ธรรมประยกุ ต์
ฮ
รศ.ดร.วันชัย พลเมอื งดี
มหาวิทยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย
ววทิ ทิ ยยาาเเขขตตพพะะเเยยาา
ขอ้ มูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมดุ แหง่ ชาติ
National Library of Thailand Catatoging in Publication Data
มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตพะเยา
ธรรมประยกุ ต์ พะเยา : สำนัก, ๒๕๖๓. หน้า. ๑๔๓
๑. ธรรมประยกุ ต์ ๑ ช่ือเรอื่ ง
ISBN 978-974-364-954-7
สงวนลิขสิทธ์ิ
ผ้จู ัดพิมพ์และเจา้ ของ
วันชัย พลเมืองดี มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วทิ ยาเขตพะเยา ๕๖๖ หมู่ ท่ี ๒, ตำบลแม่กา อำเภอเมอื งพะเยา
พะเยา ๕๖๐๐๐ โทรศพั ท์ : 0840403560
พมิ พ์คร้งั ที่ : ๒ พ.ศ. ๒๕๖๓
จำนวนพมิ พ์ ๓๐๐ เล่ม
แบบปกและรูปเลม่
วันชยั พลเมืองดี Tel : 084-0403-560
E-mail : [email protected]
พิมพ์ท่ี : นครนวิ ส์การพิมพ์ 737/2 ถนนพหลโยธิน ตำบลเวียน อำเภอเมอื งพะเยา
จงั หวดั พะเยา 56000 โทรศพั ท์ 0-5443-1089
อีเมล์ [email protected]
คำนำ
หนงั สอื E book เร่อื งธรรมประยุกต์ เป็นการปรับปรุงจากหนังสอื ธรรมประยุกต์
เมื่อครั้งผู้เขียนได้จัดพิมพ์ เป็นรูปเล่ม เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ซึ่งใช้ในการเรียนการสอน แก่
นิสิตมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา เมื่อครั้งผู้เขียนได้รับ
หน้าที่ในการสอน และปัจจุบันได้การสอนในรายวิชาดังกล่าว อยู่เนืองๆ พร้อมทั้ง มีการ
พัฒนาเพื่อความสะดวก ประหยัดในการจัดพิมพ์และรูปเล่นในการอ่าน นิสิตหรือผู้สนใจ
สามารถดาว์โหลด หนงั สือนี้ไดอ้ ย่างสะดวกสบายประหยดั พร้อมทง้ั เพือ่ เป็นการเแผยแพร่
เอกสาร ดังกล่าวซงึ่ เนอื้ หาสว่ นใหญ่ก็จะเปน็ หลักธรรมคำสงั่ สอนของพระพทุ ธเจ้า เพ่ือการ
ดำเนินชีวิต ดังนั้น ก็เชื่อว่าคงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ ผู้ที่สนใจศึกษาหลักพุทธธรรม
เบื้องตน้ ในการดำเนินชวี ติ
อานิสงส์ หนังสือ หรือ E book ฉบับนี้ เกิดประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งแก่ผู้อ่าน
ผู้เขียนจึงขออุทิศคุณความดีแห่งหนังสอื เล่มนี้ แก่ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีคณุ และ
แม้ได้เกิดในภพภูมิใด ก็ให้บริบูรณ์ด้วยปัญญา สมบัติ บริวาร อย่าได้พบมิตรชั่ว พร้อมทั้ง
เกดิ ในภพภมู แิ หง่ พระพุทธศาสนาในยุกพระศรีอริยเมตไตย สบื ไป
วนั ชยั พลเมอื งดี
๒๑ มถิ ุนายน ๒๕๔๓
สารบัญ
เร่ือง หน้า
บทที่ ๑ ความหมายธรรมประยกุ ต์ ๑
ความหมาย ๑
ธรรมในฐานะบิดาแห่งศาสตร์ทง้ั ปวง ๔
บทท่ี ๒ ชีวติ คอื อะไร ๑๒
ชวี ติ เกดิ ขนึ้ ได้อยา่ งไร ๑๒
พระพุทธศาสนามีทฤษฏกี ารมชี วี ิตของมนุษยอ์ ยา่ งไร ๑๓
ชีวติ ในครรภด์ ำรงอยู่ไดอ้ ยา่ งอยา่ งไร ๑๙
ชวี ติ คือ อะไรในทศั นะของพระพทุ ธศาสนา ๒๐
บทที่ ๓ ธรรมชาติของชวี ิต ๒๘
ชีวิตคือกฎธรรมชาติแหง่ ไตรลักษณะ ๒๙
ประโยชน์ของการเรยี นรู้เรือ่ งไตรลกั ษณ์ ๓๐
ธรรมชาติชีวติ ในปฏิจจสมปุ บาท ๓๑
ธรรมชาติเหตุผลความจรงิ ของชีวิต ๓๗
บทท่ี ๔ มนษุ ย์ต้องการอะไรและมเี ปา้ หมายสสู สุดของชวี ิตอยา่ งไร ๔๕
มนษุ ยต์ ้องการอะไร ๔๕
เป้าหมายของชวี ติ ๔๗
สารบัญ(ต่อ) หนา้
เร่ือง ๕๑
เป้าหมายสงู สดุ ของพระพทุ ธศาสนา ๖๔
ภาวการณ์ดำเนนิ ชวี ติ ทจี่ ะบรรลเุ ป้าหมายสงู สดุ
๖๗
บทที่ ๕ การดำเนนิ ชีวิตแบบชาวพทุ ธ ๖๗
การดำเนนิ ชีวติ ตามแนวสิงคาลกสูตร ๗๑
การดำเนินชวี ติ ชาวพุทธแบบมงคล ๓๘
๑๐๒
บทท่ี ๖ จริยศาสตร์ ๑๐๒
บทนำ ๑๐๒
ความหมาย ๑๐๕
จรยิ ธรรมในพระพทุ ธศาสนา ๑๐๖
ระดับขั้นของจริยธรรมในพระพุทธศาสนา
บทท่ี ๑
ความหมาย
ความหมาย
คำวา่ ธรรม หมายถงึ สภาพทท่ี รงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ สภาวธรรม
, สจั จธรรม, ความจริง, เหตุ, ตน้ เหตุ, ส่งิ , ปรากฏการณ์, ธรรมารมณ์, สงิ่ ทใ่ี จคดิ ,
คุณธรรม, ความดี ความถูกต้อง ความประพฤติชอบ, หลักการ, แบบแผน,ธรรม
เนียม, หน้าที่, ความชอบ, ความยุติธรรม, พระธรรม, คำสั่งสอนของพระพุทธเจา้
ซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฏขึ้น ซึ่งจากความหมายดังกล่าวสามารถอธิบาย
ความหมายของความหมายและคำอธิบายคำว่า ธรรมในความหมายตา่ งๆ ดงั นี้
ในความหมายของบุคคล ความหมายนี้ชี้ชัดลงไปว่า ธรรมหมายถึง
พระพุทธเจ้าดงั พุทธพจน์ที่ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคตผู้
นั้นเห็นธรรม ผู้ที่ไม่เห็นธรรม นั้นแม้จะจับจีวรของตถาคตอยู่แท้ๆ ก็ไม่ได้ชื่อว่า
เห็นตถาคตเลย”
ในความหมายของศาสนา ธรรมเป็นศาสนาเป็นที่พึงพิงทางใจ เป็นท่ี
ยึดเหนี่ยวจิตใจซึ่งจะแล้วแต่บุคคลที่จะนับถือพระพุทธศาสนาระดับใด ระดับ
เปลอื ก กระพี้ หรอื แก่นของศาสนา
ในความหมายของคำสั่งคำสอน หมายถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ทง้ั เป็นสว่ นของพระวนิ ัย พระสูตร พระอภธิ รรมท่ีเรียกกันปัจจุบันวา่ พระไตรปฎิ ก
ในความหมายแห่งธรรมชาติ สภาวะ ซึ่งในความหมายนี้พระอาจารย์
พุทธทาสภิกขุได้เขียนถึงความหมายของธรรมไว้ว่า ธรรม คือธรรมชาติ๑ ๔
ประการ ได้แก่
ก. ตวั ธรรมชาติ
ข. กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
ค. หนา้ ทที่ ่ีมนุษย์จะต้องปฏิบตั ิให้ถกู ต้องตามกฎเกณฑธ์ รรมชาติ
ง. ผลทีเ่ กิดจากการประพฤติถกู ต้องตามกฎของธรรมชาติ
คำว่า ประยุกต์ ภาษาบาลี มาจาก ปยุตฺต แปลว่า ประกอบกัน ภาษาอังกฤษ
Applied ธรรมประยุกต์ จึงหมายถึงการประกอบเข้ากันของธรรม หรือ การ
นำธรรมมาประกอบการดำเนินชีวิต โดยความรู้ ความเข้าใจนำคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้ามาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสมกับฐานะกำลัง
๑ พทุ ธทาส. การทำชวี ิตให้มีธรรม. กรงุ เทพฯ: สำนกั พมิ พน์ ิพพาน.
ธรรมประยกุ ต์ ๒
ปัญญา กำลังศรัทธาได้อย่างเหมาะสม ซึ่งการนำธรรมมาประกอบหรือ
ประยุกต์ใช้ก็เพื่อสิ่งที่เกิดประโยชน์ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ตาม
แนวพระพทุ ธศาสนาได้ กล่าวคือประโยชน์๒ ๓ ระดับ
๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์ในปัจจุบัน, ประโยชน์สุขสามัญที่มองเห็น
กันในชาตินี้ ที่คนทั่วไปปรารถนา มีทรัพย์ ยศ เกียรติ ไมตรี ร่างกายก็อยากให้มี
สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง ไร้โรค อายุยืนฐานะความเป็นอยู่อยากมีเงินมีงาน มี
อาชีพสุจริต เพื่อที่จะดำรงวงศ์ตระกูล และครอบครัวของตนเองให้มั่นคง
พึ่งตนเองได้ทางเศรษฐกิจสุดท้ายก็เพื่อนให้มีสถานภาพทางสังคมเป็นที่ยอมรับ
ยกย่องของสงั คมมเี กียรติ มีศักดิ์ศรี เปน็ ตน้
๒ สัมปรายิกัตถะ จุดหมายขั้นเลยตาเห็น หรือ ประโยชน์เบื้องหน้า
ประโยชน์ในขั้นนี้เป็นความเชื่อศรัทธาในพระรัตนตรัย ซาบซึ้งในบุญกุศล
ภาคภูมิใจในการประพฤติตนอย่างดีงาม มีน้ำใจเสียสละตลอดจนอิ่มใจในคุณค่า
ของชีวิตที่มีคุณค่าในการบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก และมั่นใจในการทำกรรมดี
อบอุ่นซาบซึ้งสุขใจ ไม่อ้างว้างเลื่อนลอย มีหลักยึดเหนี่ยวทางใจคือศาสนาให้
เข้มแขง็ และความโลง่ จติ แกลว้ กลา้ ในการที่จะใช้ปญั ญาในการดำเนนิ ชวี ติ ได้อย่าง
มนั่ คง
"บุคคลผู้ไมป่ ระมาท เข้าถึงจดุ หมายทั้งสอง คือจุดหมายในเร่ืองท่ตี าเหน็
และจดุ หมายทเ่ี ลยตาเห็น ชือ่ วา่ เปน็ บณั ฑติ , บคุ คลนน้ั เรยี กวา่ เปน็ บณั ฑิต
เพราะบรรลุประโยชนท์ ่ีเป็นจดุ หมาย๓"
๓ ปรมัตถะ จุดหมายสูงสุด หรือประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน
เอาความดบั กเิ ลสได้อยา่ งเดด็ ขาด ไมเ่ กดิ แก่ เจบ็ ตาย ตอ่ ไปอีก เปน็ บรมสขุ ไมม่ ี
ทุกข์เจือปน เป็นที่บุคคลจะได้รับประโยชน์เช่นนั้น ท่านกล่าวว่าจะต้องปฏิบัติตาม
มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง ประกอบด้วยองค์ ๘ ไม่ข้องแวะในส่วนสุดโต่ง ๒
อย่างคือ กามสุขัลลิกานุโยค๔ ความหมกมุ่นในกามสุข และอัตตกิลมถานุโยค
การประกอบความลำบากเดือดร้อนให้แก่ตนเอง หรือทรมารตนเอง จึงประสบ
ปรมตั ถประโยชนอ์ ย่างยอดเยี่ยมเชน่ นั้นได้ โดยอาการของปรมตั ถะ ไดแ้ ก่
ก) ถึงถูกโลกธรรม๕กระทบ ถึงจะพบความผันผวนปรวนแปร ก็ไม่
หวน่ั ไหว มีใจเกษมศานตม์ ่นั คง
๒ ข.ุ จู.๓๐/๖๗๓/๓๓๓; ๗๕๕/๓๘๙.
๓ ส.ํ ส. ๑๕/๓๘๐/๑๒๖
๔ วนิ ย.4/13/18; สํ.ม.๑๙/๙๔๒,๙๔๔/๒๘๐.
๕ โลกธรรม ๘ ได้แก่ ได้ลาภ เส่ือมลาภ ไดย้ ศ เสือ่ ยศ สรรเสริญ ติเตียน สุข ทุกข.์
ธรรมประยกุ ต์ ๓
ข) ไม่ถูกความยึดติดถือมั่นบีบคั้นจิต ให้ผิดหวังโศกเศร้า มีจิตโล่งโปร่ง
เบาเปน็ อิสระ
ค) สดชน่ื เบกิ บานใจ ไม่ขนุ่ มัวเศรา้ หมอง ผ่องใส ไร้ทกุ ข์ มคี วามสขุ ท่ีแท้
ง) รู้เท่าทัน และทำการตรงตามเหตุปัจจัย ชีวิตหมดจดสดใส เป็นอยู่ด้วย
ปัญญา
"ความมีจิตใจที่หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ทั้งปวง บรรลุภาวะ
ที่เรียกสั้นๆว่านิพพาน ซึ่งเป็นอิสรภาพ สันติ และความสุขอย่างสูงสุด
ที่เกิดจากความรู้แจ้งหยั่งเห็นความจริงแท้ของโลกและชีวิต มีจิตใจมั่นคง
ไม่หวั่นไหวไปตามโลกธรรม คือความผันผวนปรวนแปร เปลี่ยนแปลง
ของสิ่งทั้งหลาย ปลอดโปร่งผ่องใสเบิกบานเป็นสุขและสะอาดบริสุทธิ์
ได้ตลอดทุกเวลา มีชีวติ ท่ีเป็นอยู่ดว้ ยปญั ญาอยา่ งแทจ้ ริง"
ถ้าบรรลุจุดหมายชีวิตถึงขั้นที่ ๒ ขึ้นไป เรียกว่าเป็น “บัณฑิต” จุดหมาย
๓ ขั้นน้ี พงึ ปฏบิ ัติให้สำเรจ็ ครบ ๓ ด้าน คอื
ด้านที่ ๑ อัตตัตถะ จุดหมายเพ่อื ตน หรือ ประโยชนต์ น คอื ประโยชน์ ๓
ข้นั ขา้ งต้น ซึง่ พึงทำใหเ้ กดิ ขึ้นแกต่ นเอง หรอื พัฒนาชวี ติ ของตนขึ้นไปให้ไดใ้ ห้ถงึ
ด้านที่ ๒ ปรัตถะ จุดหมายเพื่อผู้อื่น หรือ ประโยชน์ผู้อื่น คือ ประโยชน์
๓ ขั้นข้างต้น ซึ่งพึงช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้ ให้ถึงด้วยการชักนำสนับสนุนให้เขา
พฒั นาชวี ิตของตนขึน้ ไปตามลำดับ
ด้านที่ ๓ อุภยัตถะ จุดหมายร่วมกัน หรือ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือ
ประโยชน์สุขและความดีงามร่วมกันของชุมชนหรือสังคม รวมทั้งสภาพแวดล้อม
และปัจจัยต่างๆ ซึ่งพึงช่วยกันสร้างสรรค์บำรุงรักษา เพื่อเกื้อหนุนให้ทั้งตน และ
ผอู้ น่ื กา้ วไปสจู่ ดุ หมาย ๓ ขน้ั ขา้ งต้น
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติ
ทั้งเพอื่ ประโยชน์ตน และเพ่ือประโยชนผ์ ูอ้ น่ื กล่าวคอื ภกิ ษุ
๑. ทั้งเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยพฤติกรรมดี (ศีล) ด้วยตนเอง และชักนำผู้อื่น
ในการทำพฤตกิ รรมดี (ศลี ) ให้ถงึ พรอ้ ม,
๒. ทั้งเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจิตทีฝ่ ึกดี (สมาธิ) ด้วยตนเอง และชักนำผ้อู ื่น
ในการทำภาวะจิตทฝี่ ึกดี (สมาธิ) ใหถ้ ึงพร้อม,
๓. ทั้งเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาด้วยตนเอง และชักนำผู้อื่นในการทำ
ปัญญาให้ถงึ พรอ้ ม,
๔. ทั้งเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความมีจิตใจเป็นอิสระ (วิมุตติ) ด้วยตนเอง
และชกั นำผู้อื่นในการทำความมีจิตใจเป็นอสิ ระ (วิมตุ ติ) ให้ถึงพร้อม,
ธรรมประยกุ ต์ ๔
๕. ทั้งเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความหยั่งรู้หยั่งเห็นในวิมุตติด้วยตนเอง และ
ชกั นำผู้อื่นในการทำวมิ ตุ ติใหถ้ ึงพรอ้ ม;
ภิกษปุ ระกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้ ชอ่ื ว่าเป็นผปู้ ฏบิ ัตทิ ัง้ เพอื่ ประโยชน์
ตนและเพอ่ื ประโยชน์ผู้อื่น๖"
ฉะนั้น จุดมุ่งหมายแห่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์เกิดมามีจุดมุ่งหมายท่ี
แตกต่างกัน ความแตกต่างจุดมุ่งหมายของแต่ละบุคคลก็จะขึ้นอยู่ปัจจัยหลายๆ
ด้านทีจ่ ะบรรลจุ ดุ หมายทตี่ ้องการ
ธรรมในฐานะบดิ าแหง่ ศาสตร์ทงั้ ปวง
พระพุทธศาสนามีคำสอนท่ีเรยี กรวมว่าธรรมเปน็ ตวั บทท่ีสำคัญ และธรรม
นกี้ ถ็ อื ได้วา่ ธรรมเป็นบดิ าแหง่ ศาสตร์ทงั้ ปวงดังตอ่ ไปน้ี
ธรรมเป็นจริยศาสตร์ Ethics ด้วยเหตุผลของจริยศาสตร์และธรรม
เป็นเรื่องที่ว่าด้วยความประพฤติอันดีงามเพื่อที่จะนำไปสู่ความสงบสุข เป็น
ศาสตร์หรือวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาถึงเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์เราว่าคืออะไร
อะไรควรทำหรือไม่ควรทำเพื่อจะได้ไปถึงเป้าหมายสูงสุดนั้น และจะใช้เกณฑ์อะไร
มาตัดสินว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี ดังนั้น เป้าหมายของชีวิต คือ ตัวที่จะกำหนดการ
กระทำของมนุษย์ว่าจะเป็นไปในแนวทางใด และเป้าหมายชีวิตของมนุษย์แต่ละคน
นั้นก็แตกต่างกันออกไปหลายแนวคิด เมื่อปฏิบัติตามศีลธรรมแล้วก็จะก่อให้เกิด
สิ่งที่เรียกว่า คุณธรรม คือ เป็นคนดี มีความกตัญญูกตเวที มีความสามัคคี
เปน็ ต้น
ธรรมเป็นธรรมศาสตร์หรือศีลธรรม (Moral) เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วย
ทฤษฏีข้อปฏิบัติที่ไปสู่ความเจริญ กฎระเบียบแบบแผนต่างๆที่จะนำความสงบสุข
มาให้ การวางกฎศีลเป็นแม่บทของการกำหนดกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อความสงบสุข
ของหมู่คณะ
ธรรมเป็นสัจธรรม (Truth) คือ กล่าวถึงความจริงที่ลึกซึ้งเร้นลับ
นอกเหนือไปกว่าที่คนธรรมดาสามัญจะเห็นได้ ส่วนนี้ก็ได้แก่ ความรู้เร่ืองความ
ว่างเปล่าของสรรพสิ่งทั้งปวง (สุญญตา), เรื่องความไม่เที่ยง (อนิจจัง), ความ
เป็นทุกข์ (ทุกขัง), ความไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) หรือเรื่องการเปิดเผยว่าทุกข์เป็น
อย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับสนิทของทุกข์เป็นอย่างไร และวิธี
๖ องฺ.ปญจฺ ก.๒๒/๒๐/๑๕
ธรรมประยกุ ต์ ๕
ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เป็นอย่างไร ในฐานะเป็นความจริงอันเด็ดขาดท่ี
เปลี่ยนแปลงไมไ่ ด้ (อริยสัจจ์) ซง่ึ ทกุ คนควรจะตอ้ งรู้ นเ้ี รยี กว่าพทุ ธศาสนาในฐานะ
เปน็ สัจจธรรม.
ธรรมเป็นศาสนา (Religion) คือธรรมเป็นที่พงึ ทางใจของคน ครั้งเมื่อใด
ความอ่อนแอของสภาวะจิตเราเกิดขึ้น หรือความอ่อนแอของใจเกิดเมื่อนั่นเราจะ
ต้องการที่พึงทางใจ ธรรมจึงเป็นตัวระเบียบปฏิบัติ ซึ่งได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา
กระทั่งผลที่เกิดขึ้นคือความหลุดพ้น และปัญญาที่รูเ้ ห็นความหลุดพ้น ว่าเมื่อใคร
ปฏิบัติแลว้ จะหลดุ พน้ ไปจากความทุกขไ์ ด้จรงิ
ธรรมเป็นจิตวิทยา (Psychology) เช่นคัมภีร์พระไตรปิฎกภาคสุดท้าย
กล่าวบรรยายถึงลักษณะของจิตไว้กว้างขวางอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด เป็นที่งงงัน
และสนใจแก่นักศึกษาทางจิตแม้แห่งยุคปัจจุบัน เป็นความรู้ทางจิตวิทยาที่จะอวด
ได้วา่ แยบคายหรอื ลกึ ลับกวา่ ความรทู้ างจติ วิทยาของโลกปจั จบุ นั ไปเสียอกี
ธรรมเป็นปรัชญา (Philosophy) คือสิ่งที่ทดลองไม่ได้ ยังต้องอาศัยการ
คำนึงคำนวณไปตามหลักแห่งการใชเ้ หตุผลแห่งการคำนงึ คำนวณระบอบหนึ่ง แต่
ถ้าเห็นแจ้งประจักษ์ได้ด้วยตา หรือด้วยการพิสูจน์ทดลองตามทางวัตถุ หรือแม้
เห็นชดั ด้วย "ตาใน" คือญาณจกั ษุก็ตาม เรียกวา่ เปน็ วิทยาศาสตร์ (Science) ได้
ความรู้อันลึกซึ้งเช่นสุญญตาย่อมเป็นปรัชญาสำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรมไป
พลางก่อน แตจ่ ะกลายเปน็ วทิ ยาศาสตรท์ ันทีสำหรับผู้ที่บรรลธุ รรมแล้ว เชน่ พระ
อรหันต์ เพราะท่านได้เห็นแจ้งประจักษ์แล้วด้วยจิตใจของท่านเองไม่ต้องคำนึง
คำนวณตามเหตผุ ล
ธรรมเป็นตรรกวิทยา (Logic) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่โยกโคลงที่สุด ก็มีมาก
ด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะในพวกพระอภิธรรมบางคัมภีร์ เช่น คัมภีร์กถาวัตถุ
เปน็ ตน้
ธรรมเป็นศิลปะ (Art) ซึ่งในที่นี้หมายถึงศิลปะแห่งการครองชีวิต คือ เป็น
การกระทำที่แยบคายสุขุม ในการที่จะมชี ีวิตอยู่เป็นมนุษย์ให้น่าดูน่าชมน่าเลื่อมใส
น่าบูชาเป็นที่จับอกจับใจแก่คนทั้งหลาย จนคนอื่นพอใจทำตามเราด้วยความ
สมัครใจไม่ต้องแข่งขันกันเราจะมี ความงดงามในเบื้องต้น ด้วยศีลบริสุทธ์ิ : มี
ความงดงามในท่ามกลาง ด้วยการมจี ิตใจสงบเย็น เหมาะสมที่จะทำงานในด้านจิต
: มีความงดงามในเบื้องปลาย ด้วยความสมบูรณ์แห่งปัญญา คือรู้แจ้งสิ่งทั้งปวง
ว่าอะไรเป็นอะไร จนไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นเพราะสิ่งทั้งปวงนั้น เมื่อใครมีชีวิตอยู่
ธรรมประยกุ ต์ ๖
ด้วยความงาม ๓ ประการ เช่นนี้แล้ว ถือว่าเป็นผู้มีศิลปะแห่งการดำรงชีวิตอย่าง
สูงสุด ชาวตะวันตกหันมาสนใจพุทธศาสนา ในฐานะเป็นศิลปะแห่งชีวิตโดยนัยน้ี
เป็นอันมาก และกล่าวขวัญกนั มากกวา่ แงอ่ นื่ ๆ
การเขา้ ถงึ ตวั แท้ของพระพทุ ธศาสนา จนถึงกบั นำมาใช้เปน็ แบบแห่งการ
ครองชีวิตได้นัน้ ทำให้เกิด ความบันเทงิ รื่นเรงิ ตามทางของธรรม ไม่หงอยเหงาไม่
นา่ เบ่อื หน่าย หรือหวาดกลวั ดังกลา่ วกนั อยูว่ า่ ถา้ ละกเิ ลสกันเสยี แล้วชวี ิตนี้จะแห้ง
แล้งไม่มีรสชาติอะไรเลย หรือถ้าปราศจากตัณหาต่างๆ โดยสิ้นเชิงแล้วคนเราจะ
ทำอะไรไม่ได้ หรือไม่คิดทำอะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่โดยที่แท้แล้ว ผู้ดำรงชีวิต อยู่
อย่างถูกต้อง ตามศิลปะแห่งการครองชีวิตของพระพุทธเจ้านั้น คือผูม้ ชี ยั ชนะอยู่
เหนอื สง่ิ ทั้งปวงท่ีเขา้ มาแวดล้อมตน ไมว่ ่าจะเป็นสัตวบ์ คุ คลสิง่ ของหรืออะไรก็ตาม
จะเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางใจก็ตาม ย่อมจะเข้ามาในฐานะผู้แพ้ ไม่
อาจจะทำให้เกิดความมืดมวั สกปรก เร่าร้อนให้แก่ผู้นั้นได้ อากัปกิริยาที่เป็นฝ่าย
ชนะอารมณ์ท้ังปวงน้ี ย่อมเปน็ ทบ่ี นั เทิงเริงรน่ื อยา่ งแทจ้ ริง ; และนี่คือข้อที่ควรถือ
เป็นศลิ ปะในพทุ ธศาสนา
ธรรมเป็นวิทยาศาสตร์ (Science) โดยส่วนเดยี ว เพราะพสิ จู น์ได้ชดั แจง้
ด้วยความรู้สึกภายในของผู้ที่มีสติปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอริยสัจจ์เป็น
ต้น ถ้าผู้ใดมีสติปัญญาสนใจศึกษาค้นคว้าแล้วจะมีเหตุผลแสดงอยู่ในลักษณะที่
เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่มืดมัวเปน็ ปรัชญาเหมือนอย่างบางเรื่อง สำหรับบคุ คลผูบ้ ชู า
วัฒนธรรม ก็จะพบว่ามีคำสอนในพระพุทธศาสนาหลายข้อที่ตรงกับหลัก
วัฒนธรรมสากล และมีคำสอนอีกมาก ที่เป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธโดยเฉพาะ
ซึ่งดีกว่าสูงกว่าวัฒนธรรมสากลอย่างมากมาย ธรรมตัวแท้ ไม่ใช่หนังสือ ไม่ใช่
คัมภีร์ ไม่ใช่เสียงบอกเล่าตามพระไตรปิฎก หรือตัวพิธีรีตองต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ตัวแท้
ของพระพุทธศาสนา ตัวแท้ต้องเป็น ตัวการปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ชนิดที่จะ
ทำลายกิเลสให้ร่อยหรอหรือหมดสิ้นไปในที่สุด ไม่จำเป็นต้องเนื่องด้วยหนังสือ
ด้วยตำรา ไม่ต้องอาศัยพิธีรีตองหรือสิ่งภายนอก เช่นผีสางเทวดา แต่ต้องเนื่อง
ด้วยกายวาจาใจโดยตรง คือจะต้องบากบั่นกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป จนเกิด
ความรู้แจ่มแจ้ง สามารถทำอะไรให้ถูกต้องได้ด้วยตนเอง ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น
ตั้งแต่ต้นจนอวสาน นี่แหละคือตัวแท้ของพระพุทธศาสนา ในส่วนที่เราจะต้อง
เขา้ ถงึ ใหจ้ งได้ อย่าได้ไปหลงยดึ เอาเนอ้ื งอกท่ีหุ้มห่อพระพุทธศาสนา มาถอื ว่าเปน็
ตวั พระพทุ ธศาสนากันเลย๗
๗ พุทธทาส.๒๕๒๕.
ธรรมประยกุ ต์ ๗
สง่ิ ที่น่าสนใจ และทีต่ อ้ งข้อน่าสงั เกตก็คือ ธรรม มักจะหมายถึงคำส่ังสอน๘
ของพระพุทธเจ้า สมัยพุทธกาลพระพุทธองค์ทรงสอนธรรมนักศาสนาเชื่อว่า
พระองค์ใช้ภาษาบาลีในการสั่งสอน และการสั่งสอนนั้นก็เป็นแบบ มุขปาฐะ๙
ต่อมาพระอัครสาวกสารีบุตรก็ได้ทูลพระพุทธเจ้ารวมรวมธรรมของพระพุทธ
องค์ให้เป็นหมวดหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นเรื่องๆ ไป พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสสรรเสริญ
จนกระทั้ง หลังพุทธปรินิพพานคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้ก็รับการสังคายนา
คือ การรวบรวมพระธรรมวินัย พระอภิธรรมเป็นกลุ่มแล้วได้มีการจารึกคำส่ัง
สอนของพระพุทธเจ้าลงในแผ่นใบลานในสมัยต่อมา ซึ่งปัจจุบัน เรามักเรียกรวม
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่าพระไตรปิฎก ภาษาบาลี ว่า ติปิฎก (อ่านว่า ติ+
ปิ+ตะ+กะ) แปลว่า ตะกร้า ๓ ใบ ซึ่งหมายถึง ตะกร้าที่บรรจุคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้า ๓ สว่ น ใหญ่ ได้แก่
๑. พระวินัยปิฎก ประมวลพุทธพจน์หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติ
เก่ยี วกบั ความประพฤตคิ วามเปน็ อยู่ ขนบธรรมเนยี มและการดำเนินกจิ การต่าง ๆ
ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์แบ่งเป็น ๕ คัมภีร์ (เรียกย่อหรือหัวใจว่า อา ปา ม
จุ ป)เลม่ ๑ ถงึ เล่ม ๘ ได้แก่
๑. อาทิกัมมิกะ หรือ ปาราชิก ว่าด้วยสิกขาบทที่เกี่ยวกับอาบัติหนัก
ของฝา่ ยภกิ ษสุ งฆต์ ้งั แตป่ าราชิกถึงอนยิ ต
๒. ปาจิตตีย์ ว่าด้วยสิกขาบทที่เกี่ยวกับอาบัติเบา ตั้งแต่นิสสัคคิย
ปาจติ ตยี ถ์ งึ เสขยิ ะรวมตลอดทั้งภิกขุนีวิภงั ค์ทง้ั หมด
๓. มหาวรรค ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ตอนต้น ๑๐ ขันธกะหรือ
๑๐ ตอน
๔. จลุ วรรค วา่ ดว้ ยสกิ ขาบทนอกปาฏิโมกข์ตอนปลาย ๑๒ ขันธกะ
๕. ปริวาร คัมภีร์ประกอบหรือคู่มือบรรจุคำถามคำตอบสำหรับซ้อม
ความรู้พระวินัย พระวินัยปิฎกนี้ แบ่งอีกแบบหนึ่งเป็น ๕ คัมภีร์เหมือนกนั (จัด ๒
ข้อในแบบตน้ นนั้ ใหม่)คือ
๘ คำสง่ั คือ ข้อกฎระเบยี บข้อบงั คับทจี่ ะตอ้ งพงึ ปฏบิ ัติ คำสอน คอื คำสอนทีไ่ ม่ใช่ขอ้ บงั คบั เป็นการแสดงเหตแุ ละผลของ
การประพฤติ และผลจากการปฏบิ ตั ธิ รรมนั้นๆ
๙ การสอนปากตอ่ ปาก คอื การต่อพทุ ธพจน์ นนั่ หมายถึงการทีอ่ าจารยผ์ ู้สอนจะสอนหัวขอ้ บทหนึ่งๆ ใหล้ ูกศษิ ย์ แลว้ ลกู
ศษิ ย์กจ็ ะนำเอาไปทอ่ งจำใหข้ น้ึ ใจ ครนั้ เมื่อทอ่ งไดข้ ้ึนใจกจ็ ะมาท่องใหอ้ าจารย์ฟัง เมื่ออาจารยฟ์ ังแลว้ เห็นวา่ ลกู ศิษย์ท่องได้
ถูกต้องก็จะ สอนอีกบทหน่งึ แล้วก็ใหล้ กู ศิษยน์ ำไปทอ่ งจำอกี ได้แลว้ กม็ าทอดสอบ อย่างนี้ เรอ่ื ยไป
ธรรมประยกุ ต์ ๘
๑. มหาวิภังค์ หรือ ภิกขุวิภังค์ ว่าด้วยสิกขาบทในปาฏิโมกข์ (ศีล
๒๒๗ ข้อ) ฝา่ ยภิกษสุ งฆ์
๒. ภิกขุนีวิภังค์ ว่าด้วยสิกขาบทในปาฏิโมกข์ (ศีล ๓๑๑ ข้อ) ฝ่าย
ภิกษุณสี งฆ์
๓. มหาวรรค
๔.จลุ วรรค
๕. ปรวิ าร
บางทีท่านจดั ให้ย่นยอ่ เข้าอีก แบ่งพระวนิ ยั ปฎิ กเป็น ๓ หมวด คอื
๑. วิภังค์ ว่าด้วยสิกขาบทในปาฏิโมกขท์ ั้งฝ่ายภิกษุสงฆแ์ ละฝ่ายภกิ ษุณี
สงฆ์ (คอื รวมข้อ ๑ และ ๒ ขา้ งตน้ ทั้งสองแบบเขา้ ด้วยกัน)
๒. ขันธกะ ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาฏิโมกข์ทั้ง ๒๒ ขันธกะหรือ ๒๒ บท
ตอน (คือรวมขอ้ ๓ และ ๔ เขา้ ด้วยกนั )
๓. ปริวาร คัมภรี ์ประกอบ (คอื ข้อ ๕ ข้างบน)
๒. พระสุตตันตปิฎก ประมวลพุทธพจน์หมวดพระสูตร คือ พระธรรม
เทศนาคำบรรยายธรรมต่างๆที่ตรัสให้เหมาะกับบุคคลและโอกาสตลอดจนบท
ประพันธ์ เรื่องเล่าและเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา แบ่งเป็น
๕ นิกาย (เรียกยอ่ หรือหัวใจวา่ ที ม สํ อํ ขุ) เลม่ ที่ ๙ ถงึ เล่มที่ ๓๓ ไดแ้ ก่
๑. ทีฆนกิ าย ชมุ นมุ พระสตู รที่มีขนาดยาว ๓๔ สูตร
๒. มัชฌิมนกิ าย ชมุ นมุ พระสูตรท่ีมคี วามยาวปานกลาง ๑๕๒ สตู ร
๓. สังยุตตนิกาย ชุมนุมพระสูตรที่จัดรวมเข้าเป็นกลุ่ม ๆ เรียกว่าสัง
ยุตต์ ตามเรื่องที่เนื่องกัน หรือตามหัวข้อหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องรวม ๕๖ สัง
ยตุ ต์ มี ๗,๗๖๒ สตู ร
ธรรมประยกุ ต์ ๙
๔. อังคุตตรนิกาย ชุมนุมพระสูตรที่จัดรวมเข้าเป็นหมวด ๆ เรียกว่า
นิบาตตามลำดับจำนวนหัวข้อธรรม รวม ๑๑ นิบาต หรือ ๑๑ หมวดธรรมมี
๙,๕๕๗ สตู ร
๕. ขทุ ทกนิกาย ชุมนมุ พระสูตรคาถาภาษิตคำอธิบาย และเร่อื งราว
เบด็ เตลด็ ทจ่ี ัดเขา้ ในสี่นกิ ายแรกไม่ไดม้ ี ๑๕ คมั ภีร์
๓. พระอภธิ รรมปิฎก ประมวลพระพทุ ธพจนห์ มวดพระอภธิ รรม คอื
หลกั ธรรมและคำอธบิ ายท่ีเปน็ หลักวิชาล้วน ๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือเหตกุ ารณ์
แบง่ เปน็ ๗ คัมภรี ์ (เรยี กยอ่ หรอื หวั ใจว่า สํ วิ ธา ปุ ก ย ป) เล่มที่ ๓๔ ถึง เล่มที่
๔๕ คือ
๑. สังคณี หรือ ธัมมสังคณี รวมข้อธรรมเข้าเป็นหมวดหมู่แล้วอธิบาย
ทีละประเภท
๒. วิภังค์ ยกหมวดธรรมสำคัญ ๆ ขึ้นตั้งเป็นหัวเรือ่ งแลว้ แยกแยะออก
อธิบายช้แี จงวนิ ิจฉยั โดยละเอียด
๓. ธาตกุ ถา สงเคราะห์ขอ้ ธรรมตา่ ง ๆ เข้าในขนั ธอ์ ายตนะ ธาตุ
๔. ปุคคลบัญญัติ บัญญัติความหมายของบุคคลประเภทต่างๆ ตาม
คณุ ธรรมท่ีมีอยู่ในบคุ คลน้ันๆ
๕. กถาวัตถุ แถลงและวนิ ิจฉัยทัศนะของนกิ ายตา่ งๆ สมัยสงั คายนาครั้ง
ที่ ๓
๖. ยมก ยกหัวข้อธรรมขึ้นวนิ ิจฉัยด้วยวธิ ีถามตอบ โดยตั้งคำถามยอ้ น
กนั เป็นค่ๆู
๗. ปัฏฐาน หรือมหาปกรณ์ อธิบายปัจจัย ๒๔ แสดงความสัมพันธ์
เนื่องอาศัยกันแห่งธรรมท้ังหลายโดยพิสดาร พระไตรปิฎกที่พิมพ์ด้วยอกั ษรไทย
ทา่ นจดั แบ่งเป็น ๔๕ เลม่
พระอรรถกถาจารยก์ ล่าวว่า พระไตรปฎิ กมเี นือ้ ความทง้ั หมด ๘๔,๐๐๐
พระธรรมขันธ์แบ่งเป็น พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระสุตตันตปิฎก
๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และพระอภิธรรมปิกฎ ๔๒, ๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ธรรมประยกุ ต์ ๑๐
องเสร็จแล้วเมื่อทำอัตตัตถะ(ประโยชน์ของตน) แล้วก็ไม่ต้องห่วงใยเรื่อง
ของตัวสามารถทำปรัตถะ (ประโยชน์ของผู้อื่น) ได้เต็มที่จะดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่
ด้วยปรหิต ปฏิบัติ(การปฏิบตั ิเพ่ือประโยชน์แหง่ ตนสืบไป๑๐ เมื่อมีความพร้อมเป็น
ฐานอยู่อย่างนี้แล้ว พระอรหันต์จึงสามารถมีคุณลักษณะเป็นสรรพมิตร (เป็น
มิตรกับทุกคน) สรรพสขะ(เป็นเพื่อนกับทุกคน) และสัพพภูตานุกรรมปกะ(หวังดี
ตอ่ สรรพสัตว์)๑๑ ได้อยา่ งแทจ้ ริง
๑๐ วนิ ย. ๔/๓๒/๓๙; ส.ํ ส. ๑๕/๔๒๘/๑๕๓.
๑๑ ข.ุ เถร. ๒๖/๓๑๘/๓๖๒.
บทท่ี ๒
ชวี ติ คอื อะไร
ชีวิต คอื สง่ิ ท่ียงั ไม่ตาย ยงั เป็นอยู่ ยังด้ินได้ ยงั เดินได้ ยังกนิ อาหารได้ ในแง่
ของชีววิทยา ก็คือ ความสดอยู่ได้ของ Nucleus ของ Cell เซลล์หนึ่ง คือ
Protoplasm นั้นยังสดอยู่ยังเจริญอยู่เป็นต้น หรือถ้าจะให้ความหมายของชวี ิตท่ลี กึ
ซึ่งหมายถึงสภาวะที่ไม่รู้จักตาย คือ สังขตธรม หรือ นิพพาน หรือ ชีวิตนิรันดร
หรือจะตอบวา่ ชีวิตคือสง่ิ ทพ่ี ระเจา้ สร้างข้ึน1
โดยปกติถ้าพูดถึงชีวิตเราก็จะมองภาพที่เหมือนกันว่า ชีวิตคือสิ่งที่มีชีวิต
มวี ญิ ญาณ มีความรสู้ ึก ซ่งึ รวมไปถงึ คน หรอื มนุษย์และสตั ว์ แตก่ อ็ กี นนั่ แหละ ยงั มี
คำถามตอ่ ไปอกี วา่ คน คอื อะไร มนษุ ย์คอื อะไร มคี นถามว่า รู้จกั คนมั้ย คำตอบ ใคร
ถูกถามว่ารู้จักคนมั้ย คงตอบว่ารู้จัก ใครในโลกนี้ไม่รู้จัก คน แต่ถ้าให้อธิบายว่า คน
เป็นอย่างไร ประกอบด้วยอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร นั่นก็ต้องอาศัยการเรียนรู้การที่ได้
ศึกษาถงึ จะตอบคำถามดังกล่าวอยา่ งพินจิ พเิ คราะห์ แยกแยะอยา่ งละเอยี ด หลายคน
สามารถที่ตอบคำถามว่าชีวิตคืออะไร แล้วรู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เพราะอาศัยการ
พิจารณาลึกก็ต้องอาศัยความสนใจในการที่จะศึกษา อย่างในพจนานุกรม
ราชบัณฑติ ยสถานให้ความหมายของคำวา่ ชีวติ ไวว้ ่า ชีวติ น. ความเปน็ อยู่
ชวี ิตเกิดขึน้ ได้อยา่ งไร
นักชีววิทยา ให้หลักเกี่ยวกับการกำเนิดชีวิตว่าเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยไข่
(Ovum) ของฝ่ายมารดา ได้รับการผสมกับตัวอสุจิ(Sperm) จึงจะกำเนิดชีวิตดังจัก
แสดงระบบและการเกิดชีวติ ดงั ตอ่ ไป
๑. วงจรการตกไข่ (The Woman's Monthly Cycle)
ก. หญิงจะต้องมีภาวะเจริญเติบโตมีอายุที่จะถึงวัยพร้อมผสมคือในแต่ละ
เดือน เม่ือถงึ วนั ที่ ๑๔ ของรอบเดอื น จะมไี ข่สุก ๑ ฟองถกู ปล่อยออกจากรงั ไขข่ า้ งใด
1 พทุ ธทาส. ภาษาคนภาษาธรรม.
ธรรมประยกุ ต์ ๑๒
ข้างหนึ่งและพร้อมจะรับการผสม โดยจะเดินทางผ่านปีกมดลูกเข้าสู่ท่อนำไข่ และจะมี
ชีวิตอยู่ได้ ๒๔ ชั่วโมง หลังการตกไข่ เยื่อบุโพรงมดลูกจะหนาขึ้น มูกบริเวณช่อง
คลอดซึ่งหลั่งจากปากมดลูกจะบางและยืดหยุ่นได้ดี เพื่อให้ สเปิร์มผ่านเข้าไปได้
สะดวก
ข. เมอ่ื ไข่ท่ีพร้อมรบั การผสมผ่านปกี มดลูกเขา้ สทู่ ่อนำไข่ และท่ีนี่จะเป็นท่ีซ่ึง
ไข่ได้รับการผสมกับสเปิร์มของฝ่ายชายหากฝ่ายหญิงและ ฝ่ายชายมีเพศสัมพันธ์กัน
ในระหว่างนี้โดยเมื่อถึงจุดสุดยอดในขณะมีเพศสัมพันธ์ ฝ่ายชายจะหลั่งน้ำอสุจิซึ่งมี
สเปิร์มถึง ๒๐๐ - ๔๐๐ ล้านตัวเข้าสู่ช่องคลอดฝ่ายหญิง และผ่านไปยังท่อนำไข่และ
ปกี มดลกู ในระยะนีเ้ ยือ่ บุโพรงมดลกู จะหนาขึ้นและเตรยี มพร้อมที่จะรบั การฝงั ตัวของ
ไขท่ ี่ปฏสิ นธิแลว้ หากไขย่ ังมาไม่ถึงในขณะน้ัน สเปริ ม์ จะสามารถดำรงชวี ิตอยใู่ นทอ่ นำ
ไข่ไดอ้ กี ราว ๒๔ ชว่ั โมง
ค. ถ้าไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ เยื่อบุโพรงมดลูกที่เตรียมพร้อมไว้นั้น จะเร่ิม
หลุดลอกออกมา เปน็ เลอื ดประจำเดือน เพื่อเขา้ สู่วงจรการตกไข่รอบตอ่ ไป
๒. การปฏสิ นธิ (Conception)
ก. เมื่อไขต่ กจากรังแล้ว ก็จะเคลื่อนตัวไปตามเยื่อบุท่อรังไข่ซ่ึงมีขนชว่ ยพัด
โบกไปจนถึงตำแหน่งที่จะพบกับอสุจิ เมื่อถึงจุดสุดยอดในขณะมีเพศสัมพันธ์ ฝ่าย
ชายจะหล่ังน้ำอสจุ ิ ซง่ึ มีสเปิรม์ ถึง ๒๐๐ -๔๐๐ ล้านตัวเขา้ สู่ช่องคลอดของฝ่ายหญิง
ข. เมื่อฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอดของฝ่ายหญิง แม้ว่าอาจเข้า
ไม่ได้เต็มจำนวน แต่ยังมีส่วนที่ว่ายผ่าน มูกบริเวณช่องคลอดซึ่งหลั่งจากปากมดลูก
ซง่ึ ช่วงน้ีจะบาง และยืดหยนุ่ ได้ดใี นช่วงไข่ตก เข้าสู่โพรงมดลูก และ ผา่ นไปยังท่อนำไข่
และปีกมดลูก โดยปกติอสุจิจะเดิน ทางด้วยอัตราเร็ว ๒ - ๓ มล. ต่อนาทีแต่จะ
เคลื่อนที่ช้าลง ในช่องคลอดที่มีสภาพเป็นกรด และว่ายเร็วขึ้นเมื่อ ผ่านจากปาก
มดลูกเขา้ ไปในโพรงมดลูกท่มี คี วามเปน็ ดา่ ง ซงึ่ กวา่ อสจุ จิ ะผ่านพน้ เข้าไปในท่อรังไข่ได้
นนั้ จำนวน อสจุ ิ ๒๐๐ - ๔๐๐ ล้านตัวในขณะหลัง่ จะเหลือรอดได้เพยี ง ไมก่ ี่ร้อยตัวท่ี
มีโอกาสไปผสมกับไข่ อสุจิจะปล่อยสารย่อย (Enzyme) จากส่วนหัวซึ่ง สามารถ
ละลายผนังที่ห่อหุ้มปกป้องไข่ออกได้ และจะมีอสุจิ เพียงตัวเดียวที่เจาะเข้าสู่ไข่ได้
สำเร็จ หลังจากนั้นอสุจิตัวอื่นๆ จะไม่สามารถเข้าไปได้อีก อสุจิจะสลัดหางและย่อย
ส่วนหัว เพ่อื ปลดปลอ่ ยโครโมโซมทัง้ ๒๓ แทง่ ทบี่ รรจุอยู่ภายในส่วน หัวเข้าสู่ไข่ เพ่ือ
จับคู่ของตัวเองกับโครโมโซมอีก ๒๓ แท่งในไข่ และหลอมรวมตัวกันกลายเป็นเซลล์
ธรรมประยกุ ต์ ๑๓
เซลล์เดียว เรียกว่าเกิดการปฏิสนธิขึ้น หลังไข่เกิดการปฏิสนธิ เซลล์จะมีการแบ่งตวั
ทวีคูณ ในเวลาอันรวดเร็ว จาก ๑ เป็น ๒ จาก ๒ เป็น ๔ จาก ๔ เป็น ๘ จาก ๘
เป็น ๑๖ ฯลฯ การแบ่งตวั จะเกดิ อย่างต่อ เนอ่ื งในขณะทไี่ ขท่ ผ่ี สมแล้ว (Embryo - ตวั
อ่อน) เคล่ือน ตัวอยา่ งช้าๆ และภายในเวลา ๗ วนั จะเคลอื่ นไปถงึ ตำแหน่งที่จะฝังตัว
ลงในเยื่อบุโพรงมดลูก ตอนนี้ไข่ที่ผสม แล้วจะมีลักษณะเป็นลูกกลมประกอบด้วย
เซลล์ประมาณ ๑๐๐ เซลล์ เมื่อไขท่ ่ีผสมแล้ว (ตัวอ่อน) ฝังตัวลงในเยื่อ บุโพรงมดลกู
ซึ่งมีลักษณะนุ่มและหนา เมื่อยึดเกาะกัน มั่นคงดีแล้ว จึงถือได้ว่าการปฏิสนธิเป็นไป
อย่างเรียบ รอ้ ยสมบูรณ์
ไข่ที่ผสมแล้ว (ตัวอ่อน - Embryo) จะยื่นส่วนอ่อนนุ่มแทรก ลึกลงไปใน
ผนังมดลูกเพื่อสร้างทางติดต่อกับเลือดของแม่ ต่อมาส่วนนี้จะเจริญเป็นรก มีการ
สร้างสายสะดอื และ ถุงน้ำคร่ำห่อหุ้มตอ่ ไป ตัวออ่ นจะมีเนือ้ เยือ่ พิเศษ ๗ ช้ัน ซ่ึงต่อไป
แต่ละชั้นจะสรา้ งเป็นอวัยวะตา่ งๆ ของรา่ งกาย ทารกนอ้ ย
พระพทุ ธศาสนามที ฤษฏกี ารมชี วี ิตของมนษุ ย์ อย่างไร
การเริ่มต้นของชีวิตทางพุทธปรัชญาเรียกว่า โยนิ คือ กำเนิด และคำว่า
ชาติ คือการเกิดทั้ง ๒ คำมีความหมายต่างกัน คือ โยนิ หมายถึงกำเนิด แบบ หรือ
ชนิดการเกิด2 ส่วนคำว่า ชาติ ความหมายกว้างออกไปอีก คือหมายถึง การเกิด,
ชนิด, เหล่า และปวงชนแห่งชาติเดียวกัน ในมหาสีหนาทสูตรพระพุทธองค์ทรงตรัส
แก่พระสารีบุตรถึงเรื่อง โยนิ ว่า “ ดูก่อนสารีบุตร กำเนิด ๔ เหล่านี้แล ๔ ประการ
เป็นไฉน ? คือ อัณฑชะกำเนิด ๑ ชลาพุชะกำเนิด ๑ สังเสทชะกำเนิด ๑ และ
โอปปติกะกำเนิด ๑ ก็อัณฑชะกำเนิดเป็นไฉน? สัตว์เหล่านั้นใดชำแรกเปลือกแห่ง
ฟอ้ งไข่เกิดน้ีเราเรยี กวา่ อณั ฑชะกำเนิด.......ชลาพชุ ะกำเนดิ เป็นไฉน? สัตวท์ ้งั หลาย
เหล่านั้นใดชำแรก ลำไส้ ไส้(มดลูก) เกิดนี้เราเรียกวา่ ชลาพุชะกำเนิด......สังเสทชะ
กำเนิดเป็นไฉน? สัตว์ท้ังหลายเหล่านั้นใดเกิดในปาลเน่าในขนมบูด ในเถ้าไคล(ของ
สกปรก) นี้เราเรียกว่า สังเสทชะกำเนิด.....โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน เทวดา สัตว์
นรก มนษุ ย์บางจำพวกและเปรตอสุรกายน้เี ราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนดิ ....”
สว่ นในอภิธรรมได้อธิบายกำเนิดไวอ้ ย่างนคี้ อื
2 พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต). พจนานกุ รมพุทธศาสตร์. กรุงเทพฯ; อมรนิ ทร์การพมิ พ์, ๒๕๒๗.หน้า ๑๕๗.
ธรรมประยกุ ต์ ๑๔
๑. ชลาพุชกำเนดิ ต้องอาศัยเกิดจากทอ้ งมารดา เกิดในมดลูก คลอดออกมา
เป็นตวั เลย แลว้ ค่อย ๆ โตขนึ้ ตามลำดับสัตวท์ ีเ่ ปน็ ชลาพชุ กำเนดิ ไดแ้ ก่
ก. มนษุ ย์
ข. เทวดาชน้ั ต่ำ
ค. สัตว์ดริ ัจฉาน
ง. เปรต (เว้นนิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตจำพวกที่ถูกไฟเผาอยู่
เสมอ)
จ. อสุรกาย
ที่เรียกว่าเทวดาชั้นต่ำ ในที่นี้หมายถึงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ที่เป็น
ภมุ มัฏฐ เทวดา คือเทวดาทอี่ าศัยอยบู่ นพื้นแผน่ ดนิ ไมม่ วี มิ านทล่ี อยอยใู่ นอากาศเป็น
ทีอ่ ยู่ ซึง่ มชี อ่ื วา่ วินิปาตกิ อสรุ า และ เวมานิกเปรต เฉพาะพวกทีป่ ฏิสนธดิ ว้ ยอุเบกขา
สันตรี ณกสุ ลวบิ ากเทา่ น้นั
๒. อัณฑชกำเนิด คือเกิดในฟองไข่ ต้องอาศัยเกิดจากท้องมารดา
เหมือนกนั แตม่ ฟี องหอ่ หุ้ม คลอดออกมาเป็นไข่กอ่ นแลว้ จงึ แตกจากไข่มาเปน็ ตัว และ
คอ่ ย ๆ เติบโตขึ้นตามลำดบั สัตว์ทเี่ ป็นอัณฑชกำเนิด ได้แก่
ก. มนุษย์ (มีมาในธัมมบทว่า พระ ๒ องค์ที่เรียกกันว่า ทเวพาติกเถระ ซ่ึง
เป็นลูกของโกตนกินรี เมื่อเกิดมาทีแรกออกมาเป็นฟองไข่ก่อน แล้ว จึงคลอด
ออกมาจากฟองไขน่ ้ันอีกทหี นึ่ง)
ข. เทวดาชนั้ ต่ำ
ค. สัตวด์ ิรัจฉาน
ง. เปรต (เวน้ นิชฌามตัณหิกเปรต)
จ. อสรุ กาย
ชลาพชุ กำเนิด และอัณฑชกำเนดิ ท้งั ๒ น้ี รวมเรียกว่า คัพภเสยยกกำเนิด
เพราะต้องอาศัยเกิดในครรภ์มารดาเหมือนกัน ต่างกันแต่เพียงว่า ออกมาเป็นตัว
หรอื ออกมาเปน็ ฟองไข่ก่อน แล้วจงึ แตกเปน็ ตัวภายหลงั
ธรรมประยกุ ต์ ๑๕
๓. สังเสทชกำเนิด หมายถึงเกิดขึ้นในที่มีความเปียกชื้น เกิดขึ้นโดยไม่ต้อง
อาศัยบิดา มารดา ไม่ได้อาศัยเกิดจากท้องมารดา เกิดขึ้นโดยอาศัย ต้นไม้ ผลไม้
ดอกไม้ ดอกบวั โลหติ หรือท่เี ปยี กช้ืน เปน็ ตน้ เกิดมากเ็ ล็กเป็นทารก แลว้ จึง ค่อย ๆ
เติบโตข้ึนมา สัตว์ทเี่ ปน็ สงั เสทชกำเนดิ ได้แก่
ก. มนุษย์ (เช่น นางจิญจมาณวิกาเกิดจากต้นมะขาม นางเวฬุวดีเกิด
จาก ต้นไผ่ นางปทุมวดีเกิดจากดอกบัว โอรสของนางปทุมวดีรวม
๔๙๙ องค์ เกิดจากโลหติ เปน็ ตน้ )
ข. เทวดาชัน้ ตำ่
ค. สตั วด์ ิรัจฉาน
ง. เปรต (เวน้ นิชฌามตัณหกิ เปรต)
จ. อสรุ กาย
๔. โอปปาติกกำเนิด หมายถึงเกิดขึ้นและใหญ่โตเต็มที่ในทันทีทันใดนั้นเลย
ทีเดียว ไม่ต้องอาศัยเกิดจากท้องมารดาไม่ได้อาศัยสิง่ ใดเกดิ อาศัยอดีตกรรมอย่าง
เดยี ว สตั วท์ ่ีเป็นโอปปาติกกำเนดิ ไดแ้ ก่
ก. มนุษย์ มใี นสมัยตน้ กปั
ข. เทวดาท้งั ๖ ช้ัน (เวน้ เทวดาช้นั ตำ่ )
ค. พรหมท้ังหมด
ง. สตั ว์นรก, สตั วด์ ริ ัจฉาน, อสุรกาย
จ. เปรต (รวมท้ังนิชฌามตัณหิกเปรตดว้ ย)
หรอื จะ กล่าวอกี นยั หนงึ่ ว่า
ก. มนุษย์ ๑ ภูมิ
ข. เทวดาช้นั จาตมุ หาราชิกา (เวน้ เทวดาชั้นตำ่ ) ๑ ภูมิ
ค. สตั วด์ ริ ัจฉาน ๑ ภมู ิ
ง. เปรต (เว้นนิชฌามตณั หิกเปรต) ๑ ภูมิ
จ. อสรุ กาย ๑ ภมู ิ
รวม ๕ ภมู ิน้ี มีกำเนดิ ไดท้ ้ัง ๔
ธรรมประยกุ ต์ ๑๖
อย่างไรก็ตาม การกล่าวถึงกำเนิดดังกล่าวข้างต้นก็ปรากฏในพระ
อรรถกถาและฏีกาจารย์สมัยต่อมาได้อธิบายถึงกำเนิดดังกล่าวไว้
เหมือนว่า ทั้งมนุษย์ เทวดา สัตว์ เปตร อสุรกาย ฯลฯ ล้วนแล้ว
สามารถเกิดในกำเนิดทั้ง ๔ แทบทั้งสิ้น เพราะได้มีการอธิบายตัวอย่าง
การกำเนิดหรือที่มาของสัตว์ต่างๆไว้เป็นตัวอย่างบ้าง แต่ก็เป็นท่ี
ยอมรบั กันมากในเวลาน้กี ็คือ กำเนิด ๔ ไดแ้ ก่
๑. ชลาพุชกำเนิด สิ่งมีชีวิตเหล่าใดที่อาศัยมดลูกเกิด เช่น คน
สตั วเ์ ลยี้ งลกู ด้วยนมเปน็ ต้น
๒. อัณฑชกำเนิด คือสิ่งมีชวี ิตเหล่าใดทีอ่ าศัยฟองไข่เกิด เช่น มด
ปลา ไก่ เปด็ ฯลฯ
๓. สังเสชกำเนิด คอื ส่ิงมีชวี ติ เหล่าใดทีอ่ าศัยน้ำ ทเี่ ปียกชื้นบูดเน่า
เช่น หนอน ดอกบัว เชือ้ รา เห็ด เปน็ ตน้
๔. โอปปาติกกำเนิด คือสิ่งชีวิตเหล่าใดที่เกิดด้วยการผุดขึ้นเอง
เช่น พรหม พระเจ้า เทวดา เปตร อสรุ กาย เปน็ ต้น
ในมหาตณั หาสงั ขยสูตรว่ามนษุ ยเ์ กิดขึน้ ได้อาศัยปัจจยั ๓ จึงทำให้เกิดจุดกำเนิดของ
ชวี ติ คอื
๑. บดิ ามารดาได้ร่วมหลบั นอนร่วมกนั
๒. บิดามารดาน้ันถงึ วยั เจรญิ พนั ธ์
๓. มวี ญิ ญาณมาปฏิสนธิ3
ดังพุทธพจน์ว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓
ประการ ความเกิดแห่งทารกจึงมีในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดารอยู่ร่วม แต่มารดาไม่มี
ระดู และทารกที่จะเกิดยังไม่มีปรากฏ ความเกิดแห่งทารกยังไม่มีก่อน ในสัตว์โลกนี้
มารดาบิดาอยรู่ ่วมกัน มารดามรี ะดแู ตส่ ตั วท์ ่จี ะเกิดยังไมป่ รากฏ ความเกิดแห่งทารก
ยังไม่มีก่อน ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามีระดูด้วย และ
ทารกที่จะมาเกิด (ปฏิสนธิวิญญาณ) ก็มีปรากฏด้วย เพราะความประชุมพร้อมแห่ง
ปัจจยั ท้งั ๓ ประการความเกดิ แห่งทารกจงึ มี4........”
3 ม.ม.ู ๑๒/๔๕๒/๒๘๗.
4 กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง. เลม่ ๑๒ ขอ้ ๔๕๒.หนา้ ๓๔๒.
ธรรมประยกุ ต์ ๑๗
พุทธพจน์ที่อ้างมานี้เป็นที่ยอมรับของนักชีววิทยา ในพุทธปรัชญายังได้กล่าวต่อไป
อกี ว่าส่งิ ทเ่ี ป็นมลู เหตุเปน็ ตน้ เค้าเป็นแดนเกิดเปน็ ปัจจัยแห่งนามรปู ก็คือ “วิญญาณ”
วิญญาณน้ันก็คือ ปฏิสนธิวิญญาณที่ทำหน้าทจี่ ตุ ิจากรา่ งที่เป็นโอปปาติกะและมาถือ
ปฏิสนธิในครรภ์มารดา ในส่วนที่แคบที่สุดคือ มดลูก ฉะนั้นเมื่อพูดว่า ถือปฏิสนธิใน
ครรภม์ ารดาจงึ หมายถึงมาปฏสิ นธิในไขท่ ่ผี สมเช้ือไวแ้ ล้ว จากนั้นจึงจะมีรอ่ งรอยของ
ความเป็นคนปรากฏ โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า ปัญจสาขา มีอาการครบ ๓๒
บริบรู ณ์ ปฏิสนธิวญิ ญาณที่ทำหน้าทปี่ ฏสิ นธนิ ้ีเอง เมอ่ื ปฏสิ นธแิ ล้วกด็ ับไปเป็นปัจจัย
ใหเ้ กดิ ภวงั คจติ ญาณดวงใหม่ ซึ่งค่อยทำหน้าทีส่ ร้างและจัดระเบียบไข่ที่ผสมเชื้อมีที่มี
ร่องรอยแห่งความเป็นคนอยู่แล้วให้เจริญเติบโตต่อไป จากสาเหตุที่กลา่ วมาพอสรุป
ได้ว่าในตัวเราก่อให้เกิดเป็นคน ย่อมอาศัยด้วย วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดชีวิตส่วน
หน่งึ น่ันเอง
หลังจากที่ทราบกระบวนการเกิดเฉพาะวิญญาณ โดยละเอียดแล้ว ต่อไปก็จะเป็น
กระบวนการเติบโตของมนุษย์ที่อยู่ในครรภ์ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอินทกสูตร
มี ๕ ลำดับข้นั ในแต่ละสัปดาห์5 ดังน้ี
๑. กลละ เป็นน้ำใส มีลักษณะเป็นเมือก เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการ
เจรญิ เติบโต
๒. อพั พุทะ มีลกั ษณะเป็นเมอื กทีข่ ุ่นข้น
๓. เปสิ มลี กั ษณะแดงบางระเรอื
๔. ฆนะ มลี กั ษณะเปน็ ก้อนค่อยๆ แข็งตวั ขึน้
๕. ปัญจสาขา มีลักษณะเป็นปุ่ม ๕ ปุ่มศีรษะ ๑ ปุ่ม ปุ่มแขน ๒ ปุ่มขา ๒
จากนั้นกจ็ ะพัฒนาไปสูก่ ารเป็นรปู ร่างจนมผี ม ขน เล็บ เป็นต้นตามลำดับดัง
พระบาลีวา่
ปฐมํ กลลํ โหติ กลลา โหติ อพพฺ ุทํ
อพพฺ ทุ า ชายเต เปสิ เปสิ นพิ พฺ ตตฺ ตี ฆโน
ฆนา ปสาขา ชายนตฺ ิ เกสา โลมา นขาปิ จ6
5 กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั หลวง. เลม่ ๑๕ ข้อ ๒๔๘ หน้า ๘๐๓.
6 ส.ํ ส.๑๕/๘๐๓/๓๐๓; อภ.ิ ก.๓๗/๑๕๖๐/๕๒๔.
ธรรมประยกุ ต์ ๑๘
ในอรรถกถาสารรัตถทีปนีได้ขยายความพุทธพจน์นี้ว่า ระยะแรกเป็นกลละน้ัน
หมายความว่าสัตว์ที่เกิดในครรภ์มารดา อวัยวะทุกส่วนมิใช่เกิดพร้อมกันทีเดียว
แท้จริงแล้วค่อยๆ วิวัฒนาการขึ้นที่ละน้อยตามลำดับโดยระยะแรกอยู่ในสภาพเป็น
กลละ ซึ่งมีสีคล้ายเนยใส ขนาดเท่าหยาดน้ำมันงาซึ่งติดอยู่ที่ปลายด้าย ที่ทำจากขน
แกะแรกเกิด ๑ เสน้
ส่วนในฏีกาอภิธรรมมัตถวิภาวินี อธิบายเสริมว่า กลละนั้นมีเค้าโครงของ
กายภาพอยู่แล้ว ๓ อย่าง คือ กายทสกะ (โครงสร้างทางร่างกาย) วัตถุทสกะ
(โครงสร้างทางสมอง) และภาวะทสกะ (โครงสร้างทางเพศ) โครงสร้างทั้ง ๓ น้ี
ปรากฏรวมอยู่แล้วในกลละ ส่วนกลละจะมีลักษณะเป็นหยาดน้ำกลมใส มีขนาดเท่า
หยาดนำ้ มันงาซ่งึ ตดิ อยทู่ ป่ี ลายขนแกะแรกเกิด ๑ เสน้
จากกลละก็จะกลายเปน็ อพั พทุ ะ (จากนำ้ ใสเปน็ นำ้ ขุน่ ข้น) อรรถกถาอธบิ าย
ว่าครั้งแรกเป็นกลละได้ ๗ วันก็วิวัฒนาการเป็นน้ำขุ่นข้น มีสีคล้ายน้ำล้างเนื้ อ
เรียกว่า อัพพุทะ
จากอัพพุทะเป็นเปสิ (จากน้ำขุ่นข้นมาเป็นชิ้นเนื้อ) อรรถกถาอธิบายว่า
ครั้งเป็นอัพพุทะได้ ๗ วันก็วิวัฒนาการแข็งตัวเป็นชิ้นเนือ้ สีแดง มีลักษณะคล้ายเน้อื
แตกโมท่บี ดแล้ว
จากเปสิ เป็น ฆนะ (จากชิ้นเนื้อมาเป็นก้อนเนื้อ) อรรถกถาอธิบายว่า คร้ัง
เป็นชิ้นเนื้อได้ ๗ วันก็วิวัฒนาการแข็งตัวขึ้นอีกเป็นก้อนเนื้อทรงกลมคล้ายไข่ไก่ได้
๗ วัน
จากก้อนเนื้อก็เกิดสาขา อรรถกถาอธบิ ายว่า ในสัปดาห์ที่ ๕ ที่ก้อนเน้อื นั้น
กเ็ กิดป่มุ ๕ ปุม่ เรียกว่า ปญั จสาขา ปุ่ม ๕ ปุ่มน้ีภายใน ๗ วันนนั้ ก็ววิ ฒั นาการขน้ึ เป็น
มอื ๒ ข้าง เทา้ ๒ ขา้ ง และศีรษะและสัปดาหท์ ี่ ๖ เคา้ โครงตา (จักขทุ สกะ) ก็เกิด
จากนั้นสัปดาห์ที่ ๗ เค้าโครงหู (โสตทสกะ) ก็เกิด สัปดาห์ที่ ๘ เค้า
โครงจมู(ฆานทสกะ) ก็เกิด สัปดาห์ที่ ๙ เค้าโครงลิ้น (ชิวหาทสกะ) ก็เกิด รวมเวลา
ตั้งแต่แรกถือปฏิสนธิจนกระทั่งถึงเวลาเกิดอวัยวะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น ทั้งสิ้น ๙
สัปดาห์ จาก ๙ สัปดาห์ไปถึง ๔๒ สัปดาห์องค์คาพยพต่างๆ ก็เกิดขึ้น คือ ผม ขน
เล็บ ฟนั หนัง เนอ้ื เอ็น กระดูก เย่อื ในกระดกู ม้าม หัวใจ ตับ พงั พดื ไต ปอด ไส้ใหญ่
ไส้น้อย อาหารเกา่ อาหารใหม่ ซ่ึงในขณะทีอ่ งคาพยพต่างๆ เกดิ ขนึ้ อยนู่ นั้ ส่วนต่างๆ
ของร่างกายเกิดขึ้นด้วยพร้อมกันดังนี้ ส่วนที่เป็นของเหลว (อาโปธาตุ) ได้แก่ น้ำดี
เสลด หนอง เลือด เหง่ือ มันข้น เปลว มนั นำ้ ลาย น้ำมูก ไขข้อ ปสั สาวะ ส่วนที่เป็น
ธรรมประยกุ ต์ ๑๙
พลังงาน (เตโชธาตุ) ได้แก่ ไฟธาตุทำให้ร่างกายให้อบอุ่นซึ่งต่อไปจะแปรเป็นไฟย่อย
อาหาร ไปทำร่างกายให้ทรุดโทรมไฟทำร่ากายให้กระวนกระวาย (เช่นร้อนใน) ส่วน
หนึ่งที่เป็นวาโยธาตุ (ลม) ได้แก่ลมพัดซ่านไป ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ
ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพดั ไปตามตวั ซ่งึ ตอ่ ไปจะแปรสภาพเป็นลมหายใจ
ชีวิตในครรภ์ดำรงอยู่ได้อยา่ งไร
ในชีวิตที่เกิดแบบชลาพุชะ จะรับอาหารเมื่ออาหารต่างๆ ที่มารดาบริโภค
เข้าไป ในสัปดาห์แรกเมื่อยังเป็นกลละอยู่นั้น อาหารยังแผ่เข้าไปไม่ได้ก่อนแต่เม่ือ
สัปดาห์ที่ ๒ เป็นต้นไป อาหารจึงจะเริ่มสู่ร่างกายของทารกตามที่ปรากฏในอินทก
สูตรว่า “มารดาของสัตว์ในครรภ์บริโภคข้าวน้ำอย่างใดสัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ก็เลี้ยง
อัตภาพด้วยอาหารนั้น” อรรถกถาจารย์อธิบายเพิ่มเติมว่า “สัตว์ที่อยู่ในครรภ์
มารดาบริโภคอาหารทางก้านสะดือ (สายรก นาภิโต อุฏฐิตนาโฬ) คือก้านสะดือจะ
ติดเป็นอันเดียวกับแผ่นท้องของมารดา ก้านสะดือนั้นมีลักษณะเป็นรูพรุนข้างใน
คล้ายก้านบัว รสอาหารที่มารดาบริโภคเข้าไปแล้วก็จะแผ่ซ่านไปทางก้านสะดือ สัตว์
ในครรภก์ ็จะเล้ยี งตนเองด้วยอาหารนน้ั ”
สรุปแล้ว คนเราอยู่ท้องมารดา ๔๒ สัปดาห์ คิดเป็นเดือน ก็ ๑๐ เดือน คิดเป็นวันก็
ประมาณ ๒๙๐ วัน ซ่ึงตลอดระยะเวลาเทา่ น้ีชวี ิตคนเราจะววิ ัฒนาการสมบูรณ์เต็มท่ี
พร้อมที่จะลมื ตาออกมาดโู ลกแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงทราบทฤษฏปี ฏิสนธิอยา่ งไร
ในทฤษฏีปฏิสนธิวิญญาณ และโดยเฉพาะพระพุทธเจ้าทรงรู้ได้อย่างไรว่ามนุษย์
กำเนิด มีชีวิตในครรภ์ เติบโต และอยู่ในครรภ์ได้อย่างไร พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ
เครื่องมือในการที่จะรู้กำเนิดชีวิตมานาน นานกว่ากระบวนการ หรือความรู้ทาง
วิทยาศาสตรเ์ จริญหลายพนั ปี ปัญหาก็คอื ว่าพระพทุ ธเจ้าทรงมีเครือ่ งมืออะไรในการ
ทราบวา่ มนษุ ยเ์ กิดอย่างไร อยใู่ นครรภไ์ ด้อยา่ งไร ย่งิ ไปกวา่ น้นั พระพุทธเจา้ ยังรู้ อีก
ว่าสัตว์ที่เข้ามาปฏิสนธิเป็นใคร มาจากไหน มีอะไรเป็นปัจจัยให้มาเกิด โดยปัจจัย
ดังกล่าวเป็นเรื่องของกรรม ซึ่งเครื่องมือที่พระพุทธเจ้าใช้ในการพิจารณารู้สัตว์
ธรรมประยกุ ต์ ๒๐
ต่างๆ ในครรภ์ได้ เรียกว่า อัชฌาสัยเตวิชโช7 หรือวิชชา ๓ แปลว่า ความรู้แจ้ง
หรอื ความร้วู เิ ศษ8(The Threefold Knowledge) ไดแ้ ก่
๑. ปุพเพนวิ าสนุสสติญาณ คือ การระลึกชาติ (reminiscence of past lives)
๒. จุตูปปาตญาณ คือ เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย หรือเรียกอีก
อย่างว่าทิพย์จักขุญาณ (knowledge of the decease and rebirth of beings;
clairvoyance) ผลในญาณต่างๆ ที่เป็นบริวาร ของทิพยจักษุญาณทั้งหมด หรือ
เรยี กวา่ ถา้ บรรลทุ พิ ยจ์ ักขุญาณจะมีคุณธรรม เช่น
๑.ได้ จตูปปาตญาณ ร้วู า่ สตั วท์ ่ตี ายไปแลว้ เกิด ณ ทใ่ี ด ทม่ี าเกิดนี้มาจากไหน
๒.ได้ เจโตปรยิ ญาณ ร้อู ารมณ์จิตของคนและสตั ว์
๓.ได้ ปพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ ระลึกชาติท่เี กิดมาแล้วในการกอ่ นได้
๔.ได้ อตตี งั สญาณ ร้เู หตุการณ์ในอดีตได้
๕. ได้ อนาคตงั สญาณ รู้เหตกุ ารณ์ในกาลขา้ งหนา้ ต่อไปได้
๖.ได้ ปจั จปุ นั นังสญาณ ร้เู หตุปัจจุบันว่า ขณะนอ้ี ะไรเปน็ อะไรได้
๗.ได้ ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของสัตว์ บุคคลเทวดา และพรหม ได้ว่าเขามีสุข
ทุกข์เพราะผลกรรมอะไรเป็นเหตุ
มีปฏิปทาในการปฏิบตั ิหรอื เปน็ เหตุทีต่ ้องปฏิบัติ ดงั ต่อไปน้ี
๑.การรกั ษาศีลใหส้ ะอาดหมดจด ยอมตัวตายดกี วา่ ศีลขาด
๒.ฝึกสมาธิในกรรมฐานทมี่ อี ภิญญาเปน็ บาท คือ กสนิ กองใดกองหนงึ่ ท่เี ป็นสมุฏฐาน
ให้เกิดทิพยจักษุญาณ กสิณที่เป็นสมุฏฐานให้เกิดทิพยจักษุญาณนั้นมีอยู่ 3 กอง
ด้วยกันคือ
๑.เตโชกสณิ เพง่ ไฟ
๒.อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง
๓.โอทาตกสณิ เพง่ สขี าว
ซึ่งมีวิธีการปฏิบัติในหมวดกรรมฐาน ๔๐ หัวข้อกสิณ ๑๐ กสิณทั้ง ๓ ที่กล่าว
มาแลว้ น้ี ถา้ ท่านได้อย่างหนง่ึ อยา่ งใดก็ตาม จะเป็นพ้นื ฐานใหไ้ ดท้ ิพยจักษุญาณท้งั ส้นิ
7 หมายถงึ ทา่ นท่ีมีอุดมคติในด้านวิชชาสาม คอื ทรงคณุ สามประการ ในสว่ นแหง่ การปฏบิ ัติ ไดแ้ ก่คณุ ธรรมดงั ตอ่ ไปนี้
๑. ปุเพนวิ าสานุสสตญิ าณ การระลึกชาตทิ แี่ ลว้ ๆ มาได้
๒. จตุ ปู ปาตญาณ รวู้ ่าสตั ว์ที่ตายไปแลว้ และเกิดมานี้ ตายแลว้ ไปไหน กอ่ นเกิดมาจากไหน
๓. อาสวกั ขยญาณ รูจ้ กั ทำอาสวกิเลสให้สิน้ ไป
8 ท.ี ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓๒; อง.ทสก.๒๔/๑๐๒/๒๒๕.
ธรรมประยกุ ต์ ๒๑
แต่ตามนัยวิสุทธิมรรคท่านกล่าวว่า ในบรรดากสิณทั้ง ๓ อย่างนี้ อาโลกกสิณเป็น
กสิณสร้างทพิ ย์จกั ษุญาณโดยตรง
๓. อาสวักขยญาณ คือความรู้ที่ให้สิ้นอาสวะหรือ การตรัสรู้ (knowledge of the
destruction of mental intoxication)
ในปฐมสมันตปาสาทิกา9 ได้กล่าว ถึงปฐมจิตของมนุษย์ผู้เริ่มลงสู่ครรภ์ว่า ปฏิสนธิ
จิตชื่อว่าจิตดวงแรก ที่ผุดขึ้นนั้นท่านแสดงปฏิสนธิของสัตว์ผู้มีขันธ์ ๕ แม้ทั้งสิ้น
เพราะเหตุนั้น กายมนุษย์อันเป็นทีแรกสุดนี้คือ จิตดวงแรกนั้น ๑ อรูปขันธ์ ๓ เวทนา
สญั ญา สังขาร ทเี่ กย่ี วเกาะดว้ ยจิตน้ัน ๑ กลละรปู ทเี่ กิดพรอ้ มกบั จิต ๑
ชวี ิตคือ อะไรในทัศนะของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนากล่าวว่า ชีวิต คือ หน่วยรวม ตัวสภาวะ หรือ ธาตุที่มาประชุม
ประกอบเข้าด้วยกัน ของ รูป และ นาม โดยส่วนรูปนั้นประกอบด้วยธาตุดิน ธาตุไฟ
ธาตนุ ้ำ ธาตุลม และสว่ นนาม ประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ที่
เรียกว่า ขันธ์ ๕ หรือ เบญจขันธ์10 (The Five Aggregates) ซึ่งสามารถอธิบายได้
ว่า ชีวิตคือหน่วยรวมของขันธ์ ๕ ไม่มีชีวิตอื่นใดที่นอกเหนือไปจากขันธ์ ๕ เพราะ
อาศัยขนั ธ์ ๕ นเ้ี องจงึ บญั ญัตเิ รียกว่า “สตั ว์ บคุ คล ตัวตน เรา เขา” ถือไดว้ า่ ขนั ธ์ ๕
เป็นโครงสร้างของสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา และองค์ประกอบของชีวิตนี้เอง มีชื่อ
เรียกไปตามหน้าทท่ี แี่ ตกตา่ งกัน และมีความสมั พนั ธซ์ ่ึงกันและกนั
ชวี ติ คอื องค์ประกอบของขนั ธ์11 ๕ ไดแ้ ก่
๑.รูป (Corporeality) ได้แก่ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกาย และ
พฤติกรรมทงั้ หมดของร่างกาย หรอื สสารและพลังงานวตั ถุ พร้อมทงั้ คุณสมบัติและ
พฤติกรรมต่างๆ ของสสาร พลังงานเหล่านั้นหรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธาตุ ๔
ธาตุดนิ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นตน้ รปู ขันธแ์ บ่งออกเปน็ ๒ ส่วน ไดแ้ ก่
ก. มหาภูตรูป12 รูปใหญ่หรือ รูปหลัก หรือรูปต้นเดิมที่ใหญ่ๆ โตๆ รูปอาศัย
หรอื รูปแฝงอยู่ในรูปใหญน่ ั้น มหาภตู รปู ประกอบด้วยธาตุ ๔ ไดแ้ ก่ ปฐวีธาตุ
ธาตดุ ิน๑ อาโปธาตุ ธาตุน้ำ๑ วาโยธาตุ ธาตุลม๑ เตโชธาตุ ธาตุไฟ๑
9 ปฐมสมันตปาสาทกิ า แปล เลน่ ๓ พิมพ์คร้งั ท่ี ๑ กรงุ เทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . ๒๕๐๙. หนา้ ๘๒.
10 พระราชวรมุน(ี ประยุทธ์ ปยตุ ฺโต) พุทธธรรม. ๒๕๒๖.
11 สํ.ข.๑๗/๙๕/๕๘/; อภ.ิ ว.ิ ๓๕/๑/๑.
12 ท.ี สี.๙/๓๔๓/๒๗๗; วสิ ทุ ธ.ิ ๓/๑๑ ; สงคห.๓๓.
ธรรมประยกุ ต์ ๒๒
ข. อุปาทายรูป13 มี ๒๔ อย่าง ได้แก่ ปสาทรูป ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และ
กาย โคจรรูป (รูปที่เป็นอารมณ์ของอินทรีย์) ๔ คือ รูป เสียง กลิ่น รส
ภาวรูป (รูปที่เป็นเพศ) ๒ คือ ความเป็นหญิง (อิตถีภาวะ) และความเป็นชาย
(ปุรสิ ภาวะ) ชีวติ รูป หมายถึง ชวี ิต (รปู ทเ่ี ปน็ ชวี ติ ) ๑ คือ ชวี อนิ ทรีย์ อาหาร
รูป (รูปคืออาหาร) ๑ คือ กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าวที่เรากินเข้าไป)
ปริจเฉทรปู (รูปกำหนดสถานทีเ่ ป็นหลัก ๑ คือ อากาศธาตุ ได้แก่ ช่องว่างที่มี
อากาศในร่างกาย วิญญัติรูป (การเคลื่อนไหวเพื่อให้รู้ความหมาย) ๒ คือ
กายวิญญัติ (ความเคลื่อนไหวทางกาย)และวจวี ิญญัติ (ความเคลื่อนไหวทาง
วาจา) หทัยวัตถุ (ที่ตั้งของจิต ๑) วิการรูป (อาการที่ทำให้ผิดปกติ) ๓ คือ
ลหุตา (ความอ่อน) มุทุตา (ความเบา) และกัมมัญญตา (ความควรแก่การ
งาน) ลักขณรูป (อาการที่เป็นเครื่องกำหนด) ๔ คือ อุปจย (การก่อตัวหรือ
เจริญเติบโต) สันตติ (ความสืบต่อ) ชรตา (ความทรุดโทรม) และอนิจจตา
(ความแปรปรวน) เมื่อรวมธาตุทั้ง ๔ ซึ่งจัดเป็นมหาภูตรูป (รูปใหญ่) เม่ือ
นำมารวมเข้ากับอปุ ทายรปู (รูปอาศยั ๒๔) แลว้ กจ็ ะเปน็ รูป ๒๘ อยา่ งรวมรูป
ทัง้ หมดท่กี ล่าวมาแล้วเรียก รปู ขันธ์
๒. เวทนา14 (Feeling หรือ Sensation) แปลว่าการเสวยอารมณ์ คือความรู้สึก
ต่อสิ่งทีถ่ ูกรบั รู้ซึ่งจะเกิดทุกครั้งท่ีมีการรบั รู้ ได้แก่ ความรู้สกึ สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่ง
เกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ เวทนาอธิบายละเอียดและย่อต่างกัน ได้
๔ ประเภท ได้แก่
ก. เวทนา ๒ ได้แก่
๑) กายิกเวทนา คือการเสวยอารมณท์ างกาย
๒) เจตสกิ เวทนา คอื การเสวยอารมณท์ างใจ
ข. เวทนา ๓ ความรู้สึกรสของอารมณ์ ได้แก่
๑) สขุ เวทนา คือ ความร้สู กึ สุขสบาย ทางกาย และทางใจ
๒) ทุกขเวทนา คอื ความรูส้ กึ ทุกข์ไมส่ บายกายไมส่ บายใจ
๓) อทกุ ขมสุขเวทยา หรอื อุเบกขาเวทยา คอื ความรสู้ กึ เฉยๆสุขก็
ไมใ่ ช่ ทุกข์กไ็ มใ่ ช่
13 อภ.ิ .ว.ิ ๓๕/๓๖/๑๙; วิสุทธิ.๓/๒๐; สงคห.๓๕.
14 ส.ํ สฬ.๑๘/๔๓๔/๒๘๗.
ธรรมประยกุ ต์ ๒๓
ค. เวทนา ๕ ได้แก่
๑) สุขนิ ทรยี ์ สุขสบายทางกาย
๒) ทกุ ขอนิ ทรยี ์ ความทุกขก์ าย
๓) โสมนสั อินทรยี ์ สขุ ใจ
๔) โทมนสั อินทรีย์ ทกุ ขใ์ จ
๕) อเุ บกขาอินทรีย์ ความร้สู ึกเฉยๆ
ง. เวทนา ๖ ไดแ้ ก่
๑) จักขสุ มั ผสั สชา
๒) โสตสมั ผัสสชา
๓) ฆานสัมผสั สชา
๔) ชวิ หาสมั ผสั สชา
๕) กายสมั ผัสสชา
๖) มโนผัสสชา
๓. สัญญา15 (Perception) ได้แก่การจำกำหนดได้ หรือ หมายรู้ คือ
กำหนดร้อู าการเครอ่ื งหมายต่างๆ อันเป็นเหตใุ หจ้ ำอารมณ์ เป็นลักษณะ ทรวดทรง
สี สัณฐาน ช่ือเรยี ก ตลอดจน สมบตั บิ ญั ญัตติ า่ งๆ ๖ ประการ ได้แก่
๑. รูปสัญญา ความจำรูปได้ ว่ากลม เหลี่ยม ดำแดง เขียว ขาว เล็ก โต เป็น
ต้น
๒. สทั ทสัญญา ความจำเสยี งได้ วา่ ดัง เบา แหลม ทมุ้ สงู ต่ำ เป็นตน้
๓. คนั ธสญั ญา ความจำกลิ่นไดว้ า่ หอม เหมน็ ฉุน เปน็ ต้น
๔. รสสัญญา ความจำรสไดว้ า่ หวานเปรีย้ ว ขม เค็ม จืด เผ็ด เปน็ ต้น
๕. โผฐพั พสัญญา ความจำส่งิ สัมผัสกายไดว้ ่าอ่อนแข็ง ละเอียดหยาบ เป็นตน้
๖. ธัมมสัญญา ความจำเรื่องราวต่าง ๆ หรือมโนภาพได้ว่าน่าเกียจ งาม
เท่ยี ง
ไม่เท่ียง เปน็ ตน้
๔. สังขาร (Mental Formation หรือ Volitional Activities) ได้แก่
องค์ประกอบ หรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิตที่มีเจตนาเป็นตัวนำซึ่งแต่งจิตให้ดี หรือ
ชั่ว หรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึก นึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย
15 ที.ปา.๑๑/๓๐๙/๒๕๕; อง.ฉกก.๒๒/๓๓๔/๔๖๑.
ธรรมประยกุ ต์ ๒๔
วาจา ใหเ้ ป็นไปตา่ งๆ เป็นท่มี าของกรรม เป็นศรทั ธา สติ หิริ โอตตัปปะ เวทนา กรณุ า
มุทติ า อุเบกขา สัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทฐิ ิ อิสสา มจิ ฉริยะ เป็นต้น เรยี กรวม
อีกอย่างว่า เครื่องปรุงของจิตเครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม
ไดแ้ ก่ เจตสิก ๕๒ ไดแ้ ก่
ก. อัญญสมานเจตสิก ๑๓ เจตสิกที่เข้าได้ทั้งฝ่ายดฝี ่ายชั่ว แบ่งออกเป็น ๒
ฝา่ ยคือ ๑) สพั จิตตสาธารณเจตสิก มี ๗ คือ
๑. ผัสสะ คอื การกระทบอารมณ์
๒. เวทนา คอื การเสวยอารมณ์
๓. สัญญา คือ ความจำหมายอารมณ์
๔. เจตนา คอื การแสวงหาอารมณ์
๕. เอกัคคตา คอื ความตงั้ มน่ั ในอารมณ์เดียว
๖. ชีวติ ทรีย์ คือ การรกั ษาธรรมทีเ่ กิดรว่ มกับตน
๗. มนสกิ าร คือ การใส่ใจในอารมณ์
๒) ปกิณณกเจตสิก หมายถึง เจตสิกที่ประกอบเรี่ยรายโดยทั่วๆ ไป
ท้ังโลกยี ะ โลกตุ ตระ โสภณะ อโสภณะ กุศล อกศุ ล วิบาก กริยา มี ๖ คือ
๑. วติ ก ธรรมชาติทย่ี กสมั ปยุตตธรรมขึน้ สู่อารมณค์ ือคิดอารมณ์
๒. วจิ าร ธรรมชาติท่มี กี ารเคลา้ คลึงอารมณ์
๓. อธิโมกข์ ธรรมชาติทต่ี ัดสินอารมณ์
๔. วริ ยิ ะ ธรรมชาติที่มคี วามพยายามในอารมณ์
๕. ปตี ิ ธรรมชาติท่มี ีความชน่ื ชมยนิ ดีในอารมณ์
๖. ฉันทะ ธรรมชาติทป่ี รารถนาอารมณ์
ข. อกุศลเจตสิก ๑๔ เจตสิกทเ่ี ปน็ อกุศลแบง่ เปน็ ๒ คือ
๑) อกุศลสาธารณาเจตสิก มี ๔ คือ
๑. โมหะ ความหลง
๒. อหิรกิ ะ ความไม่ละอายต่อบาป
๓. อโนตตปั ปะ ความไม่สะดง้ กลวั ตอ่ บาป
๔. อุทธจั จะ ความฟ้งุ ซ่าน
๒) ปกณิ ณกอกศุ ลเจตสกิ คือ อกุศลเจตสกิ ทเ่ี กิดเร่ยี รายแก่อกศุ ลจิต
๑๐ คือ
๑. โลภะ ความอยากได้อารมณ์
ธรรมประยกุ ต์ ๒๕
๒. ทฏิ ฐิ ความเห็นผดิ
๓. มานะ ความถือตวั
๔. โทสะ ความคดิ ประทุษรา้ ย
๕. อสิ สา ความริษยา
๖. มัจฉรยิ ะ ความตระหนี่
๗. กุกกจุ จะ ความเดือดรอ้ นใจ
๘. ถีนะ ความหดหู่
๙. มิทธะ ความง่วงเหงา
๑๐. วจิ กิ จิ ฉา ความคลางแคลงสงสยั
ค. โสภณเจตสิก ๒๕ คือ เจตสิกฝ่ายดี ซึ่งเกิดขึ้นกับจิตที่เป็นกุศลและอัพ
ยากฤตแบ่งเปน็ ๒ ดงั นี้
๑) โสภณสาธารณเจตสกิ มี ๑๙
๑. สัทธา ความเช่อื
๒. สติ ความระลึกได้, ความสำนกึ พรอ้ มอยู่
๓. หริ ิ ความละอายตอ่ บาป
๔. โอตตัปปะ ความสะดงุ้ กลวั ต่อบาป
๕. อโลภะ ความไม่อยากไดอ้ ารมณ์
๖. อโทสะ ความไม่คิดประทุษร้าย
๗. ตตั รมัชฌตั ตตา ความเป็นกลางในอารมณน์ น้ั ๆ
๘. กายปัสสทั ธิ ความสงบแห่งกองเจตสกิ
๙. เจตตปัสสทั ธิ ความสงบแห่งจิต
๑๐. กายลทุตา ความเบาแหง่ กองเจตสกิ
๑๑.จติ ตมุทตุ า ความออ่ นหรอื นุ่มนวลแหง่ จติ
๑๒. กายกมั มัญญตา ความควรแกก่ ารงานแห่งกองเจตสกิ
๑๓. จติ กัมมัญยตา ความควรแกก่ ารงานแห่งจติ
๑๔. กายปาคญุ ญตา ความคลอ่ งแคลว่ แหง่ กาองเจตสกิ
๑๕. จติ ตปาคุญญตา ความคล่องแคล่วแห่งจติ
๑๖. กายชุ กุ ตา ความซ่ือตรงแหง่ กองเจตสกิ
๑๗. จติ ตชุ กุ ตา ความซื่อตรงแห่งจติ
๒) ปกณิ ณกโสภณเจตสกิ มี ๖ คือ
ธรรมประยกุ ต์ ๒๖
๑. สัมมาวาจา เจรจาชอบ
๒. สมั มากัมมันตะ การทำชอบ
๓. สัมมาอาชวี ะ เล้ียงชพี ชอบ
๔. กรณุ า ความสงสารสัตวผ์ ถู้ งึ ทุกข์
๕. มทุ ติ า ความยนิ ดตี ่อสัตว์ผู้ไดส้ ขุ
๖. ปญั ญนิ ทรยี ์ หรอื อโมหะความรเู้ ขา้ ใจ ไม่หลง16
๕. วิญญาณ (Consciousness) แปลว่า ความร้แู จ้ง คือ รู้แจง้ ในอารมณ์
ไดแ้ ก่ ความรู้แจง้ ทางประสาทท้ัง ๕ และทางใจ คือ การไดย้ นิ ไดก้ ลนิ่ การรู้รส การรู้
สัมผัสทางกาย และการรูอ้ ารมณท์ างใจ เรยี กว่า วญิ ญาณ ๖ ได้แก่
๑) จักขุวญิ ญาณ ความรูอ้ ารมณ์ทางตา คอื รู้รูปดว้ ยตา
๒) โสตวญิ ญาณ ความร้อู ามรณ์ทางหู คอื รูเ้ สยี งด้วยหู
๓) ฆานวญิ ญาณ ความร้อู ารมณ์ทางจมกู คอื รกู้ ล่นิ ด้วยจมกู
๔) ชวิ หาวิญญาณ ความร้อู ารมณ์ทางลนิ้ คือ รรู้ สด้วยลิ้น
๕) กายวญิ ญาณ ความรู้อามรณท์ างกาย คือ ร้โู ผฏฐพั พะดว้ ยกาย รสู้ กึ
สมั ผสั
๖) มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางใจ คือ ธรรมรมณ์ดว้ ยใจ รู้ความนกึ
คิด
ในแนวอภิธรรม ถือว่า วิญญาณ คือ จิต มีทั้งหมด ๘๙ ดวง แบ่งออกเป็น
๒ คอื
๑. จำแนกตามภูมิหรือระดับของจิต จัดเป็นกามาวจรจิต ๕๔ รูปหาวจร
จติ ๑๕
อรปู าวจรจติ ๑๒ โลกตุ รจิต ๘
๒. จำแนกตามคณุ สมบัติจัดเปน็ อกุศลจิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ วิบากจิต ๓๖
กิริยา ๒๐ ดังนั้น องค์ประกอบของขันธ์ ๕ ที่อาศัยเกี่ยวเนื่องกันและกัน
รูปขันธ์เป็นส่วนกาย นามขันธ์เป็นส่วนใจ หรือเรียกว่า กายกับ ใจ จึงจะ
เป็นชีวิต โดยกาย และ ใจจะทำงาสนประสานสอดคล้องสมดุลกัน ชีวิตจึง
จะอยู่ด้วยดี การไม่สมดุลของนาม และรูป เช่น มี ดวงตา แต่ไม่สามารถ
มองเห็นได้ มีหู แต่ไม่สามารถได้ยิน เป็นต้น และความไม่สอดคล้องของ
16 สงั คห.๗.
ธรรมประยกุ ต์ ๒๗
รูป เอง ก็ได้แก่ ความผิดปกติของธาตุ ๔ ถ้าไม่สมดุล ก็จะเกิดการเป็นไข้
ไม่สบายตัวร้อน หนาวสั่น เป็นต้น และถ้าความไม่สมดุลของนาม และรูป
กจ็ ะทำให้อารมณ์จติ ใจไมป่ กติ เชน่ คนไมส่ บายเป็นไข้ อารมณ์ เสีย กจ็ ะทำ
ให้ หงุดหงิด มองเหน็ อะไรเปน็ ขวางหขู วางตาไปหมด อย่างน้ีเปน็ ต้น ดังน้ัน
ชีวิต จึงจำเป็นต้องมีความสมดุลกันชีวิตถึงจะปกติ โดยกระบวนทางใจ
หรือกิจกรรมทางจิตจะมีผมสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และส่งเป็นปัจจัยแก่
กันดังมีกระบวนธรรมดังนี้ “เพราะผัสสะ (ตา หู ฯลฯ รูป เสียง ฯลฯ +
วิญญาณ) เป็นปัจจัยการเสวยอารมณ์ (เวทนา) จึงมี; บุคคลเสวย
อารมณ์ใด ย่อมหมายรู้อารมณ์นั้น (สัญญา) หมายรู้อารมณ์ใดย่อมตริ
ตรกึ อารมณน์ ัน้ (สงั ขาร)17.........”
17 ม.ม.ู ๑๒/๒๔๘/๒๒๕.
บทท่ี ๓
ธรรมชาติของชีวิต
ในโลกใบนี้มีสรรพสง่ิ เกดิ ข้ึน และดำเนนิ ตลอดเวลา มนษุ ยเ์ รากเ็ ฉกเช่นกันท่ี
กำลังดำเนินไปตามวิถีของมัน มนุษย์เองเป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งขององค์ประกอบของ
ธรรมชาติในโลกใบนี้ ที่สำคัญก็คือสิ่งที่อยู่ในโลกใบนี้ ๑. เป็นธรรมชาติ ๒. เกิดข้ึน
ดำเนินไปสลายไปตามกฎธรรมชาติ ๓.สรรพสิ่งจะต้องดำเนินชีวิต เพื่อความดำรง
อยู่ของเผ่าพันธุ์อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ ซึ่งในบทนี้เราจะศึกษาธรรมชาติของ
ชีวติ กนั ต่อไป
ธรรมชาตขิ องชีวติ
ชีวติ คือองค์ประกอบของกองขนั ธ์ ๕ ดงั ไดก้ ล่าวมาแล้ว เมื่อชีวิตมีก็จะเข้า
สู่กระแส แห่งธรรมชาติของชีวิต ชีวิตที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ สุดท้ายก็จะสลายเป็น
ธรรมชาติของชีวิตในทางพระพุทธศาสนาถือว่าธรรมชาติของชีวิตคือชีวิตมี
ธรรมชาติอยู่ภายใต้หลักของ ไตรลักษณ์ (The Three Characters of Existence)
ดงั พุทธพจนท์ ่แี สดงไว้วา่ 1 “ตถาคตทง้ั หลายจะอบุ ตั ิหรือไม่ก็ตามธาตนุ น้ั ก็ยงั คงมีอยู่
เปน็ ธรรมฐติ เิ ปน็ ธรรมนยิ ามว่า
๑. สงั ขาร2ทง้ั ปวง ไม่เทย่ี ง
๒. สงั ขารท้งั ปวง เปน็ ทกุ ข์
๓. ธรรมท้ังปวง เปน็ อนตั ตา
ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนี้แล้วจึงบอกแสดงวางเป็นแบบตั้งเป็นหลัก
เปิดเผยแจกแจงทำให้เข้าใจง่าย “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง....สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์....
ธรรมทง้ั ปวงเปน็ อนัตตา3.......”
1 พระราชวรมนุ ี(ประยตุ ทธ์ ปยุตโต). พุทธธรรม. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พร์ ุ่งวัฒนา. ๒๕๒๖.หนา้ ๖๘.
2 สังขารในไตรลักษณน์ ี้ มีความหมายตา่ งจากสงั ขารในขันธ์ ๕ คือ สังขารในไตรลกั ษณเ์ ป็นทั้ง รปู และนาม ส่วนสงั ขารในขนั ธ์
๕ จะเปน็ สงิ่ ท่ปี รงุ แตง่ จิต คอื เปน็ เฉพาะส่วนของ นามเทา่ น้ันเอง.
3 องฺ.ตกิ . ๒๐/๕๗๖/๓๖๘.
ธรรมประยกุ ต์ ๒๙
ธรรมชาติของชีวิตดังกล่าวนี้ ในขณะเดียวกันก็จะดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติ
แห่ง ไตรลกั ษณ์ หรือบางคร้ังมักจะใช้คำวา่ สามญั ญลักษณะ แปลวา่ ลักษณะทีท่ ิง้ ไป
หรอื เสมอกัน เหมอื นกนั แกส่ ง่ิ ทั้งปวง ไตรลกั ษณะ ๓ ดงั กลา่ วอธิบายไดด้ ังน้ี
๑. อนิจฺจตา(Impermanence) เรียกตามภาษาบาลีว่า อนิจฺจ หรือ อะ+
นิจ+จะ ภาษาไทยนิยมใช้คำว่า อนิจจัง เรียกเป็นคำศัพท์ตามภาษาบาลีว่า อนิจฺจตา
ลักษณะที่แสดงถึงความไม่เที่ยง เรียกเต็มศัพท์ว่า อนิจจลักษณะ ความไม่เที่ยง
ความไมค่ งที่ ความไมย่ ง่ั ยืน ภาวะที่เกิดข้นึ แล้วเส่อื มสลายไป
๒. ทุกขฺ ตา (Stress and Confict) เรียกตามศัพท์บาลี ทกุ ฺขตา (ทกุ +ขะ+
ตา) ภาษาไทยนิยมเรียกวา่ ทุกขงั ลกั ษณะท่แี สดงถึงความเปน็ ทุกข์ เรยี กเป็นศพั ท์วา่
ทุกข์ลักษณะ หมายถึงความเป็นทุกข์ ภาวะที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว
ภาวะที่กดดัน ฝืน และขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยท่ีปรุงแตง่ ให้มีสภาพเป็นอย่างนนั้
เปล่ยี นแปลงไป จะทำให้คงอยู่สภาพน้ันไมไ่ ด้ ภาวะทไ่ี ม่สมบูรณม์ ีความบกพรอ่ งอยู่ใน
ตัวไม่มีความสมยากแท้จริงหรือความพึงพอใจเต็มที่แก่ผู้อยาก ตัวตัณหา และ
กอ่ ใหเ้ กิดทกุ ขแ์ กผ่ ู้เขา้ ไป อยากเข้าไปยึดด้วยตัณหาอปุ าทาน
๓. อนตฺตา (Soullessness หรือ Non-Self) เป็นศัพท์บาลี อนตฺตา อ่าน
(อะ-นัด-ตา) ซึ่งลักษณะที่แสดงถึงความเป็นไม่มีตัวตน บุคคล เรา เขา สัพพสิ่งท้ัง
ปวงลว้ นบญั ญัตขิ ึ้นเท่าน้นั เรียกเป็นคำศัพทว์ า่ อนัตตลักษณะ
ชีวติ คือกฎธรรมชาติแหง่ ไตรลักษณะ
ชีวิตคือกฎธรรมชาติแห่งไตรลักษณะที่ว่า คือ ธรรมชาติของชีวิตดังท่ี
กลา่ วว่าธรรมชาตขิ องชวี ติ คอื ขนั ธ์ ๕ คอื รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
...เป็นอนัตตาคือเป็นกฎธรรมชาติ เพราะไม่สามารถทำความปรารถนาต้องการให้
เป็นอย่างนั้น มิให้เป็นอย่างนี้ชีวิตหรือขันธ์ ๕ เป็นไปในความเสื่อม อาพาธ ไม่มั่นคง
ไม่เที่ยงแท้(อนิจจตา) เมื่อมันเป็นไปไม่สมความต้องการ ความปรารถนา มันจึงเป็น
ทุกข์(ทุกขตา) ความเป็นทุกข์เป็นสิ่งที่มิต้องการ ไม่ปรารถนา ห้ามมิให้เกิดมิให้เป็น
ไม่ได้ ห้ามมิให้ขันธ์ ๕ เสื่อม เช่น ไม่ให้ ตาพร่าฟาง ให้ผิวเต่งตึง ฯลฯ เมื่อมิอาจเป็น
เช่นที่ต้องการ ที่ปรารถนานั่นก็แสดงว่า มันไม่ใช่อยู่ภายใต้อำนาจของเรา เมื่อมอง
ด้วยปัญญาจึงเห็นว่า นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา(อนัตตา) ดังพุทธจน์ที่
ตรัสว่า4 “สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ‘ยทนิจฺจํ ตํ
4 พระราชวรมนุ (ี ประยุตทธ์ ปยตุ โต). พุทธธรรม. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพร์ ุ่งวฒั นา. ๒๕๒๖.หนา้ ๗๐/๒๗.
ธรรมประยกุ ต์ ๓๐
ทุกฺขํ, ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตตา’” และมักมีข้อความที่ตรัสต่อไปอีกว่า “สิ่งใดเป็นอนัตตา,
สิ่งนั้นพึงเห็นดว้ ยสมั มาปัญญาตามที่มันเป็นว่า ‘นั่นไมใ่ ช่ของเรา, มิใช่เราเป็นนั่น, น่นั
ไม่เป็นตัวตนของเรา5’ หรือที่ตรัสในรูปคำถามคำตอบในที่หลายแห่งว่า “รูปฯลฯ
เที่ยงหรือไม่เที่ยง”เมื่อได้รับคำกราบทูลตอบว่า ไม่เที่ยง ก็ตรัสต่อไปว่า “ก็สิ่งใดไม่
เทย่ี งเปน็ ทกุ ข์ มคี วามแปรปรวน ไปได้เป็นธรรมดา ควรหรอื ทีจ่ ะมองเห็นสิ่งน้ันว่าน่ัน
ของเรา เราเปน็ นัน่ , นีเ่ ปน็ ตวั ตนของเรา6 ?
ลักษณะทั้ง ๓ จึงเป็นธรรมชาติ เป็นกฎธรรมชาติเกิดจากองค์ประกอบ
ตา่ งๆ จงึ เปน็ ไปตามเหตุปจั จยั ดงั น้ี
๑. ภาวะที่องค์ประกอบทั้งหลายเกิดสลายๆ องค์ประกอบทุกอย่างหรือ
กระบวนธรรมทั้งหมดไมค่ งท่ี = อนจิ จตา
๒.ภาวะท่อี งค์ประกอบทงั้ หลาย หรือกระบวนธรรมทง้ั หมดถูกบีบค้ันด้วยการ
เกิด สลายๆ ตอ้ งผันแปรไป ทนอยใู่ นสภาพเดมิ มิไดไ้ มค่ งตวั = ทุกขตา
๓. ภาวะท่ีเกิดจากองค์ประกอบทั้งหลายประมวลกันขึ้น ไม่มีตัวแกนถาวรที่จะ
บงการต้องเปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั ไม่เป็นตัว = อนตั ตา
ประโยชนข์ องการเรียนรูเ้ รอ่ื งไตรลกั ษณ์
๑. ประโยชน์ของการเรียนรู้เรื่องอนิจจัง เมื่อได้เรียนรู้ความไม่เที่ยงของ
สง่ิ ทั้งปวงแลว้ จะได้ประโยชน์หลายประการ ดงั น้ี
ก. ความไม่ประมาท ทำให้คนไม่ประมาทมัวเมาในวัยว่ายังหนุ่มสาว ใน
ความไม่มีโรคและในชีวิต เพราะความตายอาจมาถึงเมื่อไรก็ได้ไม่แน่นอน ทำให้ไม่
ประมาทในทรัพย์สิน เพราะคนมีทรัพย์อาจกลับเป็นคนจนได้ ทำให้ไม่ดูหมิ่นผู้อ่ืน
เพราะผู้ที่ไร้ทรัพย์ ไร้ยศ ต่ำต้อยกว่า ภายหน้าอาจมีทรัพย์ มียศ และเจริญรุ่งเรือง
กวา่ กไ็ ด้ เม่ือคิดได้ดังนี้จะทำใหส้ ำรวมตน ออ่ นน้อม ถ่อมตน ไมย่ โสโอหัง วางทา่ ใหญ่
ยกตนขม่ ท่าน
ข. ทำให้เกิดความพยายาม เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า เพราะรู้ว่าถ้าเรา
พยายามก้าวไปขา้ งหน้าแล้วชีวติ ยอ่ มเปล่ียนแปลงไปในทางที่ดี
5 เช่น สํ.สฬ. ๑๘/๑/๑.
6 เชน่ สํ.ข.๑๗/๑๒๘/๘๓.
ธรรมประยกุ ต์ ๓๑
ค. ความไมเ่ ทยี่ งแท้ ทำใหร้ สู้ ภาพการเปลยี่ นแปลงของชีวติ เมอ่ื ประสบ
กับสง่ิ ไมพ่ อใจ ก็ไมส่ ิน้ หวังและเป็นทกุ ข์ ไมป่ ลอ่ ยตนไปตามเหตุการณน์ ้นั ๆ จนเกินไป
พยายามหาทางหลกี เล่ียงสง่ิ ทีไ่ ม่ดี
๒. ประโยชน์ของการเรียนรู้เรื่องทุกขัง เมื่อผู้ใดได้เรียนรู้เรื่องความทุกข์
แล้ว จะรวู้ า่ ความทุกขเ์ ปน็ ของธรรมดาประจำโลกอย่างหนึ่งซงึ่ ใคร ๆ จะหลีกเลี่ยงได้
ยาก ต่างกันก็แต่เพียงรูปแบบของทุกข์นั้น เมื่อความทุกขเ์ กิดขึน้ แกช่ ีวิต ผู้มีปัญญา
ตรองเห็นความจริงว่าความทุกข์เป็นสัจจธรรมอย่างหนึ่งของชีวิต ชีวิตย่อมระคน
ด้วยทุกข์เป็นธรรมดา เมื่อเห็นเป็นธรรมดา ความยึดมั่นกม็ ีนอ้ ย ความทุกข์สามารถ
ลดลงได้หรืออาจหายไปเพราะไม่มีความยึดมั่น ความสุขที่เกิดจากการปล่อยวาง
ย่อมเป็นสขุ อันบริสุทธ์ิ
๓. ประโยชน์ของการเรยี นรูเ้ รอื่ งอนัตตา การเรียนรเู้ รื่องอนตั ตา ทำใหเ้ รา
ร้คู วามจรงิ ของส่ิงทง้ั ปวง ไมต่ ้องถกู หลอกลวง จะทำให้คลาย ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ ทำ
ให้ไม่ยึดมั่น เบากาย เบาใจ เพราะเรื่องอนัตตาสอนให้เรารู้ว่า สังขารทั้งปวง เป็นไป
เพื่ออาพาธ ฝืนความปรารถนา บังคับบัญชาไม่ได้อย่างน้อยที่สุดเราจะต้องยอมรับ
ความจริงอย่างหนึ่งว่า ตัวเราเองจะต้องพบกับธรรมชาติแห่งความเจ็บปวด ความ
แก่ชรา และความตายละพรากจากครอบครัวและญาติพี่น้องตลอดจนทุกสิ่งทุก
อยา่ ง
ธรรมชาตชิ ีวติ ในปฏิจจสมุปบาท
ความหมายของปฏิจจสมปุ บาท
ปฏจิ จสมุปบาท ประกอบด้วยคำ ๓ คำ ได้แก่ ปฏจิ จฺ แปลวา่ อาศัยกนั สํ
แปลว่า พร้อม และ อุปฺปาท แปลว่า เกิดขึ้น ซึ่งแปลตามรูปศัพท์แปลว่า สิ่งหนึ่งส่ิง
ใดนั้นย่อมมีปัจจัยต่างๆ ช่วยหนุนในลักษณะที่เป็นเหตุเป็นผลอย่างหนึ่งอย่างใด
เท่าน้ัน มันจะเป็นทงั้ ตวั เหตแุ ละตัวผล ข้ึนอย่กู บั เง่อื นไขวา่ มนั จะเปน็ ตวั เหตเุ ม่ือใด หรือ
จะเปน็ ตัวผลเมอื่ ใด ดงั น้ัน ปจั จัยละตัวก็มลี กั ษณะ เช่นนที้ ำการสนับสนนุ เกือ้ กูล และ
ต่อเนื่องเชื่อมโยง กันเป็นวงจร เมื่อสิ่งใดที่เราเรียกว่า “เกิด” ก็หมายถึงการประชุม
พร้อมของปัจจัยต่างๆ ในทางตรงกันข้ามเมื่อสิ่งใดเราเรียกว่า “ดับ” หรือ สลาย ก็
หมายถึงการแยกจากกันของปัจจัยต่างๆ ซึ่งปัจจัยเหตุน้ีมันกลับกันสู่สภาวะเดิมของ
มัน วงจรก็จะถูกปิดชว่ งไป
ธรรมประยกุ ต์ ๓๒
คำไวพจน์ของปฏจิ จสมปุ บาท
๑.อทิ ัปปจั จยตา (ภาวะทม่ี ีอยา่ งนี้ ๆ เปน็ ปัจจัย/specific conditionality)
๒. ธรรมนิยาม (ความเป็นไปอันแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ/
Orderliness of nature, National law)
๓. ภวจักร (วงล้อแหง่ ภพ/the Round of Existence)
๔.สังสารจักร (วงล้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลก/the Wheel of
Rebirth)
๕.วฏั ฏจักร (วงล้อแห่งการเวยี นเกิดเวยี นตาย/Cycle of Rebirth)
๖.ไตรวัฎฎ์ (วงวน ๓) วงจร ๓ ส่วนของปฏิจจสมุปบาท ซึ่งหมุนเวียนสืบ
ทอดตอ่ ๆ กันไป ทำใหเ้ กดิ วงจรแหง่ ทกุ ข์ ได้แก่ กิเลส กรรม และวิบาก
องค์ประกอบของ ปฏิจสมุปบาท ๑๒ ได้แก่
๑. อวิชชา (Ignorance) คือความไม่รู้ ไม่รู้ตามความเป็นจริงการไม่ใช้
ปัญญา ความไม่รู้ตามความเป็นจริงไมร่ ู้ในอริยสัจจ์ ๔ ไม่รู้ในความทกุ ข์ของจิต ไม่รู้
ในเหตุให้เกิดแห่งความทุกข์ ไม่รู้ในการดับทุกข์ ไม่รู้ในปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์
อวชิ ชาเป็นจติ ท่ไี มร่ จู้ ิตในจิต เพราะความไม่รู้หรืออวชิ ชาเป็นปัจจยั จึงเกดิ มีสงั ขาร
๒.สังขาร (Karma-formations) การคิดปรุงแต่ง เจตน์จำนง จิตนิสัย
และทุกสิ่งที่จิตได้สั่งสม อบรมไว้ การปรุงแต่งของจิตให้เกิดหน้าท่ี ทางกาย - เรียก
กายสังขาร ได้แก่ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งร่างกายให้เกิดลมหายใจเข้าออก ทางวาจา -
เรียกวจีสังขาร ได้แก่ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งวาจาให้เกิดวิตกวิจาร ทางใจ - เรียกจิต
สังขาร ได้แก่ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดสัญญา เวทนา สุข ทุกข์ทางใจ สภาพท่ี
ปรุงแต่งผลแห่งการ กระทำของบุคคล, เจตนาที่เป็นตัว การในการทำกรรม มี ๓
อย่างคือ ๑. ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารที่เป็นบุญ ๒. อปุญญาภิสังขาร อภิสังขารท่ี
เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญ คือ บาป ๓. อาเนญชาภิสังขาร อภิสังขารที่เป็นอเนญชา คือ
กุศลเจตนาทีเ่ ป็นอรปู าวจร ๔; เรยี กง่าย ๆ ไดแ้ ก่ บุญ บาป ฌาน เพราะการปรุงแต่ง
ของจิตหรอื สังขารเปน็ ปัจจยั จึงเกดิ มวี ิญญาณ
๓. วิญญาณ (Consciousness) คือ ความรู้ต่อโลกภายนอกการรับรู้ใน
อารมณ์ที่มากระทบในทวารทั้ง ๖ คือ ทางตา - จักขุวิญญาณ ทางเสียง - โสต
วิญญาณ ทางจมูก - ฆานวิญญาณ ทางลิ้น - ชิวหาวิญญาณ ทางกาย - กาย
วิญญาณ ทางใจ - มโนวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปจั จยั จึงมีนามรูป
ธรรมประยกุ ต์ ๓๓
๔. นามรูป (Mind and Matter) คือ องคาพยพ ส่วนประกอบของชีวิต
กาย และจิต นาม คือ จิตหรือความนกึ คิด ในรูปกายนี้ เป็นของละเอียดได้แก่ เวทนา
คือ ความรู้สึกเสวยในอารมณ์ต่างๆ สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ จดจำในเรื่องที่
เกิดขึ้นมาแล้วทั้งดีและไม่ดีดังแต่อดีต เจตนา คือ ความตั้งใจ การทำทุกอย่างทั้งดี
และชั่ว ผัสสะ คือ การกระทบทางจิต มนสิการ คือ การน้อมจิตเข้าสู่การพิจารณา
รูป คือ รูปร่างกายที่สัมผัสได้ทางตา เป็นของหยาบ ได้แก่ มหาภูตรปู 4 คือ ดิน, น้ำ,
ไฟ, ลม เพราะนามรูปเกิด จึงป็นปัจจัยใหม้ ีสฬายตนะ คือ ตา จมูก ลิน้ กาย ใจ
๕. สฬาตนะ (The Six sense-bases) คือ สื่อแห่งการับรู้สิ่งที่ทำหน้าท่ี
เชื่อมต่อกันทางวิถีประสาทด้วยอายตนะทั้ง 6 มี ตา - จักขายตนะ หู - โสตายตนะ
จมูก - ฆานายตนะ ลิ้น - ชิวหายตนะ กาย - กายายตนะ ใจ - มนายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจยั จึงมีผัสสะ
๖. ผัสสะ (Contact) คือการรับรู้ การติดต่อกับโลภภายนอก การ
ประกอบอารมณ์การกระทบกับสิ่งที่เห็นรู้ทุกทวารทั้งดีและไม่ดี เช่น จักขุผัสสะ -
สัมผัสทางตา โสตผัสสะ - สัมผัสทางเสียง ฆานผัสสะ - สัมผัสทางจมูก ชิวหาผัสสะ
- สัมผัสทางล้ิน กายผสั สะ - สัมผัสทางกาย มโนผัสสะ–สัมผสั ทางใจเพราะผสั สะเปน็
ปัจจัยจึงมเี วทนา
๗. เวทนา (Feeling) คือ ความรู้สึกเสวยอารมณ์พอใจ, ไม่พอใจและ
อารมณ์ที่เป็นกลางกับสิ่งที่มากระทบพบมาได้แก่ จักขุสัมผัสสชาเวทนา - ตา โสต
สัมผสั สชาเวทนา - เสียง ฆานสมั ผสั สชาเวทนา - จมกู ชวิ หาสมั ผสั สชาเวทนา - ล้ิน
กายสัมผสั สชาเวทนา - กาย มโนสมั ผัสสชาเวทนา - ใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็น
เคร่ืองรับของความรู้สึกตา่ งๆ เพราะเวทนาเปน็ ปัจจยั จึงมตี ณั หา
๘. ตัณหา (Craving) คือ ความทะยานอยาก พอใจ และไม่พอใจในสิ่งที่
เห็นรู้ใน รูป - รูปตัณหา เสียง - สัททตัณหา กลิ่น - คันธตัณหา รส - รสตัณหา
กาย - โผฎฐัพพตัณหา ธรรมารมณ์ - ธัมมตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมี
อปุ าทาน
๙. อุปาทาน (Attachsnent; Clinging) คือ ความยึดมั่นถือมั่นใน
อารมณ์ และที่เกิดขึ้นในขันธ์ ๕ มี ๔ เหล่า คือกามุปาทาน ๑) ความยึดมั่นถือม่ัน
ในวัตถุกามทิฎฐุปาทาน ๒) ความยึดมั่นถือมั่นในการเห็นผิดสีลัพพตุปาทาน
๓) ความยึดมั่นถือมั่นในการปฎิบัติผิดอัตตวาทุปาทาน ๔) ความยึดมั่นถือมั่นใน
ตวั ตนในขนั ธ์ ๕ เพราะอปุ ทานเปน็ ปัจจยั จงึ มีภพ
ธรรมประยกุ ต์ ๓๔
๑๐. ภพ(Becoming) คือ ภาวะชีวิตที่เป็นอยู่ในโลกนี้ก็จะหมายถึง
บุคลิกภาพ กระบวนพฤติกรรมทั้งหมดของบุคคล จิตที่มีตัณหาปรุงแต่ง เกิดอยู่ใน
จิตปุถุชนผู้หนาแน่นในตัณหา ๓ เจตจำนงในการเกิดใหม่ ความกระหายในความเป็น
เพราะยึดติดในรูปในสิ่งที่ตนเองเคยเป็น มี ๓ ภพ คือกามภพ - ภพมนุษย์, สัตว์
เดรัจฉาน, เทวดารูปภพ - พรหมที่มีรูปอรูปภพ – พรหมที่ไม่มีรูป เพราะภพเป็น
ปัจจยั จงึ มชี าติ
๑๑. ชาติ (Birth) คือ ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง ได้แก่ จิตท่ี
ผูกพนั กนั มากๆจงึ เกดิ การสมส่กู นั อย่างสม่ำเสมอ จนปรากฎแห่งขนั ธ์ แห่งอายตนะ
ในหมู่สัตว์ เพราะชาติเปน็ ปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกปริเทวะทุกขโทมมัส อุปายาส มี
ความเศร้าโศก เสยี ใจ รอ้ งไห้อาลัย อาวรณ์
๑๒. ชรา มรณะ(Decay and Death) ชรา คือ ความแก่ ภาวะของผม
หงอก ฟันหลุด หนังเหี่ยวย่น ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ของอินทรีย์ เป็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์อยู่ในตัว มรณะ คือ ความเคลื่อน ความทำลาย
ความตาย ความแตกแหง่ ขนั ธ์ ความขาดแหง่ ชวี ิตินทรีย์
ภาพแสดงวฎั ฎจกั ร แห่งปฏจิ จสมปุ บาท
ธรรมประยกุ ต์ ๓๕
อนสิ งสก์ ารเรยี นรู้ปฏจิ จสมปุ บาท
๑.รู้สภาวะธรรมของตนเอง สามารถวิเคราะห์หาเหตุและผลได้ตลอดจน
เข้าใจธรรมอื่นดีขึ้น สมดังพุทธพจน์ที่กล่าวว่า "ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่า
เหน็ ธรรม"
๒.เมื่อเข้าใจกระบวนการเกิดทุกข์แล้ว ย่อมมีความมั่นใจและรู้หนทางแก้ไข
ทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือจะเกิดขึ้นอย่างได้ผลถูกต้องที่เหตุปัจจัยตรงจุด เหมือนดั่งมี
แผนที่ในมือย่อมไม่หลงทาง หรือถ้าหลงทางก็จะตรวจสอบและ "รู้"ตัวอย่างรวดเร็ว
และเดินทางกลับไปสู่จุดหมายถูก จึงเปรียบประดุจดั่งมีแผนดังกล่าว เพราะมีแก่น
ธรรมอันสูงสุดเปน็ บรรทัดฐานใหต้ รวจสอบการปฏิบัติ
๓. มีความเข้าใจในมหาสติปัฏฐาน ๔ เองโดยไม่ได้พิจารณาปฏิบัติมาก(แต่
ต้องฝกึ สติ และต้องใหม้ ีสตอิ ยา่ งต่อเนื่อง ปฏิบัตใิ นชีวติ ประจาํ วัน ไม่ใชเ่ ฉพาะเวลานั่ง
สมาธิ)โดยเฉพาะเวทนานุปัสนาเพราะเข้าใจเวทนา และที่ชัดเจนอีกส่ิงคือจิตตานุปัสส
นา เกิดอาการเห็นจติ ในจิตดง่ั พทุ ธพจน์ท่ีกลา่ วในจติ ตานุปัสนาวา่ "จิตมี โมหะ โทสะโล
ภะก็รู้ชัดว่าจิตมี, จิตไม่มี โมหะ โทสะโลภะก็รู้ชัดว่าจิตไม่มี" ตลอดจนเห็น(เข้าใจ)ทั้ง
ภายใน(ตัวเอง)และภายนอก(บุคคลอื่น) เนื่องจากเข้าใจในสภาวธรรมต่างๆ ดีขึ้นทํา
ให้รู้ถึงสภาวะตนเองและบุคคลอื่นเพราะธรรมใดเป็นเหตุ ทําให้เข้าใจตนเองและผู้อ่ืน
อย่างถกู ตอ้ งตามความเป็นจรงิ มากขนึ้
๔. กําจัด "วิจิกิจฉา" คือความสงสัยที่มีซ่อนอยู่ลึกๆ หรือความไม่เข้าใจใน
พระธรรมคําสอนใหพ้ ้นทุกข์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดสิ้น รู้ถึงพุทธ
ประสงคใ์ นการส่ังสอนสรรพสัตว์
๕. ได้สัมผัส นิโรธ บางส่วน มีอาการเบากายเบาใจอย่างไม่เคยประสบมา
ก่อนโดยไม่ได้ปฏิบัติใดๆเน่ืองจากทกุ ข์หายไปและไม่พอกพูนหรือก่อกวนอาสวะกิเลส
ขึ้นมา เข้าใจคําว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตลอดจนมีความเชื่อมั่น, กําลังจิต, กําลังใจ,
มองเห็นทางสู่จดุ หมายปลายทางอันคอื "นิโรธ" ว่าเป็นไปได้ ไม่ใช่สิ่งเพ้อฝันอีกต่อไป
และไมใ่ ช่เรื่องบญุ บารมีเกา่ แต่เกิดแต่กรรมการกระทําท่ีมีเจตนาในปัจจุบัน
๖. ไม่เอาเวทนาทั่วๆไป มาก่อเป็นทุกข์โดยไร้สาระ เพราะไม่ทราบเหตุ และ
ความไม่เข้าใจอย่างในอดีต(อวชิ ชา) เนื่องจากแยกแยะและเข้าใจเวทนาไดอ้ ยา่ งชดั เจน
ขึ้น ทุกข์เกิดจากเหตุนี้มีเป็นจํานวนมากมายจริงๆ เกิดจากความไม่เข้าใจและวาด
ภาพการพ้นทุกข์เป็นแบบเพ้อฝันหรือสีลัพพตุปาทาน คือไม่เข้าใจคําว่า "เหตุแห่ง
ทกุ ขน์ น้ั มอี ยู่ แต่ไมม่ ีผูร้ ับผลทุกขน์ นั้ "
ธรรมประยกุ ต์ ๓๖
๗. เข้าใจใน สีลัพพตปรามาส อย่างถูกต้อง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ
ปัจจัย ไม่มีสิ่งใดดลบันดาลในทุกๆสิ่ง แม้แต่ทุกข์ เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา ทําให้
หมดความยึดมั่นในศีลและพรตข้อปฏิบัติที่งมงาย อันเนื่องจากไปยึดมั่นไว้เพื่อเป็น
กําลังขวัญ กาํ ลงั ใจ อย่างผดิ ๆ
๘. ลดละสักกายทิฎฐิ จากการเห็นและเข้าใจความเห็นแก่ตัวตนของตนเอง
คือ อุปาทานอันยึดมั่นในความยินดีพึงพอใจของตนเองเป็นหลัก อันก่อให้เกิด
ความเห็น,ความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริง เรานั่นแหละเห็นแก่ตัวตนของ
ตนเองท้งั ต่อกายและจิตมากที่สุด เหนือกว่าสิ่งใดๆ ตลอดจนความเข้าใจในเหตุปัจจัย
อันยังให้ทราบถึงสภาพอันเป็นตัวตนล้วนแต่เกิดแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่งประชุม
กนั ประดุจดั่งแสงแดด แวน่ ขยาย เชอื้ ไฟ ฯลฯ.
ข้อควรระวังในการโยนิโสมนสิการปฏิจจสมุปบาท เทา่ ทีส่ งั เกตพบเม่ือ
มีความเข้าใจในปฏิจจสมุปบาทส่วนหนึ่งแล้วจะเกิดอาการเบาสบายทั้งกายและใจ
ถึงแม้เป็นแก่นธรรมแท้แต่ก็บังเกิดได้เช่นกัน เพราะบังเกิดแก่ผู้ได้วิปัสสนาเป็น
ธรรมดา ทําให้เข้าใจว่าตนเองนั้นเข้าใจธรรมนี้แทงตลอดแล้ว(ดูอาการ"ญาณ"ใน
วิปัสสนูปกิเลส) เพราะอาการดังกล่าวทําให้หลงหยุดการโยนิโสมนสิการหรือการ
ปฏบิ ัตเิ สีย และเกดิ อาการอื่นๆ จนพระพุทธองค์ไดท้ รงตรสั แยง้ ข้อกราบทูลนั้น ดัง
ความที่กล่าวมาแล้ว ทําให้บางท่านหยุดการพิจารณาธรรมหรือปฏิบัติ และเกิด
อาการอื่นๆ ทําให้ไม่แทงตลอดในธรรมนี้จริงๆ อย่างน่าเสียดาย แต่ก็ไม่ร้ายแรง
เทา่ กบั เกดิ จากฌานหรอื สมาธิโดยตรง เหมอื นในวปิ สั สนปู กิเลส อาการเบาสบายนี้
เป็นอาการปกติเริ่มแรกเพราะใจที่เป็นทุกข์ลดน้อยลงจากปัญญาที่เกิดขึ้นในการเหน็
ตามความเปน็ จริงในปฏิจจสมปุ บาท ทําใหร้ ้สู กึ แตกต่างจากสภาพเดิมๆมาก อาจ
ทําให้เกิดอาการญาณหรือปัสสัทธิในวิปัสสนูปกิเลสขึ้น ได้จากรู้สึกสงบกาย สงบใจ
จนเกิดความเข้าใจผิดเป็นวิปัสสนูปกิเลส หรืออาจเกิด วิปัสสนูปกิเลส ตัวอื่นๆ อย่า
ไปหลง เป็นแต่แคเ่ วทนาหรือสังขารอันไมเ่ ทย่ี ง, ทนอยไู่ มไ่ ดจ้ ักเปน็ ทุกขถ์ า้ ไปยึดไปยาก
และเปน็ อนัตตา เท่านนั้ และ อย่าได้ไปยึดติดยึดถือคอยเสพสัมผัสความเบากาย
,เบาใจ เพราะยังอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์เช่นกัน จนกว่าสภาพ "นิโรธ" จักบังเกิด
อย่างมั่นคงถาวร
ธรรมประยกุ ต์ ๓๗
ธรรมชาตเิ หตุผลความจรงิ ของชวี ิต
ชีวิตคนเราในแง่ทางพระพุทธศาสนาสอนเรื่อง ทุกข์ เป็นเรื่องแรกคือให้
ร้จู ักทกุ ข์เพราะทุกขเ์ ป็นผลทีม่ ีเหตุตา่ งๆ ทีท่ ำให้เกดิ เรอ่ื งราว ไม่มมี าร พระพุทธเจ้าก็
ไมเ่ กิด ไมม่ บี าป ก็ไมม่ ี บญุ ไม่มีอกุศล กไ็ ม่มีกศุ ล เปน็ ตน้ เหน็ เปน็ เหตุ เป็นผลอย่างนี้
ถา้ ปัญญานอ้ ยก็จะเห็นว่ามันเกดิ ความสลบั ซบั ซ้อนในการดำรงชีวติ ความเห็นแก่ตัว
เพื่อประโยชนข์ องตนพวกพ้อง ความต้องการทะยานยาก ก่อให้เกิดความเดอื ดร้อน
ตนเอง เกิดกมาเบียดเบียนผู้อื่น เป็นอยู่ก็ไม่เปน็ สุข แต่ถ้าไม่เห็นแกต่ น เสียสละความ
นไ้ี ม่ทำใหเ้ กิดความทุกข์ ไมเ่ กดิ ปัญหา จึงต้องนำคุณธรรมเหลา่ น้ันมาใส่ใจเพ่ือปฏิบัติ
ตอ่ กันจะได้ไม่ทุกข์ จะไดไ้ มเ่ กดิ ปญั หา น่ีคอื วธิ กี ารทจี่ ะดับซง่ึ ความทกุ ข์ ปัญหา ความ
วุ่นวายของชีวิต ธรรมอันเป็นเหตุเป็นผลเป็นความจริงแก้ทุกข์ได้กฎนี้เรียกว่า กฎ
แห่งธรรมอริยสัจจ์ ๔
ความสำคญั ของอรยิ สัจจ์ ๔
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมอันนี้ที่เรียกว่า อริยสัจจ์ ๔ หรือ จตุราริยสัจ
(จตฺตาริ อริยสจฺจานิ) ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในปฐมเทศนาแก่สหายเก่าของ
พระองค์ คือ ปญั จวัคคยี ์ ท่ีป่าอสิ ิปตนะ (ปจั จุบันเรยี กวา่ สารนาถ) ใกลเ้ มอื งพารณสี
ธรรมนชี้ ือ่ ไดว้ ่าเป็นหวั ใจของพระพุทธศาสนาท่มี ีความสำคญั ทส่ี ุด ได้แก่
๑. ทุกขสัจ ความจริงของทุกข์ ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ
ต่างๆ พระพุทธองค์ทรงพบความจริงว่า สรรพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนตกอยู่ในความ
ทุกข์ จะเปน็ มหาเศรษฐี เป็นนายกรฐั มนตรี เป็นประธานาธิบดี เป็นพระเจ้าจกั รพรรดิ
ก็มีทุกข์ทั้งนั้น ต่างแต่เพียงว่าทุกข์มากหรอื ทุกขน์ ้อย และมีปัญญาพอที่จะรู้ตัวหรือ
เปลา่ เทา่ นั้น พระองคไ์ ด้ทรงแยกแยะใหเ้ ราเห็นว่า ความทุกขน์ ีม้ ีถึง ๑๑ ประเภทใหญ่ๆ
ดว้ ยกนั แบง่ ออกเป็น ๒ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่
๑. สภาวทุกข์ คือทุกข์ประจำ เป็นความทุกข์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็น
สภาพธรรมดาของสัตว์ซง่ึ เม่ือเกิดแล้วตอ้ งมี ทกุ ขช์ นดิ นมี้ ี ๓ ประการได้แก่
ก.ชาติ การเกดิ
ข. ชรา การแก่
ค.มรณะ การตาย
ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา อย่างมากที่สุดก็บอกได้
เพยี งวา่ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เปน็ ทกุ ข์ สว่ นการเกดิ กลบั ถอื วา่ เปน็ สุข เป็น
พรพิเศษที่พระเจ้าทรงประทานมาจากสรวงสวรรค์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้
ธรรมประยกุ ต์ ๓๘
แจ้งโลกด้วยดวงปัญญาอันสว่างไสว และชี้ให้เราเห็นว่า การเกิดนั่นแหละเป็นทุกข์
ทุกข์ตั้งแต่ต้องขดอยู่ในท้อง พอจะคลอดก็ถูกมดลูกบีบรีดดันออกมา ศีรษะนี่ถูก
ผนังช่องคลอดบีบจนกะโหลกเบียดซ้อนเข้าหากัน จากหัวกลมๆ กลายเป็นรูปยาวๆ
เจบ็ แทบขาดใจ เพราะฉะน้นั ทนั ทที ่คี ลอดออกมาได้ สง่ิ แรกที่เด็กทำคอื ร้องจา้ สดุ เสียง
เพราะความเจ็บ และการเกิดนี่เองที่เป็นต้นเหตุ เป็นที่มาของความทุกข์อื่นๆ ทั้งปวง
ถ้าเลิกเกิดไดเ้ มอ่ื ไหรก่ ็เลิกทุกข์เม่ือนั้น อีกอย่างหน่ึงทค่ี นมกั เข้าใจไขวเ้ ขวกันกค็ อื คิด
ว่าชราทุกข์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออายุ ๖๐-๗๐ ปี แต่จริงๆ แล้วทันทีที่เราเริ่มเกิด เราก็
เริ่มแก่แล้ว ชราทุกข์เริ่มเกิดตั้งแต่ตอนนั้น และค่อยๆ เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ใน
ร่างกายเรมิ่ แกต่ ัวไปเรอ่ื ยๆ เร่อื งนเี้ ท็จจรงิ อย่างไรเห็นดว้ ยหรือไม่
๒.ปกิณณกทุกข์ คือทุกข์จร เกิดกับแต่ละคนด้วยระดับที่ต่างกันไป ไม่
แน่นอน เป็นความทุกข์ที่เกิดจากจิตใจหย่อนสมรรถภาพ ไม่อาจทนต่อเหตุการณ์
ภายนอกที่มากระทบตัวเราได้ ผู้มีปัญญารู้จักฝึกควบคุมใจตนเอง ก็จะสามารถ
บรรเทาจากทุกข์ชนิดนีไ้ ด้ ทุกขจ์ รนี้มอี ยู่ ๘ ประการ ได้แก่
๑. โสกะ ความโศก ความแห้งใจ ความกระวนกระวาย
๒. ปริเทวะ ความครำ่ ครวญรำพนั
๓. ทกุ ขะ ความเจ็บไขไ้ ด้ปว่ ย
๔. โทมนสั สะ ความน้อยใจ ขง้ึ เคียด
๕. อุปายาสะ ความทอ้ แทก้ ลุ้มใจ ความอาลัยอาวรณ์
๖. อัปปิเยหิ สมั ปโยคะ ความขัดขอ้ งหมองมวั ตรอมใจ จากการ
ประสบส่ิงทไ่ี ม่เปน็ ที่รัก
๗. ปิเยหิ วปิ ปโยคะ ความโศกเศร้าโศกาเม่อื พลัดพรากจากของรกั
๘. ยัมปจิ ฉัง น ลภติ ความหม่นหมองจากการปรารถนาสง่ิ ใดแลว้
ไมไ่ ด้ส่ิงนนั้
น่ีคอื ผลการวิจัยเร่อื งทุกขข์ องพระสัมมาสมั พุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็น
เหมือนแพทย์ผู้ชำนาญโรค สามารถแยกแยะอาการของโรคให้เราดูได้อย่าง
ละเอียดชัดเจน
“ทุกขฺ ํ อรยิ สจจฺ ํ ปริญฺเญยยฺ ํ อริยสจั จ์ คือทุกข์ อันเราพงึ กำหนดรู้7”
7 ส.ํ ม. ๑๙/๑๖๖๖/๕๒๙
ธรรมประยกุ ต์ ๓๙
๒ สมุทัยสัจ คือเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลายดังกล่าวข้างต้น ผู้ที่ฝึกสมาธิ
มาน้อย หาเหตุแห่งความทุกข์ไม่เจอ จึงโทษไปต่างๆ นานา ว่าเป็นการลงโทษ ของ
พระเจา้ บ้าง ของผปี า่ บา้ ง ซ่งึ ถา้ เป็นจรงิ ละก็ ผปี ่าตนน้คี งใจร้าย เทีย่ วไปรังแกคนโน้น
คนน้ที ้ังวนั ให้เขามีทุกข์ หน้าคงไมพ่ สิ มยั ท้ังวัน แตพ่ ระสมั มาสัมพุทธเจา้ ทรงฝึกสมาธิ
มามาก ใจของพระองค์จึงใสสว่าง เกิดปัญญามองเห็นความจริง อย่างชัดเจนว่า ท่ี
เราทุกข์ๆ กันอยู่นี่ สาเหตุมาจาก ตัณหา คือความทะยานอยาก ที่มีอยู่ในใจของเรา
เอง แบง่ เปน็ ๓ ประเภท คอื
ก. กามตัณหา ความอยากได้ เช่น อยากได้เงิน อยากได้ทอง อยาก
สนุก อยากมีเมียน้อย อยากให้คนชมเชยยกย่อง อยากได้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผสั
อารมณท์ นี่ ่าพอใจ แยกออกได้ ๒ อยา่ ง คอื
๑. วัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เครื่องนุ่งห่ม
บ้านเรือน หรอื วตั ถุอ่นื อนั เป็นทีต่ ัง้ แห่งความกำหนัด นา่ ใคร น่าพอใจ
๒. กิเลสกาม ได้แก่ความพอใจรัก ความปรารถนาความยึดใน
กาม ในอภิธรรมแบง่ ออกเป็น ๑๐
๑)โลภกเิ ลส ความเศรา้ หมอง เร่าร้อน อนั เกดิ จากความยินดอี ารมณ์
๒) โทสกเิ ลส ความเศร้าหมองเราร้อนอนั เกดิ จากความไม่ชอบใจ
๓) โมหกิเลส ความเศรา้ หมองเร่าร้อนเพราะมัวเมาปราศจากสติ
๔) มานกิเลส ความเศรา้ หมองเรา่ ร้อนเพราะทะนงถอื ตน
๕) ทิฏฐกิ ิเลส ความเศรา้ หมองรา่ รอ้ นเพราะเห็นผิดจากจรงิ
๖) วจิ ิกจิ ฉากเิ ลส ความเร่าร้อนเพราะความลังเลสงสัย
๗)ถีนกิเลส ความเศร้าหมองเร่าร้อนเพราะหดหทู่ อ้ ถอย
๘) อุทธจั จกิเลสความเศร้าหมองเรา่ ร้อนเพราะฟุง้ ซา่ น
๙) อหิริกเิ ลส ความเศร้าหมองเร่ารอ้ นเพราะไมล่ ะอายตอ่ บาป
๑๐) อโนตตปั ปกเิ ลส ความเศร้าหมองเร่าเพราะไม่เกรงกลวั ผลบาป
ข. ภวตณั หา ความอยากเปน็ เช่น อยากเป็นนายกรัฐมนตรี อยากเป็น
ใหญ่เป็นโต อยากเปน็ นายพล อยากเปน็ คุณหญงิ ฯลฯ
ค. วภิ วตณั หา ความอยากไมเ่ ปน็ เชน่ อยากไมเ่ ปน็ คนจน อยากไมเ่ ป็น
คนแก่ อยากไม่เป็นคนขี้โรค ฯลฯ มนุษย์เราเกิดมาจากตัณหา ลอยคออยู่ในตัณหา
เคยชินกับตัณหา คุ้นเคยกันกับตัณหา จนเห็นตัณหาเป็นเพื่อนสนิท กินด้วยกัน อยู่
ด้วยกัน ถ้าขาดตัณหาแล้ว เขากลัวว่าจะขาดรสของชีวิตที่เคยได้ เคยอยู่ เคยเป็น
ธรรมประยกุ ต์ ๔๐
แต่ตามความเป็นจริง ตัณหานั้นถา้ เปน็ เพ่อื นกค็ อื เพอ่ื นเทียม ที่คอยหลอกล่อนำทกุ ข์
มาให้เราแล้วก็ยืนหัวเราะชอบใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหมือนแพทย์ผู้ชำนาญ
ทรงแยกแยะสาเหตุของโรค สาเหตุของทุกข์ ให้เราเห็นว่ามาจากอะไร เชื้อโรคชนิด
ไหน กเิ ลสชนดิ ใด “ทกุ ขฺ สมุทโย อรยิ สจฺจํ ปหาตพฺพํ อริยสัจจ์ คอื ทกุ ขสมุทัย อันเรา
พึงละ8”
๓.นิโรธสจั คือความดับทุกข์ หมายถึง สภาพใจที่หมดกิเลสแล้วโดยสิน้ เชิง
ทำให้หมดตัณหาจึงหมดทุกข์ มีใจหยุดนิ่งสงบตั้งมั่นอยู่ที่ศูนย์กลางกาย มีความสุข
ล้วนๆผทู้ ่ฝี กึ สมาธิมานอ้ ย หรือปฏิบตั ิไมถ่ ูกทาง ยังเขา้ ไม่ถึงนิพพาน จึงไม่รู้จักความ
หมดทุกข์ที่แท้จริง ก็มักเข้าใจกันว่า การได้เสวยสุขอยู่บนสวรรค์นั้น คือความหมด
ทุกข์ แต่แท้ที่จริงนั้น ต่อให้ได้ขึ้นสวรรค์ เป็นเทวดานางฟ้าจริงๆ ก็ยังวนเวียนอยู่แค่
ในกามภพเท่านั้น สูงกว่าสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ยังมีรูปพรหมอีก ๑๖ ชั้น อรูปพรหมอีก
๔ ชั้น ซึ่งก็ยังไม่หมดทุกข์ จะหมดทุกข์จริงๆ ต้องฝึกจนกระทั่งหมดตัณหา ดับความ
ทะยานอยากต่างๆโดยสิน้ เชิงหมดกเิ ลสเขา้ นพิ พานเท่านัน้ “ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจํ สจฺ
ฉิกาตพฺพํ อรยิ สัจจ์ คอื ทุกขนโิ รธอนั เราพึงทำให้แจ้ง9”
๔. มรรคสัจ มรรค แปลว่า ทาง ในที่นี้จึงหมายถึง ทาง หรือวิธีปฏิบัติ
เพื่อให้พ้นทกุ ข์ ศาสนาฝ่ายเทวนิยมมองเหตุแห่งทุกข์ไม่ออก จึงยกให้เป็นการลงโทษ
ของสิ่งลึกลับ ของพระเจ้า ดังนั้นจึงหาวิธีพ้นทุกข์ผิดทาง ไปอ้อนวอนบวงสรวงให้
พระเจ้าช่วย ถ้าจะเปรียบก็คล้ายกับว่า เราป่วยเป็นไข้มาเลเรีย แล้วมีคนมาบอกเรา
ว่า ทีเ่ ราเปน็ อยา่ งนเี้ พราะมีผจี ากปา่ จากเขามาลงโทษเรา แลว้ ก็แนะให้เราเซ่นไหวอ้ อ้ น
วอนกับผีสางเหล่านั้น เพื่อให้เราหายโรค ซึ่งความจริงการทำอย่างนั้นไม่ใช่ทางดับ
ทุกข์เลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นเหมือนแพทย์ผู้ชำนาญ เห็นเหตุที่ทำให้
เกิดโรคเกิดทุกข์ชัดเจน แล้วก็ทรงสอนเราว่า ที่เราป่วยเราทุกข์ก็เพราะตัวตัณหาซึ่ง
เปรยี บเหมือนเช้ือโรคน่ีเอง ถ้าตอ้ งการหายจากโรคกต็ ้องกำจัดเจ้าเชอื้ โรคนั้นให้หมด
ไป โดยพระองค์ทรงให้ยาดีไว้ให้เราใช้กำจัดเชื้อโรคนั้นด้วย ซึ่งก็คือ มรรคมีองค์ ๘
หรือจะเรียกว่า อัฎฐังคิกมรรค หรือ มัชฌิมาปฏิปทา10 ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ใจ
หยุดใจน่งิ ปราบทกุ ขไ์ ด้ รวม ๘ ประการ ได้แก่
8 ส.ํ ม. ๑๙/๑๖๖๗/๕๒๙
9 ส.ํ ม. ๑๙/๑๖๖๘/๕๓๐
10 ทางสายกลาง.
ธรรมประยกุ ต์ ๔๑
๑. สัมมาทิฏฐิ (Right View; Right Understanding) มีความเห็นชอบ
เบ้ืองต้น คอื ความเหน็ ถกู ตา่ งๆ เช่น เหน็ ว่าพ่อแม่มีพระคณุ ต่อเราจรงิ ทำดีได้ดที ำช่วั
ได้ชั่วจริง โลกนี้โลกหน้ามีจริง ฯลฯ เบื้องสูงคือเห็นทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับ
ทุกข์และวิธีปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ เช่นความรู้อริยสัจจ์ ๔ หรือ เห็นไตรลักษณ์ หรือ รู้
อกุศลและอกุศลมูลกับกุศลและกุศลมูล หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท โดยการเข้าใจชอบ
หรอื เหน็ ชอบน้ันมีอยู่ ๒ ประเภท คือ
ก. ความเข้าใจคือความรู้ ความเป็นพหูสูตร ความมีสติปัญญา
สามารถรอบรสู้ ่ิงใดสิง่ หนง่ึ ตามข้อมูลที่ได้มา ความเข้าใจประเภทนี้เรียกว่า "ตามรู้"
(อนุโพธิ) เป็นความเข้าใจท่ยี งั ไม่ ลกึ ซึง้
ข.ส่วนความเข้าใจที่ลึกซึ้งซึ่งเรียกว่า"การรู้แจ้งแทงตลอด" (ปฏิเวธ)
หมายถึง มองเห็นสิ่ง ใดสง่ิ หน่งึ ตามสภาวะที่แท้จริง โดยไม่คำนึงถึงชื่อ และป้ายช่ือ
ยหี่ ้อของสงิ่ น้ัน การรู้แจ้ง แทงตลอดนี้จะมีขึ้นได้ เมื่อจิตปราศจากอาสวะ
ทงั้ หลาย และได้รบั การพัฒนาอย่างสมบรู ณด์ ว้ ยการปฏิบตั สิ มาธเิ ท่านัน้
๒. สัมมาสงั กัปปะ (Right Thought) มคี วามคิดชอบ คือคิดออกจากกาม
คิดไม่ผูก พยาบาท คิดไม่เบียดเบียน ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ความตรึกที่เป็นกุศล
ความนกึ คดิ ที่ดงี าม (กุศลวิตก ๓ ประกอบดว้ ย
ก. ความตรึกปลอดจากกาม ความนึกคิดในทางเสียสละ ไม่ติดใน
การปรนปรอื สนองความอยากของตน
ข. ความตรึกปลอดจากพยาบาท ความนึกคิดที่ประกอบดว้ ยเมตตา
ไม่ขัดเคือง หรือ เพง่ มองในแงร่ า้ ย
ค. ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียนด้วยกรุณาไม่คิดร้าย หรือมุ่ง
ทำลาย)
๓. สัมมาวาจา (Right Speech) เจรจาชอบ คือไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียดให้
เขาแตกแยก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ อวดอ้างความดีของตัว หรือทับถมคน
อ่นื เรยี กว่า วจสี จุ ริต ๔ ประกอบด้วย
ก.ไม่พดู เท็จ
ข.ไม่พูดส่อเสียด
ค.ไมพ่ ดู หยาบ
ง.ไม่พดู เพอ้ เจอ้
ธรรมประยกุ ต์ ๔๒
๔.สัมมากัมมันตะ(RightAction) คือการกระทำชอบหรือเรียกว่ากาย
สจุ ริต ๓ ประกอบด้วย
ก.ไมฆ่ า่ สตั ว์ มคี วามรักเมตตา กรณุ าเอ็นดสู งสารสัตว์
ข.ไมล่ ักทรัพย์ มคี วามซือ่ สตั ยส์ ุจริต ซ่ือตรง
ค.ไม่ประพฤตผิ ดิ ในกาม มคี วามสำรวมสงั วรในกาม
๕. สัมมาอาชีวะ (Right Livelihood) เลี้ยงชีพชอบ คือเลิกการประกอบ
อาชีพเลี้ยงชีวิตในทางที่ผิด แล้วประกอบอาชีพในทางที่ถูกคือ เลี้ยงชีวิตชอบ ได้แก่
เว้นจากการเลย้ี งชีพในทางท่ผี ดิ ประกอบสัมมาอาชพี คอื
- เวน้ จากการค้าขายเคร่ืองประหารมนษุ ยแ์ ละสัตว์
- เวน้ จากการคา้ ขายมนษุ ยไ์ ปเปน็ ทาส
- เว้นจากการคา้ สัตวส์ ำหรับฆ่าเป็นอาหาร
- เวน้ จากการค้าขายน้ำเมา
- เว้นจากการค้าขายยาพษิ
๖. สัมมาวายามะ (Right Effort) มคี วามเพยี รชอบ คือเพยี รป้องกนั บาป
อกุศลที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป เพียรสร้าง
กุศลคุณความดที ี่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น และเพียรบำรุงกศุ ลคุณความดที ีเ่ กิดขึ้นแล้วให้
เจริญงอกงามยิ่งข้ึนมีความเพียรชอบ ๔ ประการ ได้แก่
ก. เพียรระวังมใิ หบ้ าปหรือความชั่วเกดิ ขนึ้
ข. เพียรละบาปหรือความชั่วทเี่ กิดขน้ึ แลว้
ค. เพียรทำกุศลหรอื ความดใี หเ้ กดิ ขึน้
ง. เพียรรกั ษากศุ ลหรือความดีท่เี กิดข้นึ แล้วใหค้ งอยู่
๗. สัมมาสติ (Right Mindfulness) มีความระลึกชอบ คือไม่ปล่อยใจให้
ฟุ้งซ่าน มีสติรู้ตัวระลึกได้ หมั่นตามเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรม
ในธรรมอยู่เสมอไดแ้ ก่ สติปัฏฐาน ๔ ประกอบด้วย
ก. การตัง้ สติกำหนดพิจารณากาย
ข. การต้งั สตกิ ำหนดพิจาณาเวทนา
ค. การต้ังสตกิ ำหนดพิจารณาจติ
ง. การต้ังสติพิจารณาธรรม
๘. สัมมาสมาธิ (Right Concentration) มีใจตั้งมั่นชอบ คือมีใจตั้งม่ัน
หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ตามเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมใน
ธรรมประยกุ ต์ ๔๓
ธรรม จนบรรลุฌานขั้นตา่ งๆ ไปตามลำดับ จากสมาธิที่เป็นระดับโลกียะ ไปสู่สมาธทิ ่ี
เปน็ ระดบั โลกุตตระไดแ้ ก่ ฌาน ๔ ประกอบดว้ ย
ก. ปฐมฌาณ
ข. ทตุ ยิ ฌาน
ค.ตติยฌาน
ง.จตุตถฌาณ
มรรคทง้ั ๘ ข้อนี้ ถา้ ขยายออกไปแล้ว ก็จะได้แก่คำสอนในพระพุทธศาสนาท้ัง
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถา้ ยอ่ เข้ากจ็ ะได้แก่ไตรสกิ ขา หัวใจพระพทุ ธศาสนา ดังนี้
ศลี แยกออกเปน็ สัมมาวาจา สัมมากมั มันตะ สมั มาอาชวี ะ
สมาธิ แยกออกเป็น สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ปัญญา แยกออกเปน็ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสงั กปั ปะ
มรรคทั้ง ๘ ข้อนี้ ให้ปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจะเป็นไปได้ขณะใจหยุดนิ่งเป็น
สมาธิ ทำให้เห็นอริยสัจจ์ได้อย่างชัดเจนและพ้นทุกข์ได้ เป็นเรื่องของการฝึกจิตตาม
วถิ ขี องเหตผุ ล ไม่ต้องไปวิงวอนพระเจ้าหรือใครๆ
“ทุกฺขนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทา อรยิ สจจฺ ํ ภาเวตพฺพํ อรยิ สจั จ์
คือปฏิปทาใหถ้ งึ ความดับทุกข์ อนั เราพึงบำเพญ็ 11”
ชีวิตคอื ธรรมชาตแิ ละกฎธรรมชาติ
11สํ. ม. ๑๙/๑๖๖๙/๕๓๐
ธรรมประยกุ ต์ ๔๔
จากการศึกษาเรื่องของ ไตรลักษณ์ ปฏิจจสมุปบาท และอริยสัจจ์ ทำให้
เราได้ทราบว่าธรรมะทั้ง ๓ ดังกล่าวชีวิตคนเราเป็นไปตามกฎธรรมชาติไม่สามารถ
หลีกเวน้ ได้แมแ้ ต่ผู้ใดทมี่ ีชีวิตในโลกใบนี้ คอื
๑.ชีวิตเป็นธรรมชาติและเป็นไปตามกฎธรรมชาติที่เกิดขึ้นย่อไม่เที่ยงเปลี่ยน
แปล ถูก บีบคั้นคงสภาพนั้นไม่ได้ และไม่สามารถกำหนดและบังคับความไม่เที่ยงและ
เปล่ยี น แปลงถกู บบี ค้นั แบบที่ทนไมไ่ ด้ มนั จึงเป็นอนตั ตาคือมิใช่ตวั มใิ ชต่ นน่ันเอง
๒. ชีวิตเป็นธรรมชาตแิ ละเป็นไปตามกฎธรรมชาติที่มีเหตปุ จั จัยให้เกิด และดบั
ซึง่ กนั เพราะสิง่ น้ันสิ่งนจ้ี งึ เกดิ เพราะสง่ิ น้ี สง่ิ น้ันจงึ เกดิ เป็นวฏั ฏจกั ร
๓. ชีวิตเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเพราะอุปทานขันธ์ คือความยึดมั่นถือมั่นใน
ตัวตนจึงทำให้ชีวิตธรรมชาติ คือ ทุกข์ และมนุษย์ได้ชื่อว่ามีปัญญาดีสามารถที่จะ
ศกึ ษาสามารถที่จะพฒั นาจติ ให้พน้ ความทุกขไ์ ด้12 พทุ ธพจน์
เมือ่ เหตุน้มี ี ผลนจี้ ึงมี เพราะเหตนุ ีเ้ กดิ ขน้ึ ผลนี้จึงเกดิ ขึ้น
เมอื่ เหตุนีไ้ ม่มี ผลนีจ้ งึ ไมม่ ี เพราะเหตุนี้ดับ ผลนจ้ี งึ ดบั ...
12 อรยิ มรรคมี องค์ ๘