ทิศทางแม่เหล็กเคลื่อนที่
A
ทิศทางจานตัวน าเคลื่อนที่
รูปที่ 1.7 แท่งแม่เหล็กตัวยูคว ่าบนจานตัวน า
ที่มา (ณรงค์ ชอนตะวัน. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. 2554: 14)
แท่งแม่เหล็กเคลื่อนที่ทวนเข็มนาฬิกาโดยที่จานตัวน าอยู่กับที่ จะเกิดการเหนี่ยวน าแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้น
ที่จานตัวน า จะเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวน าและกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน า หาทิศทางการเคลื่อนที่ของ
กระแสไฟฟ้าได้จากกฎมือขวาของเฟลมมิ่ง และการหาทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน าภายใต้
ขั้วแม่เหล็กเหนือ และไหลออกจากใต้ขั้วแม่เหล็กเหนือไปสู่ขอบจานตัวน าเมื่อมองจากจุด A เข้าไปหาจาน ดัง
รูปที่ 1.7 จะพบว่าทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน าภายใต้ขั้วแม่เหล็กจะใต้ไหลจากขอบจานตัว
น าเข้าสู่ใต้ขั้วแม่เหล็กใต้
ทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวที่ขั้วแม่เหล็กเหนือ เส้นแรงแม่เหล็กเกิดจากระแสไฟฟ้า
เหนี่ยวน าด้านซ้ายมือ จะเสริมกับเส้นแรงแม่เหล็กที่พุ่งออกจากขั้วแม่เหล็กเหนือ เส้นแรงแม่เหล็กที่เกิด
จากกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน าด้านขวามือ จะหักล้างกันกับเส้นแรงแม่เหล็กที่ออกมาจากขั้วแม่เหล็กเหนือที่
ขั้วแม่เหล็กใต้เส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจากกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน าด้านซ้ายมือ จะหักล้างกับเส้นแรง
แม่เหล็กที่พุ่งเข้าหาขั้วแม่เหล็กใต้ และเส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจากกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน าด้านขวามือ จะ
เสริมกับเส้นแรงแม่เหล็กที่เข้าหาขั้วแม่เหล็กใต้ ทิศทางการเคลื่อนที่ของเส้นแรงแม่เหล็กจะเกิดจาก
กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน า ตามกฎมือขวาของเฟลมมิ่ง ลักษณะเป็นเส้นแรงแม่เหล็กรวมรอบตัวน าภายใต้
ขั้วแม่เหล็กเหนือดังรูปที่ 1.8
N ทิศทางของแม่เหล็กเคลื่อนที่
ทิศทางของแรง
รูปที่ 1.8 เส้นแรงแม่เหล็กรวมรอบตัวน าภายใต้ขั้วแม่เหล็กเหนือ
ที่มา (ณรงค์ ชอนตะวัน. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. 2554: 14)
เมื่อส่วนที่เคลื่อนอยู่ภายในโครงเหล็กทรงกระบอก ที่มีขั้วแม่เหล็กเหนือและใต้ยึดติดอยู่ 2 คู่
หรือ 4 ขั้วแม่เหล็ก สมมติว่าถ้าท าให้ตัวน าทรงกระบอกอยู่กับที่แล้วให้ขั้วแม่เหล็กยึดติดกับโครงเหล็ก
เคลื่อนที่ทวนเข็มนาฬิกา เหมือนกับว่าถ้าให้ขั้วแม่เหล็กอยู่กับที่แล้วท าให้ตัวน าทรงกระบอกเคลื่อนที่
ตามเข็มนาฬิกา จะเกิดการเหนี่ยวน าแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นที่ตัวน าทรงกระบอก โดยจะเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้า
เหนี่ยวน าและกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน า ทิศทางการเคลื่อนที่หรือการไหลของกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน าหาได้
จากกฎมือขวาของเฟลมมิ่ง กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน าภายใต้ขั้วแม่เหล็กเหนือไหลจากขอบแกนโครงเหล็ก
ทรงกระบอกเข้าสู่ภายใต้ขั้วแม่เหล็กเหนือ และกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน าภายใต้ขั้วแม่เหล็กใต้จะไหลจาก
แกนโครงเหล็กทรงกระบอก ผ่านภายใต้ขั้วแม่เหล็กใต้ไปยังขอบแกนซ้ายมือด้านนอก ดังนั้นทิศทาง
ของกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน าภายใต้ขั้วแม่เหล็กเหนือทั้งสองขั้วนี้ มีทิศทางที่เหมือนกันคือไหลจากขอบ
ด้านนอกขอบแกนน าซ้ายมือ ผ่านภายใต้ขั้วเหนือไปสู่ขอบแกนตัวน าขวามือ และทิศทางของ
กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน า ภายใต้ขั้วแม่เหล็กใต้ทั้งสองขั้วมีทิศทางเหมือนกันคือ ไหลจากขอบแกนตัวน าด้านใน
ขวามือ ผ่านภายใต้ขั้วใต้ออกมาสู่ขอบแกนตัวน าด้านซ้ายมือดังรูปที่ 1.9
ทิศทางการเคลื่อนที่ของสนามแม่เหล็ก
ทิศทางการเคลื่อนที่ของโรเตอร์
กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน า
รูปที่ 1.9 การเคลื่อนที่ของโรเตอร์
ที่มา (ณรงค์ ชอนตะวัน. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. 2554: 16)
1.3 แรงที่กระท าต่อขดลวดสนามแม่เหล็กรอบตัวน า
ลวดตัวน ามีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน (I) เมื่อน าขดลวดวางในสนามแม่เหล็กจะมีแรงกระท าในแต่ละ
ด้านของลวดมีขนาดเท่ากัน แต่อยู่ในทิศทางตรงข้ามกันดังรูปที่ 1.10 เป็นผลท าให้เกิดแรงบิดขับลวดให้
หมุนรอบแกน XY
Y
I
I
X
รูปที่ 1.10 แรงกระท าของขดลวดที่อยู่ในบริเวณสนามแม่เหล็ก
ที่มา (วิรัตน์ สนิท. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. 2551: 5)
1.4 หลักการเบื้องต้นของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
ผู้ค้นพบหลักการของมอเตอร์คือ นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla) เป็นชาวโครเอเชีย วิธีการท าให้
มอเตอร์หมุนเกิดจากแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับแม่เหล็กคือ ขั้วแม่เหล็กต่างกันจะดูดกันและขั้วที่เหมือนกันจะ
ผลักกัน ดังนั้นการท าให้เกิดขั้วแม่เหล็กเหนือกับขั้วแม่เหล็กใต้สลับกันไปมาบนสเตเตอร์ตามความถี่ของ
ไฟฟ้ากระแสสลับรูปคลื่นไซน์ จะท าให้เกิดสนามแม่เหล็กหมุนรอบ ๆ ผิวของโรเตอร์ นั่นคือ จะเกิดการ
ผลักและดูดกับโรเตอร์ซึ่งอยู่กับที่ท าให้เกิดการหมุนอย่างต่อเนื่องของโรเตอร์ดังรูปที่ 1.11
เส้นแรงแม่เหล็กที่โรเตอร์
โรเตอร์กรงกระรอก
ทิศการไหลของกระแสไฟฟ้า
เส้นแรงแม่เหล็ก
รูปที่ 1.11 หลักการเบื้องต้นของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
ที่มา (คารม สินธูระหัส. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. 2557: 41)
1.5 ชนิดและส่วนประกอบของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
1.5.1 ชนิดของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1. มอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวน า (Induction motor)
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับชนิดเหนี่ยวน าหรือจะเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งคืออินดักชันมอเตอร์
เนื่องจากการที่ส่วนที่เคลื่อนที่หรือโรเตอร์ (Rotor) ได้รับการถ่ายทอดพลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากการเหนี่ยวน า
ของแม่เหล็กไฟฟ้าจากส่วนที่อยู่กับที่หรือสเตเตอร์ (Stator) นั่นเอง มอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวน าเมื่อแบ่งตาม
ชนิดของแหล่งจ่ายแรงเคลื่อนไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ
(1) มอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวน าเฟสเดียว (Single phase induction motor) เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า
กระแสสลับที่ใช้กับแรงเคลื่อนไฟฟ้าในระบบ 1 เฟส ได้แก่ คาปาซิเตอร์มอเตอร์ เชดเดดโพลมอเตอร์ และ
สปลิตเฟสมอเตอร์
(2) มอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวน าสามเฟส (Three phase induction motor) เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า
กระแสสลับที่ใช้กับแรงเคลื่อนไฟฟ้าระบบ 3 เฟส มี 2 แบบ
(ก) มอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวน าสามเฟสชนิดกรงกระรอก (Squirrel cage rotor) โรเตอร์ของ
มอเตอร์เป็นแบบกรงกระรอก สามารถเริ่มหมุนโดยการจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าไปยังมอเตอร์ได้โดยตรงหรือใช้
อุปกรณ์โซลิดสเตต (Solid state) หรือลดแรงเคลื่อนไฟฟ้าด้วยหม้อแปลงออโต (Auto transformer)
(ข) มอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวน าสามเฟสชนิดพันขดลวดหรือชนิดวาวด์โรเตอร์ (Wound
rotor) และมีวงแหวนทองแดงหรือสลิปริง (Slip ring) ติดอยู่กับเพลาด้านหนึ่ง มอเตอร์แบบนี้จะสามารถ
ควบคุมแรงบิดขณะเริ่มหมุนได้โดยการเพิ่มความต้านทานภายนอกให้กับมอเตอร์ผ่านทางสลิปริง
2. มอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัส (Synchronous motor)
มอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าซิงโครนัสมอเตอร์ เป็นมอเตอร์ 3 เฟส ที่มี
ขนาดตั้งแต่ 20 แรงม้าขึ้นไปจนถึงหลายร้อยแรงม้า มอเตอร์ชนิดนี้การหมุนของโรเตอร์สามารถหมุนได้
ความเร็วรอบเท่ากับความเร็วรอบสนามแม่เหล็กหมุน(Rotating field) ความเร็วรอบสนามแม่เหล็กหมุนนี้
เรียกว่า ความเร็วซิงโครนัส (Synchronous speed) ซิงโครนัสมอเตอร์มีคุณลักษณะที่แตกต่างจากมอเตอร์ 3
เฟส ดังนี้
(1) ซิงโครนัสมอเตอร์มีความเร็วรอบคงที่ ไม่ว่าจะมีโหลดหรือไม่มีโหลด
(2) ซิงโครนัสมอเตอร์ไม่ขึ้นอยู่กับการเหนี่ยวน ากระแสไฟฟ้าในโรเตอร์ ที่จะท าให้เกิด
แรงบิด
(3) ซิงโครนัสมอเตอร์ขณะท างานจะต้องมีไฟฟ้ากระแสตรงจากภายนอกเป็นตัวกระตุ้น
(4) ซิงโครนัสมอเตอร์จะท างานที่ความเร็วรอบของสนามแม่เหล็กที่หมุน
(5) ซิงโครนัสมอเตอร์ใช้แก้เพาเวอร์แฟกเตอร์ได้
โครงสร้างของโรเตอร์ ซิงโครนัสมอเตอร์จะมีขดลวดสเตเตอร์เหมือนกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3
เฟส แต่โรเตอร์จะมีขดลวดพันเหมือนกันกับโรเตอร์ของเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสสลับดังรูปที่ 1.12
ขั้วแม่เหล็ก
สลิปริง
รูปที่ 1.12 โรเตอร์ของซิงโครนัสมอเตอร์
ที่มา (ไชยชาญ หินเกิด. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. 2555: 153)
ขดลวดโรเตอร์ของซิงโครนัสมอเตอร์จะเป็นขั้วและต่ออนุกรมกัน โดยน าปลายทั้งสองต่อเข้า
กับสลิปริงที่ยึดติดกับเพลาอันเดียวกับโรเตอร์และขดลวดที่โรเตอร์นี้จะมีการกระตุ้นให้เกิดแม่เหล็กได้โดย
การจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงผ่านสลิปริงหรือตัวกระตุ้นไร้แปรงถ่าน (Brushless exciter)
ส่วนประกอบของซิงโครนัสมอเตอร์
(1) สเตเตอร์ ท าจากแผ่นเหล็กบาง ๆ วางอัดซ้อนกันท าเป็นช่องสลอตส าหรับพันขดลวด
โดยพันเป็นแบบ 3 เฟส และพันแบบแลป
(2) โรเตอร์ เป็นแบบขั้วยื่นออกมา (Salient pole) ขั้วแม่เหล็กจะพันขดลวดฟิลด์คอยล์ไว้ซึ่ง
ขดลวดฟิลด์คอยล์จะต่ออนุกรมกันและใช้ไฟฟ้ากระแสตรงจากภายนอก จ่ายให้กับขดลวดจะท าให้เกิด
ขั้วแม่เหล็กคงที่ ขดลวดฟิลด์คอยล์ที่โรเตอร์จะต่อเข้ากับวงแหวนรวบรวมหรือที่เรียกว่าสลิปริงมีจ านวน 2
วง และที่โรเตอร์จะฝังแท่งตัวน าที่เป็นกรงกระรอกเหมือนกันกับโรเตอร์ของมอเตอร์ 3 เฟส แท่งตัวน านี้
เรียกว่าขดลวดแดมเปอร์(Damper winding) เพื่อใช้สตาร์ตมอเตอร์
หลักการท างานของซิงโครนัสมอเตอร์
เมื่อจ่ายแรงเคลื่อนไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟสให้กับขดลวดที่สเตเตอร์ของซิงโครนัสมอเตอร์ จะท า
ให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้นที่สเตเตอร์สนามแม่เหล็กนี้จะเกิดการหมุนที่ความเร็วซิงโครนัส ท าให้เกิดการ
เหนี่ยวน าแรงเคลื่อนไฟฟ้าขึ้นที่โรเตอร์ และจะมีกระแสไฟฟ้าไหลในขดลวดแดมเปอร์นั้นท าให้เกิด
ขั้วแม่เหล็กชั่วขณะขึ้นที่โรเตอร์ และถ้าสมมติให้ต าแหน่งที่ขั้วแม่เหล็กที่เกิดขึ้นชั่วขณะนั้นมีขั้วลักษณะ
เช่นเดียวกับขั้วแม่เหล็กที่เกิดขึ้นที่สเตเตอร์ จะท าให้ขั้วแม่เหล็กที่สเตเตอร์และโรเตอร์เกิดแรงผลักซึ่งกัน
และกัน โดยแรงผลักนี้จะท าให้โรเตอร์เริ่มเคลื่อนที่หรือหมุนไปได้ ทิศทางการเคลื่อนที่จะเป็นทิศเดียวกันกับ
สนามแม่เหล็กที่เคลื่อนที่บนสเตเตอร์
การสตาร์ตของซิงโครนัสมอเตอร์
เมื่อจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับให้กับขดลวดสเตเตอร์จะเกิดสนามแม่เหล็กหมุนขึ้นที่สเตเตอร์ โดยที่
สนามเหล็กหมุนนี้จะตัดกับแท่งตัวน ากรงกระรอกของโรเตอร์ จะท าให้กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน าขึ้นในแท่ง
ตัวน านั้น กระแสไฟฟ้าที่ไหลในตัวน ากรงกระรอกจะท าให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น และจะท าปฏิกิริยากับ
สนามแม่เหล็กที่สเตเตอร์ เป็นเหตุให้โรเตอร์เริ่มหมุนได้ในทิศทางเดียวกับสนามแม่เหล็กหมุนที่สเตเตอร์เมื่อ
โรเตอร์เร่งความเร็วขึ้นถึงความเร็วเดียวกันกับสนามแม่เหล็กที่หมุนสเตเตอร์ โรเตอร์จะถูกต่อเข้ากับ
แหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงโดยจะต่อผ่านเข้าทางสลิปริงบนเพลาของโรเตอร์ดังรูปที่ 1.13 ในโรเตอร์ของ
ซิงโครนัสมอเตอร์จะมีขดลวดพันอยู่และยังมีกรงกระรอก แท่งตัวน ากรงกระรอกนี้จะใช้ประโยชน์ในการ
สตาร์ตมอเตอร์และเรียกว่า ชุดขดลวดหน่วง (Amortisseur winding)
รูปที่ 1.13 การกระตุ้นด้วยไฟฟ้ากระแสตรงให้กับซิงโครนัสมอเตอร์
ที่มา (ไชยชาญ หินเกิด. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. 2555: 155)
เมื่อจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงให้กับโรเตอร์ ขดลวดที่โรเตอร์จะเกิดสนามแม่เหล็กขึ้น สนามแม่เหล็กจะล็
อกกับสนามแม่เหล็กหมุนของสเตเตอร์ จึงท าให้โรเตอร์หมุนด้วยความเร็วเดียวกับสนามแม่เหล็กหมุนของสเต
เตอร์ เมื่อโรเตอร์หมุนด้วยความเร็วเดียวกันกับสนามแม่เหล็กหมุนของสแตอร์ จึงไม่มีการตัดกันระหว่าง
สนามแม่เหล็กของสเตเตอร์กับตัวน ากรงกระรอก ท าให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลในชุดขดลวดหน่วงนั้นสิ้นสุดลง
ซิงโครนัสมอเตอร์สตาร์ตเช่นเดียวกับมอเตอร์เหนี่ยวน าที่มีโรเตอร์แบบกรงกระรอก ดังนั้น โร
เตอร์ของซิงโครนัสมอเตอร์จึงต้องมีแท่งตัวน าฝังอยู่เช่นเดียวกับมอเตอร์ที่มีโรเตอร์แบบกรงกระรอก
ซิงโครนัสมอเตอร์ให้แรงบิดขณะเริ่มหมุนดีกระแสไฟฟ้าขณะเริ่มหมุนต ่า แต่จะต้องต่อความต้านทานที่มีค่า
สูงเข้ากับโรเตอร์ ซิงโครนัสมอเตอร์จะไม่สามารถเริ่มหมุนได้ ถ้าจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงให้กับโรเตอร์ขณะ
สตาร์ตจะท าให้เกิดขั้วแม่เหล็กขึ้นที่โรเตอร์ สเตเตอร์ถูกกระตุ้นด้วยการจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับเข้าไปก็จะท า
ให้เกิดสนามแม่เหล็กหมุนขึ้นที่สเตเตอร์ที่ความเร็วซิงโครนัส สนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นที่โรเตอร์จะเกิดการ
ดูดและผลักกับสนามแม่เหล็กที่สเตเตอร์ ท าให้โรเตอร์ไม่หมุนแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงอาจได้รับความ
เสียหายได้ เนื่องจากแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวน าที่เกิดขึ้นมีค่าสูงมาก เพื่อเป็ นการป้องกันผลของ
แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวน าที่เกิดขึ้นนี้ต้องต่อความต้านทานคร่อมเข้ากับขดลวดโรเตอร์ เรียกว่าตัวต้านทาน
ถ่ายเทกระแสไฟฟ้าดังรูปที่ 1.14
รูปที่ 1.14 การต่อตัวต้านทานถ่ายเทกระแสไฟฟ้าคร่อมขดลวดโรเตอร์
ที่มา (ไชยชาญ หินเกิด. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. 2555: 156)
การน าซิงโครนัสมอเตอร์ไปใช้งาน
ซิงโครนัสมอเตอร์นิยมใช้งานกันมากในโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในโรงงานที่มีความ
ต้องการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ตั้งแต่ 500 แรงม้าขึ้นไป โดยจะน าซิงโครนัสมอเตอร์ต่อเข้ากับสายที่จ่าย
ไฟฟ้าให้กับมอเตอร์เหล่านั้นดังรูปที่ 1.15 และให้ซิงโครนัสมอเตอร์ท างานสภาวะไม่มีโหลด เพื่อใช้
ซิงโครนัสมอเตอร์แก้เพาเวอร์แฟกเตอร์ให้กับวงจรไฟฟ้านั้นเพียงอย่างเดียว เรียกว่าซิงโครนัสคาปาซิเตอร์
(Synchronous capaciter) เพราะท าหน้าที่เหมือนคาปาซิเตอร์
รูปที่ 1.15 การใช้ซิงโครนัสมอเตอร์แก้เพาเวอร์แฟกเตอร์
ที่มา (ไชยชาญ หินเกิด. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. 2555: 159)
ซิงโครนัสมอเตอร์มีความเร็วรอบคงที่ตลอดเวลา (Constant speed) หากมีการใช้งานโหลดเกิน
พิกัดความเร็วโรเตอร์จะหลุดออกจากความเร็วซิงโครนัสและจะหยุดหมุน การเปลี่ยนความเร็วรอบท าได้
โดยการเปลี่ยนความถี่ของแหล่งจ่ายไฟฟ้า ตามสมการ
120f
N S = P ………...………..…1.1
N S = ความเร็วซิงโครนัส (rpm.)
f = ความถี่ (Hz)
P = จ านวนขั้วแม่เหล็ก (Pole)
ความเร็วซิงโครนัสของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับสลับที่ความถี่ต่าง ๆ ค่าความเร็วซิงโครนัสจะ
ขึ้นอยู่กับความถี่และจ านวนขั้วแม่เหล็ก ถ้าความถี่มากความเร็วซิงโครนัสจะมากตามไปด้วย แต่ในทาง
กลับกัน ถ้ามีจ านวนขั้วแม่เหล็กน้อยความเร็วซิงโครนัสจะมากดังตารางที่ 1.1
ตารางที่ 1.1 ความเร็วซิงโครนัสของมอเตอร์
ความเร็วซิงโครนัส N (rpm.)
S
จ านวนขั้วแม่เหล็ก f = 25 Hz f = 50 Hz f = 60 Hz
2 1,500 3,000 3,600
4 750 1,500 1,800
6 500 1,000 1,200
8 375 750 900
ความเร็วโรเตอร์และสลิป (Slip)
ในความเป็นจริงแล้วโรเตอร์ของมอเตอร์จะหมุนด้วยความเร็วที่ต ่ากว่าความเร็วซิงโครนัส ถ้าโรเต
อร์หมุนด้วยความเร็วเท่ากับความเร็วซิงโครนัสแล้วจะไม่เกิดการเหนี่ยวน าแม่เหล็กไฟฟ้าที่โรเตอร์ จะไม่
เกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน าและจะไม่เกิดแรงบิดขึ้นที่ตัวมอเตอร์ไฟฟ้า หมายถึงตัวโรเตอร์จะไม่หมุน และเมื่อ
โรเตอร์หมุนด้วยความเร็วต ่ากว่าความเร็วซิงโครนัส ความแตกต่างระหว่างความเร็วซิงโครนัสและความเร็ว
โรเตอร์เรียกว่าสลิปหรือความเร็วสลิป
ดังนั้น ความเร็วสลิป = N - N รอบต่อนาที…………..….…1.2
S
เมื่อจะแสดงค่าสลิปอยู่ในรูปเปอร์เซ็นต์ ก็หาได้ดังนี้
N - N
S
สลิป, S = N S ……….….…………1.3
N - N
S
หรือ %S = N S ×100% ……….….…………1.4
เมื่อ N = ความเร็วซิงโครนัส รอบต่อนาที
S
N = ความเร็วโรเตอร์ รอบต่อนาที
120f 1 - S
N = P ………….….………1.5
หรือ N = N (1-S) ………..……....……1.6
S
แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวน าและความถี่โรเตอร์
ถ้าโรเตอร์หมุนด้วยความเร็วเท่ากับความเร็วซิงโครนัสจะไม่เกิดการเหนี่ยวน าแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นที่
โรเตอร์ จะไม่เกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวน าและจะไม่เกิดความถี่ที่โรเตอร์ แต่ถ้าโรเตอร์อยู่กับที่จะเกิด
แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวน าและเกิดความถี่ขึ้นที่โรเตอร์ ค่าความถี่มีค่าเท่ากับความถี่ของระบบไฟฟ้าที่ป้อน
ให้กับมอเตอร์และมอเตอร์จะมีสลิปเท่ากับ 1 ถ้ามอเตอร์มีสลิปเท่ากับ 0.5 ความถี่ของโรเตอร์จะมีค่าเท่ากับ
ครึ่งหนึ่งของความถี่ที่ป้อนให้กับมอเตอร์ ความถี่โรเตอร์ขึ้นอยู่กับผลต่างความเร็วซิงโครนัสและความเร็วโร
เตอร์ ดังนี้
N = 120f
P
S
N -P
S
f = 120 ……….….…………1.7
N - P
S
f = 120 ………….…….……1.8
r
f N - N
f r r = S S ………….….………1.9
N
f = Sf ………….….………1.10
r
f = ความถี่โรเตอร์ ไซเกิลต่อวินาที
r
ดังนั้นความถี่ของโรเตอร์ f มีค่าเท่ากับ ค่าสลิปคูณกับความถี่ของระบบไฟฟ้าที่ป้อนให้
มอเตอร์
ตัวอย่างที่ 1.1 อินดักชันมอเตอร์ขนาด 40 แรงม้า ระบบ 3 เฟส แรงเคลื่อนไฟฟ้า 380 โวลต์ ความถี่
50 ไซเกิลต่อวินาที จ านวนขั้วแม่เหล็ก 6 โพล ความเร็วโหลดเต็มพิกัด 850 รอบต่อนาที
จงหาค่า
1. ความเร็วซิงโครนัส
2. ความเร็วสลิป
3. %S
วิธีท า จากสูตร
1. N = 120f
P
S
120×50
N = 6
S
N = 1,000 รอบต่อนาที ตอบ
S
2. ความเร็วสลิป = N -N
S
= 1000-850
ความเร็วสลิป = 150 รอบต่อนาที ตอบ
3. %S = 1,000-850 ×100 %
1,000
%S = 15 % ตอบ
ตัวอย่างที่ 1.2 อินดักชันมอเตอร์มีจ านวนขั้วแม่เหล็ก 4 โพล ความเร็วโหลดเต็มพิกัด 750 รอบต่อนาที
ความถี่ 50 ไซเกิลต่อวินาที จงหาเปอร์เซ็นต์สลิป
วิธีท า จากสูตร
N = 120f
P
S
120×50
N = 4
S
N = 1,500 รอบต่อนาที
S
1,500-750
%S = 1,500 ×100%
%S = 50 % ตอบ
3. มอเตอร์ไฟฟ้าแบบคอมมิวเตเตอร์ (Commutator type motor)
โรเตอร์ของมอเตอร์แบบนี้มีลักษณะคล้ายกับอาร์เมเจอร์ของเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
เพราะมีขดลวดพันอยู่ในร่องของแกนอาร์เมเจอร์ปลายของขดลวดต่อเข้ากับคอมมิวเตเตอร์ มี 2 แบบ คือรีพัล
ชันมอเตอร์และยูนิเวอร์แซลมอเตอร์
1.5.2 ส่วนประกอบของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
1. ส่วนที่อยู่กับที่ เป็นส่วนที่อยู่กับที่ ประกอบด้วย
(1) โครงมอเตอร์ (Frame or yoke) ท าด้วยเหล็กหล่อรูปทรงกระบอกกลวงฐานส่วนล่างจะ
เป็นขาตั้งมีกล่องส าหรับต่อสายไฟอยู่ด้านบนหรือด้านข้าง โครงจะท าหน้าที่ยึดแกนเหล็กสเตเตอร์ให้แน่น
อยู่กับที่ผิวด้านนอกของโครงมอเตอร์จะออกแบบมีลักษณะเป็นครีบเพื่อช่วยในการระบายความร้อนดังรูปที่
1.16 (ก)
ครีบระบายความร้อน
(ก) โครงแบบมีครีบระบายความร้อน (ข) โครงแบบเหล็กหล่อเหนียวม้วน
รูปที่ 1.16 โครงมอเตอร์
ในกรณีที่เป็นมอเตอร์ขนาดเล็ก ๆ โครงจะท าด้วยเหล็กหล่อแต่ถ้าเป็นมอเตอร์ขนาดใหญ่
โครงจะท าด้วยเหล็กหล่อเหนียวซึ่งจะท าให้มอเตอร์มีขนาดเล็กกะทัดรัดมากขึ้น แต่ถ้าใช้เหล็กหล่อจะมี
ขนาดใหญ่น ้าหนักมากนอกจากนี้แล้วโครงของมอเตอร์ยังอาจท าด้วยเหล็กหล่อเหนียว ม้วนให้เป็นแผ่นรูป
ทรงกระบอกดังรูปที่ 1.16 (ข) แล้วเชื่อมติดกันให้มีความแข็งแรง
(2) แกนเหล็กสเตเตอร์ (Stator core) ท าด้วยแผ่นเหล็กบาง ๆ ลักษณะกลมเจาะตรงกลางและ
เซาะร่องภายในโดยรอบเพื่อใส่ขดลวดแผ่นเหล็กชนิดนี้เรียกว่าลามิเนต (Laminate iron core) ซึ่งจะถูกเคลือบ
ด้วยซิลิกอน เหล็กแต่ละแผ่นจะมีความหนาประมาณ 0.025 นิ้ว หลังจากนั้นจึงน าไปอัดเข้าด้วยกันจนมีความ
หนาที่เหมาะสมเรียกว่าแกนเหล็กสเตเตอร์ดังรูปที่ 1.17
แกนเหล็กสเตเตอร์
รูปที่ 1.17 แกนเหล็กสเตเตอร์
ในร่องแกนเหล็กสเตเตอร์มีขดลวด (Stator winding) จะมีลักษณะเป็นเส้นลวดทองแดง
เคลือบด้วยฉนวนไฟฟ้าอย่างดีดังรูปที่ 1.18 (ก) ฉนวนที่ใช้เคลือบคือน ้ามันวานิชเมื่อแห้งสนิทแล้วจะเป็น
ฉนวนไฟฟ้าอย่างดี ขนาดขดลวดที่พันในร่องสลอตของแกนขดลวดจะแตกต่างกันตามชนิดของมอเตอร์ ดัง
รูปที่ 1.18 (ข)
(ก) ขดลวดทองแดง (ข) ขดลวดที่พันลงในสลอต
รูปที่ 1.18 ขดลวดของมอเตอร์
(3) ฝาปิดหัวท้าย (End plates) ท าหน้าที่ปิดหัวท้ายของมอเตอร์โดยจะยึดติดกับสเตเตอร์
ด้วยนอตหรือสกรูตามชนิดของมอเตอร์ดังรูปที่ 1.19 (ก) และ (ข) และท าหน้าที่รองรับโรเตอร์ด้วยซึ่งจะมี
ตลับลูกปืน(Bearing) ส าหรับรองรับโรเตอร์
(ก) ฝาปิดหัวท้ายมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส (ข) ฝาปิดหัวท้ายมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส
รูปที่ 1.19 ฝาปิดหัวท้าย
2. ส่วนที่เคลื่อนที่ เป็นส่วนที่เคลื่อนที่ของมอเตอร์ ประกอบด้วย
โรเตอร์หรือตัวหมุน มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับชนิดเหนี่ยวน ามีโรเตอร์ 2 ชนิด คือโรเตอร์
ชนิดกรงกระรอกดังรูปที่ 1.20 (ก) (ข) และโรเตอร์ชนิดพันขดลวดดังรูปที่ 1.20 (ค)(ง) ซึ่งชนิดพันขดลวด
จะมี 2 แบบ คือ แบบคอมมิวเตเตอร์กับแบบสลิปริง
(ก) โรเตอร์ชนิดกรงกระรอกของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส
(ข)โรเตอร์ชนิดกรงกระรอกของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส
(ค)โรเตอร์ชนิดพันขดลวดแบบคอมมิวเตเตอร์
(ง)โรเตอร์ชนิดพันขดลวดแบบสลิปริง
รูปที่ 1.20 โรเตอร์ของมอเตอร์ไฟฟ้า
แบบฝึกหัดหน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
จงตอบค าถามต่อไปนี้
1. จงอธิบายคุณสมบัติของแท่งแม่เหล็ก (3 คะแนน)
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
2. จงอธิบายการเกิดสนามแม่เหล็กเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน (3 คะแนน)
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
3. จงอธิบายหลักการท างานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (2 คะแนน)
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
4. จงบอกส่วนประกอบของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (2 คะแนน)
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
แบบทดสอบก่อนเรียน
ค าชี้แจง
1. แบบทดสอบมีทั้งหมด 10 ข้อ เป็นแบบปรนัยเลือกตอบ (ก – ง)
2. ให้ท าเครื่องหมาย เลือกข้อที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
1. แท่งแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีขั้วเหมือนกันวางไว้ใกล้กันจะเป็นอย่างไร
ก. แท่งแม่เหล็กจะผลักกัน
ข. แท่งแม่เหล็กจะดูด – ผลัก สลับกัน
ค. แท่งแม่เหล็กจะดูดกัน
ง. แท่งแม่เหล็กจะหยุดนิ่ง
2. ข้อใด ไม่ใช่ คุณสมบัติสนามแม่เหล็ก
ก. เส้นแรงแม่เหล็กจะไม่ตัดกัน
ข. สนามแม่เหล็กเข้มมากที่ขั้ว
ค. เส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนที่ผ่านอากาศได้ง่ายที่สุด
ง. เส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนที่ผ่านเหล็กได้ง่ายที่สุด
3. การค้นพบของเออร์สเตด ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก. เข็มทิศท าให้เกิดสนามแม่เหล็ก
ข. กระแสไฟฟ้าท าให้เกิดสนามแม่เหล็ก
ค. สนามแม่เหล็กจะเป็นวงรี
ง. เข็มทิศท าให้สนามแม่เหล็กเปลี่ยนทิศทางได้
4. ทิศทางเส้นแรงแม่เหล็กรอบตัวน าอธิบายได้ตามข้อใด
ก. กฎมือขวาของเฟลมมิ่ง
ข. กฎมือซ้ายของเฟลมมิ่ง
ค. กฎมือขวาของตัวน า
ง. กฎมือซ้ายของตัวน า
5. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับแรงที่กระท าต่อขดลวด
ก. เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดจะเกิดสนามแม่เหล็ก
ข. แรงแต่ละด้านของขดลวดมีขนาดเท่ากัน
ค. มีทิศทางสนามแม่เหล็กตรงกันข้ามกัน
ง. มีทิศทางสนามแม่เหล็กขนานกัน
6. ใครคือผู้ค้นพบหลักการเบื้องต้นของมอเตอร์
ก. โทมัสเอดิสัน
ข. นิโคลา เทสลา
ค. แมกซ์เวลล์
ง. เจมส์ วัตต์
7. ที่เรียกว่า Squirrel cage rotor หมายถึงอะไร
ก. โรเตอร์พันขดลวด
ข. โรเตอร์วงแหวน
ค. โรเตอร์กรงกระรอก
ง. โรเตอร์แบบยื่น
8. มอเตอร์เหนี่ยวน า หมายถึงอะไร
ก. อินดักชันมอเตอร์
ข. ซิงโครนัสมอเตอร์
ค. มอเตอร์ขนาด 20 แรงม้าขึ้นไป
ง. เครื่องกลไฟฟ้าที่ท าหน้าที่เปลี่ยนระดับแรงเคลื่อนไฟฟ้า
9. ส่วนที่หมุนได้ของมอเตอร์เรียกว่าอะไร
ก. สเตเตอร์
ข. โครง
ค. โรเตอร์
ง. คอยล์
10. ข้อใด ไม่ใช่ ชนิดของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
ก. มอเตอร์เหนี่ยวน า
ข. มอเตอร์แบบคอมมิวเตเตอร์
ค. ซิงโครนัสมอเตอร์
ง. ไดนาโม
แบบทดสอบหลังเรียน
ค าชี้แจง
1. แบบทดสอบมีทั้งหมด 10 ข้อ เป็นแบบปรนัยเลือกตอบ (ก – ง)
2. ให้ท าเครื่องหมาย เลือกข้อที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
1. ข้อใด ไม่ใช่ ชนิดของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
ก. มอเตอร์เหนี่ยวน า
ข. มอเตอร์แบบคอมมิวเตเตอร์
ค. ซิงโครนัสมอเตอร์
ง. ไดนาโม
2. ส่วนที่หมุนได้ของมอเตอร์เรียกว่าอะไร
ก. สเตเตอร์
ข. โครง
ค. โรเตอร์
ง. คอยล์
3. มอเตอร์เหนี่ยวน าหมายถึงอะไร
ก. อินดักชันมอเตอร์
ข. ซิงโครนัสมอเตอร์
ค. มอเตอร์ขนาด 20 แรงม้าขึ้นไป
ง. เครื่องกลไฟฟ้าที่ท าหน้าที่เปลี่ยนระดับแรงเคลื่อนไฟฟ้า
4. ที่เรียกว่า Squirrel cage rotor หมายถึงอะไร
ก. โรเตอร์พันขดลวด
ข. โรเตอร์วงแหวน
ค. โรเตอร์กรงกระรอก
ง. โรเตอร์แบบยื่น
5. ใครคือผู้ค้นพบหลักการเบื้องต้นของมอเตอร์
ก. โทมัสเอดิสัน
ข. นิโคลา เทสลา
ค. แมกซ์เวลล์
ง. เจมส์ วัตต์
6. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับแรงที่กระท าต่อขดลวด
ก. เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดจะเกิดสนามแม่เหล็ก
ข. แรงแต่ละด้านของขดลวดมีขนาดเท่ากัน
ค. มีทิศทางสนามแม่เหล็กตรงกันข้ามกัน
ง. มีทิศทางสนามแม่เหล็กขนานกัน
7. ทิศทางเส้นแรงแม่เหล็กรอบตัวน าอธิบายได้ตามข้อใด
ก. กฎมือขวาของเฟลมมิ่ง
ข. กฎมือซ้ายของเฟลมมิ่ง
ค. กฎมือขวาของตัวน า
ง. กฎมือซ้ายของตัวน า
8. การค้นพบของเออร์สเตด ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก. เข็มทิศท าให้เกิดสนามแม่เหล็ก
ข. กระแสไฟฟ้าท าให้เกิดสนามแม่เหล็ก
ค. สนามแม่เหล็กจะเป็นวงรี
ง. เข็มทิศท าให้สนามแม่เหล็กเปลี่ยนทิศทางได้
9. ข้อใด ไม่ใช่ คุณสมบัติสนามแม่เหล็ก
ก. เส้นแรงแม่เหล็กจะไม่ตัดกัน
ข. สนามแม่เหล็กเข้มมากที่ขั้ว
ค. เส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนที่ผ่านอากาศได้ง่ายที่สุด
ง. เส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนที่ผ่านเหล็กได้ง่ายที่สุด
10. แท่งแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีขั้วเหมือนกันวางไว้ใกล้กันจะเป็นอย่างไร
ก. แท่งแม่เหล็กจะผลักกัน
ข. แท่งแม่เหล็กจะดูด – ผลัก สลับกัน
ค. แท่งแม่เหล็กจะดูดกัน
ง. แท่งแม่เหล็กจะหยุดนิ่ง
เอกสารอ้างอิง
คารม สินธูระหัฐ. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือเมืองไทย, 2557.
ไชยชาญ หินเกิด. เครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง. พิมพ์ครั้งที่ 19. กรุงเทพฯ: สมาคม
ส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย - ญี่ปุ่น), 2555.
ไชยชาญ หินเกิด. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. กรุงเทพฯ: บริษัท พัฒนาวิชาการ
(2535) จ ากัด , 2555.
ณรงค์ ชอนตะวัน. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ, 2554.
วิรัตน์ สนิท. มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์แม็ค, 2551.
Deutsche Gesellschaftfur Technische Zusammenarbeit (GTZ) GmbH.Specialedition
within the scope of Technical Cooperationin the field of Vocational
Training.Germany:Wiley Eastern Ltd., 1986.
โครงการสอน
รายวิชา มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
รหัสวิชา 2104-2008
ระดับ ปวช. 2 ไฟฟ้าก าลัง
โดย
นายทวีศักดิ์ ตันจินดารัตน์
สาขาวิชา ไฟฟ้าก าลัง
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559
วิทยาลัยเทคนิคระยอง
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้รายวิชา
ชื่อรายวิชา มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
รหัสวิชา 2104 - 2008 (ท-ป-น) 2-3-3
ระดับชั้น ปวช 2 สาขาวิชา/กลุ่มวิชา/แผนกวิชา ไฟฟ้าก าลัง
หน่วยกิต 2 จ านวนคาบรวม 90 คาบ
ทฤษฏี 2 คาบ/สัปดาห์ ปฏิบัติ 3 คาบ/สัปดาห์
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559
จุดประสงค์รายวิชา เพื่อให้
1. รู้เข้าใจชนิด โครงสร้าง ส่วนประกอบ หลักการท างานและคุณลักษณะของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส
และ 3 เฟส
2. มีทักษะในการตรวจซ่อมมอเตอร์การถอดประกอบ การพันขดลวด การต่อวงจรการทดสอบ และการ
บ ารุงรักษา
3. มีเจตคติและกิจนิสัยที่ดีในการปฏิบัติงาน มีความละเอียดรอบคอบ ปลอดภัย เป็นระเบียบ สะอาด ตรงต่อเวลา
มีความซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ
มาตราฐานรายวิชา
1. แสดงความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างและหลักการท างานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟสและ 3 เฟสชนิด
ต่าง ๆ
2. ถอดและประกอบ ชิ้นส่วน พันขดลวดและต่อวงจรของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส และ 3 เฟส
3. วัดและทดสอบหาคุณลักษณะของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส และ 3 เฟส
4. ใช้งานและบ ารุงรักษาการตรวจซ่อมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส และ 3 เฟส
ค าอธิบายรายวิชา
ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับ ชนิด โครงสร้างและส่วนประกอบของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส 3 เฟส และ
มอเตอร์ไฟฟ้าหลายความเร็ว หลักการท างาน การกลับทิศทางการหมุน คุณลักษณะการน าไปใช้งานและ บ ารุงรักษา
การตรวจซ่อมมอเตอร์ การถอดประกอบและการพันขดลวดและทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส และ 3 เฟส
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้รายวิชา
ชื่อรายวิชา มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ รหัสวิชา 2104 – 2008 ระดับชั้น ปวช.2
สาขาวิชา/กลุ่มวิชา/แผนกวิชา ไฟฟ้าก าลัง จ านวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
สัปดาห์ที่ รายการสอน จ านวนชั่วโมง
1 ทฤษฎีแม่เหล็ก 4
2 แม่เหล็กไฟฟ้า 4
3 โครงสร้างของเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง 4
4 การพันขดลวดอาร์เมเจอร์ 4
5 การแบ่งชนิดของเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง 4
6 อาร์เมอเจอร์รีแอกชันและคอมมิวเตชัน 4
7 เครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรงแบบกระตุ้นแยก 4
8 เครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรงแบบชันต์ 4
9 เครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรงแบบซีรีส์ 4
10 เครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรงแบบคอมปาวด์ 4
11 การท างานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง 4
12 ชนิดของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงและการเกิดอาร์เมเจอร์ 4
13 มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบบชันต์ 4
14 มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบบชันต์ 4
15 มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบบชันต์ 4
16 การควบคุมความเร็วของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง 4
17 การเริ่มเดินและการกลับทิศทางการหมุนของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง 4
18 วัดผลและประเมินผลปลายภาคเรียน 4
รวม 72
รายงานสรุปผลการด าเนินงาน
รหัสวิชา 2104 – 2008 วิชา มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternative current motors)
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้นักเรียนรู้ และเข้าใจชนิด โครงสร้าง ส่วนประกอบ หลักการท างาน และคุณลักษณะของ
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส และ 3 เฟส
2. เพื่อให้นักเรียนมีทักษะในการตรวจซ่อมมอเตอร์การถอดประกอบ การพันขดลวด การต่อวงจรการ
ทดสอบ และการบ ารุงรักษา
3. เพื่อให้นักเรียน สามารถออกแบบ การพันขดลวด ส าหรับมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับได้
4. เพื่อให้นักเรียนรู้ และเข้าใจในการล าดับความส าคัญในการท างาน
5. เพื่อให้นักเรียนรู้จักการใช้ความคิด และสรุปผลงานออกมาเป็นล าดับขั้นตอนได้
6. เพื่อให้นักเรียนมีเจตคติและกิจนิสัยที่ดีในการปฏิบัติงาน มีความละเอียดรอบคอบ ปลอดภัย
เป็นระเบียบ สะอาด ตรงต่อเวลา มีความซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ
อาจารย์ผู้สอน นายทวีศักดิ์ ตันจินดารัตน์
นายวีรกฤช ธะโนลัพธ์
รายชื่อสมาชิกในกลุ่ม
1. …………………………………………………………………………………. เลขที่ ……….. ห้อง ………..
2. …………………………………………………………………………………. เลขที่ ……….. ห้อง ………..
3. …………………………………………………………………………………. เลขที่ ……….. ห้อง ………..
4. …………………………………………………………………………………. เลขที่ ……….. ห้อง ………..
5. …………………………………………………………………………………. เลขที่ ……….. ห้อง ………..
1. ความหมายของค่าต่างๆ ในการพันขดลวด
1.1 พิตช์ขดลวด (Coil pitch)
พิตช์ขดลวด คือ ระยะของขดลวดระหว่างคอยล์ด้านซ้าย กับคอยล์ด้านขวาของขดลวด ชุด
เดียวกัน
1.2 พิตช์ขั้วแม่เหล็ก (Pole pitch)
พิตช์ขั้วแม่เหล็ก คือ ระยะห่างของขั้วแม่เหล็กระหว่างจุดกึ่งกลางของขั้วแม่เหล็กเหนือ กับ
ขั้วแม่เหล็กใต้ ที่อยู่ชิดกัน ซึ่งมีค่าเท่ากับ 180 องศาทางไฟฟ้า
1.3 พิตช์เต็ม (Full pitch)
พิตช์เต็ม คือ ระยะห่างของขดลวดระหว่างคอยล์ด้านซ้ายกับคอยล์ด้านขวาของขดลวดชุด
เดียวกัน ซึ่งมีระยะห่างเท่ากับ พิตช์ขั้วแม่เหล็ก หรือเท่ากับ 180 องศาทางไฟฟ้า
1.4 พิตช์เศษส่วน หรือพิตช์สั้น (Fractional pitch or short pitch)
พิตช์เศษส่วน หรือพิตช์สั้น คือ ระยะห่างของขดลวดระหว่างคอยล์ด้านซ้ายกับคอยล์ด้านขวาของ
ขดลวดชุดเดียวกัน ซึ่งมีระยะห่างน้อยกว่า พิตช์ขั้วแม่เหล็ก หรือเท่ากับ 180 องศาทางไฟฟ้า
รูปที่ 1 แสดงระยะพิตช์เต็ม และพิตช์เศษส่วน
α = มุมแอลฟา
1.5 เลเยอร์ (Layer)
เลเยอร์ คือ จ านวนชั้นของขดลวดใน 1 ร่องสเตเตอร์ แบ่งเป็น
1.5.1 การพันขดลวดอาร์เมเจอร์แบบชั้นเดียว (Single-Layer)
การพันแบบนี้ใน 1 ร่อง (Slot) มี 1 คอยล์ไซด์ (Coil-Side) เรียกว่า Half Coil Winding
จานวน Coil-Group ต่อเฟสเท่ากับครึ่งหนึ่งของจานวนขั้วแม่เหล็ก การต่อขดลวดแต่ละ Coil-Group เข้าด้วย กับ
ต่อแบบปลายต่อต้น ดังรูปที่ 2 ก.
1.5.2 การพันขดลวดอาร์เมเจอร์แบบสองชั้น (Double-Layer)
การพันแบบนี้ใน 1 ร่อง (Slot) มี 2 คอยล์ไซด์ (Coil-Side) เรียกว่า Whole-Coil -
Winding จ านวน Coil-Group ต่อเฟสเท่ากับจานวนขั้วแม่เหล็ก การต่อขดลวดของแต่ละ Coil-Group ต่อแบบ
ปลายต่อปลาย ดังรูปที่ 2 ข.
รูป 2 ก. รูป 2 ข.
แสดงการพันขดลวดแบบชั้นเดียว แสดงการพันขดลวดแบบสองชั้น
1.5.3 การพันขดลวดแบบสไปรัล (Spiral-Layer)
คือการพันขดลวดแบบจัดชุดคอยล์จากเล็กสุดมาถึงใหญ่สุด โดยการจัดชุดคอยล์นั้น
จะต้องค านวณหาระยะพิตช์ในการลงลวด ซึ่งต้น และปลายจะอยู่ที่ชุดไหนก็ได้โดยผู้พันต้องเป็นคนก าหนดเองดัง
รูปที่ 3 โดยรูปที่ 3 ก. ก าหนดให้ชุดเล็กเป็นต้น และชุดใหญ่เป็นปลาย และรูปที่ 3 ข. ก าหนดให้ชุดใหญ่เป็นต้น
และชุดเล็กเป็นปลาย
รูป 3 ก. รูป 3 ข.
2. การต่อวงจรขดลวดภายในมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส
1 2 3 4
L
N
1 2 3 4
รูปที่ 4
จากรูปที่ 4 เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟสมีชุดคอยล์ หรือชุดขดลวด 2 ชุด ดังนั้นจึงก าหนดให้
ชุดคอยล์สีฟ้า เป็นชุดรัน และชุดคอยล์สีแดง เป็นชุดสตาร์ท โดยการต่อวงจรภายในมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1
เฟส จะต้องต่อวงจรของชุดคอยล์ให้เป็นอนุกรมกัน และต้องแยกชุดคอยล์กันเป็น 2 ชุดตามรูปที่ 4 กล่าวคือ ชุดรัน
ต่ออนุกรมกัน และชุดสตาร์ทต่ออนุกรมกัน โดยให้เหลือต้น และปลายไว้อย่าละชุด และหลังจากนั้นให้น าชุดคอยล์
ทั้ง 2 มาต่อขนานกันก็จะเหลือ เพียงแค่ต้นกับปลายไว้แค่ชุดเดียว และที่ส าคัญคือ จะต้องต่ออนุกรมชุดคอยล์ให้ไป
ในทิศทางเดียวกัน
3. การต่อวงจรขดลวดภายในมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส
X
U V W U V W U V W U V W
รูปที่ 5
จากรูปที่ 5 ก าหนดให้เส้นสั้นที่ออกจากขดลวดเป็นต้นสาย และเส้นยาวเป็นปลายสาย จากรูปจาะเห็นว่า
ขดลวดมี 3 ชุด คือ ชุด U, V, W โดยถ้าเป็นชุดขดลวดเดียวกันจะต่ออนุกรมกัน และในการวางขดลวดจะวางเรียง
กัน สามารถต่อในรูปแบบใดก็ได้ แต่จะต้องให้ จ่ายไฟเฟสใดเฟสหนึ่งสวนทางกัน
ส าหรับวิธีการต่อใช้งานแบ่งออกเป็น 2 วิธี
1. ต่อวงจรแบบสตาร์
ขดลวดอาร์เมเจอร์ในมอเตอร์ไฟฟ้า 3 เฟส มีอยู่ 3 ชุด ซึ่งแต่ละชุดวางอยู่ในสล๊อต
(Slot) มีระยะห่างกัน 120 องศาไฟฟ้า และมีปลายสายออกมา 6 ปลาย สามารถต่อวงจรขดลวดอาร์เมเจอร์ทั้ง
3 ชุดเข้าด้วยกันแบบสตาร์ได้ เพื่อจ่ายแรงเคลื่อนไฟฟ้าให้กับโหลด การต่อแบบสตาร์นั้น โดยการเอาปลายสายของ
แต่ละเฟสต่อเข้าด้วยกัน (R , S , T ) และจ่ายแรงเคลื่อนไฟฟ้าออกที่ต้นสายของแต่ละเฟส (R , S , T ) ดังแสดงใน
1
1
1
2
2
2
รูปที่ 6
R 1 A
R 2 S 2
B
T 2
S 1
T 1
C
รูปที่ 6 การต่อขดลวด แบบสตาร์
2. ต่อวงจรแบบเดลต้า
การต่อวงจรแบบเดลต้านี้สามารถท าได้โดยให้ต้นสายของเฟสที่ 1 (R ) ต่อเข้ากับปลาย
1
สายของเฟสที่ 3 (T ) แล้วต่อออกไปยังโหลดที่จุด A ต้นสายของเฟสที่ 2 (S ) ต่อเข้ากับปลายสายเฟสที่ 1(R ) แล้ว
2
2
1
ต่อออกไปยังโหลดที่จุด B และต้นสายเฟสที่ 3 ต่อเข้ากับปลายสายเฟสที่ 2 แล้วต่อออกไปยังโหลดที่จุด C ดังแสดง
ในรูปที่ 7
A
T 2
R 1
T 1 B
R 2
S 2 S 1
C
รูปที่ 7 การต่อขดลวด แบบเดลต้า
R = U
S = V
T = W
4. การตัดฉนวนรองร่องสล๊อต และการท าบล็อกคอยล์
4.1 ขั้นตอนในการตัดกระดาษฉนวนรองร่องมอเตอร์
4.1.1 ใช้ไม้บรรทัดหรือฟุตเหล็กวัดความยาวของร่องแกนเหล็กโดยให้วัดออกมามีหน่วยเป็น
เซนติเมตร
4.1.2 ใช้กระดาษท าต้นแบบเพื่อวัดความลึกของร่อง โดยให้ขอบกระดาษทั้งสองข้างอยู่ใน
ต าแหน่งของปากร่องพอดี และจะต้องรีดกระดาษให้แนบชิดกับผนัง และก้นของร่องเช่นเดียวกัน ดังรูปที่ 7
รูปที่ 8 กระดาษต้นแบบรองร่อง
4.1.3 น ากระดาษที่ใช้ท าต้นแบบมาคลี่ออกแล้วใช้ไม้บรรทัดวัดความกว้างทั้งหมด
4.1.4 น าความยาวจากข้อ 4.1.1 และความกว้างจากข้อ 4.1.3 มาเขียนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าลง
ในกระดาษด้วยระยะ A และ B โดยระยะ A จะต้องวัดได้เท่าไหร่จะต้อง *2 เพื่อให้ฉนวนพอดีกับร่องสล๊อต
ดังแสดงในรูปที่ 9
B
A
รูปที่ 9 การลากเส้นสี่เหลี่ยมผืนผ้าบนกระดาษ
4.1.5 เมื่อได้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้ว ให้ท าการเผื่อความยาวของด้าน B ออกไปข้างละ 1.0
เซนติเมตร เพื่อพับให้เป็นขอบทั้งสองข้าง ซึ่งเมื่อพับแล้วจะมีกระดาษฉนวนยื่นออกไปจากแกนเหล็กข้างละ 0.5
เซนติเมตร ดังแสดงในรูปที่ 10
0.8 . B 0.8 .
A
0.4 . 0.4 .
รูปที่ 10 แผ่นคลี่กระดาษรองร่อง
4.1.6 น ากระดาษที่ท าเป็นต้นแบบไปทาบลงบนกระดาษฉนวนรองร่องท าเครื่องหมายและขีดเส้น
ด้วยปากกา หลังจากนั้นจึงใช้กรรไกรตัดกระดาษฉนวนให้ได้ตามจ านวนเท่ากับจ านวนร่องแกนเหล็กสเตเตอร์
4.1.7 น ากระดาษฉนวนที่ได้จากการตัดมาพับเป็นขอบข้างละ 0.5 เซนติเมตร แล้วใช้เล็บมือรีดให้
เรียบ พร้อมกับม้วนให้เป็นรูปร่อง สอดเข้าไปในร่องของแกนเหล็ก และใช้ไม้ไผ่รูปทรงกลมขนาดเล็กกว่าร่องช่วย
รีดให้กระดาษฉนวนแนบไปตามความโค้งของร่อง ท าแบบนี้จนครบทุกร่องดังแสดงใน รูปที่ 11
0.4 .
0.4 .
รูปที่ 11 การพับกระดาษฉนวนรองร่อง
4.2 ขั้นตอนในการท าบล็อกคอยล์
4.2.1 วัดความยาวของร่องสล๊อต โดยสามารถใช้ความยาวเดียวกับความยาวของฉนวนไมล่าร์ได้
4.2.2 เมื่อได้ความยาวในข้อ 4.2.1 แล้วให้วัดความยาวเพิ่มอีก 4 ซม.
4.2.3 วัดความกว้างของระยะพิตช์ (ซึ่งสามารถหาได้จากการค านวณในหัวข้อต่อไป) โดยวัดจาก
ร่องสล๊อตแรก ไปถึงสล๊อตสุดท้ายที่ต้องการลงลวด
4.2.4 เมื่อได้ระยะในข้อง 4.2.2 และ 4.2.3 แล้วให้ท าการวาดรูปบล็อกสี่เหลี่ยมบนไม้อัดขนาด
0.3 – 0.5 ซม.
4.2.5 วัดความยาวจากด้างบน และด้างล่างของรูปบล็อกสี่เหลี่ยม ด้านละ 2 ซม.
4.2.6 หาจุดตรงกลางของรูปบล็อกสี่เหลี่ยม และใช้วงเวียนวาดครึ่งวงกลมไปทั้งด้านบน และ
ด้านล่างของรูปบล็อกสี่เหลียม
4.2.7 ท าการตัดรูปบล็อกที่ได้ท าการวัดมากจ านวน 3 ชิ้น และน ามาประกบกันโดยใช้กาว
4.2.8 ใช้กระดาษทรายเบอร์หยาบขัด และตกแต่งขอบของบล็อกคอยล์ที่ประกบกัน
4.2.9 ใช้เทปกาวย่นสีขาวปิดขอบของบล็อกคอยล์
4.2.10 เจาะรูตรงกลางขนาด 10 มม. ที่บล็อกคอยล์
4.2.11 ใช้ไม้อัดขนาดเดียวกัน ท าแผ่นกั้นบล็อกคอยล์จ านวน 4 แผ่น โดยให้มีขนาดใหญ่กว่า
ฟอร์มคอยล์ด้านละ 1.5 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเจาะรูตรงกลางขนาด 10 มม. เช่นเดียวกัน ใช้
กระดาษทรายขัดให้เรียบไม่ให้มีเสี้ยนไม้ลงเหลือ หลังจากนั้นน าแผ่นกั้นบล็อกคอยล์มาบากเป็นรูปตัววี (V) เพื่อ
เป็นทางผ่านของขดลวดทองแดงระหว่างคอยล์ โดยให้มีความลึกประมาณ 2 เซนติเมตร
*หมายเหตุ
**บล็อกคอยล์จะต้องท าตามจ านวนของชุดคอยล์ที่ได้ค านวณไว้
**แผ่นกั้นบล็อกคอยล์ จ าต้องท ามากกว่าจ านวณของบล็อกคอยล์ 1 ชุด
รูปที่ 12 บล็อกคอยล์ และแผ่นกั้นบล็อกคอยล์
สูตรการค านวณหาค่าต่างๆ ในการพันขดลวดอาร์เมเจอร์
1. จ านวนกรุ๊ปของขดลวดชั้นเดียว (Single layer)
Phase × Pole
2
2. จ านวนกรุ๊ปของขดลวดสองชั้น (Double layer)
Phase × Pole
3. จ านวนคอยล์ต่อกรุ๊ป (coil/group)
Slot
Phase × Pole
4. ระยะพิตช์ของขดลวด
Slot
Pole
****การเพิ่ม หรือลดระยะพิตช์ จะขึ้นอยู่กับการลงขดลวด
หากลงขดลวดชั้นเดียว ระยะพิตช์ +1
หากลงขดลวดสองชั้น ระยะพิตช์ -1
Phase คือ จ านวนเฟส
Pole คือ จ านวนขั้วแม่เหล็ก
Slot คือ จ านวนร่อง
__________________________________________________________
DATASHEET for Split-phase Motors
Figure of Split-phase Motors
Size of Mylar film for Split-phase motors
1 cm
A
B
A (ความกว้าง) = ………………………………….. cm.
B (ความยาว) = ………………………………….. cm.
DATASHEET
Brand
H.P. R.P.M Volts. Amps.
Cycle Type Frame style
Temp. Rise Model Serial No. Bearings
No. of Poles Code No. of Slots Time Rating
Winding Size Wire Pitch Turns
Running
Starting
Slot.No. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 1
Starting
Running
Rotation Clockwise Counter Clockwise
DATASHEET
Brand
H.P. R.P.M Volts. Amps.
Cycle Type Frame style
Temp. Rise Model Serial No. Bearings
No. of Poles Code No. of Slots Time Rating
Winding Size Wire Pitch Turns
Running
Starting
Slot.No. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 1
Starting
Running
Rotation Clockwise Counter Clockwise
DATASHEET for Three phase Motors
Figure of Three phase Motors
Size of Mylar film for Three phase motors
1 cm
A
B
A (ความกว้าง) = ………………………………….. cm.
B (ความยาว) = ………………………………….. cm.
DATASHEET
Brand
H.P. R.P.M Volts. Amps.
Cycle Type Frame style
Temp. Rise Model Serial No. Bearings
No. of coils No. of Slots Connection
Size Wire No. of Turns No.of Groups
Coil/Group No. of Poles Picth of Coil
Slot.No. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 1
Phase A
Phase B
Phase C
Rotation Clockwise Counter Clockwise
DATASHEET
Brand
H.P. R.P.M Volts. Amps.
Cycle Type Frame style
Temp. Rise Model Serial No. Bearings
No. of coils No. of Slots Connection
Size Wire No. of Turns No.of Groups
Coil/Group No. of Poles Picth of Coil
Slot.No. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 1
Phase A
Phase B
Phase C
Rotation Clockwise Counter Clockwise
ใบงาน : การพันมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส และขั้นตอนการด าเนินการ
จงออกแบบมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส ดังต่อไปนี้
24/36 Slot (ใช้ร่องสล๊อตตามมอเตอร์จริง) 4 Pole
ลงขดลวดชั้นเดียว ระยะพิตช์ +1
ลงขดลวดสองชั้น ระยะพิตช์ -1
Solution :
ขั้นตอนการปฏิบัติงาน
ขั้นตอนที่ 1 ……………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ขั้นตอนที่ 2 ……………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ขั้นตอนที่ ……. ……………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ขั้นตอนที่ ……. ……………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
แผนการจัดการการเรียนรู้
รายวิชา เครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง
รหัสวิชา 2104-2006
ระดับ ปวช. 2 ไฟฟ้าก าลัง
โดย
นายทวีศักดิ์ ตันจินดารัตน์
สาขาวิชา ไฟฟ้าก าลัง
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561
วิทยาลัยเทคนิคระยอง
แผนการสอน
รหัสวิชา 2104 2106 ชื่อ วิชาเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง หน่วยกิต 2
ระดับ ปวช. ชั้นปีที่2 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม สาขาวิชา ช่างไฟฟ้าก าลัง
สัปดาห์ที่ 1 หน่วยที่1. ทฤษฎี 1 คาบ ปฏิบัติ 3 คาบ
ชื่อหน่วย แม่เหล็กไฟฟ้าและวงจรแม่เหล็ก อาจารย์ผู้สอน นายทวีศักดิ์ ตันจินดารัตน์
1. สาระส าคัญ
ไฟฟ้าเป็นพลังงานรูปหนึ่ง ซึ่งอ านวยคุณประโยชน์ให้แก่มวลมนุษย์ได้อย่างมหาศาล หากจะให้
อธิบายว่าเราสามารถน าไฟฟ้ามาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ก็เป็นการง่ายที่จะให้ค าตอบ เนื่องจากทุก
คนคุ้นเคยกับการใช้ไฟฟ้ามาตั้งแต่แรกเกิด และทราบว่าพลังงานไฟฟ้าได้น าไปใช้กับงานหลายๆอย่าง
ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจ าวันของมนุษย์ เช่นให้แสงสว่าง ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ พัดลม
เครื่องดูดฝุ่น เครื่องปรับอากาศ หม้อหุงข้าว เตาอบ ฯลฯ
พลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันได้มาจากเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสสลับซึ่งท างานโดยอาศัย
การเหนี่ยวน าทางแม่เหล็กไฟฟ้า(Electromagnetic induction) การส่งพลังงานไฟฟ้าจ านวนมาก
จากเครื่องก าเนิดไฟฟ้าไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าต้องอาศัยหม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อท าหน้าที่เพิ่มหรือลดแรงดันให้
สูงขึ้นหรือต่ าลงได้ตามต้องการ การขับเคลื่อนเครื่องจักรกลต่างๆ ในโรงงานอุตสาหกรรมมักนิยมใช้
มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นเครื่องต้นก าลัง ทั้งเครื่องก าเนิดไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้าและมอเตอร์ไฟฟ้าท างานได้
โดยอาศัยการเหนี่ยวน าทางแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งสิ้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าทั้งพลังงานไฟฟ้า และ
สนามแม่เหล็กเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด
ในเครื่องก าเนิดไฟฟ้า มอเตอร์และหม้อแปลงมีทั้งวงจรไฟฟ้าและวงจรแม่เหล็กโดยอาศัยขดลวด
ซึ่งพันรอบแกนเหล็ก เส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจะไหลผ่านวงจรแม่เหล็กปฏิกิริยาระหว่างกระแสและ
เส้นแรงแม่เหล็กก่อให้เกิดให้กระบวนการเปลี่ยนรูปของพลังงานเช่น ในเครื่องก าเนิดไฟฟ้าท าหน้าที่
เปลี่ยนรูปของพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า ในมอเตอร์ไฟฟ้าท าหน้าที่เปลี่ยนรูปพลังงานไฟฟ้าเป็น
พลังงานกล ส าหรับหม้อแปลงก็จะท าหน้าที่ส่งผ่านหรือถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าจากขดลวดปฐมภูมิไป
ยังขดลวดทุติยภูมินั่นเอง
2. จุดประสงค์การเรียนรู้
2.1 จุดประสงค์ทั่วไป
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเกิดสนามแม่เหล็กรอบเส้นลวดตัวน าเมื่อมี
กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน และการค านวณหาความต้านทานแม่เหล็ก
2.2 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
2.2.1 อธิบายลักษณะสนามแม่เหล็กรอบๆแท่งแม่เหล็กได้
2.2.2 อธิบายสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นเนื่องจากกระแสไฟฟ้าได้
2.2.3 อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความหนาแน่นของเส้นแรงแม่เหล็กและพื้นที่หน้าตัดของ
วงจรแม่เหล็กได้
2.2.4 อธิบายแรงเคลื่อนแม่เหล็ก ความเข้มสนามแม่เหล็กความซึบซาบและฮิสเตอรีซิสได้
2.2.5 ระบุวิธีการค านวณความต้านทานแม่เหล็กได้
2.2.6 ระบุวิธีการค านวณหาค่าต่างๆในวงจรแม่เหล็กอนุกรมและวงจรแม่เหล็กขนานได้
3. สาระการเรียนรู้
3.1 แม่เหล็กไฟฟ้าและวงจรแม่เหล็ก
3.1.1 สนามแม่เหล็ก
3.1.2 สนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นเนื่องจากกระแสไฟฟ้า
3.1.3 สนามแม่เหล็กรอบเส้นลวดตัวน าที่มีกระแสไหลผ่าน
3.1.4 สนามแม่เหล็กรอบขดลวด
3.1.5 ความหนาแน่นของเส้นแรงแม่เหล็ก
3.1.6 แรงเคลื่อนแม่เหล็ก
3.1.7 ความเข้มของสนามแม่เหล็กหรือแรงแม่เหล็ก
3.1.8 ความซึมซาบได้
3.1.9 ความต้านทานแม่เหล็ก
3.1.10 เปรียบเทียบวงจรไฟฟ้าวงจรแม่เหล็ก
3.1.11 ฮิสเตอรีซิส
3.1.12 การสูญเสียฮิสเตอริซิสและกระแสไหลวน
3.1.13 วงจรแม่เหล็ก
4. กิจกรรมการเรียนรู้ / กระบวนการเรียนรู้
4.1 แนะน าตัวครูผู้สอน ผู้เรียน ชื่อวิชา รหัสวิชา จุดประสงค์ของรายวิชา ค าอธิบายรายวิชา เกณฑ์
การประเมินผลทฤษฎี
4.2 ครูน าเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์ของแม่เหล็ก
4.3 ครูอธิบายเรื่องสนามแม่เหล็ก คุณสมบัติของแม่เหล็ก ประกอบการฉายแผ่นใส
4.4 สอบถามเกี่ยวกับแม่เหล็กไฟฟ้า และวงจรแม่เหล็ก แรงเคลื่อนในสนามแม่เหล็ก ฮิสเตอรีซิส
ความเข้มของสนามแม่เหล็ก
4.5 สรุปตอบข้อสงสัย ค้นคว้าเพิ่มเติม
5. สื่อและแหล่งการเรียนรู้
5.1 หนังสือเรื่อง เครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรงผู้แต่ง ธวัชชัย อัตถะวิบูลย์กุล:ศูนย์ส่งเสริมอาชีว,2556
5.2 แผ่นใส/กระดานไวท์บอร์ด
5.3 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
5.4 ประเมินผลคะแนนคุณธรรมและจริยธรรม
6. การวัดผลประเมินผล
6.1 วัดผลประเมินผลตามจุดประสงค์
6.1.1 ประเมินผลทฤษฎีก่อนเรียน / หลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบ 10 ข้อ
6.1.2 ประเมินผลคะแนนคุณธรรมจริยธรรม จากแบบพฤติกรรมของผู้เรียน
6.1.3 แบบทดสอบ / สัมภาษณ์ / ถาม-ตอบ
6.2 เครื่องมือวัดผลประเมิน
6.2.1 แบบสังเกตพฤติกรรม
6.2.2 แบบทดสอบเพื่อประเมินผลหลังการเรียนรู้
6.3 วิธีวัดผลประเมินผล
6.3.1 สังเกตพฤติกรรมการเรียน
6.3.2 ทดสอบความรู้ความเข้าใจท้ายหน่วยที่1
6.4 เกณฑ์การวัดผลประเมิน
6.4.1 เกณฑ์การวัดผลมีคุณภาพระดับปานกลางขึ้นไป
6.4.2 ผลการประเมินในชั้นเรียนมีคุณภาพปานกลาง
6.4.3 คะแนนสอบไม่ต่ ากว่า 50 %
7. กิจกรรมเสนอแนะ / งานที่มอบหมาย
7.1 กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับแม่เหล็กไฟฟ้าและวงจรแม่เหล็ก
7.2 งานที่มอบหมาย
ให้นักเรียนท าแบบฝึกหัดบทที่ 1 เรื่อง แม่เหล็กไฟฟ้า และวงจรแม่เหล็ก
8. เอกสารอ้างอิง
หนังสือเรื่อง เครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรงผู้แต่ง ธวัชชัย อัตถะวิบูลย์กุล:ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ,2556
9. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 สัปดาห์ที่ 1 ครั้งที่ 1 จ านวน 4 ชั่วโมง
ระดับชั้น ปวช. 2 ระดับชั้น ปวช. 2 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชาช่างไฟฟ้าก าลัง
9.1 ผลการจัดการเรียนรู้
9.2 ปัญหาและอุปสรรค
9.4 แนวทางการแก้ปัญหา
9.5 ข้อเสนอแนะ(ถ้ามี)
แผนการสอน
รหัสวิชา 2104 2106 ชื่อ วิชาเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง หน่วยกิต 2
ระดับ ปวช. ชั้นปีที่2 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม สาขาวิชา ช่างไฟฟ้าก าลัง
สัปดาห์ที่ 2 หน่วยที่2 ทฤษฎี 1 คาบ ปฏิบัติ 3 คาบ
ชื่อหน่วย หลักการเบื้องต้นของเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง อาจารย์ผู้สอน นายทวีศักดิ์ ตันจินดารัตน์
1. สาระส าคัญ
เครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรงแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ เครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรงและมอเตอร์
ไฟฟ้ากระแสตรง ทั้งสองแบบจะอาศัยหลักการเปลี่ยนรูปแบบต่างกันคือเครื่องก าเนิดจะเปลี่ยน
พลังงานกลให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ส่วนมอเตอร์ จะเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานกล
2. จุดประสงค์การเรียนรู้
2.1 จุดประสงค์ทั่วไป
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการท างานของเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
2.2 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
2.2.1 ระบุเครื่องก าเนิดไฟฟ้าและเครื่องต้นก าลังได้
2.2.2 อธิบายการเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวน าได้
2.2.3 อธิบายกฎของเลนซ์ในเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรงได้
2.2.4 แสดงหลักการเบื้องต้นของเครื่องก าเนิดไฟฟ้าได้
2.2.5 อธิบายการเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวน ารูปคลื่นไซน์ได้
2.2.6 ระบุการท างานของคอมมิวเตเตอร์ได้
3. สาระการเรียนรู้
1.1 หลักการเบื้องต้นของเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
1.1.1 เครื่องก าเนิดไฟฟ้าและเครื่องต้นก าลัง
1.1.2 กฎการเหนี่ยวน าของแม่เหล็กไฟฟ้า
1.1.3 การก าเนิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวน ารูปคลื่นไซน์
1.1.4 การท างานของคอมมิวเตเตอร์
4. กิจกรรมการเรียนรู้ / กระบวนการเรียนรู้
4.1 ตรวจความพร้อมของนักเรียนโดยการเช็คชื่อนักเรียนก่อนเข้าห้องเรียน
4.2 ทบทวนก่อนเรียนเกี่ยวกับแม่เหล็กไฟฟ้าและวงจรแม่เหล็ก
4.3 น าเข้าสู่บทเรียนใหม่โดยการฉายแผ่นใสประกอบการอภิปรายซักถามเกี่ยวกับหลักการ
เบื้องต้นของเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
4.4 อภิปรายหลักการเบื้องต้นของเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง กฎการเหนี่ยวน าของแม่เหล็กไฟฟ้า
การเกิดรูปคลื่นไซน์ และการท างานของคอมมิวเตเตอร์
4.5 ประเมินผลการเรียนโดยการท าแบบฝึกหัดบทที่ 2
5. สื่อและแหล่งการเรียนรู้
5.1 หนังสือธวัชชัย อัตถวิบูลย์กุล เครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ, 2556
5.2 แผ่นใส/กระดานไวท์บอร์ด
5.3 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
5.4 ประเมินผลคะแนนคุณธรรม จริยธรรมจากแบบสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน
6. การวัดผลประเมินผล
6.1 วัดผลประเมินผลตามจุดประสงค์
6.1.1 ประเมินผลทฤษฎีก่อนเรียนและหลังเรียน
6.1.2 ประเมินผลคะแนนคุณธรรม/จริยธรรม
6.1.3 แบบทดสอบ/สัมภาษณ์/ถาม-ตอบ
6.2 เครื่องมือวัดผลประเมิน
6.2.1 แบบสังเกตพฤติกรรม
6.2.2 แบบทดสอบเพื่อประเมินผลความรู้
6.3 วิธีวัดผลประเมินผล
6.3.1 สังเกตพฤติกรรมการเรียน
6.3.2 ทดสอบความรู้ความเข้าใจท้านหน่วย
6.4 เกณฑ์การวัดผลประเมิน
6.4.1 เกณฑ์การวัดผลมีคุณภาพระดับปานกลางขึ้นไป
6.4.2 ผลการประเมินในชั้นเรียนมีคุณภาพระดับปานกลาง
6.4.3 คะแนนสอบมีไม่ต่ ากว่า 50%
7. กิจกรรมเสนอแนะ / งานที่มอบหมาย
7.1 กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการเบิ้องต้นของเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
7.2 งานที่มอบหมาย
ให้นักเรียนท าแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2
8. เอกสารอ้างอิง
หนังสือเรื่อง เครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรงผู้แต่ง ธวัชชัย อัตถะวิบูลย์กุล:ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ,2556
9. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 สัปดาห์ที่ 2 ครั้งที่ 1 จ านวน 4 ชั่วโมง
ระดับชั้น ปวช. 2 ระดับชั้น ปวช. 2 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชาช่างไฟฟ้าก าลัง
9.1 ผลการจัดการเรียนรู้
9.2 ปัญหาและอุปสรรค
9.4 แนวทางการแก้ปัญหา
9.5 ข้อเสนอแนะ(ถ้ามี)
แผนการสอน
รหัสวิชา 2104 2106 ชื่อ วิชาเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง หน่วยกิต 2
ระดับ ปวช. ชั้นปีที่2 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม สาขาวิชา ช่างไฟฟ้าก าลัง
สัปดาห์ที่ 3-4 หน่วยที่ 3 ทฤษฎี 2 คาบ ปฏิบัติ 6 คาบ
ชื่อหน่วย โครงสร้างของเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง อาจารย์ผู้สอน นายทวีศักดิ์ ตันจินดารัตน์
1. สาระส าคัญ
เครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรงคือเครื่องก าเนิดและมอเตอร์ ทั้งสองแบบต่างก็มีส่วนประกอบที่
เหมือนกัน อาจมีสิ่งที่แตกต่างกันบ้าง เช่น กรอบโครงภายนอกถ้าเป็นเครื่องก าเนิดอาจจะ
ออกแบบกรอบโครงเป็นชนิดเปิดได้เพื่อช่วยในการระบายความร้อน แต่ถ้าเป็นมอเตอร์อาจจะ
เป็นแบบปิดเพื่อป้องกันฝุ่นละอองจาก ภายนอก เป็นต้น
2. จุดประสงค์การเรียนรู้
2.1 จุดประสงค์ทั่วไป
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างและส่วนประกอบของเครื่องกลไฟฟ้า
กระแสตรง
2.2 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
2.2.1 ระบุต าแหน่งการวางส่วนประกอบต่าง ๆ ของเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรงได้
2.2.2 บอกหน้าที่ส่วนประกอบต่าง ๆ ได้
2.2.3 อธิบายลักษณะโครงเครื่องหรือกรอบโครงได้
2.2.4 อธิบายลักษณะแกนของขั้วแม่เหล็ก โปลชู ขดลวดสนามแม่เหล็ก แกนเหล็กอาเมเจอร์
ขดลวดอาเมเจอร์ คอมมิวเตเตอร์ แปรงถ่าน และชุดยึดแปรงถ่านได้
3. สาระการเรียนรู้
3.1 ส่วนประกอบของเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง
3.1.1 โครงเครื่องหรือกรอบโครง
3.1.2 แกนของขั้วแม่เหล็กและโปลชู
3.1.3 ขดลวดสนามแม่เหล็ก
3.1.4 แกนเหล็กอาเมเจอร์
3.1.5 ขดลวดอาเมเจอร์
3.1.6 คอมมิวเตเตอร์
3.1.7 แปรงถ่าน
3.1.8 ชุดยึดแปรงถ่าน
4. กิจกรรมการเรียนรู้ / กระบวนการเรียนรู้
4.1. ตรวจความพร้อมของนักเรียนโดยการเช็คชื่อนักเรียนก่อนเข้าห้องเรียน
4.2 ทบทวนก่อนเรียนเกี่ยวกับหลักการเบื้องต้นของเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
4.3 น าเข้าสู่บทเรียนใหม่โดยการฉายแผ่นใสประกอบการอภิปรายซักถามเกี่ยวกับโครงสร้างและ
ส่วนประกอบของเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง
4.4 อภิปรายถึงโครงสร้างของเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
4.5 ประเมินผลการเรียนโดยการท าแบบฝึกหัดบทที่ 3
5. สื่อและแหล่งการเรียนรู้
5.1หนังสือธวัชชัย อัตถวิบูลย์กุล เครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ, 2556
5.2 แผ่นใส/กระดานไวท์บอร์ด
5.3 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
5.4 ประเมินผลคะแนนคุณธรรม จริยธรรมจากแบบสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน
6. การวัดผลประเมินผล
6.1 วัดผลประเมินผลตามจุดประสงค์
6.1.1 ประเมินผลทฤษฎีก่อนเรียนและหลังเรียน
6.1.2 ประเมินผลคะแนนคุณธรรม/จริยธรรม
6.1.3แบบทดสอบ/สัมภาษณ์/ถาม-ตอบ
6.2 เครื่องมือวัดผลประเมิน
6.2.1 แบบสังเกตพฤติกรรม
6.2.2 แบบทดสอบเพื่อประเมินผลความรู้
6.3 วิธีวัดผลประเมินผล
6.3.1 สังเกตพฤติกรรมการเรียน
6.3.2 ทดสอบความรู้ความเข้าใจท้ายหน่วย
6.4 เกณฑ์การวัดผลประเมิน
6.4.1 เกณฑ์การวัดผลมีคุณภาพระดับปานกลางขึ้นไป
6.4.2 ผลการประเมินในชั้นเรียนมีคุณภาพระดับปานกลาง
6.4.3 คะแนนสอบมีไม่ต่ ากว่า 50%
7. กิจกรรมเสนอแนะ / งานที่มอบหมาย
7.1 กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างและส่วนประกอบของเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง
งานที่มอบหมาย
7.2 ให้นักเรียนท าแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3
8. เอกสารอ้างอิง
หนังสือเรื่อง เครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรงผู้แต่ง ธวัชชัย อัตถะวิบูลย์กุล:ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ,2556
9. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 สัปดาห์ที่ 3-4 ครั้งที่ 3 จ านวน 8 ชั่วโมง
ระดับชั้น ปวช. 2 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชาช่างไฟฟ้าก าลัง
9.1 ผลการจัดการเรียนรู้
9.2 ปัญหาและอุปสรรค
9.4 แนวทางการแก้ปัญหา
9.5 ข้อเสนอแนะ(ถ้ามี)
แผนการสอน
รหัสวิชา 2104 2106 ชื่อ วิชาเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง หน่วยกิต 2
ระดับ ปวช. ชั้นปีที่2 ประเภทวิชา อุตสาหกรรม สาขาวิชา ช่างไฟฟ้าก าลัง
สัปดาห์ที่ 5-6 หน่วยที่ 4 ทฤษฎี 2 คาบ ปฏิบัติ 6 คาบ
ชื่อหน่วย การพันขดลวดอาร์เมเจอร์ อาจารย์ผู้สอน นายทวีศักดิ์ ตันจินดารัตน์
1. สาระส าคัญ
เครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรงคือเครื่องก าเนิดและมอเตอร์ ทั้งสองแบบต่างก็มีส่วนประกอบที่
เหมือนกัน อาจมีสิ่งที่แตกต่างกันบ้าง เช่น กรอบโครงภายนอกถ้าเป็นเครื่องก าเนิดอาจจะ
ออกแบบกรอบโครงเป็นชนิดเปิดได้เพื่อช่วยในการระบายความร้อน แต่ถ้าเป็นมอเตอร์อาจจะ
เป็นแบบปิดเพื่อป้องกันฝุ่นละอองจาก ภายนอก เป็นต้น
2. จุดประสงค์การเรียนรู้
2.1 จุดประสงค์ทั่วไป
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการพันขดลวดอาเมเจอร์แบบต่าง ๆ
2.2 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
2.2.1 บอกลักษณะอาเมเจอร์แบบวงแหวนได้
2.2.2 ระบุวิธีการพันขดลวดอาเมเจอร์แบบแลพชนิดต่าง ๆได้
2.2.3 ระบุวิธีการพันขดลวดอาเมเจอร์แบบเวฟชนิดต่าง ๆ ได้
2.2.4 อธิบายความหมายของค าต่าง ๆ ที่ใช้ในการพันขดลวดอาเมเจอร์ได้
2.2.5 เปรียบเทียบแรงเคลื่อน กระแส และก าลังไฟฟ้าของการพันอาเมเจอร์แบบต่าง ๆ ได้
3. สาระการเรียนรู้
3.1. อาเมเจอร์แบบวงแหวน
3.2 อาเมเจอร์แบบดรัม
3.3 การพันขดลวดอาเมเจอร์แบบแลพ
3.4 ความหมายของค าต่าง ๆ ที่ใช้ในการพันขดลวดอาเมเจอร์
3.5 การพันขดลวดอาเมเจอร์แบบเวฟ
3.6 สรุปการพันขดลวดอาเมเจอร์
4. กิจกรรมการเรียนรู้ / กระบวนการเรียนรู้
4.1. ตรวจความพร้อมของนักเรียนโดยการเช็คชื่อนักเรียนก่อนเข้าห้องเรียน
4.2 ทบทวนก่อนเรียนเกี่ยวกับโครงสร้างและส่วนประกอบของเครื่องก าเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
4.3 น าเข้าสู่บทเรียนใหม่โดยการฉายแผ่นใสประกอบการอภิปรายซักถามเกี่ยวกับการพันขดลวด
อาร์เมเจอร์
4.4 อภิปรายถึงหลักการพันขดลวดอาร์เมเจอร์
4.5 ประเมินผลการเรียนโดยการท าแบบฝึกหัดบทที่ 4
5. สื่อและแหล่งการเรียนรู้
5.1หนังสือธวัชชัย อัตถวิบูลย์กุล เครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ, 2556
5.2 แผ่นใส/กระดานไวท์บอร์ด
5.3 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน