The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักภาษาไทย เสริมใจ เสริมภาษา
หนังสือแบบเรียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ขี้เหงาเกาใจ, 2023-02-17 05:24:34

หลักภาษาไทย เสริมใจ เสริมภาษา

หลักภาษาไทย เสริมใจ เสริมภาษา
หนังสือแบบเรียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

คำ รื่นรื่น หมายถึง ชื่น, สบายใจากสายลมที่ชัดผ่าน ลิ่วลิ่ว หมายถึง คลื่นที่เคลื่อน ไปโดยเร็วเป็นระลอกกระทบฝั่ง มองดูสวยงาม ตื่นตา เป็นศิลปะการสรรดำ มาใช้ทำ ให้ผู้อ่าน เห็นภาพตาม ㆍ ความหมายลึกซึ้งกินใจ บทร้อยกรองในบางครั้งอาจใช้คำ ธรรมดาที่ใช้สื่อสาร ในชีวิตประจำ วัน แต่เมื่อนำ มาร้อย เรียงเป็นบทร้อยกรองก็สามารถสื่อความหมายที่ลึกซึ้งกินใจได้ เช่น "บทนมัสการมาตาปิตุคุณ" ที่กล่าวถึงบิดามารดาที่เฝ้า เลี้ยงลูกจนเติบโต โดยไม่คิดถึง ความลำ บากของตน พระคุณของท่านทั้งสองทดแทนอย่างไรก็ไม่หมด ข้าขอนบชนกคุณ ชนนีเป็นเค้ามูล ผู้กอบนุกูลพูน ผดุงจวบเจริญวัย ฟูมฟักทะนุถนอม บ บำ ราศนิราไกล แสนยากเท่าไรๆ" บ คิดยากลำ บากกาย ตรากทนระคนทุกข์ ถนอมเลี้ยง ฤ รู้วาย ปกป้องซึ่งอันตราย จนได้รอดเป็นกายา เปรียบหนักชนกคุณ ชนนีคือภูผา ใหญ่พื้นพสุนธรา ก็ บ เทียบ บ เทียมทัน เหลือที่จะแทนทด จะสนองคุณานันต์ แท้บูชไนยอัน อุดมเลิศประเสริฐคุณ (นมัสการมาตาปิตุคุณ : พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) การอ่านและพิจารณาบทร้อยกรอง การอ่านเป็นทักษะการสื่อสารที่สำ คัญและจำ เป็น เพราะเป็นเครื่องมือในการแสวงหา ความรู้ เพื่อให้เป็นคนทันโลกทัน เหตุการณ์ ผู้อ่านควรคำ นึงถึงหลักการอ่านให้สอดคล้อง กับลักษณะการอ่านแล้วนำ มาใช้อย่างเหมาะสม การอ่านจึงจะสัมฤทธิผล เช่น หากเป็นการ อ่านออกเสียงจะทำ ให้เสียงนั้นน่าฟัง ผู้ฟังเกิดอารมณ์คล้อยตาม หากเป็นการอ่านในใจ ผู้อ่านจะได้รับความรู้ ความเข้าใจ ความบันเทิง อย่างแท้จริง ผู้อ่านจึงต้องหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ เพื่อให้เกิด ทักษะ และสามารถนำ ไปใช้ในการสื่อสาร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔๗


บทที่ 6 ภาษาต่างประเทศและภาษาภิ่นในภาษาไทย ภาษาต่างประเทศที่นำมาใช้ในภาษาไทย สาเหตุที่ทำให้เกิดการยืมภาษา ได้แก่ การรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ การย้ายถิ่น การติดต่อทางการค้า การเผยแผ่ศาสนาและวัฒนธรรม การศึกษา และการมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอื่นภาษาถิ่นในภาษาไทย ภาษาถิ่นในภาษาไทย ภาษาถิ่น คือ ภาษาพูดที่ใช้สื่อสารในแต่ละท้องถิ่นซึ่งมี เอกลักษณ์เฉพาะตน สาเหตุที่ทำให้คนไทยแต่ละท้องถิ่นพูดต่างกัน ได้แก่ ภูมิศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงด้านเวลา การรับวัฒนธรรมและ อิทธิพลภาษาอื่น ๔๘


ข้อแตกต่างของภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ในภาษาไทย คำที่มาจากภาษาบาลี ๑. คำในภาษาบาลีไม่มีสระเหล่านี้ ฤ ฤา ฦ ฦๅ ไอ เอา (สระในภาษาบาลีมี 8 ตัว คือ อ อา อิ อี อี อุ อู เอ โอ) ๒. คำที่มาจากภาษาบาลีใช้ ส ทั้งหมด (ภาษาสันสกฤตมีทั้ง ศ ษ ส) ๓. คำที่มาจากภาษาสันสกฤต ไม่นิยมใช้ ฬ ดังนั้นคำที่มี ฬ จึงเป็นคำภาษาบาลี เช่น กีฬา กาฬ โกวิฬาร กักขฬะ ประวาฬ ๔. ภาษาบาลีไม่มีพยัญชนะประสมหรือควบกล้ำ (ภาษาบาลีใช้คำควบกล้ำน้อยกว่าภาษาสันสกฤต) ๕. ภาษาบาลีใช้ ริ เช่น อริยะ - จริยะ (อริย จริยา) ๖. อิอุ ในภาษาบาลี เช่น อิทธิ ภาษาสันสกฤต จะเป็น ฤ เช่น ฤทธิ์ ตัวอย่างคำที่มาจากภาษาบาลี สามัญ วิชา อิสิ จริยา ฐาปนา สันติ วัฒนา บุญ เวช สิทธิ จุฬา สิกขา อัคคี นิสิต สงฆ์ ทุกข์ มัจฉา รังสี รัฐ วิชา โอฬาร กิริยา สมภาร โมลี วชิระ ปฐม เรขา เสนา โอสถ ปิตุ ปัจฉิม วิชชา ญาณ ฐาน วุฑฒิ ถาวร วิตถาร ตัณหา ญาติ สิกขา มัชฌิมา นิพพาน กีฬา จุฬา สามี ปฏิเสธ สาวก สามัญ ขณะ อุตุ นิจ สัจจ มัจฉา ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ๔๙


คำที่มาจากภาษาสันสกฤต ๑. สระในภาษาสันสกฤต ต่างจากภาษาบาลี 6 ตัว คำใดประสมด้วยสระ ฤ ฤา ฦ ฦๅ ไอ เอา เป็นคำในภาษาสันสกฤต ๒. คำใดประสมด้วย ศ ษ มีในภาษาสันสกฤต ไม่มีในภาษาบาลี เช่น อภิเษก ศีรษะ อวกาศ ศัตรูศิลปะ ราษฎร ศอก ศึก อังกฤษ ศึกษาศาสตร์ ๓. คำที่มาจากภาษาสันสกฤต ใช้ ฑ เช่น กรีฑา คำในภาษาสันสกฤต ไม่นิยมใช้ ฬ ๔. คำในภาษาสันสกฤตมีระบบเสียงควบกล้ำ หรือพยัญชนะประสม คำควบกล้ำจึงมัก เป็นคำภาษาสันสกฤต เช่น สตรี ปรารถนา สวัสดี สมัคร มาตรา อินทรา ๕. คำในภาษาไทยใช้ รร มาจากภาษาสันสกฤต ตัว ร ที่ควบกับคำอื่นและใช้เป็นตัว สะกด เช่น มรรค สรรพ มารค (มารฺค สรฺว อารฺย จรฺยา) ๖. ฤ (ฤทธิ) ในภาษาสันสกฤต ภาษาบาลีจะเป็น อิทฺธิ (อิอุ) ๗. คำที่ใช้ห์มักเป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต เช่น สังเคราะห์ โล่ห์อุตส่าห์ เท่ห์ เล่ห์ เสน่ห์ (ภาษาบาลีก็มี เช่น โลห อุสฺสาห เทห สิเนห เสนฺห) ตัวอย่างคำที่มาจากภาษาสันสกฤต อังกฤษ พฤกษ์ ประพฤติ ศาสนา เกษม ดรรชนีวิทยุ ประจิม ธรรมศาสตร์ เกษตร ศิลปากร วัชระ สัตย์ มฤตยูอินทร์อัคนีภัสดา มัธยม ศึกษาศาสตร์ ศากยะ กษัตริย์ พิสดาร พฤษภ ปราณี สวรรค์ กรรม ฤทธิ์ ศรีรัศมี อภิเษก เกษียณ หฤทัย คฤหาสน์ วิทยา เสนา เลขา เสวก พิษ มนุษย์ กรีฑา ครุฑ อิศวร วิเศษ วิศาล วิเศษ สวามี เนตร สตรี อยุธยา อาศรม อาศัย ราษฎร ฤษีสัตว์ พฤศจิกายน อัศจรรย์ โอษฐ์ กฤษณา พัสดุ เกษียร อาญา ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ๕๐


ภาษาสันสกฤตไม่มีระบบการสะกดคำ อย่างบาลี พยัญชนะในภาษาบาลีและสันสกฤต ความแตกต่างระหว่างภาษาบาลีและสันสกฤต ๕๑


คำ บาลี บังคับตัวสะกดตัวตาม ๑. แถวที่ ๑ สะกด ตามด้วยแถวที่ ๑, ๒ เช่น สักกะ กิจจะ อิจฉา วัตถุ บุปผา ๒. แถวที่ ๓ สะกด ตามด้วยแถวที่ ๓, ๔ เช่น อัคคี พยัคฆ์ อิทธิ นิพพาน ๓. แถวที่ ๕ สะกด ตามด้วยวรรคเดียวกันได้ทุกตัว หรือตามด้วยเศษวรรค เช่น กัมปนาท สังวร ๔. สะกดด้วยเศษวรรค ย ล ส ตามด้วยตัวเอง เช่น อัยยิกา วัลลภ อัสสุ ๕. สะกดด้วยเศษวรรค ย ล ว ฬ ตามด้วยเศษวรรค เช่น ดุล ชิวหา วรุฬห์ คำ สันสกฤต ไม่บังคับตัวสะกดตัวตาม พยัญชนะวรรคใดจะเป็นตัวสะกดหรือตัวตามก็ได้ เช่น ปักษิน มนัส บัญชี ปฤจฉา ฤทธิ ปรัชญา ภักดี พักตร์ จักษุ อัคนี มัตสยา ปัศจิม อัศเจรีย์ อธิษฐาน สัปดาห์ วิธีการนำ คำ ภาษาบาลีสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย ต้องเลือกคำ ที่ออกเสียงได้สะดวก ใกล้เคียงกับเสียงในภาษาไทย อาจดัดแปลงเสียงสระหรือพยัญชนะ(ไวทฺย เปลี่ยนเป็น แพทย์) เพิ่มหรือลดเสียงเพื่อให้เหมาะสมกับเสียงในภาษาไทยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงความ หมายหรือกำ หนดความหมายขึ้นมาใหม่ (อนาถ ความหมายเดิม คือ ไม่มีที่พึ่ง ความหมายใหม่ คือ น่าสงสาร) ๕๒


ภาษาเขมรมีรูปแบบและการออกเสียงคล้ายกับภาษาไทย มักใช้ในคำราชาศัพท์และ วรรณคดีที่เกี่ยวกับศาสนาหรือพิธีกรรม การนำคำเขมรมาใช้ต้องเลือกคำที่ออกเสียง สะดวก ปรับปรุงรูป เสียง และความหมายให้สอดคล้องกับภาษาไทย ลักษณะคำเขมรที่นำมาใช้ในภาษาไทย ๑. มักสะกดด้วย จ ญ ด น ร ล ส เช่น ขจร เผด็จ จรัส ตรัส เพ็ญ ตำบล ๒. มักเป็นคำควบกล้ำหรืออักษรนำ เช่น ขจัด เสด็จ ไผท เสวย จมูก ตลบ ไพร ๓. นิยมเติมคำหน้ากริยาหรือวิเศษณ์ ได้แก่ บัง บัน บำ ป ผ กำ ปร เช่น บังเกิด บันดาล บำบัด ปราบ เผด็จ กำบัง ประชุม ๔. ใช้คำเติมกลางในกริยา หรือคำวิเศษณ์ ได้แก่ -ํน -ำ -ํห บ ม เช่น กำเนิด ดำรง จังหัน เขนย ระเบียบ เทมิน (เดิน) ตัวอย่างคำเขมรที่ใช้ในภาษาไทย กระทรวง กระบือ ขนม เขม่า ปรุง เพลิง กระแส ทบวง เดิน โคม สำราญ สไบ บำเพ็ญ กำเนิด กระโปรง ทหาร บำเรอ บังคม บรรทัด ผลาญ กระเพาะ ฉลอง สนิม สำเนา ภาษาเขมร ๕๓


ภาษาจีน ภาษาจีนมักมีพยัญชนะต้นเป็นอักษรกลางประสมกับวรรณยุกต์เสียงตรีและจัตวา เช่น เจ๊ก๊ก บ๊วย อีกทั้งยังนิยมประสมสระเอียะ อัวะ เช่น เจี๊ยะ เกี๊ยะ ผัวะ ยัวะ ตัวอย่างคำภาษาจีนที่ใช้ในภาษาไทย กงสี เกาเหลา เก้าอี้ขึ้นฉ่าย จับกัง เจ๊า ซ้อ ตั๋ว เตี่ย แต๊ะเอีย แป๊ะเจ๊ยะ ปุ้งกี๋ พะโล้ยี่ห้อ โสหุ้ย ห้าง ๕๔


คำทับศัพท์มีหลักดังนี้ ๑. สระ ถอดเสียงสระตามพจนานุกรมอังกฤษ แล้วเทียบกับเสียงสระในภาษาไทย ๒. พยัญชนะ ถอดเสียงตามตารางเทียบเสียงพยัญชนะภาษาอังกฤษ ๓. การใช้เครื่องหมายทัณฑฆาต กำกับพยัญชนะที่ไม่ออกเสียง ๔. การใช้ไม้ไต่คู้ เพื่อให้แยกพยางค์ได้ถูกต้อง เช่น ล็อก (log) ๕. การใช้เครื่องหมายวรรณยุกต์ ไม่นิยมใส่รูปวรรณยุกต์ ยกเว้นคำที่ซ้ำเสียงกับคำไทย ๖. คำที่มีพยัญชนะซ้อนเป็นตัวสะกด ศัพท์ทั่วไปตัดพยัญชนะสะกดออกตัวหนึ่ง ศัพท์วิชาการหรือชื่อเฉพาะใส่ทันฑฆาตที่ตัวท้าย เช่น ฟุตบอล (football) เซลล์ (cell) เจมส์วัตต์ (James Watt) ๗. พยางค์หน้ามีเสียง อะ ให้เปลี่ยนเป็นไม้หันอากาศ และซ้อนตัวสะกดเพิ่มอีกตัวหนึ่ง เช่น ดับเบิ้ล (double) แต่ถ้ามี –er –ing –ic –y ต่อท้ายให้เพิ่มตัวสะกดของ พยางค์ต้นอีกตัวหนึ่ง เช่น บุ๊กกิ้ง (booking) ๘. คำประสมที่มีเครื่องหมายยติภังค์ ( - ) ให้เขียนติดกันยกเว้นศัพท์วิชาการหรือนาม เฉพาะ เช่น ครอสสติตช์ (cross-stitch) โคบอลต์-60 (cobalt-60) แต่ถ้าคำ ประสมเขียนแยกกัน เมื่อเขียนเป็นคำไทยให้เขียนติดกัน เช่น ไนต์คลับ (night club) ๙. คำคุณศัพท์ที่มาจากคำนาม ถ้าความหมายเหมือนนาม หรือหมายความว่า “เป็น ของ” ใช้ทับศัพท์ในรูปคำนาม เช่น ความยาวโฟกัส (focus length) แต่หากทับ ศัพท์ในรูปคำนามแล้วกำกวม ให้ทับศัพท์ในรูปคำคุณศัพท์ เช่น ระบบเมตริก ๑๐. คำย่อ เขียนชื่อตัวอักษรย่อเป็นภาษาไทยโดยไม่ต้องใส่จุดหรือเว้นช่องไฟ แต่ถ้าเป็น ชื่อคนให้ใส่จุด และเว้นช่องไฟระหว่างชื่อกับนามสกุล เช่น บีบีซี (B.B.C) เอ.ดี. สมิท (A.D. Smith) หากคำย่ออ่านออกเสียงเหมือนคำ ให้เขียนตามเสียงที่อ่าน เช่น ยูเนสโก (UNESCO) ภาษาอังกฤษ ๕๕


ตัวอย่างทับศัพท์ภาษาอังกฤษ กอล์ฟ (golf) ครีม (cream) กัปตัน (caption) กุ๊ก (cook) แฟชั่น (fashion) เกม (game) โฟกัส (focus) โชว์ (show) ฟาร์ม (farm) มอเตอร์ (motor) แท็กซี่ (taxi) อิทธิพลของภาษาต่างประเทศที่มีผลต่อภาษาไทย การรับคำภาษาต่างประเทศเข้ามาปะปนในภาษาไทย ทำให้ภาษาไทยกลายเป็นภาษามาก พยางค์มีคำควบกล้ำ มีตัวสะกดเพิ่มขึ้นและสะกดไม่ตรงมาตรา อีกทั้งยังมีคำศัพท์ที่ หลากหลายสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับโอกาส วิธีการนำคำภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทย การนำภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ต้องคำนึงถึงรูป เสียง และความหมาย อาจใช้คำเดิมที่ ยืมมาเลย หากคำนั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาไทย แต่หากมิเป็นเช่นนั้น ต้องดัดแปลง โดยการเปลี่ยนรูปหรือเสียงของสระและพยัญชนะ อาจตัดคำให้สั้นลง เปลี่ยนความหมาย จากเดิม หรือบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่ เพื่อให้ได้ศัพท์ที่มีรูป เสียง และความหมาย สอดคล้อง กับภาษาไทย ๕๖


ภาษาถิ่น คือ ภาษาพูดที่ใช้สื่อสารในแต่ละท้องถิ่นซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตน สาเหตุที่ทำให้คนไทยแต่ละท้องถิ่นพูดต่างกัน ได้แก่ ภูมิศาสตร์ การเปลี่ยนแปลง ด้านเวลา การรับวัฒนธรรมและอิทธิพลภาษาอื่น ภาษาถิ่น ในภาษาไทย ๕๗


ภาษาถิ่น เป็นภาษาย่อยที่ใช้พูดจากันในท้องถิ่นต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากการใช้ภาษาเพื่อ การสื่อความหมาย ความเข้าใจกันระหว่างผู้คนที่อาศัยอยู่ตามท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งอาจจะแตก ต่างไปจากมาตรฐาน หรือภาษาที่คนส่วนใหญ่ของแต่ละประเทศใช้กัน และอาจจะแตกต่าง จากภาษาในท้องถิ่นอื่นทั้งทางด้านเสียง คำและ การใช้คำ ภาษาถิ่น เป็นภาษาที่มีลักษณะ เฉพาะ ทั้งถ้อยคำและสำเนียง ภาษาถิ่นจะแสดงถึงเอกลักษณ์ลักษณะความเป็นอยู่ และ วิถีชีวิตของผู้คน ในท้องถิ่นของแต่ละภาค ของประเทศไทย บางทีเรียกว่า ภาษาท้องถิ่น และหากพื้นที่ของผู้ใช้ภาษานั้นกว้างก็จะมีภาษาถิ่นหลากหลาย และมีภาถิ่นย่อย ๆ ลงไป อีก เช่นภาษาถิ่นใต้ก็มีภาษาสงฃลา ภาษานคร ภาษาตากใบ ภาษาสุราษฎร์ เป็นต้น ภาษาถิ่นทุกภาษาเป็นภาษาที่สำคัญในสังคมไทย เป็นภาษาที่บันทึกเรื่องราว ประสบการณ์ และวัฒนธรรมทุกแขนงของท้องถิ่น เราจึงควรรักษาภาษาถิ่นทุกถิ่นไว้ใช้ให้ ถูกต้อง เพื่อเป็นสมบัติมรดกของชาติต่อไป ซึ่งภาษาถิ่นจะเป็นภาษาพูด หรือภาษาท่าทาง มากกว่าภาษาเขียนภาษาถิ่นของไทยจะแบ่งตาม ภูมิศาสตร์หรือท้องถิ่นที่ผู้พูดภาษานั้น อาศัยอยู่ในภาค ต่าง ๆ แบ่งได้เป็น 4 ถิ่นใหญ่ ๆ คือ ภาษาถิ่นกลาง ภาษาถิ่นเหนือ ภาษาถิ่นอีสานและภาษาถิ่นใต้ ภาษาถิ่นกลางภาษาถิ่นที่ใช้สื่อสารอยู่ในบางจังหวัดของภาคกลาง เช่น เพชรบุรี กาญจนบุรีสุพรรณบุรี ราชบุรี นครปฐม อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ภาษาถิ่นที่ใช้สื่อสารอยู่ในจังหวัดเหล่านี้มีสำเนียงพูดที่แตกต่างกันออกไป จะมีลักษณะเพี้ยนเสียงไปจากภาษากลางที่เป็นภาษามาตรฐาน ภาษาถิ่นเหนือ หรือภาษาถิ่นพายัพ (คำเมือง) ได้แก่ ภาษาถิ่นที่ใช้สื่อสารอยู่ใน บางจังหวัดของภาคเหนือตอนบน หรือภาษาในอาณาจักรล้านนาเดิม มักจะพูดกันมากใน จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา ลำปาง น่าน ลำพูน ตาก แพร่ เป็นต้น ๕๘


ภาษาถิ่นอีสาน ภาษาถิ่นอีสานของประเทศไทยมีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาที่พูดที่ใช้กันในประเทศลาว แต่ภาษาอีสานก็ยังถือว่าเป็นภาษาถิ่นของภาษาไทย ภาษาถิ่นอีสานมีภาษาถิ่นย่อยหลายภาษา ได้แก่ ภาษาที่ชนกลุ่มใหญ่ในภาคอีสานใช้พูดจากัน ซึ่งใช้สื่อสารอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคอีสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น สกลนคร หนองคาย นครพนม ขอนแก่น อุดรธานีอุบลราชธานีร้อยเอ็ด เลย ชัยภูมิ มหาสารคาม กาฬสินธุ์ เป็นต้น ภาษาถิ่นใต้ ได้แก่ ภาษาถิ่นที่ใช้สื่อสารอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ของภาคใต้ของประเทศไทย ลงไปถึง ชายแดนประเทศมาเลเซีย รวม 14 จังหวัด เช่น ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานีภูเก็ต พัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช เป็นต้น และบางส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภาษาถิ่นใต้ยัง มีภาษาถิ่นย่อยลงไปอีก เป็นภาษาถิ่นใต้ ภาคตะวันออก เช่น ภาษาถิ่นที่ใช้ใน จังหวัด นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ตรัง สตูล ภาษาถิ่นใต้ตะวันตก เช่น ภาษาถิ่นที่ใช้ในจังหวัดกระบี่ พังงา ระนอง สุราษฎร์ธานี และชุมพร และภาษาถิ่นใต้สำเนียงเจ๊ะเห เช่น ภาษาถิ่นที่ใช้ในจังหวัดนราธิวาส และ ปัตตานี ในแต่ละภาคก็จะมีภาษาถิ่นใต้ เป็นภาษาถิ่นย่อยลงไปอีก เช่น ภาษาถิ่นระนอง ภาษาถิ่นภูเก็ต ภาษาถิ่นพัทลุง ภาษาถิ่นสงขลา เป็นต้น ภาษาถิ่นย่อยเหล่านี้อาจจะมีเสียง และคำที่เรียกสิ่งเดียวกันแตกต่างกันออกไป ๕๙


บทที่ 7 การใช้ภาษาจากสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ๖๐


การอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายดำ ที่เกี่ยวกับ "สื่อสิ่งพิมพ์" ไว้ว่า "สื่อ หมายถึง ก. ทำ การติดต่อให้ถึงกัน ชักนำ ให้รู้จักกัน น. ผู้หรือสิ่งที่ทำ การติดต่อให้ถึงกัน หรือชักนำ ให้รู้จักกัน" "พิมพ์ หมายถึง ก. ถ่ายแบบ, ใช้เครื่องจักรกคตัวหนังสือหรือภาพให้ติดบนวัตถุ เช่น แผ่นกระดาษ ผ้า ทำ ให้เป็นตัวหนังสือหรือรูปรอย โดยการกคหรือการใช้พิมพ์หิน เครื่องกล วิธี เคมี หรือวิธีอื่นใด อันอาจให้เกิดเป็นสิ่งพิมพ์ขึ้นหลายสำ เนา" " สิ่งพิมพ์ หมายถึง สมุด แผ่นกระดาษ หรือวัดถุใดๆ ที่พิมพ์ขึ้น รวมดลอดทั้งบทเพลง แผนที่ แผนผัง แผนภาพ ภาพวาด ภาพระบายสี ใบประกาศ แผ่นเสียง หรือสิ่งอื่นใดอันมีลักษณะ เช่นเดียวกัน" ดังนั้น "สื่อสิ่งพิมพ์" มีความหมายว่า สิ่งที่พิมพ์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผ่นกระดาษหรือวัตถุใดๆ ด้วยวิธีการต่างๆ อันเกิดเป็นชิ้นงานที่มีลักษณะเหมือนตันฉบับขึ้นหลายสำ เนาปริมาณมาก เพื่อเป็นสิ่งที่ทำ การติดต่อ หรือชักนำ ให้บุคคลอื่นได้เห็นหรือทราบข้อความต่าง ๆ สื่อสิ่งพิมพ์ในปัจจุบันมีความหลากหลาย และเข้าถึงผู้อ่านได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้สื่อสิ่งพิมพ์ มีหลายประเภท และแต่ละประเภทมีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ๖๑


๑) สื่อสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ ได้แก่ ๑.๑) หนังสือสารคดี ดำ รา แบบเรียน เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่แสดงเนื้อหาวิชาการในศาสตร์ ความรู้ต่าง ๆ เพื่อสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความหมาย ด้วยความรู้ที่เป็นจริง จึงเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่เน้น ความรู้อย่างถูกต้อง ๑.๒) หนังสือบันเทิงคดี เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นโดยใช้เรื่องราวสมมติ เพื่อให้ผู้อ่าน ได้รับความเพลิดเพลินสนุกสนาน มักมีขนาดเล็ก เรียกว่า หนังสือฉบับกระเป๋า (Pocket Book) สื่อส่งพิมพ์มีหลากหลายประเภท ผู้อ่านที่ดีจึงควรเลือกอ่านสื่อสั่งพิมพ์มีสาระประโยชน์ และเหมาะสมกับตนเอง ๒) สื่อสิ่งพิมพ์เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร ได้แก่ ๒.๑) หนังสือพิมพ์ เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นเพื่อนำ เสนอเรื่องราว ข่าวสาร ภาพ และความ คิดเห็น ในลักษณะแผ่นพิมพ์แผ่นใหญ่ที่ใช้วิธีการพับรวมกัน สื่อสิ่งพิมพ์ชนิดนี้พิมพ์เผยแพร่ ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ๒.๒) วารสาร นิตยสาร เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตขึ้นเพื่อนำ เสนอสาระ ข่าว ความบันเทิง ที่มีรูปแบบการนำ เสนอที่โดดเด่น สะดุดตา และสร้างความสนใจให้กับผู้อ่าน ทั้งนี้การผลิตมีการกำ หนดระยะเวลาเผยแพร่ที่แน่นอน ทั้งลักษณะวารสาร นิตยสาร รายปักษ์ (๑๕ วัน) และรายเดือน ๒.๓) จุลสาร เป็นสื่อสิงพิมพ์ที่ผลิตขึ้นแบบไม่มุ่งหวังผลกำ ไร เป็นแบบให้เปล่าโดยให้ผู้อ่าน ได้ศึกษาหาความรู้ มีกำ หนดการเผยแพร่เป็นครั้งๆ หรือลำ ดับต่างๆ ในวาระพิเศษ ๒.๔) สิ่งพิมพ์โฆษณา ๑. โบรชัวร์ (Brochure) เป็นคำ ที่ยืมมาจากภาษาฝรั่งเศสโดยใช้เรียกทับศัพท์ สื่อสิ่ง พิมพ์ที่มีลักษณะเป็นสมุดเล่มเล็ก ๆ เย็บติดกันเป็นเล่มจำ นวน ๘ หน้า เป็นอย่างน้อย มีปกหน้า และปกหลัง แสดงเนื้อหาโฆษณาสินค้า ๒. ใบปลิว (Leaflet, Handbill) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ใบเดียว ที่เนันการประกาศ หรือ โฆษณา ลักษณะเนื้อหาเป็นข้อความที่ผู้อ่านอ่านแล้วเข้าใจง่าย ๓. แผ่นพับ (Folder) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผลิตโดยเน้นการนำ เสนอและการสรุป ใจความสำ คัญ มีลักษณะการพับเป็นรูปเล่มต่างๆ ๔. ใบปิด (Poster) เป็นสื่อสิ่งพิมพ์โฆษณา โดยใช้ปิดตามสถานที่ต่าง ๆ มีขนาด แผ่นพับเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีรูปลักษณ์สวยงาม เนื้อหาใหญ่เป็นพิเศษ ซึ่งเน้นการนำ เสนออย่างโดดเด่นตึงดูดความสนใจสารเน้นเฉพาะใจความสำ คัญ โดยใช้ภาษาที่สั้นกระชับ อ่านเข้าใจง่าย ๖๒


สรรพ์สาระ รู้ไว้ได้ประโยชน์ ฉลากที่แสดข้อมูลโภชนาการของอาหารช่วยให้ทราบถึงชนิดและปริมาณสารอาหารที่จะ ได้รับจากการรับประทานอาหารนั้น ๆ เพียงแค่อ่านฉลากและนำ ข้อมูลสารอาหารของอาหารแต่ละ อย่างมาเปรียบเทียบกัน เลือกอาหารที่มีไขมัน หรือพลังงานน้อยที่สุด เท่านี้ก็ช่วยควบคุมน้ำ หนัก และหลีกเลี่ยงสารอาหารที่ไม่ต้องการได้ เช่น เป็นโรคไต ซึ่งต้องควบคุมปริมาณโซเดียม หรือ ต้องการควบคุมคอเลสเตอรอลเพียงแค่อ่านฉลากก็สามารถหลีกเลี่ยงไม่ซื้ออาหารที่มีเกลือผสมอยู่ ในปริมาณมากมาบริโภค นับว่าเป็นประโยชน์กับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ หรือผู้สูงวัยที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งการอ่านฉลากเพื่อให้ทราบถึงปริมาณพลังงานและสารอาหารที่ได้รับ สามารถอ่านได้ง่าย ๆ โดยดูจากฉลากโภชนาการ ๓) สิ่งพิมพ์เพื่อการบรรจุภัณฑ์ เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ใช้ในการห่อหุ้มผลิตภัณฑ์การค้าต่าง ๆ แยกเป็นสิ่งพิมพ์หลัก ได้แก่ สิ่งพิมพ์ที่ใช้ปิดรอบขวด หรือกระป้องผลิตภัณฑ์การค้า สิ่งพิมพ์รอง ได้แก่ สิ่งพิมพ์ที่เป็นกล่องบรรจุ หรือลัง สื่อสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ ที่พบเห็นในชีวิตประจำ วันมีทั้งรูปแบบของหนังสือ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร ที่นำ เสนอข่าวสาร สาระและบันเทิง เช่น บทความ นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย เป็นตัน ผู้อ่านจึงควรทราบวิธีการอ่าน เข้าใจลักษณะหรือประเภทของสารที่ปรากฎฏอยู่ในสิ่งพิมพ์ มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจภาษาในระดับดำ วลี ประโยด สำ นวนภาษา และกำ หนดเป้าหมาย ในการอ่านชัดเจนเพื่อช่วยให้การอ่านมีประสิทธิภาพ และตรงตามวัตถุประสงค์ในการอ่าน ๖๓


การอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทเรื่องสั้น เรื่องสั้น คือ งานเขียนที่คล้ายนวนิยาย แต่มีขนาดสั้นและไม่ซับซ้อน เปลื้อง ณ นคร (๒๕๑๔ : ๗๑) ให้ความหมายว่า "เรื่องสั้น หมายถึง เรื่องซึ่งบรรจุคำ ประมาณ ๑,000-๑๐,000 คำ เป็นเรื่องที่อ่านรวดเดียวจบในระยะเวลาไม่เกินสี่สิบนาที กระชับ และมีพฤติการณ์สำ คัญอย่างเดียว โดยเฉพาะ" กล่าวโดยสรุป เรื่องสั้นจะต้องมีขนาดสั้น โดรงเรื่องง่าย ใช้ตัวละครน้อย การกระทำ และ พฤติกรรมของตัวละครต้องมุ่งไปสู่จุดสำ คัญของเรื่อง (climax) ๑) องค์ประกอบของเรื่องสั้น ๑.๑) แนวคิดหรือแก่นของเรื่อง แนวคิด คือ สาระสำ คัญของเรื่องที่เขียนขึ้น เรื่องสั้นจะมีแนวคิดสำ คัญ เพียงจุดเดียว และจะเป็นแก่นของเรื่อง การเสนอแนวคิดอาจบอกตรงๆ บอกผ่านตัวละคร อยู่ที่ชื่อเรื่อง หรือ อาจจะต้องตีความเอง เมื่ออ่านเรื่องสั้นจบแล้ว ความหมายที่ผู้อ่านสรุปได้คือแนวติดของเรื่องสั้นเรื่องนั้น ซึ่ง เรื่องสั้นที่ดีต้องเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจแก่นเรื่อง ๑.๒) โครงเรื่อง คือ การผูกเค้าโครงของเรื่องกำ หนดทิศทางของเรื่อง ว่าจะให้คำ นึงถึงความน่าติดตาม เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และจบอย่างไร เพื่อจะได้แสดงจุดมุ่งหมายของเรื่องอย่างเด่นชัด ๑.๓) เนื้อเรื่อง คือ เรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นเรื่องราวบางแง่มุมไม่ใช่เรื่องราวละเอียดทั้งชีวิตของตัวละครเท่านั้น ตัวละครและบทสนทนาจะเล่าเรื่อง แสดงพฤติกรรมในเหตุการณ์ที่สมเหตุสมผล บท ๑.๔) ตัวละคร บทสนทนา ตัวละครหลักมีเพียง ๑-๒ ตัว ตัวละครอื่นมีเท่าที่จำ เป็นสนทนาจะใช้เท่าที่ จำ เป็นเพื่อทำ ให้เนื้อเรื่องและตัวละครมีชีวิตชีวา ๑.๕) ฉาก ผู้เขียนจะใช้การบรรยาย หรือบอกผ่านบทสนทนา อาจเป็นฉากในชีวิตจริงหรือเหนือจริง แต่จะ ไม่บรรยายอย่างชัดเจนเหมือนนวนิยาย ากแม้จะมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมของตัวละคร สอดคล้องกับโครง เรื่องและแนวคิด หากผู้เขียนนำ เสนอฉากที่ผู้อ่านไม่รู้จัก เช่นฉากในต่างประเทศจะต้องบรรยายละเอียดขึ้นเพื่อ ให้ผู้อ่านสร้างจินตนาการได้ ๖๔


๒) ชนิดของเรื่องสั้น ผู้อ่านเรื่องสั้นสามารถเข้าใจเจตนาของผู้เขียนได้ ถ้าผู้อ่านทราบ ชนิดของเรื่องสั้น แบ่งเรื่องสั้นได้ ๔ ชนิด คือ ๒.๑) ชนิดผูกเรื่อง เป็นเรื่องสั้นที่มีการกำ หนดเค้าเรื่องไว้อย่างซับซ้อน มีการผูกปมเรื่องให้ เกิดความจงนสนเท่ห์ บางครั้งเนื้อเรื่องก็ทำ ให้ผู้อ่านเขวไปทางหนึ่ง แต่พอถึงตอนจบกลับหักมุม เป็นการจบที่ผู้อ่านดาดไม่ถึง ๒.๒) ชนิดเพ่งแสดงลักษณะของตัวละคร เป็นเรื่องสั้นที่มุ่งแสดงให้เห็นบุคลิกภาพ ของตัวละตรเป็นหลัก เป็นการวาดภาพตัวละครเพื่อชี้ไห้เห็นลักษณะนิสัยของตัวละคร ซึ่งจะมี ความโดคเด่นเป็นพิเศษ เช่น เกรี้ยวกราด เมตตากรุณา ฉลาดเกินคน มีความเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างฝังใจ เรื่องสั้นที่แสดงลักษณะตัวละตรนี้ผู้เขียนสามารถสื่อสารเรื่องราวได้อย่างสมจริง และ สอดคล้องกับความรู้สึกที่ต้องการ ๒.๓) ชนิดถือฉากเป็นส่วนสำ คัญ เป็นเรื่องสั้นที่ผู้เขียนเนันการพรรณนาฉาก โดยมีตัวละคร เป็นส่วนประกอบที่เกี่ยวโยงอยู่ในฉากนั้น ผู้เขียนจะบรรยายฉากอย่างละเอียดจนผู้อ่านสามารถเห็น ภาพจากการอ่านได้ชัดเจน ๒.๔) ชนิดแสดงแนวความคิดเห็น เป็นเรื่องสั้นแนวอุดมคติที่ต้องการชี้ให้เห็นประเด็น ความคิดใดความคิดหนึ่งที่ผู้เขียนต้องการจะบอก หรือชี้ให้เห็นดวามเชื่อในสิ่งหนึ่งสิ่งใด รวมถึงการวิพากษ์สังคมโดยผ่านตัวละคร ๓) แนวทางในการอ่านเรื่องสั้น การอ่านเรื่องสั้นมีประเด็นที่ควรสังเกต ดังนี้ ๓.๑) การพิจารณาชื่อเรื่อง และเนื้อเรื่องว่าสอดคล้องกันหรือไม่ เพียงใด ๓.๒) พิจารณารูปแบบการเขียนว่า ใช้แนวการเขียนแบบใต เช่น การเขียนโดยใช้ เหตุการณ์เป็นหลัก หรือใช้ความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หรือใช้สัญลักษณ์ ๓.๓) วิเคราะห์วิจารณ์ลักษณะเด่นของเรื่องสั้น เช่น โครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก บทสนทนา สำ นวนภาษา วิธีดำ เนินเรื่อง โตยอาจใช้หลักเกณฑ์ที่กล่าวไว้แล้วมาประกอบการพิจารณา ๓.๔) พิจารณาแก่นเรื่องว่าคืออะไร ผู้เขียนสามารถสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างชัดเจน หรือคลุมเครือ ๓.๕) สรุปความคิดเห็นของผู้เขียนจากการอ่านเรื่องที่เป็นผลงานของเขาหลาย ๆ เรื่อง เช่น ต้องการพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น ต้องการขี้ให้เห็นความสำ คัญของการศึกษา ๖๕


การอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทนวนิยาย นวนิยายแปลตามศัพท์ว่า "นิยายใหม่" มาจากคำ ว่า nove! เป็นงานเขียนร้อยแก้วที่ให้ ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน มีคนให้คำ จำ กัดความของนวนิยายไว้ต่างๆ กัน แต่ที่ชัดเจนและง่ายที่สุด คือ ม.ล. บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ได้อธิบายไว้อย่างสั้น ๆ ว่า "ธรรมชาติของนวนิยายนั้น อย่างที่หนึ่งคือเป็นเรื่องแต่ง มีตัวละคร มักใช้กลวิธีที่ทำ ให้ ผู้อ่านแลเห็นได้ง่ายว่าไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเรื่องสมมติ แม้จะแต่งเรื่องของบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริง ๆ ก็จะทำ ให้คนอ่านรู้ว่าไม่ได้เขียนเรื่องจริง แต่วิธีเจรจาของตัวละครในเรื่องจะเลียนแบบชีวิตจริง มากที่สุด วิธีเจรจาหรือการสนทนาของตัวละครนิยมให้เป็นไปตามฐานะ ตามวัย และพยายาม วาดภาพให้เห็นอาการกิริยาของตัวละครให้ชัด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยดำ เนินเรื่อง" ๖๖


๑) องค์ประกอบของนวนิยาย นวนิยายเป็นเรื่องเล่าร้อยแก้วที่ยึดหลักความจริง กล่าวคือเขียนให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเท่าที่จะ สามารถทำ ได้ แต่ไม่ได้พยายามแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้นเท่านั้น องค์ประกอบสำ คัญของนวนิยายที่จะทำ ให้ผู้อ่านเกิดความบันเทิง มีดังนี้ ๑.๑) โครงเรื่อง เป็นเค้าโครงของพฤติกรรมต่างๆ นวนิยายแต่ละเรื่องจะมีโครงเรื่องใหญ่และ โครงเรื่องย่อย โครงเรื่องใหญ่ หมายถึง เรื่องที่เกี่ยวพันกับปัญหาความขัดแย้งที่สำ คัญของตัวละครเอก โครงเรื่องย่อย คือ เรื่องที่แทรกอยู่ในโครงเรื่องใหญ่ มีความสำ คัญน้อย แต่เสริมให้เรื่องสนุกสนานขึ้น ในโครงเรื่องจะมีส่วนประกอบที่สำ คัญอยู่ ๒ ประการ คือ พฤติกรรมที่เป็นการกระทำ ของตัวละครในเรื่อง และความขัดแย้งในลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ความขัดแย้งระหว่าง มนุษย์ด้วยกัน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในตนเอง เป็นต้น ๑.๒) แก่นเรื่องหรือความคิดหลัก คือ จุดสำ คัญของเรื่องที่จะเชื่อมโยงเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อสื่อความคิดของผู้แต่ง แก่นเรื่องมีหลายแนวทาง เช่น แนวแสดงทรรศนะ เป็นแนวที่ผู้เขียนเสนอความคิดเห็น ต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ความแค้น ความหึงหวง ความกลัวแนวแสดงพฤติกรรม เป็นแนวที่ผู้เขียนเน้นพฤติกรรม ของตัวละคร เช่น พฤติกรรมตอบแทนบุญคุณตลอดทั้งเรื่อง ๑.๓) ตัวละคร คือ ผู้ที่มีบทบาทในเรื่อง จะต้องเหมือนมนุษย์หรือเทียบเท่า มีชีวิตจิตใจ แสดงอารมณ์ บทบาท คำ พูด และมีปฏิกิริยาเช่นคนจริงๆ พฤติกรรมที่ตัวละครแสดงออกต้องน่าเชื่อถือ ตัวละครสำ คัญในเรื่อง เรียกว่า ตัวละครเอก ตัวละครอื่นเป็นตัวประกอบ วิธีแสดงลักษณะนิสัยของตัวละครอาจทำ ได้หลายวิธี เช่น ผู้แต่งบรรยายนิสัยของตัวละครเองจากการสังเกตภายนอก หรืออธิบายความคิด ความรู้สึกภายในจิตใจของ ตัวละคร บางครั้งอาจใช้วิธีที่ตัวละดรแสดงตัวตนด้วยคำ พูดและพฤติกรรม หรือใช้วิธีกล่าวถึงปฏิกิริยาของตัวละคร อื่นๆ ที่มีต่อตัวละครตัวนั้น เพื่อเป็นเครื่องชี้ว่าเป็นบุคคลเช่นใด โดยทั่วไปแล้วตัวละครในนวนิยายแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ตัวละครที่มีมิติเดียว เป็นตัวละครที่มีลักษณะนิสัยประจำ หรือแสดงนิสัยด้านเดียวตลอดเรื่อง เช่น นิสัยร่าเริง นิสัยเศร้าสร้อย เป็นต้น อีกประเภทหนึ่งเป็นตัวละครที่มีหลายมิติ โดยมีลักษณะนิสัยหลายอย่างเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ตัวละครที่ดีต้องมีลักษณะสมจริง ๖๗


๑.๔) ฉากและบรรยากาศ ฉาก คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ปรากฎในเนื้อเรื่องบอกให้รู้ว่าเหตุการณ์ นั้นเกิดที่ใด การใช้ฉากที่มีจริงและเป็นที่รู้จักย่อมทำ ให้เรื่องมีความสมจริงมากขึ้น ฉากที่ดีควรสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง และช่วยสร้างบรรยากาศ นอกจากนี้ควรถูกต้องตามสภาพความเป็นจริง ฉากที่มีความถูกต้องตามสภาพภูมิศาสตร์ และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ช่วยส่งเสริมนวนิยายเรื่องนั้นให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ในทางตรงกันข้ามจุด อ่อนของ ฉากบางเรื่องทำ ให้คุณค่าของเรื่องได้ลงไปอย่างน่าเสียดายผู้แต่งที่ประณีตจึงเอาใจใส่ต่อความถูกต้องของ ฉาก ๑๕) บทสนทนา คือ การโต้ตอบระหว่างตัวละคร บทสนทนาจะต้องช่วยสร้างความสมจริง เป็นธรรมชาติ คล้ายคลึงกับชีวิตจริงและต้องเหมาะสมกับบุคลิกลักษณะของตัวละครแต่ละตัวลักษณะบทสนทนาที่ดี ควรช่วยให้เนื้อ เรื่องคืบหน้าไป ทำ ให้เห็นลักษณะนิสัยของตัวละครชัดเจน และช่วยให้เห็นสภาพสังคม ประเพณี วัฒนธรรม การ ศึกษา การปกครองสภาพเศรษฐกิจและอื่นๆ ประกอบไปด้วย ดังนั้น บทสนทนาจึงเป็นส่วนประกอบที่ทำ ให้ผู้อ่าน เข้าใจเรื่องราวพฤติกรรมต่ำ งๆ ได้มากขึ้น การอ่านนวนิยายจะเห็นว่าบทสนทนาจะแยกออกจากบทบรรยายหรือบท พรรณนา ๑.๖) ทรรศนะของผู้แต่ง คือ ข้อคิดเห็นของผู้แต่งที่ต้องการเสนอต่อผู้อ่าน ส่วนใหญ่เสนอผ่านตัวละครใน เรื่อง เช่น "ดอกไม้สด" เสนอทรรศนะเกี่ยวกับผู้ดีในนวนิยายเรื่อง สามชายว่าผู้ดีที่แท้จริง คือ ผู้ที่ยังคงมีความ ประพฤติดี ไม่ว่าจะตกต่ำ หรือยากจนเพียงใด เป็นดัน ๑.๗) ท่วงทำ นองแต่งหรือกลวิธี คือ ลักษณะวิธีการของผู้แต่งที่จะแสดงความคิดความรู้สึก เพื่อให้เนื้อเรื่อง ดำ เนินไปตามโครงเรื่องที่ผูกไว้ รวมไปถึงการเลือกใช้สำ นวนภาษา ๖๘


๒) แนวทางในการอ่านยวนิยาย คนส่วนใหญ่เมื่อหยิบนวนิยายขึ่นมาอ่านก็มุ่งหวังความเพลิดเพลินเป็นหลัก ไม่ ได้ตั้งใจจะศึกษาอย่างจริงจัง แต่นวนิยายเป็นเรื่องของชีวิต การอ่านนวนิยายแล้วนำ มาพินิจพิจารณาแม้เพียง เล็กน้อย ย่อมจะให้แง่คิดหรือบทเรียนแก่ผู้อ่านบ้าง การพิจารณานวนิยายจะต้องนำ องค์ประกอบของนวนิยายมาเป็นเกณฑ์ ดังนี้ ๒.๒) เนื้อเรื่อง โครงเรื่อง และแก่นเรื่อง เมื่ออ่านนวนิยายเรื่องใดแล้วควรจะเล่าเรื่องย่อได้ บอกได้ ว่าใช้กลวิธีอะไรบ้างในการดำ เนินเรื่อง และรู้ว่าแก่นหรือแนวคิดหลักของเรื่องคืออะไร โครงเรื่องต่อเนื่อง สัมพันธ์กันหรือไม่ ๒.๒) ตัวละคร ผู้อ่านต้องอธิบายได้ว่าตัวละครตัวใดเป็นตัวเอก มีลักษณะนิสัยอย่างไรเพราะเหตุใดจึง เป็นเช่นนั้น หรืออะไรคือสาเหตุของพฤติกรรม และตัวละครแต่ละตัวสร้างได้สมจริงหรือไม่ ๒.๓) ฉากและบรรยากาศ ผู้แต่งจะกล่าวถึงสถานที่ ช่วงเวลา เหตุการณ์ ภูมิประเทศหรือบรรยากาศ ใดๆ ก็ตาม ผู้อ่านต้องพิจารณาความสมจริงและความถูกต้องตรงกับช่วงเวลา หรือสภาพการณ์ในเรื่องนั้น ตลอดจนพิจารณาว่าฉากและบรรยากาศมีอิทธิพลต่อตัวละครหรือไม่ ๒.๔) บทสนทนา สำ นวนภาษา และกลวิธีในการแต่ง นวนิยายควรใช้ภาษาให้เหมาะกับตัวละคร เช่น วัย การอบรม และยุคสมัย เพื่อจะได้แสดงบุคลิกกับลักษณะของตัวละครได้และควรแยกคำ บรรยายกับคำ เจรจา หรือสำ นวนภาษาของตัวละครให้เห็นเด่นชัดในแง่ของกลวิธีที่จะนำ เสนอเรื่องให้มีความน่าสนใจ พิจารณาว่าผู้ แต่งเลือกใช้เหมาะสมหรือไม่ เช่น อาจเดินเรื่องสลับไปสลับมา เล่าเหตุการณ์ต่างสถานที่ในเวลาเดียวกันผู้แต่ง บรรยายเรื่องเองทั้งหมด เป็นต้น ๒.๕) ทรรศนะของผู้แต่ง การมองหาทรรศนะของผู้แต่งต้องมองจากส่วนต่างๆ ของนวนิยาย เช่น จาก คำ พูดของตัวละคร จากวิธีการที่ผู้แต่งบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ จากทรรศนะของตัวเอก เป็นต้น ผู้แต่งนวนิยายแฝงทรรศนะไว้มากเพียงใด ผู้อ่านก็ต้องพิจารณาให้มากขึ้น บางครั้งอาจรางเลือนจนต้อง อ่านงานของผู้แต่งคนนั้นหลายๆ เรื่องก็มี อย่างไรก็ตามนักอ่านที่ดีน่าจะลองพิจารณาว่า นวนิยายเรื่องที่ตนอ่าน อยู่นี้ ผู้แต่งแฝงทรรศนะหรือปรัชญาไว้หรือไม่และทรรศนะนั้นคืออะไร ๖๙


การอ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มนุษย์ในยุดปัจจุบันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วด้วยการใช้เทคโนโลยี ส่งผลให้สามารถสื่อสารกันได้ด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ จากความเจริญก้าวหน้าทางด้าน เทคโนโลยีทำ ให้ติดต่อกันได้ในลักษณะของเครือข่ายการสื่อสารข้อมูล (network) สามารถ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว นอกจากนั้นเครือข่ายการสื่อสาร แบบไร้สายทำ ให้การรับข้อมูลข่าวสารเป็นไปได้โดยทั่วถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ทุกคนรู้จัก คือ อินเทอร์เน็ต (Internet) ซึ่งเชื่อมโยงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน จากการที่ อินเทอร์เน็ตสามารถใช้ได้ โดยไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ที่ใดในโลก จึงเป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารได้เป็นอย่างดี บริการต่างๆ ถูก คอมพิวเตอร์เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สำ หรับ การค้นคว้าสร้างขึ้นโดยอาศัยอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางในการนำ ส่ง เช่น จดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ กระดานข่าว และบริการสนทนาโต้ตอบทันที เป็นตัน ๗๐


สื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทออฟไลน์ คือ ข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่ในอุปกรณ์บันทึกข้อมูล เช่น ซีดีรอม (CDROM) ฮาร์ดดิสก์ แผ่นดิสก์ หรือดีวีดี (DVD) เป็นต้น สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ประเภทนี้ผู้อ่านสามารถเข้า ถึงได้โดยตรงจากเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องเล่นต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ ดนตรี สารานุกรม หรือ วารสารวิชาการในรูปของซีดีร่อม หรือสื่อที่นำ เสนอบทเรียนจากเอกสาร ตำ รา ให้อยู่ในรูปของสื่อการ เรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์ เช่น บทเรียนดอมพิวเตอร์ ภาษาไทยมัธยมศึกษาปีที่ ๔ บทเรียน คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำ วัน เป็นต้น สื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทออนไลน์ คือ สื่อที่ถูกเก็บอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ผู้อ่านจะเข้าถึงสื่อได้ โดยผ่านบริการต่างๆ ของเครือข่ายการสื่อสารข้อมูล เช่น หนังสือพิมพ์วารสาร เอกสาร พจนานุกรม เป็นต้น ที่ให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ต หรือข้อความประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานที่ส่งมาในรูปของ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ต่างๆ ๑) ความหมายของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมาย ของคำ ว่า "สื่อ" ว่าหมายถึง สิ่งที่ติดต่อให้ถึงกัน ชักนำ ให้รู้จักกัน สื่อหรือมีเดีย (media มีรากศัพท์มาจาก ภาษาละติน แปลว่า "ระหว่าง" ซึ่งหมายถึง สิ่งที่บรรจุข่าวสารเพื่อก่อให้เกิดการสื่อสารตามวัดถุประสงค์ จึงกล่าวได้ว่า "สื่อ" คือ ตัวกลางการนำ เสนอข้อมูลข่าวสาร สื่อมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รูปแบบ ดั้งเดิม ได้แก่ หนังสือ แผนที่ และรูปภาพไปจนถึงสื่อที่นำ เสนอข้อมูลข่าวสารโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือที่เรียกว่า "สื่ออิเล็กทรอนิกส์" ซึ่งข้อมูลข่าวสารที่นำ เสนอจะอยู่ในรูปของข้อมูลคอมพิวเตอร์ และใช้ อุปกรณ์ในการอ่าน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์แบบพกพา โทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น ๒) ประเภทของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์สามารถจำ แนกตามวิธีการเข้าถึงได้ ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทออฟไลน์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ประเภทออนไลน์ ๓) แนวทางในการอ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ๑. พิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่นำ เสนอ อาจพิจารณาได้จากข้อมูลมีการระบุชื่อของผู้ให้ข้อมูล หรือแหล่งที่มาของข้อมูลระบุชื่อของผู้ให้ข้อมูล หรือแหล่งที่มาของข้อมูลมีการตรวจสอบความถูกต้อง ของข้อมูลก่อนเผยแพร่ ๒. พิจารณาความถูกต้องของข้อมูลที่นำ เสนอ ข้อมูลที่ดีต้องมีความถูกต้องครบถ้วนมีการอ้างอิงข้อมูล มากกว่าหนึ่งแหล่ง และควรมีการระบุวันที่ไว้ ๓. พิจารณาความทันสมัย ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงข้อมูลอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้อง กับการแพทย์ ธุรกิจวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ ผู้อ่านจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ ประเภทของสื่อ การอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ ประเภทต่างๆ จะช่วยทำ ให้ผู้อ่านสามารถสังเค๊ราะห์ความรู้จากการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจน สามารถวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ที่อ่านได้อย่างสมเหตุสมผลและมีวิจารณญาณ ๗๑


อ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ.(2566). หลักภาษาและการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 .กรุงเทพมหานคร : บริษัทอักษร เจริญทัศน์ อจก. จำกัด. ๗๒


Click to View FlipBook Version