The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aust10thammarong.pon25, 2022-03-11 01:16:26

หนังสือแบบเรียน ดนตรี-นาฏศิลป์ ม.3

ดนตรี-นาฏศิลป์ ม.3

Keywords: ดนตรี-นาฏศิลป์ ม.3

แจกฟรีเฉพาะครูผูส้ อน

คมู่ อื ครู อจท.

ใชป้ ระกอบการสอนค่กู บั หนงั สอื เรียน

เพมิ่ วิธกี ารสอนเพ่อื ยกผลสัมฤทธิ์

ผ่านกระบวนการเรียนรู้ 5Es

เพ่ิม กิจกรรมการเรยี นรู้ 5 ข้นั
Big Five Learning

เพ่ิม ข้อสอบเนน้ การคดิ เพอื่ พฒั นา

การเรียนรอู้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ

ใหม่ กิจกรรมบูรณาการทักษะชวี ิต
และการทำงานตามแนวคดิ

เศรษฐกจิ พอเพยี ง

ภาพปกนม้ี ขี นาดเทา่ กบั หนงั สอื เรยี นฉบบั จรงิ ของนกั เรยี น

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

ñ˹Nj ¡ÒÃàÃÕ¹÷ŒÙ Õè ÊÒúÑÞ ñ-ñò

´¹µÃ¡Õ ºÑ 椄 ¤ÁáÅÐÇ²Ñ ¹¸ÃÃÁ ò
õ
● ÍÔ·¸Ô¾Å¢Í§´¹µÃ¡Õ ºÑ º¤Ø ¤ÅáÅÐÊѧ¤Á ñð
● »˜¨¨Ñ·Õè·Òí ãËŒ§Ò¹´¹µÃäÕ ´ÃŒ ºÑ ¡ÒÃÂÍÁÃºÑ ¨Ò¡Ê§Ñ ¤Á
● ͧ¤»ÃСͺ·ÕèãªãŒ ¹¡ÒÃÊÃÒŒ §ÊÃ䧏 Ò¹´¹µÃÕ

ò˹‹Ç¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙ·Œ èÕ ·¡Ñ Éд¹µÃÕä·Â ñó-óô

● ÇÔÇ²Ñ ¹Ò¡Òâͧ´¹µÃÕä·Âã¹áµÅ‹ ÐÂؤÊÁÂÑ ñô
● ·Ñ¡Éо¹×é °Ò¹·Ò§´¹µÃÕä·Â ñù
● ¡Òýƒ¡»¯ÔºµÑ Ôà¤Ãè×ͧ´¹µÃÕä·Â : ¢ÁÔ òñ
● ËÅÑ¡¡ÒÃáÅÐÇÔ¸Õ¡ÒèѴáÊ´§´¹µÃÕä·Âã¹ÇÒÃеҋ §æ
òø

ó˹Nj ¡ÒÃàÃչ̷٠èÕ ·¡Ñ Éд¹µÃÊÕ Ò¡Å óõ-÷ø

● ÇÔÇѲ¹Ò¡Òâͧ´¹µÃÕÊÒ¡Åã¹áµ‹ÅÐÂ¤Ø ÊÁÑ óö
● ·¡Ñ Éо¹é× °Ò¹·Ò§´¹µÃÊÕ Ò¡Å ôø
● ¡ÒúÃÃàŧà¤ÃèÍ× §´¹µÃÊÕ Ò¡Å : äÇâÍÅÔ¹ öñ
● á¹Ç·Ò§¡ÒûÃо¹Ñ ¸à¾Å§ÍÂÒ‹ §§‹Ò ö÷
● ËÅÑ¡¡ÒÃáÅÐÇ¸Ô Õ¡ÒèѴáÊ´§´¹µÃÊÕ Ò¡Åã¹ÇÒÃеҋ §æ ÷ô

ô˹‹Ç¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃŒ·Ù èÕ ¹Ò¯ÈÔŻአÅСÒÃÅФáѺªÇÕ ÔµÁ¹Øɏ ÷ù-ùð

● ¤ÇÒÁÊÁÑ ¾¹Ñ ¸¢ ͧ¹Ò¯ÈÔÅ»ŠáÅСÒÃÅФáѺªÕÇµÔ Á¹ÉØ Â øð
● ¤³Ø ¤Ò‹ áÅлÃÐ⪹¢Í§¹Ò¯ÈÅÔ »ŠáÅСÒÃÅФà øñ
● º·ºÒ·¢Í§¹Ò¯ÈÔÅ»ŠáÅСÒÃÅФÃ㹪ÇÕ µÔ »ÃШÒí Ç¹Ñ øõ
● á¹Ç·Ò§¡ÒÃÊ׺ÊÒ¹áÅÐ͹ÃØ ¡Ñ ɹ Ò¯ÈÔŻአÅСÒÃÅФà ø÷

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

õ ·¡Ñ ÉÐ㹡Òýƒ¡ËÑ´¹Ò¯ÈÅÔ »Šä·Â ùñ-ññö

Ë˹Nj ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙŒ·èÕ ùò
● ¹Ò¯ÂÈ¾Ñ ·· ãèÕ ªãŒ ¹¡ÒÃáÊ´§¹Ò¯ÈÔÅ»äŠ ·Â ñðù
● ËÅÑ¡¡ÒûÃдÉÔ °· Ò‹ ÃíÒáÅз‹Ò·Ò§»ÃСͺ¡ÒÃáÊ´§ ññò
● ÀÒÉÒ·‹ÒÃíÒ·ÕèãªãŒ ¹¡ÒÃÃÒí ǧÁҵðҹ ññô
● ËÅ¡Ñ ¡ÒûÃдÔɰ͏ »Ø ¡Ã³» ÃСͺ¡ÒÃáÊ´§
ññ÷-ñóø
ö˹‹Ç¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙŒ·èÕ ·¡Ñ Éзҧ¹Ò®ÈÔÅ»Šä·Â
ññø
● ·¡Ñ Éо×é¹°Ò¹·Ò§¹Ò¯ÈÔÅ»äŠ ·Â ñóö
● ËÅÑ¡¡ÒÃÇÔ¨ÒÃ³à »ÃÕºà·Õº§Ò¹¹Ò¯ÈÔÅ»äŠ ·Â

÷ ·Ñ¡Éзҧ¡ÒÃÅФà ñóù-ñõö

˹Nj ¡ÒÃàÃÕ¹÷ٌ Õè ñôð
● ¡ÒÃáÊ´§ÅФà ñôñ
● ·Ñ¡ÉÐ㹡ÒÃáÊ´§ÅФÃÃíÒáÅÐÅФ÷äÕè Á‹ãª·Œ ‹ÒÃíÒ ñôù
● ·¡Ñ ÉÐ㹡ÒþѲ¹Òû٠Ẻ¡ÒÃáÊ´§ÅФà ñõò
● ¡ÒÃàÅÍ× ¡º·ÅФÃ
ñõ÷-ñ÷ð
ø à·¤¹¤Ô ¾×¹é °Ò¹ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃáÊ´§ÅФÃ
ñõø
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹÷ŒÙ Õè
● ¡Òè´Ñ ¡ÒÃáÊ´§ÅФà ñöñ
● ¡ÒÃÍ͡ẺáÅÐÊÌҧÊÃäà¤ÃèÍ× §áµ‹§¡Ò ñöö
áÅÐÍØ»¡Ã³»ÃСͺ¡ÒÃáÊ´§
● ¡ÒÃᵋ§Ë¹ÒŒ à¾×èÍ¡ÒÃáÊ´§ÅФà ñ÷ñ-ñ÷ò

ºÃóҹءÃÁ

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Engage

Explore Explain Expand Evaluate

เปา หมายการเรยี นรู

1. เปรยี บเทยี บองคป ระกอบทีใ่ ชใ น
งานดนตรแี ละศลิ ปะอน่ื

2. อธบิ ายเก่ยี วกบั อทิ ธิพลของดนตรี
ท่มี ตี อ บุคคลและสังคม

3. อธิบายลกั ษณะเดน ทท่ี าํ ใหงาน
ดนตรนี น้ั ไดร ับการยอมรบั

ñหน่วยท่ี กระตนุ ความสนใจ

ดนตรกี ับสงั คมและวัฒนธรรม ใหน ักเรยี นอา นกลอนบทละคร
เรือ่ งเวนสิ วานิช พระราชนพิ นธใน
ตัวช้วี ดั ดนตรีเปนงานสรางสรรคของมนุษย พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกลาเจา
อยูห วั (รชั กาลที่ 6) ตอนทีต่ วั ละคร
■ เปรยี บเทยี บองคประกอบที่ใชใ นงานดนตรแี ละศลิ ปะอ่นื (ศ ๒.๑ ม.๓/๑) ท่ีมีเปาหมายในการนํามาใชเพ่ือประกอบ กลา วถงึ ความสําคัญของดนตรวี า
■ อธิบายเกี่ยวกบั อิทธพิ ลของดนตรที ม่ี ตี อ บคุ คลและสงั คม (ศ ๒.๑ ม.๓/๖) กจิ กรรมตา งๆ ในชวี ติ ประจาํ วนั หรอื เพอ่ื ความ
■ อภิปรายลกั ษณะเดนทีท่ าํ ใหง านดนตรนี ้นั ไดรับการยอมรบั (ศ ๒.๒ ม.๓/๒) “ชนใดไมมดี นตรีกาล
ในสันดานเปน คนชอบกลนกั
บันเทิงเริงรมย นอกจากนี้ ดนตรียังมีคุณคา อีกใครฟง ดนตรไี มเ หน็ เพราะ
เขาน้ันเหมาะคดิ กบฏอปั ลกั ษณ
ตอจิตใจ เปนสื่อเชื่อมโยงระหวางกลุมคนใน ฤๅอบุ ายมุงรา ยฉมังนกั
มโนหนกั มืดมัวเหมือนราตรี
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สงั คม ชว ยผสานความรกั และความสามคั คี ดงั นน้ั แหละดวงใจยอ มดาํ สกปรก
ดนตรจี งึ เปน มรดกทางศลิ ปวฒั นธรรมทเ่ี ราจะตอ ง ราวนรกทก่ี ลา วมาน่ี
■ การเปรยี บเทียบองคประกอบในงานศลิ ปะ สืบทอดและพัฒนาใหคงอยสู ืบตอไป ไมควรใครไวใ จในโลกนี้
■ อทิ ธพิ ลของดนตรี เจาจงฟงดนตรเี ถดิ ช่ืนใจ”
■ ปจจยั ทท่ี าํ ใหงานดนตรไี ดร บั การยอมรบั จากนนั้ ครูถามนกั เรียนวา
• สาระสาํ คัญของกลอนบทละคร

ทยี่ กตัวอยางมาคอื ส่งิ ใด
• นักเรียนคดิ วาดนตรมี ีอิทธพิ ล

ตอบุคคลและสงั คมหรอื ไม
อยางไร

เกรด็ แนะครู

การเรยี นการสอนในหนว ยน้ี ครแู นะ
ใหนักเรียนเห็นวา ดนตรีทั้งไทยและ
สากลลว นมคี ณุ คา ตอ จติ ใจของบคุ คล
และสงั คมทัง้ ส้นิ ปจจบุ นั ไดม ีการนาํ
ดนตรีมาใชเปนส่อื เช่อื มวัฒนธรรม
ระหวา งประเทศ เชน การจดั งาน
ดนตรนี านาชาติเพ่ือแลกเปล่ียน
ทางวฒั นธรรม เปน ตน

คูม อื ครู 1

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain

Engage Expand Evaluate

สาํ รวจคนหา (หนาพิมพและตัวอักษรในกรอบน้มี ขี นาดเ(ลย็กอ กจาวกาฉบบั นักเรียน 20%)

ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน ๑. อทิ ธิพลของดนตรกี ับบคุ คลและสงั คม
สืบคนขอมูลเกยี่ วกับอทิ ธพิ ลของ
ดนตรีในประเดน็ ดังตอ ไปนี้ กวไี ทยได้กลา วถึงอิทธิพลของดนตรกี บั บุคคลและสังคมไว้ในบทกวหี ลายบท ซ่งึ บทเดน
ทงี่ ดงามดว้ ยฉันทลักษณแ์ ละมีเนือ้ ความกนิ ใจคนไทยอยางแพรห ลายมาเน่นิ นาน คือ บทกวขี อง
1. ดนตรีกับชวี ติ ในยามมีความสุข สนุ ทรภูใ นนิทานค�ากลอนเรื่อง “พระอภัยมณ”ี ตอนที่พระอภัยมณีอธิบายเรอื่ งอทิ ธพิ ลของดนตรี
พรอมยกตัวอยางประกอบ แกสามพราหมณ์ท่ีพบกนั โดยบงั เอิญ ซึง่ ในเนื้อกลอนกลา ววา

2. ดนตรีกบั ชวี ิตในยามมคี วาม
ทุกข พรอ มยกตัวอยา งประกอบ

3. ดนตรีกบั ขนบธรรมเนยี ม
ประเพณขี องไทย
4. ตวั อยา งวรรณคดแี ละวรรณกรรม “พระฟง ความพราหมณนอ ยสนองถาม จงึ เลา ความจะแจงแถลงไข
อนั ดนตรมี คี ุณทุกอยางไป ยอมใชไ ดดง่ั จนิ ดาคา บุรินทร
ไทยท่สี ะทอ นอทิ ธพิ ลของดนตรี ถึงมนุษยครฑุ าเทวราช จตั บุ าทกลางปา พนาสินธุ

แมนปเราเปา ไปใหไดยนิ ก็สุดสนิ้ โทโสทีโ่ กรธา

อธิบายความรู ใหใจออ นนอนหลับลืมสติ อนั ลัทธดิ นตรดี หี นักหนา
ซึ่งสงสยั ไมส ิน้ ในวิญญาณ จงนทิ ราเถดิ จะเปา ใหเ จาฟง ”
ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ นาํ ความรทู ไี่ ด
จากการศึกษามาอภิปรายรวมกันใน
ช้ันเรียน จากน้นั สรปุ ผลการอภปิ ราย ๑.๑ อิทธิพลของดนตรกี ับบุคคล
ลงกระดาษรายงาน สง ครผู ูสอน ในวถิ ชี วี ติ ปจั จบุ นั บคุ คลไมอ าจหนรี อด
จากอทิ ธิพลของเสยี งดนตรไี ด้ ไมวา จะทา� สิ่งใด
อยูที่ไหน เม่ือใด เสียงดนตรีก็จะแวดล้อมอยู
เกร็ดแนะครู เกือบทุกเวลาและทุกสถานท่ี ดนตรีถูกสร้าง
ข้ึนมาใช้เป็นพ้ืนหลังสนับสนุนการด�าเนินชีวิต
ครูควรแนะนําใหนักเรยี นเหน็ วา ของมนุษย์มาตั้งแตสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
ท้ังดนตรีไทยและดนตรีสากลลว นมี ดนตรีชวยจุดประกายแสงสวางให้แกเหตุการณ์
คุณคา ตอจติ ใจของมนษุ ยใ นสงั คม ส�าคัญตางๆ ในชีวิตของบุคคล ท้ังในยามสุข
ทง้ั ส้ิน ในปจจุบันไดม ีการนาํ เอา และในยามทุกข์ สามารถชวยให้บุคคลท่ีมี
ดนตรีมาใชเ พื่อเปน สอ่ื เชือ่ มโยง อารมณต์ ึงเครียดผอนคลายลงได้
วัฒนธรรมระหวางประเทศ เชน เสียงดนตรีสามารถเชิญชวนให้บุคคล
การจัดแสดงดนตรนี านาชาติ เพือ่ ลุกขึ้นเต้นร�า สามารถชวยให้บุคคลมีความ
การแลกเปลย่ี นทางวฒั นธรรม ภาคภูมิใจในความเป็นหมูคณะและความเป็น
เปน ตน นอกจากน้ี ดนตรยี งั มี ชาตขิ องตน ถ้าปราศจากเสยี งดนตรีแลว้ ศลิ ปะ การฟงดนตรี หรือบทเพลงที่ไพเราะจะชวยใหคนฟงรูสึก
ประโยชนต อมนุษยอ ีกหลายดาน การแสดงอ่นื ๆ กจ็ ะไมเกิดขนึ้ ผอ นคลาย เกดิ ความสุขและความอม่ิ เอมใจไดเปนอยา งดี
เชน เสยี งของดนตรีเปนสิง่ ทช่ี วย ที่มาของภาพ : คลังภาพ ACT.
กลอ มเกลาจิตใจของคนใหออนโยน
เยอื กเยน็ และสามารถชว ยคลาย
ความทุกขท ี่เกดิ ข้นึ ในชว งระยะเวลา 2

หน่งึ ได เสียงดนตรจี ะชว ยในการ
ปลุกเราจิตใจใหร าเริง ทําใหมนุษย
เกดิ ความเพลิดเพลินใจได เปน ตน
ท้ังนี้ ดนตรยี ังเปน สวนสําคัญอยางหนึง่ ทจ่ี ะขาดไมไ ดเ ลยจากการ
แสดงมหรสพตางๆ เพราะดนตรเี ปน สวนประกอบสําคัญท่ีทาํ ให
การแสดงนาชม สรางบรรยากาศ และความสนกุ สนานใหแกผชู ม

2 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

๑.2 อิทธพิ ลของดนตรกี บั สงั คม อธบิ ายความรู
เนอ่ื งจากบคุ คลไมส ามารถแยกตนเอง
ออกจากสงั คมได ้ เพราะโดยธรรมชาตนิ น้ั มนษุ ย์ ครแู ละนักเรยี นรวมกนั อภปิ ราย
จะอยรู วมกนั เปน็ สงั คม ทา� กจิ กรรมรว มกนั เชน เกยี่ วกบั คุณคา ของงานดนตรีตามที่
รวมกันลาสัตว์ รวมกันประกอบพิธีกรรมตาม สุนทรภกู ลาวไวใ นคาํ กลอนเรอื่ ง
ความเช่ือ รวมกันเฉลิมฉลองในงานประเพณี พระอภยั มณวี า
ทางศาสนา เปน็ ตน้ การรวมตวั กนั ลกั ษณะเชน นี้
จะชวยให้ทุกคนในกลุมมีโอกาสแสดงตัวตน “พระฟง ความพราหมณน อ ยสนองถาม
ตอสังคมและแสดงอารมณ์ตางๆ ออกมา เพื่อ จึงเลาความจะแจงแถลงไข
สื่อสารความรู้สึกนึกคิดกับบุคคลอ่ืน โดยในทุก อนั ดนตรีมคี ณุ ทกุ อยา งไป
การตีกลองสะบดั ชยั ซง่ึ เปนดนตรพี นื้ เมืองของภาคเหนือ กิจกรรมจะมีการบรรเลงดนตรี หรือการขบั ร้อง ยอมใชไดด ่งั จินดาคาบุรินทร
ทมี่ าของภาพ : http://www.bloggang.com/m/viewdiary. เพอื่ ชว ยสอื่ สารความเขา้ ใจระหวา งกนั และกนั ของ ถึงมนษุ ยค รฑุ าเทวราช
สมาชกิ ในสังคมอกี ด้วย จัตุบาทกลางปา พนาสนิ ธุ
php?id=abird&month=072011&date=07& แมน ปเ ราเปา ไปใหไดย นิ
group=12&gblog=242 กส็ ดุ ส้ินโทโสที่โกรธา
ใหใจออ นนอนหลบั ลมื สติ
อนง่ึ ดนตร ี คอื ศลิ ปะทบี่ คุ คลในสงั คมสรา้ งสรรคข์ นึ้ มาใชร้ ว มกนั ในบางครง้ั อาจมผี เู้ ตน้ รา� อันลทั ธดิ นตรีดีหนกั หนา
เพ่ิมเติมเข้ามาอีก ซ่ึงทุกคนล้วนต้องมีอารมณ์รวมกับเสียงดนตรีทั้งส้ิน ดนตรีจึงกลายเป็น ซึง่ สงสยั ไมสิ้นในวิญญาณ
วฒั นธรรมอกี อยา งหนงึ่ ของสงั คมมนษุ ย ์ และวฒั นธรรมดนตรขี องแตล ะสงั คมลว้ นเปน็ เครอ่ื งชว ยช้ี จงนิทราเถิดจะเปาใหเ จาฟง”
บอกลกั ษณะของขนบธรรมเนยี ม ประเพณ ี กจิ กรรม และชาตพิ นั ธท์ุ ก่ี ลมุ บคุ คลในสงั คมนน้ั ๆ ปฏบิ ตั ิ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดง
ความคดิ เห็นไดอยางอสิ ระ ครเู นน
ใหเหน็ วา ดนตรเี ปนเครอ่ื งมือสาํ คัญ
ท่ีชวยจรรโลงสังคม ยกระดับจติ ใจ
ของบุคคลใหสงู ขนึ้ ทงั้ นี้ ตอ งขน้ึ อยู
กบั การเลือกฟงดนตรดี วยวา ผฟู ง
เลือกฟงดนตรีในลักษณะใด)

ในทกุ สงั คมลว นมวี ฒั นธรรมอนั เปน เอกลกั ษณเ ฉพาะทบ่ี ง บอกถงึ ความเปน กลมุ ชาตพิ นั ธแุ ละความเปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั เกรด็ แนะครู
ซง่ึ ดนตรีก็เปน ศลิ ปะประเภทหนง่ึ ที่สะทอนถึงวฒั นธรรมของแตละสังคมได
ท่มี าของภาพ : http://www.pixannuire.fr ครูควรเนนใหเห็นวา ดนตรีเปน
วัฒนธรรมอีกอยางหนึ่งของสังคม
๓ มนุษย และวัฒนธรรมดนตรีของ
แตละสังคมลวนเปนเครื่องชวยช้ีบอก
ลกั ษณะของขนบธรรมเนียม ประเพณี
ภารกจิ กิจกรรม และชาตพิ ันธทุ ี่กลมุ
บุคคลในสังคมน้ันๆ ปฏิบัติ เชน พิธี
ไหวครู เปนพิธีกรรมที่เปนประเพณี
ของไทยทน่ี ยิ มปฏบิ ตั กิ นั มาตง้ั แตส มยั
โบราณ แสดงถงึ ความระลกึ ถงึ บญุ คณุ
ของครู เปนการแสดงตนวาเปนศิษย
ของทานโดยตรง เปนตน

คูมอื ครู 3

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain

Engage Expand Evaluate

สาํ รวจคน หา (ยอ จากฉบับนกั เรยี น 20%)

ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน เสรมิ สาระ
สืบคนขอมูลเกี่ยวกับบทเพลงท่ีใช
แสดงนาฏศลิ ปไทยมากลมุ ละ 1 เพลง ความสัมพนั ธข์ องงานดนตรีกบั การแสดงนาฏศิลป
จากแหลงการเรียนรูตางๆ เชน หอง
สมดุ หนงั สอื เรยี น อนิ เทอรเ นต็ เปน ตน การใชเ พลงกบั การแสดงนาฏศลิ ปม ี ๒ ลกั ษณะ คอื การนาํ บทเพลงทสี่ งั คตี กวปี ระพนั ธไ วแ ลว มาวเิ คราะห
เพอื่ ตบี ทและสรา งสรรคล ลี าทา ทางนาฏศลิ ปใ หแ สดงออกไดอ ยา งสอดคลอ งและกลมกลนื กบั เนอื้ หา อารมณ
อธบิ ายความรู และไวยากรณของบทเพลง และการแตงเพลงข้ึนมาใหมใหตรงกับจุดประสงค หรือทานาฏศิลปท่ีตองการ
แสดงออก
ใหนักเรียนแตละกลุมนําบทเพลง
ท่ีศึกษามาติดลงกระดาษรายงาน ตัวอยางของการใชเพลงใหสัมพันธกับการแสดงนาฏศิลปท้ัง ๒ ลักษณะ ท่ีเห็นไดชัดเจนในการแสดง
แลว เขียนอธบิ ายวา บทเพลงดงั กลาว นาฏศลิ ปไทย เชน
นํามาใชประกอบการแสดงนาฏศิลป
ในรปู แบบใด สงครูผูส อน การแสดงนาฏศิลป เพลงท่ใี ช้

นกั เรียนควรรู การยกทพั เพลงกราวนอก ใช้ส�าหรับทพั มนษุ ยแ์ ละวานร ในการแสดงโขน
เรื่องรามเกียรติ์ เรียกว่า “ฝำ ยพลับพลำ”
เพลงกราว เปน เพลงในอัตรา การตอ่ สู้ เพลงกราวใน ใชส้ �าหรับทพั ยักษ์ เรียกว่า “ฝำยลงกำ”
จงั หวะสามชน้ั หลวงประดษิ ฐไพเราะ การแสดงอารมณร์ ัก เพลงกราวกลาง ใชส้ �าหรบั ทพั มนษุ ย์
(ศร ศิลปบรรเลง) ไดประพนั ธต อ การแสดงอารมณ์เศรา้ เพลงเชดิ กลอง ใช้ในการตอ่ สู้
จากอตั ราจงั หวะสองชัน้ สาํ หรับใช เพลงเชดิ ฉง่ิ ใชป้ ระกอบการรา� กอ่ นออกอาวธุ เชน่ แผลงศร เปน็ ตน้
เปนเพลงโหมโรง เมื่อ พ.ศ. 2489 เพลงเชดิ นอก ใช้สา� หรบั การต่อสขู้ องตัวละครทเ่ี ป็นสตั ว์
มีเพลงใหเ้ ลือกใช้จ�านวนมาก เช่น เพลงโอ้โลม เพลงแขกสาหร่าย
เพลงสารถี เพลงคล่นื กระทบฝงั เพลงแสนค�านงึ เป็นต้น
มีเพลงใหเ้ ลือกใชจ้ �านวนมาก เชน่ เพลงแขกโอด เพลงธรณีกันแสง
เพลงใบค้ ลง่ั เพลงลมพัดชายเขา เป็นตน้

นกั เรียนควรรู การแสดงโขน เรอื่ งรามเกยี รต์ิ ตอนกุมภกรรณทดนา้ํ
ทมี่ าของภาพ : คลงั ภาพ ACT.
ฝายพลับพลา ตวั ละครในเร่ือง
รามเกียรตท์ิ เ่ี ปนมนุษยและวานร 4
เชน พระราม พระลักษมณ พระพรต
พระสตั รุด นางสีดา หนมุ าน พาลี นักเรียนควรรู
สคุ รีพ ชมพพู าน องคต เปน ตน
เพลงเชดิ ใชใ นการเดนิ ทางไกลการไลล า และการรบแบง เปน เชดิ ธรรมดา(ใชก บั มนษุ ยท วั่ ไป)
นักเรียนควรรู เชิดนอก (ใชกับการตอสูของอมนุษย) เชิดฉาน (ใชกับมนุษยท่ีอยูกับสัตว) และเชิดฉ่ิง
(ใชประกอบการแสดงถึงที่ลึกลบั )
ฝายลงกา ตัวละครในเร่ือง
รามเกียรติ์ที่เปน ยกั ษ เชน ทศกัณฐ
กุมภกรรณ ไมยราพ อินทรชิต
ทาวลสั เตียน นางมณโฑ
นางสาํ มนักขา นางเบญกาย
ชิวหา พเิ ภก เปนตน

4 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain

Expand Evaluate

๒. ปจจัยที่ทําให้งานดนตรีไดร้ บั การยอมรับจากสังคม กระตนุ ความสนใจ

ดนตรเี ปน็ มรดกทางศลิ ปวฒั นธรรมของชาตทิ เ่ี สรมิ สรา้ งความแขง็ แกรง ใหก้ บั คนในสงั คม ครเู ปด เพลง “Live and Learn” ของ
การสร้างสรรค์งานดนตรมี มี าอยา งตอเน่อื งตั้งแตอ ดีตจนถงึ ปัจจุบัน แมว้ า บางชวงสมยั ดนตรอี าจ กมลา สุโกศล แคลป ใหนักเรียนฟง
ได้พบกับภาวะวิกฤติบ้าง แตก็ยังสามารถธ�ารงคุณคาให้อยูคูสังคมในปัจจุบันได้อยางสมบูรณ์ แลวถามนักเรยี นวา
โดยในทนี่ จี้ ะกลา วถงึ ปจั จยั สา� คญั ทท่ี า� ใหง้ านดนตรไี ดร้ บั การยอมรบั จากสงั คม ดงั ตอ ไปนี้
2.๑ ปจ จยั ด้านความเจริญทางวัฒนธรรม • สาระสําคัญของเพลงนค้ี อื สง่ิ ใด
ดนตรีมีความส�าคัญและมีคุณคาอยางย่ิงตอวัฒนธรรมของชาติ ในอดีตประเทศไทย • นักเรยี นคิดอยางไรกบั คาํ วา
มีการน�าดนตรีไทยเข้าไปเป็นสวนหนึ่งของกิจกรรมทางประเพณีตางๆ ทั้งพระราชพิธีและ
พิธีกรรมตางๆ ของประชาชน เชน ในอดีตเมื่อสมเด็จพระบรมราชินีทรงมีพระประสูติกาลเป็น “ดนตรี คอื ชวี ติ ”
พระราชโอรส พนักงานวงแตรสังข์และวงปีพาทย์จะบรรเลง หากทรงมีพระประสูติกาลเป็น จากนน้ั ใหน ักเรียนท้งั หองรว มกนั
พระราชธดิ า พนกั งานวงมโหรีจะบรรเลง เปน็ ตน้ รองเพลง “Live and Learn”
ส�าหรับกิจกรรมทางประเพณีของประชาชนจะมีการน�าวงดนตรีไปบรรเลงเป็นสวนหน่ึง พรอ มๆ กนั ทัง้ น้ี ครูอาจจะเปด เพลง
ของงานนน้ั ๆ เชน งานทา� บญุ ขน้ึ บา้ นใหม  งานทา� ขวญั นาค งานมงคลสมรส งานวนั เกดิ งานสมโภช อ่ืนๆ ได ตามความเหมาะสม
เฉลิมฉลองตางๆ งานเทศกาลตามประเพณี งานอวมงคล เป็นต้น ซ่ึงได้ยึดถือปฏิบัติมาจนถึง
ปจั จบุ นั ทา� ใหค้ นไทยมคี วามรกั ความผกู พนั กบั วถิ ชี วี ติ และประเพณไี ทย มคี วามคดิ และมที ศั นคติ สาํ รวจคนหา
ทด่ี ตี อดนตรจี นเกดิ ความรสู้ ึกวา ดนตรีเปน็ สว นหนึ่งของชีวติ โดยเฉพาะดนตรีไทยทช่ี ว ยสะทอ้ นให้
เห็นถงึ ความเจรญิ รงุ เรืองทางวัฒนธรรมของไทยไดเ้ ป็นอยางดี ใหน ักเรียนสบื คนขอมูลเก่ยี วกับ
ปจจยั ท่ีทําใหง านดนตรไี ดร บั การ
ยอมรับจากสงั คม จากแหลง
การเรียนรูตางๆ เชน หอ งสมดุ
หนังสือเรยี น อินเทอรเน็ต เปนตน

อธบิ ายความรู

ครแู ละนกั เรียนรว มกนั อภปิ ราย
เกีย่ วกบั ปจ จัยทท่ี ําใหงานดนตรี
ไดรบั การยอมรับจากสังคม แลว ให
นกั เรยี นสรปุ ผลการอภปิ ราย
ลงกระดาษรายงาน สงครผู สู อน

ปจ จบุ นั ไดม กี ารนาํ วงดนตรมี าบรรเลงประกอบในงานพธิ ตี า งๆ เชน งานมงคลสมรส เปน ตน เพอื่ ใหง านมคี วามสมบรู ณย งิ่ ขนึ้ 5 นกั เรยี นควรรู
ทีม่ าของภาพ : http://www.marry.vn
งานสมโภช การรว มกิน การเลี้ยง
อาหาร งานฉลองในพิธีมงคลเพื่อ
ความร่ืนเรงิ ยินดี เชน งานสมโภช
กรงุ รัตนโกสินทร 233 ป งานสมโภช
พระสพุ รรณบฏั เปนตน

@ มมุ IT

สามารถฟงบทเพลง Live and Learn ไดจาก
http://www.youtube.com โดย คน หาจากคาํ วา Live and Learn

คมู ือครู 5

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอ จากฉบบั นกั เรียน 20%)

ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั พธิ ีเปด กีฬาเอเชยี นเกมสท ่ีประเทศจนี เม่อื พ.ศ. ๒๕๕๓ ปัจจุบันทุกประเทศในโลกตางมีงาน
ความกาวหนาทางเทคโนโลยีท่ีมีผล ประเทศจนี ไดจ ดั การแสดงอยา งยง่ิ ใหญอ ลงั การ ซงึ่ ดนตรี ศิลปวัฒนธรรมท่ีแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์
ทําใหงานดนตรีกลายเปนที่ยอมรับ ก็ไดเขามามีบทบาทสําคญั ในงานคร้งั น้ดี ว ย ของชาติ ดังท่ีพบเห็นได้เสมอในงานส�าคัญ
ของคนในสังคม โดยครชู วยสรปุ ท่มี าของภาพ : http://www.telegraph.co.uk ตา งๆ เชน ในการแขงขันกีฬาระหวา งประเทศ
เพ่ิมเตมิ ประเทศทเ่ี ปน็ เจา้ ภาพจะแสดงออกอยา งชดั เจน
ในการน�าศิลปวัฒนธรรมของชาติตนมาแสดง
นกั เรยี นควรรู ในวนั เปด และปด การแขง ขนั โดยประเทศเจา้ ภาพ
จะนิยมจัดศิลปะด้านการแสดงดนตรีที่แสดง
ราชอาคันตุกะ อาคันตกุ ะเปน ความเปน็ ชาตขิ องตนมาแสดง เพอื่ อวดใหช้ าวโลก
คาํ นาม มีความหมายวา แขกผมู าหา ได้ชน่ื ชม สะท้อนใหเ้ หน็ ความเจริญรุงเรอื งทาง
คําวา “แขก” ของพระบาทสมเดจ็ วัฒนธรรม ซ่ึงประเทศไทยก็เชนเดียวกัน เม่ือ
พระเจา อยูหวั ทง้ั ทีเ่ ปนกษตั ริย ได้รับหน้าท่ีเป็นประเทศเจ้าภาพในการจัดการ
และเจานายของตางประเทศ หรือ แขงขันกีฬาระหวางประเทศ หรืองานต้อนรับ
ผูน าํ ประเทศท่เี ปนสามัญชน เชน ราชอาคนั ตกุ ะจากตา งประเทศ รฐั บาลไทยกจ็ ะนา�
ประธานาธบิ ดี เปน ตน ใชราชาศัพท ศิลปะการแสดงประเภทตางๆ และการบรรเลง
วา “พระราชอาคนั ตกุ ะ” ดนตรีไทยมาจัดแสดง

นักเรยี นควรรู 2.2 ปจจัยดา้ นความเจรญิ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ท�าให้งานดนตรีกลายเป็นที่ยอมรับของคนใน
ความเจรญิ กา วหนา ทางเทคโนโลยี สังคมอยางกว้างขวาง ซ่ึงเทคโนโลยีตางๆ ท่ีพัฒนาข้ึนมาน้ัน ก็เพ่ือน�ามาใช้พัฒนางาน
ไดมีสว นในการสรา งสรรคอุปกรณ ดนตรีให้คนในสังคมเข้าถึงดนตรีได้งายมาก
ท่มี ีสวนชวยในการบันทกึ เสยี ง เชน ย่ิงข้ึน โดยการพัฒนาทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นมา
เคร่อื งบันทกึ เสยี งท่สี รางขึ้นโดย ตัง้ แตเ มอ่ื โทมัส อลั วา เอดิสัน (Thomas Alva
โทมสั อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้คิด
Edison) เปน ตน ประดษิ ฐเ์ ครอ่ื งบนั ทกึ เสยี งขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๒๐
วงการดนตรีท้ังไทยและสากลก็ได้น�าเคร่ือง
นักเรยี นควรรู บันทึกเสียงดังกลาวมาสร้างสรรค์งานดนตร ี
บันทึกเสียงเพลง เสียงขับร้อง เสียงปราศรัย
โทมสั อลั วา เอดสิ นั (Thomas Alva และขอ้ มลู เสยี งตา งๆ ไวเ้ ปน็ สมบตั ใิ หช้ นรนุ หลงั ปจจุบันวงการดนตรีไดพัฒนาเปนอยางมาก โดยเฉพาะ
Edison) ไดคิดประดิษฐเคร่ืองบันทึก ซึ่งผู้เรียนสามารถน�าข้อมูลดังกลาวมาใช้ศึกษา ดา นการบนั ทกึ เสยี ง ซง่ึ มกี ารสรา งหอ งบนั ทกึ เสยี งและนาํ
เสียงข้ึน เพ่ือใชในการบันทึกเสียง หาความรไู้ ด้มาจนถึงปัจจุบัน เทคโนโลยสี มยั ใหมม าใชพ ฒั นาคณุ ภาพเสียงของนกั รอง
ดนตรี และจากการทเี่ ขาประดิษฐ ทีม่ าของภาพ : http://www.superbwalpapers.com/
เครื่องบันทกึ เสียงน้ี จงึ ไดรบั ฉายาวา photography/recording-studio-42780/
“พอมดแหง เมนโลพารก ”
6

6 คูม อื ครู นักเรียนควรรู

เทคโนโลยสี มยั ใหมม าใชพ ฒั นาคณุ ภาพเสยี ง โปรแกรม Electronic Piano
เปน โปรแกรมทใ่ี ชฝ ก ทกั ษะการเลน ดนตรดี ว ยการบรรเลงตวั โนต ผา นคยี บ อรด
จําลองของเครื่องคอมพิวเตอร ซึ่งนักเรียนสามารถศึกษาคนควาโปรแกรมนี้
เพิ่มเติม ไดจ าก http://www.pianoelectronic.com.br/index-en.html

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

2.๓ ปจ จยั ด้านคา นิยมและการปรับเปลย่ี นใหเ้ ข้ากบั ยคุ สมัย อธบิ ายความรู
คานิยมของสังคมไทยที่มีตอเร่ืองตางๆ นั้น สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา
ซ่ึงงานดนตรีก็เชนเดียวกัน งานดนตรีสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยได้ โดยในอดีต ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายความรู
พระมหากษัตริย์ไทยทรงถือเป็นพระราชกรณียกิจประการหนึ่งที่ทรงสงเสริมงานดนตรีของชาติ เก่ียวกับปจจัยดานคานิยมและการ
ให้เจริญรุงเรือง บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญมีคานิยมในการสงเสริมดนตรีไทย ปรับเปลี่ยนใหเขากับยุคสมัยของงาน
มีการพัฒนาวงดนตรแี ละอุปถัมภ์นกั ดนตร ี สวนในหมปู ระชาชนก็มคี า นยิ มในการน�าวงดนตรไี ทย ดนตรี จากนั้นสรุปประเด็นสําคัญ
ไปบรรเลงเป็นสว นหนง่ึ ของงานตา งๆ ท้ังงานมงคลและงานอวมงคล แลวจดบนั ทกึ ไว
แม้ในปัจจุบันระบบสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอยางมาก โครงสร้างทางวัฒนธรรมก็
เปลย่ี นแปลงไป แตค า นยิ มของคนไทยทม่ี ตี อ ดนตรกี ย็ งั คงอย ู รฐั บาลไทยยงั สนบั สนนุ และทา� นบุ า� รงุ เกรด็ แนะครู
ดนตรโี ดยเฉพาะดนตรีไทยอยูเสมอ เชน การจัดต้ังสถาบันการศึกษาท่ที า� หนา้ ทเ่ี กย่ี วกบั การผลติ
นกั ดนตรีไทย มหาวิทยาลัยตา งๆ กไ็ ด้เปด การศกึ ษาวิชาเอกดนตร ี ระดับโรงเรยี นทัง้ ระดบั ประถม ครอู าจขยายความรเู พมิ่ เตมิ โดยให
ศกึ ษาและระดับมัธยมศึกษา มกี ารจัดรายวิชาดนตรใี หผ้ ู้เรียนได้ศกึ ษาและฝกึ ปฏบิ ตั ิดนตรี ผู้เรียน นักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวา
จงึ มคี า นยิ มทดี่ ตี อ ดนตรไี ทย ทา� ใหค้ นรนุ ใหมเ ลง็ เหน็ ความสา� คญั ในการศกึ ษา เรยี นร ู้ และใชด้ นตรี เหตุใดดนตรแี ละคานยิ มเกาหลี
เป็นสว นหน่ึงของชวี ิตได้อยางมคี ุณคา จึงหลงั่ ไหลเขา มาในสงั คมไทย
ตัวอยางของการปรับเปล่ียนดนตรีให้เข้ากับยุคสมัยและคานิยมที่เปลี่ยนแปลงไป เชน อยา งรวดเร็ว
เมอื่ วฒั นธรรมดนตรตี ะวนั ตกเขา้ มาแพรห ลายในสงั คมไทยจงึ เกดิ วงแตรวง โดยมกี ารนา� เพลงไทย
มาบรรเลงด้วยวงแตรวงเป็นจ�านวนมาก และเม่ือสังคมไทยนิยมฟังเพลงท่ีบรรเลงด้วยวงดนตรี (แนวตอบ เนือ่ งจากประเทศเกาหลี
สากล ศิลปนดนตรีจึงน�าเพลงไทยมาขับร้องเนื้อเต็มและบรรเลงด้วยวงดนตรีสากลเป็นศิลปะ เผยแพรวัฒนธรรมผานทางดนตรี
ผสมผสาน รวมทัง้ บางสวนก็ได้พฒั นาไปเป็นเพลงลกู ทุง เป็นตน้ และศลิ ปะการแสดง เชน ละครเกาหลี
เพลงเกาหลี เปน ตน ไปสชู าติตางๆ)
ปจจบุ นั มีการนาํ เพลงไทยมาขับรอ งและบรรเลงดว ยวงดนตรีสากล และพฒั นากลายมาเปนเพลงลกู ทงุ อยา งแพรห ลาย
นักเรยี นควรรู

สถาบันการศกึ ษาทที่ าํ หนา ท่ี
เก่ยี วกับการผลติ นักดนตรี
ในประเทศไทยมอี ยูหลายสถานท่ี
เชน วิทยาลยั ดุริยางคศิลป
มหาวทิ ยาลยั มหิดล คณะศลิ ปกรรม
ศาสตร จุฬาลงกรณม หาวทิ ยาลยั
คณะดุรยิ างคศลิ ป มหาวิทยาลยั
ศลิ ปากร คณะดุริยางคศิลป
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม วิทยาลยั
ดนตรี มหาวิทยาลยั รังสติ วิทยาลัย
ดนตรี มหาวทิ ยาลยั อัสสัมชญั
เปนตน

7

นกั เรียนควรรู คมู ือครู 7

เพลงลกู ทุง เปน เพลงที่สะทอนวถิ ีชีวติ สภาพสงั คม อดุ มคติ และวัฒนธรรมไทย
โดยมที วงทํานอง คํารอง สาํ เนียง และลลี าการรอ ง การบรรเลงทเ่ี ปนแบบแผน
มีลักษณะเฉพาะ ซง่ึ ใหบรรยากาศความเปนลกู ทงุ คําวา “เพลงลูกทุง”
อาจารยจ ํานง รังสกิ ุล คิดประดษิ ฐขน้ึ ใชเ ม่อื วันท่ี 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2507

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนกั เรียน 20%)

ครูใหน กั เรยี นรวมกันอธิบายวา นอกจากน้ี ยังได้มีการน�าดนตรีไทยและดนตรีสากลมาผสมผสานบรรเลงเข้าด้วยกัน
• การไหวค รูดนตรไี ทยมสี วนชว ย จนไดร้ บั ความนยิ มชมชอบจากผฟู้ งั ในขณะเดยี วกนั กย็ งั มกี ารนา� เครอ่ื งดนตรชี าตติ า งๆ มาบรรเลง
ประกอบเพลงไทย เชน กเู จงิ ซอเออ้ ห ู เปน็ ตน้ ดงั นน้ั ในปจั จบุ นั ดนตรใี นประเทศไทยจงึ มที งั้ ดนตรี
สืบทอดดนตรีไดอยา งไร ไทยเดมิ ดนตรสี ากล และดนตรีไทยสากลในสังคม
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดง 2.4 ปจจยั ด้านการสบื ทอดดนตรีของศิลปน
ความคดิ เห็นไดอยา งอสิ ระ แต ในอดีตการสืบทอดดนตรีของศิลปนดนตรี จะเป็นการเรียนรู้ในส�านักดนตรี มีครูเป็น
ครูควรเนน ยา้ํ วา การท่ีใหผ ูเรยี น ศนู ย์กลางของความรู ้ มีส�านักดนตรีท่เี จ้านาย ขา้ ราชการ หรือผู้มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกจิ
ดนตรไี ทยเขา รว มพิธีไหวครูดนตรี อปุ ถมั ภ ์ ซงึ่ ปจั จบุ ันไดเ้ ปลีย่ นแปลงไปจากเดมิ ครดู นตรีรนุ เกาผนั ตัวเองไปเป็นผ้เู ชยี่ วชาญ ผู้ทรง
จะทาํ ใหเกดิ ความซาบซง้ึ คุณวุฒิในสถานศึกษาตางๆ การสืบทอดดนตรีไทยได้พัฒนาให้สอดคล้องกับการก้าวไปของโลก
ในบุญคณุ ของครูบาอาจารยที่ สมยั ใหม  โดยไดเ้ ขา้ ไปสรู ะบบการเรยี นการสอนในสถาบนั การศกึ ษาแทนทกี่ ารศกึ ษาในวงั หรอื ในวดั
ประสทิ ธปิ์ ระสาทวิชาดนตรีให ดังเชนในอดีตทผ่ี านมา
ซง่ึ อาจทําใหผ ูเ รยี นอยากสบื ทอด ขณะเดยี วกนั นกั เรยี นทเี่ รยี นในโรงเรยี นและกา้ วเขา้ สกู ารเรยี นดนตรใี นระดบั ปรญิ ญาตรี
ดนตรีใหคนรนุ ตอ ไปได) ปรญิ ญาโท และปรญิ ญาเอก กไ็ ดก้ ลบั เขา้ มาเปน็ ครอู าจารยร์ ว มกบั ครผู ทู้ รงคณุ วฒุ ดิ า้ นดนตร ี และ
มาเปน็ ครสู อนดนตรีให้แกน ักเรยี น นักศกึ ษารนุ ตอๆ มา
นกั เรียนควรรู

กเู จงิ เปนเครอื่ งดนตรปี ระเภท
เคร่อื งสายแบบด้ังเดิมของจีน
บรรเลงโดยการใชม อื ดดี

นักเรยี นควรรู การไหวครูดนตรีไทยเปนพิธีกรรมอยางหน่ึงท่ีแสดงใหเห็นถึงการสืบทอดดนตรีของครูดนตรีตอศิษย และยังเปนการ
ปลกู ฝง ใหศษิ ยมีความเคารพนบนอบตอ ครบู าอาจารยท ี่ประสทิ ธปิ์ ระสาทวิชาความรใู หอีกดวย
ซอเออหู กลาวกันวา ชนเผาที่อยู ทม่ี าของภาพ : คลงั ภาพ ACT.
ทางใตของแมน้ําเหลือง (หวางเหอ)
มกั เรยี กชนเผา ทอี่ ยทู างตอนเหนอื ของ 8
แมน า้ํ วา “ห”ู หรอื “ชาวห”ู เครอื่ งดนตรี
ประเภทนีก้ ม็ าจากทางเหนือ หรือเปน
ผลผลิตจากภูมิปญญาของชาวหูจึง
เรยี ก “หฉู นิ ” หรือ “ซอห”ู และคําวา
“เออ” หรือ “สอง” ตามความหมาย
ในภาษาไทย มาจากที่ตัวซอหูเปน
เครื่องดนตรีท่ีประกอบดวยสองช้ิน
หลัก คือ ตัวคันชักและตัวซอ จึงเปน
ทม่ี าของเครือ่ งดนตรที ี่เรยี กวา
“ซอเออ ห”ู

@ มุม IT

สามารถชมตัวอยา งคลิปวิดีโอการไหวครูดนตรไี ทย ไดจ าก
http://www.youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา ไหวค รูดนตรีไทย

8 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

Engage Explore Explain

ระบบการสืบทอดดนตรีไทยที่กลาวมา สงผลให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนดนตรีไทยกันได้ ขยายความเขาใจ
อยางกว้างขวาง มตี า� ราเรยี นดนตร ี เคร่อื งดนตรี และส่ือการเรียนการสอนท่ที นั สมัย เอือ้ อ�านวย
ให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาความรู้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยส�าคัญที่ท�าให้วิชาการดนตรีไทยด�ารงอยูคูกับสังคม ใหนักเรียนแตละคนจัดทํารายงาน
และวัฒนธรรมไทยสืบตอ ไป เกี่ยวกับอิทธิพลของดนตรีที่มีตอ
บุคคลและสังคม พรอมภาพประกอบ
เกรด็ ศิลป สุนทรียะของดนตรี สง ครผู สู อน

สุนทรียะของดนตรี แปลตามรูปศัพทมีใจความวา ตรวจสอบผล

“ความงามของดนตรี” แตคนสามัญท่ัวไปมักจะใชใจความ ครูพิจารณาจากรายงานเกย่ี วกับ
อิทธิพลของดนตรีทมี่ ีตอบคุ คลและ
วา “ความไพเราะของดนตรี” แทน เน่ืองจากเขา ใจวา อะไรท่ี สงั คม

งามยอ มมองเห็นไดด ว ยตาเทานนั้ สว นเสียงดนตรนี ้นั สัมผัส เกร็ดแนะครู

รูด ว ยหู ไมอ าจมองเหน็ ภาพได จึงใชค าํ วา “ไพเราะ” แทนท่ี ครคู วรอธิบายความรูเพม่ิ เตมิ
เกย่ี วกับการรับรคู วามงาม หรือ
คาํ วา “งาม” แตแ ททจี่ ริงนน้ั บุคคลสามารถสัมผัสรคู วามงาม สนุ ทรยี ะของดนตรใี หน ักเรียนฟง วา
ผทู ่จี ะรบั รูความงาม หรือสุนทรยี ะ
ของสรรพสิ่งไดดวยประสาทสัมผัสตางๆ ถึง ๖ อยาง คือ ของศิลปะการดนตรีได คือ ผูที่
สมั ผสั รู หรือรูดว ยผสั สะ และหยงั่ รู
ตาสัมผัสรูความงามของรูป หูสัมผัสรูความงามของเสียง ความงามนัน้ อยางเขา ใจ ซึ่งเปน การ
ยากมากที่จะทาํ ใหค นทกุ คนรบั รไู ด
จมูกสัมผัสรูความงามของกล่ิน ล้ินสัมผัสรูความงามของรส เทา เทยี มกัน เพราะวาความงาม
เปน นามธรรมจะเอามาตรวดั ไมไ ด
กายสัมผัสรูความงามของสิ่งท่ีมากระทบกาย และใจสัมผัสรู ท่มี าของภาพ : http://www.topic 2 kugou.com ตอ งวัดดวยผัสสะ สมั ผัสไดดวย
ความงามของอารมณท เี่ กิดกบั ใจ ความรสู ึก เมื่อมเี สยี งดนตรีมา
กระทบโสตประสาท และความรสู กึ
กจิ กรรม ศลิ ปป ฏิบตั ิ ๑.๑ รบั รคู วามงามของดนตรขี องแตล ะคน
จะแตกตา งกนั ไปตามพน้ื ฐาน
กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรียนเขยี นอธิบายเก่ยี วกบั อทิ ธิพลของดนตรีที่มีตอ บคุ คลและสังคมไทย ทางสังคม วัฒนธรรม การศกึ ษา
กิจกรรมที่ ๒ ลงกระดาษรายงาน สง ครผู สู้ อน เศรษฐกิจ และการเมืองไมเทากนั
ใหน้ กั เรยี นแบง กลมุ ออกเปน็ ๔ กลมุ ตามปจั จยั ทที่ า� ใหง้ านดนตรไี ดร้ บั การยอมรบั แตก ็พอมคี ําแนะนาํ ใหทุกคนมีวิธที ่ี
จากสงั คม ดงั ตอไปน้ี จะเขาถงึ ความงาม หรอื สนุ ทรียะของ
๑. ปัจจยั ดา้ นความเจรญิ ทางวฒั นธรรม ดนตรไี ดด งั ตอ ไปนี้ คอื ตองเรียนรู
๒. ปัจจยั ด้านความเจริญกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี และเขา ใจความหมายของคาํ วา
๓. ปัจจัยดา้ นคา นยิ มและการปรบั เปล่ยี นให้เขา้ กบั ยคุ สมัย “ศลิ ปะ” ในเชงิ ปรชั ญาตามลัทธิ
๔. ปัจจัยดา้ นการสืบทอดดนตรไี ทยของศลิ ปน ความเช่อื และคําอธิบายของ
แลว้ ให้แตละกลุม รวมกนั อภปิ รายวา ปจั จัยดังกลาวมีผลใหง้ านดนตรีได้รบั การ ปรชั ญาเมธีตา งๆ ตอ งเรยี นรธู าตุ
ยอมรบั จากสงั คมอยางไร แล้วจดบนั ทกึ สาระส�าคัญไว้ ขององคป ระกอบของศลิ ปะดนตรี
4 อยา ง คือ สอื่ เนื้อหา สนุ ทรียธาตุ
9 และศลิ ปนธาตุ และตองฝก ฝน
การรับรคู วามงามของดนตรอี ยา ง
@ มมุ IT สมาํ่ เสมอและพฒั นาใหเพิ่มข้นึ

สามารถศกึ ษาเพมิ่ เติมเก่ียวกบั วชิ าการดนตรี
ไดจาก http://www.kingramamusic.org

คูมอื ครู 9

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain

Expand Evaluate

กระตุน ความสนใจ (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)

ครูเปดเพลงบรรเลงใหน กั เรียนฟง ๓. องค์ประกอบทีใ่ ชใ้ นการสรา้ งสรรค์งานดนตรี
พรอ มท้งั นาํ ภาพศิลปะมาใหนักเรียน
ดู แลวถามนกั เรียนวา ในการสร้างสรรค์งานดนตรีให้ออกมามีคุณภาพและสามารถสร้างความรู้สึกประทับใจ
ให้กบั ผฟู้ ังไดน้ นั้ ผสู้ รา้ งสรรค์ผลงานจ�าเปน็ ตอ้ งมคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกับหลักการสรา้ งสรรค์
• ผลงานศลิ ปะทง้ั สองชนิ้ นม้ี ีสิ่งใด งานดนตร ี เพอ่ื จะได้น�ามาใชเ้ ปน็ แนวทางในการสร้างสรรค์ผลงาน
ทเี่ หมอื นหรือแตกตา งกนั ๓.๑ อ งค์ประกอบพ้นื ฐานท่ีสาํ คัญของดนตรี

• ความงดงามของบทเพลง ๑) จงั หวะ (Time) คอื ความรสู้ กึ ทด่ี า� เนนิ ไปอยา งตอ เนอื่ งของบทเพลง ซงึ่ ในทางดนตรี
สามารถรับรูไ ดจากส่งิ ใด
สามารถแบง ออกเป็น ๓ ลกั ษณะ ดังตอไปนี้
• ความงดงามของภาพเขยี น ๑.๑) จังหวะหลัก เป็นจังหวะที่ด�าเนินไปอยางสม�่าเสมอตลอดบทเพลง ถ้าเป็น
สามารถรับรูไ ดจากสง่ิ ใด
เพลงช้ากจ็ ะดา� เนนิ ไปช้าๆ อยางตอเนือ่ ง เปรยี บได้กับการเคาะเทา้ ของนกั ดนตรขี ณะบรรเลง
จากนัน้ ใหน ักเรียนรวมกันแสดง ๑.๒) จงั หวะของทา� นองเพลง เปน็ จงั หวะทดี่ า� เนนิ ไปตามความสนั้ -ยาวของลกั ษณะ
ความคิดเหน็ ในประเดน็ ทีว่ า “หาก
โลกนไ้ี มมศี ิลปะจะเปน อยางไร” ตัวโน้ต (ตัวกลม ตัวขาว ตวั ด�า...) ที่ประกอบกันเป็นท�านองเพลง เปรยี บได้กบั ความส้นั -ยาวของ
เสียงแตละเสียงทีน่ ักดนตรกี �าลงั บรรเลง
สํารวจคนหา
๑.๓) จงั หวะของบทเพลง เปน็ จงั หวะทดี่ า� เนนิ ไปอยา งมแี บบแผนในเรอื่ งของการเนน้
ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน สามารถแบง ออกเป็น ๓ แบบ คอื เพลง ๒ จงั หวะ เพลง ๓ จังหวะ และเพลง ๔ จังหวะ โดยเพลง
สบื คน ขอ มลู เกย่ี วกบั องคป ระกอบทใ่ี ช ท้งั ๓ แบบนจ้ี ะให้ความรสู้ ึกทแี่ ตกตางกันไป
ในการสรา งสรรคง านดนตรี จากแหลง
การเรยี นรตู า งๆ เชน หอ งสมดุ หนงั สอื ๒) ทา� นอง (Melody) คอื การนา� เอาเสยี งดนตรหี ลากหลายระดบั เสยี งทม่ี คี วามสน้ั -ยาว
เรียน อนิ เทอรเ น็ต เปนตน
ของเสียงที่แตกตางกันมาร้อยเรียงให้เกิดความไพเราะ การแตงท�านองท่ีดีจะต้องเข้าใจในเร่ือง
อธิบายความรู ของเสยี งดนตรแี ละบนั ไดเสยี ง (บนั ไดเสยี ง คอื กลมุ เสยี งดนตรที จี่ ดั ไวเ้ ปน็ หมวดหมอู ยา งมแี บบแผน
เราสามารถน�าเสียงในบันไดเสียงดังกลาวไปใช้ในการประพันธ์ท�านองเพลงและเรียบเรียงเสียง
ใหนกั เรยี นแตล ะกลมุ นาํ ขอมูล ประสานได ้ เชน บนั ไดเสยี งชนดิ เมเจอร ์ (Major) ใชส้ า� หรบั ประพนั ธท์ า� นองทใ่ี หค้ วามรสู้ กึ สนกุ สนาน
ทีไ่ ดศ ึกษามาอภปิ รายรว มกันถึง บนั ไดเสยี งชนิดไมเนอร์ (Minor) ใช้ส�าหรบั ประพนั ธท์ า� นองทใี่ หค้ วามรสู้ ึกเศร้า เหงา เปน็ ตน้ )
องคประกอบทใี่ ชในการสรางสรรค
งานดนตรี จากนนั้ ใหสรุปผลการ ๓) เสยี งประสาน (Harmony) คอื เสยี งทเ่ี กดิ ขน้ึ พรอ้ มกนั ตงั้ แต ๒ เสยี งขน้ึ ไป มคี วาม
อภิปรายลงกระดาษรายงาน
สงครูผสู อน กลมกลนื กนั ชว ยสรา้ งสสี นั บบี คน้ั และผอ นคลายอารมณข์ องผฟู้ งั ซง่ึ จะเปรยี บไดก้ บั พนื้ หลงั ของ
ภาพถา ย เสยี งประสานจะชว ยใหท้ า� นองและจงั หวะมคี วามโดดเดน มากยงิ่ ขนึ้ โดยเสยี งประสานจะ
เกรด็ แนะครู ประกอบไปด้วยสว นส�าคัญ ๒ ประการ คือ

ครคู วรนําเพลงพระราชนิพนธ ๓.๑) ข้นั คเู่ สยี ง หมายถงึ ระยะหางของเสียง ๒ เสยี ง เรยี งตามลา� ดับขนั้ ของโน้ต
อันดับท่ี 1 “เพลงแสงเทยี น” มาเปด ในบนั ไดเสียง
ใหน กั เรยี นฟง แลวใหนักเรียนฝกรอ ง
ตาม เนอื่ งจากบทเพลงดังกลาว ๓.๒) คอร์ด หมายถึง เสยี งท่ีประกอบดว้ ยเสยี ง ๓ เสยี งขน้ึ ไป เปลงเสียงออกมา
เปนบทเพลงทีม่ ีความงาม มคี วาม พร้อมๆ กนั หรือเปลงเสยี งออกมาทีละเสียงอยา งตอ เน่ือง
นาเพลิดเพลินใจ และมคี วามเปน เลศิ
ถงึ ขีดสดุ ตามหลกั สุนทรยี ธาตุ ๑๐

10 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

๓.2 เทคนิคท่ใี ช้ในการสร้างสรรคง์ านดนตรี อธิบายความรู
การสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะมหี ลกั วชิ าทเี่ รยี นรแู้ ละถา ยทอดตอ เนอื่ งกนั มา ในทน่ี จี้ ะกลา วถงึ
เทคนิคท่ีใช้ในการสร้างสรรค์งานดนตรี ซ่ึงเทคนิคที่ใช้ในการสร้างสรรค์งานดนตรีมิได้จ�ากัดอยูที่ จากการศกึ ษาเทคนคิ ทีใ่ ชในการ
การแตง ทา� นองใหป้ รากฏเปน็ ทา� นองเพลงเทา นนั้ ศลิ ปน ดนตรยี งั ตอ้ งแสวงหากลวธิ ี หรอื เทคนคิ ใน สรา งสรรคง านดนตรีจากในหนงั สือ
การสรา้ งสรรคส์ ่งิ ทด่ี ีทีส่ ุด เพ่ือให้เข้าถึงสุนทรียะของดนตรี โดยมแี นวทางในการฝึกฝน ดงั ตอ ไปนี้ เรยี น หนา 11 ครตู ้ังประเดน็ วา

เทคนิคทใ่ี ชใ้ นการสร้างสรรค์งานดนตรี • เหตใุ ดเราจงึ ไมค วรวาดมโนภาพ
ตามเสยี งเพลงบรรเลงทกุ บท
ขจดั อคติ ออกไปจากความคิดและจิตใจของตนให้ได้มากที่สุด คือ อย่าชื่นชอบเพลง (แนวตอบ เน่ืองจากดนตรที ี่มี
หรือดนตรีด้วยความล�าเอียง เพราะรัก หรือหลงใหล หรือเกรงใจในตัว ความงามเปนเลศิ อาจจะไมม ี
ศิลปินตามกระแสการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ของบริษัทผู้ผลิต หรือ ภาพ หรอื เร่ืองราวใดๆ แฝง
คิดรังเกียจเพลง หรือดนตรี เพราะความชังอย่างไม่มีเหตุผลท่ีมีต่อศิลปิน อยเู ลย แตบ ทเพลงจะงามดว ย
หรือผู้ผลิต การมีอคติเช่นนี้เท่ากับว่าเราปิดก้ันตนเอง โดยจะไม่มีโอกาสได้ องคประกอบที่เหมาะสมลงตัว
สมั ผสั รสู้ ุนทรยี ะของเพลง หรือดนตรีของบคุ คลอ่นื หรือของกระบวนแบบ ของธาตุตางๆ ของศิลปะดนตร)ี
อ่นื เลย
• หากสงั คมใดไมม ดี นตรี สงั คมนน้ั
เข้าใจเร่อื งธาตทุ ี่ เขา้ ใจวา่ ดนตรใี ชเ้ สยี งเปน็ สอ่ื บอกเนอ้ื หา บอกสนุ ทรยี ธาตุ และบอกศลิ ปนิ ธาตุ จะเปน อยางไร
เปน็ องค์ประกอบ ให้ผู้รับสื่อรับรู้ แต่เสียงดนตรีไม่อาจให้ภาพที่ชัดเจนแก่ผู้ฟังได้ ท�าให้ดนตรี (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบ
เป็นจินตศิลป ผู้ฟังจ�าเป็นต้องสร้างจินตนาการตามเสียงน้ันด้วยตนเอง คําถามไดอยา งอสิ ระ แตค รเู นน
ของดนตรี เสียงดนตรจี ึงมพี ลังและความคล่องตวั ในอนั ทจี่ ะกระตุ้นอารมณ์ ความรสู้ ึก ย้ําวา ดนตรแี สดงถึงวฒั นธรรม
อยา่ งถ่องแท้ ของผฟู้ งั ไดต้ า่ งๆ นานา ขน้ึ อยกู่ บั พนื้ ฐานทางวฒั นธรรม ทางสงั คม ทางความ ความเปน ชาติ ชว ยจรรโลงสงั คม
สนใจ และความรู้ ภูมิหลงั ของบุคคลนั้นๆ หากสังคมขาดดนตรี สงั คมนัน้
กจ็ ะไรซ่งึ วัฒนธรรม)
หมนั่ ศกึ ษา ต้องมีความรู้เรื่องไวยากรณ์ หรือสังคีตลักษณ์ของเพลงและดนตรี ต้องมี
หาความรู้ ความรู้เร่ืองกระบวนแบบของดนตรี ต้องมีความรู้เร่ืองทฤษฎีดนตรี และ นักเรียนควรรู
ดา้ นดนตรี ควรมีความรู้เร่อื งเทคนคิ วธิ ีการบรรเลงเครอ่ื งดนตรเี หล่านอ้ี ยู่บา้ ง
จนิ ตศิลป หรอื Imagination Art
ฝกึ นิสยั การฟัง จะท�าให้ได้ยินหน่วยเสียงทุกเสียง สามารถจับธาตุที่เป็นองค์ประกอบของ คือ ศิลปะท่ีรับรูแลวเกิดจินตนาการ
เพลงและดนตรี ศิลปะดนตรีได้อย่างครบถ้วน และสามารถวิเคราะห์ไวยากรณ์และทาง อยา งตอ เนอ่ื ง ทาํ ใหร ับรสสนุ ทรียได
อยา่ งเอาใจจดจ่อ ประสานเสียงของบทบรรเลงได้ ซ่ึงส่ิงต่างๆ เหล่าน้ีจะเป็นเคร่ืองมือท�าให้ อยา งสมบรู ณ เชน ดนตรี วรรณกรรม
ผฟู้ งั มองเหน็ หรือสัมผสั รู้สนุ ทรยี ะของดนตรีได้ เปน ตน ซ่งึ บางครงั้ ไมต อ งมองเหน็
ไมตอ งอานดว ยตนเอง ฟงคนอื่นอาน
อยา่ พยายาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคีตนิพนธ์ในกลุ่มดนตรีท่ีมีความงามเป็นเลิศ หรือ กไ็ ดสนุ ทรยี รสแลว
วาดมโนภาพ เพลงคลาสสิก (Classical Music) ซ่งึ จะไมม่ ีภาพ หรือเร่ืองราวใดๆ แทรกอยู่
ตามเสียงเพลง แต่จะงามด้วยองค์ประกอบที่เหมาะสมลงตวั ของธาตตุ า่ งๆ ของศิลปะดนตรี นกั เรียนควรรู
บรรเลงทุกบท
ไวยากรณ หรอื สงั คตี ลกั ษณ รปู แบบ
๑๑ หรือลักษณะของบทเพลงท่ีมีความ
แตกตางกัน โดยขึ้นอยูกับผูประพันธ
วา จะดาํ เนนิ ไปในลกั ษณะใด

นกั เรียนควรรู

ขจดั อคติ การขจดั ความลําเอียง ซึ่งมอี ยูดวยกัน 4 อยาง คือ ฉนั ทาคติ
(ลาํ เอยี งเพราะรกั ) โทสาคติ (ลาํ เอยี งเพราะโกรธ) ภยาคติ (ลําเอียงเพราะกลัว)
และโมหาคติ (ลาํ เอียงเพราะเขลา)

คมู อื ครู 11

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Evaluate

Engage Explore Explain Expand

ตรวจสอบผล (ยอ จากฉบบั นักเรียน 20%)

ครูพิจารณาจากผลงานการสรุป กิจกรรม ศลิ ปป ฏบิ ตั ิ ๑.๒
สาระสําคัญขององคป ระกอบท่ีใชใน
การสรา งสรรคงานดนตรี

เกร็ดแนะครู กจิ กรรมที่ ๑ ใหน้ กั เรียนแบง กลมุ กลมุ ละ ๕-๖ คน แล้วรว มกนั อภิปรายเกีย่ วกับองค์ประกอบท่ี
กจิ กรรมท่ี ๒ ใช้ในการสรา้ งสรรค์งานดนตรีและงานศลิ ปะอื่นๆ วามคี วามเหมือน หรอื แตกตาง
(แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปปฏิบตั ิ 1.2 กันอยางไร จากน้ันสรุปสาระส�าคัญจัดท�าเป็นรายงาน ตกแตงรูปเลมให้สวยงาม
กิจกรรมท่ี 2 สง ครผู สู้ อน
1. ดนตรเี ปน งานทมี่ นุษยส รา งสรรค ให้นักเรียนตอบค�าถามตอไปนี้
๑. ดนตรีมีอิทธิพลตอบุคคลและสงั คมอยา งไร
ข้นึ เพอื่ นาํ มาใชประกอบกจิ กรรม ๒. เหตใุ ดงานดนตรจี งึ ไดร้ บั การยอมรบั จากสงั คมและอยคู กู บั สงั คมมาอยา งยาวนาน
ตางๆ ต้งั แตเ กดิ จนตาย อีกทงั้ ๓. องค์ประกอบที่ใช้ในการสร้างสรรค์งานดนตรีมีส่ิงใดบ้าง แล้วมีความแตกตาง
ดนตรียังชว ยยกระดับจิตใจของ
มนษุ ยใหสงู ขนึ้ อีกดว ย กับองค์ประกอบท่ีใช้ในการสรา้ งสรรค์งานศิลปะอนื่ ๆ อยางไร
2. ดนตรเี ปนมรดกทางวฒั นธรรม
ท่เี สริมสรา งความแขง็ แกรง ให ดนตรีเปนมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ เนื้อหาสาระของดนตรีมีคุณคาตอ
กับคนในชาติ การสรางสรรค ความเปนชาติ เสริมสรา งความสมบรู ณและความมัน่ คงใหกับสังคม
งานดนตรีจึงมีมาอยา งตอ เน่อื ง ทั้งน้ี การฝกฝนตนเองเพื่อใหเขาถึงสุนทรียะของศิลปะอื่นๆ นับวา
นอกจากนี้ ความกาวหนา ทาง เปนการฝกที่ยาก ซึ่งบุคคลที่มีพื้นฐานความรู ประสบการณดานศิลปะ
เทคโนโลยแี ละการปรับเปลย่ี น และมีภูมิหลังทางสังคมและวัฒนธรรมท่ีแตกตางกันจะเขาถึงสุนทรียะ
ดนตรใี หเ ขา กบั ยคุ สมยั กเ็ ปน ปจ จยั ของศิลปะไดไมเทากัน แตผูเรียนก็สามารถพัฒนาขีดความ
สาํ คัญทที่ ําใหง านดนตรไี ดรับการ สามารถของตนเองได โดยการศึกษาหาความรูและส่ังสม
ยอมรบั จากสังคมมาจนถงึ ปจจบุ ัน ประสบการณด า นศลิ ปะเพ่ิมขน้ึ เรื่อยๆ ตามคําแนะนําท่ีกลาวไว
3. นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ในเน้อื หา เพราะหากบคุ คลใดเขา ถึงสุนทรียะของศลิ ปะได บคุ คลนน้ั
ไดอ ยางอิสระ ครูควรเนน ให ยอมเปนผูท ่ีมีความสขุ มคี วามอ่ิมเอิบใจ และรสู ึกสงางามในใจอยางที่
นักเรียนเขาใจวา ความงามจะ ใครไมส ามารถมีเทา ได
สัมผัสไดด ว ยประสาทสมั ผัสที่
แตกตา งกนั โดยดนตรจี ะใช
ประสาทสมั ผสั ทางหูในการฟง
เพลงที่ไพเราะ)

หแสลดักงฐผานลการเรยี นรู ๑2

1. รายงานเก่ียวกบั อิทธิพลของดนตรี
ทีม่ ีตอบุคคลและสังคม

2. ผลงานการสรปุ สาระสาํ คัญของ
องคประกอบท่ใี ชใ นการสรา งสรรค
งานดนตรี

12 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Engage

Explore Explain Expand Evaluate

เปา หมายการเรยี นรู

1. รอ งเพลง เลน ดนตรเี ดยี่ ว และ
รวมวง โดยเนนเทคนิคการรอง
การเลน การแสดงออก และ
คุณภาพเสยี ง

2. อธิบายเหตผุ ลในการเลอื กใช
องคป ระกอบดนตรใี นการ
สรา งสรรคงานดนตรขี องตนเอง

3. เปรียบเทียบความแตกตางระหวา ง
งานดนตรขี องตนเองและผอู ่ืน

4. นําเสนอ หรือจดั การแสดงดนตรี
ทเ่ี หมาะสม โดยบูรณาการกับ
สาระการเรยี นรอู ่ืนในกลุม ศลิ ปะ

5. บรรยายวิวฒั นาการของดนตรี
แตละยุคสมัย

òหนว่ ยท่ี กระตนุ ความสนใจ

ทกั ษะดนตรไี ทย ครูเปด “เพลงบุหลนั ลอยเลือ่ น”
พระราชนพิ นธในพระบาทสมเด็จ
ตัวชี้วดั ดนตรีไทยเปนสมบัติและวัฒนธรรม พระพทุ ธเลศิ หลา นภาลัย (รชั กาล
ท่ี 2) ใหน กั เรียนฟง จากน้ันครถู าม
■ รอ งเพลง เลนดนตรีเด่ยี วและรวมวง โดยเนนเทคนคิ การรอง การเลน ท่ีบงบอกความเปนไทย ทั้งนี้ การขับรอง นกั เรียนวา
การแสดงออก และคณุ ภาพเสียง (ศ ๒.๑ ม.๓/๒) และการบรรเลงดนตรีไทยมีหลายลักษณะ
ผูเรียนจึงจําเปนตองศึกษาแตละลักษณะให • บทเพลงที่ฟงจบไปน้ันมชี ื่อเพลง
■ อธบิ ายเหตุผลในการเลอื กใชองคป ระกอบดนตรีในการสรางสรรค เขาใจ เปรียบเทียบความแตกตางและอธิบาย วาอยา งไร
งานดนตรขี องตนเอง (ศ ๒.๑ ม.๓/๔) เหตุผลในการเลือกใชองคประกอบดนตรีในงาน
• เน้ือหาของเพลงตองการส่ือถงึ
■ เปรยี บเทียบความแตกตางระหวา งงานดนตรีของตนเองและผูอ ืน่ เร่ืองใด
(ศ ๒.๑ ม.๓/๕)
• เครอ่ื งดนตรที บ่ี รรเลงประกอบ
■ นาํ เสนอ หรอื จดั การแสดงดนตรีทเ่ี หมาะสม โดยบูรณาการกับ เพลงเปน เคร่อื งดนตรชี นดิ ใด
สาระการเรยี นรอู นื่ ในกลมุ ศลิ ปะ (ศ ๒.๑ ม.๓/๗)
จากนัน้ ใหน กั เรยี นชว ยกนั บอกชือ่
■ บรรยายววิ ฒั นาการของดนตรีแตละยุคสมัย (ศ ๒.๒ ม.๓/๑) เพลงไทยเดมิ และเครอ่ื งดนตรีไทยที่
นกั เรยี นรจู ักมาใหมากท่สี ดุ
สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ดนตรแี ตล ะลกั ษณะได ตลอดจนสามารถฝก ปฏบิ ตั ิ
เกรด็ แนะครู
■ เทคนคิ และการแสดงออกในการขบั รอ งและการบรรเลงดนตรเี ดย่ี ว เคร่ืองดนตรีไทยและสามารถนําไปแสดงในโอกาส
และรวมวง การเรยี นการสอนในหนว ยนี้ ครคู วร
■ การเลอื กใชองคประกอบในการสรา งสรรคบ ทเพลง ตางๆ เพ่ือเปนการสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยให หาซีดีเพลงไทยเดมิ มาเปด ใหนกั เรยี น
คงอยูคกู ับสงั คมไทยสืบตอ ไป ฟง เชน เพลงเขมรไทรโยค เพลงบหุ ลนั
ฯลฯ ลอยเล่ือน เปนตน เพราะในปจจุบัน
เพลงไทยเดมิ เหลา นนี้ กั เรยี นสว นใหญ
ไมน ิยมฟง

คมู ือครู 13

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain

Engage Expand Evaluate

สํารวจคน หา (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)

ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน ๑. วิวัฒนาการของดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมัย
สืบคนขอมูลเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
ดนตรีไทยในสมัยสุโขทัย จากแหลง การศกึ ษาเรอื่ งราวของดนตรไี ทยนนั้ จา� เปน็ อยา งยง่ิ ทจี่ ะตอ้ งทราบถงึ แหลง กา� เนดิ ความ
การเรยี นรตู า งๆ เชน หอ งสมดุ หนงั สอื เป็นมา และววิ ฒั นาการของดนตรีไทยในแตละยคุ สมัย เพื่อใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความซาบซง้ึ มองเห็น
เรียน อนิ เทอรเ น็ต เปน ตน คุณคาของดนตรีไทย อันเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมประจ�าชาติไทย ซ่ึงการแบงยุคสมัยทาง
ดนตรขี องไทยจะนิยมก�าหนดตามยุคสมยั ทางประวตั ศิ าสตร ์ ดังตอ ไปนี้
อธบิ ายความรู ๑.๑ สมยั สโุ ขทัย
สมัยสุโขทัยนับเป็นสมัยเริ่มต้นท่ีคนไทยรวมตัวกันเป็นชาติอยางสมบูรณ์ แทนที่จะเป็น
ใหน กั เรียนแตล ะกลมุ นําความรู เพยี งอาณาจกั รทมี่ เี ขตอทิ ธพิ ลอยา งจา� กดั ดงั แตก อ น เรอื่ งราวของสโุ ขทยั มคี วามชดั เจนมากยงิ่ ขนึ้
เกยี่ วกบั ววิ ฒั นาการดนตรไี ทยในสมยั เม่อื พอ ขุนรามค�าแหงไดป้ ระดิษฐ์อกั ษรไทยและจารกึ เร่ืองราวตางๆ ลงในหลักศลิ าจารกึ และจาก
สุโขทยั ท่ีไดส ืบคนมาพูดคุย ศลิ าจารกึ นเ้ี องทา� ใหค้ นรนุ หลงั ทราบวา สมยั สโุ ขทยั เปน็ ยคุ สมยั หนงึ่ ทมี่ คี วามเจรญิ กา้ วหนา้ ทางดา้ น
แลกเปลีย่ นกันในชน้ั เรียน สังคม เศรษฐกจิ การเมอื ง การทหาร ภาษา และศลิ ปวฒั นธรรม ชาวเมืองมเี ครอ่ื งเลน สรา้ งความ
ร่ืนเริงบันเทิงใจ และมีอิสระเสรีที่จะแสดงออกในเร่ืองราวของบทเพลงและดนตรี เพลงและเรื่อง
นักเรียนควรรู ราวของดนตรีบางสว นจงึ ปรากฏอยบู นหลักศลิ าจารึก เชน ข้อความทีว่ า “เสียงพาทย เสียงพิณ
เสียงเลื่อน เสยี งขับ” แสดงให้เหน็ วา ในสมยั สุโขทยั มกี ารนา� ดนตรีมาใชใ้ นกิจกรรมตา งๆ ทงั้ ใน
บณั เฑาะว เปน เครอื่ งดนตรปี ระเภท ราชสา� นักและประเพณขี องราษฎร
กลอง ท่ีมีลักษณะหัวและทายใหญ เครื่องดนตรีที่ปราฏหลักฐานวามีการใช้กันในสมัยสุโขทัย เชน บัณเฑาะว์ สังข์
ตรงกลางคอด ใชเชือกผูกกับลูกตุม แตรงอน (กาหล) แตรเขาควาย (พิสเนญชัย) พิณเพียะ หรือเปียะ ซอสามสาย กรับพวง
กลองชนิดน้ีจะเกิดเสียงโดยใชมือถือ กรับค ู มโหระทึก ฆอ้ ง กลอง กังสดาล ฉงิ่ ฉาบ เป็นตน้ เพลงไทยท่ปี รากฏขึ้นในสมยั น้ ี ไดแ้ ก 
พลิกขอมือไปมา ใหลูกตุมท่ีปลาย เพลงเทพทอง หรอื เรยี กอีกอยางหนง่ึ วา “เพลงสโุ ขทยั ”
เชอื กกระทบหนงั หนา กลองทงั้ สองดา น
บัณเฑาะวเปนเครื่องดนตรีท่ีพบเห็น ตวั อยา งเครอ่ื งดนตรที ป่ี รากฏหลกั ฐาน
ไดใ นพระหัตถขวาของพระศิวะ วา มกี ารใชกันในสมยั สุโขทัย
ทมี่ าของภาพ : คลงั ภาพ ACT.
นักเรียนควรรู
๑4
กังสดาล เปนระฆังวงเดือน หลอ
จากสัมฤทธิ์ หรือทองเหลือง ดานบน
เจาะรูไวแขวน ใชเปนเคร่ืองตีบอก
สัญญาณของพระสงฆในสมัยโบราณ
และใชประกอบการบรรเลงดนตรีใน
บางโอกาส

@ มมุ IT

สามารถฟงตัวอยางเพลงเทพทอง
สองช้ัน ซึ่งเปนเพลงท่ีสันนิษฐานวา
เกดิ ขนึ้ ในสมยั สโุ ขทัย ไดจาก http://
www.youtube.com โดยคนหาจาก
คําวา เพลงเทพทองสองชน้ั

14 คูมือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain

Engage Expand Evaluate

๑.2 สมัยอยุธยา สาํ รวจคน หา
สมยั อยธุ ยาดนตรมี กี ารพฒั นาในหลายๆ ดา้ น ทัง้ นี้ เพราะอยุธยาเป็นราชธานยี าวนาน
ถงึ ๔๑๗ ป ี จึงมกี ารตดิ ตอสมั พันธก์ บั ชาตติ างๆ หลายชาต ิ โดยผานทางการเมือง การคา้ และ ใหน ักเรยี นสบื คน ขอ มูลเกย่ี วกับ
การแลกเปล่ียนทางวัฒนธรรม เชื่อกันวาในสมัยอยุธยาดนตรีไทยนาจะมีความเจริญมาก ท�าให้ เคร่อื งดนตรไี ทยในสมัยอยุธยา
ประชาชนนยิ มเลน ดนตรกี นั มากมาย แมแ้ ตใ นเขตพระราชฐาน จนกระทง่ั ในสมยั สมเดจ็ พระบรม- จากแหลงการเรยี นรูตางๆ เชน
ไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑) ต้องมกี ฎมณเฑยี รบาลก�าหนดวา “หา มรองเพลงเรอื เปา ขล่ยุ หองสมดุ หนงั สอื เรยี น อนิ เทอรเ นต็
เปาป สีซอ ดีดกระจบั ป ดีดจะเข ตโี ทนทบั ในเขตพระราชฐาน” เปนตน
เคร่ืองดนตรีในสมัยอยุธยาบางชนิดรับชวงมาจาก
สมัยสุโขทัย แตได้มีการพัฒนาในการคิด อธิบายความรู
สร้างเครื่องดนตรีข้ึนมาอีกหลายชิ้น
จนท�าให้เครื่องดนตรีในสมัยนี้มีครบ ใหนกั เรียนนําขอ มูลเก่ยี วกับ
เกอื บทุกประเภท เชน กระจับป ี จะเข้ เคร่อื งดนตรไี ทยในสมัยอยธุ ยาทีไ่ ด
(พฒั นามาจากเครอ่ื งดนตรขี องมอญ) สบื คน มาอภปิ รายแลกเปลยี่ นกัน
ขลุยเปนเคร่ืองดนตรีประเภทเคร่ืองเปาชนิดหน่ึง ท่ีมีปรากฏหลักฐาน พณิ นา้� เต้า ซอสามสาย ซออู ้ ซอด้วง ในชน้ั เรียน
อยูในสมยั อยุธยาสืบเนอ่ื งมาจนถึงปจจุบัน ขลุย กรับคู กรับเสภา ระนาดเอก
ทมี่ าของภาพ : คลงั ภาพ ACT. นกั เรยี นควรรู

ฆอ้ งวงใหญ ฆอ้ งชัย ฆอ้ งโหมง ฉงิ่ ฉาบ ตะโพน โทน ร�ามะนา กลองทัด กลองตุก ปใี น ปีก ลาง ฆอ งชัย หรือฆองหุย ใชตกี ํากบั
แตรงอน แตรสงั ข ์ เป็นต้น จังหวะ เปนฆองท่ีมีขนาดใหญท่ีสุด
เพลงไทยท่ีปรากฏในสมยั นี้ สามารถจ�าแนกออกเป็น ๓ ประเภท คอื ในวงดนตรีไทย ที่เรียกวา “ฆองชัย”
๑. เพลงมโหร ี ใชว้ งมโหรบี รรเลง มไี ว้สา� หรบั บรรเลงขบั กลอ ม เพลงทบี่ รรเลงม ี ๒ ชนดิ อาจเปน เพราะในสมยั โบราณใชฆอง
คอื เพลงตบั และเพลงเกรด็ ซง่ึ มตี า� ราเพลงมโหรปี รากฏรายชอ่ื ชนิดนีต้ ีเปน สัญญาณในกองทัพ
ตกทอดมาถงึ สมัยรัตนโกสนิ ทร์ถงึ จา� นวน ๑๙๗ เพลง ปจจุบันใชตีในงานพิธีและงานมงคล
๒. เพลงปีพาทย์ ใช้วงปีพาทย์บรรเลง มีไว้ส�าหรับ ตางๆ
บรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร และใชบ้ รรเลงประกอบ
พิธีกรรมตางๆ เพลงที่บรรเลง เชน เพลงหน้าพาทย์ นักเรียนควรรู
เพลงประกอบละคร เพลงเรอื่ ง เป็นต้น
๓. เพลงภาษา เปน็ เพลงไทยท่ีมสี า� เนยี ง กลองตุก หรือกลองชาตรี เปน
ของชาติตางๆ มักใชบ้ รรเลงประกอบตวั ละครตาม เครอื่ งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งตี ทาํ หนา ที่
เชอื้ ชาตนิ นั้ ๆ เชน เพลงสา� เนยี งภาษาจนี เพลงสา� เนยี ง กํากับจังหวะ มีลักษณะเปนรูปทรง
มอญ เปน็ ตน้ กระบอก ตรงกลางปองออกเล็กนอย
หนากลองตรึงดวยหมดุ ซึ่งทําดวยไม
ซอสามสาย เปน เครือ่ งดนตรีประเภทเคร่อื งสที ปี่ รากฏ ๑5 งาชาง กระดูกสัตว หรือโลหะ กลาง
หลักฐานสืบเนื่องมาจากสมยั สโุ ขทัย กลองดานหน่ึงมีหวงสําหรับแขวน
ทม่ี าของภาพ : คลงั ภาพ ACT. ใชขาหย่ังคํ้าตั้งขึ้นตีดวยไม 2 อัน
ลักษณะเปนไมยาวเรียว ปลายมน
นกั เรยี นควรรู ลูกหน่ึงเสียงสูง เรียกวา “ตัวผู” อีก
ลูกหน่ึงเสียงต่ํา เรียกวา “ตัวเมีย”
แตรงอน แตรที่มีลักษณะปลายบานและโคงงอน ตัวผูจะอยูทางขวามือและตัวเมียจะ
เหมอื นเขาควาย ใชใ นงานพระราชพิธี อยูทางซายมอื ของผูตี

คูมอื ครู 15

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Engage

Explore Explain Expand Evaluate

กระตนุ ความสนใจ (ยอจากฉบับนกั เรียน 20%)

ครถู ามนักเรียนวา ๑.๓ สมยั รัตนโกสินทร์
• ทราบหรือไมวา วิวฒั นาการ ดนตรใี นสมยั รตั นโกสนิ ทรม์ กี ารพฒั นาตอ เนอ่ื งมาจากดนตรใี นสมยั อยธุ ยา สามารถแยก
กลาวในแตละชวงของรชั กาลได้ ดงั ตอไปนี้
ดนตรีไทยในสมัยรัตนโกสินทร
ชว งใดมีความเจริญรงุ เรอื ง ๑) สมัยพระบาทสมเด็จ ๒) สมยั พระบาทสมเด็จ ๓) สมัยพระบาทสมเด็จ ๔) สมัยพระบาทสมเด็จ
มากทสี่ ุด พระพุทธยอดฟาจุฬาโลก พระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย พระน่ังเกล้าเจ้าอยูห่ วั พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั
(แนวตอบ ชวงท่ีดนตรีไทยเจริญ มหาราช (รชั กาลที่ ๑) (รชั กาลท่ี ๒) (รัชกาลที่ ๓) (รัชกาลที่ ๔)
รุงเรืองที่สุด คือ สมัยพระบาท
สมเดจ็ พระพุทธเลิศหลานภาลัย พระองคไ์ ดท้ รงฟน ฟศู ลิ ป- ใ น ส มั ย น้ี ด น ต รี ไ ท ย ไ ด ้ ในสมัยนี้วงดนตรีได้มีการ การดนตรเี จรญิ แพรห่ ลาย
(รัชกาลที่ 2) เน่ืองจากพระองค วัฒนธรรมข้ึน โดยทรงพระ เจรญิ รุ่งเรอื งขน้ึ โดยพระองค์ ประดิษฐ์ระนาดทุ้มขึ้น เพื่อ มากยง่ิ ขน้ึ มวี งปพ าทย์ วงมโหรี
ทรงสงเสริมศิลปะการแสดงเปน ราชนิพนธ์เร่ืองรามเกียรต์ิ ทรงสง่ เสรมิ ดา้ นวรรณคดแี ละ ให้เป็นคู่กบั ระนาดเอก โดยทา� เกิดขน้ึ มากมาย มีการบรรเลง
อันมาก ซึ่งดนตรีกับศิลปะการ และเรื่องดาหลังให้สมบูรณ์ การละคร ทรงพระราชนพิ นธ์ ตามแบบระนาดเอกของเดิม เพลงอัตราจังหวะสามช้ันกัน
แสดงเปน สงิ่ ทอ่ี ยคู วบคกู นั ทาํ ให ซ่ึงเป็นวรรณคดีท่ีมีมาต้ังแต่ เรอ่ื งอเิ หนาและเรอ่ื งรามเกยี รต์ิ คือ ให้มีลูกระนาดขนาดใหญ่ อยา่ งแพรห่ ลาย มเี ครอื่ งดนตรี
สมัยน้ีดนตรีไทยจึงจัดอยูในยุค สมัยอยุธยา โดยวรรณคดีท้ัง ขนึ้ อกี สา� นวนหนงึ่ เพอื่ ใหเ้ หมาะ กวา่ เพอื่ ใหเ้ กดิ เสยี งทมุ้ ตา�่ แลว้ เกิดขึ้นใหม่อีกด้วย น่ันก็คือ
รงุ เรือง) ๒ เร่ืองน้ี ใช้ในการแสดงโขน แกก่ ารแสดงละครในมากยงิ่ ขนึ้ บรรเลงระนาดทมุ้ ใหม้ เี สยี งผดิ “ระนำดทอง” (ระนาดเอกเหลก็ )
และการแสดงละคร จงึ นบั เปน็ จนวรรณคดีเรื่องอิเหนาได้ แปลกไปจากระนาดเอก ส่วน ระนาดทองเป็นระนาดแบบ
นกั เรยี นควรรู รากฐานสา� คญั ทที่ า� ใหบ้ ทเพลง รับการยกย่องว่าเป็นกลอน ลลี าการบรรเลงระนาดทมุ้ นน้ั เดียวกับระนาดเอก แต่ท�า
ต่างๆ ในอดีตถูกฟนฟูขึ้นมา บทละครทีด่ ที ี่สุด ก็ให้มีลีลาท่ีหยอกล้อไปกับ ลกู ระนาดดว้ ยทองเหลอื งแทน
เพลงบหุ ลันลอยเล่ือน เปน เพลงทมี่ ี อีกคร้ัง เพราะละครไทยต้อง ระนาดเอก บางคร้ังอาจตี เวลาตีเสยี งจะดังกังวานมาก
เรื่องเลาสืบตอกันมาวา เม่ือพระบาท อาศัยเพลงบรรเลงประกอบ ส่วนด้านดนตรีก็เฟองฟู ล�้าหน้า บางครั้งตีเยื้องแนว
สมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา นภาลยั การแสดง ขึ้นเช่นเดียวกัน ดังปรากฏใน ลลี าไปขา้ งหลัง นอกจากน้ี ยงั มเี ครอ่ื งดนตรี
(รัชกาลที่ 2) ทรงซอสามสายคู พระราชประวัติของพระองค์ อีกชนิดหนึ่งคู่กับระนาดทอง
พระหัตถท่ชี ่ือวา “ซอสายฟา ฟาด” นอกจากนี้ ครดู นตรไี ดเ้ พม่ิ วา่ ทรงสซี อสามสายไดเ้ ปน็ เลศิ นอกจากมีระนาดทุ้มเพ่ิม นั่นก็คือ “ระนำดทุมเหล็ก”
แลวเสด็จเขา ทพี่ ระบรรทมและทรง กลองทัดข้ึนในวงปพาทย์อีก ทรงมีซอคู่พระหัตถ์เรียกว่า ข้ึนแล้ว ในด้านการบรรเลง เพอ่ื เพมิ่ เตมิ ในวงปพ าทย์ ทา� ให้
พระสุบนิ (ฝน) วา พระองคไ ดเ สดจ็ ลูกหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมวงปพาทย์ “ซอสำยฟำฟำด” และมีเพลง บทเพลงก็ได้มีการน�าเพลง มีการพัฒนาเป็นวงปพาทย์
พระราชดาํ เนนิ ไปในสถานท่แี หง หน่งึ จะมีกลองทัดเพียงลูกเดียว พระราชนิพนธ์ใหม่เกิดขึ้น อัตราจังหวะสองช้ันมาแต่ง เคร่ืองใหญ่
ไดท อดพระเนตรเหน็ ดวงจนั ทรค อ ยๆ ลูกท่ีเพ่ิมข้ึนเสียงต่างกันออก คอื เพลงบุหลนั ลอยเลื่อน ใน ขยายเป็นอัตราจังหวะสามชั้น
ลอยเคล่ือนเขามาใกลพระองคทีละ ไป ท�าให้เกดิ เสียง ๒ เสยี งข้นึ สมยั นเ้ี กดิ วงปพ าทยเ์ สภา และ และแต่งตัดเป็นอัตราจังหวะ
นอย และฉายแสงสวางไปท่ัวบริเวณ คอื เสยี งสงู ตดี งั “ตมู ” กบั เสยี ง ได้มีการน�ากลองสองหน้ามา ช้ันเดียว พร้อมท้ังน�าเพลง
ทนั ใดนนั้ กป็ รากฏเปน เสยี งทพิ ยดนตรี ต่�าตีดัง “ตอม” โดยจะเรียก ใช้ตีก�ากับจังหวะหน้าทับใน ท้ังสามอัตรามาเรียบเรียงเป็น
แววกงั วานหวานไพเราะเสนาะ ลูกทม่ี ีเสียงสงู ว่า “ตัวผู” และ วงปพาทยเ์ สภาอีกดว้ ย เพลงเถา เคร่ืองดนตรีท่ีคิด
พระกรรณ พระองคทรงสดับเสียง เรยี กลกู ทมี่ เี สยี งตา�่ วา่ “ตวั เมยี ” ขน้ึ ในสมยั น้ี คอื “ฆองวงเล็ก”
ดนตรีนั้นดวยความเพลิดเพลนิ
พระราชหฤทัย จนดวงจันทรค อยๆ ๑6
ลอยเคลอื่ นหา งออกไปในทองฟา
พรอ มกับเสียงดนตรนี ัน้ คอ ยๆ นกั เรยี นควรรู
จางลง จนหมดเสียง พลนั เสด็จ
ตนื่ จากบรรทมจงึ โปรดใหเ จา พนกั งาน เพลงเถา เปนเพลงขนาดยาวที่มีเพลง 3 ชนิด บรรเลงติดตอในเพลงเดียว โดยบรรเลง
ดนตรเี ขามาตอ เพลงนไ้ี ว เพลงสามช้ันกอน แลวเปนเพลงสองช้ัน ลงมาจนถึงเพลงชั้นเดียว เพลงเถานิยมใชบรรเลง
และขบั รอ งในรปู ของเพลงรบั รอ ง คอื เมอื่ รอ งจบทอ น ดนตรกี บ็ รรเลงรบั ไมน ยิ มนาํ เพลงเถา
16 คูม อื ครู มารอ งใหด นตรีบรรเลงคลอ หรือบรรเลงลาํ ลองแตอ ยางใด

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain

Engage Expand Evaluate

สํารวจคน หา

ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน
สืบคนขอมูลเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ
ดนตรีไทยในสมัยรัตนโกสินทร จาก
แหลงการเรียนรตู า งๆ เชน หองสมุด
หนังสอื เรยี น อินเทอรเนต็ เปน ตน

๕) สมยั พระบาทสมเดจ็ ๖) สมยั พระบาทสมเดจ็ ๗) สมัยพระบาทสมเด็จ ๘) สมัยพระบาทสมเด็จ อธบิ ายความรู
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ ัว พระปกเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว พระปรเมนทรมหา-
(รัชกาลที่ ๕) (รัชกาลท่ี ๖) (รัชกาลท่ี ๗) อานนั ทมหิดล ใหนักเรียนแตละกลุม สงตัวแทน
พระอัฐมรามาธบิ ดินทร ออกมานาํ เสนอววิ ฒั นาการดนตรไี ทย
ไ ด ้ มี ก า ร คิ ด วิ ธี ป ร ะ ส ม การบรรเลงดนตรีนิยม เป็นช่วงท่ีเกิดการเปล่ียน (รัชกาลที่ ๘) ในสมัยรัตนโกสินทรทีละกลุมหนาชั้น
วงดนตรขี นึ้ ใหมอ่ กี รปู แบบหนงึ่ รอ้ งรบั เปน็ เพลงเถาอยา่ งแพร่ แปลงการปกครองจากระบอบ เรียน จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน
คอื วงปพ าทย์ดกึ ดา� บรรพ์ ซึ่ง หลาย ก่อนหน้านี้ก็มีบรรเลง สมบูรณาญาสิทธิราชย์มา เ ป ็ น ร ะ ย ะ ที่ ด น ต รี ไ ท ย สรุปวิวัฒนาการดนตรีไทยต้ังแตสมัย
เปน็ การปรบั ปรงุ วงของสมเดจ็ กันบ้างแต่มานิยมกันมากใน เป็นการปกครองโดยระบอบ ซบเซา เน่ืองมาจากการขาด สโุ ขทยั จนถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทร โดยให
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟา สมยั นี้ เพลงเถานนั้ อาจตอ่ ดว้ ย ประชาธิปไตย ในสมัยนี้เกิด การสนับสนุนจากหลายส่วน นักเรียนจดบันทึกลงสมดุ
จติ รเจรญิ กรมพระยานรศิ รา ลูกหมดทา้ ยเพลงหรอื ไม่กไ็ ด้ เศรษฐกิจตกต�่าท่ัวโลกและ รวมไปถึงคนไทยนิยมหันไป
นวุ ดั ตวิ งศท์ ไ่ี ดท้ รงปรบั ปรงุ ขนึ้ ประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบ เล่นดนตรีแบบตะวันตกด้วย นกั เรยี นควรรู
เพื่อใช้ประกอบการแสดงที่ เครอ่ื งดนตรที ป่ี ระดษิ ฐข์ น้ึ น้ันด้วย พระองค์ทรงศึกษา ท�าให้การประพันธ์เพลงใน
เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ ใหม่ในสมัยนี้ ไดแ้ ก่ “องั กะลุง” ดนตรีจนมีพระปรีชาสามารถ สมัยนี้มีการน�าท�านองเพลง พรานบูรพ (จวงจันทร จันทรคณา)
(หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร) ซ่ึ ง ห ล ว ง ป ร ะ ดิ ษ ฐ ไ พ เ ร า ะ ใ น ก า ร เ ล ่ น ด น ต รี แ ล ะ ท ร ง ของสากลเข้ามาผสมผสาน เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2444
ได้ปรับปรุงขึ้น คือ ละคร (ศร ศิลปบรรเลง) ได้น�าแบบ พระราชนิพนธ์เพลงไทยไว้ โดยมีผู้น�าท�านองเพลงไทยมา นักประพันธเพลงท่ีปฏิรูปรูปแบบ
ดึกด�าบรรพ์ที่ดัดแปลงมาจาก อย่างมาจากเคร่ืองดนตรีของ ๓ เพลง คอื เพลงราตรปี ระดบั ใส่เนื้อร้องเต็มตามท�านองบา้ ง เพลงไทยจากทวงทํานองเพลงไทย
ละครโอเปรา (Opera) ของ อินโดนีเซีย เมื่อคราวตาม ดาวเถา เพลงเขมรละออองค์ แต่งขึ้นเองบ้าง เพ่ือประกอบ เดมิ ทมี่ ลี กู เออื้ นใหม ลี กั ษณะเปน สากล
ตะวนั ตก เสด็จสมเด็จพระราชปิตุลา เถา และเพลงโหมโรงคลื่น ละครพดู ละครประวัติศาสตร์ มากยง่ิ ขน้ึ จนอาจกลา วไดว า พรานบรู พ
บรมพงศาภิมุข เจ้าฟาภาณุ กระทบฝัง สามช้นั และภาพยนตร์ มนี กั ประพันธ์ คอื ผูริเริม่ เพลงไทยสากลก็ได ผลงาน
ในการนี้ท�าให้เกิดเครื่อง รังษีสว่างวงศ์ กรมพระยา เพลงเกิดข้ึนหลายท่าน เช่น เพลงที่สรางช่ือเสียง เชน เพลงจันทร
ดนตรีขึ้นใหม่อีกชนิดหนึ่ง คือ ภาณพุ นั ธวุ งศว์ รเดชเสดจ็ เยอื น นักดนตรีและนกั ประพนั ธ์ พรานบูรพ์ (จวงจันทร์ จนั ทร์ เจา ขา เพลงกลว ยไมล มื ดอย เปนตน
กลองตะโพน (ใชต้ ะโพน ๒ ใบ) อนิ โดนเี ซยี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ เพลงในสมัยของพระองค์มี คณา) หลวงวิจิตรวาทการ
ตั้งตีแทนกลองทัด โดยตีด้วย แ ต ่ ไ ด ้ มี ก า ร ดั ด แ ป ล ง ใ ห ้ มี มากมายหลายทา่ น เชน่ หลวง (กิมเหลียง วฒั นปฤดา)
ไม้นวม เพื่อให้เกิดเสียงทุ้มต่�า ๗ เสียง (ของเดิมมี ๕ เสียง) ประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลป- นายล้วน ควนั ธรรม เป็นต้น
ดงั กงั วาน และไมด่ งั กกึ กอ้ ง ซงึ่ และไดจ้ ดั ใหเ้ ขยา่ คนละ ๒ เสยี ง บรรเลง) นายมนตรี ตราโมท
เหมาะส�าหรับการแสดงละคร โดยเขยา่ ๒ มอื มอื ละ ๑ เสยี ง เป็นต้น แต่เน่ืองจากความ
ดึกดา� บรรพ์เป็นอย่างมาก ผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและ
นอกจากนี้ ไดน้ า� เพลงจาก การเมืองไทย ทา� ให้ดนตรีไทย
ชวามาดัดแปลงเป็นเพลงไทย และเพลงไทยได้รับผลกระทบ
อกี ดว้ ย เช่น เพลงยะวา เพลง และขาดความนยิ มลง
โหมโรงบเู ซน็ ซอ็ ค เพลงสะมารงั
เปน็ ตน้

@ มมุ IT

สามารถชมและฟงตัวอยางการ
บรรเลงขิมเพลงจากชวาที่ดัดแปลง
เปนเพลงไทย ไดจาก http://www.
๑7 youtube.com โดย คนหาจากคําวา

เพลงชวา หรอื การบรรเลงขมิ เพลงชวา

คูมอื ครู 17

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Expand Evaluate

Engage Explore Explain

ขยายความเขา ใจ (ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%)

ครูเปด ซดี เี พลงพระราชนิพนธ ๙) สมยั พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช (รชั กาลที่ ๙) ตั้งแต่ครงั้ ทพี่ ระองค์ทรงดา� รงพระ
“ใกลรงุ ” ใหน กั เรยี นฟง จากนน้ั ให อิสริยยศเป็นสมเดจ็ พระอนชุ า กไ็ ด้ทรงรเิ รม่ิ พระราชนิพนธ์เพลงไทยสากลและเพลงสากลขนึ้ เพลงแรก คือ เพลงแสงเทยี น ซงึ่
นักเรียนฝกขบั รอ งตามครูทลี ะทอน มที ว่ งทา� นองเป็นแบบฝรงั่ มาก และจดั เข้าเปน็ เพลงแจส (Jazz Music) ประเภทบลสู ์ (Blues) เพราะมีท�านองเศรา้ ๆ จากนัน้ เม่ือ
จนจบเพลง ครูคอยใหคาํ แนะนาํ พระองคเ์ สดจ็ ขึ้นเสวยราชย์กม็ เี พลงพระราชนิพนธ์ตามมาอีกมากมาย จนชาวตะวันตกต่างกล่าวสรรเสรญิ ในพระปรีชาสามารถ
และช้แี นะขอบกพรอ ง ของพระองค์

ตรวจสอบผล ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๐ - ๒๕๐๐ เป็นอกี ระยะหนึง่ ทม่ี ีการนา� ท�านองเพลงไทยแท้ของเกา่ มาบรรเลงเรง่ จังหวะ และแยกเสยี ง
ประสานแบบสากล เพ่อื ให้นา่ ฟังและมคี วามทันสมยั มากย่งิ ขน้ึ บทรอ้ งก็ไดม้ ีการปรบั เปลีย่ นให้เป็นภาษาสมยั ใหม่มากย่งิ ขึน้
ครูพจิ ารณาจากชิ้นงานการสรปุ
วิวัฒนาการดนตรไี ทยต้งั แต ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๐ - ๒๕๒๕ เปน็ ระยะท่เี รยี กว่า “ดนตรีรวมสมัย” ดนตรีสมยั นม้ี กี ารน�ากฎเกณฑ์ทฤษฎตี ะวนั ตกมาใช้
สมยั สุโขทยั จนถงึ สมยั รัตนโกสนิ ทร กับเพลงไทย เช่น แต่งเพลงไทยสากลตามทฤษฎีตะวันตก มีการน�าเพลงไทยไปเรียบเรียงเสียงประสานส�าหรับวงดนตรีสากล
วงดรุ ยิ างค์ (Marching Band) วงเครอื่ งสาย (String Band) วงคอมโบ (Combo Band) มกี ารนา� เพลง
นักเรียนควรรู อตั ราจงั หวะสองชนั้ และเพลงอตั ราจงั หวะชนั้ เดยี วมาใสเ่ นอื้ รอ้ งใหมแ่ บบเนอ้ื เตม็ ตามทา� นอง
เกิดเป็นเพลงลูกทุง่ และเพลงลูกกรุง เปน็ ตน้
วงดุรยิ างค (Marching Band)
เปนวงดนตรีทีป่ ระกอบดว ยเครื่อง ปจั จบุ นั ดนตรไี ทยขยายมากขนึ้ ในสว่ นของการศกึ ษา เหน็ ไดอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ เยาวชนไทย
ดนตรี 4 กลุม ใหญ คือ กลุมเคร่อื งสาย ได้รับการส่งเสริมให้เล่นดนตรีไทยและเพลงขับร้อง ซึ่งมีทั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษา
กลมุ เครอื่ งเปา ลมไม กลมุ เครอ่ื งเปา ลม มัธยมศึกษา ไปจนถึงระดบั อดุ มศึกษา ดนตรีไทยขยายตัวจากโรงเรยี นนาฏศิลปไ ปสู่โรงเรียน
ทองเหลือง และกลุมเคร่ืองตีกระทบ และสถาบันทุกแห่งท่ัวราชอาณาจักร จนมีงานประชุมบรรเลงเพลงประจ�าปข้ึน เช่น
บรรเลงเปน แนวๆ แตละแนวจะมี งานดนตรีไทยระดบั อุดมศึกษา เป็นตน้
นกั ดนตรเี ลน เครอื่ งดนตรชี นดิ เดยี วกนั
หลายคน กลุมเครื่องสายเปนเคร่ือง การพัฒนาทางด้านดนตรีไทยที่ส�าคัญอีกอย่างหน่ึง คือ การจัดการศึกษา
ดนตรีหลักในวงดุริยางค วงดนตรีใน ดนตรีในระบบการศึกษา โดยเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗ มีการเปิดเรียน
ลักษณะน้ีจะมีผูอํานวยเพลงถือไม วิชาดนตรีเป็นวิชาเอกที่โรงเรียนนาฏศิลป จากนั้นจึงขยายไปสู่สถาบันการศึกษา
บาตอง (Baton) ยืนอยูบนแทนเล็กๆ ตา่ งๆ เชน่ โรงเรยี นมัธยมสังคีต หลกั สูตรเตรียมอุดมดนตรีที่วทิ ยาลัยดรุ ิยางคศิลป
หนาวง โดยผูอํานวยเพลงจะมีหนาที่ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น ท�าให้ปัจจุบันมีการศึกษาวิชาดนตรีไทยในสถาบัน
ควบคมุ การบรรเลงของนกั ดนตรที ง้ั วง อุดมศกึ ษาต่างๆ ทวั่ ประเทศ

นกั เรยี นควรรู กจิ กรรม ศิลปป ฏิบตั ิ ๒.๑

วงเคร่ืองสาย (String Band) กจิ กรรมท่ี ๑ ใหน้ กั เรยี นแบง กลมุ ออกเปน็ ๓ กลมุ ตามยคุ สมยั ของดนตรไี ทย ไดแ้ ก  สมยั สโุ ขทยั
วงดนตรใี นลักษณะนีป้ ระกอบดว ย สมัยอยุธยา และสมยั รัตนโกสนิ ทร์ แลว้ ศึกษาคน้ คว้าเกย่ี วกับดนตรไี ทยในยุคสมัย
เครื่องดนตรี 2 ประเภทใหญๆ คอื ทก่ี ลมุ ตนเองเลอื กจากห้องสมดุ อินเทอรเ์ นต็ และแหลง การเรียนรู้ตา งๆ จากน้นั
เครื่องสายทีใ่ ชดดี เชน กตี ารเบส นา� มาจัดนทิ รรศการในโรงเรียน
เปนตน และเคร่อื งดนตรปี ระเภท
เคร่ืองตีท่ีนําเอาเคร่ืองดนตรีหลายๆ กจิ กรรมท่ี ๒ ครูและนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการขับร้องและการบรรเลง
ชนิ้ มารวมเปน ชดุ เรยี กวา “กลองชดุ ” ดนตรีไทยแตละประเภทวามีความเหมือน หรือแตกตางกันอยางไร แล้วสรุปลง
หรอื กลองแจส” วงดนตรีชนดิ นี้ กระดาษรายงาน สงครูผ้สู อน
ใชผ บู รรเลงไมม ากและไมเ ปลอื งพน้ื ที่
๑8
18 คมู อื ครู
นักเรยี นควรรู

วงคอมโบ (Combo Band) เปนวงดนตรีขนาดเล็ก สําหรับในประเทศไทย
วงคอมโบจะมงุ บรรเลงโดยมกี ารขบั รอ งประกอบเปน สว นใหญ ปจ จบุ นั นยิ มนาํ
มาบรรเลงตามหองอาหาร บรรเลงในงานมงคลตางๆ เคร่อื งดนตรที ่นี ิยมใชใน
วงคอมโบ ไดแก ทรัมเปต แซกโซโฟน เปย โน กตี ารเบส และกลองชุด

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

๒. ทกั ษะพ้ืนฐานทางดนตรไี ทย กระตนุ ความสนใจ

หากกลาวถึงดนตรีไทยยอมหมายรวมท้ังการขับร้องและการบรรเลง เพราะการขับร้อง ครูเปด เทปบนั ทึกเสยี ง หรือซดี ี
และการบรรเลงดนตรไี ทยถอื เป็นทักษะพนื้ ฐานของการศกึ ษาดนตรไี ทย การขับรองเพลงไทย (ควรเปนเพลง
2.๑ หลักการขับร้องเพลงไทย สั้นๆ ทาํ นองสนุกสนาน เปนทีร่ จู ัก
ในระดบั ชนั้ น ้ี การศกึ ษาเกย่ี วกบั หลกั การขบั รอ้ งเพลงจะวา ดว้ ยความแตกตา งเรอ่ื งรปู แบบ หรอื เคยฟง) ใหนกั เรยี นฟง จากนั้น
ของบทเพลง ส�าเนียง อตั ราจังหวะ และการประสานเสียงในการขบั รอ้ งแตล ะประเภท ครถู ามนักเรยี นวา

หลักการขบั รอ้ งเพลงไทย • นักเรยี นคนใดทราบบา งวา
เปน เพลงใด
การขบั รอ้ งเด่ียว คือ การขับร้องคนเดียว ผู้ขับร้องต้องมีความมั่นใจ มีความสามารถในการ
สอดแทรกเทคนคิ ตา่ งๆ ในการขับร้องอยา่ งเหมาะสม โดยมขี ้อควรปฏบิ ตั ิ ดังต่อไปนี้ • เนื้อหาของบทเพลงตอ งการ
สื่อความหมายถึงเร่อื งใด
๑. ดูแลและควบคุมระดบั เสยี งให้แจม่ ใส คงที่ ตรงกบั ระดับเสยี งดนตรี ไม่เพีย้ น หรอื บีบเสียงสูง
เกนิ ไป ท�านองและจังหวะต้องถูกตอ้ ง ครบถว้ น • รูปแบบของบทเพลงมลี กั ษณะ
อยา งไร (ขบั รอ งเดย่ี ว, ขบั รอ งหม,ู
๒. การออกเสียงค�า การแบ่งวรรคตอนค�าร้องต้องถูกต้อง เหมาะสม ตรงตามความหมายที่ ขับรองประกอบการแสดง)
ผปู้ ระพนั ธก์ �าหนด
สาํ รวจคนหา
๓. การผอ่ นลมหายใจ ต้องแบง่ ให้สมา�่ เสมอ เหมาะสมกับคา� ร้องและทา� นอง เพราะถ้าผอ่ นลม
หายใจไมถ่ กู ตอ้ ง จะท�าใหค้ �าร้องและท�านองไมช่ ัดเจน หรอื ไมต่ อ่ เนือ่ ง ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน
หาตัวอยางเพลงไทยท่ีขับรองเด่ียว
๔. ไม่ควรแสดงท่าทาง หรอื สหี น้าขณะขับรอ้ ง มสี มาธิ ไมว่ อกแวกขณะขับรอ้ ง ขับรองหมู และขับรองประกอบการ
บทเพลงท่ีนิยมใช้ขับร้องเดี่ยวจะมีเน้ือหาท่ีไม่ยาวจนเกินไป ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงอัตราจังหวะ แสดง ประเภทละ 1 บทเพลง จาก
สามช้นั และเพลงเถา เช่น เพลงราโคสามชน้ั เพลงราตรปี ระดบั ดาวเถา เปน็ ต้น แหลงการเรียนรูตางๆ เชน หองสมุด
หนงั สอื เรียน อนิ เทอรเน็ต เปนตน
การขับร้องหมู่ คอื การขบั รอ้ งตง้ั แต่ ๒ คนขนึ้ ไป เนน้ ความพรอ้ มเพรยี งเปน็ หนงึ่ เดยี ว ผขู้ บั รอ้ ง
จะปฏิบตั เิ ช่นเดียวกับการขบั รอ้ งเดีย่ ว เพยี งแตม่ เี พิม่ เตมิ บางประการ ดงั ตอ่ ไปน้ี อธิบายความรู

๑. เน้นความพร้อมเพรยี ง ผูข้ บั ร้องตอ้ งขบั รอ้ งใหร้ ะดบั เสยี ง ท�านอง จังหวะ การแบ่งวรรคตอน ใหนกั เรียนแตล ะกลุมนาํ เสนอ
และการผอ่ นลมหายใจตรงกนั ทกุ คน ไมค่ วรสอดแทรกเทคนคิ การขบั รอ้ งใหแ้ ตกตา่ งไปจากผอู้ น่ื บทเพลงทีเ่ ตรยี มมาทีละประเภท
เร่ิมจากการขบั รองเดีย่ ว เมื่อทกุ กลมุ
๒. ตอ้ งขบั รอ้ งใหเ้ สยี งทุกคนกลมกลืนกนั ไม่ควรร้องเสียงดงั เพ่อื ใหเ้ ดน่ กว่าผูอ้ ่ืน นําเสนอจบ ใหนักเรยี นรวมกัน
บทเพลงที่นิยมใช้ขับร้องหมู่ ได้แก่ เพลงอัตราจังหวะสองชั้นและเพลงตับ เช่น เพลงนางนาค วเิ คราะหต ามหัวขอ ดงั ตอไปน้ี
สองช้ัน เพลงตบั นางลอย เป็นต้น
1. การขบั รอ งเดยี่ วมรี ปู แบบอยา งไร
การขบั ร้องประกอบการแสดง จะมีความต่างจากการขับร้องท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น คือ ๑9 2. บทเพลงทใ่ี ชขบั รอ งเด่ยี ว
เปน็ การบรรยายเนอื้ เรอื่ งและการขบั รอ้ งประกอบลลี าทา่ ทางของผแู้ สดง นอกจากจะตอ้ งปฏบิ ตั เิ ชน่
เดียวกับการขบั ร้องเด่ยี วและการขับร้องหมแู่ ลว้ ผู้ขับร้องยงั ตอ้ งค�านึงถึงสงิ่ สา� คญั ดังต่อไปนี้ สว นใหญเปนเพลงในลกั ษณะใด
3. ในการขับรองเดี่ยว ผูข ับรอ งตอ ง
๑. ตอ้ งขับร้องให้ตรงกับลีลาท่าทางของผแู้ สดง ไม่ช้า หรอื เรว็ จนเกนิ ไป
๒. ตอ้ งสอดแทรกอารมณใ์ ห้คลอ้ ยตามไปกับเนื้อเร่อื ง เพื่อช่วยให้ผ้ชู มเกิดสนุ ทรยี รสอยา่ งเต็มท่ี มคี ณุ ลกั ษณะ หรอื ความสามารถ
๓. ตอ้ งฝกึ ซ้อมกับผู้แสดงจนคนุ้ เคย ไมท่ �าใหผ้ แู้ สดงเสยี จังหวะ หรือเคอะเขนิ อยา งไร
บทเพลงที่นิยมใช้ในการขบั ร้องประกอบการแสดง สว่ นใหญจ่ ะเปน็ เพลงอตั ราจังหวะสองชนั้ ละ เมื่ออธบิ ายจบหวั ขอการขับรอง
เพลงอตั ราจงั หวะชน้ั เดยี ว มจี งั หวะกระชบั เชน่ เพลงยานี เพลงเตา่ เห่ ซง่ึ ใชข้ บั รอ้ งประกอบการแสดง เด่ียว ใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอ
โขน เรื่องรามเกยี รติ์ ตอนนางลอย เป็นตน้ บทเพลงในหัวขอ การขับรองหมู และ
การขับรอ งประกอบการแสดง โดย
ตรวจสอบผล ขยายความเขาใจ ปฏิบัตติ ามข้นั ตอนเหมอื นกบั หัวขอ
การขบั รองเดี่ยว
ครูพจิ ารณาจากการเลือกบทเพลง ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ เลอื กบทเพลง
ประเภทขบั รอ งเดยี่ ว ขับรองหมู และ ทช่ี นื่ ชอบและสนใจ ทงั้ ประเภทขบั รอ ง คมู ือครู 19
ขบั รองประกอบการแสดง เดยี่ ว ขับรองหมู และขับรอ งประกอบ
การแสดง มานาํ เสนอหนาช้ันเรียน
ครูคอยใหคําแนะนาํ

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตนุ ความสนใจ (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)

ครูเปด เทปบนั ทึกเสยี ง หรือซดี ีการ 2.2 หลักการบรรเลงดนตรีไทย
บรรเลงเพลงไทย (ควรเปนเพลงสั้นๆ หลกั การบรรเลงดนตรไี ทยทผี่ เู้ รยี นควรทราบในระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓ น ้ี จะแบง ตาม
ทํานองสนกุ สนาน เปนท่ีรูจ กั หรอื ลกั ษณะของการขับร้อง คือ การบรรเลงเด่ียว การบรรเลงหมู และการบรรเลงประกอบการแสดง
เคยฟง ) ใหน ักเรียนฟง จากนั้น
ครูถามนักเรียนวา หลกั การบรรเลงดนตรไี ทย

• นักเรยี นคนใดทราบบางวา การบรรเลงเดีย่ ว คือ การบรรเลงเคร่ืองดนตรีด�าเนินท�านองชิ้นเดียวร่วมกับเครื่องดนตรี
เปนเพลงใด กา� กบั จงั หวะ ไดแ้ ก่ ฉง่ิ และกลอง รปู แบบการบรรเลงจะเรมิ่ จากทา� นองชา้ ทเี่ รยี กวา่ “ทำงหวำน” และ
จบด้วย “ทำงเก็บ” คือ ท�านองถี่ๆ ซึ่งเป็นทางเฉพาะของเคร่ืองดนตรีแต่ละชนิด ผู้บรรเลงเด่ียว
• เน้ือหาของบทเพลงตอ งการสือ่ ตอ้ งเปน็ ผทู้ ม่ี คี วามสามารถในการบรรเลงเครอ่ื งดนตรชี นดิ นนั้ ๆ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี และจะตอ้ งปฏบิ ตั ติ น
ความหมายถงึ เรอื่ งใด ดังต่อไปน้ี

• รปู แบบของบทเพลงมลี กั ษณะ ๑. ตรวจสอบความพรอ้ มของเครอื่ งดนตรีก่อนการบรรเลงทุกครง้ั
อยางไร (บรรเลงเด่ียว, ๒. ตอ้ งขยนั หมัน่ ฝึกซ้อมอยา่ งสมา่� เสมอ เพื่อให้เกิดความช�านาญ บรรเลงไม่ผดิ พลาด
บรรเลงรวมวง, บรรเลงประกอบ ๓. มคี วามแม่นย�าในทา� นองและจงั หวะ สามารถสอดแทรกเทคนคิ ความสามารถในการบรรเลง
การแสดง)
ได้อย่างเต็มท่ี ทั้งนี้ ตอ้ งค�านงึ ถึงทา� นองและจงั หวะอยา่ งเครง่ ครดั
สาํ รวจคนหา ๔. มีสมาธิ มีความมน่ั ใจ และกลา้ แสดงออก
การบรรเลงรวมวง คือ การบรรเลงท่ีน�าเคร่ืองด�าเนินท�านองหลายๆ ชนิดมาบรรเลงรวมกัน
ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน มีเครื่องก�ากบั จังหวะตามแบบแผนทางดนตรี ได้แก่ วงปพ าทย์ วงเครื่องสาย และวงมโหรี สามารถ
หาตัวอยางเพลงไทยท่ีบรรเลงเดี่ยว บรรเลงตามลา� พงั หรือบรรเลงรว่ มกบั การขับร้องกไ็ ด้ ซง่ึ หลักในการบรรเลงรวมวง มดี ังต่อไปน้ี
บรรเลงรวมวง และบรรเลงประกอบ ๑. ตอ้ งตรวจสอบเครอ่ื งดนตรที กุ ช้นิ ให้มเี สยี งระดับเดียวกัน ไมส่ งู หรือต่า� กวา่ กนั
การแสดง ประเภทละ 1 บทเพลง ๒. ผบู้ รรเลงต้องรู้หนา้ ทขี่ องเคร่อื งดนตรีทต่ี นบรรเลง เช่น ระนาดเอก เปน็ ผูน้ �าวง เป็นต้น และ
จากแหลงการเรียนรตู างๆ เชน
หองสมุด หนังสือเรียน อินเทอรเน็ต ไมค่ วรก้าวกา่ ยหน้าท่ขี องเครอื่ งดนตรอี น่ื ๆ
เปนตน ๓. ตอ้ งหม่ันฝกึ ซ้อม เพ่ือให้สามารถบรรเลงไดอ้ ยา่ งพร้อมเพรยี ง ถกู ตอ้ งทง้ั ทา� นองและจังหวะ
๔. ต้องบรรเลงให้เสียงกลมกลืนกับเครื่องดนตรีอ่ืนๆ ไม่ควรบรรเลงให้เสียงดังเกินกว่าเครื่อง
อธบิ ายความรู
ดนตรชี นดิ อน่ื ๆ
ใหน กั เรยี นแตล ะกลุมนาํ เสนอ บทเพลงที่นยิ มใช้บรรเลงรวมวง จะขึน้ อยกู่ ับประเภทของวงดนตรที ีใ่ ชบ้ รรเลง ถา้ เป็นวงปพ าทย์
บทเพลงทเ่ี ตรยี มมาทลี ะประเภท นิยมบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ เพลงโหมโรง เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงต่างๆ เป็นต้น ถ้าเป็น
เรม่ิ จากการบรรเลงเด่ียว เมอ่ื ทุกกลมุ วงเครอื่ งสาย หรอื วงมโหรี สว่ นใหญจ่ ะนยิ มบรรเลงเพลงอตั ราจงั หวะสามชนั้ เพลงอตั ราจงั หวะสองชนั้
นาํ เสนอจบ ใหน กั เรยี นรว มกนั เพลงเถา และเพลงโหมโรงมโหรี
วเิ คราะหต ามหวั ขอ ดังตอไปน้ี การบรรเลงประกอบการแสดง คือ การบรรเลงที่ใช้บรรเลงดนตรีประกอบการแสดงต่างๆ
ได้แก่ ระบ�า ร�า ฟอน โขน ละคร เป็นต้น การบรรเลงชนิดน้ีคล้ายการบรรเลงรวมวง เพียงแต่
1. การบรรเลงเดยี่ วมรี ปู แบบอยา งไร ผู้บรรเลงต้องเพ่ิมความสนใจในการบรรเลงให้สอดคล้องกับลีลาท่าทางของผู้แสดงในแต่ละอารมณ์
2. บทเพลงทีใ่ ชในการบรรเลงเด่ยี ว เพลงเข้าไป กล่าวคือ ต้องบรรเลงให้ต่อเน่ือง ไม่ติดขัด จังหวะช้า-เร็ว เหมาะสมกับบทเพลงตาม
เนือ้ เร่อื ง ทงั้ น้ี เพือ่ ใหผ้ ชู้ มได้รบั ความบันเทงิ ครบตามอรรถรสของการแสดงนั้นอย่างเต็มที่
สว นใหญเปนเพลงในลกั ษณะใด
3. ในการบรรเลงเดย่ี ว ผบู รรเลง 2๐

ตองมคี ณุ ลกั ษณะ หรอื ความ ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
สามารถอยา งไร
เม่ืออธบิ ายจบหวั ขอการบรรเลง ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ เลอื กบทเพลง ครพู จิ ารณาจากการเลอื กบทเพลง
เดี่ยว ใหนักเรียนแตล ะกลุม นําเสนอ ที่ช่นื ชอบและสนใจ ทั้งประเภท ประเภทบรรเลงเดีย่ ว บรรเลงรวมวง
บทเพลงในหัวขอ การบรรเลงรวมวง บรรเลงเด่ยี ว บรรเลงรวมวง และ และบรรเลงประกอบการแสดง
และการบรรเลงประกอบการแสดง บรรเลงประกอบการแสดงมา
โดยปฏบิ ตั ติ ามขัน้ ตอนเหมอื นกบั นาํ เสนอหนาช้นั เรียน
หวั ขอ การบรรเลงเดีย่ ว

20 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain

Expand Evaluate

๓. การฝกปฏบิ ัตเิ ครอ่ื งดนตรไี ทย : ขมิ กระตุนความสนใจ
ขมิ เปน็ เครอื่ งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งตชี นดิ เดยี วทใี่ ชส้ าย ซงึ่ มคี วามแตกตา งไปจากเครอ่ื งตี
ชนดิ อ่นื ของไทยทส่ี วนใหญจะท�าดว้ ยไม้ หรือโลหะ หรอื เปน็ เคร่ืองดนตรที ขี่ ึงด้วยหนงั เชน กรบั ครเู ปด เทปบนั ทกึ เสยี ง หรอื ซดี เี พลง
ชนดิ ตา งๆ ระนาดเอก ระนาดทมุ้ ระนาดเอกเหลก็ ระนาดทมุ้ เหลก็ โหมง ตะโพน กลองทดั เปน็ ตน้ ไทยทํานองสั้นๆ ที่บรรเลงดวยขิมให
๓.๑ ลกั ษณะของขิม นกั เรียนฟง เพ่อื เปนการกระตนุ ความ
ขมิ ทกุ ชนดิ จะประกอบไปด้วยสวนประกอบหลัก ๓ สวนดว้ ยกัน คอื ตวั ขมิ ฝาขิม และ สนใจของนักเรียน จากนั้นครูถาม
อุปกรณ์สว นควบ ขมิ แตล ะชนดิ จะตางกันเพียงขนาด จ�านวนนม และการวางหยอ งเทา น้นั ท้งั น้ี นกั เรยี นวา
เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจงายจงึ จะกลา วถึงสว นประกอบตางๆ ของขมิ ในภาพรวม ดงั ตอไปน้ี
• นักเรียนเคยฟงเพลงไทยทํานอง
แบบนี้มาบางหรือไม

• นกั เรยี นคิดวา เพลงที่เปด นี้
ใชเครอ่ื งดนตรีชนิดใดบรรเลง

สายขิม หลักยดึ สาย สาํ รวจคน หา

เส้นลวดทองเหลือง หรือ ฐานนมและนม วัสดุที่กลึงเป็นรูปร่างคล้าย ครูนาํ ขมิ มาใหน ักเรียนดู แลว ให
สเตนเลสที่น�ามาผูกยึดติด ตะปู หลักที่อยู่ด้านซ้ายเป็น นักเรยี นแบง กลมุ กลุม ละ 5-6 คน
กับหลักขิมทางด้านซ้ายของ ฐานนม คือ ไม้ส่วนที่ตั้งขึ้น หลกั สา� หรบั ยดึ สาย สว่ นหลกั ชวยกนั สบื คนขอ มลู เกยี่ วกบั
ผบู้ รรเลง สา� หรบั ใชไ้ มต้ กี ระทบ รองรับนม ฐานนมน้ีเม่ือติด ท่ีอยู่ทางด้านขวาจะเจาะรู สว นประกอบของขิม จากใน
ลงไปใหเ้ กดิ เสียงตา่ งๆ นมด้านบนเรียบร้อย จะมี ส�าหรับใส่สายเพื่อหมุนปรับ หนังสือเรยี น หนา 21
ลักษณะคล้ายก�าแพงเมือง สายใหเ้ กิดเสียงสงู -ต่า�
แกม้ ขมิ ส่วนนม คือ วัสดุท่ีต้ังข้ึน
สา� หรับรองรับสายแต่ละชุด อธิบายความรู
แผน่ ไมช้ นิ้ ทอี่ ยดู่ า้ นบนของตวั
ขิมท้ังด้านซ้ายและด้านขวา ใหนักเรยี นแตละกลมุ ออกมา
มลี กั ษณะแบน สา� หรบั ปกั หลกั อธบิ ายความรูเกี่ยวกับสวนประกอบ
ยึดสายและเป็นหลักส�าหรับ ของขมิ แตล ะชน้ิ วา มีความสาํ คัญ
ร้อยสายเวลาหมุนปรับเสียง อยา งไร หนาช้นั เรียน
ท่ีเรยี กวา่ “เทยี บสำย”

ไมต้ ีขมิ เกรด็ แนะครู

ไม้ ๒ อนั ทใี่ ช้ตีกระทบ ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสวน
ลงบนสายขมิ ประกอบของขิมนอกเหนือจากใน
แผ่นหนา้ ขมิ หนังสือเรียน เพ่ือใหนักเรียนมีความ
เขาใจเพมิ่ มากขึน้ เชน ตัวขิม ทําดวย
แผ่นไม้ที่ปิดด้านบนตัวขิม
มีความบางเสมอกัน เจาะ
เป็นช่องให้เสียงขิมผ่าน ไมที่มีลักษณะกลวงอยูภายใน สวนที่
ออกมาเรยี กวา่ “ชอ งเสยี ง” เปน กรอบทาํ ดว ยไมเ นอ้ื แขง็ ขอบหยกั

2๑ โคง มนคลา ยปก ผเี สอื้ พนื้ ดา นลา งและ
ดานบนทําดวยไมเนื้อออน ทั้ง 2 ฝง
ของตวั ขมิ เปน บรเิ วณทตี่ งั้ ของหมดุ ยดึ
สายขมิ หยอ งหนนุ สายขมิ หยอ งบงั คบั
เสียง และเปนท่ีเก็บล้ินชักสําหรับใส
ฆองเทยี บเสยี งขิม หยอ ง มี 2 ชนดิ คือ “หยอ งหนุนสายขิม” และ “หยอง
บงั คับเสยี งขมิ ” ขมิ ตัวหนงึ่ จะใชหยอ งหนุนสายขิมจาํ นวน 2 แถว แถวทาง
ดานซา ยมือทาํ ใหเ กิดเสยี งท่ีสามารถบรรเลงไดท ัง้ 2 ฝง ของตวั หยอ ง สว น
แถวทางดา นขวาทาํ ใหเ กดิ เสยี งทส่ี ามารถบรรเลงไดเ ฉพาะเพยี ง “ฝง ซาย”
ของหยองเทา น้นั เปน ตน
คมู อื ครู 21

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)

ครขู ออาสาสมคั รนกั เรียนออกมา
สาธติ การตีขมิ เร่ิมจากการนั่งตขี ิม
และการจับไมต ีขิมใหถ ูกตอ งตาม ๓.2 วธิ ีการฝก ปฏิบัติขิม
หลกั วธิ กี ารนัง่ ปฏิบัติเครอื่ งดนตรี การฝึกปฏิบัติขิมควรเร่ิมจากวิธีการน่ังตีขิมและการจับไม้ตีขิมให้
ไทย ครคู อยใหค ําแนะนําและช้แี นะ ถนดั และถกู ตอ้ ง โดยฝกึ ตีขิมจากในระดบั ทง่ี ายกอนจนช�านาญ จากนั้นจงึ
ขอ บกพรอง ฝกึ ตีขมิ ในระดับท่ียากขน้ึ ตอไป

๑) วธิ กี ารนงั่ ตขี มิ จะเหมอื นกบั วธิ กี ารนงั่ ปฏบิ ตั เิ ครอื่ งดนตรไี ทย
ชนิดอื่นๆ ที่คงไว้ซ่ึงวัฒนธรรมไทย คือ การนั่งพับเพียบ หรือ
เกรด็ แนะครู น่งั ขัดสมาธิ ตง้ั ลา� ตวั ให้ตรง หนั หน้าเข้าหาตัวขิม ผ้ปู ฏบิ ัติ
ควรน่ังหางจากตัวขิมพอประมาณ โดยให้ล�าตัวอยูระยะ
ครูควรยา้ํ กบั นักเรียนวา การจับไม กึ่งกลางของตัวขิม ไมควรนั่งชิดติดตัวขิมมากจนเกินไป
มคี วามสาํ คัญตอ การตีขิมมาก เพราะ จะทา� ให้ตไี มถนัด
ถา จบั ไมไมถ นดั ไมม ั่นคง เสียงทดี่ งั ที่มาของภาพ : คลงั ภาพ ACT.
ออกมาจะไมชัดเจน ไมสดใส โดย
เฉพาะเสียงกรอจะไมละเอยี ดพอ ๒) วธิ ีการจบั ไม้ตขี มิ ให้ใช้มือทั้ง ๒ ข้างจบั ทป่ี ลายไมต้ ี โดยใชน้ วิ้ หวั แมมือวางบนไม้
นิว้ ช ้ี นวิ้ กลาง น้วิ นาง และนว้ิ ก้อยงอหลวมๆ รองใตไ้ ม้ ไมควรกา� ไม้
ทาํ ใหขาดความไพเราะได แนน จนเกินไป เพราะจะท�าให้ไมคลอ งตวั ในการตีและไมข้ มิ อาจจะ

กระดกได้ไมสะดวก ซึ่งการจะตีขิมให้ไพเราะนั้นผู้ฝึกต้องบังคับ
ไมต้ ใี ห้พล้ิวไหวราวกบั ตดิ สปริงท่ีปลายไม ้ โดยใช้นิ้วหลัก ๓ นว้ิ
คือ นว้ิ หัวแมม อื นวิ้ ช ี้ และนวิ้ ก้อย บงั คับไมต้ ขี มิ ใหม้ ัน่ คง
นกั เรียนควรรู ทงั้ น ี้ การจบั ไมม้ คี วามสา� คญั ตอ การตขี มิ มาก เพราะถา้
จับไมถนัด ไมมั่นคง เสียงทดี่ งั ออกมาจะไมชดั เจน ไมส ดใส โดย
ตงั้ ลาํ ตวั ใหต รง หมายความวา ทม่ี าของภาพ : คลังภาพ ACT. เฉพาะเสียงกรอจะไมล ะเอียดพอ ซ่งึ จะท�าให้ขาดความไพเราะได้
นงั่ ตวั ตรง ไมโ นม ตวั ไปทางใดทางหนงึ่
ท้งั นี้ เมื่อนักเรียนตีขิมเสรจ็ ควรปด
ฝาขมิ เก็บไมข ิมใสกลองที่มิดชดิ
หรือถา เกบ็ ใสถงุ ตองระมดั ระวังการ มมุ ดนตรี เสียงของขิม

กระทบกระเทอื น เพราะไมต มี ีความ เสียงของขิมจะแบงออกเปน ๓ แถว คือ แถวซายระดับเสยี งสงู แถวกลางระดับเสยี งปานกลาง และ
ออ นมาก สวนการทาํ ความสะอาด แถวขวาระดับเสยี งตํ่า โดยใชอ ักษรยอ แทนเสยี งตา งๆ ดงั ตอไปนี้

ขมิ นน้ั ควรใชท ป่ี ด ฝนุ หรอื แปรงขนาด ซ้าย ฟมด�ลซร����� กลาง ร ขวา ฟทมดลซร�������
เล็กปด เพราะผาไมสามารถเขา ไป ลา เร ด ซอล
ในซอกเล็กๆ ของขิมได ซอล ท โด ท ฟา
ฟา ซี ล มี
นักเรียนควรรู มี ลา ซ เร
เร ซอล ฟ โด
การจับไมต ขี ิม จะเรมิ่ ท่ีการจับไม โด ฟา ม ซี
ตีขิม จบั โดยใชน ้วิ ช้ีแตะตรงสว นลา ง ซี มี ลา

22

ของไมต ขี มิ และนาํ นว้ิ หัวแมม ือมา
วางตรงดา นบนของไมต ีขิม แลว นาํ
นว้ิ ท่เี หลืออกี 3 นิว้ มาจบั ประคองไม
ตขี ิมทางดานลา ง เมอ่ื เวลาจะเรมิ่ ตปี ฏิบัตโิ ดยใชขอ มือข้นึ
และลงไป-มาสลบั ซายและขวา โดยใหล กั ษณะของ
ปลายไมจะมีการกระดกขนึ้ -ลง อยภู ายในมอื ของผูบรรเลง
เวลาบรรเลงตองนั่งพบั เพยี บ ลาํ ตัวและใบหนาตง้ั ตรง

22 คูมือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

๓) วิธีการบนั ทกึ โนต้ ขมิ จะใช้บรรทัดส�าหรบั บันทึกโนต้ เป็นชุด ชดุ ละ ๓ บรรทัด คือ อธิบายความรู

๓.๑) บรรทัดบนสุดท่ีอยู่เหนอื เส้น ใช้บันทึกโน้ตท่ีมีระดับเสียงสูง ซ่ึงโน้ตจะอยู ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน
แถวซ้าย ฝกหัดตีขิมเบ้ืองตน โดยใหฝกปฏิบัติ
ตามขนั้ ตอน ดังน้ี
๓.๒) บรรทดั กลาง ใช้บันทึกโน้ตทม่ี รี ะดบั เสยี งปานกลาง ซ่ึงโนต้ จะอยแู ถวกลาง
๓.๓) บรรทดั ลา่ งสดุ ทอี่ ยใู่ ตเ้ สน้ ใชบ้ นั ทกึ โนต้ ทม่ี รี ะดบั เสยี งตา่� ซงึ่ โนต้ จะอยแู ถวขวา 1. ฝกตีเกบ็
2. ฝก ตสี ะบดั
ตัวอย่าง บรรทดั ทใ่ี ช้บนั ทึกโน้ตขิม 3. ฝกตรี วั
4. ฝกตีกรอ
ระดับเสยี งสงู ครูคอยใหค าํ แนะนาํ และชี้แนะ
ระดบั เสียงกลาง ขอบกพรอง
ระดบั เสียงตา�่
ขยายความเขา ใจ
๔) วธิ กี ารฝกึ ปฏบิ ตั ขิ มิ เบอ้ื งตน้ เมอื่ ผฝู้ กึ นงั่ และจบั ไมไ้ ดถ้ นดั และถกู ตอ้ งแลว้ ใหย้ กมอื
ใหนักเรียนแตละกลุมฝกหัดตีขิม
ทจี่ ับไม้ตขี นึ้ เหนอื ตวั ขิมตรงๆ ประมาณ ๓-๔ นิ้ว แล้วคอยๆ เคล่ือนไม้ไปข้างหน้า ทางซา้ ย หรือ เบื้องตนจนชํานาญ จากน้ันใหแตละ
ทางขวา ใหต้ รงกบั ตา� แหนง เสยี งทต่ี อ้ งการ ใชแ้ นวสนั ปลายไมต้ ลี งบนสายทง้ั ๓ ตรงตา� แหนง เสยี ง กลมุ ออกมาแสดงการตขี ิมเบอ้ื งตน
ท่ตี ้องการพร้อมกนั เมื่อตเี สร็จแตละคร้งั ใหย้ กมือขึ้นทันท ี ผู้ฝกึ ตอ้ งพยายามตีให้แนวสนั ปลายไม้ หนาช้นั เรยี น โดยเรม่ิ จากการตเี กบ็
กระทบลงบนสายทง้ั ๓ พรอ้ มๆ กัน เพอื่ เสยี งทด่ี ังออกมาจะได้เปน็ เสียงเดียว อีกท้งั ตอ้ งพยายาม ตีสะบดั ตีรัว และตีกรอตามลาํ ดบั
บงั คบั ปลายไมใ้ หต้ รงและขนานกันตลอดเวลา ไมว าจะตีทเี่ สยี งใด หรือตใี นต�าแหนง ใดก็ตาม
วิธีการฝกึ ปฏบิ ัตขิ ิมอยา งถูกต้อง ให้ผเู้ รยี นฝกึ ปฏบิ ัติตามขัน้ ตอน ดงั ตอ ไปนี้ นกั เรยี นควรรู

๔.๑) ฝึกตีเก็บ โดยเริ่มตีขิมด้วยมือซ้ายสลับกับมือขวาติดตอกัน รักษาจังหวะให้ บันทึกโนตขมิ จะใชบรรทัดสําหรับ
ยาวเทา ๆ กนั อยา งสมา่� เสมอ ไมเ วน้ จงั หวะ เมอ่ื จบแตล ะหอ้ ง โนต้ ตวั สดุ ทา้ ยตอ้ งตดี ว้ ยมอื ขวาเสมอ บนั ทึกโนต เปน ชดุ ชดุ ละ 3 บรรทดั
บรรทดั บนใชบ ันทกึ โนตที่มีระดบั
ตวั อย่าง โน้ตสา� หรับฝึกตีเกบ็ เสยี งสูงอยทู างซา ย บรรทัดกลางใช
บันทึกโนตท่ีมรี ะดับเสียงอยูต รงกลาง
ด ซ ล ซ ฟ ม ร ด ซ ฟ ม ร ซ ฟ ม ร และบรรทดั ลางใชบ นั ทกึ โนต
ล ทม่ี รี ะดบั เสียงตํ่าอยทู างขวา

ด ซ ซ ฟ ม ร ด ซ ฟ ม ร ซ ฟ ม ร

ด ซ ล ซ ฟ ม ร ด ด ซ ล ซ ฟ ม ร ด


ด ซ ซ ฟ ม ร ด ด ซ ล ซ ฟ ม ร ด

ซ ฟ ม ร ซ ฟ ม ร ด ซ ล ซ ฟ ม ร ด


ซ ฟ ม ร ซ ฟ ม ร ด ซ ซ ฟ ม ร ด

2๓

นักเรยี นควรรู

ตีเก็บ การตีสลบั มอื ซาย-ขวา เหมือนการตีปกติ โดยตเี สยี งโนตละ 1 จังหวะ

คูมอื ครู 23

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%)

จากการศึกษาเก่ียวกับโนตสําหรับ จากน้นั ฝึกปฏิบัตโิ ดยตีสองมือพร้อมกนั พยายามยกมือทง้ั ๒ ขา้ ง ขึน้ -ลง ใหพ้ รอ้ ม
ฝก ตีขมิ ในลักษณะตา งๆ ตาม กนั และตอ้ งรักษาความยาวของจังหวะและน�้าหนกั มอื ให้เทา ๆ กันอยา งสม่�าเสมอ ฝกึ ปฏบิ ตั ซิ ้�า
หนงั สอื เรยี น ครนู าํ ตวั อยา งโนตขิม หลายๆ ครงั้ จนกวา จะคลอ ง
มาใหนกั เรียนดู แลว ถามนกั เรยี นวา
เปนโนต สําหรับตขี มิ ในลกั ษณะใด ด ด ซ ซ ล ล ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร
(ทั้งนี้ โนต ทน่ี าํ มาตอ งมีลักษณะ ล ล
ชัดเจนวา ควรตีดวยวธิ ีใด เพอ่ื ไมให
นกั เรียนเกิดความสับสน) ด ด ซ ซ ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร

นักเรยี นควรรู ด ด ซ ซ ล ล ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด ด ด ซ ซ ล ล ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด

เครื่องหมาย “ __ ” เคร่ืองหมายน้ี ล ล ล ล
เม่อื ปรากฏตอ ทายตวั อกั ษรตัวใดแลว ด ด ซ ซ ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด ด ด ซ ซ ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด
จะสามารถยืดเสียงของโนตตัวนั้นให
ยาวออกไปอกี อนั ละ 1 หนว ยเคาะยอ ย ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด ซ ซ ล ล ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด
ทงั้ น้ี ความยาวของเสยี งจะมมี ากหรอื
นอยข้นึ อยูกบั จํานวนขดี (-) ดังน้ี ล ล
ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด ซ ซ ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด
ถา มี - มคี า ความยาวของเสยี ง
เทากบั 1/4 จงั หวะ หมายเหต ุ : การตสี องมอื ผฝู้ กึ ตอ้ งจา� ใหแ้ มน วา ตา� แหนง ของโนต้ แตล ะตวั ในแตล ะหอ้ งใชม้ อื ใดต ี (ตวั ท ่ี ๑ และตวั ท ่ี ๓ ใชม้ อื ซา้ ย
ตวั ท ่ี ๒ และตวั ท ี่ ๔ ใชม้ อื ขวา) บางกรณอี าจมกี ารยกเว้น โดยอาจใชม้ อื ขวาตตี ิดตอกนั ได้
ถา มี - - มคี า ความยาวของเสยี ง
เทา กับ 2/4 จังหวะ ทัง้ น้ี จะใชเ้ คร่ืองหมาย “-” วางไว้บนตัวโน้ตดังกลาว เชน

ถามี - - - มคี า ความยาวของเสยี ง ซ ม ซ ซ ล ซ ซ ด ร ม ร ม ฟ ซ ฟQ ซ ฟ ม ร ด ดQ ด ร ม ฟ ซ
เทากบั 3/4 จงั หวะ - - ซ-
ซ ซ ซ
ถา มี - - - - มคี า ความยาวของเสยี ง
เทา กับ 4/4 จังหวะ หรือเทากบั หมายเหต ุ : เสียงซอลในชอ งที่ ๗ มเี คร่ืองหมาย “-” อยบู นตวั อักษร “ซ” ให้ตดี ว้ ยมือขวา
1 จังหวะ
๔.๒) ฝึกตสี ะบัด คือ การตรี วบโนต้ ๓ ตวั ให้มคี วามยาวเทากบั ตีโนต้ ๒ ตัว โดยเรมิ่
นักเรียนควรรู ดว้ ยมอื ขวา ตามดว้ ยมอื ซา้ ย และจบทมี่ อื ขวา การบนั ทกึ โนต้ ตสี ะบดั นจี้ ะใชเ้ ครอ่ื งหมาย “ ”
ครอมไวบ้ นตัวโน้ตท้ัง ๓ ตวั บางครงั้ อาจจะตสี ะบดั ทีโ่ น้ตตวั เดยี ว จะใชเ้ ครือ่ งหมาย “ Q” เขียนบน
ตสี ะบัด การตีไลเสียง 3 ตวั โนต ตัวโนต้
ตอเนื่องกันอยางรวดเร็วในชวงเวลา
เพียง 2 หรอื 1 จังหวะ เพอ่ื ใหทาํ นอง ตัวอยา่ ง โน้ตส�าหรบั ฝกึ ตีสะบัด
มคี วามพรวิ้ ไหวมากยงิ่ ขนึ้ ซง่ึ เกดิ จาก
การแทรกโนต ตวั ที่ 3 เพม่ิ เขา ไปในโนต ลซฟ ซฟม ฟมร มรด ลQ ซ ล ซQ ฟ ซ ฟQ ม ฟ มQ ร ม
2 ตัวเดิม ภายในจงั หวะเทา เดิม
เชน โนตเดมิ คอื โด ลา เพมิ่ เปน - - - - - - - - - - - -
สะบัด 3 เสียง คือ เร โด ลา หรือ
ซอล มี เปน ลา ซอล มี เปนตน 24

@ มุม IT

สามารถชมตัวอยา งการฝก ตีสะบดั : ขิม ไดจ าก http://www.youtube.com
โดยคนหาจากคาํ วา การตีสะบัดขิม ภาคปฏิบตั ิ

24 คูมือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

๔.๓) ฝกึ ตรี วั เปน็ การตดี ว้ ยมอื ขวาและมอื ซา้ ยสลบั กนั เรว็ ๆ หรอื ถๆี่ ทเ่ี สยี งเดยี วกนั อธิบายความรู
โดยใช้น้ิวมือบังคับไม้ตีให้ปลายไม้กระทบลงที่สายเสียงใดเสียงหน่ึง ประดุจมีสปริงติดท่ีปลายไม ้
ผ้ฝู กึ ควรพยายามตีให้เสียงที่ดังออกมาละเอียดเปน็ เสยี งเดียวกนั จึงจะมีความไพเราะ จากการทน่ี กั เรยี นไดฝ ก ตีขิม
เบอ้ื งตนจนชาํ นาญแลว ครูถาม
ตัวอยา่ ง โนต้ สา� หรับฝกึ ตรี ัว นักเรยี นวา

- - - ร - - - ด - - - ท - - - ล - - - ซ - - - ฟ - - - ม - - - ร • ในการฝก ตีขมิ ถา นักเรยี น
ตองการทราบวาเมอ่ื ใดจะตรี วั
๔.๔) ฝกึ ตีกรอ จะมีลกั ษณะคลา้ ยกบั การตรี ัว คือ ผฝู้ ึกตอ้ งบังคับไมต้ ีทัง้ ๒ ไม้ ให้ หรือตีกรอ นักเรยี นตอ งสงั เกต
กระทบลงทสี่ ายให้มนี า้� หนกั เทาๆ กัน ตีถๆี่ ใหเ้ สียงท่ีดังออกมาละเอยี ดราวกบั เปน็ เสียงเดียวกนั จากส่งิ ใด
แตจะแตกตางกับการตีรัวตรงที่การตีกรอมือซ้ายและมือขวาจะตีที่ต�าแหนงตางกัน มือซ้ายและ (แนวตอบ วิธีการสังเกตวาเมื่อใด
มอื ขวาอาจจะตที โ่ี นต้ เสยี งเดยี วกนั แตร ะดบั เสยี งตา งกนั หรอื อาจจะเปน็ โนต้ ทเี่ สยี งตา งกนั กเ็ ปน็ ได้ จงึ จะตีรวั หรอื ตกี รอใหสังเกตวา
การบนั ทกึ โน้ต ๒ ตวั จะอยูในตา� แหนง ตรงกนั สามารถแบงเปน็ ๒ แบบ คือ โนต ตวั ใด หรอื คใู ดมเี ครอ่ื งหมาย
๑. การตกี รอคแู ปด หมายถงึ การบงั คบั ไมต้ ใี หก้ ระทบลงทโ่ี นต้ เสียงเดยี วกัน “_” ตามมา ใหตรี ัว)
แตระดบั เสียงตา งกนั เชน ถ้ามือซา้ ยตีทโี่ นต้ ลา (เสียงสงู ) มือขวาจะตที ีโ่ น้ตลา (เสยี งกลาง หรือ
เสยี งต่า� ) เป็นต้น เกร็ดแนะครู

ตวั อย่าง โน้ตส�าหรับฝึกตีกรอค่แู ปด ครอู ธบิ ายเสรมิ วา วธิ รี วั เครอื่ งดนตรี
ประเภทตี สามารถแบงออกเปน
ล ซ ฟ ร ด ร ฟ ซ 2 ประเภท คือ รัวเสียงเดยี ว หมายถึง
- - - ล - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - การตีสลับกัน 2 มือ ลูกเดียวกันใหถ่ี
ท่ีสุดเทาท่ีจะทําได โดยไมตองคํานึง
ซ ฟ ร ด ร ฟ ซ วาทุกๆ พยางคจะตองยอสว นลงตาม
จงั หวะ การตีรัวเสยี งเดียวนี้อาจเลือ่ น
๒. การตกี รอเสยี งผสม จะมคี วามแตกตา งจากการตกี รอคแู ปด คอื มอื ทง้ั ๒ ตี เสยี งไปตามทาํ นองเพลงไดต ามความ
ที่โนต้ เสียงตา งกนั เชน มอื ซ้ายตีที่โนต้ ลา (เสียงสงู ) สวนมือขวาตที ่ีโน้ตเร (เสยี งกลาง) ผู้ฝกึ ตอ้ งตี พอใจ แตท ั้ง 2 มือ จะตองตีอยทู ่เี ดียว
ใหเ้ สียงทั้ง ๒ ดังออกมาพรอ้ มๆ กัน ดงั เทาๆ กนั ในลกั ษณะเป็นเสยี งประสาน กนั เสมอ และรวั เปนทํานอง หมายถึง
การตสี ลบั กนั 2 มอื ใหถ ๆ่ี และดําเนิน
ตวั อยา่ ง โนต้ ส�าหรบั ฝึกตีกรอเสยี งผสม เปน ทาํ นองไปดว ย เพราะฉะนนั้ มอื ทต่ี ี
จึงเปนการตีคนละที่ และพยางคของ
ล ซ ฟ ม ร ด ท ล เสียงจะตองยอสวนลงตามจังหวะ
- - - ร - - - ด - - - ท - - - ล - - - ซ - - - ฟ - - - ม - - - ร ใหถ่เี ปน 2 เทาของ “เกบ็ ”

หมายเหต ุ : ว ิธีการสงั เกตวา เมอื่ ใดจึงจะตรี ัว หรือตกี รอ ใหส้ ังเกตวา โน้ตตวั ใด หรือคูใ ดมีเคร่อื งหมาย “-” ตามมา ให้ตีรัว หรอื นกั เรียนควรรู
ตีกรอ เพ่ือให้ได้จังหวะครบตามทีผ่ ู้ประพนั ธ์ไดก้ �าหนดไว้
ตรี วั การตีสลบั มือซาย-ขวาลงบน
25 โนต ตวั เดยี วกนั อยางตอ เน่อื ง

นักเรียนควรรู

ตีกรอ การตีใหเ สยี งโนตดังตอ เน่อื งกนั อยา งสม่ําเสมอ (ตงั้ แต 2 จังหวะ ข้ึนไป)
ดว ยการตีสลับมือเรว็ ๆ โดยตองเรมิ่ จากมือขวาและจบดว ยมอื ขวาเชนกนั
โดยจะตสี ลับมือบนโนตคนละตัว

คูมอื ครู 25

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%)

ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน ๓.๓ บทเพลงไทยสาํ หรบั ฝกปฏิบัตขิ ิม
โดยใหแตละกลุมเลือกฝกตีขิมกลุม เม่ือผู้เรียนฝึกปฏิบัติไลมือในลักษณะตางๆ จนคลองแล้ว จึงเริ่มฝึกปฏิบัติเพลงที่มี
ละ 1 บทเพลง ซ่งึ ครูกําหนดบทเพลง ทา� นองสน้ั ๆ งา ยๆ โดยเรม่ิ จากฝกึ ปฏบิ ตั ทิ ลี ะหอ้ งๆ ซา�้ หลายๆ ครง้ั จนคลอ ง แลว้ จงึ ฝกึ ปฏบิ ตั หิ อ้ ง
สําหรับฝกปฏิบัตติ ีขมิ ไว ดังน้ี ตอไป เม่อื ฝกึ ไดค้ ลอง ให้ฝกึ ปฏบิ ตั ซิ �า้ โดยเรมิ่ จากต้นทอ น ปฏิบัตใิ หท้ �านองตดิ ตอกันจนจบทอน
เมอื่ จบทอ นให้ฝึกปฏบิ ัตซิ �้าอกี หลายๆ ครงั้ จนคลอ ง จงึ เร่ิมฝึกปฏิบตั ทิ อ นตอไป โดยใช้วธิ ีเดียวกบั
1. เพลงแขกบรเทศช้ันเดยี ว การฝกึ ปฏบิ ตั ิทอ นแรกจนจบเพลง
2. เพลงลาวครวญสองชน้ั บทเพลงท่ีเหมาะสา� หรบั ฝึกปฏิบัติขมิ เบอื้ งตน้ คอื เพลงแขกบรเทศชัน้ เดยี ว เพราะเป็น
3. เพลงลาวเสีย่ งเทียนสองชั้น เพลงทมี่ ีท�านองสัน้ และงายตอ การฝึกปฏบิ ตั ิ
แตละกลุมฝก ตขี มิ ตามบทเพลง
ท่เี ลอื ก ครูคอยใหค าํ แนะนาํ และ เพลงแขกบรเทศช้นั เดียว
ชี้แนะขอบกพรอ ง
เพลงท�านองเกา ไมท ราบผ้แู ตง
เกรด็ แนะครู
ทอ่ น ๑ ด ล ด ล ด ซ ด ด
ครูควรใหกําลังใจนักเรียน โดยยํ้า
กับนักเรียนวา การฝกปฏิบัติเคร่ือง ล ล ซ ล ซ ซ ซ ล ซ ซ
ดนตรไี ทยทกุ ประเภทตอ งปฏบิ ตั อิ ยา ง
คอยเปนคอยไป ไมควรรีบรอน ควร ล ล ซ ม ม ร ด ด ร ม ม ม ร ด
ฝกตั้งแตเบ้ืองตนจนชํานาญกอนแลว
คอยฝก ในขัน้ ตอนท่ียากตอ ไป ท่อน ๒ ซ ม ร ด ม ร ด ด

ล ซ ล ซ ล ด ร ซ ล ท ด ซ ซ ล ซ ลซ
ม ด ร ม ม มรด

จากนน้ั จงึ เรม่ิ ฝกึ ปฏบิ ัติเพลงทมี่ ที �านองตีกรอรอจังหวะ ได้แก  เพลงลาวครวญสองชนั้

เพลงลาวครวญสองช้ัน

นักเรียนควรรู เพลงท�านองเกา ไมท ราบผแู้ ตง

เพลงแขกบรเทศ เปน เพลงที่ ร ร ร ซ ม ร ด ร ม ด ร ด ม ร ร ร
พระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกรู )
นาํ เพลงแขกบรเทศทมี่ ีอตั ราจงั หวะ - - - - - - - - - - - - - -
สองช้ันและชั้นเดียว ซ่ึงเปนเพลง
ประเภทสองไมและเพลงเร็ว มาแตง ร ร ร ซ ม ร ด ร ม ด ร ด ม ร ร
ขยายข้ึนใหเปนอัตราจังหวะสามช้ัน
จนครบเปน เพลงเถา เพลงแขกบรเทศ ด ซ ม ม ด ด ด ร ด ด ด ซ ม ร ด ร
เปน เพลงทม่ี ี 2 ทอ น ใชห นา ทบั สองไม
โดยปกติเปนเพลงที่นิยมขับรองและ - - - ซ - ซ ซ ล ซ ซ - ล - ด - - - - - -
บรรเลงตอ กบั เพลงเชดิ จนี และในอตั รา
จังหวะสองช้ัน มักนิยมนําไปบรรเลง ด ด ซ ด ร
ประกอบการแสดงโขนและละคร
เม่อื ฝกึ ปฏบิ ัตไิ ดค้ ลอ งจึงฝึกปฏบิ ตั ิเพลงอตั ราจงั หวะสองชนั้ ท่ีมที า� นองยากขึน้ คือ เพลง
ลาวเสี่ยงเทยี นสองชนั้

26

นักเรียนควรรู

เพลงลาวครวญ เปนเพลงไทยเดิม ที่เปนท่ียอมรับกันวามีทํานองท่ีแฝงไปดวยความ
ออนหวาน โศกเศรา และมีความไพเราะมากที่สุดเพลงหน่ึง นิยมนํามาบรรเลงประกอบ
การแสดงละครเร่อื ง “พระลอ”

26 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

Engage Explore Explain

เพลงลาวเสยี่ งเทียนสองชัน้ ขยายความเขา ใจ

เพลงท�านองเกา ไมท ราบผแู้ ตง ใหนกั เรียนแตละกลมุ ออกมาแสดง
การตีขมิ ในบทเพลงทีก่ ลุมของตนเอง
ท่อน ๑ ม ร ซ ซ เลือกหนา ชัน้ เรียน จากนั้นครูชแ้ี นะ
- ล - ลQ ซ ล ด ซ - ล ซ ฟ - - - - - - - - ขอ บกพรองและใหกําลงั ใจในการฝก
ด ด ด ตีขิมตอ ไป

- - - - ตรวจสอบผล

ด ด ด ม ร ซ ซ ครูประเมนิ นักเรยี นจากการตขี มิ
เพลงไทยเดมิ
ซ ซ ซ ม ร ซ ซ
- ล - ลQ ซ ล ด ซ - ล ซ ฟ - - - - - - - - เกร็ดแนะครู
- - - -
ครอู ธิบายเพิ่มเตมิ เกีย่ วกับเพลง
ซ ซ ซ ซซ ซ ม ม ร ซร ซ ซ ซ ลาวเส่ียงเทยี นใหนกั เรยี นฟง วา เมื่อ
ป พ.ศ. 2476 หลวงประดษิ ฐไพเราะ
ม ร ม ซ ด ร ม ร ด ร ด ด ด ม ร ด (ศร ศลิ ปบรรเลง) ไดนําทาํ นองเพลง
ลาวเสี่ยงเทยี นของเกาซงึ่ เปน อตั รา
- ล ซ - - - ล - - ล ซ ซ ล - - - - จังหวะสองช้ัน และมี 2 ทอนนัน้
ม ร ม ซ ด ร ม ร ด ล ม ด ม ร ด มาแตง ขน้ึ เปนอตั ราจังหวะสามช้นั
ท้งั ทาํ นองรอ งและทาํ นองดนตรี โดย
ม ร ด ม ด ร ม ร ด ร ด ด ด ม ร ด ประดิษฐท ํานองใหมีสําเนียงเปน
ภาคเหนอื โดยตัง้ ใจบรรเลงเปน อัตรา
- - - - - - ล - - ล ซ ซ ล - - - - จงั หวะสามชนั้ เทา นน้ั จงึ ไดแ ตง ทาํ นอง
เทยี่ วกลบั ใหผ ดิ จากเทยี่ วแรก เรยี กกนั
ม ร ด ม ด ร ม ร ด ล ล ม ด ม ร ด วา “ทางเปล่ียน” เม่ือบรรเลงรวมกัน
จงึ เทากบั 4 ทอน ซง่ึ จะทาํ ใหน กั เรยี น
กลบั ต้น มคี วามรู ความเขา ใจเกย่ี วกบั ลกั ษณะ
ทอ่ น ๒ ของเพลงลาวเสยี่ งเทยี นไดด ีย่งิ ขนึ้

ด ด ด ม ร ม ซ ซ ซ ซ ม ร ด ร @ มุม IT

- - - - - ล ซ - - - - - - ล ซ - สามารถชมการบรรเลงเพลง
ลาวเสี่ยงเทียน ไดจ าก http://www.
ด ด ด ม ร ม ซ ซ ซ ซ ม ร ด ร youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา
เพลงลาวเส่ียงเทยี น
ร ร ร ม ร ม ซ ซ ซ ซ ม ร ด ร

- - - - - ล ซ - - - - - - ล ซ -

ร ร ร ม ร ม ซ ซ ซ ซ ม ร ด ร

ม ร ด ม ด ร ม ร ด ร ด ด ด ม ร ด

- - - - - - ล - - ล ซ ซ ล - - - -
ม ร ด ม ด ร ม ร ด ล ม ด ม ร ด

ม ร ด ม ด ร ม ร ด ร ด ด ด ม ร ด

- - - - - - ล - - ล ซ ซ ล - - - -

ม ร ด ม ด ร ม ร ด ล ม ด ม กร ลับ ตด้น

27

คูมือครู 27

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain

Expand Evaluate

กระตนุ ความสนใจ (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)

ครูเปดซีดี หรือวีดิทัศนเกี่ยวกับพิธี ๔. หลักการและวิธกี ารจัดแสดงดนตรไี ทยในวาระต่างๆ
พระราชพิธี หรือการแสดงท่ีมีภาพ
และเสียงดนตรีไทยบรรเลงประกอบ การน�าดนตรีไปประยุกต์ใช้เป็นวิธีการหน่ึงที่จะชวยเสริมและกอให้เกิดประโยชน์ทั้ง
ในพิธีใหนักเรียนชม จากน้ันครูถาม ตอ วงการดนตร ี สงั คม และตนเอง เราจงึ ควรศกึ ษาทา� ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั หลกั การแสดงดนตรไี ทย
นกั เรยี นวา และวธิ กี ารจดั แสดงดนตรไี ทย เพอ่ื นา� ไปสกู ารปฏบิ ตั จิ รงิ การแสดงดนตรไี ทยนสี้ ามารถจดั กจิ กรรม
การแสดงได้หลายลักษณะ ท้ังในโรงเรียน หอประชุมของชุมชน หรือจัดการแสดงเพ่ือหารายได้
• วงดนตรที บี่ รรเลงประกอบใน ก็เปน็ วิธที ่ีสามารถกระทา� ไดเ้ ชนเดยี วกัน
พธิ ีนน้ั คือวงดนตรปี ระเภทใด
4.๑ หลักการจดั แสดงดนตรีไทย
• นกั เรยี นเคยเห็นวงดนตรี การบรรเลงดนตรไี ทยมบี ทบาทตอ สงั คมและวฒั นธรรมไทยในหลายลกั ษณะ ซง่ึ ในทน่ี จ้ี ะ
ประเภทดงั กลา วหรอื ไม กลาวถงึ ลกั ษณะการจัดแสดงดนตรไี ทยท่พี บเห็นได้ในชีวิตประจา� วนั ดังตอ ไปนี้
และบรรเลงเนือ่ งในโอกาสใด
๑) การจัดแสดงดนตรไี ทยเพอื่ ประกอบพิธีกรรม เป็นการเสริมสร้างงานให้บังเกิด
สาํ รวจคน หา
ความสมบรู ณ ์ เพราะความหมายของดนตรพี ธิ กี รรมนน้ั มขี น้ั ตอนและขนบธรรมเนยี มปฏบิ ตั ติ อ กนั
ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน มา เชน การบรรเลงเพลงโหมโรงเยน็ เพ่ือบูชาพระรตั นตรยั และอญั เชิญสง่ิ ศกั ดิ์สทิ ธ์ใิ ห้มาอา� นวย
สืบคนขอมูลเก่ียวกับการประสมวง พรแกพิธีท่ีก�าหนดข้ึน ในขณะเดียวกันก็เป็นการประกาศให้รับรู้วางานที่ก�าหนดจัดได้เริ่มต้นแล้ว
ดนตรไี ทยและโอกาสทใี่ ชว งดนตรไี ทย เปน็ ตน้ การบรรเลงดนตรพี ธิ กี รรมพบไดใ้ นงานทา� บญุ งานพธิ กี รรมตา งๆ ทวี่ ดั บคุ คล หรอื หนว ยงาน
บรรเลงประกอบในวาระตางๆ จาก ตางๆ จัดขนึ้ นอกจากนี ้ กม็ ีในงานพิธไี หว้คร ู พิธที า� ขวญั นาค ฯลฯ
แหลง การเรยี นรตู า งๆ เชน หองสมุด
หนงั สอื เรยี น อนิ เทอรเนต็ เปนตน ๒) การจัดแสดงดนตรีไทยเพื่อประกอบการแสดง ซึ่งจะขึ้นอยูกับรูปแบบของ

อธิบายความรู การแสดง เชน ละครใน ละครนอก โขน หนุ กระบอก ลเิ ก ละครแนวประยกุ ต ์ เปน็ ตน้ เพราะเพลงทใ่ี ชใ้ น
การแสดงแตล ะประเภทจะมลี กั ษณะของเพลงทแ่ี ตกตา งกนั เชน ระบบทางนอก ทางใน การประสมวง
เม่ือนักเรียนแตละกลุมไดขอมูล การเลอื กเพลงหน้าพาทย์ เป็นตน้
ประเภทของวงดนตรีและโอกาสท่ีใช
บรรเลงของวงดนตรีประเภทนั้นๆ ๓) การจัดแสดงดนตรีไทยเพื่อการแข่งขัน มีท้ังท่ีเป็นการแขงขันในรูปแบบของ
แลว ครูตั้งประเด็นถามนักเรียนวา
กอ นการบรรเลง หรอื แสดงดนตรีไทย วงดนตรี หรือการบรรเลงเดี่ยวเคร่ืองดนตรี วิธีการบรรเลง หรือการขับร้องในลักษณะน้ีมีความ
ควรเตรียมสิง่ ใด โดยใหน ักเรียนเขียน จรงิ จงั ในดา้ นของเพลง บังคบั ตามกฎกตกิ า เพลงท่ีเลอื กมาบรรเลงจงึ มีข้อจา� กดั ผเู้ ขา้ ประกวด
สรุปสิ่งท่ีตองเตรียมกอนการบรรเลง แขง ขนั ประชนั ความสามารถจงึ มงุ พฒั นาฝมี อื การบรรเลงและการขบั รอ้ ง เพอ่ื แสดงความเปน็ เลศิ
หรือแสดงดนตรไี ทย ลงกระดาษ ในทกั ษะทางดนตร ี
รายงาน สง ครูผสู อน ดังน้ัน เม่ือเข้าสูสนามการแขงขัน นักดนตรีจึงต้องบรรเลงให้เป็นไปตามกฎกติกาและ
หลกั วชิ าการดนตรไี ทยใหม้ ากทส่ี ดุ เพราะการบรรเลงในลกั ษณะนจี้ ะมคี ณะกรรมการเปน็ ผพู้ จิ ารณา
ตัดสิน

NET ขอ สอบป 53

โจทยถ ามวา ในวถิ ชี วี ติ ของคนไทย 28
แตด ง้ั เดมิ มา มดี นตรเี ปน สว นหนง่ึ
ของชวี ติ ไมว า จะประกอบกจิ กรรมใดๆ
วงดนตรีที่มีบทบาทในการประกอบ
กิจกรรมตา งๆ มกั จะเปนวงดนตรีประเภทใด
1. วงเครื่องสาย 2. วงปพาทย นักเรยี นควรรู
3. วงมโหรี 4. วงขับไม
(วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะวงปพ าทย ถูกนาํ มาใช เพลงหนา พาทย แบงตามฐานนั ดรไดเปน 2 ชนิด คอื
บรรเลงประกอบในพิธีตางๆ อยเู สมอ) 1. หนาพาทยธ รรมดา ใชบ รรเลงประกอบกริ ิยาอารมณข องตวั ละครท่ีเปน สามัญชน

28 คมู อื ครู เชน เพลงเสมอ เพลงเชิด เพลงรัว เพลงโอด เปนตน
2. หนาพาทยช ั้นสงู ใชบรรเลงประกอบกริ ยิ าอารมณของตัวละครผสู ูงศกั ด์ิ หรือใช

ในพิธีไหวค รดู นตรีและนาฏศิลป เชน เพลงตระนอน เพลงบาทสกณุ ี เปน ตน

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

๔) การจดั แสดงดนตรไี ทยเพอื่ ความรน่ื รมยใ์ จ เปน็ การแสดงดนตรไี ทยเพอื่ การฟงั อธิบายความรู

การจดั แสดงดนตรไี ทยในลกั ษณะนมี้ ที งั้ การบรรเลงดนตรแี ละนา� การแสดงมาประกอบ เพอื่ ใหผ้ ฟู้ งั ใหนักเรียนแตละกลุมยกตัวอยาง
รน่ื รมยใ์ จด้วยเสียงเพลงและกิจกรรมเคลือ่ นไหว เชน การบรรเลงประกอบการแสดงชุดระบ�า ร�า การบรรเลง หรอื การจดั แสดงดนตรไี ทย
ฟ้อน เป็นตน้ บางแหง อาจจดั ใหม้ ีการบรรเลงดนตรีพรอ้ มๆ กบั การวาดภาพประกอบเพลง เพลง เพอ่ื ความรน่ื รมยใ จทเี่ คยเหน็ หรอื เคย
ท่ีนยิ มนา� มาเสนอในลักษณะน้ี เชน เพลงเขมรไทรโยค เพลงลาวดวงเดอื น เพลงบุหลันลอยเล่อื น มีโอกาสเขาชมการแสดงมากลุมละ
เพลงลาวเสี่ยงเทียน เพลงคล่ืนกระทบฝงั เป็นตน้ 1 ตัวอยาง แลวสงตัวแทนออกมานํา
สวนการจัดแสดงดนตรีไทยที่มุงเป้าหมายไปที่การบรรเลงและการขับร้องของศิลปน เสนอหนา ชนั้ เรียน
โดยตรง ซึ่งมีมาตั้งแตส มัยอยธุ ยา โดยในราชสา� นกั มีการบรรเลงมโหรีเพ่อื ถวายพระมหากษัตริย ์
มกี ารแสดงดนตรีไทยซงึ่ สว นใหญอ ยูในหมูข องขุนนาง ข้าราชการชนั้ ผูใ้ หญ ดงั ปรากฏในรปู แบบ เกรด็ แนะครู
ของการบรรเลงมโหร ี มบี ทมโหรที บี่ นั ทกึ ไวจ้ า� นวนมาก ในแตล ะบทมชี อื่ เพลงกา� กบั ไว ้ การฟงั เพลง
ได้พัฒนามาสูการบรรเลงวงปีพาทย์เสภา โดยวงปีพาทย์ของแตละวงท่ีมีผู้อุปถัมภ์ไปจนกระท่ัง ครูควรแนะนํานักเรียนวา การจัด
การบรรเลงเพอ่ื การแขงขนั แสดงดนตรไี ทยเพอ่ื ความรน่ื รมยใจ
นอกจากน้ ี ยังมีการแสดงดนตรที จ่ี ัดเพอ่ื ใหผ้ ูฟ้ ังท่ัวไปเขา้ ไปนัง่ ฟังไดอ้ กี ด้วย ในปัจจุบัน เปนการแสดงดนตรไี ทยเพอ่ื ใหผฟู ง
ได้มกี ารนา� ดนตรไี ทยไปแสดงตามสถานท่ีตางๆ อยางมากมาย เชน การแสดงทีโ่ รงละครแหง ชาติ เกิดความรน่ื รมยใ จดวยเสียงเพลง
หอประชมุ ศนู ยว์ ฒั นธรรมแหง ประเทศไทย หอประชมุ ของจงั หวดั หอประชมุ ของสถาบนั การศกึ ษา และกิจกรรมเคลอ่ื นไหวตา งๆ เชน
การแสดงดนตรีเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือน ต้ังแตระดับประเทศไปจนถึงระดับประชาชน เป็นต้น การบรรเลงดนตรีไทยประกอบการ
รวมท้ังมีการน�าการแสดงดนตรีมาออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ หรือกระจายเสียงผานระบบ รํา ฟอ น การแสดงโขน ละคร เปนตน
เครอื ขา ยอนิ เทอรเ์ นต็ ดว้ ย ลกั ษณะเชน นจี้ งึ สง ผลใหก้ ารเผยแพรด นตรไี ทยดา� เนนิ ไปอยา งมเี ปา้ หมาย
มากย่ิงขน้ึ นกั เรยี นควรรู

กจิ กรรมเคล่อื นไหว กิจกรรมที่ถูก
สรางขนึ้ เพื่อใหเ กดิ การเคลอื่ นไหว
อวัยวะสวนตา งๆ ของรา งกายตาม
จังหวะอยางอสิ ระ

นกั เรียนควรรู

ศนู ยว ฒั นธรรมแหงประเทศไทย
ตั้งอยูท ถี่ นนเทยี มรว มมิตร
เขตหว ยขวาง กรุงเทพมหานคร
เปน สถานทีจ่ ดั แสดงนทิ รรศการและ
ทีม่ าของภาพ : คลงั ภาพ ACT. จัดการแสดงตา งๆ เชน คอนเสิรต
ละครเวที รวมไปถงึ เปน สถานท่ี
@ มมุ IT 29 จัดการประชุมตา งๆ เปน ตน ภายใน

สามารถศกึ ษาเพิ่มเตมิ เก่ยี วกับวงดนตรไี ทย ไดจ าก ศูนยว ฒั นธรรมแหง ประเทศไทย
http://www.sademusic.com/music/thaiband.html. จะประกอบไปดว ยหอประชุมใหญ
หอประชุมเลก็ โรงละครกลางแจง
อาคารนิทรรศการ และบรกิ าร
ทางการศึกษา

คูม อื ครู 29

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)

ครใู หน กั เรียนรวมกนั อภิปราย 4.2 วธิ กี ารจัดแสดงดนตรไี ทยในวาระตา งๆ
ความรเู กย่ี วกับการเลอื กวงดนตรี ดนตรีไทยมีความผูกพันกับคนไทยอยางใกล้ชิดมาช้านาน จะเห็นได้จากการประกอบ
มาใชในวาระตางๆ โดยครคู วรเปด พิธีกรรมตางๆ ที่เกี่ยวเน่ืองกับขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือวัฒนธรรม ล้วนน�าการบรรเลง
ตัวอยา งการบรรเลงดนตรปี ระกอบ ดนตรีไทยเข้ามาเก่ียวข้องด้วยทั้งส้ิน ซ่ึงในการจัดการบรรเลงและการจัดการแสดงดนตรีไทย
ในพิธีตา งๆใหน กั เรียนชม นักเรียน ในวาระตางๆ จา� เป็นต้องมีหลักในการพจิ ารณาดา้ นตางๆ ดงั ตอไปน้ี
จะไดเขา ใจและไดรับอรรถรส
มากย่ิงขน้ึ ๑) การเลือกวงดนตรี ในการจัดการบรรเลง หรือการจัดการแสดงดนตรีไทย ผู้จัด

นักเรยี นควรรู การแสดงควรคา� นงึ ถงึ วตั ถุประสงคใ์ นการจัดการแสดงวามวี ัตถุประสงคใ์ ด ในพิธ ี หรอื พระราชพิธี
นน้ั จา� เปน็ ตอ้ งใชด้ นตรปี ระกอบหรอื ไม  โดยผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นดนตรไี ทยไดร้ ะบหุ ลกั เกณฑใ์ นการเลอื ก
วงปพาทยนางหงส เปนวงดนตรี พจิ ารณาวงดนตรไี ทยเพอื่ ใชใ้ นวาระตางๆ ซง่ึ ยดึ ถอื ปฏิบตั ิสืบกนั ตอมา ดังตอ ไปนี้
ทใี่ ชในงานอวมงคล (งานศพ)
มีเคร่ืองดนตรใี นวงเหมอื นกับ หลักการเลอื กวงดนตรี
วงปพ าทยไ มแข็ง เพียงแตเ ปลีย่ นมา
ใชป ช วาแทนปใ น ใชกลองมลายู 1 คู การจัดแสดงดนตรีไทยในพิธี หรือพระราชพิธี ทั้งที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์และที่ไม่ได้
เขา มารวมบรรเลงดวย เครือ่ งดนตรี เก่ยี วข้องกับพระสงฆ์ เช่น พธิ ไี หว้ครู พธิ ีทอดกฐนิ พระราชพิธีจรดพระนังคลั แรกนาขวญั
ในวงปพาทยนางหงส แบงได 3 ขนาด พธิ อี ุปสมบท เป็นตน้ ให้เลือกใช้วงปพ าทยไ์ ม้แขง็ เคร่ืองห้า วงปพ าทยไ์ ม้แขง็ เครอ่ื งคู่ หรอื
คือ วงปพาทยนางหงสเครือ่ งหา วงปพ าทยไ์ ม้แขง็ เคร่อื งใหญ่ แลว้ แต่ความเหมาะสมของงาน
วงปพาทยนางหงสเครอื่ งคู และ
วงปพ าทยน างหงสเ คร่อื งใหญ ทUdีม่ IาaขJอHงnภoาพ : http://www.youtube.com/watch?v=I6_ การจัดแสดงดนตรีไทยเพื่อขับกล่อมในงาน
พธิ ีมงคล เชน่ งานวนั เกิด งานมงคลสมรส
นักเรียนควรรู งานเลยี้ งฉลอง หรอื แสดงความยนิ ดใี นโอกาส
ต่างๆ เป็นต้น ให้เลือกใช้วงเครื่องสายไทย
วงปพ าทยมอญ เปนวงดนตรที ่ี วงมโหรีบรรเลง ส่วนงานอวมงคล เช่น
ชาวมอญนําเครอื่ งดนตรเี ขามา งานฌาปนกิจศพ งานพระราชทานเพลงิ ศพ
ชาวมอญจะใชบ รรเลงทง้ั ในงานมงคล เป็นต้น ให้เลือกใช้วงปพาทย์นางหงส์
และงานอวมงคล สําหรับชาวไทยจะ วงปพาทย์มอญ วงเครื่องสายปชวา หรือ
ใชบ รรเลงเฉพาะงานอวมงคลเทา น้นั วงบวั ลอยมาบรรเลง

นักเรียนควรรู การจัดแสดงดนตรีไทยประกอบการแสดง เช่น โขน หนังใหญ่ เป็นต้น ให้เลือกใช้
วงปพ าทยไ์ มแ้ ขง็ มาบรรเลง หากบรรเลงประกอบการแสดงละครใน ละครนอก หนุ่ กระบอก
วงเคร่ืองสายปช วา เปนวง ระบ�าเบ็ดเตล็ดต่างๆ ให้เลือกใช้วงปพาทย์ไม้นวมมาบรรเลง และหากเป็นการบรรเลง
เคร่อื งสายไทยทั้งวงบรรเลงประสม ประกอบการแสดงนาฏศลิ ปพ ้ืนเมือง ใหเ้ ลือกใช้วงดนตรีพื้นเมืองของภาคน้นั ๆ มาบรรเลง
กับวงกลองแขก โดยไมใชโ ทนและ ประกอบการแสดง เช่น การแสดงเซิ้งต่างๆ ซ่ึงเป็นการแสดงนาฏศิลปพ้ืนเมือง
ราํ มะนา จะใชขลุยหลบี แทนขลยุ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เลือกใช้วงดนตรีพ้ืนเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาบรรเลง
เพียงออ เพ่ือใหเสยี งเขากบั ปชวา การแสดงฟอนเล็บ ฟอนเทียน ซ่ึงเป็นการแสดงพื้นเมืองของภาคเหนือ ให้เลือกใช้
ไดด ี เดิมเรียกวา “วงกลองแขก วงดนตรีพ้ืนเมืองภาคเหนอื บรรเลง เป็นต้น
เครอื่ งใหญ” วงเครื่องสายปช วาเกดิ
ขน้ึ ในปลายรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ ๓๐
พระจอมเกลา เจาอยหู วั (รชั กาลท่ี 4)
นักเรยี นควรรู

วงปพ าทยไมน วม จะใชไ มระนาดทพี่ ันดว ยผาและเชอื ก เวลาตลี งบนผืนระนาดแลว มีเสียง
นมุ นวล วงปพาทยไมน วมจะใชข ลุยเพยี งออแทนป และใชซ ออูเขามาผสมอยูในวงดว ย

30 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

ท้งั น้ี การจดั การแสดงดนตรจี ะเลอื กใช้วงใดให้พจิ ารณาจากความเหมาะสมของสถานท ี่ อธบิ ายความรู
ผฟู้ งั ผู้บรรเลง และเหตุการณเ์ ปน็ สา� คญั
จากภาพในหนงั สอื เรยี น หนา 31 ให
๒) การเลอื กบทเพลง ในการบรรเลง หรอื การแสดงดนตรไี ทยในโอกาสตา งๆ นอกจาก นักเรียนชวยกันแสดงความคิดเห็นวา
เปน ภาพวงดนตรีประเภทใดบา ง และ
จะพิจารณาวงดนตรีให้ถูกต้องเหมาะสมแล้ว ยังจ�าเป็นต้องเลือกสรรบทเพลงท่ีจะใช้บรรเลงให้ นยิ มนํามาบรรเลงประกอบในพิธใี ด
ถูกต้องเหมาะสมดว้ ย
เกรด็ แนะครู
หลกั การเลือกบทเพลง
ครคู วรเปด ตวั อยา งเสยี งเพลง
ทม่ี าของภาพ : คลังภาพ ACT. การเลอื กบทเพลงไทยมาประกอบในพธิ ี หรอื ลักษณะตางๆ เชน เพลงโหมโรงเชา
พระราชพธิ ี ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั พระสงฆ์ การบวงสรวง เพลงโหมโรงมโหรี เพลงเกรด็ เพลงเถา
บชู าเทพเจ้า ส่ิงศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ครูบาอาจารย์ นยิ มใช้ เพลงตับ เพลงหนาพาทย เพลงแสดง
บทเพลงประเภทเพลงหนา้ พาทย์ หรอื เพลงเรอื่ ง อารมณตางๆ เปนตน ใหนักเรียนฟง
มาบรรเลง ท้ังน้ี จะข้ึนอยู่กับพิธีการ หรือ ซง่ึ จะชว ยใหน กั เรยี นเขา ใจบทเรยี นได
พระราชพิธีนน้ั ๆ ดว้ ย มากยิง่ ขึ้น

การเลือกบทเพลงไทยมาประกอบการแสดง ท่ีมาของภาพ : คลังภาพ ACT. นักเรียนควรรู
เชน่ โขน ละคร ระบา� ชดุ ตา่ งๆ เปน็ ตน้ เพลงทจี่ ะใช้
บรรเลงประกอบ ไดแ้ ก่ เพลงอตั ราจงั หวะสองชน้ั เพลงเกร็ด เปนบทเพลงขนาดยอม
เพลงอัตราจังหวะช้ันเดียว เพลงตับ และเพลง- ประเภทของเพลงเกร็ดท่ีขับรอง
หน้าพาทย์ประกอบกิรยิ าต่างๆ ทง้ั น้ี จะขึ้นอยกู่ บั และบรรเลงนี้ อาจจะนําเอาเพลงใด
กิริยาอาการและอารมณ์ของบทเพลง หากเป็น เพลงหนึ่งมาจากเพลงตับ โดยนํามา
การบรรเลงประกอบการแสดงนาฏศิลปพ้ืนเมือง บรรเลงอยา งอสิ ระ หรอื อาจจะขบั รอ ง
เพลงท่ีใช้บรรเลงมักจะเป็นเพลงพ้ืนเมือง ที่มี และบรรเลงเฉพาะอัตราจังหวะใด
จงั หวะกระชบั เหมาะสมกบั ลลี าทา่ ทางของผรู้ า่ ยรา� จังหวะหน่ึงในชุดของเพลงเถา จัดได
ในแตล่ ะภาค วาเปนรูปแบบของเพลงเกร็ดทั้ง
ส้ิน ตัวอยางเพลงเกร็ด เชน บทรอง
ทีม่ าของภาพ : คลังภาพ ACT. การเลือกบทเพลงไทยมาแสดงเพ่ือความ เพลงพระรามตามกวาง บทรองเพลง
เพลิดเพลิน ส่วนใหญ่จะเลือกใช้เพลงประเภท สรอ ยสน เปนตน
เพลงโหมโรง ตามด้วยเพลงลักษณะต่างๆ ท่ีมี
ท่วงท�านอง ลีลา จังหวะท่ีไพเราะ สนุกสนาน @ มุม IT
น่าฟัง และมักจบลงด้วยเพลงลา แต่หากเป็น
การจัดการบรรเลงดนตรีไทยเพื่อคั่นระหว่าง สามารถศึกษาเพ่ิมเติมเก่ียวกับ
การแสดง เพลงที่ใช้บรรเลงอาจจะใช้เพลง เพลงหนาพาทย หรือเพลงท่ีบรรเลง
ประเภทเพลงอัตราจังหวะสองชั้น เพลงเกร็ด ประกอบกริ ิยาอาการตางๆ ของ
เพลงตับ หรือเพลงภาษาต่างๆ ทัง้ นี้ จะข้นึ อยู่กบั ตวั ละคร ไดจ าก http://www.cdaat.
ระยะเวลาการบรรเลงวา่ ต้องการใหม้ รี ะยะเวลา bpi.ac.th/web2/page7.html
ส้ัน หรอื ยาวเพียงใด
คมู อื ครู 31
๓๑

นกั เรียนควรรู

เพลงตบั เปน ชดุ ของบทเพลงอกี ลกั ษณะหนงึ่ ทเ่ี กดิ จากการนาํ เอาบทเพลงหลายๆ เพลงมารอ ง
และบรรเลงใหต ิดตอ กนั อัตราจังหวะของบทเพลงท่ีรวมอยูใ นชุดนั้นจะเปนอัตราใดกไ็ ด อยางไร
ก็ตามท่ีพบโดยทั่วไปมักจะอยูในอัตราจังหวะสองชั้น การรวมชุดของบทเพลงในลักษณะของ
เพลงตบั สามารถแบง ออกเปน 3 ประเภท คอื ตับเรื่อง ตับเพลง และตบั ประสม

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นักเรยี น 20%)

จากการทน่ี กั เรยี นไดศ กึ ษาเกย่ี วกบั ๓) การเลือกและจัดเตรียมสถานท่ี ในการเลือก หรือการจัดเตรียมสถานที่ส�าหรับ
การเลอื กและจดั เตรยี มสถานทส่ี าํ หรบั
จัดแสดงดนตรีไทยแลว ครูจึงต้ัง จัดการแสดงดนตรี ควรพจิ ารณาองค์ประกอบตางๆ ดงั ตอ ไปนี้
ประเด็นถามนักเรยี นวา
หลกั การเลือกและการจดั เตรยี มสถานท่ี
• ในการบรรเลงดนตรี หรอื การ
แสดงดนตรีไทย การจัดเตรยี ม การจดั แสดงดนตรไี ทยในพธิ ี หรอื พระราชพธิ ี ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั พระสงฆ์ การบวงสรวงบชู า
สถานท่เี ปนส่ิงจําเปนหรอื ไม เทพเจา้ สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ ครบู าอาจารย์ สถานทจี่ ดั แสดงควรอยใู่ กลบ้ รเิ วณทป่ี ระกอบพธิ ี หรอื
มากนอ ยเพยี งใด พระราชพธิ ี พ้นื ท่ตี ้องมคี วามกว้างขวางพอเหมาะกบั ขนาดของวงดนตรที ใี่ ช้บรรเลง และ
(แนวตอบ การจดั เตรียมสถานที่ ควรอยู่ในต�าแหน่งท่ีผู้บรรเลงสามารถมองเห็นขั้นตอนการประกอบพิธี หรือพระราชพิธี
เปนสง่ิ ทจ่ี าํ เปน สาํ หรับการ ได้อย่างชัดเจน เพื่อจะได้บรรเลงเพลงประกอบได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับขั้นตอนพิธี
บรรเลงและแสดงดนตรี และเวลา
เน่ืองจากการแสดงดนตรแี ตล ะ
ประเภทจะเลอื กสถานทใ่ี นการ ทasม่ี pา?ขnอIDงภ=7า9พ5: http://www.tourtooktee.com/news_detail. การจดั แสดงดนตรไี ทยเพ่อื บรรเลงใน
จดั แสดงทีแ่ ตกตางกนั เชน งานมงคล ตา� แหนง่ หรือสถานท่ีทจ่ี ดั แสดง
หากแสดงดนตรีไทยในพธิ ี หรอื ไมค่ วรอยสู่ งู หรอื ตา�่ เกนิ ไป แตค่ วรอยใู่ นจดุ ท่ี
พระราชพิธที เ่ี กี่ยวของกบั ผฟู้ งั สามารถมองเหน็ ไดย้ นิ เสยี งการบรรเลง
พระสงฆ สถานทีจ่ ดั แสดง ไดอ้ ยา่ งทวั่ ถงึ และพนื้ ทตี่ อ้ งมคี วามกวา้ งขวาง
ควรอยูใกลบ รเิ วณประกอบ เหมาะสมกบั ขนาดของวงดนตรี หรอื จา� นวน
พิธี และควรอยูในตําแหนง ผ้บู รรเลงและผ้ขู บั ร้อง
ทีผ่ บู รรเลงสามารถมองเห็น
ขนั้ ตอนการทําพธิ ีไดอยาง การจดั แสดงดนตรีไทยประกอบการแสดง ไมว่ ่าจะเป็นโขน ละคร ระบ�าชดุ ตา่ งๆ หรือ
ชดั เจน เปน ตน ) การแสดงนาฏศิลปพื้นเมือง ต�าแหน่งของวงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงควรอยู่
ใกลก้ บั บริเวณทใ่ี ช้แสดง อาจเป็นด้านข้างของเวที หรือลานแสดง และควรเปน็ สถานที่ที่
เกรด็ แนะครู ผบู้ รรเลง หรอื ผขู้ บั รอ้ งสามารถมองเหน็ ทา่ ทางและไดย้ นิ เสยี งของผแู้ สดงอยา่ งชดั เจน เพอื่
ให้สามารถบรรเลงประกอบลลี าท่าทางไดอ้ ย่างสอดคลอ้ งและเหมาะสม
ครคู วรแนะนกั เรยี นวา สว นใหญ
การเลอื กและจดั เตรียมสถานทจี่ ัด การจดั แสดงดนตรีไทยเพื่อความ
แสดงดนตรไี ทย ผูจ ดั ตอ งคํานึงถงึ เพลิดเพลิน โดยท่ัวไปควรเลือกสถานท่ีที่
ตําแหนง ของผบู รรเลงเปนสาํ คญั สะดวกกบั การเดนิ ทางทงั้ ของนกั ดนตรแี ละ
ผบู รรเลงจะตองมองเห็นขน้ั ตอน ผฟู้ งั ทง้ั น้ี ผฟู้ งั จะตอ้ งสามารถมองเหน็ และ
การประกอบพธิ ี มองเหน็ ทาทาง ได้ยินเสียงการบรรเลง หรือการขับร้องได้
และไดยินเสียงของผูแสดงกิจกรรม อยา่ งชดั เจน พนื้ ทที่ จ่ี ดั การแสดงควรมคี วาม
ประกอบอยา งชดั เจน รวมท้งั กว้างขวางเหมาะสมกับขนาดของวงดนตรี
ผบู รรเลงตองมองเหน็ ผูช มได หรอื จ�านวนผ้บู รรเลงและผขู้ บั ร้อง
อยา งชดั เจนดวย
ท่มี าของภาพ : คลังภาพโรงเรียนราชวินิต มัธยม

๓2

32 คูม ือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

ทั้งนี้ การจัดเตรียมสถานที่ส�าหรับวงดนตรีทุกชนิด ควรจัดเครื่องขยายเสียงและ อธิบายความรู
แสงสวางให้เพียงพอกับการบรรเลงและการขับร้อง เพ่ือให้ผู้ฟังสามารถฟังเสียงได้อยางไพเราะ
ทวั่ ถึง ชัดเจน และควรจดั เตรยี มเสอ่ื พรม โตะ และเก้าอ ้ี สา� หรับวางเคร่อื งดนตรแี ละใหน้ ักดนตรี ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวา
ได้นั่งอยางสะดวกสบาย เพียงพอกับจ�านวนผู้บรรเลงและผู้ขับร้อง เพื่อที่จะได้สามารถบรรเลง “ในการบรรเลง หรือแสดงดนตรีไทย
หรือขับรอ้ งไดอ้ ยา งสะดวก แตล ะครงั้ บคุ ลากรมคี วามสาํ คญั มาก
นอ ยเพยี งใด” โดยใหน กั เรียนสรปุ ผล
๔) การเตรยี มบคุ ลากร กอ นการบรรเลง หรอื จดั การแสดงดนตรไี ทยในแตล ะครงั้ การ การอภปิ รายลงกระดาษรายงาน สง ครู
ผสู อน
เตรยี มบคุ ลากรนบั วา มคี วามสา� คญั มาก เพราะการบรรเลงจะประสบความสา� เรจ็ ไดร้ บั ความพงึ พอใจ
จากผฟู้ งั หรอื ผชู้ มนน้ั จา� เปน็ ตอ้ งมกี ารเตรยี มบคุ ลากรในดา้ นตา งๆ ใหพ้ รอ้ ม โดยเฉพาะการเตรยี ม ขยายความเขา ใจ
ความพร้อมของบุคลากรอนั เปน็ สงิ่ จา� เป็นทส่ี ดุ เพราะการแสดงดนตรเี ปน็ การทา� งานกลมุ ทกุ คน
ในวงดนตรีมีความสา� คัญเสมอกันจะขาดคนใดคนหนงึ่ ไมได ้ ดงั นัน้ ทุกคนในวงดนตรีจงึ ตอ้ งใสใ จ ครสู ุมนักเรียน 2-3 คน ออกมา
สรา้ งความพรอ้ มใหก้ บั กลุมด้วยการมวี นิ ัยในตนเอง นําเสนอผลการอภิปรายในประเดน็
ดังกลาวหนา ชนั้ เรยี น จากนั้นครสู รุป
๕) การเตรยี มอปุ กรณ์เครื่องมอื กอนการบรรเลง หรอื การแสดงทุกครง้ั ผู้บรรเลง ความสําคญั ของบุคลากรที่มีตอ การ
จดั แสดงดนตรีไทยเพิม่ เติม
ควรตรวจสอบสภาพของเครื่องดนตรีท่ีตนจะใช้บรรเลงวามีความพร้อมเพียงใด มีส่ิงใดบกพรอง
เสยี หาย หรือใกล้จะหมดสภาพหรือไม เมอ่ื ตรวจสอบและพบขอ้ บกพรอ งใด ตอ้ งรีบจัดการแกไ้ ข เบศูรรณษาฐกกาิจรพอเพียง
ปรับแตง หรือเปลย่ี นให้มีสภาพสมบูรณ ์ ครบถว้ น พรอ้ มใช ้ และมีคุณภาพเสยี งทสี่ มบูรณอ์ ยเู สมอ
ดนตรีไทยมีความผกู พนั กบั คนไทย
๖) การจัดรายการแสดง เปน็ การก�าหนดล�าดบั การบรรเลงดนตรีในแตละครั้งให้เป็น อยางใกลชิด ซ่ึงจะเห็นไดจากการ
ประกอบพิธีกรรมตางๆ ที่เก™่¡ียวเน่ือง
ไปตามจุดประสงค์ที่ผู้จัดการแสดงต้องการ ผู้ท่ีมีหน้าท่ีรับผิดชอบเก่ียวกับการบรรเลงดนตรีต้อง กับขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือ
พิจารณาจดั เตรียมบทเพลงทจ่ี ะใช้บรรเลง หรือขบั รอ้ งให้เหมาะสมกับลา� ดบั ขั้นตอนของพธิ ี หรือ วัฒนธรรม ลวนนําการบรรเลงดนตรี
พระราชพิธีอยา งเครงครดั เว้นแตก ารบรรเลง หรอื การแสดงดนตรีเพอ่ื ความเพลดิ เพลนิ อาจจัด ไทยเขามาเกี่ยวของดวยทั้งส้ิน และ
รายการบรรเลง หรือการขับร้องสลับตามความพอใจ หรือเหมาะสมกบั วัยของผชู้ มและผู้ฟงั ได้ เพ่ือใหสามารถเลือกนําดนตรีไทย
มาใชจัดแสดงในวาระตางๆ ไดอยาง
ทม่ี าของภาพ : คลังภาพโรงเรยี นราชวินติ มธั ยม ถกู ตอ ง™ ครใู หน กั เรยี นรว มกนั จดั แสดง
ดนตรีไทยในงานสําคัญตางๆ ที่
๓๓ โรงเรียนจัดข้ึน โดยเลอื กจัดวงดนตรี
ไทยไดตามความเหมาะสม เชน
วงเครื่องสาย วงมโหรี เปนตน ทั้งนี้
นักเรียนจะตองรูจักการวางแผนการ
แสดงอยางรอบคอบและตองคํานึงถึง
ความเหมาะสมเปน หลกั โดยคาํ นงึ ถงึ
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ
ตองคํานึงถึงการจัดการแสดงที่ใช
คา ใชจ า ยอยา งเหมาะสมและคมุ คา

คมู ือครู 33

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Evaluate

Engage Explore Explain Expand

ตรวจสอบผล (ยอจากฉบบั นกั เรยี น 20%)

ครูพจิ ารณาจากผลงาน กจิ กรรม ศลิ ปป ฏบิ ัติ ๒.๒
การจดั เตรียมการบรรเลง หรอื
การจดั แสดงดนตรีไทย

กจิ กรรมท่ี ๑ ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติขิมทีละคนตามค�าแนะน�าของครู ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตาม
ท�านองและจังหวะ และฝึกให้นักเรียนเคาะจังหวะโดยการปรบมือ เคาะไม้ หรือ
เกร็ดแนะครู ตีฉ่งิ ให้ตรงตามจงั หวะไปพรอ้ มๆ กบั การฝึกปฏบิ ัติขมิ ด้วย

(แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปป ฏิบัติ 2.2 กจิ กรรมที่ ๒ ใหน้ กั เรยี นแบงกลมุ ตามความสามารถ จากน้นั ให้ปฏิบตั ขิ มิ ปรบมอื เคาะจงั หวะ
กจิ กรรมที่ 3 หรอื คดิ ทา ประกอบทา� นองเพลงแตล ะเพลง
1. เราควรศึกษาเรื่องราวความเปนมา
กิจกรรมท่ี ๓ ใหน้ กั เรยี นตอบคา� ถามตอไปนี้
ของดนตรีไทย เพื่อใหเกิดความ ๑. เหตุใดนกั เรียนจงึ ตอ้ งศึกษาวิวฒั นาการดนตรีไทยในแตล ะยุคสมยั
ซาบซึ้งและเห็นคุณคาของดนตรี ๒. ก ารขับร้องและการบรรเลงดนตรีไทยในแตละลกั ษณะมคี วามเหมือน หรือ
ไทย อนั เปนมรดกทางศลิ ป-
วัฒนธรรมประจําชาตไิ ทย ความแตกตา งกนั หรือไม  อยางไร
2. การขับรองทั้ง 3 ประเภทแตกตาง ๓. เ พราะเหตใุ ดการเลอื กฝกึ ปฏบิ ตั เิ ครอื่ งดนตรไี ทย จงึ ควรเลอื กเครอื่ งดนตรที ถี่ นดั
กนั ทจี่ าํ นวนผขู บั รอ ง การสอดแทรก
และเหมาะสมกบั ตัวเอง

เทคนคิ ตางๆ แตเหมือนกนั ตรงที่
การขบั รอ งทด่ี ี ผูข ับรองตอ งทําให
ผูชมซาบซง้ึ ได เชน เดียวกนั กบั
การบรรเลงดนตรีไทย
3. เนื่องจากการบรรเลงเครื่องดนตรี
ทน่ี กั เรยี นมคี วามสนใจและถนดั จะ ทฤษฎดี นตรไี ทยทงั้ การขบั รอ งและการบรรเลงลว นมคี วามสาํ คญั ตอ การศกึ ษาดนตรี
ทําใหนักเรียนสนุกกับการบรรเลง ในภาคปฏิบัตทิ ง้ั ส้นิ ดงั น้ัน กอ นเร่ิมฝกปฏิบตั เิ ครอ่ื งดนตรีไทย
และซาบซ้ึงในเคร่ืองดนตรีชิ้นนั้น ผเู รยี นจาํ เปน ตอ งศกึ ษา เรยี นรเู กย่ี วกบั ทฤษฎดี นตรไี ทยเบอ้ื งตน
มากกวา การบงั คับใหบ รรเลง) ใหเ ขาใจ เพ่อื ใชเปนพน้ื ฐานการศกึ ษาดนตรีในระดับสงู ตอไป

เมื่อผูเรียนไดเรียนรูเกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีไทยและไดฝก

หแสลดกั งฐผานลการเรียนรู ปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งดนตรไี ทยแลว ผเู รยี นจะตอ งเรยี นรเู กย่ี วกบั หลกั
การนาํ ดนตรไี ทยไปแสดงในวาระตา งๆ ดว ย เพอ่ื ใหก ารบรรเลง
1. ผลงานการสรปุ วิวฒั นาการดนตรี หรือการจัดแสดงดนตรีแตละคร้ังบรรลุตามวัตถุประสงคท่ี
ผูจัดการแสดงกาํ หนดไว

ไทยต้ังแตส มัยสุโขทยั จนถึง
สมยั รัตนโกสนิ ทร
2. การเปรียบเทยี บลักษณะของการ
ขับรองและการบรรเลงดนตรไี ทย
แตละประเภท ๓4
3. ผลการประเมินการตขี มิ
บทเพลงไทยเดิม
4. ผลงานการจดั เตรียมการบรรเลง
หรอื การจัดแสดงดนตรีไทย
ในวาระตางๆ

34 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Engage

Explore Explain Expand Evaluate

เปา หมายการเรยี นรู

1. รอ งเพลง เลนดนตรีเดยี่ วและ
รวมวง โดยเนนเทคนคิ การรอง
การเลน การแสดงออก และ
คณุ ภาพเสยี ง

2. แตงเพลงสน้ั ๆ จังหวะงายๆ
3. อธิบายเหตผุ ลในการเลือกใช

องคประกอบดนตรใี นการ
สรา งสรรคง านดนตรขี องตนเอง
4. เปรียบเทียบความแตกตางระหวาง
งานดนตรขี องตนเองและผูอ น่ื
5. นําเสนอ หรอื จดั การแสดงดนตรี
ทีเ่ หมาะสม โดยบรู ณาการกับ
สาระการเรยี นรอู ืน่ ในกลุมศิลปะ
6. บรรยายวิวฒั นาการของดนตรี
แตล ะยคุ สมัย

óหนว่ ยท่ี กระตุน ความสนใจ

ทกั ษะดนตรีสากล ครูใหน ักเรียนฟง บทเพลงคลาสสิก
ที่คุน หู เชน เพลง Eine kleine
ตัวชี้วัด ดนตรีสากลเปน มรดกทางวฒั นธรรม Nachtmusik ของ วอลฟ กงั อะมาเดอสุ
โมสารท (Wolfgang Amadeus
■ รอ งเพลง เลน ดนตรเี ด่ียวและรวมวง โดยเนนเทคนิคการรอ ง การเลน ของชาติตะวันตกมีแบบแผนเปนที่ยอมรับ Mozart) หรือเพลง Symphony No.9
การแสดงออกและคุณภาพเสยี ง (ศ ๒.๑ ม.๓/๒) ของนานาชาติ และมวี วิ ฒั นาการมาเปน ลาํ ดบั ของ Beethoven ลดุ วกิ ฟาน เบโทเฟน
(Ludwig Van Beethoven) จากนั้น
■ แตง เพลงสน้ั ๆ จงั หวะงายๆ (ศ ๒.๑ ม.๓/๓) (ศ ๒.๑ ม.๓/๔) (ศ ๒.๑ ม.๓/๕) ครถู ามนกั เรยี นวา
(ศ ๒.๑ ม.๓/๗) (ศ ๒.๒ ม.๓/๑)
• เคยฟง บทเพลงเหลานหี้ รอื ไม
ปจจุบันดนตรีสากลไดเขามาแพรหลายใน • รหู รอื ไมวาเปนบทเพลงของใคร
• นกั เรยี นคิดวาเปนบทเพลง
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ประเทศไทย และถูกนํามาใชในชีวิตประจําวัน
มากยงิ่ ขน้ึ ดงั นน้ั เราจงึ ควรศกึ ษาถงึ ววิ ฒั นาการ ท่ปี ระพันธข ้ึนเมือ่ ใด
■ เทคนิคและการแสดงออกในการขับรองและบรรเลงดนตรีเด่ียว ของดนตรสี ากล การรอ ง และการบรรเลง รวมทงั้ • นักเรียนเคยไดย ินบทเพลง
และรวมวง ทักษะการประพันธเพลงอยางงาย เพื่อจะไดเกิด
ความรู ความเขา ใจ มองเหน็ คณุ คา ความสาํ คญั และ เหลา นจ้ี ากสือ่ ใด
■ อตั ราจังหวะ @ และ $ จากนัน้ ใหน ักเรยี นรวมกันแสดง
ฯลฯ ความคดิ เหน็ โดยครตู ง้ั ประเด็นวา
• บทเพลงเหลาน้ลี ว นประพนั ธข ้ึน
นําดนตรสี ากลมาใชป ระโยชนเพอ่ื การดาํ รงชีวติ ตอไป
มานานนับรอ ยป เหตใุ ดเรายงั
เกร็ดแนะครู คงไดย ินบทเพลงเหลา นอ้ี ยู
• นกั เรยี นคิดวา ดนตรีมีอิทธพิ ล
การเรียนการสอนในหนวยนี้ ครูควรเนนย้ําใหนักเรียนเขาใจวา การศึกษาประวัติดนตรีสากลเปนสิ่งสําคัญ ตอ บคุ คลและสังคมหรอื ไม
เพราะดนตรีสากลแตละยุคสมัยลวนมีเอกลักษณของรูปแบบดนตรีในยุคสมัยนั้นๆ เมื่อเราไดรูถึงบริบท อยางไร
ความเปนมาของดนตรีแตละยุคสมัยก็จะมีความเขาใจในรูปแบบของบทเพลงตางๆ ที่คีตกวีในยุคสมัยน้ัน
ประพันธขึ้นมา ซ่ึงการเขาใจประวัติดนตรีสากลอยางลึกซึ้ง จะชวยใหนักเรียนฟงดนตรีสากลไดอยางซาบซ้ึง คูม อื ครู 35
และมีสนุ ทรียภาพมากยิ่งขน้ึ

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explore Explain Expand

Engage Evaluate

สาํ รวจคนหา (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)

ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน ๑. ววิ ัฒนาการของดนตรีสากลในแตล่ ะยุคสมัย
สบื คนขอ มลู เกี่ยวกบั ววิ ฒั นาการ การศกึ ษาประวตั ดิ นตรตี ะวนั ตก เปน็ การศกึ ษาเกยี่ วกบั ววิ ฒั นาการของดนตรที เี่ กดิ ขนึ้ ใน
ของดนตรีสากลในแตละยคุ สมยั จาก วฒั นธรรมของกลมุ คนในทวปี ยโุ รป นกั วชิ าการดนตรมี หี ลกั ฐานวา ววิ ฒั นาการของดนตรตี ะวนั ตก
แหลง การเรยี นรตู างๆ เชน หอ งสมุด สืบทอดมาจากดนตรใี นอารยธรรมของชาวกรีก ต้งั แตประมาณ ๕๐๐ ป ี กอ นคริสตกาล จากนน้ั
หนงั สอื เรยี น อินเทอรเ น็ต เปน ตน มากไ็ ดม้ วี วิ ฒั นาการสบื เนอื่ งกนั มายาวนานตราบจนถงึ ปจั จบุ นั โดยววิ ฒั นาการของดนตรสี ากลนนั้
สามารถสรปุ ได้ ดังตอ ไปน้ี
อธบิ ายความรู
๑.๑ ยุคกลาง (The Middle Ages ค.ศ. 6๐๐-๑45๐)
ใหน ักเรียนแตละกลมุ นําความรู ยุคกลางมีชวงระยะเวลายาวนานถึง ๖๐๐ ปี โดยจะมีการแบงเพลงออกเป็น ๒ แบบ
ท่ไี ดศกึ ษามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน คือ เพลงเพือ่ ความบนั เทงิ (Secular Music) มีนักดนตรแี ละนกั ประพนั ธ์เพลงท่มี ีชือ่ เสยี งเกิดข้นึ
ภายในช้ันเรยี น มากมายที่ประเทศฝรงั่ เศสและประเทศเยอรมน ี และเพลงท่เี กีย่ วกบั ศาสนา (Ritual Music) ที่มี
ทา� นองเดยี ว (Monophony) ยคุ กลางเรม่ิ มเี สยี งประสาน (Polyphony) อยา งงา ยทเ่ี รยี กวา “ออรก านมุ ”
ขยายความเขา ใจ (Organum) ข้ึนมา ซึ่งนิยมร้องกันในพิธีกรรมท่ีเรียกวา “โมเท็ต” (Motet) และเพลงศาสนพิธี
เรียกวา “แมส” (Mass) โดยโมเทต็ จะมที วงท�านองท่สี ้ันกวาแมส แตเพลงท้ัง ๒ เพลงจะมเี นือ้ รอ้ ง
ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ จดั ทาํ รายงาน เป็นภาษาละติน เปน็ ที่นิยมมากในประเทศฝรงั่ เศสและประเทศอิตาลี
ววิ ฒั นาการของดนตรสี ากล พรอ มตดิ นอกจากดนตรที ีใ่ ช้การขบั ร้องเปน็ หลัก หรือท่เี รียกวา “ดนตรีขับรอ ง” แลว้ ในยุคกลาง
ภาพประกอบ สง ครผู ูสอน ยังมีวิวัฒนาการของดนตรีอีกประเภทหนึ่ง คือ “ดนตรีบรรเลง” ซ่ึงก็เป็นดนตรีท่ีมีลักษณะเป็น
การบรรเลงดว้ ยเครือ่ งดนตรีล้วนๆ โดยไมม กี ารขบั รอ้ ง จากแหลงข้อมลู ทางประวตั ศิ าสตร์ท่เี ปน็
นกั เรยี นควรรู รูปภาพ หรือวรรณกรรมตางๆ ท�าให้สามารถสรุปได้
วามีการใช้เครื่องดนตรีบรรเลงบทเพลงในยุคกลาง
แมส (Mass) เปนเพลงสวดของ สว นใหญแล้วนักดนตรีจะบรรเลงเพลงจากความทรงจา�
ศาสนาคริสตน ิกายโรมนั แคธอลกิ หรอื ใชว้ ธิ ดี น้ ทา� นองขณะทา� การบรรเลง
ซ่ึงเปนตน กําเนดิ ของเพลงโบสถ ยุคนเี้ รมิ่ มกี ารบันทึกโนต้ ดนตรีในระบบสากล
(Church) ในลักษณะตางๆ และ แลว้ โดยพระชาวอติ าเลียนชอ่ื กวโิ ด ดาเรซโซ (Guido
เปนเพลงคฤหัสถ (Secular Music) d’ Arezzo) ซ่ึงเป็นต้นแบบของโน้ตตามท่ีเราใช้เรียน
บทเพลงจะแสดงใหเ หน็ ถึงความ อยูในปัจจุบันและเร่ิมใช้เคร่ืองดนตรีประเภทลูต หรือ
ศกั ด์สิ ิทธิ์ ความเคารพ และ ซงึ (Lute) คลอตามเสียงร้อง
ความศรัทธาในครสิ ตศาสนา สังคตี กวที มี่ ชี ือ่ เสียงในยุคน้ ี เชน จาคาโป ดา
กิโยม เดอ มาโชต (Guillaume de Machaut) โบโลนญา (Jacapo da Bologna) ฟรานเชสโก ลานดนิ ี
นักเรยี นควรรู สังคตี กวีผูมีชื่อเสยี งในยคุ กลาง (Francesco Landini) กิโยม เดอ มาโชต ์ (Guillaume
ทีม่ าของภาพ : http://www.youtube.com de Machaut) เปน็ ตน้
วิธดี น การบรรเลงดนตรี
แบบคดิ สดข้นึ ในขณะบรรเลง ๓6
โดยไมมีการประพันธม ากอ น เรยี กวา
“อิมโพรไวเซซั่น” (Improvisation) @ มมุ IT
ภาษาไทยทางการเรยี กวา
“คีตปฏภิ าณ” สามารถศกึ ษาเพิ่มเติมเกี่ยวกบั ยคุ สมยั ของดนตรตี ะวันตก ไดจ าก
http://www.musiclib.psu.ac.th/data/western-musuc/Chapter4/Chap4.htm

36 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

ตวั อย่าง โน้ตเพลงของสังคตี กวใี นยคุ กลาง อธบิ ายความรู
Cinc, un, treze
ครูนําตวั อยา งโนตเพลงของสังคตี
Guillaume de Machaut (ค.ศ. ๑๓๐๐-๑๓๗๗) กวีในยุคกลาง คอื เพลง Cinc, un,
treze ผลงานของกิโยม เดอ มาโชต
(Guillaume de Machaut) มาให
นกั เรยี นดู พรอมท้ังเปด เพลงให
นกั เรียนฟง ประกอบ

เกร็ดแนะครู

ครูอธิบายเสริมเก่ียวกับบทเพลงท่ี
เกิดขึ้นในยุคกลางอีกบทเพลงหน่ึง
ก็คือ เพลงโมเท็ต (Motet) วา โดย
ปกติแลวจะอยูในตําราทางศาสนา
และใชในพิธีกรรมของศาสนาคริสต
นกิ ายโรมันคาทอลิก เปน เพลงขับรอง
ประสานเสียง 3 แนว เดิมใชภาษา
ละติน สวนแนวบนอีก 2 แนว เปน
ทํานองเพลงที่มีอิสระตางจากแนว
ตํ่าสุดที่รองเปนภาษาละตินและรอง
เปน ภาษาฝร่งั เศส

นกั เรยี นควรรู

Guillaume de Machaut
หรือกิโยม เดอ มาโชต สังคตี กวี
ชาวฝรัง่ เศส บทเพลงท่เี ขาประพนั ธ
ขน้ึ สว นใหญจะเปนบทเพลงที่มี
ความเก่ียวของกับศาสนา โดยเพลง
ท่มี ีชือ่ เสยี งของเขา คือ เพลงแมส
(Mass) ซึ่งเปนบทเพลงทมี่ ีการนํา
เอารูปแบบการสอดประสานหลาย
ทํานอง (Polyphony) มาใช

๓7

@ มมุ IT

สามารถศึกษาเกี่ยวกับประวตั ิดนตรยี คุ กลาง
ไดจ าก http://www.student.nu.ac.th

คมู ือครู 37

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain Expand

Engage Explore Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นักเรยี น 20%)

ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันสรุป ๑.2 ยคุ ฟน ฟูศลิ ปวทิ ยาการ (The Renaissance Period ค.ศ. ๑45๐-
ลักษณะสําคัญของดนตรีสากลในยุค ๑6๐๐)
ฟนฟูศิลปวิทยาการ (The Renais- ยคุ ฟน ฟศู ลิ ปวทิ ยาการเปน็ ยคุ ทตี่ รงกบั
sance Period) สมยั โคลมั บัสพบทวปี อเมรกิ า ยคุ น้ีเพลงโมเท็ต
และเพลงแมสก็ยังเป็นท่ีนิยมอยู นอกจากน ้ี
(แนวตอบ ลักษณะสําคญั ของดนตรี ยงั นยิ มการขบั รอ้ งประสานเสยี งทแี่ บง เสยี งออก
ยุคฟน ฟูศลิ ปวทิ ยาการ คอื เป็น ๔ กลมุ ได้แก กลมุ เสียงผ้หู ญงิ ๒ กลมุ
คือ กลุมเสียงโซปราโน (เสียงสูงของผู้หญิง)
1. มักเปน การรอ งกลมุ เลก็ ๆ กับกลุมเสียงอัลโต (เสียงต่�าของผู้หญิง) และ
สว นใหญจ ะเก่ียวกบั การรอง กลุมเสยี งผู้ชาย ๒ กลุม คอื กลุมเสียงเทเนอร ์
เพอ่ื สรรเสรญิ พระผูเปนเจา (เสียงสงู ของผชู้ าย) กบั กลุม เสียงเบส (เสยี งตา่�
และนยิ มขับรอ งภายในโบสถ ของผู้ชาย) สวนเพลงท่ีไมเก่ียวกับศาสนามีชื่อ
คลอดโิ อ มอนเทแวรด ี (Claudio Monteverdi) สงั คตี กวี วา “แมดรกิ ลั ” (Madrigal) ซง่ึ ใชภ้ าษาของแตล ะ
2. การรอ งจะมกี ารแบง แนวเปน ผูมีชอ่ื เสียงในยคุ ฟน ฟูศลิ ปวิทยาการ ชาติเป็นเน้ือร้อง เน้ือร้องสวนใหญจะเก่ียวกับ
4 แนว คือ โซปราโน (Soprano) ทีม่ าของภาพ : http://www.scoopsandcups.wordpress ความรกั และสรรเสรญิ บุคคลส�าคัญ
สงู สดุ อลั โต (Alto) ตาํ่ ลง เทเนอร
(Tenor) ตํ่ากวาอัลโต และเบส .com
(Bass) ตา่ํ ทสี่ ดุ
ดนตรีในยุคนี้ได้รับพิจารณาวาเป็นยุคทองของดนตรีขับร้องประสานเสียง ซ่ึงเป็นการ
3. การบรรเลงบทเพลงดวย ขับร้องประสานเสียงแบบมีแนวท�านองอิสระหลายแนว เป็นรูปแบบของดนตรีท่ีได้รับความนิยม
เคร่อื งดนตรมี ักจะถูกจาํ กดั เป็นอยางมาก ถึงแม้วาดนตรีศาสนาได้ถูกลดความส�าคัญลง แตดนตรีขับร้องประสานเสียงตาม
ดวยชว งเสียงของการรอง) แบบของดนตรศี าสนากย็ งั คงไดร้ ับการปฏิบัติและพัฒนาอยอู ยา งตอเนอื่ ง และเปน็ แบบแผนหลัก
ในการประพันธ์ดนตรีของนักประพันธ์เพลงหลายทานในยุคนี้ ลักษณะของค�าร้องเป็นการน�าเอา
ขยายความเขา ใจ ความหมายและส�านวนตางๆ มาเป็นองค์ประกอบส�าคัญ ซึ่งความหมายของค�าร้องจะสะท้อน
ปรัชญาแนวคิดของคนในสมัยน้ัน ผลงานบทเพลงท่ีได้รับการยกยอง เชน เพลงโมเท็ต ซ่ึง
ใหน กั เรยี นนาํ ความรเู กย่ี วกบั ดนตรี ประพนั ธโ์ ดยจ็อสแก็ง เดส ์ เปรส ์ (Josquin des Prez) เปน็ ต้น
ในยคุ ฟน ฟศู ลิ ปวทิ ยาการมาวเิ คราะห ส�าหรับสังคีตกวีท่ีมีช่ือเสียงในยุคน้ี เชน จอห์น ดันสเตเบิล (John Dunstable)
วา กิโยม ดูเฟย ์ (Guillaume Dufay) จิโอวนั น ี ปแ อรล์ ุยจิ ดา ปาเลสตรินา (Giovanni Pierluigi
da Palestrina) คลอดิโอ มอนเทแวร์ด ี (Claudio Monteverdi) โทมัส ทัลลิส (Thomas Tallis)
• ดนตรใี นยคุ ฟนฟศู ลิ ปวทิ ยาการ โจวันน ี กาบริเอล ิ (Giovanni Gabrieli) วิลเลียม เบริ ด์ (William Byrd) คาร์โล เกซวลโด (Carlo
มพี ัฒนาการเปล่ียนแปลงจาก Gesualdo) เปน็ ต้น
ดนตรีในยุคกลางอยา งไร
๓8
เกรด็ แนะครู

ครูควรนําเพลงในยุคฟนฟูศิลป-
วิทยาการมาเปดใหนักเรียนฟง เพ่ือ
เสริมประสบการณในการฟง และให
นักเรียนแสดงความรูสึกจากบทเพลง
ตางๆ ทีไ่ ดฟ ง

นักเรยี นควรรู @ มุม IT

ประสานเสียง การรอ ง หรือบรรเลงเสียงเกนิ กวา 1 เสียง สามารถศึกษาเพ่ิมเติมเกยี่ วกบั ดนตรียุคฟน ฟศู ลิ ปวทิ ยาการ
ในเวลาเดียวกัน เสียงประสานจะสรางอารมณ ความรูสึก ไดจาก http://www.sadetmusic.com/music/soth4.htm
ตางๆ ใหเกดิ ขึน้ ในบทเพลง

38 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

ตวั อย่าง โนต้ เพลงของสงั คตี กวใี นยุคฟื้นฟูศลิ ปวทิ ยาการ อธบิ ายความรู

Madrigali a Cinque Voci ครูนําตัวอยางโนตเพลงของสังคีต
“Cruda Amarilli” กวใี นยคุ ฟน ฟศู ลิ ปวทิ ยาการ คอื เพลง
Madrigali a Cinque Voci “Cruda
Claudio Monteverdi Amarilli” ผลงานของคลอดิโอ มอน
เทแวรดี (Claudio Monteverdi) มา
ใหนักเรียนดู พรอมทั้งเปดเพลงให
นกั เรียนฟง ประกอบ

Cru- - -da A-ma- -ril- -li cru- - -

Cru- - -da A-ma- -ril- -li cru - - นกั เรยี นควรรู

Cru- - -da A-ma- -ril- -li cru- - Madrigali หรือแมดรกิ ลั เพลงรอง
ประสานเสียงประเภทเพือ่ ความ
Cru- -da A- ma- - -ril- -li cru- บันเทิง (ไมใชทางศาสนา) จะมี
เน้ือรองเก่ียวกับความรัก หรือยกยอง
Cru- -da A- ma- - -ril- -li cru- - บุคคลสําคญั และมจี ังหวะสนกุ สนาน
สามารถขับรองโดยไมตอ งใชเ ครื่อง
ดนตรีคลอประกอบ โดยปกตเิ พลง
แมดรกิ ลั จะใชเสยี งรองหนึ่งคนตอ
หน่ึงแนวทาํ นอง

- -da A-ma- -ril- -li, che col no-me an - co - ra d’a - นักเรยี นควรรู

- -da A-ma- -ril- -li, che col no-me an - co - ra d’a - Claudio Monteverdi หรือ คลอ
- -da A-ma- -ril- -li, che col no-me an - co - ra d’a - ดิโอ มอนเทแวรด ี สังคีตกวีชาวอติ าลี
-da A-ma- - -ril- -li, che col no-me an - co - ra d’a - เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1567
ทเ่ี มอื งเครโมนา (Cremona) ประเทศ
-da A-ma- - -ril- -li, che col no-me an - co - ra d’a - อิตาลี ส่งิ ท่สี รางชอื่ เสียงใหก ับเขา คอื
การประพนั ธด นตรปี ระกอบการแสดง
๓9 อุปรากร (Opera) ซ่ึงการประพันธ
ทํานองเพลงที่มีชื่อเสียง คือ อุปรากร
เรื่อง Orfeo ที่ประพันธขึ้นในป ค.ศ.
1607 นอกจากนี้ เขายังไดประพันธ
ดนตรีประกอบการแสดงอุปรากร
เร่ือง L’ incoronazione di Poppea
ซงึ่ ถอื วา เปน อปุ รากรทดี่ ที สี่ ดุ ในยคุ นนั้

คมู อื ครู 39

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)

ใหน ักเรียนแตล ะกลุมรว มกนั สรุป ๑.๓ ย ุคบาโรก (Baroque Period ค.ศ. ๑6๐๐-๑75๐)
ลักษณะสาํ คญั ของดนตรสี ากลในยคุ ดนตรยี คุ บาโรกในชว งตน้ นกั ประพนั ธ์
บาโรก (Baroque Period) จากนัน้ สวนใหญหันมาให้ความสนใจดนตรีโมโนดี
ครถู ามนกั เรยี นวา (Monody) ซ่ึงเป็นการขับร้องแบบท�านองแนว
เดียวที่มีการบรรเลงประกอบด้วยเครื่องดนตรี
• ลักษณะเดนของดนตรีในยุค ท�าเสียงคอร์ดและเสียงเบส แนวการบรรเลง
บาโรกคอื สง่ิ ใด ประกอบลักษณะน้ีโดยท่ัวไปในภาษาอิตาเลียน
(แนวตอบ ลักษณะสาํ คัญของ เรยี กวา “บาสโซ คอนทนี โู อ” (Basso continuo)
ดนตรยี คุ บาโรก คอื การทาํ ใหเ กดิ ซ่ึงเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่ส�าคัญของวิวัฒนาการ
“ความตัดกัน” (Contrasting) ดนตรยี ุคบาโรก
เชน เร็ว-ชา, ดงั -เบา เปน ตน ยุคบาโรกจะสะท้อนให้เห็นแบบฉบับ
ซ่ึงวธิ ีการเหลา นี้สามารถพบได เฉพาะตวั ของยคุ นท้ี เ่ี นน้ ความโออ า หรหู รา และ
ในงานประเภททรโิ อโซนาตา เนน้ ความสมา�่ เสมอของจงั หวะ ทา� นองเปน็ แบบ
(TrioSonata)คอนแชรโ ตกรอสโซ อัลโตนโี อ ววี ลั ดี (Antonio Vivaldi) สังคีตกวีผมู ชี ่อื เสยี ง ท�านองเดียวสั้นๆ เริ่มใช้เครื่องดนตรีมากขึ้น
(Concerto Grosso) ซิมโฟเนีย ในยคุ บาโรก เพื่อให้เกิดสีสันและอรรถรสในการรับฟัง สิ่งที่
(Simphonia) และคันตาตา ที่มาของภาพ : http://www.wikimedia.org
(Cantata))
เหน็ เดน ชดั คอื การใชเ้ สยี งกระหม่ึ ของออรแ์ กน (Organ) ประสมเครอ่ื งดนตรอี น่ื ๆ เลน คลอกบั เสยี ง
• ดนตรีในยคุ บาโรกเริม่ มีการ รอ้ งของกลุมนกั ร้องประสานเสยี ง (Choristers) ชวงหลังเร่ิมมเี ครอ่ื งเป่าลมไม้และเครอื่ งสายเพิม่
ใชบนั ไดเสียงบางแลว หรือไม เขา้ มา และในยคุ นยี้ งั มกี ารเรม่ิ ใชบ้ นั ไดเสยี งเมเจอร ์ (Major Scale) และบนั ไดเสยี งไมเนอร ์ (Minor
อยา งไร Scale) แทนโมด หรอื หมวดเสยี ง นยิ มการสอดประสานทา� นอง ววิ ฒั นาการบนั ทกึ โนต้ เหมอื นกบั แบบ
(แนวตอบ เร่ิมมีการใชบันไดเสียง ทใ่ี ชก้ นั อยใู นปจั จบุ นั นอกจากน ี้ ยงั เรม่ิ หนั มาใหค้ วามสนใจการกา� หนดอตั ราความชา้ -เรว็ และองศา
เมเจอร (Major) และไมเนอร ความดงั -เบาในบทเพลงอีกดว้ ย
(Minor) แทนบนั ไดเสยี งโบราณที่ สังคตี กวที ม่ี ชี ่อื เสยี งในยุคนี ้ เชน อัลโตนโี อ วีวลั ดี (Antonio Vivaldi) ซงึ่ เปน็ ผู้บกุ เบิกใน
เรยี กวา “โมด” (Mode) และการ การประพนั ธเ์ พลง โดยเฉพาะเพลงประเภทคอนแชรโ์ ตท่มี ลี ักษณะการบรรเลงเคร่อื งดนตรโี ต้ตอบ
กาํ หนดอตั ราจงั หวะความเรว็ กนั ระหวา งกลุมใหญก ับกลมุ เลก็ โยฮนั น์ เซบาสเตยี น บาค (Johann Sebastian Bach) เปน็
ชัดเจน เชน เรว็ (Allegro) สงั คตี กวผี ยู้ ง่ิ ใหญอ กี ผหู้ นง่ึ ในยคุ บาโรก ซง่ึ มผี ลงานสว นใหญใ ชส้ า� หรบั พธิ กี ารทางศาสนา เชน เพลง
เร็วปานกลาง (Moderato) หรอื คนั ตาตา (Cantata) เพลงคอนแชรโ์ ตกรอสโซ ๕ เพลงทีเ่ รยี กวา “แบรนเดนเบริ ก คอนแชรโ ต”
ชาปกติ (Andante) เปน ตน ) (Brandenburg Concertos) และนอกจากน้นั ยงั มจี อรจ์ ฟรเิ ดอริก แฮนเดล (George Frederick
Handel) ผู้มีผลงานเพลงร้องทางศาสนา คือ มะไซอะ (Messiah : เป็นภาษาฮิบรู แปลวา
นกั เรียนควรรู พระผมู้ าโปรด) และเพลงประเภทออราทอรโิ อ (Oratorio) ท่มี ชี ือ่ เสยี งมากที่สดุ ของโลก เปน็ ต้น

คอนแชรโต การเดี่ยวเครอื่ งดนตรี 4๐
โดยใชเทคนคิ ขนั้ สงู ประกอบกับวง
ดนตรี โดยมที ้งั แบบคอนแชรโ ตเดี่ยว นักเรยี นควรรู
และคอนแชรโ ตกลมุ เชน ไวโอลิน
คอนแชรโต เปยโนคอนแชรโ ต โยฮนั น เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach) ผลงานของเขาจะมคี วามโดดเดน
เปนตน ซึง่ ผูแสดงเด่ยี วเคร่ืองดนตรี ในทกุ แงม ุม ซ่ึงเกดิ จากความพถิ พี ิถนั ในการสรางบทเพลงทมี่ คี วามสมบรู ณไปดว ยทวงทาํ นอง
นัน้ ๆ จะตอ งเปนผูที่มีความสามารถ เสียงประสาน หรอื เทคนิคการสอดประสานกันของทวงทาํ นองท่ีผา นการฝก ฝนมาเปน อยางดี
ในเครื่องดนตรีชนิดน้นั เปนพิเศษ

40 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

ตัวอยา่ ง โน้ตเพลงของสงั คีตกวใี นยคุ บาโรก อธิบายความรู

Largo from Winter ครนู าํ ตวั อยางโนต เพลงของสังคตี
กวใี นยคุ บาโรก คอื เพลง Largo
Antonio Vivaldi (ค.ศ. ๑๖๗๘-๑๗๔๑) From Winter ผลงานของอัลโตนีโอ
arranged by Klas Krantz ววี ลั ดี (Antonio Vivaldi) มาให
นกั เรียนดู พรอมท้งั เปด เพลงให
นกั เรียนฟง ประกอบ

เกรด็ แนะครู

ครูอธิบายเสริมวา ส่ิงใดทท่ี ําให
ดนตรีในยุคบาโรกมคี วามแตกตา ง
ไปจากดนตรีในยุคอนื่ ๆ มอี ยดู วยกัน
หลายประการ คือ
1. นยิ มใชส ่ือทีต่ างกนั ตอบโตก ัน
เชน เสียงนักรองกับเครอ่ื งดนตรี
เปน ตน
2. นยิ มใชเบสเปน ทัง้ ทํานองและ
แนวประสาน ท่เี รยี กวา
“Basso Continuo”
3. เรม่ิ มกี ารประสานเสยี งแบบ
โฮโมโฟนี (Homophony) ซึง่
เปนการประสานเสียงแบบองิ
คอรด
4. นยิ มใชบนั ไดเสยี งเมเจอร
(Major) และไมเนอร (Minor)
แทนโมด (Mode)
5. เคานเ ตอรพ อยท (Counter-
point) ยังคงเปนคณุ ลกั ษณะ
เดนของสมัยน้ี โดยโฮโมโฟนี
(Homophony) จะมีบทบาท
หนนุ สงใหเ คานเ ตอรพ อยท
สมบูรณยิ่งขึน้
6. มีการระบุความเรว็ -ชา และ
หนัก-เบา ลงไปในผลงาน
4๑ 7. เทคนคิ ของการ Improvisation

ไดร ับความนิยมเปน อยา งมาก
8. มคี ีตลกั ษณ (Form) ใหมๆ
เกดิ ข้นึ หลายแบบ
9. มกี ารจําแนกหมวดหมูของ
นักเรยี นควรรู คีตนพิ นธ และบญั ญัตศิ พั ทไ ว

Antonio Vivaldi หรืออัลโตนีโอ วีวลั ดี เปนสังคีตกวีชาวอติ าลี เกิดเมอ่ื วนั ที่ 4 มีนาคม เรยี กชดั เจน
ค.ศ. 1678 ที่เมืองเวนิซ ประเทศอิตาลี เขาไดสรางสรรคผลงานเพลงไวอยางมากมาย 10. อุปรากร (Opera) ไดกําเนดิ
ไมวาจะเปนเพลงประเภทคอนแชรโ ต โอเปรา ซมิ โฟนี โซนาตา ฯลฯ และพัฒนาขน้ึ ในสมัยนี้

คูมอื ครู 41

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%)

ใหนกั เรยี นรว มกันวิเคราะหว า ๑.4 ย คุ คลาสสกิ (The Classic Period ค.ศ. ๑755-๑8๓๐)
• ววิ ฒั นาการดนตรใี นยคุ คลาสสกิ ค�าวา “คลาสสิก” (Classic) ในทาง
ดนตรนี นั้ มหี ลายความหมาย เชน ประเภทดนตรี
มกี ารเปลยี่ นแปลงไปจาก ท่ีเป็นศิลปะช้ันสูง แนวคิดของการสร้างสรรค์
ยุคบาโรกอยา งไร ดนตรีที่ค�านึงถึงระเบียบแบบแผนธรรมเนียม
(แนวตอบ มลี ักษณะหลายอยา งท่ี ของการประพนั ธ์เป็นหลกั เปน็ ต้น
เปลย่ี นแปลงไปอยา งชัดเจน เชน ในทางประวัติดนตรีจะหมายถึงดนตรี
ขนาดของวงออรเคสตราในยุค ทม่ี วี วิ ฒั นาการอยใู นชว งประมาณ พ.ศ. ๒๒๙๘-
คลาสสกิ ท่ีใหญแ ละเปน ระเบยี บ ๒๓๖๘ และนักดนตรีมักนิยมเรียกวิวัฒนาการ
แบบแผนกวา การใชเสยี งประสาน ดนตรตี ะวนั ตกในชว งนว้ี า “ยคุ เวยี นนสิ คลาสสกิ ”
ทเี่ ปน คอรด ไมซ บั ซอ นเทา ยคุ บาโรก เพราะวาในชวงเวลาดังกลาว กรุงเวียนนาของ
การใชค วามดงั -เบา ในบทเพลง ประเทศออสเตรียเป็นเมืองศูนย์กลางหลักของ
มาสรางความไพเราะ เปนตน ) วิวัฒนาการดนตรีในยุคนี้นนั่ เอง
โยเซฟ ไฮเดนิ (Joseph Haydn) สงั คตี กวีผูม ีชือ่ เสียงใน ในยุคน้ีจะแยกดนตรีทางศาสนาและ
นักเรยี นควรรู ยคุ คลาสสกิ ดนตรีเพอ่ื ความบันเทงิ ออกจากกนั จังหวะและ
ทีม่ าของภาพ : http://www.vpro.nl
เพลงซิมโฟนี บทเพลงทบี่ รรเลง
โดยวงดรุ ิยางคข นาดใหญ ซึ่งมี เสียงของเคร่ืองดนตรีในเพลงมีการเปลี่ยนแปลงอยางเห็นได้ชัด ท�านองเพลงมีความช้าและเร็ว
เครือ่ งดนตรคี รบท้ัง 4 ประเภท สลับกนั ไมนยิ มการสอดประสานท�านองเแบบลลี าประสานท�านอง (Counterpoint) แตหันมาเนน้
คอื เคร่อื งสาย เครอื่ งเปาลมไม ทา� นองหลกั ทา� นองเดยี วและใสแ นวเสยี งประสาน เพอ่ื เนน้ ใหท้ า� นองหลกั มคี วามไพเราะมากยง่ิ ขน้ึ
เคร่ืองเปาลมทองเหลอื ง และ มีการก�าหนดรูปแบบของเพลงที่เป็นแบบแผน เชน เพลงซิมโฟนี เพลงคอนแชร์โต เป็นต้น
เครอ่ื งตีกระทบ เพลงซิมโฟนี เครื่องดนตรีได้รับการพัฒนาเป็นอยางมากโดยเฉพาะเปียโนมีการประสมวงท่ีแนนอน เชน
ถอื กาํ เนดิ มาในยุคคลาสสิก วงเชมเบอรม์ ิวสกิ (Chamber Music) จะประกอบไปดว้ ยเคร่ืองดนตรี ๒-๙ ช้นิ วงออร์เคสตรา
(Orchestra) จะประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี ๔ กลุมใหญ ได้แก กลุมเคร่ืองสาย กลุมเคร่ือง
นักเรียนควรรู เปา่ ลมไม้ กลมุ เครือ่ งเปา่ ลมทองเหลอื ง และกลุมเครอ่ื งตี
การแสดงอปุ รากร (Opera) ยังเปน็ ท่นี ยิ มมากในยุคน ี้ เพราะเปน็ การแสดงท่ีรวมศิลปะ
เพลงคอนแชรโ ต การเดย่ี ว หลายอยา งเข้าไว้ดว้ ยกัน ท้ังศิลปะด้านดนตร ี การแสดง การจดั ฉาก และการเขียนบท
เคร่ืองดนตรีโดยใชเ ทคนคิ ขัน้ สูง สา� หรบั สงั คตี กวที ม่ี ชี อื่ เสยี งในยคุ น ้ี ไดแ้ ก  โยเซฟ ไฮเดนิ (Joseph Haydn) บดิ าแหง เพลง
ประกอบกบั วงดนตรี โดยมที ้งั แบบ ซมิ โฟน ี โวลฟ์ กงั อะมาเดอสุ โมซารท์ (Wolfgang Amadeus Mozart) บดิ าแหง เพลงสตรงิ ควอรเ์ ทต็
คอนแชรโ ตเดยี่ วและคอนแชรโ ตกลมุ นกั ประพนั ธเ์ พลงมากกวา ๖๐๐ บท และลดุ วิก ฟาน เบโทเฟน (Ludwig van Beethoven) ผทู้ ีไ่ ด้
เชน ไวโอลนิ คอนแชรโ ต เปย โน รบั การยกยองวาเป็น “สังคตี กวผี ูยิ่งใหญต่ ลอดกาล”
คอนแชรโ ต เปน ตน ซ่ึงผูแ สดง
เดยี่ วเคร่ืองดนตรีน้ันๆ จะตองเปน 42
ผทู ่ีมีความสามารถในเครื่องดนตรี
ชนดิ นนั้ เปนพิเศษ

นกั เรยี นควรรู @ มมุ IT

การแสดงอปุ รากร (Opera) ละครรองชน้ั สูง 1. สามารถศกึ ษาเพ่ิมเตมิ เก่ยี วกบั ลักษณะดนตรีในยุคคลาสสกิ
ของชาวตะวนั ตก ถือเปนสดุ ยอดของงานศิลปะ ไดจ าก http://www.student.nu.ac.th/pick_ed/LESSON6.htm
เพราะเปนการรวมศลิ ปะแขนงตา งๆ ไวด ว ยกนั
2. สามารถชมคลปิ วดิ โี อการแสดงของวงออรเ คสตรา ไดจ าก http://
42 คมู ือครู www.youtube.com โดยคน หาจากคาํ วา Orchestra

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

ตวั อยา่ ง โนต้ เพลงของสังคีตกวีในยุคคลาสสกิ อธิบายความรู

Double Bass Concerto in Eb ครูนําตัวอยางโนตเพลงของสังคีต
for Trumpet & Orchestra กวใี นยคุ คลาสสกิ คอื เพลง Concerto
in Eb for Trumpet & Orchestra
I Joseph Haydn (ค.ศ. ๑๗๓๒-๑๘๐๙) ผลงานของโยเซฟ ไฮเดิน (Joseph
Haydn) มาใหนักเรียนดู พรอมทั้ง
Arr. & Cadenza Michel Rondeau เปด เพลงใหนักเรียนฟง ประกอบ

เกร็ดแนะครู

ครเู นน ยา้ํ ใหน กั เรยี นเขา ใจวา ดนตรี
ในยุคคลาสสิกจัดเปนดนตรีบริสุทธิ์
(Absolute Music) เพราะเปนดนตรี
ที่ไมมีจินตนาการอยูเบื้องหลัง ไมมี
บทกวีประกอบ เปนดนตรีทมี่ แี ตเ สียง
ดนตรีบรสิ ุทธิ์ ซง่ึ จะตรงขา มกบั ดนตรี
ในยุคโรแมนติกที่เปนดนตรีพรรณนา
(Program Music) ซ่ึงเปนดนตรีท่ีมี
เรื่องราว

นกั เรยี นควรรู

Joseph Haydn หรอื โยเซฟ ไฮเดนิ
เปนสังคีตกวีชาวออสเตรีย เกิดเมื่อ
วันท่ี 31 มีนาคม ค.ศ. 1732 เขาเปน
ผู  ที่ บุ ก เ บิ ก ด น ต รี ใ น ยุ ค ค ล า ส สิ ก
ทั้งยังเปนผูพัฒนารูปแบบดนตรี
ประเภทซิมโฟนี (Symphony) และ
สตริงควอเต็ต (String Quartet) ให
มีแบบแผนมาจนถึงปจจุบันอีกดวย
จนทาํ ใหเ ขาไดร บั สมญานามวา “บดิ า
แหง ซมิ โฟนแี ละสตรงิ ควอเตต็ (Father
of the Symphony and String
4๓ Quartet)”

นกั เรียนควรรู

Double Bass หรือดบั เบิลเบส เปนเครอ่ื งดนตรีประเภทเคร่อื งสี จัดเปน หนึง่ ในเครื่องดนตรตี ระกลู
ไวโอลิน โดยดับเบิลเบสจะมีความสูงมาตรฐานประมาณ 74 นิ้ว เปนเครื่องดนตรีที่นิยมนํามาบรรเลง
ในวงออรเคสตรา (Orchestra) และวงเครอื่ งสาย (String Band)

คูมือครู 43

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนกั เรียน 20%)

ใหนกั เรยี นแตล ะกลมุ รวมกันสรปุ ๑.5 ยคุ โรแมนติก (Romantic Period ค.ศ. ๑8๓๐-๑9๐๐)
ลักษณะสาํ คัญของดนตรสี ากลใน วิวัฒนาการของดนตรียุคโรแมนติก
ยคุ โรแมนตกิ (Romantic Period) เปน็ การพฒั นาสืบเนื่องตอ จากยคุ คลาสสกิ โดย
จากนนั้ ครถู ามนักเรยี นวา ดนตรโี รแมนตกิ จะเนน้ การสะทอ้ นถงึ การยดึ เอา
• ดนตรใี นยุคโรแมนติกจะเนน ความคิดอสิ ระของผู้สรา้ งสรรค์เป็นสา� คญั
นกั ดนตร ี หรอื นกั ประพนั ธเ์ พลงทา� งาน
เรอ่ื งใดเปนสําคญั เพอ่ื เจา้ นายในราชสา� นกั นอ้ ยลง ผลงานเพลงจะ
(แนวตอบ ผลงานเพลงจะเนน ความ เน้นความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ประพันธ์เอง
รูสึกและอารมณข องผปู ระพันธ เน่ืองจากยุคโรแมนติกเป็นชวงที่มีการรวมชน
เพลงเปนหลัก ในยคุ น้เี ริ่มมกี าร เชอื้ ชาติเดยี วกัน เพื่อสร้างเป็นประเทศ จงึ เกดิ
จดั แสดงทเ่ี รยี กเกบ็ เงนิ คาเขาชม กระแสลัทธิชาตินิยมข้ึน นักประพันธ์ดนตรีใน
ท่ีเรยี กวา “การแสดงคอนเสริ ต” ยุคโรแมนติกหลายคนจึงได้ประพันธ์ดนตรีขึ้น
ลกั ษณะดนตรีในยคุ น้จี งึ มที ัง้ เพื่อตอบสนองกระแสลัทธิชาตินิยมให้คนใน
ดนตรเี พอ่ื ศิลปะ ดนตรเี พอ่ื ปเตอร อีลทิ ซ ไชคอฟสกี (Pyotr Ilyich Tchaikovsky) เชื้อชาติเดียวกันมีความภาคภูมิใจในความเป็น
บรรยายเรอ่ื งราว และดนตรีที่ สงั คตี กวผี มู ชี ่อื เสยี งในยุคโรแมนตกิ ชนชาตขิ องตน รสู้ กึ ถงึ ความสงา งามของดนิ แดน
แสดงความเปนชาตนิ ิยม) ท่ีมาของภาพ : http://www.en.wikipedia.org

นกั เรียนควรรู และมาตุภูมิที่ตนด�ารงชีวิตอยู ซึ่งบทประพันธ์
ดนตรียุคโรแมนติกที่เป็นชาตินิยมได้รับยกยอง
ยุคโรแมนตกิ เนน อารมณข อง ใหเ้ ปน็ วรรณกรรมดนตรที ี่มคี ณุ คาจ�านวนมาก
ดนตรีมากกวาความสมดุลของ ในยุคน้ีเริ่มมีการจัดการแสดงที่เรียก
บทเพลง และเนนความเปนตวั ตน เกบ็ เงนิ คา เขา้ ชมทเ่ี รยี กวา “คอนเสริ ต ” ลกั ษณะ
ของสังคีตกวีมากกวา กฎเกณฑ ดนตรใี นยคุ นมี้ ที งั้ ดนตรเี พอื่ ศลิ ปะ ดนตรบี รรยาย
ทางดนตรีท่ีมีมาแตเ ดิม เรอ่ื งราว ดนตรที แ่ี สดงความเปน็ ชาตนิ ยิ ม มกี าร
นา� คอร์ดทีม่ ีเสียงไมกลมกลนื มาใชม้ ากข้นึ เนน้
นกั เรยี นควรรู ความดงั -เบา และเทคนคิ การเลน ทย่ี ากขนึ้ สา� หรบั
สงั คตี กวที มี่ ชี อื่ เสยี งเปน็ ทรี่ จู้ กั กนั ด ี ไดแ้ ก  ปเี ตอร์
ลัทธชิ าตนิ ยิ ม เปนลัทธิการเมือง อีลิทช ์ ไชคอฟสก ี (Pyotr Ilyich Tchaikovsky)
ที่เนน ความจงรักภกั ดีตอรัฐ (ชาติ) โยฮนั เนส บรามส ์ (Johannes Brahms) ฟรานซ์
โดยถอื วา ชาตเิ ปน ที่มาของทกุ ส่ิง ชเู บริ ต์ (Franz Schubert) ฟรเี ดอรคี ฟรองซวั ส์ โยฮันเนส บรามส (Johannes Brahms) สังคีตกวีผูมี
ทุกอยา ง ลัทธชิ าตนิ ยิ มจงึ ไมไ ดเปน โชแปง (Frederic Francois Chopin) โรเบริ ต์ ชมู นั น ์ ช่ือเสยี งในยคุ โรแมนติก
เพียงรูปแบบทางการเมืองแตยังเปน (Robert Schumann) เป็นตน้ ทีม่ าของภาพ : http://www.flagstaffsyphony.org
อุดมคตใิ นการดาํ เนนิ ชีวติ อีกดวย

44

44 คูม อื ครู นักเรยี นควรรู

โยฮนั เนส บรามส (Johannes Brahms) สงั คตี กวชี าวเยอรมนั เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 7 พฤษภาคม ค.ศ.1833
เขาไดป ระพนั ธเ พลงไวอ ยา งมากมาย ไมว า จะเปน บทเพลงสาํ หรบั วงดรุ ยิ างค คอนแชรโ ต เชมเบอร
มิวสิก ดนตรขี บั รอง ดนตรสี าํ หรับบรรเลงเปย โน ฯลฯ เอกลักษณท ีโ่ ดดเดนของการประพนั ธเ พลง
ของเขา คือ สีสันทางดนตรีท่ีหลากหลาย ทวงทํานองเพลงที่สรางสรรคขึ้นใหม และจังหวะที่มี
การสอดประสานกนั อยางลงตวั

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล

Engage Explore Explain Expand Evaluate
Tchaikovsky
ตัวอยา่ ง โนต้ เพลงของสงั คตี กวีในยุคโรแมนตกิ อธบิ ายความรู
arr.DN
Flute Swan Lake Op. ๒๐ ครนู ําตวั อยา งโนตเพลงของ
สังคตี กวใี นยุคโรแมนตกิ คอื
Scène Finale เพลง Swan Lake Op.20 ผลงาน
ของปเ ตอร อลี ิทช ไชคอฟสกี
(Pyotr Ilyich Tchaiï kovsky) มาให
นกั เรยี นดู พรอ มทัง้ เปด เพลงให
นักเรียนฟง ประกอบ

นักเรียนควรรู

Swan Lakeผลงานการประพนั ธข อง
ปเตอร อีลทิ ช ไชคอฟสกี (Pyotr Ilyich
Tchaikï ovsky) มเี คา โครงมาจากนทิ าน
ของประเทศรัสเซียและจากตํานาน
พน้ื เมอื งของประเทศเยอรมนั เนอื้ เรอ่ื ง
จะกลาวถึงเจาหญิงพระองคหนึ่ง
นามวา “โอเดตต” ที่ถูกสาปใหกลาย
รางเปนหงสในเวลากลางวัน และจะ
กลายเปนมนุษยดังเดิมในเวลากลาง
คืน ไดจัดแสดงข้ึนเปนคร้ังแรกเม่ือ
วันที่ 20 กุมภาพันธ ค.ศ. 1877 ที่
โรงละครบอลชอย (Bolshoi Theatre)
ณ กรุงมอสโคว ประเทศรัสเซีย

นกั เรยี นควรรู

Flute หรอื ฟลตู จดั เปน เครอ่ื งดนตรี
สากลประเภทเครอื่ งเปา ลมไม ใหเ สยี ง
ท่มี คี วามไพเราะ นุมนวล ออนหวาน

นักเรียนควรรู

45 Tchaïikovsky หรือปเตอร อีลิทช
ไชคอฟสกี (Pyotr Ilyich Tchaiï kovsky)
สังคีตกวีชาวรัสเซีย เกิดเม่ือวันที่ 7
พฤษภาคม ค.ศ. 1840 เขาไดป ระพนั ธ

เพลงไวอยางมากมาย ไมวาจะเปนเพลงประกอบการแสดง
อุปรากรและบัลเลต ซิมโฟนี คอนแชรโต เชมเบอรมิวสิก ดนตรี
สําหรับบรรเลงเปยโน ฯลฯ และดวยผลงานการประพันธเพลง
อยางหลากหลาย จึงทําใหบทเพลงของเขาไดรับความนิยมมาก
จนถงึ ปจ จุบัน

คมู ือครู 45

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล

Explain

Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นักเรยี น 20%)

ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันสรุป ๑.6 ยุคศตวรรษท่ี 2๐ (20th Century Period ค.ศ. ๑9๐๐-ปจ จบุ นั )
ลักษณะสําคัญของดนตรีสากลในยุค เม่ือเข้าสูยุคศตวรรษท่ี ๒๐ ดนตรี
ศตวรรษที่ 20 (20 th Century Period) ตะวันตกมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เป็นยุค
จากนนั้ ครถู ามนักเรียนวา สมัยที่มีพัฒนาการดนตรีตอจากยุคโรแมนติก
• ลักษณะดนตรใี นยุคศตวรรษท่ี 20 นักประพันธ์เพลงมีแนวคิดนิยมในการสรรหา
ส่ิงใหมๆ เพื่อสร้างให้ดนตรีมีน�้าเสียงไมซ้�า
มกี ารเปลี่ยนแปลงไปจากยุค แบบเดิมๆ ซึ่งเป็นการเน้นแนวคิดที่ยึดความ
โรแมนตกิ อยางไร คิดของตนเองเป็นหลักในการสร้างสรรค์มาก
(แนวตอบ ดนตรใี นยุคศตวรรษที่ 20 ย่งิ ขนึ้ ดังน้นั บรรดานกั ประพนั ธเ์ พลงทงั้ หลาย
จะมีความซับซอนมากย่ิงข้ึน เปน จึงมีแนวคิดในการสร้างงานท่ีแตกตางกันออก
ยคุ สมยั ทมี่ พี ฒั นาการดนตรตี อ จาก ไป และมคี วามหลากหลายในดา้ นรปู แบบดนตรี
ยุคโรแมนติก ผูประพันธดนตรีมี ในยุคนี้เป็นยุคของการทดลองเพื่อ
แนวคดิ นยิ มในการสรรหาสง่ิ ใหมๆ ค้นหาความแปลกใหม เชน รชิ ารด์ วากเนอร์
เพ่ือสรางใหดนตรีมีนํ้าเสียงไมซ้ํา ริชารด วากเนอร (Richard Wagner) สังคีตกวี ผูมี (Richard Wagner) ใช้การเปล่ียนบันไดเสียง
แบบเดิมๆ ซึ่งเปนการเนนแนวคิด ชื่อเสียงในยุคศตวรรษท่ี ๒๐ ในเพลงบอยๆ อาร์โนลด์ เชินแบร์ก (Arnold
ที่ยึดความคิดของตนเองเปนหลัก ทมี่ าของภาพ : http://www.en.wikipedia.org
ในการสรา งสรรคผ ลงานมากยงิ่ ขนึ้ )
Schoenberg) แตง เพลงโดยใชร้ ะบบโนต้ ๑๒ ตวั
เกรด็ แนะครู (Twelve Tone Method) อิกอร์ สตราวินสกี
(Igor Stravinsky) ซึ่งเป็นนักประพันธ์เพลงท่ี
ครูอธิบายเสรมิ วา ยุคศตวรรษ มีชื่อเสียงที่สุดในยุคน้ีสามารถประพันธ์เพลง
ท่ี 20 อยูในชว งปลายยุคโรแมนตกิ ไดท้ กุ รูปแบบ เบลา บารต์ อ็ ก (Bela Bartok)
ซงึ่ เริม่ เบ่ือความซ้าํ ซากจําเจของ นักประพันธ์เพลงที่นิยมการประพันธ์เพลง
กฎเกณฑทใ่ี ชมาโดยตลอด ยุคนี้ แนวใหม โดยมกี ารนา� เพลงพื้นเมืองของฮงั การ ี
สังคมมกี ารเปลี่ยนแปลงอยา งรวดเรว็ และรูมาเนียมาเป็นวัตถุดิบหลัก จนได้รับ
ไฟฟาและอเิ ล็กทรอนกิ สไ ดเขา มา ค�ายกยองวาเป็นผู้รอบรู้ในดนตรีพ้ืนเมือง
มีบทบาทในชวี ติ และมีอทิ ธิพลตอ เป็นต้น
ดนตรเี ปน อยางมาก นอกจากน ี้ ในยคุ ศตวรรษท ี่ ๒๐ ยงั ได้ อกิ อร สตราวนิ สกี (Igor Stravinsky) สงั คตี กวผี มู ชี อ่ื เสยี ง
เกดิ เพลงและดนตรปี ระเภทสมยั นยิ ม (Popular ในยุคศตวรรษท่ี ๒๐
นักเรยี นควรรู Songs) ขึน้ มาอกี หลายกระบวนแบบ ท่มี าของภาพ : http://www.iheart.com

สมัยนิยม (Popular Songs) เปน 46
เพลงท่ีสรางสรรคและผลิตข้ึนมาเพ่ือ
การขายโดยเฉพาะ โดยมีกลุมลูกคา
เปาหมาย คือ เด็ก วัยรุน และคนวัย
หนุม-สาว เน้ือหาสาระของบทรองจะ
เปนเรื่องราวที่มีความเก่ียวของกับวิถี
ชีวิตของคนในวยั น้ี ทั้งในเร่อื งชวี ติ รัก
ชีวิตในการเรียน และการดํารงชีวิต
เปนหลกั

46 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาา ใใจจ ตรวจสอบผล

Explain Evaluate
Richard Wagner
Engage Explore Expand

ตวั อยา่ ง โนต้ เพลงของสงั คตี กวใี นยุคศตวรรษท่ี ๒๐ อธบิ ายความรู

Horn in F Parsifal ครูนําตัวอยางโนตเพลงของสังคีต
faith and the Grail themes from กวีในยุคศตวรรษที่ 20 คือ เพลง
Parsifal faith and the Grail themes
I from ผลงานของริชารด วากเนอร
(Richard Wagner) มาใหนักเรียนดู
พรอมทั้งเปดเพลงใหนักเรียนฟง
ประกอบ

ขยายความเขา ใจ

ใหน ักเรียนรวมกันสรปุ สาระสาํ คญั
ของวิวัฒนาการของดนตรีสากลใน
แตละยคุ สมัยลงกระดาษรายงาน
สงครผู สู อน

ตรวจสอบผล

ครพู จิ ารณาจากการเขียนสรปุ
สาระสาํ คญั เกย่ี วกบั วิวฒั นาการ
ของดนตรีสากลในแตละยคุ สมัย
ของนกั เรียน

เกร็ดแนะครู

ครูสรุปใหนกั เรยี นฟง วา ดนตรี
มคี วามหมายอยา งหลากหลาย
ดนตรีเปนทงั้ ศิลปะและวิทยาศาสตร
เปน กิจกรรมเพื่อการผอ นคลายและ
เปน มรดกทางวัฒนธรรม ดนตรมี ี
สวนรว มอยใู นสงั คมทุกระดบั ตั้งแต
ระดับพื้นบานไปจนถงึ ระดบั สังคม
โลก และดนตรที ่ีไดร บั ความนิยม
อยา งกวา งขวางกค็ อื “ดนตรสี ากล
หรอื ดนตรตี ะวนั ตก” ดนตรีสากล
47 มวี ิวฒั นาการมาอยา งยาวนาน

ซึ่งอาจกลา วไดวาดนตรสี ากล
มขี ึ้นมาพรอมๆ กับวิวฒั นาการของ
สังคมมนษุ ย ซึง่ เราสามารถสบื คนได
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร โดยยคุ สมยั ของดนตรสี ากลจะแบง ออกเปน 6 ยคุ ดว ยกัน คือ ยุคกลาง
ยุคฟน ฟศู ิลปวิทยาการ ยคุ บาโรก ยุคคลาสสกิ ยคุ โรแมนตกิ และยุคศตวรรษท่ี 20 ผลงานในแตละยคุ
จะสะทอนแบบแผนความคดิ และความเช่อื ของคนในยคุ น้นั ๆ ไดเปนอยางดี ซ่งึ ในแตล ะยุคสมัยของ
ดนตรสี ากลก็จะมศี ลิ ปน หรอื สงั คตี กวที ่ีมีช่ือเสียงเปนท่ีรจู ักไปทว่ั โลกและเกดิ ขน้ึ ใหมเ สมอ

คมู ือครู 47


Click to View FlipBook Version