The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ศิริพร สมสิงห์, 2023-02-22 00:51:19

ประวัติลีลาศ

ประวัติลีลาศ

ลีลาศ


ยินดีต้อนรับสู่ ประวัติลีลาศ!


ลีลาศนั้นมีมานับเป็นพัน ๆ ปีแล้ว แต่เพิ่งมีหลักฐาน แน่ชัดเมื่อประมาณ ปี ค.ศ.1400 ซึ่งได้อธิบายถึง การก้าวเดิน และดนตรี การเต้นรำ แบบบอลรูม เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมช่องว่างระหว่างชาติและ เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ถึงแม้ว่าชาวตะวันตกจะนิยมกัน อย่างมาก ประวัติลีลาศ


ประวัติลีลาศ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ศิลปะการเต้นรำ ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้ ถูกค้นพบจากภาพวาดบนผนังถ้ำ ในแอฟริกาและยุโรปตอน ใต้ ซึ่งศิลปะในการเต้นรำ ได้ถูกวาดมาไม่น้อยกว่า 20,000 ปี มาแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งสำ คัญในชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ใน สมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก นอกจากนี้อาจมีการ เฉลิมฉลองการเต้นรำ ด้วยเหตุอื่น ๆ เช่น ฉลองการเกิด การ หายจากอาการเจ็บป่วย


ในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและตะวันออกกลาง มีภาพวาด รูป ปั้นแกะสลัก และบทประพันธ์ของชาวอียิปต์โบราณ แสดงให้เห็น ถึง การเต้นรำ ได้ถูกจัดขึ้นในพิธีศพ ขบวนแห่ และพิธีกรรมทาง ศาสนา มีการเต้นรำ หรือแสดงละคร เพื่อขอบคุณเทพเจ้าโอซิริส (God Osiris) ชาวกรีกโบราณเห็นว่า การเต้นรำ เป็นสิ่งจำ เป็น ทั้งในการศึกษา การบวงสรวงเทพเจ้าเทพธิดาและการแสดง ละคร ปรัชญาเมธีพลาโตให้ความเห็นว่า พลเมืองกรีกที่ดีต้อง เรียนรู้การเต้นรำ เพื่อพัฒนาการบังคับร่างกายของตนเอง เพื่อ เสริมสร้างทักษะในการต่อสู้ ประวัติลีลาศ ยุคโบราณ


เป็นยุคที่ค่อนข้างสับสนวุ่นวาย สังคมไม่สงบสุข โบสถ์มีอิทธิพล ต่อการเต้นรำ ของยุโรปมาก โบสถ์มีข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการ เต้นรำ ทั้งนี้เป็นเพราะการเต้นรำ บางอย่างถือว่าต่ำ ช้าและเพื่อ กามารมณ์ในปี ค.ศ. 300 บรรดาผู้ใช้แรงงานฝีมือ ได้จัดละคร ทางศาสนาขึ้นและมีการเต้นรำ รวมอยู่ด้วยในยุคกลางยุโรปยังมี การเฉลิมฉลองการแต่งงานวันหยุด และประเพณีต่าง ๆ ตาม โอกาสด้วย การเต้นรำ พื้นเมือง ผู้ใหญ่และเด็กในชนบท จะจัดรำ ดาบและเต้นรำ รอบเสาสูง ที่ผูกริบบิ้นจากยอดเสา(Maypoles) พวกขุนนางที่ไปพบเห็น ก็นำ มาพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น ประวัติลีลาศ ยุคกลาง ( ค.ศ. 400 – 1500 )


เป็นยุคที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ยุค ฟื้นฟูเริ่มในอิตาลีเมื่อปี ค.ศ. 300 ในช่วงปลายสมัยกลางแล้ว แผ่ขยายไปในยุโรปขุนนางที่มีความมั่นคงตามเมืองต่างๆ จะจ้าง ครูเต้นรำ อาชีพมาสอนในคฤหาสน์ของตนในยุโรประหว่าง ศตวรรษที่ 16 งานเลี้ยงฉลองได้ถูกจัดขึ้นตามโอกาสต่างๆ เช่น งานวันเกิด งานแต่งงาน และงานต้อนรับแขกที่มาเยือน ในงาน จะรวมพวกการเต้นรำ การประพันธ์ การดนตรี และการแสดง ละครด้วย ขุนนางผู้หนึ่งชื่อ Lorenzo de Medlci ได้จัดงาน ขึ้นที่คฤหาสน์ของตนในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่ง ฝรั่งเศสได้ปรับปรุงและพัฒนาการบัลเล่ย์ใหม่ และได้มีการตั้ง โรงเรียนบัลเล่ย์ขึ้นเป็นแห่งแรก ชื่อAcademic Royale de Danceการเต้นรำ ในปี ค.ศ.1700 ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุด ได้แก่ Gavotte,Allemande และ Minuet รูปแบบการเต้นจะ ประกอบด้วยการก้าวเดิน หรือวิ่ง การร่อนถลา การขึ้นลงของ ลำ ตัว การโค้ง และถอนสายบัว ประวัติลีลาศ ยุคฟื้นฟู ( ค.ศ.1400 – 1600 )


ประวัติลีลาศยุคโรแมนติค เป็นยุคที่มีการปฏิรูปเรื่องบัลเล่ย์ ในยุคนี้ นักเต้นรำ มีความอิสระ ในการเคลื่อนไหว และการแสดงออกของบุคคล สมัยก่อนการแส ดงบัลเล่ย์ มักจะแสดงเรื่องที่เกี่ยวกับเทพเจ้าเทพธิดาแต่ยุคนี้มุ่ง แสดงเกี่ยวกับชีวิตคนธรรมดาสามัญ เรื่องทั่ว ๆ ไป รวมถึงใส่ จินตนาการ ลงไปในบางครั้งด้วยในช่วงปี ค.ศ.1800 – 1900 การเต้นรำ ใหม่ๆ ที่เป็นที่นิยมกันมากในยุโรปและอเมริกา จะเริ่มต้น จากคนธรรมดาสามัญโดยการเต้นรำ พื้นเมือง พวกขุนนางเห็นเข้า ก็นำ ไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับราชสำ นัก เช่น การเต้น โพลก้า วอลซ์ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมมากของชนชั้นกลางและชนชั้นสูง


จังหวะวอลซ์จากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งเกิดขึ้นในปลาย ศตวรรษที่ 17 แต่มิได้เผยแพร่ จนกระทั่งในปี ค.ศ.1816 จังหวะ วอลซ์ได้ถูกนำ มาเผยแพร่ ต่อที่ประชุมโดยพระเจ้ายอร์ชที่ 4 แม้จะไม่ สมบูรณ์นักในขณะนั้น แต่ก็จัดว่า จังหวะวอลซ์เป็นจังหวะแรกของ การลีลาศแท้จริง เพราะคู่ลีลาศสามารถจับคู่เต้นรำ ได้ ในราวกลาง ศตวรรที่ 19 การเต้นรำ ใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นอีกมากอาทิ การเต้นมิลิทารี่ สก๊อตติช (Millitary Schottische) การเต้นเค็กวอล์ค (Cakewalk) จังหวะแทงโก้ จากอาร์เจนตินาเริ่มเผยแพร่ที่ปารีส เป็นจังหวะที่แปลก และเต้นสวยงามมาก ปี ค.ศ.1929 จังหวะจิต เตอร์บัก (Jittebug)เริ่มเป็นที่นิยม รูปแบบการเต้นต้องอาศัย ยิมนาสติก การเบรก และการก้าวเท้าย่ำ เร็วๆ ปี ค.ศ.1950 ได้จัดตั้ง สภาการลีลาศระหว่างชาติ (International Council of Ballroom Dancing)โดยใช้ชื่อย่อว่าI.C.B.D.และในปีเดียวกันนี้ มีจังหวะใหม่ๆ เข้ามาเผยแพร่อีก เช่น จังหวะแมมโบ้ จากคิวบา จังหวะ ชา ชา ช่า จากโดมินิกัน และจังหวะ เมอเรงเก้ จากโดมินิกัน ประวัติลีลาศ ยุคปัจจุบัน ( ค.ศ.1900 )


ประวัติลีลาศไทย เกิดขึ้นเมื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานยืนยันได้แน่ชัด แต่ จากบันทึกของ แหม่มแอนนา ทำ ให้มีหลักฐานเชื่อได้ว่าเมืองไทยมี ลีลาศมาตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ 4 และบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็น นักลีลาศคนแรกก็คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับการยกย่องให้เป็น นักลีลาศคนแรกของไทย ตามบันทึกกล่าวว่าในช่วงหนึ่งของการ สนทนาได้พูดถึงการเต้นรำ ซึ่งแหม่มแอนนาพยายามสอนพระองค์ ท่าน ให้รู้จักการเต้นรำ แบบสุภาพ ซึ่งเป็นที่นิยมของชาติตะวันตก พร้อมกับแสดงท่าและบอกว่าจังหวะวอลซ์นั้นหรูมาก ส่วนใหญ่มี แต่เจ้านายและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เต้นรำ กัน โดยเฉพาะเจ้านายที่ ว่าการต่างประเทศได้มีการเชิญทูตานุทูต และแขกชาวต่างประเทศ มาชุมนุมเต้นรำ กันที่บ้าน ในสมัยรัชกาลที่ 7 การเต้นรำ ได้รับความ นิยมมากขึ้น ได้เปิดให้มีการเต้นกันตามสถานที่ต่างๆ เช่น ที่ห้อย เทียนเหลาเก้าชั้น ประวัติลีลาศในประเทศไทย


ความหมายของลีลาศ


ลีลาศ เป็นนาม แปลว่า ท่าทางอันงดงาม การเยื้องกราย เป็นกิริยาแปล ว่าเยื้องกรายเดิน นวยนาด เต้นรำ เป็นกิริยาแปลว่าเคลื่อนที่ไปโดยมีระยะก้าวตามกำ หนด ให้เข้ากับ จังหวะดนตรี คำ ว่าลีลาศตรงกับภาษาอังกฤษว่า Ballroom Dancing หมายถึง การเต้นรำ ของคู่ชายหญิงตามจังหวะดนตรีที่มีแบบอย่างและลวดลาย การเต้นเฉพาะตัว โดยมีระเบียบของการชุมนุม ณ สถานที่อันจัดไว้ใน สังคม ใช้ในงานราตรีสโมสรต่างๆ และมิใช่การแสดงเพื่อให้คนดู นอกจาก นี้ยังมีคำ อีกคำ หนึ่งที่มักจะได้ยินกันอยู่ เสมอคือคำ ว่า Social Dance ส่วนใหญ่มักจะนำ มาใช้ในความหมายเดียวกันกับคำ ว่า Ballroom Dancing สหรัฐอเมริกาคำ ว่า Social Dance หมายถึง การเต้นรำ ทุกประเภทที่ จัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนมาอยู่ร่วมกัน และได้มีส่วนร่วมใน กิจกรรมการเต้นรำ เป็นหมู่คณะ เพื่อให้ได้ความสนุกสานเพลิดเพลิน จึง กล่าวได้ว่า Ballroom Dancing เป็นส่วนหนึ่งของ Social Dance (ธงชัย เจริญทรัพย์มณี 2538) ความหมายของลีลาศ


รูปแบบของการลีลาศ


ลีลาศเพื่อนันทนาการ (Ballroom Dancing for Recreation) การลีลาศเพื่อนันทนาการ มีความมุ่งหมายที่จะใช้การลีลาศเป็นสื่อ ดึงความสนใจของบุคคลต่าง ๆ ให้เข้าร่วมกิจกรรม จะเห็นได้ว่า การ จัดงานรื่นเริงในโอกาสต่าง ๆ เช่น งานพบปะสังสรรค์ งานฉลองใน วาระสำ เร็จการศึกษา งานราตรีสโมสร ฯลฯ ล้วนแต่มีลีลาศเป็นส่วน ประกอบทั้งสิ้น การลีลาศในรูปแบบนี้มักไม่ค่อยยึดติดหรือคำ นึงถึง รูปแบบมากนัก เพียงแต่อาศัยจังหวะและ ทำ นองดนตรีประกอบก็ พอ สำ หรับลีลาท่าทางหรือลวดลาย (Figure) ต่าง ๆ ในการ เคลื่อนไหวจะเน้นที่ความสนุกสนาน และ ความพึงพอใจของคู่ลีลาศ เป็นสำ คัญ รูปแบบของการลีลาศ


ลีลาศเพื่อการแข่งขัน (Ballroom Dancing for Sport’s Competition) การลีลาศเพื่อการแข่งขัน จะคำ นึงถึงรูปแบบที่ถูกต้อง ตามเทคนิควิธีมีความสง่างามตามหลักของการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ เป็นสำ คัญ ได้มีสมาคมลีลาศในหลาย ๆ ประเทศรวมทั้งประเทศไทยได้ร่วม กันส่งเสริมลีลาศให้มีการพัฒนาและพยายามจัดให้เป็นรูปแบบของกีฬา โดยมีแนวคิดว่าลีลาศคือกีฬาชนิดหนึ่ง ที่ให้ความบันเทิงและส่งเสริมสุข ภาพพลานามัยเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังได้ร่วมกันจัดการแข่งขันลีลาศ ขึ้นในหลายระดับ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ทั้งประเภทอาชีพ และ สมัครเล่น โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกัน เช่น การแข่งขันลีลาศระหว่างประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิค การแข่งขันลีลาศประเภททีมนานาชาติ การแข่งขันลีลาศชิงแชมป์โลก (Asian Pacific Modern Latin Dance Championship) (Anniversary of Blackpool team Match) (World Professional Ballroom Dancing championship)


ประเภทของลีลาศ


ประเภทบอลรูม (Ballroom Dancing) ประเภทลาตินอเมริกัน (LatinAmerican Dancing) สภาการลีลาศนานาชาติ (International Council of Ballroom Dancing : I.C.B.D.) ได้ทำ การรวบรวมและแบ่งการลีลาศออกเป็น 2 ประเภท คือ สภาการลีลาศนานาชาติ


เป็นการลีลาศที่ใช้จังหวะ นุ่มนวล สง่างาม ลักษณะของการลีลาศ และทำ นองดนตรีเต็มไปด้วยความสุภาพอ่อนหวาน ลำ ตัวของผู้ ลีลาศจะตั้งตรง ผึ่งผาย ในการก้าวเท้านิยมลากเท้าสัมผัสไปกับ พื้นห้อง มักพบการลีลาศประเภทนี้ในหมู่ขุนนางชาวอังกฤษ จึง เรียกติดปากกันว่า การลีลาศแบบผู้ดีอังกฤษ มีอยู่ 5 จังหวะ ลีลาศ ประเภทบอลรูม ( BallroomDancing )


จังหวะวอลซ์ (Waltz ) ช่วงระหว่างปี ค.ศ.1910 – 1914 ฝูงชนได้หลั่งไหลไปที่บอสตัน คลับ ใน โรงแรมซาวอย ที่ตั้งอยู่ ณ กลางกรุงลอนดอน เพื่อ เต้นรำ จังหวะ“บอสตัน วอลซ์” ซึ่งเป็นต้นแบบของวอลซ์ ที่ใช้ใน การแข่งขันปัจจุบันในปี ค.ศ.1914 จังหวะบอสตันได้เสื่อมสลาย ลง เบสิคพื้นฐานได้ถูกเปลี่ยนไปในทิศทางของ “วอลซ์” หลัง สงครามโลกครั้งที่ 1 จังหวะวอลซ์ ได้เริ่มถูกพัฒนาให้ถูกทางขึ้น ด้วยท่าแม่แบบ อย่างเช่น THE NATURAL และ REVERSE TURN และ THE CLOSED CHANGE ความก้าวหน้าในการพัฒนา จังหวะ“วอลซ์”เป็นไปอย่างยืดยาด และเชื่องช้า ผู้ที่ได้ทุ่มเทกับการพัฒนาจังหวะนี้เป็นพิเศษ ต้องยก ให้ มิส โจส์เซฟฟิน แบรดลีย์ (JOSEPHINE BRADLY) วิค เตอร์ ซิลเวสเตอร์ (VICTOR SILVESTER)และแม็กซ์เวลล์ สจ๊วตค์ (MAXWELL STEWARD)และแพ็ทไซด์ (PAT SYKES)แชมป์เปี้ยนคนแรกของชาวอังกฤษ สถาบันที่ได้สร้าง ผลงานต่อการพัฒนาแม่แบบต่างๆ ให้มีความเป็นมาตรฐานคือ “IMPERIAL SOCIETY OF TEACHERS”(ISTD) ท่าแม่ แบบเหล่านี้ บรรดานักแข่งขันยังคงใช้กันอยู่ถึงปัจจุบัน


เบสิคสิวอลซ์ “ชาย” รูปแบบการเต้น เบสิคสิวอลซ์ มีวิมีธีวิกธีารดังนี้ ภาพรอยเท้าการเต้น “ชาย”


เบสิคสิวอลซ์ “หญิง” รูปแบบการเต้น เบสิคสิวอลซ์ มีวิมีธีวิกธีารดังนี้ ภาพรอยเท้าการเต้น “หญิงญิ”


การเต้นจังจัหวะวอลซ์ ท่าที่ 2 รูปแบบการเต้น “ชาย” มีวิมีธีวิกธีารเต้นดังนี้ ภาพรอยเท้าการเต้น “ชาย”


การเต้นจังจัหวะวอลซ์ ท่าที่ 2 รูปแบบการเต้น “หญิง” มีวิมีธีวิกธีารเต้นดังนี้ ภาพรอยเท้าการเต้น “หญิงญิ”


การเต้นจังจัหวะวอลซ์ ท่าที่ 3 รูปแบบการเต้น “ชาย” มีวิมีธีวิกธีารเต้นดังนี้ ภาพรอยเท้าการเต้น “ชาย”


การเต้นจังจัหวะวอลซ์ ท่าที่ 3 รูปแบบการเต้น “หญิง” มีวิมีธีวิกธีารเต้นดังนี้ ภาพรอยเท้าการเต้น “หญิงญิ”


จังหวะสโลว์ฟอกซ์ทรอทได้ถูกแนะนำ เข้ามาในทวีปยุโรป พึ่งจะก่อน สงครามโลกครั้งที่ 1 จากรากฐานของมันฟอกซ์ทรอท เป็นการเต้นรำ ที่ แสดงถึงอารมณ์ความรู้สึก ด้วยการเคลื่อนไหวที่มีทั้งช้าและเร็ว พูดกัน ว่าชื่อนี้ตั้งขึ้นมาจากนักเต้นรำ ประกอบดนตรีคนหนึ่ง (MUSICAL DANCER) ชื่อฮารีฟอกซ์ (HARRY FOX)เหล่าครูสอนเต้นรำ ชาวยุโรปไม่ค่อยมี ความกระตือรือร้นนัก ต่อลักษณะการเต้นอย่างไม่มีรูปแบบของจังหวะ ฟอกซ์ทรอท และเริ่มต้นขัดเกลาเพิ่มขึ้นระหว่าง ปี ค.ศ.1922 และ1929 แฟรงค์ฟอร์ด (FRANK FORD) ผู้ซึ่งเคยร่วมสาธิตกับ โจเซฟฟิน เบ รดลีย์ (JOSEPHINE BRADLEY)ได้พัฒนาพื้นฐานการเคลื่อนไหว พื้นฐานของจังหวะ สโลว์ฟอกซ์ทรอทขึ้นแง่คิดนี้ทำ ให้เขาได้รับชัยชนะ ใน งานแข่งขันเต้นรำ ปี 1927 “STAR CHAMPIONSHIPS” ร่วมกับคู่เต้นที่ชื่อ มอลลี่ สเปญ (MOLLY SPAIN)ท่าเต้นส่วนมากที่ทั้งสองใช้เต้นในครั้งนั้น นัก แข่งขันยังคงใช้อยู่ถึงปัจจุบัน ช่วงเวลานั้น ทำ นองดนตรีที่ถูกต้อง ยังไม่ คิดทำ ขึ้น จังหวะฟอกซ์ทอรท คิดจะเล่นอย่างไรก็ได้ซึ่งมีตั้งแต่ จาก 40 ถึง 50 บาร์ ต่อนาที และเป็นการง่ายที่จะใช้สไตล์อย่างไรก็ได้ สุดแท้แต่ ความเร็วของดนตรีที่เปลี่ยนแปลงไป ตามแต่ว่าใครที่จะเป็นผู้ควบคุมวง ดนตรี แต่ครั้งนั้นครั้งเดียววงดนตรี วิคเทอซิลเวสเทอ (VICTOR SILVESTOR’S BAND)เริ่มทำ การปรับปรุงและปัญหาก็ได้ถูกแก้ไข จังหวะสโชว์ฟอกซ์ทรอท ( SlowFoxtrot )


จังหวะแทงโก้ ( Tango ) จังหวะ มิรองก้า MILONGA คือแม่แบบของจังหวะแทงโก้ ซึ่งมี เอกลักษณ์เฉพาะคือ การเคลื่อนไหวของ ศีรษะและไหล่ โดยการสับ เปลี่ยนทันทีทันใดจากการเคลื่อนไหวสู่ความนิ่งสงบต้นศตวรรษที่ 20 ได้มีการเต้นรำ จังหวะ มิรองก้า นี้ในโรงละครเล็ก ๆ โดยเหล่าชน สังคมชั้นสูงที่มาจากประเทศ บราซิล ในช่วงเวลานั้น ชื่อของมันได้ ถูกเปลี่ยนจาก มิรองก้า เป็นแทงโก้ ชื่อของมิรองก้า ยังมีตำ นานเล่า ขานอีกมากมายที่จะหวนไปสู่ความทรงจำ ที่มีมาจากนครบัวโนส แอเรส (BUENOSAIRES)แห่งประเทศอาร์เจนติน่า จังหวะแทงโก้ ได้ ถูกแนะนำ สู่ทวีปยุโรป ความจริงแล้วเริ่มก่อนในกรุงปารีส ในชุมชนชาวอาร์เจนติน่า กระทั่งปี ค.ศ.1907 แทงโก้ไม่เป็นที่ยอมรับใน กรุงลอนดอน การเต้นได้ส่อแนวไปทางเพศสัมพันธ์มากเกินไป และมีคน จำ นวนมากคัดค้าน ภายหลังได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบ (STYLISTIC)ไป บ้าง จังหวะแทงโก้ถึงได้รับการยอมรับในกรุงปารีส และลอนดอน ใน เวลานั้น (ค.ศ.1912) ซึ่งเป็นช่วงเวลาของแทงโก้ปาร์ตี้ แทงโก้ทีส์ และ แทงโก้ซุปเพียร์ ร่วมกันกับการแสดงของเหล่านักเต้นแทงโก้ระดับมือ อาชีพ ในปี ค.ศ.1920/1921 จังหวะแทงโก้ ได้เพิ่มความมาตรฐานมาก ยิ่งขึ้น ในการร่วมปรึกษาหารือในการประชุมที่มหานครลอนดอน ระหว่างช่วงทศวรรษที่ 30 ลักษณะการกระแทกกระทั้นเป็นช่วงๆ (STACCATO ACTION)ได้ถูกนำ เข้าใช้ร่วมในองค์ประกอบท่าเต้น ของจังหวะแทงโก้


Basic Tango รูปแบบการเต้น Basic Tango มีวิมีธีวิกธีารเต้นดังนี้


ภาพรอยเเท้าการเต้น “ชาย” ภาพรอยเเท้าการเต้น “หญิงญิ”


เดินหน้า-ถอยหลัง รูปแบบการเต้น เดินหน้า-ถอยหลัง มีวิมีธีวิกธีารเต้นดังนี้


ภาพรอยเเท้าการเต้น “ชาย” ภาพรอยเเท้าการเต้น “หญิงญิ”


เ ดิ น 14 จั งจั ห ว ะ รู ป แ บ บ ก า ร เ ต้ น เ ดิ น 14 จั งจั ห ว ะ มี วิ มี ธี วิ ก ธี า ร เ ต้ น ดั ง นี้


ภาพรอยเเท้าการเต้น “ชาย”


เ ดิ น 14 จั งจั ห ว ะ รู ป แ บ บ ก า ร เ ต้ น เ ดิ น 14 จั งจั ห ว ะ มี วิ มี ธี วิ ก ธี า ร เ ต้ น ดั ง นี้


ภ า พ ร อ ย เ เ ท้ า ก า ร เ ต้ น “ ห ญิ ง ญิ ”


จังหวะควิกสเตป ( Quick Step ) จังหวะควิ๊กสเต็ปได้แตกแขนงมาจาก จังหวะฟอกซ์ทรอท ช่วงทศวรรษ ที่ 20 วงดนตรีส่วนมากจะเล่นจังหวะฟอกซ์ทรอท ถึง50 บาร์ต่อนาที ซึ่งเป็นความเร็วที่เร็วเกินไป การก้าวเท้าที่เปิดกว้างของจังหวะสโลว์ฟอก ซ์ทรอทไม่สามารถจะทำ การเต้นบนความเร็วขนาดนี้ได้ ชาวอังกฤษได้ พัฒนามาจากการเต้น ชาร์ลสทั่น (CHARLESTON) ต้นแบบซึ่งเป็น จังหวะหนึ่งของการเต้นที่ต่อเนื่องโดยไม่มีการเตะเท้าและได้ทำ การผสม ผสานกับจังหวะฟอกซ์ทรอท (เร็ว) ที่ได้กล่าวมาแล้วเรียกจังหวะนี้กันว่า จังหวะ ควิ๊กไทม์ฟอกซ์ทรอท และ ชาร์ลสทั่น (QUICKSTEP FOXTROTAND CHARLESTON) คู่เต้นรำ ชาวอังกฤษ แฟรงค์ฟอร์ด และ มอลลี่ สเปญ (FRANKFORD AND MOLLY SPAIN)ได้เต้นรูปแบบใหม่ของจังหวะ QUICKTIME FOXTROTAND CHARLESTON ในงานเดอะสตาร์แชมป์เปี้ยนชิพ ของปี ค.ศ.1927 โดยปราศจากลักษณะท่าทางของการใช้เข่าแบบ CHARLESTON และทำ การเต้นเป็นคู่แทนการเต้นแบบเดี่ยว รูปแบบท่า เต้น คือ QUARTER TURNS,CROSS CHASSES, ZIGZAGS, CORTES,OPEN REVERSE TURNS และ FLAT CHARLESTON ในปี ค.ศ.1928 / 1929 จังหวะควิ๊กสเต็ปได้แจ้งเกิด อย่างแน่ชัด ในรูปแบบของการก้าวแบบ ชาสซี่ส์ (CHASSES STEPS)


ท่าที่ 1 ควิกวิสเตป "ชาย" รูปแบบการเต้น ท่าที่ 1 ควิกวิสเตปชาย มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ภาพรอยเท้าการเต้น "ชาย"


ท่าที่ 1 ควิกวิสเตป "หญิง" รูปแบบการเต้น ท่าที่ 1 ควิกวิสเต็บหญิง มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ภาพรอยเท้าการเต้น "หญิงญิ"


ท่าที่ 2 ควิกวิสเตป "ชาย" รูปแบบการเต้น ท่าที่ 2 ควิกวิสเตปชาย มีวิมีธวิรการเดินดังนี้ ภาพรอยเท้าการเต้น "ชาย"


ท่าที่ 2 ควิกวิสเตป "หญิง" รูปแบบการเต้า ท่าที่ 2 ควิกวิสเตปหญิง มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ภาพรอยเท้าการเต้น "หญิงญิ"


ภาพรอยเท้าการเต้น "ชาย" ท่าที่ 3 ควิกวิสเตป "ชาย" รูปแบบการเต้น ท่าที่ 3 ควิกวิสเตปชาย มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้


ภาพรอยเท้าการเต้น "หญิงญิ" ท่าที่ 3 ควิกวิสเตป "หญิง" รูปแบบการเต้น ท่าที่ 3 ควิกวิสเตปหญิง มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้


เป็นการลีลาศที่ใช้จังหวะค่อนข้างเร็ว ใช้ความแคล่วคล่อง ว่องไว ส่วนใหญ่จะใช้ไหล่ เอว สะโพก เข่าและข้อเท้าเป็นสำ คัญ การก้าวเดินสามารถยกเท้าพ้นพื้นได้ทำ นอง และจังหวะดนตรี จะเร้าใจทำ ให้เกิดความสนุกสนานร่าเริง มีอยู่ 5 จังหวะ ลีลาศ ประเภทลาตินอเมริกัน (Latin American Dancing )


ดนตรีของจังหวะคิวบัน รัมบ้าเป็นแบบ 4/4 คือมี 4 จังหวะใน 1 ห้องเพลง การนับจังหวะ 2,3,4-1 ต่อเนื่องกันไป ดนตรีของจังหวะ นี้บรรเลงด้วยความเร็ว 27-32 ห้องเพลงต่อนาที การก้าวเท้าใน จังหวะคิวบัน รัมบ้าไม่ว่าจะเป็นการก้าวเท้าไปข้างหน้าหรือถอยหลัง ก็ตามจะต้องให้ฝ่าเท้าแตะพื้นก่อนเสมอแล้วจึงราบลงเต็มเท้า เข่าจะ งอขณะที่ก้าวเท้าและตึงเมื่อรับน้ำ หนักตัวเต็มที่แล้ว ดังนั้นตลอดเวลาการเต้นจังหวัดนี้เข่าจะงอข้างหนุ่งและตึงข้างหนุ่ง สลับกันไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวสะโพกอย่างสัมพันธ์กัน การจับคู่ เต้นรำ ในจังหวะคิวบัน รัมบ้าเป็นการจับคู่แบบลาตินอเมริกันโดย ทั่วไปคือ แบบปิด (มือขวาของชายวางบริเวณสะบักของผู้หญิง) ลวดลายการเต้นรำ จังหวะคิวบัน รัมบ้าจะคล้ายและมีชื่อเดียวกับ ลวดลายของจังหวะชา ชา ช่า จะต่างกันก็ตรงที่จำ นวนการก้าวเท้า ของคิวบัน รัมบ้า น้อยกว่า ชา ชา ช่า ลวดลายของจังหวะ คิวบัน รัม บ้า ที่เป็นลวดลายพื้นฐานและนิยมเต้นกันโดยทั่วไป จังหวะคิวบันรัมบ้า( Cuban Rumba )


จังหวะแซมบ้า( Samba ) ต้นแบบของแซมบ้ามาจากอัฟริกาแต่ได้รับการพัฒนามากที่สุดที่ ประเทศบราซิล ซึ่งจะปรากฏให้เห็นในงานเทศกาลรื่นเริงและตาม โรงเรียนสอนจังหวะแซมบ้าใน ประเทศบราซิล ปี ค.ศ.1925 จังหวะแซม บ้าได้เริ่มแพร่หลายเข้าสู่ทวีปยุโรป ถึงแม้ว่าแซมบ้า จะได้รับการยอมรับ เป็นจังหวะหนึ่งที่ใช้ในการแข่งขันก็ตามแต่การบุกเบิก ครั้งสำ คัญของ จังหวะแซมบ้าได้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1939 ในงานมหกรรมการแสดง ระดับโลกในนครนิวยอร์ค จังหวะแซมบ้าได้ถูกยอมรับอย่างแท้จริงในปี ค.ศ.1948/1949 ผู้ที่ได้พัฒนาจังหวะแซมบ้า มากที่สุดคือ WALTER LAIRD และ LORRAINE ซึ่งทั้งสองท่านเป็นอดีตแชมป์เปี้ยนโลก ของการเต้นรำ แบบ ลาตินอเมริ กัน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้นรูปแบบของจังหวะแซมบ้าความมีชีวิต ชีวาและท่วงทำ นองที่มีจังหวะจะโคนของแซมบ้าโดยปกติแล้วจะนำ มาซึ่ง ความตื่นเต้น เร้าใจบนฟลอร์ของการแข่งขัน การออกแบบท่าเต้น การมี ดุลยภาพร่วมกับการทรงตัวที่หยุดนิ่ง และรูปแบบของการเต้นซิกแซค ที่เคลื่อนไหวไปข้างหน้าโดยทั่วไปแล้วแซมบ้าเป็นการเต้นรำ ที่เคลื่อนที่ไป ข้างหน้า ลักษณะการเคลื่อนไหวควรที่จะสะท้อนถึงลักษณะการเดิน พาเหรด เป็นวงกลมในที่ว่าง บางครั้งจะแสดงลีลาอวดผู้ชม โดยการเต้น พักอยู่กับที่การเต้นแซมบ้าแบบแข่งขันในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลง จากรูปแบบดั้งเดิมของ "บราซิลเลี่ยนแซมบ้า" ไปเป็นอย่างมาก


ซึ่งในอดีตนั้น เน้นการกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความรู้สึกที่ลุ่มหลง คลั่งไคล้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าแซมบ้าจะเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบดั้งเดิมไป โดย ละทิ้งลักษณะการเต้นแบบพาเหรด และความมีชีวิตชีวาลงไปบ้าง ก็มิได้ ทำ ให้เสียภาพลักษณ์ของแซมบ้าแต่อย่างไร สิ่งที่เราต้องการจะเห็นจากคู่แข่งขันก็คือ การใช้ความยืดหยุ่นของ ร่างกายเป็นอย่างมาก ท่อนแขน จะมีบทบาทสำ คัญรองลงมาโดยใช้เพื่อ ทำ ให้เกิดความสมดุลย์ในการใช้ร่างกายเต้นเข้ากับจังหวะ นักเต้นแซมบ้า ที่ดี ควรตระหนักถึงการใช้น้ำ หนัก และจะต้องไม่เพิ่มเติมความหนักหน่วง ลงไปในน้ำ หนักของการเคลื่อนไหวที่เป็นจริง สิ่งสำ คัญที่สุดสำ หรับนักแข่งขันก็คือ ต้องให้ความสำ คัญโดยมุ่งประเด็น ไปที่ ลักษณะการผ่อนคลายและการใช้น้ำ หนัก , การเน้นเพื่อเพิ่มทัศนะ การต่อสู้บนฟลอร์การแข่งขัน เพื่อเชือดเฉือนให้ออกมาเป็นแซมบ้า ที่ เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา


จังหวะพาโซโดเบิล ( Paso Doble ) พาโซโดเบ้ เป็นจังหวะการเต้นรำ เพียงจังหวะเดียวในแบบลาตินอเมริกัน ที่ไม่ได้มีที่มาจาก ชนผิวดำ (NEGRO) ถิ่นกำ เนิดที่แท้จริงอยู่ที่ ประเทศสเปน ขีดความนิยมแพร่หลายสูงสุด เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1926 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จังหวะพาโซโดเบ้ได้รับการยอมรับให้ บรรจุเข้าเป็นจังหวะหนึ่งของการแข่งขัน รูปแบบของจังหวะ พาโซโดเบิล จังหวะพาโซโดเบิล ที่อยู่บนฟลอร์การแข่งขัน ควรสร้างบรรยากาศ ของการสู้วัวกระทิง ตามแบบฉบับของชาวสเปน สำ หรับข้าพเจ้าแล้ว การเต้นรำ จังหวะนี้ เป็นการเต้นรำ สำ หรับฝ่ายชาย ซึ่งให้โอกาสเขาได้ ครอบครองพื้นที่ที่ว่าง ด้วยท่าทางที่เป็นสามมิติ และเคลื่อนไหวการ เต้นด้วยความทรนงและสง่างาม "Pride and Dignity"


นักเต้นรำ ชายส่วนมาก ให้ความสำ คัญน้อยไปกับการควบคุม (Toning) ส่วนของลำ ตัว ที่จะทำ ให้การเต้นของจังหวะนี้มีท่าที่เฉียบ คม และฉับพลัน ลักษณะของพาโซโดเบิล คือ การเดินมาร์ช (Marching) ส่วนลีลาท่าทางอยู่ที่การก้าวย่าง และการโบกสบัดของ ผืนผ้าที่ใช้สำ หรับกีฬาสู้วัวกระทิง ที่เพิ่มความตรึงเครียดระหว่างคู่ เต้นรำ อย่างไรก็ตามแต่ ฝ่ายหญิงเปรียบเสมือนเป็นผ้าแดง หล่อนไม่ใช่ เป็นวัวกระทิง ! ควรให้ความใส่ใจกับการแบ่งช่วง ห้องดนตรี (Musical Phrasing) และรูปแบบของการออกแบบท่าเต้น (Choreographic Patterns) ที่ไม่ได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยเพิ่มพลัง และความเข้มแข็งที่ต้องสังเกตุ เห็นได้จากผู้ชม และกรรมการตัดสิน


ไจว์ฟเป็นจังหวะเต้นรำ ที่มีจังหวะจะโคนและการสวิงค์ซึ่งได้รับอิทธิพล มาจาก ROCK’N’ROLL, BOGIE และAFRICAN /AMERICAN SWING ต้นกำ เนิดของ ไจว์ฟมาจาก NEW YORK , HALEM ใน ค.ศ.1940 ไจว์ฟได้ร่วมกันถูกพัฒนาไปสู่จังหวะ จิกเตอร์บัคจ์ (JITTERBUG)และจากนั้น MR. JOS BRADLY และ MR.ALEX MOORE ชาวอังกฤษ ได้พัฒนาจังหวะดังกล่าว จากนั้นมาไจว์ฟจึง ได้เข้าสู่การแข่งขันในระดับสากล รูปแบบของจังหวะ ไจว์ฟ จังหวะสุดท้าย "ไจว์ฟ" ที่ซึ่งคู่เต้นรำ ควรแสดง การใช้จังหวะ (Rhythm) ซึ่งเป็นความต้องการของผู้ชม "จังหวะและก็จังหวะ" ผสมผสานกับความสนุกสนาน และการใช้พลังอย่างสูง การเน้น จังหวะล้วนอยู่ที่ขาทั้งคู่ ที่แสดงให้เห็นถึงการ เตะและการดีดสบัด ปลายเท้า จังหวะไจว์ฟ( Jive )


คู่เต้นรำ ต่างเอาใจใส่กับการเคลื่อนที่ไปรอบๆ เต้นเข้าและเต้นออกรอบ จุดศูนย์กลางที่เคลื่อนไหวอยู่ การเต้นลักษณะนี้มือต้องจับ (Hold) กันไว้ ข้าพเจ้าต้องการที่จะเห็นสไตล์การเต้นแบบมาตรฐาน ที่ได้รับ อิทธิพลโดยวัฒนธรรมชาวยุโรป อย่างเช่น Rock 'n' Roll มากกว่า รูปแบบการเต้นของไจว์ฟที่มีรากเหง้ามาจากอัฟริกา(สวิงค์ ) การออกแบบท่าเต้น ควรสมดุลย์ร่วมกับลีลาที่ผสมผสานกลมกลืน ของการเต้น ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และการแสดงเดี่ยว ที่ต้องทำ ให้ เกิดผลสะท้อนกลับของผู้ชม การเต้นจังหวะนี้ หากมีปฏิกิริยาตอบรับ จากผู้ชม จะมีผลทำ ให้คู่เต้นรำ มีกำ ลังใจยิ่งขึ้น


Click to View FlipBook Version