แจกฟรีเฉพาะครูผูส้ อน
คมู่ อื ครู อจท.
ใชป้ ระกอบการสอนค่กู บั หนงั สอื เรียน
เพมิ่ วิธกี ารสอนเพ่อื ยกผลสัมฤทธิ์
ผ่านกระบวนการเรียนรู้ 5Es
เพ่ิม กิจกรรมการเรยี นรู้ 5 ข้นั
Big Five Learning
เพ่ิม ข้อสอบเนน้ การคดิ เพอื่ พฒั นา
การเรียนรอู้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ
ใหม่ กิจกรรมบูรณาการทักษะชวี ิต
และการทำงานตามแนวคดิ
เศรษฐกจิ พอเพยี ง
ภาพปกนม้ี ขี นาดเทา่ กบั หนงั สอื เรยี นฉบบั จรงิ ของนกั เรยี น
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ñ˹Nj ¡ÒÃàÃÕ¹÷ŒÙ Õè ÊÒúÑÞ ñ-ñò
´¹µÃ¡Õ ºÑ 椄 ¤ÁáÅÐÇ²Ñ ¹¸ÃÃÁ ò
õ
● ÍÔ·¸Ô¾Å¢Í§´¹µÃ¡Õ ºÑ º¤Ø ¤ÅáÅÐÊѧ¤Á ñð
● »˜¨¨Ñ·Õè·Òí ãËŒ§Ò¹´¹µÃäÕ ´ÃŒ ºÑ ¡ÒÃÂÍÁÃºÑ ¨Ò¡Ê§Ñ ¤Á
● ͧ¤»ÃСͺ·ÕèãªãŒ ¹¡ÒÃÊÃÒŒ §ÊÃä§ Ò¹´¹µÃÕ
ò˹‹Ç¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙ·Œ èÕ ·¡Ñ Éд¹µÃÕä·Â ñó-óô
● ÇÔÇ²Ñ ¹Ò¡Òâͧ´¹µÃÕä·Âã¹áµÅ‹ ÐÂؤÊÁÂÑ ñô
● ·Ñ¡Éо¹×é °Ò¹·Ò§´¹µÃÕä·Â ñù
● ¡Òýƒ¡»¯ÔºµÑ Ôà¤Ãè×ͧ´¹µÃÕä·Â : ¢ÁÔ òñ
● ËÅÑ¡¡ÒÃáÅÐÇÔ¸Õ¡ÒèѴáÊ´§´¹µÃÕä·Âã¹ÇÒÃеҋ §æ
òø
ó˹Nj ¡ÒÃàÃչ̷٠èÕ ·¡Ñ Éд¹µÃÊÕ Ò¡Å óõ-÷ø
● ÇÔÇѲ¹Ò¡Òâͧ´¹µÃÕÊÒ¡Åã¹áµ‹ÅÐÂ¤Ø ÊÁÑ óö
● ·¡Ñ Éо¹é× °Ò¹·Ò§´¹µÃÊÕ Ò¡Å ôø
● ¡ÒúÃÃàŧà¤ÃèÍ× §´¹µÃÊÕ Ò¡Å : äÇâÍÅÔ¹ öñ
● á¹Ç·Ò§¡ÒûÃо¹Ñ ¸à¾Å§ÍÂÒ‹ §§‹Ò ö÷
● ËÅÑ¡¡ÒÃáÅÐÇ¸Ô Õ¡ÒèѴáÊ´§´¹µÃÊÕ Ò¡Åã¹ÇÒÃеҋ §æ ÷ô
ô˹‹Ç¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃŒ·Ù èÕ ¹Ò¯ÈÔŻአÅСÒÃÅФáѺªÇÕ ÔµÁ¹ØÉ ÷ù-ùð
● ¤ÇÒÁÊÁÑ ¾¹Ñ ¸¢ ͧ¹Ò¯ÈÔÅ»ŠáÅСÒÃÅФáѺªÕÇµÔ Á¹ÉØ Â øð
● ¤³Ø ¤Ò‹ áÅлÃÐ⪹¢Í§¹Ò¯ÈÅÔ »ŠáÅСÒÃÅФà øñ
● º·ºÒ·¢Í§¹Ò¯ÈÔÅ»ŠáÅСÒÃÅФÃ㹪ÇÕ µÔ »ÃШÒí Ç¹Ñ øõ
● á¹Ç·Ò§¡ÒÃÊ׺ÊÒ¹áÅÐ͹ÃØ ¡Ñ ɹ Ò¯ÈÔŻአÅСÒÃÅФà ø÷
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
õ ·¡Ñ ÉÐ㹡Òýƒ¡ËÑ´¹Ò¯ÈÅÔ »Šä·Â ùñ-ññö
Ë˹Nj ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙŒ·èÕ ùò
● ¹Ò¯ÂÈ¾Ñ ·· ãèÕ ªãŒ ¹¡ÒÃáÊ´§¹Ò¯ÈÔÅ»äŠ ·Â ñðù
● ËÅÑ¡¡ÒûÃдÉÔ °· Ò‹ ÃíÒáÅз‹Ò·Ò§»ÃСͺ¡ÒÃáÊ´§ ññò
● ÀÒÉÒ·‹ÒÃíÒ·ÕèãªãŒ ¹¡ÒÃÃÒí ǧÁҵðҹ ññô
● ËÅ¡Ñ ¡ÒûÃдÔÉ°Í »Ø ¡Ã³» ÃСͺ¡ÒÃáÊ´§
ññ÷-ñóø
ö˹‹Ç¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙŒ·èÕ ·¡Ñ Éзҧ¹Ò®ÈÔÅ»Šä·Â
ññø
● ·¡Ñ Éо×é¹°Ò¹·Ò§¹Ò¯ÈÔÅ»äŠ ·Â ñóö
● ËÅÑ¡¡ÒÃÇÔ¨ÒÃ³à »ÃÕºà·Õº§Ò¹¹Ò¯ÈÔÅ»äŠ ·Â
÷ ·Ñ¡Éзҧ¡ÒÃÅФà ñóù-ñõö
˹Nj ¡ÒÃàÃÕ¹÷ٌ Õè ñôð
● ¡ÒÃáÊ´§ÅФà ñôñ
● ·Ñ¡ÉÐ㹡ÒÃáÊ´§ÅФÃÃíÒáÅÐÅФ÷äÕè Á‹ãª·Œ ‹ÒÃíÒ ñôù
● ·¡Ñ ÉÐ㹡ÒþѲ¹Òû٠Ẻ¡ÒÃáÊ´§ÅФà ñõò
● ¡ÒÃàÅÍ× ¡º·ÅФÃ
ñõ÷-ñ÷ð
ø à·¤¹¤Ô ¾×¹é °Ò¹ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃáÊ´§ÅФÃ
ñõø
˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹÷ŒÙ Õè
● ¡Òè´Ñ ¡ÒÃáÊ´§ÅФà ñöñ
● ¡ÒÃÍ͡ẺáÅÐÊÌҧÊÃäà¤ÃèÍ× §áµ‹§¡Ò ñöö
áÅÐÍØ»¡Ã³»ÃСͺ¡ÒÃáÊ´§
● ¡ÒÃᵋ§Ë¹ÒŒ à¾×èÍ¡ÒÃáÊ´§ÅФà ñ÷ñ-ñ÷ò
ºÃóҹءÃÁ
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage
Explore Explain Expand Evaluate
เปา หมายการเรยี นรู
1. เปรยี บเทยี บองคป ระกอบทีใ่ ชใ น
งานดนตรแี ละศลิ ปะอน่ื
2. อธบิ ายเก่ยี วกบั อทิ ธิพลของดนตรี
ท่มี ตี อ บุคคลและสังคม
3. อธิบายลกั ษณะเดน ทท่ี าํ ใหงาน
ดนตรนี น้ั ไดร ับการยอมรบั
ñหน่วยท่ี กระตนุ ความสนใจ
ดนตรกี ับสงั คมและวัฒนธรรม ใหน ักเรยี นอา นกลอนบทละคร
เรือ่ งเวนสิ วานิช พระราชนพิ นธใน
ตัวช้วี ดั ดนตรีเปนงานสรางสรรคของมนุษย พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกลาเจา
อยูห วั (รชั กาลที่ 6) ตอนทีต่ วั ละคร
■ เปรยี บเทยี บองคประกอบที่ใชใ นงานดนตรแี ละศลิ ปะอ่นื (ศ ๒.๑ ม.๓/๑) ท่ีมีเปาหมายในการนํามาใชเพ่ือประกอบ กลา วถงึ ความสําคัญของดนตรวี า
■ อธิบายเกี่ยวกบั อิทธพิ ลของดนตรที ม่ี ตี อ บคุ คลและสงั คม (ศ ๒.๑ ม.๓/๖) กจิ กรรมตา งๆ ในชวี ติ ประจาํ วนั หรอื เพอ่ื ความ
■ อภิปรายลกั ษณะเดนทีท่ าํ ใหง านดนตรนี ้นั ไดรับการยอมรบั (ศ ๒.๒ ม.๓/๒) “ชนใดไมมดี นตรีกาล
ในสันดานเปน คนชอบกลนกั
บันเทิงเริงรมย นอกจากนี้ ดนตรียังมีคุณคา อีกใครฟง ดนตรไี มเ หน็ เพราะ
เขาน้ันเหมาะคดิ กบฏอปั ลกั ษณ
ตอจิตใจ เปนสื่อเชื่อมโยงระหวางกลุมคนใน ฤๅอบุ ายมุงรา ยฉมังนกั
มโนหนกั มืดมัวเหมือนราตรี
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สงั คม ชว ยผสานความรกั และความสามคั คี ดงั นน้ั แหละดวงใจยอ มดาํ สกปรก
ดนตรจี งึ เปน มรดกทางศลิ ปวฒั นธรรมทเ่ี ราจะตอ ง ราวนรกทก่ี ลา วมาน่ี
■ การเปรยี บเทียบองคประกอบในงานศลิ ปะ สืบทอดและพัฒนาใหคงอยสู ืบตอไป ไมควรใครไวใ จในโลกนี้
■ อทิ ธพิ ลของดนตรี เจาจงฟงดนตรเี ถดิ ช่ืนใจ”
■ ปจจยั ทท่ี าํ ใหงานดนตรไี ดร บั การยอมรบั จากนนั้ ครูถามนกั เรียนวา
• สาระสาํ คัญของกลอนบทละคร
ทยี่ กตัวอยางมาคอื ส่งิ ใด
• นักเรียนคดิ วาดนตรมี ีอิทธพิ ล
ตอบุคคลและสงั คมหรอื ไม
อยางไร
เกรด็ แนะครู
การเรยี นการสอนในหนว ยน้ี ครแู นะ
ใหนักเรียนเห็นวา ดนตรีทั้งไทยและ
สากลลว นมคี ณุ คา ตอ จติ ใจของบคุ คล
และสงั คมทัง้ ส้นิ ปจจบุ นั ไดม ีการนาํ
ดนตรีมาใชเปนส่อื เช่อื มวัฒนธรรม
ระหวา งประเทศ เชน การจดั งาน
ดนตรนี านาชาติเพ่ือแลกเปล่ียน
ทางวฒั นธรรม เปน ตน
คูม อื ครู 1
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain
Engage Expand Evaluate
สาํ รวจคนหา (หนาพิมพและตัวอักษรในกรอบน้มี ขี นาดเ(ลย็กอ กจาวกาฉบบั นักเรียน 20%)
ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน ๑. อทิ ธิพลของดนตรกี ับบคุ คลและสงั คม
สืบคนขอมูลเกยี่ วกับอทิ ธพิ ลของ
ดนตรีในประเดน็ ดังตอ ไปนี้ กวไี ทยได้กลา วถึงอิทธิพลของดนตรกี บั บุคคลและสังคมไว้ในบทกวหี ลายบท ซ่งึ บทเดน
ทงี่ ดงามดว้ ยฉันทลักษณแ์ ละมีเนือ้ ความกนิ ใจคนไทยอยางแพรห ลายมาเน่นิ นาน คือ บทกวขี อง
1. ดนตรีกับชวี ติ ในยามมีความสุข สนุ ทรภูใ นนิทานค�ากลอนเรื่อง “พระอภัยมณ”ี ตอนที่พระอภัยมณีอธิบายเรอื่ งอทิ ธพิ ลของดนตรี
พรอมยกตัวอยางประกอบ แกสามพราหมณ์ท่ีพบกนั โดยบงั เอิญ ซึง่ ในเนื้อกลอนกลา ววา
2. ดนตรีกบั ชวี ิตในยามมคี วาม
ทุกข พรอ มยกตัวอยา งประกอบ
3. ดนตรีกบั ขนบธรรมเนยี ม
ประเพณขี องไทย
4. ตวั อยา งวรรณคดแี ละวรรณกรรม “พระฟง ความพราหมณนอ ยสนองถาม จงึ เลา ความจะแจงแถลงไข
อนั ดนตรมี คี ุณทุกอยางไป ยอมใชไ ดดง่ั จนิ ดาคา บุรินทร
ไทยท่สี ะทอ นอทิ ธพิ ลของดนตรี ถึงมนุษยครฑุ าเทวราช จตั บุ าทกลางปา พนาสินธุ
แมนปเราเปา ไปใหไดยนิ ก็สุดสนิ้ โทโสทีโ่ กรธา
อธิบายความรู ใหใจออ นนอนหลับลืมสติ อนั ลัทธดิ นตรดี หี นักหนา
ซึ่งสงสยั ไมส ิน้ ในวิญญาณ จงนทิ ราเถดิ จะเปา ใหเ จาฟง ”
ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ นาํ ความรทู ไี่ ด
จากการศึกษามาอภิปรายรวมกันใน
ช้ันเรียน จากน้นั สรปุ ผลการอภปิ ราย ๑.๑ อิทธิพลของดนตรกี ับบุคคล
ลงกระดาษรายงาน สง ครผู ูสอน ในวถิ ชี วี ติ ปจั จบุ นั บคุ คลไมอ าจหนรี อด
จากอทิ ธิพลของเสยี งดนตรไี ด้ ไมวา จะทา� สิ่งใด
อยูที่ไหน เม่ือใด เสียงดนตรีก็จะแวดล้อมอยู
เกร็ดแนะครู เกือบทุกเวลาและทุกสถานท่ี ดนตรีถูกสร้าง
ข้ึนมาใช้เป็นพ้ืนหลังสนับสนุนการด�าเนินชีวิต
ครูควรแนะนําใหนักเรยี นเหน็ วา ของมนุษย์มาตั้งแตสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
ท้ังดนตรีไทยและดนตรีสากลลว นมี ดนตรีชวยจุดประกายแสงสวางให้แกเหตุการณ์
คุณคา ตอจติ ใจของมนษุ ยใ นสงั คม ส�าคัญตางๆ ในชีวิตของบุคคล ท้ังในยามสุข
ทง้ั ส้ิน ในปจจุบันไดม ีการนาํ เอา และในยามทุกข์ สามารถชวยให้บุคคลท่ีมี
ดนตรีมาใชเ พื่อเปน สอ่ื เชือ่ มโยง อารมณต์ ึงเครียดผอนคลายลงได้
วัฒนธรรมระหวางประเทศ เชน เสียงดนตรีสามารถเชิญชวนให้บุคคล
การจัดแสดงดนตรนี านาชาติ เพือ่ ลุกขึ้นเต้นร�า สามารถชวยให้บุคคลมีความ
การแลกเปลย่ี นทางวฒั นธรรม ภาคภูมิใจในความเป็นหมูคณะและความเป็น
เปน ตน นอกจากน้ี ดนตรยี งั มี ชาตขิ องตน ถ้าปราศจากเสยี งดนตรีแลว้ ศลิ ปะ การฟงดนตรี หรือบทเพลงที่ไพเราะจะชวยใหคนฟงรูสึก
ประโยชนต อมนุษยอ ีกหลายดาน การแสดงอ่นื ๆ กจ็ ะไมเกิดขนึ้ ผอ นคลาย เกดิ ความสุขและความอม่ิ เอมใจไดเปนอยา งดี
เชน เสยี งของดนตรีเปนสิง่ ทช่ี วย ที่มาของภาพ : คลังภาพ ACT.
กลอ มเกลาจิตใจของคนใหออนโยน
เยอื กเยน็ และสามารถชว ยคลาย
ความทุกขท ี่เกดิ ข้นึ ในชว งระยะเวลา 2
หน่งึ ได เสียงดนตรจี ะชว ยในการ
ปลุกเราจิตใจใหร าเริง ทําใหมนุษย
เกดิ ความเพลิดเพลินใจได เปน ตน
ท้ังนี้ ดนตรยี ังเปน สวนสําคัญอยางหนึง่ ทจ่ี ะขาดไมไ ดเ ลยจากการ
แสดงมหรสพตางๆ เพราะดนตรเี ปน สวนประกอบสําคัญท่ีทาํ ให
การแสดงนาชม สรางบรรยากาศ และความสนกุ สนานใหแกผชู ม
2 คูมือครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
๑.2 อิทธพิ ลของดนตรกี บั สงั คม อธบิ ายความรู
เนอ่ื งจากบคุ คลไมส ามารถแยกตนเอง
ออกจากสงั คมได ้ เพราะโดยธรรมชาตนิ น้ั มนษุ ย์ ครแู ละนักเรยี นรวมกนั อภปิ ราย
จะอยรู วมกนั เปน็ สงั คม ทา� กจิ กรรมรว มกนั เชน เกยี่ วกบั คุณคา ของงานดนตรีตามที่
รวมกันลาสัตว์ รวมกันประกอบพิธีกรรมตาม สุนทรภกู ลาวไวใ นคาํ กลอนเรอื่ ง
ความเช่ือ รวมกันเฉลิมฉลองในงานประเพณี พระอภยั มณวี า
ทางศาสนา เปน็ ตน้ การรวมตวั กนั ลกั ษณะเชน นี้
จะชวยให้ทุกคนในกลุมมีโอกาสแสดงตัวตน “พระฟง ความพราหมณน อ ยสนองถาม
ตอสังคมและแสดงอารมณ์ตางๆ ออกมา เพื่อ จึงเลาความจะแจงแถลงไข
สื่อสารความรู้สึกนึกคิดกับบุคคลอ่ืน โดยในทุก อนั ดนตรีมคี ณุ ทกุ อยา งไป
การตีกลองสะบดั ชยั ซง่ึ เปนดนตรพี นื้ เมืองของภาคเหนือ กิจกรรมจะมีการบรรเลงดนตรี หรือการขบั ร้อง ยอมใชไดด ่งั จินดาคาบุรินทร
ทมี่ าของภาพ : http://www.bloggang.com/m/viewdiary. เพอื่ ชว ยสอื่ สารความเขา้ ใจระหวา งกนั และกนั ของ ถึงมนษุ ยค รฑุ าเทวราช
สมาชกิ ในสังคมอกี ด้วย จัตุบาทกลางปา พนาสนิ ธุ
php?id=abird&month=072011&date=07& แมน ปเ ราเปา ไปใหไดย นิ
group=12&gblog=242 กส็ ดุ ส้ินโทโสที่โกรธา
ใหใจออ นนอนหลบั ลมื สติ
อนง่ึ ดนตร ี คอื ศลิ ปะทบี่ คุ คลในสงั คมสรา้ งสรรคข์ นึ้ มาใชร้ ว มกนั ในบางครง้ั อาจมผี เู้ ตน้ รา� อันลทั ธดิ นตรีดีหนกั หนา
เพ่ิมเติมเข้ามาอีก ซ่ึงทุกคนล้วนต้องมีอารมณ์รวมกับเสียงดนตรีทั้งส้ิน ดนตรีจึงกลายเป็น ซึง่ สงสยั ไมสิ้นในวิญญาณ
วฒั นธรรมอกี อยา งหนงึ่ ของสงั คมมนษุ ย ์ และวฒั นธรรมดนตรขี องแตล ะสงั คมลว้ นเปน็ เครอ่ื งชว ยช้ี จงนิทราเถิดจะเปาใหเ จาฟง”
บอกลกั ษณะของขนบธรรมเนยี ม ประเพณ ี กจิ กรรม และชาตพิ นั ธท์ุ ก่ี ลมุ บคุ คลในสงั คมนน้ั ๆ ปฏบิ ตั ิ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดง
ความคดิ เห็นไดอยางอสิ ระ ครเู นน
ใหเหน็ วา ดนตรเี ปนเครอ่ื งมือสาํ คัญ
ท่ีชวยจรรโลงสังคม ยกระดับจติ ใจ
ของบุคคลใหสงู ขนึ้ ทงั้ นี้ ตอ งขน้ึ อยู
กบั การเลือกฟงดนตรดี วยวา ผฟู ง
เลือกฟงดนตรีในลักษณะใด)
ในทกุ สงั คมลว นมวี ฒั นธรรมอนั เปน เอกลกั ษณเ ฉพาะทบ่ี ง บอกถงึ ความเปน กลมุ ชาตพิ นั ธแุ ละความเปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั เกรด็ แนะครู
ซง่ึ ดนตรีก็เปน ศลิ ปะประเภทหนง่ึ ที่สะทอนถึงวฒั นธรรมของแตละสังคมได
ท่มี าของภาพ : http://www.pixannuire.fr ครูควรเนนใหเห็นวา ดนตรีเปน
วัฒนธรรมอีกอยางหนึ่งของสังคม
๓ มนุษย และวัฒนธรรมดนตรีของ
แตละสังคมลวนเปนเครื่องชวยช้ีบอก
ลกั ษณะของขนบธรรมเนียม ประเพณี
ภารกจิ กิจกรรม และชาตพิ ันธทุ ี่กลมุ
บุคคลในสังคมน้ันๆ ปฏิบัติ เชน พิธี
ไหวครู เปนพิธีกรรมที่เปนประเพณี
ของไทยทน่ี ยิ มปฏบิ ตั กิ นั มาตง้ั แตส มยั
โบราณ แสดงถงึ ความระลกึ ถงึ บญุ คณุ
ของครู เปนการแสดงตนวาเปนศิษย
ของทานโดยตรง เปนตน
คูมอื ครู 3
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain
Engage Expand Evaluate
สาํ รวจคน หา (ยอ จากฉบับนกั เรยี น 20%)
ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน เสรมิ สาระ
สืบคนขอมูลเกี่ยวกับบทเพลงท่ีใช
แสดงนาฏศลิ ปไทยมากลมุ ละ 1 เพลง ความสัมพนั ธข์ องงานดนตรีกบั การแสดงนาฏศิลป
จากแหลงการเรียนรูตางๆ เชน หอง
สมดุ หนงั สอื เรยี น อนิ เทอรเ นต็ เปน ตน การใชเ พลงกบั การแสดงนาฏศลิ ปม ี ๒ ลกั ษณะ คอื การนาํ บทเพลงทสี่ งั คตี กวปี ระพนั ธไ วแ ลว มาวเิ คราะห
เพอื่ ตบี ทและสรา งสรรคล ลี าทา ทางนาฏศลิ ปใ หแ สดงออกไดอ ยา งสอดคลอ งและกลมกลนื กบั เนอื้ หา อารมณ
อธบิ ายความรู และไวยากรณของบทเพลง และการแตงเพลงข้ึนมาใหมใหตรงกับจุดประสงค หรือทานาฏศิลปท่ีตองการ
แสดงออก
ใหนักเรียนแตละกลุมนําบทเพลง
ท่ีศึกษามาติดลงกระดาษรายงาน ตัวอยางของการใชเพลงใหสัมพันธกับการแสดงนาฏศิลปท้ัง ๒ ลักษณะ ท่ีเห็นไดชัดเจนในการแสดง
แลว เขียนอธบิ ายวา บทเพลงดงั กลาว นาฏศลิ ปไทย เชน
นํามาใชประกอบการแสดงนาฏศิลป
ในรปู แบบใด สงครูผูส อน การแสดงนาฏศิลป เพลงท่ใี ช้
นกั เรียนควรรู การยกทพั เพลงกราวนอก ใช้ส�าหรับทพั มนษุ ยแ์ ละวานร ในการแสดงโขน
เรื่องรามเกียรติ์ เรียกว่า “ฝำ ยพลับพลำ”
เพลงกราว เปน เพลงในอัตรา การตอ่ สู้ เพลงกราวใน ใชส้ �าหรับทพั ยักษ์ เรียกว่า “ฝำยลงกำ”
จงั หวะสามชน้ั หลวงประดษิ ฐไพเราะ การแสดงอารมณร์ ัก เพลงกราวกลาง ใชส้ �าหรบั ทพั มนษุ ย์
(ศร ศิลปบรรเลง) ไดประพนั ธต อ การแสดงอารมณ์เศรา้ เพลงเชดิ กลอง ใช้ในการตอ่ สู้
จากอตั ราจงั หวะสองชัน้ สาํ หรับใช เพลงเชดิ ฉง่ิ ใชป้ ระกอบการรา� กอ่ นออกอาวธุ เชน่ แผลงศร เปน็ ตน้
เปนเพลงโหมโรง เมื่อ พ.ศ. 2489 เพลงเชดิ นอก ใช้สา� หรบั การต่อสขู้ องตัวละครทเ่ี ป็นสตั ว์
มีเพลงใหเ้ ลือกใช้จ�านวนมาก เช่น เพลงโอ้โลม เพลงแขกสาหร่าย
เพลงสารถี เพลงคล่นื กระทบฝงั เพลงแสนค�านงึ เป็นต้น
มีเพลงใหเ้ ลือกใชจ้ �านวนมาก เชน่ เพลงแขกโอด เพลงธรณีกันแสง
เพลงใบค้ ลง่ั เพลงลมพัดชายเขา เป็นตน้
นกั เรียนควรรู การแสดงโขน เรอื่ งรามเกยี รต์ิ ตอนกุมภกรรณทดนา้ํ
ทมี่ าของภาพ : คลงั ภาพ ACT.
ฝายพลับพลา ตวั ละครในเร่ือง
รามเกียรตท์ิ เ่ี ปนมนุษยและวานร 4
เชน พระราม พระลักษมณ พระพรต
พระสตั รุด นางสีดา หนมุ าน พาลี นักเรียนควรรู
สคุ รีพ ชมพพู าน องคต เปน ตน
เพลงเชดิ ใชใ นการเดนิ ทางไกลการไลล า และการรบแบง เปน เชดิ ธรรมดา(ใชก บั มนษุ ยท วั่ ไป)
นักเรียนควรรู เชิดนอก (ใชกับการตอสูของอมนุษย) เชิดฉาน (ใชกับมนุษยท่ีอยูกับสัตว) และเชิดฉ่ิง
(ใชประกอบการแสดงถึงที่ลึกลบั )
ฝายลงกา ตัวละครในเร่ือง
รามเกียรติ์ที่เปน ยกั ษ เชน ทศกัณฐ
กุมภกรรณ ไมยราพ อินทรชิต
ทาวลสั เตียน นางมณโฑ
นางสาํ มนักขา นางเบญกาย
ชิวหา พเิ ภก เปนตน
4 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain
Expand Evaluate
๒. ปจจัยที่ทําให้งานดนตรีไดร้ บั การยอมรับจากสังคม กระตนุ ความสนใจ
ดนตรเี ปน็ มรดกทางศลิ ปวฒั นธรรมของชาตทิ เ่ี สรมิ สรา้ งความแขง็ แกรง ใหก้ บั คนในสงั คม ครเู ปด เพลง “Live and Learn” ของ
การสร้างสรรค์งานดนตรมี มี าอยา งตอเน่อื งตั้งแตอ ดีตจนถงึ ปัจจุบัน แมว้ า บางชวงสมยั ดนตรอี าจ กมลา สุโกศล แคลป ใหนักเรียนฟง
ได้พบกับภาวะวิกฤติบ้าง แตก็ยังสามารถธ�ารงคุณคาให้อยูคูสังคมในปัจจุบันได้อยางสมบูรณ์ แลวถามนักเรยี นวา
โดยในทนี่ จี้ ะกลา วถงึ ปจั จยั สา� คญั ทท่ี า� ใหง้ านดนตรไี ดร้ บั การยอมรบั จากสงั คม ดงั ตอ ไปนี้
2.๑ ปจ จยั ด้านความเจริญทางวัฒนธรรม • สาระสําคัญของเพลงนค้ี อื สง่ิ ใด
ดนตรีมีความส�าคัญและมีคุณคาอยางย่ิงตอวัฒนธรรมของชาติ ในอดีตประเทศไทย • นักเรยี นคิดอยางไรกบั คาํ วา
มีการน�าดนตรีไทยเข้าไปเป็นสวนหนึ่งของกิจกรรมทางประเพณีตางๆ ทั้งพระราชพิธีและ
พิธีกรรมตางๆ ของประชาชน เชน ในอดีตเมื่อสมเด็จพระบรมราชินีทรงมีพระประสูติกาลเป็น “ดนตรี คอื ชวี ติ ”
พระราชโอรส พนักงานวงแตรสังข์และวงปีพาทย์จะบรรเลง หากทรงมีพระประสูติกาลเป็น จากนน้ั ใหน ักเรียนท้งั หองรว มกนั
พระราชธดิ า พนกั งานวงมโหรีจะบรรเลง เปน็ ตน้ รองเพลง “Live and Learn”
ส�าหรับกิจกรรมทางประเพณีของประชาชนจะมีการน�าวงดนตรีไปบรรเลงเป็นสวนหน่ึง พรอ มๆ กนั ทัง้ น้ี ครูอาจจะเปด เพลง
ของงานนน้ั ๆ เชน งานทา� บญุ ขน้ึ บา้ นใหม งานทา� ขวญั นาค งานมงคลสมรส งานวนั เกดิ งานสมโภช อ่ืนๆ ได ตามความเหมาะสม
เฉลิมฉลองตางๆ งานเทศกาลตามประเพณี งานอวมงคล เป็นต้น ซ่ึงได้ยึดถือปฏิบัติมาจนถึง
ปจั จบุ นั ทา� ใหค้ นไทยมคี วามรกั ความผกู พนั กบั วถิ ชี วี ติ และประเพณไี ทย มคี วามคดิ และมที ศั นคติ สาํ รวจคนหา
ทด่ี ตี อดนตรจี นเกดิ ความรสู้ ึกวา ดนตรีเปน็ สว นหนึ่งของชีวติ โดยเฉพาะดนตรีไทยทช่ี ว ยสะทอ้ นให้
เห็นถงึ ความเจรญิ รงุ เรืองทางวัฒนธรรมของไทยไดเ้ ป็นอยางดี ใหน ักเรียนสบื คนขอมูลเก่ยี วกับ
ปจจยั ท่ีทําใหง านดนตรไี ดร บั การ
ยอมรับจากสงั คม จากแหลง
การเรียนรูตางๆ เชน หอ งสมดุ
หนังสือเรยี น อินเทอรเน็ต เปนตน
อธบิ ายความรู
ครแู ละนกั เรียนรว มกนั อภปิ ราย
เกีย่ วกบั ปจ จัยทท่ี ําใหงานดนตรี
ไดรบั การยอมรับจากสังคม แลว ให
นกั เรยี นสรปุ ผลการอภปิ ราย
ลงกระดาษรายงาน สงครผู สู อน
ปจ จบุ นั ไดม กี ารนาํ วงดนตรมี าบรรเลงประกอบในงานพธิ ตี า งๆ เชน งานมงคลสมรส เปน ตน เพอื่ ใหง านมคี วามสมบรู ณย งิ่ ขนึ้ 5 นกั เรยี นควรรู
ทีม่ าของภาพ : http://www.marry.vn
งานสมโภช การรว มกิน การเลี้ยง
อาหาร งานฉลองในพิธีมงคลเพื่อ
ความร่ืนเรงิ ยินดี เชน งานสมโภช
กรงุ รัตนโกสินทร 233 ป งานสมโภช
พระสพุ รรณบฏั เปนตน
@ มมุ IT
สามารถฟงบทเพลง Live and Learn ไดจาก
http://www.youtube.com โดย คน หาจากคาํ วา Live and Learn
คมู ือครู 5
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
อธิบายความรู (ยอ จากฉบบั นกั เรียน 20%)
ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั พธิ ีเปด กีฬาเอเชยี นเกมสท ่ีประเทศจนี เม่อื พ.ศ. ๒๕๕๓ ปัจจุบันทุกประเทศในโลกตางมีงาน
ความกาวหนาทางเทคโนโลยีท่ีมีผล ประเทศจนี ไดจ ดั การแสดงอยา งยง่ิ ใหญอ ลงั การ ซงึ่ ดนตรี ศิลปวัฒนธรรมท่ีแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์
ทําใหงานดนตรีกลายเปนที่ยอมรับ ก็ไดเขามามีบทบาทสําคญั ในงานคร้งั น้ดี ว ย ของชาติ ดังท่ีพบเห็นได้เสมอในงานส�าคัญ
ของคนในสังคม โดยครชู วยสรปุ ท่มี าของภาพ : http://www.telegraph.co.uk ตา งๆ เชน ในการแขงขันกีฬาระหวา งประเทศ
เพ่ิมเตมิ ประเทศทเ่ี ปน็ เจา้ ภาพจะแสดงออกอยา งชดั เจน
ในการน�าศิลปวัฒนธรรมของชาติตนมาแสดง
นกั เรยี นควรรู ในวนั เปด และปด การแขง ขนั โดยประเทศเจา้ ภาพ
จะนิยมจัดศิลปะด้านการแสดงดนตรีที่แสดง
ราชอาคันตุกะ อาคันตกุ ะเปน ความเปน็ ชาตขิ องตนมาแสดง เพอื่ อวดใหช้ าวโลก
คาํ นาม มีความหมายวา แขกผมู าหา ได้ชน่ื ชม สะท้อนใหเ้ หน็ ความเจริญรุงเรอื งทาง
คําวา “แขก” ของพระบาทสมเดจ็ วัฒนธรรม ซ่ึงประเทศไทยก็เชนเดียวกัน เม่ือ
พระเจา อยูหวั ทง้ั ทีเ่ ปนกษตั ริย ได้รับหน้าท่ีเป็นประเทศเจ้าภาพในการจัดการ
และเจานายของตางประเทศ หรือ แขงขันกีฬาระหวางประเทศ หรืองานต้อนรับ
ผูน าํ ประเทศท่เี ปนสามัญชน เชน ราชอาคนั ตกุ ะจากตา งประเทศ รฐั บาลไทยกจ็ ะนา�
ประธานาธบิ ดี เปน ตน ใชราชาศัพท ศิลปะการแสดงประเภทตางๆ และการบรรเลง
วา “พระราชอาคนั ตกุ ะ” ดนตรีไทยมาจัดแสดง
นักเรยี นควรรู 2.2 ปจจัยดา้ นความเจรญิ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ท�าให้งานดนตรีกลายเป็นที่ยอมรับของคนใน
ความเจรญิ กา วหนา ทางเทคโนโลยี สังคมอยางกว้างขวาง ซ่ึงเทคโนโลยีตางๆ ท่ีพัฒนาข้ึนมาน้ัน ก็เพ่ือน�ามาใช้พัฒนางาน
ไดมีสว นในการสรา งสรรคอุปกรณ ดนตรีให้คนในสังคมเข้าถึงดนตรีได้งายมาก
ท่มี ีสวนชวยในการบันทกึ เสยี ง เชน ย่ิงข้ึน โดยการพัฒนาทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นมา
เคร่อื งบันทกึ เสยี งท่สี รางขึ้นโดย ตัง้ แตเ มอ่ื โทมัส อลั วา เอดิสัน (Thomas Alva
โทมสั อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้คิด
Edison) เปน ตน ประดษิ ฐเ์ ครอ่ื งบนั ทกึ เสยี งขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๒๐
วงการดนตรีท้ังไทยและสากลก็ได้น�าเคร่ือง
นักเรยี นควรรู บันทึกเสียงดังกลาวมาสร้างสรรค์งานดนตร ี
บันทึกเสียงเพลง เสียงขับร้อง เสียงปราศรัย
โทมสั อลั วา เอดสิ นั (Thomas Alva และขอ้ มลู เสยี งตา งๆ ไวเ้ ปน็ สมบตั ใิ หช้ นรนุ หลงั ปจจุบันวงการดนตรีไดพัฒนาเปนอยางมาก โดยเฉพาะ
Edison) ไดคิดประดิษฐเคร่ืองบันทึก ซึ่งผู้เรียนสามารถน�าข้อมูลดังกลาวมาใช้ศึกษา ดา นการบนั ทกึ เสยี ง ซง่ึ มกี ารสรา งหอ งบนั ทกึ เสยี งและนาํ
เสียงข้ึน เพ่ือใชในการบันทึกเสียง หาความรไู้ ด้มาจนถึงปัจจุบัน เทคโนโลยสี มยั ใหมม าใชพ ฒั นาคณุ ภาพเสียงของนกั รอง
ดนตรี และจากการทเี่ ขาประดิษฐ ทีม่ าของภาพ : http://www.superbwalpapers.com/
เครื่องบันทกึ เสียงน้ี จงึ ไดรบั ฉายาวา photography/recording-studio-42780/
“พอมดแหง เมนโลพารก ”
6
6 คูม อื ครู นักเรียนควรรู
เทคโนโลยสี มยั ใหมม าใชพ ฒั นาคณุ ภาพเสยี ง โปรแกรม Electronic Piano
เปน โปรแกรมทใ่ี ชฝ ก ทกั ษะการเลน ดนตรดี ว ยการบรรเลงตวั โนต ผา นคยี บ อรด
จําลองของเครื่องคอมพิวเตอร ซึ่งนักเรียนสามารถศึกษาคนควาโปรแกรมนี้
เพิ่มเติม ไดจ าก http://www.pianoelectronic.com.br/index-en.html
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
2.๓ ปจ จยั ด้านคา นิยมและการปรับเปลย่ี นใหเ้ ข้ากบั ยคุ สมัย อธบิ ายความรู
คานิยมของสังคมไทยที่มีตอเร่ืองตางๆ นั้น สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา
ซ่ึงงานดนตรีก็เชนเดียวกัน งานดนตรีสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยได้ โดยในอดีต ใหนักเรียนรวมกันอภิปรายความรู
พระมหากษัตริย์ไทยทรงถือเป็นพระราชกรณียกิจประการหนึ่งที่ทรงสงเสริมงานดนตรีของชาติ เก่ียวกับปจจัยดานคานิยมและการ
ให้เจริญรุงเรือง บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญมีคานิยมในการสงเสริมดนตรีไทย ปรับเปลี่ยนใหเขากับยุคสมัยของงาน
มีการพัฒนาวงดนตรแี ละอุปถัมภ์นกั ดนตร ี สวนในหมปู ระชาชนก็มคี า นยิ มในการน�าวงดนตรไี ทย ดนตรี จากนั้นสรุปประเด็นสําคัญ
ไปบรรเลงเป็นสว นหนง่ึ ของงานตา งๆ ท้ังงานมงคลและงานอวมงคล แลวจดบนั ทกึ ไว
แม้ในปัจจุบันระบบสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอยางมาก โครงสร้างทางวัฒนธรรมก็
เปลย่ี นแปลงไป แตค า นยิ มของคนไทยทม่ี ตี อ ดนตรกี ย็ งั คงอย ู รฐั บาลไทยยงั สนบั สนนุ และทา� นบุ า� รงุ เกรด็ แนะครู
ดนตรโี ดยเฉพาะดนตรีไทยอยูเสมอ เชน การจัดต้ังสถาบันการศึกษาท่ที า� หนา้ ทเ่ี กย่ี วกบั การผลติ
นกั ดนตรีไทย มหาวิทยาลัยตา งๆ กไ็ ด้เปด การศกึ ษาวิชาเอกดนตร ี ระดับโรงเรยี นทัง้ ระดบั ประถม ครอู าจขยายความรเู พมิ่ เตมิ โดยให
ศกึ ษาและระดับมัธยมศึกษา มกี ารจัดรายวิชาดนตรใี หผ้ ู้เรียนได้ศกึ ษาและฝกึ ปฏบิ ตั ิดนตรี ผู้เรียน นักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวา
จงึ มคี า นยิ มทดี่ ตี อ ดนตรไี ทย ทา� ใหค้ นรนุ ใหมเ ลง็ เหน็ ความสา� คญั ในการศกึ ษา เรยี นร ู้ และใชด้ นตรี เหตุใดดนตรแี ละคานยิ มเกาหลี
เป็นสว นหน่ึงของชวี ิตได้อยางมคี ุณคา จึงหลงั่ ไหลเขา มาในสงั คมไทย
ตัวอยางของการปรับเปล่ียนดนตรีให้เข้ากับยุคสมัยและคานิยมที่เปลี่ยนแปลงไป เชน อยา งรวดเร็ว
เมอื่ วฒั นธรรมดนตรตี ะวนั ตกเขา้ มาแพรห ลายในสงั คมไทยจงึ เกดิ วงแตรวง โดยมกี ารนา� เพลงไทย
มาบรรเลงด้วยวงแตรวงเป็นจ�านวนมาก และเม่ือสังคมไทยนิยมฟังเพลงท่ีบรรเลงด้วยวงดนตรี (แนวตอบ เนือ่ งจากประเทศเกาหลี
สากล ศิลปนดนตรีจึงน�าเพลงไทยมาขับร้องเนื้อเต็มและบรรเลงด้วยวงดนตรีสากลเป็นศิลปะ เผยแพรวัฒนธรรมผานทางดนตรี
ผสมผสาน รวมทัง้ บางสวนก็ได้พฒั นาไปเป็นเพลงลกู ทุง เป็นตน้ และศลิ ปะการแสดง เชน ละครเกาหลี
เพลงเกาหลี เปน ตน ไปสชู าติตางๆ)
ปจจบุ นั มีการนาํ เพลงไทยมาขับรอ งและบรรเลงดว ยวงดนตรีสากล และพฒั นากลายมาเปนเพลงลกู ทงุ อยา งแพรห ลาย
นักเรยี นควรรู
สถาบันการศกึ ษาทที่ าํ หนา ท่ี
เก่ยี วกับการผลติ นักดนตรี
ในประเทศไทยมอี ยูหลายสถานท่ี
เชน วิทยาลยั ดุริยางคศิลป
มหาวทิ ยาลยั มหิดล คณะศลิ ปกรรม
ศาสตร จุฬาลงกรณม หาวทิ ยาลยั
คณะดุรยิ างคศลิ ป มหาวิทยาลยั
ศลิ ปากร คณะดุริยางคศิลป
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม วิทยาลยั
ดนตรี มหาวิทยาลยั รังสติ วิทยาลัย
ดนตรี มหาวทิ ยาลยั อัสสัมชญั
เปนตน
7
นกั เรียนควรรู คมู ือครู 7
เพลงลกู ทุง เปน เพลงที่สะทอนวถิ ีชีวติ สภาพสงั คม อดุ มคติ และวัฒนธรรมไทย
โดยมที วงทํานอง คํารอง สาํ เนียง และลลี าการรอ ง การบรรเลงทเ่ี ปนแบบแผน
มีลักษณะเฉพาะ ซง่ึ ใหบรรยากาศความเปนลกู ทงุ คําวา “เพลงลูกทุง”
อาจารยจ ํานง รังสกิ ุล คิดประดษิ ฐขน้ึ ใชเ ม่อื วันท่ี 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2507
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
อธิบายความรู (ยอจากฉบับนกั เรียน 20%)
ครูใหน กั เรยี นรวมกันอธิบายวา นอกจากน้ี ยังได้มีการน�าดนตรีไทยและดนตรีสากลมาผสมผสานบรรเลงเข้าด้วยกัน
• การไหวค รูดนตรไี ทยมสี วนชว ย จนไดร้ บั ความนยิ มชมชอบจากผฟู้ งั ในขณะเดยี วกนั กย็ งั มกี ารนา� เครอ่ื งดนตรชี าตติ า งๆ มาบรรเลง
ประกอบเพลงไทย เชน กเู จงิ ซอเออ้ ห ู เปน็ ตน้ ดงั นน้ั ในปจั จบุ นั ดนตรใี นประเทศไทยจงึ มที งั้ ดนตรี
สืบทอดดนตรีไดอยา งไร ไทยเดมิ ดนตรสี ากล และดนตรีไทยสากลในสังคม
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดง 2.4 ปจจยั ด้านการสบื ทอดดนตรีของศิลปน
ความคดิ เห็นไดอยา งอสิ ระ แต ในอดีตการสืบทอดดนตรีของศิลปนดนตรี จะเป็นการเรียนรู้ในส�านักดนตรี มีครูเป็น
ครูควรเนน ยา้ํ วา การท่ีใหผ ูเรยี น ศนู ย์กลางของความรู ้ มีส�านักดนตรีท่เี จ้านาย ขา้ ราชการ หรือผู้มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกจิ
ดนตรไี ทยเขา รว มพิธีไหวครูดนตรี อปุ ถมั ภ ์ ซงึ่ ปจั จบุ ันไดเ้ ปลีย่ นแปลงไปจากเดมิ ครดู นตรีรนุ เกาผนั ตัวเองไปเป็นผ้เู ชยี่ วชาญ ผู้ทรง
จะทาํ ใหเกดิ ความซาบซง้ึ คุณวุฒิในสถานศึกษาตางๆ การสืบทอดดนตรีไทยได้พัฒนาให้สอดคล้องกับการก้าวไปของโลก
ในบุญคณุ ของครูบาอาจารยที่ สมยั ใหม โดยไดเ้ ขา้ ไปสรู ะบบการเรยี นการสอนในสถาบนั การศกึ ษาแทนทกี่ ารศกึ ษาในวงั หรอื ในวดั
ประสทิ ธปิ์ ระสาทวิชาดนตรีให ดังเชนในอดีตทผ่ี านมา
ซง่ึ อาจทําใหผ ูเ รยี นอยากสบื ทอด ขณะเดยี วกนั นกั เรยี นทเี่ รยี นในโรงเรยี นและกา้ วเขา้ สกู ารเรยี นดนตรใี นระดบั ปรญิ ญาตรี
ดนตรีใหคนรนุ ตอ ไปได) ปรญิ ญาโท และปรญิ ญาเอก กไ็ ดก้ ลบั เขา้ มาเปน็ ครอู าจารยร์ ว มกบั ครผู ทู้ รงคณุ วฒุ ดิ า้ นดนตร ี และ
มาเปน็ ครสู อนดนตรีให้แกน ักเรยี น นักศกึ ษารนุ ตอๆ มา
นกั เรียนควรรู
กเู จงิ เปนเครอื่ งดนตรปี ระเภท
เคร่อื งสายแบบด้ังเดิมของจีน
บรรเลงโดยการใชม อื ดดี
นักเรยี นควรรู การไหวครูดนตรีไทยเปนพิธีกรรมอยางหน่ึงท่ีแสดงใหเห็นถึงการสืบทอดดนตรีของครูดนตรีตอศิษย และยังเปนการ
ปลกู ฝง ใหศษิ ยมีความเคารพนบนอบตอ ครบู าอาจารยท ี่ประสทิ ธปิ์ ระสาทวิชาความรใู หอีกดวย
ซอเออหู กลาวกันวา ชนเผาที่อยู ทม่ี าของภาพ : คลงั ภาพ ACT.
ทางใตของแมน้ําเหลือง (หวางเหอ)
มกั เรยี กชนเผา ทอี่ ยทู างตอนเหนอื ของ 8
แมน า้ํ วา “ห”ู หรอื “ชาวห”ู เครอื่ งดนตรี
ประเภทนีก้ ม็ าจากทางเหนือ หรือเปน
ผลผลิตจากภูมิปญญาของชาวหูจึง
เรยี ก “หฉู นิ ” หรือ “ซอห”ู และคําวา
“เออ” หรือ “สอง” ตามความหมาย
ในภาษาไทย มาจากที่ตัวซอหูเปน
เครื่องดนตรีท่ีประกอบดวยสองช้ิน
หลัก คือ ตัวคันชักและตัวซอ จึงเปน
ทม่ี าของเครือ่ งดนตรที ี่เรยี กวา
“ซอเออ ห”ู
@ มุม IT
สามารถชมตัวอยา งคลิปวิดีโอการไหวครูดนตรไี ทย ไดจ าก
http://www.youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา ไหวค รูดนตรีไทย
8 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain
ระบบการสืบทอดดนตรีไทยที่กลาวมา สงผลให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนดนตรีไทยกันได้ ขยายความเขาใจ
อยางกว้างขวาง มตี า� ราเรยี นดนตร ี เคร่อื งดนตรี และส่ือการเรียนการสอนท่ที นั สมัย เอือ้ อ�านวย
ให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาความรู้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยส�าคัญที่ท�าให้วิชาการดนตรีไทยด�ารงอยูคูกับสังคม ใหนักเรียนแตละคนจัดทํารายงาน
และวัฒนธรรมไทยสืบตอ ไป เกี่ยวกับอิทธิพลของดนตรีที่มีตอ
บุคคลและสังคม พรอมภาพประกอบ
เกรด็ ศิลป สุนทรียะของดนตรี สง ครผู สู อน
สุนทรียะของดนตรี แปลตามรูปศัพทมีใจความวา ตรวจสอบผล
“ความงามของดนตรี” แตคนสามัญท่ัวไปมักจะใชใจความ ครูพิจารณาจากรายงานเกย่ี วกับ
อิทธิพลของดนตรีทมี่ ีตอบคุ คลและ
วา “ความไพเราะของดนตรี” แทน เน่ืองจากเขา ใจวา อะไรท่ี สงั คม
งามยอ มมองเห็นไดด ว ยตาเทานนั้ สว นเสียงดนตรนี ้นั สัมผัส เกร็ดแนะครู
รูด ว ยหู ไมอ าจมองเหน็ ภาพได จึงใชค าํ วา “ไพเราะ” แทนท่ี ครคู วรอธิบายความรูเพม่ิ เตมิ
เกย่ี วกับการรับรคู วามงาม หรือ
คาํ วา “งาม” แตแ ททจี่ ริงนน้ั บุคคลสามารถสัมผัสรคู วามงาม สนุ ทรยี ะของดนตรใี หน ักเรียนฟง วา
ผทู ่จี ะรบั รูความงาม หรือสุนทรยี ะ
ของสรรพสิ่งไดดวยประสาทสัมผัสตางๆ ถึง ๖ อยาง คือ ของศิลปะการดนตรีได คือ ผูที่
สมั ผสั รู หรือรูดว ยผสั สะ และหยงั่ รู
ตาสัมผัสรูความงามของรูป หูสัมผัสรูความงามของเสียง ความงามนัน้ อยางเขา ใจ ซึ่งเปน การ
ยากมากที่จะทาํ ใหค นทกุ คนรบั รไู ด
จมูกสัมผัสรูความงามของกล่ิน ล้ินสัมผัสรูความงามของรส เทา เทยี มกัน เพราะวาความงาม
เปน นามธรรมจะเอามาตรวดั ไมไ ด
กายสัมผัสรูความงามของสิ่งท่ีมากระทบกาย และใจสัมผัสรู ท่มี าของภาพ : http://www.topic 2 kugou.com ตอ งวัดดวยผัสสะ สมั ผัสไดดวย
ความงามของอารมณท เี่ กิดกบั ใจ ความรสู ึก เมื่อมเี สยี งดนตรีมา
กระทบโสตประสาท และความรสู กึ
กจิ กรรม ศลิ ปป ฏิบตั ิ ๑.๑ รบั รคู วามงามของดนตรขี องแตล ะคน
จะแตกตา งกนั ไปตามพน้ื ฐาน
กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรียนเขยี นอธิบายเก่ยี วกบั อทิ ธิพลของดนตรีที่มีตอ บคุ คลและสังคมไทย ทางสังคม วัฒนธรรม การศกึ ษา
กิจกรรมที่ ๒ ลงกระดาษรายงาน สง ครผู สู้ อน เศรษฐกิจ และการเมืองไมเทากนั
ใหน้ กั เรยี นแบง กลมุ ออกเปน็ ๔ กลมุ ตามปจั จยั ทที่ า� ใหง้ านดนตรไี ดร้ บั การยอมรบั แตก ็พอมคี ําแนะนาํ ใหทุกคนมีวิธที ่ี
จากสงั คม ดงั ตอไปน้ี จะเขาถงึ ความงาม หรอื สนุ ทรียะของ
๑. ปัจจยั ดา้ นความเจรญิ ทางวฒั นธรรม ดนตรไี ดด งั ตอ ไปนี้ คอื ตองเรียนรู
๒. ปัจจยั ด้านความเจริญกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี และเขา ใจความหมายของคาํ วา
๓. ปัจจัยดา้ นคา นยิ มและการปรบั เปล่ยี นให้เขา้ กบั ยคุ สมัย “ศลิ ปะ” ในเชงิ ปรชั ญาตามลัทธิ
๔. ปัจจัยดา้ นการสืบทอดดนตรไี ทยของศลิ ปน ความเช่อื และคําอธิบายของ
แลว้ ให้แตละกลุม รวมกนั อภปิ รายวา ปจั จัยดังกลาวมีผลใหง้ านดนตรีได้รบั การ ปรชั ญาเมธีตา งๆ ตอ งเรยี นรธู าตุ
ยอมรบั จากสงั คมอยางไร แล้วจดบนั ทกึ สาระส�าคัญไว้ ขององคป ระกอบของศลิ ปะดนตรี
4 อยา ง คือ สอื่ เนื้อหา สนุ ทรียธาตุ
9 และศลิ ปนธาตุ และตองฝก ฝน
การรับรคู วามงามของดนตรอี ยา ง
@ มมุ IT สมาํ่ เสมอและพฒั นาใหเพิ่มข้นึ
สามารถศกึ ษาเพมิ่ เติมเก่ียวกบั วชิ าการดนตรี
ไดจาก http://www.kingramamusic.org
คูมอื ครู 9
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain
Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)
ครูเปดเพลงบรรเลงใหน กั เรียนฟง ๓. องค์ประกอบทีใ่ ชใ้ นการสรา้ งสรรค์งานดนตรี
พรอ มท้งั นาํ ภาพศิลปะมาใหนักเรียน
ดู แลวถามนกั เรียนวา ในการสร้างสรรค์งานดนตรีให้ออกมามีคุณภาพและสามารถสร้างความรู้สึกประทับใจ
ให้กบั ผฟู้ ังไดน้ นั้ ผสู้ รา้ งสรรค์ผลงานจ�าเปน็ ตอ้ งมคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกับหลักการสรา้ งสรรค์
• ผลงานศลิ ปะทง้ั สองชนิ้ นม้ี ีสิ่งใด งานดนตร ี เพอ่ื จะได้น�ามาใชเ้ ปน็ แนวทางในการสร้างสรรค์ผลงาน
ทเี่ หมอื นหรือแตกตา งกนั ๓.๑ อ งค์ประกอบพ้นื ฐานท่ีสาํ คัญของดนตรี
• ความงดงามของบทเพลง ๑) จงั หวะ (Time) คอื ความรสู้ กึ ทด่ี า� เนนิ ไปอยา งตอ เนอื่ งของบทเพลง ซงึ่ ในทางดนตรี
สามารถรับรูไ ดจากส่งิ ใด
สามารถแบง ออกเป็น ๓ ลกั ษณะ ดังตอไปนี้
• ความงดงามของภาพเขยี น ๑.๑) จังหวะหลัก เป็นจังหวะที่ด�าเนินไปอยางสม�่าเสมอตลอดบทเพลง ถ้าเป็น
สามารถรับรูไ ดจากสง่ิ ใด
เพลงช้ากจ็ ะดา� เนนิ ไปช้าๆ อยางตอเนือ่ ง เปรยี บได้กับการเคาะเทา้ ของนกั ดนตรขี ณะบรรเลง
จากนัน้ ใหน ักเรียนรวมกันแสดง ๑.๒) จงั หวะของทา� นองเพลง เปน็ จงั หวะทดี่ า� เนนิ ไปตามความสนั้ -ยาวของลกั ษณะ
ความคิดเหน็ ในประเดน็ ทีว่ า “หาก
โลกนไ้ี มมศี ิลปะจะเปน อยางไร” ตัวโน้ต (ตัวกลม ตัวขาว ตวั ด�า...) ที่ประกอบกันเป็นท�านองเพลง เปรยี บได้กบั ความส้นั -ยาวของ
เสียงแตละเสียงทีน่ ักดนตรกี �าลงั บรรเลง
สํารวจคนหา
๑.๓) จงั หวะของบทเพลง เปน็ จงั หวะทดี่ า� เนนิ ไปอยา งมแี บบแผนในเรอื่ งของการเนน้
ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน สามารถแบง ออกเป็น ๓ แบบ คอื เพลง ๒ จงั หวะ เพลง ๓ จังหวะ และเพลง ๔ จังหวะ โดยเพลง
สบื คน ขอ มลู เกย่ี วกบั องคป ระกอบทใ่ี ช ท้งั ๓ แบบนจ้ี ะให้ความรสู้ ึกทแี่ ตกตางกันไป
ในการสรา งสรรคง านดนตรี จากแหลง
การเรยี นรตู า งๆ เชน หอ งสมดุ หนงั สอื ๒) ทา� นอง (Melody) คอื การนา� เอาเสยี งดนตรหี ลากหลายระดบั เสยี งทม่ี คี วามสน้ั -ยาว
เรียน อนิ เทอรเ น็ต เปนตน
ของเสียงที่แตกตางกันมาร้อยเรียงให้เกิดความไพเราะ การแตงท�านองท่ีดีจะต้องเข้าใจในเร่ือง
อธิบายความรู ของเสยี งดนตรแี ละบนั ไดเสยี ง (บนั ไดเสยี ง คอื กลมุ เสยี งดนตรที จี่ ดั ไวเ้ ปน็ หมวดหมอู ยา งมแี บบแผน
เราสามารถน�าเสียงในบันไดเสียงดังกลาวไปใช้ในการประพันธ์ท�านองเพลงและเรียบเรียงเสียง
ใหนกั เรยี นแตล ะกลมุ นาํ ขอมูล ประสานได ้ เชน บนั ไดเสยี งชนดิ เมเจอร ์ (Major) ใชส้ า� หรบั ประพนั ธท์ า� นองทใ่ี หค้ วามรสู้ กึ สนกุ สนาน
ทีไ่ ดศ ึกษามาอภปิ รายรว มกันถึง บนั ไดเสยี งชนิดไมเนอร์ (Minor) ใช้ส�าหรบั ประพนั ธท์ า� นองทใี่ หค้ วามรสู้ ึกเศร้า เหงา เปน็ ตน้ )
องคประกอบทใี่ ชในการสรางสรรค
งานดนตรี จากนนั้ ใหสรุปผลการ ๓) เสยี งประสาน (Harmony) คอื เสยี งทเ่ี กดิ ขน้ึ พรอ้ มกนั ตงั้ แต ๒ เสยี งขน้ึ ไป มคี วาม
อภิปรายลงกระดาษรายงาน
สงครูผสู อน กลมกลนื กนั ชว ยสรา้ งสสี นั บบี คน้ั และผอ นคลายอารมณข์ องผฟู้ งั ซง่ึ จะเปรยี บไดก้ บั พนื้ หลงั ของ
ภาพถา ย เสยี งประสานจะชว ยใหท้ า� นองและจงั หวะมคี วามโดดเดน มากยงิ่ ขนึ้ โดยเสยี งประสานจะ
เกรด็ แนะครู ประกอบไปด้วยสว นส�าคัญ ๒ ประการ คือ
ครคู วรนําเพลงพระราชนิพนธ ๓.๑) ข้นั คเู่ สยี ง หมายถงึ ระยะหางของเสียง ๒ เสยี ง เรยี งตามลา� ดับขนั้ ของโน้ต
อันดับท่ี 1 “เพลงแสงเทยี น” มาเปด ในบนั ไดเสียง
ใหน กั เรยี นฟง แลวใหนักเรียนฝกรอ ง
ตาม เนอื่ งจากบทเพลงดังกลาว ๓.๒) คอร์ด หมายถึง เสยี งท่ีประกอบดว้ ยเสยี ง ๓ เสยี งขน้ึ ไป เปลงเสียงออกมา
เปนบทเพลงทีม่ ีความงาม มคี วาม พร้อมๆ กนั หรือเปลงเสยี งออกมาทีละเสียงอยา งตอ เน่ือง
นาเพลิดเพลินใจ และมคี วามเปน เลศิ
ถงึ ขีดสดุ ตามหลกั สุนทรยี ธาตุ ๑๐
10 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
๓.2 เทคนิคท่ใี ช้ในการสร้างสรรคง์ านดนตรี อธิบายความรู
การสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะมหี ลกั วชิ าทเี่ รยี นรแู้ ละถา ยทอดตอ เนอื่ งกนั มา ในทน่ี จี้ ะกลา วถงึ
เทคนิคท่ีใช้ในการสร้างสรรค์งานดนตรี ซ่ึงเทคนิคที่ใช้ในการสร้างสรรค์งานดนตรีมิได้จ�ากัดอยูที่ จากการศกึ ษาเทคนคิ ทีใ่ ชในการ
การแตง ทา� นองใหป้ รากฏเปน็ ทา� นองเพลงเทา นนั้ ศลิ ปน ดนตรยี งั ตอ้ งแสวงหากลวธิ ี หรอื เทคนคิ ใน สรา งสรรคง านดนตรีจากในหนงั สือ
การสรา้ งสรรคส์ ่งิ ทด่ี ีทีส่ ุด เพ่ือให้เข้าถึงสุนทรียะของดนตรี โดยมแี นวทางในการฝึกฝน ดงั ตอ ไปนี้ เรยี น หนา 11 ครตู ้ังประเดน็ วา
เทคนิคทใ่ี ชใ้ นการสร้างสรรค์งานดนตรี • เหตใุ ดเราจงึ ไมค วรวาดมโนภาพ
ตามเสยี งเพลงบรรเลงทกุ บท
ขจดั อคติ ออกไปจากความคิดและจิตใจของตนให้ได้มากที่สุด คือ อย่าชื่นชอบเพลง (แนวตอบ เน่ืองจากดนตรที ี่มี
หรือดนตรีด้วยความล�าเอียง เพราะรัก หรือหลงใหล หรือเกรงใจในตัว ความงามเปนเลศิ อาจจะไมม ี
ศิลปินตามกระแสการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ของบริษัทผู้ผลิต หรือ ภาพ หรอื เร่ืองราวใดๆ แฝง
คิดรังเกียจเพลง หรือดนตรี เพราะความชังอย่างไม่มีเหตุผลท่ีมีต่อศิลปิน อยเู ลย แตบ ทเพลงจะงามดว ย
หรือผู้ผลิต การมีอคติเช่นนี้เท่ากับว่าเราปิดก้ันตนเอง โดยจะไม่มีโอกาสได้ องคประกอบที่เหมาะสมลงตัว
สมั ผสั รสู้ ุนทรยี ะของเพลง หรือดนตรีของบคุ คลอ่นื หรือของกระบวนแบบ ของธาตุตางๆ ของศิลปะดนตร)ี
อ่นื เลย
• หากสงั คมใดไมม ดี นตรี สงั คมนน้ั
เข้าใจเร่อื งธาตทุ ี่ เขา้ ใจวา่ ดนตรใี ชเ้ สยี งเปน็ สอ่ื บอกเนอ้ื หา บอกสนุ ทรยี ธาตุ และบอกศลิ ปนิ ธาตุ จะเปน อยางไร
เปน็ องค์ประกอบ ให้ผู้รับสื่อรับรู้ แต่เสียงดนตรีไม่อาจให้ภาพที่ชัดเจนแก่ผู้ฟังได้ ท�าให้ดนตรี (แนวตอบ นักเรยี นสามารถตอบ
เป็นจินตศิลป ผู้ฟังจ�าเป็นต้องสร้างจินตนาการตามเสียงน้ันด้วยตนเอง คําถามไดอยา งอสิ ระ แตค รเู นน
ของดนตรี เสียงดนตรจี ึงมพี ลังและความคล่องตวั ในอนั ทจี่ ะกระตุ้นอารมณ์ ความรสู้ ึก ย้ําวา ดนตรแี สดงถึงวฒั นธรรม
อยา่ งถ่องแท้ ของผฟู้ งั ไดต้ า่ งๆ นานา ขน้ึ อยกู่ บั พนื้ ฐานทางวฒั นธรรม ทางสงั คม ทางความ ความเปน ชาติ ชว ยจรรโลงสงั คม
สนใจ และความรู้ ภูมิหลงั ของบุคคลนั้นๆ หากสังคมขาดดนตรี สงั คมนัน้
กจ็ ะไรซ่งึ วัฒนธรรม)
หมนั่ ศกึ ษา ต้องมีความรู้เรื่องไวยากรณ์ หรือสังคีตลักษณ์ของเพลงและดนตรี ต้องมี
หาความรู้ ความรู้เร่ืองกระบวนแบบของดนตรี ต้องมีความรู้เร่ืองทฤษฎีดนตรี และ นักเรียนควรรู
ดา้ นดนตรี ควรมีความรู้เร่อื งเทคนคิ วธิ ีการบรรเลงเครอ่ื งดนตรเี หล่านอ้ี ยู่บา้ ง
จนิ ตศิลป หรอื Imagination Art
ฝกึ นิสยั การฟัง จะท�าให้ได้ยินหน่วยเสียงทุกเสียง สามารถจับธาตุที่เป็นองค์ประกอบของ คือ ศิลปะท่ีรับรูแลวเกิดจินตนาการ
เพลงและดนตรี ศิลปะดนตรีได้อย่างครบถ้วน และสามารถวิเคราะห์ไวยากรณ์และทาง อยา งตอ เนอ่ื ง ทาํ ใหร ับรสสนุ ทรียได
อยา่ งเอาใจจดจ่อ ประสานเสียงของบทบรรเลงได้ ซ่ึงส่ิงต่างๆ เหล่าน้ีจะเป็นเคร่ืองมือท�าให้ อยา งสมบรู ณ เชน ดนตรี วรรณกรรม
ผฟู้ งั มองเหน็ หรือสัมผสั รู้สนุ ทรยี ะของดนตรีได้ เปน ตน ซ่งึ บางครงั้ ไมต อ งมองเหน็
ไมตอ งอานดว ยตนเอง ฟงคนอื่นอาน
อยา่ พยายาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคีตนิพนธ์ในกลุ่มดนตรีท่ีมีความงามเป็นเลิศ หรือ กไ็ ดสนุ ทรยี รสแลว
วาดมโนภาพ เพลงคลาสสิก (Classical Music) ซ่งึ จะไมม่ ีภาพ หรือเร่ืองราวใดๆ แทรกอยู่
ตามเสียงเพลง แต่จะงามด้วยองค์ประกอบที่เหมาะสมลงตวั ของธาตตุ า่ งๆ ของศิลปะดนตรี นกั เรียนควรรู
บรรเลงทุกบท
ไวยากรณ หรอื สงั คตี ลกั ษณ รปู แบบ
๑๑ หรือลักษณะของบทเพลงท่ีมีความ
แตกตางกัน โดยขึ้นอยูกับผูประพันธ
วา จะดาํ เนนิ ไปในลกั ษณะใด
นกั เรียนควรรู
ขจดั อคติ การขจดั ความลําเอียง ซึ่งมอี ยูดวยกัน 4 อยาง คือ ฉนั ทาคติ
(ลาํ เอยี งเพราะรกั ) โทสาคติ (ลาํ เอยี งเพราะโกรธ) ภยาคติ (ลําเอียงเพราะกลัว)
และโมหาคติ (ลาํ เอียงเพราะเขลา)
คมู อื ครู 11
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand
ตรวจสอบผล (ยอ จากฉบบั นักเรียน 20%)
ครูพิจารณาจากผลงานการสรุป กิจกรรม ศลิ ปป ฏบิ ตั ิ ๑.๒
สาระสําคัญขององคป ระกอบท่ีใชใน
การสรา งสรรคงานดนตรี
เกร็ดแนะครู กจิ กรรมที่ ๑ ใหน้ กั เรียนแบง กลมุ กลมุ ละ ๕-๖ คน แล้วรว มกนั อภิปรายเกีย่ วกับองค์ประกอบท่ี
กจิ กรรมท่ี ๒ ใช้ในการสรา้ งสรรค์งานดนตรีและงานศลิ ปะอื่นๆ วามคี วามเหมือน หรอื แตกตาง
(แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปปฏิบตั ิ 1.2 กันอยางไร จากน้ันสรุปสาระส�าคัญจัดท�าเป็นรายงาน ตกแตงรูปเลมให้สวยงาม
กิจกรรมท่ี 2 สง ครผู สู้ อน
1. ดนตรเี ปน งานทมี่ นุษยส รา งสรรค ให้นักเรียนตอบค�าถามตอไปนี้
๑. ดนตรีมีอิทธิพลตอบุคคลและสงั คมอยา งไร
ข้นึ เพอื่ นาํ มาใชประกอบกจิ กรรม ๒. เหตใุ ดงานดนตรจี งึ ไดร้ บั การยอมรบั จากสงั คมและอยคู กู บั สงั คมมาอยา งยาวนาน
ตางๆ ต้งั แตเ กดิ จนตาย อีกทงั้ ๓. องค์ประกอบที่ใช้ในการสร้างสรรค์งานดนตรีมีส่ิงใดบ้าง แล้วมีความแตกตาง
ดนตรียังชว ยยกระดับจิตใจของ
มนษุ ยใหสงู ขนึ้ อีกดว ย กับองค์ประกอบท่ีใช้ในการสรา้ งสรรค์งานศิลปะอนื่ ๆ อยางไร
2. ดนตรเี ปนมรดกทางวฒั นธรรม
ท่เี สริมสรา งความแขง็ แกรง ให ดนตรีเปนมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ เนื้อหาสาระของดนตรีมีคุณคาตอ
กับคนในชาติ การสรางสรรค ความเปนชาติ เสริมสรา งความสมบรู ณและความมัน่ คงใหกับสังคม
งานดนตรีจึงมีมาอยา งตอ เน่อื ง ทั้งน้ี การฝกฝนตนเองเพื่อใหเขาถึงสุนทรียะของศิลปะอื่นๆ นับวา
นอกจากนี้ ความกาวหนา ทาง เปนการฝกที่ยาก ซึ่งบุคคลที่มีพื้นฐานความรู ประสบการณดานศิลปะ
เทคโนโลยแี ละการปรับเปลย่ี น และมีภูมิหลังทางสังคมและวัฒนธรรมท่ีแตกตางกันจะเขาถึงสุนทรียะ
ดนตรใี หเ ขา กบั ยคุ สมยั กเ็ ปน ปจ จยั ของศิลปะไดไมเทากัน แตผูเรียนก็สามารถพัฒนาขีดความ
สาํ คัญทที่ ําใหง านดนตรไี ดรับการ สามารถของตนเองได โดยการศึกษาหาความรูและส่ังสม
ยอมรบั จากสังคมมาจนถงึ ปจจบุ ัน ประสบการณด า นศลิ ปะเพ่ิมขน้ึ เรื่อยๆ ตามคําแนะนําท่ีกลาวไว
3. นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ในเน้อื หา เพราะหากบคุ คลใดเขา ถึงสุนทรียะของศลิ ปะได บคุ คลนน้ั
ไดอ ยางอิสระ ครูควรเนน ให ยอมเปนผูท ่ีมีความสขุ มคี วามอ่ิมเอิบใจ และรสู ึกสงางามในใจอยางที่
นักเรียนเขาใจวา ความงามจะ ใครไมส ามารถมีเทา ได
สัมผัสไดด ว ยประสาทสมั ผัสที่
แตกตา งกนั โดยดนตรจี ะใช
ประสาทสมั ผสั ทางหูในการฟง
เพลงที่ไพเราะ)
หแสลดักงฐผานลการเรยี นรู ๑2
1. รายงานเก่ียวกบั อิทธิพลของดนตรี
ทีม่ ีตอบุคคลและสังคม
2. ผลงานการสรปุ สาระสาํ คัญของ
องคประกอบท่ใี ชใ นการสรา งสรรค
งานดนตรี
12 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage
Explore Explain Expand Evaluate
เปา หมายการเรยี นรู
1. รอ งเพลง เลน ดนตรเี ดยี่ ว และ
รวมวง โดยเนนเทคนิคการรอง
การเลน การแสดงออก และ
คุณภาพเสยี ง
2. อธิบายเหตผุ ลในการเลอื กใช
องคป ระกอบดนตรใี นการ
สรา งสรรคงานดนตรขี องตนเอง
3. เปรียบเทียบความแตกตางระหวา ง
งานดนตรขี องตนเองและผอู ่ืน
4. นําเสนอ หรือจดั การแสดงดนตรี
ทเ่ี หมาะสม โดยบูรณาการกับ
สาระการเรยี นรอู ่ืนในกลุม ศลิ ปะ
5. บรรยายวิวฒั นาการของดนตรี
แตละยุคสมัย
òหนว่ ยท่ี กระตนุ ความสนใจ
ทกั ษะดนตรไี ทย ครูเปด “เพลงบุหลนั ลอยเลือ่ น”
พระราชนพิ นธในพระบาทสมเด็จ
ตัวชี้วดั ดนตรีไทยเปนสมบัติและวัฒนธรรม พระพทุ ธเลศิ หลา นภาลัย (รชั กาล
ท่ี 2) ใหน กั เรียนฟง จากน้ันครถู าม
■ รอ งเพลง เลนดนตรีเด่ยี วและรวมวง โดยเนนเทคนคิ การรอง การเลน ท่ีบงบอกความเปนไทย ทั้งนี้ การขับรอง นกั เรียนวา
การแสดงออก และคณุ ภาพเสียง (ศ ๒.๑ ม.๓/๒) และการบรรเลงดนตรีไทยมีหลายลักษณะ
ผูเรียนจึงจําเปนตองศึกษาแตละลักษณะให • บทเพลงที่ฟงจบไปน้ันมชี ื่อเพลง
■ อธบิ ายเหตุผลในการเลอื กใชองคป ระกอบดนตรีในการสรางสรรค เขาใจ เปรียบเทียบความแตกตางและอธิบาย วาอยา งไร
งานดนตรขี องตนเอง (ศ ๒.๑ ม.๓/๔) เหตุผลในการเลือกใชองคประกอบดนตรีในงาน
• เน้ือหาของเพลงตองการส่ือถงึ
■ เปรยี บเทียบความแตกตางระหวา งงานดนตรีของตนเองและผูอ ืน่ เร่ืองใด
(ศ ๒.๑ ม.๓/๕)
• เครอ่ื งดนตรที บ่ี รรเลงประกอบ
■ นาํ เสนอ หรอื จดั การแสดงดนตรีทเ่ี หมาะสม โดยบูรณาการกับ เพลงเปน เคร่อื งดนตรชี นดิ ใด
สาระการเรยี นรอู นื่ ในกลมุ ศลิ ปะ (ศ ๒.๑ ม.๓/๗)
จากนัน้ ใหน กั เรยี นชว ยกนั บอกชือ่
■ บรรยายววิ ฒั นาการของดนตรีแตละยุคสมัย (ศ ๒.๒ ม.๓/๑) เพลงไทยเดมิ และเครอ่ื งดนตรีไทยที่
นกั เรยี นรจู ักมาใหมากท่สี ดุ
สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ดนตรแี ตล ะลกั ษณะได ตลอดจนสามารถฝก ปฏบิ ตั ิ
เกรด็ แนะครู
■ เทคนคิ และการแสดงออกในการขบั รอ งและการบรรเลงดนตรเี ดย่ี ว เคร่ืองดนตรีไทยและสามารถนําไปแสดงในโอกาส
และรวมวง การเรยี นการสอนในหนว ยนี้ ครคู วร
■ การเลอื กใชองคประกอบในการสรา งสรรคบ ทเพลง ตางๆ เพ่ือเปนการสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยให หาซีดีเพลงไทยเดมิ มาเปด ใหนกั เรยี น
คงอยูคกู ับสงั คมไทยสืบตอ ไป ฟง เชน เพลงเขมรไทรโยค เพลงบหุ ลนั
ฯลฯ ลอยเล่ือน เปนตน เพราะในปจจุบัน
เพลงไทยเดมิ เหลา นนี้ กั เรยี นสว นใหญ
ไมน ิยมฟง
คมู ือครู 13
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain
Engage Expand Evaluate
สํารวจคน หา (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)
ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน ๑. วิวัฒนาการของดนตรไี ทยในแต่ละยคุ สมัย
สืบคนขอมูลเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
ดนตรีไทยในสมัยสุโขทัย จากแหลง การศกึ ษาเรอื่ งราวของดนตรไี ทยนนั้ จา� เปน็ อยา งยง่ิ ทจี่ ะตอ้ งทราบถงึ แหลง กา� เนดิ ความ
การเรยี นรตู า งๆ เชน หอ งสมดุ หนงั สอื เป็นมา และววิ ฒั นาการของดนตรีไทยในแตละยคุ สมัย เพื่อใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความซาบซง้ึ มองเห็น
เรียน อนิ เทอรเ น็ต เปน ตน คุณคาของดนตรีไทย อันเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมประจ�าชาติไทย ซ่ึงการแบงยุคสมัยทาง
ดนตรขี องไทยจะนิยมก�าหนดตามยุคสมยั ทางประวตั ศิ าสตร ์ ดังตอ ไปนี้
อธบิ ายความรู ๑.๑ สมยั สโุ ขทัย
สมัยสุโขทัยนับเป็นสมัยเริ่มต้นท่ีคนไทยรวมตัวกันเป็นชาติอยางสมบูรณ์ แทนที่จะเป็น
ใหน กั เรียนแตล ะกลมุ นําความรู เพยี งอาณาจกั รทมี่ เี ขตอทิ ธพิ ลอยา งจา� กดั ดงั แตก อ น เรอื่ งราวของสโุ ขทยั มคี วามชดั เจนมากยงิ่ ขนึ้
เกยี่ วกบั ววิ ฒั นาการดนตรไี ทยในสมยั เม่อื พอ ขุนรามค�าแหงไดป้ ระดิษฐ์อกั ษรไทยและจารกึ เร่ืองราวตางๆ ลงในหลักศลิ าจารกึ และจาก
สุโขทยั ท่ีไดส ืบคนมาพูดคุย ศลิ าจารกึ นเ้ี องทา� ใหค้ นรนุ หลงั ทราบวา สมยั สโุ ขทยั เปน็ ยคุ สมยั หนงึ่ ทมี่ คี วามเจรญิ กา้ วหนา้ ทางดา้ น
แลกเปลีย่ นกันในชน้ั เรียน สังคม เศรษฐกจิ การเมอื ง การทหาร ภาษา และศลิ ปวฒั นธรรม ชาวเมืองมเี ครอ่ื งเลน สรา้ งความ
ร่ืนเริงบันเทิงใจ และมีอิสระเสรีที่จะแสดงออกในเร่ืองราวของบทเพลงและดนตรี เพลงและเรื่อง
นักเรียนควรรู ราวของดนตรีบางสว นจงึ ปรากฏอยบู นหลักศลิ าจารึก เชน ข้อความทีว่ า “เสียงพาทย เสียงพิณ
เสียงเลื่อน เสยี งขับ” แสดงให้เหน็ วา ในสมยั สุโขทยั มกี ารนา� ดนตรีมาใชใ้ นกิจกรรมตา งๆ ทงั้ ใน
บณั เฑาะว เปน เครอื่ งดนตรปี ระเภท ราชสา� นักและประเพณขี องราษฎร
กลอง ท่ีมีลักษณะหัวและทายใหญ เครื่องดนตรีที่ปราฏหลักฐานวามีการใช้กันในสมัยสุโขทัย เชน บัณเฑาะว์ สังข์
ตรงกลางคอด ใชเชือกผูกกับลูกตุม แตรงอน (กาหล) แตรเขาควาย (พิสเนญชัย) พิณเพียะ หรือเปียะ ซอสามสาย กรับพวง
กลองชนิดน้ีจะเกิดเสียงโดยใชมือถือ กรับค ู มโหระทึก ฆอ้ ง กลอง กังสดาล ฉงิ่ ฉาบ เป็นตน้ เพลงไทยท่ปี รากฏขึ้นในสมยั น้ ี ไดแ้ ก
พลิกขอมือไปมา ใหลูกตุมท่ีปลาย เพลงเทพทอง หรอื เรยี กอีกอยางหนง่ึ วา “เพลงสโุ ขทยั ”
เชอื กกระทบหนงั หนา กลองทงั้ สองดา น
บัณเฑาะวเปนเครื่องดนตรีท่ีพบเห็น ตวั อยา งเครอ่ื งดนตรที ป่ี รากฏหลกั ฐาน
ไดใ นพระหัตถขวาของพระศิวะ วา มกี ารใชกันในสมยั สุโขทัย
ทมี่ าของภาพ : คลงั ภาพ ACT.
นักเรียนควรรู
๑4
กังสดาล เปนระฆังวงเดือน หลอ
จากสัมฤทธิ์ หรือทองเหลือง ดานบน
เจาะรูไวแขวน ใชเปนเคร่ืองตีบอก
สัญญาณของพระสงฆในสมัยโบราณ
และใชประกอบการบรรเลงดนตรีใน
บางโอกาส
@ มมุ IT
สามารถฟงตัวอยางเพลงเทพทอง
สองช้ัน ซึ่งเปนเพลงท่ีสันนิษฐานวา
เกดิ ขนึ้ ในสมยั สโุ ขทัย ไดจาก http://
www.youtube.com โดยคนหาจาก
คําวา เพลงเทพทองสองชน้ั
14 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain
Engage Expand Evaluate
๑.2 สมัยอยุธยา สาํ รวจคน หา
สมยั อยธุ ยาดนตรมี กี ารพฒั นาในหลายๆ ดา้ น ทัง้ นี้ เพราะอยุธยาเป็นราชธานยี าวนาน
ถงึ ๔๑๗ ป ี จึงมกี ารตดิ ตอสมั พันธก์ บั ชาตติ างๆ หลายชาต ิ โดยผานทางการเมือง การคา้ และ ใหน ักเรยี นสบื คน ขอ มูลเกย่ี วกับ
การแลกเปล่ียนทางวัฒนธรรม เชื่อกันวาในสมัยอยุธยาดนตรีไทยนาจะมีความเจริญมาก ท�าให้ เคร่อื งดนตรไี ทยในสมัยอยุธยา
ประชาชนนยิ มเลน ดนตรกี นั มากมาย แมแ้ ตใ นเขตพระราชฐาน จนกระทง่ั ในสมยั สมเดจ็ พระบรม- จากแหลงการเรยี นรูตางๆ เชน
ไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑ - ๒๐๓๑) ต้องมกี ฎมณเฑยี รบาลก�าหนดวา “หา มรองเพลงเรอื เปา ขล่ยุ หองสมดุ หนงั สอื เรยี น อนิ เทอรเ นต็
เปาป สีซอ ดีดกระจบั ป ดีดจะเข ตโี ทนทบั ในเขตพระราชฐาน” เปนตน
เคร่ืองดนตรีในสมัยอยุธยาบางชนิดรับชวงมาจาก
สมัยสุโขทัย แตได้มีการพัฒนาในการคิด อธิบายความรู
สร้างเครื่องดนตรีข้ึนมาอีกหลายชิ้น
จนท�าให้เครื่องดนตรีในสมัยนี้มีครบ ใหนกั เรียนนําขอ มูลเก่ยี วกับ
เกอื บทุกประเภท เชน กระจับป ี จะเข้ เคร่อื งดนตรไี ทยในสมัยอยธุ ยาทีไ่ ด
(พฒั นามาจากเครอ่ื งดนตรขี องมอญ) สบื คน มาอภปิ รายแลกเปลยี่ นกัน
ขลุยเปนเคร่ืองดนตรีประเภทเคร่ืองเปาชนิดหน่ึง ท่ีมีปรากฏหลักฐาน พณิ นา้� เต้า ซอสามสาย ซออู ้ ซอด้วง ในชน้ั เรียน
อยูในสมยั อยุธยาสืบเนอ่ื งมาจนถึงปจจุบัน ขลุย กรับคู กรับเสภา ระนาดเอก
ทมี่ าของภาพ : คลงั ภาพ ACT. นกั เรยี นควรรู
ฆอ้ งวงใหญ ฆอ้ งชัย ฆอ้ งโหมง ฉงิ่ ฉาบ ตะโพน โทน ร�ามะนา กลองทัด กลองตุก ปใี น ปีก ลาง ฆอ งชัย หรือฆองหุย ใชตกี ํากบั
แตรงอน แตรสงั ข ์ เป็นต้น จังหวะ เปนฆองท่ีมีขนาดใหญท่ีสุด
เพลงไทยท่ีปรากฏในสมยั นี้ สามารถจ�าแนกออกเป็น ๓ ประเภท คอื ในวงดนตรีไทย ที่เรียกวา “ฆองชัย”
๑. เพลงมโหร ี ใชว้ งมโหรบี รรเลง มไี ว้สา� หรบั บรรเลงขบั กลอ ม เพลงทบี่ รรเลงม ี ๒ ชนดิ อาจเปน เพราะในสมยั โบราณใชฆอง
คอื เพลงตบั และเพลงเกรด็ ซง่ึ มตี า� ราเพลงมโหรปี รากฏรายชอ่ื ชนิดนีต้ ีเปน สัญญาณในกองทัพ
ตกทอดมาถงึ สมัยรัตนโกสนิ ทร์ถงึ จา� นวน ๑๙๗ เพลง ปจจุบันใชตีในงานพิธีและงานมงคล
๒. เพลงปีพาทย์ ใช้วงปีพาทย์บรรเลง มีไว้ส�าหรับ ตางๆ
บรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร และใชบ้ รรเลงประกอบ
พิธีกรรมตางๆ เพลงที่บรรเลง เชน เพลงหน้าพาทย์ นักเรียนควรรู
เพลงประกอบละคร เพลงเรอื่ ง เป็นต้น
๓. เพลงภาษา เปน็ เพลงไทยท่ีมสี า� เนยี ง กลองตุก หรือกลองชาตรี เปน
ของชาติตางๆ มักใชบ้ รรเลงประกอบตวั ละครตาม เครอื่ งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งตี ทาํ หนา ที่
เชอื้ ชาตนิ นั้ ๆ เชน เพลงสา� เนยี งภาษาจนี เพลงสา� เนยี ง กํากับจังหวะ มีลักษณะเปนรูปทรง
มอญ เปน็ ตน้ กระบอก ตรงกลางปองออกเล็กนอย
หนากลองตรึงดวยหมดุ ซึ่งทําดวยไม
ซอสามสาย เปน เครือ่ งดนตรีประเภทเคร่อื งสที ปี่ รากฏ ๑5 งาชาง กระดูกสัตว หรือโลหะ กลาง
หลักฐานสืบเนื่องมาจากสมยั สโุ ขทัย กลองดานหน่ึงมีหวงสําหรับแขวน
ทม่ี าของภาพ : คลงั ภาพ ACT. ใชขาหย่ังคํ้าตั้งขึ้นตีดวยไม 2 อัน
ลักษณะเปนไมยาวเรียว ปลายมน
นกั เรยี นควรรู ลูกหน่ึงเสียงสูง เรียกวา “ตัวผู” อีก
ลูกหน่ึงเสียงต่ํา เรียกวา “ตัวเมีย”
แตรงอน แตรที่มีลักษณะปลายบานและโคงงอน ตัวผูจะอยูทางขวามือและตัวเมียจะ
เหมอื นเขาควาย ใชใ นงานพระราชพิธี อยูทางซายมอื ของผูตี
คูมอื ครู 15
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage
Explore Explain Expand Evaluate
กระตนุ ความสนใจ (ยอจากฉบับนกั เรียน 20%)
ครถู ามนักเรียนวา ๑.๓ สมยั รัตนโกสินทร์
• ทราบหรือไมวา วิวฒั นาการ ดนตรใี นสมยั รตั นโกสนิ ทรม์ กี ารพฒั นาตอ เนอ่ื งมาจากดนตรใี นสมยั อยธุ ยา สามารถแยก
กลาวในแตละชวงของรชั กาลได้ ดงั ตอไปนี้
ดนตรีไทยในสมัยรัตนโกสินทร
ชว งใดมีความเจริญรงุ เรอื ง ๑) สมัยพระบาทสมเด็จ ๒) สมยั พระบาทสมเด็จ ๓) สมัยพระบาทสมเด็จ ๔) สมัยพระบาทสมเด็จ
มากทสี่ ุด พระพุทธยอดฟาจุฬาโลก พระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย พระน่ังเกล้าเจ้าอยูห่ วั พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั
(แนวตอบ ชวงท่ีดนตรีไทยเจริญ มหาราช (รชั กาลที่ ๑) (รชั กาลท่ี ๒) (รัชกาลที่ ๓) (รัชกาลที่ ๔)
รุงเรืองที่สุด คือ สมัยพระบาท
สมเดจ็ พระพุทธเลิศหลานภาลัย พระองคไ์ ดท้ รงฟน ฟศู ลิ ป- ใ น ส มั ย น้ี ด น ต รี ไ ท ย ไ ด ้ ในสมัยนี้วงดนตรีได้มีการ การดนตรเี จรญิ แพรห่ ลาย
(รัชกาลที่ 2) เน่ืองจากพระองค วัฒนธรรมข้ึน โดยทรงพระ เจรญิ รุ่งเรอื งขน้ึ โดยพระองค์ ประดิษฐ์ระนาดทุ้มขึ้น เพื่อ มากยง่ิ ขน้ึ มวี งปพ าทย์ วงมโหรี
ทรงสงเสริมศิลปะการแสดงเปน ราชนิพนธ์เร่ืองรามเกียรต์ิ ทรงสง่ เสรมิ ดา้ นวรรณคดแี ละ ให้เป็นคู่กบั ระนาดเอก โดยทา� เกิดขน้ึ มากมาย มีการบรรเลง
อันมาก ซึ่งดนตรีกับศิลปะการ และเรื่องดาหลังให้สมบูรณ์ การละคร ทรงพระราชนพิ นธ์ ตามแบบระนาดเอกของเดิม เพลงอัตราจังหวะสามช้ันกัน
แสดงเปน สงิ่ ทอ่ี ยคู วบคกู นั ทาํ ให ซ่ึงเป็นวรรณคดีท่ีมีมาต้ังแต่ เรอ่ื งอเิ หนาและเรอ่ื งรามเกยี รต์ิ คือ ให้มีลูกระนาดขนาดใหญ่ อยา่ งแพรห่ ลาย มเี ครอื่ งดนตรี
สมัยน้ีดนตรีไทยจึงจัดอยูในยุค สมัยอยุธยา โดยวรรณคดีท้ัง ขนึ้ อกี สา� นวนหนงึ่ เพอื่ ใหเ้ หมาะ กวา่ เพอื่ ใหเ้ กดิ เสยี งทมุ้ ตา�่ แลว้ เกิดขึ้นใหม่อีกด้วย น่ันก็คือ
รงุ เรือง) ๒ เร่ืองน้ี ใช้ในการแสดงโขน แกก่ ารแสดงละครในมากยงิ่ ขนึ้ บรรเลงระนาดทมุ้ ใหม้ เี สยี งผดิ “ระนำดทอง” (ระนาดเอกเหลก็ )
และการแสดงละคร จงึ นบั เปน็ จนวรรณคดีเรื่องอิเหนาได้ แปลกไปจากระนาดเอก ส่วน ระนาดทองเป็นระนาดแบบ
นกั เรยี นควรรู รากฐานสา� คญั ทที่ า� ใหบ้ ทเพลง รับการยกย่องว่าเป็นกลอน ลลี าการบรรเลงระนาดทมุ้ นน้ั เดียวกับระนาดเอก แต่ท�า
ต่างๆ ในอดีตถูกฟนฟูขึ้นมา บทละครทีด่ ที ี่สุด ก็ให้มีลีลาท่ีหยอกล้อไปกับ ลกู ระนาดดว้ ยทองเหลอื งแทน
เพลงบหุ ลันลอยเล่ือน เปน เพลงทมี่ ี อีกคร้ัง เพราะละครไทยต้อง ระนาดเอก บางคร้ังอาจตี เวลาตีเสยี งจะดังกังวานมาก
เรื่องเลาสืบตอกันมาวา เม่ือพระบาท อาศัยเพลงบรรเลงประกอบ ส่วนด้านดนตรีก็เฟองฟู ล�้าหน้า บางครั้งตีเยื้องแนว
สมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา นภาลยั การแสดง ขึ้นเช่นเดียวกัน ดังปรากฏใน ลลี าไปขา้ งหลัง นอกจากน้ี ยงั มเี ครอ่ื งดนตรี
(รัชกาลที่ 2) ทรงซอสามสายคู พระราชประวัติของพระองค์ อีกชนิดหนึ่งคู่กับระนาดทอง
พระหัตถท่ชี ่ือวา “ซอสายฟา ฟาด” นอกจากนี้ ครดู นตรไี ดเ้ พม่ิ วา่ ทรงสซี อสามสายไดเ้ ปน็ เลศิ นอกจากมีระนาดทุ้มเพ่ิม นั่นก็คือ “ระนำดทุมเหล็ก”
แลวเสด็จเขา ทพี่ ระบรรทมและทรง กลองทัดข้ึนในวงปพาทย์อีก ทรงมีซอคู่พระหัตถ์เรียกว่า ข้ึนแล้ว ในด้านการบรรเลง เพอ่ื เพมิ่ เตมิ ในวงปพ าทย์ ทา� ให้
พระสุบนิ (ฝน) วา พระองคไ ดเ สดจ็ ลูกหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมวงปพาทย์ “ซอสำยฟำฟำด” และมีเพลง บทเพลงก็ได้มีการน�าเพลง มีการพัฒนาเป็นวงปพาทย์
พระราชดาํ เนนิ ไปในสถานท่แี หง หน่งึ จะมีกลองทัดเพียงลูกเดียว พระราชนิพนธ์ใหม่เกิดขึ้น อัตราจังหวะสองช้ันมาแต่ง เคร่ืองใหญ่
ไดท อดพระเนตรเหน็ ดวงจนั ทรค อ ยๆ ลูกท่ีเพ่ิมข้ึนเสียงต่างกันออก คอื เพลงบุหลนั ลอยเลื่อน ใน ขยายเป็นอัตราจังหวะสามชั้น
ลอยเคล่ือนเขามาใกลพระองคทีละ ไป ท�าให้เกดิ เสียง ๒ เสยี งข้นึ สมยั นเ้ี กดิ วงปพ าทยเ์ สภา และ และแต่งตัดเป็นอัตราจังหวะ
นอย และฉายแสงสวางไปท่ัวบริเวณ คอื เสยี งสงู ตดี งั “ตมู ” กบั เสยี ง ได้มีการน�ากลองสองหน้ามา ช้ันเดียว พร้อมท้ังน�าเพลง
ทนั ใดนนั้ กป็ รากฏเปน เสยี งทพิ ยดนตรี ต่�าตีดัง “ตอม” โดยจะเรียก ใช้ตีก�ากับจังหวะหน้าทับใน ท้ังสามอัตรามาเรียบเรียงเป็น
แววกงั วานหวานไพเราะเสนาะ ลูกทม่ี ีเสียงสงู ว่า “ตัวผู” และ วงปพาทยเ์ สภาอีกดว้ ย เพลงเถา เคร่ืองดนตรีท่ีคิด
พระกรรณ พระองคทรงสดับเสียง เรยี กลกู ทมี่ เี สยี งตา�่ วา่ “ตวั เมยี ” ขน้ึ ในสมยั น้ี คอื “ฆองวงเล็ก”
ดนตรีนั้นดวยความเพลิดเพลนิ
พระราชหฤทัย จนดวงจันทรค อยๆ ๑6
ลอยเคลอื่ นหา งออกไปในทองฟา
พรอ มกับเสียงดนตรนี ัน้ คอ ยๆ นกั เรยี นควรรู
จางลง จนหมดเสียง พลนั เสด็จ
ตนื่ จากบรรทมจงึ โปรดใหเ จา พนกั งาน เพลงเถา เปนเพลงขนาดยาวที่มีเพลง 3 ชนิด บรรเลงติดตอในเพลงเดียว โดยบรรเลง
ดนตรเี ขามาตอ เพลงนไ้ี ว เพลงสามช้ันกอน แลวเปนเพลงสองช้ัน ลงมาจนถึงเพลงชั้นเดียว เพลงเถานิยมใชบรรเลง
และขบั รอ งในรปู ของเพลงรบั รอ ง คอื เมอื่ รอ งจบทอ น ดนตรกี บ็ รรเลงรบั ไมน ยิ มนาํ เพลงเถา
16 คูม อื ครู มารอ งใหด นตรีบรรเลงคลอ หรือบรรเลงลาํ ลองแตอ ยางใด
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain
Engage Expand Evaluate
สํารวจคน หา
ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน
สืบคนขอมูลเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ
ดนตรีไทยในสมัยรัตนโกสินทร จาก
แหลงการเรียนรตู า งๆ เชน หองสมุด
หนังสอื เรยี น อินเทอรเนต็ เปน ตน
๕) สมยั พระบาทสมเดจ็ ๖) สมยั พระบาทสมเดจ็ ๗) สมัยพระบาทสมเด็จ ๘) สมัยพระบาทสมเด็จ อธบิ ายความรู
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ ัว พระปกเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว พระปรเมนทรมหา-
(รัชกาลที่ ๕) (รัชกาลท่ี ๖) (รัชกาลท่ี ๗) อานนั ทมหิดล ใหนักเรียนแตละกลุม สงตัวแทน
พระอัฐมรามาธบิ ดินทร ออกมานาํ เสนอววิ ฒั นาการดนตรไี ทย
ไ ด ้ มี ก า ร คิ ด วิ ธี ป ร ะ ส ม การบรรเลงดนตรีนิยม เป็นช่วงท่ีเกิดการเปล่ียน (รัชกาลที่ ๘) ในสมัยรัตนโกสินทรทีละกลุมหนาชั้น
วงดนตรขี นึ้ ใหมอ่ กี รปู แบบหนงึ่ รอ้ งรบั เปน็ เพลงเถาอยา่ งแพร่ แปลงการปกครองจากระบอบ เรียน จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน
คอื วงปพ าทย์ดกึ ดา� บรรพ์ ซึ่ง หลาย ก่อนหน้านี้ก็มีบรรเลง สมบูรณาญาสิทธิราชย์มา เ ป ็ น ร ะ ย ะ ที่ ด น ต รี ไ ท ย สรุปวิวัฒนาการดนตรีไทยต้ังแตสมัย
เปน็ การปรบั ปรงุ วงของสมเดจ็ กันบ้างแต่มานิยมกันมากใน เป็นการปกครองโดยระบอบ ซบเซา เน่ืองมาจากการขาด สโุ ขทยั จนถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทร โดยให
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟา สมยั นี้ เพลงเถานนั้ อาจตอ่ ดว้ ย ประชาธิปไตย ในสมัยนี้เกิด การสนับสนุนจากหลายส่วน นักเรียนจดบันทึกลงสมดุ
จติ รเจรญิ กรมพระยานรศิ รา ลูกหมดทา้ ยเพลงหรอื ไม่กไ็ ด้ เศรษฐกิจตกต�่าท่ัวโลกและ รวมไปถึงคนไทยนิยมหันไป
นวุ ดั ตวิ งศท์ ไ่ี ดท้ รงปรบั ปรงุ ขนึ้ ประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบ เล่นดนตรีแบบตะวันตกด้วย นกั เรยี นควรรู
เพื่อใช้ประกอบการแสดงที่ เครอ่ื งดนตรที ป่ี ระดษิ ฐข์ น้ึ น้ันด้วย พระองค์ทรงศึกษา ท�าให้การประพันธ์เพลงใน
เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ ใหม่ในสมัยนี้ ไดแ้ ก่ “องั กะลุง” ดนตรีจนมีพระปรีชาสามารถ สมัยนี้มีการน�าท�านองเพลง พรานบูรพ (จวงจันทร จันทรคณา)
(หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร) ซ่ึ ง ห ล ว ง ป ร ะ ดิ ษ ฐ ไ พ เ ร า ะ ใ น ก า ร เ ล ่ น ด น ต รี แ ล ะ ท ร ง ของสากลเข้ามาผสมผสาน เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2444
ได้ปรับปรุงขึ้น คือ ละคร (ศร ศิลปบรรเลง) ได้น�าแบบ พระราชนิพนธ์เพลงไทยไว้ โดยมีผู้น�าท�านองเพลงไทยมา นักประพันธเพลงท่ีปฏิรูปรูปแบบ
ดึกด�าบรรพ์ที่ดัดแปลงมาจาก อย่างมาจากเคร่ืองดนตรีของ ๓ เพลง คอื เพลงราตรปี ระดบั ใส่เนื้อร้องเต็มตามท�านองบา้ ง เพลงไทยจากทวงทํานองเพลงไทย
ละครโอเปรา (Opera) ของ อินโดนีเซีย เมื่อคราวตาม ดาวเถา เพลงเขมรละออองค์ แต่งขึ้นเองบ้าง เพ่ือประกอบ เดมิ ทมี่ ลี กู เออื้ นใหม ลี กั ษณะเปน สากล
ตะวนั ตก เสด็จสมเด็จพระราชปิตุลา เถา และเพลงโหมโรงคลื่น ละครพดู ละครประวัติศาสตร์ มากยง่ิ ขน้ึ จนอาจกลา วไดว า พรานบรู พ
บรมพงศาภิมุข เจ้าฟาภาณุ กระทบฝัง สามช้นั และภาพยนตร์ มนี กั ประพันธ์ คอื ผูริเริม่ เพลงไทยสากลก็ได ผลงาน
ในการนี้ท�าให้เกิดเครื่อง รังษีสว่างวงศ์ กรมพระยา เพลงเกิดข้ึนหลายท่าน เช่น เพลงที่สรางช่ือเสียง เชน เพลงจันทร
ดนตรีขึ้นใหม่อีกชนิดหนึ่ง คือ ภาณพุ นั ธวุ งศว์ รเดชเสดจ็ เยอื น นักดนตรีและนกั ประพนั ธ์ พรานบูรพ์ (จวงจันทร์ จนั ทร์ เจา ขา เพลงกลว ยไมล มื ดอย เปนตน
กลองตะโพน (ใชต้ ะโพน ๒ ใบ) อนิ โดนเี ซยี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ เพลงในสมัยของพระองค์มี คณา) หลวงวิจิตรวาทการ
ตั้งตีแทนกลองทัด โดยตีด้วย แ ต ่ ไ ด ้ มี ก า ร ดั ด แ ป ล ง ใ ห ้ มี มากมายหลายทา่ น เชน่ หลวง (กิมเหลียง วฒั นปฤดา)
ไม้นวม เพื่อให้เกิดเสียงทุ้มต่�า ๗ เสียง (ของเดิมมี ๕ เสียง) ประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลป- นายล้วน ควนั ธรรม เป็นต้น
ดงั กงั วาน และไมด่ งั กกึ กอ้ ง ซงึ่ และไดจ้ ดั ใหเ้ ขยา่ คนละ ๒ เสยี ง บรรเลง) นายมนตรี ตราโมท
เหมาะส�าหรับการแสดงละคร โดยเขยา่ ๒ มอื มอื ละ ๑ เสยี ง เป็นต้น แต่เน่ืองจากความ
ดึกดา� บรรพ์เป็นอย่างมาก ผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและ
นอกจากนี้ ไดน้ า� เพลงจาก การเมืองไทย ทา� ให้ดนตรีไทย
ชวามาดัดแปลงเป็นเพลงไทย และเพลงไทยได้รับผลกระทบ
อกี ดว้ ย เช่น เพลงยะวา เพลง และขาดความนยิ มลง
โหมโรงบเู ซน็ ซอ็ ค เพลงสะมารงั
เปน็ ตน้
@ มมุ IT
สามารถชมและฟงตัวอยางการ
บรรเลงขิมเพลงจากชวาที่ดัดแปลง
เปนเพลงไทย ไดจาก http://www.
๑7 youtube.com โดย คนหาจากคําวา
เพลงชวา หรอื การบรรเลงขมิ เพลงชวา
คูมอื ครู 17
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain
ขยายความเขา ใจ (ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%)
ครูเปด ซดี เี พลงพระราชนิพนธ ๙) สมยั พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช (รชั กาลที่ ๙) ตั้งแต่ครงั้ ทพี่ ระองค์ทรงดา� รงพระ
“ใกลรงุ ” ใหน กั เรยี นฟง จากนน้ั ให อิสริยยศเป็นสมเดจ็ พระอนชุ า กไ็ ด้ทรงรเิ รม่ิ พระราชนิพนธ์เพลงไทยสากลและเพลงสากลขนึ้ เพลงแรก คือ เพลงแสงเทยี น ซงึ่
นักเรียนฝกขบั รอ งตามครูทลี ะทอน มที ว่ งทา� นองเป็นแบบฝรงั่ มาก และจดั เข้าเปน็ เพลงแจส (Jazz Music) ประเภทบลสู ์ (Blues) เพราะมีท�านองเศรา้ ๆ จากนัน้ เม่ือ
จนจบเพลง ครูคอยใหคาํ แนะนาํ พระองคเ์ สดจ็ ขึ้นเสวยราชย์กม็ เี พลงพระราชนิพนธ์ตามมาอีกมากมาย จนชาวตะวันตกต่างกล่าวสรรเสรญิ ในพระปรีชาสามารถ
และช้แี นะขอบกพรอ ง ของพระองค์
ตรวจสอบผล ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๐ - ๒๕๐๐ เป็นอกี ระยะหนึง่ ทม่ี ีการนา� ท�านองเพลงไทยแท้ของเกา่ มาบรรเลงเรง่ จังหวะ และแยกเสยี ง
ประสานแบบสากล เพ่อื ให้นา่ ฟังและมคี วามทันสมยั มากย่งิ ขน้ึ บทรอ้ งก็ไดม้ ีการปรบั เปลีย่ นให้เป็นภาษาสมยั ใหม่มากย่งิ ขึน้
ครูพจิ ารณาจากชิ้นงานการสรปุ
วิวัฒนาการดนตรไี ทยต้งั แต ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๐ - ๒๕๒๕ เปน็ ระยะท่เี รยี กว่า “ดนตรีรวมสมัย” ดนตรีสมยั นม้ี กี ารน�ากฎเกณฑ์ทฤษฎตี ะวนั ตกมาใช้
สมยั สุโขทยั จนถงึ สมยั รัตนโกสนิ ทร กับเพลงไทย เช่น แต่งเพลงไทยสากลตามทฤษฎีตะวันตก มีการน�าเพลงไทยไปเรียบเรียงเสียงประสานส�าหรับวงดนตรีสากล
วงดรุ ยิ างค์ (Marching Band) วงเครอื่ งสาย (String Band) วงคอมโบ (Combo Band) มกี ารนา� เพลง
นักเรียนควรรู อตั ราจงั หวะสองชนั้ และเพลงอตั ราจงั หวะชนั้ เดยี วมาใสเ่ นอื้ รอ้ งใหมแ่ บบเนอ้ื เตม็ ตามทา� นอง
เกิดเป็นเพลงลูกทุง่ และเพลงลูกกรุง เปน็ ตน้
วงดุรยิ างค (Marching Band)
เปนวงดนตรีทีป่ ระกอบดว ยเครื่อง ปจั จบุ นั ดนตรไี ทยขยายมากขนึ้ ในสว่ นของการศกึ ษา เหน็ ไดอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ เยาวชนไทย
ดนตรี 4 กลุม ใหญ คือ กลุมเคร่อื งสาย ได้รับการส่งเสริมให้เล่นดนตรีไทยและเพลงขับร้อง ซึ่งมีทั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษา
กลมุ เครอื่ งเปา ลมไม กลมุ เครอ่ื งเปา ลม มัธยมศึกษา ไปจนถึงระดบั อดุ มศึกษา ดนตรีไทยขยายตัวจากโรงเรยี นนาฏศิลปไ ปสู่โรงเรียน
ทองเหลือง และกลุมเคร่ืองตีกระทบ และสถาบันทุกแห่งท่ัวราชอาณาจักร จนมีงานประชุมบรรเลงเพลงประจ�าปข้ึน เช่น
บรรเลงเปน แนวๆ แตละแนวจะมี งานดนตรีไทยระดบั อุดมศึกษา เป็นตน้
นกั ดนตรเี ลน เครอื่ งดนตรชี นดิ เดยี วกนั
หลายคน กลุมเครื่องสายเปนเคร่ือง การพัฒนาทางด้านดนตรีไทยที่ส�าคัญอีกอย่างหน่ึง คือ การจัดการศึกษา
ดนตรีหลักในวงดุริยางค วงดนตรีใน ดนตรีในระบบการศึกษา โดยเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗ มีการเปิดเรียน
ลักษณะน้ีจะมีผูอํานวยเพลงถือไม วิชาดนตรีเป็นวิชาเอกที่โรงเรียนนาฏศิลป จากนั้นจึงขยายไปสู่สถาบันการศึกษา
บาตอง (Baton) ยืนอยูบนแทนเล็กๆ ตา่ งๆ เชน่ โรงเรยี นมัธยมสังคีต หลกั สูตรเตรียมอุดมดนตรีที่วทิ ยาลัยดรุ ิยางคศิลป
หนาวง โดยผูอํานวยเพลงจะมีหนาที่ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น ท�าให้ปัจจุบันมีการศึกษาวิชาดนตรีไทยในสถาบัน
ควบคมุ การบรรเลงของนกั ดนตรที ง้ั วง อุดมศกึ ษาต่างๆ ทวั่ ประเทศ
นกั เรยี นควรรู กจิ กรรม ศิลปป ฏิบตั ิ ๒.๑
วงเคร่ืองสาย (String Band) กจิ กรรมท่ี ๑ ใหน้ กั เรยี นแบง กลมุ ออกเปน็ ๓ กลมุ ตามยคุ สมยั ของดนตรไี ทย ไดแ้ ก สมยั สโุ ขทยั
วงดนตรใี นลักษณะนีป้ ระกอบดว ย สมัยอยุธยา และสมยั รัตนโกสนิ ทร์ แลว้ ศึกษาคน้ คว้าเกย่ี วกับดนตรไี ทยในยุคสมัย
เครื่องดนตรี 2 ประเภทใหญๆ คอื ทก่ี ลมุ ตนเองเลอื กจากห้องสมดุ อินเทอรเ์ นต็ และแหลง การเรียนรู้ตา งๆ จากน้นั
เครื่องสายทีใ่ ชดดี เชน กตี ารเบส นา� มาจัดนทิ รรศการในโรงเรียน
เปนตน และเคร่อื งดนตรปี ระเภท
เคร่ืองตีท่ีนําเอาเคร่ืองดนตรีหลายๆ กจิ กรรมท่ี ๒ ครูและนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการขับร้องและการบรรเลง
ชนิ้ มารวมเปน ชดุ เรยี กวา “กลองชดุ ” ดนตรีไทยแตละประเภทวามีความเหมือน หรือแตกตางกันอยางไร แล้วสรุปลง
หรอื กลองแจส” วงดนตรีชนดิ นี้ กระดาษรายงาน สงครูผ้สู อน
ใชผ บู รรเลงไมม ากและไมเ ปลอื งพน้ื ที่
๑8
18 คมู อื ครู
นักเรยี นควรรู
วงคอมโบ (Combo Band) เปนวงดนตรีขนาดเล็ก สําหรับในประเทศไทย
วงคอมโบจะมงุ บรรเลงโดยมกี ารขบั รอ งประกอบเปน สว นใหญ ปจ จบุ นั นยิ มนาํ
มาบรรเลงตามหองอาหาร บรรเลงในงานมงคลตางๆ เคร่อื งดนตรที ่นี ิยมใชใน
วงคอมโบ ไดแก ทรัมเปต แซกโซโฟน เปย โน กตี ารเบส และกลองชุด
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
๒. ทกั ษะพ้ืนฐานทางดนตรไี ทย กระตนุ ความสนใจ
หากกลาวถึงดนตรีไทยยอมหมายรวมท้ังการขับร้องและการบรรเลง เพราะการขับร้อง ครูเปด เทปบนั ทึกเสยี ง หรือซดี ี
และการบรรเลงดนตรไี ทยถอื เป็นทักษะพนื้ ฐานของการศกึ ษาดนตรไี ทย การขับรองเพลงไทย (ควรเปนเพลง
2.๑ หลักการขับร้องเพลงไทย สั้นๆ ทาํ นองสนุกสนาน เปนทีร่ จู ัก
ในระดบั ชนั้ น ้ี การศกึ ษาเกย่ี วกบั หลกั การขบั รอ้ งเพลงจะวา ดว้ ยความแตกตา งเรอ่ื งรปู แบบ หรอื เคยฟง) ใหนกั เรยี นฟง จากนั้น
ของบทเพลง ส�าเนียง อตั ราจังหวะ และการประสานเสียงในการขบั รอ้ งแตล ะประเภท ครถู ามนักเรยี นวา
หลักการขบั รอ้ งเพลงไทย • นักเรยี นคนใดทราบบา งวา
เปน เพลงใด
การขบั รอ้ งเด่ียว คือ การขับร้องคนเดียว ผู้ขับร้องต้องมีความมั่นใจ มีความสามารถในการ
สอดแทรกเทคนคิ ตา่ งๆ ในการขับร้องอยา่ งเหมาะสม โดยมขี ้อควรปฏบิ ตั ิ ดังต่อไปนี้ • เนื้อหาของบทเพลงตอ งการ
สื่อความหมายถึงเร่อื งใด
๑. ดูแลและควบคุมระดบั เสยี งให้แจม่ ใส คงที่ ตรงกบั ระดับเสยี งดนตรี ไม่เพีย้ น หรอื บีบเสียงสูง
เกนิ ไป ท�านองและจังหวะต้องถูกตอ้ ง ครบถว้ น • รูปแบบของบทเพลงมลี กั ษณะ
อยา งไร (ขบั รอ งเดย่ี ว, ขบั รอ งหม,ู
๒. การออกเสียงค�า การแบ่งวรรคตอนค�าร้องต้องถูกต้อง เหมาะสม ตรงตามความหมายที่ ขับรองประกอบการแสดง)
ผปู้ ระพนั ธก์ �าหนด
สาํ รวจคนหา
๓. การผอ่ นลมหายใจ ต้องแบง่ ให้สมา�่ เสมอ เหมาะสมกับคา� ร้องและทา� นอง เพราะถ้าผอ่ นลม
หายใจไมถ่ กู ตอ้ ง จะท�าใหค้ �าร้องและท�านองไมช่ ัดเจน หรอื ไมต่ อ่ เนือ่ ง ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน
หาตัวอยางเพลงไทยท่ีขับรองเด่ียว
๔. ไม่ควรแสดงท่าทาง หรอื สหี น้าขณะขับรอ้ ง มสี มาธิ ไมว่ อกแวกขณะขับรอ้ ง ขับรองหมู และขับรองประกอบการ
บทเพลงท่ีนิยมใช้ขับร้องเดี่ยวจะมีเน้ือหาท่ีไม่ยาวจนเกินไป ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงอัตราจังหวะ แสดง ประเภทละ 1 บทเพลง จาก
สามช้นั และเพลงเถา เช่น เพลงราโคสามชน้ั เพลงราตรปี ระดบั ดาวเถา เปน็ ต้น แหลงการเรียนรูตางๆ เชน หองสมุด
หนงั สอื เรียน อนิ เทอรเน็ต เปนตน
การขับร้องหมู่ คอื การขบั รอ้ งตง้ั แต่ ๒ คนขนึ้ ไป เนน้ ความพรอ้ มเพรยี งเปน็ หนงึ่ เดยี ว ผขู้ บั รอ้ ง
จะปฏิบตั เิ ช่นเดียวกับการขบั รอ้ งเดีย่ ว เพยี งแตม่ เี พิม่ เตมิ บางประการ ดงั ตอ่ ไปน้ี อธิบายความรู
๑. เน้นความพร้อมเพรยี ง ผูข้ บั ร้องตอ้ งขบั รอ้ งใหร้ ะดบั เสยี ง ท�านอง จังหวะ การแบ่งวรรคตอน ใหนกั เรียนแตล ะกลุมนาํ เสนอ
และการผอ่ นลมหายใจตรงกนั ทกุ คน ไมค่ วรสอดแทรกเทคนคิ การขบั รอ้ งใหแ้ ตกตา่ งไปจากผอู้ น่ื บทเพลงทีเ่ ตรยี มมาทีละประเภท
เร่ิมจากการขบั รองเดีย่ ว เมื่อทกุ กลมุ
๒. ตอ้ งขบั รอ้ งใหเ้ สยี งทุกคนกลมกลืนกนั ไม่ควรร้องเสียงดงั เพ่อื ใหเ้ ดน่ กว่าผูอ้ ่ืน นําเสนอจบ ใหนักเรยี นรวมกัน
บทเพลงที่นิยมใช้ขับร้องหมู่ ได้แก่ เพลงอัตราจังหวะสองชั้นและเพลงตับ เช่น เพลงนางนาค วเิ คราะหต ามหัวขอ ดงั ตอไปน้ี
สองช้ัน เพลงตบั นางลอย เป็นต้น
1. การขบั รอ งเดยี่ วมรี ปู แบบอยา งไร
การขบั ร้องประกอบการแสดง จะมีความต่างจากการขับร้องท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น คือ ๑9 2. บทเพลงทใ่ี ชขบั รอ งเด่ยี ว
เปน็ การบรรยายเนอื้ เรอื่ งและการขบั รอ้ งประกอบลลี าทา่ ทางของผแู้ สดง นอกจากจะตอ้ งปฏบิ ตั เิ ชน่
เดียวกับการขบั ร้องเด่ยี วและการขับร้องหมแู่ ลว้ ผู้ขับร้องยงั ตอ้ งค�านึงถึงสงิ่ สา� คญั ดังต่อไปนี้ สว นใหญเปนเพลงในลกั ษณะใด
3. ในการขับรองเดี่ยว ผูข ับรอ งตอ ง
๑. ตอ้ งขับร้องให้ตรงกับลีลาท่าทางของผแู้ สดง ไม่ช้า หรอื เรว็ จนเกนิ ไป
๒. ตอ้ งสอดแทรกอารมณใ์ ห้คลอ้ ยตามไปกับเนื้อเร่อื ง เพื่อช่วยให้ผ้ชู มเกิดสนุ ทรยี รสอยา่ งเต็มท่ี มคี ณุ ลกั ษณะ หรอื ความสามารถ
๓. ตอ้ งฝกึ ซ้อมกับผู้แสดงจนคนุ้ เคย ไมท่ �าใหผ้ แู้ สดงเสยี จังหวะ หรือเคอะเขนิ อยา งไร
บทเพลงที่นิยมใช้ในการขบั ร้องประกอบการแสดง สว่ นใหญจ่ ะเปน็ เพลงอตั ราจังหวะสองชนั้ ละ เมื่ออธบิ ายจบหวั ขอการขับรอง
เพลงอตั ราจงั หวะชน้ั เดยี ว มจี งั หวะกระชบั เชน่ เพลงยานี เพลงเตา่ เห่ ซง่ึ ใชข้ บั รอ้ งประกอบการแสดง เด่ียว ใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอ
โขน เรื่องรามเกยี รติ์ ตอนนางลอย เป็นตน้ บทเพลงในหัวขอ การขับรองหมู และ
การขับรอ งประกอบการแสดง โดย
ตรวจสอบผล ขยายความเขาใจ ปฏิบัตติ ามข้นั ตอนเหมอื นกบั หัวขอ
การขบั รองเดี่ยว
ครูพจิ ารณาจากการเลือกบทเพลง ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ เลอื กบทเพลง
ประเภทขบั รอ งเดยี่ ว ขับรองหมู และ ทช่ี นื่ ชอบและสนใจ ทงั้ ประเภทขบั รอ ง คมู ือครู 19
ขบั รองประกอบการแสดง เดยี่ ว ขับรองหมู และขับรอ งประกอบ
การแสดง มานาํ เสนอหนาช้ันเรียน
ครูคอยใหคําแนะนาํ
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตนุ ความสนใจ (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)
ครูเปด เทปบนั ทึกเสยี ง หรือซดี ีการ 2.2 หลักการบรรเลงดนตรีไทย
บรรเลงเพลงไทย (ควรเปนเพลงสั้นๆ หลกั การบรรเลงดนตรไี ทยทผี่ เู้ รยี นควรทราบในระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓ น ้ี จะแบง ตาม
ทํานองสนกุ สนาน เปนท่ีรูจ กั หรอื ลกั ษณะของการขับร้อง คือ การบรรเลงเด่ียว การบรรเลงหมู และการบรรเลงประกอบการแสดง
เคยฟง ) ใหน ักเรียนฟง จากนั้น
ครูถามนักเรียนวา หลกั การบรรเลงดนตรไี ทย
• นักเรยี นคนใดทราบบางวา การบรรเลงเดีย่ ว คือ การบรรเลงเคร่ืองดนตรีด�าเนินท�านองชิ้นเดียวร่วมกับเครื่องดนตรี
เปนเพลงใด กา� กบั จงั หวะ ไดแ้ ก่ ฉง่ิ และกลอง รปู แบบการบรรเลงจะเรมิ่ จากทา� นองชา้ ทเี่ รยี กวา่ “ทำงหวำน” และ
จบด้วย “ทำงเก็บ” คือ ท�านองถี่ๆ ซึ่งเป็นทางเฉพาะของเคร่ืองดนตรีแต่ละชนิด ผู้บรรเลงเด่ียว
• เน้ือหาของบทเพลงตอ งการสือ่ ตอ้ งเปน็ ผทู้ ม่ี คี วามสามารถในการบรรเลงเครอ่ื งดนตรชี นดิ นนั้ ๆ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี และจะตอ้ งปฏบิ ตั ติ น
ความหมายถงึ เรอื่ งใด ดังต่อไปน้ี
• รปู แบบของบทเพลงมลี กั ษณะ ๑. ตรวจสอบความพรอ้ มของเครอื่ งดนตรีก่อนการบรรเลงทุกครง้ั
อยางไร (บรรเลงเด่ียว, ๒. ตอ้ งขยนั หมัน่ ฝึกซ้อมอยา่ งสมา่� เสมอ เพื่อให้เกิดความช�านาญ บรรเลงไม่ผดิ พลาด
บรรเลงรวมวง, บรรเลงประกอบ ๓. มคี วามแม่นย�าในทา� นองและจงั หวะ สามารถสอดแทรกเทคนคิ ความสามารถในการบรรเลง
การแสดง)
ได้อย่างเต็มท่ี ทั้งนี้ ตอ้ งค�านงึ ถึงทา� นองและจงั หวะอยา่ งเครง่ ครดั
สาํ รวจคนหา ๔. มีสมาธิ มีความมน่ั ใจ และกลา้ แสดงออก
การบรรเลงรวมวง คือ การบรรเลงท่ีน�าเคร่ืองด�าเนินท�านองหลายๆ ชนิดมาบรรเลงรวมกัน
ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน มีเครื่องก�ากบั จังหวะตามแบบแผนทางดนตรี ได้แก่ วงปพ าทย์ วงเครื่องสาย และวงมโหรี สามารถ
หาตัวอยางเพลงไทยท่ีบรรเลงเดี่ยว บรรเลงตามลา� พงั หรือบรรเลงรว่ มกบั การขับร้องกไ็ ด้ ซง่ึ หลักในการบรรเลงรวมวง มดี ังต่อไปน้ี
บรรเลงรวมวง และบรรเลงประกอบ ๑. ตอ้ งตรวจสอบเครอ่ื งดนตรที กุ ช้นิ ให้มเี สยี งระดับเดียวกัน ไมส่ งู หรือต่า� กวา่ กนั
การแสดง ประเภทละ 1 บทเพลง ๒. ผบู้ รรเลงต้องรู้หนา้ ทขี่ องเคร่อื งดนตรีทต่ี นบรรเลง เช่น ระนาดเอก เปน็ ผูน้ �าวง เป็นต้น และ
จากแหลงการเรียนรตู างๆ เชน
หองสมุด หนังสือเรียน อินเทอรเน็ต ไมค่ วรก้าวกา่ ยหน้าท่ขี องเครอื่ งดนตรอี น่ื ๆ
เปนตน ๓. ตอ้ งหม่ันฝกึ ซ้อม เพ่ือให้สามารถบรรเลงไดอ้ ยา่ งพร้อมเพรยี ง ถกู ตอ้ งทง้ั ทา� นองและจังหวะ
๔. ต้องบรรเลงให้เสียงกลมกลืนกับเครื่องดนตรีอ่ืนๆ ไม่ควรบรรเลงให้เสียงดังเกินกว่าเครื่อง
อธบิ ายความรู
ดนตรชี นดิ อน่ื ๆ
ใหน กั เรยี นแตล ะกลุมนาํ เสนอ บทเพลงที่นยิ มใช้บรรเลงรวมวง จะขึน้ อยกู่ ับประเภทของวงดนตรที ีใ่ ชบ้ รรเลง ถา้ เป็นวงปพ าทย์
บทเพลงทเ่ี ตรยี มมาทลี ะประเภท นิยมบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ เพลงโหมโรง เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงต่างๆ เป็นต้น ถ้าเป็น
เรม่ิ จากการบรรเลงเด่ียว เมอ่ื ทุกกลมุ วงเครอื่ งสาย หรอื วงมโหรี สว่ นใหญจ่ ะนยิ มบรรเลงเพลงอตั ราจงั หวะสามชนั้ เพลงอตั ราจงั หวะสองชนั้
นาํ เสนอจบ ใหน กั เรยี นรว มกนั เพลงเถา และเพลงโหมโรงมโหรี
วเิ คราะหต ามหวั ขอ ดังตอไปน้ี การบรรเลงประกอบการแสดง คือ การบรรเลงที่ใช้บรรเลงดนตรีประกอบการแสดงต่างๆ
ได้แก่ ระบ�า ร�า ฟอน โขน ละคร เป็นต้น การบรรเลงชนิดน้ีคล้ายการบรรเลงรวมวง เพียงแต่
1. การบรรเลงเดยี่ วมรี ปู แบบอยา งไร ผู้บรรเลงต้องเพ่ิมความสนใจในการบรรเลงให้สอดคล้องกับลีลาท่าทางของผู้แสดงในแต่ละอารมณ์
2. บทเพลงทีใ่ ชในการบรรเลงเด่ยี ว เพลงเข้าไป กล่าวคือ ต้องบรรเลงให้ต่อเน่ือง ไม่ติดขัด จังหวะช้า-เร็ว เหมาะสมกับบทเพลงตาม
เนือ้ เร่อื ง ทงั้ น้ี เพือ่ ใหผ้ ชู้ มได้รบั ความบันเทงิ ครบตามอรรถรสของการแสดงนั้นอย่างเต็มที่
สว นใหญเปนเพลงในลกั ษณะใด
3. ในการบรรเลงเดย่ี ว ผบู รรเลง 2๐
ตองมคี ณุ ลกั ษณะ หรอื ความ ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
สามารถอยา งไร
เม่ืออธบิ ายจบหวั ขอการบรรเลง ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ เลอื กบทเพลง ครพู จิ ารณาจากการเลอื กบทเพลง
เดี่ยว ใหนักเรียนแตล ะกลุม นําเสนอ ที่ช่นื ชอบและสนใจ ทั้งประเภท ประเภทบรรเลงเดีย่ ว บรรเลงรวมวง
บทเพลงในหัวขอ การบรรเลงรวมวง บรรเลงเด่ยี ว บรรเลงรวมวง และ และบรรเลงประกอบการแสดง
และการบรรเลงประกอบการแสดง บรรเลงประกอบการแสดงมา
โดยปฏบิ ตั ติ ามขัน้ ตอนเหมอื นกบั นาํ เสนอหนาช้นั เรียน
หวั ขอ การบรรเลงเดีย่ ว
20 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain
Expand Evaluate
๓. การฝกปฏบิ ัตเิ ครอ่ื งดนตรไี ทย : ขมิ กระตุนความสนใจ
ขมิ เปน็ เครอื่ งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งตชี นดิ เดยี วทใี่ ชส้ าย ซงึ่ มคี วามแตกตา งไปจากเครอ่ื งตี
ชนดิ อ่นื ของไทยทส่ี วนใหญจะท�าดว้ ยไม้ หรือโลหะ หรอื เปน็ เคร่ืองดนตรที ขี่ ึงด้วยหนงั เชน กรบั ครเู ปด เทปบนั ทกึ เสยี ง หรอื ซดี เี พลง
ชนดิ ตา งๆ ระนาดเอก ระนาดทมุ้ ระนาดเอกเหลก็ ระนาดทมุ้ เหลก็ โหมง ตะโพน กลองทดั เปน็ ตน้ ไทยทํานองสั้นๆ ที่บรรเลงดวยขิมให
๓.๑ ลกั ษณะของขิม นกั เรียนฟง เพ่อื เปนการกระตนุ ความ
ขมิ ทกุ ชนดิ จะประกอบไปด้วยสวนประกอบหลัก ๓ สวนดว้ ยกัน คอื ตวั ขมิ ฝาขิม และ สนใจของนักเรียน จากนั้นครูถาม
อุปกรณ์สว นควบ ขมิ แตล ะชนดิ จะตางกันเพียงขนาด จ�านวนนม และการวางหยอ งเทา น้นั ท้งั น้ี นกั เรยี นวา
เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจงายจงึ จะกลา วถึงสว นประกอบตางๆ ของขมิ ในภาพรวม ดงั ตอไปน้ี
• นักเรียนเคยฟงเพลงไทยทํานอง
แบบนี้มาบางหรือไม
• นกั เรยี นคิดวา เพลงที่เปด นี้
ใชเครอ่ื งดนตรีชนิดใดบรรเลง
สายขิม หลักยดึ สาย สาํ รวจคน หา
เส้นลวดทองเหลือง หรือ ฐานนมและนม วัสดุที่กลึงเป็นรูปร่างคล้าย ครูนาํ ขมิ มาใหน ักเรียนดู แลว ให
สเตนเลสที่น�ามาผูกยึดติด ตะปู หลักที่อยู่ด้านซ้ายเป็น นักเรยี นแบง กลมุ กลุม ละ 5-6 คน
กับหลักขิมทางด้านซ้ายของ ฐานนม คือ ไม้ส่วนที่ตั้งขึ้น หลกั สา� หรบั ยดึ สาย สว่ นหลกั ชวยกนั สบื คนขอ มลู เกยี่ วกบั
ผบู้ รรเลง สา� หรบั ใชไ้ มต้ กี ระทบ รองรับนม ฐานนมน้ีเม่ือติด ท่ีอยู่ทางด้านขวาจะเจาะรู สว นประกอบของขิม จากใน
ลงไปใหเ้ กดิ เสียงตา่ งๆ นมด้านบนเรียบร้อย จะมี ส�าหรับใส่สายเพื่อหมุนปรับ หนังสือเรยี น หนา 21
ลักษณะคล้ายก�าแพงเมือง สายใหเ้ กิดเสียงสงู -ต่า�
แกม้ ขมิ ส่วนนม คือ วัสดุท่ีต้ังข้ึน
สา� หรับรองรับสายแต่ละชุด อธิบายความรู
แผน่ ไมช้ นิ้ ทอี่ ยดู่ า้ นบนของตวั
ขิมท้ังด้านซ้ายและด้านขวา ใหนักเรยี นแตละกลมุ ออกมา
มลี กั ษณะแบน สา� หรบั ปกั หลกั อธบิ ายความรูเกี่ยวกับสวนประกอบ
ยึดสายและเป็นหลักส�าหรับ ของขมิ แตล ะชน้ิ วา มีความสาํ คัญ
ร้อยสายเวลาหมุนปรับเสียง อยา งไร หนาช้นั เรียน
ท่ีเรยี กวา่ “เทยี บสำย”
ไมต้ ีขมิ เกรด็ แนะครู
ไม้ ๒ อนั ทใี่ ช้ตีกระทบ ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสวน
ลงบนสายขมิ ประกอบของขิมนอกเหนือจากใน
แผ่นหนา้ ขมิ หนังสือเรียน เพ่ือใหนักเรียนมีความ
เขาใจเพมิ่ มากขึน้ เชน ตัวขิม ทําดวย
แผ่นไม้ที่ปิดด้านบนตัวขิม
มีความบางเสมอกัน เจาะ
เป็นช่องให้เสียงขิมผ่าน ไมที่มีลักษณะกลวงอยูภายใน สวนที่
ออกมาเรยี กวา่ “ชอ งเสยี ง” เปน กรอบทาํ ดว ยไมเ นอ้ื แขง็ ขอบหยกั
2๑ โคง มนคลา ยปก ผเี สอื้ พนื้ ดา นลา งและ
ดานบนทําดวยไมเนื้อออน ทั้ง 2 ฝง
ของตวั ขมิ เปน บรเิ วณทตี่ งั้ ของหมดุ ยดึ
สายขมิ หยอ งหนนุ สายขมิ หยอ งบงั คบั
เสียง และเปนท่ีเก็บล้ินชักสําหรับใส
ฆองเทยี บเสยี งขิม หยอ ง มี 2 ชนดิ คือ “หยอ งหนุนสายขิม” และ “หยอง
บงั คับเสยี งขมิ ” ขมิ ตัวหนงึ่ จะใชหยอ งหนุนสายขิมจาํ นวน 2 แถว แถวทาง
ดานซา ยมือทาํ ใหเ กิดเสยี งท่ีสามารถบรรเลงไดท ัง้ 2 ฝง ของตวั หยอ ง สว น
แถวทางดา นขวาทาํ ใหเ กดิ เสยี งทส่ี ามารถบรรเลงไดเ ฉพาะเพยี ง “ฝง ซาย”
ของหยองเทา น้นั เปน ตน
คมู อื ครู 21
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)
ครขู ออาสาสมคั รนกั เรียนออกมา
สาธติ การตีขมิ เร่ิมจากการนั่งตขี ิม
และการจับไมต ีขิมใหถ ูกตอ งตาม ๓.2 วธิ ีการฝก ปฏิบัติขิม
หลกั วธิ กี ารนัง่ ปฏิบัติเครอื่ งดนตรี การฝึกปฏิบัติขิมควรเร่ิมจากวิธีการน่ังตีขิมและการจับไม้ตีขิมให้
ไทย ครคู อยใหค ําแนะนําและช้แี นะ ถนดั และถกู ตอ้ ง โดยฝกึ ตีขิมจากในระดบั ทง่ี ายกอนจนช�านาญ จากนั้นจงึ
ขอ บกพรอง ฝกึ ตีขมิ ในระดับท่ียากขน้ึ ตอไป
๑) วธิ กี ารนงั่ ตขี มิ จะเหมอื นกบั วธิ กี ารนงั่ ปฏบิ ตั เิ ครอื่ งดนตรไี ทย
ชนิดอื่นๆ ที่คงไว้ซ่ึงวัฒนธรรมไทย คือ การนั่งพับเพียบ หรือ
เกรด็ แนะครู น่งั ขัดสมาธิ ตง้ั ลา� ตวั ให้ตรง หนั หน้าเข้าหาตัวขิม ผ้ปู ฏบิ ัติ
ควรน่ังหางจากตัวขิมพอประมาณ โดยให้ล�าตัวอยูระยะ
ครูควรยา้ํ กบั นักเรียนวา การจับไม กึ่งกลางของตัวขิม ไมควรนั่งชิดติดตัวขิมมากจนเกินไป
มคี วามสาํ คัญตอ การตีขิมมาก เพราะ จะทา� ให้ตไี มถนัด
ถา จบั ไมไมถ นดั ไมม ั่นคง เสียงทดี่ งั ที่มาของภาพ : คลงั ภาพ ACT.
ออกมาจะไมชัดเจน ไมสดใส โดย
เฉพาะเสียงกรอจะไมละเอยี ดพอ ๒) วธิ ีการจบั ไม้ตขี มิ ให้ใช้มือทั้ง ๒ ข้างจบั ทป่ี ลายไมต้ ี โดยใชน้ วิ้ หวั แมมือวางบนไม้
นิว้ ช ้ี นวิ้ กลาง น้วิ นาง และนว้ิ ก้อยงอหลวมๆ รองใตไ้ ม้ ไมควรกา� ไม้
ทาํ ใหขาดความไพเราะได แนน จนเกินไป เพราะจะท�าให้ไมคลอ งตวั ในการตีและไมข้ มิ อาจจะ
กระดกได้ไมสะดวก ซึ่งการจะตีขิมให้ไพเราะนั้นผู้ฝึกต้องบังคับ
ไมต้ ใี ห้พล้ิวไหวราวกบั ตดิ สปริงท่ีปลายไม ้ โดยใช้นิ้วหลัก ๓ นว้ิ
คือ นว้ิ หัวแมม อื นวิ้ ช ี้ และนวิ้ ก้อย บงั คับไมต้ ขี มิ ใหม้ ัน่ คง
นกั เรียนควรรู ทงั้ น ี้ การจบั ไมม้ คี วามสา� คญั ตอ การตขี มิ มาก เพราะถา้
จับไมถนัด ไมมั่นคง เสียงทดี่ งั ออกมาจะไมชดั เจน ไมส ดใส โดย
ตงั้ ลาํ ตวั ใหต รง หมายความวา ทม่ี าของภาพ : คลังภาพ ACT. เฉพาะเสียงกรอจะไมล ะเอียดพอ ซ่งึ จะท�าให้ขาดความไพเราะได้
นงั่ ตวั ตรง ไมโ นม ตวั ไปทางใดทางหนงึ่
ท้งั นี้ เมื่อนักเรียนตีขิมเสรจ็ ควรปด
ฝาขมิ เก็บไมข ิมใสกลองที่มิดชดิ
หรือถา เกบ็ ใสถงุ ตองระมดั ระวังการ มมุ ดนตรี เสียงของขิม
กระทบกระเทอื น เพราะไมต มี ีความ เสียงของขิมจะแบงออกเปน ๓ แถว คือ แถวซายระดับเสยี งสงู แถวกลางระดับเสยี งปานกลาง และ
ออ นมาก สวนการทาํ ความสะอาด แถวขวาระดับเสยี งตํ่า โดยใชอ ักษรยอ แทนเสยี งตา งๆ ดงั ตอไปนี้
ขมิ นน้ั ควรใชท ป่ี ด ฝนุ หรอื แปรงขนาด ซ้าย ฟมด�ลซร����� กลาง ร ขวา ฟทมดลซร�������
เล็กปด เพราะผาไมสามารถเขา ไป ลา เร ด ซอล
ในซอกเล็กๆ ของขิมได ซอล ท โด ท ฟา
ฟา ซี ล มี
นักเรียนควรรู มี ลา ซ เร
เร ซอล ฟ โด
การจับไมต ขี ิม จะเรมิ่ ท่ีการจับไม โด ฟา ม ซี
ตีขิม จบั โดยใชน ้วิ ช้ีแตะตรงสว นลา ง ซี มี ลา
22
ของไมต ขี มิ และนาํ นว้ิ หัวแมม ือมา
วางตรงดา นบนของไมต ีขิม แลว นาํ
นว้ิ ท่เี หลืออกี 3 นิว้ มาจบั ประคองไม
ตขี ิมทางดานลา ง เมอ่ื เวลาจะเรมิ่ ตปี ฏิบัตโิ ดยใชขอ มือข้นึ
และลงไป-มาสลบั ซายและขวา โดยใหล กั ษณะของ
ปลายไมจะมีการกระดกขนึ้ -ลง อยภู ายในมอื ของผูบรรเลง
เวลาบรรเลงตองนั่งพบั เพยี บ ลาํ ตัวและใบหนาตง้ั ตรง
22 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
๓) วิธีการบนั ทกึ โนต้ ขมิ จะใช้บรรทัดส�าหรบั บันทึกโนต้ เป็นชุด ชดุ ละ ๓ บรรทัด คือ อธิบายความรู
๓.๑) บรรทัดบนสุดท่ีอยู่เหนอื เส้น ใช้บันทึกโน้ตท่ีมีระดับเสียงสูง ซ่ึงโน้ตจะอยู ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน
แถวซ้าย ฝกหัดตีขิมเบ้ืองตน โดยใหฝกปฏิบัติ
ตามขนั้ ตอน ดังน้ี
๓.๒) บรรทดั กลาง ใช้บันทึกโน้ตทม่ี รี ะดบั เสยี งปานกลาง ซ่ึงโนต้ จะอยแู ถวกลาง
๓.๓) บรรทดั ลา่ งสดุ ทอี่ ยใู่ ตเ้ สน้ ใชบ้ นั ทกึ โนต้ ทม่ี รี ะดบั เสยี งตา่� ซงึ่ โนต้ จะอยแู ถวขวา 1. ฝกตีเกบ็
2. ฝก ตสี ะบดั
ตัวอย่าง บรรทดั ทใ่ี ช้บนั ทึกโน้ตขิม 3. ฝกตรี วั
4. ฝกตีกรอ
ระดับเสยี งสงู ครูคอยใหค าํ แนะนาํ และชี้แนะ
ระดบั เสียงกลาง ขอบกพรอง
ระดบั เสียงตา�่
ขยายความเขา ใจ
๔) วธิ กี ารฝกึ ปฏบิ ตั ขิ มิ เบอ้ื งตน้ เมอื่ ผฝู้ กึ นงั่ และจบั ไมไ้ ดถ้ นดั และถกู ตอ้ งแลว้ ใหย้ กมอื
ใหนักเรียนแตละกลุมฝกหัดตีขิม
ทจี่ ับไม้ตขี นึ้ เหนอื ตวั ขิมตรงๆ ประมาณ ๓-๔ นิ้ว แล้วคอยๆ เคล่ือนไม้ไปข้างหน้า ทางซา้ ย หรือ เบื้องตนจนชํานาญ จากน้ันใหแตละ
ทางขวา ใหต้ รงกบั ตา� แหนง เสยี งทต่ี อ้ งการ ใชแ้ นวสนั ปลายไมต้ ลี งบนสายทง้ั ๓ ตรงตา� แหนง เสยี ง กลมุ ออกมาแสดงการตขี ิมเบอ้ื งตน
ท่ตี ้องการพร้อมกนั เมื่อตเี สร็จแตละคร้งั ใหย้ กมือขึ้นทันท ี ผู้ฝกึ ตอ้ งพยายามตีให้แนวสนั ปลายไม้ หนาช้นั เรยี น โดยเรม่ิ จากการตเี กบ็
กระทบลงบนสายทง้ั ๓ พรอ้ มๆ กัน เพอื่ เสยี งทด่ี ังออกมาจะได้เปน็ เสียงเดียว อีกท้งั ตอ้ งพยายาม ตีสะบดั ตีรัว และตีกรอตามลาํ ดบั
บงั คบั ปลายไมใ้ หต้ รงและขนานกันตลอดเวลา ไมว าจะตีทเี่ สยี งใด หรือตใี นต�าแหนง ใดก็ตาม
วิธีการฝกึ ปฏบิ ัตขิ ิมอยา งถูกต้อง ให้ผเู้ รยี นฝกึ ปฏบิ ัติตามขัน้ ตอน ดงั ตอ ไปนี้ นกั เรยี นควรรู
๔.๑) ฝึกตีเก็บ โดยเริ่มตีขิมด้วยมือซ้ายสลับกับมือขวาติดตอกัน รักษาจังหวะให้ บันทึกโนตขมิ จะใชบรรทัดสําหรับ
ยาวเทา ๆ กนั อยา งสมา่� เสมอ ไมเ วน้ จงั หวะ เมอ่ื จบแตล ะหอ้ ง โนต้ ตวั สดุ ทา้ ยตอ้ งตดี ว้ ยมอื ขวาเสมอ บนั ทึกโนต เปน ชดุ ชดุ ละ 3 บรรทดั
บรรทดั บนใชบ ันทกึ โนตที่มีระดบั
ตวั อย่าง โน้ตสา� หรับฝึกตีเกบ็ เสยี งสูงอยทู างซา ย บรรทัดกลางใช
บันทึกโนตท่ีมรี ะดับเสียงอยูต รงกลาง
ด ซ ล ซ ฟ ม ร ด ซ ฟ ม ร ซ ฟ ม ร และบรรทดั ลางใชบ นั ทกึ โนต
ล ทม่ี รี ะดบั เสียงตํ่าอยทู างขวา
ด ซ ซ ฟ ม ร ด ซ ฟ ม ร ซ ฟ ม ร
ด ซ ล ซ ฟ ม ร ด ด ซ ล ซ ฟ ม ร ด
ล
ด ซ ซ ฟ ม ร ด ด ซ ล ซ ฟ ม ร ด
ซ ฟ ม ร ซ ฟ ม ร ด ซ ล ซ ฟ ม ร ด
ล
ซ ฟ ม ร ซ ฟ ม ร ด ซ ซ ฟ ม ร ด
2๓
นักเรยี นควรรู
ตีเก็บ การตีสลบั มอื ซาย-ขวา เหมือนการตีปกติ โดยตเี สยี งโนตละ 1 จังหวะ
คูมอื ครู 23
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%)
จากการศึกษาเก่ียวกับโนตสําหรับ จากน้นั ฝึกปฏิบัตโิ ดยตีสองมือพร้อมกนั พยายามยกมือทง้ั ๒ ขา้ ง ขึน้ -ลง ใหพ้ รอ้ ม
ฝก ตีขมิ ในลักษณะตา งๆ ตาม กนั และตอ้ งรักษาความยาวของจังหวะและน�้าหนกั มอื ให้เทา ๆ กันอยา งสม่�าเสมอ ฝกึ ปฏบิ ตั ซิ ้�า
หนงั สอื เรยี น ครนู าํ ตวั อยา งโนตขิม หลายๆ ครงั้ จนกวา จะคลอ ง
มาใหนกั เรียนดู แลว ถามนกั เรยี นวา
เปนโนต สําหรับตขี มิ ในลกั ษณะใด ด ด ซ ซ ล ล ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร
(ทั้งนี้ โนต ทน่ี าํ มาตอ งมีลักษณะ ล ล
ชัดเจนวา ควรตีดวยวธิ ีใด เพอ่ื ไมให
นกั เรียนเกิดความสับสน) ด ด ซ ซ ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร
นักเรยี นควรรู ด ด ซ ซ ล ล ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด ด ด ซ ซ ล ล ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด
เครื่องหมาย “ __ ” เคร่ืองหมายน้ี ล ล ล ล
เม่อื ปรากฏตอ ทายตวั อกั ษรตัวใดแลว ด ด ซ ซ ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด ด ด ซ ซ ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด
จะสามารถยืดเสียงของโนตตัวนั้นให
ยาวออกไปอกี อนั ละ 1 หนว ยเคาะยอ ย ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด ซ ซ ล ล ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด
ทงั้ น้ี ความยาวของเสยี งจะมมี ากหรอื
นอยข้นึ อยูกบั จํานวนขดี (-) ดังน้ี ล ล
ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด ซ ซ ซ ซ ฟ ฟ ม ม ร ร ด ด
ถา มี - มคี า ความยาวของเสยี ง
เทากบั 1/4 จงั หวะ หมายเหต ุ : การตสี องมอื ผฝู้ กึ ตอ้ งจา� ใหแ้ มน วา ตา� แหนง ของโนต้ แตล ะตวั ในแตล ะหอ้ งใชม้ อื ใดต ี (ตวั ท ่ี ๑ และตวั ท ่ี ๓ ใชม้ อื ซา้ ย
ตวั ท ่ี ๒ และตวั ท ี่ ๔ ใชม้ อื ขวา) บางกรณอี าจมกี ารยกเว้น โดยอาจใชม้ อื ขวาตตี ิดตอกนั ได้
ถา มี - - มคี า ความยาวของเสยี ง
เทา กับ 2/4 จังหวะ ทัง้ น้ี จะใชเ้ คร่ืองหมาย “-” วางไว้บนตัวโน้ตดังกลาว เชน
ถามี - - - มคี า ความยาวของเสยี ง ซ ม ซ ซ ล ซ ซ ด ร ม ร ม ฟ ซ ฟQ ซ ฟ ม ร ด ดQ ด ร ม ฟ ซ
เทากบั 3/4 จงั หวะ - - ซ-
ซ ซ ซ
ถา มี - - - - มคี า ความยาวของเสยี ง
เทา กับ 4/4 จังหวะ หรือเทากบั หมายเหต ุ : เสียงซอลในชอ งที่ ๗ มเี คร่ืองหมาย “-” อยบู นตวั อักษร “ซ” ให้ตดี ว้ ยมือขวา
1 จังหวะ
๔.๒) ฝึกตสี ะบัด คือ การตรี วบโนต้ ๓ ตวั ให้มคี วามยาวเทากบั ตีโนต้ ๒ ตัว โดยเรมิ่
นักเรียนควรรู ดว้ ยมอื ขวา ตามดว้ ยมอื ซา้ ย และจบทมี่ อื ขวา การบนั ทกึ โนต้ ตสี ะบดั นจี้ ะใชเ้ ครอ่ื งหมาย “ ”
ครอมไวบ้ นตัวโน้ตท้ัง ๓ ตวั บางครงั้ อาจจะตสี ะบดั ทีโ่ น้ตตวั เดยี ว จะใชเ้ ครือ่ งหมาย “ Q” เขียนบน
ตสี ะบัด การตีไลเสียง 3 ตวั โนต ตัวโนต้
ตอเนื่องกันอยางรวดเร็วในชวงเวลา
เพียง 2 หรอื 1 จังหวะ เพอ่ื ใหทาํ นอง ตัวอยา่ ง โน้ตส�าหรบั ฝกึ ตีสะบัด
มคี วามพรวิ้ ไหวมากยงิ่ ขนึ้ ซง่ึ เกดิ จาก
การแทรกโนต ตวั ที่ 3 เพม่ิ เขา ไปในโนต ลซฟ ซฟม ฟมร มรด ลQ ซ ล ซQ ฟ ซ ฟQ ม ฟ มQ ร ม
2 ตัวเดิม ภายในจงั หวะเทา เดิม
เชน โนตเดมิ คอื โด ลา เพมิ่ เปน - - - - - - - - - - - -
สะบัด 3 เสียง คือ เร โด ลา หรือ
ซอล มี เปน ลา ซอล มี เปนตน 24
@ มุม IT
สามารถชมตัวอยา งการฝก ตีสะบดั : ขิม ไดจ าก http://www.youtube.com
โดยคนหาจากคาํ วา การตีสะบัดขิม ภาคปฏิบตั ิ
24 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
๔.๓) ฝกึ ตรี วั เปน็ การตดี ว้ ยมอื ขวาและมอื ซา้ ยสลบั กนั เรว็ ๆ หรอื ถๆี่ ทเ่ี สยี งเดยี วกนั อธิบายความรู
โดยใช้น้ิวมือบังคับไม้ตีให้ปลายไม้กระทบลงที่สายเสียงใดเสียงหน่ึง ประดุจมีสปริงติดท่ีปลายไม ้
ผ้ฝู กึ ควรพยายามตีให้เสียงที่ดังออกมาละเอียดเปน็ เสยี งเดียวกนั จึงจะมีความไพเราะ จากการทน่ี กั เรยี นไดฝ ก ตีขิม
เบอ้ื งตนจนชาํ นาญแลว ครูถาม
ตัวอยา่ ง โนต้ สา� หรับฝกึ ตรี ัว นักเรยี นวา
- - - ร - - - ด - - - ท - - - ล - - - ซ - - - ฟ - - - ม - - - ร • ในการฝก ตีขมิ ถา นักเรยี น
ตองการทราบวาเมอ่ื ใดจะตรี วั
๔.๔) ฝกึ ตีกรอ จะมีลกั ษณะคลา้ ยกบั การตรี ัว คือ ผฝู้ ึกตอ้ งบังคับไมต้ ีทัง้ ๒ ไม้ ให้ หรือตีกรอ นักเรยี นตอ งสงั เกต
กระทบลงทสี่ ายให้มนี า้� หนกั เทาๆ กัน ตีถๆี่ ใหเ้ สียงท่ีดังออกมาละเอยี ดราวกบั เปน็ เสียงเดียวกนั จากส่งิ ใด
แตจะแตกตางกับการตีรัวตรงที่การตีกรอมือซ้ายและมือขวาจะตีที่ต�าแหนงตางกัน มือซ้ายและ (แนวตอบ วิธีการสังเกตวาเมื่อใด
มอื ขวาอาจจะตที โ่ี นต้ เสยี งเดยี วกนั แตร ะดบั เสยี งตา งกนั หรอื อาจจะเปน็ โนต้ ทเี่ สยี งตา งกนั กเ็ ปน็ ได้ จงึ จะตีรวั หรอื ตกี รอใหสังเกตวา
การบนั ทกึ โน้ต ๒ ตวั จะอยูในตา� แหนง ตรงกนั สามารถแบงเปน็ ๒ แบบ คือ โนต ตวั ใด หรอื คใู ดมเี ครอ่ื งหมาย
๑. การตกี รอคแู ปด หมายถงึ การบงั คบั ไมต้ ใี หก้ ระทบลงทโ่ี นต้ เสียงเดยี วกัน “_” ตามมา ใหตรี ัว)
แตระดบั เสียงตา งกนั เชน ถ้ามือซา้ ยตีทโี่ นต้ ลา (เสียงสงู ) มือขวาจะตที ีโ่ น้ตลา (เสยี งกลาง หรือ
เสยี งต่า� ) เป็นต้น เกร็ดแนะครู
ตวั อย่าง โน้ตส�าหรับฝึกตีกรอค่แู ปด ครอู ธบิ ายเสรมิ วา วธิ รี วั เครอื่ งดนตรี
ประเภทตี สามารถแบงออกเปน
ล ซ ฟ ร ด ร ฟ ซ 2 ประเภท คือ รัวเสียงเดยี ว หมายถึง
- - - ล - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - การตีสลับกัน 2 มือ ลูกเดียวกันใหถ่ี
ท่ีสุดเทาท่ีจะทําได โดยไมตองคํานึง
ซ ฟ ร ด ร ฟ ซ วาทุกๆ พยางคจะตองยอสว นลงตาม
จงั หวะ การตีรัวเสยี งเดียวนี้อาจเลือ่ น
๒. การตกี รอเสยี งผสม จะมคี วามแตกตา งจากการตกี รอคแู ปด คอื มอื ทง้ั ๒ ตี เสยี งไปตามทาํ นองเพลงไดต ามความ
ที่โนต้ เสียงตา งกนั เชน มอื ซ้ายตีที่โนต้ ลา (เสียงสงู ) สวนมือขวาตที ่ีโน้ตเร (เสยี งกลาง) ผู้ฝกึ ตอ้ งตี พอใจ แตท ั้ง 2 มือ จะตองตีอยทู ่เี ดียว
ใหเ้ สียงทั้ง ๒ ดังออกมาพรอ้ มๆ กัน ดงั เทาๆ กนั ในลกั ษณะเป็นเสยี งประสาน กนั เสมอ และรวั เปนทํานอง หมายถึง
การตสี ลบั กนั 2 มอื ใหถ ๆ่ี และดําเนิน
ตวั อยา่ ง โนต้ ส�าหรบั ฝึกตีกรอเสยี งผสม เปน ทาํ นองไปดว ย เพราะฉะนนั้ มอื ทต่ี ี
จึงเปนการตีคนละที่ และพยางคของ
ล ซ ฟ ม ร ด ท ล เสียงจะตองยอสวนลงตามจังหวะ
- - - ร - - - ด - - - ท - - - ล - - - ซ - - - ฟ - - - ม - - - ร ใหถ่เี ปน 2 เทาของ “เกบ็ ”
หมายเหต ุ : ว ิธีการสงั เกตวา เมอื่ ใดจึงจะตรี ัว หรือตกี รอ ใหส้ ังเกตวา โน้ตตวั ใด หรือคูใ ดมีเคร่อื งหมาย “-” ตามมา ให้ตีรัว หรอื นกั เรียนควรรู
ตีกรอ เพ่ือให้ได้จังหวะครบตามทีผ่ ู้ประพนั ธ์ไดก้ �าหนดไว้
ตรี วั การตีสลบั มือซาย-ขวาลงบน
25 โนต ตวั เดยี วกนั อยางตอ เน่อื ง
นักเรียนควรรู
ตีกรอ การตีใหเ สยี งโนตดังตอ เน่อื งกนั อยา งสม่ําเสมอ (ตงั้ แต 2 จังหวะ ข้ึนไป)
ดว ยการตีสลับมือเรว็ ๆ โดยตองเรมิ่ จากมือขวาและจบดว ยมอื ขวาเชนกนั
โดยจะตสี ลับมือบนโนตคนละตัว
คูมอื ครู 25
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%)
ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน ๓.๓ บทเพลงไทยสาํ หรบั ฝกปฏิบัตขิ ิม
โดยใหแตละกลุมเลือกฝกตีขิมกลุม เม่ือผู้เรียนฝึกปฏิบัติไลมือในลักษณะตางๆ จนคลองแล้ว จึงเริ่มฝึกปฏิบัติเพลงที่มี
ละ 1 บทเพลง ซ่งึ ครูกําหนดบทเพลง ทา� นองสน้ั ๆ งา ยๆ โดยเรม่ิ จากฝกึ ปฏบิ ตั ทิ ลี ะหอ้ งๆ ซา�้ หลายๆ ครง้ั จนคลอ ง แลว้ จงึ ฝกึ ปฏบิ ตั หิ อ้ ง
สําหรับฝกปฏิบัตติ ีขมิ ไว ดังน้ี ตอไป เม่อื ฝกึ ไดค้ ลอง ให้ฝกึ ปฏบิ ตั ซิ �า้ โดยเรมิ่ จากต้นทอ น ปฏิบัตใิ หท้ �านองตดิ ตอกันจนจบทอน
เมอื่ จบทอ นให้ฝึกปฏบิ ัตซิ �้าอกี หลายๆ ครงั้ จนคลอ ง จงึ เร่ิมฝึกปฏิบตั ทิ อ นตอไป โดยใช้วธิ ีเดียวกบั
1. เพลงแขกบรเทศช้ันเดยี ว การฝกึ ปฏบิ ตั ิทอ นแรกจนจบเพลง
2. เพลงลาวครวญสองชน้ั บทเพลงท่ีเหมาะสา� หรบั ฝึกปฏิบัติขมิ เบอื้ งตน้ คอื เพลงแขกบรเทศชัน้ เดยี ว เพราะเป็น
3. เพลงลาวเสีย่ งเทียนสองชั้น เพลงทมี่ ีท�านองสัน้ และงายตอ การฝึกปฏบิ ตั ิ
แตละกลุมฝก ตขี มิ ตามบทเพลง
ท่เี ลอื ก ครูคอยใหค าํ แนะนาํ และ เพลงแขกบรเทศช้นั เดียว
ชี้แนะขอบกพรอ ง
เพลงท�านองเกา ไมท ราบผ้แู ตง
เกรด็ แนะครู
ทอ่ น ๑ ด ล ด ล ด ซ ด ด
ครูควรใหกําลังใจนักเรียน โดยยํ้า
กับนักเรียนวา การฝกปฏิบัติเคร่ือง ล ล ซ ล ซ ซ ซ ล ซ ซ
ดนตรไี ทยทกุ ประเภทตอ งปฏบิ ตั อิ ยา ง
คอยเปนคอยไป ไมควรรีบรอน ควร ล ล ซ ม ม ร ด ด ร ม ม ม ร ด
ฝกตั้งแตเบ้ืองตนจนชํานาญกอนแลว
คอยฝก ในขัน้ ตอนท่ียากตอ ไป ท่อน ๒ ซ ม ร ด ม ร ด ด
ล ซ ล ซ ล ด ร ซ ล ท ด ซ ซ ล ซ ลซ
ม ด ร ม ม มรด
จากนน้ั จงึ เรม่ิ ฝกึ ปฏบิ ัติเพลงทมี่ ที �านองตีกรอรอจังหวะ ได้แก เพลงลาวครวญสองชนั้
เพลงลาวครวญสองช้ัน
นักเรียนควรรู เพลงท�านองเกา ไมท ราบผแู้ ตง
เพลงแขกบรเทศ เปน เพลงที่ ร ร ร ซ ม ร ด ร ม ด ร ด ม ร ร ร
พระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกรู )
นาํ เพลงแขกบรเทศทมี่ ีอตั ราจงั หวะ - - - - - - - - - - - - - -
สองช้ันและชั้นเดียว ซ่ึงเปนเพลง
ประเภทสองไมและเพลงเร็ว มาแตง ร ร ร ซ ม ร ด ร ม ด ร ด ม ร ร
ขยายข้ึนใหเปนอัตราจังหวะสามช้ัน
จนครบเปน เพลงเถา เพลงแขกบรเทศ ด ซ ม ม ด ด ด ร ด ด ด ซ ม ร ด ร
เปน เพลงทม่ี ี 2 ทอ น ใชห นา ทบั สองไม
โดยปกติเปนเพลงที่นิยมขับรองและ - - - ซ - ซ ซ ล ซ ซ - ล - ด - - - - - -
บรรเลงตอ กบั เพลงเชดิ จนี และในอตั รา
จังหวะสองช้ัน มักนิยมนําไปบรรเลง ด ด ซ ด ร
ประกอบการแสดงโขนและละคร
เม่อื ฝกึ ปฏบิ ัตไิ ดค้ ลอ งจึงฝึกปฏบิ ตั ิเพลงอตั ราจงั หวะสองชนั้ ท่ีมที า� นองยากขึน้ คือ เพลง
ลาวเสี่ยงเทยี นสองชนั้
26
นักเรียนควรรู
เพลงลาวครวญ เปนเพลงไทยเดิม ที่เปนท่ียอมรับกันวามีทํานองท่ีแฝงไปดวยความ
ออนหวาน โศกเศรา และมีความไพเราะมากที่สุดเพลงหน่ึง นิยมนํามาบรรเลงประกอบ
การแสดงละครเร่อื ง “พระลอ”
26 คมู อื ครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain
เพลงลาวเสยี่ งเทียนสองชัน้ ขยายความเขา ใจ
เพลงท�านองเกา ไมท ราบผแู้ ตง ใหนกั เรียนแตละกลมุ ออกมาแสดง
การตีขมิ ในบทเพลงทีก่ ลุมของตนเอง
ท่อน ๑ ม ร ซ ซ เลือกหนา ชัน้ เรียน จากนั้นครูชแ้ี นะ
- ล - ลQ ซ ล ด ซ - ล ซ ฟ - - - - - - - - ขอ บกพรองและใหกําลงั ใจในการฝก
ด ด ด ตีขิมตอ ไป
- - - - ตรวจสอบผล
ด ด ด ม ร ซ ซ ครูประเมนิ นักเรยี นจากการตขี มิ
เพลงไทยเดมิ
ซ ซ ซ ม ร ซ ซ
- ล - ลQ ซ ล ด ซ - ล ซ ฟ - - - - - - - - เกร็ดแนะครู
- - - -
ครอู ธิบายเพิ่มเตมิ เกีย่ วกับเพลง
ซ ซ ซ ซซ ซ ม ม ร ซร ซ ซ ซ ลาวเส่ียงเทยี นใหนกั เรยี นฟง วา เมื่อ
ป พ.ศ. 2476 หลวงประดษิ ฐไพเราะ
ม ร ม ซ ด ร ม ร ด ร ด ด ด ม ร ด (ศร ศลิ ปบรรเลง) ไดนําทาํ นองเพลง
ลาวเสี่ยงเทยี นของเกาซงึ่ เปน อตั รา
- ล ซ - - - ล - - ล ซ ซ ล - - - - จังหวะสองช้ัน และมี 2 ทอนนัน้
ม ร ม ซ ด ร ม ร ด ล ม ด ม ร ด มาแตง ขน้ึ เปนอตั ราจังหวะสามช้นั
ท้งั ทาํ นองรอ งและทาํ นองดนตรี โดย
ม ร ด ม ด ร ม ร ด ร ด ด ด ม ร ด ประดิษฐท ํานองใหมีสําเนียงเปน
ภาคเหนอื โดยตัง้ ใจบรรเลงเปน อัตรา
- - - - - - ล - - ล ซ ซ ล - - - - จงั หวะสามชนั้ เทา นน้ั จงึ ไดแ ตง ทาํ นอง
เทยี่ วกลบั ใหผ ดิ จากเทยี่ วแรก เรยี กกนั
ม ร ด ม ด ร ม ร ด ล ล ม ด ม ร ด วา “ทางเปล่ียน” เม่ือบรรเลงรวมกัน
จงึ เทากบั 4 ทอน ซง่ึ จะทาํ ใหน กั เรยี น
กลบั ต้น มคี วามรู ความเขา ใจเกย่ี วกบั ลกั ษณะ
ทอ่ น ๒ ของเพลงลาวเสยี่ งเทยี นไดด ีย่งิ ขนึ้
ด ด ด ม ร ม ซ ซ ซ ซ ม ร ด ร @ มุม IT
- - - - - ล ซ - - - - - - ล ซ - สามารถชมการบรรเลงเพลง
ลาวเสี่ยงเทียน ไดจ าก http://www.
ด ด ด ม ร ม ซ ซ ซ ซ ม ร ด ร youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา
เพลงลาวเส่ียงเทยี น
ร ร ร ม ร ม ซ ซ ซ ซ ม ร ด ร
- - - - - ล ซ - - - - - - ล ซ -
ร ร ร ม ร ม ซ ซ ซ ซ ม ร ด ร
ม ร ด ม ด ร ม ร ด ร ด ด ด ม ร ด
- - - - - - ล - - ล ซ ซ ล - - - -
ม ร ด ม ด ร ม ร ด ล ม ด ม ร ด
ม ร ด ม ด ร ม ร ด ร ด ด ด ม ร ด
- - - - - - ล - - ล ซ ซ ล - - - -
ม ร ด ม ด ร ม ร ด ล ม ด ม กร ลับ ตด้น
27
คูมือครู 27
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain
Expand Evaluate
กระตนุ ความสนใจ (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)
ครูเปดซีดี หรือวีดิทัศนเกี่ยวกับพิธี ๔. หลักการและวิธกี ารจัดแสดงดนตรไี ทยในวาระต่างๆ
พระราชพิธี หรือการแสดงท่ีมีภาพ
และเสียงดนตรีไทยบรรเลงประกอบ การน�าดนตรีไปประยุกต์ใช้เป็นวิธีการหน่ึงที่จะชวยเสริมและกอให้เกิดประโยชน์ทั้ง
ในพิธีใหนักเรียนชม จากน้ันครูถาม ตอ วงการดนตร ี สงั คม และตนเอง เราจงึ ควรศกึ ษาทา� ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั หลกั การแสดงดนตรไี ทย
นกั เรยี นวา และวธิ กี ารจดั แสดงดนตรไี ทย เพอ่ื นา� ไปสกู ารปฏบิ ตั จิ รงิ การแสดงดนตรไี ทยนสี้ ามารถจดั กจิ กรรม
การแสดงได้หลายลักษณะ ท้ังในโรงเรียน หอประชุมของชุมชน หรือจัดการแสดงเพ่ือหารายได้
• วงดนตรที บี่ รรเลงประกอบใน ก็เปน็ วิธที ่ีสามารถกระทา� ไดเ้ ชนเดยี วกัน
พธิ ีนน้ั คือวงดนตรปี ระเภทใด
4.๑ หลักการจดั แสดงดนตรีไทย
• นกั เรยี นเคยเห็นวงดนตรี การบรรเลงดนตรไี ทยมบี ทบาทตอ สงั คมและวฒั นธรรมไทยในหลายลกั ษณะ ซง่ึ ในทน่ี จ้ี ะ
ประเภทดงั กลา วหรอื ไม กลาวถงึ ลกั ษณะการจัดแสดงดนตรไี ทยท่พี บเห็นได้ในชีวิตประจา� วนั ดังตอ ไปนี้
และบรรเลงเนือ่ งในโอกาสใด
๑) การจัดแสดงดนตรไี ทยเพอื่ ประกอบพิธีกรรม เป็นการเสริมสร้างงานให้บังเกิด
สาํ รวจคน หา
ความสมบรู ณ ์ เพราะความหมายของดนตรพี ธิ กี รรมนน้ั มขี น้ั ตอนและขนบธรรมเนยี มปฏบิ ตั ติ อ กนั
ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน มา เชน การบรรเลงเพลงโหมโรงเยน็ เพ่ือบูชาพระรตั นตรยั และอญั เชิญสง่ิ ศกั ดิ์สทิ ธ์ใิ ห้มาอา� นวย
สืบคนขอมูลเก่ียวกับการประสมวง พรแกพิธีท่ีก�าหนดข้ึน ในขณะเดียวกันก็เป็นการประกาศให้รับรู้วางานที่ก�าหนดจัดได้เริ่มต้นแล้ว
ดนตรไี ทยและโอกาสทใี่ ชว งดนตรไี ทย เปน็ ตน้ การบรรเลงดนตรพี ธิ กี รรมพบไดใ้ นงานทา� บญุ งานพธิ กี รรมตา งๆ ทวี่ ดั บคุ คล หรอื หนว ยงาน
บรรเลงประกอบในวาระตางๆ จาก ตางๆ จัดขนึ้ นอกจากนี ้ กม็ ีในงานพิธไี หว้คร ู พิธที า� ขวญั นาค ฯลฯ
แหลง การเรยี นรตู า งๆ เชน หองสมุด
หนงั สอื เรยี น อนิ เทอรเนต็ เปนตน ๒) การจัดแสดงดนตรีไทยเพื่อประกอบการแสดง ซึ่งจะขึ้นอยูกับรูปแบบของ
อธิบายความรู การแสดง เชน ละครใน ละครนอก โขน หนุ กระบอก ลเิ ก ละครแนวประยกุ ต ์ เปน็ ตน้ เพราะเพลงทใ่ี ชใ้ น
การแสดงแตล ะประเภทจะมลี กั ษณะของเพลงทแ่ี ตกตา งกนั เชน ระบบทางนอก ทางใน การประสมวง
เม่ือนักเรียนแตละกลุมไดขอมูล การเลอื กเพลงหน้าพาทย์ เป็นตน้
ประเภทของวงดนตรีและโอกาสท่ีใช
บรรเลงของวงดนตรีประเภทนั้นๆ ๓) การจัดแสดงดนตรีไทยเพื่อการแข่งขัน มีท้ังท่ีเป็นการแขงขันในรูปแบบของ
แลว ครูตั้งประเด็นถามนักเรียนวา
กอ นการบรรเลง หรอื แสดงดนตรีไทย วงดนตรี หรือการบรรเลงเดี่ยวเคร่ืองดนตรี วิธีการบรรเลง หรือการขับร้องในลักษณะน้ีมีความ
ควรเตรียมสิง่ ใด โดยใหน ักเรียนเขียน จรงิ จงั ในดา้ นของเพลง บังคบั ตามกฎกตกิ า เพลงท่ีเลอื กมาบรรเลงจงึ มีข้อจา� กดั ผเู้ ขา้ ประกวด
สรุปสิ่งท่ีตองเตรียมกอนการบรรเลง แขง ขนั ประชนั ความสามารถจงึ มงุ พฒั นาฝมี อื การบรรเลงและการขบั รอ้ ง เพอ่ื แสดงความเปน็ เลศิ
หรือแสดงดนตรไี ทย ลงกระดาษ ในทกั ษะทางดนตร ี
รายงาน สง ครูผสู อน ดังน้ัน เม่ือเข้าสูสนามการแขงขัน นักดนตรีจึงต้องบรรเลงให้เป็นไปตามกฎกติกาและ
หลกั วชิ าการดนตรไี ทยใหม้ ากทส่ี ดุ เพราะการบรรเลงในลกั ษณะนจี้ ะมคี ณะกรรมการเปน็ ผพู้ จิ ารณา
ตัดสิน
NET ขอ สอบป 53
โจทยถ ามวา ในวถิ ชี วี ติ ของคนไทย 28
แตด ง้ั เดมิ มา มดี นตรเี ปน สว นหนง่ึ
ของชวี ติ ไมว า จะประกอบกจิ กรรมใดๆ
วงดนตรีที่มีบทบาทในการประกอบ
กิจกรรมตา งๆ มกั จะเปนวงดนตรีประเภทใด
1. วงเครื่องสาย 2. วงปพาทย นักเรยี นควรรู
3. วงมโหรี 4. วงขับไม
(วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะวงปพ าทย ถูกนาํ มาใช เพลงหนา พาทย แบงตามฐานนั ดรไดเปน 2 ชนิด คอื
บรรเลงประกอบในพิธีตางๆ อยเู สมอ) 1. หนาพาทยธ รรมดา ใชบ รรเลงประกอบกริ ิยาอารมณข องตวั ละครท่ีเปน สามัญชน
28 คมู อื ครู เชน เพลงเสมอ เพลงเชิด เพลงรัว เพลงโอด เปนตน
2. หนาพาทยช ั้นสงู ใชบรรเลงประกอบกริ ยิ าอารมณของตัวละครผสู ูงศกั ด์ิ หรือใช
ในพิธีไหวค รดู นตรีและนาฏศิลป เชน เพลงตระนอน เพลงบาทสกณุ ี เปน ตน
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
๔) การจดั แสดงดนตรไี ทยเพอื่ ความรน่ื รมยใ์ จ เปน็ การแสดงดนตรไี ทยเพอื่ การฟงั อธิบายความรู
การจดั แสดงดนตรไี ทยในลกั ษณะนมี้ ที งั้ การบรรเลงดนตรแี ละนา� การแสดงมาประกอบ เพอื่ ใหผ้ ฟู้ งั ใหนักเรียนแตละกลุมยกตัวอยาง
รน่ื รมยใ์ จด้วยเสียงเพลงและกิจกรรมเคลือ่ นไหว เชน การบรรเลงประกอบการแสดงชุดระบ�า ร�า การบรรเลง หรอื การจดั แสดงดนตรไี ทย
ฟ้อน เป็นตน้ บางแหง อาจจดั ใหม้ ีการบรรเลงดนตรีพรอ้ มๆ กบั การวาดภาพประกอบเพลง เพลง เพอ่ื ความรน่ื รมยใ จทเี่ คยเหน็ หรอื เคย
ท่ีนยิ มนา� มาเสนอในลักษณะน้ี เชน เพลงเขมรไทรโยค เพลงลาวดวงเดอื น เพลงบุหลันลอยเล่อื น มีโอกาสเขาชมการแสดงมากลุมละ
เพลงลาวเสี่ยงเทียน เพลงคล่ืนกระทบฝงั เป็นตน้ 1 ตัวอยาง แลวสงตัวแทนออกมานํา
สวนการจัดแสดงดนตรีไทยที่มุงเป้าหมายไปที่การบรรเลงและการขับร้องของศิลปน เสนอหนา ชนั้ เรียน
โดยตรง ซึ่งมีมาตั้งแตส มัยอยธุ ยา โดยในราชสา� นกั มีการบรรเลงมโหรีเพ่อื ถวายพระมหากษัตริย ์
มกี ารแสดงดนตรีไทยซงึ่ สว นใหญอ ยูในหมูข องขุนนาง ข้าราชการชนั้ ผูใ้ หญ ดงั ปรากฏในรปู แบบ เกรด็ แนะครู
ของการบรรเลงมโหร ี มบี ทมโหรที บี่ นั ทกึ ไวจ้ า� นวนมาก ในแตล ะบทมชี อื่ เพลงกา� กบั ไว ้ การฟงั เพลง
ได้พัฒนามาสูการบรรเลงวงปีพาทย์เสภา โดยวงปีพาทย์ของแตละวงท่ีมีผู้อุปถัมภ์ไปจนกระท่ัง ครูควรแนะนํานักเรียนวา การจัด
การบรรเลงเพอ่ื การแขงขนั แสดงดนตรไี ทยเพอ่ื ความรน่ื รมยใจ
นอกจากน้ ี ยังมีการแสดงดนตรที จ่ี ัดเพอ่ื ใหผ้ ูฟ้ ังท่ัวไปเขา้ ไปนัง่ ฟังไดอ้ กี ด้วย ในปัจจุบัน เปนการแสดงดนตรไี ทยเพอ่ื ใหผฟู ง
ได้มกี ารนา� ดนตรไี ทยไปแสดงตามสถานท่ีตางๆ อยางมากมาย เชน การแสดงทีโ่ รงละครแหง ชาติ เกิดความรน่ื รมยใ จดวยเสียงเพลง
หอประชมุ ศนู ยว์ ฒั นธรรมแหง ประเทศไทย หอประชมุ ของจงั หวดั หอประชมุ ของสถาบนั การศกึ ษา และกิจกรรมเคลอ่ื นไหวตา งๆ เชน
การแสดงดนตรีเพื่อต้อนรับแขกผู้มาเยือน ต้ังแตระดับประเทศไปจนถึงระดับประชาชน เป็นต้น การบรรเลงดนตรีไทยประกอบการ
รวมท้ังมีการน�าการแสดงดนตรีมาออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ หรือกระจายเสียงผานระบบ รํา ฟอ น การแสดงโขน ละคร เปนตน
เครอื ขา ยอนิ เทอรเ์ นต็ ดว้ ย ลกั ษณะเชน นจี้ งึ สง ผลใหก้ ารเผยแพรด นตรไี ทยดา� เนนิ ไปอยา งมเี ปา้ หมาย
มากย่ิงขน้ึ นกั เรยี นควรรู
กจิ กรรมเคล่อื นไหว กิจกรรมที่ถูก
สรางขนึ้ เพื่อใหเ กดิ การเคลอื่ นไหว
อวัยวะสวนตา งๆ ของรา งกายตาม
จังหวะอยางอสิ ระ
นกั เรียนควรรู
ศนู ยว ฒั นธรรมแหงประเทศไทย
ตั้งอยูท ถี่ นนเทยี มรว มมิตร
เขตหว ยขวาง กรุงเทพมหานคร
เปน สถานทีจ่ ดั แสดงนทิ รรศการและ
ทีม่ าของภาพ : คลงั ภาพ ACT. จัดการแสดงตา งๆ เชน คอนเสิรต
ละครเวที รวมไปถงึ เปน สถานท่ี
@ มมุ IT 29 จัดการประชุมตา งๆ เปน ตน ภายใน
สามารถศกึ ษาเพิ่มเตมิ เก่ยี วกับวงดนตรไี ทย ไดจ าก ศูนยว ฒั นธรรมแหง ประเทศไทย
http://www.sademusic.com/music/thaiband.html. จะประกอบไปดว ยหอประชุมใหญ
หอประชุมเลก็ โรงละครกลางแจง
อาคารนิทรรศการ และบรกิ าร
ทางการศึกษา
คูม อื ครู 29
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)
ครใู หน กั เรียนรวมกนั อภิปราย 4.2 วธิ กี ารจัดแสดงดนตรไี ทยในวาระตา งๆ
ความรเู กย่ี วกับการเลอื กวงดนตรี ดนตรีไทยมีความผูกพันกับคนไทยอยางใกล้ชิดมาช้านาน จะเห็นได้จากการประกอบ
มาใชในวาระตางๆ โดยครคู วรเปด พิธีกรรมตางๆ ที่เกี่ยวเน่ืองกับขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือวัฒนธรรม ล้วนน�าการบรรเลง
ตัวอยา งการบรรเลงดนตรปี ระกอบ ดนตรีไทยเข้ามาเก่ียวข้องด้วยทั้งส้ิน ซ่ึงในการจัดการบรรเลงและการจัดการแสดงดนตรีไทย
ในพิธีตา งๆใหน กั เรียนชม นักเรียน ในวาระตางๆ จา� เป็นต้องมีหลักในการพจิ ารณาดา้ นตางๆ ดงั ตอไปน้ี
จะไดเขา ใจและไดรับอรรถรส
มากย่ิงขน้ึ ๑) การเลือกวงดนตรี ในการจัดการบรรเลง หรือการจัดการแสดงดนตรีไทย ผู้จัด
นักเรยี นควรรู การแสดงควรคา� นงึ ถงึ วตั ถุประสงคใ์ นการจัดการแสดงวามวี ัตถุประสงคใ์ ด ในพิธ ี หรอื พระราชพิธี
นน้ั จา� เปน็ ตอ้ งใชด้ นตรปี ระกอบหรอื ไม โดยผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นดนตรไี ทยไดร้ ะบหุ ลกั เกณฑใ์ นการเลอื ก
วงปพาทยนางหงส เปนวงดนตรี พจิ ารณาวงดนตรไี ทยเพอื่ ใชใ้ นวาระตางๆ ซง่ึ ยดึ ถอื ปฏิบตั ิสืบกนั ตอมา ดังตอ ไปนี้
ทใี่ ชในงานอวมงคล (งานศพ)
มีเคร่ืองดนตรใี นวงเหมอื นกับ หลักการเลอื กวงดนตรี
วงปพ าทยไ มแข็ง เพียงแตเ ปลีย่ นมา
ใชป ช วาแทนปใ น ใชกลองมลายู 1 คู การจัดแสดงดนตรีไทยในพิธี หรือพระราชพิธี ทั้งที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์และที่ไม่ได้
เขา มารวมบรรเลงดวย เครือ่ งดนตรี เก่ยี วข้องกับพระสงฆ์ เช่น พธิ ไี หว้ครู พธิ ีทอดกฐนิ พระราชพิธีจรดพระนังคลั แรกนาขวญั
ในวงปพาทยนางหงส แบงได 3 ขนาด พธิ อี ุปสมบท เป็นตน้ ให้เลือกใช้วงปพ าทยไ์ ม้แขง็ เคร่ืองห้า วงปพ าทยไ์ ม้แขง็ เครอ่ื งคู่ หรอื
คือ วงปพาทยนางหงสเครือ่ งหา วงปพ าทยไ์ ม้แขง็ เคร่อื งใหญ่ แลว้ แต่ความเหมาะสมของงาน
วงปพาทยนางหงสเครอื่ งคู และ
วงปพ าทยน างหงสเ คร่อื งใหญ ทUdีม่ IาaขJอHงnภoาพ : http://www.youtube.com/watch?v=I6_ การจัดแสดงดนตรีไทยเพื่อขับกล่อมในงาน
พธิ ีมงคล เชน่ งานวนั เกิด งานมงคลสมรส
นักเรียนควรรู งานเลยี้ งฉลอง หรอื แสดงความยนิ ดใี นโอกาส
ต่างๆ เป็นต้น ให้เลือกใช้วงเครื่องสายไทย
วงปพ าทยมอญ เปนวงดนตรที ่ี วงมโหรีบรรเลง ส่วนงานอวมงคล เช่น
ชาวมอญนําเครอื่ งดนตรเี ขามา งานฌาปนกิจศพ งานพระราชทานเพลงิ ศพ
ชาวมอญจะใชบ รรเลงทง้ั ในงานมงคล เป็นต้น ให้เลือกใช้วงปพาทย์นางหงส์
และงานอวมงคล สําหรับชาวไทยจะ วงปพาทย์มอญ วงเครื่องสายปชวา หรือ
ใชบ รรเลงเฉพาะงานอวมงคลเทา น้นั วงบวั ลอยมาบรรเลง
นักเรียนควรรู การจัดแสดงดนตรีไทยประกอบการแสดง เช่น โขน หนังใหญ่ เป็นต้น ให้เลือกใช้
วงปพ าทยไ์ มแ้ ขง็ มาบรรเลง หากบรรเลงประกอบการแสดงละครใน ละครนอก หนุ่ กระบอก
วงเคร่ืองสายปช วา เปนวง ระบ�าเบ็ดเตล็ดต่างๆ ให้เลือกใช้วงปพาทย์ไม้นวมมาบรรเลง และหากเป็นการบรรเลง
เคร่อื งสายไทยทั้งวงบรรเลงประสม ประกอบการแสดงนาฏศลิ ปพ ้ืนเมือง ใหเ้ ลือกใช้วงดนตรีพื้นเมืองของภาคน้นั ๆ มาบรรเลง
กับวงกลองแขก โดยไมใชโ ทนและ ประกอบการแสดง เช่น การแสดงเซิ้งต่างๆ ซ่ึงเป็นการแสดงนาฏศิลปพ้ืนเมือง
ราํ มะนา จะใชขลุยหลบี แทนขลยุ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เลือกใช้วงดนตรีพ้ืนเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาบรรเลง
เพียงออ เพ่ือใหเสยี งเขากบั ปชวา การแสดงฟอนเล็บ ฟอนเทียน ซ่ึงเป็นการแสดงพื้นเมืองของภาคเหนือ ให้เลือกใช้
ไดด ี เดิมเรียกวา “วงกลองแขก วงดนตรีพ้ืนเมืองภาคเหนอื บรรเลง เป็นต้น
เครอื่ งใหญ” วงเครื่องสายปช วาเกดิ
ขน้ึ ในปลายรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ ๓๐
พระจอมเกลา เจาอยหู วั (รชั กาลท่ี 4)
นักเรยี นควรรู
วงปพ าทยไมน วม จะใชไ มระนาดทพี่ ันดว ยผาและเชอื ก เวลาตลี งบนผืนระนาดแลว มีเสียง
นมุ นวล วงปพาทยไมน วมจะใชข ลุยเพยี งออแทนป และใชซ ออูเขามาผสมอยูในวงดว ย
30 คมู ือครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
ท้งั น้ี การจดั การแสดงดนตรจี ะเลอื กใช้วงใดให้พจิ ารณาจากความเหมาะสมของสถานท ี่ อธบิ ายความรู
ผฟู้ งั ผู้บรรเลง และเหตุการณเ์ ปน็ สา� คญั
จากภาพในหนงั สอื เรยี น หนา 31 ให
๒) การเลอื กบทเพลง ในการบรรเลง หรอื การแสดงดนตรไี ทยในโอกาสตา งๆ นอกจาก นักเรียนชวยกันแสดงความคิดเห็นวา
เปน ภาพวงดนตรีประเภทใดบา ง และ
จะพิจารณาวงดนตรีให้ถูกต้องเหมาะสมแล้ว ยังจ�าเป็นต้องเลือกสรรบทเพลงท่ีจะใช้บรรเลงให้ นยิ มนํามาบรรเลงประกอบในพิธใี ด
ถูกต้องเหมาะสมดว้ ย
เกรด็ แนะครู
หลกั การเลือกบทเพลง
ครคู วรเปด ตวั อยา งเสยี งเพลง
ทม่ี าของภาพ : คลังภาพ ACT. การเลอื กบทเพลงไทยมาประกอบในพธิ ี หรอื ลักษณะตางๆ เชน เพลงโหมโรงเชา
พระราชพธิ ี ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั พระสงฆ์ การบวงสรวง เพลงโหมโรงมโหรี เพลงเกรด็ เพลงเถา
บชู าเทพเจ้า ส่ิงศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ครูบาอาจารย์ นยิ มใช้ เพลงตับ เพลงหนาพาทย เพลงแสดง
บทเพลงประเภทเพลงหนา้ พาทย์ หรอื เพลงเรอื่ ง อารมณตางๆ เปนตน ใหนักเรียนฟง
มาบรรเลง ท้ังน้ี จะข้ึนอยู่กับพิธีการ หรือ ซง่ึ จะชว ยใหน กั เรยี นเขา ใจบทเรยี นได
พระราชพิธีนน้ั ๆ ดว้ ย มากยิง่ ขึ้น
การเลือกบทเพลงไทยมาประกอบการแสดง ท่ีมาของภาพ : คลังภาพ ACT. นักเรียนควรรู
เชน่ โขน ละคร ระบา� ชดุ ตา่ งๆ เปน็ ตน้ เพลงทจี่ ะใช้
บรรเลงประกอบ ไดแ้ ก่ เพลงอตั ราจงั หวะสองชน้ั เพลงเกร็ด เปนบทเพลงขนาดยอม
เพลงอัตราจังหวะช้ันเดียว เพลงตับ และเพลง- ประเภทของเพลงเกร็ดท่ีขับรอง
หน้าพาทย์ประกอบกิรยิ าต่างๆ ทง้ั น้ี จะขึ้นอยกู่ บั และบรรเลงนี้ อาจจะนําเอาเพลงใด
กิริยาอาการและอารมณ์ของบทเพลง หากเป็น เพลงหนึ่งมาจากเพลงตับ โดยนํามา
การบรรเลงประกอบการแสดงนาฏศิลปพ้ืนเมือง บรรเลงอยา งอสิ ระ หรอื อาจจะขบั รอ ง
เพลงท่ีใช้บรรเลงมักจะเป็นเพลงพ้ืนเมือง ที่มี และบรรเลงเฉพาะอัตราจังหวะใด
จงั หวะกระชบั เหมาะสมกบั ลลี าทา่ ทางของผรู้ า่ ยรา� จังหวะหน่ึงในชุดของเพลงเถา จัดได
ในแตล่ ะภาค วาเปนรูปแบบของเพลงเกร็ดทั้ง
ส้ิน ตัวอยางเพลงเกร็ด เชน บทรอง
ทีม่ าของภาพ : คลังภาพ ACT. การเลือกบทเพลงไทยมาแสดงเพ่ือความ เพลงพระรามตามกวาง บทรองเพลง
เพลิดเพลิน ส่วนใหญ่จะเลือกใช้เพลงประเภท สรอ ยสน เปนตน
เพลงโหมโรง ตามด้วยเพลงลักษณะต่างๆ ท่ีมี
ท่วงท�านอง ลีลา จังหวะท่ีไพเราะ สนุกสนาน @ มุม IT
น่าฟัง และมักจบลงด้วยเพลงลา แต่หากเป็น
การจัดการบรรเลงดนตรีไทยเพื่อคั่นระหว่าง สามารถศึกษาเพ่ิมเติมเก่ียวกับ
การแสดง เพลงที่ใช้บรรเลงอาจจะใช้เพลง เพลงหนาพาทย หรือเพลงท่ีบรรเลง
ประเภทเพลงอัตราจังหวะสองชั้น เพลงเกร็ด ประกอบกริ ิยาอาการตางๆ ของ
เพลงตับ หรือเพลงภาษาต่างๆ ทัง้ นี้ จะข้นึ อยู่กบั ตวั ละคร ไดจ าก http://www.cdaat.
ระยะเวลาการบรรเลงวา่ ต้องการใหม้ รี ะยะเวลา bpi.ac.th/web2/page7.html
ส้ัน หรอื ยาวเพียงใด
คมู อื ครู 31
๓๑
นกั เรียนควรรู
เพลงตบั เปน ชดุ ของบทเพลงอกี ลกั ษณะหนงึ่ ทเ่ี กดิ จากการนาํ เอาบทเพลงหลายๆ เพลงมารอ ง
และบรรเลงใหต ิดตอ กนั อัตราจังหวะของบทเพลงท่ีรวมอยูใ นชุดนั้นจะเปนอัตราใดกไ็ ด อยางไร
ก็ตามท่ีพบโดยทั่วไปมักจะอยูในอัตราจังหวะสองชั้น การรวมชุดของบทเพลงในลักษณะของ
เพลงตบั สามารถแบง ออกเปน 3 ประเภท คอื ตับเรื่อง ตับเพลง และตบั ประสม
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นักเรยี น 20%)
จากการทน่ี กั เรยี นไดศ กึ ษาเกย่ี วกบั ๓) การเลือกและจัดเตรียมสถานท่ี ในการเลือก หรือการจัดเตรียมสถานที่ส�าหรับ
การเลอื กและจดั เตรยี มสถานทส่ี าํ หรบั
จัดแสดงดนตรีไทยแลว ครูจึงต้ัง จัดการแสดงดนตรี ควรพจิ ารณาองค์ประกอบตางๆ ดงั ตอ ไปนี้
ประเด็นถามนักเรยี นวา
หลกั การเลือกและการจดั เตรยี มสถานท่ี
• ในการบรรเลงดนตรี หรอื การ
แสดงดนตรีไทย การจัดเตรยี ม การจดั แสดงดนตรไี ทยในพธิ ี หรอื พระราชพธิ ี ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั พระสงฆ์ การบวงสรวงบชู า
สถานท่เี ปนส่ิงจําเปนหรอื ไม เทพเจา้ สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ ครบู าอาจารย์ สถานทจี่ ดั แสดงควรอยใู่ กลบ้ รเิ วณทป่ี ระกอบพธิ ี หรอื
มากนอ ยเพยี งใด พระราชพธิ ี พ้นื ท่ตี ้องมคี วามกว้างขวางพอเหมาะกบั ขนาดของวงดนตรที ใี่ ช้บรรเลง และ
(แนวตอบ การจดั เตรียมสถานที่ ควรอยู่ในต�าแหน่งท่ีผู้บรรเลงสามารถมองเห็นขั้นตอนการประกอบพิธี หรือพระราชพิธี
เปนสง่ิ ทจ่ี าํ เปน สาํ หรับการ ได้อย่างชัดเจน เพื่อจะได้บรรเลงเพลงประกอบได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับขั้นตอนพิธี
บรรเลงและแสดงดนตรี และเวลา
เน่ืองจากการแสดงดนตรแี ตล ะ
ประเภทจะเลอื กสถานทใ่ี นการ ทasม่ี pา?ขnอIDงภ=7า9พ5: http://www.tourtooktee.com/news_detail. การจดั แสดงดนตรไี ทยเพ่อื บรรเลงใน
จดั แสดงทีแ่ ตกตางกนั เชน งานมงคล ตา� แหนง่ หรือสถานท่ีทจ่ี ดั แสดง
หากแสดงดนตรีไทยในพธิ ี หรอื ไมค่ วรอยสู่ งู หรอื ตา�่ เกนิ ไป แตค่ วรอยใู่ นจดุ ท่ี
พระราชพิธที เ่ี กี่ยวของกบั ผฟู้ งั สามารถมองเหน็ ไดย้ นิ เสยี งการบรรเลง
พระสงฆ สถานทีจ่ ดั แสดง ไดอ้ ยา่ งทวั่ ถงึ และพนื้ ทตี่ อ้ งมคี วามกวา้ งขวาง
ควรอยูใกลบ รเิ วณประกอบ เหมาะสมกบั ขนาดของวงดนตรี หรอื จา� นวน
พิธี และควรอยูในตําแหนง ผ้บู รรเลงและผ้ขู บั ร้อง
ทีผ่ บู รรเลงสามารถมองเห็น
ขนั้ ตอนการทําพธิ ีไดอยาง การจดั แสดงดนตรีไทยประกอบการแสดง ไมว่ ่าจะเป็นโขน ละคร ระบ�าชดุ ตา่ งๆ หรือ
ชดั เจน เปน ตน ) การแสดงนาฏศิลปพื้นเมือง ต�าแหน่งของวงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงควรอยู่
ใกลก้ บั บริเวณทใ่ี ช้แสดง อาจเป็นด้านข้างของเวที หรือลานแสดง และควรเปน็ สถานที่ที่
เกรด็ แนะครู ผบู้ รรเลง หรอื ผขู้ บั รอ้ งสามารถมองเหน็ ทา่ ทางและไดย้ นิ เสยี งของผแู้ สดงอยา่ งชดั เจน เพอื่
ให้สามารถบรรเลงประกอบลลี าท่าทางไดอ้ ย่างสอดคลอ้ งและเหมาะสม
ครคู วรแนะนกั เรยี นวา สว นใหญ
การเลอื กและจดั เตรียมสถานทจี่ ัด การจดั แสดงดนตรีไทยเพื่อความ
แสดงดนตรไี ทย ผูจ ดั ตอ งคํานึงถงึ เพลิดเพลิน โดยท่ัวไปควรเลือกสถานท่ีที่
ตําแหนง ของผบู รรเลงเปนสาํ คญั สะดวกกบั การเดนิ ทางทงั้ ของนกั ดนตรแี ละ
ผบู รรเลงจะตองมองเห็นขน้ั ตอน ผฟู้ งั ทง้ั น้ี ผฟู้ งั จะตอ้ งสามารถมองเหน็ และ
การประกอบพธิ ี มองเหน็ ทาทาง ได้ยินเสียงการบรรเลง หรือการขับร้องได้
และไดยินเสียงของผูแสดงกิจกรรม อยา่ งชดั เจน พนื้ ทที่ จ่ี ดั การแสดงควรมคี วาม
ประกอบอยา งชดั เจน รวมท้งั กว้างขวางเหมาะสมกับขนาดของวงดนตรี
ผบู รรเลงตองมองเหน็ ผูช มได หรอื จ�านวนผ้บู รรเลงและผขู้ บั ร้อง
อยา งชดั เจนดวย
ท่มี าของภาพ : คลังภาพโรงเรียนราชวินิต มัธยม
๓2
32 คูม ือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
ทั้งนี้ การจัดเตรียมสถานที่ส�าหรับวงดนตรีทุกชนิด ควรจัดเครื่องขยายเสียงและ อธิบายความรู
แสงสวางให้เพียงพอกับการบรรเลงและการขับร้อง เพ่ือให้ผู้ฟังสามารถฟังเสียงได้อยางไพเราะ
ทวั่ ถึง ชัดเจน และควรจดั เตรยี มเสอ่ื พรม โตะ และเก้าอ ้ี สา� หรับวางเคร่อื งดนตรแี ละใหน้ ักดนตรี ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวา
ได้นั่งอยางสะดวกสบาย เพียงพอกับจ�านวนผู้บรรเลงและผู้ขับร้อง เพื่อที่จะได้สามารถบรรเลง “ในการบรรเลง หรือแสดงดนตรีไทย
หรือขับรอ้ งไดอ้ ยา งสะดวก แตล ะครงั้ บคุ ลากรมคี วามสาํ คญั มาก
นอ ยเพยี งใด” โดยใหน กั เรียนสรปุ ผล
๔) การเตรยี มบคุ ลากร กอ นการบรรเลง หรอื จดั การแสดงดนตรไี ทยในแตล ะครงั้ การ การอภปิ รายลงกระดาษรายงาน สง ครู
ผสู อน
เตรยี มบคุ ลากรนบั วา มคี วามสา� คญั มาก เพราะการบรรเลงจะประสบความสา� เรจ็ ไดร้ บั ความพงึ พอใจ
จากผฟู้ งั หรอื ผชู้ มนน้ั จา� เปน็ ตอ้ งมกี ารเตรยี มบคุ ลากรในดา้ นตา งๆ ใหพ้ รอ้ ม โดยเฉพาะการเตรยี ม ขยายความเขา ใจ
ความพร้อมของบุคลากรอนั เปน็ สงิ่ จา� เป็นทส่ี ดุ เพราะการแสดงดนตรเี ปน็ การทา� งานกลมุ ทกุ คน
ในวงดนตรีมีความสา� คัญเสมอกันจะขาดคนใดคนหนงึ่ ไมได ้ ดงั นัน้ ทุกคนในวงดนตรีจงึ ตอ้ งใสใ จ ครสู ุมนักเรียน 2-3 คน ออกมา
สรา้ งความพรอ้ มใหก้ บั กลุมด้วยการมวี นิ ัยในตนเอง นําเสนอผลการอภิปรายในประเดน็
ดังกลาวหนา ชนั้ เรยี น จากนั้นครสู รุป
๕) การเตรยี มอปุ กรณ์เครื่องมอื กอนการบรรเลง หรอื การแสดงทุกครง้ั ผู้บรรเลง ความสําคญั ของบุคลากรที่มีตอ การ
จดั แสดงดนตรีไทยเพิม่ เติม
ควรตรวจสอบสภาพของเครื่องดนตรีท่ีตนจะใช้บรรเลงวามีความพร้อมเพียงใด มีส่ิงใดบกพรอง
เสยี หาย หรือใกล้จะหมดสภาพหรือไม เมอ่ื ตรวจสอบและพบขอ้ บกพรอ งใด ตอ้ งรีบจัดการแกไ้ ข เบศูรรณษาฐกกาิจรพอเพียง
ปรับแตง หรือเปลย่ี นให้มีสภาพสมบูรณ ์ ครบถว้ น พรอ้ มใช ้ และมีคุณภาพเสยี งทสี่ มบูรณอ์ ยเู สมอ
ดนตรีไทยมีความผกู พนั กบั คนไทย
๖) การจัดรายการแสดง เปน็ การก�าหนดล�าดบั การบรรเลงดนตรีในแตละครั้งให้เป็น อยางใกลชิด ซ่ึงจะเห็นไดจากการ
ประกอบพิธีกรรมตางๆ ที่เก™่¡ียวเน่ือง
ไปตามจุดประสงค์ที่ผู้จัดการแสดงต้องการ ผู้ท่ีมีหน้าท่ีรับผิดชอบเก่ียวกับการบรรเลงดนตรีต้อง กับขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือ
พิจารณาจดั เตรียมบทเพลงทจ่ี ะใช้บรรเลง หรือขบั รอ้ งให้เหมาะสมกับลา� ดบั ขั้นตอนของพธิ ี หรือ วัฒนธรรม ลวนนําการบรรเลงดนตรี
พระราชพิธีอยา งเครงครดั เว้นแตก ารบรรเลง หรอื การแสดงดนตรีเพอ่ื ความเพลดิ เพลนิ อาจจัด ไทยเขามาเกี่ยวของดวยทั้งส้ิน และ
รายการบรรเลง หรือการขับร้องสลับตามความพอใจ หรือเหมาะสมกบั วัยของผชู้ มและผู้ฟงั ได้ เพ่ือใหสามารถเลือกนําดนตรีไทย
มาใชจัดแสดงในวาระตางๆ ไดอยาง
ทม่ี าของภาพ : คลังภาพโรงเรยี นราชวินติ มธั ยม ถกู ตอ ง™ ครใู หน กั เรยี นรว มกนั จดั แสดง
ดนตรีไทยในงานสําคัญตางๆ ที่
๓๓ โรงเรียนจัดข้ึน โดยเลอื กจัดวงดนตรี
ไทยไดตามความเหมาะสม เชน
วงเครื่องสาย วงมโหรี เปนตน ทั้งนี้
นักเรียนจะตองรูจักการวางแผนการ
แสดงอยางรอบคอบและตองคํานึงถึง
ความเหมาะสมเปน หลกั โดยคาํ นงึ ถงึ
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ
ตองคํานึงถึงการจัดการแสดงที่ใช
คา ใชจ า ยอยา งเหมาะสมและคมุ คา
คมู ือครู 33
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand
ตรวจสอบผล (ยอจากฉบบั นกั เรยี น 20%)
ครูพจิ ารณาจากผลงาน กจิ กรรม ศลิ ปป ฏบิ ัติ ๒.๒
การจดั เตรียมการบรรเลง หรอื
การจดั แสดงดนตรีไทย
กจิ กรรมท่ี ๑ ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติขิมทีละคนตามค�าแนะน�าของครู ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตาม
ท�านองและจังหวะ และฝึกให้นักเรียนเคาะจังหวะโดยการปรบมือ เคาะไม้ หรือ
เกร็ดแนะครู ตีฉ่งิ ให้ตรงตามจงั หวะไปพรอ้ มๆ กบั การฝึกปฏบิ ัติขมิ ด้วย
(แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปป ฏิบัติ 2.2 กจิ กรรมที่ ๒ ใหน้ กั เรยี นแบงกลมุ ตามความสามารถ จากน้นั ให้ปฏิบตั ขิ มิ ปรบมอื เคาะจงั หวะ
กจิ กรรมที่ 3 หรอื คดิ ทา ประกอบทา� นองเพลงแตล ะเพลง
1. เราควรศึกษาเรื่องราวความเปนมา
กิจกรรมท่ี ๓ ใหน้ กั เรยี นตอบคา� ถามตอไปนี้
ของดนตรีไทย เพื่อใหเกิดความ ๑. เหตุใดนกั เรียนจงึ ตอ้ งศึกษาวิวฒั นาการดนตรีไทยในแตล ะยุคสมยั
ซาบซึ้งและเห็นคุณคาของดนตรี ๒. ก ารขับร้องและการบรรเลงดนตรีไทยในแตละลกั ษณะมคี วามเหมือน หรือ
ไทย อนั เปนมรดกทางศลิ ป-
วัฒนธรรมประจําชาตไิ ทย ความแตกตา งกนั หรือไม อยางไร
2. การขับรองทั้ง 3 ประเภทแตกตาง ๓. เ พราะเหตใุ ดการเลอื กฝกึ ปฏบิ ตั เิ ครอื่ งดนตรไี ทย จงึ ควรเลอื กเครอื่ งดนตรที ถี่ นดั
กนั ทจี่ าํ นวนผขู บั รอ ง การสอดแทรก
และเหมาะสมกบั ตัวเอง
เทคนคิ ตางๆ แตเหมือนกนั ตรงที่
การขบั รอ งทด่ี ี ผูข ับรองตอ งทําให
ผูชมซาบซง้ึ ได เชน เดียวกนั กบั
การบรรเลงดนตรีไทย
3. เนื่องจากการบรรเลงเครื่องดนตรี
ทน่ี กั เรยี นมคี วามสนใจและถนดั จะ ทฤษฎดี นตรไี ทยทงั้ การขบั รอ งและการบรรเลงลว นมคี วามสาํ คญั ตอ การศกึ ษาดนตรี
ทําใหนักเรียนสนุกกับการบรรเลง ในภาคปฏิบัตทิ ง้ั ส้นิ ดงั น้ัน กอ นเร่ิมฝกปฏิบตั เิ ครอ่ื งดนตรีไทย
และซาบซ้ึงในเคร่ืองดนตรีชิ้นนั้น ผเู รยี นจาํ เปน ตอ งศกึ ษา เรยี นรเู กย่ี วกบั ทฤษฎดี นตรไี ทยเบอ้ื งตน
มากกวา การบงั คับใหบ รรเลง) ใหเ ขาใจ เพ่อื ใชเปนพน้ื ฐานการศกึ ษาดนตรีในระดับสงู ตอไป
เมื่อผูเรียนไดเรียนรูเกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีไทยและไดฝก
หแสลดกั งฐผานลการเรียนรู ปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งดนตรไี ทยแลว ผเู รยี นจะตอ งเรยี นรเู กย่ี วกบั หลกั
การนาํ ดนตรไี ทยไปแสดงในวาระตา งๆ ดว ย เพอ่ื ใหก ารบรรเลง
1. ผลงานการสรปุ วิวฒั นาการดนตรี หรือการจัดแสดงดนตรีแตละคร้ังบรรลุตามวัตถุประสงคท่ี
ผูจัดการแสดงกาํ หนดไว
ไทยต้ังแตส มัยสุโขทยั จนถึง
สมยั รัตนโกสนิ ทร
2. การเปรียบเทยี บลักษณะของการ
ขับรองและการบรรเลงดนตรไี ทย
แตละประเภท ๓4
3. ผลการประเมินการตขี มิ
บทเพลงไทยเดิม
4. ผลงานการจดั เตรียมการบรรเลง
หรอื การจัดแสดงดนตรีไทย
ในวาระตางๆ
34 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage
Explore Explain Expand Evaluate
เปา หมายการเรยี นรู
1. รอ งเพลง เลนดนตรีเดยี่ วและ
รวมวง โดยเนนเทคนคิ การรอง
การเลน การแสดงออก และ
คณุ ภาพเสยี ง
2. แตงเพลงสน้ั ๆ จังหวะงายๆ
3. อธิบายเหตผุ ลในการเลือกใช
องคประกอบดนตรใี นการ
สรา งสรรคง านดนตรขี องตนเอง
4. เปรียบเทียบความแตกตางระหวาง
งานดนตรขี องตนเองและผูอ น่ื
5. นําเสนอ หรอื จดั การแสดงดนตรี
ทีเ่ หมาะสม โดยบรู ณาการกับ
สาระการเรยี นรอู ืน่ ในกลุมศิลปะ
6. บรรยายวิวฒั นาการของดนตรี
แตล ะยคุ สมัย
óหนว่ ยท่ี กระตุน ความสนใจ
ทกั ษะดนตรีสากล ครูใหน ักเรียนฟง บทเพลงคลาสสิก
ที่คุน หู เชน เพลง Eine kleine
ตัวชี้วัด ดนตรีสากลเปน มรดกทางวฒั นธรรม Nachtmusik ของ วอลฟ กงั อะมาเดอสุ
โมสารท (Wolfgang Amadeus
■ รอ งเพลง เลน ดนตรเี ด่ียวและรวมวง โดยเนนเทคนิคการรอ ง การเลน ของชาติตะวันตกมีแบบแผนเปนที่ยอมรับ Mozart) หรือเพลง Symphony No.9
การแสดงออกและคุณภาพเสยี ง (ศ ๒.๑ ม.๓/๒) ของนานาชาติ และมวี วิ ฒั นาการมาเปน ลาํ ดบั ของ Beethoven ลดุ วกิ ฟาน เบโทเฟน
(Ludwig Van Beethoven) จากนั้น
■ แตง เพลงสน้ั ๆ จงั หวะงายๆ (ศ ๒.๑ ม.๓/๓) (ศ ๒.๑ ม.๓/๔) (ศ ๒.๑ ม.๓/๕) ครถู ามนกั เรยี นวา
(ศ ๒.๑ ม.๓/๗) (ศ ๒.๒ ม.๓/๑)
• เคยฟง บทเพลงเหลานหี้ รอื ไม
ปจจุบันดนตรีสากลไดเขามาแพรหลายใน • รหู รอื ไมวาเปนบทเพลงของใคร
• นกั เรยี นคิดวาเปนบทเพลง
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ประเทศไทย และถูกนํามาใชในชีวิตประจําวัน
มากยงิ่ ขน้ึ ดงั นน้ั เราจงึ ควรศกึ ษาถงึ ววิ ฒั นาการ ท่ปี ระพันธข ้ึนเมือ่ ใด
■ เทคนิคและการแสดงออกในการขับรองและบรรเลงดนตรีเด่ียว ของดนตรสี ากล การรอ ง และการบรรเลง รวมทงั้ • นักเรียนเคยไดย ินบทเพลง
และรวมวง ทักษะการประพันธเพลงอยางงาย เพื่อจะไดเกิด
ความรู ความเขา ใจ มองเหน็ คณุ คา ความสาํ คญั และ เหลา นจ้ี ากสือ่ ใด
■ อตั ราจังหวะ @ และ $ จากนัน้ ใหน ักเรยี นรวมกันแสดง
ฯลฯ ความคดิ เหน็ โดยครตู ง้ั ประเด็นวา
• บทเพลงเหลาน้ลี ว นประพนั ธข ้ึน
นําดนตรสี ากลมาใชป ระโยชนเพอ่ื การดาํ รงชีวติ ตอไป
มานานนับรอ ยป เหตใุ ดเรายงั
เกร็ดแนะครู คงไดย ินบทเพลงเหลา นอ้ี ยู
• นกั เรยี นคิดวา ดนตรีมีอิทธพิ ล
การเรียนการสอนในหนวยนี้ ครูควรเนนย้ําใหนักเรียนเขาใจวา การศึกษาประวัติดนตรีสากลเปนสิ่งสําคัญ ตอ บคุ คลและสังคมหรอื ไม
เพราะดนตรีสากลแตละยุคสมัยลวนมีเอกลักษณของรูปแบบดนตรีในยุคสมัยนั้นๆ เมื่อเราไดรูถึงบริบท อยางไร
ความเปนมาของดนตรีแตละยุคสมัยก็จะมีความเขาใจในรูปแบบของบทเพลงตางๆ ที่คีตกวีในยุคสมัยน้ัน
ประพันธขึ้นมา ซ่ึงการเขาใจประวัติดนตรีสากลอยางลึกซึ้ง จะชวยใหนักเรียนฟงดนตรีสากลไดอยางซาบซ้ึง คูม อื ครู 35
และมีสนุ ทรียภาพมากยิ่งขน้ึ
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand
Engage Evaluate
สาํ รวจคนหา (ยอ จากฉบับนักเรียน 20%)
ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน ๑. ววิ ัฒนาการของดนตรีสากลในแตล่ ะยุคสมัย
สบื คนขอ มลู เกี่ยวกบั ววิ ฒั นาการ การศกึ ษาประวตั ดิ นตรตี ะวนั ตก เปน็ การศกึ ษาเกยี่ วกบั ววิ ฒั นาการของดนตรที เี่ กดิ ขนึ้ ใน
ของดนตรีสากลในแตละยคุ สมยั จาก วฒั นธรรมของกลมุ คนในทวปี ยโุ รป นกั วชิ าการดนตรมี หี ลกั ฐานวา ววิ ฒั นาการของดนตรตี ะวนั ตก
แหลง การเรยี นรตู างๆ เชน หอ งสมุด สืบทอดมาจากดนตรใี นอารยธรรมของชาวกรีก ต้งั แตประมาณ ๕๐๐ ป ี กอ นคริสตกาล จากนน้ั
หนงั สอื เรยี น อินเทอรเ น็ต เปน ตน มากไ็ ดม้ วี วิ ฒั นาการสบื เนอื่ งกนั มายาวนานตราบจนถงึ ปจั จบุ นั โดยววิ ฒั นาการของดนตรสี ากลนนั้
สามารถสรปุ ได้ ดังตอ ไปน้ี
อธบิ ายความรู
๑.๑ ยุคกลาง (The Middle Ages ค.ศ. 6๐๐-๑45๐)
ใหน ักเรียนแตละกลมุ นําความรู ยุคกลางมีชวงระยะเวลายาวนานถึง ๖๐๐ ปี โดยจะมีการแบงเพลงออกเป็น ๒ แบบ
ท่ไี ดศกึ ษามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน คือ เพลงเพือ่ ความบนั เทงิ (Secular Music) มีนักดนตรแี ละนกั ประพนั ธ์เพลงท่มี ีชือ่ เสยี งเกิดข้นึ
ภายในช้ันเรยี น มากมายที่ประเทศฝรงั่ เศสและประเทศเยอรมน ี และเพลงท่เี กีย่ วกบั ศาสนา (Ritual Music) ที่มี
ทา� นองเดยี ว (Monophony) ยคุ กลางเรม่ิ มเี สยี งประสาน (Polyphony) อยา งงา ยทเ่ี รยี กวา “ออรก านมุ ”
ขยายความเขา ใจ (Organum) ข้ึนมา ซึ่งนิยมร้องกันในพิธีกรรมท่ีเรียกวา “โมเท็ต” (Motet) และเพลงศาสนพิธี
เรียกวา “แมส” (Mass) โดยโมเทต็ จะมที วงท�านองท่สี ้ันกวาแมส แตเพลงท้ัง ๒ เพลงจะมเี นือ้ รอ้ ง
ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ จดั ทาํ รายงาน เป็นภาษาละติน เปน็ ที่นิยมมากในประเทศฝรงั่ เศสและประเทศอิตาลี
ววิ ฒั นาการของดนตรสี ากล พรอ มตดิ นอกจากดนตรที ีใ่ ช้การขบั ร้องเปน็ หลัก หรือท่เี รียกวา “ดนตรีขับรอ ง” แลว้ ในยุคกลาง
ภาพประกอบ สง ครผู ูสอน ยังมีวิวัฒนาการของดนตรีอีกประเภทหนึ่ง คือ “ดนตรีบรรเลง” ซ่ึงก็เป็นดนตรีท่ีมีลักษณะเป็น
การบรรเลงดว้ ยเครือ่ งดนตรีล้วนๆ โดยไมม กี ารขบั รอ้ ง จากแหลงข้อมลู ทางประวตั ศิ าสตร์ท่เี ปน็
นกั เรยี นควรรู รูปภาพ หรือวรรณกรรมตางๆ ท�าให้สามารถสรุปได้
วามีการใช้เครื่องดนตรีบรรเลงบทเพลงในยุคกลาง
แมส (Mass) เปนเพลงสวดของ สว นใหญแล้วนักดนตรีจะบรรเลงเพลงจากความทรงจา�
ศาสนาคริสตน ิกายโรมนั แคธอลกิ หรอื ใชว้ ธิ ดี น้ ทา� นองขณะทา� การบรรเลง
ซ่ึงเปนตน กําเนดิ ของเพลงโบสถ ยุคนเี้ รมิ่ มกี ารบันทึกโนต้ ดนตรีในระบบสากล
(Church) ในลักษณะตางๆ และ แลว้ โดยพระชาวอติ าเลียนชอ่ื กวโิ ด ดาเรซโซ (Guido
เปนเพลงคฤหัสถ (Secular Music) d’ Arezzo) ซ่ึงเป็นต้นแบบของโน้ตตามท่ีเราใช้เรียน
บทเพลงจะแสดงใหเ หน็ ถึงความ อยูในปัจจุบันและเร่ิมใช้เคร่ืองดนตรีประเภทลูต หรือ
ศกั ด์สิ ิทธิ์ ความเคารพ และ ซงึ (Lute) คลอตามเสียงร้อง
ความศรัทธาในครสิ ตศาสนา สังคตี กวที มี่ ชี ือ่ เสียงในยุคน้ ี เชน จาคาโป ดา
กิโยม เดอ มาโชต (Guillaume de Machaut) โบโลนญา (Jacapo da Bologna) ฟรานเชสโก ลานดนิ ี
นักเรยี นควรรู สังคตี กวีผูมีชื่อเสยี งในยคุ กลาง (Francesco Landini) กิโยม เดอ มาโชต ์ (Guillaume
ทีม่ าของภาพ : http://www.youtube.com de Machaut) เปน็ ตน้
วิธดี น การบรรเลงดนตรี
แบบคดิ สดข้นึ ในขณะบรรเลง ๓6
โดยไมมีการประพันธม ากอ น เรยี กวา
“อิมโพรไวเซซั่น” (Improvisation) @ มมุ IT
ภาษาไทยทางการเรยี กวา
“คีตปฏภิ าณ” สามารถศกึ ษาเพิ่มเติมเกี่ยวกบั ยคุ สมยั ของดนตรตี ะวันตก ไดจ าก
http://www.musiclib.psu.ac.th/data/western-musuc/Chapter4/Chap4.htm
36 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
ตวั อย่าง โน้ตเพลงของสังคตี กวใี นยคุ กลาง อธบิ ายความรู
Cinc, un, treze
ครูนําตวั อยา งโนตเพลงของสังคตี
Guillaume de Machaut (ค.ศ. ๑๓๐๐-๑๓๗๗) กวีในยุคกลาง คอื เพลง Cinc, un,
treze ผลงานของกิโยม เดอ มาโชต
(Guillaume de Machaut) มาให
นกั เรยี นดู พรอมท้ังเปด เพลงให
นกั เรียนฟง ประกอบ
เกร็ดแนะครู
ครูอธิบายเสริมเก่ียวกับบทเพลงท่ี
เกิดขึ้นในยุคกลางอีกบทเพลงหน่ึง
ก็คือ เพลงโมเท็ต (Motet) วา โดย
ปกติแลวจะอยูในตําราทางศาสนา
และใชในพิธีกรรมของศาสนาคริสต
นกิ ายโรมันคาทอลิก เปน เพลงขับรอง
ประสานเสียง 3 แนว เดิมใชภาษา
ละติน สวนแนวบนอีก 2 แนว เปน
ทํานองเพลงที่มีอิสระตางจากแนว
ตํ่าสุดที่รองเปนภาษาละตินและรอง
เปน ภาษาฝร่งั เศส
นกั เรยี นควรรู
Guillaume de Machaut
หรือกิโยม เดอ มาโชต สังคตี กวี
ชาวฝรัง่ เศส บทเพลงท่เี ขาประพนั ธ
ขน้ึ สว นใหญจะเปนบทเพลงที่มี
ความเก่ียวของกับศาสนา โดยเพลง
ท่มี ีชือ่ เสยี งของเขา คือ เพลงแมส
(Mass) ซึ่งเปนบทเพลงทมี่ ีการนํา
เอารูปแบบการสอดประสานหลาย
ทํานอง (Polyphony) มาใช
๓7
@ มมุ IT
สามารถศึกษาเกี่ยวกับประวตั ิดนตรยี คุ กลาง
ไดจ าก http://www.student.nu.ac.th
คมู ือครู 37
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate
อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นักเรยี น 20%)
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันสรุป ๑.2 ยคุ ฟน ฟูศลิ ปวทิ ยาการ (The Renaissance Period ค.ศ. ๑45๐-
ลักษณะสําคัญของดนตรีสากลในยุค ๑6๐๐)
ฟนฟูศิลปวิทยาการ (The Renais- ยคุ ฟน ฟศู ลิ ปวทิ ยาการเปน็ ยคุ ทตี่ รงกบั
sance Period) สมยั โคลมั บัสพบทวปี อเมรกิ า ยคุ น้ีเพลงโมเท็ต
และเพลงแมสก็ยังเป็นท่ีนิยมอยู นอกจากน ้ี
(แนวตอบ ลักษณะสําคญั ของดนตรี ยงั นยิ มการขบั รอ้ งประสานเสยี งทแี่ บง เสยี งออก
ยุคฟน ฟูศลิ ปวทิ ยาการ คอื เป็น ๔ กลมุ ได้แก กลมุ เสียงผ้หู ญงิ ๒ กลมุ
คือ กลุมเสียงโซปราโน (เสียงสูงของผู้หญิง)
1. มักเปน การรอ งกลมุ เลก็ ๆ กับกลุมเสียงอัลโต (เสียงต่�าของผู้หญิง) และ
สว นใหญจ ะเก่ียวกบั การรอง กลุมเสยี งผู้ชาย ๒ กลุม คอื กลุมเสียงเทเนอร ์
เพอ่ื สรรเสรญิ พระผูเปนเจา (เสียงสงู ของผชู้ าย) กบั กลุม เสียงเบส (เสยี งตา่�
และนยิ มขับรอ งภายในโบสถ ของผู้ชาย) สวนเพลงท่ีไมเก่ียวกับศาสนามีชื่อ
คลอดโิ อ มอนเทแวรด ี (Claudio Monteverdi) สงั คตี กวี วา “แมดรกิ ลั ” (Madrigal) ซง่ึ ใชภ้ าษาของแตล ะ
2. การรอ งจะมกี ารแบง แนวเปน ผูมีชอ่ื เสียงในยคุ ฟน ฟูศลิ ปวิทยาการ ชาติเป็นเน้ือร้อง เน้ือร้องสวนใหญจะเก่ียวกับ
4 แนว คือ โซปราโน (Soprano) ทีม่ าของภาพ : http://www.scoopsandcups.wordpress ความรกั และสรรเสรญิ บุคคลส�าคัญ
สงู สดุ อลั โต (Alto) ตาํ่ ลง เทเนอร
(Tenor) ตํ่ากวาอัลโต และเบส .com
(Bass) ตา่ํ ทสี่ ดุ
ดนตรีในยุคนี้ได้รับพิจารณาวาเป็นยุคทองของดนตรีขับร้องประสานเสียง ซ่ึงเป็นการ
3. การบรรเลงบทเพลงดวย ขับร้องประสานเสียงแบบมีแนวท�านองอิสระหลายแนว เป็นรูปแบบของดนตรีท่ีได้รับความนิยม
เคร่อื งดนตรมี ักจะถูกจาํ กดั เป็นอยางมาก ถึงแม้วาดนตรีศาสนาได้ถูกลดความส�าคัญลง แตดนตรีขับร้องประสานเสียงตาม
ดวยชว งเสียงของการรอง) แบบของดนตรศี าสนากย็ งั คงไดร้ ับการปฏิบัติและพัฒนาอยอู ยา งตอเนอื่ ง และเปน็ แบบแผนหลัก
ในการประพันธ์ดนตรีของนักประพันธ์เพลงหลายทานในยุคนี้ ลักษณะของค�าร้องเป็นการน�าเอา
ขยายความเขา ใจ ความหมายและส�านวนตางๆ มาเป็นองค์ประกอบส�าคัญ ซึ่งความหมายของค�าร้องจะสะท้อน
ปรัชญาแนวคิดของคนในสมัยน้ัน ผลงานบทเพลงท่ีได้รับการยกยอง เชน เพลงโมเท็ต ซ่ึง
ใหน กั เรยี นนาํ ความรเู กย่ี วกบั ดนตรี ประพนั ธโ์ ดยจ็อสแก็ง เดส ์ เปรส ์ (Josquin des Prez) เปน็ ต้น
ในยคุ ฟน ฟศู ลิ ปวทิ ยาการมาวเิ คราะห ส�าหรับสังคีตกวีท่ีมีช่ือเสียงในยุคน้ี เชน จอห์น ดันสเตเบิล (John Dunstable)
วา กิโยม ดูเฟย ์ (Guillaume Dufay) จิโอวนั น ี ปแ อรล์ ุยจิ ดา ปาเลสตรินา (Giovanni Pierluigi
da Palestrina) คลอดิโอ มอนเทแวร์ด ี (Claudio Monteverdi) โทมัส ทัลลิส (Thomas Tallis)
• ดนตรใี นยคุ ฟนฟศู ลิ ปวทิ ยาการ โจวันน ี กาบริเอล ิ (Giovanni Gabrieli) วิลเลียม เบริ ด์ (William Byrd) คาร์โล เกซวลโด (Carlo
มพี ัฒนาการเปล่ียนแปลงจาก Gesualdo) เปน็ ต้น
ดนตรีในยุคกลางอยา งไร
๓8
เกรด็ แนะครู
ครูควรนําเพลงในยุคฟนฟูศิลป-
วิทยาการมาเปดใหนักเรียนฟง เพ่ือ
เสริมประสบการณในการฟง และให
นักเรียนแสดงความรูสึกจากบทเพลง
ตางๆ ทีไ่ ดฟ ง
นักเรยี นควรรู @ มุม IT
ประสานเสียง การรอ ง หรือบรรเลงเสียงเกนิ กวา 1 เสียง สามารถศึกษาเพ่ิมเติมเกยี่ วกบั ดนตรียุคฟน ฟศู ลิ ปวทิ ยาการ
ในเวลาเดียวกัน เสียงประสานจะสรางอารมณ ความรูสึก ไดจาก http://www.sadetmusic.com/music/soth4.htm
ตางๆ ใหเกดิ ขึน้ ในบทเพลง
38 คูมอื ครู
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
ตวั อย่าง โนต้ เพลงของสงั คตี กวใี นยุคฟื้นฟูศลิ ปวทิ ยาการ อธบิ ายความรู
Madrigali a Cinque Voci ครูนําตัวอยางโนตเพลงของสังคีต
“Cruda Amarilli” กวใี นยคุ ฟน ฟศู ลิ ปวทิ ยาการ คอื เพลง
Madrigali a Cinque Voci “Cruda
Claudio Monteverdi Amarilli” ผลงานของคลอดิโอ มอน
เทแวรดี (Claudio Monteverdi) มา
ใหนักเรียนดู พรอมทั้งเปดเพลงให
นกั เรียนฟง ประกอบ
Cru- - -da A-ma- -ril- -li cru- - -
Cru- - -da A-ma- -ril- -li cru - - นกั เรยี นควรรู
Cru- - -da A-ma- -ril- -li cru- - Madrigali หรือแมดรกิ ลั เพลงรอง
ประสานเสียงประเภทเพือ่ ความ
Cru- -da A- ma- - -ril- -li cru- บันเทิง (ไมใชทางศาสนา) จะมี
เน้ือรองเก่ียวกับความรัก หรือยกยอง
Cru- -da A- ma- - -ril- -li cru- - บุคคลสําคญั และมจี ังหวะสนกุ สนาน
สามารถขับรองโดยไมตอ งใชเ ครื่อง
ดนตรีคลอประกอบ โดยปกตเิ พลง
แมดรกิ ลั จะใชเสยี งรองหนึ่งคนตอ
หน่ึงแนวทาํ นอง
- -da A-ma- -ril- -li, che col no-me an - co - ra d’a - นักเรยี นควรรู
- -da A-ma- -ril- -li, che col no-me an - co - ra d’a - Claudio Monteverdi หรือ คลอ
- -da A-ma- -ril- -li, che col no-me an - co - ra d’a - ดิโอ มอนเทแวรด ี สังคีตกวีชาวอติ าลี
-da A-ma- - -ril- -li, che col no-me an - co - ra d’a - เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1567
ทเ่ี มอื งเครโมนา (Cremona) ประเทศ
-da A-ma- - -ril- -li, che col no-me an - co - ra d’a - อิตาลี ส่งิ ท่สี รางชอื่ เสียงใหก ับเขา คอื
การประพนั ธด นตรปี ระกอบการแสดง
๓9 อุปรากร (Opera) ซ่ึงการประพันธ
ทํานองเพลงที่มีชื่อเสียง คือ อุปรากร
เรื่อง Orfeo ที่ประพันธขึ้นในป ค.ศ.
1607 นอกจากนี้ เขายังไดประพันธ
ดนตรีประกอบการแสดงอุปรากร
เร่ือง L’ incoronazione di Poppea
ซงึ่ ถอื วา เปน อปุ รากรทดี่ ที สี่ ดุ ในยคุ นนั้
คมู อื ครู 39
กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
ใหน ักเรียนแตล ะกลุมรว มกนั สรุป ๑.๓ ย ุคบาโรก (Baroque Period ค.ศ. ๑6๐๐-๑75๐)
ลักษณะสาํ คญั ของดนตรสี ากลในยคุ ดนตรยี คุ บาโรกในชว งตน้ นกั ประพนั ธ์
บาโรก (Baroque Period) จากนัน้ สวนใหญหันมาให้ความสนใจดนตรีโมโนดี
ครถู ามนกั เรยี นวา (Monody) ซ่ึงเป็นการขับร้องแบบท�านองแนว
เดียวที่มีการบรรเลงประกอบด้วยเครื่องดนตรี
• ลักษณะเดนของดนตรีในยุค ท�าเสียงคอร์ดและเสียงเบส แนวการบรรเลง
บาโรกคอื สง่ิ ใด ประกอบลักษณะน้ีโดยท่ัวไปในภาษาอิตาเลียน
(แนวตอบ ลักษณะสาํ คัญของ เรยี กวา “บาสโซ คอนทนี โู อ” (Basso continuo)
ดนตรยี คุ บาโรก คอื การทาํ ใหเ กดิ ซ่ึงเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่ส�าคัญของวิวัฒนาการ
“ความตัดกัน” (Contrasting) ดนตรยี ุคบาโรก
เชน เร็ว-ชา, ดงั -เบา เปน ตน ยุคบาโรกจะสะท้อนให้เห็นแบบฉบับ
ซ่ึงวธิ ีการเหลา นี้สามารถพบได เฉพาะตวั ของยคุ นท้ี เ่ี นน้ ความโออ า หรหู รา และ
ในงานประเภททรโิ อโซนาตา เนน้ ความสมา�่ เสมอของจงั หวะ ทา� นองเปน็ แบบ
(TrioSonata)คอนแชรโ ตกรอสโซ อัลโตนโี อ ววี ลั ดี (Antonio Vivaldi) สังคีตกวีผมู ชี ่อื เสยี ง ท�านองเดียวสั้นๆ เริ่มใช้เครื่องดนตรีมากขึ้น
(Concerto Grosso) ซิมโฟเนีย ในยคุ บาโรก เพื่อให้เกิดสีสันและอรรถรสในการรับฟัง สิ่งที่
(Simphonia) และคันตาตา ที่มาของภาพ : http://www.wikimedia.org
(Cantata))
เหน็ เดน ชดั คอื การใชเ้ สยี งกระหม่ึ ของออรแ์ กน (Organ) ประสมเครอ่ื งดนตรอี น่ื ๆ เลน คลอกบั เสยี ง
• ดนตรีในยคุ บาโรกเริม่ มีการ รอ้ งของกลุมนกั ร้องประสานเสยี ง (Choristers) ชวงหลังเร่ิมมเี ครอ่ื งเป่าลมไม้และเครอื่ งสายเพิม่
ใชบนั ไดเสียงบางแลว หรือไม เขา้ มา และในยคุ นยี้ งั มกี ารเรม่ิ ใชบ้ นั ไดเสยี งเมเจอร ์ (Major Scale) และบนั ไดเสยี งไมเนอร ์ (Minor
อยา งไร Scale) แทนโมด หรอื หมวดเสยี ง นยิ มการสอดประสานทา� นอง ววิ ฒั นาการบนั ทกึ โนต้ เหมอื นกบั แบบ
(แนวตอบ เร่ิมมีการใชบันไดเสียง ทใ่ี ชก้ นั อยใู นปจั จบุ นั นอกจากน ี้ ยงั เรม่ิ หนั มาใหค้ วามสนใจการกา� หนดอตั ราความชา้ -เรว็ และองศา
เมเจอร (Major) และไมเนอร ความดงั -เบาในบทเพลงอีกดว้ ย
(Minor) แทนบนั ไดเสยี งโบราณที่ สังคตี กวที ม่ี ชี ่อื เสยี งในยุคนี ้ เชน อัลโตนโี อ วีวลั ดี (Antonio Vivaldi) ซงึ่ เปน็ ผู้บกุ เบิกใน
เรยี กวา “โมด” (Mode) และการ การประพนั ธเ์ พลง โดยเฉพาะเพลงประเภทคอนแชรโ์ ตท่มี ลี ักษณะการบรรเลงเคร่อื งดนตรโี ต้ตอบ
กาํ หนดอตั ราจงั หวะความเรว็ กนั ระหวา งกลุมใหญก ับกลมุ เลก็ โยฮนั น์ เซบาสเตยี น บาค (Johann Sebastian Bach) เปน็
ชัดเจน เชน เรว็ (Allegro) สงั คตี กวผี ยู้ ง่ิ ใหญอ กี ผหู้ นง่ึ ในยคุ บาโรก ซง่ึ มผี ลงานสว นใหญใ ชส้ า� หรบั พธิ กี ารทางศาสนา เชน เพลง
เร็วปานกลาง (Moderato) หรอื คนั ตาตา (Cantata) เพลงคอนแชรโ์ ตกรอสโซ ๕ เพลงทีเ่ รยี กวา “แบรนเดนเบริ ก คอนแชรโ ต”
ชาปกติ (Andante) เปน ตน ) (Brandenburg Concertos) และนอกจากน้นั ยงั มจี อรจ์ ฟรเิ ดอริก แฮนเดล (George Frederick
Handel) ผู้มีผลงานเพลงร้องทางศาสนา คือ มะไซอะ (Messiah : เป็นภาษาฮิบรู แปลวา
นกั เรียนควรรู พระผมู้ าโปรด) และเพลงประเภทออราทอรโิ อ (Oratorio) ท่มี ชี ือ่ เสยี งมากที่สดุ ของโลก เปน็ ต้น
คอนแชรโต การเดี่ยวเครอื่ งดนตรี 4๐
โดยใชเทคนคิ ขนั้ สงู ประกอบกับวง
ดนตรี โดยมที ้งั แบบคอนแชรโ ตเดี่ยว นักเรยี นควรรู
และคอนแชรโ ตกลมุ เชน ไวโอลิน
คอนแชรโต เปยโนคอนแชรโ ต โยฮนั น เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach) ผลงานของเขาจะมคี วามโดดเดน
เปนตน ซึง่ ผูแสดงเด่ยี วเคร่ืองดนตรี ในทกุ แงม ุม ซ่ึงเกดิ จากความพถิ พี ิถนั ในการสรางบทเพลงทมี่ คี วามสมบรู ณไปดว ยทวงทาํ นอง
นัน้ ๆ จะตอ งเปนผูที่มีความสามารถ เสียงประสาน หรอื เทคนิคการสอดประสานกันของทวงทาํ นองท่ีผา นการฝก ฝนมาเปน อยางดี
ในเครื่องดนตรีชนิดน้นั เปนพิเศษ
40 คมู ือครู
กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
ตัวอยา่ ง โน้ตเพลงของสงั คีตกวใี นยคุ บาโรก อธิบายความรู
Largo from Winter ครนู าํ ตวั อยางโนต เพลงของสังคตี
กวใี นยคุ บาโรก คอื เพลง Largo
Antonio Vivaldi (ค.ศ. ๑๖๗๘-๑๗๔๑) From Winter ผลงานของอัลโตนีโอ
arranged by Klas Krantz ววี ลั ดี (Antonio Vivaldi) มาให
นกั เรียนดู พรอมท้งั เปด เพลงให
นกั เรียนฟง ประกอบ
เกรด็ แนะครู
ครูอธิบายเสริมวา ส่ิงใดทท่ี ําให
ดนตรีในยุคบาโรกมคี วามแตกตา ง
ไปจากดนตรีในยุคอนื่ ๆ มอี ยดู วยกัน
หลายประการ คือ
1. นยิ มใชส ่ือทีต่ างกนั ตอบโตก ัน
เชน เสียงนักรองกับเครอ่ื งดนตรี
เปน ตน
2. นยิ มใชเบสเปน ทัง้ ทํานองและ
แนวประสาน ท่เี รยี กวา
“Basso Continuo”
3. เรม่ิ มกี ารประสานเสยี งแบบ
โฮโมโฟนี (Homophony) ซึง่
เปนการประสานเสียงแบบองิ
คอรด
4. นยิ มใชบนั ไดเสยี งเมเจอร
(Major) และไมเนอร (Minor)
แทนโมด (Mode)
5. เคานเ ตอรพ อยท (Counter-
point) ยังคงเปนคณุ ลกั ษณะ
เดนของสมัยน้ี โดยโฮโมโฟนี
(Homophony) จะมีบทบาท
หนนุ สงใหเ คานเ ตอรพ อยท
สมบูรณยิ่งขึน้
6. มีการระบุความเรว็ -ชา และ
หนัก-เบา ลงไปในผลงาน
4๑ 7. เทคนคิ ของการ Improvisation
ไดร ับความนิยมเปน อยา งมาก
8. มคี ีตลกั ษณ (Form) ใหมๆ
เกดิ ข้นึ หลายแบบ
9. มกี ารจําแนกหมวดหมูของ
นักเรยี นควรรู คีตนพิ นธ และบญั ญัตศิ พั ทไ ว
Antonio Vivaldi หรืออัลโตนีโอ วีวลั ดี เปนสังคีตกวีชาวอติ าลี เกิดเมอ่ื วนั ที่ 4 มีนาคม เรยี กชดั เจน
ค.ศ. 1678 ที่เมืองเวนิซ ประเทศอิตาลี เขาไดสรางสรรคผลงานเพลงไวอยางมากมาย 10. อุปรากร (Opera) ไดกําเนดิ
ไมวาจะเปนเพลงประเภทคอนแชรโ ต โอเปรา ซมิ โฟนี โซนาตา ฯลฯ และพัฒนาขน้ึ ในสมัยนี้
คูมอื ครู 41
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%)
ใหนกั เรยี นรว มกันวิเคราะหว า ๑.4 ย คุ คลาสสกิ (The Classic Period ค.ศ. ๑755-๑8๓๐)
• ววิ ฒั นาการดนตรใี นยคุ คลาสสกิ ค�าวา “คลาสสิก” (Classic) ในทาง
ดนตรนี นั้ มหี ลายความหมาย เชน ประเภทดนตรี
มกี ารเปลยี่ นแปลงไปจาก ท่ีเป็นศิลปะช้ันสูง แนวคิดของการสร้างสรรค์
ยุคบาโรกอยา งไร ดนตรีที่ค�านึงถึงระเบียบแบบแผนธรรมเนียม
(แนวตอบ มลี ักษณะหลายอยา งท่ี ของการประพนั ธ์เป็นหลกั เปน็ ต้น
เปลย่ี นแปลงไปอยา งชัดเจน เชน ในทางประวัติดนตรีจะหมายถึงดนตรี
ขนาดของวงออรเคสตราในยุค ทม่ี วี วิ ฒั นาการอยใู นชว งประมาณ พ.ศ. ๒๒๙๘-
คลาสสกิ ท่ีใหญแ ละเปน ระเบยี บ ๒๓๖๘ และนักดนตรีมักนิยมเรียกวิวัฒนาการ
แบบแผนกวา การใชเสยี งประสาน ดนตรตี ะวนั ตกในชว งนว้ี า “ยคุ เวยี นนสิ คลาสสกิ ”
ทเี่ ปน คอรด ไมซ บั ซอ นเทา ยคุ บาโรก เพราะวาในชวงเวลาดังกลาว กรุงเวียนนาของ
การใชค วามดงั -เบา ในบทเพลง ประเทศออสเตรียเป็นเมืองศูนย์กลางหลักของ
มาสรางความไพเราะ เปนตน ) วิวัฒนาการดนตรีในยุคนี้นนั่ เอง
โยเซฟ ไฮเดนิ (Joseph Haydn) สงั คตี กวีผูม ีชือ่ เสียงใน ในยุคน้ีจะแยกดนตรีทางศาสนาและ
นักเรยี นควรรู ยคุ คลาสสกิ ดนตรีเพอ่ื ความบันเทงิ ออกจากกนั จังหวะและ
ทีม่ าของภาพ : http://www.vpro.nl
เพลงซิมโฟนี บทเพลงทบี่ รรเลง
โดยวงดรุ ิยางคข นาดใหญ ซึ่งมี เสียงของเคร่ืองดนตรีในเพลงมีการเปลี่ยนแปลงอยางเห็นได้ชัด ท�านองเพลงมีความช้าและเร็ว
เครือ่ งดนตรคี รบท้ัง 4 ประเภท สลับกนั ไมนยิ มการสอดประสานท�านองเแบบลลี าประสานท�านอง (Counterpoint) แตหันมาเนน้
คอื เคร่อื งสาย เครอื่ งเปาลมไม ทา� นองหลกั ทา� นองเดยี วและใสแ นวเสยี งประสาน เพอ่ื เนน้ ใหท้ า� นองหลกั มคี วามไพเราะมากยง่ิ ขน้ึ
เคร่ืองเปาลมทองเหลอื ง และ มีการก�าหนดรูปแบบของเพลงที่เป็นแบบแผน เชน เพลงซิมโฟนี เพลงคอนแชร์โต เป็นต้น
เครอ่ื งตีกระทบ เพลงซิมโฟนี เครื่องดนตรีได้รับการพัฒนาเป็นอยางมากโดยเฉพาะเปียโนมีการประสมวงท่ีแนนอน เชน
ถอื กาํ เนดิ มาในยุคคลาสสิก วงเชมเบอรม์ ิวสกิ (Chamber Music) จะประกอบไปดว้ ยเคร่ืองดนตรี ๒-๙ ช้นิ วงออร์เคสตรา
(Orchestra) จะประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี ๔ กลุมใหญ ได้แก กลุมเคร่ืองสาย กลุมเคร่ือง
นักเรียนควรรู เปา่ ลมไม้ กลมุ เครือ่ งเปา่ ลมทองเหลอื ง และกลุมเครอ่ื งตี
การแสดงอปุ รากร (Opera) ยังเปน็ ท่นี ยิ มมากในยุคน ี้ เพราะเปน็ การแสดงท่ีรวมศิลปะ
เพลงคอนแชรโ ต การเดย่ี ว หลายอยา งเข้าไว้ดว้ ยกัน ท้ังศิลปะด้านดนตร ี การแสดง การจดั ฉาก และการเขียนบท
เคร่ืองดนตรีโดยใชเ ทคนคิ ขัน้ สูง สา� หรบั สงั คตี กวที ม่ี ชี อื่ เสยี งในยคุ น ้ี ไดแ้ ก โยเซฟ ไฮเดนิ (Joseph Haydn) บดิ าแหง เพลง
ประกอบกบั วงดนตรี โดยมที ้งั แบบ ซมิ โฟน ี โวลฟ์ กงั อะมาเดอสุ โมซารท์ (Wolfgang Amadeus Mozart) บดิ าแหง เพลงสตรงิ ควอรเ์ ทต็
คอนแชรโ ตเดยี่ วและคอนแชรโ ตกลมุ นกั ประพนั ธเ์ พลงมากกวา ๖๐๐ บท และลดุ วิก ฟาน เบโทเฟน (Ludwig van Beethoven) ผทู้ ีไ่ ด้
เชน ไวโอลนิ คอนแชรโ ต เปย โน รบั การยกยองวาเป็น “สังคตี กวผี ูยิ่งใหญต่ ลอดกาล”
คอนแชรโ ต เปน ตน ซ่ึงผูแ สดง
เดยี่ วเคร่ืองดนตรีน้ันๆ จะตองเปน 42
ผทู ่ีมีความสามารถในเครื่องดนตรี
ชนดิ นนั้ เปนพิเศษ
นกั เรยี นควรรู @ มมุ IT
การแสดงอปุ รากร (Opera) ละครรองชน้ั สูง 1. สามารถศกึ ษาเพ่ิมเตมิ เก่ยี วกบั ลักษณะดนตรีในยุคคลาสสกิ
ของชาวตะวนั ตก ถือเปนสดุ ยอดของงานศิลปะ ไดจ าก http://www.student.nu.ac.th/pick_ed/LESSON6.htm
เพราะเปนการรวมศลิ ปะแขนงตา งๆ ไวด ว ยกนั
2. สามารถชมคลปิ วดิ โี อการแสดงของวงออรเ คสตรา ไดจ าก http://
42 คมู ือครู www.youtube.com โดยคน หาจากคาํ วา Orchestra
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
ตวั อยา่ ง โนต้ เพลงของสังคีตกวีในยุคคลาสสกิ อธิบายความรู
Double Bass Concerto in Eb ครูนําตัวอยางโนตเพลงของสังคีต
for Trumpet & Orchestra กวใี นยคุ คลาสสกิ คอื เพลง Concerto
in Eb for Trumpet & Orchestra
I Joseph Haydn (ค.ศ. ๑๗๓๒-๑๘๐๙) ผลงานของโยเซฟ ไฮเดิน (Joseph
Haydn) มาใหนักเรียนดู พรอมทั้ง
Arr. & Cadenza Michel Rondeau เปด เพลงใหนักเรียนฟง ประกอบ
เกร็ดแนะครู
ครเู นน ยา้ํ ใหน กั เรยี นเขา ใจวา ดนตรี
ในยุคคลาสสิกจัดเปนดนตรีบริสุทธิ์
(Absolute Music) เพราะเปนดนตรี
ที่ไมมีจินตนาการอยูเบื้องหลัง ไมมี
บทกวีประกอบ เปนดนตรีทมี่ แี ตเ สียง
ดนตรีบรสิ ุทธิ์ ซง่ึ จะตรงขา มกบั ดนตรี
ในยุคโรแมนติกที่เปนดนตรีพรรณนา
(Program Music) ซ่ึงเปนดนตรีท่ีมี
เรื่องราว
นกั เรยี นควรรู
Joseph Haydn หรอื โยเซฟ ไฮเดนิ
เปนสังคีตกวีชาวออสเตรีย เกิดเมื่อ
วันท่ี 31 มีนาคม ค.ศ. 1732 เขาเปน
ผู ที่ บุ ก เ บิ ก ด น ต รี ใ น ยุ ค ค ล า ส สิ ก
ทั้งยังเปนผูพัฒนารูปแบบดนตรี
ประเภทซิมโฟนี (Symphony) และ
สตริงควอเต็ต (String Quartet) ให
มีแบบแผนมาจนถึงปจจุบันอีกดวย
จนทาํ ใหเ ขาไดร บั สมญานามวา “บดิ า
แหง ซมิ โฟนแี ละสตรงิ ควอเตต็ (Father
of the Symphony and String
4๓ Quartet)”
นกั เรียนควรรู
Double Bass หรือดบั เบิลเบส เปนเครอ่ื งดนตรีประเภทเคร่อื งสี จัดเปน หนึง่ ในเครื่องดนตรตี ระกลู
ไวโอลิน โดยดับเบิลเบสจะมีความสูงมาตรฐานประมาณ 74 นิ้ว เปนเครื่องดนตรีที่นิยมนํามาบรรเลง
ในวงออรเคสตรา (Orchestra) และวงเครอื่ งสาย (String Band)
คูมือครู 43
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนกั เรียน 20%)
ใหนกั เรยี นแตล ะกลมุ รวมกันสรปุ ๑.5 ยคุ โรแมนติก (Romantic Period ค.ศ. ๑8๓๐-๑9๐๐)
ลักษณะสาํ คัญของดนตรสี ากลใน วิวัฒนาการของดนตรียุคโรแมนติก
ยคุ โรแมนตกิ (Romantic Period) เปน็ การพฒั นาสืบเนื่องตอ จากยคุ คลาสสกิ โดย
จากนนั้ ครถู ามนักเรยี นวา ดนตรโี รแมนตกิ จะเนน้ การสะทอ้ นถงึ การยดึ เอา
• ดนตรใี นยุคโรแมนติกจะเนน ความคิดอสิ ระของผู้สรา้ งสรรค์เป็นสา� คญั
นกั ดนตร ี หรอื นกั ประพนั ธเ์ พลงทา� งาน
เรอ่ื งใดเปนสําคญั เพอ่ื เจา้ นายในราชสา� นกั นอ้ ยลง ผลงานเพลงจะ
(แนวตอบ ผลงานเพลงจะเนน ความ เน้นความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ประพันธ์เอง
รูสึกและอารมณข องผปู ระพันธ เน่ืองจากยุคโรแมนติกเป็นชวงที่มีการรวมชน
เพลงเปนหลัก ในยคุ น้เี ริ่มมกี าร เชอื้ ชาติเดยี วกัน เพื่อสร้างเป็นประเทศ จงึ เกดิ
จดั แสดงทเ่ี รยี กเกบ็ เงนิ คาเขาชม กระแสลัทธิชาตินิยมข้ึน นักประพันธ์ดนตรีใน
ท่ีเรยี กวา “การแสดงคอนเสริ ต” ยุคโรแมนติกหลายคนจึงได้ประพันธ์ดนตรีขึ้น
ลกั ษณะดนตรีในยคุ น้จี งึ มที ัง้ เพื่อตอบสนองกระแสลัทธิชาตินิยมให้คนใน
ดนตรเี พอ่ื ศิลปะ ดนตรเี พอ่ื ปเตอร อีลทิ ซ ไชคอฟสกี (Pyotr Ilyich Tchaikovsky) เชื้อชาติเดียวกันมีความภาคภูมิใจในความเป็น
บรรยายเรอ่ื งราว และดนตรีที่ สงั คตี กวผี มู ชี ่อื เสยี งในยุคโรแมนตกิ ชนชาตขิ องตน รสู้ กึ ถงึ ความสงา งามของดนิ แดน
แสดงความเปนชาตนิ ิยม) ท่ีมาของภาพ : http://www.en.wikipedia.org
นกั เรียนควรรู และมาตุภูมิที่ตนด�ารงชีวิตอยู ซึ่งบทประพันธ์
ดนตรียุคโรแมนติกที่เป็นชาตินิยมได้รับยกยอง
ยุคโรแมนตกิ เนน อารมณข อง ใหเ้ ปน็ วรรณกรรมดนตรที ี่มคี ณุ คาจ�านวนมาก
ดนตรีมากกวาความสมดุลของ ในยุคน้ีเริ่มมีการจัดการแสดงที่เรียก
บทเพลง และเนนความเปนตวั ตน เกบ็ เงนิ คา เขา้ ชมทเ่ี รยี กวา “คอนเสริ ต ” ลกั ษณะ
ของสังคีตกวีมากกวา กฎเกณฑ ดนตรใี นยคุ นมี้ ที งั้ ดนตรเี พอื่ ศลิ ปะ ดนตรบี รรยาย
ทางดนตรีท่ีมีมาแตเ ดิม เรอ่ื งราว ดนตรที แ่ี สดงความเปน็ ชาตนิ ยิ ม มกี าร
นา� คอร์ดทีม่ ีเสียงไมกลมกลนื มาใชม้ ากข้นึ เนน้
นกั เรยี นควรรู ความดงั -เบา และเทคนคิ การเลน ทย่ี ากขนึ้ สา� หรบั
สงั คตี กวที มี่ ชี อื่ เสยี งเปน็ ทรี่ จู้ กั กนั ด ี ไดแ้ ก ปเี ตอร์
ลัทธชิ าตนิ ยิ ม เปนลัทธิการเมือง อีลิทช ์ ไชคอฟสก ี (Pyotr Ilyich Tchaikovsky)
ที่เนน ความจงรักภกั ดีตอรัฐ (ชาติ) โยฮนั เนส บรามส ์ (Johannes Brahms) ฟรานซ์
โดยถอื วา ชาตเิ ปน ที่มาของทกุ ส่ิง ชเู บริ ต์ (Franz Schubert) ฟรเี ดอรคี ฟรองซวั ส์ โยฮันเนส บรามส (Johannes Brahms) สังคีตกวีผูมี
ทุกอยา ง ลัทธชิ าตนิ ยิ มจงึ ไมไ ดเปน โชแปง (Frederic Francois Chopin) โรเบริ ต์ ชมู นั น ์ ช่ือเสยี งในยคุ โรแมนติก
เพียงรูปแบบทางการเมืองแตยังเปน (Robert Schumann) เป็นตน้ ทีม่ าของภาพ : http://www.flagstaffsyphony.org
อุดมคตใิ นการดาํ เนนิ ชีวติ อีกดวย
44
44 คูม อื ครู นักเรยี นควรรู
โยฮนั เนส บรามส (Johannes Brahms) สงั คตี กวชี าวเยอรมนั เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 7 พฤษภาคม ค.ศ.1833
เขาไดป ระพนั ธเ พลงไวอ ยา งมากมาย ไมว า จะเปน บทเพลงสาํ หรบั วงดรุ ยิ างค คอนแชรโ ต เชมเบอร
มิวสิก ดนตรขี บั รอง ดนตรสี าํ หรับบรรเลงเปย โน ฯลฯ เอกลักษณท ีโ่ ดดเดนของการประพนั ธเ พลง
ของเขา คือ สีสันทางดนตรีท่ีหลากหลาย ทวงทํานองเพลงที่สรางสรรคขึ้นใหม และจังหวะที่มี
การสอดประสานกนั อยางลงตวั
กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Tchaikovsky
ตัวอยา่ ง โนต้ เพลงของสงั คตี กวีในยุคโรแมนตกิ อธบิ ายความรู
arr.DN
Flute Swan Lake Op. ๒๐ ครนู ําตวั อยา งโนตเพลงของ
สังคตี กวใี นยุคโรแมนตกิ คอื
Scène Finale เพลง Swan Lake Op.20 ผลงาน
ของปเ ตอร อลี ิทช ไชคอฟสกี
(Pyotr Ilyich Tchaiï kovsky) มาให
นกั เรยี นดู พรอ มทัง้ เปด เพลงให
นักเรียนฟง ประกอบ
นักเรียนควรรู
Swan Lakeผลงานการประพนั ธข อง
ปเตอร อีลทิ ช ไชคอฟสกี (Pyotr Ilyich
Tchaikï ovsky) มเี คา โครงมาจากนทิ าน
ของประเทศรัสเซียและจากตํานาน
พน้ื เมอื งของประเทศเยอรมนั เนอื้ เรอ่ื ง
จะกลาวถึงเจาหญิงพระองคหนึ่ง
นามวา “โอเดตต” ที่ถูกสาปใหกลาย
รางเปนหงสในเวลากลางวัน และจะ
กลายเปนมนุษยดังเดิมในเวลากลาง
คืน ไดจัดแสดงข้ึนเปนคร้ังแรกเม่ือ
วันที่ 20 กุมภาพันธ ค.ศ. 1877 ที่
โรงละครบอลชอย (Bolshoi Theatre)
ณ กรุงมอสโคว ประเทศรัสเซีย
นกั เรยี นควรรู
Flute หรอื ฟลตู จดั เปน เครอ่ื งดนตรี
สากลประเภทเครอื่ งเปา ลมไม ใหเ สยี ง
ท่มี คี วามไพเราะ นุมนวล ออนหวาน
นักเรียนควรรู
45 Tchaïikovsky หรือปเตอร อีลิทช
ไชคอฟสกี (Pyotr Ilyich Tchaiï kovsky)
สังคีตกวีชาวรัสเซีย เกิดเม่ือวันที่ 7
พฤษภาคม ค.ศ. 1840 เขาไดป ระพนั ธ
เพลงไวอยางมากมาย ไมวาจะเปนเพลงประกอบการแสดง
อุปรากรและบัลเลต ซิมโฟนี คอนแชรโต เชมเบอรมิวสิก ดนตรี
สําหรับบรรเลงเปยโน ฯลฯ และดวยผลงานการประพันธเพลง
อยางหลากหลาย จึงทําใหบทเพลงของเขาไดรับความนิยมมาก
จนถงึ ปจ จุบัน
คมู ือครู 45
กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate
อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นักเรยี น 20%)
ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันสรุป ๑.6 ยุคศตวรรษท่ี 2๐ (20th Century Period ค.ศ. ๑9๐๐-ปจ จบุ นั )
ลักษณะสําคัญของดนตรีสากลในยุค เม่ือเข้าสูยุคศตวรรษท่ี ๒๐ ดนตรี
ศตวรรษที่ 20 (20 th Century Period) ตะวันตกมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เป็นยุค
จากนนั้ ครถู ามนักเรียนวา สมัยที่มีพัฒนาการดนตรีตอจากยุคโรแมนติก
• ลักษณะดนตรใี นยุคศตวรรษท่ี 20 นักประพันธ์เพลงมีแนวคิดนิยมในการสรรหา
ส่ิงใหมๆ เพื่อสร้างให้ดนตรีมีน�้าเสียงไมซ้�า
มกี ารเปลี่ยนแปลงไปจากยุค แบบเดิมๆ ซึ่งเป็นการเน้นแนวคิดที่ยึดความ
โรแมนตกิ อยางไร คิดของตนเองเป็นหลักในการสร้างสรรค์มาก
(แนวตอบ ดนตรใี นยุคศตวรรษที่ 20 ย่งิ ขนึ้ ดังน้นั บรรดานกั ประพนั ธเ์ พลงทงั้ หลาย
จะมีความซับซอนมากย่ิงข้ึน เปน จึงมีแนวคิดในการสร้างงานท่ีแตกตางกันออก
ยคุ สมยั ทมี่ พี ฒั นาการดนตรตี อ จาก ไป และมคี วามหลากหลายในดา้ นรปู แบบดนตรี
ยุคโรแมนติก ผูประพันธดนตรีมี ในยุคนี้เป็นยุคของการทดลองเพื่อ
แนวคดิ นยิ มในการสรรหาสง่ิ ใหมๆ ค้นหาความแปลกใหม เชน รชิ ารด์ วากเนอร์
เพ่ือสรางใหดนตรีมีนํ้าเสียงไมซ้ํา ริชารด วากเนอร (Richard Wagner) สังคีตกวี ผูมี (Richard Wagner) ใช้การเปล่ียนบันไดเสียง
แบบเดิมๆ ซึ่งเปนการเนนแนวคิด ชื่อเสียงในยุคศตวรรษท่ี ๒๐ ในเพลงบอยๆ อาร์โนลด์ เชินแบร์ก (Arnold
ที่ยึดความคิดของตนเองเปนหลัก ทมี่ าของภาพ : http://www.en.wikipedia.org
ในการสรา งสรรคผ ลงานมากยงิ่ ขนึ้ )
Schoenberg) แตง เพลงโดยใชร้ ะบบโนต้ ๑๒ ตวั
เกรด็ แนะครู (Twelve Tone Method) อิกอร์ สตราวินสกี
(Igor Stravinsky) ซึ่งเป็นนักประพันธ์เพลงท่ี
ครูอธิบายเสรมิ วา ยุคศตวรรษ มีชื่อเสียงที่สุดในยุคน้ีสามารถประพันธ์เพลง
ท่ี 20 อยูในชว งปลายยุคโรแมนตกิ ไดท้ กุ รูปแบบ เบลา บารต์ อ็ ก (Bela Bartok)
ซงึ่ เริม่ เบ่ือความซ้าํ ซากจําเจของ นักประพันธ์เพลงที่นิยมการประพันธ์เพลง
กฎเกณฑทใ่ี ชมาโดยตลอด ยุคนี้ แนวใหม โดยมกี ารนา� เพลงพื้นเมืองของฮงั การ ี
สังคมมกี ารเปลี่ยนแปลงอยา งรวดเรว็ และรูมาเนียมาเป็นวัตถุดิบหลัก จนได้รับ
ไฟฟาและอเิ ล็กทรอนกิ สไ ดเขา มา ค�ายกยองวาเป็นผู้รอบรู้ในดนตรีพ้ืนเมือง
มีบทบาทในชวี ติ และมีอทิ ธิพลตอ เป็นต้น
ดนตรเี ปน อยางมาก นอกจากน ี้ ในยคุ ศตวรรษท ี่ ๒๐ ยงั ได้ อกิ อร สตราวนิ สกี (Igor Stravinsky) สงั คตี กวผี มู ชี อ่ื เสยี ง
เกดิ เพลงและดนตรปี ระเภทสมยั นยิ ม (Popular ในยุคศตวรรษท่ี ๒๐
นักเรยี นควรรู Songs) ขึน้ มาอกี หลายกระบวนแบบ ท่มี าของภาพ : http://www.iheart.com
สมัยนิยม (Popular Songs) เปน 46
เพลงท่ีสรางสรรคและผลิตข้ึนมาเพ่ือ
การขายโดยเฉพาะ โดยมีกลุมลูกคา
เปาหมาย คือ เด็ก วัยรุน และคนวัย
หนุม-สาว เน้ือหาสาระของบทรองจะ
เปนเรื่องราวที่มีความเก่ียวของกับวิถี
ชีวิตของคนในวยั น้ี ทั้งในเร่อื งชวี ติ รัก
ชีวิตในการเรียน และการดํารงชีวิต
เปนหลกั
46 คมู อื ครู
กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาา ใใจจ ตรวจสอบผล
Explain Evaluate
Richard Wagner
Engage Explore Expand
ตวั อยา่ ง โนต้ เพลงของสงั คตี กวใี นยุคศตวรรษท่ี ๒๐ อธบิ ายความรู
Horn in F Parsifal ครูนําตัวอยางโนตเพลงของสังคีต
faith and the Grail themes from กวีในยุคศตวรรษที่ 20 คือ เพลง
Parsifal faith and the Grail themes
I from ผลงานของริชารด วากเนอร
(Richard Wagner) มาใหนักเรียนดู
พรอมทั้งเปดเพลงใหนักเรียนฟง
ประกอบ
ขยายความเขา ใจ
ใหน ักเรียนรวมกันสรปุ สาระสาํ คญั
ของวิวัฒนาการของดนตรีสากลใน
แตละยคุ สมัยลงกระดาษรายงาน
สงครผู สู อน
ตรวจสอบผล
ครพู จิ ารณาจากการเขียนสรปุ
สาระสาํ คญั เกย่ี วกบั วิวฒั นาการ
ของดนตรีสากลในแตละยคุ สมัย
ของนกั เรียน
เกร็ดแนะครู
ครูสรุปใหนกั เรยี นฟง วา ดนตรี
มคี วามหมายอยา งหลากหลาย
ดนตรีเปนทงั้ ศิลปะและวิทยาศาสตร
เปน กิจกรรมเพื่อการผอ นคลายและ
เปน มรดกทางวัฒนธรรม ดนตรมี ี
สวนรว มอยใู นสงั คมทุกระดบั ตั้งแต
ระดับพื้นบานไปจนถงึ ระดบั สังคม
โลก และดนตรที ่ีไดร บั ความนิยม
อยา งกวา งขวางกค็ อื “ดนตรสี ากล
หรอื ดนตรตี ะวนั ตก” ดนตรีสากล
47 มวี ิวฒั นาการมาอยา งยาวนาน
ซึ่งอาจกลา วไดวาดนตรสี ากล
มขี ึ้นมาพรอมๆ กับวิวฒั นาการของ
สังคมมนษุ ย ซึง่ เราสามารถสบื คนได
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร โดยยคุ สมยั ของดนตรสี ากลจะแบง ออกเปน 6 ยคุ ดว ยกัน คือ ยุคกลาง
ยุคฟน ฟศู ิลปวิทยาการ ยคุ บาโรก ยุคคลาสสกิ ยคุ โรแมนตกิ และยุคศตวรรษท่ี 20 ผลงานในแตละยคุ
จะสะทอนแบบแผนความคดิ และความเช่อื ของคนในยคุ น้นั ๆ ไดเปนอยางดี ซ่งึ ในแตล ะยุคสมัยของ
ดนตรสี ากลก็จะมศี ลิ ปน หรอื สงั คตี กวที ่ีมีช่ือเสียงเปนท่ีรจู ักไปทว่ั โลกและเกดิ ขน้ึ ใหมเ สมอ
คมู ือครู 47