The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักภาษาไทย เสริมใจ เสริมภาษา
หนังสือแบบเรียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ขี้เหงาเกาใจ, 2023-02-17 05:24:34

หลักภาษาไทย เสริมใจ เสริมภาษา

หลักภาษาไทย เสริมใจ เสริมภาษา
หนังสือแบบเรียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

หนังสือแบบเรียนภาษาไทย หลักภาษาไทย เสริม ริ ใจ เสริม ริ ภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ นางสาวจุฬารัตรัน์ สูตรชัย นายภัทรพงษ์ ซึมเมฆ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร


หนังสือเรียนหลักภาษาและการใช้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ เล่มนี้จัดทำขึ้นโดยยืดตามมาตรฐาน การเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษาหลักภาษาและการใช้ภาษาไทย ในสาระการเรียนรู้ที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ทักษะการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องและเหมาะสมตามสถานการณ์ต่าง ๆ สามารถเข้าใจการใช้ ไวยากรณ์ภาษาไทย ตั้งแต่ธรรมชาติและพลังของภาษา ลักษณะของภาษาไทย ระดับของภาษา และการแต่งคำ ประพันธ์ประเภทโคลง หนังสือเรียนหลักภาษาและการใช้ภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ เล่มนี้มีทั้งหมด ๗ บทเรียน ดังนี้ บทที่ ๑ ธรรมชาติของภาษาและพลังของภาษาพาเพลิน บทที่ ๒ ลักษณะของภาษาไทยง่ายนิดเดียว บทที่ ๓ คําราชาศัพท์ บทที่ ๔ การแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์และโคลง บทที่ ๕ รังสรรค์ทำนองร้อยกรองหรรษา บทที่ ๖ ภาษาต่างประเทศและภาษาถิ่นในภาษาไทย บทที่ ๗ การใช้ภาษาจากสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในแต่ละบทประกอบด้วยมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชีวัด สาระสำคัญเนื้อหาที่ครบตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเรียนภาษาไทย หลักภาษาไทย เสริมใจ เสริมภาษาเล่มนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยให้ครูและผู้เรียนเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บรรลุเป้าหมายด้านการเรียนหลักภาษาไทย และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ คณะผู้จัดทำ คำ นำ ก


เรื่อง หน้า คำ นำ ก สารบัญ ข บทที่ ๑ ธรรมชาติของภาษาและพลังของภาษาพาเพลิน...........................๑ บทที่ ๒ ลักษณะของภาษาไทยง่ายนิดเดียว.............................................๙ บทที่ ๓ คําราชาศัพท์...........................................................................๑๖ บทที่ ๔ การแต่งคำ ประพันธ์ประเภทกาพย์และโคลง...............................๒๓ บทที่ ๕ รังสรรค์ทำ นองร้อยกรองหรรษา...............................................๒๙ บทที่ ๖ ภาษาต่างประเทศและภาษาถิ่นในภาษาไทย...............................๔๘ บทที่ ๗ การใช้ภาษาจากสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์......................๖๐ อ้างอิง................................................................................................๗๒ สารบัญ ข


บทที่ ๑ ธรรมชาติ และพลังของภาษาพาเพลิน ภาษา เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความเชื่อ ตลอดจนวัฒนธรรม จากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง การมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษา ความหมายของภาษา หน่วยเสียงในภาษา การเปลี่ยนแปลงของภาษาและลักษณะ ทั่วไปของภาษา ตลอดจนพลังของภาษา จะช่วยให้ใช้ภาษาเพื่อสื่อสารได้ชัดเจน ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ และมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ๑


การแสดงออก ทางใบหน้า ๑. เสียงดังพอได้ยิน สูงต่ำ พอประมาณ ยืดเสียงเล็กน้อย ภาษาเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เพื่อแลกเปลี่ยนความคิด ความเห็น ทฤษฎี อารมณ์ ความรู้สึก หรือเพื่อทำ ให้เกิดความเข้าใจ ความพึงพอใจ ความเคียดแค้น เป็นต้น กิจกรรมที่ใช้ภาษามากมาย เช่น การให้ข้อมูล การชี้แจง การแสดงความคิดเห็น การโฆษณา การอภิปราย การเล่าเรื่อง การโต้แย้ง ตลอดจนการสนทนาในชีวิต ประจำ วัน อาจกล่าวได้ว่ากิจกรรม เกือบทั้งหมดในชีวิตของมนุษย์ล้วนแต่อาศัยภาษาทั้งสิ้น พลังของภาษา คำ ว่า "ภาษา" อาจแบ่งความหมายออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ "ภาษาในความหมายกว้าง" หมายถึง ภาษาที่ใช้ คำ พูด (วัจนภาษา) และภาษาที่ไม่ได้ใช้คำ พูดหรือภาษาท่าทาง (อวัจนภาษา) ทั้งนี้ภาษาในความหมายนี้ อาจนับรวม ภาษาของสัตว์ด้วย แต่เรื่องภาษาของสัตว์นี้ยังมีข้อมูลไม่มากนัก จึงไม่ค่อยมีใครนำ มากล่าวรวมกับภาษาของมนุษย์ "ภาษาในความหมายแคบ" หมายถึงภาษาที่ใช้คำ พูด จะเป็นคำ พูดหรือลายลักษณ์อักษร ซึ่งเป็นเครื่องหมายใช้แทนคำ พูดก็ได้ ความหมายของภาษา ประเภท ของ ภาษา มนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคมสามารถสื่อสารกันได้หลายทาง ตั้งแต่การพูดให้ฟัง การเขียนให้อ่าน การสื่อสาร ผ่านสื่อเทคโนโลยี ฯลฯ เป็นการส่งสารด้วยภาษาถ้อยคำ ถ่ายทอดจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ทั้งนี้สารจะมีประสิทธิภาพ เพียงใด ขึ้นอยู่กับทักษะการใช้ภาษาของผู้รับสารและผู้ส่งสาร กล่าวคือ ผู้ส่งสารต้องมีความสามารถในการใช้ถ้อยคำ สามารถแสดงน้ำ เสียง ท่าทาง หน้าตา ได้อย่างเหมาะสม ส่วนผู้รับสารต้องมีความสามารถในการตีความให้กระจ่าง ทั้งจากถ้อยคำ น้ำ เสียง บุคลิก แววตา และท่าทางของผู้ส่งสาร ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารนี้แบ่งได้ ๒ ประเภท ดังนี้ ๑) ลักษณะและรูปแบบของอวัจนะภาษา ๑.๑) การแสดงออกของใบหน้า อวัจนะภาษา คือ ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำ สามารถบอกเจตนาได้ชัดเจน ยิ้มแย้มแจ่มใส ตกใจ โกรธ แสดงเจตนา เต็มใจ พอใจ ตกใจ ไม่เต็มใจ ไมพอใจ ๑.๒) น้ำ เสียง น้ำ เสียง อารมณ์ของผู้ส่งสาร แสดงความสุภาพ ๒. เสียงดังมาก กระโชกโฮกฮาก สั้นห้วน แสดงความไม่สุภาพ ข่มขู่ ๒


กำ มือ ผายมือ ยกมือทั้งสองข้างพร้อมกัน *อวัจนภาษาเหล่านี้ สามารถนำ ไปใช้ประกอบกับการใช้วัจนภาษา เพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น ขณะพูดอาจใช้มือ ทำ ท่าทางประกอบ ๑.๓) ท่าทาง คือ กิริยาท่าทางขณะส่งสาร ได้แก่ ท่านั่ง ท่ายืน และการทรงตัวมีผลต่อการส่งสาร ๑.๔) การแต่งกาย ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับโอกาส กาลเทศะ และสภาพแวดล้อม การแต่งกายที่สุภาพจะทำ ให้ผู้ฟัง เกิดความประทับใจและความน่าเชื่อถือ ในตัวผู้พูด ๑.๕) การเคลื่อนไหว ในขณะพูดต้องเคลื่อนไหวบ้างพอเหมาะกับเนื้อหาที่พูด แต่อย่าเคลื่อนไหวมากเกินไป เพราะอาจดู เหมือนการแสดงละคร ๑.๖) การใช้มือและแขน ขณะพูดควรใช้มือหรือแขนให้สอดคล้องกับเรื่องที่พูด เช่น เป็นการแสดงความสำ คัญ เป็นการบอกทิศทาง เป็นการบอกขนาด ๑.๗) การใช้นัยส์ตา หรือแววตาสามารถสื่ออารมณ์ของผู้พูดได้ ๑.๘) การใช้ภาษาสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่กำ หนดขึ้นโดยกลุ่มสังคมต่าง ๆ ล้วนใช้สื่อความหมายแทนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ให้เป็นที่เข้าใจตรงกัน เช่น. ตัวหนังสือ สัญญาณมือ ภาษามือ ลักษณะ และ รูปแบบของ วัจนภาษา ภาษาไทยมีถ้อยคำ ที่แสดงความลดหลั่นชั้นเชิงของภาษาอยู่มาก ทั้งถ้อยคำ สำ นวน โวหาร การเลือกสรรถ้อยคำ จึงเป็นเรื่องสำ คัญที่สุดในการสื่อสาร เพราะถ้าใช้ถ้อยคำ ภาษาผิดอาจส่งผลให้การสื่อสารไม่ตรงเป้าหมายที่ต้องการ หรือทำ ให้เกิดความเข้าใจผิดได้ การใช้วัจนภาษาให้เหมาะกับกาลเทศะและบุคคลจึงเป็นเรื่องที่ควรศึกษาในที่นี้จะขอยก ข้อสังเกตของการใช้วัจนภาษาเพื่อศึกษา พิจารณา และเลือกใช้คำ ได้ถูกต้อง เหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนี้ ๒.๑) คำ ที่มีความหมายเหมือนกัน มีที่ใช้ต่างกัน การใช้คำ เหล่านี้ ต้องคำ นึงถึง โอกาส สถานที่ และความ สัมพันธภาพระหว่างบุคคล เช่น ระดับบุคคล คำ ศัพท์ การใช้ภาษา บุคคลทั่วไป พระภิกษุ พระบรมวงศานุวงศ์ กิน รับประทาน ฉัน เสวย ๒.๒) คำ ที่เป็นภาษาพูด เมื่อนำ คำ ที่เป็นภาษาพูดมาเขียนเป็นภาษาเขียน จะเขียนไม่ตรงกับเสียงพูด เช่น ภาษาพูด : เค้าเอาของชั้นไปแล้วไม่คืนได้ไง ภาษาเขียน : เขาเอาของฉันไปแล้วไม่คืนได้อย่างไร ๒.๓) คำ ที่เป็นภาษาพูด คำ ที่เป็นภาษาปาก ไม่นิยมนำ มาเป็นภาษาเขียน ภาษาปาก : เยอะแยะ ใบขับขี่ มหาลัย ภาษาเขียน : มากมาย ใบอนุญาตขับขี่ มหาวิทยาลัย ๓


๒.๔) การใช้สำ นวน เป็นลักษณะเด่นของการสื่อสาร เพื่อใช้เปรียบเทียบให้ผู้ฟังเข้าใจได้ทันที สำ นวนเหล่านี้จะมีความ หมายไม่ตรงกับคำ ที่เขียน เช่น คนแต่ละชาติ แต่ละกลุ่ม แต่ละพวก ต่างกำ หนดเสียงที่ใช้พูดสื่อความหมาย เฉพาะในกลุ่มตน ว่าจะให้เสียงใดมีความหมายอย่างใด เมื่อใด ด้วยเหตุนี้เสียงในแต่ละภาษาจึงต่างกัน เช่น ในภาษาไทย ไม่มีเสียงสะกด ล /I/, ส /s/ อย่างในภาษาอังกฤษ หรือภาษาอังกฤษไม่มีเสียงสะกด ป /P/, ต /t/ เพราะเสียงสะกดนี้ ในภาษาอังกฤษต้องมีการพ่นลม เป็นต้น จะมีก็แต่คำ ที่เกิดจากการเลียนเสียงธรรมชาติเท่านั้นที่อาจจะมีเสียงใกล้เคียงกัน กล่าวคือ อาจคล้ายคลึงกันทั้งเสียงพยัญชนะและสระ เช่น ตุ๊กแก (ภาษาไทยกลาง) ต๊กโต (ภาษาไทยเหนือ) เก๊กโก (ภาษาอังกฤษ) หรือคล้ายคลึงกันเพียงเสียงใดเสียงหนึ่ง เช่น แมว (ภาษาไทย) งาว (ภาษาจีน) ใจยักษ์ : มีจิตใจดุร้ายโหดเหี้ยม คอแข็ง : ทนต่อรสอันเข้มข้นของสุราได้ ๒.๕) การใช้ศัพท์เฉพาะในแวดวงเดียวกัน และการใช้คำ ผวน อาจทำ ให้คนนอกกลุ่มฟังไม่เข้าใจ ๒.๖) การใช้ภาษาถิ่น ภาษาถิ่นเป็นภาษาที่ใช้กันเฉพาะหมู่ และนิยมใช้เป็นภาษาพูด แต่มีบางคำ เป็นที่รู้จักกันดี เช่น แซ่บ ในภาษาถิ่นอีสาน หมายถึง อร่อย ลำ ในภาษาถิ่นเหนือ หมายถึง อร่อย หรอย ในภาษาถิ่นใต้ หมายถึง อร่อย ๒.๗) การใช้คำ คะนอง และสแลงเฉพาะสมัย เป็นการใช้คำ สื่อสารกันเพียงชั่วคราว เช่น ซ่าส์ มั่ว ปิ๊ง จ๊าบ ฯลฯ จึงเหมาะที่จะใช้ในการพูดเฉพาะกลุ่มที่สามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจ ไม่เหมาะที่จะนำ ไปใช้ในการสนทนาทั่วไปหรือการเขียน ธรรมชาติของภาษา ๑) ภาษาใช้เสียงสื่อความหมาย หน่วยในภาษา หมายถึง ส่วนประกอบของภาษา หน่วย ที่เล็กที่สุดของภาษา คือ หน่วยเสียง หากนำ หน่วยเสียงมาประกอบกันจะได้หน่วยที่ใหญ่ขึ้น คือ พยางค์ เมื่อกำ หนดความ หมายให้พยางค์แล้ว พยางค์เหล่านั้นก็จะเป็นคำ สำ หรับใช้ในภาษา เพราะคำ กับพยางค์แตกต่างกันที่คำ จำ เป็นต้องมีความ หมาย ส่วนพยางค์ไม่จำ เป็นต้องมีความหมายก็ได้ และเมื่อนำ คำ มาประกอบกันเข้าตามระบบการใช้ถ้อยคำ ของแต่ละภาษา ก็จะได้หน่วยภาษาที่ใหญ่ขึ้นเป็นกลุ่มคำ หรือ วลี ถ้านำ คำ มาเรียงลำ ดับกันและได้ความหมายครบถ้วนก็กลายเป็น ประโยค ซึ่งจะสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ส่งสารเป็นสำ คัญ ๒) หน่วยในภาษาประกอบกันเป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้น เสียง กลุ่มคำ (วลี) พยางค์ คำ ประโยค เรื่อง ภาษาไทยมีทั้งเสียงพยัญชนะและเสียงสระเช่นเดียวกับภาษาอื่นอีกหลายภาษา และที่พิเศษ คือ ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ ทำ ให้สามารถสร้างคำ ขึ้นได้มากมาย แต่บางคำ อาจมีฐานะเป็นเพียงพยางค์เพราะไม่มีความหมาย เช่น ใช้พยัญชนะ ก ประสมกับเสียงสระ ออก็ผันวรรณยุกต์ได้ถึง ๕ เสียง คือ กอ ก่อ ก้อ ก๊อ ก๋อ ๔


นอกจากนี้ ภาษาไทยยังมีวิธีนำ ประโยคมาเรียบรียงให้ได้ประโยคยาวออกไป โดยจะอยู่ในรูปประโยดความรวม หรือประโยคความซ้อน เช่น ฉันไปเที่ยว ฉันไปเที่ยวกับแม่ ฉันไปเที่ยวหัวหินกับแม่ ฉันไปเที่ยวหัวหินกับแม่และน้องๆ ฉันไปเที่ยวหัวหินกับแม่และน้องๆ เมื่อปิดเทอมคราวที่แล้ว ฉันไปเที่ยวหัวหินกับแม่และน้องๆ เมื่อปิดเทอมคราวที่แล้ว ส่วนพ่ออยู่เฝ้าบ้าน การแต่งประโยคให้ยาวขึ้นสามารถทำ ได้โดยการเติมคำ ที่เป็น ส่วนขยาย ไว้หลังคำ ที่ต้องการขยาย ต่างจากภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาอังกฤษซึ่งจะนำ ส่วนขยายมาไว้ข้างหน้าคำ ที่ต้องการขยาย ส่วนภาษาไทยมีการเติมส่วนขยาย ดังนี้ เช่น ขยายคำ ว่า "เที่ยว" ด้วยคำ ว่า "กับแม่" "หัวหิน" และ "เมื่อปิดเทอมคราวที่แล้ว" นอกจากนี้ยังขยายประโยคให้ยาวขึ้น ด้วยการเติมประโยค "ส่วนพ่ออยู่เฝ้าบ้าน" ทำ ให้ประโยคสุดท้ายเป็นประโยคความรวมผู้สื่อสารอาจนำ ประโยคต่างๆ มาเรียงกันให้ได้ความหมายหลักอย่างใดอย่างหนึ่ง หน่วยที่เกิดจากการรวมกันของประโยคในลักษณะดังกล่าว คือ ย่อหน้า หรือ มหรรถสัญญา โดยมักนำ ประโยคที่ยาวไม่มากมาเรียงกันเป็นย่อหน้า มากกว่าจะแต่งประโยคให้ยาวมากๆ เพราะประโยคยิ่งซับซ้อนก็ยิ่งเข้าใจยาก ทำ ให้วิเคราะห์ความหมายยากไปด้วย ๓. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง ภาษาที่ไม่มีการนำ มาใช้ในชีวิตประจำ วันแล้ว เรียกว่า ภาษาตาย ภาษาที่ตายแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก เช่น ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาละดิน การศึกษาภาษาเหล่านี้ก็เพื่อหาความรู้ในส่วนที่ เกี่ยวข้อง หรือเพื่อรู้เรื่องราวที่เขียนด้วยภาษานั้นๆ เท่านั้น เช่น ศึกษาภาษาบาลีเพื่อนำ ไปอ่านบทสวดมนต์ หรือศึกษา ภาษาสันสกฤต เพื่อให้รู้ความหมายของคำ ศัพท์ เป็นต้น มิใช่ศึกษาเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำ วัน ส่วนภาษาที่ ยังใช้อยู่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง บางคำ อาจเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจนไม่ทันสังเกต บางคำ อาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ๓.๑) การเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากธรรมชาติของการออกเสียง เป็นลักษณะทางเสี่ยงที่เกิดเหมือนๆ กันทุกภาษา การกลืนเสียง การกลายเสียง การตัดเสียง การกร่อนเสียง การสับเสียง อย่างนั้น ยังงั้น สะพาน ตะพาน อุโบสถ โบสถ์ ลูกอ่อน ละอ่อน ก ต ในภาษาถิ่นอีสาน เช่น ตะกรุด - กะตุด ทั้งนี้ความหมายอาจคงเดิม หรือความหมายอาจต่างไปจากเดิมก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีกมีารเปลี่ยนแปลงของภาษา ที่เกิดจากการเลียนภาษาของเด็ก เช่น การที่เด็กออกเสียงไม่ตรงกับผู้ใหญ่ หรือเข้าใจความหมายของคำ ไม่ตรงกับผู้ใหญ่ จัดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางภาษาในลักษณะที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติด้วย ๓.๒) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอิทธิพลภายนอก มีลักษณะ ดังนี้ หรือลักษณะการใช้ถ้อยคำ แล้วมิได้ดัดแปลงให้เป็นลักษณะของตนโดยสิ้นเชิง จึงมีอิทธิพล ทำ ให้ภาษาของตนเปลี่ยนแปลงไป อาจมีเสียงเพิ่มขึ้นหรือเสียงแปลกขึ้น เช่น ภาษาไทยไม่มีเสียง ล /l/ สะกด มีแต่ น /ก/ สะกด เมื่อรับคำ ว่า ฟุตบอล มาใช้ก็มีผู้ออกเสียง ล /l/ สะกดในคำ นี้ ซึ่งการยืมคำ จากภาษาหนึ่งเข้าไปใช้ ในอีกภาษหนึ่งทำ ได้ ๓ ลักษณะดังนี้ ๑. การยืมคำ ๕


การทับศัพท์ เป็นวิธีการยืมคำ จากภาษาหนึ่งเข้าไปใช้ในอีกภาษาหนึ่งโดยตรง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป เช่น เทนนิส = Tennis ตังฉ่าย กีวี = Kiwi เต้าเจี้ยว เทอม = Term ซีอิ๊ว การแปลศัพท์คำ ยืม เป็นการยืมความหมายของอีกภาษาหนึ่งมาใช้โดยแปลความหมาย ของศัพท์ชนิดคำ ต่อคำ เช่น Black sheep แปลเป็น แกะดำ Weekend แปลเป็น วันสุดสัปดาห์ Standpoint แปลเป็น จุดยืน การยืมความหมาย เป็นวิธีการยืมความหมาย ซึ่งเดิมไม่มีใช้ในภาษาเข้ามาใช้ และสร้าง คำ ขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้กับความหมายที่ยืมมา เช่น กิจกรรม ยืมความหมายมาจากคำ ว่า Activity วัฒนธรรม ยืมความหมายมาจากคำ ว่า Culture รายงาน ยืมความหมายมาจากคำ ว่า Report เช่น การนำ คำ ภาษาต่างประเทศมาใช้ ดังต่อไปนี้ ภาษา คำ ความหมาย ภาษาเขมร เมิล ดู ภาษาอาหรับ สไบ ผ้าแถบ ผ้าห่มผู้หญิง ทูล บอก กะลาสี กะไหล่ ขันที พวกลูกเรือ เคาื่องบิน ผู้ชายที่ถูกตอน ๓.๓ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ๒. การใช้คำ และสำ นวนต่างไปจากเดิม การเลิกสิ่งเก่ารับสิ่งใหม่ การรับความคิดหรือกระบวนการใหม่ๆ การสร้างสิ่งใหม่ๆ เช่น ข้าวของเครื่องใช้ ก็ทำ ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในภาษา เพราะต้องสรรคำ มาใช้เรียก สิ่งใหม่ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ บุฟเฟ่ต์ จนคำ เดิมอาจสูญไปหรืออาจจะใช้สื่อความไม่ได้กับผู้ใช้ภาษาที่ต่างรุ่นกัน มากๆ เช่น ถ้าพูดว่าแต่งตัวเปิ๊ดสะก๊าดคนรุ่นใหม่อาจไม่คุ้น เพราะปัจจุบันไม่ได้ใช้คำ นี้แล้ว แต่จะพูดว่าแต่งตัว ดูหรู ดูไฮ (โซ) ทั้งที่ความหมายเดียวกัน แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำ ให้มีคำ ใหม่ๆ มาใช้เรียกแทน ๖


การเปลี่ยนแปลงอีกประการหนึ่งที่ต้องมีอยู่ทุกภาษา คือ การสร้างคำ ใหม่จากคำ เดิมซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลง จากศัพท์เดิม หรือนำ ศัพท์อื่นมาประสมกับศัพท์เดิม เช่น ภาษาไทยมีการประสมคำ ซ้ำ คำ ซ้อนคำ เพื่อสร้างคำ ใหม่ การนำ คำ เดิมที่มีอยู่มาสร้างคำ ใหม่นี้ ทำ ให้ภาษาไทยมีคำ หลากหลายมากขึ้น และคำ เหล่านี้จะช่วยให้สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น มีชื่อเรียกที่เป็นที่รู้จักและยอมรับร่วมกันในสังคม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าภาษานั้นๆ เป็นภาษาที่ยังไม่ตาย ยังคงมีการปรับเปลี่ยนตามบริบททางสังคม ธรรมชาติประการหนึ่งของภาษา คือ การเปลี่ยนแปลงโดยมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางด้านเสียง ด้านความหมาย ตลอดจนการสร้างคำ สำ นวนจากศัพท์คำ เดิมทำ ให้คำ ศัพท์นั้นๆ เปลี่ยนแปลงความหมายและหน้าที่ ไป ดังนั้น ผู้ใช้ภาษาจึงควรศึกษาการเปลี่ยนแปลงของภาษาเพื่อให้ใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔. ภาษาต่างๆ มีลักษณะคล้ายและแตกต่างกัน ๔.๑) ภาษาแต่ละภาษา ใช้เสียงสื่อความหมาย โดยเสียงที่ใช้สื่อความหมายในทุกภาษาอย่างน้อยต้องประกอบ ด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้นและหน่วยเสียงสระ ซึ่งบางภาษาอาจมีหน่วยเสียงวรรณยุกต์ประกอบด้วย ๔.๒) ภาษาแต่ละภาษา สร้างศัพท์ใหม่จากศัพท์เดิม โดยอาจจะเปลี่ยนแปลงศัพท์เดิมหรือนำ ศัพท์อื่น มาประสมกับศัพท์เดิม เช่น ภาษาไทยมีการสร้างคำ ด้วยวิธี -การประสมคำ เช่น รถไฟ น้ำ ปลา เตารีด ชาวบ้าน -การซ้อนคำ เช่น ดูแล ขุ่นมัว ซื้อขาย สูงต่ำ -การซ้ำ คำ เช่น หลับๆ ตื่นๆ ส่วนภาษาอังกฤษมีการเติม Prefix หรือคำ อุปสรรคเดิมหน้าคำ ทำ ให้คำ คำ นั้นมีความหมายผิดไปจากเดิม เช่น un- (ไม่) ใช้เติมหน้าคำ คุณศัพท์ หรือคำ กริยาวิเศษณ์ ทำ ให้มีความหมายตรงกันข้าม เช่น Suitable แปลว่า เหมาะสม เมื่อเติม un- เป็น Unsuitable แปลว่า ไม่เหมาะสม ส่วน Suffix หรือคำ ปัจจัยเติมท้ายคำ เช่น -Ness เมื่อเติมหลังคำ ว่า kind (ใจดี ใจกว้าง) เป็น kindness แปลว่า ความใจดี ในรูปประโยคว่า We' ll never forget yourkindness. เป็นต้น ๔.๓) ภาษาแต่ละภาษามีสำ นวน และมีการใช้คำ ในความหมายใหม่ เช่น ในภาษาไทยมีการใช้คำ ว่า "สี่หน้า" ซึ่งไม่ได้หมายถึง สีของหน้า แต่หมายถึง การแสดงออกทางใบหน้าหรือภาษาอังกฤษมีคำ ว่า hot air ซึ่ง ไม่ได้หมายความว่า อากาศร้อน ลมร้อน แต่หมายถึง การคุยโม้ การแสดงกิริยาอาการโอ้อวด เป็นต้น ๔.๔) ภาษาแต่ละภาษามีคำ ชนิดต่างๆ คล้ายกัน ๔.๕) ภาษาแต่ละภาษามีวิธีขยายประโยคให้ยาวออกไปได้เรื่อยๆ ๔.๖) ภาษาแต่ละภาษามีวิธีแสดงความคิดคล้ายกันได้ ๔.๗) ภาษาแต่ละภาษาต้องมีการเปลี่ยนเเปลงตามกาลเวลา เช่น คำ นาม คำ ขยายนาม คำ กริยา คำ ขยายกริยา เป็นต้น โดยการเติมส่วนขยาย เช่น ภาษาทุกภาษา ต่างมีประโยคที่ใช้ถาม ใช้ปฏิเสธ ๕. ภาษาย่อมมีส่วนประกอบที่เป็นระบบ มีระเบียบแบบเเผน ภาษาต้องมีระบบที่มีรมีะเบียบแบบแผน จึงสามารถใช้สื่อสารกันให้เข้าใจได้ ส่วนประกอบที่สำ คัญ คือ สัญลักษณ์ คำ ประโยค และความหมาย ทุกส่วน ประกอบเหล่านี้ จะรวมกันอย่างเป็นระบบตามระเบียบแบบแผนทำ ให้เกิดเป็นภาษาที่สมบูรณ์ ถ้าขาดส่วนประกอบใดก็ จะไม่เป็นภาษา เช่น ต้องนำ สัญลักษณ์มาประกอบกันเป็นคำ จึงจะเกิดความหมาย การนำ คำ มาประกอบ เป็นประโยคก็ต้องเรียบเรียงตามระเบียบแบบแผนของภาษา ๗


ภาษาเป็นเครื่องมือสำ คัญในการดำ รงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์จึงสามารถเรียนรู้ภาษาเพื่อการดำ รงชีวิต และพัฒนาภาษาของตนเองได้ ภาษาช่วยให้มนุษย์รู้จักคิดโดยแสดงออกผ่านทางการพูด การเขียน และการกระทำ ซึ่งเป็นผลจากการคิด ถ้าไม่มีภาษามนุษย์จะคิดไม่ได้ ถ้ามนุษย์มีภาษาน้อย มีคำ ศัพท์น้อยความคิดของมนุษย์ย่อมแคบไม่กว้างไกล ผู้ที่ใช้ ภาษาได้ดีจะมีความคิดดีด้วย ส่งผลให้การเรียนรู้ในสิ่งต่างๆดีขึ้นตามไปด้วย เช่น ผู้ที่รู้ภาษาไทยดี มีทักษะในการ อ่านดี เมื่ออ่านแล้วสามารถจับใจความและสรุปความได้ย่อมส่งผลให้อ่านสาระวิชาความรู้ในแขนงต่างๆ ได้อย่าง เข้าใจ ดังนั้นผู้ที่จะเรียนวิซาใดๆ ให้ได้ดีควรจะมีทักษะทางภาษาไทยอย่างดีเสียก่อน เพื่อเป็นพื้นฐานในการแสวงหา ความรู้ต่อไป นอกจากนี้มนุษย์ยังใช้ความคิดและถ่ายทอดความคิดเป็นภาษา ซึ่งส่งผลไปสู่การกระทำ ผลของการกระทำ ส่งผลไปสู่ความคิด ความคิดที่ดีย่อมช่วยกันธำ รงสังคมให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีไมตรีต่อกัน ช่วยเหลือกัน ด้วยการใช้ภาษาติดต่อสื่อสาร ช่วยให้บุคคลปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์ของสังคม เช่น การเจรจาเจริญสัมพันธไมตรีกับ ต่างประเทศ หรือการติดต่อค้าขาย ล้วนมีภาษาเป็นสื่อกลาง ภาษาช่วยให้มนุษย์เกิดการพัฒนา โดยใช้ภาษาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การอภิปรายโต้แย้งเพื่อนำ ไปสู่ผลสรุป มนุษย์ใช้ภาษาในการเรียนรู้ จดบันทึกความรู้ แสวงหาความรู้และช่วยจรรโลงใจด้วยการอ่านบทกลอน ร้องเพลง ภาษาจึงมีพลังในตนเอง เพราะภาษาประกอบด้วยเสียงและความหมาย การใช้ภาษา ถ้อยคำ จึงทำ ให้ เกิดความรู้สึกต่อผู้รับสาร เช่นเกิดความชื่นชอบ ความรัก ความรู้สึกอคติ เหล่านี้ล้วนเกิดจากพลังของภาษา ภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อสารทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนทั่วโลกนี้ ต่างมีพื้นฐานเดียวกัน คือเพื่อใช้ติดต่อสื่อสาร ทำ ให้ผู้อื่นมีความรู้ความเข้าใจ ดังนั้น ทุกภาษาจึงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันเช่น มีการใช้เสียงและอักษรเพื่อสื่อ ความหมาย หรือประกอบจากหน่วยเล็กๆ เป็นหน่วยใหญ่ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นธรรมชาติของภาษา ผู้ที่เข้าใจ ธรรมชาติของภาษาย่อมสามารถใช้ภาษาได้ดีขึ้น ทั้งกาษาดั้งเดิมของตนเองและกาษาต่งประเทศ อย่างไรก็ตามสิ่ง ที่ผู้ใช้กาษาควรคำ นึงถึงคือ พลังของภาษา เพราะภาษาสามารถสร้างสรรค์และทำ ลายได้ ดังนั้น การใช้กาษาให้ถูก ต้องเหมาะสม ย่อมช่วยธำ รงสังคมได้ ๘


ภาษา เป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการติดต่อสื่อสาร การแลกเปลี่ยน ความคิดความเห็น ทฤษฎี การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก มนุษย์อาจใช้ภาษาเพื่อทำให้เกิดความข้เาใจ ความพึงพอใจ และการโต้แย้ง ส่งผลให้กิจกรรมที่ใช้ภาษามีมากมาย เช่น การให้ข้อมูล การชี้แจง การแสดงความเห็น การโฆษณา การอภิปรายตลอดจนการสนทนาในชีวิตประจำวัน จึงกล่าว ได้ว่ากิจกรรมในชีวิตของมนุษย์ล้วนแต่อาศัยภาษาทั้งสิ้น ๙


๑) คำภาษาไทยแท้ส่วนใหญ่มีพยางค์เดียว และมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง มักเป็นคำที่ใช้ เรียกสิ่งต่างๆ ตลอดจนกิริยาอาการของมนุษย์ เช่น คำที่ใช้เรียกแทนชื่อ เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ๒) ภาษาไทยเป็นภาษาที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปศัพท์จำแต่ละคำมีความหมายสมบูรณ์ในตัว เอง ใช้ได้อย่างอิสระ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปตัพท์ไปตามเพศ พจน์ กาล เพราะภาษาไทยจะใช้คำ อื่นมาประกอบ หรืออาจทราบได้จากบริบท เปรียบเทียบกับภาษาบาลีซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรูปศัพท์ เพื่อบอกเพศ เช่น กุมาร หมายถึง เด็กชาย กุมารี หมายถึง เด็กหญิง หรือ เทวะ หมายถึงเทวดาชาย เทวี หมายถึง เทวดาหญิง ๓) ภาษาไทยสะกดตรงมาตรา มาตราตัวสะกดในภาษาไทยมี ๘ มาตรา ซึ่งคำไทยแท้มีตัว สะกดตรงตามมาตรา เช่น แม่กก ใช้ "ก" เป็นตัวสะกด คำที่สะกดด้วย "ก" มักเป็นคำไทยแท้เช่น มัก ชัก นัก เป็นต้น อย่างไรก็ตามมีคำในภาษาไทยบางคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา เช่นตัวสะกดแม่กด นอกจากใช้ "ด" สะกดแล้วยังใช้อักษรอื่นสะกด เช่น ดุจ รส บท เป็นต้น เนื่องจากได้รับอิทธิพลคำ ภาษาต่างประเทศที่ไทยรับเข้ามาใช้ ๔) ภาษาไทยมีการเรียงคำในประโยค ระบบไวยากรณ์ภาษาไทยถือว่าการเรียงคำในประโยคมี ความสำคัญ หากเรียงคำในตำแหน่งต่างๆ สลับที่กันจะทำให้ความหมายเปลี่ยนไปเพราะคำไทยบางคำมี หลายความหมายและทำหน้าที่ได้หลายหน้าที่ ๕) ภาษาไทยจะวางคำขยายไว้หลังคำที่ถูกขยาย เนื่องจากภาษาไทยเป็นภาษาเรียงคำหากมีคำ ขยายจะวางอยู่หลังคำและอยู่ติดกับคำที่ถูกขยาย เช่น น้องร้องเพลงเสียงหวานไพเราะแมวนอนใต้โต๊ะ ทำงานห้องพ่อ ๖) ภาษาไทยมีคำลักษณนาม คำลักษณนามเป็นคำที่บอกลักษณะของนามข้างหน้า มักใช้ตาม หลังคำวิเศษณ์บอกจำนวน เช่น กระเทียม ๔ กลีบ ตะกร้า ๒ ใบ ฯลฯ และใช้ตามหลังคำนามทั่วไป เพื่อเน้นน้ำหนัก และเพื่อบอกให้ทราบลักษณะของคำนามนั้น เช่น นิยายเรื่องนี้สนุกมากน้ำตกแห่งนั้น สวยงาม ธนูดันนี้ของใคร ฯลฯ ๗) ภาษาไทยมีการสร้างคำขึ้นใหม่ โดยวิธีการประสมคำ การซ้อนคำ การซ้ำคำ การสมาส และการสนธิ ๘) ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์คำในภาษาไทยมีการใช้วรรณยุกต์ซึ่งการใช้วรรณยุกต์ที่แตก ต่างกันนี้ส่งผลให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป ทำให้มีคำในภาษาเพิ่มมากขึ้น เช่น ๙) ภาษาไทยมีระดับ ประเทศไทยมีวัฒนธรรมทางภาษา มีการใช้คำพูดให้เหมาะสมแก่บุคคล ตามกาลเทศะ ระดับฐานะของบุคคล จึงทำให้ภาษามีหลายระดับ เช่น คำราชาศัพท์สำหรับ พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก พระสงฆ์คำสุภาพ หรือแม้แต่ภาษากวี เป็นต้น คา หมายถึง ค่า หมายถึง ค้า หมายถึง ค้างอยู่ ติดอยู่ ราคา คุณประโยชน์ หาของมาขาย ซื้อขายแลกเปลี่ยน ๑๐


เสียงที่คนทุกชาติทุกภาษากำหนดขึ้นใช้สื่อความเข้าใจ ย่อมมีจำนวนจำกัด แต่มิได้หมายความ ว่า ผู้ใช้ภาษาจะออกเสียงที่ไม่มีในภาษาของตนไม่ได้ เพียงแต่ต้องใช้การฝึกฝนมากบ้างน้อยบ้าง ตาม ความถนัดและความสามารถของแต่ละคน การที่เสียงในภาษามีจำกัด เครื่องหมายที่ใช้แทนเสียงซึ่งส่วน ใหญ่ก็คือ ตัวอักษร จึงมีจำกัดไปด้วย เสียงในภาษาไทยเมื่อเทียบกับภาษาอื่นเช่น ภาษาอังกฤษ ภาษา ฝรั่งเศส จะเห็นว่าภาษาไทยมีเสียงมากกว่า ทำให้การถ่ายเสียงเป็นภาษาไทยเป็นไปได้ค่อนข้างดี และ แม้ในภาษาอังกฤษจะปรากฎเสียงที่ไม่มีในภาษาไทย เช่น/r/ /sh/ /Z/ ก็ตาม เสียงในภาษาไทยมี ๓ เสียง คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ เสียงวรรณยุกต์ดังนี้ ๑) เสียงสระและรูปสระ เสียงสระ หรือเรียกว่า เสียงแท้ เพราะเป็นเสียงที่ผ่านลำคอออกมา โดยตรงไม่ถูกปิดหรือถูกกัก ณ ที่ใดที่หนึ่งเลย หากเสียงที่เปล่งออกมาถูกปิดหรือถูกกักจนเสียงเปลี่ยนไป หรือแปรไป ก็จะเป็นเสียงแปร หรือเสียงพยัญชนะ ในการเปล่งเสียงแต่ละครั้งจะมีเสียงสูงๆ ต่ำๆ ต่างกัน ซึ่งไม่ว่าในภาษาใดก็ย่อมมีเสียงสูงๆ ต่ำ ในการพูดทั้งสิ้น แต่ที่พิเศษสำหรับภาษาไทย คือ การกำหนดให้เสียงสูง-ต่ำมีความหมาย กล่าวคือ เมื่อเปลี่ยนระดับเสียงของคำส่งผลให้ความหมาย ของคำนั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย เรียกเสียงระดับต่างๆ ที่กำหนดขึ้นนี้ว่าเสียงวรรณยุกต์ ภาษาไทยมีเสียงสระเดี่ยวหรือสระแท้ ๙ คู่ หรือ ๑๘ หน่วยเสียง สระประสมหรือสระเลื่อน ๓ หน่วยเสียง ดังนี้ โดยปกติจะเขียนรูปสระอย่างง่ายๆ ดังนี้ สระแท้ -ะ -า -ิ-ี-ึ-ื-ุ -ู เ-ะ เ- แ-ะ แ- โ-ะ โ- เ-าะ -อ เ-อะ เ-อ สระประสม เ-ีย เ-ือ -ัว เมื่อเติมรูปพยัญชนะ ลงตรงช่องว่าง (-) จะอ่านออกเสียงได้ เช่น นะ นา โน เป็นต้น การรู้จักรูปสระช่วยให้เข้าใจการสะกดคำ เช่นคำว่า เตา ถ้ารู้ว่า สระเอา ประกอบด้วยรูปสระ ๒ รูป คือ เ- (ไม้หน้า) กับ -า (ลากข้าง) เวลาสะกดคำ จะบอกอย่างถูกต้องว่าต-สระเอา ออก เสียงว่า เตา ไม่ใช่ สระเอ-ต-สระอา แล้วออกเสียงว่า เตา ๒) เสียงพยัญชนะและรูปพยัญชนะ พยัญชนะไทยมี ๔๔ รูป หรือ ๔๔ ตัว แต่ใช้เสียงซ้ำกัน หลายตัว จึงเหลือเสียงเมื่อเป็นพยัญชนะต้นเพียง ๒๑ เสียง และเป็นพยัญชนะท้ายเพียง ๘ เสียง ๑๑


๑๒


๑. รูปพยัญชนะมีมากกว่าเสียงพยัญชนะ ๒. รูปพยัญชนะแตกต่างกันแต่มีเสียงเดียวกัน เมื่อใช้เขียนคำแล้วจะพิสูจน์ได้ชัดว่าเป็นเสียง เดียวกันจริงๆ เช่น ค่า ข้า ฆ่า รูปพยัญชนะต่างกันหมดแต่เสียงเดียวกัน หรือ ชำ ฉ่ำ ต่างกันแต่เสียง วรรณยุกต์คือ ช่ำ เป็นเสียงวรรณยุกต์โท ฉ่ำ เป็นเสียงวรรณยุกต์เอก ๓. รูปพยัญชนะบางรูปเลิกใช้แล้ว เช่น ฃ ฅ ๔. การที่ภาษาไทยมีรูปพยัญชนะหลายรูป เนื่องจากการยืมคำในภาษาอื่นมาใช้ เช่นภาษาบาลี สันสกฤต เขมร แต่ออกเสียงตามอย่างภาษาเดิมไม่ได้จึงออกเสียงตามเสียงที่มีในภาษาไทย เช่น ออก เสียง ศ ษ ส ให้ต่างกันเหมือนเสียงในภาษาสันสกฤตไม่ได้ ๕. รูปพยัญชนะบางรูปไม่ออกเสียง เช่น ㆍพยัญชนะที่มีไม้ทัณฑฆาตกำกับ เช่น การณ์รัตน์วิรุฬห์ ㆍพยัญชนะ ร หรือ ห ที่นำหน้าพยัญชนะสะกดในคำบางคำซึ่งมาจากภาษาบาลี- สันสกฤต เช่น สามารถ พราหมณ์ ㆍพยัญชนะซึ่งตามหลังพยัญชนะสะกดในคำซึ่งมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต เช่น วัตร พุทธ ㆍร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอักษรควบไม่แท้ เช่น สร้าง จริง ㆍห หรือ อ ซึ่งนำอักษรต่ำเดี่ยว เช่น หลาก อยาก นอกจากรูปและเสียงพยัญชนะจะไม่ตรงกันเมื่อใช้ในคำต่างๆ แล้ว รูปและเสียงสระ เมื่อใช้ในคำต่างๆ ก็อาจไม่ตรงกันด้วย ๓) เสียงวรรณยุกต์และรูปวรรณยุกต์ ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีวรรณยุกต์ กล่าวคือ มีการ เปลี่ยนระดับเสียงของคำในภาษาซึ่งทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป แม้ว่าภาษาทุกภาษามีเสียงสูงๆ ต่ำๆ ในการพูด แต่ถ้าเสียงสูงต่ำนั้นไม่ทำให้ความหมายเปลี่ยนไป ภาษาเหล่านั้นก็มีเพียงระดับเสียงี ต่างๆ ในการพูด ไม่นับว่ามีวรรณยุกต์ และในบรรดาภาษาที่มีวรรณยุกต์ ภาษาไทยมีลักษณะพิเศษ คือ มีทั้งเสียงและรูปวรรณยุกต์ ๓.๑) เสียงวรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี ๕ เสียง ๑. ภาษาไทยมีวรรณยุกต์ ๕ เสียง หมายถึง ภาษาไทยกลางหรือภาษาถิ่นภาคกลาง ซึ่งเป็นภาษามาตรฐาน เป็นภาษาที่ใช้ในราชการ หากเป็นภาษาถิ่นอื่นอาจแตกต่างไปบ้าง เช่น ภาษา ถิ่นเหนือมีเสียงวรรณยุกต์ ๖ เสียง ๒. การที่ภาษาไทยมีเสียงวรรณยุกต์ทำให้สามารถสร้างเสียงต่างๆ ได้มากมายกลาเป็น คำที่มีความหมายและเป็นพยางค์ที่ไม่มีความหมาย เนื่องจากการเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ทำให้ความ หมายเปลี่ยนไป เช่น สามารถผันวรรณยุกต์ กอ ก่อ ก้อ ก๊อ ก๋อ ได้ครบ ๕ เสียง แต่ใช้เพียง ๒ เสียง คือ กอ และ ก่อ ส่วนอีก ๓ เสียง คือ ก้อ ก๊อ ก๋อ เป็นเพียงพยางค์ที่ไม่ได้ใช้ในคำไทย นอกจากนี้เสียงบางเสียงอาจใช้เขียนคำที่มาจากภาษาอื่น เช่น เกี๊ยะ หรือใช้เขียนคำเลียนเสียง เช่น เผียะ เปรี๊ยะ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม พยางค์ทุกพยางค์ที่คนไทยออกเสียงมีเสียงวรรณยุกต์กำกับอยู่ด้วยเสมอ แต่บางพยางค์เท่านั้นที่สามารถใช้เป็นคำ คือ มีความหมายในตนเอง ๑๓


๓. วรรณยุกต์มี ๕ เสียง จะสมบูรณ์จริงเฉพาะการพูด หรือการออกเสียงหมายความว่า สามารถออกเสียงวรรณยุกต์ได้ เสียงจริงทั้งคำเป็นและคำตาย แต่ในการเขียนจะเขียนได้ไม่สมบูรณ์ เช่น คำตาย ออกเสียงสามัญได้ แต่เขียนเสียงสามัญไม่ได้ การเขียนจึงเป็น ดังนี้ ๓.๒) รูปวรรณยุกต์ การใช้รูปวรรณยุกต์ในภาษาไทย สังเกตได้ดังนี้ ๑. ภาษาไทยมีรูปวรรณยุกต์ ๔ รูปคือ -่ -้-๊-๋รูปกับเสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทย อาจไม่ตรงกัน คือ ถ้าพยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำ เสียงและรูปวรรณยุกต์จะไม่ตรงกัน หรือจะจำง่ายๆ เป็นสูตรว่า ต่ำไม่ตรงรูป คือ ถ้าพยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำ รูปวรรณยุกต์เอก จะเป็นเสียงโท เช่น ค่า ล่ำ ค่ะ หากเป็นรูปวรรณยุกต์โทจะเป็นเสียงตรี เช่น ค้า แล้ว ด้วยเหตุนี้อักษรต่ำจึงไม่ใช้ไม้ตรีเลย ๒. คำที่มีพยัญชนะต้นสองตัว ได้แก่ อักษรควบ หรืออักษรนำ เช่น กล- คว- ตรสล- อร- อย- ฯลฯ ถ้ามีวรรณยุกต์ต้องเขียนไว้บนพยัญชนะตัวหลัง แต่การผันวรรณยุกต์ถือ พยัญชนะตัวหน้าเป็นหลัก ส่วนประกอบของภาษา ได้แก่ เสียง คำ และประโยค ในภาษาไทยมีเสียงพยัญชนะ ๒๑ เสียงเสียงสระ ๒๑ เสียง และเสียงวรรณยุกต์ ๕ เสียง เมื่อนำเสียงเหล่านี้มาประกอบกันทั้งหมดจะได้ คำเพิ่มมากขึ้นและเมื่อประกอบเป็นคำแล้ว สามารถนำมาเรียงเป็นกลุ่มคำและประโยคได้เป็นจำนวน มาก นอกจากนั้น ยังสามารถนำประโยคที่มีอยู่มารวมกัน หรือซ้อนกันทำให้ได้ประโยคยาวออกไป เรื่อยๆ โดยไม่จำกัดจำนวน ๑) องค์ประกอบของพยางค์ เสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ แม้จะแยกเป็น ประเภทได้อย่างชัดเจน แต่เสียงเหล่านี้จะอยู่รวมกันเสมอโดยประกอบกันขึ้นเป็นพยางค์ เสียงพยัญชนะ ที่อยู่หน้าเสียงสระในพยางค์เรียกว่า เสียงพยัญชนะต้น ส่วนเสียงพยัญชนะที่อยู่หลังเสียงสระในพยางค์ เรียกว่า เสียงพยัญชนะท้าย หรือเสียงพยัญชนะสะกด ซึ่งเสียงนี้บางพยางค์ไม่มี แต่ทุกพยางค์จะต้องมี เสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์เสมอ เสียงพยัญชนะต้นอาจมีเสียงเดียว เช่น ตา มี เสียง /ต/ เป็นเสียงพยัญชนะต้น หรืออาจมีสองเสียงควบกัน เช่น ครู กว่าเสียงพยัญชนะเสียงที่สอง นั้นจะเป็นเสียง /ร/ /ล/ /ว/ เท่านั้น เรียกเสียงที่ควบกันนี้ว่า เสียงควบกล้ำ พยางค์จึงหมายถึง เสียงที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่งๆ จะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้ พยางค์มีองค์ประกอบ ๓ ส่วนดังนี้ ๑. พยัญชนะต้น อาจเป็นพยัญชนะต้นเดี่ยวหรือพยัญชนะต้นควบ ๒. สระ อาจเป็นสระเดี่ยวเสียงสั้นหรือสระเดี่ยวเสียงยาว หรือสระเลื่อน ๓. วรรณยุกต์ การนำองค์ประกอบทั้ง ๓ ส่วน คือ พยัญชนะต้น สระ และวรรณยุกต์ มาประสมกัน เรียกว่า วิธีประสมอักษร พยางค์หนึ่งจะมีการประสมอักษรตั้งแต่ ๓ ส่วนขึ้นไป วิธีประสมอักษรมี ๓ วิธีดังนี้ ๑๔


๑.๑) การประสมอักษร ๓ ส่วน วิธีนี้เรียกว่า มาตรา กะ กา หรือ แม่ ก กา มีสระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์ ประสมด้วยสระจำนวน ๒๑ เสียง ยกเว้น ฤ ฤๅ ฦ ภา เช่น กะ กา กิกีกึกืกุ กู เก เก แกะ แก โกะ โก เกาะ กอ เกอะ เกอ เกีย เกือ กัว ส่วนพยางค์ที่มีสระ อำ ใอ ไอ เอา กำหนดตามรูปสระจะเป็นการประสมอักษร ๓ส่วน จัดอยู่ใน ก กา เช่น ดำ ใจ ไป เรา เป็นต้น ถ้าตามสำเนียงอักษรประสมกันแล้ว ต้องอยู่ในวิธีประสม ๔ ส่วน เพราะเป็นเสียงมีตัว สะกด เช่น สระ อำ จะมีเสียง ม เป็นตัวสะกด ๑.๒) การประสมอักษร ๔ ส่วน วิธีนี้มี ๒ อย่างคือ ๑. ประสม ๔ ส่วนปกติคือ การประสมอักษร ๓ ส่วน แล้วเพิ่มเติมตัวสะกด เป็นส่วนที่ ๔ เรียกต่างกันเป็น มาตรา ๘ มาตรา คือ แม่กก แม่กง แม่กด แม่กน แม่กบ แม่กม แม่เกย แม่เกอว เป็นคำตาย ๓ แม่ คือ แม่กก แม่กด แม่กบ นอกนั้นเป็นคำเป็น พยางค์ประสม ๔ ส่วนปกติ แม่กก ประสมด้วยสระต่างๆ เช่น กัก กาก กิก กีก กึก กืก กุก กูก เก็ก เกก แก็ก แกก กก โกก ก็อก กอก เกิก เกียก เกือก กวก พยางค์ที่ประสมสระอำ อยู่ในแม่กม พยางค์ที่ประสมสระใอ ไอ อยู่ในแม่เกย พยางค์ประสมสระเอา อยู่ในแม่เกอว ๒. การประสมอักษร ๔ ส่วนพิเศษ คือ วิธีประสม ๓ ส่วน ซึ่งมีตัวการันต์เพิ่มเข้าเป็น ส่วนที่ ๔ ได้แก่ แม่ ก กา มีตัวการันต์ เช่น การ์ตูน สัปดาห์ อาคเนย์ เป็นต้น ๑.๓) การประสมอักษร ๕ ส่วน ได้แก่ วิธีประสม ๔ ส่วนปกติซึ่งมีตัวการันต์เติมเข้าเป็น ส่วนที่ ๕ ได้แก่ มาตราทั้ง ๘ แม่ ที่มีตัวการันต์ เช่น อัปลักษณ์ เหตุการณ์ แสตมป์ เป็นต้น ๒) องค์ประกอบของคำ คำ คือ เสียงที่เปล่งออกมาและมีความหมายอย่างหนึ่งจะเป็นกี่ พยางค์ก็ได้ พยางค์ที่มีความหมายอาจประกอบด้วยพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้คำที่ประกอบ ด้วยพยางค์เดียวเรียกว่า คำพยางค์เดียว เช่น เย็น มา เดิน เพลิน สวน พ่อ ชาย หญิงส่วนคำที่ ประกอบด้วยพยางค์หลายพยางค์ เรียกว่า ดำหลายพยางค์ เช่น ตุ๊กตา อาหาร พยัดฆ์เป็นต้น คำจึง ประกอบด้วยเสียงและความหมายซึ่งมีจำนวนพยางค์เท่าไรก็ได้ ภาษาไทยประกอบด้วยเสียงและความหมาย ในการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และมีประสิทธิผลจำ เป็นต้องคำ นึงถึงการใช้เสียงในภาษาให้ถูกต้อง เพื่อสามารถสื่อ ความหมายได้ชัดเจน โดยอาศัยการเรียนรู้และนำ ไปใช้ผ่านทักษะการฟัง การพูด การเขียนในชีวิตประจำ วัน ๑๕


คำ ราชาศัพท์ บทที่ ๓ ราชาศัพท์ เป็นระเบียบของภาษาที่ต้องใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับระดับของบุคคล ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จึงมีการใช้ถ้อยคำ อย่างประณีตเป็นพิเศษสำ หรับพระประมุข และพระราชวงศ์ ทั้งนี้ยังมีชั้นของบุคคลที่ต้องใช้ถ้อยคำ ให้เหมาะสม คือ พระสงฆ์ และสุภาพชน ผู้ใช้จึงควรรู้จักสังเกต จดจำ และใช้ให้ถูกต้อง เพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมนี้ไว้ ๑๖


คำ ราชาศัพท์ คือ คำ สุภาพที่ใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่างๆ คำ ราชาศัพท์ เป็นการกำ หนดคำ และ ภาษาที่สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดีงามของไทย แม้คำ ราชาศัพท์จะมีโอกาสใช้ในชีวิตน้อย แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความ ละเอียดอ่อนและเป็นลักษณะพิเศษของภาษาไทย โดยเฉพาะการใช้กับบุคคลกลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้ ๑. พระมหากษัตริย์ ๒. พระบรมวงศานุวงศ์ ๓. พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ๔. ขุนนาง ข้าราชการ ๕. สุภาพชน วิธีการใช้ราชาศัพท์นั้นต้องคำ นึงถึงผู้ฟังเป็นสำ คัญ กล่าวคือ จะต้องใชคำ ให้เหมาะสมกับฐานะของผู้ฟังไม่ว่า ผู้พูดจะเป็นใครก็ตาม เว้นแต่พระภิกษุสงฆ์เท่านั้น ที่ต้องใช้คำ สุภาพสำ หรับตนเอง ด้วยในบทนี้จะนำ เสนอการใช้คำ ราชาศัพท์สำ หรับพระมหากษัตริย์ พระภิกษุสงฆ์ แลสุภาพชน ดังต่อไปนี้ คำ ราชาศัพท์ สำ หรับพระมหากษัตริย์เป็นคำ ที่ข้าราชบริพารใช้เมื่อกราบบังคมทูลหรือใช้เมื่อกล่าวถึง พระมหากษัตริย์ หรือพระบรมวงศานุวงศ์ ดำ ราชาศัพท์สำ หรับพระมหากษัตริย์ที่ควรศึกษาในระดับนี้ มีดังนี้ เมื่อจะใช้คำ นามเป็นคำ ราชาศัพท์ต้องเติมคำ ว่า "พระ" และ "พระราช" หน้าคำ นั้นๆเช่น พระชนมายุ พระราชดำ ริ พระราชทรัพย์ พระราชวัง ฯลฯ นอกจากนี้ มีคำ บางคำ ใช้กับพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวเท่านั้น คือ "พระบรม" และ "พระบรมราช" โดยใช้นำ หน้าคำ ดังกล่าว เช่น พระบรมราชชนก พระบรมราชชนนี พระบรม ราชโองการ พระบรมเดชานุภาพ (อำ นาจอันยิ่งใหญ่) พระบรมราชจักรีวงศ์ เป็นต้น การใช้คำ สรรพนามเพื่อกราบบังคมทูลพระกรุณา กราบบังคมทูล กราบทูล ทูล ด้วยวาจาจะต้องใช้ให้ถูก ต้องตามลำ ดับชั้น ดังประมวลไว้ในตารางในหน้าถัดไป ๑๗


หมายเหตุ พระบรมวงศ์ชั้นพระองค์เจ้า ได้แก่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พระอนุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้า ได้แก่ ๑. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ๒. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ๑๘


การใช้คำ ขึ้นต้นและคำ ลงท้าย เพื่อกราบบังคมทูลพระกรุณา กราบบังคมทูล กราบทูล ทูลด้วยวาจา คำ กริยาที่ต้องเปลี่ยนใช้ตามราชาศัพท์ หรือใช้คำ สุภาพต่อไปนี้ อาจสังเกตได้ในการพูดการอ่านข่าว ทางวิทยุ โทรทัศน์ หรืออาจอ่านได้จากหนังสือพิมพ์ เอกสารของทางราชการอยู่เสมอควรสังเกตวิธีใช้จากตัวอย่าง ต่อไปนี้ ๑. ใช้คำ "ทรง" นำ หน้าคำ นาม หรื่อคำ กริยาธรรมดา ๒. ใช้คำ "ทรงพระ" นำ หน้าคำ นามหรือคำ กริยาราชาศัพท์ ๓. คำ กริยาที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว ไม่ใช้ทรงนำ หน้า ๑๙


สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกเป็นประมุขของสงฆ์ จึงกำ หนดให้ใช้ราชาศัพท์กับสมเด็จ พระสังฆราช เทียบเท่าพระราชวงศ์ชั้นพระองค์เจ้า ส่วนพระภิกษุที่เป็นพระ-ราชวงศ์นั้นคงใช้ราชาศัพท์ตามลำ ดับ ชั้นแห่งพระราชวงศ์ ๒๐


๒๑


๓) หลีกเลี่ยงคำ ผวน คำ ผวน หรือคำ ที่มีความหมายสองแง่ คำ ที่ห้ามผวนตามตำ ราวจีวิภาคของพระยาอุ ปกิตศิลปสาร เช่น ที่ห้าที่หก แปดตัว ฯลฯ แต่ถ้าคำ ผวนแล้วความหมายไม่หยาบ จะถือว่าเป็นศิลปะการใช้ภาษา เช่นนักร้อง (น้องรัก) พักรบ (พบรัก) ฯลฯคำ ที่มีความหมายสองแง่นั้น แง่หนึ่งมีความหมายธรรมดาตรงตัว แต่อีก แง่หนึ่งอาจมีความหมายไปทางเพศ จึงถือเป็นคำ ไม่สุภาพไม่สมควรพูด ๔) หลีกเลี่ยงคำ สแลง คำ สแลงหรือคำ คะนอง เป็นคำ ที่มีใช้กันเฉพาะกลุ่ม เช่น วัยรุ่นนิยมพูดเป็นช่วง ระยะเวลาหนึ่ง แล้วผ่านไปก็มีคำ ใหม่ขึ้นมาอีก เช่น ดำ ว่า แอ๊บแบ๊ว แซวซ่าส์ ปิ้ง แจ๋ว สุดสุด ฯลฯ ดำ เหล่านี้ส่วน มากผู้ที่พูดมักจะมุ่งความสนุกมากกว่าอย่างอื่น เมื่อใดที่จำ เป็นต้องใช้ภาษาให้ถูกต้องตามมาตรฐานของคำ สุภาพ ผู้ ใช้ภาษาก็ย่อมมีดุลพินิจว่าควรใช้คำ อย่างไรจึงจะเหมาะสม ๕) หลีกเลี่ยงภาษาปาก แม้ว่าภาษาปากจะไม่ใช่คำ หยาบหรือดำ สแลง แต่อาจไม่เหมาะสำ หรับการใช้เป็น ภาษาทางการ จึงต้องเปลี่ยนให้สภาพขึ้นตามความเหมาะสม ดังคำ ต่อไปนี้ คำ ศัพท์สำ หรับบุคคลทั่วไป เรียกอีกอย่างว่า คำ สุภาพ เป็นคำ ที่ใช้ในการสื่อสารด้วยความสุภาพ มีลักษณะ หลีกเลี่ยง เปลี่ยนแปลงจากคำ ที่ถือว่าไม่สุภาพ หรือไม่เป็นทางการ ดังนี้ ๑) หลีกเลี่ยงคำ พูดเหยียดหยาม ดำ พูดเหยียดหยามผู้อื่นให้ได้รับความอับอาย เช่นคำ หยาบ คำ ด่า คำ เสียดสี คำ เหน็บแนมตำ หนิให้ผู้ฟังเจ็บใจ เป็นคำ ที่ไม่สมควรพูดเพราะไม่ใช่คำ สุภาพ ๒) หลีกเลี่ยงคำ หยาบ คำ ด่า คำ กระด้าง เป็นคำ ที่ไม่สมดวรพูด เช่น การเรียกผู้อื่นว่าอ้าย อี การใช้ สรรพนาม มึง กู การด่าว่าเปรียบเปรยให้ผู้อื่นต่ำ เสมือนสัตว์ เช่น ควาย หมาเหี้ย ฯลฯ ถ้าจะกล่าวถึงของเสียที่ขับ ถ่ายออกจากร่างกาย ก็ควรใช้คำ อื่นแทน เช่น ปัสสาวะ(แทนเยี่ยว) อุจจาระ (แทนขี้) ผายลม (แทนตด) ถ้าของ เสียนั้นเป็นของสัตว์ ตามตำ ราวจีวิภาคของพระยาอุปกิตศิลปสารแนะนำ ให้ใช้คำ ว่า "มูล" แทน "ขี้" เช่น มูลนก มูล หนู มูลค้างคาว มูลช้าง ฯลฯ ส่วนคำ กระด้างนั้นเป็นคำ พูดที่ห้วน ไม่มีหางเสียง และมีความหมายไปในเชิงกดผู้อื่นให้ต่ำ ลง เช่น ไล่ให้ ออกไป ก็พูดว่า ไสหัวไป หรือแสดงความดูหมิ่นซ้ำ เติม เช่น สมน้ำ หน้า การใช้คำราชาศัพท์ทั้งกับพระมหากษัตริย์ พระภิกษุสงฆ์ และการใช้คำสุภาพกับบุคคลสามัญ ชนทั่วไป เป็นการแสดงวัฒนธรรมทางภาษาอันดีงามของภาษาไทย ทั้งยังสะท้อนถึงความเคารพยกย่อง ในสถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้ที่ใช้คำราชาศัพท์ได้ถูกต้องเหมาะสมกับบุคคลและ สถานการณ์ นอกจากจะได้รับคำยกย่องว่าเป็นผู้รู้จักการใช้ภาษาได้ดีแล้วยังแสดงให้เห็นว่าบุคคลผู้นั้นมี มารยาทและวัฒนธรรมอันดีงามในการใช้ภาษา ๒๒


บทที่ ๔ การแต่งคำ ประพันธ์ประเภทกาพย์และโคลง บทร้อยกรอง เป็นคำ ประพันธ์ที่ถูกร้อยเรียงขึ้นโดยมีลักษณะบังคับในการแต่ง เรียกว่า "ฉันทลักษณ์" มีการกำ หนดจำ นวนคำ คำ เอก คำ โท สัมผัสตามลักษณะของ บทร้อยกรองประเภทต่างๆ ได้แก่ โคลง ฉันท์กาพย์ กลอน ร่าย การรู้จัก ลักษณะ ประเภทและฉันหลักษณ์จะช่วยให้แต่งบทร้อยกรองได้ถูกต้องและไพเราะ ๒๓


ลักษณะบังคับ ๙ ประการของบทร้อยกรอง ๑) พยางค์ คือ เสียงที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่งๆ จะมีความหมายหรือไม่มีก็ได้ การนับพยางค์ขึ้นอยู่กับ ลักษณะบังคับของร้อยกรองแต่ละชนิด เช่น ในการแต่งร้อยกรองประเภทฉันท์ถือว่าพยางค์คือ คำ แต่ในการแต่ง ร้อยกรองประเภทอื่น อาจนับรวม ๒ พยางค์เป็น ๑ คำ ได้ เช่น วจี ตลาดสนอง เป็นต้น ๒) คณะ คือ ข้อกำ หนดของร้อยกรองแต่ละชนิดว่าจะต้องมีจำ นวนคำ จำ นวนวรรค จำ นวนบาท จำ นวน บทเท่าใด เช่น กลอนแปด กำ หนดว่า ๑ บทมี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรค ๑ วรรคมี ๘ คำ เป็นต้น ๓) สัมผัส คือ ลักษณะบังคับให้ใช้คำ คล้องจองกัน มี ๒ ชนิด ดังนี้ ๓.๑ สัมผัสบังคับ หรือสัมผัสนอก คือ ตำ แหน่งบังคับการส่งสัมผัสกันระหว่างวรรคระหว่างบทของร้อย กรองทุกประเภท โดยกำ หนดใช้ดำ ที่ประสมด้วยสระ และมาตราสะกดเดียวกันในการรับส่งสัมผัส ดังบทประพันธ์ ๓.๒ สัมผัสใน คือสัมผัสภายในวรรค ซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ ไม่ได้กำ หนดให้เป็นสัมผัสบังคับ แต่หากมีจะ ช่วยทำ ให้บทร้อยกรองมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น สัมผัสที่เกิดภายในวรรคอาจเป็นสัมผัสสระ คือ คำ ที่ประสมด้วยสระ และมาตราตัวสะกดเดียวกัน หรืออาจเป็นสัมผัสอักษรคือ คำ ที่ใช้พยัญชนะต้นตัวเดียวกันหรือเสียงเดียวกัน โดยไม่ คำ นึงถึงสระและตัวสะกด เช่น ต--ตกต่ำ แตก ต้าน ต้อน ตื่น เต้น ดังบทประพันธ์ ๒๔


๕) คำ เอก คำ โท คือ คำ ที่บังคับใช้รูปวรรณยุกต์เอกและโท ในตำ แหน่งที่กำ หนดไว้ในบทร้อยกรองประเภท โคลงและร่าย ๑. คำ เอก คือ คำ หรือพยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์เอก เช่น ไม่ ใช่ ที่ ป่า นุ่ม ๒. คำ โท คือ คำ หรือพยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์โท เช่น ฟ้า ให้ น้ำ บ้าน ๓. คำ เอกโทษ คือ คำ โทที่เขียนโดยใช้รูปวรรณยุกต์เอก เช่น "ท่าโขลงโขลงข้างค่าม ตามโขลง" (ข้าม - ค่าม) ๔. คำ โทโทษ คือ คำ เอกที่เขียนโดยใช้รูปวรรณยุกต์โท เช่น "ใครติสิใครเส้อ ห่อนรู้สีสา" (เซ่อ - เส้อ) ๖) คำ เป็น คำ ตาย เป็นลักษณะบังคับที่ใช้ในการแต่งโคลง ร่าย และกลบท โดยเฉพาะโคลงสี่สุภาพใช้คำ ตาย แทนคำ เอกได้ ๖.๑) คำ เป็น มี ๓ ลักษณะ ดังนี้ ๑. คำ หรือพยางค์ที่ประสมสระเสียงยาวใน แม่ ก กา เช่น มา ดี สี ฟ้า ๒. คำ ที่มีมาตราตัวสะกด แม่กง กน กม เกย เกอว เช่น กางเกง ลนลาน จุ๋มจิ๋มวุ้ยว้ายแวววาว ๓. คำ ที่ประสมด้วยสระเสียงสั้น อำ ไอ ใอ เอา เช่น ดำ ขำ ไปไหน ใจใหญ่ ๖.๒) คำ ตาย มี ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑. คำ หรือพยางค์ที่ประสมสระเสียงสั้นใน แม่ ก กา เช่น เอะอะ เลอะเทอะ ๒. คำ ที่มีมาตราตัวสะกด แม่กก กด กบ เช่น ยึกยัก อึดอัด ซุบซิบ พบรัก ๖.๓) คำ ตาย มี ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑. คำ หรือพยางค์ที่ประสมสระเสียงสั้นใน แม่ ก กา เช่น เอะอะ เลอะเทอะ ๒. คำ ที่มีมาตราตัวสะกด แม่กก กด กบ เช่น ยึกยัก อึดอัด ซุบซิบ พบรัก ๗) เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวาที่กำ หนดใช้ในบทกลอน ซึ่ง ถือว่าเสียงวรรณยุกต์เป็นสิ่งจำ เป็นในการเขียนกลอนให้ไพเราะต้องรู้ว่าคำ ท้ายวรรคใดนิยมใช้หรือไม่นิยมใช้เสียง วรรณยุกต์ใด ๘) คำ นำ คือ คำ ขึ้นต้นสำ หรับร้อยกรองบางประเภท เช่น กลอนบทละคร กลอนสักวากลอนดอกสร้อย กลอนเสภา โดยทุกประเภทมีลักษณะบังคับเช่นเดียวกับกลอนสภาพ ดังแผนผัง กลอนบทละดร มีลักษณะบังดับเช่นเดียวกับกลอนสุภาพ วรรคหนึ่งมี ๖-๙ ดำ แต่นิยมใช้เพียง ๖-๗ คำ จึงจะเข้าจังหวะร้องและรำ โดยจะขึ้นต้นบทว่า เมื่อนั้น บัดนั้น เป็นต้น ๔) คำ ครุ คำ ลหุ คือ คำ ที่มีเสียงหนักและเสียงเบา บังดับใช้ในบทร้อยกรองประเภทฉันท์ ๔.๑) คำ ครุ มี ๓ ลักษณะ ดังนี้ ๑. คำ ที่ประสมด้วยสระเสี่ยงยาวในแม่ ก กา เช่น มาลี ศรีโสภา ๒. คำ ที่มีตัวสะกด เช่น น้อง รัก นักเรียน พากเพียร เขียน อ่าน ๓. คำ ที่ประสมด้วยสระอำ ใอ ไอ เอา เช่น น้ำ ใจ ไม่ เมา ๔.๒) คำ ลหุ มี ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑. คำ ที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา เช่น มะลิ เอะอะ ๒. คำ ที่ประสมด้วยสระอำ อาจเป็นได้ทั้งคำ ครุและลหุ ในกรณีคำ ที่ประสมด้วยสระอำ เป็น พยางค์หน้าของคำ ๒ พยางค์ ใช้เป็นคำ ลหุได้ เช่น ตำ บล ทำ นอง สำ แดง ๒๕


กลอนสักวา มีลักษณะบังคับคล้ายกลอนสุภาพ ต่างกันที่ต้องขึ้นต้นว่า สักวา และจบลงด้วยคำ ว่า เอย คณะของกลอนสักวาบทหนึ่งมี ๔ คำ กลอน หรือ ๘ วรรค กลอนดอกสร้อย บทหนึ่งมี ๘ วรรค วรรคละ ๗-๘ คำ วรรคแรกมี ๔ คำ โดยคำ ที่ ๑ และคำ ที่ ๓ เป็นคำ เดียวกัน ส่วนคำ ที่ ๒จะต้องเป็นคำ ว่า เอ๋ย และต้องจบลงด้วยคำ ว่า เอย เสมอ กลอนเสภา มีลักษณะบังคับเช่นเดียวกับกลอนสุภาพ ใช้คำ ขึ้นต้นว่า ครานั้น จะกล่าวถึง เป็นต้น ๙) คำ สร้อย คือ คำ ที่ใช้ลงท้ายวรรค ท้ายบาท เพื่อความไพเราะในการเอื้อนเสียง หรือเพิ่มข้อดวามให้ สมบูรณ์ ใช้เป็นคำ ถาม ใช้เพื่อให้ครบความ ส่วนมากจะใช้เฉพาะโคลงกับร่าย เช่นเอย แล แฮ นา เทอญ การแต่งคำ ประพันธ์ประเภทกาพย์ ลักษณะฉันทลักษณ์ของกาพย์ยานี ๑๑ ๑) คณะ ๑. กาพย์ยานี ๑๑ หนึ่งบทมี ๔ วรรค หรือ ๒ บาทบาทแรก เรียกว่า บาทเอก และบาทที่ ๒ เรียกว่า บาทโท ๒. บาทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคหน้ามี ๕ คำ วรรคหลังมี ๖ คำ ๒) เสียง คำ สุดท้ายของบท ห้ามใช้คำ ตาย และคำ ที่มีรูปวรรณยุกต์ ๓) สัมผัส กำ หนดสัมผัสในบท ๒ แห่ง และสัมผัสระหว่างบท ๑ แห่ง คือ ๑. คำ ท้ายของวรรคหน้าสัมผัสกับคำ ที่ ๑, ๒ หรือ ๓ ของวรรคหลังในบาทเอก ๒. คำ ท้ายของบาทเอก สัมผัสกับคำ ท้ายของวรรคหน้าในบาทโท ๓. คำ ท้ายของบทแรก สัมผัสกับคำ ท้ายของบาทเอกในบทต่อไป กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ ลักษณะฉันทลักษณ์ของกาพย์ฉบัง ๑๖ ๑) คณะ กาพย์ฉบัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๓ วรรค วรรคแรก ๖ คำ วรรคที่สอง ๔ คำ และวรรคท้าย ๖ คำ ๒) เสียง นิยมใช้เสียงสามัญและเสียงจัตวาเป็นคำ ส่งสัมผัสและคำ ท้ายวรรค ๓) สัมผัส สัมผัสมีระหว่างวรรค ๑ แห่ง และสัมผัสระหว่างบท ๑ แห่ง สัมผัสระหว่างวรรค คำ ท้ายวรรคแรกสัมผัสกับคำ ท้ายวรรคที่สอง สัมผัสระหว่างบท คำ ท้ายวรรคของบทแรก สัมผัสกับคำ ท้ายวรรคแรกของบทต่อไป กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ลักษณะฉันทลักษณ์ของกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ๑) คณะ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ บทหนึ่งมี ๗ วรรด วรรคละ ๔ ดำ รวม ๒๘ ดำ จึงเรียกว่ากาพย์ สุรางคนางค์ ๒๘ ๒) สัมผัส ๑. คำ ท้ายวรรคหน้าสัมผัสกับคำ ท้ายวรรคที่ ๒ ๒. คำ ท้ายวรรคที่ ๓ สัมผัสกับคำ ท้ายวรรคที่ ๕ และวรรคที่ ๖ ๓. สัมผัสระหว่างบท คำ ท้ายวรรคที่ ๗ ของบทแรก สัมผัสกับคำ ท้ายวรรคที่ ๓ ของบทต่อไป ๒๖


การแต่งคำ ประพันธ์ประเภทโคลง โคลงเป็นบทร้อยกรองเก่าแก่ของไทย มีปรากฏในลิลิตโองการแช่งน้ำ ซึ่งเป็นวรรณคดีเล่มแรกในสมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) แห่งกรุงศรีอยุธยา โคลงแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ โคลงสุภาพ โคลงดั้น โคลงกระทู้ และกลโคลง ประเภทของโคลงที่ควรศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มีดังนี้ บทร้อยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ เป็นคำ ประพันธ์ที่มีลักษณะบังคับคณะ สัมผัส และคำ เอก คำ โท ดังนี้ ๑) คณะ โคลงสี่สุภาพบทหนึ่งมี ๔ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคหน้า ๕ คำ วรรคหลัง ๒ คำ ยกเว้นบาทที่ ๔วรรคหลังมี ๔ คำ และบาทที่หนึ่ง บาทที่สามอาจมีคำ สร้อยหรือไม่มีก็ได้ ๒) สัมผัส สัมผัสนอกหรือสัมผัสบังคับ คือ คำ ท้ายในบาทแรกส่งสัมผัสไปยังคำ ที่ ๕ของบาทที่สองและสาม คำ ท้ายของบาทที่สองส่งสัมผัสไปยังคำ ที่ ๕ ของบาทที่สี่ สัมผัสในของร้อยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพนิยมใช้สัมผัส อักษรมากกว่าสัมผัสสระ ๓) คำ เอก คำ โท มีคำ เอก ๗ แห่ง คำ โท ๔ แห่ง ตามแผนผัง ดังนี้ โคลงสี่สุภาพ ๑) คณะ โคลงสามสุภาพบทหนึงมี ๑ บาท แบ่งเป็น ๔ วรรค วรรคที่ ๑, ๒, ๓ มีรรคละ ๕ คำ วรรค สุดท้ายมี ๔ คำ อาจมีคำ สร้อยได้ ๒ คำ ๒) คำ เอก คำ โท มีคำ เอก ๓ แห่ง คือ คำ ที่ ๔ วรรค ๒ คำ ที่ ๒ วรรค ๓ และคำ ที่ ๑ วรรคที่ ๔ มี คำ โท ๓ แห่ง คือ คำ สุดท้ายของวรรคที่ ๒ และ ๓ และคำ ที่ ๒ วรรคที่ ๔ ๓) สัมผัส คำ สุดท้ายของวรรคที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังคำ ที่ ๑ หรือที่ ๒ หรือที่ ๓ ของวรรคที่ ๒คำ สุดท้าย ของวรรคที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังคำ สุดท้ายของวรรคที่ ๓สัมผัสระหว่างบท คำ สุดท้ายของบทแรกส่งสัมผัสยังคำ ที่ ๑, ๒ หรือ ๓ ของบทต่อไป โคลงสามสุภาพ ๒๗


๑) คณะ โคลงสองสุภาพบทหนึ่งมี ๒ บาท แบ่งเป็น ๓ วรรค วรรคที่ ๑ และ ๒ มีวรรคละ ๕ คำ วรรคสุดท้ายมี ๔ คำ อาจมีคำ สร้อยได้ ๒ คำ ๒) คำ เอก คำ โท มีคำ เอก ๓ แห่ง คือ คำ ที่ ๔ วรรค ๑ คำ ที่ ๒ วรรค ๒ และคำ ที่ ๑วรรคที่ ๓ คำ โท ๓ แห่ง คือ คำ สุดท้ายของวรรคที่ ๑ และ ๒ และคำ ที่ ๒ วรรคที่ ๓ ๓) สัมผัส คำ สุดท้ายของวรรคที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังคำ สุดท้ายวรรคที่ ๒ สัมผัสระหว่างบทคำ สุดท้ายของบท แรกส่งสัมผัสไปยังคำ ที่ ๑, ๒ หรือ ๓ ของบทต่อไป โคลงสองสุภาพ การแต่งบทร้อยกรองมีแบบในการเลือกใช้คำ คณะ สัมผัส แตกต่างกันไปตามลักษณะ ฉันทลักษณ์ และมีธรรมเนียมนิยมในการแต่งบทร้อยกรองให้เหมาะสมกับงานเขียนซึ่งบทร้อยกรองไทยมี ความไพเราะในเรื่องรสคำและรสความ จึงทำให้มีคุณค่ในเชิงวรรณศิลป์และสังคม การแต่งบทร้อย กรองนอกจากจะทำให้มีความแตกฉานในเรื่องการใช้คำแล้วบทร้อยกรองที่แต่งจะเป็นเครื่องสะท้อน ความคิด และวัฒนธรรมของสังคมในยุคนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี ๒๘


การอ่านบทร้อยกรอง คนไทยมีนิสัยเจ้าบทเจ้ากลอนมาตั้งแต่โบราณ ถ้อยคำ สำ นวนที่ได้ยินได้ฟังอยู่เสมอจึง มักมีเสียงสัมผัสที่คล้องจองกัน เช่น ก่อร่างสร้างตัว ข้าวยากหมากแพง คดในข้องอใน กระดูก จองหองพองขน แม้แต่เพลงสำ หรับเด็กร้องเล่น เช่น รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าว เปลือก เลือกท้องใบลาน คดข้าวใส่จาน เป็นต้น ภาษาไทยเป็นภาษาดนตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ มีเสียงวรรณยุกต์ ๕ ระดับเสียง เมื่อนำ ถ้อยคำ มาเรียงร้อยเข้าด้วยกันแล้วจะก่อให้เกิดบทร้อยกรองหลายลักษณะ เช่น กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ร่าย นอกจากนั้น ยังมีการนำ บทร้อยกรองบางรูปแบบมา ประสมประสานกันแล้วเรียกว่า กาพย์ห่อโคลงบ้าง กาพย์เห่บ้าง ลิลิตบ้าง บทร้อยกรองที่ คนไทยได้สร้างสรรค์มาแต่โบราณนี้ล้วนงดงามด้วยวรรณศิลป์ทั้งสิ้น ดังนั้น การอ่านบทร้อยกรองให้มีความไพเราะ เกิดความซาบซึ้งและมีอารมณ์ร่วมนั้น ผู้อ่านต้องอ่านบทร้อยกรองทั้งอ่านออกเสียงเป็นทำ นองต่าง ๆ ตามลักษณะฉันทลักษ์อัน เป็นสิ่งกำ หนดทำ นองให้แตกต่างกันออกไป บทที่ ๕ รังสรรค์ทำ นองร้อยกรองหรรษา ๒๙


บทร้อยกรองแต่ละประเภทมีลักษณะแตกต่างกัน จึงมีวิธีการอ่านที่แตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับบทร้อยกรองประเภทนั้น ๆ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทการอ่านบทร้อยกรองได้ ดังนี้ ๑. โคลง เป็นคำ ประพันธ์ดั้งเดิมของไทย นิยมแต่งอย่างแพร่หลายอย่างน้อยราวต้นกรุงศรอยุธยา สำ หรับโคลงสี่ สุภาพถือเป็นโคลงที่ได้รับอิทธิพลจากโคลงที่แพร่หลายในล้านนาแทนโคลงดั้นที่ใช้อยู่แต่เดิม ด้วยฉันทลักษณ์ที่ไม่ซับซ้อน จึงถือเอาโคลงสี่สุภาพเป็นพื้นฐานสำ หรับการแต่งและอ่านคำ ประพันธ์ประเภทโคลงในปัจจุบัน ๒. ฉันท์ เป็นคำ ประพันธ์ประเภทหนึ่ง มีการบังคับเสียงหนักเสียงเบา (ครุ ลหุ) โดยอาจจำ แนกลักษณะการแต่ง ออกเป็น ๒ ช่วง ได้แก่ ฉันท์รุ่นเก่า เช่น สมุทรโฆษ อนิรุทธ์ ฉันท์ปัจจุบันอาจพิจารณาว่า เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ เรื่อยมา เริ่มมีการนำ คำ บาลี สันสกฤต มาใช้มากขึ้น คล้ายกับการบังคับครุ ลหุ ซึ่งลักษณะดังกล่าวมาสมบูรณ์ปรากฏ ชัดเจนในผลงานของชิต บุรทัต ๓. กาพย์ เป็นคำ ประพันธ์ประเภทหนึ่งของไทย ที่ินิยมแต่งมี ๓ ประเภท คือ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ในสมัยโบราณนิยมแต่งกาพย์ทั้ง ๓ ประเภทนี้สลับกัน ๔. กลอน เป็นคำ ประพันธ์ที่เกิดหลังสุด แต่งง่ายที่สุด และเป็นที่นิยมแพร่หลายมากที่สุด ด้วยกลอนจะมีจังหวะและ ทำ นองเฉพาะตัว คือ กลอน ๑ บท มี ๔ วรรค ได้แก่ วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง และวรรคส่ง การอ่านคำ กลอนจะ เน้นให้เห็นสัมผัสนอกที่ถูกต้องชัดเจนและถ้ามีสัมผัสในเพิ่มด้วยจะช่วยให้คำ กลอนมีความไพเราะยิ่งขึ้น ๕. ร่าย เป็นคำ ประพันธ์ที่เก่าแก่ที่สุดของไทย ข้อบังคับต่าง ๆ มีเพียงคำ สุดท้ายส่งสัมผัสไปยังวรรคถัดไป จะมีกี่ วรรคก็ได้ ร่ายสุภาพจะมีวรรคละ ๕ คำ ส่วนร่ายยาวเป็นร่ายที่ไม่มีกำ หนดจำ นวนคำ ในวรรคหนึ่ง ๆ แต่ละวรรคอาจมีคำ มากน้อยแตกต่างกัน ถ้าเป็นร่ายสุภาพจะจบด้วยโคลงสองสุภาพและโคลงสามสุภาพ หากเป็นร่ายดั้นจะจบด้วยโคลงสองดั้น หรือดคลงสามดั้น การกำ หนดจังหวะในการอ่านร่ายชนิดต่าง ๆ จึงไม่แน่นอน ทั้งนี้เพราะจำ นวนคำ คำ ประพันธ์ประเภท ร่าย ประกอบไปด้วย ร่ายสุภาพ ร่ายโบราณ ร่ายดั้น และร่ายยาว ลักษณะของบทร้อยกรองประเภทต่าง ๆ ๓๐


การอ่านออกเสียงธรรมดา เป็นการอ่านออกเสียงพูดธรรมดาเหมือนอ่านออกเสียง ร้อยแก้ว แต่ต้องเว้นจังหวะวรรคตอนให้ถูกต้องตามลักษณะ บังคับของคำ ประพันธ์แต่ละชนิด มีการเน้นคำ รับสัมผัสเพื่อ เพิ่มความไพเราะ รวมทั้งสามารถอ่านใส่อารมณ์ให้เหมาะสม สอดคล้องกับเนื้อหาที่อ่านได้ บทร้อยกรองหรือกวีนิพนธ์ มีวิธีการอ่านได้ ๒ ลักษณะ กล่าวคือ อ่านออกเสียงธรรมดา โดยอ่านออกเสียงเช่นเดียว กับการอ่านร้อยแก้ว และการอ่านทำ นองเสนาะ คืออ่านเป็นทำ นองเพื่อความไพเราะ การอ่านบทร้อยกรอง การอ่านออกเสียงทำ นองเสนาะ เป็นการอ่านออกเสียงที่มีสำ เนียงสูง ต่ำ หนัก เบา ยาว สั้น ทอดเสียง เื้อนเสียง เน้นจังหวะ เน้นสัมผัสในชัดเจนไพเราะ และทำ ให้เกิดอารมณ์คล้อยตาม ดังนั้น ผู้อ่านต้องมีสำ เนียง น้ำ เสียงที่เหมาะสมกับลักษณะเนื้อความที่อ่าน เช่น บทเล้าโลม เกี้ยวพาราสี ตัดพ้อ โกรธเกรี้ยว คร่ำ ครวญ โศกเศร้า ซึ่งเป็น สิ่งที่ต้องฝึกโดยเฉพาะ ๓๑


๑. มีความรู้เรื่องฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองที่จะอ่าน เพื่อให้สามารถอ่านได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ๒. มีความช่างสังเกต รอบคอบ ปฏิภาณไหวพริบดี ๓. มีทักษะและสมาธิในการอ่าน ไม่อ่านผิด อ่านตกหล่น หรือต่อเติม ทำ ให้เสียความไพเราะ ๔. มีความเพียรพยายาม มีความอดทนในการฝึกฝนการอ่านอย่างสม่ำ เสมอ ๕. มีความรักความสนใจการอ่านอย่างแท้จริง อันจะนำ ไปสู่ความแตกฉานในการอ่าน ๖. มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออก ๗. มีสุขภาพที่ดี ๘. มีน้ำ เสียงแจ่มใส อวัยวะในการออกเสียงไม่ผิดปกติ ๑.คุณสมบัติของผู้อ่านที่ดี ๓๒


๑. ศึกษาคำ ประพันธ์ชนิดต่าง ๆ ให้เข้าใจถ่องแท้ จดจำ รูปแบบ และข้อบังคับให้แม่นยำ ถ้าจำ เป็นสามารถเขียน คณะ จำ นวนครุ ลหุ กำ กับลงในบทร้อยกรองได้ ๒. อ่านบทร้อยกรองเป็นสำ เนียงการอ่านร้อยแก้วธรรมดา อ่านออกเสียงดังชัดเจนให้ได้จังหวะ หรือช่วงเสียงตาม รูปแบบร้อยกรองชนิดนั้น ๆ ออกเสียงคำ ต่าง ๆ ให้ถูกต้องชัดเจนโดยเฉพาะการอ่านตัว ร ล ตัวควบกล้ำ และออกเสียง ให้ถูกต้องตามระดับเสียงวรรณยุกต์ ๓. ฝึกอ่านทอดเสียงโดยอ่านผ่อนเสียงและผ่อนจังหวะให้ช้าลง เป็ฯขั้นตอนที่ต่อเนื่องจากการอ่านคำ แต่ละคำ ให้ชัดเจน โดยให้ผู้ฝึกอ่านลากเสียงให้ยาวออกไปเล็กน้อยแล้วจึงอ่านทอดเสียงนั้น ๔. อ่านใส่ทำ นองเสนาะ ซึ่งมีลักษณะสำ คัญ คือการแบ่งช่วงเสียงของคำ ในวรรคในบาท ในบท ได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับลักษณะวรรณศิลป์ที่มีอยู่ในบทร้อยกรองนั้น ๆ การใส่ทำ นองเสนาะนี้ให้เลือกแบบแผนที่นิยมกันมาก ผู้อ่านต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการอ่านโดยคำ นึงถึงความไพเราะเป็นสำ คัญ ๕. ฝึกอ่านบทร้อยกรองชนิดต่าง ๆ เพื่อให้รู้จักจังหวะ วรรคตอน ท่วงทำ นอง ลีลา จนเกิดความแม่นยำ ใน ทำ นองแล้ว จึงเพิ่มศิลปะในการอ่านที่จะทำ ให้การอ่านทำ นองเสนาะเกิดความไพเราะยิ่งขึ้น โดยมีวิธีการ ดังนี้ - การทอดเสียง คือ วิธีการอ่านโดยผ่อนเสียง ผ่อนจังหวะให้ช้าลง - การเอื้อนเสียง คือ การลากเสียงช้า ๆ เพื่อให้เข้าจังหวะและไว้หางเสียงเพื่อความไพเราะ - การครั่นเสียง คือ การทำ เสียงให้สะดุดสะเทือน เพื่อความไพเราะเหมาะสมกับบทร้อยกรองบางตอน - การครวญเสียง คือ การสอดแทรกเสียงเอื้อน หรือสำ เนียงคร่ำ ครวญรำ พัน ใช้ได้ทั้งกรณีที่ต้องการ ขอร้อง วิงวอน หรือสำ หรับอารมณ์โศก - การหลบเสียง คือ การเปลี่ยนเสียง หรือหักเสียงหลบจากสูงลงไปต่ำ หรือจากเสียงต่ำ ขึ้นไปสูง เป็นการ หลบจากการออกเสียงที่เกินความสามารถ - การกระแทกเสียง คือ การลงเสียงในแต่ละคำ ให้หนักเป็นพิเศษ มักใช้บรรยายความโกรธ ความเข้มแข็ง หรือตอนที่ต้องการความศักดิ์สิทธิ์ ๖. ฝึกใส่อารมณ์ให้เหมาะสมสอคล้องกับเนื้อความที่อ่าน ทำ ได้โดยการออกเสียงหนักเบา อ่อนโยน ช้าเร็ว กระแทกกระทั้น ทอดเสียงเนิบช้า ละมุนละไม เสียงสูงต่ำ โดยเปลี่ยนแปลงเสียงไปตามอารมณ์ความรู้สึกของบทร้อย กรองแต่ละวรรคแต่ละตอน ๒.หลักเกณฑ์ในการอ่าน ๓๓


การอ่านทำ นองเสนาะชองคำ ประพันธ์แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันด้วยทำ นอง ลีลาการทอดเสียง และความ สามารถของผู้อ่าน ส่วนจังหวะจะคล้ายคลึงกัน ส่วนมากจะอ่านตรงตามทำ นอง ลีลาที่ได้รับการสั่งสอนกันมา การอ่าน จะไพเราะหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเน้ำ เสียงและความสามารถของผู้อ่าน โดยมีเครื่องหมายวรรคตอนในการอ่าน ดังนี้ เครื่องหมาย / หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะสั้น ๆ เครื่องหมาย // หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะที่ยาวกว่าเครื่องหมาย / ๓. วิธีการอ่าน ๓.๑) การ่อานกลอนสุภาพ ๑. การแบ่งช่วงเสียง หรือจังหวะของกลอนสุภาพ โดยมีลีลาการอ่านดังนี้ หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) นักเลงกลอนในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้กล่าวถึงลีลาของ กลอนสุภาพไว้ ดังนี้ กลอนสุภาพ/แปดคำ /ประจำ บ่อน// อ่อนสามตอน/ทุกวรรค/ประจักษ์แถลง// ตอนต้นสาม/ตอนสอง/สองแสดง// ตอนสามแจ้ง/สามคำ /ครบจำ นวน// กำ หนดบท/ระยะ/กะสัมผัส// ให้ฟาดฟัด/ชัดความ/ตามกระสวน// วางจังหวะ/กะทำ นอง/ต้องกระบวน// จึงจะชวน/ฟังเสนาะ/เพราะจับใจ// (ประชุมลำ นำ : หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก)) เนื่องจากกลอนสุภาพวรรคหนึ่งอาจมีจำ นวนคำ ๖-๙ คำ มิได้มี ๘ คำ เสมอไป ดังนั้น ถ้าจะ อ่าน "ตอนต้นสาม ตอนสอง ต้องแสดง ตอนสามแจ้ง สามคำ ครบจำ นวน" ก็คงไม่ได้ "ต้องกำ หนดบท ระยะ กะสัมผัส" และ "วางจังหวะ กะทำ นอง ต้องกระบวน" "จึงจะชวน ฟังเสนาะ เพราะจับใจ" ๓๔


๒. การเอื้อนเสียงทอดเสียง การอ่านทำ นองเสนาะ นิยมอ่านเสียงสูงสองวรรค ในวรรคที่หนึ่ง และสอง ลดเสียงต่ำ ลงในวรรคที่สาม และลดเสียงต่ำ ลงไปอีกจนเป็นเสียงพื้นระดับต่ำ ในต้นวรรคที่สี่ การทอดเสียง นิยมทอดเสียงระหว่างวรรคไปยังคำ รับสัมผัสซึ่งเป็นตำ แหน่งที่แบ่งช่วงเสียงด้วย นอกจากนี้ การออกเสียงสูงต่ำ สั้นยาว หนักเบา และการทอดเสียง ต้องพิจารณาลีลาและ เนื้อความของบทร้อยกรองประกอบด้วย ข้อความคำ นึงในการอ่านกลอน ๑. อ่านให้ถูกทำ นองของกลอนประเภทนั้น ๆ ๒. อ่านออกเสียงคำ ให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ออกเสียงตัว ร ล ตัวควบคล้ำ และเสียง วรรณยุกต์ให้ถูกต้อง ๓. อ่านคำ ให้เอื้อสัมผัสในเพื่อเพิ่มความไพเราะ ๔. ต้องใส่อารมณ์ให้เหมาะสมกับเนื้อความ หากผู้อ่านเข้าใจเนื้อความทั้งหมด หรือเนื้อ ความในตอนที่อ่าน และมีลีลาอารมณ์นั้น เช่น เนื้อความบรรยายธรรมชาติควรอ่านด้วยเสียงเนิบนุ่ม กังวาน แจ่มใส ชัดเจน ความดังของเสียงประมาณ ๓ ใน ๔ ของเสียงตน ส่วนบทตื้นตันต้องอาศัยด้วย ลีลาช้าบ้าง เร็ซบ้าง ดังบ้าง ค่อยบ้าง เพื่อให้ตื่นเต้น เร้าใจตามความหมายของเนื้อความ ทั้งนี้เพื่อให้ กระทบอารมณ์ของผู้ฟัง ๕. อ่านให้ถูกช่วงเสียง หรือจังหวะของกลอน และต้องคำ นึงถึงความเหมาะสม ความถูกต้องตามความหมายและเนื้อความของบทกลอนที่อ่านด้วย มิฉะนั้นอาจสื่อความหมายผิดพลาดได้ ๓. วิธีการอ่าน ๓๕


๓.๒) การอ่านกาพย์ ๑. กาพย์ยานี ๑๑ (๑) การแบ่งช่วงเสียง หรือจังหวะของกาพย์ยานี ๑๑ วรรคหน้า ๕ คำ อ่านแบ่งเสียงสองช่วง เป็น ๐๐/๐๐๐ วรรคหลัง ๖ คำ อ่านแบ่งเสียงสองช่วง เป็น ๐๐๐/๐๐๐ ๓. วิธีการอ่าน พระเสด็จ/โดยแดนชล// ทรงเรือต้น/งามเฉิดฉาย// กิ่งแก้ว/แพร้วพรรณราย// พายอ่อนหยับ/จับงามงอน// นาวา/แน่นเป็นขนัด// ล้วนรูปสัตว์/แสนยากร// เรือริ้ว/ทิวธงสลอน// สาครลั่น/ครั่นครื้นฟอง// (กาพย์เห่เรือ : เจ้าฟเาธรรมธิเบศร) (๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง การอ่านนิยมอ่านทอดเสียงตามตำ แหน่งที่ส่ง รับสัมผัสและ เอื้อนระหว่างท้ายวรรค ๓๖


(๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง การอ่านนิยมอ่านทอดเสียงตามตำ แหน่งที่ส่ง รับสัมผัสและ เอื้อนระหว่างท้ายวรรค ๓. กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ (๑) การแบ่งช่วงเสียง หรือจังหวะของกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ มี ๗ วรรด วรรคละ ๔ คำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น ๐๐/๐๐ (๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง นิยมเอื้อนเสียงคำ ท้ายวรรค โดยเฉพาะท้ายวรรคที่ ๖ รวมถึงคำ รับส่งสัมผัสและเมื่อจะขึ้นบทใหม่ ๒. กาพย์ฉบัง ๑๖ (๑) การแบ่งช่วงเสียง หรือจังหวะของกาพย์ฉบัง ๑๖ วรรคที่ ๑ และ ๓ มีวรรคละ ๖ คำ อ่านแบ่งเสียง ๓ ช่วง เป็น ๐๐/๐๐ วรรคที่ ๒ มี ๔ คำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น ๐๐/๐๐ ๓. วิธีการอ่าน กลางไพร/ไก่ขัน/บรรเลง// ฟังเสียง/เพียงเพลง// ชอเจ้ง/จำ เรียง/เวียงวัง// ยูงทอง/ร้องกะโต้ง/โห่งดัง/ เพียงฆ้อง/กลองระฆัง// แตรสังข์/กังสดาล/ขานเสียง// (กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่)ภู่ วันนั้น/จันทร// มีดารากร// เป็นบริวาร// เห็นสิ้น/ดินฟ้า// ในป่า/ท่าธาร// มาลี/คลี่บาน// ใบก้าน/อรชร// (กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่) ๓๗


๑. อ่านให้ถูกต้องตามอักขรวิธี เช่น ㆍ การอ่านคำ ที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นและสระเสียงยาว อย่าอ่าน ㆍ การอ่านพยัญชนะบางตัว เช่น ฤ ฑ ร ล และคำ ควบกล้ำ ควรศึกษาให้ดีว่าอ่านออกเสียง อย่างไร ทั้งต้องพิจารณาเรื่องการอ่านเอื้อสัมผัสและรับสัมผัส ㆍ การอ่านให้ถูกต้องตามเสียงวรรณยุกต์ เช่น เมื่อไร ไม่อ่านเป็น เมื่อไหร่ ๒. อ่านให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ เพราะจังหวะทำ นองของกาพย์แต่ละประเภทแตกต่างกัน จึงควร ศึกษาให้เข้าใจเพื่ออ่านได้อย่างถูกต้อง ๓. ใช้น้ำ เสียงในการอ่านให้สอดคล้องกับคำ และเนื้อความ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกคล้อยตาม และเกิดจินตภาพ เช่น เนื้อความบรรยายธรรมชาติ ควรอ่านด้วยเสียงนุ่มกังวาน แจ่มใส ชัดเจน เนื้อความตื่นเต้น ควรอ่านด้วยลีลาช้าบ้าง เร็วบ้าง ดังบ้าง ค่อยบ้างเพื่อให้ตื่นเต้น เป็นต้น ㆍ ใช้เสียงในการอ่านอย่างมีศิลปะ เช่น ㆍ การเอื้อนเสียง ทั้งเสียงคำ เป็นและเสียงคำ ตาย ควรลากเสียงให้เข้าจังหวะและไว้หางเสียงให้ ไพเราะ ㆍ การทอดเสียง เพื่อให้เกิดความไพเราะ หรือเพื่อให้ทราบว่าบทที่อ่านกำ ลังจะจบ ควรฝึกออก เสียงให้แนบเนียน ㆍ การรวบคำ ควรฝึกให้ลงจังหวะได้พอดี ㆍ การเชื่อมเสียง ในกรณีที่บทอ่านมีคำ ยัติภังค์ ควรฝึกการอ่านออกเสียงต่อเนื่องกัน เพื่อผู้ฟังจะ ได้ทราบว่าคำ ที่อ่านคือคำ ว่าอะไร ข้อคำ นึงในการอ่านกาพย์ ๓๘


๓.๓ การอ่านโคลงสี่สุภาพ ๑. การแบ่งช่วงเสียง หรือจังหวะของโคลงสี่สุภาพ วรรดหน้า ๕ คำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น ๐๐/๐๐๐ หรือ ๐๐๐/๐๐ วรรคหลัง ๒ คำ อ่าน ๑ ช่วง ถ้ามีคำ สร้อยอ่านเพิ่มอีก ๑ ช่วง เป็น ๒ ช่วง วรรคหลังบาทที่ ๔ มี ๔ คำ อ่านแบ่งเสียง 6 ช่วง เป็น ๐๐/๐๐ ๓. วิธีการอ่าน เสียงฦๅ/เสียงเล่าอ้าง// อันใด/พี่เอย// บาทที่ ๑ เสียงย่อม/ยอยศใคร/ ทั่วหล้า/ บาทที่ ๒ สองเขือ/พี่หลับใหล// ลืมตื่น/ฤๅพี่/ บาทที่ ๓ สองพี่/คิดเองอ้า/ อย่าได้/ถามเผือ// บาทที่ ๔ (ลิลิตพระลอ : ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง) ๒. การเอื้อนเสียงทอดเสียง นิยมอ่านเอื้อนเสียงท้ายวรรคแรกของแต่ละบาทและในบทที่ ๒ อาจเอื้อนเสียงได้ถึงคำ ที่ ๑ คำ ที่ - ของวรรคที่ ๒ และบาทที่ ๔ ระหว่างคำ ที่ ๒ กับคำ ที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ และทอดเสียงตามตำ แหน่งรับสัมผัส ๓๙


๑. อ่านให้ถูกต้องตามข้อบังดับของคำ เอกและดำ โท โคลงสี่สุภาพมีคำ เอก ๓ แห่ง คำ โท ๔ แห่ง คำ เอกนั้นสามารถใช้คำ ตายแทนได้ เวลาอ่านผู้อ่านต้องคำ นึงถึงตำ แหน่งของคำ เอกและคำ โทแล้วตรวจ สอบว่าคำ ในตำ แหน่งนั้นควรอ่านอย่างไรจึงจะถูกฉันทลักษณ์ เช่น นกแรงบินได้เพื่อ เวหา หมู่จระเข้เต่าปลา พึ่งน้ำ เข็ญใจพึ่งราชา จอมราช ลูกอ่อนอ้อนกลืนกล้ำ เพื่อน้ำ นมแรง (โคลงโลกนิติ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดซาดิศร) ๒. อ่านให้ถูกต้องตามลักษณะของการใช้คำ ยัติภังค์ มีโคลงหลายบทที่ใช้คำ ยัติภังค์ ทั้งที่ปรากฎและ ไม่ปรากฎเครื่องหมาย ผู้อ่านจึงต้องพิจารณาคำ ที่ใช้ในโคลงให้เข้าใจหากพบคำ เดียวกันเขียนแยกวรรคกัน จะต้องอ่านดำ ที่แยกนั้นให้ผู้ฟังทราบว่าเป็นคำ ใดแน่ เช่น ลำ พูดูหิ่งห้อย พรอยพราย เหมือนเม็ดเพชรรัตน์ราย รอบก้อย วับวับจับเนตรสาย- สวาทสบ- เนตรเอย วับเช่นเห็นหิ่งห้อย หับหม้านนานเห็น (โคลงนิราศสุพรรณ : สุนทรภู่) บาทที่ ๓ มีคำ ยัติภังค์ ๒ คำ คือ "สายสวาท" และ "สบเนตริ" ดังนั้น จังหวะที่ตกหลังคำ ว่า "สาย" และ ดำ ว่า "สบ" จึงทอดเสียงได้น้อยที่สุด เพราะต้องอ่านคำ ถัดไปให้ผู้ฟังทราบว่าคำ คู่นี้คืออะไร ๓. ใช้น้ำ เสียงในการอ่านให้เหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อความ เพื่อดึงดูดให้ผู้ฟังคล้อยตามบทประพันธ์ ทั้งยังทำ ให้ผู้ฟังเกิดภาพพจน์และอารมณ์ร่วมได้ง่าย ดังเช่น ㆍ การอ่านบทรัก บทนิราศ วรปรับเสียงให้นุ่มนวลและเบากว่าเสียงปกติ ㆍ การอ่านบทเศร้า ควรครั่นเสียง ครวญเสียง อ่านช้า และเนิบกว่าปกติ ㆍ การอ่านบทตลกขบขัน ควรใช้เสียงให้มีชีวิตชีวา เน้นบางคำ หรือเน้นความสำ คัญให้เด่นชัด ㆍการอ่านบทกล่าวเกินจริง ควรใช้เสียงปกติ เน้นคำ ให้ความหมายเกินจริง ๔. เมื่อจะจบตอนที่อ่านต้องชะลอจังหวะให้ช้าลงกว่าเดิม แล้วทอดเสียงยาวกว่าทุกครั้งตรงคำ รอง สุดท้ายและดำ สุดท้าย เพื่อให้ผู้ฟังทราบว่ากำ ลังจะสิ้นกระแสความที่อ่าน ข้อคำ นึงในการอ่าน โคลงสี่สุภาพ ๔๐


(๒) การแบ่งช่วงเสียงหรือจังหวะ วรรคหน้า ๕ ดำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น 00/000 วรรคหลัง ๖ คำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น 000/000 บงเนื้อ/ก็เนื้อเต้น// พิศเส้น/สรีร์รัว// ทั่วร่าง/และทั้งตัว// ก็ระริก/ระริวไหว// แลหลัง/ละลามโล// หิตโอ้/เลอะหลั่งไป// เพ่งผาด/อนาถใจ// ระกะร่อย/เพราะรอยหวาย// (สามัคคีเภทคำ ฉันท์ : ชิต บุรทัต) (๓) การเอื้อนเสียงทอดเสียง นิยมเอื้อนที่ ๒ คำ ท้ายวรรคที่ ๒ ของบาทที่ ๑ และท้าย วรรคที่ ๑ ของบาทที่ ๒ แต่ทั้งนี้ต้องดูความเหมาะสมของเสียงของคำ ในแต่ละวรรคด้วย ๓.๓ การอ่านฉันท์ ๑. อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ (๑) แผนผังอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ๓. วิธีการอ่าน ๔๑


(๒) การแบ่งช่วงเสียงหรือจังหวะ วรรคหน้ามี ๘ อ่านแบ่งเสียง ๓ ช่วง เป็น ๐๐/๐๐/๐๐๐๐ วรรคหลังมี ๖ คำ อ่านแบ่งเสียง ๒ ช่วง เป็น ๐๐๐/๐๐๐ เรืองรอง/พระมน/ทิรพิจิตร// ก่องแก้ว/และกาญ/จนระคน// กลพิศ/พิมานบน// ช่อฟ้า/ก็เฟ้อย/กลจะฟัด// รุจิเรข/อลงกรณ์// ดลฟาก/ทิฆัมพริ// บราลี/พิไล/พิศบวร// นภศล/สล้างลอย// (อิลราชคำ ฉันท์ : ผัน สาลักษณ์) (๓) การเอื้อนเสียงทอดเสียง ให้ทอดเสียงไปยังคำ รับสัมผัสตามตำ แหน่งนิยมเอื้อนเสียงที่ท้าย วรรคที่ ๒ ของบาทโท และระหว่างดำ ที่ ๕ คำ ที่ ๖ ของวรรคที่ ๒ บาทที่ ๑ และบาทที่ ๒ ๒. วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ (๑) แผนผังวสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ๓. วิธีการอ่าน ๔๒


๑. ต้องศึกษาลักษณะของฉันทลักษณ์ให้เข้าใจ ต้องรู้คำ ครุ คำ ลหุ และคณะของฉันท์แต่ละประเภท ๒. การแบ่งจังหวะในการอ่านฉันท์ต้องแม่นยำ ถูกต้อง หากคำ ใดมีเครื่องหมายยัติภังค์คั่น ต้องอ่าน คำ เต็มก่อนแล้วจึงอ่านตามคณะฉันท์ สูงลิ่วละลานนั- ยนพ้นประมาณหมาย สูง-ลิ่ว/ละ-ลาน-นัย/ ยะ-นะ-พ้น/ประ-มาน-หมาย// ๓. คำ ที่รับสัมผัสกันต้องอ่านเน้นเสียงให้ชัดกว่าปกติ ถ้าเป็นสัมผัสนอกต้องทอดเสียงให้มีจังหวะยาว กว่าปกติ ดังตัวอย่างที่อ่านเน้นเสียงคำ ว่า กุด สุด ดังนี้ ข้าแต่พระจอมจุฬมกุฎ บริสุทธิกำ จาย ข้า-แต่/พระ-จอม/จุ-ละ-มะ-กุด// บอ-ริ-สุด/ทิ-กำ -จาย/ ๔. ไม่อ่านเอื้อนเสียงที่คำ ลหุ เพราะมีเสียงเบาและสั้น ๕. การใส่ทำ นอง ต้องเอื้อนทำ นองให้ถูกต้องตามประเภทของฉันท์แต่ละชนิด ๖. การใส่อารมณ์ ต้องฝึกฝนการถ่ายทอดอารมณ์และน้ำ เสียงให้เหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง โดยพยายามไว้จังหวะในบทและบาทของฉันท์ จึงจะทำ ให้การอ่านฉันท์ไพเราะน่าฟัง ๗. การอ่านตอนจบของบทต้องเอื้อนเสียงและทอดจังหวะให้ช้าลงจนกระทั่งจบ ข้อคำ นึงในการอ่านฉันท์ ๔๓


๓.๔ การอ่านร่าย ๑. ร่ายยาว (๑) การแบ่งช่วงเสียงหรือจังหวะของร่ายยาว ร่ายยาวในแต่ละวรรคมักมีคำ เกิน ๕ คำ ผู้อ่านควรแบ่งช่วงเสียงตามกลุ่มคำ ที่จบความหนึ่ง หรืออ่านติดต่อกันให้จบวรรค เน้นเสียงคำ ที่รับสัมผัสเพื่อให้ ได้รับรสจากเสียงสัมผัส ราชา สญชโย/ปางเมื่อพระทูลกระหม่อมจอมนราธิบดีศรีสญชัย/ได้ฟังพระโอรสทูลร่ำ พิไร/ พระทัยเธอเร่าร้อนทีประหนึ่งว่าจะผ่อนให้/แล้วจึ่งผินพระพักตร์มาตรัสปราศรัย/กับพระสุณิสาศรีสะใภ้ว่า/ มัทรีเอ่ย/พาพ่อชาลีมาไย/จะไปด้วยผัวหรือพระลูกรัก/อนิจจานิจจาเอ่ย/ไม่ควรเลยจะประดักประเดิด/ดูเอาเถิด ไม่เกรงกลัว/จ้าโกรธพ่อหรือว่าขับผัวจากบุรี/มัทรีจะไปด้วยผัวก็เป็นได้/พระลูกเอ่ย/อย่าไปเลยฟังพ่อว่า/ (มหาเวสสันตรชาดก ทานกัณฑ์ : สำ นักวัดถนน) (๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง ส่วนมากนิยมเอื้อนท้ายวรรคเมื่อจบความหนึ่งและเอื้อนที่กลาง วรรคสุดท้ายซึ่งเป็นวรรดจบร่าย ๒. ร่ายสุภาพ (๑) การแบ่งช่วงเสียงหรือจังหวะ วรรคหนึ่งมี ๕ คำ แบ่งช่วงเสียง ๒ ช่วงเป็น 000/00 ในบางแห่งอาจแบ่ง เป็น 00/000 เพื่อไม่ให้คำ ฉีก ศรีสิทธิ์/พิศาลภพ/ เลอหล้าลบ/ล่มสวรรค์/ จรรโลงโลก/ กว่ากว้าง/แผนแผ่นผ้าง/เมืองเมรุ/ ศรีอยุธเยนทร์/แย้มฟ้า/ แจกแสงจ้า/เจิดจันทร์/ เพียงรพิพรรณ/ผ่องด้าว/ ขุนหาญห้าว/แหนบาท/ สระทุกข์ราษฎร์/รอนเสี้ยน/ ส่ายเติกเหลี้ยน/ล่งหล้า/ ราญราบหน้า/เภริน/ เข็ญข่าวยิน/ยอบตัว/ ควบค้อมหัว/ไหว้ละล้าว/ ทุกไทน้าว/มาลย์น้อม/ ขอออกอ้อม/มาอ่อน/ ผ่อนแผ่นดิน/ให้ผาย/ ขยาย/แผ่นฟ้าให้แผ้ว/ เลี้ยงทแกล้ว/ให้กล้า/ พระยศไท้/เทิดฟ้า/ เฟืองฟุ้ง/ทศธรรม// ท่านแฮ (นิราศนรินทร์ : นรินทรธิเบศร์) (๒) การเอื้อนเสียงทอดเสียง การอ่านร่ายเมื่ออ่านถึงดำ รับสัมผัส ผู้อ่านต้องเน้นเสียง หรือทอด เสียงให้เหมาะกับเนื้อความ และต้องทอดเสียงท้ายวรรคทุกวรรด เมื่ออ่านถึงตอนจบซึ่งจบด้วยโคลงสอง ให้เอื้อนเสียงท้ายวรรคให้ยาวนานกว่าทอดเสียงท้ายวรรคอื่นๆ เพื่อให้ผู้ฟังทราบว่าเรื่องที่ฟังอยู่กำ ลังจะจบ ๓. วิธีการอ่าน ๔๔


๑. การอ่านร่ายทุกชนิดจะมีทำ นองเหมือนกัน คือ ทำ นองสูงอ่านด้วยเสียงระดับเดียวกัน การลง จังหวะอยู่ที่ท้ายวรรดทุกวรรค ส่วนจะอ่านด้วยลีลาช้าเร็วเพียงใดขึ้นอยู่กับอารมณ์ที่ปรากฏตามเนื้อความ แต่เมื่ออ่านพบคำ ที่มีเสียงสูงจะนิยมอ่านหลบเสียงลงต่ำ ให้อยู่ในระดับเสียงอ่านปกติและต้องทอดเสียงท้าย วรรคทุกวรรค ๒. ร่ายส่วนใหญ่จะมีวรรคละ ๕ ดำ ซึ่งไม่มีปัญหาในการอ่านให้จบวรรคภายใน ๑ ช่วงลมหายใจ ยกเว้นร่ายยาว ซึ่งแต่ละวรรดมักมีคำ เกินกว่า ๕ คำ หรือเกินกว่าช่วงลมหายใจ ผู้อ่านจะต้องใช้ วิจารณญาณตัดสินว่าควรจะหยุดผ่อนลมหายใจช่วงใด ต้องฝึกฝนการกักลมหายใจ เพื่ออ่านให้จบวรรค ๓. การใส่อารมณ์ในการอ่านร่าย ผู้อ่านจะต้องพิจารณาลักษณะเนื้อความว่าเป็นประเภทใด เพื่อให้ ใช้น้ำ เสียงในการอ่านได้เหมาะสมสัมพันธ์กับอารมณ์และเนื้อความ ทำ ให้กระทบใจผู้อ่าน เช่น ㆍ เนื้อความแสดงอารมณ์เศร้า น้ำ เสียงควรเบาลง สั่นเครือ จังหวะการอ่านช้าลงกว่าปกติ ㆍ เนื้อความแสดงอารมณ์โกรธ น้ำ เสียงควรหนักแน่น เนันเสียงดังกว่าเดิม กระชับ สั้น ห้วน ㆍเนื้อความบรรยายการรบการต่อสู้ น้ำ เสียงดัง หนักแน่น หัวน กระชับเนื้อความตัดพ้อต่อว่า น้ำ เสียงต่ำ เนันบ้าง สะบัดเสียงบ้าง ㆍเนื้อความสั่งสอน น้ำ เสียงปานกลางไม่เบาไม่ดังเกินไป เน้นเสียงที่คำ สอนแต่ไม่ห้วน ๔. การอ่านตอนจบของร่ายทุกชนิด ผู้อ่านต้องทอดเสียงให้ยาวนานกว่าการทอดเสียงท้ายวรรคอื่น ๆ เพื่อให้ผู้ฟังทราบว่าเรื่องที่ฟังอยู่กำ ลังจะจบ ข้อคำ นึงในการอ่านร่าย ๔๕


การอ่านบทร้อยกรองมีแนวทางในการอ่านและพิจารณาตามองค์ประกอบ ดังนี้ ๑) เนื้อหาสาระ บทร้อยกรองที่ดีมีคุณค่าจะต้องมีเนื้อหาที่แสดงความรู้สึกนึกคิดที่เป็นประโยชน์แก่การดำ รงชีวิต ผู้อ่านต้องหาคำ ตอบให้ได้ว่าได้รับอะไรจากการอ่านบทร้อยกรองนั้นบ้าง ๒) รูปแบบ หมายถึง ลักษณะการประพันธ์หรือฉันทลักษณ์ และศิลปะในการประพันธ์ ได้แก่ ๑. ลักษณะการประพันธ์ ผู้อ่านควรทราบว่าบทร้อยกรองที่อ่านเป็นคำ ประพันธ์ชนิดใด ผู้ประพันธ์ประพันธ์ ตามกฎเกณฑ์หรือไม่ เลือกใช้ฉันทลักษณ์ใด้เหมาะสมกับเนื้อหาหรือไม่ ๒. การสรรคำ ถ้อยคำ ที่ใช้ในบทร้อยกรองมักเป็นคำ ที่มีลักษณะพิเศษ นอกจากนี้การสรรดำ ควรสอดคล้อง กับเนื้อหาและรูปแบบ จึงจะเกิดความกลมกลืนมีศิลปะ เช่น ถ้ากวีใช้ศัพท์ว่า ทิวา ราตรี บุรุษ นงลักษณ์ ก็จะเห็นได้ว่า เนื้อหาและรูปแบบจะต้องเป็นร้อยกรอง ที่ค่อนข้างวิจิตรบรรจง หากใช้ดำ ธรรมดาต้องใช้กับคำ ประพันธ์ประเภทกลอน ร่าย กาพย์ เช่น ตรากตรำ ลำ เค็ญ ซมซาน เป็นต้น ๓. การใช้ภาพพจน์ คือ การใช้คำ สร้างภาพ ภาพพจน์ที่กวีใช้มีหลายชนิด ด้วยกัน เช่น อุปมา อุปลักษณ์ บุคคลวัต สัทพจน์ เป็นตัน อุปมา การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนอีกสิ่งหนึ่ง เช่น สวยเหมือนนางฟ้า อุปลักษณ์ การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เช่น ขอเป็นเกือกทอง บุคคลวัต การสมมติสิ่งต่างๆ ให้มีกิริยาอาการ ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ เช่นรองบาทา ทะเลไม่เคย หลับใหล ตรากตรำ ลำ เค็ญ ชมซาน เป็นต้น สัทพจน์ การใช้ดำ เพื่อเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น ครืนครืนคลื่นพิรุณทั่วหล้า ๔. ความไพเราะ รสของบทร้อยกรองอยู่ที่เสียง ซึ่งเกิดจากกลวิธีการซ้ำ คำ การซ้ำ วลี การเล่นคำ การเล่น สัมผัส และลีลาจังหวะ เช่น ระรื่นรื่นชื่นชมด้วยลมพลิ้ว ละลิ่วลิ่วริ้วคลื่นครืนผวา ละลอกเรื่อยกระทบกระทั่งฝั่งสุธา ละลานตารวิวาบอาบนที (ภาพพิมพ์ใจสองฝั่งเจ้าพระยา : นิภา บางยี่ขัน) การอ่านและพิจารณาบทร้อยกรอง ๔๖


Click to View FlipBook Version