จังหวะชา ชา ช่า( Cha Cha Cha ) จังหวะช่า ช่า ช่าได้รับการพัฒนามาจาก จังหวะแมมโบ้ (MAMBO) และเป็นจังหวะลาตินที่คนส่วนมากชอบที่จะเลือกเรียนรู้เป็นอันดับแรก ชื่อของจังหวะนี้ ตั้งขึ้นโดยการเลียนเสียงของรองเท้า ขณะที่กำ ลัง เต้นรำ ของสตรี ชาวคิวบา จังหวะ ช่า ช่า ช่าได้ถูกพบเห็นเป็นครั้งแรก ที่ประเทศอเมริกาและระบาดเข้าไปในยุโรป เกือบจะเป็นเวลาเดียวกันกับ จังหวะแมมโบ้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จังหวะแมมโบ้ได้เสื่อมความนิยมลงไป โดยหันมานิยมจังหวะ ช่า ช่า ช่า ซึ่งกลายเป็นความนิยมอย่างจริงจัง ในปี ค.ศ.1956 หากสอดคล้อง กับต้นแบบแล้ว ดนตรีของจังหวะ ช่า ช่า ช่า ควรเล่นด้วยอารมณ์ความ รู้สึกโดยปราศจากความตึงเครียดใดๆ ร่วมด้วยลักษณะการกระแทก กระทั้นของจังหวะที่ทำ ให้นักเต้นรำ สามารถที่จะสร้าง บรรยากาศ ของความรู้สึกที่ขี้เล่น และซุกซน ให้กับผู้ชมได้ เมื่อไม่นานมานี้ เป็นที่ ตกลงกันไว้ว่าให้ตัดทอนชื่อให้สั้นลง เป็น ช่า ช่าแต่ข้าพเจ้าไม่เห็นว่ามี เหตุผลอะไรที่ต้องทำ อย่างนั้น
การเต้นรำ จังหวะช่ะ ช่ะ ช่า ช่ะ ช่ะ ช่าเป็นจังหวะเต้นรำ ที่พัฒนามาจากจังหวะแมมโบ้ (Mambo)ในอดีต เรียกชื่อจังหวะนี้ แมมโบ้ ช่ะ ช่ะ ช่า ต้นกำ เนิดมาจากคิวบัน (คิวบา)เกิดจาก อิทธิพลของดนตรีที่พัฒนาไป ทำ ให้การเต้นรำ พัฒนาตามไปด้วย ต้นกำ เนิดของ ช่ะ ช่ะ ช่า ช่ะ ช่ะ ช่าเริ่มในปี ค.ศ.1950 ขณะที่ดนตรีของคิวบันได้รับความนิยมอยู่ใน อังกฤษนั้นได้มีเพลงจังหวะสวิง (Swing)เกิดใหม่และเป็นที่นิยมมาก จังวะสวิง เข้ามามีบทบาทแทรกแซงผสมผสานกับดนตรีของคิวบัน ทำ ให้เพลงของคิวบัน ที่เคยมีลักษณะนุ่มนวลเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น สไตล์ของดนตรีที่พัฒนามานี้จึงได้ ชื่อว่า“แมมโบ้” รูปแบบการเต้น แมมโบ้พื้นฐานก็คือ ก้าวออกไปข้างหน้า1 ก้าว แล้วถอยกลับ 2 ก้าว จากนั้นถอยหลัง 1 ก้าว แล้วก้าวไปข้างหน้า 2 ก้าว (ก้าวที่ 2 ย้ำ อยู่กับที่)แมมโบ้ได้รับความนิยม ทั้งเพลงและการเต้นอย่างมากในอเมริกา และยุโรป ต่อมาแมมโบ้ได้พัฒนาจากที่เคยเร็วให้ช้าลง และที่เคยเต้นเดินหน้า 3 ก้าวและถอยหลัง 3 ก้าวก็เพิ่มการชิดเท้าไล่กันไปข้างหน้า 2 ก้าว และชิดเท้าไล่กัน ไปข้างหลัง 2 ก้าว ซึ่งเป็นรูปแบบของ ช่ะ ช่ะ ช่าในปัจจุบัน การเต้นรำ จังหวะ ช่ะ ช่ะ ช่า นี้ได้เข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2498 โดยชาวฟิลิปปินส์ ชื่อ มิสเตอร์เออร์ นี่ นักดนตรีของวง “ซีซ่า วาเลสโก”ได้นำ การเต้น ช่ะ ช่ะ ช่าและการเขย่ามาลากัส (ลูกแซ็ก) มาประกอบเพลงเข้าไปด้วย และเป็นที่ประทับใจของบรรดานักเต้นรำ และครูสอนลีลาศทั้งหลาย จึงได้ขอให้มิสเตอร์เออร์นี่สอนให้ การเต้น ช่ะ ช่ะ ช่า ตามแบบของมิสเตอร์เออร์นี่จึงถูกถ่ายทอดและมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าในภายหลังได้มีการนำ รูปแบบการเต้นที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากลเข้ามา แทนที่แล้วก็ตาม
เบสิค วอล์ค (Basic Walk) อันเดอร์ อาร์ม เทิร์น (UnderArm Turn) นิวยอร์ก ( New York) โชเดอร์ ทู โชเดอร์ (Shoulder to Shoulder) Grap y Spot Turn วาโซเวียนน์ เทิร์น (VARSOUVIENNE TURN) บีกินเป็นจังหวะลีลาศประเภทเบ็ดเตล็ด (POPAND SOCIAL DANCES) ที่ปัจจุบันนิยมเต้นกันเฉพาะงานสังคมลีลาศทั่ว ๆ ไปใน ประเทศไทย ไม่นิยมเต้นกันในต่างประเทศ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าคน ไทยเรานิยมเต้นรำ จังหวะบีกินมาตั้งแต่เมื่อไร เท่าที่พอจะทราบได้คือ ในช่วงเวลาที่ครูอัตถ์ พึ่งประยูร บรมครูสอนลีลาศคนหนึ่งของไทย ที่เต้นรำ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2492 หรือ 2493 นั้นก็มีการเต้นรำ จังหวะบี กินกันแล้ว โดยเข้าใจกันว่าชาวฟิลิปปินส์ที่มาเล่นดนตรีในเมืองไทย เป็นผู้แนะนำ ดนตรีและการนับจังหวะ จังหวะบีกิน ( Beguine )
ภาพรอยเท้าการเต้น "ชาย" Basic walk รูปแบบการเต้น Basic walk มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ( เบสิคสิวอล์ค ของ "ชาย") เริ่มริ่ต้น
ภาพรอยเท้าการเต้น "หญิงญิ" Basic walk รูปแบบการเต้น Basic walk มีรูมีรูปแบบการเดินดังนี้ ( เบสิคสิวอล์ค ของ "หญิง")
ภาพรอยเท้าการเต้น "ชาย" ภาพรอยเท้าการเต้น "หญิงญิ" Underarm Turn รูปแบบการเต้น Underarm มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ( อันเดอร์ อาร์มร์เทิร์นร์ "ชาย") Underarm Turn รูปแบบการเต้น Underarm มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ( อันเดอร์ อาร์มร์เทิร์นร์ "หญิง")
ภาพรอยเท้าการเต้น "ชาย" New York รูปแบบการเต้น New Yourk มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ( นิวยอร์กร์ "ชาย")
ภาพรอยเท้าการเต้น "หญิงญิ" รูปแบบการเต้น New York Begin มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ( นิวยอร์กร์บีกิบี กิน "หญิง")
ภาพรอยเท้าการเต้น "ชาย" รูปแบบการเต้น Shoulder to Shoulder มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ( โชเดอร์ ทู โชเดอร์ "ร์ชาย")
รอยเท้าการเต้น "หญิงญิ" รูปแบบการเต้น Shoulder to Shoulder มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ( โชเดอร์ ทู โชเดอร์ "ร์หญิง")
ภาพรอยเท้าการเต้น "ชาย" เริ่มริ่ต้น Grap y รูปแบบการเต้น Grap y มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ( เกรฟ วาย "ชาย")
รูปแบบการเต้น Grap y มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ( เกรฟ วาย "หญิง") ภาพรอยเท้าการเต้น "หญิงญิ" จุดเริ่มริ่ต้น
จังหวะอเมริกันรัมบ้า ( American Rumba ) รัมบ้าถูกนำ เข้ามาในอเมริกาโดยทาสชาวอัฟริกัน แต่เมื่อราว ค.ศ. 1928/1929 การก้าวเท้าและรูปแบบการเต้นของจังหวะนี้ ยังไม่ ชัดเจนทีเดียว คนส่วนมากทึกทักเอาการเต้นของจังหวะนี้เป็นการ เต้นรูปแบบใหม่ ของจังหวะฟอกซ์ทรอท โดยเพิ่มการใช้สะโพกลงไป หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัมบ้าได้รับการพัฒนาต่อให้เป็น คิวบันรัม บ้าโดย (MONSIEUR PIERRE และ DORIS LAVELL) นักเต้นรำ ชาวอังกฤษ ซึ่งมีโรงเรียนสอนเต้นรำ อยู่ที่ ถนน REGENT ในนครลอนดอน แต่ก็ยังไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร จน กระทั่ง WATER LAIRD เริ่มเขียนตำ ราเต้นรำ ของ ลาตินขึ้นผล งานของเขาได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากจากหลายองค์กรของ การเต้นรำ และนั่นเองการจัดมาตรฐานก็บรรลุถึงความเป็นจริง
Basic movement อเมริกัริ กันรัมรับ้าบ้ “หญิง” รูปแบบการเต้น Basic movement อเมริกัริ กันรัมรับ้าบ้หญิง มีวิมีธีวิกธีารเต้นดังนี้ Basic movement อเมริกัริ กันรัมรับ้าบ้ “ชาย” รูปแบบการเต้น Basic movement อเมริกัริ กันรัมรับ้าบ้ชายมีวิมีธีวิกธีารเต้นดังนี้
จังหวะตะลุงเทมโป ( Taloong Tempo ) จังหวะตลุงนี้ได้เริ่มมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2493 โดยลอกเลียนและ พัฒนามาจากศิลปะการเชิดหรือ ชักหนังตะลุง อันเป็นที่นิยมของ ชาวภาคใต้ ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะคือ ความมีชีวิตชีวา ยั่วเย้า หยอก ล้อ โดยปกติแล้วในท่าพื้นฐานจะใช้การก้าวนาด้วยไหล่ซ้าย ใน ลักษณะที่เฉียงซ้อนกัน
ภาพรอยเท้าการเต้น “ชาย” เบสิคสิตะลุงลุชาย รูปแบบการเต้น “ชาย” มีวิมีธีวิกธีารเต้นดังนี้
ภาพรอยเท้าการเต้น “หญิงญิ” เบสิคสิตะลุงลุหญิง รูปแบบการเต้น “หญิง” มีวิมีธีวิกธีารเต้นดังนี้
ตะลุงลุท่าที่ 2 ชาย รูปแบบการเต้น “ชาย” มีวิมีธีวิกธีารเดินดังนี้ ภาพรอยเท้าการเต้น “ชาย”
ภาพรอยเท้าการเต้น “หญิงญิ” ตะลุงลุท่าที่ 2 หญิง รูปแบบการเต้น “หญิง” มีวิมีธีวิกธีารดังนี้
ภาพรอยเท้าการเต้น “ชาย” อันเดอร์อร์าร์มร์เทินชาย รูปแบบการเต้น “ชาย” มีวิมีธีวิกธีารดังนี้
ภาพรอยเท้าการเต้น “หญิงญิ” อันเดอร์อร์าร์มร์เทินหญิง รูปแบบการเต้น “หญิง” มีวิมีธีวิกธีารเดิน ดังนี้
ประโยชน์ของลีลาศ
จากสภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคมปัจจุบัน ที่มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำ ให้เกิดปัญหาที่สลับซับซ้อน ไม่ว่าจะ เป็นปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง สภาพการณ์เหล่า นี้เป็นสาเหตุทำ ให้ประชาชนประสบกับปัญหาต่างๆ ทั้งทางด้าน ร่างกายและจิตใจเพิ่มขึ้นเป็นลำ ดับ ซึ่งจิตแพทย์ นักจิตวิทยาและ นักการศึกษาต่างก็พยายามเน้นและชี้นำ ให้เห็นถึงความจำ เป็น เกี่ยว กับการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ สามารถผ่อนคลายความเครียด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ลีลาศจึงเป็นกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยผ่อนคลาย ความเครียดแล้ว ยังช่วยพัฒนาทั้งทางด้านร่างกายจิตใจ อารมณ์ และสังคมได้เป็นอย่างดี ซึ่งพอจะสรุปประโยชน์ของการลีลาศได้ ประโยชน์ของลีลาศ
ก่อให้เกิดความซาบซึ้งในจังหวะดนตรี ก่อให้เกิดความสนุกสนาม เพลิดเพลิน เป็นกิจกรรมนันทนาการ และเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เป็นกิจกรรมสื่อสัมพันธ์ทางสังคม ผู้ชายและผู้หญิงสามารถเข้าร่วมในกิจกรรม พร้อมกันได้ ช่วยพัฒนาทักษะทางกลไก (Motor Skill) หรือ สมรรถภาพเชิงทักษะปฏิบัติ ช่วยส่งเสริมสุขภาพพลานามัย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ให้แข็งแรงสมบูรณ์ อันจะทำ ให้มีชีวิตยืนยาวและมีความสุข ประโยชน์
ทำ ให้มีรูปร่างทรวดทรงงดงาม สมส่วน มีบุคลิกภาพในการเคลื่อนไหวที่ ดูแล้วสง่างามยิ่งขึ้น ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ช่วยให้รู้จักการเข้าสังคม และรู้จักการอยู่ร่วมกันในสังคมได้เป็นอย่างดี ช่วยส่งเสริมให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออกในสิ่งที่ดีงาม ทำ ให้มีความซาบซึ้งในวัฒนธรรมอันดีงาม และช่วยจรรโลงให้คงอยู่ ตลอดไป เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่สามารถช่วยแก้ไขข้อบกพร่องทางกาย ประโยชน์
มารยาททางสังคมใน การลีลาศ
อาบน้ำ ชำ ระร่างกายให้สะอาด กำ จัดกลิ่นต่าง ๆ ที่ไม่พึง ประสงค์ เช่น กลิ่นปาก กลิ่นตัว เป็นต้น แต่งกายให้สะอาด ถูกต้อง และเหมาะสมตามกาละเทศะ ซึ่งจะเป็น หารสร้างความมั่นใจในบุคลิกภาพของตนเอง ควรใช้เครื่องสำ อาง หรือน้ำ หอม ที่มีกลิ่นไม่รุนแรง จนสร้าง ความรำ คาญให้กับผู้ที่อยู่ใกล้ชิด หรือกับคู่ลีลาศของตน มีการเตรียมตัวล่วงหน้าโดยการฝึกซ้อมลีลาศในจังหวะต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจในการลีลาศ สุภาพบุรุษจะต้องให้เกียรติสุภาพสตรี และบุคคลอื่นในทุก ไปถึงบริเวณงานให้ตรงตามเวลาที่ระบุได้ในบัตรเชิญ สถานการณ์ และจะต้องไปรับสุภาพสตรีที่ตนเชิญไปร่วมงาน การเตรียมตัว
พยายามทำ ตัวให้เป็นกันเอง และสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับเพื่อนใหม่ แนะนำ เพื่อน ไม่ดื่มสุรามากจนครองสติไม่อยู่ ถ้ารู้สึกตัวว่าเมามาก ไม่ควรเชิญสุภาพสตรีออก ลีลาศ ไม่ควรเชิญสุภาพสตรีที่ไม่รู้จักออกลีลาศ ยกเว้นจะได้รับการแนะนำ ให้รู้จักกันเสีย ก่อน สุภาพบุรุษควรแน่ใจว่าสุภาพสตรีที่ตนเชิญออกลีลาศ สามารถลีลาศจังหวะนั้นๆ ได้ หากไม่แน่ใจควรสอบถามก่อน สุภาพบุรุษควรเชิญสุภาพสตรีออกลีลาศด้วยกริยาที่สุภาพ ถ้าถูกปฏิเสธก็ไม่ควร เซ้าซี้จนเป็นที่น่ารำ คาญ สุภาพสตรี ไม่ควรปฏิเสธเมื่อมีสุภาพบุรุษมาขอลีลาศด้วย หากจำ เป็นจะต้องปฏิเสธ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะต้องปฏิเสธด้วยถ้อยคำ ที่สุภาพนุ่มนวล และไม่ควรลีลาศกับ สุภาพบุรุษอื่นในจังหวะที่ตนได้ปฏิเสธไปแล้ว ถ้าในกลุ่มสุภาพสตรีที่นั่งอยู่มีบุคคลอื่น หรือสุภาพบุรุษอื่นนั่งอยู่ด้วย จะต้องกล่าว คำ ขออนุญาตจากบุคคลเหล่านั้นก่อนที่จะเชิญสุภาพสตรีออกลีลาศ ก่อนออกลีลาศควรฟังจังหวะให้ออกเสียก่อน และแน่ใจว่าสามารถลีลาศในจังหวะนั้น ได้ หญิงของตนให้บุคคลอื่นรู้จัก (ถ้ามี) ก่อนออกลีลาศ
ขณะที่พาสุภาพตรีไปที่ฟลอร์ลีลาศ สุภาพบุรุษควรเดินนำ หน้า หรือเดินเคียง คู่กันไป เพื่อให้ความสะดวกแก่สุภาพสตรี และเมื่อไปถึงฟลอร์ลีลาศ ควรให้ เกียรติสุภาพสตรีเดินขึ้นไปบนฟลอร์ลีลาศก่อน ในการจับคู่ สุภาพบุรุษต้องกระทำ ด้วยความนุ่มนวลสุภาพ และถูกต้องตาม แบบแผนของการลีลาศ ไม่ควรจับคู่ในลักษณะที่รัดแน่นหรือยืนห่างจนเกินไป การแสดงออกที่น่าเกลียดบางอย่างพึงละเว้น เช่น การเอารัดเอาเปรียบคู่ ลีลาศ เป็นต้น จะต้องลีลาศไปตามจังหวะแบบแผน และทิศทางที่ถูกต้องไม่ย้อนแนวลีลาศ เพราะจะเป็นอุปสรรคกีดขวางการลีลาศของคู่อื่น ถ้ามีการชนกันเกิดขึ้นใน ขณะลีลาศ จะต้องกล่าวคำ ขอโทษ หรือขออภัยด้วยทุกครั้ง ไม่สูบบุหรี่ เคี้ยวหมากฝรั่ง หรือของขบเคี้ยวใดๆ ในขณะลีลาศ ให้ความสนใจกับคู่ลีลาศของตน ความอบอุ่นเกิดขึ้นได้จากการยิ้มแย้มแจ่มใส หรือคำ กล่าวชม ไม่แสดงอาการเบื่อหน่ายหรือหันไปสนใจคู่ลีลาศ ของคนอื่น และอย่าทำ ตนเป็นผู้กว้างขวางช่างพูดช่างคุยกับคนทั่วไปในขณะ ลีลาศ ควรลีลาศด้วยความสนุกสนานร่าเริง ไม่ควรพูดเรื่องปมด้อยของตนเอง หรือของคู่ลีลาศ ไม่ควรเปลี่ยนคู่บนฟลอร์ลีลาศ ขณะออกลีลาศ 1
ควรลีลาศในรูปแบบหรือลวดลายที่ง่ายๆ ก่อน แล้วจึงเพิ่มรูปแบบหรือลวดลายที่ยาก ขึ้นตามความสามารถของคู่ลีลาศ เพราะจะทำ ให้คู่ลีลาศรู้สึกเบื่อหน่าย และไม่ควรพลิก แพลงรูปแบบการลีลาศมากเกินไปจนมองดูน่าเกลียด ถือว่าเป็นการไม่สมควรที่จะร้องเพลง หรือแสดงออกอย่างอื่นในขณะลีลาศ หรือลีลาศ ด้วยท่าทางแผลง ๆ ด้วยความคึกคะนอง ไม่ควรสอนลวดลายหรือจังหวะใหม่ๆ บนฟลอร์ลีลาศ ไม่ควรลีลาศด้วยลวดลายที่ใช้เนื้อที่มากเกินไป ในขณะที่มีคนอยู่บนฟลอร์เป็นจำ นวน มาก ในการลีลาศแบบสุภาพชน ไม่ควรแสดงความรักในขณะลีลาศ การนำ ในการลีลาศเป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีไม่ควรเป็นฝ่ายนำ ยกเว้น เป็นการช่วยในความผิดพลาดของสุภาพบุรุษ เป็นครั้งคราวเท่านั้น การให้กำ ลังใจ การให้เกียรติ และการยกย่องชมเชยด้วยใจจริง จะช่วยให้คู่ลีลาศเกิดความ รู้สึกอบอุ่นและเชื่อมั่นในตนเองยิ่งขึ้น คู่ลีลาศที่ดีจะต้องช่วยปกปิดความลับ หรือปัญหา ที่เกิดขึ้นและมองข้ามจุดอ่อนของคู่ลีลาศ ไม่ควรผละออกจากคู่ลีลาศโดยกระทันหัน หรือก่อนเพลงจบ ขณะออกลีลาศ 2
สิ้นสุดการลีลาศ สุภาพบุรุษต้องเดินนำ หรือเดินเคียงคู่กันลงจากฟลอร์ลีลาศ และนำ สุภาพ สตรีไปส่งยังที่นั่งให้เรียบร้อย พร้อมทั้งกล่าวคำ ขอบคุณสุภาพสตรี และ สุภาพบุรุษอื่นที่นั่งอยู่ด้วย เมื่อถึงเวลากลับ ควรกล่าวคำ ชมเชย และขอบคุณเจ้าภาพ (ถ้ามี) สุภาพบุรุษจะต้องพาสุภาพสตรีที่ตนเชิญเข้างาน ไปส่งยังที่พัก
สรุปประวัติลีลาศ
ลีลาศ หรือ การเต้นรำ ได้เกิดขึ้นมานับตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และได้รับ การพัฒนารูปแบบการเต้นรำ มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอดีต การเต้นรำ เรามัก จะพบในงานพิธีกรรมทางศาสนา อันได้แก่ การเต้นเพื่อบวงสรวงเทพเจ้า การเต้นรำ ด้วยอาวุธเพื่อใช้ในทางทหาร ในยุคฟื้นฟูได้มีการจัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการเต้นรำ มีการจัดเต้นรำ สวม หน้ากาก ระบำ บัลเลย์ได้เกิดขึ้นในยุคนี้ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ได้จัด ตั้งโรงเรียนบัลเลย์ขึ้นเป็นแห่งแรก การเต้นระบำ บัลเลย์ถือได้ว่าเป็นพื้นฐาน ของการลีลาศก็ว่าได้ ยุคโรแมนติกเกิดการเต้นวอลซ์ ซึ่งรับมาจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และได้แพร่หลายไปในยุโรปตะวันตก ในยุคปัจจุบันได้เกิดจังหวะฟอกซ์ทรอท และแทงโก้ ในยุคนี้ได้เกิดจังหวะใน ประเภทบอลรูม รวมทั้งสิ้น 5 จังหวะ ได้แก่ วอลซ์ ควิ๊กวอลซ์ สโลว์ฟอกซ์ ทรอท แทงโก้ และควิ๊กสเต็ป ในปีค.ศ 1950 ได้เกิดจังหวะใหม่ๆ ขึ้นอีกได้แก่ จังหวะแมมโม้ คิวบา ชา ชา ช่าและเมอเรงโก้ ในปี 1959 ได้จัดให้มีการแข่งขัน ลีลาศชิงแชมป์โลกที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งจังหวะที่จัดแข่งได้แก่ วอลซ์ฟอกซ์ ทรอท แทงโก้ ควิ๊กสเต๊ป และเวนิสวอลซ์ จังหวะร็อคแอนด์โรล ได้เกิดขึ้นในยุค นี้ สรุป
ขอบคุณ