The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aust10thammarong.pon25, 2022-03-10 02:48:11

หนังสือแบบเรียน ทัศนศิลป์ ม.1

ทัศนศิลป์ ม.1

Keywords: ทัศนศิลป์ ม.1

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage Explore

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครูขออาสาสมัครนักเรยี น 2-3 คน ใหออกมา ñ. ¤ÇÒÁࢌÒã¨à¡èÕÂÇ¡ºÑ ¡ÒÃÇ¨Ô Òó¼ ŧҹ·ÈÑ ¹ÈÅÔ »Š
วาดรปู เสน รอบนอกของวัตถุ เชน แกวนา้ํ โตะ
เกาอี้ หรือวาดภาพจากจินตนาการของตนเองกไ็ ด การวจิ ารณผ ลงานทศั นศลิ ป์ หมายถงึ การต ิ การชม การวเิ คราะห ์ หรอื การแสดงความคดิ เหน็ บนพน้ื ฐาน
คนละ 1 ภาพ ภายในเวลาทีก่ ําหนด โดยครูกาํ หนด ของการใช้เกณฑ์ทกี่ �าหนดมาพจิ ารณาผลงานในแขนงตา่ งๆ เช่น ภาพเขียน งานปนั งานสร้างสรรคต์ ่างๆ เป็นต้น
หมายเลขผลงานเปน 1 2 และ 3 จากนั้นให การวจิ ารณเ์ พอื่ ประเมนิ งานทศั นศลิ ป ์ จะตอ้ งมหี ลกั เกณฑแ์ ละเหตผุ ล ทง้ั น ี้ เพราะการปฏบิ ตั งิ านศลิ ปะ แมจ้ ะกา� หนด
นกั เรยี นชวยกันสงั เกตวา ใหท้ า� ในสิ่งเดียวกัน แต่ผลงานท่ีได้ก็แตกตา่ งกนั ตามประสบการณ ์ ฝมี ือ และแนวคดิ ของผสู้ รา้ งสรรค์
การปฏิบัติงานศิลปะท�าให้เกิดผลงานสร้างสรรค์ด้วยรูปแบบและวิธีการต่างๆ ผลงานบางชิ้นอาจมีรูป
• ภาพท้ัง 3 ภาพมคี วามแตกตา งกนั อยา งไร แบบทแี่ ปลกไปจากธรรมชาต ิ มลี กั ษณะท่ีไมค่ ุน้ เคย หรือไม่เคยพบเหน็ ในชวี ติ ประจา� วนั ถ้าผูป้ ระเมนิ งานไม่เข้าใจ
• นักเรยี นชน่ื ชอบภาพของหมายเลขใด ก็จะวิจารณ์ไปตามความรู้สึกของตนที่มีต่อผลงานนั้น บางคร้ังก็ให้เหตุผลไม่ได้ว่าที่เป็นเช่นน้ันเพราะอะไร เช่น
ท�าไมจึงชอบ หรือไม่ชอบผลงานช้ินนี้ เป็นต้น การวิจารณ์งานศิลปะที่ดี ผู้วิจารณ์จะต้องพิจารณาอย่างมีเหตุผล
เพราะเหตุใด มีความยตุ ิธรรม ไมล่ �าเอียง การวิจารณ์ฝกใหผ้ ู้ถกู วิจารณ์เป็นผู้รบั ฟังความคิดเหน็ ของผอู้ ่ืน และฝก ความมีเหตุผล
ให้กบั ผ้ถู กู วจิ ารณ์ไปพรอ้ มๆ กัน
สา� รวจคน้ หา Explore

ใหน กั เรยี นศึกษา คน ควาเกี่ยวกับความหมาย
ของการวิจารณผลงานทัศนศลิ ปและคุณสมบัตขิ อง
ผูวิจารณผ ลงานทัศนศลิ ป จากแหลงเรยี นรูตางๆ
เชน หนังสอื เรียน หองสมดุ อินเทอรเ น็ต เปนตน

การพินิจพจิ ารณาผลงานอยา่ งละเอยี ดถี่ถ้วน จะช่วยทําใหม้ ขี อ้ มูลทส่ี ามารถนาํ มาวจิ ารณ์ผลงานทศั นศลิ ปท์ ่ีชมได้อยา่ งสร้างสรรค์

9๘

เกร็ดแนะครู บรู ณาการเช่อื มสาระ
การศึกษาเกีย่ วกับการวจิ ารณผลงานทัศนศลิ ปสามารถเช่ือมโยงกับ
ครเู นน ยาํ้ กบั นกั เรยี นเกยี่ วกบั การวจิ ารณว า การวจิ ารณส งิ่ ใดกต็ ามตอ งใชค วามรู การเรยี นการสอนกลมุ สาระการเรียนรภู าษาไทย วิชาหลักภาษาและการใช
ความมีเหตมุ ีผล มหี ลกั เกณฑ และมคี วามรอบคอบดวย โดยปกติแลวเมอ่ื จะวจิ ารณ ภาษา เร่อื งคุณสมบัติของนักวิจารณว รรณคดี เพราะในการวิจารณผลงาน
ส่ิงใดจะตอ งผานข้ันตอนและกระบวนการของการวเิ คราะห วนิ ิจฉยั และประเมิน ไมว า จะเปนดานใด สาขาใด ผูวจิ ารณจ ะตอ งมคี วามรใู นสาขาวิชานัน้ ๆ
คุณคา ของสง่ิ ท่ีจะวิจารณใ หช ดั เจนเสียกอน แลวจงึ คอยวิจารณแสดงความคดิ เห็น อยา งกวา งขวาง ปราศจากอคติ และตอ งเปนผทู ีห่ มั่นศกึ ษาหาความรูใหมๆ
ออกมาอยา งมีเหตมุ ีผล ใหน า คดิ นาฟง และเปน คําวจิ ารณท่ีเชื่อถือได อยูเสมอ จงึ จะทาํ ใหก ารวิจารณมคี ณุ คา นาเช่ือถือ

นอกจากน้ี ครคู วรเสริมวา ในกรณที ่ีเปนการวจิ ารณโดยใชคาํ พดู การแสดงออก
ดวยกิริยาทา ทาง ทาที คาํ พดู ที่สุภาพ ดอู บอุน เปนมติ ร จะชว ยใหผูสรา งสรรค
ผลงาน ผูช มผลงานมีความรูส กึ วา ผวู จิ ารณท่ีมีใจเปนกลางชว ยชแ้ี นะขอ มลู
ใหเห็นจรงิ ๆ ไมมอี คติ

98 คมู่ ือครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

เสริมสาระ ครสู มุ ตวั อยางนกั เรียน 2-3 คน ใหอ อกมา
อธบิ ายความหมายของการวจิ ารณผ ลงานทศั นศลิ ป
คณุ สมบัตขิ องผวู ิจารณผลงานทัศนศลิ ป หนา ชั้นเรยี น จากนัน้ ครูถามนกั เรยี นวา

คุณสมบัติของผู้วิจารณ์ผลงานทัศนศิลป์ที่ดีนั้นจะต้องมีพื้นฐานความรู้ในงานศิลปะแต่ละประเภทจาก • การวจิ ารณผ ลงานทัศนศลิ ปหมายถึงอะไร
การศึกษาและการพบเห็นมา หรือได้รับฟังคําวิจารณ์มามาก และต้องตระหนักอยู่อย่างหนึ่งว่า การวิจารณ์นั้นเพื่อ และการวิจารณงานศลิ ปะท่ีดีเปน อยางไร
ปรบั ปรุง แกไ้ ข และช้ีใหเ้ ห็นถึงความบกพร่องต่างๆ อย่างยตุ ิธรรม นอกจากนนั้ ยงั เป็นการเชิดชผู ลงานทัศนศิลป์ท่ดี ี (แนวตอบ การวิจารณผ ลงานทศั นศิลป
มคี ณุ ค่าอกี ดว้ ย ซึ่งคุณสมบัติของผวู้ จิ ารณ์ท่ีด ี มดี งั ตอ่ ไปน้ี หมายถงึ การตชิ ม การวเิ คราะห หรอื การ
แสดงความคิดเหน็ ตอผลงานทศั นศลิ ป
๑. ตอ้ งรหู้ ลกั การวจิ ารณต์ ามหลกั สากล 1 บนพ้ืนฐานของการใชเ กณฑท ่ีกาํ หนดมา
พิจารณาผลงานในแขนงตา งๆ เชน
๒. เป็นผู้ท่ีมีความรู้ในวิชาศิลปะอย่างกว้างขวาง มีพื้นฐานในวิชาศิลปะท่ัวไปและรู้จักผลงานประเภทใด ภาพเขยี น งานปน งานสรา งสรรคตา งๆ
ประเภทหนง่ึ เพอ่ื ทจ่ี ะไดว้ จิ ารณเ์ ฉพาะในแตล่ ะสาขา สามารถเสนอแนะและแสดงความคดิ เหน็ เพอ่ื ปรบั ปรงุ ผลงานนน้ั ๆ เปน ตน การวจิ ารณง านศลิ ปะทดี่ ี ผวู จิ ารณ
ให้ดีขน้ึ ได้ จะตองพิจารณาอยา งมเี หตุผล มีความ
๓. เป็นผู้ที่มีความรอบรู้ที่สามารถเชื่อมโยงวิชาความรู้อื่นๆ กับทัศนศิลป์ได้เป็นอย่างดี เพื่อจะได้ช่วย ยตุ ิธรรม ไมล าํ เอียง )
ให้ผสู้ นใจชนื่ ชมได้ตามระดับความรู้ความสามารถ
๔. เป็นผู้ที่มีความใจกว้าง ยอมรับความคิดเห็นของผู้อ่ืน แบ่งปันความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน โดยเฉพาะ • คณุ สมบัตทิ ่ีสําคัญของผูวจิ ารณผ ลงาน
ความคดิ เหน็ จากผู้ถูกวจิ ารณ์ ทศั นศลิ ปท ี่ดีเปนอยา งไร
๕. เปน็ ผ้ทู ีม่ คี วามจริงใจ มคี วามยตุ ิธรรม ไม่มีความโนม้ เอยี งเขา้ ข้างตนเอง (แนวตอบ ผวู ิจารณผ ลงานทัศนศลิ ปที่ดี
๖. เป็นผู้ท่ีมีความซาบซ้ึงและรักในศิลปะอย่างแท้จริง สนใจต่อการเคล่ือนไหวในวงการศิลปะ ตลอดจน จะตองมพี ืน้ ฐานความรใู นงานศิลปะแตล ะ
แนวคิดใหม่ๆ ทางศิลปะ ประเภท จากการศกึ ษา จากประสบการณ
๗. เปน็ นักคดิ คน้ ควา้ สนใจในส่ิงใหมๆ่ และศกึ ษาหาความร้อู ยู่เสมอๆ ทง้ั การปฏิบตั แิ ละพบเห็นงานศลิ ปะมา
หรอื อาจไดร บั ฟงคําวิจารณม ามาก
แตทัง้ นี้ผูวิจารณที่ดีตองตระหนกั เสมอวา
การวจิ ารณน ั้นเพ่อื ปรับปรงุ แกไ ข และชีใ้ ห
เหน็ ความบกพรองตา งๆ อยางยตุ ธิ รรม
และยงั เปน การเชดิ ชูผลงานทัศนศลิ ปท ่ดี ี
และมีคุณคาดว ย)

99

แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด เกร็ดแนะครู

การวิจารณเ พอ่ื ประเมินงานทศั นศิลป ควรคํานึงถึงเรอื่ งใดเปนสาํ คัญ ครูเนน ยํ้ากบั นักเรยี นวา การวจิ ารณงานศลิ ปะเปน การแสดงความคิดเห็น
1. หลักเกณฑแ ละแบบประเมนิ เก่ยี วกับศลิ ปะทมี่ องเห็น หรือทัศนศิลปโ ดยตรง การวจิ ารณผ ลงานทศั นศิลป
2. หลักเกณฑแ ละเหตุผล บางครงั้ สามารถชว ยใหผ ูดูรจู กั เลือกดูและเห็นบางสิง่ บางอยา งทีอ่ าจหลงตาไป
3. การวิเคราะหแ ละเหตผุ ล เพราะยังขาดความรแู ละประสบการณ สวนผูส รา งผลงานก็จะเกดิ แนวความคดิ
4. การแสดงความคดิ เหน็ กวางข้นึ สามารถนําไปปรบั ปรุงแกไขผลงานของตนเองใหเกดิ คุณคามากขึ้นได

วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การวจิ ารณเ พือ่ ประเมินงานทศั นศิลปต อ ง นกั เรียนควรรู

คาํ นึงถึงการคิดวเิ คราะหผ ลงานอยางมีเหตผุ ล ท้ังน้ีการวิจารณอ ยา ง 1 มคี วามรูในวิชาศลิ ปะอยา งกวา งขวาง เปนสิ่งสําคัญและจําเปนทผ่ี วู จิ ารณ
มเี หตุผลจะทําไดก ต็ อ งอาศยั ความรู ความเขา ใจ ตามประสบการณข อง ผลงานทัศนศิลปจ ะตองมี ซ่ึงจะทําใหเกดิ ความนาเช่ือถอื ในศักยภาพทางศิลปะ
แตละบคุ คล หากขาดคณุ สมบตั ทิ ีแ่ สดงถงึ ความรอบรทู างดานศลิ ปะแลว มาเปนผวู ิจารณก อ็ าจ
จะทําใหขาดความนาเชอื่ ถอื ไป ดงั คําคมท่ีวา “นกั วจิ ารณคือคนที่ไมม ีขา แตสอน
ใหคนอื่นเขาว่งิ ”

คมู่ ือครู 99

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage Explore

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครนู ําภาพผลงานทศั นศลิ ปตดิ บนกระดานดํา ò. ¨´Ø »ÃÐʧ¤¢Í§¡ÒûÃÐàÁÔ¹§Ò¹·ÈÑ ¹ÈÔÅ»Š
หนา ชัน้ เรยี น จํานวน 3 ภาพ แลวใหนักเรยี นสงั เกต
ภาพผลงานทศั นศิลปท ้งั 3 ภาพ ครูถามนักเรยี นวา การประเมินงานทัศนศิลป์มจี ุดประสงค ์ ดงั น้ี
๑) การประเมินเพื่อความชื่นชม เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อผลงานศิลปะน้ันๆ โดยขั้นตอนของ
• ภาพแตล ะภาพมคี วามแตกตางกัน
ในประเด็นใดบาง การวิจารณ์จะเป็นขั้นตอนท่ีเกิดขึ้นก่อนการประเมิน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการถ่ายทอดความคิดเห็นและความรู้สึก

• นกั เรียนชนื่ ชอบภาพใดมากทส่ี ดุ ใหผ้ ู้อืน่ ได้รับร้ ู หรือแลกเปลยี่ นทศั นะซง่ึ กันและกัน ช่วยใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจทดี่ ตี ่อกนั
เพราะเหตุใด ๒) การประเมนิ เพอ่ื ปรับปรงุ และพฒั นาผลงานทัศนศิลป์ เปน็ การประเมนิ ผลงานจากการพจิ ารณา

จากนนั้ ครูเชอื่ มโยงเขา สูหลักการประเมนิ และวจิ ารณง์ านในกจิ กรรมการเรยี นการสอนศลิ ปะ โดยใชเ้ กณฑห์ รอื หลกั การในการประเมนิ งาน พรอ้ มทง้ั การวจิ ารณ์
งานทัศนศลิ ป
หรือแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล เช่น ครูวิจารณ์ผลงานของนักเรียน หรือนักเรียนวิจารณ์แสดงความคิดเห็น

สา� รวจคน้ หา ผลงานของตนเองหรอื ของเพอื่ น เป็นต้น ซึง่ ถือเปน็ กระบวนการในระหว่างปฏิบัติงาน เพื่อนา� ขอ้ คิดเห็นมาปรบั ปรุง

Explore และพัฒนาผลงานใหด้ ียง่ิ ขึ้นในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานครง้ั ต่อไป 1

ใหน กั เรยี นศกึ ษา คน ควา เกย่ี วกบั จดุ ประสงคข อง ๓) การประเมนิ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจเรอ่ื งราวของผลงานทศั นศลิ ป์ การวจิ ารณเ์ พอ่ื ประเมนิ ผลเปน็ การวจิ ารณ์
การประเมินงานทศั นศลิ ป หลักเกณฑการพจิ ารณา
เพื่อประเมินผลงานทัศนศิลป และประโยชนข อง และรวบรวมขอ้ มลู ในทกุ ๆ ดา้ น ทเ่ี กยี่ วกบั ผลงานทศั นศลิ ป ์ เพอื่ นา� ขอ้ มลู มาใชป้ ระกอบการตดั สนิ ใจใหค้ ะแนนในการ
การประเมนิ งานทศั นศิลป จากแหลงเรยี นรูตางๆ
เชน หนงั สอื เรียน หองสมดุ อินเทอรเ น็ต เปนตน วดั และประเมินผล จงึ ต้องมหี ลักเกณฑ์และเคร่ืองมือในการประเมิน หรอื มกี ติกาที่ก�าหนดไว้อยา่ งชัดเจน

ทั้งนี้ ผู้ประเมินผลงานจะต้องพิจารณาและ

วิเคราะห์จากตัวผลงาน โดยใช้องค์ความรู้ทางศิลปะ

มาประกอบการแสดงความคดิ เหน็ ทงั้ ดา้ นรปู ทรงของงาน

และเรอื่ งราวทีถ่ ูกถา่ ยทอดออกมาจากตวั ผลงาน การฝก

ใหร้ จู้ กั วจิ ารณแ์ ละประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ปท์ กุ ครง้ั จะชว่ ย

ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ บั รเู้ รอื่ งราวตา่ งๆ ครอบคลมุ ทกุ ดา้ น ชว่ ยพฒั นา

สติปญั ญาและทักษะการคิดวเิ คราะห์

นอกจากน้ี การวิจารณ์เพ่ือการประเมินผล

ยงั มคี วามส�าคญั ในการตัดสนิ ผลงานการประกวด ซง่ึ การ

ประกวดผลงานทางศิลปะทั่วไป คณะกรรมการจะรว่ มกนั

คัดเลือกผลงานที่มีคุณภาพจ�านวนหนึ่ง เพื่อส่งเข้ารอบ

และร่วมกันวิจารณ์ผลงานอย่างกว้างขวาง โดยยึดตาม

หลักเกณฑ์ในการประกวดที่วางไว้ก่อนที่จะลงมติช้ีขาด

หากผลงานกลุ่มใดมีคุณภาพใกล้เคียงกัน จะต้องน�า

ผลงานกลมุ่ นน้ั มาวพิ ากษว์ จิ ารณ์โดยละเอยี ดอกี ครง้ั หนงึ่

การวจิ ารณง์ านทัศนศิลป์ ผวู้ ิจารณ์จะตอ้ งมีความร้ ู ความเขา้ ใจศิลปะ แลว้ จึงท�าการตดั สนิ

ด้านท่ีจะวิจารณ์ จึงจะทําใหก้ ารวิจารณม์ ีน้าํ หนกั นา่ เชือ่ ถือ

1๐๐

เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน การคดิ T
O-NE
ครูควรอธบิ ายเสริมวา การไดอา น หรอื ฟงการประเมนิ หรอื วิจารณงานทัศนศิลป
สําหรับผูสรางสรรคผ ลงานเสมือนวามีกระจกสะทอนมุมมองของผูอ ่ืนออกมา จะชว ย ขอ ความในขอ ใดถือวา เปนการวจิ ารณงานศลิ ปะที่ไมถ กู ตอง
ทําใหเรามีขอมูลนําไปปรับปรุงแกไขผลงาน โดยใหนักเรียนระลึกไวเสมอวา กอนท่ี 1. ผลงานน้ีแสดงถงึ อัตชวี ประวัติบุคคล
ศลิ ปน แตล ะทา นจะเดนิ มาอยแู ถวหนา ของวงการศลิ ปะ ผลงานของทา นเปน ทยี่ อมรบั 2. ผลงานนีไ้ มม คี ณุ คา เลยแมแตน ิดเดียว
ช่ืนชมในทกุ วนั นี้นน้ั ทกุ ทานลวนผา นการขดั เกลา บมเพาะ ไดร บั คําช้ีแนะตชิ ม และ 3. ผลงานนม้ี ีการจดั องคประกอบไดอ ยางเหมาะสม
ถูกประเมิน ถกู วจิ ารณมาแลวทั้งสิน้ 4. ผลงานนีส้ ามารถกระตนุ อารมณความรสู ึกของผูชมได

นักเรยี นควรรู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. แนวทางสรา งสรรคตวั บคุ คลและสังคม

1 การวิจารณเ พ่อื ประเมนิ ผล มไิ ดหมายความวา เปนการตดั สนิ ผลงาน ในลักษณะของการใหขอ เสนอแนะ สง เสริมใหกําลังใจ สําหรบั ตวั ผวู ิจารณ
ทัศนศิลปวาถกู หรอื ผิด เพราะในทางทศั นศิลปเปนการสรปุ การตัดสินวา ผลงาน หรอื ผูประเมนิ ผลงานศิลปะ จาํ เปนตองมีความเขาใจในเร่ืองของสนุ ทรยี ภาพ
ช้นิ นั้นมคี ุณคา มคี วามงามอยา งไร หรอื ควรปรับปรงุ แกไข โดยใชห ลักวชิ าศลิ ปะ และทศั นศิลปเฉพาะแขนงเปนอยา งดี ไมใ ชว จิ ารณด วยการตาํ หนิตเิ ตียน
ท่ปี ราศจากอคตแิ ละอารมณค วามรสู ึกสวนตวั

100 ค่มู อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

ó. ËÅѡࡳ±¡ÒþԨÒóÒà¾×Íè »ÃÐàÁÔ¹¼Å§Ò¹·ÈÑ ¹ÈÅÔ »Š ใหนักเรยี นรวมกันอภิปรายเก่ียวกบั จดุ ประสงค
ของการประเมนิ ผลงานทศั นศิลปแ ละหลกั เกณฑ
ผลงานทางทัศนศลิ ปท์ กุ ช้นิ งานมีองคป์ ระกอบที่แตกต่างกัน ซ่งึ สามารถประเมินคา่ ได้ ดงั น้ี การพิจารณาเพื่อประเมนิ ผลงานทศั นศิลปต ามที่
๑) การสอื่ ความหมาย ผลงานทศั นศลิ ปจ์ ะตอ้ งมกี ารสอื่ ความหมาย หรอื สอื่ ความคดิ และขอ้ มลู ไดช้ ดั เจน ไดศึกษามา จากนนั้ ใหสรปุ ผลการอภปิ รายลงสมดุ
บันทกึ ครูถามนักเรียนวา
สอดคล้องกับหัวเรอ่ื งทกี่ �าหนด
• นกั เรียนสามารถประเมนิ คา ผลงาน
๒) ความคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค พจิ ารณาการใช้ ทัศนศิลปท ่ีมอี งคป ระกอบแตกตางกัน
ไดอยา งไร จงอธิบาย
ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ในผลงานทัศนศิลป์ท่ีแสดงถึง (แนวตอบ ผลงานทัศนศิลปท ่มี อี งคป ระกอบ
แตกตางกนั แตส ามารถประเมินคา ได
ความกา้ วหนา้ ความแปลกใหม่ของลกั ษณะรูปแบบ และ ตามหลกั เกณฑพ ้ืนฐานในการพจิ ารณา
เพ่อื ประเมนิ ผลงานทัศนศิลป คือ การสื่อ
เนื้อหาสาระใหม่ที่ดีกว่าของเดิมที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็น ความหมาย ความคิดรเิ ริ่มสรา งสรรค
การแสดงออก วิธีการและเทคนคิ การจดั
ผลงานท่คี ัดลอกเลยี นแบบจากผอู้ ่ืน องคป ระกอบ และความประณีต)
๓) การแสดงออก วิธีการแสดงออกที่ช่วย

ท�าให้ผลงานมีคุณค่า และมีลักษณะเฉพาะของตนเอง

โดยไม่ลอกเลียนแบบผลงานของผู้อื่น รู้จักใช้ทักษะ การจะประเมินผลงานทัศนศิลป์ได้อย่างมีคุณภาพ จะต้องพิจารณา
ในการนา� วัสดุต่างๆมาสร้างสรรคผ์ ลงาน องค์ประกอบของผลงานใหค้ รอบคลุมทกุ ด้าน

๔) วิธีการและเทคนิค วิธีการและเทคนิค

ในการสร้างสรรคผ์ ลงานทางทัศนศลิ ป์ มคี วามเป็นอิสระ

มไี หวพรบิ ในการดดั แปลง สามารถปรบั ปรงุ แกไ้ ขผลงาน

จนไดร้ ูปแบบใหม่ๆ หรือไดเ้ ทคนิคใหม่
๕) การจดั องคป ระกอบ มหี ลกั การจดั ภาพ

ทเี่ หมาะสม สวยงาม ท้งั น ี้ ผลงานทศั นศิลปท์ ส่ี รา้ งสรรค์

ออกมาจะต้องมีองค์ประกอบท่ีมีความเป็นเอกภาพ

กลมกลืน และสมดลุ
๖) ความประณตี ความสมบรู ณข์ องผลงาน

ทัศนศิลป์นน้ั นอกจากพิจารณาในดา้ นมิติทางความงาม

และความคิดสร้างสรรค์แล้ว ในด้านความประณีตและ

ความเรียบร้อยของผลงานก็เป็นส่ิงส�าคัญที่ต้องค�านึงถึง

งานศิลปะที่ดีและสมบูรณ์แบบจะต้องแสดงออกถึง

ความสะอาด เรียบร้อย มีความประณีต เพราะเป็น

การสะท้อนให้เห็นถึงความต้ังใจ ความมุ่งมั่น ตลอดจน วิธีการและเทคนิคในการสร้างสรรค์งาน เป็นเกณฑ์ประการหน่ึง
ความมีสนุ ทรียภาพของผูส้ รา้ งงาน ทจี่ ะนาํ มาใชใ้ นการประเมินงานทัศนศิลป์

1๐1

แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู

คุณสมบัตขิ อ ใดไมมีความจาํ เปนสาํ หรับประเมิน หรือวจิ ารณง านทศั นศิลป ครูเพิ่มเตมิ เกี่ยวกบั เทคนคิ การพจิ ารณาผลงานทัศนศิลป เพ่อื ใหผชู มเขา ใจใน
1. มคี วามรอบรใู นงานศลิ ปะ ผลงานทัศนศลิ ปเบอื้ งตน โดยเฉพาะงานจิตรกรรมและประตมิ ากรรมควรสังเกต
2. มปี ระสบการณส รางงานศลิ ปะ ดงั น้ี
3. เคยทาํ การคา เกย่ี วกับงานศิลปะ
4. มที ัศนคตทิ ่ดี ีและรักงานศลิ ปะ 1. ดกู ารด ที่ติดบนผลงาน (ถามี) เพราะบนการดจะบอกชอ่ื ผสู รางผลงาน
ช่อื ผลงาน เทคนิคผลงาน วาทําจากอะไร แบบใด อยางไร เพอ่ื ใหเ ขา ใจ
วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. ทกุ ขอ ท่ีกลาวมาลว นมคี วามจําเปนสาํ หรับ เนอื้ หาเร่อื งราวของผลงานเปนอนั ดบั แรก

ผทู จ่ี ะทําการประเมิน หรือวิจารณง านศลิ ปะ สว นการทําการคา เกยี่ วกับ 2. ดวู า เปน ศิลปะสาขาอะไร ทัศนศลิ ปแ ขนงใด ลักษณะใด และประเภทใด เชน
งานศลิ ปะ แมจะชวยทําใหท ราบวาสว นใหญผ ูซ ้ือผลงานศลิ ปะไปเก็บสะสม สาขาวิจติ รศลิ ป แขนงจติ รกรรม
มักจะชอบผลงานแนวไหน แตก ไ็ มใ ชคุณสมบัติท่ีจาํ เปน เน่ืองจากมผี ูรู
ศิลปน นักวิชาการ ครูอาจารยจ าํ นวนมาก สามารถจะประเมนิ และวจิ ารณ 3. ดูสิ่งที่ทาํ ใหเกดิ มิติในผลงานทัศนศลิ ป ไดแก มิตใิ นดา นรปู ภาพและรูปทรง
งานศลิ ปะไดด ี และไดแ งคดิ ทมี่ ปี ระโยชนมากมาย โดยมไิ ดทําการคาขาย 4. ดสู ว นประกอบของความงาม จุด (ถา ม)ี เสน 2 ประเภท รูปราง 3 ประเภท
เกยี่ วกับงานศิลปะแตอยางใด
(ถามี) รปู ทรง 3 ประเภท ความรสู ึกของสแี ละสีตรงขา ม แสงเงา พน้ื ผิว
จังหวะ ความกลมกลืนของเสน สี รปู ทรง และหลกั ของการจัดภาพ
5. ดูเกี่ยวกบั การจัดภาพวาเปน ลกั ษณะใด

คู่มือครู 101

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain

อธบิ ายความรู้ Explain

1. ใหนกั เรยี นศึกษาตัวอยางการประเมนิ ผลงาน ô. µÇÑ Í‹ҧ¡ÒûÃÐàÁ¹Ô §Ò¹·ÈÑ ¹ÈÅÔ »Š
ทัศนศิลป ในหนงั สือเรียนหนา 102 แลว รวมกัน
แสดงความคิดเห็นวา นกั เรียนประเมินผลงาน การส่ือความหมาย
เหมอื นหรอื แตกตา งจากหนังสือเรียนอยางไร ภาพนี้มีชื่อภาพวา “สมเด็จพระเทพฯ ที่เรารัก” ผูวาดสื่อความหมายในภาพตรงตามชื่อภาพ

2. ใหน กั เรยี นแบง ออกเปน 3 กลมุ โดยใหแ ตล ะกลมุ และมีเนอ้ื หาตรงตามวตั ถปุ ระสงคทีต่ อ งการ
คัดเลอื กผลงานทศั นศลิ ป มากลุม ละ 1 ผลงาน ความคิดริเรม่ิ สรา งสรรค
จากนน้ั ติดภาพผลงานทัศนศิลปลงบน
แผน พลาสติกลูกฟกู อเนกประสงค หรือแผน ภาพน้ีไมแสดงถึงความคิดสรางสรรคมากนัก เนื่องจากมีเนื้อหาและรูปแบบที่สื่อถึงเหตุการณจริง
ฟวเจอรบ อรด แลว ประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ป เปน ความประทับใจทเี่ กิดขน้ึ ไมใ ชภาพตามจนิ ตนาการ แตก ็สามารถใหรายละเอยี ดไดด ี
ดังกลาวโดยใชหลกั เกณฑก ารพจิ ารณาเพอื่ การแสดงออก
ประเมินผลงานทัศนศลิ ปตามท่ไี ดศกึ ษามา
ตกแตง ผลงานใหสวยงาม นาํ สงครผู ูสอน วิธีการแสดงออกท่ีทําใหผลงานมีคุณคาตามความตองการท่ีจะส่ือความหมาย โดยเนนท่ีอากัปกิริยา
ของผูคนที่มีจุดรวมความสนใจเปนหนึ่งเดียว นอกจากน้ี ยังใหเห็นพฤติกรรมของคนบางสวนท่ีเปนวิถีชีวิต
เชน คนข่คี วาย คนนั่งอยบู นบันไดบา น เด็กปนปา ยอยูบนรว้ั มีพระสงฆอยรู วมกับผคู นภายในชุมชน เปน ตน
วธิ ีการและเทคนคิ

ภาพน้ีไมแสดงวิธีการหรือเทคนิคของการใชวัสดุสรางสรรคผลงาน แตเลือกมุมมองจากท่ีคอนขางสูง
จึงเห็นภาพในมุมกวาง ซ่ึงสามารถเก็บรายละเอียดไดมาก มีการเลือกใชสีที่อยูในวรรณะสีเย็นจนเกือบเปน
สีเดยี วกัน ชว ยทําใหภาพดูเย็นตา
การจดั องคป ระกอบ

มีการจัดองคประกอบของภาพแบบกลมกลืนดวยสี รูปทรงที่เปนคนหลายๆ คนนั้นก็เกาะกลุมกันอยู
สรางความรูสึกเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยสะทอนถึงความเปนเอกภาพทางรูปทรงและเน้ือหาสาระ ภาพมี
ระยะใกล-ไกล มีสวนตางๆ ท่ีเลาเร่ืองส่ือความหมายอยูในพื้นที่เต็มภาพ เกิดความสมดุล ไมมีนํ้าหนักถวง
มากไปทางขา งใดขางหน่ึง
ความประณตี

ความประณีตของภาพจะปรากฏชัดเจนบนหลังคาบาน บันได เสา ปาย ตัวอักษรบนปายที่เก็บ
รายละเอียดไวอยางคมชัด ใบหนา รูปรางของผูคน ตลอดจนเส้ือผา มีความชัดเจน มีการระบายสีเต็มพื้นท่ี
แลดูสะอาด เรียบรอย แสดงใหเห็นวาผูสรางผลงานมีสมาธิ มีความตั้งใจ และมุงมั่น ตลอดจนมีสุนทรียภาพ
ในการสรา งสรรคผลงานทางศลิ ปะ

1๐2

เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ

ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา การวจิ ารณผ ลงานศลิ ปะมอี งคป ระกอบทสี่ มั พนั ธก นั 3 ประการ ใหน ักเรียนสรุปหลักเกณฑก ารพิจารณาเพ่ือประเมินผลงานทัศนศลิ ป
ดงั นี้ ลงกระดาษรายงาน สงครูผูสอน

1. ผูสรา งสรรคผลงานศิลปะ หรือศิลปนที่สรางสรรคงานศิลปะ กิจกรรมทาทาย
2. ผลงานศลิ ปะ คอื ผลงานศิลปะทีเ่ กดิ ขน้ึ จากการสรางสรรคของศิลปน
ใหน กั เรียนหาภาพงานศิลปะทตี่ นเองชนื่ ชอบมาคนละ 1 ภาพ จากนนั้
โดยผานกระบวนการของความคิดสรา งสรรคแ ละจินตนาการ ศลิ ปนสามารถ ตดิ ภาพลงบนกระดาษรายงาน แลว เขียนประเมินผลงานทัศนศลิ ป
สรางสรรคไดท้งั งานดา นวจิ ิตรศิลปและประยกุ ตศลิ ป โดยประเมนิ ตามหัวขอ ที่ครูกําหนดให ดงั น้ี
3. ผชู มผลงานศลิ ปะ คอื ผชู มทไี่ มใ ชผ สู รา งสรรคผ ลงานศลิ ปะนน้ั ๆ แตเ ปน ผรู บั รู 1. การสือ่ ความหมาย 2. ความคดิ รเิ รม่ิ สรา งสรรค
ถึงการแสดงออกของศลิ ปน ท่ีสรางสรรคผลงานศิลปะ ผูชมผลงานศลิ ปะจึงมี 3. การแสดงออก 4. วิธีการและเทคนคิ
ความสําคญั ทีท่ ําใหว งจรการแลกเปล่ียนเรยี นรูในงานศลิ ปะสมบรู ณขึ้น 5. การจัดองคป ระกอบ 6. ความประณีต

102 คูม่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

õ. »ÃÐ⪹¢ ͧ¡ÒûÃÐàÁÔ¹§Ò¹·ÈÑ ¹ÈÔŻРใหนักเรยี นรวมกันอภิปรายเก่ียวกับประโยชน
ของการประเมินงานทัศนศิลป โดยสรุปผลการ
การประเมินงานทัศนศิลป์ เป็นการเรียนรู้ อภิปราย ลงสมดุ บนั ทกึ จากน้นั ครถู ามนักเรียนวา
ที่ส�าคัญ เนื่องจากข้ันตอนก่อนการประเมินคุณค่าของ
ผลงาน หรอื กอ่ นการประเมนิ เพ่ือตดั สินผลงานจะตอ้ งให้ • การประเมนิ งานทศั นศลิ ปมีประโยชน
ผเู้ รยี นไดฝ้ ก การวจิ ารณผ์ ลงานกอ่ น ซง่ึ การวจิ ารณผ์ ลงาน ตอ การศึกษาวิชาศิลปะอยา งไร
ทางทัศนศิลป์เพ่ือการประเมินนั้น จะท�าให้ผู้เรียนรู้จัก (แนวตอบ เนือ่ งจากผลงานทัศนศลิ ปใน
การคิดและวิเคราะห์ผลงานอย่างมีเหตุผล ซึ่งจะท�าให้ ปจจบุ นั มรี ปู แบบทีแ่ ปลกใหม หรือเปน
เกิดความรู้ ความเข้าใจ ตามประสบการณ์ของแต่ละคน การสัมผัสรับรู้ผลงานศิลปะจากต้นแบบจริง มีส่วนช่วยให้เข้าใจ นามธรรมมากขน้ึ ซึ่งดไู ดยาก การศึกษา
ขณะเดียวกันก็มีผลงานทัศนศิลป์อีกหลากหลายประเภท รูปแบบ เนือ้ หา และเทคนคิ ในการสร้างสรรคง์ านของศิลปินได้ดขี ึ้น เกี่ยวกับการวิจารณงานทศั นศิลปจ งึ เปน
ที่สามารถน�ามาเป็นตัวอย่างในการฝกหัดวิจารณ์เพ่ือการประเมินได้ดี และง่ายต่อการท�าความเข้าใจ โดยเฉพาะ ขั้นตอนแรกทจี่ ะนาํ ไปสูความเขาใจในการ
ผลงานทศั นศลิ ป์ในปจั จบุ นั จะมรี ปู แบบทแ่ี ปลกใหม ่ หรอื เปน็ นามธรรม ซง่ึ อาจดยู ากเนอื่ งจากไม่ใชร่ ปู แบบทส่ี ามารถ ชมผลงานทัศนศลิ ปในระดบั ท่ีสงู ขน้ึ ไป)
สื่อความหมายให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้ง่ายน่ันเอง ดังนั้น การได้ฝกวิจารณ์งานทัศนศิลป์ จึงเป็นขั้นตอนแรกท่ีจะน�าไปสู่
ความเข้าใจในการชมผลงานทศั นศลิ ป์ในระดบั ท่ีสูงขึ้นตอ่ ไป ขยายความเขา้ ใจ E×pand

เกรด็ ศิลป แง่คดิ ในการวจิ ารณ 1. ใหน กั เรียนรว มกันเพิ่มเตมิ หลักเกณฑก าร
การวจิ ารณ ์ เปน็ การแสดงความคดิ เหน็ ตอ่ สงิ่ หนงึ่ สงิ่ ใดตามความร ู้ ความเขา้ ใจ ประเมินงานทัศนศลิ ปนอกเหนือจากท่มี ีใน
ตลอดจนจากประสบการณ์ของผู้วิจารณ์ พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติมต่อสิ่งที่ หนงั สอื เรียน พรอมอธบิ ายวธิ ีการพจิ ารณา
พบเห็น ไม่วา่ จะเป็นการชนื่ ชม หรอื กล่าวช้ีแนะต่อผลงานนัน้ ทง้ั น ี้ การวิจารณจ์ ะ ผลงานตามหลักเกณฑที่เพิ่มเตมิ ขน้ึ มา
ต้องมีเหตุผล เป็นการชว่ ยชี้แนะเพื่อปรบั ปรงุ ผลงานท่เี กดิ จากการสร้างสรรค์นั้นๆ ประกอบดว ย แลวสรุปลงสมุดบันทกึ
ใหส้ มบรู ณย์ ่งิ ขึ้นดว้ ยความสุจรติ ใจ สงครูผูส อน
ศาสตราจารย์ศิลป ์ พรี ะศรี กลา่ วว่า “การวจิ ารณท์ ถ่ี กู ต้องถ่องแท้เร่ืองศิลปะ
เปน็ สงิ่ ทย่ี ากทส่ี ดุ ถา้ จะกลา่ วโดยทวั่ ไปในการวจิ ารณ์ไมค่ วรดว่ นวนิ จิ ฉยั เมอ่ื ไดเ้ หน็ 2. ใหนกั เรียนแบงกลุม กลมุ ละ 5-6 คน
เป็นคร้งั แรก” ทาํ รายงานเกีย่ วกับการประเมนิ งานทัศนศิลป
ตามประเด็นทีค่ รกู าํ หนดให ดงั นี้
• ความหมายและจดุ ประสงคของการวจิ ารณ
ผลงานทัศนศลิ ป
• คณุ สมบตั ขิ องผูวิจารณผ ลงานทศั นศิลป
• หลกั เกณฑก ารพจิ ารณาเพื่อประเมนิ ผลงาน
ทัศนศลิ ป
• ประโยชนของการประเมนิ งานทัศนศลิ ป
ท้ังนี้ใหแตล ะกลมุ หาภาพประกอบ และ

ตกแตง รปู เลม รายงานใหส วยงาม สงครผู สู อน

1๐3

แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู

การประเมินงานทัศนศลิ ปมปี ระโยชนอ ยา งไร ครแู นะนําใหน กั เรยี นศึกษาเพ่มิ เติมเก่ยี วกับศพั ททางศลิ ปะและศัพทท ีใ่ ชสําหรบั
แนวตอบ การประเมินงานทัศนศิลปม ปี ระโยชนท ัง้ ตอ ผูส รา งสรรค วิจารณง านศิลปะจากแหลงเรียนรตู างๆ เชน หนังสอื พจนานกุ รมศพั ทศ ลิ ปะ
ผลงานศิลปะ ผูช มผลงาน และตอแวดวงศลิ ปะ กลา วคอื ผูสรางสรรค ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน หรอื จากเวบ็ ไซตท างอินเทอรเ นต็ ซ่งึ รวบรวมขอ มลู เก่ยี วกบั
จะไดทราบขอ ดี จดุ ที่ควรแกไขปรับปรงุ เสมอื นมีกระจกมาชว ยสะทอน ศพั ทเ ฉพาะทางศิลปะไว เปน ตน เพ่อื ประโยชนใ นการสรางความเขา ใจและ
งานของตนวาเปนอยางไร ไดรแู นวคิด เทคนคิ วิธกี ารทจ่ี ะนาํ ไปใชใน การวิจารณงานศลิ ปะตอ ไป
การพฒั นาผลงาน ผชู มก็จะไดค วามรู ชมผลงานดวยความเขาใจ ไดเ ห็น
มมุ มองใหมๆ มโี อกาสเขา ถงึ และเกิดความซาบซึ้งในผลงานศลิ ปะได บูรณาการอาเซียน
มากข้ึน สาํ หรับแวดวงศลิ ปะจะทําใหม กี ารเคล่ือนไหว ยกระดับผลงาน
ศิลปะไดดีย่ิงๆ ข้นึ มกี ารพัฒนาข้นึ รวมทง้ั ยังชวยกระตนุ ใหผ คู นในสังคม การศกึ ษาเกี่ยวกบั หลกั การประเมนิ งานทศั นศิลปส ามารถบูรณาการอาเซยี นได
หนั มาชนื่ ชมผลงานศิลปะมากขึ้น โดยครูนําผลงานทศั นศลิ ปของศลิ ปนทม่ี ชี ่อื เสยี งในอาเซยี นมาใหนกั เรียนดู แลวฝก
ประเมินผลงานตามหลักเกณฑการประเมินงานทัศนศลิ ปท ไี่ ดศึกษามา ซง่ึ นอกจาก
นกั เรยี นจะไดฝกการประเมินผลงานทัศนศลิ ปแลว นกั เรยี นยังไดมีโอกาสศกึ ษา
ผลงานศลิ ปะของศลิ ปน ชาตติ า งๆ ในกลมุ ประเทศสมาชกิ อาเซยี นประกอบกนั ไปดว ย

ค่มู อื ครู 103

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล
Explain Expand
Engage Explore Evaluate

ตรวจสอบผล Evaluate

ครพู จิ ารณาจากรายงานการประเมนิ ผลงาน กิจกรรม ศลิ ปป์ ฏิบัติ ๘.๑
ทศั นศลิ ปข องนกั เรยี น โดยพจิ ารณาดา นความถกู ตอ ง
และความสวยงาม กจิ กรรมที่ ๑ ใ หน้ กั เรยี นหาตวั อยา่ งการวจิ ารณง์ านทศั นศลิ ป์ ๑ เรอ่ื ง ของนกั วจิ ารณท์ มี่ ชี อื่ เสยี งเปน็ ทย่ี อมรบั
แลว้ นา� มาวิเคราะห์ ประเมนิ งาน และสรปุ นา� สง่ ครผู ู้สอน โดยใหต้ วั อยา่ งแหล่งที่มาของขอ้ มลู
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู ไว้ดว้ ย

รายงานการประเมินผลงานทศั นศลิ ป กิจกรรมที่ ๒ ให้นักเรียนทดลองน�าภาพของศิลปินต่างๆ มาวิจารณ์และประเมินภายในชั้นเรียน โดยอาศัย
หลกั วชิ าทางศลิ ปะท่ีได้เรยี นมา

กิจกรรมท่ี ๓ จงตอบคา� ถามต่อไปนี้
การประเมินงานทัศนศลิ ป์มคี วามสา� คญั ต่อการสรา้ งสรรคผ์ ลงานทางศิลปะอยา่ งไร

สรุป การฝึกหัดวิจารณ์และประเมินผลงานทัศนศิลป์ โดยใช้หลักการสำาคัญ คือ การมี

ความคิดสร้างสรรค์ การส่ือความหมายของภาพและข้อมูล โดยอาศัยหลักการออกแบบงานทัศนศิลป์
ท่ีมีความเป็นเอกภาพ ความกลมกลืน ความสมดุล และเจตคติในการปฏิบัติงานเป็นแนวทางสำาคัญ
ซึ่งหลักการนี้สามารถนำาไปใช้ประเมินงานทัศนศิลป์ท้ังของตนเองและของผู้อ่ืนได้ ซ่ึงจะสามารถทำาให้
ทราบวา่ ผลงานทศั นศลิ ปน์ นั้ มสี งิ่ ใดทท่ี าำ ไดด้ แี ละมสี งิ่ ใดทคี่ วรแกไ้ ขปรบั ปรงุ บา้ ง หลกั การดงั กลา่ วจะชว่ ย
ให้สามารถพัฒนาส่ิงที่ดีให้ดีย่ิงข้ึน รวมถึงแก้ไขปรับปรุงส่ิงท่ีบกพร่องให้ดีขึ้นด้วย และเป็นการพัฒนา
ผลงานทัศนศลิ ป์ใหม้ ีคณุ ภาพดีขึ้นเรอื่ ยๆ

นอกจากน้ี ประสบการณท์ ีไ่ ด้จากการวจิ ารณแ์ ละประเมนิ งานจะเปน็ ประโยชน์อยา่ งมาก เม่ือผูเ้ รียน
ได้มีโอกาสไปชมนิทรรศการทางศิลปะที่จัดแสดงตามสถานที่ต่างๆ จะช่วยทำาให้เกิดความเข้าใจ และ
เกดิ ความรสู้ ึกชนื่ ชมในคุณค่าของผลงานศิลปะเหลา่ นนั้ มากย่งิ ข้นึ

1๐4

แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปป์ ฏบิ ัติ 8.1 กิจกรรมท่ี 3
การประเมินงานทศั นศลิ ปมคี วามสาํ คัญอยางมากตอ การสรางสรรคผ ลงานทางศิลปะ เพราะผสู รา งสรรคงานศลิ ปะจะได

มีโอกาสแสดงแนวความคดิ ใหมๆ ของตนเอง และรับทราบแนวความคดิ ของผูอ ่ืน เพื่อนาํ ไปปรับปรุง แกไ ข พัฒนาผลงาน
ของตนเองใหด ยี งิ่ ขนึ้ เกดิ พลงั การสรา งสรรคผ ลงานศลิ ปะชน้ิ ตอ ไป จนนาํ ไปสผู ลงานทางศลิ ปะทมี่ ปี ระโยชนต อ สว นรวมมากยง่ิ ขน้ึ

104 ค่มู ือครู

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain
Engage Expand Evaluate

เปาหมายการเรยี นรู

1. ระบแุ ละบรรยายเกี่ยวกับลักษณะรูปแบบ
งานทัศนศลิ ปข องชาตแิ ละของทอ งถิน่ ตนเอง
จากอดตี จนถงึ ปจจบุ นั

2. ระบแุ ละเปรยี บเทียบงานทัศนศลิ ปข อง
ภาคตางๆ ในประเทศไทย

สมรรถนะของผเู รยี น

1. ความสามารถในการคิด
2. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต

๙หน่วยท่ี คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค

1. มวี นิ ยั
2. ใฝเ รียนรู
3. มงุ ม่นั ในการทาํ งาน
4. รักความเปนไทย

ทัศนศลิ ปข์ องชาติและท้องถ่นิ กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ตวั ช้วี ัด สังคมไทยมีพัฒนาการที่ยาวนานมาตั้งแต่สมัยก่อน ครใู หน ักเรยี นดูภาพวาดประเพณวี ัฒนธรรม
ศ ๑.๒ ม.๑/๑-๒ ของภาคตางๆ ในประเทศไทย แลว ใหนกั เรยี น
ประวตั ศิ าสตร์จนถงึ สมัยปัจจุบนั เห็นได้จากหลักฐานทาง ชว ยกันแสดงความคดิ เหน็ วา ภาพวาดประเพณี
■ ร ะบแุ ละบรรยายเก่ียวกบั ลักษณะรูปแบบงานทศั นศลิ ป์ ประวตั ศิ าสตรแ์ ละโบราณคดที ปี่ รากฏตามแหลง่ อารยธรรม ของแตล ะภาค มีความเหมือนหรือแตกตางกนั
ของชาติและของทอ้ งถิ่นตนเองจากอดตี จนถงึ ปัจจุบนั ในภูมิภาคต่างๆ ที่มีการค้นพบทรัพยากรทางวัฒนธรรม อยางไร
หรือ “ผลงานทศั นศลิ ป์” เป็นจำานวนมากทีก่ ระจายอยู่
■ ร ะบแุ ละเปรียบเทียบงานทัศนศลิ ปข์ องภาคต่างๆ ปัจจัยท่ีทำาให้งานทัศนศิลป์ของไทยมีความแตกต่างกัน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเห็น
ในประเทศไทย ได้แก่ สภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัตศิ าสตร์ ศาสนา ความเช่อื และ ไดอ ยา งอสิ ระ ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา สภาพภมู ศิ าสตร
สังคมวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำาให้เกิดรูปแบบ ประวตั ิศาสตร ศาสนา ความเชื่อ ประเพณี สังคม
สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ผลงานท่ีเป็นลักษณะเฉพาะของชาติและท้องถ่ินตามลำาดับ ซ่ึงเป็น และวฒั นธรรม ลว นเปน ปจ จยั ท่ที าํ ใหงานทศั นศิลป
ส่งิ ทค่ี นในท้องถิ่นและคนในชาติควรภาคภูมใิ จเปน็ อยา่ งยงิ่ ภาคตางๆ ของไทยมีความแตกตางกัน)
■ ล กั ษณะ รปู แบบงานทศั นศลิ ป์ของชาติและทอ้ งถ่นิ
■ ง านทัศนศิลปภ์ าคต่างๆ ในประเทศไทย

1๐๕

เกรด็ แนะครู

การเรยี นการสอนในหนวยการเรยี นรูน ้ี ครผู สู อนควรใหนักเรียนไดศ กึ ษางาน
ทศั นศลิ ปข องชาตแิ ละของทอ งถิ่นจากผลงานจรงิ หรอื ศึกษาจากภาพตัวอยา ง
ผลงานทศั นศลิ ปป ระเภทตา งๆ ของไทย ทง้ั จติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปต ยกรรม
เพือ่ ใหนกั เรยี นไดรจู กั สังเกต เปรียบเทียบ และอธิบายลักษณะความแตกตา งของ
งานทัศนศิลปข องชาตแิ ละของทอ งถิ่นของตนไดอ ยางถกู ตองตามหลกั เกณฑ

ค่มู อื ครู 105

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage Explore

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครใู หนักเรียนดภู าพจติ รกรรมฝาผนงั ñ. ลกั ษณะรปู แบบงานทัศนศิลป์¢องªาµิ
เรอ่ื งรามเกียรติ์ บนระเบียงพระอโุ บสถ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร งานทัศนศิลป์ของชาติ หมายถึง ศิลปะที่ถูกถ่ายทอดและสร้างขึ้นโดยช่างจากราชส�านักหรือช่างหลวง
ในหนังสอื เรยี น หนา 106 แลว ใหน กั เรยี นรวมกนั
แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกับลกั ษณะรูปแบบของ โดยมีรูปแบบทแ่ี ตกตา่ งกนั ไปตามลักษณะของการใช้สื่อ วัสด ุ กรรมวิธี ช่วงเวลา และพฒั นาการทางศลิ ปะในแต่ละ
ผลงานดงั กลา วอยา งอิสระ
ยคุ สมยั ท่ีมลี ักษณะและรปู แบบในอุดมคต ิ ล้วนสะท้อนใหเ้ ห็นถงึ เอกลกั ษณข์ องความเป็นไทย ซึง่ สามารถวเิ คราะห์

ได้จากผลงานทัศนศลิ ปใ์ นแต่ละประเภท ดงั น้ี
๑.๑ จติ รกรรม
สา� รวจคน้ หา 1

Explore จติ รกรรม คอื การแสดงออกดว้ ยการใชส้ ี โดยทั่วไปมีลกั ษณะทางกายภาพเป็น ๒ มติ ิ การแสดงออก

ใหน ักเรยี นศึกษา คน ควาเกี่ยวกบั งานทัศนศลิ ป ของผลงานจะใช้สีหรือท�าด้วยกรรมวิธีอ่ืนๆ ให้เกิดภาพบนแผ่นวัสดุหรือบนพื้นผิวของวัสดุ อาคารสถานท่ี มิติลึก
ของชาติ ในประเด็นดานความหมายและประเภท
ของผลงานทัศนศลิ ป จากแหลงเรยี นรูตา งๆ เชน หรอื ระยะของภาพที่ปรากฏในงานจิตรกรรมมกั จะเปน็ มติ ิลวง
หนังสือเรียน หอ งสมดุ อนิ เทอรเนต็ เปน ตน
๑) ลักษณะของจิตรกรรมไทย ในสมัย

โบราณงานจิตรกรรมหรือภาพเขียนสีของไทยจะนิยม

เขียนขนึ้ เพ่อื เป็นพทุ ธบูชาตามผนงั โบสถ์ วหิ าร ศาลา-

การเปรยี ญ ในคูหาองค์พระปรางค ์ พระสถปู เจดีย ์ และ

ที่ผนังถ้�า มีจุดประสงค์เพ่ือต้องการเล่าเร่ืองพุทธประวัติ

หรอื เรือ่ งราวทางศาสนาด้วยภาพ
๒) ประเภทของจติ รกรรม
ไทย แสดงภาพดว้ ยการวาดเส้น
2
และระบายสลี งบนแผน่ ผวิ เรยี บ
จิตรกรรมฝาผนัง เรื่องรามเกียรติ์ บนระเบียงรอบพระอุโบสถ
รปู ทรงทปี่ ระกอบจากเสน้ วัดพระศรีรตั นศาสดาราม กรงุ เทพมหานคร

สีบนแผ่นผิวเรียบ ซึ่งมีเนื้อที่เพียงความกว้างและความยาว เช่น เขียนไว้บนผนัง

เรียกว่า “จิตรกรรมฝาผนัง” เขียนบนผืนผ้า เรียกว่า “พระบฏ” เขียนบนกระดาษ

ทบั ซอ้ น เรียกว่า “จติ รกรรมสมดุ ภาพ” เปน็ ต้น
๑.๒ ประตมิ ากรรม

ประติมากรรม คือ งานทัศนศิลป์ที่แสดงด้วยรูปทรงที่มีลักษณะ

ทางความงาม มีคุณสมบัติในการสะเทือนอารมณ์ หรือกระตุ้นความคิด

โดยทั่วไปเป็นภาพแบบ ๓ มิติ คือ มีความกว้าง ความยาว และ

ความหนา อาจผลิตดว้ ยวิธกี ารปนั การหลอ่ การแกะสลกั ซงึ่ รูจ้ กั กนั

ในชื่อของรูปปัน รปู หลอ่ และรปู แกะสลัก

พระพทุ ธชนิ ราช เป็นพทุ ธศลิ ป์ท่ีมีความงดงามมาก ปฏิมากรผสู้ ร้าง
ย่อมมคี วามศรัทธาในพระพทุ ธศาสนาอย่างเปยมลน้

1๐๖

นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน การคดิ T
O-NE
1 ลักษณะทางกายภาพ หมายถึง ลักษณะของส่งิ แวดลอมทางธรรมชาติทมี่ ีอยู
รอบตัว ไดแ ก พื้นดิน แหลงนา้ํ อากาศ ตนไม และสิ่งมชี วี ติ ตา งๆ ขอใดเปนการสรปุ ลกั ษณะผลงานทัศนศลิ ปของชาตไิ ทยไดถูกตอ งทสี่ ุด
2 จติ รกรรมฝาผนงั เปน การวาดบนฝาผนงั ของวัดหรือวงั เพอื่ ชวยทาํ ใหฝ าผนัง 1. แตละสมัยมรี ูปแบบเปน เอกลกั ษณเฉพาะ
ที่โลง วา งเปลา ดูสวยงามมีชีวติ ชีวามากขนึ้ ซ่ึงภาพท่ีนาํ มาวาดบนฝาผนงั สวนใหญ 2. ทุกสมยั มรี ูปแบบทีไ่ มแตกตางกันมาก
จะเกี่ยวขอ งกบั พุทธประวตั ิ ชาดก เหตุการณส ําคญั ทางพระพุทธศาสนา ไตรภูมิ 3. เทคนคิ และวสั ดุท่ใี ชทุกสมัยจะเหมือนกัน
รองลงมาก็จะเปน เรือ่ งราวในวรรณคดี เหตุการณส าํ คัญของบานเมอื ง 3. บางสมัยจะไมน ยิ มสรา งงานทัศนศิลป
การดําเนินชีวิตของผคู นในทองถ่ิน ลักษณะภาพทว่ี าดโดยมากกจ็ ะใชภ าพลายเสน
ลกั ษณะภาพแบน ไมเนน ภาพเหมือนจรงิ ใชส เี อกรงค มงุ สอื่ ความหมาย วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. ผลงานทัศนศลิ ปข องไทยในแตละสมยั
หรือบอกเลา เรอ่ื งราวเปน หลกั
จะมคี วามแตกตา งกัน ไมว าจะเปนรปู แบบ เทคนิค วสั ดุอุปกรณท่ีใช
แนวคิด เชน สมยั สุโขทัยกับสมยั รตั นโกสนิ ทรจ ะมีความแตกตางกนั
อยางเหน็ ไดชดั ซง่ึ ความแตกตางนเ้ี อง เราไดน าํ มาใชเปน หลกั ฐาน และเปน
เกณฑในการจดั หมวดหมูและแบงแยกยคุ สมยั เพ่อื ใหเ หน็ พัฒนาการ
ของงานทัศนศลิ ปข องชาติ และเพอ่ื สะดวกแกก ารศกึ ษาทาํ ความเขา ใจ

106 คู่มือครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

เกร็ดศิลป 1 ใหนักเรยี นรวมกนั อภปิ รายเก่ียวกับรปู แบบ
งานทัศนศิลปข องชาตติ ามทไี่ ดศ ึกษามา จากน้นั
ประตมิ ากรรมและปฏมิ ากรรม ใหนักเรยี นสรปุ ความหมายและลักษณะรูปแบบ
ค�าที่ใชเ้ รียกผลงานทศั นศิลป์ด้วยวธิ กี ารปัน การหลอ่ หรอื การแกะสลกั จนเกิด งานทัศนศลิ ปของชาติ ลงสมุดบนั ทกึ
เป็นรูปทรง ๓ มิติ มีใช้อยู่ ๒ ค�า ได้แก่ “ประติมากรรม” และ “ปฏิมากรรม” แลวถามนกั เรียนวา
ค�าทั้ง ๒ คา� มคี วามหมายและการนา� ไปใชท้ ี่ตา่ งกนั กล่าวคือ คา� แรกใช้เรยี กผลงาน
ท่ีเกย่ี วข้องกับการปนั หรือการแกะสลกั โดยท่วั ไป สว่ นคา� หลงั ใช้เรียกผลงานท่เี ป็น • งานทัศนศลิ ปของชาตหิ มายถึงงาน
พระพทุ ธรปู เทา่ นั้น ทัศนศลิ ปประเภทใดบาง จงอธบิ าย
(แนวตอบ งานทัศนศิลปของชาติ เปนงาน
๑) ลกั ษณะของประตมิ ากรรมไทย เปน็ ทศั นศลิ ปแ์ ขนงหนงึ่ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งทง้ั ทางตรงและทางออ้ มกบั งาน ศลิ ปะที่ถูกถา ยทอดและสรางขึ้นโดยชาง
จากราชสํานกั หรอื ชา งหลวง โดยรูปแบบจะ
สถาปตั ยกรรมทเี่ กยี่ วขอ้ งโดยตรง ไดแ้ ก ่ ประตมิ ากรรมทส่ี รา้ งขนึ้ เพอื่ การตกแตง่ สถาปตั ยกรรม เชน่ ลวดลายประดบั แตกตางกันไปตามลกั ษณะของการใชส อื่
วสั ดุ กรรมวิธี และพัฒนาการทางศลิ ปะใน
ต่างๆ ที่เก่ียวข้องทางอ้อม ได้แก่ ประติมากรรมท่ีมีคุณสมบัติเฉพาะท่ีมีความสมบูรณ์ในตัวเอง ทั้งด้านเนื้อหา แตล ะยคุ สมยั ตลอดจนอุดมคติของ
ผูสรางสรรคผ ลงาน แตง านศิลปะทกุ ช้นิ
รูปทรง และการแสดงออก เช่น พระพุทธรูปท่ปี ระดษิ ฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ วิหาร เป็นต้น ลวนสะทอ นใหเห็นถงึ เอกลักษณข อง
๒) ประเภทของประตมิ ากรรมไทย เป็นผลงานศิลปกรรมแขนงหน่ึงที่เกิดขนึ้ จากฝมี ือ ความคดิ และ ความเปน ชาตไิ ทย ซึ่งงานทัศนศลิ ปของไทย
แบง ออกไปไดเ ปน 3 ประเภทหลักๆ คือ
ความสามารถของคนไทย สรา้ งข้ึนด้วยวตั ถุประสงคต์ า่ งๆ2 กนั เชน่ ความศรทั ธาตอ่ ศาสนา ความเช่อื ทางไสยศาสตร ์ งานจติ รกรรม งานประติมากรรม และ
ขนบธรรมเนยี ม ประเพณ ี ตลอดจนสร้างขน้ึ ตามคตนิ ยิ มของชุมช3นหรือทอ้ งถน่ิ เป็นต้น งานสถาปต ยกรรม)

ประติมากรรมแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ตามมิติสัมผัส คือ รูปทรงนูนขึ้นจากแผ่นหลังเล็กน้อย เรียกว่า • นักเรียนช่ืนชอบหรอื สนใจงานทัศนศลิ ป
ของไทยลกั ษณะใดมากที่สดุ เพราะเหตใุ ด
“ประตมิ ากรรมนนู ต่าํ ” หากรปู ทรงนูนขนึ้ จากแผน่ หลงั มาก แต่ยังติดอยู่บนแผ่นหลงั เรยี กวา่ “ประตมิ ากรรมนนู สงู ” (แนวตอบ นกั เรียนแสดงความคดิ เหน็ ได
อยางอสิ ระ)
ชนิดสุดท้าย คือ ประติมากรรมที่ไม่ติดอยู่กับแผ่นหลัง สามารถดูประติมากรรมชนิดนี้ได้โดยรอบ เรียกว่า

“ประตมิ ากรรมแบบลอยตวั ”
๑.๓ สถาปัตยกรรม

สถาปัตยกรรม คอื งานทัศนศิลปก์ ารกอ่ สร้าง

ซึ่งความงามเกิดจากลักษณะรูปทรง การจัดท่ีว่างท้ัง

ภายนอกและภายในเป็นงานประเภท ๓ มิติ เช่นเดียวกบั

ประติมากรรม แต่ต่างกันตรงท่ีสถาปัตยกรรมเป็นส่ิงท่ี

สร้างข้ึนด้วยวิธีการก่อสร้าง และไม่นิยมสร้างรูปทรง

เลยี นแบบสงิ่ มชี วี ติ จดุ ประสงคใ์ นการสรา้ งเพอ่ื การใชส้ อย

เป็นหลัก สถาปัตยกรรมท่ีถึงพร้อมด้วยคุณลักษณะทาง 4
ทัศนศิลป์จะเป็นงานศิลปะแท้ท่ีสร้างความประทับใจแก่
ผู้ชมได้ เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระที่น่ังจักรี- พระท่ีน่ังจักรีมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง จัดเป็น
มหาปราสาท เป็นตน้ สถาปัตยกรรมที่รับอิทธิพลของศิลปะตะวันตก ที่เข้ามาในสมัย
รัชกาลที่ ๕

1๐๗

ขอสอบ O-NET นักเรียนควรรู

ขอ สอบป ’52 ออกเกยี่ วกับลกั ษณะเดนของจติ รกรรมไทย 1 ปฏิมากรรม หมายถึง รูปเปรยี บเทียบหรอื รูปแทนองคพระพุทธเจาหรือ
ขอใดไมใชลกั ษณะเดน ของจติ รกรรมไทย พระพุทธรูป เรียกวา พระพุทธปฏมิ า หรือพระพทุ ธปฏิมากร เชน พระพทุ ธมหา-
1. เปนภาพเขียนแบบสองมิติ มณีรตั นปฏิมากร เปน ตน
2. แสดงความรสู กึ ของภาพดว ยเสน และทา ทาง 2 คตนิ ยิ ม คือ แบบอยา งความคดิ เหน็ ความเชือ่ หรือวิธีการคิดเปนลักษณะ
3. แสดงความแตกตางระหวางบุคคลดวยสี กลมุ ชน เชน คตินยิ มของกลมุ อาชีพ คตนิ ิยมทางศาสนา คตินิยมทางการเมือง
4. แสดงจุดสนใจโดยคาํ นงึ ถึงสัดสวน 3 มติ ิสัมผัส สิง่ ทบี่ อกคณุ สมบตั ขิ องวัตถุ ในเรอ่ื งความกวา ง ความยาว และ
ความสูง
วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. จิตรกรรมไทยมีลกั ษณะเดน คือ 4 พระทีน่ งั่ จักรมี หาปราสาท รูปแบบของสถาปตยกรรมจะผสมผสาน
ระหวา งศิลปะไทยกบั ศลิ ปะตะวันตก โดยตวั อาคารจะสรางแบบตะวนั ตก
เปน ภาพเขยี นแบบสองมติ ิ แสดงความรสู กึ ของภาพดว ยเสน และทา ทาง แตบรเิ วณหลงั คาจะมีการประดบั ยอดมณฑปไวเบอื้ งบนตามแบบศิลปะไทย
แสดงความแตกตางระหวางบุคคลดว ยสี แสดงจดุ สนใจโดยไมค ํานงึ ถึง จึงมผี เู ปรยี บเทียบพระทีน่ ่ังองคน้วี า เปรียบเสมือน “ฝรัง่ สวมชฎา”
สดั สวน ดังนัน้ ขอ 4. จึงไมใชล กั ษณะเดน ของจิตรกรรมไทย

คมู่ ือครู 107

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage Explore

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครูใหนักเรียนดูภาพสมยั กอ นประวตั ิศาสตร ๑) ลักษณะของสถาปัตยกรรมไทย ไทยเป็นชาติท่ีมีวัฒนธรรมในการสร้างอาคารท่ีเป็นเอกลักษณ์
และสมยั ประวตั ศิ าสตรของทองถ่ินในภมู ิภาคตางๆ
ของประเทศไทย เชน ภาพเขียนสเี ลา เรือ่ งขบวน เฉพาะมาแต่โบราณ ดังจะเหน็ ไดจ้ ากสิ่งกอ่ สรา้ งต่างๆ เชน่ ปราสาท สถปู เจดีย์ พระปรางค ์ โบสถ์ วิหาร บา้ นเรอื น
แหผ ะเหวดทส่ี มิ วัดสนวนวารีพฒั นาราม จงั หวดั เปน็ ตน้ ซง่ึ อทิ ธพิ ลทที่ า� ใหเ้ กดิ ลกั ษณะเฉพาะทางสถาปตั ยกรรมไทยนน้ั ไดแ้ ก ่ อทิ ธพิ ลทางดา้ นศาสนาและวฒั นธรรม
ขอนแกน ภาพบา นเรือนของคนไทยภาคตา งๆ ตลอดจนอิทธพิ ลทางดา้ นสภาพดินฟาอากาศ และวสั ดุท่ีใชใ้ นการก่อสร้าง นอกจากน ี้ จะเหน็ ไดว้ ่าลักษณะรปู แบบ
เปนตน แลวใหนักเรยี นรว มกนั แสดงความคดิ เหน็ ของสถาปัตยกรรมไทยประเภททไี่ ด้รบั อทิ ธิพลศาสนา และวฒั นธรรม เชน่ สถูป เจดยี ์ พระปรางค ์ เปน็ ต้น รูปแบบ
เกยี่ วกับลกั ษณะรูปแบบงานทัศนศิลปท องถิ่น จะมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าสถาปัตยกรรมที่สร้างให้สอดคล้องกับสภาพดินฟาอากาศ เช่น อาคาร บ้านเรือน
เปน็ ต้น ทั้งน้ ี เนอื่ งจากอิทธพิ ลทางศาสนาและวัฒนธรรม ประเทศไทยได้รบั อทิ ธิพลจากหลายแหลง่ จงึ ทา� ให้รปู แบบ
สา� รวจคน้ หา Explore สถาปตั ยกรรมทางศาสนา มีลักษณะหลากหลายตามแหล่งท่มี าดว้ ย

ใหนกั เรียนศกึ ษา คนควา เก่ยี วกับความหมาย ๒) ประเภทของสถาปตั ยกรรมไทย สามารถจา� แนกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท ตามลกั ษณะการใชพ้ น้ื ท ี่ ไดแ้ ก ่
และลกั ษณะรปู แบบงานทัศนศิลปทองถ่นิ จาก
แหลงเรียนรูต างๆ เชน หนังสอื เรยี น หอ งสมดุ • สถาปตั ยกรรมแบบเปิด ซึง่ หมายถงึ ส่งิ ก่อสร้างท่ใี ช้ประโยชน์จากพื้นทภ่ี ายใน สามารถเขา้ ไปอยู่
อินเทอรเนต็ เปน ตน อาศัยในตวั อาคารน้นั ๆ ได้ เชน่ โบสถ ์ วิหาร บา้ นเรอื น เปน็ ตน้
• สถาปัตยกรรมแบบปิด เป็นส่ิงก่อสร้างท่ีไม่ได้เว้นท่ีว่างภายในตัวอาคารส�าหรับเข้าไปอยู่อาศัย
สว่ นใหญ่จะมีรูปทรงเปน็ แท่ง เป็นกอ้ นทึบตนั เช่น เจดยี ์ พระปรางค ์ อนสุ าวรีย์ เป็นต้น

๒. ลกั ษณะรูปแบบงา1นทศั นศิลปท์ อ้ งถิ่น

งานทัศนศิลป์ท้องถ่ิน หมายถึง ศิลปกรรมในสาขาภูมิปัญญาไทยทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม

และสถาปัตยกรรม ที่เป็นผลงานสร้างสรรค์ของท้องถิ่นท่ีเกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน ได้คิดประดิษฐ์ข้ึนมาเป็น

เอกลักษณข์ องตนเอง ซง่ึ สามารถวิเคราะห์ได้จากผลงานทศั นศิลป์ในแตล่ ะประเภทได้ ดังนี้
๒.๑ จิตรกรรมท้องถน่ิ

จิตรกรรมท้องถิ่น คือ ผลงาน

การวาดภาพ ระบายสลี งบนพ้นื ที่ต่างๆ ตาม

ความรู้สึกนึกคิดของชาวบ้าน ท่ีมีลักษณะ

เรยี บงา่ ย ไมแ่ สดงรายละเอยี ด แตแ่ สดงออก

ถงึ ความทรงจา� ตลอดจนแรงบันดาลใจจาก

สงิ่ ทเ่ี คยพบเหน็ ในธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม

ผ่านทางภาพวาดจิตรกรรมในลักษณะต่างๆ

เช่น จิตรกรรมฝาผนัง จิตรกรรมประกอบ

เคร่ืองใช้ จติ รกรรมประเภทเคร่ืองเลน่ ต่างๆ

และจิตรกรรมที่เกิดจากความศรัทธาทาง

ศาสนา เป็นตน้ ภาพเขียนส ี (ฮูปแตม้ ) เล่าเรอื่ งราวขบวนแหผ่ ะเหวด แทรกอยใู่ นชาดกเรอ่ื งเวสสนั ดร
ท่ีสิมวัดสนวนวารพี ัฒนาราม จังหวดั ขอนแก่น

1๐๘

เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน การคดิ T
O-NE
ครอู าจอธิบายเสรมิ วา ทศั นคตคิ วามงามของผคู นในแตละทองถ่นิ รวมถงึ ผูค น
ในทองถ่นิ เดียวกนั แตตางยุคสมยั กัน ทัศนคติเก่ียวกบั ความงามกอ็ าจจะตางกัน ขอ ใดไมใ ชลักษณะของการสรา งสรรคงานทัศนศิลปทองถ่นิ
ดงั น้นั เราจึงไมค วรสรปุ วา ผลงานของทองถนิ่ ใดงามกวา ทองถ่นิ ใด แตค วรศกึ ษาวา 1. ใชวัสดทุ ี่หาไดง า ยในทองถนิ่
ผลงานของแตล ะทองถนิ่ เปน แบบใด หรอื มลี กั ษณะเดนอยา งไร 2. รูปแบบทาํ ตามทนี่ ยิ มในทองถ่นิ
3. สวนใหญเ กยี่ วขอ งกับศาสนา
นักเรยี นควรรู 4. มักใชชางหลวงในการจัดสราง

1 งานทศั นศิลปทองถิน่ ปจจยั สาํ คัญทมี่ ผี ลตอลักษณะรปู แบบของ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. งานทศั นศลิ ปทองถิน่ ในการจัดสรา งจะใช
ทัศนศลิ ปทองถน่ิ กค็ ือ สภาพแวดลอ มทางธรรมชาติ ขนบธรรมเนยี มประเพณี
วัฒนธรรม วถิ กี ารดํารงชวี ติ ของผูคน ศาสนา ลัทธคิ วามเชอื่ อิทธิพลจากภายนอก ชา งทองถ่นิ ทง้ั น้เี พื่อตองการถายทอดรปู แบบ วิธีการ เทคนคิ ทีท่ อ งถิ่นนนั้
ยึดถือเปน แบบปฏบิ ตั ิเอาไว และเพ่ือใหเ ปนเอกลกั ษณข องทอ งถน่ิ สาํ หรับ
ชา งหลวงจะใชส รา งงานทศั นศิลปส าํ หรบั ราชธานีหรือราชสํานัก ซงึ่ จะมี
ความประณีตและรปู แบบในการสรางสรรคผ ลงานจะเปนอกี แบบหน่ึง

108 คู่มือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

๒.๒ ประตมิ ากรรมท้องถ่นิ 1. ใหนักเรยี นรว มกนั อภปิ รายเกีย่ วกบั รูปแบบ
งานทัศนศลิ ปทอ งถิ่นตามที่ไดศึกษามา
ประตมิ ากรรมท้องถ่นิ คอื ผลงานท่เี กิดจากการปัน การแกะสลกั การหลอ่ โดยครใู หนักเรียนสรุปความหมายและลกั ษณะ
การกลึง การดุน การทุบตี การเคาะ ซึง่ ผลงานจากการสรา้ งสรรค์ในแตล่ ะท้องถ่นิ รปู แบบงานทศั นศลิ ปข องทอ งถนิ่ ลงสมดุ บนั ทกึ
จะมคี วามแตกตา่ งกนั ดว้ ยกรรมวธิ ใี นการผลติ ซง่ึ การผลติ ผลงานสว่ นใหญจ่ ะมงุ่ ผลติ จากน้นั ครูถามนกั เรียนวา
เพอ่ื ประโยชนใ์ นการใชส้ อยเปน็ สา� คญั การจา� แนกลกั ษณะของประตมิ ากรรมทอ้ งถนิ่ • งานทศั นศลิ ปข องทอ งถนิ่ มีลกั ษณะเดน
สามารถจ�าแนกได้ตามประเภทของวตั ถแุ ละวิธกี ารสรา้ งสรรค์ ไดแ้ ก ่ งานแกะสลัก อยางไร
งานปัน งานกระดาษ และงานโลหะ หรือจ�าแนกตามประเภทของการใชส้ อย ไดแ้ ก ่ (แนวตอบ งานทศั นศลิ ปทองถิ่น เปน ผลงาน
ผลงานที่ใช้ประดับบ้านเรือน ผลงานที่ใช้ประกอบในเร่ืองความเช่ือและพิธีกรรม สรางสรรคของทองถ่ินทเ่ี กดิ จากภมู ิปญญา
ตา่ งๆ ผลงานท่ีใชป้ ระกอบการละเลน่ รวมถึงเครอื่ งประดับต่างๆ ของชาวบา นที่ไดค ิดประดิษฐขน้ึ มา เปน
เอกลักษณข องตนเอง ทง้ั งานจิตรกรรม
พระพุทธรูปแบบท้องถิ่น สมัยทวารวดี พบที่เมืองศรีมโหสถ ทองถน่ิ ประตมิ ากรรมทองถ่นิ และ
จงั หวัดปราจนี บรุ ี สถาปตยกรรมทองถิ่น )

๒.๓ สถาปตั ยกรรมทอ้ งถนิ่ 2. ใหนกั เรยี นแบงกลมุ กลมุ ละ 5-6 คน
ใหแ ตละกลมุ ยกตวั อยางงานทัศนศิลป
สถาปัตยกรรมท้องถ่ิน คือ ส่ิงปลูกสร้าง ในทอ งถิ่นของตนเองมา 1 ผลงาน แลว เขียน
บรรยายถึงประวตั ิความเปน มา ลกั ษณะ
ประเภทอาคารบ้านเรือนท่ีมีลักษณะและรูปแบบตาม รปู แบบของผลงาน และความงาม มาพอสงั เขป
พรอ มหาภาพประกอบ โดยทาํ ลงกระดาษ
ความนิยมในท้องถ่ินมีลักษณะเฉพาะตัวในแต่ละภูมิภาค รายงาน สงครผู สู อน

โดยมีความสอดคล้องกับประเพณีและวัฒนธรรมของ

กลมุ่ คนเหลา่ นนั้ ซง่ึ สามารถจา� แนกรปู แบบสถาปตั ยกรรม

ท้องถ่ินได้ ๒ รูปแบบ คือ สถาปัตยกรรมทางศาสนา

และสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนและที่อยู่อาศัย เช่น

บา้ นเรอื นในทอ้ งถน่ิ ประเภทเครอื่ งผกู ทใ่ี ชว้ สั ดไุ มค่ งทนใน

การสรา้ ง มวี ธิ ใี นการปลกู สรา้ งงา่ ยๆ โดยการนา� วสั ดตุ า่ งๆ สมิ วดั ปา แสงอรุณ อาํ เภอเมือง จังหวัดขอนแกน่ ภายในมคี วามวิจิตร
งดงามของภาพเขียนลายผ้าไหมมัดหมี่ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็น
มาผูกยึดเข้าด้วยกัน ประเภทเครื่องสับท่ีใช้วัสดุคงทน

โดยนา� มาประกอบกนั ด้วยวิธีการเขา้ ไม้ เป็นตน้ เอกลกั ษณข์ องทอ้ งถิ่น

กจิ กรรม ศิลปป์ ฏบิ ัติ ๙.๑

กจิ กรรมที่ ๑ ใ ห้นักเรียนแต่ละคนหาภาพผลงานทัศนศิลป์ทางด้านจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทย และ
สถาปัตยกรรมไทยมาประเภทละ ๑ ภาพ พร้อมทั้งเขียนค�าอธิบายใต้ภาพด้วยว่า ผลงาน
ดงั กลา่ วเป็นงานทัศนศลิ ป์แบบใด และมีความนา่ สนใจอยา่ งไร

กจิ กรรมท่ี ๒ ให้นักเรยี นแบ่งกลุ่ม ๕ คน ไปท�าการสา� รวจผลงานทศั นศลิ ปท์ สี่ า� คัญในทอ้ งถนิ่ มา ๓ ผลงาน
โดยให้บอกประวตั คิ วามเป็นมา ลักษณะของผลงาน ความงาม ความโดดเดน่ พร้อมถ่ายภาพ
ประกอบแล้วจดั ทา� เปน็ รายงานส่งครูผสู้ อน

1๐9

แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ บรู ณาการอาเซยี น

การศกึ ษาผลงานทัศนศิลปของทองถนิ่ มีความสาํ คญั อยางไร ครใู หน กั เรยี นรวมกนั หาภาพผลงานทศั นศิลปป ระเภทจติ รกรรม ประตมิ ากรรม
แนวตอบ จะชว ยทาํ ใหเ รามีความรูความเขา ใจเก่ียวกับลกั ษณะงาน สถาปต ยกรรม ทีเ่ ปน เอกลกั ษณหรือสะทอนลักษณะเดน ทางศลิ ปะของประเทศ
ทศั นศลิ ปที่เปน ของทอ งถ่ิน สามารถนําความรูไปใชใ นการอธบิ ายรูปแบบ สมาชกิ อาเซียนในแตล ะประเทศ โดยนาํ ภาพและขอ มลู มาอภิปรายรว มกัน จากนั้น
งานทัศนศลิ ปของทองถ่นิ ตนเองได รวมท้งั เปรยี บเทียบงานทัศนศิลป ใหทาํ การเปรียบเทยี บความแตกตา งและอัตลกั ษณข องแตละประเทศ ตัวอยางเชน
ของทองถิ่น หรือในแตล ะภูมิภาคอยางสังเขปได ขณะเดียวกันก็จะชว ยทาํ ให ผลงานศิลปะของไทย ลาว เมียนมา แมจ ะมรี ากฐานมาจากพระพทุ ธศาสนา
เรามีความรอบรูและภาคภูมใิ จในทองถ่นิ ของตนเองมากขึ้น เหมอื นกัน แตกจ็ ะมีรูปแบบทแ่ี ตกตางกนั เมอ่ื เห็นแลวสามารถจะระบไุ ดทันทีวา
เปน ของประเทศใด

บูรณาการเชือ่ มสาระ

การศกึ ษาเกี่ยวกบั รปู แบบงานทัศนศลิ ปของชาตสิ ามารถบรู ณาการ
กับกลมุ สาระการเรียนรสู ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม วิชาประวัตศิ าสตร
ทีเ่ นน เน้ือหาเก่ียวกับประวตั ศิ าสตรไ ทย ศลิ ปวัฒนธรรมไทยในแตล ะยุคสมัย

คมู่ อื ครู 109

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage Explore

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครูใหน กั เรยี นดภู าพจิตรกรรมฝาผนังแบบไทย ó. §Ò¹·ÑȹÈÅÔ »Šã¹áµ‹ÅÐÀÙÁÀÔ Ò¤
แนวประเพณี ซ่ึงเปน จติ รกรรมฝาผนังท่ีวัดภูมินทร
จงั หวดั นาน ในหนังสอื เรยี น หนา 110 หรือภาพ ประเทศไทยในแต่ละภูมิภาคมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประวัติความเป็นมา และลักษณะทางสังคม
อื่นๆ ทเี่ ปน จิตรกรรมทองถน่ิ ภาคเหนือ จากน้นั ให วัฒนธรรมท่ีแตกต่างกัน ปัจจัยดังกล่าวล้วนมีผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ในภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเพ่ือ
นักเรียนชว ยกันหาจุดเดนในภาพท่แี สดงถึง ประโยชน์ใช้สอย หรือตอบสนองความเชื่อทางศาสนา และความพงึ พอใจของตนกต็ าม ซ่ึงงานทัศนศลิ ปภ์ าคต่างๆ
ความเปน ภาพจิตรกรรมทองถิ่นภาคเหนือ เชน ของไทย มีดงั น้ี
การแตง กาย ประเพณี วฒั นธรรม การประกอบอาชพี
เปน ตน ๓.๑ ภาคเหนอื
ทัศนศิลป์ในภาคเ1หนือ หรือทัศนศิลป์ในสมัยเชียงแสน หรือล้านนา มีศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่ทาง
สา� รวจคน้ หา Explore
ภาคเหนือของประเทศไทย อยู่ในช่วงเวลาระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๑๘-๒๓ นับเป็นยุคสมัยของศิลปะไทยอย่าง
ใหน กั เรียนแบงกลมุ ออกเปน 4 กลมุ ใหแตละ แท้จริง ซึ่งปรากฏหลักฐานซากเมืองโบราณอยู่ริมฝังแม่น้�าโขงท่ีอ�าเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย อ�าเภอเมือง
กลุมศึกษา คน ควาเกย่ี วกับงานทัศนศลิ ปใ นแตล ะ จงั หวัดเชียงใหม่ และในพ้ืนทีบ่ รเิ วณจังหวัดลา� พูน โดยมผี ลงานสิง่ ปลกู สรา้ งตา่ งๆ ท่ีสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความศรัทธา
ภูมภิ าค จากแหลง เรียนรตู างๆ หนังสือเรียน ในพระพุทธศาสนา ส่วนประติมากรรมท่ีพบมากจะเป็นพระพุทธรูป ซึ่งมีความร่วมสมัยกับสมัยสุโขทัยในยุคต่อมา
หองสมุด อนิ เทอรเน็ต เปน ตน ตามหวั ขอทค่ี รู นอกจากน้ี ก็มีภาพเขียนบนฝาผนังที่มีการสร้างสรรค์กันมายาวนานแล้ว โดยเฉพาะพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ใน
กาํ หนดให ดังน้ี ปัจจุบันมีผลงานทัศนศิลป์เป็นจ�านวนมาก ทั้งท่ีได้รับอิทธิพลจากศิลปะพม่าและอิทธิพลจากส่วนกลาง ซึ่งผลงาน
ทศั นศิลปท์ ส่ี �าคัญของภาคเหนอื มีดังนี้
กลมุ ที่ 1 งานทัศนศิลปภาคเหนือ
กลมุ ท่ี 2 งานทศั นศิลปภ าคกลาง ๑) จติ รกรรม เป็นผลงานท่เี กดิ ข้นึ จากการเขียนภาพระบายสีทส่ี ะทอ้ นถึงเร่ืองราวของสังคม ประเพณ ี
กลมุ ท่ี 3 งานทัศนศิลปภาคตะวันออก-
วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมในชว่ งสมัยท่ีชา่ งกา� ลงั
เฉยี งเหนอื เขียนภาพอยู่ โดยมีเรื่องราวสะท้อนถึงเหตุการณ์
กลมุ ท่ี 4 งานทศั นศลิ ปภาคใต ตา่ งๆ เชน่ การแตง่ กายของผ้คู น ประเพณวี ัฒนธรรม
การประกอบอาชีพ การใช้ชีวิตของชาวบ้านในช่วง
เวลาน้นั เปน็ ต้น
ตัวอย่างจิตรกรรมแบบล้านนาท่ีโดดเด่น
เช่น จิตรกรรมฝาผนัง วัดบวกครกหลวง จังหวัด
เชียงใหม่ วัดป่าแดด จังหวัดเชียงใหม่ วัดหนองบัว
และวดั ภูมนิ ทร ์ จังหวัดนา่ น เปน็ ต้น

๒) ประติมากรรม เป็นผลงานที่เกิดขึ้น

จากการปัน การหล่อ และการแกะสลัก ส่วนมาก
พบในบริเวณภาคเหนือตอนบน ผลงานท่ีโดดเด่น
ได้แก่ พระพุทธรูปแบบล้านนามี ๒ ลักษณะ คือ
“แบบล้านนารนุ ต้น” และ “แบบลา้ นนารนุ หลงั ”

จิตรกรรมฝาผนังแบบไทยแนวประเพณี (จากภาพ) จิตรกรรมฝาผนัง
ทีว่ ัดภมู นิ ทร ์ จังหวัดนา่ น

11๐

นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน การคิด T
O-NE
1 ภาคเหนอื ของประเทศไทย ประกอบดว ยพ้ืนที่ 9 จงั หวัด ไดแก เชยี งราย
เชยี งใหม แมฮ องสอน พะเยา ลําพูน ลําปาง แพร นาน และอตุ รดติ ถ ลักษณะ สวนใดของภาพทที่ ําใหผูชมสามารถจะ
ภูมปิ ระเทศเปนภเู ขาสลบั ซับซอนตอเนือ่ งกนั เปน ทวิ เขาแนวยาว ระหวา งทวิ เขา ประเมินไดวา ภาพน้ีเปนผลงานจติ รกรรมทองถนิ่
จะมีหุบเขา แอง ทีร่ าบท่ีเปน ที่ต้ังของชมุ ชน มีแมน ้าํ หลายสาย แมนา้ํ สาํ คญั เชน ภาคเหนือ
แมนํา้ ปง แมนํา้ นา น แมน้าํ ยม เปน ตน สภาพภูมิอากาศโดยทั่วไปรอ นแหงแลง
ในฤดรู อ น ฤดูฝนมฝี นตกชกุ และหนาวเย็นในชว งฤดูหนาว อุณหภมู เิ ฉลี่ยประมาณ 1. ลกั ษณะอาคารบานเรอื น
26.5 องศาเซสเซยี ส ซ่งึ สภาพแวดลอมทางธรรมชาตเิ หลา นเ้ี ปนอทิ ธิพลสาํ คญั 2. การแตงกายของผูค น
อยางหน่ึงตอการสรางสรรคงานทัศนศิลป 3. การจดั องคป ระกอบของภาพ
4. การใชส เี อกรงคเ ปนหลัก

วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. ภาพน้ีนาํ เสนอเรื่องราวท่ีเปนวถิ ีการดาํ รง

ชีวติ ของผคู น ลักษณะเดน ทด่ี แู ลวสะดดุ ตา ทาํ ใหส ามารถจะประเมนิ ไดว า
เปนเรอื่ งราวของผูคนในทอ งถ่ินภาคเหนือ ก็คือ รูปแบบของเคร่อื งแตงกาย
ทรงผม ใบหนา ของผคู น ท่ีเปน อัตลักษณท ่แี ตกตางจากทองถิ่นภาคอน่ื

110 ค่มู อื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

ประตมิ ากรรมแบบลา้ นนารนุ่ ตน้ จะมพี ทุ ธลกั ษณะทส่ี า� คญั คอื พระพทุ ธรปู ประทบั ใหน ักเรียนกลุมท่ี 1 สง ตัวแทน 2-3 คน ออก
มาอธบิ ายเกยี่ วกับงานทัศนศิลปภาคเหนอื ตามท่ี
ปางขดั สมาธเิ พชร และพระหตั ถแ์ สดงปางมารวชิ ยั มชี ายสงั ฆาฏทิ ส่ี น้ั อยเู่ หนอื พระถนั ไดศกึ ษามาหนาช้นั เรยี น พรอ มทัง้ ยกตวั อยา งงาน
ทัศนศลิ ปทสี่ ําคัญของภาคเหนอื มาประกอบการ
และท่ีปลายสังฆาฏิจบี เป็นรวิ้ พระอรุ ะมขี นาดค่อนขา้ งอ้วนกลม ท่พี ระเกตุมาลาเปน็ อธบิ ายความรู โดยครใู หนกั เรยี นสรุปสาระสาํ คญั
เก่ยี วกับงานทัศนศลิ ปภาคเหนอื ลงสมุดบันทึก
ทรงดอกบัวตูม ส่วนประติมากรรมล้านนารุ่นหลังจะคาบเก่ียวกับสมัยสุโขทัย จะมี จากนัน้ ครถู ามนกั เรียนวา

พุทธลักษณะท่ีส�าคัญ คือ มีพระวรกายสะโอดสะอง พระพักตร์กลมรีเป็นรูปไข ่ • ผลงานทัศนศิลปภ าคเหนอื สว นใหญส ะทอ น
ใหเ หน็ ถงึ ส่ิงใด
ชายสงั ฆาฏยิ าวลงมาจรดพระนาภี มีปลายตดั เป็นรอยเขย้ี วตะขาบ และประทบั (แนวตอบ ผลงานทศั นศลิ ปภ าคเหนือ ทงั้ งาน
จิตรกรรม ประตมิ ากรรม และสถาปตยกรรม
ปางขัดสมาธิราบเป็นส�าคัญ เช่นเดียวกับพระพุทธรูปในสมัยสุโขทัย โดยสว นใหญส ะทอ นถงึ เร่ืองราวประเพณี
ความเช่ือ และวฒั นธรรมในทอ งถิน่ ลา นนา
ซึ่งสมัยสโุ ขทัยยุคแรกได้รับอิทธพิ ลจากลงั กา แตก่ ็ไดแ้ สดงความงดงามตาม นอกจากน้ี ยงั มีผลงานทศั นศลิ ปอ ีกเปน
จาํ นวนมากที่ไดร บั อทิ ธิพลจากศลิ ปะพกุ าม)
อดุ มคตแิ บบไทยใหป้ รากฏไวอ้ ยา่ งชดั เจน แบบมอี ดุ มคตสิ งู สดุ (Classic Art)

แบบอย่างของประติมากรรมที่เห็นได้ชัด คือ พระพุทธชินราช ท่ีวัดพระ-

ศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จงั หวดั พษิ ณโุ ลก
๓) สถาปัตยกรรม เป็นสิ่งก่อสร้างท่ีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เห็นได้จากโบสถ์ วิหาร ที่สะท้อนถึงความโดดเด่นของทัศนศิลป์ประเภทน้ี

มกั นิยมสรา้ งเปน็ วิหารขนาดใหญ่ มีเสาเรยี งรายภายใน และมหี ลังคาซอ้ น

สามช้นั เปน็ สว่ นมาก

ตัวอย่างสถาปัตยกรรมแบบล้านนาที่โดดเด่น ได้แก่ โบสถ์

วดั พระสงิ หว์ รวหิ าร จงั หวดั เชยี งใหม ่ ซงึ่ เปน็ โบสถโ์ บราณกอ่ ดว้ ยอฐิ ผสมไม้

“พระอัฏฐารส” เป็นพระพุทธรูปยืนปาง และวหิ ารโบราณ ไดแ้ ก ่ วหิ ารลายคา� วดั พระสงิ หว์ รวหิ าร ภายในประดษิ ฐาน
ห้ามญาติ ประดิษฐานอยู่บริเวณเนินวิหาร
เก้าห้อง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร พระพุทธสิหิงค์ วิหารน้�าแต้ม วัดพระธาตุล�าปางหลวง อ�าเภอเกาะคา
จงั หวัดพษิ ณโุ ลก
จังหวัดล�าปาง นอกจากน้ี ยังมีเจดีย์รูปทรงต่างๆ อีกมาก เช่น เจดีย์

ทรงเหล่ียม เจดีย์ทรงกลมหรือทรงระฆังคว�่า เป็นต้น ในระยะแรกการสร้างสถาปัตยกรรมจะได้ รับอิทธิพลจาก

ประเทศเพื่อนบ้าน ต่อมาได้มีการพัฒนารูปแบบท่ีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปะล้านนามากข้ึน

เช่น เจดีย์วัดสวนดอก เจดีย์วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ เจดีย์วัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัด1ล�าพูน

เปน็ ตน้ สว่ นสถาปตั ยกรรมแบบสโุ ขทยั ทมี่ ลี กั ษณะเดน่ เปน็ เอกลกั ษณค์ อื “เจดยี ท์ รงพมุ ขา้ วบณิ ฑ”์

นอกจากน้ี ส่ิงปลูกสร้างแบบล้านนายังมีกลุ่มเรือนท้องถิ่นในเขตจังหวัดทาง

ภาคเหนอื ตอนบน ไดแ้ ก ่ จงั หวัดลา� พนู ล�าปาง แพร ่ นา่ น เชียงราย เชยี งใหม ่ และ 2

แมฮ่ อ่ งสอน ตามแบบวฒั นธรรมดง้ั เดมิ คอื การปลกู เรอื นเครอ่ื งผกู การสรา้ ง “รา้ นนา้ํ ”

ไวท้ ่หี ัวบนั ได ส�าหรบั ต้อนรบั แขก หรือคนทีส่ ัญจรผ่านไปมา วัสดุท่ใี ชท้ �าฝาบ้านจะใช้

ฝาขดั แตะจากไมไ้ ผ ่ หลงั คามงุ ดว้ ยใบตองตงึ สว่ นเรอื นเครอื่ งสบั แบบลา้ นนาจะเปน็

เรอื นชนดิ ที่มจี ว่ั สูงทางด้านหน้า ส่วนบนของจว่ั มีไม้ท่ีแกะสลกั เปน็ ลวดลาย

ต่างๆ ไขว้กันแบบเรียบงา่ ยเรียกว่า “เรอื นกาแล”

เจดีย์วัดเชียงม่ัน จังหวัดเชียงใหม่ สถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจาก
ศลิ ปะพกุ าม

แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด นักเรยี นควรรู

จากภาพนกั เรยี นคดิ วาเปนพระพุทธรปู สัมฤทธิ์ 1 เจดียทรงพุม ขา วบณิ ฑ หรอื เจดยี ทรงดอกบวั ตมู เปนศลิ ปะที่เปนเอกลกั ษณ
ที่ไดร ับอิทธพิ ลจากศิลปะรูปแบบใด เฉพาะของสุโขทัย โดยชางสโุ ขทยั ไดน าํ เอาองคป ระกอบทางดา นสถาปตยกรรม
มาออกแบบใหเ ปนเจดียทรงใหม ฐานทาํ เปน ส่ีเหลยี่ ม องคเ จดียม ลี ักษณะ
1. ศลิ ปะลานนาตอนตน เปน ทรงปรางคส ูงขนึ้ ไป เพอ่ื รองรบั เรือนยอดท่ีเปน รปู ดอกบัวตมู ลกั ษณะเจดีย
2. ศิลปะลานนารุน หลัง ทรงพมุ ขา วบิณฑน ้ีนิยมสรางข้นึ ในสมยั สโุ ขทยั เทาน้นั ไมป รากฎในสมัยอืน่
3. ศลิ ปะหริภุญชัย 2 รา นนํ้า เปนหงิ้ สําหรับวางหมอนาํ้ ด่ืม พรอมทแ่ี ขวนกระบวยหง้ิ นํ้า
4. ศิลปะสุโขทัย หากหิ้งน้ําอยูที่ชานโลง แจง เจาของบา นจะทาํ หลงั คาคลุมลกั ษณะคลา ยเรือนเลก็ ๆ
เพอ่ื มใิ หแ สงแดดสอ งลงมาทีห่ มอ นา้ํ หมอ นาํ้ นี้ย่ิงเกา ยิ่งดเี พราะมกั จะมตี ะไครน ํ้า
วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ศลิ ปะไทยแบบลา นนาตอนตน ชวงตน เกาะภายนอกชว ยใหนาํ้ ในหมอเยน็ กวา เดมิ ขา งๆ หมอ นา้ํ จะวางกระบวยทีใ่ สน า้ํ
ทําจากไมร ะแนง เปนรูปสามเหลยี่ มตัว V ใสกระบวยทที่ าํ จากกะลามะพรา ว
พุทธศตวรรษที่ 19 พระพุทธรูปจะมีลกั ษณะพระพกั ตรก ลม พระโอษฐอ มยิ้ม ตอ ดา มไมสกั บางทสี ลักเสลาปลายดามเปนรปู สตั วต า งๆ
พระหนเุ ปนปม ขมวดพระเกศาใหญเหนอื พระเกตมุ าลา ปรากฏพระรัศมี
เปน รปู ดอกบวั ตมู พระศอเปน ปลอ ง พระองคอ วบอว น พระอรุ ะนนู ครองจวี ร
หม เฉยี ง ชายจีวรเหนือพระองั สาซายสั้น ปลายเปน ลายเขย้ี วตะขาบ
ประทับน่งั ขดั สมาธเิ พชรแสดงปางมารวิชัยโดยวางพระหตั ถขวาอยูเหนือ
พระชานุขวา พระหตั ถซ ายวางอยูเ หนอื พระเพลา นวิ้ พระหตั ถไ มเ สมอกัน

คู่มือครู 111

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain

อธบิ ายความรู้ Explain

ใหนกั เรยี นกลมุ ท่ี 2 สง ตวั แทน 2-3 คน ออก 1
มาอธิบายเก่ยี วกบั งานทัศนศิลปภาคกลางตามที่
ไดศึกษามา หนา ชน้ั เรยี น พรอมท้งั ยกตวั อยางงาน จิตรกรรมฝาผนังรอบระเบียง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เรื่องรามเกียรติ์ ตอนทศกัณฐ์ออกศึกกับพระรามครั้งแรก มีเทคนิคการเขียนภาพ
ทัศนศิลปท ่ีสาํ คัญของภาคกลางมาประกอบการ แบบ ๒ มิติ โดยเน้นความงามและเน้อื หาเป็นสําคัญ
อธิบายความรู โดยครูใหนกั เรยี นสรุปสาระสําคัญ
เกยี่ วกบั งานทัศนศลิ ปภ าคกลาง ลงสมุดบันทกึ ๓.๒ ภาคกลาง
จากนนั้ ครูถามนักเรียนวา
ทัศนศลิ ปใ์ นภาคกลางเป็นผลงานทถี่ ือก�าเนิดขนึ้ บริเวณตอนกลางของประเทศไทย ทีม่ ภี มู ิหลงั ทางศลิ ป-
• ผลงานทศั นศิลปภาคกลางสวนใหญไ ดรบั วัฒนธรรมท่ียาวนาน ต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นต้นมาจนถึงสมัยการสร้างบ้านแปลงเมืองและการสถาปนา
อิทธพิ ลจากส่ิงใด อาณาจกั รตา่ งๆ ผลงานทศั นศลิ ปส์ ว่ นมากจะสรา้ งขน้ึ ตามคตคิ วามเชอื่ ทางพระพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู
(แนวตอบ ผลงานทัศนศลิ ปภ าคกลาง และการรบั อทิ ธพิ ลทางศลิ ปวฒั นธรรมจากชาตอิ นื่ ๆ เชน่ วฒั นธรรมอนิ เดยี วฒั นธรรมเขมร เปน็ ตน้ เขา้ มาผสมผสาน
สวนใหญจะสรางข้ึนตามคติความเชือ่ ทาง กับผลงานทัศนศิลป์ของตน จนกลายเป็นรูปแบบท่ีเป็นลักษณะเฉพาะของช่างราชส�านักและแพร่หลายไปยัง
พระพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณ-ฮินดู ภมู ภิ าคอนื่ ตามการแผอ่ ทิ ธิพลทางการเมอื งการปกครอง
และรับอทิ ธิพลทางศิลปวฒั นธรรมจาก ผลงานทัศนศิลป์ทีส่ �าคญั ของภาคกลาง มีดงั นี้
ชาตอิ นื่ ๆ เชน วฒั นธรรมอินเดยี วฒั นธรรม
เขมร เขามาผสมผสานกบั ผลงานทัศนศลิ ป ๑) จติ รกรรม ผลงานจิตรกรรมที่พบในภาคกลาง เปน็ ภาพเขยี นที่สร้างสรรคข์ ้นึ จากความศรัทธาทาง
ของตนเอง จนกลายเปน รปู แบบที่เปนลักษณะ
เฉพาะของชา งราชสํานกั ของภาคกลาง) ศาสนาเปน็ ส่วนใหญม่ ีลกั ษณะเด่น คอื เปน็ ภาพเลา่ เรือ่ งต่างๆ เชน่ ภาพบคุ คล สตั ว ์ ตน้ ไม ้ เป็นตน้ ที่มวี ธิ กี าร
แสดงออกท่ีชัดเจน ต่อมาเมื่อได้รับอิทธิพลจากตะวันตก จิตรกรรมไทยเริ่มมีรูปแบบและเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยรับเอาแบบอย่างเขา้ มา จนมผี ลให้จติ รกรรมไทยมกี ารเปลยี่ นแปลงในด้านรูปแบบ เนือ้ หา และวธิ ีการน�าเสนอ
มากขนึ้
จติ รกรรมไทยท่พี บในภาคกลาง นิยมสื่อความหมายด้วยการเลา่ เรอ่ื งภาพพุทธประวัติ นิทานชาดก และ
เร่ืองราวในไตรภูมิพระร่วง โดยเป็นการเล่าเรื่องผ่านภาพเขียนบนฝาผนังของพระปรางค์ พระอุโบสถ พระวิหาร
หอสวดมนต์ ซึ่งมีวิธีการเขียนภาพด้วยลายเส้น โดยใช้สีแบบสีเดียว เรียกว่า “จิตรกรรมสีเอกรงค์” ที่นิยมมา
ต้ังแตส่ มยั โบราณ และรปู แบบระบายสีหลายส ี เรยี กว่า “จิตรกรรมสพี หุรงค์” เป็นวธิ รี ะบายสีท่ใี ช้สหี ลายสี มีสสี นั

112

นักเรยี นควรรู บรู ณาการเช่อื มสาระ
การศกึ ษาเก่ียวกับภาพจติ รกรรมฝาผนงั รอบระเบียง วัดพระศรีรตั น-
1 จติ รกรรมฝาผนงั รอบระเบียง วดั พระศรรี ัตนศาสดาราม เรอ่ื งรามเกยี รติ์ ศาสดาราม เรอ่ื งรามเกยี รติ์ สามารถบรู ณาการเชอื่ มโยงกบั การเรียนการ
เขยี นขน้ึ ในสมยั รชั กาลที่ 1 ตอมาชาํ รดุ เนอื่ งจากความชื้นจงึ เขียนซอ มเม่อื มี สอนของกลมุ สาระการเรยี นรภู าษาไทย วิชาวรรณคดแี ละวรรณกรรม เรอ่ื ง
การฉลองพระนครในสมัยรชั กาลท่ี 3 รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 7 และรัชกาลท่ี 9 รามเกยี รต์ิ เพราะถา นกั เรยี นมคี วามรเู กย่ี วกบั วรรณคดไี ทย เรอ่ื งรามเกยี รต์ิ
ภาพชดุ รามเกยี รตเิ์ ร่มิ ตั้งแตภาพนารายณอ วตารปางตางๆ กอ นทีจ่ ะอวตารเปน มาพอสมควร จะเปนการเพมิ่ อรรถรสในการเดนิ ดภู าพมากย่งิ ขึน้ ทัง้ นีใ้ น
พระราม ปรากฏอยตู ามซมุ ประตแู ละมขุ ระเบยี ง ประมาณ 80 ภาพ แลว ตอ ดว ย หนึง่ ภาพอาจมีตวั ละครตวั เดยี วกนั อยูหลายจดุ หากนักเรยี นมคี วามรู
เรื่องรามเกียรติ์ ตัง้ แตหอ งที่ 1-178 มีคําบรรยายใตภาพและคําบรรยายเปนโคลง เรอื่ งรามเกยี รตก์ิ จ็ ะสามารถลาํ ดับภาพและเขา ใจเนือ้ เรือ่ งได
สลกั บนแผนหนิ ออ นติดอยูที่เสารอบระเบียง

มมุ IT

นกั เรยี นศกึ ษาเพมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั จติ รกรรมเรอ่ื งรามเกยี รติ์ ทวี่ ดั พระศรรี ตั นศาสดาราม
ไดท ี่ www.youtube.com โดยคน หาจากคาํ วา จติ รกรรมฝาผนงั วดั พระศรรี ตั น-
ศาสดาราม เปน ตน แลว เลอื กชมคลปิ วดิ โี อเฉพาะเรอ่ื งทเี่ กย่ี วกบั ภาพจติ รกรรม

112 คูม่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

สดใส เขียนด้วยสีฝุ่น และปิดทองค�าเปลวในบางส่วนท่ีส�าคัญ ผลงานจิตรกรรมชิ้นส�าคัญ เช่น จิตรกรรมฝาผนัง ครสู มุ ตวั อยา งนกั เรียน 2-3 คน ใหยกตัวอยา ง
ภาพพระอดีตพุทธภายในพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จิตรกรรมฝาผนังโบสถ์วัดใหญ่- ผลงานทัศนศิลปภาคกลางท่โี ดดเดน ประเภท
สุวรรณาราม จงั หวัดเพชรบรุ ี จติ รกรรมฝาผนงั โบสถว์ ดั ใหญ่อนิ ทาราม จงั หวัดชลบรุ ี เปน็ ตน้ จติ รกรรมและประติมากรรม มาประเภทละ
ผลงานจิตรกรรมไทยท่ีพบในภาคกลาง นอกจากจะสะท้อนถึงเรื่องราวและเนื้อหาทางพระพุทธศาสนา 1 ผลงาน พรอ มอธบิ ายลกั ษณะของผลงาน
แลว้ ยังสะท้อนเรื่องราวเก่ยี วกบั ประเพณ ี ความเชื่อ วถิ ีชีวิต และสภาพแวดลอ้ มตา่ งๆ ในชว่ งสมยั ที่มีการเขียนภาพ ดังกลาว ครูคอยเสรมิ เพิ่มเติมเก่ยี วกบั ขอมลู ของ
อีกด้วย เช่น แม่น้�าล�าคลอง พืชพันธุ์ไม้ต่างๆ สัตว์ ชุมชนบ้านเรือนที่ปลูกสร้างอยู่ริมน�้าและบนบกให้เห็นอย่าง ผลงานทน่ี ักเรียนยกตวั อยา งมา จากนน้ั ครถู าม
ชัดเจน เป็นต้น การเรียนรู้เรื่องราวบนจิตรกรรมฝาผนังผ่านภาษาภาพ โดยใช้องค์ประกอบท่ีเก่ียวข้องข้างต้น นกั เรียนวา
อย่างพินิจพิจารณาจะช่วยให้ผู้ชมมีความเข้าใจถึงประวัติศาสตร์สังคมของท้องถิ่นท่ีถูกถ่ายทอดเป็นเรื่องราว
แทรกอยูใ่ นภาพจิตรกรรมฝาผนังไดเ้ ปน็ อย่างดี • งานจิตรกรรมท่พี บในภาคกลางสว นใหญ
มีลักษณะเปนอยางไร
๒) ประติมากรรม ประติมากรรมท่ีพบในภาคกลางเป็นผลงานทัศนศิลป์ที่แสดงถึงรูปทรง ๓ มิติ ท่ี (แนวตอบ งานจิตรกรรมสวนใหญทพ่ี บ
ในภาคกลางจะเปนภาพเขยี นท่ีสรา งสรรค
ประกอบดว้ ยความสงู ความกวา้ ง ความนนู (ลกึ ) โดยตอบสนองความเชอ่ื ทางดา้ นศาสนา และตอ่ มาประตมิ ากรรมได้ ขน้ึ จากความศรัทธาทางศาสนา นยิ มสอ่ื
พฒั นารูปแบบการสรา้ งสรรคเ์ ปน็ ผลงานท่ีเหมือนจริงมากขน้ึ ผลงานในระยะแรกมีความเกย่ี วข้องกับสถาปัตยกรรม ความหมายดว ยการเลา เรือ่ งพทุ ธประวตั ิ
ทงั้ ทางตรงและทางออ้ มทเี่ กย่ี วขอ้ งโดยตรง ไดแ้ ก ่ การปนั และการแกะสลกั เพอ่ื ประดบั ตกแตง่ อาคารและศาสนสถาน นิทานชาดก และเรอื่ งราวในไตรภมู ิพระรว ง
เชน่ ลวดลายประดับตา่ งๆ สว่ นที่เกีย่ วขอ้ งทางออ้ ม ไดแ้ ก่ พระพุทธรูปทปี่ ระดษิ ฐานอยู่ในวหิ าร เป็นตน้ ผา นภาพเขียนบนฝาผนังของพระอโุ บสถ
ประติมากรรมท่ีพบในภาคกลาง สามารถแบ่งออกได้เป็น ประติมากรรมรูปเคารพ พระวิหาร หรอื หอสวดมนต ซงึ่ มวี ิธีการ
ประติมากรรมเรื่องเล่า และประติมากรรมตกแต่ง กรณีการสร้างรูปเคารพน้ันมีการสร้าง เขยี นภาพดวยลายเสน แลว ลงสีทั้งแบบ
ตามคตคิ วามเชอื่ ของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู เช่น เทวรปู พระศิวะ พระนารายณ ์ เป็นต้น หรือ สีเดียว หรือทีเ่ รยี กวา “จติ รกรรมสีเอกรงค”
และแบบระบายสหี ลายสี หรือท่เี รยี กวา
การสรา้ งรปู เคารพในพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน ไดแ้ ก ่ รูปพระโพธสิ ตั ว ์ แล1ะรูปเคารพใน “จติ รกรรมสพี หรุ งค”)

พระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาททเ่ี ป็นรปู พระพุทธเจ้าปางตา่ งๆ เช่น ปางมารวชิ ัย ซงึ่ เปน็ ปางที่
แสดงเหตกุ ารณต์ อนใกลจ้ ะตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้ ซง่ึ พระพทุ ธรปู ปางนจ้ี ะนยิ มสรา้ งประดษิ ฐาน
ไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถของวัดตา่ งๆ ทั่วประเทศไทย เปน็ ต้น
นอกจากนี้ ประติมากรรมตกแต่งภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัด
พระแกว้ ) และพระบรมมหาราชวัง ทีท่ า� เป็นรูปเทวดา รูปสตั ว์หมิ พานต ์ หรอื ลวดลาย
ประดับต่างๆ ยังสามารถสื่อถึงความหมาย ความงาม และความเก่ียวขอ้ งกบั สถาบัน
กษัตริย์ของไทย เน่ืองจากพระบรมมหาราชวังเป็นท่ีประทับ ท่ีเสด็จออกว่าราชการ
และท่ีทรงงานของพระมหากษัตริย์ ดังนั้น ประติมากรรมการตกแต่งใน
บริเวณต่างๆ จึงได้รับการออกแบบการแต่งอย่างพิถีพิถันและวิจิตรงดงาม
มาทกุ ยคุ ทกุ สมยั เพอ่ื ใหพ้ ระบรมมหาราชวงั มคี วามงดงามสมกบั เปน็ ทป่ี ระทบั
ของสมมตเิ ทพตามความเชอ่ื ในศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู

เทพกินนร เป็นประติมากรรมที่เกิดจาก
จนิ ตนาการของผ้สู ร้าง

แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู

ผลงานประตมิ ากรรมของไทยสวนใหญจ ะเก่ียวของกบั อะไร การจดั การเรียนการสอนเกี่ยวกบั งานจติ รกรรม ประติมากรรม สถาปต ยกรรม
1. พทุ ธประวัติ ของภาคตางๆ เพอ่ื ใหน กั เรยี นมคี วามรคู วามเขา ใจมากข้ึน ครูควรใหน กั เรียนเลอื ก
2. บุคคลสําคญั ดูภาพประกอบผลงานดังกลา วจากหนังสือตา งๆ เวบ็ ไซต โดยใหนกั เรยี นจดจํา
3. ส่ิงตางๆ ในธรรมชาติ และทําความเขา ใจลักษณะเดน ของผลงานในแตล ะประเภทของแตล ะภาค
4. ตัวละครในวรรณคดี
นักเรยี นควรรู
วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. ผลงานประตมิ ากรรมของไทยสว นใหญ
1 ปางมารวชิ ยั คําวา มารวชิ ัย แปลวา ชนะมาร ลักษณะของพระพทุ ธรปู จะอยู
จะเปน การสรา งพระพุทธรปู ไวเ คารพบูชา หรือเพอ่ื แสดงออกถึงความศรทั ธา ในอิริยาบถประทับนงั่ ขัดสมาธิ พระหตั ถซา ยหงายลงบนพระเพลา (ตัก)
ในพระพทุ ธศาสนา ท้ังนใ้ี นแตละสมยั จะมลี กั ษณะของพทุ ธศลิ ปแตกตางกัน พระหตั ถข วาวางควํ่าลงท่พี ระชานุ (เขา ) นิ้วพระหตั ถช ้ีลงทพี่ นื้
ออกไป เปน การแสดงออกถงึ ความงามในเชงิ อดุ มคติ

คูม่ ือครู 113

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain

อธบิ ายความรู้ Explain

ครูสุมตวั อยางนกั เรยี น 2-3 คน ใหย กตัวอยาง ๓) สถาปัตยกรรม เป็นผลงานทัศนศิลป์
สถาปตยกรรมภาคกลางท่มี ีความโดดเดน มาคนละ
1 ผลงาน พรอ มอธบิ ายลักษณะของสถาปตยกรรม ที่เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน โบสถ์ วิหาร
ทย่ี กมาเปนตวั อยาง ครคู อยเสรมิ เพิม่ เติมเก่ยี วกบั ปราสาทราชวัง ผลงานส่วนมากพัฒนาการมาต้ังแต่
ขอมลู ของผลงานท่ีนักเรียนยกตัวอยางมา จากนั้น สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ หลักฐานส�าคัญท่ี
ครูถามนกั เรยี นวา ปรากฏ ได้แก่ อาคาร เช่น โบสถ์ วิหาร และมณฑป
มีการปลูกสร้างให้มีขนาดท่ีใหญ่โต มีการออกแบบ
• เรือนไทยภาคกลางมีลักษณะโดดเดนอยางไร ลวดลายตกแต่งบนสถาปัตยกรรมอย่างวิจิตร เช่น
(แนวตอบ สถาปต ยกรรมเรอื นไทยภาคกลาง เครือ่ งบนของอาคารมชี ่อฟา ใบระกา หางหงส์ เป็นต้น วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม เป็นสถานทีซ่ ง่ึ ประกอบดว้ ยงานจิตรกรรม
สามารถแบง ออกไดเปน 3 ลักษณะ คอื เหน็ ไดจ้ ากสถาปตั ยกรรมภายในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ประติมากรรม และสถาปตั ยกรรม อันทรงคณุ คา่ หลายอยา่ ง
เรอื นเครอ่ื งผูก เรือนเคร่ืองสับ และเรือนแพ
หรือเรอื นรมิ นา้ํ ตัวเรอื นไทยภาคกลาง ทีเ่ ปน็ จดุ รวมของสถาปัตยกรรมเด่นๆ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ไว้เกอื บทั้งหมด
สวนใหญจ ะทาํ ดวยไมสกั เชน โครงหลังคา นอกจากน ี้ สถปู เจดีย์ และพระปรางค์ นับได้ว่าเปน็ ธาตุเจดยี ์ หรืออเุ ทสกิ ะเจดยี ์ (เจดีย์ส�าหรบั บรรจุอฐั )ิ
ฝา พ้ืนหอ งนอน พืน้ ระเบียง สวนเสาและ
พ้ืนชานใชไ มเ นอ้ื แข็ง เชน ไมเต็ง ไมแดง ที่นิยมสร้างกันอย่างแพร่หลาย และมีรูปแบบท่ีเป็นลักษณะเฉพาะของงานทัศนศิลป์ประเภทน้ี เช่น พระปรางค ์ 1
เปนตน)
วัดพระราม เจดีย์ทรงกลม หรือทรงระฆังคว�่า วัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระปรางค ์

วดั อรุณราชวราราม กรงุ เทพมหานคร เป็น2ตน้

ส่วนบ้านไทย หรือเรือนไทยภาคกลาง จะมีลักษณะเฉพาะของการปลูกสร้างเป็นแบบแผนที่เห็นได้
เช่น เรอื นครอบครัวเดย่ี ว เรอื นครอบครัวขยาย เรือนแพ เป็นตน้ เมอื่ พจิ ารณาถึงรูปแบบเรอื นไทยในภาคกลาง
ลักษณะเด่นจะมีหลงั คาทรงสูง ใตถ้ ุนสงู ชานกวา้ ง และไม่มฝี าเพดาน

เกร็ดศลิ ป เรอื นไทย
สถาปตั ยกรรมเรอื นไทย หรอื บ้านไทยภาคกลาง แบ่งออกได้เป็น ๓ ลักษณะ ดังน้ี
114 ๑. เรือนเคร่ืองผูก หมายถึง เรือนท่ีใช้ไม้ไผ่เป็นโครงสร้างหลักในการสร้าง
มีส่วนประกอบของเคร่ืองมุงหลังคาท�าด้วยจากหญ้าคา หรือทางมะพร้าว โดยมี
กรรมวธิ ี และขนั้ ตอนในการปลกู สรา้ งอยา่ งงา่ ยๆ โดยประกอบโครงสรา้ งเขา้ ดว้ ยกนั
ดว้ ยการใชต้ อก และหวายเป็นวัสดุในการผูกมัด
๒. เรือนเครื่องสับ หมายถึง เรือนที่มีโครงสร้าง และส่วนประกอบท�าด้วย
ไม้จริงทั้งหลัง มักพบท่ัวไปในภาคกลาง และภาคตะวันออก ข้ันตอนในการปลูก
สรา้ งเรอื นจะมีการใชเ้ ครอื่ งมือหลายชนดิ เช่น มีด ขวาน เปน็ ต้น นา� มาถาก เจาะ
สับ หรือฟันไม้ แล้วน�ามาประกอบตามโครงสร้างท่ีต้องการ ส่วนประกอบส�าคัญ
ของเรอื นเคร่อื งสบั คือ ฝาเรือนท่มี กี ารเข้าไม้อย่างประณตี เรยี กว่า “ฝาปะกน”
๓. เรือนแพ หรือเรือนริมนํ้า เป็นรูปแบบทางสถาปัตยกรรมลักษณะหนึ่งที่
ปรากฏตามบริเวณรมิ แม่น�้าต่างๆ ลักษณะทว่ั ไปของเรือนแพ มกั จะทา� เปน็ รูปแบบ
ของเรือนทรงไทย มีหลังคาปันลม ตัวเรือนท่ัวไปเป็นเรือนฝากระดาน ด้านหน้า
ของเรอื นแพเปิดโลง่ ตลอด ส่วนพ้นื ของเรอื นแพจะรองรบั ด้วย “ลกู บวบ” เรยี กวา่
“แพลูกบวบ”

นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน การคิด T
O-NE
1 พระปรางค เปน งานสถาปตยกรรมทไี่ ทยรบั เอาอทิ ธิพลการสรา งองคป ราสาท
ของขอมมาปรบั เปลยี่ นใหเ รยี วเปนทรงสูง ถอื เปนหลกั ประธานของวัด รวมถงึ สอ่ื ถงึ จากภาพเปนสถาปตยกรรมท่ีอยใู นจงั หวดั ใด และมลี กั ษณะรปู แบบ
คติความเชอื่ วาเปนสญั ลักษณของเขาพระสเุ มรุ ตามคตขิ องศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู เปน อยา งไร
ทง้ั นพี้ ระปรางคแ บง ออกเปน 4 แบบ ไดแ ก ทรงศิขร มีรปู แบบดั้งเดมิ ตามแบบขอม แนวตอบ พระปรางคส ามยอด เปนศิลปะแบบบายน ซงึ่ มอี ายรุ าว
ทรงงาเนยี ม ลกั ษณะใหญแ ตสั้น ตอนปลายโคง เรียว ทรงฝก ขาวโพด มลี กั ษณะ พทุ ธศตวรรษท่ี 18 กอ ดว ยศลิ าแลงขน้ึ ไปเปน สามยอด สงู ประมาณ 15 เมตร
ผอมบางและตรงคลายฝก ขาวโพด และทรงจอมแห มลี ักษณะคลา ยแหทีถ่ กู ยกขึน้ โดยกอ ทบั ขน้ึ ไปแลว โบกดว ยปนู ขาว พรอ มพมิ พเ ปน ลวดลายอยา งงดงาม
2 เรอื นไทย เปน ตัวอยางของงานสถาปต ยกรรมท่ีสรา งขนึ้ ใหส อดรบั กบั ทงั้ สามองคภ ายในเดนิ ตดิ ตอ กนั ไดต ลอด การประดบั ดา นนอกของพระปรางค
สภาพแวดลอ มทางธรรมชาติ ตวั อยา งเชน หลังคาสูงลาดเอยี งเพื่อใหร ะบายนาํ้ ฝน จดั ทําอยางประณีต ปจจุบันพระปรางคสามยอดถือเปนสญั ลกั ษณของ
ที่ตกชุกไดด ี ใตถ ุนสงู เพ่ือปองกนั ปญ หาอุทกภัยในฤดนู ้ําหลาก มหี นา ตา งโดยรอบ จงั หวดั ลพบุรี
เพื่อชวยระบายความรอน ตวั บา นเปนชานเรอื นกวางเพือ่ สะดวกแกก ารทาํ กิจกรรม
เนอื่ งจากในอดตี ครอบครวั ไทยเปน ครอบครวั ใหญม สี มาชกิ อาศยั อยรู วมกนั หลายคน
เปน ตน

114 คูม่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

เสริมสาระ ใหน ักเรียนศึกษางานทศั นศลิ ปในสมัย
รตั นโกสนิ ทร ในหนงั สือเรียน หนา 115 จากนัน้ ครู
งานทัศนศิลปในสมยั รตั นโกสนิ ทร ถามนักเรยี นวา

แบบอยา่ งของงานทศั นศลิ ปใ์ นสมยั รตั นโกสนิ ทรเ์ รมิ่ ตน้ ตง้ั แตพ่ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา จฬุ าโลกมหาราช ทรงสถาปนา • งานทศั นศลิ ปข องไทยในสมัยรัตนโกสินทร
กรงุ เทพมหานครขึ้นเป็นราชธานี ตัง้ แต ่ พ.ศ. ๒๓๒๕ ลงมาจนถงึ สมัยปัจจุบนั พอสรปุ ได้ ดังนี้ เปลี่ยนแปลงไปอยางไร
(แนวตอบ งานทัศนศิลปของไทยในสมยั
๑. จิตรกรรม สมัยรัตนโกสินทร์จิตรกรรมที่เขียนขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ ลงมาจนถึง รัตนโกสนิ ทรม กี ารเปล่ยี นแปลงไปตาม
ปัจจุบัน มีรูปแบบการเขียนตามแบบไทยแนวประเพณีและแบบร่วมสมัย โดยเฉพาะจิตรกรรมฝาผนัง ยุคสมัย โดยงานจิตรกรรมจะมลี กั ษณะ
ทเี่ ขยี นขน้ึ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท ่ี ๓) จดั เปน็ จติ รกรรมไทยทมี่ คี ณุ คา่ เปน สากลมากขนึ้ มีความรว มสมยั กับ
ทางความงามมาก เช่น ท่ีวดั สวุ รรณาราม คลองบางกอกน้อย เปน็ ตน้ แตห่ ลงั จากรบั อิทธิพลตะวนั ตก ศลิ ปะนานาชาติอยา งชัดเจน สว นงาน
ทําให้รูปแบบจิตรกรรมไทยมีรูปลักษณะเป็นสากลเพ่ิมมากขึ้น จนถึงปัจจุบันรูปแบบจิตรกรรมไทย ประตมิ ากรรมมีการเปลยี่ นแปลงอยาง
มีความร่วมสมัยกับศิลปะนานาชาติอย่างชัดเจน ชัดเจนหลงั พ.ศ. 2475 เพราะไดเกิดการ
๒. ประตมิ ากรรม สมยั รตั นโกสนิ ทรป์ ระตมิ ากรรมในชว่ งระยะแรกมหี ลกั ฐานการสรา้ งนอ้ ย สรา งศลิ ปะสมัยใหมแ ละรวมสมัยข้ึน และ
ส่วนใหญ่มักอัญเชิญพระพุทธรูปท่ีมีอยู่แต่เดิมมาบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ หรือไม่ก็อัญเชิญมาเป็น งานสถาปต ยกรรมก็ไดปรบั ตัวตามกระแส
พระประธานอยใู่ นวดั สาํ คญั ๆ ในเขตกรงุ เทพมหานคร สว่ นใหญเ่ ปน็ แบบสโุ ขทยั สาํ หรบั ประตมิ ากรรม ตะวนั ตก มรี ูปลักษณะของการผสมผสาน
แบบรัตนโกสินทร ์ พอจะประมวลได้ ดงั น้ี หรอื รับแบบอยา งสถาปตยกรรมตะวนั ตก
๑) พระพุทธรูปทําตามแบบอย่างของเดิม เป็นรูปแบบท่ีสร้างข้ึนคล้ายกับพระพุทธรูป เขามาใชใ นสถาปตยกรรมไทย สงั เกตได
สมัยอยธุ ยาปนอทู่ อง แต่ลักษณะความมชี ีวิตจติ ใจไมเ่ ดน่ เทา่ ในสมัยรัชกาลท่ี ๓ โปรดเกล้าฯ ใหส้ รา้ ง ชดั เจนในสมัยรัชกาลท่ี 5 ไดแก การสรา ง
พระพทุ ธรปู เพม่ิ เตมิ ขน้ึ นบั รวมกบั แบบเดมิ เปน็ ๔๐ ปาง แลว้ อญั เชญิ ไปประดษิ ฐานยงั วดั วาอารามตา่ งๆ พระทน่ี ั่งจักรีมหาปราสาท
๒) พระพุทธรูปผสมผสานกับตะวันตก ในรัชกาลที่ ๔ มีการแก้ไขพุทธลักษณะให้ พระพทุ ธรปู ปางขอฝน พระทีน่ ง่ั อนันตสมาคม เปนตน)

คล้ายมนุษยส์ ามัญย่ิงขึ้น คือ ไมม่ ีพระเกตุมาลา หรอื ขมวดพระเมาลี มีจีวรเป็นร้ิว เชน่ พระนิรนั ตราย เปน็ ต้น พอถงึ สม1ยั รัชกาลท ่ี ๕-๖
มีการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น จึงเกิดมีการสร้างพระพุทธรูปให้เหมือนมนุษย์ตามแบบพระพุทธรูปคันธารราฐของอินเดีย เช่น
พระพทุ ธรูปปางขอฝน พระไสยาสน์ ที่วดั ราชาธิวาส กรงุ เทพมหานคร เป็นตน้
๓) ประติมากรรมสมัยใหม ่ ภายหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลย่ี นแปลงในประวตั ิศาสตรศ์ ิลปะของเมอื งไทย
โดยมีการก่อต้ังมหาวิทยาลัยศิลปากรข้ึนภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ทําให้เกิดการสร้างศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัย
ขน้ึ มากมาย
๓. สถาปตยกรรม ในสมัยรัตนโกสินทร์ระยะแรกเป็นการสืบทอดแบบอยุธยาตอนปลายและต่อมามีวิวัฒนาการ
ตามลาํ ดับ คือ
๑) สถาปัตยกรรมแบบแผนอยุธยา เป็นอาคารสร้างเลียนแบบอยุธยาโดยเฉพาะอาคารประเภทเคร่ืองก่อ เช่น โบสถ์
วหิ าร ปราสาทราชมณเฑียร ลว้ นแตท่ ําฐานแอน่ โค้งรบั หลงั คา และเชิงชายกม็ แี นวเสน้ อ่อนกลางปลายเชดิ สัมพนั ธก์ บั ฐาน เปน็ ต้น
๒) สถาปตั ยกรรมแบบสมยั รชั กาลท ่ี ๓ สมยั นม้ี แี บบสถาปตั ยกรรมทเ่ี รยี กวา่ “อยา งใน” และ “อยา งนอก” คอื แบบลายไทย
กบั แบบลายจีน แบบลายไทยนน้ั ไมน่ ยิ มรูปเทพเปน็ ลายประธานและไมน่ ิยมลายกระหนก
มักใช้ลายใบเทศเป็นหลัก อาคารไม่มีตัวหวั เสา ไมต่ ิดคนั ทวย
๓) สถาปัตยกรรมยุคปรับตัวตามกระแสตะวันตก มีรูปลักษณะ
ผสมผสาน หรอื รบั แบบอยา่ งสถาปตั ยกรรมตะวนั ตกเขา้ มาใชใ้ นสถาปตั ยกรรมไทย
สังเกตได้อยา่ งชดั เจนในสมัยรัชกาลที ่ ๕ เช่น การสร้างพระที่นงั่ จกั รีมหาปราสาท
ภายในพระบรมมหาราชวัง พระท่นี ่งั อนนั ตสมาคม เป็นต้น นอกจากน้ี
ยงั มกี ารปรบั ปรุงแนวคดิ ให้เหมาะสมโดยการนํา
วัสดุใหมๆ่ เขา้ มาประกอบในงานสถาปัตยกรรม

พระทนี่ ง่ั อนันตสมาคม สถาปัตยกรรมทส่ี รา้ ง
ตามแบบตะวนั ตก

แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู

ขอใดกลาวถึงผลงานทศั นศิลปใ นสมัยรัตนโกสินทรไดถ กู ตอ ง ครคู วรนาํ ภาพงานทัศนศลิ ปในสมัยรัตนโกสินทรมาใหน กั เรียนดปู ระกอบ
1. ทาํ ตามแบบอยางศลิ ปะสมัยอยธุ ยา การอธบิ าย เพอื่ ใหนักเรยี นไดเห็นความเปลี่ยนแปลงของผลงานทศั นศลิ ปจ ากอดตี
2. นิยมสรา งสรรคงานแบบอตั ลกั ษณไทย จนถึงปจ จุบัน ทัง้ นี้ครูอาจเชญิ วิทยากรในทองถิน่ ท่ีมคี วามรูเรอ่ื งงานทัศนศลิ ป
3. ไดร บั อิทธพิ ลอยา งมากจากศิลปะตะวันตก ในยุคสมยั ตางๆ ของไทย มาอธิบายเพิ่มเตมิ ใหน กั เรยี นฟงแลว เปด โอกาสให
4. นาํ ศลิ ปะอินเดยี และจีนมาผนวกรวมกนั นักเรียนซักถามขอสงสยั เพือ่ ใหนักเรยี นเกิดความสนใจและภาคภมู ใิ จในศิลปะของ
ชาติไทย
วิเคราะหค ําตอบ ตอบ 3. ในสมัยรตั นโกสินทรน ับตง้ั แตรัชกาลที่ 3
นกั เรยี นควรรู
เปน ตนมา อิทธพิ ลจากศิลปะตะวันตกไดแพรหลายเขาสูสังคมไทย และเขา
มามบี ทบาทตอศิลปะไทยในการสรา งสรรคผ ลงานทุกประเภท ไมวาจะเปน 1 พระพทุ ธรูปคนั ธารราฐ เปนสมยั แรกทีม่ กี ารสรา งพระพทุ ธรูปขึน้ โดยไดร ับ
จติ รกรรม ประติมากรรม สถาปตยกรรม ตามแบบอยางศิลปะตะวันตก อิทธพิ ลจากศิลปะกรกี เกิดขึ้นเมือ่ ราว พ.ศ. 370 ลกั ษณะเดนของพระพทุ ธรูป คือ
อยา งแพรห ลาย มีพระพักตรต ามอยา งเทพเจากรีก เสน พระเกศาหยกิ สลวย มแี ผน รศั มีอยูหลัง
พระเศียร หม ผาคลุมมีร้วิ แบบธรรมชาติ มีอณุ าโลมระหวางค้ิว พระกรรณยาว

คู่มือครู 115

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain

อธบิ ายความรู้ Explain

ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 3 สง ตัวแทน 2-3 คน ออกมา ๓.๓ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื (ภาคอีสาน)
อธิบายเกย่ี วกับงานทัศนศลิ ปภ าคตะวันออกเฉยี ง-
เหนือ (ภาคอสี าน) ตามท่ไี ดศ ึกษามา หนาช้นั เรียน ผลงานทัศนศิลป์มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยโบราณจากหลักฐานที่ปรากฏ นักวิชาการได้สันนิษฐานว่า
พรอมท้ังยกตวั อยา งงานทัศนศลิ ปท ่ีสาํ คญั ของ เมอ่ื ประมาณ ๒,๕๐๐ ปมี าแลว้ จนถงึ หลงั พ.ศ. ๕๐๐ พระพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดจู ากอนิ เดยี ไดถ้ กู นา�
ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือมาประกอบการอธบิ าย มาเผยแผ่บริเวณดินแดนสองฝังโขงและภาคอีสาน ท�าให้ศิลปวัฒนธรรมของบ้านเมืองรุ่นแรกๆ ในบริเวณนี้จึงเริ่ม
ครูคอยเสรมิ เพิ่มเติมเกี่ยวกับขอ มูลของผลงานที่ ปรากฏข้ึน และพัฒนาต่อมาจนมีรูปแบบเฉพาะตัว พร้อมกับมีการรับแบบอย่างของงานทัศนศิลป์จากดินแดนอื่น
นกั เรยี นยกตวั อยางมา เชน่ ทวารวด ี เขมร ลาว เปน็ ตน้ เขา้ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นวถิ ชี วี ติ ของตนเอง จนทา� ใหเ้ กดิ สถาปตั ยกรรมตา่ งๆ ทส่ี วยงาม
เชน่ ปราสาทหนิ เจดยี ์ โบราณสถาน โบราณวตั ถอุ น่ื ๆ ทปี่ รากฏในภาคอสี านอกี มากมาย เปน็ ตน้ ซงึ่ มรี ายละเอยี ดดงั นี้

๑) จิตรกรรม ภาพเขยี นสขี องภาคอีสานมกั ปรากฏบน

ผนงั ของสิม เรยี กวา่ “ฮูปแต้ม” มีเรอื่ งราวที่เขียนบนผนงั ด้านในของ
สิมท่เี ก่ียวกับเร่ืองราวในพทุ ธประวัติ นทิ านพืน้ บ้านเรอื่ งสงั ขศ์ ิลป์ชยั
(สินไซ) และมหาเวสสันดรชาดก ซ่ึงรูปแบบการเขียนจะมีลักษณะ

ของการจัดภาพ การใช้สีสัน รูปร่างหน้าตาของภาพ
ที่มีการผสมผสานระหว่างงานทัศนศิลป์ภาคกลางและ

ภาคอสี านไดอ้ ยา่ งลงตวั อกี ทงั้ ชา่ งเขยี นยงั ไดส้ อดแทรก
เรื่องราวของวัฒนธรรมในภาคกลางและภาคอีสาน
สะท้อนออกมาในฮูปแต้มอีกด้วย โดยเฉพาะวิธีการ

เขียนภาพจะมีการใช้เทคนิคในการระบายสี ที่มี
การเน้นเส้นท่ีหนักแน่น ไม่ประณีตแบบงาน ภาพฮปู แต้มผนังสิม จังหวดั มหาสารคาม บ่งบอก

จติ รกรรมไทยในภาคกลาง สง่ิ ทเ่ี ปน็ ล1กั ษณะเดน่ เร่ืองราวสักลายขาของชายชาวอีสาน

ของการเขียนภาพแบบฮูปแต้ม คือ การเขียนภาพที่ผนังด้านในและผนังด้านนอกของ
ศาสนสถาน ซึ่งแตกตา่ งจากงานจติ รกรรมในภาคอื่นๆ ที่มกี ารเขยี นรูปเฉพาะผนงั ด้านในของ

ศาสนสถานเทา่ น้ัน

๒) ประตมิ ากรรม การสรา้ งสรรคผ์ ลงานประตมิ ากรรมจะนยิ มสรา้ งสรรคผ์ ลงาน

ในรปู แบบตา่ งๆ ทคี่ ลา้ ยกบั ภาคกลางและภาคเหนอื อาจจะมสี ว่ นของลกั ษณะและลวดลาย

ในการตกแต่งท่ีแตกต่างกัน เช่น นิยมท�า2หัวบันไดเป็นรูปพญานาคบริเวณทางขึ้น

ทางเขา้ ของศาสนสถาน ศาลาการเปรียญ สิม เป็นตน้ นิยมปนั ลวดลายตกแต่งตาม
ฐานพระธาต ุ หรอื ตกแตง่ แบบรงั ผงึ้ ในบรเิ วณหนา้ บนั ของสมิ เปน็ ตน้ ความโดดเดน่

ของประตมิ ากรรมอีสานอีกลกั ษณะหนึง่ ได้แก่ พระพุทธรปู จะมีการออกแบบ
ส่วนของฐานให้มีความสูงมาก และลักษณะของใบหน้าทรวดทรงก็มีความ
เปน็ ท้องถิ่น คอื ดูเรียบงา่ ย แตใ่ นการปนั หลอ่ หรอื แกะสลัก จะไมป่ ระณีต

เรยี บรอ้ ยเหมือนผลงานของชา่ งภาคกลาง หรอื ชา่ งหลวง

นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน การคดิ T
O-NE
1 ฮูบแตม เปน คาํ ทีค่ นอสี านใชเรยี กรูปรอยบนผนงั ถํา้ ทเี่ ปน รปู วาด นยิ มเขียน
ทงั้ ผนงั ดานในและดา นนอกของสมิ (โบสถ) โดยนิยมเขียนเรือ่ งราวเก่ยี วกับ ผลงานจิตรกรรมพน้ื บา นของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื เราจะพบวา
พทุ ธประวตั ิ ทศชาตชิ าดก เวสสนั ดรชาดก พระมาลยั นิทานพ้ืนบา นตา งๆ มีการสอดแทรกเรื่องราวในขอใดมากท่ีสุด
2 ศาลาการเปรียญ ในสมัยโบราณเรียกวา “การบเุ รยี น” หมายถึง
โรงที่พระสงฆใ ชแสดงธรรมหรือศกึ ษาธรรมะ 1. การผจญภัยกลางมหาสมทุ ร
2. วถิ กี ารดาํ รงชีวติ ของชาวบา น
3. การทําสงครามระหวางยักษ- ลิง
4. การเผยแผศาสนาของสมณทตู

วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เร่ืองราวท่ีสอดแทรกลงไปในภาพเขยี น

ตางๆ ของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ศลิ ปน จะนยิ มวาดเรือ่ งราว
วถิ กี ารดําเนนิ ชีวิตของชาวบา นในทองถ่นิ ในดา นตางๆ ไมว าจะเปน
ขนบธรรมเนียมประเพณี การประกอบอาชพี การแตง กาย ความเชือ่
และเร่อื งราวอื่นๆ สอดแทรกลงไปในผลงานดวย

116 ค่มู ือครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

๓) สถาปตั ยกรรม เปน็ ศาสนสถานทใ่ี ชส้ า� หรบั ประกอบพธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนา มชี อ่ื เรยี กเฉพาะวา่ ครสู มุ ตวั อยา งนกั เรยี น 2-3 คน ใหอ อกมาอธบิ าย
เกยี่ วกบั สถาปตยกรรมภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื
“สมิ ” ไดร้ บั อทิ ธพิ ลการกอ่ สรา้ งจากรปู แบบของศลิ ปะลาว (ลา้ นชา้ ง) ทไ่ี ดแ้ พรห่ ลายเขา้ มาสภู่ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื พรอ มทั้งยกตัวอยา งประกอบการอธิบาย ครคู อย
เสริมเพิม่ เติมขอ มูล จากนน้ั ครถู ามนกั เรยี นวา
เมอ่ื ประมาณพุทธศตวรรษที ่ ๒๔-๒๕ โดยมกี ารผสมผสานกบั ศลิ ปะด้งั เดิมและศลิ ปะสมยั รัตนโก1สนิ ทรจ์ นกลายเป็น
• สถาปตยกรรมภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ
เอกลักษณข์ องสถาปัตยกรรมแบบอสี าน เช่น สมิ (โบสถ์) หอแจก (ศาลาการเปรยี ญ) หอไตร เป็นต้น ท่มี ีรูปแบบ มีความโดดเดนในดานใด
ที่แตกตา่ งไปจากภมู ภิ าคอืน่ (แนวตอบ สถาปต ยกรรมของภาคตะวันออก-
สิม เป็นสถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนา มีความหมายอย่างเดียวกับโบสถ์ หรืออุโบสถของทาง เฉยี งเหนอื สวนใหญจ ะเปนศาสนสถานที่ใช
ภาคกลาง ซ่ึงกร่อนมาจากค�าว่า “สีมา” ในภาษากลาง หมายถึง ขอบเขตที่ก�าหนดขึ้นส�าหรับสงฆ์ แบ่งได้เป็น สาํ หรบั ประกอบพธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนา
๓ ประเภท คือ สิมในบ้านในเมอื ง สิมในป่า และสิมกลางนา้� มีลักษณะสา� คัญ คือ มีรปู ทรงเต้ีย มขี นาดเล็ก ในอดีต ไดรบั อิทธิพลการกอสรา งจากรูปแบบของ
มีการสรา้ งทัง้ สมิ นา�้ และสมิ บก ถ้าเปน็ สมิ น้�าก็จะใชน้ ้�าเป็นขอบเขตของพทั ธสมี า (สถานทปี่ ระกอบพธิ กี รรม) ถ้าเป็น ศลิ ปะลาว (ลานชา ง) ทแี่ พรหลายเขา มาสู
สมิ บกจะใชใ้ บเสมาปกั แสดงขอบเขตของสถานท่ีที่ใช้ในการประกอบพิธกี รรมตา่ งๆ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเมือ่ ประมาณ
หอแจก (ศาลาการเปรียญ) หรอื บางท้องถ่นิ อีสานเรยี กว่า “บัวแจก” หรือ “โรงธรรม” เปน็ สถาปตั ยกรรม พุทธศตวรรษที่ 24-25 โดยมีการผสมผสาน
อีกลักษณะหน่ึงที่ใช้เป็นสถานท่ีในการปฏิบัติศาสนกิจของพระสงฆ์ มีลักษณะคล้ายศาลาการเปรียญของภาคกลาง กับศิลปะด้ังเดมิ จนกลายเปน เอกลกั ษณข อง
นอกจากน้ี ยงั ม ี “หอไตร” เป็นอาคารทเ่ี ก็บรกั ษาพระไตรปฎิ กและคัมภีร์เกยี่ วกบั ศาสนา รวมถึงพระธาต ุ หรอื “ธาตุ” สถาปต ยกรรมแบบอสี าน เชน สิม (โบสถ)
ซ่ึงมีความหมายเดียวกับเจดีย์ทางภาคกลาง ส�าหรับบรรจุอัฐิของบุคคลสา� คัญ ถือเป็นงานสถาปัตยกรรมประเภท หอแจก (ศาลาการเปรยี ญ) หอไตร เปนตน )
“อนุสาวรีย”์ ที่สรา้ งขน้ึ เพือ่ รา� ลึกถึงคุณงามความดีของผู้ทล่ี ่วงลับไปแลว้

หอไตรกลางนํ้า วดั ท่งุ ศรีเมือง จงั หวัดอบุ ลราชธาน ี เป็นสถานท่ที ่ใี ชเ้ ก็บหนงั สอื ผกู คัมภรี ์ใบลาน หรอื พระไตรปิฎก

11๗

กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรียนควรรู

ใหน ักเรียนรวบรวมภาพผลงานทัศนศิลปภ าคใตท ่โี ดดเดนและแสดง 1 หอไตร คอื อาคารทใี่ ชเ ปน ทเี่ กบ็ หนงั สอื คมั ภรี ใ บลาน หรอื หนงั สอื พระไตรปฎ ก
เอกลกั ษณข องชาวใตไ ดอ ยางชัดเจน มาจดั ทําเปน สมุดภาพ “ผลงาน นยิ มสรางขน้ึ ในสวนของสงั ฆาวาส ตวั อาคารจะปลกู อยูกลางนํ้า เพอ่ื ปอ งกนั มด
ทศั นศลิ ปภ าคใต” โดยตกแตง ใหส วยงาม สง ครผู ูสอน ปลวก และแมลง มากดั กินหนังสอื หรอื ใบลาน

กจิ กรรมทา ทาย มุม IT

ใหน กั เรียนหาภาพเรอื นไทยภาคใตท่ีมีหลังคาเรอื นแตกตางกันทงั้ นักเรียนสามารถศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เกีย่ วกบั สถาปตยกรรมทองถ่ินภาคใต ไดท ี่
4 แบบ ไดแ ก หลังคาทรงจวั่ หลงั คาทรงปน หยา หลังคาทรงบราเนอร http://suebpong.rmutl.ac.th/Vernweb/southarch.pdf
และหลงั คาทรงมนิลา จากนนั้ ติดลงกระดาษรายงาน แลวเขยี นบรรยาย
ความแตกตางของเรือนไทยภาคใตท ้ัง 4 แบบ วาแตละแบบมลี กั ษณะ คู่มอื ครู 117
อยางไรและไดรับอทิ ธพิ ลมาจากสง่ิ ใด นําผลงานสง ครผู สู อน

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain

อธบิ ายความรู้ Explain

ใหนักเรียนกลมุ ท่ี 4 สง ตวั แทนออกมาอธบิ าย ๓.๔ ภาคใต้
เกี่ยวกบั งานทศั นศิลปภ าคใตตามทไี่ ดศ ึกษามา
หนา ชนั้ เรยี น พรอ มทั้งยกตวั อยางงานทัศนศิลป ภาคใต้มีผืนแผ่นดินยื่นออกไปในทะเลขนาบด้วยอ่าวไทยและทะเลอันดามันโดยรอบ ท�าให้จังหวัดต่างๆ
ท่ีสําคัญของภาคใตม าประกอบการอธิบาย ครคู อย ในภาคใต้มีสภาพภูมิอากาศที่ไม่เหมือนกับภูมิภาคอ่ืนๆ คือ มีเพียงฤดูร้อนและฤดูฝน นอกจากนี้ ภาคใต้ยังมี
เสริมเพิ่มเติมเกี่ยวกับขอมลู ของผลงานที่นักเรียน ทรพั ยากรธรรมชาติทอี่ ุดมสมบูรณม์ าตัง้ แต่สมยั โบราณ ชว่ ยดงึ ดดู ความสนใจของผคู้ นจากทีต่ า่ งๆ ให้อพยพเข้ามา
ยกตวั อยางมา จากนั้นครถู ามนักเรยี นวา ตั้งหลักแหลง่ อยอู่ ยา่ งตอ่ เน่อื ง พร้อมกบั การเผยแผเ่ ข้ามาของพระพทุ ธศาสนา ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู และศาสนา
อสิ ลาม ทา� ใหอ้ ทิ ธพิ ลทางศลิ ปวฒั นธรรมจากภายนอกไดเ้ ผยแผเ่ ขา้ มาและชว่ ยพฒั นาใหเ้ กดิ เปน็ อาณาจกั รสา� คญั ใน
• สถาปต ยกรรมภาคใตไ ดรบั อิทธิพลมาจาก บรเิ วณดนิ แดนคาบสมทุ รภาคใต ้ เชน่ อาณาจกั รลงั กาสุกะ อาณาจกั รตามพรลิงค์ อาณาจกั รศรีวชิ ยั เป็นต้น เหน็ ได้
สิ่งใดเปน สาํ คญั จากหลักฐานท่ีปรากฏ โดยเฉพาะโบราณสถาน โบราณวตั ถุจ�านวนมากท่ีพบตามชมุ ชน และวัดวาอารามต่างๆ
(แนวตอบ สถาปต ยกรรมในภาคใต
สวนใหญเกดิ ขนึ้ พรอมกบั การเขามาของ ๑) จิตรกรรม การเขียนภาพบนฝาผนัง
พระพุทธศาสนา นิกายมหายาน
หลกั ฐานทสี่ าํ คญั ไดแก พระบรมธาตุ หรือเขียนลงบนวัตถุอื่นๆ จะมีรูปแบบที่คล้ายกับ
เมืองนครศรีธรรมราช (องคเ ดมิ ) และ ภาคกลาง คอื นิยมน�าเรอ่ื งราวทางพทุ ธประวัติ ไตรภูม ิ
พระบรมธาตุไชยา) หรอื นทิ านชาดกมาถา่ ยทอดเปน็ เรอื่ งราวลงในภาพเขยี น
โดยเขียนลงบนผนังตามส่วนต่างๆ ของอุโบสถ วิหาร
หอไตร ภาพเขยี นบางแหง่ จะไดร้ บั อทิ ธพิ ลตามแบบอยา่ ง

ของสกุลช่างหลวงโดยตรง เช่น
วัดมัชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา
เป็นต้น บางวัดเขียนขึ้นจาก

ฝีมือของช่างในท้องถ่ินเอง ภาพชูชกพบทหารแห่งนครสีพี เป็นจิตรกรรมฝาผนังวัดคูเต่า
โดยมีการเลียนแบบ หรือรับ จังหวัดสงขลา

อิทธิพลจากจิตรกรรมของช่างหลวงมาปรับใช้ในการท�างานของตน ในระยะหลัง
การเขียนภาพลงบนฝาผนังฝีมือจะไม่ประณีตเท่าเดิม อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีการ
แสดงออกถึงเอกลักษณ์ของช่างในท้องถิ่นอยู่มาก เช่น ความจริงใจ ความกล้า
แสดงออกในการสรา้ งสรรค์ผลงาน เปน็ ตน้

๒) ประตมิ ากรรม ผลงานทเ่ี กิดจากการปนั การหลอ่ และการแกะสลักของ
ภาคใต้ในยุคแรกได้รับอิทธิพลม1าจากศิลปะอินเดีย มีการสร้างเป็นรูปพระโพธิสัตว์

ปางตา่ งๆ การทา� พระพมิ พด์ นิ ดบิ จนถงึ สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
รชั กาลท ่ี ๕ เปน็ ตน้ มา สกลุ ชา่ งประตมิ ากรรมทางภาคใตเ้ รมิ่ เสอื่ มลงตามลา� ดบั การสรา้ ง
ผลงานทัศนศลิ ป์มกั นิยมนา� แบบอย่างจากช่างหลวงมาเป็นแนวทางทา� ใหแ้ บบอย่างของ

ความเปน็ ท้องถน่ิ ค่อยๆ มนี ้อยลง อยา่ งไรกต็ ามวัดวาอารามทอี่ ยนู่ อกเมืองออกไป

2 กย็ งั สามารถพบเหน็ ประตมิ ากรรมทอ้ งถนิ่ แบบภาคใตท้ ยี่ งั คงอนรุ กั ษ์

พระโพธิสัตว์อวโลกเิ ตศวร ปฏิมากรรมสมยั ศรวี ิชัย สืบสานรูปแบบของวฒั นธรรมทอ้ งถ่ินไว้อยบู่ า้ งในบางพืน้ ที่

11๘

นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน การคดิ T
O-NE
1 พระพิมพด นิ ดบิ เหตทุ ่ที าํ เปนพระพมิ พด ินดิบ เน่อื งจากมวลสารท่ีนาํ มาสรา ง
เช่อื วา นาจะเอาเถา อฐั ิของพระเถระ หรอื บคุ คลสาํ คัญมาผสมกบั ดนิ พมิ พเ ปน แนวคดิ ในการสรา งผลงานจติ รกรรมไทยในสมยั โบราณมาจากเรอ่ื งใดมากทส่ี ดุ
พระพทุ ธรปู และดว ยเหตทุ เ่ี ถา อฐั นิ นั้ ไดผ า นการเผามาแลว จงึ ไมน าํ เอาไปเผาซาํ้ อกี 1. บุคคลสําคัญ
2 ประตมิ ากรรมสมัยศรีวิชัย ศาสนาท่มี ีอิทธพิ ลตอ ชาวศรีวชิ ัยอยา งมาก คือ 2. พุทธประวตั ิ
พระพทุ ธศาสนานกิ ายมหายานและศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู โดยประตมิ ากรรมที่ 3. นิทานพ้ืนบาน
เกยี่ วเน่อื งกบั พระพุทธศาสนาทีเ่ ดนชัดที่สุดกค็ อื รูปพระโพธสิ ัตวอวโลกิเตศวร 4. เหตุการณใ นยคุ น้นั ๆ
ซึง่ จะมหี ลายอิริยาบถ โดยไดรบั อิทธพิ ลจากศลิ ปะชวาภาคกลางและศลิ ปะ
สมัยคปุ ตะของอนิ เดีย สว นประติมากรรมในศาสนาพราหมณ- ฮินดูจะเปน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. ผลงานจิตรกรรมไทยในอดตี นยิ มเขียน
รูปเทพเจาองคสําคัญๆ เชน พระนารายณ พระศวิ ะ พระพฆิ เนศวร เปน ตน
เก่ียวกับพทุ ธประวตั ิจากพระปฐมสมโพธิกถา และเร่อื งราวทางศาสนา
โดยจะนยิ มเขียนขึ้นเพอ่ื เปนพทุ ธบูชาตามผนงั โบสถ วิหาร ศาลาการเปรยี ญ
และผนังถํา้ ท้งั น้เี พ่อื ประดับตกแตง สถานท่แี ลว ยงั ถอื เปน การเผยแผศ าสนา
ในอีกทางหนง่ึ ดว ย

118 คูม่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล
Engage Explore Explain
Expand Evaluate

ขยายความเขา้ ใจ E×pand

๓) สถาปตั ยกรรม สถาปตั ยกรรมในพน้ื ทภี่ าคใตส้ ว่ นมากเกดิ ขนึ้ พรอ้ มกบั การเขา้ มาของพระพทุ ธศาสนา 1 ใหน กั เรยี นรวบรวมขอ มลู เกย่ี วกบั งานทศั นศลิ ป
ในแตละภมู ภิ าคมารว มกนั จัดนิทรรศการในหวั ขอ
นกิ ายมหายาน หลกั ฐานทส่ี า� คญั ไดแ้ ก ่ โบราณสถานและโบราณวตั ถทุ ส่ี า� คญั ทางศาสนาหลายแหง่ เชน่ พระบรมธาต ุ “ความงามของงานศิลปะบนผืนแผน ดนิ ไทย”
เมืองนครศรีธรรมราช (องค์เดิม) พระบรมธาตุไชยา เป็นต้น รวมทั้งมีการสร้างบ้านเรือนตามแบบอย่างของ โดยหาภาพประกอบและตกแตง ใหส วยงาม
ช่างหลวงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับท้องถิ่น เช่น
เจดยี ์วดั ราษฎร์บรู ณะ (วดั ชา้ งให)้ วัดชลธาราสงิ เห วดั ถ�า้ ขวญั เมือง เปน็ ต้น ตรวจสอบผล Evaluate
กรณบี า้ นเรอื นในภาคใตจ้ ะมคี วามสอดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ มทางภมู ศิ าสตรแ์ ละสภาพสงั คม วฒั นธรรม
เปน็ อยา่ งยงิ่ โดยมกี ารสรา้ งทพ่ี กั แยกออกเปน็ หลงั เมอื่ มกี ารขยายของครอบครวั และแยกครอบครวั ออกจากเรอื นนอน ครูพิจารณาจากการจัดนิทรรศการในหวั ขอ
โดยมนี อกชานเปน็ ตวั เชอ่ื ม สว่ นลกั ษณะของหลงั คาเรอื นจะนยิ มสรา้ งเปน็ สแี่ บบ คอื หลงั คาทรงจว่ั หลงั คาทรงปนั หยา “ความงามของงานศลิ ปะบนผนื แผนดินไทย”
ของนกั เรียน โดยพจิ ารณาในดา นความถกู ตอ ง
หลังคาทรงบราเนอร์ และหลังคาทรงมนลิ า ลกั ษณ2 ะเด่นของเรือนในภาคใต้จะนยิ มวางเสาไวบ้ นตนี เสา (ตอม่อ) ท่ี ความสวยงาม และความมุงม่ันในการทํางานของ
นักเรียน
ก่ออิฐและฉาบปนู เมือ่ ในกรณีท่ีตอ้ งการยา้ ยบา้ นสามารถจะหามและยา้ ยไปทตี่ ้ังใหมไ่ ดส้ ะดวก

พระบรมธาตุไชยา จงั หวดั สุราษฎรธ์ าน ี สถาปัตยกรรมท่ีมลี กั ษณะเดน่ เปน็ เอกลักษณ์ และแสดงถงึ ความงดงามของอาณาจักรศรีวชิ ยั

119

แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด นักเรยี นควรรู

ผลงานทัศนศิลปภาคตา งๆ ของไทย มรี ูปแบบการสรางสรรคท แ่ี ตกตา ง 1 พระบรมธาตุ หมายถงึ สถปู เจดยี  หรอื พระปรางคท บี่ รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ
กนั ไปตามอิทธพิ ลของสิง่ ตา งๆ ทแ่ี วดลอมในภมู ภิ าคนนั้ แตหากวิเคราะหแลว ในวดั ท่ีสรา งขน้ึ เปนหลกั ของเมอื ง ทัง้ นีพ้ ระบรมธาตมุ ีชื่อเรยี กอีกวา พระศรีรัตน-
จะมสี งิ่ ทเี่ หมือนกนั ทกุ ภมู ิภาคคือสง่ิ ใด มหาธาตุ พระมหาธาตุ เปนตน
แนวตอบ ผลงานดา นจติ รกรรม ประติมากรรม และสถาปต ยกรรม 2 ยา ยบาน การออกแบบบานเรอื นที่วางเสาไวบ นตอมอ ตนี เสา ซึง่ จะกออฐิ
ในภาคตางๆ ของไทย มคี วามเหมอื นกันในเร่อื งของเนอ้ื หาเรอื่ งราวของ ฉาบปูนไว ถือเปน ภูมิปญ ญาทอ งถิน่ ของภาคใต เหตทุ ี่ออกแบบเชน นี้ เพื่อให
ผลงานทส่ี วนใหญจ ะสะทอนถึงการนบั ถอื พระพุทธศาสนา โดยสะทอ นเปน สอดรบั กบั สภาพภูมิอากาศท่มี ฝี นตกชุก หากมนี า้ํ หลากจะไดเ คล่อื นยายไดง าย
ภาพเขียนสเี ร่อื งราวพทุ ธประวตั ิ การปน และหลอองคพระพทุ ธรปู ปางตางๆ รวมถงึ ปอ งกันเสาผจุ ากความชื้นและการกัดกินของปลวก
การกอ สรา งเจดีย พระธาตุ สถูป พระปรางคตางๆ หรือกลา วอยา งสรปุ ได
วา ผลงานทศั นศลิ ปท ี่สรางขึน้ สว นใหญไ ดร ับอทิ ธพิ ลจากพระพุทธศาสนา
ทั้งสิน้

คูม่ อื ครู 119

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครใู หนักเรยี นดภู าพจิตรกรรมในหนังสอื เรยี น ô. à»ÃÕºà·ÂÕ º§Ò¹·ÈÑ ¹ÈÔÅ»ŠÀÒ¤µÒ‹ §æ ¢Í§ä·Â ภาคเหนอื
หนา 120 แลว ครูถามนกั เรียนวา ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ
ทัศนศิลป์ของไทยและท้องถิ่นถือก�าเนิดข้ึน ภาคกลาง
• หากนักเรยี นไมม คี วามรเู รื่องลักษณะผลงาน ตามภมู ภิ าคตา่ งๆ ของประเทศ ทม่ี ลี กั ษณะทางภมู ศิ าสตร์
ทัศนศลิ ปใ นแตล ะภมู ภิ าคของประเทศไทย ประวัติความเป็นมา สังคมและวัฒนธรรมที่เป็นลักษณะ ภาคใต
นกั เรยี นจะสามารถระบไุ ดไ หมวา ผลงาน เฉพาะ ซ่ึงปัจจัยดังกล่าวล้วนมีอิทธิพลต่อรูปแบบและ
ชิน้ ใดเปนของภาคใด ลักษณะของงานทัศนศิลป์เป็นอย่างมาก การที่จะเข้าใจ
(แนวตอบ นกั เรียนตอบไดอยา งอสิ ระ) ถึงงานทัศนศิลป์ในภาคต่างๆ ของไทยเพ่ือให้เห็นภาพ
อยา่ งชดั เจน ผเู้ รยี นจะตอ้ งมองผลงานทศั นศลิ ปใ์ หเ้ ปน็ ไป
• นักเรยี นมีวิธีการจําแนกผลงานทศั นศลิ ปข อง ตามปจั จยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งดว้ ย ซงึ่ อาจจะมที ง้ั สว่ นทเี่ หมอื นกนั
แตละภูมิภาคอยา งไร หรือสว่ นทแ่ี ตกต่างกันตามรายละเอยี ด ดงั นี้
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดอ ยางอิสระ)

สา� รวจคน้ หา Explore

ใหนักเรยี นศกึ ษา คน ควาตวั อยา งการ ภาคเหนือ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ภาคกลาง ภาคใต
เปรียบเทียบงานทศั นศิลปประเภทจิตรกรรม
ประตมิ ากรรม และสถาปต ยกรรมภาคตา งๆ ของไทย
จากหนังสอื เรยี น หนา 120-121 พรอ มท้ังสืบคน
ตวั อยา งภาพงานทัศนศลิ ปภาคตา งๆ ของไทย
ทีน่ อกเหนือจากหนังสอื เรียน จากแหลงเรยี นรตู า งๆ
เชน หอ งสมดุ อนิ เทอรเนต็ เปนตน

อธบิ ายความรู้ Explain จิตรกรรมในภาคเหนอื นิยม จติ รกรรมในภาคตะวันออก- จติ รกรรมในภาคกลาง นิยม จติ รกรรมในภาคใต นิยมเขียน

1. ใหนักเรยี นรวมกันอภิปรายเกยี่ วกับความ เขียนโดยชา งพนื้ บา น มเี นอ้ื เรื่อง เฉียงเหนือ นิยมเขยี นโดยชา ง เขียนโดยชา งหลวง มีเน้ือเรื่อง โดยชา งพ้ืนบา น มีเนอ้ื เรอื่ ง
แตกตางของผลงานดานจิตรกรรมภาคตางๆ 1เกีย่ วกับพทุ ธประวัติจาก พนื้ บา น มเี นอ้ื เรอ่ื งเกย่ี วกบั พทุ ธ- เกย่ี วกบั พุทธประวตั ิจาก เก่ียวกับพุทธประวัตจิ าก
ของไทย แลวสรปุ สาระสําคญั ลงสมดุ บนั ทกึ พระปฐมสมโพธกิ ถา และ ประวตั ิจากพระปฐมสมโพธกิ ถา พระปฐมสมโพธกิ ถา ไดแ ก พระปฐมสมโพธกิ ถา และ
ตํานานพน้ื บา นตางๆ การเขยี น และวรรณกรรมพนื้ บา น เชน ทศชาตชิ าดก มารผจญ หรือ เรือ่ งราวทองถิ่นสอดแทรก
2. ครใู หนกั เรียนนําตวั อยา งผลงานจติ รกรรม ภาพจะปรากฏในพระวหิ าร หอคาํ พระศรีมโหสถ เปน ตน ภาพพระอดตี พทุ ธ และเรอื่ งราว โดยเฉพาะเรอื่ งราวในศาสนา
ภาคตา งๆ ของไทย ทีน่ ักเรยี นสบื คนมาน้ัน และศาสนสถานอืน่ ๆ การเขยี น การเขยี นภาพจะมปี รากฏภายใน ทางประวตั ศิ าสตร วรรณคดตี า งๆ พราหมณ-ฮนิ ดู ศาสนาอิสลาม
นาํ มาแปะบนกระดานดาํ โดยเรยี งลาํ ดบั ผลงาน ภาพระบายสนี ิยมใชส ีเหลอื ง โบสถทเ่ี รยี กวา “สิม” และ การเขียนภาพทปี่ รากฏบน ทป่ี รากฏผานการตกแตง ดวย
ภาคเหนอื ภาคกลาง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื สีทอง และสีแดงเปน หลัก ศาลาการเปรยี ญท่เี รยี กวา ผนังอาคาร ไดแก โบสถ วิหาร รปู แบบ และลวดลายตา งๆ
และภาคใต ตามลาํ ดบั จากนัน้ ใหน ักเรียน สาํ หรบั การตกแตง ลวดลายและ “หอแจก” เทคนคิ ในการเขยี นภาพ ศาลาการเปรยี ญ รวมถึงใน อยางนาสนใจ
รว มกันวิเคราะหวา ลักษณะของผลงาน การใชสีหลายสีในการเขยี นเปน จะใชส ฝี นุ ผสมกาวจากธรรมชาติ สมุดขอย เทคนิคการเขียนจะใช
จิตรกรรมแตละภาคมีสว นใดท่ีเหมือนกัน ภาพ และเรอ่ื งราวในพทุ ธประวตั ิ ระบายแบบเรียบงาย ดูหยาบ สฝี นุ ผสมกาวจากธรรมชาติ เปน
หรือมีสว นใดที่แตกตางกนั วรรณคดีจะมีรายละเอียดที่ แตดมู ีความอิสระ และจริงใจ วัตถดุ บิ ในการสรา งสรรคผลงาน
งดงามมาก

12๐

เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน การคดิ T
O-NE
ครูอธิบายเพ่ิมเตมิ เก่ยี วกบั ผลงานทศั นศลิ ปภ าคตา งๆ ของไทยวา โดยทั่วไปแลว
ปจ จยั ทีเ่ ปนเครือ่ งกาํ หนดลกั ษณะของผลงานทัศนศิลปประกอบดวยดนิ ฟา อากาศ ผลงานจิตรกรรมไทยของแตละภาคมีความคลา ยคลึงกนั มากท่ีสดุ ในเรือ่ งใด
เทคนคิ วัสดอุ ปุ กรณ การคมนาคม การปกครอง เศรษฐกจิ ระบบสงั คม วฒั นธรรม 1. รปู แบบการเขียน
ความเช่ือ และรสนยิ ม ซ่งึ ปจ จยั ทเี่ ปลี่ยนแปลงงายท่ีสุด เชน ปจ จยั ดานรสนยิ ม 2. เรื่องราวทีน่ าํ เสนอ
เทคนคิ สวนปจ จัยทีเ่ ปล่ียนแปลงไดย ากหรือเปลี่ยนแปลงชา เชน ปจจัยดา นดิน 3. การจัดองคประกอบ
ฟา อากาศ วฒั นธรรม และความเชือ่ 4. สภาพของชุมชน

นกั เรียนควรรู วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. จติ รกรรมไทยถึงแมในแตละภาคจะมี

1 พระปฐมสมโพธิกถา ชอื่ คัมภีรแสดงเรอื่ งราวของพระพุทธเจา ตั้งแตป ระทบั วธิ กี ารเขยี น รูปแบบทใ่ี ช คตินิยมในการสรางทแ่ี ตกตางกนั ไป ทาํ ใหผ ลงาน
อยบู นสวรรคช ัน้ ดุสิต เทวดาอัญเชญิ ใหมาอุบัตใิ นมนุษยโลก แลว ออกบวช ตรัสรู ทแ่ี ลว เสร็จออกมามีความแตกตางกนั ดแู ลวสามารถจะบอกไดวา เปน
ประกาศพระศาสนา ปรินิพพาน จนถงึ การแจกพระธาตุ ตอ ทา ยดว ยเรื่อง ของภาคใด แตเร่อื งราวทน่ี ยิ มนํามาวาดสว นใหญจะเปนเรื่องราวพุทธประวัติ
พระเจาอโศกมหาราชยกยอ งพระศาสนา และการอันตรธานแหงศาสนาในทส่ี ดุ หรือแสดงเรือ่ งราวท่เี ก่ยี วขอ งกบั พระพทุ ธศาสนา

120 คู่มือครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

ภาคเหนอื ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ภาคกลาง ภาคใต 1. ใหน กั เรียนรวมกนั อภปิ รายเก่ียวกบั
ความแตกตางของผลงานประตมิ ากรรม
ปฏิมากรรมพระพุทธรูปใน ปฏิมากรรมพระพทุ ธรปู ใน ปฏิมากรรมภาคกลาง ได ปฏิมากรรมภาคใต ไดร ับ และสถาปต ยกรรมภาคตา งๆ ของไทย
ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื นิยม รบั อิทธิพลมาจากศิลปะลังกา แลวสรุปสาระสาํ คญั ลงสมุดบนั ทกึ
ภาคเหนอื ไดร บั อิทธพิ ลจาก ทําเปน ปางตา งๆ เชน เขมร และตะวันตก นิยมทําเปน อทิ ธิพลจากศิลปะอินเดยี
อินเดีย พมา และลังกา นิยม ปางมารวชิ ยั ปางขดั สมาธิ (ตรสั ร)ู พระพทุ ธรูปในปางตางๆ กนั ชวา และจามปา นิยมทาํ เปน 2. ครใู หน กั เรยี นนาํ ตวั อยางผลงานประตมิ ากรรม
ทาํ เปน พระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั ปางประทบั ยืน ปางนาคปรก เชน ปางสมาธิ ปางมารวชิ ัย พระพทุ ธรปู และพระโพธิสตั ว ภาคตา งๆ ของไทย ทีน่ ักเรียนสืบคน มานั้น
เชน แบบเชียงแสน แบบสุโขทัย เปนตน มีวสั ดุทใี่ ช คือ โลหะ เปน ตน การปน พระพทุ ธรปู องคท ม่ี ชี อ่ื เสยี ง และมรี ปู ลกั ษณะ นาํ มาแปะบนกระดานดาํ โดยเรยี งลาํ ดบั ผลงาน
เปนตน โดยเฉพาะพระพุทธรปู และไม โดยเฉพาะพระพทุ ธรูป ในระยะหลงั จะนิยมทาํ ทง่ี ดงามมาก ไดแ ก พระโพธสิ ตั ว ภาคเหนอื ภาคกลาง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
สมัยสโุ ขทัยในหมวดแรกจะมี ทีแ่ กะสลักจากไม มพี ทุ ธลักษณะ พระพทุ ธรูปแบบ อวโลกเิ ตศวร หลอดวยสํารดิ และภาคใต ตามลาํ ดบั จากนัน้ ใหน ักเรยี น
พุทธลกั ษณะทงี่ ดงามมาก เชน โดดเดน เปนแบบพ้ืนบาน เหมือนจริงตาม พบทอี่ ําเภอไชยา รว มกันวิเคราะหว า ลักษณะของผลงาน
พระพทุ ธชินราช มพี ระพกั ตรแ บบกลม แบบอยา ง จังหวดั สุราษฎรธานี ประติมากรรมแตละภาคมสี วนใดท่ีเหมอื นกัน
ทป่ี ระดิษฐาน แบบเหลีย่ ม ของตะวันตก ปจจบุ ันจดั แสดงอยทู ี่ หรอื มสี ว นใดท่แี ตกตา งกนั
อยทู ี่วดั พระศรี- และพระพกั ตรร ี หองศรวี ิชัย
รัตนมหาธาตุ เปน รูปไข ประทบั พพิ ิธภณั ฑสถาน- 3. ครูใหน กั เรยี นนําตัวอยางผลงานสถาปต ยกรรม
จังหวัด นงั่ อยูบนฐาน แหง ชาติ พระนคร ภาคตางๆ ของไทย ทน่ี กั เรียนสืบคน มานั้น
พิษณุโลก นาํ มาแปะบนกระดานดาํ โดยเรยี งลาํ ดบั ผลงาน
เปนตน ทส่ี งู มาก ภาคเหนอื ภาคกลาง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
และภาคใต ตามลําดับ จากน้นั ใหนักเรียน
รวมกนั วเิ คราะหวา ลกั ษณะของผลงาน
สถาปต ยกรรมแตล ะภาคมสี ว นใดทเ่ี หมอื นกัน
หรอื มสี วนใดท่ีแตกตา งกัน

สถาปต ยกรรมในภาคเหนอื สถาปต ยกรรมในภาค สถาปตยกรรมในภาคกลาง สถาปตยกรรมในภาคใต
มีลักษณะศลิ ปะแบบลานนาทไ่ี ด ตะวันออกเฉยี งเหนือ มลี กั ษณะ
รบั อทิ ธพิ ลจากพมา และศิลปะ การกอ สรา งสถูป หรอื เรยี ก มลี กั ษณะการกอสรา ง สิง่ ปลูกสรางเปน อาคารใน
สมยั ทวารวดี มรดกทางทศั นศลิ ป วา “พระธาตุ” โบสถ หรอื เรียก สถาปตยกรรมในหลายรปู แบบ พระพทุ ธศาสนาแบบมหายาน
ทส่ี าํ คญั เชน เจดยี วัดเจด็ ยอด วา “สมิ ” กับปราสาทหนิ ใน เชน พระอโุ บสถ พระวหิ าร ลกั ษณะเดน ไดแก พระบรม-
(วดั โพธาราม) วดั พระสงิ ห- ชวงสมัยตา งๆ กนั โดยเฉพาะ พระปรางค พระสถปู เจดีย ธาตุไชยา จงั หวัดสุราษฎรธานี
วรวิหาร วดั พระธาตดุ อยสุเทพ ปราสาทหินทมี่ กี ารกอ สรางมาก เปน ตน การปลูกสราง มีการ มรี ปู แบบคลา ยกบั สถาปต ยกรรม
วัดกกู ุด (วดั จามเทว)ี เปน ตน ในบรเิ วณอีสานใต แถบจังหวดั ออกแบบตกแตงอยางวิจติ ร บนเกาะชวา สถาปต ยกรรม
สว นบานเรอื นนิยมทําแบบ บรุ รี ัมย สุรนิ ทร ศรีสะเกษ บรรจง มกี ารจดั วางแผนผงั ของ อกี ลกั ษณะหน่ึง คือ สถูปเจดยี 
เรือนทรงกาแล สง่ิ กอ สรา งอยางสมบูรณแ บบ ที่ไดร ับอทิ ธิพลจากลังกา คอื
เชน วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม พระบรมธาตเุ จดยี  วัดพระ-
วัดพระเชตุพนวิมลมงั คลาราม มหาธาตวุ รมหาวิหาร จังหวัด
เปนตน นครศรธี รรมราช ดัดแปลงมา
จากสถาปต ยกรรมแบบศรีวิชยั

121

บูรณาการเช่ือมสาระ เกรด็ แนะครู

การศึกษาเก่ียวกับงานทัศนศิลปใ นแตละภูมิภาคสามารถบูรณาการ ครูใหนักเรียนชวยกนั หาผลงานเดน ๆ ทงั้ ทางดา นจิตรกรรม ประตมิ ากรรม
กับการเรียนการสอนของกลุม สาระการเรียนรสู งั คมศกึ ษา ศาสนา และ และสถาปต ยกรรมของแตล ะภาค พรอ มท้ังขอ มลู จากนน้ั นําภาพและขอ มลู
วัฒนธรรม วิชาภมู ศิ าสตร เร่อื งการแบงเขตหรือภาคในทางภูมศิ าสตร มาอภิปรายเพื่อเปรยี บเทียบใหเหน็ ความแตกตา ง โดยเฉพาะดานรูปแบบ
เพราะหากนกั เรยี นมคี วามรคู วามเขา ใจและศกึ ษาขอ เทจ็ จรงิ ของแตล ะภมู ภิ าค และองคป ระกอบทางดา นเรือ่ งราวทส่ี อดแทรกอยู ซึง่ จะชวยทําใหนกั เรยี นมีความรู
ไดช ดั เจน รจู กั สภาพแวดลอ มของแตล ะภาค รวมทง้ั ปญ หาของแตล ะทอ งถน่ิ ความเขาใจเกย่ี วกบั ผลงานทัศนศิลปของแตละภาความีจดุ ใดทีค่ ลา ยคลึง
จะทาํ ใหนักเรยี นเขาใจลักษณะรูปแบบสถาปตยกรรมของภูมิภาคตางๆ หรือแตกตา งกนั บา ง ทง้ั นีค้ รคู วรเปน ผูสรุปสาระสาํ คัญ แลว ใหนกั เรยี นจดบันทึก
ของไทยไดดยี งิ่ ข้นึ สาระสาํ คัญลงสมุด

คู่มือครู 121

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขข้าา้ใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate

ขยายความเขา้ ใจ E×pand

ครูใหนักเรียนแบง กลมุ ออกเปน 3 กลมุ ให กจิ กรรม ศลิ ปป์ ฏบิ ตั ิ ๙.๒
แตล ะกลมุ สืบคน ผลงานทัศนศลิ ปภาคตางๆ
ของไทย จากแหลงเรียนรูต า งๆ เชน หนังสอื เรยี น กิจกรรมที่ ๑ ค รูเชิญวิทยากรมาบรรยายในหัวข้อ ผลงานทัศนศิลป์ที่ส�าคัญของชาติและผลงานทัศนศิลป์ที่
หองสมดุ อนิ เทอรเ น็ต เปนตน ตามหวั ขอทค่ี รู สา� คญั ในทอ้ งถน่ิ จากนนั้ นา� ขอ้ มลู ที่ไดม้ าสรปุ สง่ ครผู สู้ อน และนา� ขอ้ มลู ไปจดั แสดงทปี่ า ยนเิ ทศ
กําหนดให ดงั นี้ เป็นเวลา ๑ สปั ดาห์

กลุมที่ 1 ผลงานดา นจติ รกรรม กิจกรรมที่ ๒ ให้นักเรียนแต่ละคนน�าผลงานทัศนศิลป์ในประเภทจิตรกรรม หรือประติมากรรม หรือ
กลุม ท่ี 2 ผลงานดา นประติมากรรม สถาปตั ยกรรมของภูมภิ าคตา่ งๆ มาเปรียบเทยี บกนั เลอื กทา� เพยี ง ๑ ประเภท เช่น ลกั ษณะ
กลุมที่ 3 ผลงานดา นสถาปตยกรรม อาคารบา้ นเรือนของแต่ละภาค เปน็ ต้น โดยใหน้ า� เสนอขอ้ มูลสังเขปพร้อมภาพประกอบ
แลวใหแ ตล ะกลมุ นําผลงานทัศนศลิ ปภ าคตางๆ
ของไทยมาเปรยี บเทียบกนั โดยจดั ทําเปน รายงาน กิจกรรมท่ี ๓ จงตอบค�าถามตอ่ ไปนี้
พรอมหาภาพประกอบ นาํ ผลงานสง ครผู ูส อน ๓.๑ ผลงานทศั นศิลปข์ องชาติกับทอ้ งถ่นิ มคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งไร
๓.๒ ปัจจัยอะไรบ้างทที่ �าใหผ้ ลงานทศั นศิลป์ในแต่ละภูมภิ าคมคี วามเหมอื น หรือแตกต่างกัน

ตรวจสอบผล Evaluate

ครพู ิจารณาจากรายงานการเปรยี บเทียบผลงาน สรปุ งานทศั นศลิ ป์ นบั เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมทางภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ และภมู ปิ ญั ญาไทยทสี่ ำาคญั
ทัศนศิลปภาคตา งๆ ของไทยของนกั เรียน โดย
พจิ ารณาดา นความถกู ตองของเน้อื หาสาระและ ของชาติ ซึง่ งานทศั นศิลป์ของชาติและของทอ้ งถิน่ มรี ปู แบบทแ่ี ตกตา่ งกันไปตามภมู ภิ าค ดว้ ยปจั จยั ทาง
ความสวยงาม ภมู ศิ าสตร์ สงั คมและวฒั นธรรมในแตล่ ะพน้ื ที่ ตอ่ มาเมอื่ ความเจรญิ ทางสงั คมมมี ากขนึ้ ทำาใหร้ ปู แบบงาน
ทัศนศิลป์ของชาติได้แพร่หลายออกไปยังท้องถ่ินต่างๆ ในแต่ละภูมิภาค ทำาให้ผลงานทัศนศิลป์ประเภท
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู ต่างๆ ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมในท้องถิ่น เริ่มรับเอาแบบอย่างและรูปแบบ
วิธีการของส่วนกลางมากข้ึนตามลำาดับ ท้ังน้ี งานทัศนศิลป์ในแต่ละภูมิภาคต่างก็มีรูปแบบของผลงาน
1. การจดั นิทรรศการในหัวขอ “ความงามของ ทั้งทม่ี คี วามเหมอื นกนั และแตกต่างกนั ขนึ้ อยูก่ บั ปัจจัยต่างๆ กนั ด้วยเหตนุ ก้ี ารศึกษาเกย่ี วกบั ทัศนศิลป์
งานศลิ ปะบนผนื แผนดินไทย” ของชาติและของท้องถิ่น จึงมีจุดประสงค์ที่จะให้คนไทยได้มีความรู้ ความเข้าใจ และภาคภูมิใจใน
ความเปน็ ไทยท่บี รรพบุรุษได้สงั่ สม จนเปน็ มรดกสืบทอดมาจนถงึ ปัจจบุ นั
2. รายงานการเปรยี บเทียบผลงานทศั นศลิ ป
ภาคตางๆ ของไทย

122

แนวตอบ กิจกรรมศลิ ป์ปฏิบตั ิ 9.2 กจิ กรรมที่ 3
1. งานทัศนศลิ ปข องชาติ หมายถงึ ศิลปะที่ถกู ถายทอดและสรา งขน้ึ โดยชางจากราชสํานกั หรอื ชางหลวง โดยมีรปู แบบที่แตกตางกนั ไปตามลักษณะของการใชส ื่อ วสั ดุ

กรรมวิธี ชวงเวลา และพัฒนาการทางศลิ ปะในแตละยคุ สมัย สะทอนใหเ ห็นถงึ เอกลกั ษณข องความเปน ไทย สวนงานทศั นศิลปทอ งถน่ิ เปน ศาสตรทางศลิ ปกรรม
ในดา นจติ รกรรม ประตมิ ากรรม และสถาปตยกรรม ทีส่ รา งสรรคจ ากภมู ิปญญาของชาวบา นท่ีไดคดิ ประดิษฐขน้ึ มาเปน เอกลักษณข องทองถ่นิ ท่ตี นอาศัยอยู
2. ปจจัยทีม่ ผี ลตองานทัศนศลิ ปของแตล ะภมู ภิ าค คอื ลักษณะทางภมู ิศาสตร ประวตั คิ วามเปนมา สงั คมและวัฒนธรรมทแ่ี ตกตา งกัน ลว นมผี ลตอการสรา งสรรคผลงาน
ทศั นศิลปใ นภูมภิ าคตา งๆ ของไทย

122 คู่มอื ครู

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain
Engage Expand Evaluate

เปาหมายการเรียนรู

เปรียบเทยี บความแตกตา งของจดุ ประสงคใน
การสรา งสรรคงานทัศนศิลปข องวฒั นธรรมไทย
และสากล

สมรรถนะของผูเ รียน

1. ความสามารถในการคดิ
2. ความสามารถในการใชท กั ษะชีวติ

คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค

1. มวี ินยั
2. ใฝเ รียนรู
3. มุงม่ันในการทาํ งาน
4. รักความเปนไทย

๑๐หนว่ ยที่ กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ทศั นศลิ ปใ์ นวฒั นธรรมไทยและสากล ครูใหน ักเรียนดูภาพหนา หนวย แลว ถาม
ผลงานทัศนศิลป์ล้วนมีปรากฏอยู่ในแต่ละวัฒนธรรม นักเรียนวา
ตัวชี้วัด
ศ ๑.๒ ม.๑/๓ ซ่ึงการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ขึ้นมาล้วนแต่ต้องการ • ภาพดังกลา วเปน งานทัศนศลิ ปท่มี ชี อ่ื วา
ตอบสนองความตอ้ งการของสงั คมทง้ั สนิ้ สาำ หรบั สงั คมไทย อะไร และมลี ักษณะรปู แบบเปน อยา งไร
■ เปรียบเทียบความแตกต่างของจุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ (แนวตอบ โคลอสเซยี ม (Colosseum) เปน
งานทศั นศลิ ป์ของวฒั นธรรมไทยและสากล งานสถาปตยกรรมสมยั โรมนั เปน อาคาร
ประเภทอฒั จนั ทร สรางขึ้นดว ยการกอ อิฐ
ผลงานทางด้านทัศนศิลป์มีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีรปู แบบโรมันโบราณผสมผสานกับแบบ
คลาสสิก)
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง จุดประสงค์ในการสร้างสรรค์งานมีอยู่หลายปัจจัยเช่นเดียวกับ
ทัศนศิลป์สากลจะมีรูปแบบแตกต่างไปจากของไทย และมี • ผลงานทศั นศลิ ปใ นภาพปรากฏอยูทใี่ ด และ
มีความโดดเดน อยา งไร
■ ค วามแตกต่างของงานทัศนศิลปใ์ นวัฒนธรรมไทย จุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ท่ีมีบางด้านทั้งเหมือนและแตกต่าง (แนวตอบ โคลอสเซยี มตั้งอยูท่ีกรงุ โรม
และสากล จากทศั นศลิ ปไ์ ทย การเรยี นรทู้ ำาความเขา้ ใจทศั นศลิ ปไ์ ทยและสากล ประเทศอติ าลี ถือเปนอฒั จนั ทรถ าวร
คร้ังแรกทีส่ รา งขึ้นในกรุงโรมและยังเปน
จะช่วยทำาให้เราสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของจุดประสงค์ อนุสาวรียทส่ี งางาม)

ในการสร้างสรรค์ทศั นศลิ ป์ระหวา่ งสองวัฒนธรรมได้

123

เกร็ดแนะครู

การเรยี นการสอนในหนวยการเรียนรูนี้ ครูผสู อนควรใหนักเรียนไดศ กึ ษางาน
ทัศนศลิ ปในวฒั นธรรมไทยและสากลจากผลงานจริง หรอื ศกึ ษาจากภาพตวั อยาง
ผลงานทัศนศลิ ปป ระเภทตางๆ ท้งั ของไทยและสากล ซง่ึ จะเปนการชวยให
นกั เรียนสามารถเปรียบเทียบความแตกตา งของจุดประสงคในการสรา งสรรค
ผลงานทศั นศลิ ปทั้งสองวฒั นธรรมได

คมู่ อื ครู 123

กกรระตะตนุ้ Eุน้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage Explore

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครใู หน ักเรียนดภู าพผลงานทศั นศิลปในอดีต ๑. ผลงานทศั นศลิ ป์ในวัฒนธรรมไทย
เชน ภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยธุ ยา วดั เกาะแกว
สทุ ธาราม จังหวัดเพชรบรุ ี ภาพลวดลายปูนปน งานทัศนศิลป์ของไทยเป็นการสร้างสรรค์ทางศิลปะ ที่เกิดจากการประดิษฐ์ คิดค้น และการแสดงออก
รูปกินรี สมยั สุโขทัย เปน ตน จากน้ันใหนักเรียน ของช่างศิลป์ หรือศิลปินไทยผ่านผลงานทัศนศิลป์ในรูปแบบประเภทต่างๆ ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม และ
รวมกันวเิ คราะหวา ภาพแตล ะภาพมีประเด็นใด สถาปัตยกรรม การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์อาจจะเป็นไปเพ่ือตอบสนองความต้องการทางจิตใจ โดยเน้นคณุ คา่
ทีส่ ัมพันธก นั ทางความคดิ ความงาม หรอื เพอ่ื ตอบสนองในเรอื่ งของประโยชน์ใชส้ อย เพอ่ื อา� นวยความสะดวกในชวี ติ ประจา� วนั

สา� รวจคน้ หา Explore ผ1ลงานทัศนศิลป์ที่สร้างข้ึนเพื่อตอบสนองความต้องการทางจิตใจ และความงาม จัดอยู่ในประเภท

ใหนกั เรยี นศึกษา คนควาเกีย่ วกบั ผลงาน “วิจติ รศลิ ป”์ (Fine Arts) หรอื “ศลิ ปะแท”้ ไดแ้ ก ่ ผลงานจติ รกรรม ประติมากรรม และสถาปตั ยกรรม สว่ นผลงาน
ทัศนศิลปในวฒั นธรรมไทย ดา นปจ จยั ทมี่ อี ิทธิพล ท่สี ร้างขนึ้ เพอ่ื เน้นประโยชน์ใชส้ อยเป็นหลกั มคี วามงามรองลงมาจัดอยู่ในประเภท “ประยุกตศ์ ลิ ป”์ (Applied Arts)
ตอ การสรางสรรคผ ลงาน จากแหลงเรียนรูตา งๆ ได้แก่ การออกแบบตกแตง่ การออกแบบเสอื้ ผา้ เปน็ ตน้
เชน หนังสอื เรยี น หองสมดุ อนิ เทอรเน็ต เปนตน ปัจจยั ทม่ี ีอทิ ธิพลตอ่ การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศลิ ปท์ ง้ั ๒ ประเภท ไดแ้ ก่

๑.๑ แนวความคดิ และปรัชญาความเชอ่ื

การแสดงออกทางความคดิ ของบคุ คล หรอื คา่ นยิ มตา่ งๆ รวมถงึ ปรชั ญาและความเชอ่ื ยอ่ มมผี ลกระทบตอ่
การสร้างสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ป์ เชน่ แนวความคิดเกยี่ วกับศิลปะเพ่ือศิลปะ หรือแนวความคิดเก่ยี วกบั ศลิ ปะเพือ่ ชีวติ
ไดส้ รา้ งแรงบันดาลใจใหก้ ับผู้สรา้ งงานทศั นศลิ ป์ใหเ้ ห็นคลอ้ ยตามแนวความคดิ นัน้ เปน็ ตน้

จิตรกรรมฝาผนังสมัยอยธุ ยา วดั เกาะแกว้ สุทธาราม จังหวดั เพชรบรุ ี และลวดลายปนู ป้นั รูปกินรี สมยั สุโขทัย ตวั อยา่ งผลงานทศั นศิลปท์ ส่ี ะทอ้ น
ถงึ คติความเชอ่ื ของคนสมัยโบราณเกยี่ วกับศาสนา

124

นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน การคดิ T
O-NE
1 วิจติ รศิลป ผลงานศิลปะท่มี นุษยสรา งขึน้ ถึงขัน้ งามบริสทุ ธิ์ มกี ารแสดงออก
ถึงอารมณสะเทือนใจท่ีผชู มรับรูได เปน ผลงานสรา งสรรค มคี วามคดิ รเิ ร่ิม และ ขอ ใดเปน ปจ จยั ทีม่ ีอทิ ธพิ ลตอการสรา งสรรคผ ลงานทัศนศลิ ป
แสดงเอกลักษณ ปรากฏจดุ มงุ หมายในดา นความรสู ึกและจินตนาการทางจิตใจ ในวัฒนธรรมไทยมากที่สุด
มากกวาประโยชนใชส อย
1. การทาํ มาหากิน
มุม IT 2. ศาสนาและความเชอื่
3. สภาพลมฟา อากาศ
นกั เรียนศึกษาเพม่ิ เตมิ เก่ียวกบั จิตรกรรมไทยและภาพวาดจติ รกรรมไทย ไดท่ี 4. การตอสูทาํ ศกึ สงคราม
http://www.jitdrathanee.com
วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. ศาสนาและความเชื่อเปนปจจยั สําคัญ

ที่ทาํ ใหเ กิดการสรางสรรคผ ลงานทัศนศิลปป ระเภทตา งๆ โดยเฉพาะผลงาน
ที่มคี วามย่ิงใหญแ ละมคี วามประณตี สวยงาม ศิลปนและผรู วมสรางสรรค
ผลงานจะตอ งมคี วามเชื่อถอื และความศรัทธาเปน หลกั จึงจะมีพลงั กาย
และพลงั ใจท่ีจะสรางสรรคผลงานดังกลา วไวเปนมรดกของแผน ดนิ สบื ตอ ไป

124 คูม่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

๑.๒ วัสดแุ ละสง่ิ แวดล้อม ใหนกั เรยี นรว มกันอภิปรายเกยี่ วกับผลงาน
ทศั นศิลปในวัฒนธรรมไทย ดานปจจัยทม่ี ีอทิ ธพิ ล
การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพ่ือให้เกิดรูปทรง โครงสร้าง หรือเกิดเป็นภาพได้น้ัน การพิจารณาใน ตอการสรางสรรคผ ลงาน โดยใหน กั เรยี นสรุป
ลกั ษณะของผลงานทัศนศิลปในวัฒนธรรมไทย
เรื่องของวัสดุที่ใช้ประกอบการสร้าง และเทคนิคในการออกแบบมีความจ�าเป็นอย่างย่ิง เพราะคุณสมบัติของวัสดุ และปจจัยท่มี อี ิทธิพลตอการสรา งสรรคผลงาน
เปนแผนผังความคิด (Mind Mapping)
ทแ่ี ตกตา่ งกนั จะทา� ใหเ้ กดิ คณุ คา่ ความงามและมเี นอื้ หาสาระทแ่ี ตกตา่ งกนั ทง้ั น ี้ หากผสู้ รา้ งมคี วามร ู้ และความเขา้ ใจ สง ครูผูสอน จากนั้นครถู ามนกั เรียนวา

เกยี่ วกับวัสดเุ ปน็ อย่างดี จะท�าให้การสรา้ งสรรค์ผลงานเมอ่ื สา� เร็จออกมาก็จะไดผ้ ลเป็นที่น่าพอใจ • จุดประสงคหลักของการสรางสรรคผลงาน
ทศั นศลิ ปใ นวฒั นธรรมไทยคืออะไร
ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมก็เป็นปัจจัยส�าคัญต่อแนวความคิดและแรงบันดาลใจให้ผู้สร้างสรรค์ การศึกษา (แนวตอบ หลกั การสรา งสรรคผ ลงานทศั นศลิ ป
ในวัฒนธรรมไทย สามารถสรปุ ไดเ ปน
ธรรมชาติกระท�าได้ทั้งมุมแคบและมุมกว้าง ซ่ึงแต่ละคนจะเห็นแง่มุมที่จะใช้ส�าหรับการสร้างสรรค์แตกต่างกันไป 6 ประการท่สี าํ คญั คือ ประการที่ 1
ทัศนศลิ ปไทยสรางสรรคข น้ึ เพ่อื ถา ยทอด
เร่ืองของศิลปะไม่มีผดิ ไมม่ ีถกู ขึ้นอย่กู บั วา่ ใครจะสามารถสร้างสรรค์ หรอื ถา่ ยทอดความงามออกมาได้มากกว่ากนั ประสบการณแ ละความรสู ึกนึกคิดตอ
การรับรูเ ร่ืองราวในสงั คมและวัฒนธรรมไทย
เทา่ นนั้ และก็ไมม่ เี ครือ่ งมอื ใดๆ จะมาวดั ผลการแสดงออกดงั กล่าวได้ด้วย ประการท่ี 2 ทศั นศลิ ปไ ทยสรา งสรรคข้ึน
เพื่อความภาคภมู ิใจของคนไทย ประการที่ 3
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งธรรมชาตแิ ละการสรา้ งสรรคท์ ศั นศลิ ปจ์ งึ เปน็ ไปในลกั ษณะทเ่ี ออ้ื ตอ่ กนั โดยธรรมชาติ ทศั นศลิ ปไทยสรา งขึ้นเพอ่ื จุดประสงค
อยา งใดอยา งหนึ่งบนพ้ืนฐานสังคมและ
จะให้บทเรยี นแกม่ นษุ ย์ในดา้ นความรสู้ กึ ใหมๆ่ เช่น ท้องทะเลทม่ี ีพ้ืนน้า� ใสเรียบราวกบั กระจก ดอกไมท้ ีม่ กี ลีบดอก วฒั นธรรมไทย ประการที่ 4 ทัศนศลิ ปไทย
สรา งสรรคข น้ึ เพอ่ื เปน แนวทางในการออกแบบ
สสี นั สวยงาม เป็นต้น ตกแตงเครอื่ งใชสอยและสภาพแวดลอ ม
ประการที่ 5 ทศั นศิลปไ ทยสรา งสรรคขน้ึ
ด้วยเหตนุ ้ี บรรดาศลิ ปนิ จงึ ไดอ้ าศยั ธรรมชาตเิ ป็นครสู �าหรับการสรา้ งสรรคท์ ศั นศิลปแ์ บบใหม่ๆ อยเู่ สมอ เพ่ือความสะดวกในการดาํ รงชวี ิต และ
ประการที่ 6 ทศั นศิลปไ ทยสรางสรรคขึ้น
ขณะเดยี วกนั ผลงานทศั นศิลปก์ ถ็ ือเปน็ แบบจา� ลองความงามทางธรรมชาติได้อยา่ งหนึง่ เพอื่ รบั ใชห รอื แสดงออกดา นความเช่อื
๑.๓ การรบั อทิ ธิพลทางศิลปะ ความศรทั ธาตอศาสนาและสถาบนั
พระมหากษตั รยิ )
มนุษยส์ ามารถด�ารงชีวิตอยู่ในสังคมได ้ ตอ้ งอาศัยปจั จัยเก้อื หนุนในหลายดา้ น ไดแ้ ก ่ ปัจจัยส่ที ป่ี ระกอบ

ด้วยอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ท่ีอยู่อาศัย และยารักษาโรค เป็นความต้องการพ้ืนฐานทั่วไป แต่มนุษย์มีความต้องการ

พัฒนาคุณภาพชีวิตของตนให้ดีข้ึนใน

ทุกดา้ น ดังนั้น จงึ ได้มกี ารประดิษฐ์คิดค้น

และสร้างสรรค์ส่ิงอ�านวยความสะดวกต่างๆ

มากมายมาอยา่ งต่อเน่อื ง

การคิดค้น และการสร้างสรรค์ผลงาน

ทัศนศิลป์ นอกจากการศึกษาเรยี นรู้จากวัฒนธรรมไทย

แลว้ ยงั มกี ารเรยี นรจู้ ากวธิ กี ารจากภายนอกเพอ่ื นา� มาปรบั ปรงุ

และพัฒนาผลงานของตนให้มีความเจริญก้าวหน้าอีกด้วย เช่น

การรบั แบบอยา่ งทางศิลปะจากตะวันออก เชน่ อินเดีย จีน เปอรเ์ ซีย

เปน็ ต้น มาใช้ในการสรา้ งสรรค์งานทัศนศลิ ป ์ หรือการศึกษา

แหลง่ เรยี นรศู้ ลิ ปะตามแนวทางตะวนั ตก เปน็ ตน้ ซง่ึ อทิ ธพิ ล

ของศลิ ปะจากวฒั นธรรมภายนอกไดม้ สี ว่ นชว่ ยใหผ้ ลงาน 1
ทัศนศิลป์ของไทยมีการพัฒนาและเปล่ียนแปลงทั้งใน
“อิสรภาพ” ประติมากรรมปั้นหล่อไฟเบอร์กลาสส์ทําสี ผลงานของ
ดา้ นรปู แบบ เนอ้ื หา และการนา� เสนอมาโดยตลอด จารุพงษ ์ พลชยั เปน็ การสร้างสรรค์ผลงานตามแนวศิลปะตะวันตก

12๕

กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู

ใหน กั เรยี นสรปุ ลกั ษณะของงานทศั นศลิ ปใ นวฒั นธรรมไทยมาพอสงั เขป ครอู ธิบายเพ่ิมเติมเกยี่ วกบั อิทธิพลของศิลปะตะวันตกท่ีมีตอ พฒั นาการ
โดยทําลงกระดาษรายงาน สงครผู ูสอน ศิลปะไทย ผลงานศิลปะสมัยใหมของไทยนับตง้ั แต พ.ศ. 2300 เปนตน มา รปู แบบ
ของผลงานจะมลี ักษณะเปน สากลและสะทอนอตั ลักษณเ ฉพาะของศลิ ปนมากข้ึน
กิจกรรมทา ทาย มีการใชว สั ดแุ ละเทคนคิ ใหมๆ รวมทัง้ การเปลี่ยนแปลงโลกทัศนอ ยางรวดเร็ว ทาํ ให
รปู แบบของศลิ ปะมคี วามหลากหลายมากยง่ิ ขนึ้ รวมถงึ ผลงานจาํ นวนมากกเ็ นน หนกั
ทค่ี วามคดิ รเิ ร่ิมเปน สาํ คัญมากกวาจะเนน เพอื่ ความสวยงาม

ใหน ักเรยี นยกตัวอยา งงานทัศนศลิ ปท แี่ สดงถึงวัฒนธรรมไทยอยาง นักเรยี นควรรู
ชดั เจนมา 1 ผลงาน จากนั้นเขยี นอธบิ ายลักษณะของผลงานมาพอสังเขป
โดยทาํ ลงกระดาษรายงาน สง ครูผสู อน 1 ไฟเบอรก ลาส เสน ใยแกว ท่ีถูกนาํ ไปใชเปนวสั ดเุ สรมิ แรงใหกบั พลาสตกิ เรซนิ่
และขน้ึ รปู เปน ผลติ ภณั ฑตางๆ เชน หลงั คารถ ชนิ้ สว นเครื่องบนิ ขนาดเลก็ ช้ินสวน
รถแขง ผลิตภณั ฑคอนกรตี เสริมใยแกว เปน ตน

คมู่ ือครู 125

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขข้าา้ใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate

ขยายความเขา้ ใจ E×pand

ใหน ักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน นาํ ตวั อยาง ๑.๔ หนา้ ที่ใชส้ อย
ผลงานทศั นศลิ ปในวฒั นธรรมไทย มากลมุ ละ
1 ผลงาน พรอ มวเิ คราะหในประเด็นตอ ไปนี้ ทศั นศลิ ปเ์ ปน็ กจิ กรรมประเภทหนงึ่ ทมี่ นษุ ยส์ รา้ งสรรคข์ นึ้ เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการ
ในด้านต่างๆ โดยการแสดงออกผ่านผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ซ่ึง
• แนวคิดในการสรา งสรรคผลงาน การสรา้ งสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ปเ์ หลา่ นน้ั ไดม้ สี ว่ นชว่ ยใหก้ ารดา� รงชวี ติ อยขู่ องมนษุ ย์ในสงั คม
• วสั ดทุ ใ่ี ชในการสรางสรรคผลงาน ปจั จบุ ันให้มคี ณุ ภาพท่ดี มี ากข้ึน ดังน้ี
• คุณคาความงามที่ไดร บั จากผลงาน ๑. เป็นเคร่อื งยกระดบั อารมณแ์ ละความรสู้ กึ ในเร่อื งความงาม
โดยใหน ักเรียนทาํ ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ๒. ช่วยในการออกแบบการปรงุ แตง่ สิง่ แวดลอ้ มให้มีสภาพที่เหมาะสม สวยงาม
ครูผสู อน ๓. ช่วยปรับปรุงเทคนิคในการตกแต่งเครื่องอุปโภคบริโภคให้มีความน่าสนใจ
มากขึน้
ตรวจสอบผล Evaluate จงึ อาจสรปุ ไดว้ า่ จดุ ประสงคข์ องการสรา้ งสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ปใ์ นวฒั นธรรมไทย
เมื่อพจิ ารณาจากหลักฐานทางโบราณสถาน โบราณวัตถุและศิลปวตั ถุทีป่ รากฏตาม
1. ครูพจิ ารณาจากแผนผงั ความคิดสรปุ ลักษณะ ภูมิภาคต่างๆ ส่วนใหญ่จะพบความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน ในเร่ืองของความเชื่อ
ของผลงานทัศนศลิ ปในวัฒนธรรมไทย และ ความศรัทธาทางศาสนา ประเพณี วัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นเป็นปัจจัยหลัก ซึ่ง
ปจ จยั ท่ีมีอทิ ธพิ ลตอการสรางสรรคผ ลงาน จุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ผลงานโดยรวม มดี ังนี้
ทศั นศลิ ปในวฒั นธรรมไทยของนักเรียน ประการที่ ๑ ทศั นศิลป์ไทยสรา้ งสรรคข์ น้ึ เพอ่ื ถ่ายทอดประสบการณแ์ ละความ
รสู้ กึ นึกคิดตอ่ การรับรเู้ รื่องราวในสงั คมวัฒนธรรมไทย
2. ครูพจิ ารณาจากการวเิ คราะหผลงานทัศนศิลป ประการที่ ๒ ทศั นศลิ ป์ไทยสร้างสรรค์ข้นึ เพอื่ ความภาคภูมิใจของตนเองและหมู่คณะ หรือ
ในวฒั นธรรมไทยในประเดน็ ตา งๆ ของนักเรียน
เป็นผลงานท่แี สดงถงึ อนสุ รณแ์ ห่งคณุ งามความดีต่างๆ ที่เกดิ ข้นึ ในอดตี หรอื ปจั จบุ ัน

1 ประการท่ี ๓ ทศั นศิลป์ไทยสร้างสรรค์ขน้ึ เพือ่ ดงึ ดดู ความสนใจของ

โขนเรอื พระทนี่ ั่งนารายณ์ทรงสบุ รรณ ผพู้ บเหน็ ทจี่ ะนา� ไปสจู่ ดุ ประสงคอ์ ยา่ งใด
อยา่ งหนง่ึ บนพื้นฐานสงั คมวัฒนธรรมไทย

ประการท่ี ๔ ทัศนศิลป์ไทยสร้างสรรค์ขึ้น เพ่ือเป็นแนวทาง
ในการออกแบบ และตกแต่งเครื่องใช้สอยและสภาพแวดล้อมให้มี
ความงามทีน่ า่ พงึ พอใจ

ประการท่ี ๕ ทศั นศลิ ป์ไทยสรา้ งสรรคข์ น้ึ เพอื่ ความสะดวก
ในการดา� รงชวี ิตของผสู้ ร้างสรรคง์ านทศั นศิลป์และผู้อน่ื

ประการที่ ๖ ทัศนศลิ ป์ไทยสร้างสรรค์ข้ึน เพ่อื รบั ใช้ หรอื
แสดงออกด้านความเชื่อ ความศรัทธาต่อสถาบันกษัตริย์ และสถาบัน
ศาสนา ซง่ึ ส่วนใหญจ่ ะเปน็ ผลงานทางดา้ นพระพุทธศาสนา

ตัวหนังใหญแ่ กะเปน็ รปู พาลีข่สี งิ ห์

12๖

นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน การคดิ T
O-NE
1 เรอื พระทน่ี ง่ั นารายณท รงสบุ รรณ เรอื นารายณท รงสบุ รรณเปน เรอื พระทน่ี ง่ั กง่ิ
ประเภทเรอื รปู สตั ว กลาวคอื เปนเรอื ที่แกะสลกั หัวเรอื เปน รูปสัตวตา งๆ ทง้ั สตั วจ รงิ งานศิลปะประเภทใดทเี่ หมาะแกการนาํ ไปใชต กแตง สวนสาธารณะนอยที่สุด
และสตั วใ นเทพนยิ าย โขนเรอื แตเ ดมิ จาํ หลกั ไมร ปู พญาสบุ รรณหรอื พญาครฑุ ยดุ นาค 1. สถาปตยกรรม
เทานั้น มชี องกลมสาํ หรับตดิ ตงั้ ปนใหญอ ยูทหี่ ัวเรือใตตัวครุฑ จนรชั สมยั พระบาท- 2. เทคนคิ ผสม
สมเดจ็ พระจอมเกลาเจาอยหู ัว (รชั กาลท่ี 4) มพี ระราชดาํ ริใหเสรมิ รปู พระนารายณ 3. จติ รกรรม
ประทบั ยืนบนหลงั พญาสุบรรณ เพือ่ ความสงา งามของลําเรือและเพ่อื ใหถ ูกตอง 4. ประติมากรรม
ตามคตใิ นเทพปกรณมั ของศาสนาพราหมณว า พญาสุบรรณน้ันเปนเทพพาหนะ
ของพระนารายณ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เนอ่ื งจากงานจติ รกรรมเปน การเขียนภาพ

ระบายสี ซึ่งผลงานอาจจะชํารุดเสยี หายได ถานาํ ไปตงั้ ไวไ มถ กู ที่ เชน
โดนน้ําฝนหรือโดนแดด ดังน้นั ผลงานจติ รกรรมทกุ ประเภทจงึ ไมเหมาะกับ
การนาํ ไปใชตกแตง สวนสาธารณะ

126 คู่มอื ครู

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ò. ผลงานทศั นศิลป์ในวฒั นธรรมÊา¡ล ครใู หน กั เรยี นดภู าพวาดสมยั กอ นประวตั ศิ าสตร
และสมยั ประวตั ิศาสตร รปู ปน พระเศยี รของ
ศิลปะสากล เป็นศิลปะท่ีมีพ้ืนฐานมาจากศิลปะตะวันตก มีวิวัฒนาการ พระนางเนเฟอรต ิติ ภาพพระราชวงั แวรซายส
มาหลายยุคหลายสมัย และแพร่หลายไปยงั ชาตติ ่างๆ ซ่งึ ผลงานทศั นศิลปท์ ีส่ ร้าง สถาปต ยกรรมที่ไดรับอิทธพิ ลจากวฒั นธรรมกรกี
กันข้ึนมาในสมัยหลังๆ ส่วนใหญ่จะใชแ้ บบแผนตามแบบอย่างของศิลปะสากล และโรมัน ประเทศฝร่ังเศส ในหนงั สอื เรียน
ศิลปะสากลเป็นศิลปะท่ีผสมผสานแนวคิด ตลอดจนรูปแบบต่างๆ หนา 127 จากนนั้ ใหน ักเรียนรว มกันวิเคราะหวา
อย่างเป็นกลางและกว้างขวาง การใช้วัสดุอุปกรณ์และวิธีการสร้างสรรค์กระท�า ผลงานทศั นศิลปแ ตล ะผลงานเกยี่ วขอ ง
ได้อย่างอิสระไม่จ�ากัดขอบเขตตายตัว ผลงานที่ส�าเร็จออกมาไม่นับว่าเป็น และสมั พนั ธกันอยา งไร
รูปแบบของชาติใดชาติหนึ่งโดยเฉพาะ ซ่ึงคนทุกชาติทุกภาษามองแล้วเข้าใจ
ผลงานนนั้ ๆ ได้ เพราะมีความเปน็ นานาชาติ สา� รวจคน้ หา Explore
การสรา้ งสรรค์ทัศนศลิ ป์ในวฒั นธรรมสากล การสรา้ งสรรคง์ านทศั นศลิ ป์
ในระยะแรกๆ ส่วนใหญเ่ กิดจากความเชือ่ และความศรทั ธาของอ�านาจล้ีลับต่างๆ ใหน ักเรยี นศกึ ษา คนควาเกีย่ วกบั ผลงาน
ท่มี องไม่เหน็ และมีรูปแบบในการแสดงออกของผลงานเปน็ การเลียนแบบ ทศั นศลิ ปใ นวัฒนธรรมสากล ดานปจ จยั ทีม่ ี
ธรรมชาตแิ ละสงิ่ ทอ่ี ยใู่ กลต้ วั รวมทง้ั มกี ารพฒั นารปู แบบตามความคดิ สรา้ งสรรค์ อิทธิพลตอ การสรา งสรรคผลงานทัศนศิลปใน
ของมนษุ ย ์ จนในที่สดุ รูปแบบเหลา่ นั้นกค็ อ่ ยคล่คี ลายเป็นรปู แบบทางศิลปะทเ่ี ป็น รูปปั้นพระเศยี รของพระนางเนเฟอร์ติติ วัฒนธรรมสากล จากแหลง เรยี นรตู า งๆ เชน
เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ในสมยั อียปิ ต์ กรกี โรมนั หนังสอื เรยี น หอ งสมดุ อินเทอรเ น็ต เปนตน

งานทัศนศิลป์ในวัฒนธรรมกรีกและโรมัน 1ถือได้ว่ามีบทบาทต่องานทัศนศิลป์ในระยะหลัง จนพัฒนามา

เปน็ งานทัศนศิลป์รปู แบบต่างๆ ในยคุ ศลิ ปะสมยั ใหม่ (Modern Art) และยคุ ศลิ ปะหลงั สมัยใหม่ (Postmodern Art)
ประเทศทีม่ บี ทบาทส�าคัญในการพัฒนางานทศั นศลิ ป ์ ไดแ้ ก่ ประเทศฝรง่ั เศส โดยเฉพาะในช่วงปลายครสิ ต์ศตวรรษ

ที่ ๑๙ ลงมา แ2บบอย่างงานทัศน3ศิลป์ในวัฒนธรรมสากลจะมีแนวโน้มของการแสดงออกใน ๒ แบบ คือ

แนวนโี อคลาสสิกและแนวโรแมนติก เปน็ การคน้ หาความงามสงู สุดบนพืน้ ฐานของความสมบูรณ์แบบตามธรรมชาติ

พระราชวังแวรซ์ ายส์ สถาปตั ยกรรมที่ได้รับอทิ ธิพลจากวฒั นธรรมกรีกและโรมนั สรา้ งขนึ้ ในสมัยพระเจา้ หลยุ สท์ ี่ ๑๔ แหง่ ฝรั่งเศส เป็นสถานที่
ท่ไี ด้รับการตกแต่งให้มีความวิจิตรตระการตา หรูหรา และอลงั การมาก

แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู

ขอ ใดเปนลกั ษณะของศิลปะสากล 1 ศลิ ปะสมัยใหม เปนรูปแบบเฉพาะของศิลปนแตล ะกลุม เนน ความ
1. เปน รูปแบบศิลปะตะวนั ตก เปนตัวของตัวเอง มีเทคนคิ วธิ ีการท่หี ลากหลาย มักจะเรยี กวา “ศลิ ปะรว มสมยั ”
2. มลี กั ษณะเหมือนศลิ ปะยุโรป 2 แนวนีโอคลาสสกิ หมายถงึ การนาํ รปู แบบคลาสสกิ เดมิ มาถา ยทอดเปน
3. คลายคลึงกับศลิ ปะของอเมรกิ า รปู แบบใหมท ี่สมั พันธก ับสภาพสังคม
4. เปนนานาชาตไิ มส ื่อวาเปนของชาตใิ ด 3 แนวโรแมนตกิ เปน ศลิ ปะทย่ี ดึ มนั่ ในอารมณและจติ ใจมากกวาเหตุผล
และกฎเกณฑ การแสดงออกของศลิ ปะรูปแบบนีม้ กั เปนการตัดกนั ของแสงเงา
วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. ศลิ ปะสากลเปนศลิ ปะทีผ่ สมผสานแนวคดิ มเี ร่อื งราวและรูปแบบทเี่ กนิ ความจรงิ มรี อยแปรงท่แี สดงถงึ การเคลอื่ นไหว
เปน เรอื่ งราวของการผจญภัย เน้ือเร่ืองนา ตน่ื เตน ประทับใจ
รปู แบบหรือสไตลจากศิลปะสกุลตา งๆ จนออกมาเปนศลิ ปะสากลที่มี
ความเปนนานาชาติ ไมส ื่อวาเปนของชาตใิ ดหรอื ศลิ ปะสกุลใดโดยเฉพาะ
แมจ ะมรี ากฐานมาจากศิลปะตะวันตกกต็ าม ทาํ ใหผ ูค นจากทุกวัฒนธรรม
ดแู ลวมคี วามเขา ใจตรงกนั ได

คมู่ ือครู 127

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain

อธบิ ายความรู้ Explain

1. ใหน กั เรยี นรวมกันอภิปรายเก่ียวกบั ผลงาน เสรมิ สาระ
ทศั นศลิ ปในวฒั นธรรมสากล จากน้ันให
นักเรียนสรปุ ลกั ษณะและปจ จัยท่มี อี ทิ ธพิ ลตอ ปจจัยท่มี อี ิทธพิ ลตอการสรา งสรรคผลงานทศั นศลิ ป
การสรา งสรรคผ ลงานทัศนศิลปในวฒั นธรรม
สากลเปนแผนผงั ความคิด (Mind Mapping) ๑. อิทธิพลทางดานภูมิศาสตร สภาพส่ิงแวดล้อมเป็นปัจจัยสําคัญอย่างหน่ึงท่ีมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ผลงาน
สง ครผู ูส อน ซึ่งผู้สร้างสรรค์จะเลือกพิจารณาภูมิประเทศ ทําเลที่ตั้งที่เหมาะสมต่อการสร้างสรรค์ส่ิงสวยงามให้กับถ่ินท่ีอยู่ของตน เช่น อาคาร
ที่พักอาศัยบริเวณชายทะเลจะมีความแตกต่างจากอาคารบ้านเรือนท่ีอยู่ในทะเลทราย ผู้คนท่ีอยู่ชายทะเลก็นิยมวาดภาพทิวทัศน์
2. ครูใหนกั เรยี นศกึ ษาปจ จัยท่มี ีอทิ ธิพลตอ การ ทางทะเลมากกว่าวาดภาพอื่นๆ ผูท้ ่อี าศัยอยูใ่ นปา ก็นิยมนําไมม้ าแกะสลกั มากกวา่ การใช้วสั ดุอ่ืนๆ เป็นตน้
สรางสรรคผลงานทศั นศิลป ในหนงั สือเรียน
หนา 128 จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ฤดูกาลถือไดว้ า่ มีอิทธพิ ลต่อการสรา้ งสรรคผ์ ลงานทัศนศิลปเ์ ช่นกัน ความแตกตา่ งของฤดกู าลจะมีอทิ ธิพล
• ผลงานเทวรปู สําริด สถูป เจดยี  วดั วาอาราม ตอ่ การสร้างสรรคง์ านทัศนศลิ ป ์ เชน่ เรือนไทยภาคกลางกจ็ ะมีลกั ษณะยกพืน้ เรอื นสงู ใหพ้ น้ จากระดบั นํา้ ท่วมถึง
เปนผลงานสถาปตยกรรมทีไ่ ดรบั อิทธิพลมา มหี ลังคาทรงสงู เพื่อใหเ้ กิดการถา่ ยเทความร้อนและระบายนา้ํ ฝนไดด้ ี ในขณะท่เี รือนไทยภาคเหนือจะมีหนา้ ตา่ ง
จากส่ิงใด น้อยกวา่ เพ่ือปอ งกันอากาศหนาวเยน็ ในชว่ งฤดูหนาว เป็นตน้
(แนวตอบ ผลงานสถาปต ยกรรมที่เปน ทางด้านจิตรกรรม ฤดูกาลมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ในเรื่องของการใช้สีที่สว่างสดใสตาม
เทวรปู สาํ รดิ สถปู เจดยี  และวัดวาอาราม แบบประเทศทางแถบรอ้ น ซ่ึงจะตา่ งไปจากประเทศทางแถบอากาศเย็นจะใชส้ หี ม่น ทึบ สอดคลอ้ งไปตาม
เปนสถาปต ยกรรมทไี่ ดรับอิทธิพลจากการ สภาพบรรยากาศจริง
นบั ถือศาสนา เพราะศาสนาแตล ะศาสนา
ยอมมีคติธรรม พิธกี รรม ระเบียบวิธีปฏิบัติ ๒. อิทธิพลทางดานศาสนา ศาสนาแต่ละศาสนาย่อมมีคติธรรม พิธีกรรม ระเบียบวิธีการ
ทางศาสนาท่ีแตกตา งกัน ซึง่ สง่ิ เหลา นเี้ ปน ปฏิบัติทางศาสนาแตกต่างกัน ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีเป็นเหตุผลและมีอิทธิพลสําคัญต่อการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์
เหตผุ ลและมีอิทธพิ ลตอ การสรา งสรรคผ ลงาน ท้งั ด้านรปู แบบ ขนาด สัดส่วน และการตกแตง่ อทิ ธพิ ลนท้ี ําให้มเี ร่ืองราวเนือ้ หาสําหรับใชใ้ นทางสถาปตั ยกรรม
ทัศนศลิ ปทง้ั ดานรปู แบบ ขนาด และสดั สว น ประติมากรรม และจิตรกรรม ให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละศาสนา เช่น การสร้างรูปเคารพ รูปแบบของ
รวมทงั้ การตกแตง ) ศาสนสถานในพระพุทธศาสนากจ็ ะแตกตา่ งจากศาสนาครสิ ต์ ศาสนาพราหมณ-์ ฮินดู เป็นต้น

๓. อิทธิพลทางดานสังคม คนในสังคม หรือผู้คนของประเทศแต่ละแห่งย่อมมีนิสัย คติความเชื่อ
ตลอดจนการทาํ มาหาเลยี้ งชพี ทแี่ ตกตา่ งกนั ออกไปตามสภาพภมู ปิ ระเทศและภมู อิ ากาศ การดาํ รงชวี ติ ในแตล่ ะสงั คม
ท่ีแตกต่างกันออกไปเช่นน้ี ได้กลายเป็นอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์วัฒนธรรมทางทัศนศิลป์ เช่น คนไทย
มีวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม จะมีลักษณะนิสัยเป็นคนรักถิ่นฐาน มีความเป็นอยู่เรียบง่าย ผูกพันอยู่กับธรรมชาติ
การสร้างสรรค์งานทัศนศลิ ปท์ างด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรม ก็สะท้อนวิถีชีวิตการทําเกษตร
แทรกลงไปในเนอื้ หาของงานดว้ ย เป็นตน้

๔. อิทธิพลทางดานเศรษฐกิจ จะสะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดในตัวเน้ืองาน ถ้าบ้านเมืองมีฐานะ เทวรปู สํารดิ
ทางเศรษฐกิจดี ผลงานที่สร้างออกมาก็จะมีขนาดใหญ่โต มีความหรูหรา ฟุมเฟอย เพราะมีกําลังทรัพย์ในการสร้าง แต่ถ้าบ้านเมือง
มีสภาพแรน้ แค้น ศิลปกรรมในบา้ นเมอื งนนั้ ก็จะเสอ่ื มโทรม มขี นาดเลก็ หรอื มีปรมิ าณนอ้ ย

สถูปทสี่ าญจ ี จะมลี กั ษณะแบบโอควํ่าหรอื ขันควํ่า ซ่งึ เป็นแม่แบบของ ความงดงามและอลงั การของนครวดั เมอื งเสยี มเรยี บ ประเทศกมั พชู า
การสร้างสถูปในสมยั ตอ่ มา แสดงใหเ้ ห็นถงึ อิทธิพลของศาสนาที่มีตอ่ งานทศั นศลิ ป์

12๘

เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ

ครอู ธบิ ายเสริมใหนักเรียนเขา ใจเก่ียวกบั อทิ ธพิ ลของศาสนาท่ีมีตอรูปแบบ ใหนกั เรยี นสรปุ ลักษณะของงานทศั นศลิ ปในวฒั นธรรมสากล
การสรางสรรคผ ลงานทศั นศลิ ป ซงึ่ การสรางสรรคผลงานทศั นศลิ ปก ค็ อื แนวคิด มาพอสังเขป โดยทําลงกระดาษรายงาน สง ครผู สู อน
ในการสรา ง ตวั อยา งทเ่ี ห็นไดเ ดนชดั ไดแ ก คตคิ วามเช่อื ของศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู
ทีว่ า ศาสนสถานนอกจากจะเปน สถานทป่ี ระกอบพิธีกรรมทางศาสนาแลว กิจกรรมทา ทาย
ยังถือเปนทีป่ ระทับของเทพองคตางๆ หรือเปน เทวาลยั ดังนั้น การออกแบบ
ศาสนสถานจึงมลี ักษณะย่งิ ใหญ สรางดว ยหิน มียอดทส่ี ่อื ถึงเขาพระสุเมรุ อนั เปน ใหน ักเรยี นยกตวั อยา งงานทัศนศิลปท ่ีแสดงถึงวัฒนธรรมสากลอยา ง
ทป่ี ระทบั ของทวยเทพและเปน ศนู ยกลางของจกั รวาล ซึ่งแตกตางจากการสรางวดั ชัดเจนมา 1 ผลงาน จากนน้ั เขยี นอธิบายลักษณะของผลงานมาพอสงั เขป
สรา งโบสถ สรางวิหารของพระพทุ ธศาสนาท่ีสรางขึน้ เพื่อเนน สําหรบั การปฏบิ ตั ิ โดยทาํ ลงกระดาษรายงาน สงครผู ูสอน
ศาสนกิจ เปนท่พี กั อาศัยของพระสงฆ เพือ่ ศกึ ษาพระธรรมคาํ ส่งั สอน และเผยแผ
หลกั ธรรม รปู แบบจึงเรียบงายกวา และมีขนาดยอมกวา สามารถใชวัสดทุ ี่หาได
ในแตละทอ งถิ่นเปน หลกั

128 คมู่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล
Engage Explore Explain
Expand Evaluate

ขยายความเขา้ ใจ E×pand

เม่ือเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในยุโรป วิทยาการ ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 6 คน นาํ ตวั อยา ง
ผลงานทัศนศิลปในวฒั นธรรมสากล มากลมุ ละ
สมยั ใหมเ่ รมิ่ มคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ มากขนึ้ ตามลา� ดบั มกี ารประดษิ ฐ์ 1 ผลงาน พรอ มวิเคราะหในประเด็นตอไปน้ี

กล้องบันทึกภาพและมีการค้นพบแสงสีในธรรมชาติ มีการพัฒนา • แนวคิดในการสรา งสรรคผลงาน
• วัสดทุ ใ่ี ชในการสรา งสรรคผลงาน
ทางเทคโนโลยีและการใช้เครื่องมือต่างๆ ท่ีทันสมัย ตลอดจน • คณุ คาความงามทีไ่ ดร บั จากผลงาน
โดยใหนกั เรียนทําลงกระดาษรายงาน นําสง
รับรู้ถึงความเป็นจริงของสีตามธรรมชาติ ซ่ึงมีบทบาทส�าคัญต่อ ครูผูส อน

ความเจริญก้าวหน้าของงานทัศนศิลป์สากลเป็นอย่างมาก มีการ

สร้างสรรค์ผลงาน1ทัศนศิลป์ตามแนวคิดหรือลัทธิต่างๆ เช่น 2

แนวประทับใจนิยม (Impressionism) แนวเหนือความเป็นจริง

(Surrealism) แนวบาศกนิยม (Cubism) และศิลปะนามธรรม ตรวจสอบผล Evaluate

(Abstract Art) เปน็ ตน้ 1. ครูพจิ ารณาจากแผนผงั ความคิด สรุปลักษณะ
ของผลงานทศั นศิลปใ นวฒั นธรรมสากลและ
จุดประสงค์ในการสรา้ งสรรคง์ านทศั นศลิ ป์ในวฒั นธรรม ปจจัยท่มี อี ิทธพิ ลตอการสรา งสรรคผ ลงาน
ทัศนศิลปใ นวัฒนธรรมสากลของนกั เรยี น
สากลมีปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์
2. ครพู จิ ารณาจากการวิเคราะหผลงานทัศนศลิ ป
เชน่ เดยี วกบั ทศั นศลิ ป์ในวฒั นธรรมไทย จดุ ประสงค์ในการสรา้ งสรรค์ “ผหู้ ญงิ รอ้ งไห”้ ผลงานของ ปาโบล รยุ ซ ์ ปกิ สั โซ (Pablo ในวัฒนธรรมสากลในประเด็นตางๆ ของ
งานทศั นศลิ ป์ในวฒั นธรรมสากลจะมีลกั ษณะ ดังน้ี Ruiz Picasso) เปน็ จติ รกรรมบาศกนยิ มแบบสงั เคราะห์ นกั เรียน

ประการที่ ๑ งานทัศนศิลป์สากลถูกสร้างสรรค์ขึ้น

เพอ่ื การคน้ ควา้ ทดลองและการแสวงหาความ3จรงิ ตามธรรมชาตแิ ละ

สิ่งแวดล้อมบนพ้ืนฐานของหลักวิชาศิลปะ (Academic Art) ที่มี

การถา่ ยทอดผลงานโดยใชท้ กั ษะฝมี อื และมแี บบแผนในการทา� งาน

อย่างเปน็ ขั้นตอน

ประการที่ ๒ งานทัศนศิลป์สากลถูกสร้างสรรค์ขึ้น

เพื่อผสมผสานแนวความคิดและรูปแบบของศิลปะในลัทธิต่างๆ

หรอื คตคิ วามเชือ่ ในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึงทส่ี ะท้อนถงึ การแสดงออก

ท่ีมีเอกลกั ษณ์ของศลิ ปนิ

ประการที่ ๓ งานทัศนศิลป์สากลถูกสร้างสรรค์ขึ้น

เพื่อการค้นหาข้อเท็จจริงเก่ียวกับแนวคิด ความหมาย ความงาม “Houses at L’ Estaque” ผลงานของ จอร์จ บราก
ในมุมมองใหม่ และอาศัยวัตถุดิบรวมท้ังวิธีในการสร้างสรรค์อย่าง (George Braque) เปน็ จติ รกรรมบาศกนยิ มแบบหนา้ ตดั

มากมาย เพ่ือให้ผลงานทศั นศลิ ปม์ ีความสมบูรณแ์ บบและลงตัวตามความต้องการมากที่สดุ

ประการท่ี ๔ งานทัศนศิลป์สากลถูกสร้างสรรค์ข้ึน เพื่อการแสดงออกทางรูปแบบศิลปะอย่างเป็นกลาง

โดยไมเ่ นน้ รปู แบบของความเปน็ ชาติใดชาตหิ นงึ่ โดยเฉพาะ เพอื่ ใหผ้ ลงานทสี่ รา้ งสรรคส์ า� เรจ็ มคี วามเปน็ สากลทมี่ นษุ ย์

ทุกคนในโลกสามารถรบั รู้ได้จากคณุ ค่าทีเ่ กดิ ขน้ึ ในตวั ของผลงาน ความหมาย และความงามไดอ้ ย่างเปน็ อิสระ

129

บรู ณาการเชื่อมสาระ นักเรียนควรรู

การศกึ ษาเก่ยี วกับลักษณะของงานทัศนศลิ ปใ นวฒั นธรรมสากล 1 แนวประทับใจนิยม ศลิ ปะลทั ธิหน่งึ ทนี่ าํ เอาความรทู างวทิ ยาศาสตรใ นเร่อื ง
สามารถบรู ณาการกับการเรยี นการสอนกลุมสาระการเรยี นรูสังคมศกึ ษา แสงและสีมาใช เพ่ือแสดงบรรยากาศธรรมชาตติ ามเวลาและฤดูกาลตา งๆ เกิดขนึ้
ศาสนา และวฒั นธรรม วิชาสงั คมศึกษา เร่ืองสงั คมอุตสาหกรรม เพราะ ในชว งคริสตศ ตวรรษที่ 19 อนั เปน ระยะแรกของกระบวนการศลิ ปะสมัยใหม
สังคมอุตสาหกรรมไดนํามาซ่งึ วิทยาการสมัยใหม มีการประดิษฐคิดคน 2 แนวเหนอื ความเปน จริง หรอื ลัทธิเหนอื จรงิ หมายถึงคตนิ ิยมทางศลิ ปะ
กลองบันทึกภาพและมีการคนพบแสงสใี นธรรมชาติ มกี ารพฒั นาเทคโนโลยี ซงึ่ พฒั นามาจากอุดมคติบางประการของคตดิ าดา โดยนําทฤษฎจี ติ วทิ ยาในเรอื่ ง
และเครอื่ งมือเคร่ืองใชตา งๆ ซง่ึ มบี ทบาทสําคัญตอความเจรญิ กาวหนาของ จติ ใตสํานกึ มาผสมผสานเปน มูลเหตุ
งานทัศนศิลปใ นวฒั นธรรมสากลอยา งมาก 3 หลกั วชิ าศลิ ปะ งานศลิ ปกรรมทสี่ รางสรรคข้ึนตามทฤษฎี โดยมมี าตรฐาน
และหลักเกณฑต ามหลกั วิชาท่ีสถาบนั หรอื สกุลศิลปะนั้นๆ ไดกาํ หนดไวว า ดีงาม
ถกู ตอ ง เปนทีน่ ยิ ม และถือเปน หลักปฏบิ ัตสิ บื ทอดกันมา

คู่มือครู 129

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage Explore

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครใู หนักเรียนดภู าพผลงานประติมากรรม กจิ กรรม ศิลป์ปฏบิ ัติ ๑๐.๑
“โลกตุ ตระ” ของชลูด นม่ิ เสมอ ในหนังสือเรยี น
หนา 130 จากน้นั ครถู ามนกั เรียนวา กจิ กรรมที่ ๑ ใหน้ ักเรยี นจัดท�าตารางแสดงจดุ ประสงค์ในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลปข์ องวฒั นธรรมไทย
และสากล คดั เลือกผลงานทีจ่ ัดท�าได้ดีนา� ไปแสดงท่ีปา ยนิเทศ
• ผลงานทศั นศิลปในวฒั นธรรมไทยมคี วาม
แตกตา งกันอยางไร กิจกรรมท่ี ๒ หาภาพผลงานทัศนศิลป์ในวฒั นธรรมไทย ๑ ภาพ และวฒั นธรรมสากล ๑ ภาพ แล้วเขียน
อธบิ ายวา่ ภาพดงั กล่าวสะท้อนให้เห็นถงึ จุดประสงค์ในการสร้างสรรคผ์ ลงานอย่างไร
• เพราะเหตใุ ด ผลงานทศั นศลิ ปในวัฒนธรรม
ไทยจึงมคี วามแตกตา งกนั ó. à»ÃÕºà·ÂÕ º¤ÇÒÁᵡµ‹Ò§¢Í§·ÑȹÈÅÔ »Šã¹ÇѲ¹¸ÃÃÁä·ÂáÅÐÊÒ¡Å
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดอ ยางอิสระ)

สา� รวจคน้ หา Explore ทัศนศิลป์ในวัฒนธรรมไทยและสากล มีจุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ ท่ีมี

ใหนักเรียนแบง ออกเปน 4 กลุม ศกึ ษาคนควา ความเป็นมาท่ีคล้ายคลึงกัน จากปัจจัยพ้ืนฐานในการด�ารงชีวิตของมนุษย์สะท้อนถึง
เก่ยี วกับลกั ษณะรปู แบบงานทัศนศลิ ปใ นวัฒนธรรม
ไทย ตง้ั แตส มยั กอนสุโขทยั จนถึงสมยั รัตนโกสินทร ความเชือ่ และความศรัทธาทางศาสนา รวมถึงลทั ธิ ปรัชญาตา่ งๆ ซ่งึ สรุปได ้ ดงั น้ี
จากแหลง เรยี นรูตางๆ เชน หนังสอื เรยี น หอ งสมุด ๓.๑ ทศั นศิลป์ในวฒั นธรรมไทย
อนิ เทอรเนต็ เปนตน ตามหวั ขอ ทีค่ รกู ําหนดให
ดังนี้ ศลิ ปะทางดา้ นทศั นศลิ ปข์ องไทยทคี่ งไวใ้ นรปู ของขนบธรรมเนยี ม ประเพณี

กลมุ ที่ 1 ทัศนศลิ ปในวัฒนธรรมไทย และวัฒนธรรม เปน็ ศิลปะประจ�าชาติท่ีเราควรภาคภูมิใจ เห็นคณุ ค่า และหวงแหน
สมยั กอ นสโุ ขทยั
รกั ษาไวเ้ ป็นสงิ่ ทเ่ี ราตอ้ งให้ความส�าคญั และใส่ใจศึกษา เพราะเป็นสภาพแวดลอ้ ม
กลุมที่ 2 ทัศนศลิ ปใ นวัฒนธรรมไทย
สมัยสโุ ขทยั ทอ่ี ยรู่ อบตวั เรา ซง่ึ ศลิ ปะไดจ้ ะแบง่ ชว่ งเวลาในการศกึ ษา

กลมุ ที่ 3 ทศั นศลิ ปใ นวฒั นธรรมไทย ออกเปน็ สมยั ตา่ งๆ ได้แก ่ สมยั กอ่ นประวตั ิศาสตร ์
สมัยอยธุ ยา
สมยั ประวตั ิศาสตร์ (ยคุ กอ่ นสมยั สโุ ขทัย :
กลมุ ท่ี 4 ทัศนศิลปใ นวฒั นธรรมไทย
สมัยรัตนโกสินทร ศลิ ปะทวารวด ี ศรวี ิชัย ลพบุรี เชยี งแสน)

สมยั สโุ ขทัย สมยั อยุธยา สมยั รตั นโกสินทร์ และ

1 ชลูด งานทศั นศลิ ปส์ มยั ใหม่ในยคุ หลงั ) ซง่ึ ในแตล่ ะสมยั
นิ่มเสมอ จะมกี ารสรา้ งสรรคผ์ ลงานทง้ั ทางจติ รกรรม
“โลกุตตระ” ผลงานของ
เป็นประติมากรรมท่ีมีการจัดองค์ประกอบ
ท่ีแสดงความเป็นเอกภาพ และเป็น ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ท่ีมี

ประติมากรรมลอยตัวแบบร่วมสมยั ความงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

แตกตา่ งกนั ออกไป ทง้ั นหี้ ากพจิ ารณาถงึ รปู แบบและเนอ้ื หาของงานทศั นศลิ ป์

ในวัฒนธรรมไทยจะพบว่า งานทัศนศิลป์ท่ีเกิดข้ึนในแต่ละยุคสมัยจะมี

เรอ่ื งราวเก่ียวกบั ความศรทั ธาทางศาสนา ความเช่ือ และวิถชี ีวติ

ความเปน็ อย ู่ ท�าให้เกิดความงาม และคณุ ค่าท่แี ตกตา่ งกนั ไปในแต่ละ

ช่วงเวลา เนื่องจากผลงานทัศนศิลป์เกิดจากการสร้างสรรค์ขึ้นโดย

ศิลปิน มีปัจจัยต่างๆ เป็นองค์ประกอบส�าคัญที่ท�าให้เกิดรูปแบบที่เป็น พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะทวารวดี ปัจจุบัน
จดั แสดงที่พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาต ิ พระนคร

13๐

เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน การคดิ T
O-NE
ครอู ธิบายวา ผลงานทศั นศิลปใ นแตล ะสมยั จะมีรปู แบบ คตินิยม และการไดรับ
อทิ ธิพลจากศลิ ปะสกุลตางๆ ท่ีแตกตางกนั ออกไป ทําใหศ ลิ ปะแตละสมัยมอี ัตลักษณ เพราะเหตใุ ด งานทศั นศลิ ปท่ีเกีย่ วของกบั ศาสนาจึงมีความงดงาม ประณีต
เฉพาะ แมจะมีลักษณะรว มกันบางประการ หรอื มีความคลายคลึงกัน ซง่ึ เราสามารถ และสรา งขนึ้ อยา งยง่ิ ใหญ
จดั แบงผลงานแตล ะสมยั เพ่ือสะดวกแกการศกึ ษาทําความเขาใจและเปรียบเทยี บได
แนวตอบ ความเชอ่ื ความศรทั ธาทีม่ ีตอ ศาสนา ถอื เปน แรงผลักดนั
นกั เรียนควรรู ท่ที ําใหศ ลิ ปน ผูส รา งสรรคพ ยายามจะสรา งผลงานทศั นศลิ ปใหสดุ ฝม ือ
ของตน เพราะนอกจากจะตอ งการใหผ ลงานมีความงดงามแลว ยังถือเปน
1 โลกุตตระ เปนผลงานทีม่ คี วามงดงามและมีช่ือเสียงมากท่สี ดุ ผลงานหนึง่ การไดท าํ บุญอยา งสงู อีกดวย ขณะเดยี วกันการรวบรวมปจ จยั ทุนทรพั ย
ของ ชลดู นม่ิ เสมอ เปนประติมากรรมกลางแจงรูปเปลวรศั มขี องพระพทุ ธรปู ทจี่ ะนาํ มาสราง กส็ ามารถขอรบั บริจาคไดงายกวา เนือ่ งจากผูบรจิ าค
หรืออาจจะวาเปน รปู ดอกบัว หรอื เปนรปู พนมมือก็ได สรางขน้ึ เมือ่ พ.ศ. 2534 ก็มคี ติวาเปนการทําบญุ ทําใหตนไดร วมผลบญุ ดวย เม่ือไดฝ ม อื ชา งท่ดี ี
ทาํ ดวยไฟเบอรกลาส ตัง้ แสดงอยู ณ บริเวณศนู ยการประชมุ แหง ชาติสริ กิ ิต และมีทุนทรพั ยม ากพอท่ีจะสรา ง จึงสงผลใหผ ลงานทัศนศลิ ปท่ีเกีย่ วเนือ่ ง
กับศาสนามคี วามยิ่งใหญและมคี วามประณตี งดงามมากเปนพิเศษ

130 คูม่ ือครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

ลักษณะเฉพาะของงานทัศนศิลป์ในแต่ละยุคสมัย ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จักการประดิษฐ์ 1. ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 1 และกลุม ที่ 2 สง ตวั แทน
กลุม กลุมละ 2-3 คน ออกมานาํ เสนอความรู
อักษร แต่มนุษย์รวมตัวอยู่เป็นชุมชน รู้จักท�าการเพาะปลูก เล้ียงสัตว์ ทอผ้า ท�าเคร่ืองปันดินเผาท่ีมีลวดลาย เกย่ี วกับทัศนศิลปใ นวัฒนธรรมไทยสมยั กอน
สุโขทัยและสมัยสโุ ขทยั ตามทไ่ี ดศึกษามา
เคร่ืองมือเครือ่ งใชใ้ นชว่ งแรกๆ มักท�าขน้ึ จากหนิ ต่อมาร้จู ักน�าเอาโลหะมาสร้างเป็นเครือ่ งมอื เคร่อื งใช้แทนหินและ หนาชัน้ เรยี น

รู้จักสร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยการขีดเขียนภาพตามผนังถ้�า เช่น ภาพการล่าสัตว์ชนิดต่างๆ ท่ีผาแต้ม จังหวัด 2. ครยู กตวั อยา งผลงานทศั นศลิ ปใ นวฒั นธรรมไทย
สมัยกอนสโุ ขทยั และสมยั สุโขทยั มาสมัยละ
อุบลราชธานี เป็นต้น ส่วนสมัยประวัติศาสตร์เป็นสมัยท่ีมนุษย์รู้จักคิดประดิษฐ์ตัวอักษร บันทึกเร่ืองราวต่างๆ ที่ 1 ผลงาน จากน้นั ใหน กั เรียนรวมกันอภิปราย
เกี่ยวกับลกั ษณะของผลงานทศั นศิลปท ค่ี รู
เกี่ยวกับความเชื่อ กิจกรรมต่างๆ จึงท�าให้เรารู้เร่ืองราวที่ละเอียดชัดเจนมากขึ้น ซึ่งการศึกษาเรื่องราวของงาน ยกตวั อยางมา พรอ มแสดงความคิดเหน็
เกย่ี วกบั ความแตกตางของผลงานทัศนศลิ ป
ทัศนศลิ ป์ในสมัยประวตั ิศาสตร์สามารถแบ่งออกเปน็ ๔ ชว่ งใหญๆ่ ดังนี้ ในวฒั นธรรมไทยสมัยกอนสโุ ขทัยและสมยั
๑) สมยั กอ่ นสโุ ขทยั เปน็ ชว่ งเวลาท่ีในอาณาบรเิ วณแผน่ ดนิ ไทยมชี นชาตติ า่ งๆ สโุ ขทยั

เคยต้ังถ่ินฐาน1มาก่อน และได้ท้ิงร่องรอยอารยธรรมทางด้านศิลปะไว้มากมาย ได้แก่

สมยั ทวารวด ี ศลิ ปะในสมยั ทวารดสี ว่ นใหญจ่ ะเกย่ี วขอ้ งกบั พระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาท

ซง่ึ รบั อิทธพิ ลมาจากอินเดียตอ่ มาก็น�ามาประยุกตจ์ นมีเอกลกั ษณ์เปน็ ของตนเอง

เช่น พระพุทธรูปปางลีลา พบท่ีวดั เขาสมอคอน สถาปัตยกรรมสมยั ทวารวดี

เช่น พระปฐมเจดยี ์องคเ์ ดมิ หรอื จุลประโทณเจดยี ์ จังหวดั นครปฐม เปน็ ตน้

สมยั ศรีวชิ ัย ศลิ ปะสมยั น้มี ีการคน้ พบรูปเคารพและ

พระพิมพด์ ินดิบเปน็ รูปพระโพธิสตั วอ์ วโลกิเตศวร

ทางดา้ นสถาปตั ยกรรมท่เี หน็ ชดั เจน ได้แก่

พระบรมธาตไุ ชยา จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ าน ี สมยั ลพบรุ ี

หรือละโว้ในประเทศไทย มีวัฒนธรรม พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยอู่ทอง
ที่หลากหลายอันเกิดจากการผสมผสาน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอมและลพบุรี ช่วง
พุทธศตวรรษท่ี ๑๘-๑๙ นับเป็นพระพุทธรูป
ระหว่างวัฒนธรรมเดิมท่ีเป็นทวารดีกับ ขนาดใหญ่ทงี่ ดงามมาก

วัฒนธรรมขอม จะเห็นได้ว่ามีหลักฐานทางสถาปัตยกรรมท่ีเรียกว่า “ปราสาทหิน”

กระจายอยู่ท่ัวไปในบริเวณต่างๆ เช่น พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี ปราสาท

เมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี สมัยเชียงแสนหรือล้านนา ประติมากรรมท่ีพบจะเป็น

พระพทุ ธรปู เปน็ ต้น
๒) สมัยสุโขทัย มีความเจริญบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ศิลปะแบบสุโขทัย

จัดได้ว่าเป็นศิลปะไทยท่ีงดงามท่ีสุดและมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองมากท่ีสุด โดยเฉพาะ

ในด้านการสร้างพระพุทธรูป ในสมัยสุโขทัยได้รับพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิ

ลังกาวงศ์มาจากลังกา ดังน้ัน อิทธิพลของศิลปะแบบลังกาจึงเข้ามามีอิทธิพลต่อศิลปะ

สุโขทัยด้วย แต่ช่างสุโขทัยก็ได้ประดิษฐ์คิดค้นและสร้างสรรค์รูปแบบงานท่ีเป็น

พระพทุ ธรปู ปางลลี า สมยั สโุ ขทยั ประดษิ ฐาน เอกลักษณ์เฉพาะของตน เช่น เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือดอกบัวตูม
อยู่ท่ีระเบียงพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร- ทีพ่ ระเจดียป์ ระธานวัดมหาธาตุ จงั หวัดสโุ ขทยั เปน็ ตน้
ดสุ ิตวนารามราชวรวหิ าร กรุงเทพมหานคร

131

แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู

ผลงานทโ่ี ดดเดนของสถาปต ยกรรมแบบศิลปะขอมคอื อะไร ครคู วรใหน กั เรยี นหาภาพผลงานทศั นศลิ ปท โ่ี ดดเดน ในแตล ะประเภท แตล ะสมยั
1. ปราสาทหนิ โดยนํามาดปู ระกอบการศกึ ษา เพอ่ื ใหนักเรียนไดเ หน็ ลกั ษณะและรปู แบบวา
2. เจดยี ท รงโอควํ่า มคี วามคลา ยคลึงหรือแตกตา งกันอยา งไร โดยครูชวยอธิบายเสรมิ ความรู
3. ศาลาจตรุ มขุ
4. ปรางคกลีบมะเฟอ ง นักเรยี นควรรู

วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ผลงานทางดานสถาปต ยกรรมของขอม 1 ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) เปน ชื่อของอาณาจกั รและสกลุ ศลิ ปะ ถอื เปน
อาณาจกั รแรกในดินแดนไทยทีไ่ ดรบั อทิ ธพิ ลจากพระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาท
ทโ่ี ดดเดน คอื การสรา งเทวาลยั ในลกั ษณะทเ่ี ปน ปราสาทหนิ เพอ่ื ประดษิ ฐาน ซ่ึงมกี ารสรางสรรคผลงานทัศนศิลปหลายประเภท โดยเฉพาะสถาปตยกรรม
รปู เทพองคส าํ คญั ของศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดู และใชเ ปน ทปี่ ระกอบพธิ กี รรม และประตมิ ากรรมทส่ี ะทอนถงึ ความเชื่อ ความศรัทธาที่มีตอ พระพทุ ธศาสนา
ทางศาสนา รปู แบบผลงานทศั นศิลปของทวารวดีไดเปนแบบอยา งใหอ าณาจกั รตา งๆ
ท่ัวดนิ แดนไทยนําไปพฒั นาเปนสกลุ ศิลปะของตนเอง

คู่มือครู 131

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain

อธบิ ายความรู้ Explain

1. ใหน ักเรียนกลุมท่ี 3 และกลุมท่ี 4 สงตัวแทน ๓) สมัยอยุธยา ศูนย์กลางความเจริญอยู่
กลุม กลมุ ละ 2-3 คน ออกมานําเสนอความรู
เกย่ี วกบั ทัศนศิลปในวัฒนธรรมไทยสมยั อยธุ ยา บริเวณตอนกลางของไทย เน่ืองด้วยในสมัยอยุธยามี
และสมัยรตั นโกสนิ ทรตามท่ีไดศกึ ษามา ความเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่องยาวนานถึง ๔๑๗ ปี จึงมี
หนาช้นั เรยี น ความเจรญิ ทางดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมมาก สว่ นใหญผ่ ลงาน
ทางดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมมกั จะเกย่ี วขอ้ งกบั พระพทุ ธศาสนา
2. ครยู กตวั อยา งผลงานทศั นศลิ ปใ นวฒั นธรรมไทย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ ผลงานด้าน
สมัยอยุธยาและสมยั รัตนโกสินทร มาสมัยละ ศิลปวัฒนธรรมเด่นๆ ของอยธุ ยา เช่น เจดยี ์วดั พระศรี-
1 ผลงาน จากนนั้ ใหนักเรยี นรวมกนั อภปิ ราย สรรเพชญ์ เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล เจดีย์วัดภูเขาทอง
เกยี่ วกับลกั ษณะของผลงานทัศนศิลปท ่คี รู เป็นต้น
ยกตวั อยา งมา พรอ มแสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั
ความแตกตางของผลงานทัศนศลิ ปใน ๔) สมยั รตั นโกสนิ ทร ภายหลงั การสถาปนา
วฒั นธรรมไทยสมยั อยธุ ยาและสมยั รตั นโกสนิ ทร
กรงุ รตั นโกสนิ ทรข์ นึ้ เปน็ ราชธานแี หง่ ใหมข่ องไทย ผลงาน
พระประธานวัดหน้าพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็น ทศั นศลิ ปด์ า้ นจติ รกรรม ประตมิ ากรรม และสถาปตั ยกรรม
พระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยอยุธยาตอนปลาย ที่มีลักษณะงดงาม ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นอย่างมากมาย ผลงานทัศนศิลป์ที่
มากท่ีสุดองค์หน่ึง สา� คญั เชน่ จติ รกรรมฝาผนงั ภายในพระทน่ี ง่ั พทุ ไธสวรรย ์
“ความสงบสขุ ในจิตใจ” ผลงานของ เฉลมิ ชัย โฆษติ พิพัฒน์ ผลงาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร
จิตรกรรมฝาผนังไทย มกี ารผสมผสานกบั คตินิยมใหมจ่ ากตะวนั ตก และจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดสุวรรณาราม-
ราชวรวิหาร กรงุ เทพมหานคร เป็นต้น ตอ่ มาเมือ่ ได้รับ
อทิ ธพิ ลจากตะวนั ตก จิตรกรรมไทยได้รับการผสมผสาน
ใหเ้ กดิ เป็นรูปแบบใหม่เพ่ิมขึ้น กล่าวคอื มีการนา� เทคนิค
การเขียนภาพให้มีมิติตามแบบอย่างตะวันตก เช่น
จติ รกรรมของขรัวอนิ โขง่ ภายในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศ
ราชวรวหิ าร เป็นตน้ ปัจจบุ ันจิตรกรรมฝาผนังไทยมีการ
ผสมผสานกับคตินิยมจากตะวันตก ท�าให้มีลักษณะร่วม
สมัยกับนานาชาติมากขึ้น เช่น ผลงานจิตรกรรมของ
เฉลมิ ชยั โฆษติ พพิ ฒั น ์ ผลงานขององั คาร กลั ยาณพงศ ์
เป็นตน้
ภายหลงั การเปลย่ี นแปลงการปกครองใน พ.ศ.
๒๔๗๕ ทศั นศลิ ป์ในวฒั นธรรมไทยมกี ารเปลยี่ นแปลงและ
พฒั นารปู แบบไปตามอทิ ธพิ ลจากปจั จยั ภายนอกและตาม
แบบอยา่ งวฒั นธรรมตะวนั ตกอยา่ งชดั เจน โดยเฉพาะดา้ น
ประติมากรรมและสถาปตั ยกรรม

132

เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน การคดิ T
O-NE
ครูอธิบายเพิม่ เตมิ เกี่ยวกบั ผลงานศลิ ปกรรมไทยสมยั อยธุ ยาวา ทศั นศลิ ปส มัย
อยุธยาถอื ตามชวงเวลาทีก่ รงุ ศรอี ยุธยาเปน ราชธานีของไทย คอื พ.ศ. 1893 - 2310 ขอใดไมใชผลงานทศั นศลิ ปท่มี ชี อื่ เสยี งสมัยอยธุ ยา
อันเปน ชวงเวลาท่ยี าวนานถงึ ประมาณ 4 ศตวรรษ สภาพบานเมอื งกม็ ที ง้ั ความเจรญิ 1. พระพทุ ธรปู ทรงเคร่ือง
รงุ เรอื ง เสอื่ มโทรม สงบสุข สงคราม โดยตลอดระยะเวลา 4 ศตวรรษนน้ั ทศั นศิลป 2. เครอ่ื งเบญจรงค
ทกุ สาขาไดพ ฒั นาไปอยางกวางขวาง จนกลายเปนแบบแผนศิลปกรรมเกือบทกุ สาขา 3. เจดยี ย อ มมุ ไมสบิ สอง
สบื ตอ กนั มาถงึ สมัยกรุงธนบรุ ีและรัตนโกสนิ ทร เชน จิตรกรรม สถาปต ยกรรม 4. เคร่ืองสงั คโลก
ประติมากรรมตกแตง ประณตี ศิลป เปน ตน โดยเฉพาะผลงานจิตรกรรมและ
จติ รกรรมตกแตงในสมัยอยุธยาไดมวี ิวัฒนาการไปสคู วามงามสูงสดุ พ้ืนท่ีท่ผี ลงาน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เคร่อื งสังคโลกเปน ผลงานที่มีชอื่ เสียงและ
จติ รกรรมสมยั อยธุ ยาปรากฏอยา งงดงามและโดดเดน คอื อยธุ ยา ราชบรุ ี และเพชรบรุ ี
นอกจากน้ี ผลงานจติ รกรรมสมยั อยธุ ยาจะปรากฏอยตู ามผนังโบสถแลว ยังปรากฏ โดดเดน ของสมัยสุโขทยั ซึ่งไดรับแบบอยา งมาจากการทาํ เครอื่ งปน ดนิ เผา
ตามผนงั ดานในองคพ ระปรางค สมดุ ภาพเรือ่ งไตรภมู ิ และตเู กบ็ พระไตรปฎก ของจีน ผลงานดงั กลาวจงึ ไมใชศิลปะสมัยอยุธยา
ซ่งึ เปนการสรา งจิตรกรรมลายรดน้าํ ทจี่ ดั วา วจิ ิตรทสี่ ดุ สมัยหน่งึ

132 คู่มอื ครู

กกรระตะตนุ้ Eุน้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Explain
Engage Explore Expand Evaluate

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

๓.๒ ทัศนศลิ ป์ในวฒั นธรรมสากล ครูใหน ักเรยี นดภู าพพรี ะมิดแหง กเิ ซห ประเทศ
อยี ปิ ตและภาพวหิ ารพารเธนอน ประเทศกรซี
ศลิ ปะสากลมพี นื้ ฐานมาจากศลิ ปะตะวนั ตกและมวี วิ ฒั นาการมาหลายยคุ หลายสมยั จนอทิ ธพิ ลขยายไปยงั จากนนั้ ครถู ามนักเรยี นวา
ชาติต่างๆ ในโลกอย่างกว้างขวาง ค�าวา่ “สากล” ความหมายตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
หมายถึง ท้ังหมด ทั้งสิ้น ทั่วไป และระหว่างประเทศ ศิลปะสากลจึงเป็นศิลปะที่มีการผสมผสานแนวความคิด • ผลงานทัศนศลิ ปใ นวฒั นธรรมสากลท้ังสอง
ตลอดจนรูปแบบต่างๆ ไวอ้ ย่างกว้างขวาง มีการใชว้ ัสด ุ อุปกรณ์ และวิธีการสรา้ งสรรคผ์ ลงานได้โดยอิสระ ดงั นนั้ ผลงานแตกตา งกนั อยางไร
ศลิ ปะสากลจึงจา� แนกได้ตามช่วงเวลาและยคุ สมยั ไดอ้ ย่างกว้างๆ ดงั น้ี
ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นยุคแรกเริ่มของมนุษย์ที่มีสภาพความเป็นอยู่เร่ร่อน ยังมิได้ตั้งบ้านเรือน • เพราะเหตใุ ด ผลงานทัศนศลิ ปใ นวฒั นธรรม
อยู่เป็นหลักแหล่ง ยังชีพด้วยการล่าสัตว์ มีอาวุธและเครื่องมือท่ีท�าจากหิน กระดูก และเขาสัตว์อย่างหยาบๆ สากลจึงมคี วามแตกตางกัน
ผลงานด้านจิตรกรรมส่วนใหญ่จะเป็นจิตรกรรมฝาผนังในถ�้า ซ่ึงเป็นภาพเขียนเกี่ยวกับฝูงสัตว์หรือการล่าสัตว์ เช่น (แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบไดอ ยางอสิ ระ)
ภาพเขยี นในถ้�าลาส์โกซ ์ (Lascaux Cave) ประเทศฝร่งั เศส และถา้� อัลตามีรา (Altamira Cave) ประเทศสเปน เป็นตน้
ต่อการมีพัฒนาการในด้านการผลิตโลหะข้ึนใช้เอง รู้จักประดิษฐ์เครื่องประดับตกแต่งให้มีความสวยงามมากขึ้น สา� รวจคน้ หา Explore
ผลงานของยุคโลหะท่เี ด่นและน่าสนใจคือ อนสุ าวรยี ห์ ิน ซง่ึ ปรากฏอยูท่ ่วั ไปในยโุ รป ในสมัยประวตั ิศาสตร์ แบ่งออก
ไดเ้ ป็น ๓ สมัยใหญ่ๆ ดงั นี้ ใหน ักเรียนแบงออกเปน 3 กลุม ศกึ ษาคนควา
เกีย่ วกบั ลกั ษณะรูปแบบงานทศั นศิลปในวฒั นธรรม
๑) สมัยโบราณ เปน็ สมยั แห่งความเจริญรุง่ เรืองทางศลิ ปวัฒนธรรมด้านต่างๆ มากมาย งานทัศนศลิ ป์ สากล ตั้งแตส มัยโบราณจนถึงสมัยใหม จาก
แหลง เรียนรตู า งๆ เชน หนังสอื เรียน หอ งสมดุ
ในยุคแรกๆ เช่น อารยธรรมอียิปต์บริเวณลุ่มแม่น�้าไนล์ เป็นชุมชนท่ีมีความเจริญมาก มีการสร้างสรรค์ผลงานใน อนิ เทอรเน็ต เปนตน ตามหัวขอ ทค่ี รูกําหนดให
ดังน้ี
หลายๆ ดา้ น เชน่ ด้านจติ รกรรม ศลิ ปินอยี ิปต์มคี วามเขา้ ใจใน1การถา่ ยทอดรูปแบบไดด้ ี มีความมุ่งหมายสง่ เสริม
กลมุ ที่ 1 ทัศนศลิ ปในวัฒนธรรมสากล
ความเชอ่ื ความศรัทธาของฟาโรห์ เชน่ พรี ะมดิ แห่งเมืองกเิ ซห ์ สฟงิ ซ ์ เป็นตน้ ซงึ่ การสร้างสรรคผ์ ลงานทัศนศลิ ป์ สมยั โบราณ
ของอยี ปิ ต์ไดส้ ง่ อิทธพิ ลต่องานทศั นศิลป์ในยุคคลาสสิกสมัยกรกี และโรมันดว้ ย
กลุม ที่ 2 ทัศนศลิ ปในวฒั นธรรมสากล
พรี ะมดิ แหง่ กเิ ซห ์ เปน็ พรี ะมดิ ทใ่ี หญท่ สี่ ดุ และมชี อ่ื เสยี งทส่ี ดุ ของอยี ปิ ต์ สมยั กลาง

กลุมที่ 3 ทัศนศิลปในวัฒนธรรมสากล
สมยั ใหม

แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ นกั เรียนควรรู

ภาพวาดสมัยกอนประวัตศิ าสตรในถา้ํ ที่ยโุ รปสวนใหญบอกเลาเร่ืองราวใด 1 พรี ะมิดแหงเมืองกเิ ซห สรา งข้ึนโดยฟาโรหค ูฟแู หง อยี ิปตโบราณ เมอ่ื ประมาณ
1. การถือกําเนดิ ของศาสดา 4,600 ปมาแลว ไดร บั การยกยองวา เปน 1 ใน 7 ส่งิ มหัศจรรยข องโลกยคุ โบราณ
2. ส่งิ แวดลอมใกลต ัว พีระมิดแหงนีม้ คี วามสงู 147 เมตร (เทยี บไดก บั อาคารสงู 40 ช้ัน) ฐานเปน
3. การทาํ เกษตรกรรม รูปส่เี หลยี่ มจัตรุ ัสยาวดานละ 230 เมตร โดยดานท้ัง 4 ของพีระมดิ จะหนั ไป
4. สงครามระหวา งชนเผา ในแนวทศิ เหนอื ทิศใต ทิศตะวนั ออก และทศิ ตะวนั ตก ไดอยา งถกู ตองแมน ยํา
ใชหนิ ในการกอ สรางประมาณ 2.3 ลา นกอ น
วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ภาพวาดบนผนังถาํ้ หลายแหงในยุโรป
พีระมิดแหง เมืองกิเซหนมี้ ปี ระเด็นใหนักวิทยาศาสตรและนักวิชาการ
สว นใหญจ ะวาดเปนสญั ลักษณ บางภาพก็จะเปนเร่อื งราวของการลา สตั ว สาขาตางๆ พยายามหาเหตผุ ลมาอธิบายใหไ ดว า สรา งขนึ้ ดว ยวิธกี ารใด
ฝงู สตั ว เนอื้ หาโดยรวมจะสอื่ เรอื่ งราวทเ่ี ปน ธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ มใกลต วั ท้ังๆ ท่ีเทคโนโลยใี นการกอสรา งยงั ไมเ จริญ ตลอดจนยังเปน สถาปตยกรรมท่ีมี
ความถกู ตอ งแมน ยาํ ในการคิดคาํ นวณมาก รวมท้งั ใชแรงงานและระยะเวลา
ในการจดั สรา งเปน เวลานาน

ค่มู อื ครู 133

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain

อธบิ ายความรู้ Explain

1. ใหนกั เรยี นกลมุ ท่ี 1 สง ตัวแทนกลุม กลุมละ ในสมัยกรีก มีความเจริญรุ่งเรืองด้านศิลปวิทยาหลายๆ สาขา เช่น ด้านจิตรกรรม พบการเขียนสีบน
2-3 คน ออกมานําเสนอความรเู กย่ี วกับ
ทศั นศลิ ปใ นวัฒนธรรมสากลสมยั โบราณตามท่ี ภาชนะเคร่ืองใช้ต่างๆ ด้านประติมากรรม พบรูปแกะสลักหินอ่อนท่ีมี
ไดศ ึกษามา หนา ชน้ั เรยี น
ชื่อเสียงปรากฏอยู่เป็นจ�านวนมาก โดยเฉพาะรูปปันนักขว้างจักร
2. ครยู กตัวอยางผลงานทศั นศลิ ปใ นวัฒนธรรม
สากลสมยั โบราณ มา 1 ผลงาน จากนน้ั ให ฝมี อื ของไมรอน สถาปตั ยกรรมทง่ี ดงามและมชี อ่ื เสยี ง ไดแ้ ก ่
นักเรียนรวมกนั อภปิ รายเก่ยี วกับลักษณะของ
ผลงานทัศนศลิ ปที่ครูยกตวั อยา งมา วิหารพาร์เธนอน ในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ และ

วิหารของเทพีอะธีนา และการสร้างอาคารบ้านเรือน

ตา่ งๆ ตามแบบวิหาร เชน่ ทปี่ ระชุมสภา ตลาด ศาล

หรืออนื่ ๆ อกี มากมาย เป็นต้น

ในสมัยโรมนั ทางดา้ นวฒั นธรรมชนชาติ

โรมนั ได้รบั อิทธิพลจากกรกี ในหลายๆ ดา้ น ชาวโรมนั วิหารพาร์เธนอน ในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ สร้างข้ึนตามแบบ
ได้น�าศิลปะกรีกมาปรับปรุงใหม่ให้มีความหรูหรา สถาปัตยกรรมดอรกิ

โออ่ า่ และเสรมิ ความมอี า� นาจแบบชนชาตนิ กั รบ ผลงานดา้ นจติ รกรรมทม่ี คี วามสมบรู ณส์ ว่ นใหญพ่ บทเ่ี มอื งปอมเปอ ี

นอกจากนี้ ชาวโรมันยังนิยมน�าโมเสกมาประดับตกแต่งภาพอีกด้วย ด้านประติมากรรมผลงานท่ีมีช่ือเสียงคือ

การทา� หนา้ กากขผี้ ึง้ และการปนั ภาพเหมอื น สว่ นดา้ นสถาปตั ยกรรมมกี ารสรา้ งเพดานโค้งและนิยมสร้างโรงมหรสพ

ขนาดใหญ่ สนามกฬี า 1
๒) สมัยกลาง มีรูปแบบทางศิลปะที่ส�าคัญ คือ ศิลปะแบบโรมาเนสก์

(Romanesque) เน้นเร่ืองราวเก่ียวกบั ศาสนา เช่น รูปแม่พระ พระเยซ ู นกั บุญตา่ งๆ

เป็นตน้ สถาปัตยกรรมโรมาเนสกน์ ยิ มใชแ้ นวโคง้ แบบประทุนเกวยี น และโดม

ซ่ึงถือเป็นหัวใจของการก่อสร้าง ส่วนประติมากรรมและจิตรกรรมจะมี

ลกั ษณะเปน็ ภาพแบนราบ ไมม่ มี ติ ิ เนอ่ื งจากสถาปตั ยกรรมแบบโรมาเนสก์

มีส่วนท่ีเป็นผนังหนาทึบมาก ดังน้ัน จึงมักตกแต่งตัวอาคารด้วย

ภาพเขียนสีปูนเปยี ก และศิลปะแบบกอทิก (Gothic) เป็นศิลปะ

เพื่อคริสต์ศาสนา มีรูปแบบอ่อนช้อยมีชีวิตชีวามากกว่าศิลปะ

แบบโรมาเนสก ์ การตกแตง่ โบสถว์ หิ ารทง้ั ภายในและภายนอก

ก็ท�าอย่างประณีตงดงาม เครื่องตกแต่งมีทั้งประติมากรรม

และการประดบั หน้าต่างดว้ ยกระจกสี โครงสรา้ งของโบสถ์

มีวิวัฒนาการโดยเปลี่ยนจากแนวโค้งธรรมดามาเป็น

แนวโค้งยอดแหลม ดังนั้น จะเห็นว่าอาคารต่างๆ จึงมี

รปู สลกั หินอ่อน “ปเ อตา” ผลงานประติมากรรมของไมเคิล แองเจโล ลักษณะสูงแหลมเสียดฟา แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์
(Michelangelo) ที่อาศัยความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์เข้าช่วย ของศิลปะแบบกอทิก เช่น โบสถ์ซาเครเกอร์ โบสถ์-
ทาํ ใหผ้ ลงานมีความสมดุล กลมกลนื และสมจรงิ อยา่ งมาก นอตเตอรด์ าม กรุงปารีส ประเทศฝรงั่ เศส เปน็ ต้น

134

เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน การคิด T
O-NE
ครูอธบิ ายใหน ักเรยี นเขาใจวา ศาสนาเปน แรงผลักดันสําคญั ทีท่ าํ ใหเกดิ
การสรางสรรคผลงานศลิ ปะขึน้ มาหลายประเภท โดยศิลปน ผูสรา งสรรคจะได สถาปตยกรรมแบบศิลปะกอทิก (Gothic) มลี ักษณะเปนอยา งไร
รบั การอปุ ถมั ภจ ากกษตั รยิ  ขนุ นาง และคริสตจกั ร ดว ยเหตุท่ีผคู นสว นใหญ
ในทวปี ยโุ รปนับถอื ศาสนาครสิ ต ดังนน้ั จงึ มผี ลงานศลิ ปะชิน้ เดน ๆ ของโลก แนวตอบ สถาปต ยกรรมแบบศลิ ปะกอทกิ นยิ มสรา งใหม รี ปู ทรงสงู ชะลดู
ท่เี กย่ี วเนอื่ งกับศาสนาครสิ ตอ ยูมากมายในหลายประเทศของยโุ รป มสี วนบนเปนยอดแหลม วศิ วกรตอ งคาํ นวณนาํ้ หนักโครงสรางตางๆ ใน
การสราง โดยเฉลย่ี นํ้าหนักของหลงั คาลงบนเสาและบนผนงั ตอมา
นักเรียนควรรู สถาปตยกรรมแบบนไ้ี ดแพรห ลายในยโุ รป โดยเฉพาะอยา งย่ิงในฝร่งั เศส

1 ศิลปะแบบโรมาเนสก เปนการผสมผสานระหวา งศิลปะโรมนั กับศิลปะ ศลิ ปะแบบกอทกิ นยิ มแสดงเร่อื งราวทางศาสนาในแนว
ของอนารยชนเยอรมนั ในชว งครสิ ตศตวรรษท่ี 11-12 โดยงานดานสถาปต ยกรรมจะ เหมือนจริง (Realistic Art) ไมใชสญั ลักษณเ หมอื นศลิ ปะยคุ กอน ดังนั้น
มลี ักษณะท่เี ดน คือ การสรางวิหารที่มีหลังคาเปน รปู โคง อาคารหนาทึบ มีหนา ตา ง ผลงานสถาปต ยกรรมจึงมีโครงสรา งทรงสูง มียอดหอคอยรปู ทรงแหลมอยู
แบบวงลอ เชน หอเอนปซ าในอิตาลี เปนตน สว นงานประตมิ ากรรมนยิ มสลกั หิน ดา นบน ทําใหตวั อาคารมรี ปู รา งสูงระหงขึ้นสูเ พดาน ซมุ ประตู หนา ตาง
เปน รปู คน สตั ว และลายเรขาคณติ เพอ่ื ใชต กแตง เปน สว นประกอบในสถาปต ยกรรม ชอ งลม มสี ว นโคง แปลกกวาศลิ ปะแบบใดๆ
สาํ หรับงานจิตรกรรมท่ีหลงเหลอื อยูจะเปนภาพประกอบในพระคัมภีร

134 ค่มู ือครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

นบั ต้ังแต่ ค.ศ. ๑๓๐๐ เปน็ ตน้ 1มา เม่ือยุโรป 1. ใหน ักเรียนกลมุ ที่ 2 สง ตวั แทนกลุม กลมุ ละ
2-3 คน ออกมานําเสนอความรเู กี่ยวกบั
เขา้ สู่ยคุ สมัยแหง่ การฟนฟูศิลปวทิ ยาการ (The Renais- ทศั นศลิ ปใ นวัฒนธรรมสากลสมัยกลางตามที่
ไดศกึ ษามา หนา ชัน้ เรียน
sance) ได้มีการร้ือฟนศิลปวัฒนธรรมของกรีก โรมัน
2. ครยู กตวั อยา งผลงานทัศนศลิ ปในวฒั นธรรม
ข้ึนมาอีกครั้งหน่ึง โดยเฉพาะมนุษยนิยม (Humanism) สากลสมัยกลาง มา 1 ผลงาน จากน้นั ให
นักเรียนรวมกันอภิปรายเกย่ี วกบั ลักษณะของ
ท่ีได้รับการถ่ายทอดจากสมัยคลาสสิกและได้พัฒนาให้ ผลงานทัศนศลิ ปท คี่ รูยกตัวอยา งมา

มีระดับความเจริญถึงข้ันสุดยอด การฟนฟูศิลปวิทยา

การเกิดข้ึนในอิตาลีก่อน หลังจากน้ันจึงแพร่หลายไปยัง

ประเทศอืน่ ๆ เช่น องั กฤษ ฝร่ังเศส เยอรมนี เป็นตน้

ลักษณะของทัศนศิลป์สมัยน้ีมีลักษณะเด่น

คือ งานจิตรกรรมหรือการวาดภาพมีการใช้ท้ังสีน�้า

สนี า้� มนั และไมจ่ า� กดั เรอ่ื งราวอยกู่ บั ศาสนาเพยี งอยา่ งเดยี ว

แต่น�าเอาภาพบุคคลส�าคัญ หรือการน�าเอาต�านานสมัย

กรีกและโรมัน และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาสร้าง

เป็นภาพ หรือภาพแสดงชีวิตความเป็นอยู่ภายใน

ภาพ “โมนา ลิซา” (Mona Lisa) ผลงานของ เลโอนาร์โด ดาวินชี ครอบครัวมาเป็นแกนของเน้ือเร่ือง ซ่ึงวิธีในการ
(Leonardo da Vinci) จิตรกรชาวอิตาลี ที่ให้แสงและเงานุ่มละมุน
เขียนภาพมีการใชส้ ที ส่ี ดใส มีความกลมกลนื

เหมอื นล่องลอยอยทู่ ่ามกลางธรรมชาติ มแี สงเงา มสี ว่ นลกึ ทา� ใหด้ เู หมอื นของจรงิ ยงิ่ ขน้ึ

เชน่ เดยี วกับงานประตมิ ากรรม ที่มเี ทคนคิ การแกะสลกั และการปัน ทีแ่ สดงให้เหน็ ถงึ ความกา้ วหน้า

เป็นอย่างมาก โดยมกี ารแสดงใหเ้ หน็ โครงสร้าง สัดส่วนของรปู ทรงมนษุ ยท์ ี่สวยงาม และเป็น

แบบอย่างในการสรา้ งสรรคง์ านประตมิ ากรรมในเวลาตอ่ มา

ในทางสถาปตั ยกรรมสมยั ฟน ฟศู ลิ ปวทิ ยาการ มี

การสรา้ งสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ปท์ ี่ไมไ่ ดม้ งุ่ ไปทก่ี าร

แสดงออกเพ่ือเทิดทูนศาสนา หรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ

เพียงอย่างเดียว หากเป็นการแสดงออกถึง

วถิ ชี วี ติ และความตอ้ งการของมนษุ ย์ในแงต่ า่ งๆ

ดว้ ย เชน่ การสรา้ งอาคารบา้ นเรอื น ปราสาท

ราชวัง หอสมุด หอศิลปะ สวนสาธารณะ

แม้แต่ที่ฝังศพก็นิยมสร้างกันอย่างใหญ่โต

และวิจติ รพิสดารอยา่ งยิง่ เปน็ ตน้

โบสถ์เซนตป์ เ ตอร์ ศูนย์กลางนครรฐั วาติกัน ในกรงุ โรม ประเทศ
อติ าล ี เปน็ สถาปตั ยกรรมทโี่ ดดเด่นในยคุ ฟ้นฟูศลิ ปวทิ ยาการ

แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู

ศลิ ปะทม่ี คี วามหรูหรา ฟมุ เฟอ ย คอื ศลิ ปะในสมยั ใด ครอู ธบิ ายวา ในสมัยฟนฟูศิลปวทิ ยาการ ศลิ ปน ไดหันมาสรา งสรรคผ ลงาน
1. สมัยโรมนั ท่สี ะทอนความเปน ตัวตนของศิลปน สือ่ ความคดิ ทเี่ ปน อิสระ ไมไ ดสรา งสรรคข ึ้นมา
2. สมัยกอทิก เพือ่ ตอบสนองหรือเนน เพือ่ คริสตจักรเหมือนทีเ่ คยปฏิบตั ิกันมา
3. สมยั ฟน ฟูศิลปวิทยาการ
4. สมัยโรโกโก นักเรียนควรรู

วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ศลิ ปะสมยั โรโกโก เปนศลิ ปะตอนปลาย 1 ฟนฟูศลิ ปวทิ ยาการ อยูในชว งครสิ ตศตวรรษที่ 14-17 ถอื วา เปนยคุ สมัย
ท่ยี ุโรปไดผา นพนยุคกลางหรอื ยุคมดื ออกมา เปน การเกิดใหมเ กีย่ วกบั การศกึ ษา
สมัยฟน ฟศู ิลปวิทยาเช่ือมตอกับศลิ ปะยุคใหม มีการจดั องคประกอบศิลปท ่ี การฟน ฟอู ดุ มคติ ศลิ ปะ วรรณกรรม การแสวงหาสทิ ธเิ สรภี าพและแนวความคดิ
เนนรายละเอียดสว นยอยอยางฟุมเฟอ ย โดยเฉพาะการใชสวนโคง สวนเวา อนั เปน อสิ ระจากกรอบท่เี คยถกู จํากดั โดยกฎเกณฑแ ละขอบงั คบั ของคริสตจ กั ร
งานจิตรกรรมและประติมากรรมยังคงเนนรูปราง รปู ทรงธรรมชาติ การฟน ฟศู ิลปวทิ ยาการไดเริม่ ตน ขึน้ ทีอ่ ติ าลี กอ นจะแพรก ระจายไปยงั ดนิ แดนตา งๆ
(Realistic) แตใ ชส ีรนุ แรงข้ึน งานสถาปตยกรรมประกอบดว ยเสนโคง มน ท่ัวยโุ รป
ตกแตง โครงสรา งเดิม มีลวดลายออ นชอย งดงาม เชน โบสถเ ซนตคารโล
(Church of St. Carlo) ท่ีประเทศอิตาลี พระราชวังแวรซายส (Versailles
palace) ท่ปี ระเทศฝรั่งเศส เปน ตน

ค่มู อื ครู 135

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain

อธบิ ายความรู้ Explain

1. ใหน กั เรียนกลมุ ท่ี 3 สง ตัวแทนกลุม กลุมละ เกร็ดศิลป ศิลปกรรมของอิตาลสี มัยฟน ฟศู ิลปวิทยาการ
2-3 คน ออกมานาํ เสนอความรเู กีย่ วกบั ศลิ ปกรรมของอติ าลีในสมัยฟน ฟศู ิลปวิทยาการสามารถสรุปได ้ ดงั นี้
ทัศนศลิ ปใ นวัฒนธรรมสากลสมัยใหมตามทไี่ ด ๑. ด้านจิตรกรรม เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาที่ส�าคัญ เช่น ภาพก�าเนิดวีนัส
ศึกษามา หนาชั้นเรยี น (Birth of Venus) ผลงานของ ซานโดร บอตตเิ ชลล ี (Sandro Botticlli) ภาพพระกระยาหาร
มื้อสุดทา้ ย (The Last Supper) ภาพโมนา ลซิ า (Mona Lisa) ผลงานของ เลโอนาร์โด ดา วินชี
2. ครยู กตัวอยางผลงานทศั นศลิ ปในวัฒนธรรม (Leonardo da Vinci) ภาพกา� เนิดอดมั (The Creation of Adam) ผลงานของ ไมเคลิ แองเจโล
สากลสมัยใหม มา 1 ผลงาน จากน้นั ให (Michelangelo) ภาพโรงเรียนของกรงุ เอเธนส ์ (The School of Athens) ผลงานของ ราฟาเอล
นกั เรยี นรวมกนั อภปิ รายเก่ียวกับลกั ษณะของ เปเรยร์ า ดา ซิลวา (Rafael Pereira da Silva) เป็นต้น
ผลงานทัศนศลิ ปทค่ี รยู กตัวอยางมา ๒. ด้านประติมากรรม นิยมปันรูปบุคคลเหมือนจริงได้สัดส่วน เช่น รูปเดวิด (David)
ปิเอตา (Pieta) โมเสส (Moses) ผลงานของ ไมเคลิ แองเจโล (Michelangelo) เป็นต้น
๓. ด้านสถาปัตยกรรม นิยมสร้างโบสถ์ให้มีหลังคารูปโดมวงกลม เช่น โดมของโบสถ์
เซนตป์ ีเตอร ์ ในนครวาติกันผลงานของ ไมเคิล แองเจโล (Michelangelo) เปน็ ต้น

๓) สมัยใหม่ ศิลปะสากลยังมีความเจริญรุ่งเรืองมากในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๙ โดยมีฝรั่งเศสเป็น
จุดศูนย์รวม ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได1้เกิดผลงานสร้างสรรค์โดยเฉพาะทางด้านจิตรกรรมข้ึนมาหลายลัทธิหรือ

หลายแบบ เช่น ผลงานแนวจินตนิยม (Romanticism) แสดงความรู้สึกออกมาเกินความจริง หรือผลงานแนว
ประทับใจท่ีสื่อความประทับใจออกมาให้ได้แสงสีตามบรรยากาศท่ีเป็นจริง หรือเน้นความเป็นจริงตามธรรมชาต ิ
แนวบาศกนิยม (Cubism) มกี ารสรา้ งสรรค์โดยการน�ากลวิธภี าพปะตดิ ดว้ ยกระดาษและเศษผา้ หรอื การใชแ้ ผน่ โลหะ
และเศษวัสดุต่างๆ มาประกอบเข้าด้วยกัน การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ตามแนวบาศกนิยมเป็นการบุกเบิกให้
วงการทศั นศลิ ปส์ มยั ใหมก่ ้าวรดุ หนา้ ไปจากแนวทางเดิมอยา่ งสนิ้ เชิง เป็นตน้
หลังจากนั้นความเจริญก้าวหน้าในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ก็ได้เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา

ในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ จนถึงปัจจุบัน ท2�าให้เกิดลัทธิทางศิลปะแบบใหม่ขึ้นอย่างมากมาย เช่น

แนวนามธรรม (Abstract) แนวส�าแดงพลังทางอารมณ์ (Abstract Expressionism) แนวตาชิสม์ (Tachism)
แนวปอ ปอาร์ต (Pop art) เปน็ ต้น

“นาฬก าเหลว” ผลงานของ ซัลวาดอร ์ ดาล ี (Salvador Dali) เปน็ ดังน้ัน การท่ีจะเปรียบเทียบความแตกต่าง
ผลงานจติ รกรรมในลทั ธเิ หนือจริง ของงานทศั นศลิ ป์ในวฒั นธรรมไทยและสากลใหเ้ หน็ ภาพ
อย่างละเอียดและมีความเด่นชัดอาจเป็นไปได้ยาก
เนอื่ งจากมเี นอื้ หาสาระและรายละเอยี ดมาก ในระดบั ชนั้ นี้
คงตอ้ งอาศยั การเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของทศั นศลิ ป์
ทั้ง ๒ เป็นภาพรวม โดยการเปรียบเทียบจากลักษณะทมี่ ี
ความโดดเดน่ ชดั เจนในแตล่ ะชว่ งเวลาของไทยและสากล
มาเปรยี บเทยี บกนั วา่ มอี ะไรเกดิ ขน้ึ ในชว่ งเวลารว่ มสมยั กนั
เพือ่ นา� มาประกอบการศึกษา ซ่งึ นักเรียนสามารถเหน็ ได้
จากตารางเปรยี บเทยี บตอ่ ไปน้ี

13๖

นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน การคดิ T
O-NE
1 ผลงานแนวจนิ ตนยิ ม การแสดงออกทางจนิ ตนาการหรอื มโนทศั นท เี่ ตม็ ไปดว ย
ความเพอฝน ความแปลกประหลาด นาพิศวง ความนาทงึ่ ตืน่ เตน เรอ่ื งราว ภาพจิตรกรรมนเี้ ปน แนวศลิ ปะแบบใด
อนั เรา ใจอยา งสดุ ขดี ความรนุ แรง ความหวาดเสยี ว นา สยดสยอง หรอื เรอื่ งราว 1. บาศกนยิ ม (Cubism)
เกย่ี วกบั อารมณภายในอนั ปนปวน 2. จนิ ตนิยม (Romanticism)
2 แนวสาํ แดงพลงั ทางอารมณ มีการแสดงออกผสมผสานกนั ระหวา งรูปทรง 3. สัจนยิ ม (Realisticism)
นามธรรมกับอารมณส ะเทือนใจทพี่ วยพุงออกมา โดยปราศจากการควบคุม 4. ประชานยิ ม (Pop Art)
ของจิตรกร ผลงานจะแสดงใหเ หน็ ถึงความกลา หาญ เดด็ ขาด และเตม็ ไปดว ยพลงั
ท่ีรุนแรง วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. ผลงานดงั กลา วเปนแนวศิลปะแบบ

บาศกนิยม ทน่ี าํ เสนอผลงานใหม ีลักษณะผันแปรไปจากความเปนจริง
โดยทาํ เปน เหล่ยี มมุมอยา งลูกบาศก หรือเปนอยา งทรงเรขาคณติ เพ่ือเนน
ใหเ หน็ มิติท้งั ดานความสูง ความกวา ง และความลกึ มที ง้ั ผลงานท่เี ปน
จติ รกรรมและประติมากรรม

136 คมู่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore
Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

ตารางเปรียบเทยี บงานทศั นศลิ ปใ นวฒั นธรรมไทยและสากล ครูใหนักเรยี นศกึ ษาตารางเปรียบเทยี บ
งานทัศนศิลปในวัฒนธรรมไทยและสากลใน
ทศั นศิลปในวฒั นธรรมไทย ทศั นศิลปในวัฒนธรรมสากล หนังสือเรียน หนา 137-138 จากนนั้ ครอู ธบิ าย
เสริมแกนกั เรียนวา
พุทธศตวรรษท่ี ๗ ครสิ ตศักราช ๓๐๖-๓๐๗
งานทัศนศิลปอินเดียเริ่มเขามาเผยแผพรอมกับ งานทัศนศิลปในอาณาจักรออตโตมัน (Ottoman) • ศลิ ปะไทยกับสากลจัดแบง ออกเปน ประเภท
จติ รกรรม ประติมากรรม สถาปต ยกรรม
การคาขายในแถบดินแดนสุวรรณภูมิ มีรูปแบบเปน เปน แบบไบแซนไทน (Byzantine) คือ มีการผสมผสาน เหมอื นกนั
ศลิ ปะแบบอนิ เดียอยา งชดั เจน แบบโรมันและแบบเอเชียกลาง (มุสลิม) เชน วิหาร
ฮาเกยี โซเฟย ที่กรงุ อสิ ตนั บูล ประเทศตุรกี เปนตน • ผลงานศิลปะของไทยและสากลลวนมี
พัฒนาการในแตล ะยุคสมัย ซึ่งตา งก็มี
ลกั ษณะเฉพาะของตนเอง

• ผลงานศิลปะของไทยในชว งสมัยหลงั
ไดรบั แบบอยาง หรอื ไดรับอิทธิพลจาก
ศลิ ปะตะวันตกอยา งมาก

• ศิลปะไทยสะทอนความศรัทธา ความเชื่อ
ทางพระพุทธศาสนาเปนหลัก ขณะที่
ศิลปะสากลสะทอนความศรัทธา ความเช่ือ
ในศาสนาครสิ ต

พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘ คริสตศ กั ราช ๔๗๖-๑๔๙๒

งานทัศนศิลปในสมัยอาณาจักรโบราณ ไดแก งานทัศนศิลปยุคกลางในยุโรป รูปแบบทัศนศิลป
อาณาจักรทวารวดี ศรีวิชัย และละโว มีรูปแบบของ จะเปนการถายทอดผลงานทัศนศิลป โดยเนนเรื่องราว
งานทัศนศิลปแบบผสมผสานกับศิลปะอินเดียและ ทางศาสนาเปนหลัก
แบบพ้ืนเมือง ตามคติความเช่ือของพระพุทธศาสนา
และศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู

13๗

แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู

ศิลปะอินเดยี มคี วามสําคัญตอ งานทัศนศลิ ปในวฒั นธรรมไทยอยางไร ครเู นนยํา้ เก่ยี วกบั คุณคา ของงานทศั นศิลปท ง้ั ในวัฒนธรรมไทยและสากลวา
แนวตอบ ศลิ ปะอนิ เดยี ถือเปน รากฐานของศิลปะไทยนบั ตง้ั แตส มัยโบราณ งานจิตรกรรมเปนศิลปะทีส่ ่ือความงามและความรสู ึกไปสูผดู หู รอื ผูชน่ื ชม
กอนทค่ี นไทยจะนาํ มาดดั แปลงประยกุ ตจ นมีลกั ษณะเฉพาะเปน ของตนเอง ไดโ ดยงา ย คุณคาเบ้ืองตน เปน คณุ คาทางดา นจติ ใจในการชมความงาม
จนภายหลงั ไดรบั อทิ ธพิ ลจากศิลปะสากลซ่ึงเขา มาแทนท่ี เหตผุ ลที่ ความละเอยี ดออ นของเสน สี แสงเงา และองคประกอบศิลปตา งๆ ชว ยผอ นคลาย
ศลิ ปะอินเดียมบี ทบาทมากในชวงเรมิ่ แรก อาจเน่ืองมาจากเปนศลิ ปะท่ีมี อารมณ ใหค ติธรรม แนวคิดในการดาํ รงชีวิต และยงั รักษาขนบธรรมเนียมประเพณี
ความเจรญิ มากกวารปู แบบศิลปะของผูคนในทอ งถ่ิน รวมถึงศลิ ปะอนิ เดยี ใน วัฒนธรรม ศาสนา และประวตั ิศาสตร จากจติ รกรรมฝาผนังตา งๆ
สมยั นั้นไดผสมผสานอยูในพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ- ฮินดู งานประติมากรรม เปน ศิลปะที่สอื่ ความงามและความรสู กึ ไปสผู ดู ูหรอื ผชู ่ืนชม
การยอมรบั จึงเปน ไปโดยงาย ดงั นั้น การแสดงออกตองานทศั นศิลป ไดดว ยรปู ทรงและพน้ื ผวิ โดยมีแสงสวา งมากระทบใหเ กดิ เงาจากมติ คิ วามตนื้ ลึก
ในวัฒนธรรมไทย จึงมรี องรอยของศลิ ปะในวัฒนธรรมอนิ เดยี ปรากฏอยู ของรูปทรงนั้นๆ
โดยทั่วไป ไมว าจะเปน การสรา งผลงานประติมากรรมเปนรปู เคารพ งานสถาปต ยกรรม เปนศิลปะทเี่ นน ประโยชนใ ชส อยมากกวา เพราะเปน อาคาร
รูปแบบผลงานสถาปตยกรรมท่เี ปนศาสนสถาน เปนตน สถานที่และเปนท่อี ยูอาศยั ของมนุษยนนั่ เอง เชน พระราชวัง โบสถ ตําหนกั วดั
วหิ าร เจดีย สถูป เปน ตน

คู่มอื ครู 137

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขข้าา้ใจใจ ตรวจสอบผล
Explain Evaluate
Engage Explore Expand

ขยายความเขา้ ใจ E×pand

ใหนักเรยี นแตล ะคนนําภาพงานทศั นศิลปใน ทัศนศลิ ปในวฒั นธรรมไทย ทศั นศลิ ปในวัฒนธรรมสากล
วัฒนธรรมไทยและสากล มาอยางละ 1 ภาพ
จากนนั้ นํามาวเิ คราะหจดุ ประสงคในการสรางสรรค พุทธศตวรรษท่ี ๑๘-๒๓ ครสิ ตศักราช ๑๐๙๖-๑๒๙๑
ผลงานของแตละภาพ ตามหวั ขอ ตอไปนี้ งานทัศนศิลปในสมัยอาณาจักรลานนา สุโขทัย ในชวงการทําสงครามศาสนาระหวางชาวคริสเตียน

• จดุ ประสงคใ นการสรางสรรคงานทศั นศิลป มีรูปแบบทางทัศนศิลปท่ีไดรับอิทธิพลจากศิลปะลังกา กับชาวมุสลิม เรียกวา สงครามครูเสด ทําใหการ
ของวัฒนธรรมไทย และพมา ในยุคแรกๆ ตอมาไดมีการพัฒนารูปแบบ สรา งสรรคผลงานทัศนศิลปใ นยุโรปชะลอตัวลงไป
เปน ลักษณะเฉพาะของตนเอง
• จุดประสงคใ นการสรางสรรคงานทศั นศิลป
ของวัฒนธรรมสากล

• เปรยี บเทยี บความแตกตา งของจุดประสงค
ในการสรา งสรรคง านทศั นศิลปของ
วฒั นธรรมไทยและสากล

แลว ใหนักเรียนนําผลงานสงครูผสู อน โดยครู
คัดเลือกผลงานของนกั เรียนไปติดปายนิเทศ

พทุ ธศักราช ๑๘๙๓-๒๓๙๔ ครสิ ตศกั ราช ๑๓๐๐-๑๔๙๐

งานทศั นศลิ ปใ นสมยั อยธุ ยาจนถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทร งานทัศนศิลปเริ่มตนเขาสูยุคฟนฟูศิลปวิทยาการ
ตอนตน (สมัยรัชกาลท่ี ๓) รูปแบบทางศิลปะไดรับ ในยุโรป มีการสรางสรรคผลงานตามหลักมนุษยนิยม
อิทธิพลจากเขมร จีน ตะวันตก ผลงานจิตรกรรม ศิลปวิทยาการมีความกาวหนามากขึ้น มีการเขียน
มคี วามเจรญิ รงุ เรอื งในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา - ภาพเหมือนจริงจนพัฒนามาเปนรูปแ1บบทางศิลปะที่มี
เจา อยูหัว เอกลกั ษณเ ฉพาะตวั เชน ศลิ ปะบาโรก (Baroque) ศลิ ปะ
แนวคลาสสิกใหม (Neoclassicism) ศลิ ปะแ2นวจินตนยิ ม
(Romanticism) ศิลปะแนวธรรมชาตินิยม (Naturalism)

และศิลปะแนวสัจนยิ ม (R3ealism) เปน ตน

13๘ ขแอนสวอบNเนTน การคดิ T
O-NE
นกั เรียนควรรู
ผลงานทศั นศลิ ปข องไทยกับสากลมคี วามคลายคลงึ กนั ในเรื่องใดมากท่สี ดุ
1 ศิลปะบาโรก กระบวนแบบศิลปะสมัยหนึง่ ของยุโรป เริ่มตั้งแตศตวรรษท่ี 17 1. หนาทใี่ ชส อย
สบื ตอ มาจากสมัยฟน ฟูศิลปวิทยาการ และสนิ้ สุดลงในปลายคริสตศตวรรษที่ 18 2. การรบั อิทธพิ ลศลิ ปะ
ลกั ษณะของผลงานศิลปะจะมกี ารประดบั ตกแตง อยา งอลงั การ หรูหรา ฟุมเฟอย 3. ประวตั ิความเปนมา
ลวดลายเนนความออนชอ ย สวยงาม สที นี่ ิยมนาํ มาใชจ ะเปน สที อง เพ่อื ใหตดั กบั 4. การเลอื กใชอุปกรณ
สีอื่นๆ และเพ่อื แสดงถงึ ความโออ า หรูหรา มง่ั ค่ัง
2 ศิลปะแนวธรรมชาตนิ ยิ ม คตนิ ิยมทางศิลปกรรมทม่ี งุ นาํ เสนอเร่ืองราวตาม วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. หนาทใ่ี ชสอย กลาวคอื ผลงานทัศนศลิ ป
ธรรมชาติ เน้อื หาสาระสําคัญ คือ การแสดงความขัดแยงกับความไมคอยเปน
ธรรมชาติของอดุ มคตนิ ยิ ม และไมเห็นดว ยกับการใชอารมณ และจินตนาการ ทัง้ ไทยและสากลสรางขึ้นเพอ่ื นาํ ไปใชต อบสนองเกย่ี วกับเรื่องดงั ตอ ไปนี้
อยา งฟมุ เฟอ ยจนเกนิ ไป คอื เพ่อื ชนื่ ชมหรือเพื่อแสดงออกทางความงาม ใชป ระดบั ตกแตง
3 ศิลปะแนวสัจจนยิ ม เริม่ ตนราวศตวรรษที่ 18 โดยท่ัวไปศิลปนแนวน้มี กั จะ เพ่อื เปน ทีเ่ คารพบูชา หรือเพ่อื เผยแผศาสนา
สรางสรรคผลงานข้ึนมาเพ่ือสะทอ นความจรงิ ในสงั คม ใชผลงานบอกเลา เร่อื งราว
ทีเ่ กดิ ขึ้นในสมัยน้ัน โดยเฉพาะเรื่องราวของชนช้ันกรรมาชพี ไมไดเ นน เพยี ง
เรอื่ งราวของศาสนา สถาบนั กษตั รยิ  หรือชนชนั้ สูงเหมือนที่ผา นมา

138 คมู่ อื ครู


Click to View FlipBook Version