ทีย่ ังสามารถเพ่ิมความจำของคนเราได้ดี
มากขึ้นนั่นก็คือ “สี” มนุษย์มีการใช้มาตั้งแต่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์
และยงั ได้มีการบันทกึ เป็นลายลักษณอ์ ักษรโดยใช้สใี นการวาดภาพออกมา
เป็นลวดลายต่างๆ อย่างเช่น การเลี้ยงสัตว์ การทำเกษตรกรรม เป็นต้น
ดังนั้นจะทำให้เห็นได้ว่าสีมีความสำคัญสำหรับมนุษย์มาอย่างช้านาน
จนถึงปัจจุบัน และในสมัยก่อนการผสมสียังไม่ได้รับความนิยมมากนัก
เราจึงเห็นรูปภาพในสมัยก่อนประวัติศาสตร์มักจะมีการใช้สีแค่สีเดียว
เช่น สีแดง สีขาว และสีดำ เป็นต้น แต่ในปัจจุบันได้มีการนำสีต่างๆ
มาผสมผสานกันให้เกิดสีที่มีมากขึ้น ดังนั้นในบทความนี้จะขอนำเสนอ
การใช้สีในสมัยกรุงศรีอยุธยามาเป็นกรณีศึกษาเพื่อผู้อ่านจะได้เขาใจถึง
รายละเอียดของกรุงศรีอยธุ ยามากขึ้น
สที ีใ่ ช้ในประเทศไทย
ในหนังสือ สีโบราณของไทย ระบุว่าสีที่ใช้ในประเทศไทยส่วนใหญ่
นั้นเป็นสีฝุ่น โดยภายในหนังสือได้กว่าถึงความสำคัญของสีฝุ่นไว้ว่า
สีฝุน่ ของไทยเป็นส่วนหน่ึงของวัสดทุ ่ีใช้ในการสร้างสรรค์งานชา่ งประเภท
ต่าง ๆ นับตั้งแต่การเขียนสมุดหนังสือไทย การเขียนหัวโขนเพื่อใช้ในการ
ละคร ไปจนกระทั่งการวาดจิตรกรรมฝาผนัง ช่างไทยนับแต่อดีต
๑
ปกณิ กะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
อาศัยแหล่ที่มาจากธรรมชาติ เช่น ก้อนหิน ต้นไม้ เปลือกไม้ มาใช้ใน
กระบวนการผลิตสี เมื่อมีการติดต่อกับต่างประเทศ เช่น จีน ก็ได้มีการ
นำเข้าสีฝุ่นชนิดต่างๆ มาใช้ดังปรากฏหลักฐานในทั้งเอกสารและใน
จิตรกรรมประเภทต่างๆ การสืบทอดชุดความรู้เกี่ยวกับสีไทยไม่สมบูรณ์
นักเม่ือเข้าสูส่ มยั ใหม่ (สรุ ศกั ด์ิ เจรญิ วงศ์ ๒๐๑๖, ๒๓)
สีจะถูกแบ่งออกเป็นหมวดๆ เพื่อให้เราสามารถแยกแยะโทนสีได้
ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการแยกหมวดสีจึงมีความสำคัญมากขึ้นใน
การศึกษาเกยี่ วกบั สี ซึ่งจะแบ่งออกเปน็
หมวดท่ี ๑ หมวดแม่สี เป็นสีที่สำคัญที่สุดในบรรดาสีต่างๆ มีอยู่
๓ สี คือ สีคราม สีแดง สีเหลือง เป็นแม่สีผสมกัน ทําให้เกิดสีต่าง ๆ ข้ึน
มากมาย
หมวดที่ ๒ สีเบญจรงค์ คือสี ๕ สี มาเรียงลําดับกัน คือแม่สีทั้ง ๓
กบั สขี าวและสดี ํา
๒
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มที่ ๑
หมวดที่ ๓ สีฉพรรณรังสี คือแม่สีแสงอาทิตย์ มีอยู่ในแสงแดดเป็น
คลื่นแสงปรากฏให้เห็นแสงส่องผ่านละอองน้ำจะเกิดการหักเหเป็นสีรุ้ง
ออกมา
หมวดที่ ๔ สีนพรัตน์ คือสีแก้วมณี ๙ ประการคือ ขาว (เพชร)
แดงสด (ทับทิม) เขียวสด (มรกต) เหลืองสด (บุษราคัม) แดงแก่
(โกเมน) คราม (นิล) หมอก (มุกดาหาร) หงสบาท (เพทาย)
เล่ือมประภสั สร (ไพฑรู ย์) (สรุ ศกั ด์ิ เจรญิ วงศ์ ๒๐๑๖, ๒๔)
ววิ ัฒนาการเกย่ี วกับสีในสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา
ถ้าพูดถึงเรื่องสีส่วนใหญ่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เราก็จะสามารถ
ค้นคว้าได้จากตามงานจิตรกรรมต่างๆ ตามโบราณสถานที่สำคัญ ดังน้ัน
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือก่อนหน้านั้นจะเห็นได้ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่เริ่มให้
ความสำคัญกบั สีมากขน้ึ อย่างเช่น ในสมยั สุโขทัย เรากม็ ักจะพบตามเจดยี ์
ต่างๆ เป็นต้น พอมีการส่งต่อมาถึงในสมัยกรุงศรีอยุธยา หลักฐานที่
สำคัญก็จะปรากฏมากขึ้น ดงั น้ี
สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ได้รับอิทธิพลการเขียนภาพต่อจาก
สุโขทัย จากหลักฐานมักพบในกรุองค์ปรางค์เป็นการเขียนภาพ
เพ่ือสรา้ งคุณค่า เชดิ ชู บูชาพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะเขยี นในสถานที่
ที่คนทั่วไปไม่มีโอกาสเห็นและชื่นชม สีโดยส่วนรวมเป็นสีเอกรงค์ที่ใช้สี
๓
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มที่ ๑
กลมกลืนแบบง่ายเหมือนสมัยสุโขทัย ใช้เทคนิคการเขียนสีฝุ่นผสมกาว
บนผนังปูน สีที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสีแท้ คือ สีดํา สีขาว สีแดง สีดินแดง
สีเหลืองดินและสีทอง ยกตัวอย่างเช่น วัดราชบูรณะ เขียนขึ้นที่ภายใน
ผนังกรุพระปรางค์องค์ใหญ่ แบ่งภาพเป็น ๒ ตอน ตอนบนมีภาพเขียนสี
ปูนเปียกเป็นภาพเทพชุมนุมเลียนแบบศิลปะอินเดียและภาพทหารจีน
เชิญเครื่องพุทธบูชา มีภาษาจีนกํากับ สีเส้นเขียนอย่างอิสระในโทนสีเอก
รงค์ที่ใช้สีกลมกลืนแบบง่าย มีสีแดง ดํา ขาว เป็นหลัก ตอนล่าง เป็น
ภาพสีฝุน่ บนผนงั ขัดเรียบแบง่ ภาพเปน็ ๔ แถว แถวบนเปน็ ภาพอดตี พุทธ
ด้านข้างมีภาพเทวดานั่งไหว้คั่นอยู่ หรือภายในคูหาปรางค์ประธาน
วัดพระราม ท่ีจิตรกรรมแสดงโครงระบายสีที่ใช้ดินเหลืองมากขึ้นและ
ควบคุมเกือบท้ังหมดของพืน้ ท่ี
ภาพจติ รกรรมฝาผนงั
ภายในกรพุ ระปรางค์
วัดราชบรู ณะ
สมัยกรุงศรีอยุธยายุคกลาง ยกตัวอย่างเช่น วัดพระศรีสรรเพชญ์
สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ พบได้ในบนผนัง
ในคูหาสถูปด้านทิศตะวันออก รูปพระสาวกยืนพนมมือถือดอกบัว
๔
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
สีที่ใช้เป็นโทนเอกรงค์ใช้สีกลมกลืนแบบง่าย มีสีเหลืองดิน สีอิฐ
สีนำ้ เงินแก่ สีขาว สดี ํา
สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย นอกจากการเขียนภาพเรื่อง
อดีตพุทธแล้ว เริ่มมีการเขียนภาพเทพชุมนุมอันเป็นส่วนหนึ่งของ
พุทธประวัติตอนตรัสรู้และมีการพบภาพเขียนบนผนังพระอุโบสถและ
พระวิหารบนพื้นที่ขนาดใหญ่ มีการใช้เส้นสินเทา ดอกไม้ร่วงเหนือภาพ
เทพชุมนุมทําให้สีแดงชาดและเหลอื งทองมพี ื้นท่ีกว้างขึ้นและเร่ิมมีภาพที่
เป็นเรื่องราวทางพุทธศาสนา เช่น มารผจญ ไตรภูมิวัดใหม่ประชุมพล
เขียนภาพพุทธประวัติบนผนังด้านหน้าพระประธานและภาพเทพชุมนุม
หลังพระพุทธองค์ชนะมารแล้วซึ่งเขียนบนผนังด้านข้างพระประธาน
โ ด ย ใ ช ้ แ ถ ว เ จ ด ี ย ์ เ ป ็ น ส ั ญ ล ั ก ษ ณ ์ เ ป ็ น เ จ ด ี ย ์ ย ่ อ ม ุ ม ส ิ บ ส อ ง แ บ บ ส มั ย
สมเด็จพระเจ้าปราสาททองและมีเทวดานั่งพนมมือสลับแทนที่อัครสาวก
(สรุ ศกั ด์ิ เจรญิ วงศ์ ๒๐๑๖, ๔๑)
ภาพจติ รกรรมฝาผนงั
ภายในวหิ าร
วดั ใหมป่ ระชมุ พล
๕
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มที่ ๑
การสกดั สจี ากธรรมชาติ
สีส่วนใหญ่นั้นในสมัยก่อนมักจะเอามาจากธรรมชาติโดยทั้งส้ิน
ซึ่งจะหาจากธรรมชาติใกล้ตัวทำมาดัดแปลงให้เกิดเป็นสีต่างๆ
มีการสังเกตลักษณะสีเพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับงานนั้นๆ ดังน้ัน
สแี ตล่ ะสีจะมีที่มาและแหล่งกำเนิดตอ่ ไปนี้
- สีประเภทที่ได้จากดิน เช่น ดินขาว ดินเหลือง ดินเขียว ดินแดง
จะใหส้ ตี ามลักษณะดนิ นนั้
- สีประเภทที่ได้จากพืชหรือยางไม้ครั่ง เช่น สีเหลืองของยางต้นรง
สีครามได้จากต้นคราม สีแดงได้จากเมล็ดในลูกคําเงาะ สีดําได้จากถ่านไม้
มะเกลือหรอื กระเบ็ง
- สีประเภทที่ได้จากปูนและหิน เช่น สีขาว สีเขียวจากหินขี้นก
การเวก
- สีประเภทที่ได้จากสัตว์ สีดําจากถ่านงาช้าง จากถ่านกระดูกสัตว์
ในตวั ปลาหมึก สีขาวจากเปลอื กหอยป่น
- สีที่ได้จากสารประกอบ เช่น สีขาวได้จากสารประกอบสังกะสี
สีเขียวได้จากสารประกอบทองแดง สีเหลืองได้จากสารประกอบตะก่ัว
สีแดงเสนหรือสีเสนได้จากสารประกอบดีบุก สีแต่ละประเภทได้ถูกบดให้
เป็นผงฝุ่นเพื่อใช้ในการเขียนระบาย แต่เพื่อให้สีติดกับพื้นที่รองรับภาพ
จะใช้กาวและยางไม้เป็นสิ่งช่วยประสาน นิยมใช้ยางไม้ที่ได้จากมะขวิดมา
ละลายในน้ำร้อนเพ่ือให้น้ำยางมะขวดิ เหลวและใส ใชก้ บั สีฝุ่นหรือเอาสฝี ุ่น
๖
ปกณิ กะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
ผสมกับ “กาวกระถิน” หรือกาวยางไม้เพื่อระบายเป็นภาพ ช่างไทย
เรยี กว่า “น้ำยา” หรือ “กระยารง” สําหรับภาชนะสําหรบั ใส่สีเขียนภาพใช้
กะลามะพร้าวซีกที่เรียกว่า “กะลาตัวเมีย” เป็นกะลาซีกไม่มีรู นํามาใส่
สีฝุ่นผสมน้ำยาหรือน้ำกาว วัสดุที่เป็นพื้นรองภาพมีหลายชนิดเช่น
ผา้ กระดาษ พนื้ ผนงั ถือปูนและพื้นผนงั ทเ่ี ปน็ ไม้
เราจะเห็นได้แล้วว่าการนำสีในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นได้นำมาจาก
ที่ได้และแหล่งกำเนิดของสีแต่ละสีมีที่มาที่ไปอย่างไร ก่อนที่จะนำไปวาด
ลงเป็นลวดลายตกแต่งวัดวาอารามต่างๆ ให้เราเห็นได้ถึงความงดงาม
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา การเล่าเรื่องราวที่บ่งบอกให้เห็นถึงการดำรงชีวิต
ของผูค้ นได้อย่างมชี ีวิตชวี ามากขึ้น
อา้ งอิง
Silpakorn University Journal of Fine Arts Vol.3(2) 2016 “สโี บราณ
ของไทย” สรุ ศกั ด์ิ เจรญิ วงศ์
เรยี บเรยี งโดย
นายบพิตร พวงย่ีโถ
นกั วิชาการวัฒนธรรม
๗
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
ฝร่งั ไมช่ อบอาบน้ำ
∞∞∞∞∞∞∞∞∞
ย้อนรอยการอาบน้ำไทย จากบันทึกของ ซีมอง เดอ ลา ลูแบร์
เนื่องจากความร่ำรวยทางทรัพยากรน้ำที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ไทยเรา
จงึ เป็นชนชาตทิ ม่ี ีการอาบน้ำเป็นกิจวัตรประจำ มากน้อยตา่ งกนั ตามวาระ
จากจดหมายเหตุของ ซีมอง เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubère)
ทีบ่ นั ทึกกล่าวถึงราชอาณาจกั รสยามในปลายรัชสมัยสมเดจ็ พระนารายณ์
มหาราช พ.ศ. ๒๒๓๐ ได้บันทึกเกี่ยวกับการอาบน้ำของคนไทยยุคนั้นเปน็
เรื่องๆ ไว้วา่
“ชาวสยามนุ่งห่มน้อย และอบร่างกายด้วยสุคนธรส หรือเครื่อง
หอม รมิ ฝปี ากกส็ ขี ีผ้ ้งึ หอม อาบนำ้ วนั ละ 3 ถึง 4 คร้งั ถอื เปน็ ความสภุ าพ
เรียบร้อยว่า จะไปเยี่ยมผู้ใดในรายที่สำคัญ ต้องอาบน้ำเสียก่อน และจะ
ประแปง้ ใหข้ าวพร้อมทีย่ อดอก แสดงว่าไดอ้ าบนำ้ มาแลว้ ”
“วธิ ีอาบน้ำสองอย่าง วิธีหนึง่ ลงไปแช่น้ำ อีกวธิ หี นึง่ ใชข้ ันตกั น้ำรด
ร่างกาย”
“การรักษาความสะอาดฟันและผม ชาวสยามเอาใจใส่รักษาฟันมาก
แม้จะย้อมดำแล้วก็ตาม เขาสระผมด้วยน้ำ และใส่น้ำมันจันทน์ ทำนอง
เดยี วกับชาวสเปน แล้วไมผ่ ัดแป้งเลย ชาวสยามหวผี ม หวมี าจากประเทศ
จีน ชาวสยามถอนเคราซึ่งมีอยู่หรอมแหรม แต่ไม่ทำเล็บเลย เพียงแต่
รักษาให้สะอาด”
๘
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
คนไทย อาบน้ำอาบท่า มาแต่ไหนแต่ไร ในอดีต ชาวบ้านทั่วไป
อาบน้ำเพื่อคลายความร้อนและชำระล้างเนื้อตัวให้สะอาด โดยจะลง
อาบน้ำในลำคลอง แหล่งน้ำใกล้บ้าน หรือท่าน้ำทั้งที่เป็นแบบท่าน้ำ
ส่วนตัวของบ้านและท่าน้ำสาธารณะ เป็นที่มาของคำไทยที่ว่า “อาบน้ำ
อาบท่า” นั่นเอง ท้ังยังปรากฏอยู่ในบทร้องการละเล่นพนื้ บา้ นทวี่ ่า
“จ้ำจี้มะเขือเปราะ กะเทาะหน้าแว่น พายเรืออ้อนแอ้น กระแท่น
ต้นกุ่ม สาวๆ หนุ่มๆ อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด เอาแป้งที่ไหนผัด
เอากระจกทีไ่ หนสอ่ ง เย่ียมๆ มองๆ นกขนุ ทองร้องกรู๊”
โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการอาบน้ำก็มักจะเป็นสมุนไพรพื้นบ้านหรือของ
พื้นบ้านที่มีฤทธิ์ช่วยในการทำความสะอาด เช่น ดินสอพอง ใยบวบ ไพล
มะกรูด ลูกประคำดีควาย
ภาพหญงิ สาวชาวสยาม
พ.ศ.๒๔๐๖
(ท่มี า :
https://www.pinterest.com
/pin/255720085077429400/)
๙
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
จากอดีตถึงปัจจุบัน วิวัฒนาการการอาบน้ำของมนุษยชาติถูก
ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ ตามภูมิปัญญาที่สั่งสม โดยแรกเริ่มอาจมีจุดประสงค์
เพียงเป็นการทำความสะอาดชำระล้างร่างกายจากคราบเหงื่อ ไคล และ
ความสกปรกจากการทำกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งความถี่ของการอาบน้ำ
จะแปรผันตามสภาพภมู อิ ากาศและทรัพยากรทร่ี ายรอบ แตก่ ็เป็นธรรมดา
ที่เมื่อเวลาผ่านไปกิจวัตรของมนุษย์มักถูกปรับให้เข้ากับความเชื่อ ความ
นิยม ฐานันดรศกั ด์ิ หรือกระทั่งศาสนา จนทำใหก้ ารอาบน้ำไมไ่ ด้เป็นเพยี ง
แค่การอาบน้ำอีกตอ่ ไป
ฝรั่งที่เข้ามาเห็นผู้หญิงไทยเมื่อ ๓๐๐ ปีก่อน ย่อมรู้สึกแปลกใจ
ที่แตกต่างจากผู้หญิงยุโรปอย่างสิ้นเชิง ทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน
กิริยามารยาท การแต่งกาย แม้แต่การอาบน้ำ ซึ่ง ไดแอน แอล อูเมโมโต
นำไปเขียน และ สุทธินี ยาวะประภาษ เคสเตน แปลไว้ในหนังสือ
“วัฒนธรรมไทย” ฉบับเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๖ จึงยกข้อความ
นำมาเลา่ ตอ่ เพื่อใหเ้ หน็ ภาพของสงั คมไทยในยุคนั้น
ข้อเขียนนี้กล่าวถึงบันทึกของ ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสสมัย
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผู้เดินทางมาจากดินแดนของคนใส่เสื้อผ้า
หลายต่อหลายชัน้ เพื่อทำให้ร่างกายอบอุน่ ยอ่ มจะรู้สึกประหลาดใจในการ
แต่งตัวเรียบง่ายของคนสยาม กล่าวคือผู้หญิงสยามสวมผ้าซิ่นรัดเอว
เพียงอย่างเดียวเพื่อปกปิดร่างกาย ผู้หญิงในตระกูลสูงมีฐานะ อาจมี
ผ้าคล้องไหล่ลงมาปกปิดหน้าอกแล้วตวัดปลายทั้งสองข้างไปข้างหลัง
เนื้อผ้ามักจะเป็นผ้ามัสลินธรรมดา ส่วนผ้าไหมปัก หรือผ้าลินินสีต่างๆ
๑๐
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มที่ ๑
จะใส่กันได้ก็ต่อเมื่อพระเจา้ อยู่หัวพระราชทานให้ ผู้หญิงมีสกุลนิยมผ้าซิ่น
สีดำและผา้ คลอ้ งไหล่เปน็ ผ้ามัสลินสีขาว
ลาลูแบรม์ ิได้เห็นวา่ การเปลือยอกเป็นเรอ่ื งหยาบโลนเมอื่ วัฒนธรรม
ไทยเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสยามจะพิถีพิถันเป็นพิเศษในการ
ปกปิดส่วนต่างๆของร่างกายที่วฒั นธรรมอำนวยให้ปดิ บัง ลาลูแบร์เล่าวา่
คนสยามเห็นทหารฝรั่งเศสแก้ผ้าลงไปอาบน้ำในแม่น้ำถึงกับร้องลั่นว่า
เป็นเร่ืองบัดสี หยิบผ้าให้คนฝรั่งเศสเสียยกใหญ่
ภาพหญิงสาวอยธุ ยา
(ทีม่ า : จดหมายเหตุลา ลูแบร์
พ.ศ. ๒๒๓๖)
๑๑
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
เรื่องอาบน้ำ ไม่ใช่ศิลปะที่ได้รับการนิยมชมชื่นในประเทศฝรั่งเศสใน
ศตวรรษท่ี ๑๗ แตเ่ ป็นเร่อื งสำคัญยิง่ ในเขตทอปปิก อยา่ งสยาม คนสยาม
ไม่เพียงแต่จะอาบน้ำ ๓ - ๔ ครั้งต่อวันเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่
ก็ตามที่ออกนอกบ้านจะต้องอาบน้ำก่อน ในกรณีนี้คนสยามจะปะแป้ง
ตามหน้าอกเพื่อแสดงให้เห็นว่าเพิ่งอาบน้ำมาหยกๆ ผู้หญิงจะใส่น้ำอบ
น้ำปรุง ทาขี้ผึ้งหอมที่ริมฝีปากจนดูซีดขาวกว่าปกติ นอกจากนี้ยังต้อง
สระผมกับน้ำมันหอมอันเป็นธรรมเนียมที่ลาลูแบร์เห็นในหมู่ชาวสเปน
ผดิ แต่ว่าคนสยามจะสางสยายดว้ ยตนเอง และคนสเปนไมส่ างผม
ในเม่ือลาลแู บร์ คุ้นอยกู่ ับการทำผมฟูฟอ่ ง ใสผ่ มปลอมหนาเตอะอยู่
ในราชสำนักฝรั่งเศส ลาลูแบร์จึงรู้สึกฉงนกับทรงผมสยามทั้งชายหญิง
ที่ตัดสั้นเหนือหู ใต้ลงไปโกนเสียราบเรียบ เครื่องถนิมพิมพาภรณ์
ก็มเี พียงสรอ้ ยคอเครื่องรางหอ้ ยพระพุทธรปู แหวนสวมต้ังแต่นว้ิ กลางลง
ไปจนถึงนิ้วก้อยทั้งสองมือ โดยจะสวมกี่วงก็สุดแต่เจ้าตัวจะเห็นสวยงาม
ถึงแม้ว่าผู้หญิงอยุธยาจะไม่ได้ใช้เครื่องเขียนหน้าเขียนตาทาโหนกแก้ม
แบบผู้หญิงฝรั่งเศส แต่ก็มีเครื่องสำอางในแบบของตนเอง เป็นต้นว่า
ทาเล็บมือแดงโดยสกัดน้ำยาจากข้าวผสมน้ำมะนาวและใบไม้ชนิดหนึ่ง
ผู้หญิงสยามติดบุหรี่และเคี้ยวหมาก เรื่องเคี้ยวหมากนี่กล่าวกันว่าเป็น
ธรรมเนียมที่สูงส่ง ทำให้เกิดธรรมเนียมอื่นๆตามมากับการกินหมาก
มากมาย การกินหมากทำใหร้ ิมฝปี ากแดง เปลีย่ นสีฟนั เป็นสีดำ
ลาลูแบร์เล่าว่า เมื่อผู้หญิงอยุธยาเห็นรูปผู้หญิงฝรั่งเศสปากแดง
ถึงกับอุทานว่า ที่ฝรั่งเศสคงมีหมากพันธุ์ดีกว่าสยามเป็นแน่แท้
๑๒
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
ในความคิดของคนสยาม ความสวยงามและความสะอาดต้องขึ้นอยู่กับ
การย้อมฟันให้ดำสนิทด้วยการกินหมาก แล้วอมมะนาวเปรี้ยวจัดเพื่อให้
ฟันอ่อนตัวสัก ๒ - ๓ ชิ้น จากนั้นถูด้วยเขม่าดำของมะพร้าวเผา ทำอยู่
อย่างนี้ประมาณ ๒ - ๓ วัน ในช่วงนี้จะกินอาหารแข็งและเผ็ดไม่ได้เลย
กระนั้นฟนั ก็มิได้ดำสนิทตลอด ตอ้ งหม่นั ใชก้ รรมวธิ นี ีอ้ ยูเ่ ร่ือยๆ ในลักษณะ
นี้ เป็นธรรมดาอยู่เองที่ฟันย่อมผุกร่อนก่อนอายุขัย ยังสงสัยกันอยู่ว่า
เศรษฐีอยุธยาจะยอมใส่ฟันปลอมสีดำที่รัชกาลท่ี ๔ แหง่ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์
นำมาใชเ้ ป็นของฟฟู่ ่าในศตวรรษที่ ๑๙ หรอื เปล่า
ลาลูแบร์ มีชีวิตอยู่ในกรุงศรีอยุธยาประมาณ ๒ เดือน ให้ความเห็น
ว่าการผิดประเวณีเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้หญิงสยาม ซึ่งตรงข้ามกับ
ผหู้ ญิงฝร่งั เศสโดยส้นิ เชงิ ลาลูแบร์ เปรยี บเทียบกับผูห้ ญิงในประเทศของ
ตนแล้ว ลงความเหน็ ว่า เหตทุ ีท่ ำให้ผูห้ ญิงสยามแสนบรสิ ุทธ์ิ ก็เพราะไม่มี
ชีวิตหรหู ราในสังคม ไม่มีเสื้อผา้ สวยๆ งามๆ ใส่ ไมไ่ ดไ้ ปดูหนังดูละครทีไ่ หน
ผู้หญิงสยามนั้นนอกจากจะไม่มีโอกาสมีชีวิตเสเพลอย่างผู้หญิงฝรั่งเศส
แลว้ ก็ยังไม่มีความปรารถนาในชวี ติ เชน่ นน้ั ด้วย ผหู้ ญงิ ระดับสูงเก็บตวั อยู่
แต่ในบ้าน นานๆจะไปเยี่ยมญาติหรือออกไปวัด นอกจากผู้หญิงสยามยัง
ตา่ งจากผู้หญิงมสุ ลมิ หรือฮินดทู ีไ่ ม่ตอ้ งคลุมหนา้ และเดนิ ไปไหนมาไหนได้
บ้าง ผู้หญิงสยามเห็นว่าการมีเสรีภาพเป็นเรื่องน่าอาย หากสามีจับได้ว่า
ภรรยาล่วงประเวณี มีสิทธิเข่นฆ่าและจับภรรยาไปขายได้ เช่นเดียวกับที่
ว่าพอ่ ขายลูกสาวให้เป็นโสเภณีได้ถ้าลกู สาวผิดประเวณี
๑๓
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
ผู้หญิงคือสมบัติของผู้ชาย ผู้ชายจะมีภรรยากี่คนก็ได้ โดยยกย่อง
เพียงคนเดียวขึ้นเป็นภรรยาหลวง ลูกภรรยาหลวงมีสิทธิตามกฎหมายที่
จะได้รับมรดกเท่าเทียมกัน ผิดจากประเพณีฝรั่งเศสที่เฉพาะบุตรชาย
คนโตเทา่ นัน้ ที่จะไดร้ ับมรดก อย่างไรก็ตามมโนคติของคำวา่ มรดกในสมัย
กรุงศรีอยุธยา ไม่แน่นอนเหมือนมรดกในประเทศฝรั่งเศสสมัยศตวรรษที่
๑๗ ในสยามมรดกตกทอดมักเป็นสิ่งของ ด้วยเหตุว่าที่ดินทั้งหมดเป็น
สิทธิของพระเจ้าอยู่หัว ใช้พระราชอาญาสิทธิ สั่งขาย ให้ หรือริบได้
หากตอ้ งพระราชประสงค์ โดยไม่นำพาตอ่ กฎหมาย คนส่วนมากจึงไม่นิยม
สะสมสมบตั ิ บางทีกซ็ ุกซอ่ นไว้มิใหใ้ ครล่วงรู้ กล่าวกันวา่ แม้แต่บา้ นกเ็ ป็น
สิ่งไม่จีรัง เพียงแต่พระเจ้าอยู่หัวประสงค์จะยิงปืนผ่านไปในบริเวณน้ัน
บา้ นจำนวน ๓ หลังกร็ าบพนาสรู ภายในพรบิ ตา ภรรยาน้อยและลกู ๆแม้จะ
ไม่มีสิทธิในมรดก แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดก หากทายาทใจดีอาจได้
แบ่งสมบัติบ้าง หากโชคร้ายก็จะถูกขายทอดตลาดไป ลูกสาวภรรยาน้อย
มักมคี นซ้ือไปเป็นภรรยานอ้ ยอกี ช่วงหนึง่
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในมุมมองของคนยุโรปที่เข้ามาเห็นสังคมไทยเม่ือ
๓๐๐ ปีก่อน ย่อมจะมีบางอย่างทำให้ประหลาดใจ แต่คนไทยอ่านแล้วก็
ประหลาดใจเหมือนกัน เพราะบางอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างพระเจ้า
แผ่นดินยิงปืนใส่บ้านราษฎร คนมาอยู่แค่ ๒ เดือนย่อมมองได้ไม่ทั่ว
บางอย่างก็ไปเก็บคำบอกเล่าระบายสีมาบันทึก อย่างไรก็ตามก็พอให้เห็น
ภาพสังคมของเราในยุคนั้น ซึ่งไม่ค่อยปรากฏในพงศาวดารที่บันทึกแต่
เรื่องราวของราชวงศ์และเหตุการณ์บ้านเมือง ไม่ได้บันทึกวัฒนธรรม
ประเพณีของชาวบ้าน ที่สำคัญคือคนไทยไม่ชอบบันทึกเหมือนชาวยุโรป
๑๔
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
เราจึงได้เรื่องราวจากคนยุโรปที่เข้ามาแล้วไปเขียนหนังสือขายไว้มาก แต่
บางอย่างก็มีความไม่เข้าใจ บางอย่างก็ใส่ไข่ให้มีรสชาติ จึงต้องใช้
วิจารณญาณกันตามสมควร
เรียบเรียงโดย
นายเศรษฐเนตร ม่ันใจจริง
นกั วชิ าการวฒั นธรรม
๑๕
ปกณิ กะ อยธุ ยา | เล่มที่ ๑
พระราชพิธบี รมราชาภิเษก
สัญลักษณ์แหง่ สมมตเิ ทวราช
∞∞∞∞∞∞∞∞∞
ระบอบการปกครองที่พระมหากษัตริย์เป็นผู้ที่มีสถานภาพอยู่
เหนือกว่าบุคคลธรรมดา ทำให้มีระเบียบพิธีการต่างๆ ที่บัญญัติขึ้น
ใชก้ ับพระมหากษตั ริย์ โดยเฉพาะ อีกทั้งยงั สะท้อนแนวคิดเรื่องสมมตเิ ทพ
เชิงสัญลักษณ์ไว้ด้วย ได้แก่ การถวายพระนามพระมหากษัตริย์
โดยการนำพระนามของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์มาถวาย เช่น
พระนเรศวร พระปรเมศวร์ พระรามาธิบดี พระนารายณ์ หรือการนำ
พระนามของพระพุทธเจ้ามาถวาย ตามคติตามพุทธศาสนาที่เชื่อว่า
พระมหากษตั ริย์คือพระโพธิสตั ว์ท่ีจะตรสั รู้เป็นพระพุทธเจา้ ในอนาคต เช่น
พระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระสรรเพชญ์ สมเด็จพระบรมราชา
หนอ่ พทุ ธางกรู
นอกจากนี้ยังมีการนับถือพระมหากษัตริย์เป็นพระอินทร์ ซึ่งเป็น
เทวดาที่ได้รับการนับถือทั้งในพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ โดยการ
นำคติความเชื่อเรื่องเขาพระสเุ มรุอันเปน็ ท่ีประทับของพระอินทร์ มาใช้ใน
เชิงสัญญลักษณ์ เช่น การสร้างพระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาท
ในพระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจมิ ) ได้กล่าวถงึ
รายระเอียดของการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาล
สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดริ าชาธิราช ไวว้ ่า
๑๖
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
เสด็จถึงประทับฉนวนน้ำแล้วเชิญเสด็จเข้าสู่พระราชวัง ครั้นได้
ศุภฤกษ์พิชัยดิถี จึงประชุมสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะ คามวาสี
อรัญวาสี มุขมนตรีโหราราชครู มอบเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์
ปราบดาภิเษกถวัลยราชประเพณี กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา
ทางพระนามสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า เสด็จขึ้น
ปราบดาภิเษก ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา พระราชวังบวรสถานมงคล
แล้วให้ข้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบถวายบังคมถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจา
ตามพระราชประเพณี
เครื่องเบญจราชกกธุ ภัณฑ์สมยั รัตนโกสนิ ทร์
(ท่ีมา : http://kingprajadhipokstudy.blogspot.com/2011/04/blog-post.html)
เรยี บเรยี งโดย
นายวฒุ พิ ันธ์ นวลสนิท
นกั วิชาการวัฒนธรรม
๑๗
ปกณิ กะ อยธุ ยา | เล่มที่ ๑
การสำเรจ็ โทษด้วยทอ่ นจันทน์
∞∞∞∞∞∞∞∞∞
การสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ เป็นวิธีการประหารชีวิต
พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ ปรากฏหลักฐานตั้งแต่สมัย
กรุงศรีอยุธยาตอนต้น โดยเริ่มในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
(พระเจ้าอู่ทอง) ในกฏมณเฑียรบาล กฏหมายตราสามดวงมาตรา ๑๗๖
บัญญัติการลงโทษพระมหากษัตริย์ เจ้าฟ้า และเจ้านายชั้นสูง ด้วยการ
ตีด้วยท่อนจันทน์ กฏหมายตราสามดวงได้บัญญัติการลงโทษ
พระมหากษตั ริย์และเจ้านายชนั้ สูงไวต้ อนหน่ึงว่า
“ถ้าแลโทษหนักถึงสิ้นชีวิตไซร้ ให้ส่งให้แก่ทลวงฟันแลนายแวงหลัง
เอาไปมล้างในโคกพญา นายแวงน่ังทับตักขุนดาบ ขุนใหญ่ไปนั่งดู
หมื่นทลวงฟันกราบ ๓ คาบตีด้วยท่อนจันทน์ แล้วเอาลงขุม นายแวง
ทลวงฟนั ผู้ใดเอาผ้าทรงแลแหวนทอง โทษถงึ ตาย เมอ่ื ตนี นั้ เส่ือขลบิ เบาะลอง”
ทลวงฟัน มีบัญญัติไว้ในกฎหมายตราสามดวง ส่วนพระอัยการ
ตำแหน่งนาพลเรือน นาทหารหัวเมืองว่า “หมื่นทลวงฟัน” มีหน้าที่เป็น
หน่วยรักษาความปลอดภัยและหน่วยจู่โจมในการประหารพระราชวงศ์
ดว้ ยท่อนจันทน์น้ี หมื่นทะลวงฟันมหี นา้ ที่เปน็ เพชฌฆาต
“นายแวงและขุนดาบ” เป็นชื่อตำแหน่งข้าราชการระดับหนึ่งมี
หน้าที่ล้อมวงพระมหากษัตริย์เพื่อถวายการอารักขาและมีหน้าที่ประสาน
กับชาวพนักงานฝา่ ยอืน่ ๆ นายแวงมียศสูงกว่าขนุ ดาบ
๑๘
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มที่ ๑
การประหารพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ด้วยท่อนจันทน์
นายแวงและขุนดาบมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในมณฑลพิธีประหาร
โดยเฉพาะนายแวงยังมีหน้าที่คุมตัวผู้ต้องโทษประหารไปยังสถานที่
ประหาร ในการควบคุมตัวดังกล่าว มาตรา ๑๗๕ ให้อำนาจนายแวง
สามารถจบั กุมผู้มีพฤตกิ รรมตอ้ งสงสัยไดท้ นั ที
“ขุนใหญ่” มีหน้าที่กำกับพระราชพิธีต่างพระเนตรพระกรรณ
เพื่อให้การเป็นด้วยความเรียบร้อย และมีหน้าที่อ่านประกาศพระบรม-
ราชโองการพระราชทานโทษประหารชีวิตในมณฑลพระราชพิธีก่อนจะเริ่ม
พิธปี ระหาร
จากคำให้การชาวกรุงเก่า บันทึกว่า การสำเร็จโทษเจ้านาย
เอาถุงแดงสวมตั้งแต่พระเศียรตลอดจนปลายพระบาทเอาเชือกรดั ให้แน่น
เอาท่อนจันทน์ทุบให้สิ้นพระชนม์แล้วใส่หลุมฝัง ให้เจ้าหน้าที่รักษาอยู่
๗ วัน หลักฐานการบันทึก ของเย เรเมียต ฟาน ฟรีท หรือ วัน วลิต
(ที่คนไทยเรียก) พ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์ของบริษัท ดัตช์ อีสต์อินเดีย
เป็นผู้อำนวยการการค้าของบริษัทอีสต์อินเดียในกรุงศรีอยุธยา ได้บันทึก
วิธกี ารประหารชวี ิตดว้ ยท่อนจนั ทนด์ ง้ น้ี
“เพชฌฆาตให้พระองค์นอนลงบนผา้ แดงและทบุ พระองคท์ ่ีพระนาภี
(ท้อง) ด้วยท่อนจันทน์ เป็นวิธีการสำเร็จโทษที่ใช้กันในประเทศสยาม
วิธีนี้ใช้กับเจ้านายในราชตระกูลเท่านั้น เสร็จแล้วเขาก็ใช้ผ้าห่อพระสรีระ
และไม้จันทน์โยนลงไปในบอ่ ทิง้ ให้พระศพเน่าเปอ่ื ยไป”
๑๙
ปกณิ กะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
ภาพสำเรจ็ โทษดว้ ยท่อนจันทน์ จนิ ตนาการจากกฎมณเฑียรบาล
โดย ธีรพนั ธ์ ลอไพบูลย์
(ทม่ี า : https://www.silpa-mag.com/history/article_18253)
ผู้รับโทษประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์เป็นพระมหากษัตริย์และ
พระราชวงศ์ที่ต้องโทษการเมือง เรื่องการชิงพระราชบัลลังก์ ผู้กระทำ
การสำเร็จจะส่งั ใหป้ ระหารพระมหากษัตริยอ์ งคเ์ ดมิ ตลอดจนพระราชวงศ์
บุคคลใกล้ชิดของพระมหากษัตริย์ เพื่อป้องกันการกลับมาแย่งชิงหรือ
แก้แค้น อีกกรณีหนึ่งคือการที่พระมหากษัตริย์สิ้นพระชนม์และมี
พระราชโอรสขึ้นครองราชย์ แต่มีบุคคลที่สามต้องการขึ้นครองราชย์
เช่นกัน จึงจำเป็นต้องมีการกำจัดพระราชโอรสและผู้เกี่ยวข้องให้พ้นทาง
๒๐
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มที่ ๑
การสำเร็จโทษพระมหากษตั รยิ ์และพระราชวงศ์น้นั จะมกี ฎวา่ จะตอ้ ง
ไม่ให้เลือดตกต้องแผ่นดิน จึงต้องมีการใส่ถุงแดงและมีเบาะรอง เพราะ
เช่ือว่าเลือดของพระมหากษัตริย์นั้นเป็นของสูง ไม่ควรให้ตกลง
สูพ่ นื้ ดิน
ขั้นตอนการสำเร็จโทษ นำร่างผู้ถูกสำเร็จโทษสวมถุงแดงตั้งแต่
พระเศียรจนถึงปลายพระบาท เอาเชือกมัดถุงให้แน่นเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใด
จับต้องพระวรกายและไม่ให้ผู้ใดเห็นพระศพ แม้แต่เพชฌฆาต
หมื่นทะลวงฟันทำการไหว้ครูและขอขมานักโทษ จากนั้นทุบด้วย
ท่อนจันทน์บนพระนาภี (ท้อง) คล้ายการตำข้าว เพียง 1 ครั้ง ให้สิ้น
พระชนม์ แล้วนำพระศพฝังในหลุมที่ขุดเตรียมไว้ โดยมีการจัดพนักงาน
เฝ้ารักษาหลุมฝังพระศพ ๗ วัน เพื่อให้มั่นใจว่าสิ้นพระชนม์หรือ
เป็นการป้องกนั การชิงพระศพแตจ่ ะไมม่ กี ารขดุ พระศพมาทำพิธี
ลักษณะของท่อนจันทน์ เป็นไม้ค้อนขนาดใหญ่ มีปลายด้านหน่ึง
ใหญ่กว่าอีกด้าน รูปร่างคล้ายสากตำข้าว ทำจากไม้จันทน์หอม หลังจาก
ทำพิธีประหารชีวิตเสร็จจะใส่ลงไปในหลุมศพด้วย ไม้จันทน์เป็นไม้ที่มี
กลิ่นหอม จัดเป็นไม้มงคลชั้นสูง เป็นไม้ที่มีค่าหายาก ใช้ในพระราชพิธี
ของพระมหากษัตริย์และเช้ือพระวงศ์ ไม้จันทน์แบ่งเป็นหลายระดับ
ไม้จันทน์ที่มีคุณภาพดีต้องสั่งซื้อมาจากต่างประเทศ เช่น จากติมอร์
จากเกาะโซโลมอน ซิมง เดอ ลาลูแบร์ บันทึกไว้ว่า ไม้จันทน์ที่ซื้อมาจาก
แถบน้จี ะมีสีขาว หรือสีเหลือง จะไม่มสี ีแดง
๒๑
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
สำหรับสถานทท่ี ี่ใช้ในการสำเรจ็ โทษ คอื วดั โคกพระยา จากหลักฐาน
ต่างๆ ปรากฏว่ามีวัดโคกพระยา ๒ แห่ง บริเวณทุ่งภูเขาทอง ๑ แห่ง และ
วัดโคกพระยาใกล้กับวัดหน้าพระเมรุอีกแห่ง นักประวัติศาสตร์หลายๆ
ท่าน มีความคิดเห็นแตกต่างกัน นักประวัติศาสตร์บางท่านแสดง
ความคิดเห็นว่าสถานที่สำเร็จโทษควรเป็นวัดโคกพระยาที่ตั้งอยู่
ทุ่งภูเขาทอง บางท่านให้เหตุผลว่าควรจะเป็นบริเวณใกล้วัดหน้าพระเมรุ
เพราะระยะทางใกล้วังหลวง เดินทางสะดวกปลอดภัยในการชิงตัวนักโทษ
ส่วนทุ่งภูเขาทองระยะทางในการเดินทางไกลจากวังหลวงประมาณ
๒.๕ กิโลเมตร อีกทั้งในสมัยกรุงศรีอยุธยามีการเดินทางไม่สะดวก
การเดินทางด้วยเรือจากแม่น้ำลพบุรี (คลองเมือง) ไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
เข้าคลองมหานาค ถึงวัดโคกพระยา อีกเส้นทางหนึ่งจากแม่น้ำลพบุรี
(คลองเมือง) ผ่านคลองวัดศาลาปูนเข้าคลองมหานาค ถึงวัดโคกพระยา
เสี่ยงต่อการชิงตัวนักโทษระหว่างทางได้ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีหลักฐานมา
ยนื ยันความเปน็ ไปไดข้ องวดั ทงั้ สองแห่ง
รายพระนามผทู้ รงถูกสำเรจ็ โทษดว้ ยท่อนจนั ทน์
๑.สมเดจ็ พระเจา้ ทองลัน พระมหากษตั รยิ ก์ รุงศรีอยุธยาองค์ที่ ๔
๒.พระรัษฐาธริ าช พระมหากษัตรยิ ์กรงุ ศรอี ยธุ ยาองคท์ ี่ ๑๒
๓.พระศรีเสาวภาค พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาองค์ท่ี ๒๐
๔.สมเดจ็ พระเชษฐาธิราช พระมหากษัตรยิ ์กรุงศรีอยุธยาองคท์ ่ี ๒๒
๕.สมเดจ็ พระอาทติ ยวงศ์ พระมหากษัตริยก์ รุงศรอี ยุธยาองคท์ ่ี ๒๓
๒๒
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มที่ ๑
๖.สมเด็จเจา้ ฟ้าไชย พระมหากษัตรยิ ์กรงุ ศรีอยุธยาองคท์ ่ี ๒๕
๗.สมเด็จพระศรีสธุ รรมราชา พระมหากษตั รยิ ์กรงุ ศรอี ยุธยาองคท์ ่ี๒๖
๘.เจ้าฟ้าอภัยทศและเจ้าฟ้าน้อยพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้า
ปราสาททอง
๙.เจ้าพระขวัญ พระราชโอรสในสมเด็จพระเพทราชาที่ประสูติแต่
กรมหลวงโยธาทิพ
๑๐.เจ้าฟ้าอภัยและเจ้าปรเมศร์ พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทา้ ยสระ
๑๑.พระองค์เจ้าชื่นและพระองค์เจ้าเกิด พระราชบุตรในกรมพระราชวัง
บวรเสนาพิทกั ษ์
๑๒.กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี
(เจา้ สามกรม) พระราชโอรสในสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั บรมโกศ
เรยี บเรยี งโดย
นางขนิษฐา พานชิ กุล
นกั วิชาการวฒั นธรรม
๒๓
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มที่ ๑
เจวด็ ไม้
∞∞∞∞∞∞∞∞∞
เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจบางคนอาจจะสงสัยว่ามันคืออะไร วันนี้เรา
มารูจ้ ัก กบั เร่อื งราวของ “เจว็ด” กนั ดีกวา่
หลายครั้งที่เคยได้ยินคำว่า “เจว็ด” และบ่อยครั้งที่ผ่านมาแล้วก็
ผา่ นไปไม่ได้ค้นหาความหมายว่าคืออะไร รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ไมไ่ ด้
ให้ความสนใจ นานวันเข้าทำให้เกิดความสนใจที่จะต้องค้นหาเสียแล้ว
เมื่อได้มีโอกาสไปพบเห็นเจว็ดขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ภายในพิพิธภัณฑสถาน
แห่งชาติ เจ้าสามพระยา จ.พระนครศรีอยุธยา ทำให้ได้รู้ว่า “เจว็ด”
หนา้ ตาแบบนี้นเี่ อง สง่ิ ต่อไปคือ การค้นหาความหมายของ “เจว็ด”
ตามคำอธิบายของราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของ “เจว็ด”
(อ่านว่า จะ-เหฺว็ด) เป็นคำเรียกแผ่นไม้รูปคล้ายใบเสมา แต่ทำทรงสูง
เพรียว ด้านหน้าวาดรูปหรือสลักเป็นภาพเทวดาถือพระขรรค์ เรียกว่า
รูปเทพารักษ์ บ้านที่มีศาลพระภูมิจะประดิษฐานเจว็ดนี้ไว้ในศาลพระภูมิ
เชื่อกันว่าพระภูมิจะช่วยคุ้มกันบ้านเรือนและดูแลผู้คนที่อยู่ในบ้านนั้น ให้
แคล้วคลาดจากภยั อันตรายต่างๆ
เจว็ดในสมัยโบราณนยิ มทำด้วยไม้มาแต่เดิมหรือเป็นดินเผา ซึ่งตา่ ง
จากปัจจุบันท่ีทำจากทองเหลือง มีความเชื่อกันว่าเจว็ดเป็นตัวแทนของ
พระชัยมงคล ซึ่งมีการสร้างที่ถอดแบบมาจากลักษณะของเทวดา
กล่าวคือ มือขวาถือพระขรรค์ มือซ้ายถือสมุด หรือถุงเงินถุงทอง
๒๔
ปกณิ กะ อยธุ ยา | เล่มที่ ๑
ซึ่งตามคติความเชื่อแล้ว สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวแทนของความร่ำรวยเงิน
ทองและสติปัญญาในการดำเนินชีวิต แต่กระนั้น การนำเจว็ดไป
ประดิษฐานในศาลพระภูมิ จะต้องได้รับการประกอบพิธีกรรม ปลุกเสก
เจวด็ ให้เป็นองคพ์ ระภูมิเสียกอ่ น
ในนิยามทางโบราณคดีหรือเรื่องราวเกี่ยวกับงานพระราชพิธี เจว็ด
คือรูปเทพารักษ์ที่ประดิษฐานไว้ในศาลพระภูมิหรือศาลที่สร้างข้ึน
ในการประกอบพิธีทางศาสนาและความเชื่อต่างๆ เช่น หากทำเป็นรูป
เทวดาถือคันไถ ก็จะใช้ในพิธีแรกนาขวัญ เช่น ที่จัดแสดงไว้ใน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สำหรับเจว็ดเป็นรูปเทวดาถือสมุด อีกมือหนึ่งถือแส้ มีความหมายคล้าย
กบั พระภมู เิ จา้ ท่ขี องจนี ซงึ่ มีหน้าที่รกั ษาทะเบียนมนุษย์ ผูใ้ ดในหมบู่ ้านซ่ึง
อยู่ในท้องที่พระภูมิดูแลรักษาอยู่ มีการทำบุญหรือทำบาปก็จะถูกจด
บันทกึ ไวใ้ นสมดุ ทะเบยี นน้นั ไว้
เจว็ดไม้
จดั แสดง ณ
พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ
เจ้าสามพระยา
๒๕
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มที่ ๑
ในตำราหนังสือโบราณหลายเล่มยืนยันว่า รูปปั้นเจว็ดที่ยังไม่ผ่าน
พิธีกรรมจะเป็นแค่แผ่นไม้ หรือดินธรรมดาเท่านั้น ไม่มีปาฏิหาริย์อย่างใด
และจะกลายเป็นพระภูมิหรือเทวดาที่เปี่ยมด้วยฤทธานุภาพได้ ก็ต่อเม่ือ
ได้รับการประกอบพิธีกรรมแล้วเท่านั้น เจว็ดจึงเปรียบเหมือนรูปเคารพ
ที่แฝงเร้นไปด้วยความเชื่อและการเคารพ นอกจากนี้ ความหมายของ
คำว่า เจว็ด ยังปรากฏในพจนานุกรมไทย มีความหมายว่า ผู้ที่ได้รับยก
ย่องให้เปน็ ใหญ่ แตไ่ รซ้ ่ึงอำนาจ
ทั้งนี้ อุปกรณ์ในการตั้งศาลเจ้าที่ที่สำคัญ ยังมีตุ๊กตาช้างม้า ตุ๊กตา
นางรำ อันเป็นทาสบริวารของศาลพระภูมิ ต้นโพธิ์เงิน ต้นโพธิ์ทอง
ฉัตรเงิน ฉัตรทอง ซึ่งจะประกอบให้ศาลพระภูมิมีความสมบูรณ์ตามคติ
ความเชื่อโบราณ
ตามคติพราหมณ์เชื่อว่า เทพารักษ์ทำหน้าที่พิทักษ์เหย้าเรือนและ
เขตที่ตั้งของบ้านผู้เป็นเจ้าของที่ดินตลอดจนผู้อาศัยให้พ้นภัยทั้งปวง
คติดังกล่าวน่าจะมาจากคัมภีร์ภาติวตั ปุราณะ เลา่ เรื่องนารายณ์อวตารใน
ปาง “วามนาวตาร” เพอื่ ปราบทา้ วพลีเจา้ นครบาดาล พราหมณจ์ ึงนับถือ
ท้าวพลีโดยตั้งอยู่ในฐานะเจ้าแห่งที่ดิน โดยในบทโองการบูชาเทวดามี
เนื้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า “โอมพระภูมิพระธรณี กรุงพลีเรืองฤทธ์ิ”
นอกจากนี้ตำนานพระภูมิเจ้าที่ซึ่งแต่งขึ้นเพิ่มเติมในสมัยหลังระบุว่า
ท้าวพลีมโี อรสทัง้ หมด ๙ องค์ โดยโอรสองค์โตนามพระชัยมงคล มีหน้าที่
รักษาเคหะสถานบ้านเรือน
๒๖
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
คตคิ วามเช่ือเก่ียวกับเจว็ดหรือภาพเทพารกั ษเ์ ช่นน้ี คงมีขึน้ อย่างช้า
ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เนื่องจากหลักฐานในคำให้การ
ขนุ หลวงหาวัด ระบวุ ่า
“ย่านป่าโทน มีร้านขายทับ โทน เรไร ปี่แก้ว จ้องหน่อง…
ศาลพระภมู ิ เจว็ดเขยี นเทวรูป เส่อื ลำแพน…”
และความนิยมในการตั้งศาลพระภูมิที่มีเจว็ดอยู่ภายใน ก็ยังคง
สืบต่อมายังสมัยรัตนโกสินทร์ด้วยรูปแบบของเจว็ดในบางแห่งอาจมี
ความแตกต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ตั้งเป็นสำคัญว่าอยู่ใน
สถานที่ใด เช่น หอแก้วศาลพระภูมิในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นอาคาร
ทรงไทยประเพณี ลักษณะของอาคารเช่นนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็น
ถึงระดับความสำคัญของศาลพระภูมิประจำพระบรมมหาราชวัง ภายใน
หอแก้วมีเจว็ดทั้งหมด ๕ แผ่น เขียนภาพพระอินทร์และภาพ
ท้าวจตุโลกบาล การเขียนภาพในลักษณะเช่นนี้บนเจว็ดดูจะแตกต่างจาก
เจว็ดทั่วๆ ไป อาจเป็นไปได้ว่าพระบรมมหาราชวังเป็นสถานที่ที่มี
ความสำคัญสูงสุด จึงต้องอาศัยเทพชั้นสูงคอยปกป้องคุ้มครอง ซึ่งต่าง
จากสถานที่อื่นๆ ที่มีความสำคัญน้อยกว่าจึงอาศัยเพียงเทพชั้นรองหรือ
เทพารักษ์ก็คงจะเพียงพอ หรืออีกนัยหนึ่งก็ชวนให้คิดว่ามีความสัมพันธ์
เชื่อมโยงกับราชธานีแห่งนี้ซึ่งมีนามว่ากรุงรัตนโกสินทร์ อันแปลว่าเมือง
แกว้ แหง่ พระอนิ ทร์
๒๗
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
หอแก้ว ศาลพระภมู ใิ นพระบรมมหาราชวัง
(ทมี่ า : topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2790271/K2790271.html)
นอกจากนี้ฝ่ายต่างๆ ในพระบรมมหาราชวัง ก็มีการตั้งศาลเจว็ดขึ้น
บชู าตา่ งหากดว้ ย โดยเจว็ดท่ีประตู อนั เป็นประตทู างเข้าพระราชฐานชั้นใน
เขียนเป็นภาพนางอัปสรนั่ง เจ้าหน้าที่ผู้เฝ้าประตูระบุว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่
สถิตอยู่ภายในเจว็ดของแต่ละประตูล้วนเรียกกันว่า “เจ้าแม่” ทั้งส้ิน
ประเด็นการเรียกขานนามว่าเจ้าแม่อาจเกี่ยวข้องกับการเป็นเทพรักษา
ทางเข้าฝ่ายใน ซึ่งผู้ที่อาศัยอยู่ภายในนอกจากกษัตริย์และเด็กชายที่ยังไม่
โกนจุกแล้ว นอกน้นั ล้วนแตเ่ ป็นสตรที ั้งส้ิน
ศาลพระภูมิจากอาคารบ้านเรือนทั่วๆ ไป แต่เดิมมักตั้งอยู่บริเวณ
ริมรั้วบ้าน ในปัจจุบันศาลพระภูมิไม่ได้จำกัดว่าต้องอยู่เฉพาะที่ริมรั้วบ้าน
เท่านั้น แต่อาจตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของตึกได้ด้วย ลักษณะเช่นน้ี
๒๘
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
อาจอธิบายได้ว่าแต่เดิมที่อยู่อาศัยมีอาณาบริเวณกว้างขว้างพอที่จะตั้ง
ศาลพระภูมิในเขตรั้วบ้านได้ แต่ในปัจจุบันที่อยู่อาศัยมักสร้างเป็นอาคาร
พาณิชย์ อีกทั้งยังนิยมอยู่ติดริมถนน จึงทำให้ไม่มีอาณาบริเวณพอ
สำหรับตั้งศาลพระภูมิ ดังนั้นตำแหน่งที่ตั้งจึงเปลี่ยนไปเป็นดาดฟ้าของ
อาคารแทน ด้วยเงื่อนไขของการปรับเปลี่ยนสภาพความเป็นอยู่ เป็นส่ิง
สำคัญที่ส่งผลให้คติความเชื่อเรื่องตำแหน่งที่ตั้งต้องปรับเปลี่ยนตามไป
ดว้ ย
วนั เวลาผ่านไปโลกเจริญไปด้วยเทคโนโลยี เจว็ดแทบจะเลอื นหายไป
กับกาลเวลา หลายท่านพักอาศัยอยู่ตามตึกสูง คอนโดมิเนียม ที่โอ่อ่าสูง
ตระหง่าน ทำให้การสร้างศาลพระภูมิที่มีเทพสถิตอยู่ในรูปของเจว็ดเริ่ม
เลอื นหายไป ความสำคญั ของศาลพระภมู ิและการเรยี นรเู้ รอื่ งเทพทป่ี กปกั
รักษาเคหาสถานจงึ หมดไป จะพบเหน็ “เจวด็ ” กนั ก็ตามพพิ ธิ ภัณฑฯ์ หรอื
บ้านโบราณเก่าแก่ ภายในงานพระราชพิธีหรือตามภาพถ่ายในหนังสือ
เท่าน้นั
เรยี บเรยี งโดย
นายเศรษฐเนตร ม่ันใจจรงิ
นกั วชิ าการวัฒนธรรม
๒๙
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
ตำนานแมซ่ อ้ื
∞∞∞∞∞∞∞∞∞
ในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่า ก่อนที่เด็กจะมาเกิดนั้นเคยมีแม่
ที่เป็นผีมาก่อน เมื่อเด็กทารกคลอดออกมาแล้วนั้น ถ้ามีคนทักว่าหน้าตา
น่ารักน่าเอ็นดู ผีผู้เป็นแม่ก็จะเกิดความเสียดายขึน้ มา และจะมานำตวั เด็ก
ทารกกลับคืนไป ดงั้ นัน้ คนโบราณจงึ ได้ทำกลอุบายหลอกผี พูดให้ตรงข้าม
กันว่าเด็กนั้นน่าเกลียดน่าชัง และถามหาให้คนมาซื้อเด็ก เราจึงเรียกว่า
"แม่ซื้อ" แต่บางความเชื่อนั้น แม่ซื้อ ก็คือเทวดาหรือผีที่คอยดูแลรักษา
เด็กทารก เชื่อว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาต้องมีแม่ซื้อประจำวันเกิด ส่วนใหญ่
เป็นผู้หญิงคอยดูแล เพื่อปกปักรักษาไม่ให้เด็กเจ็บไข้ได้ป่วย แม่ซื้อมี
๗ ตนอยปู่ ระจำวัน ไดแ้ ก่
วันอาทติ ย์ ชอ่ื วา่
“วจิ ติ รมาวรรณ” มหี วั เปน็ สิงห์
มีผิวกายสีแดง ถิ่นอาศยั อยบู่ น
จอมปลวก
๓๐
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
วนั จันทร์ช่อื วา่ “วรรณนงคราญ”
มีหัวเป็นม้า มีผิวสีขาวนวล
ถิ่นอาศัยอยู่ท่ีบอ่ นำ้
วนั องั คาร ชอื่ วา่ “ยกั ษบรสิ ุทธ์ิ”
มหี ัวเป็นมหิงสา (ควาย)" ผิวกาย
สีชมพู ถ่ินอาศยั อยูท่ ศ่ี าลเทพารกั ษ์
๓๑
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มที่ ๑
วันพุธ ชื่อว่า "สามลทัศ” มีหัว
เป็นช้าง ผิวกายสีเขียว ถิ่นอาศัยอยู่ท่ี
ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ
วันพฤหสั บดี ช่อื วา่ “กาโลทกุ ข์”
มีหัวเป็นกวาง มผี ิวกายสเี หลืองอ่อน
ถน่ิ อาศัยอยู่ทส่ี ระนำ้ หรือบอ่ นำ้ ใหญ่
๓๒
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
วันศุกร์ ชื่อว่า “ยักษ์นงเยาว์”
มีหัวเป็นโค ผิวกายสีฟ้าออ่ น ถิน่ อาศัย
อย่ทู ต่ี น้ ไทรใหญ่
วันเสาร์ ช่ือวา่ “เอกาไลย์”
มีหวั เปน็ เสอื ผิวกายสดี ำ ทกุ ตน
ทรงอาภรณ์ (เส้ือผา้ ) สที อง
ถิน่ อาศยั อยูท่ ศ่ี าลพระภูมิ
๓๓
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มที่ ๑
พิธีกรรมบูชาแม่ซื้อ เป็นการขอให้แม่ซื้อช่วยดูแลเด็กทารก
ให้หายจากอาการตกใจ สะดุ้งหวาดผวา และอาการเจ็บไข้ได้ป่วย
ความเช่ือเรื่องแม่ซ้ือนั้นมีด้วยกันหลายท้องถิ่น จงึ ทำใหพ้ ิธกี รรมเกีย่ วกบั
แม่ซื้อในแต่ละภาคนนั้ มคี วามแตกต่างกนั ออกไป เชน่
ภาคกลางและภาคอีสาน จะทำพิธีกรรมโดยการนำเด็กทารกมาใส่
กระด้งร่อน เพื่อบอกกล่าวแก่แม่ซื้อว่ามีคนรับลูกไปเลี้ยงแล้ว โดยกล่าว
ให้ทราบว่าว่า “สามวนั ลูกผี สีว่ ันลูกคน ลูกของใคร ใครเอาไปเน้อ”
ภาคเหนือ แม่ซื้อ หมายถึงเทวดาที่คุ้มครองเด็กทารกหรือเป็น
เทวดาประจำตัวทารก ซึ่งก็จะมี ๗ นาง แต่ละนางก็จะมีชื่อเรียก
และการแตง่ กายคลา้ ยกับทางภาคกลาง
ภาคใต้ แม่ซื้อ ไม่มีตัวตน จะมีฐานะเป็นเทวดาหรือภูตผีก็ไม่ปรากฏ
ชัด ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของทารกตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ ๑๒ ปี มีด้วยกัน
๔ ตน เปน็ ผหู้ ญงิ ชื่อ ผุด ผัด พดั และผล
เรยี บเรยี งโดย
นางสาวดาวษิ า สวุ รรณศรยั
นักวชิ าการวัฒนธรรม
๓๔
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มที่ ๑
เส้ือผ้าและการแต่งกายของชาวอยุธยา
∞∞∞∞∞∞∞∞∞
ลาลูแบร์ เลา่ ไวใ้ นบนั ทึกว่า “ชาวบา้ นกรงุ ศรอี ยธุ ยาโดยทัว่ ไปไม่สวม
เสื้อทั้งชายและหญิง มีเพียงผู้หญิงที่มั่งมีเท่านั้นที่มีสไบผืนเดียวห่มไว้
หรือหากต้องการปกปิดร่างกายให้มิดชิดมากขึ้น ก็จะใช้ผ้าไขว้คาดปิด
หน้าอก หรือที่เรียกวา่ ห่มตะแบงมาน”
ผ้านุ่งของทั้งชายและหญิงใช้ผ้าผืนเดียว เป็นผ้ามีดอกดวงหรือ
ผา้ ไหมสีพนื้ เกล้ยี งๆ หรือทอทรี่ มิ ผา้ เป็นลายทอง ลายเงนิ โดยผชู้ ายจะนงุ่
คล้ายโจงกระแบน ส่วนผู้หญงิ จะนุ่งแบบผ้าถุง
ภาพการแต่งกาย
ของชาวอยุธยา
(ทม่ี า : จดหมายเหตุลา ลแู บร์
พ.ศ. ๒๒๓๖)
๓๕
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มที่ ๑
สำหรับขุนนาง ลาลูแบร์อธิบายว่าจะสวมเสื้อครุยผ้ามัสลินที่เป็น
เหมือนเสือ้ ชั้นนอกหรือเส้ือคลุม เส้ือแบบนีไ้ ม่มีคอเสื้อ แขนเสื้อยาวเกือบ
ถึงข้อมือ เมื่อใส่จะแหวกเปดิ ใหเ้ หน็ หน้าอก หากตอ้ งเข้าพบขนุ นางที่มียศ
สูงกว่า ต้องถอดเสื้อคลุมนี้ออก แล้วม้วนพันไว้ที่เอว เมื่อจะเข้าเฝ้า
พระมหากษัตริย์ ขุนนางจะใส่ “ลอมพอก” ซึ่งเป็นหมวกสูงยอดแหลม
คล้ายชฎา มีสายผกู รดั ไวใ้ ตค้ าง
เรยี บเรยี งโดย
นายเศรษฐเนตร มน่ั ใจจริง
นกั วชิ าการวฒั นธรรม
๓๖
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
พิธีโสกันต์เจา้ ฟ้าในสมยั กรุงศรอี ยุธยา
∞∞∞∞∞∞∞∞∞
พิธีโสกันต์ คือ พิธีโกนจุกของเด็กที่กำลังเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โดยจะขอ
นำเสนอหลักฐานพิธีโสกันต์ของ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร กษัตริย์องค์ท่ี
๓๓ ของกรงุ ศรีอยธุ ยาทค่ี รองราชยเ์ ม่อื พ.ศ. ๒๓๐๑ รายละเอียดดงั น้ี
พระฤกษ์โสกันต์ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอุทุมพรบวรราช
กุมาร โปรดให้ทำเขาไกรลาศขึ้นที่ท้องสนามหลวงหน้าพระที่น่ัง
วิหารสมเด็จมหาปราสาท สูงเจ็ดวา มีมณฑปยอดเขา มีราชวัตร ฉัตร
เครื่องสูงล้อมมณฑป พระมณฑปยอดเขาตั้งระย้ากิ่งทองคำมีกิ่งข้างล่าง
หกกิ่งน้ัน เป็นรูปเทพธิดาถวายกร ชั้น ๒ สี่กิ่งทำเป็นรปู เทพบตุ รถวายกร
มีภู่กิ่งทองคำห้อยทุกกิ่ง ชั้น ๓ เป็นโกฏทองคำลงยาราชาวดี บรรจุ
พระบรมธาตุเรียกว่า ระย้าฉัตรไชย สำหรับตั้งในการพระราชพิธีใหญ่ๆ
ที่มีเทียนไชย ข้างมณฑปใหญ่มีมณฑปน้อยสองข้าง ตั้งพระไชยน้อยซ้าย
ขวา พระสิหิงค์เป็นประธาน มีเครื่องทรงนมัสการโต๊ะรวม ๔ ขา
พานสองชั้นเครื่องหนึ่ง มณฑปน้อยเหนือตั้งพระอิศวร พระอุมา
พระพิฆเนศวร มณฑปใต้ตั้งพระนารายณ์ พระลักษณมี พระมเหศวร
มีเครื่องทรงนมัสการทั้งสองแห่งในพระมณฑปใหญ่ มีบ่อน้ำมนต์ศิลา
อ่อนตั้งน้ำพระปริต มีพระสงฆ์สวด ๕ รูป มณฑป ๔ มุม มีรูปหุ่นเครื่อง
ทองคำท้งั ๔ มุม
๓๗
ปกณิ กะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
มณฑปมีสระอโนดาตแลทอ่ ไขน้ำออกจากปากสัตว์ทัง้ ๔ คอื ราชสีห์
โค ช้าง ม้า และรูปสัตว์จตุบาท ทวิบาทในป่าหิมพานต์ต่างๆ พระยาครุฑ
กินนร พระยานาค พระยาช้างอัฐทิศ ซึ่งสถิตอยู่ตามทิศเชิงเขาเมรุมาศ
ประดับแต่งไว้ในบรเิ วณทกุ ประการ
พระที่นั่งวิหารสมเด็จมหาปราสาท
(ทีม่ า : http://virtualhistoricalpark.finearts.go.th)
ครั้นการเสร็จแล้ว เวลาบ่ายตั้งกระบวนแห่เครื่องขาว
เกณฑ์จตุสดมภ์และมุขมนตรี ที่ได้รับพระราชทานพานทองเป็นเครื่อง
อิสริยยศเป็นคู่เคียงแห่ไปฟังพระสงฆ์เจริญพระปริตที่พระที่นั่งสรรเพชร
มหาปราสาท รุ่งขึ้นเวลาเช้าพระกฤษ์ได้โสกันต์บนพระที่นั่งสรรเพชรมหา
ปราสาท เนื้อผ้าที่ปักเป็นราชสีห์ มีเทพชุมนุมแล้วเสด็จกลับลงไปสรงน้ำ
สระอโนดาตไหลออกจากปากสัตว์ทั้ง ๔ ครั้นสรงแล้ว ก็ทรงผลัดที่
พลับพลาน้อยทิศหรดี ทรงภูษาจีบเขียนลายทอง ฉลองพระองค์คลุม
เฉวียงพระอังษา เจ้าพระยาอรรคมหาเสนาบดี เจ้าพระยาอภัยมนตรี
๓๘
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
จงู พระกรคนละข้างเสด็จขึน้ ไปทางปัจจมิ ทิศบนพระมณฑปยอดเขาไปเฝ้า
พระอิศวร ครั้งนั้นเจ้าฟ้านาคราชกรมขุนพิลาศินีแต่งพระองค์ทรงเครื่อง
เป็นพระอิศวรประทานน้ำมหาสังข์ทักษณาวัตร แล้วประทานเครื่องบน
มณฑป
พระท่ีนั่งสรรเพชรมหาปราสาท
(ท่มี า : http://virtualhistoricalpark.finearts.go.th)
เสร็จแล้วอรรครมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ทั้งสองเชิญเสด็จกลับลงมา
ทางบนั ใดทางทศิ ทักษนิ กระบวนแห่กผ็ ลัดเครอ่ื งแดงทง้ั สนิ้ เสด็จประทับ
ที่เกย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จส่งขึ้นพระที่นั่งพุดตานตาม
โบราณราชประเพณีโสกันต์เจา้ ฟ้า แห่เวยี นประทักษิณเขาไกลาศสามรอบ
ก็แห่เข้าพระราชวังทางประตูไชยมงคลไตรภพชนม์ ครั้นเวลาบ่าย
ตั้งบายศรีแก้ว บายศรีทอง บายศรีเงิน แห่เครื่องแดงไปสมโภชน์
เวียนพระเทยี น บนพระท่ีนั่งบรรยงกร์ ัตนาสนม์ หาปราสาท เสด็จนั่งเหนือ
พระแท่นราชอาสน์ ปัดเป็นรูปราชสีห์ เวียนเทียนแล้วก็แห่เสด็จ
๓๙
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มที่ ๑
กลับเข้าไปพระราชวังทางประตูพิมานมงคลข้างศาลาลวด เวลาบ่ายก็แห่
มาสมโภชอีกสองวันเป็นสามเวลา พระราชทานเงินทองเป็นของสมโภช
แล้วพระราชวงศานุวงศ์ เสนาบดีก็พากันสมโภชตามผู้ใหญ่ผู้น้อย
ครั้นเวลาสุดท้ายแห่ผอบซึ่งไว้พระเกศาเป็นกระบวนเรือลงไปลอยน้ำ
ที่ท้ายวดั ไชยวัฒนาราม เปน็ การเสรจ็ พธิ ี
พระท่ีนงั่ บรรยงก์รัตนาสน์มหาปราสาท
(ทมี่ า : http://virtualhistoricalpark.finearts.go.th)
เรียบเรยี งโดย
นางธนภรณ์ เกษมสวสั ด์ิ
นักวชิ าการวฒั นธรรม
๔๐
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มที่ ๑
ปลาตะเพยี น
∞∞∞∞∞∞∞∞∞
ปลาตะเพียน เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง หนวดสั้น เกล็ดสีขาวเงิน
ขอบเรียบ ลำตัวสั้นป้อม แบนข้าง เช่น ตะเพียนขาว ตะเพียนทอง
ตะเพียนทองแดง หรือกระแห บางชนิดมีลำตัวเรียวเช่น ตะเพียนทราย
ลักษณะเด่นของปลาตะเพียนคือเป็นปลาที่มีก้างมาก เมื่อใช้ทำอาหารจึง
มักตม้ ให้เป่ือย ทอดใหก้ รอบ หรอื ใช้ทำปลาส้มเป็นตน้
ปลาตะเพียนขาว
(ท่มี า : www.chiangmainews.co.th/page/archives/510341/)
๔๐
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มที่ ๑
ปลาตะเพียนเป็นปลาที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในสมัยอยุธยา
ตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ กษัตริย์องค์ที่ ๓๑
ของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ถูกกล่าวหาว่าเป็นกษัตริย์ที่ทรงประพฤติผิด
ศีลธรรม ชมชอบเสด็จประพาสทรงเบ็ดตกปลาเหมือนพระราชบิดาคือ
สมเด็จพระเจ้าเสือ นอกจากนั้น พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระยังพอพระทัย
เสวยปลาตะเพียนอย่างมากยิ่ง ถึงกับมีคำสั่ง “ห้ามมิให้คนทั้งปวง
รับประทานปลาตะเพียนเป็นอันขาด” หากฝ่าฝืนต้องถูกปรับเป็นเงิน ๕
ตำลงึ หรอื ๒๐ บาท ซึ่งเปน็ ค่าปรบั ทแ่ี พงมากในสมัยน้นั
ตำนานเรื่องปลาตะเพียนที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร
กรุงศรีอยุธยานี้ ดูจะแสดงนัยทางสังคมการเมืองของการเป็นกษัตริย์
ของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระที่ถูกกล่าวหาว่าทรงเป็นกษัตริย์ที่ไม่มีศีล
ไม่มีธรรม รงั แกไพรฟ่ ้าแม้แตใ่ นเรอ่ื งปลาตะเพยี น
ปลาตะเพียนนั้นยังนิยมใช้เป็นแบบจักสานที่ทำจากใบลานหรือใบ
มะพร้าว เป็นเครื่องห้อยประดับบ้านหรือห้อยบนเปลเด็ก เคยเป็น
สัญลักษณ์หนึ่งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันเครื่องจักสาน
ปลาตะเพยี นหมดความนยิ มลงไปอยา่ งมาก
เรียบเรยี งโดย
นายเศรษฐเนตร มน่ั ใจจรงิ
นักวิชาการวฒั นธรรม
๔๑
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
กฎมณเฑียรบาลเก่ียวกบั พระมหากษัตริย์
แหง่ กรงุ ศรอี ยุธยา
∞∞∞∞∞∞∞∞∞
กรุงศรีอยุธยามีกฎมณเฑียรบาลที่ตราขึ้นเพื่อใช้ระหว่าง
พระมหากษัตริย์กับพสกนิกร โดยปรากฏหลักฐานการมีกฎหมายตั้งแต่
สมัยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง อาทิ กฎหมายลักษณะผัวเมีย เพื่อบังคับใช้ให้
สงั คมมคี วามสขุ และมขี ่อื มีแปต่อบ้านเมือง
จวบจนรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ทรง
ตรากฎหมายรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางของราชธานี อาทิ
กฎมณเฑียรบาล ที่สืบทอดต่อเนื่องกันมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
กฎหมายเหล่านี้มีลักษณะให้พระมหากษัตริย์เปรียบเหมือนสมมติเทพ
และมีช่องว่างกับราษฎร แต่พระองค์ก็ยังคงต้องเปี่ยมล้นด้วย
ทศพิธราชธรรม ตวั อยา่ งกฎท่ีสำคญั อาทิ
- ห้ามราษฎรมองพระองค์ทา่ นระหวา่ งทางเสด็จ
- ห้ามจับเนือ้ ตอ้ งตัวพระราชวงศ์
- นายท้ายเรือพระที่นั่งห้ามทำโขนเรือหัก มีโทษถึงตาย
(กรณพี นั ทา้ ยนรสงิ ห)์
- ระหว่างพระราชพิธีหลวง ให้มหาดเล็กคอยถือพระแสงดาบให้
พระมหากษตั รยิ ์ ถา้ ละเมิดมีโทษถงึ ตาย
๔๒
ปกณิ กะ อยธุ ยา | เล่มท่ี ๑
อีกทั้งกฎหมายสำหรับที่ประทับในพระราชวังหลวงเพื่อความ
ปลอดภัยของพระองคแ์ ละมใิ ห้กอ่ ความรำคาญ อาทิ
- หา้ มราษฎรกนิ ปลาตะเพยี น(สมยั พระเจา้ ทา้ ยสระ)
- พายเรือผ่านพระราชวังห้ามคลุมหัว ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามเล่น
สกั วา เพลงเรอื
- ห้ามเลน่ ว่าวบนิ เหนือพระราชวงั
- ให้มขี ุนโขลนฝา่ ยในเปน็ สตรลี ้วนคอยดแู ลรกั ษาประตูวงั
- ห้ามสามัญชนออกลกู ในวงั
- หา้ มผู้ชายเข้าพระราชฐานช้ันใน
และข้อกำหนดบทพระอยั การตา่ งๆอีกมากมาย อาทิ
- เวลาเขา้ เฝ้าบุรษุ ต้องถอดเสือ้ และห้ามพกอาวธุ
- พระบังคน(อุจจาระ) ให้มหาดเล็กใส่กระทงไปจำเริญในน้ำ
(ลอยนำ้ )
บทลงโทษ อาทิ ทดสอบความจริงให้จำเลยดำน้ำลยุ ไฟ
กฎหมายเหล่านี้บางครั้งต้องปรับปรุงตามกาลสมัยและ
ความถูกต้องเหมาะสม เมื่อมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีการล้มเลิกกฎหมายเกา่ เพื่อให้เข้ากับอารยธรรม
๔๓
ปกิณกะ อยธุ ยา | เล่มที่ ๑
ตะวันตกที่แพร่เข้ามาสู่สยาม นำความเจริญมาสู่ประเทศไทยตามลำดับ
อกี ทงั้ พธิ กี ารทตู ด้วย
การตรากฎหมายสมัยอยุธยายึดตามหลักศาสนาและความเชื่อของ
เขมรและอินเดียโบราณ ซึ่งเราได้รับจากการติดต่อสัมพันธไมตรีระหว่าง
กัน มที ้ังความสขุ และความทุกขต์ ามสมัยนยิ ม
พระราชวังหลวง เป็นศนู ยร์ วมการปกครองของกรุงศรีอยธุ ยา
หนงั สืออ้างอิง : นำชมอทุ ยานประวัตศิ าสตร์พระนครศรีอยธุ ยา
พระราชวังหลวงกรงุ ศรอี ยุธยา โดย ประทปี เพง็ ตะโก
เรียบเรยี งโดย
นายวุฒพิ นั ธ์ุ นวลสนิท
นักวิชาการวัฒนธรรม
๔๔
ปกิณกะ อยุธยา | เล่มที่ ๑
พธิ ศี พในสมัยอยุธยา
∞∞∞∞∞∞∞∞∞
ลาลูแบร์ เล่าถึงพิธีศพของชาวสยามไว้ว่า เมื่อมีคนตายจะนำศพใส่
โลงไม้ที่ทาดา้ นนอกด้วยยางรัก และบางครัง้ ก็ปิดด้วยทอง การทายางรัก
คือการเคลือบโลงเพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นของศพหลุดลอดออกมา
อย่างไรก็ตามวิธีนี้ไม่ได้ผลเสมอไป จึงมีวิธีการทำให้ศพไม่เหม็นอีกทาง
หนึ่ง คือการนำปรอทมากรอกปากศพ เพ่ือใหป้ รอทไหลลงไปทำลายลำไส้
ไมใ่ หม้ กี ล่ินเหม็น จากน้ันจงึ ตง้ั ศพไวท้ ่บี ้าน มพี ระมาสวดทกุ คนื
หลังจากนั้นจะเคลื่อนศพไปเผาที่บริเวณท้องนาใกล้วัด ญาติพี่น้อง
ท่ีเดนิ ตามขบวนศพจะใส่ชุดสีขาว คลมุ ศรี ษะด้วยผ้าขาว เมือ่ ถงึ ตำแหนง่ ที่
จะเผา ต้องนำศพออกจากโลง แล้วเผาด้วยไม้หอม เช่น ไม้จันทน์
ไมก้ ฤษณา
สำหรับบริเวณเชิงตะกอนที่เผาศพ จะล้อมรั้วไม้ไผ่เป็นรูปสี่เหลี่ยม
จัตุรัสประดับด้วยกระดาษสี กระดาษทอง ตัดเป็นรูปบ้าน รูปสัตว์
เครื่องใช้ หากเป็นผู้มีความมั่งคั่งหรือเกียรติยศสูง มักทำฐานของ
เชิงตะกอนให้สูงตามฐานะของผู้ตาย เช่น เมรุมาศของพระอัครมเหสี
พระองค์หนึ่ง ทำฐานพระจิตกาธานสูงมากจนถึงกับต้องขอยืมเครื่องมือ
จากชาวยุโรป เพื่อใช้ในการอัญเชิญพระโกศขึ้นสู่พระจิตกาธาน ส่วน
ในงานเผาศพมักมีการแสดงมหรสพ เชน่ โขน ระบำ เปน็ ต้น
๔๔
ปกณิ กะ อยุธยา | เล่มท่ี ๑
หลังจากฌาปนกิจเสร็จแล้ว จะนำเถ้ากระดูกไปฝังไว้ใต้เจดีย์ที่อยู่
รายรอบอโุ บสถ บางคร้งั กน็ ำอญั มณีและสง่ิ มคี า่ ฝงั รวมไปดว้ ย
พธี ศี พดงั กลา่ วน้ี เปน็ พธิ ขี องบุคคลท่มี อี นั จะกิน แต่สำหรบั ชาวบา้ น
สามัญทั่วไป มักไม่มีพิธีรีตองใหญ่โต โดยมากจะนำไปฝังหรือบางคน
นำศพไปทิ้งให้แร้งกามาทึ้งกิน นอกจากน้ีศพที่ตายโหง เช่น ตายด้วย
โรคระบาด ถูกประหารชีวิต ทารกที่ตายในครรภ์ ตายทั้งกลม จมน้ำตาย
หรือตายด้วยอุบัติเหตุ ก็จะใช้การฝังไม่มีการเผา เนื่องจากเชื่อกันตาม
แบบโบราณว่าเป็นเพราะบาปเคราะห์
ลาลูแบร์ยังเล่าอีกว่า หากบุคคลที่เคยฝังศพบุพการีของตนไว้
ต่อมาเกิดได้ดิบได้ดี มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ก็มักขุดศพ
บุพการีของตนขึ้นมาประกอบพิธีปลงศพอีกครั้งอย่างใหญ่โตให้สมฐานะ
ด้วย
เรยี บเรยี งโดย
นายเศรษฐเนตร มน่ั ใจจรงิ
นกั วิชาการวฒั นธรรม
๔๕