The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักธรรมเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิต ตามแนวพุทธศาสนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wpholamungdee, 2021-08-02 23:58:33

ธรรมประยุกต์

หลักธรรมเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิต ตามแนวพุทธศาสนา

Keywords: สิงคาลมานพสูตร,มงคล 38,ชีวิตคืออะไรตามแนวพุทธ,เป้าหมายของชีวิต,ดำเนิดชีวิตอย่างไร

ธรรมประยกุ ต์ ๙๕

สิ่งใหม่ๆ ที่เราอาจนึกไมถ่ งึ หรือเป็นการเผือ่ แผ่ความรู้ที่เรามีใหแ้ ก่ผู้อื่นได้ทราบดว้ ย
กอ่ นท่ีเราจะสนทนาธรรม ควรตอ้ งพิจารณาและคำนงึ ถึงสิง่ ต่อไปน้คี อื

๑. ตอ้ งรเู้ รื่องทจ่ี ะพูดดี
๒. ต้องพูดเรื่องจริง มปี ระโยชน์
๓. ตอ้ งเปน็ คำพดู ที่ไพเราะ
๔. ต้องพดู ดว้ ยความเมตตา
๕. ต้องไม่พดู จาโอ้อวด ยกตนข่มทา่ น

ข้อปฏิบตั เิ มือ่ มีการสนทนาธรรม
๑. มีศีลธรรม คือการเป็นผู้ที่รักษาศลี ๕ หรือศีล ๘ เป็นนิจศีลอย่แู ลว้

การเปน็ ผู้ปฏบิ ตั ถิ ือเป็นหน้าท่ีขัน้ ตน้ ในการเป็นพุทธศาสนกิ ชนท่ีดี
๒. มีสมาธิดี คือการมีจิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่สนทนา ไม่วอกแวก

พรอ้ มทัง้ เปน็ ผทู้ หี่ มน่ั เจรญิ สมาธภิ าวนาดว้ ย
๓. แต่งการสุภาพ คือการแต่งตัวให้เหมาะสมกับยุคสมัย อยู่ในกรอบ

ประเพณขี องสังคมแวดล้อม ณ ท่นี ั้นๆ ถูกกาลเทศะ
๔. มีกิริยาสุภาพ คือมีความสุภาพในท่วงท่าไม่ว่าจะเดิน นั่ง ยืน หรือ

การกระทำใดๆ การที่มีกิริยางดงาม สุภาพย่อมโน้มน้าวจิตใจผู้พบเห็นให้เกิดความ
ประทับใจที่ดี

๕. ใช้วาจาสุภาพ คือการใช้ถ้อยคำที่สุภาพในการสนทนา ไม่ใช้คำ
หยาบคาย หรือก้าวรา้ ว

๖. ไม่กล่าวค้านพุทธพจน์ คือการไม่นำเอาคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจา้ มาเป็นขอ้ สงสัย หรอื กลา่ วคา้ น เพราะสิ่งทกี่ ล่าวไว้ในพระพทุ ธพจนย์ อ่ ม
เปน็ ความจรงิ ตลอดกาล

๗. ไม่ออกนอกประเด็นที่ตั้งไว้ คือการพูดให้อยู่ในหัวข้อที่ตั้งไว้ ไม่พูด
แบบน้ำท่วมทุ่งผกั บงุ้ โหรงเหรง

๘. ไม่พูดนานจนน่าเบื่อ คือการเลือกเวลาที่เหมาะสมตามสถานการณ์
เนื่องจากเรื่องบางเรือ่ งอาจไมจ่ ำเปน็ ต้องขยายความมากเกนิ ไป

คาถาหมทู่ ี่ ๙ ปฏบิ ัติธรรมข้นั สงู (ดบั กเิ ลส) มี ๔ มงคลคือ
๓๑) ตะโป จะ ความเพียรเผากิเลส ตบะ โดยความหมายแปลว่า ทำให้ร้อน
ไม่ว่าด้วยวิธีใด การบำเพ็ญตบะหมายความถึงการทำให้กิเลส ความรุ่มร้อนต่างๆ
หมดไป หรอื เบาบางลง ลักษณะการบำเพ็ญตบะมดี งั นี้

ธรรมประยกุ ต์ ๙๖

๑. การมีใจสำรวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ (อายตนะภายใน ๖ อยา่ ง) ไดแ้ ก่ ตา
หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ให้หลง ติดอยู่กับสัมผัสภายนอกมากเกินไป ไม่ให้กิเลส
ครอบงำใจเวลาทรี่ ับรอู้ ารมณ์ผา่ นอนิ ทรยี ท์ ้งั ๖ (อนิ ทรีย์สังวร11)

๒.การประพฤติรักษาพรหมจรรย์ เว้นจากการร่วมประเวณี หรือกาม
กจิ ทง้ั ปวง

๓.การปฏิบตั ธิ รรม คือการรูแ้ ละเขา้ ใจในหลักธรรมเชน่ อริยสัจ เป็นตน้
ปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ และปัญญา โดยมีจุดหมายสูงสุดที่พระ
นิพพาน กำจดั กเิ ลส ละวางทกุ สง่ิ ได้หมดสิ้นด้วยปญั ญา

๓๒) พฺรหมะจริยัญจะ การประพฤติพรหมจรรย์ การประพฤตพิ รหมจรรย์
แปลว่า การประพฤติตัวเองอย่างพระพรหม หรือความประพฤติอันประเสริฐ
หมายถึงการประพฤติตนตามคุณธรรมต่าง ๆ ทั้งหมดในศาสนาให้เคร่งครัดยิ่งข้ึน
เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสฟูกลับขึ้นมาอีกจนกระทัง่ หมดกิเลสซึง่ ตอ้ งผ่านขัน้ ตอนต่าง ๆ
ตามภูมิชั้นของจิตคำว่าพรหมจรรย์หมายความถึง การบวชซึ่งละเว้นเมถุน การ
ครองชีวิตที่ปราศจากเมถุน การประพฤติธรรมอันประเสริฐ ท่านว่าลักษณะของ
ธรรมที่ถือว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์นั้น (ไม่ใช่ว่าต้องบวชเป็นพระ) มีอยู่
ดงั นค้ี ือ

๑.ใหท้ าน บริจาคทานไมว่ ่าจะเป็นทรัพย์ ส่งิ ของ เงินทอง หรือปัญญา
๒.ช่วยเหลอื ผู้อื่นในกจิ การงานท่ีชอบ ที่ถกู ทคี่ วร (เวยยาวัจจมัย)
๓.รักษาศีล ๕ คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ทำผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่
ดื่มนำ้ เมา (เบญจศลี )
๔.มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากับคนที่เราต้องพบปะด้วยทุกคน
(อัปปมัญญา)
๕.งดเวน้ จากการเสพกาม12 (เมถนุ วริ ตั ิ)
๖.ยินดใี นคขู่ องตน คอื การมสี ามหี รือภรรยาคนเดยี ว (สทารสันโดษ)
๗.เพยี รพยายามทจ่ี ะละความชั่ว ไมท่ อ้ ถอยในความบากบน่ั (วิริยะ)
๘.รักษาซึ่งศีล ๘ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ร่วมประเวณี ไม่พูดปด
ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่บริโภคอาหารตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นไป ไม่ฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลง

11 องปฺ ญจฺ ก.๒๒/๑๑๔/๑๕๖.
12 ข้อ ๕ ท่บี อกวา่ ใหง้ ดเวน้ การเสพกาม แต่ข้อ ๖ ใหย้ นิ ดีในคขู่ องตนนนั้ เพราะวา่ การประพฤติพรหมจรรยใ์ นท่ีนีห้ มายถงึ
บคุ คลท่วั ไปที่อาจมคี รอบครวั แลว้ กป็ ระพฤตพิ รหมจรรยไ์ ด้โดยการงดเวน้ การรว่ มประเวณี เชน่ ในวนั สำคัญๆเป็นต้น..

ธรรมประยกุ ต์ ๙๗

ดนตรี ดูการละเล่น ใช้ของหอมหรือเครื่องประดับ ไม่นอนบนที่สูงใหญ่ หรูหรา
(อโุ บสถ)

๙.ใชป้ ญั ญาเห็นแจง้ ใน ทกุ ข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค (อริยธรรม)
๑๐.ศกึ ษาปฏบิ ัตใิ นศีล สมาธิ ปัญญา ใหร้ แู้ จง้ เหน็ จริง (สกิ ขา)
๓๓)อะริยสจั จานะทัสสะนัง การเห็นอรยิ สจั อริยสจั จ์ สามารถแปลได้หลาย
ความหมาย เช่น คือ ความจริงอันประเสริฐ หรือ ความจริงอันทำให้บุคคลผู้เห็น
เปน็ ผูป้ ระเสรฐิ
อริยสัจ13 ๔ คือ ความจริงที่มีอยู่รู่โลกแต่ไม่มีใครเห็น จนกระทั่งพระสมั มาสมั
พุทธเจ้าตรัสรู้ คือ ทั้งรู้และเหน็ แลว้ ทรงชใี้ หเ้ ราดู ไดแ้ ก่

๑. ทุกข์ คอื ความไม่สบายกายไมส่ บายใจตา่ ง ๆ
๒. สมุทัย คอื สาเหตุที่ทำใหเ้ กิดทกุ ข์
๓. นิโรธ คอื ความดับทุกข์ สภาพทีท่ กุ ขห์ มดไป
๔. มรรค คอื วธิ ีปฏบิ ัติเพื่อไปสคู่ วามดบั ทกุ ข์
๓๔) นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ การทำนิพพานให้แจ้ง นิพพาน14 มีคำแปลได้
หลายแบบ เช่น แปลว่า ความดับ คือ ดับกิเลส ดับทุกข์ หรือ แปลว่า ความพ้น คือ
พน้ ทุกข์ พ้นจากภพสาม
นพิ พาน โดยความหมาย หมายได้ ๒ นยั ยะใหญ่ ๆ คอื
๑) หมายถึง สภาพจติ ท่หี มดกเิ ลสแลว้
๒) หมายถึง สถานที่ที่ผู้หมดกิเลสแล้ว ไปเสวยสุขอันเป็นอมตะอยู่ ณ
ที่นัน้ ๆ
นิพพาน เป็นที่ซึ่งความทุกข์ทั้งหลายเข้าไปไม่ถึง อยู่พ้นกฎของไตรลักษณ์
ไมม่ ีการเวยี นว่ายตายเกิด ไม่มแี ก่ เจ็บ ตาย ทกุ อยา่ งเป็นสุขขัง เป็นนิจจัง เป็นอัตตา
เป็นตัวตนที่แท้จริง บังคับบัญชาได้ เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น
ดว้ ยอำนาจการปฏิบตั ิธรรม
คาถาหม่ทู ี่ ๑๐ รับผลจากการปฏบิ ัตธิ รรม มี ๔ มงคลคือ
๓๕. ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะนะ กัมปะติ จิตของผู้ใดถูกโลก
ธรรมกระทบแลว้ ไมห่ วนั่ ไหวจติ หว่นั คอื ความหวนั่ หวาด กังวล กลวั วา่ จะประสบกับ

13 อา้ ง แลว้ .
14 อธิบายอย่างละเอียดเกยี่ วกบั เรื่องนิพพานไวแ้ ตบ่ ทที่ ๔.

ธรรมประยกุ ต์ ๙๘

สิ่งที่ไม่ชอบใจ จิตไหว คือ ความปรารถนาอยากได้สิ่งที่รักชอบใจ โลกธรรม15 ๘ คอื
เรื่องราวที่เกิดขึ้นประจำโลก ใคร ๆ ก็ต้องพบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้พระสัมมาสัมพุทธ
เจา้ กท็ รงประสบ มีอยู่ ๘ ประการ แบง่ เปน็ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

๑. ได้ลาภ คือ การได้ผลประโยชน์ เช่น ได้ทรัพย์ ได้ลูกได้เมีย ได้บ้าน
ได้ท่ดี นิ ได้เพชรนิลจินดาตา่ ง ๆ เปน็ ต้น

๒. ได้ยศ คอื การได้รบั ตำแหนง่ ไดร้ ับฐานะ ได้อำนาจ ได้เปน็ ใหญเ่ ปน็ โต
๓. ได้สรรเสริญ คือ การได้ยินได้ฟังคำชมเชย คำยกย่อง คำสดุดี ที่
คนอื่นให้เรา
๔. ไดส้ ุข คอื ได้รบั ความสบายกายสบายใจ ไดค้ วามเบกิ บาน ร่าเรงิ ได้
ความบันเทิงใจ ทั้ง ๔ อย่างนี้เป็นเรื่องที่คนทั่วไปชอบยังไม่ได้ ก็คิดแสวงหา ครั้น
หาได้แล้วก็คิดหวง หวงมาก ๆ เข้าก็หึง การที่จิตมีอาการหา หวง ห่วง หึง นี้แหล่ะ
เรียกวา่ จติ ไหว16
๑. เสื่อมลาภ คือ ผลประโยชน์ที่ได้มาแล้วเสียไป เช่น เสียเงิน เสียที่อยู่
ลูกรักตายเสยี เมียรกั ตายจาก
๒. เสื่อมยศ คือ ถูกลดความเป็นใหญ่ ถูกถอดจากตำแหน่ง ถูกถอด
อำนาจ
๓. ถูกนินทา คือ ถูกตำหนติ ิเตยี น ถกู ดา่ วา่ ในทีต่ ่อหน้าหรอื ลบั หลัง
๔. ตกทุกข์ คอื ไดร้ ับความทกุ ขท์ รมานทางกายหรอื ทางใจ
ทั้ง ๔ ประการนี้เป็นเรื่องที่คนเราไม่ชอบ ไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นกับตัว เม่ือ
ยังมาไมถ่ งึ จิตก็หว่ันว่ามนั จะมา เมื่อมันมาแล้วกภ็ าวนาว่า เมอื่ ไหรจ่ ะไปเสียที ไปแล้ว
ก็ยังหว่ันกลัวว่ามันจะกลบั มาอีก17
๓๖) อะโสกํ ความไมเ่ ศรา้ โศก คำว่า โศก มาจากภาษาบาลวี า่ โสกะ แปลว่า
แหง้ จิตโศก จึงหมายถงึ สภาพจติ ทีแ่ ห้งผาก เหมือนดนิ แห้ง ใบไม้แหง้ หมดความชุ่ม
ชื่น เนื่องจากไม่สมหวังในความรัก ทำให้มีอาการเหี่ยวแห้ง หม่นไหม้ โหยหาขึ้นในใจ
ใจซึมเซาไม่อยากรับรู้อารมณ์อืน่ ใด ไม่อยากทำการงาน ท่านว่ามีเหตุอยู่ ๒ ประการ
ทที่ ำใหจ้ ติ เราต้องโศกเศรา้ คอื

15 องอฺ ฏฺฐก.๒๓/๙๖/๑๕๙.
16 ท่านเรียกว่า อฎิ ฐารมณ์ คือ สว่ นที่นา่ ปรารถนา.
17 ท่านเรียกวา่ อนิฏฐารมณ์ คือ ส่วนที่ไมน่ ่าปรารถนา.

ธรรมประยกุ ต์ ๙๙

๑. ความโศกเศร้าที่เกิดเนื่องมาจากความรัก รวมถึงรักสิ่งของ ทรัพย์สิน
เงนิ ทอง

๒. ความโศกเศรา้ ทเี่ กิดจากความใคร่
การทำใหจ้ ติ ใจไมโ่ ศกเศรา้ นั้น มีข้อแนะนำดังนี้

๑. ใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เนืองๆ ถึงความไม่เที่ยงในสิ่งของทั้งหลาย และ
รา่ งกายของเรา

๒. ไม่ยึดม่ันในตวั ตน หรอื ความจรี ังยงั่ ยนื ในคนหรอื สง่ิ ของว่าเปน็ ของเรา
๓. ทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ แม้ร่างกายเราก็ใช้เป็นท่ี
อาศัยช่ัวคราวเทา่ นน้ั
๔. คดิ ว่าทุกส่ิงทกุ อย่างล้วนไมเ่ ทย่ี งด้วยกนั ทงั้ นนั้
๓๗) วิระชัง จิตที่ปราศจากธุลี คือกิเลส ธุลี แปลว่า ฝุ่นละอองที่ละเอียด
มาก ในที่นี้หมายถึงกิเลสอย่างละเอียดที่เกาะ ซึม แทรก หุ้มใจของเราอย่างซ่อนเร้น
บาง ๆ ทำให้ความผุดผ่อง ความใสสะอาดเสียไป ถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็นไม่รู้ จิต
ปราศจากธุลี หมายถึง จิตที่หมดกิเลสแล้วทั้งหยาบทั้งละเอียด อย่างถอนรากถอน
โคน ไม่มีทางที่ฟื้นกลับเข้ามาในใจได้อีก ทำให้จิตสะอาดผ่องใส นุ่มนวลควรแก่การ
งาน ได้แก่จิตของพระอรหันต์ กิเลสในใจคนมีอยู่ ๓ ตระกูลใหญ่ คือ ตระกูลราคะ
โทสะ และโมหะ กิเลสแต่ละตระกูลก็มีหลายระดับ ตั้งแต่ที่หยาบมาก ๆ เห็นได้ชัดเจน
เหมือนขยะมูลฝอย และเล็กลงเหมือนฝุ่นผง จนถึงที่ละเอียดมาก ๆ เหมือนธุลี บาง
คนเจอแล้วยงั ไม่รู้ว่าเป็นกเิ ลสมองไมอ่ อก ดงั นี้
๑) ตระกูลราคะหรือโลภะ คือ ความกำนัดยินดีรัก อยากได้ในคน สัตว์
สิ่งของ หรอื อารมณ์ที่นา่ ใคร่ มตี ้ังแต่หยาบจนถงึ ละเอียดดงั นี้

ก. อภิฌาวิสมโลภะ ความโลภอย่างแรงแสดงออก เช่น ปล้น จี้ ลัก
ขโมย

ข. อภิชฌา ความเพ่งเล็งทรัพย์ของผู้อื่น จ้อง ๆ จะเอาของเขาละ แต่
ยังสงวนท่าที ไมแ่ สดงออก

ค. โลภะ ความอยากได้ในทางทุจริต อยากได้ในทางที่ไม่ชอบ แต่ยังไม่
แสดงออก

ง. ปาปิจฉา ความอยากได้โดยวิธีสกปรก เช่น อยากได้สตางค์ เลยไป
เลน่ การพนัน ไมร่ กั เกียรติ ไมร่ ักช่ือเสยี งของตน

ธรรมประยกุ ต์ ๑๐๐

จ. มหิจฉา ความอยากใหญ่ ความมักมาก เช่น รับประทานอาหารวง
เดียวกัน ก็คว้าเอากับอร่อย ๆ ไปทานเสียคนเดียว ไม่รู้จักเกรงใจคนอื่น ไม่รู้จัก
ประมาณ

ฉ. กามราคะ ความพอใจในกาม รักเพศตรงข้าม ยังมีความรู้สึกทาง
เพศ

๑) รูปราคะ ความยินดีในอารมณ์ของรูปฌาน เป็นเรื่องของผู้
ฝกึ สมาธิจนได้รปู ฌานแลว้

๒) อรปู ราคะ ความยินดใี นอารมณข์ องอรูปฌาน เปน็ เร่ืองของ
ผู้ฝึกสมาธิจนได้อรูปฌานแล้วข้อ ฉ – ซ นี่แหล่ะที่จัดเปน็ กิเลสละเอียด ที่เรียกว่าธลุ ี
ในตระกลู ราคะ

๒) ตระกูลโทสะ คือ ความไม่ชอบใจ ความคิดร้าย คิดทำลายผู้ที่ทำให้ตน
โกรธ มีตง้ั แต่หยาบจนถึงละเอยี ดดงั นี้

ก. พยาบาท ความผูกอาฆาต จองเวร อยากแก้แค้น ไม่ยอมอภัย บาง
ทีข้ามภพข้ามชาติก็ยังไม่ยอม เช่น พระเทวทัตผูกพยาบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ต้งั แตภ่ พชาตใิ นอดีต

ข.โทสะ ความคิดร้าย คิดทำลาย เช่น คิดจะฆ่า คิดจะเตะ คิดจะด่า คิด
จะเผาบา้ น คดิ จะทำให้อาย ฯลฯ

ค.โกรธะ ความเดือดดาล คอื คิดโกรธแตย่ งั ไม่ถึงกบั คิดทำรา้ ยใคร
ง. ปฏิฆะ ความขัดใจ เป็นความไม่พอใจลึก ๆ ยังไม่ถึงกับโกรธ แต่มัน
ขดั ใจ ข้อ ๔ ปฏฆิ ะ นแ้ี หละ่ ที่จดั เป็นกิเลสละเอียดในตระกูลโทสะ
๓) ตระกูลโมหะ คือ ความหลง เป็นอาการที่จิตมืดมน ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
ไม่รู้จักบุญบาป ส่วนความไม่รู้วิทยาการต่าง ๆ ไม่ใช่โมหะ คนที่มีความรู้วิทยาการ
มากเพียงใด มีปริญญากี่ใบก็ตาม หากยังไม่รู้จักบุญบาป ไม่รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่
ควรทำละก็ ได้ชื่อว่าตกอยู่ในโมหะทั้งนั้น กิเลสตระกูลโมหะ มีตั้งแต่หยาบถึงละเอียด
ดังน้ี
โมหะความหลงผดิ ความไม่รผู้ ิดชอบชวั่ ดี
ก. สักกายทิฐิ ความเห็นวา่ มตี วั ตน เช่น คดิ วา่ รา่ งกายนเ้ี ปน็ ของเราจริง ๆ
ข. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติธรรม เช่น ยังไม่มั่นใจ ว่าบุญ
บาปมีจรงิ ไหม ทำสมาธิแลว้ จะหมดกิเลสจริงหรอื

ธรรมประยกุ ต์ ๑๐๑

ค. สีลพตปรามาส ความติดอยู่ในศีลพรตอันงมงาย เช่น เชื่อหมอดู เช่ือ
ศาลพระภมู ิ เชื่อพระเจ้า เหล่านเี้ ปน็ ต้น

ง. มานะ ความถือตวั ถือเขาถอื เรา
จ. อุทธจั จะ ความฟุ้งซา่ น
ฉ. อวิชชา ความไมร่ พู้ ระสัทธรรม เช่น ไมร่ ู้ว่าตัวเรามาจากไหน ตายแล้วจะ
ไปไหน
๓๘) เขมัง จิตที่ถึงความเกษมจากโยคะ เกษม แปลว่า ปลอดภัย พ้นภัย
สิ้นกิเลส มีความสุข จิตเกษม จึงหมายถึง สภาพจิตที่หมดกิเลสแล้ว โยคะเครื่องผูก
สัตว์ไว้ในภพ เชือกท้ัง ๔ เกลียว ได้ถูกฟันขาดสะบ้ันโดยสิ้นเชงิ จิตเป็นอสิ ระเสรี ทำ
ให้คล่องตัว ไม่ติดขัด ไม่อึดอัดอีกต่อไป ไม่มีภัยใด ๆ มาบีบคั้นได้อีก จึงมีความสุข
อย่างแท้จริง พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ที่จะมีจิตเกษมได้อย่างแทจ้ ริง คือผู้ที่มี
ใจจรดนิง่ แชอ่ ิม่ อยู่ในพระนิพพานตลอดเวลา ซง่ึ กไ็ ด้แก่พระอรหันต์นน่ั เอง
เกษม หมายถึงมีความสุข สบาย หรือสภาพที่มีจิตใจที่เป็นสุข มีจิตเกษมก็
คือว่ามีจิตที่เป็นสุขในที่นี้หมายถึงการละแลว้ ซึง่ กิเลส ที่ท่านว่าไวว้ ่าเปน็ เคร่ืองผกู อยู่
๔ ประการคือ
๑. การละกามโยคะ คือการละความยินดีในวัตถุ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเรียกว่า
กามคณุ ซ่งึ ประกอบด้วยรูปรสกลนิ่ เสียงและสัมผสั
๒. การละภวโยคะ คือการละความยินดีในภพ โดยให้เห็นว่าสิ่งใดๆในโลก
ล้วนไมเ่ ท่ียงแทห้ รอื คงอยตู่ ลอดไป
๓. การละทิฏฐิโยคะ คือการละความยินดีในความเห็นผิดเป็นชอบ โดยให้
ดำเนนิ ตามหลกั คำสอนของพระพุทธเจ้าทก่ี ลา่ วมาแล้ว
๔. การละอวิชชาโยคะ คือการละความยินดีในอวิชชาทั้งหลาย ความไม่รู้
ทัง้ หลาย โดยใหม้ งุ่ ปฏิบัตเิ พอื่ ปญั ญาท่ีรแู้ จง้ เหน็ จริง เทวดา

เทวะมนุษย์ทั้งหลายการะทำมงคลเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ปราชัยในที่ทุก
สถาน ยอ่ มถึงความสวสั ดใี นทท่ี ง้ั ปวงนี้คืออุดมมงคลของเทวะมนษุ ยเ์ หลา่ นนั้ .

บทที่ ๖

จริยศาสตร์

บทนำ

จริยศาสตร์ เป็นภาษาสันสกฤต มาจากคำว่า จริย + ศาสตร์ แปลว่า ศาสตร์
ที่ว่าด้วยความประพฤติ ตรงกับภาษาละตินคำว่า อีธอส ( Ethos ) ที่หมายถึง
อปุ นสิ ยั หรือหลักของความประพฤติ ขนบธรรมเนียมท่ีเปน็ ความเคยชินจริยศาสตร์
เปน็ การศึกษาถึงเปา้ หมายสงู สุดของมนษุ ย์เรา ว่าคอื อะไร อะไรควรทำหรอื ไมค่ วรทำ
เพื่อจะได้ไปถึงเป้าหมายสูงสุดนั้น และจะใช้เกณฑ์อะไรมาตัดสินว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี
จริยศาสตร์ หมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยศีลธรรม รวมทั้งกระบวน (Pattern) ข้อ
ประพฤติทางสังคมและทฤษฎีทางศีลธรรมต่าง ๆ เป็นการศึกษากระบวนการการ
กระทำของมนุษย์ในแง่ที่ว่าอะไรดี มีข้อปฏิบัติด้านศีลธรรมเกี่ยวกับพฤติกรรม (
Behavior ) ในข้อที่ว่าอะไรคือ คุณค่าที่ควรบรรลุถึง พฤติกรรมเช่นไรดี อะไรมี
ความหมายต่อชีวิต ในด้าน ศีลธรรม จริยศาสตร์ก็ว่าด้วย สาระแก่นสารของ
ศีลธรรมกำเนิด และพัฒนาการของศีลธรรมกฎเกณฑ์ซึ่งกำหนมาตราฐานด้าน
ศีลธรรมและลักษณะทางประวัติศาสตร์ ข้อประพฤติอันเป็นบรรทัดฐานและทฤษฎี
จริยธรรมมักแยกกันไม่ออก เพราะการกระทำของปัจเจกชนและสังคมก่อให้เกิด
ความคิดเร่อื งจรยิ ธรรม

ความหมายของ จรยิ ศาสตร์

คำว่า “จริยศาสตร์” ไว้ต่าง ๆ กัน ซึ่งพอจะยกตัวอย่างได้ดังนี้
เจมส์ เซธ กล่าวว่า “จริยศาสตร์ คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยหลักแห่งความ
ประพฤติ และหลักเกณฑ์แห่งความประพฤตวิ า่ อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ”

แมคเคนซี่ กล่าวว่า “จริยศาสตร์ คือการศึกษาถึงสิ่งที่ถูกและสิ่งดีในการ
กระทำ”

นักเทววทิ ยา กล่าวว่า “จรยิ ศาสตร์คอื ศาสตรแ์ ห่งความดี มิใช่ศาสตรแ์ หง่
ความถูกต้อง กฎต่าง ๆ นั้นมิใช่มีไว้เพื่อประโยชน์ของกฎ แต่มีไว้เพื่อบรรลุถึงความ
ดตี ่างหาก”

ธรรมประยกุ ต์ ๑๐๓

สรปุ ได้วา่ จริยศาสตรเ์ ปน็ ศาสตรท์ ่ีว่าด้วยอดุ มคตอิ นั สูงสุดท่ีมีความสัมพันธ์
อยู่กับชีวิตมนุษย์ จริยศาสตร์กล่าวถึงลักษณะที่ดีหรือเลวแห่งความประพฤติของ
มนษุ ย์ จริยศาสตร์ศกึ ษาว่า อะไรควรเว้น อะไรควรทำ อะไรผดิ อะไรถกู อะไรดี อะไร
ช่วั โดยเปรยี บเทยี บความประพฤตนิ นั้ กบั ความดีเลิศทง้ั หลาย

สรุป จริยศาสตร์ จึงเป็นวิชาท่ีวา่ ด้วยการศึกษา อะไรคือส่ิงที่มนุษย์ความ
ทำความสอดคล้องกับความจริงหรือธรรมชาติ อะไรคือ ความดีสูงสุด อะไรคือ
จุดหมายปลายทางของชีวิต อะไรคือเกณฑ์ตัดสินความดี ความชั่ว และวิธีการรับ
ผลลัพธ์อะไรสำคญั กวา่ กนั ..
ความหมายของจริยธรรม

คำว่า จริยธรรม มาจาก จริย + ธรรม จริยะ แปลว่า ความประพฤติ
พฤติกรรม หรือการกระทำ ส่วนคำว่า ธรรมคือสิ่งดีงาม ดังนั้น จริยธรรม จึง
หมายถึงความประพฤตทิ ี่จะให้ผู้ประพฤติไม่ตกไปในทางทีช่ ั่วหรือความประพฤติตาม
คำส่ังสอนของพระพทุ ธเจ้าเปน็ ต้น

แต่ความหมายก็ยังมอี ีกกลายท่านได้ให้ความหมายของคำว่า จริยธรรมไว้
เชน่

๑) ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้ความหมาย
ของจรยิ ธรรมว่า จรยิ ธรรม น. ธรรมท่เี ป็นขอ้ ประพฤตปิ ฏบิ ัตศิ ลี ธรรมกฎศีลธรรม

๒) ทา่ นศาสตราจารย์ ระวี ภาวิไล ใหค้ วามหมายวา่ “จริยธรรม” คอื แนว
ความประพฤติการปฏิบัติเพื่อบรรลุสภาพชีวิตอันทรงคุณค่าที่พึงประสงค์

๓) ท่านศาสตรจารย์พิทยา สายหู ให้ความหมาย “จริยธรรม” คือ แนว
ความประพฤติการปฏิบัติเพื่อบรรลุสภาพชีวิตอันทรงคุณค่าที่พึงประสงค์

๔) พระยาอนุมานราชธน ให้ความหมายว่า “จริยธรรม” เป็นเรื่องว่าด้วย
ความประพฤติของคนว่ามลี กั ษณะท่คี วรมคิ วรเปน็ อยา่ งไร

ศีลธรรม (moral) เป็นศัพท์พระพุทธศาสนา หมายถึง ความประพฤติที่ดี
ที่ชอบ หรือ ธรรมในระดับศีล คำว่าศีลธรรมถ้าพิจารณาจากรากศัพท์ภาษาละติน
Moralis ห ม า ย ถ ึ ง ห ล ั ก ค ว า ม ป ร ะ พ ฤ ต ิ ท ี ่ ด ี ส ำ ห ร ั บ บ ุ ค ค ล พ ึ ง ป ฏ ิ บ ั ติ

คุณธรรม (virtue)คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดีทางความ
พฤติและจิตใจ เช่น ความเป็นผู้ไม่กล่าวเท็จโดยหวังประโยชน์ส่วนตนเป็นคุณธรรม
ประการหนง่ึ คำว่า คณุ ภาษาบาลแี ปลว่า ประเภท, ชนิด ธรรม หมายถึง หลักความ
จริง หลักการในการปฏิบัติ ดังนั้น อาจอธิบายได้ว่า คุณธรรม คือ จริยธรรมที่แยก

ธรรมประยกุ ต์ ๑๐๔

เป็นรายละเอียดแต่ละประเภท เช่น เมตตา กรุณา เสียสละ ซื่อสัตย์ อดทน ฯลฯ สิ่ง
เหล่านี้หากผู้ใดประพฤติปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเป็นสภาพคุณงามความดีทาง
ความประพฤตแิ ละจิตใจของผูน้ ัน้

ขอ้ แตกต่างของ จรยิ ศาสตร์ กบั ศีลธรรม

ในความหมายของคำท้งั สองคำทจ่ี ะกล่าวต่อไปน้ี มีความแตกต่างดังน้คี อื
ทั้งสองคำนี้มีรากศัพท์เป็นคนละภาษาคือ Ethics เป็นภาษา กรีก ส่วน
Morality นั้น เป็นภาษาลาติน แต่ถ้าแปลตามรูปของศัพท์แล้วทั้งสองคำมี
ความหมายอย่างเดียวกันคือ จารีต (Custom) หรือแนวทางประพฤติปฏิบัติที่เป็น
ปกตินิสัย ตามนัย จริยศาสตร์เป็นแนวทางแห่งการประพฤติ เช่น หน้าที่ พ่อแม่ท่พี ึง
มีต่อลูก ลูกแสดงออกต่อพ่อแม่ แต่การกระทำนั้นต้องทำจนเป็นปกตินิสัยสืบต่อกัน
มานาน ไมใ่ ช่เพิง่ เกดิ ใหม่ตอ้ งเป็นทย่ี อมรบั กนั ในสังคมนั้น ๆ แตค่ วามหมายโดยอรรถ
ของคำท้ังสองยังมีข้อแตกต่างกันอยูม่ ากในด้านความกว้างแคบวธิ ีการทีน่ ำไปใชแ้ ละ
จุดมุ่งหมาย

๑.โดยความกว้างแคบ จริยศาสตร์ ( Ethics ) หมายถึง ความรู้ทั่วไป
เก่ียวขอ้ งกับความประพฤตอิ ย่างมีระบบ มีกระบวนการในการศกึ ษา
ศีลธรรม ( Morality ) หมายถึง แบบแผนการประพฤติปฏิบัติที่วางไว้ ไม่มี
ความสมบูรณ์ ขาดระบบที่แน่นอน เป็นเพียงจารีตที่สังคมเห็นว่าดีแล้ว
ประพฤตสิ บื ตอ่ กนั มา
๒.โดยวธิ ีการนำไปใช้
จริยศาสตร์ เปิด โอกาสให้มีการวิเคราะห์วิจารณ์อะไรควรไม่ควร ใช้ปัญญา
เข้าประกอบการพิจารณา ศีลธรรม ให้ เชื่อแล้วปฏิบัติตาม ไม่เปิดโอกาสให้
วจิ ารณ์ เช่น บญั ญตั ิ ๑๐ ประการของศาสนาครสิ ต์เป็นตน้
๓.จดุ มงุ่ หมายของจริยาศาสตรก์ บั ศลี ธรรมก็ต้องต่างกนั

จรยิ ศาสตร์ มีจดุ มุง่ หมายให้ เลือก ปฎิบัติในส่งิ ท่ีเหน็ วา่ เหมาะสม
ศีลธรรม เป็น ข้อบังคบั ให้ยอมรบั โดยศรทั ธา
แต่ทั้ง จริยศาสตร์ ( Ethics ) และ ศีลธรรม ( Morality ) ต่างก็ต้องอิงอาศัยกัน
และกัน

ธรรมประยกุ ต์ ๑๐๕

จรยิ ธรรมในพระพุทธศาสนา

การศึกษาจริยธรรม ของพระพุทธศาสนาจำเป็นที่จะต้อง ศึกษาพุทธ
ประวัติพระพทุ ธเจ้า ซึ่งพระองค์เดมิ นามว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติจากพระนางสริ ิ
มหามายา กอ่ นพุทธศักราช ๘๑ ปี1 ในประเทศเนปาล (ปจั จบุ นั ) ต่อมาได้รบั พระนาม
วา่ “ผู้ตรสั รู้” คือ พทุ ธะ พระผู้เปน็ ดวงประทปี แห่งเอเชีย ความจรงิ พระองค์ได้ศึกษา
ในลัทธติ ่างๆ หลายลัทธิเมื่อเยาว์วัย อาจจะได้ความคดิ จากลัทธิเหล่าน้ันมาบ้าง จึงมี
นกั ปราชญบ์ างทา่ น เชน่ Harold H. Titus แห่ง Denison University, Granville,
ohio ศาสตราจารยอ์ าวุโสใน วิชาปรัชญาใหท้ รรศนะไวว้ ่า พระสิทธตั ถะโคตรมะพทุ ธ
เจ้าไม่ได้มแี ผนท่ีจะตั้งศาสนาใหม่ขึ้นเป็นเพียงปฏิรูปคำสอนในศาสนาฮินดูเสียใหม่ ใน
สมัยพระองค์ ฉะนั้น ในประเทศอินเดียจึงไม่มีพระพุทธศาสนาเหลืออยู่แต่ได้
แพรห่ ลายออกจากอินเดียไปยงั ประเทศศรลี ังกา พมา่ ไทย ธิเบต จีน มองโกเลยี และ
ญ่ีป่นุ ฯลฯ “

พระโคตรมะพุทธเจ้าแม้จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างหรูหรา มีเครื่องบำรุง
ความสุขอย่างมากมาย ยังมีความไม่สุขสบายในชีวิตปรากฏอยู่อย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแก่ ความเจ็บ และ ความตายปรากฏอยู่เนื่องๆ จนกระทั่ง
พระองค์มีพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา จึงได้สละปราสาทราชวัง ศรีภริยา และ
พระโอรส ในการแสวงหาทางหลุดพ้นด้วยการทรมานตนเอง อย่างเคร่งครัดท่ี
เรียกว่า “มหาภิเนษกรมณ์” จนสามารถรู้แจ้งอริยสัจจ์ ๔ สำเร็จเป็นผู้รู้คือ พุทธ
ด้วยพระองคเ์ อง โดยไม่มใี ครเป็นครูอาจารย์ แล้วเสด็จทรงส่ังสอนผู้อื่นให้รู้ตามสม
นามว่า “สัมมาสัมพทุ ธ” โดยเริ่มตั้งแต่สอนปจั จวัคคีย์2 มี โกณฑัณญะ เป็นต้น และ
ท่านเหลา่ นนั้ กไ็ ด้ตรัสรูต้ ามพระพทุ ธประสงค์

พระพุทธศาสนาก็เหมือนกับต้นไม้ที่ขยายกิ่งก้านสาขาแผ่ไปทั่วโลก ที่มี
พุทธบริษัทยอมรับนับถือไม่ว่าจะนับถือด้วยสายเลือด ที่สืบทอดกันมาเป็นไปโดย
ส่วนมากจากพอ่ แม่ และการนบั ถือโดยใช้ปัญญาในการพิจารณาว่าหลกั คำสอนของ
พระพุทธศาสนา สามารถที่จะนำมาใช้ในการดำเนินชีวิต และก่อให้เกิดความสัตติ

1 เร่ิมนบั พุทธศกั ราช หลงั พทุ ธปรนิ พิ พานแล้ว เป็นพุทธศักราชท่ี ๑
2 โกณฑณั ญะ วปั ปะ มหานามะ ภทั ทยิ ะ อัสสช.ิ

ธรรมประยกุ ต์ ๑๐๖

ภาพ ในโลกได้ ยิ่งหลักคำสอนท่ีเป็นสว่ นแหง่ ข้อประพฤติปฏิบัติเป็นท่ียอมรับและเป็น
หลักจรยิ ธรรม

ระดบั ข้นั ของจริยธรรมในพระพทุ ธศาสนา

พระพุทธมีคำสั่งสอน ที่เรียกว่า ธรรม เป็นพื้นฐานสิ่งที่สำคัญที่ชี้ชัดลงไป
ในเรื่อง ของจริยธรรม โดยจริยธรรมนั้น ก็คือ การที่นำเอาสัจธรรมทั้งหมดของ
พระพุทธเจ้านำมาประยุกต์ใช้ให้ถูกต้อง ซึ่งบางครั้งเราสามารถกล่าวได้ว่า ธรรม
ของพระพทุ ธเจา้ มี ๓ สว่ น คือ

๑) ธรรมบริสุทธิ์ ได้แก่ธรรมที่เป็นส่วนว่าด้วยทฤษฏี หรือคำสอนที่อยู่ใน
พระไตรปิฎก หรือคำสอนที่อยู่ตู้พระไตรปิฎก หรือธรรมที่บุคคลรู้เข้าใจ แต่ไม่นำมา
ปฏิบัติเราเรียกว่าธรรมบริสุทธิ์ เช่น จักขุ ๕ ธาตุ ๖ จิต เจตสิก ตัณหา ๓ ไตร
ลักษณะ ฯลฯ

๒) ธรรมปฏิบัติ ได้แก่ธรรมข้อที่ว่าด้วยการปฏิบัติ คือธรรมที่พระพุทธ
องค์ทรงตรัสสอนเกี่ยวกับหลักปฏิบัติตัวปฏิบัติตนเพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด
ทางพระพุทธศาสนา เช่น คำสอน เกี่ยวกับ มงคลสูตร สิงคาลกสูตร หรือ จะเป็น
ธรรมที่เป็นหมวดหมู่ เช่น สังคหวัตถุ ๔ ธรรมโลกบาล ๒ ศีล ๕ ๘ ๑๐ ๒๒๗
จนกระทงั้ ธรรมเกย่ี วกบั การปฏิบัติวปิ สั สนากรรมฐาน เป็นตน้

๓) ผลธรรม ได้แก่คำสอนที่พระองค์ทรงแสดงถึงผลของการปฏิบัติธรรม
จะเกิดผลเช่นไร อาทเิ ช่น วสิ ทุ ธิ ฌาน ๒ ๓ ๘ วมิ ุตติ นโิ รธ ฯลฯ

จริยธรรมทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นธรรมปฏิบัติ การปฏิบัติ หรือ
จรยิ ธรรมทางพระพทุ ธศาสนามี ๓ ระดับ ดงั น้ี

๑) จริยธรรมขน้ั ตน้ ได้แก่ เบญจศีล เบญจธรรม หรือ กลั ยาณธรรม

๒) จรยิ ธรรมขั้นกลาง ไดแ้ ก่ กุศลกรรมบถ ๑๐

๓) จริยธรรมข้ันสงู ได้แกม่ รรคมีองค์ ๘

จรยิ ธรรมขั้นต้น

ข้อปฏิบัติในขั้นต้น ในการดำเนินชีวิตแห่งฆราวาสวิสัย ท่านเรียกว่า ศีล มี
๕ สิกขาบท ถือว่าเป็นข้อระเบยี บกฎของพุทธศาสนิกชนทีพ่ งึ ปฏิบัตโิ ดยถอื ว่า ศีล ๕

ธรรมประยกุ ต์ ๑๐๗

หรือ ศีลธรรม เป็นทฤษฎี ส่วน จริยธรรม คือข้อปฏิบัติ ส่วนเบญจธรรม ถือว่า
เป็นคณุ ธรรมหรอื ผลของการปฏบิ ัตจิ ากศีล ดังจะอธบิ าย ดังนี้

ศีล ๕

ศีลธรรม : ข้อที่ ๑ ปาณาติปาตา เวรมณี แปลว่า เจตนางดเว้นจากการ
ทำให้ชีวิตสัตว์ให้ตกไป ความหมาย คือ ท่านสอนไว้ว่า ให้เว้นจากการฆ่า ทรมาน
หรอื เบยี ดเบียนสตั วใ์ หล้ ำบากหรือพรากชีวิตสตั ว์

จริยธรรม : ชาวพุทธนำศลี ขอ้ น้ีมาปฏบิ ตั ิ โดยต้งั ใจ ถงึ กับเจตนา งดเว้น
โดยปฏบิ ัติว่าจะไม่ฆา่ สัตว์ ทรมาน เบียดเบียนสัตว์ให้ลำบาก หรือพรากชีวิตสัตว์ใดๆ
ให้ตาย

คุณธรรม : ทำให้ผู้ที่ปฏิบัติศีลข้อนี้มีคุณธรรม คือเกิดผลจากการปฏิบัติ
ศีลข้อนี้ เป็นคนที่มีความรักเมตตา เอ็นดู กรุณาต่อสัตว์ปรารถนาอยากให้สัตว์มี
ชีวติ ที่ดี

เปรยี บเทียบเงอ่ื นไขจริยศาสตร์

จริยศาสตร์ นอกจากจะเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องความประพฤติแล้วยังเปน็
ศาสตร์ที่พูดถึงความผิดถูก ควรไม่ควร ซึ่งจะมีเงื่อนไขอะไรมาตัดสินว่าถูกหรือผิด
ควรไม่ควร ทำได้ไม่ได้ ในศีลข้อที่ ๑ พระพุทธเจ้าได้วางกฎจริยศาสตร์เอาไว้อีกว่า
เมื่อพุทธศาสนิกที่ละเมดิ ศีลข้อท่ี ๑ ถือว่า ผิด หรือผิดศีล โดยทรงยังตรัสถึงเง่อื นไข
ของผู้ละเมิดศลี ขอ้ นีไ้ วด้ ังนี้

๑) ทำดว้ ยตวั เอง

๒) ใชใ้ หผ้ ้อู น่ื ใหไ้ ปทำ

๓) ปล่อยอาวุธ เช่น ขว้าง, ปา ยงิ ฯลฯ

๔) สร้างเคร่อื งประหาร เชน่ ทำอาวธุ ขุดหลมุ พราง ดกั ฯลฯ

๕) ใช้วชิ าอาคมไสยศาสตร์ต่างๆ และอิทธฤิ ทธิ์

ผลที่การละเมิดศีลข้อนี้จะบรรลุที่สามารถตัดสินได้ว่าผิดได้ต้องมีเงื่อนไข
ดนั น้ี

ธรรมประยกุ ต์ ๑๐๘

๑) สัตว์ที่ถูกระทำนั้นมีชีวิต (หมายถึงก่อนกระทำมีชีวิตหลังกระทำแล้ว
เสยี ชีวิต

๒) ผกู้ ระทำรูแ้ ล้วว่าสตั วท์ ถ่ี ูกกระทำน้ันมชี วี ิต

๓) จติ ของผกู้ ระทำนน้ั ปรารถนาท่ีจะฆ่า หรือทำลายใหต้ าย

๔) จิตมคี วามพยายามในการทจ่ี ะฆ่าบงั เกดิ มี (เจตนา)

๕) สัตวท์ ถ่ี ูกกระทำน้ันตายด้วยความพยายามนัน้

ศลี ธรรม : ขอ้ ท่ี ๒ อทินฺนาทานา เวรมณี แปลว่า เจตนางดเว้นจากการลักทรัพย์

จริยธรรม : คือ ไม่ประพฤติในการกระทำอันเกี่ยวเนื่องด้วย โจรกรรม
เช่น ลัก ฉก กรรโชก ปล้น จี้ ฉ้อ หลอกลวง ตระบัด เบียดเบียดบัง สับเปลี่ยน โกง
ลักลอบ ยักยอก ฯลฯ เป็นการไม่ประพฤติในอาชีพที่อนุโลมเพื่อการโจรกรรม เช่น
อุดหนุนโจร ปอกลอกเอาทรัพย์สินผู้อื่น รับสินบนฯลฯ และสุดท้ายไม่ประพฤติใน
กิริยาฉายาโจรกรรม เช่น พลาญ หยิบฉวย เอาของ มารดา บิดา โดยไม่บอก หรือ
หยิบเอาของเพอ่ื ซ่งึ มิใช่อาการวสิ าสะ เปน็ ตน้

คุณธรรม : ทำใหผ้ งู้ ดเวน้ ดงั กลา่ วนน้ั ได้ชื่อวา่ เป็นผู้ที่ทำมาหาเล้ียงชีพโดย
สุจริต ทางด้านสังคม ทำให้เกิดความสงบ ไม่เกิดการทำลายกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
ของกนั และกัน

เปรยี บเทยี บเงอื่ นไขจริยศาสตร์

๑) ลกั ด้วยตนเอง หรือใชใ้ ห้ผู้อนื่ ลกั

๒) ของที่ลกั ขโมย หรือโกง ฯลฯ มเี จ้าของ

๓) แมร้ ูว้ ่าของนั้นมเี จา้ ของแล้วยงั จะเอา

๔) มจี ิตหรือเจตนาทจ่ี ะเอาหรือลัก

๕) ใช้ความพยายาม เช่น วางแผน ท่จี ะลักของนน้ั

๖) ใชเ้ วทมนตค์ าถา ใชอ้ ิทธิฤทธิ์

๗) ได้ของนั้นมาโดยความพยายามนัน้ ๆ

ธรรมประยกุ ต์ ๑๐๙

ศีลธรรม : ขอ้ ท่ี ๓ กาเมสมุ จิ ฺฉาจารา เวรมณี แปลวา่ เจตนางดเว้นจาก
การประพฤตผิ ดิ ในกามซึง่ หมายถึง กริ ิยาทร่ี กั ใคร่กนั ในทางประเวณี

จริยธรรม : เป็นผู้ที่ไม่ประพฤติ และสำรวมในกามสังวร

คุณธรรม : เคารพในของรกั ของหวงผู้อื่น เป็นที่ได้รับการยกยอ่ งว่าเปน็ ผู้
สำรวมในกาม เป็นผู้ที่เคารพในสิทธิของตนเองและผู้อ่ืน และสร้างความเป็นปึกแผ่น
สามัคคี และปอ้ งกนั ความแตกร้าวในหม่มู นษุ ย์ เปน็ ตน้

เปรยี บเทยี บเงอื่ นไขจริยศาสตร์

๑) ชาย หรือ หญิงที่นอกเหนือ สามี ภรรยาตน ชาย หรือ หญิงที่มี
ผู้ปกครองดูแล หญิงหรือชายที่เป็นนักบวชในศาสนาที่มีบทบัญญัติห้ามเสพเมถุน

๒) ผู้กระทำนั้นมจี ติ ท่ีคิดจะเสพ

๓) ผ้กู ระทำนน้ั มคี วามพยายามหรอื มีการวางแผน

๔) มรรคถึง มรรค คอื เสพด้วยทวารใดทวารหน่งึ ถึงกนั

ศีลธรรม : ข้อที่ ๔ มุสาวาทา เวรมณี แปลว่า เจตนางดเว้นจากมุสาวาทคือ
ความพดู หรือ กล่าวเท็จ

จรยิ ธรรม : ไม่พดู หรือกล่าวเท็จ ถา้ จะพูด ก็พดู ในความจรงิ

คุณธรรม : ทำใหเ้ ป็นผทู้ ่ีมีความสัตย์

เปรยี บเทียบเงื่อนไขจรยิ ศาสตร์

๑) กล่าวเท็จด้วยตนเอง

๒) ใช้ใหผ้ อู้ น่ื กล่าว

๓) พดู แต่เรอ่ื งทีไ่ ม่จริง

๔) มเี จตนาทีจ่ ะทำใหเ้ ขาเข้าใจผิด หรือพยายามจะพดู เท็จจนคนอื่นเชื่อตาม
๕) ใสร่ า้ ย ทง้ั พดู และเขยี น

ธรรมประยกุ ต์ ๑๑๐

ศีลธรรม : ข้อที่ ๕ สุราเมรยมัชฺชปมาทฺฐานา เวรมณี แปลว่า เจนตางดเว้นจาก
การดม่ื น้ำเมา คอื สรุ า และ เมรยั

จริยธรรม : ไมป่ ระพฤติดื่มนำ้ เมา เมรยั สุรา หรอื สง่ิ เสพติทุกชนิด

คุณธรรม : เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ทำลายสติของตัวเองเป็นผู้ไม่
เสียทรัพย์โดยไม่ใช่เหตุ ไม่ไปสู่ทางแห่งการทะเละวิวาทไม่ไปสู่ทางแห่งการเกิดโรคไม่
เสียช่อื เสียง และเป็นผู้มีบคุ ลิกภาพ

ที่สงา่ งาม เปน็ ผมู้ สี ติสมบูรณ์ สมประกอบ

จรยิ ธรรม : จริยธรรมในศีล ๕

สว่ นทไ่ี ด้ชอ่ื วา่ เป็นจริยธรรมจากศีล ๕ คือ คำว่า วริ ตั ิ วริ ัติ แปลว่า การ
ละเว้น ซึ่งเป็นจริยธรรมในตัวของศีล ๕ คือ เมื่อบุคคลได้ละเว้น ในเรื่องของการ ฆ่า
ลกั ผดิ ในกาม พูดปด และ ด่มื สุราเมรยั กจ็ ะไดช้ อ่ื ว่าเปน็ คนทีม่ ขี ้อวัตรปฏิบัติท่ีดีงาม
คอื มจี รยิ ธรรม โดย วริ ตั ิ แยกได้ ๓ ประการ คอื

๑) สัมปัตตวิรัติ คือ การละเว้นจากวัตถุที่ประสบเข้า หมายถึง บุคคลผู้ท่ี
มิได้ตัง้ สตั ยป์ ฏิญญาว่าจะละเว้นตามบทบญั ญตั ิของศีลข้องนัน้ ๆ เมื่อประสบกับวัตถุ
ที่ชว่ ยใหล้ ะเมิด แต่ไม่ทำจัดเปน็ สมั ปัตตวิรัต

๒) สมทานวิรัติ คือ การละเว้นด้วยการสมาทาน คำว่า “สมาทาน”
หมายถึง กิริยาทีร่ ับข้อปฏิบัติมาโดยการถือเพศนักบวช เช่น บวชเป็นภิกษุ สามเณร
เป็นต้น ผู้ถือบวชจำเป็นตอ้ งสมาทานสิกขาบทตามสภาวะของตน บางคนนอกจากจะ
สมาทานสกิ ขาบทแล้วยังตั้งสตั ย์ปฏญิ ญาดว้ ยตนเองว่าจะละเวน้

๓) สมุจเฉทวิรัติ คอื การละเว้นโดยเดด็ ขาด ได้แก่ การละเวน้ ของพระอริย
เจ้าซึ่งไม่ประพฤติล่วงข้อห้ามทง้ั ปวงนบั ตง้ั แต่บรรลุเปน็ พระอรยิ บุคคลแล้ว

คณุ ธรรม : คอื ผลท่ีเกิดจากการประพฤตศิ ีล ๕ กม็ ผี ล หรือคุณธรรม ๕ ประการ
ดังนี้

๑) ความเมตตากรุณา

บุคคลเมื่อได้ปฏิบัติศีลข้อที่ ๑ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ก็จะทำให้มีคุณธรรมที่
ชื่อว่า เมตตาธรรม เมตตา แปลว่า ความรัก ความรักในความหมายในเมตตามิได้

ธรรมประยกุ ต์ ๑๑๑

หมายถึงความรักที่เจือปนไปด้วยความใคร่ แต่เป็นความรักที่มีดีโดยส่วนเดียว เช่น
ความรักอยากใหผ้ อู้ ืน่ สัตวอ์ น่ื พ้นจากทกุ ข์ รักอยากให้ผอู้ น่ื มีความสุข เป็นความรัก
ท่ปี ราศจากความอจิ ฉาริษยา หลงเมามัว

กรุณา แปลว่า ความเอ็นดูสงสาร เป็นธรรมที่เกื้อกูลในข้อ เมตตา คือ
ความรักที่จะให้เขาได้มีความสุข รักที่ยากจะให้เข้าได้พูนจากทุกข์ ซึ่งเป็นความรัก
ในทางสรา้ งสรรค์ สว่ นกรณุ าเปน็ ความรักในตรงกันข้าม คือ เอน็ ดู เอ็นดเู ม่ือเห็นเขา
มคี วามทุกข์ เอน็ ดเู มือ่ ร้วู า่ เขาขาดความสุข เอน็ ดคู วามรักนน้ั เป็นการตอกยำ้ ความ
รักให้เป็นรักที่มีความสงสาร เอ็นดู เช่น ทุกชีวิตทีด่ ำเนินมาได้จนกระทั้งอ่านหนังสือ
เล่มนี้ได้ ก็จะได้รับการฟูมฟัก มาจากอีกชีวิตหนึ่งหรือหลายชีวิต ชีวิตที่วา่ นี้เขาจะให้
ความเมตตา คือ ความรักแก่ผู้อ่านคือ รักที่จะให้ศิลปะวิทยาความรู้ จนอ่านออก
เขียนได้ โตไปจะไดไ้ ม่เปน็ คนโง่ จะไดฉ้ ลาดทัดเทียมกบั คนอนื่ มีความกรณุ า คือ เอ็นดู
สงสาร ไม่อยากให้ผู้อื่นนี้ไม่มีความรู้ ไม่มีวิชาติดตัว กลัวใครจะดูถูกว่าโง่ อย่างนี้
หรือ ผู้นี้ไม่สามารถที่จะอ่านหนังสือได้เลย แม้จะสอนแล้ว หรือไม่ได้สอนก็ตามก็เกิด
ความเอ็นดูเขา ที่เขาไม่สามารถอ่านหนังสือ กลัวเขาจะเป็นเหยื่อคนฉลาดที่อ่าน
หนงั สือได้ เปน็ ต้น

ดังนั้น ในส่วนของเบญจศีลขอ้ ที่ ๑ คือ เว้นจากการฆ่า ก็จะทำให้บุคคลนั้น
มีคุณธรรมที่เรียกว่า เมตตากรุณา ตามมาโดยปริยาย เรียกว่า เบญจธรรมบ้าง
คุณธรรมบ้าง

๒) สมั มาอาชวี ะ

บุคคลเมื่อรับศีล ข้อที่ ๒ ละเว้นการลักของผู้อื่น ได้ชื่อว่ามีคุณธรรมใน
ข้อสัมมาอาชีวะ สัมมาอาชีวะ แปลว่า ความเพียรเลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ หรือ
ประกอบอาชีพในทางที่ควร คือ การแสวงหาปัจจัย ๔ มาด้วยความชอบธรรม คือ
ไม่ประกอบอาชีพในทางทุจริตประกอบอาชีพที่เรียกว่า “มิจฉาอาชีวะ” หรือ มิจฉา
วณชิ ชา” ๕ อย่างคือ

๑) ไม่ประกอบอาชพี ขายศัตราวธุ ในการทำลายชวี ติ

๒) ไม่ประกอบอาชีพในการค้าขายชวี ติ มนุษย์

ธรรมประยกุ ต์ ๑๑๒

๓)ไม่ประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ที่มีคุณ(วัว ควายฯลฯใช้ไถนา)ไว้ฆ่าเป็น
อาหาร

๔) ไม่ประกอบอาชพี คา้ ขายน้ำเมา หรือสง่ิ เสพติดให้โทษ

๕) ไมป่ ระกอบอาชีพค้าขายยาพษิ

๓) กามสังวร

บุคคลเมื่อละเว้นการปฏิบัติข้อที่ ๓ ไม่เล่นชู้สู่ชาย ไม่มีกามกับหญิงที่ไม่ใช่
ภรรยาตนเรียกว่ามีคุณธรรมการสังวร เพราะการสำรวมในกาม หมายถึง กิริยาที่
ระมัดระวังไม่ประพฤติมักมากในกามคุณ คุณธรรมข้อนี้ทำให้เกิดความบริสุทธิ์ผุด
ผ่องของชาย หญิง ไร้มลทิน พ้นจากการตำนิติเตือน สำหรับชาย พระพุทธศาสนา
สอนให้ควรยึดหลักแห่งสทารสันโดษ คือ ความยินดีหรือพอใจเฉพาะภรรยาของตน
ไม่ผูกสมัครรักใคร่กับหญิงอื่น ชายผู้ไม่สันโดษในภรรยาของตนเที่ยวซุกซนคบหญงิ
แพศยา แมจ้ ะไม่เป็นกาเมสุมิฉาจาร แต่กเ็ ปน็ เหตุความเสอ่ื มเสีย เช่น

๑) เสียทรัพย์

๒) ได้รบั เชือ้ กามโรคและอืน่ ๆ (โรคเอดส์)

๓) เปน็ สามเหตนุ ำมาซงึ่ ภัยอันตรายตา่ งๆ

สำหรับหญิง หญงิ ทีม่ สี ามีแลว้ กย็ นิ ดพี อใจกบั สามขี องตน ไมค่ วรผกู สมัคร
รักใคร่กับชายอื่น ส่วนหญิงที่ยังไม่มีสามีก็ควรประพฤติตนเป็นกุลสตรี ไม่ทำตนให้
เสอื่ มเสยี ศกั ดิ์ศรีของผูห้ ญงิ ประพฤติตนใหเ้ หมาะสมแก่เพศและวัย

๔) มสี จั จะ

บคุ คลเมื่อปฏบิ ตั ติ ามศลี ขอ้ ท่ี ๔ คอื การไม่พดู ปด ก็จะกอ่ ใหเ้ กิดคุณธรรมท่ี
เรียกวา่ เปน็ ผทู้ ี่มสี ัจจะ คอื ความจริง หมายถึงความจรงิ ใจ ซ่อื ตรง ความมีสัตย์ท้ัง
การพูด และการกระทำกริ ยิ าที่ประพฤตติ นเป็นคนตรงซึ่งเหน็ ไดจ้ ากดังน้ี.

๑. เป็นคนเที่ยงธรรม คือ ประพฤติเป็นธรรมกิจการอันเป็นหน้าที่ของตน
ไมท่ ำให้ผิดเพ้ียนไปดว้ ยอำนาจของ อคติ ๔ คอื

ก. ฉนั ทาคติ คือ ลำเอยี งเพราะรกั ใคร่

ธรรมประยกุ ต์ ๑๑๓

ข. โทสาคติ คอื ลำเอียงเพราะเกลยี ดชงั

ค. โมหาคติ คอื ลำเอียงเพราะหลงผดิ , ไมร่ เู้ ทา่ ทนั

ง. ภยาคติ คือ ลำเอยี งเพราะความกลวั

๒. เป็นคนซื่อตรง คือประพฤตติ รงต่อผู้เป็นมิตร เมื่อผูกไมตรีสนิทสนมกับ
ผ้ใู ดกไ็ ม่คดิ รา้ ยต่อผนู้ ั้น

๕) มีสติ

บุคคลใดประพฤติศีลขอ้ ท่ี ๕ คือ ละเว้นจากการดื่มนำ้ เมาส่ิงมึนเมา ก็จะทำ
ให้เกิดคุณธรรม คือเป็นคนมีสติ สติ แปลว่า ระลึกได้ การมีสติหมายถึง การละลึก
ก่อนพูด ก่อนทำ เพื่อป้องกันความผิดพลาด พลั้งเผลอ สติได้ชื่อว่าเป็นคุณธรรม
อุปการะมาก เพราะทำให้ไม่ให้มีความประมาทเกิดขึ้น เมื่อใดคนเราไม่มีสติ ความ
ประมาทก็จะเข้ามาแทนที่ได้ เมื่อความประมาทเข้ามาเมื่อใด คนเราก็จะตกอยู่ใน
อันตราย เพราะความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ดังนั้น คนเราจึงควรมีสติอยู่
ตลอดเวลา สตใิ ช้ไดท้ ุกกิจการงาน ไดแ้ ก่

๑) ไมป่ ระมาทในธรรม คือคดิ วา่ ชีวติ น้ยี งั ไม่ถึงเวลาในการทจ่ี ะสรา้ งคณุ งาม
ความดีคอยพลัดวันประกันพรุ่งว่าจะทำความดี เช่น ยังไม่ถึงวัน ไม่ถึง วัย ที่จะทำ
ความดี เปน็ ต้น อย่างนีเ้ รียกว่าประมาทในธรรม ประมาทในชวี ติ เพราะคนเราถ้าเกิด
มาแล้วสักแต่เกิดในโลกแลว้ ไม่มีคุณงามความดีอะไรประดับไว้ในโลก ก็คงไม่ต่างอะไร
กบั สัตว์อืน่ ท่ีเกิดมาเพื่อทจี่ ะยงั และดำรงชีวิตเท่านนั้

๒) ประมาทในการบริโภคอุปโภคคือคิดว่ามีอะไรกิน มีอะไรทานก็ทานไป
เพื่อให้เสร็จๆซึ่งไม่ได้สนใจในเรื่องคุณค่าและประโยชน์ในอาหารที่บริโภค ว่าจะมีคุณ
หรอื โทษอยา่ งไร

๓) ประมาทในหน้าที่การงาน คือประมาทในหน้าที่บทบาทท่ีได้รับทั้งบทบาท
ทางสังคม และหน้าทีท่ ่ีต้องรับผดิ ชอบ ปล่อยหรือทอดทิ้งธรุ ะ กิจการงานทำงานอ้าง
พลัดวันประกันพรุง่ ร้อนนัก หนาวนัก เช้านัก ฯลฯ เป็นต้นจนกระทั้งหน้าที่การงาน
เกดิ ปัญหาเป็นต้น.

ธรรมประยกุ ต์ ๑๑๔

จริยธรรมขัน้ กลาง

จริยธรรมขั้นกลาง พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงจริยธรรมขั้นกลางคือขั้นที่
ละเอียดกว่าศีล และมขี ้อปฏบิ ัตมิ ากกว่า ศลี คอื กุศลกรรมบถ3 ๑๐ คำวา่ “กุศล
กรรมบถ” ประกอบด้วย กุศล + กรรม + บถ กุศล แปลว่า ดี, ฉลาด กรรม
แปลว่า การกระทำ บถ แปลว่า ทาง รวมความเข้าด้วยกัน หมายถึง ทางแห่งการ
ทำหรือประพฤตคิ วามดี ๑๐ ประการ โดยได้แยกความประพฤติหรือจริยะ ๓ ทาง
คือ ทาง กาย เรียกว่า กายสุจริต ๓ ทางวาจา เรียกว่า วาจาสุจริต ๔ และ ใจ
เรยี กว่า มโนสจุ รติ ๓

๑) กายสุจริต4 ๓ คือ การประพฤติดที างกาย ๓ ได้แก่

๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการฆ่าสัต ว์
๒. อทินาทานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการลักทรัพย์
๓. กาเมสุมิจฉาจรารา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิด

ประเวณี

๒) วจสี ุจริต ๔ คอื การประพฤตดิ ีงามทางวาจา ๔ ได้แก่
๔. มุสาวาทา เวรมณี เจตนางดเวน้ จากการพูดเท็จ
๕. ปิสณุ าวาจา เวรมณี เจตนาเวน้ จากการพูดส่อเสียด
๖. ผรุสวาจา เวรมณี เจตนางดเวน้ จากการพูดคำหยาบ
๗. สมั ผปั ปลาปวาจา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพดู เพอ้ เจ้อ

๓) มโนสจุ ริต ๓ คือการประพฤติดงี ามทางใจ ๓ ได้แก่
๘. อนภชิ ฌา ไมค่ ิดโลภอยากได้ของผู้อ่นื มาเปน็ ของตน
๙. อพยาบาท ไม่คิดพยาบาทปองร้ายผอู้ ื่น
๑๐.สัมมาทิฏฺฐิ เห็นความถกู ตอ้ งตามคลองธรรม

ในการอธิบายจริยธรรมขั้นต้นได้พออธิบายไปแล้วบ้างลำดับต่อไปจะอธิบาย
ศลี ธรรม จริยธรรม และคณุ ธรรมทซ่ี ้ำกันกไ็ ม่อธิบายจะอธบิ ายหวั ขอ้ ต่อไป ดงั น้ี

ปสิ ณุ าวาจา เวรมณี : เจตนาเวน้ จากการพูดส่อเสียด

3 ท.ี่ ปา. ๑๑/๓๖๐/๒๘๔ ; ๔๗๑/๓๓๗.
4 ท.ี ปา.๑๑/๒๒๘/๒๒๗; อภ.ิ สํ. ๓๔/๘๔๐/๓๒๗.

ธรรมประยกุ ต์ ๑๑๕

จริยธรรม : ไม่พดู สอ่ เสยี ดให้เกดิ การแตกแยก

คุณธรรม : เป็นผูไ้ ม่ทำใหเ้ กิดการแตกแยกความสามคั คี เสียดสีถาก

ถางผู้อน่ื และไมเ่ ปน็ คนท่ีข่มผู้อน่ื เป็นผูท้ ไ่ี ด้รับการยกยอ่ งและ

เชื่อถอื

ผรสุ วาจาย เวรมณี : เจตนางดเวน้ การพูดคำหยาบ

จรยิ ธรรม : ไมพ่ ดู คำหยาบ ด่า แชง่ ใหก้ ินแหนงแคลงใจผอู้ นื่

คณุ ธรรม : เป็นท่รี ักแก่ผ้อู ่นื ไมท่ ำใหผ้ ้อู นื่ ได้ผูกพยาบาท โกรธเคือง

และเปน็ ท่เี คารพนบั ถอื แก่มนษุ ยแ์ ละเทวดา คำที่ว่าคำ

หยาบคาย ในพระบาลีไดแ้ สดงเอาไว้ ๑๐ ประการ

ได้แก่

๑) ด่าเกย่ี วกับชาติ เชน่ ไอ้ชาตไิ พร่ ชาติขขี้ ้า ชาตยิ าจก ชาตหิ นิ ชาติ

นกั เลง

๒) ด่าเกี่ยวกับนาม เช่น (ชอื่ ) ไอเ้ ปรต ได้งง่ั ไอท้ ุย ฯลฯ

๓) ด่าเก่ียวกบั โคตร เชน่ ตระกลู วณิพก พวกไพรส่ กุล พวกหวั ขโมย ฯลฯ

๔) ดา่ เกีย่ วกับงาน (อาชพี ) เช่น คนจับกงั คนขนขยะ ไอ้กุลี ฯลฯ

๕) ดา่ เก่ยี วกบั ศิลปะ เชน่ วชิ าเชด็ รถ วิชากวาดถนน วิชาขดั รองเท้า ฯลฯ

๖) ดา่ เก่ียวกบั โรคภัย เชน่ ไอโ้ รคเร้อื น ไอ้กฏุ ฐงั กามโรค โรคประสาท ฯลฯ

๗) ด่าเกี่ยวกับรูปร่าง เช่น ไอ้อ้วน ไอ้ผอม ไอ้แคระ ไอ้เตี้ย ไอ้โย่ง ฯลฯ
๘) ด่าเกี่ยวกับกิเลส เช่น พวกมิจฉาทิฐิ เจ้าโทโส คนตัณหาจัด เฒ่าหัวงู
๙) ด่าเกี่ยวกับอาบัติ เช่น สมี ปราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์ ทุกกฎ
๑๐) ดา่ เก่ียวกบั คำหยาบต่าง (อักโกสะ) เชน่ ไอ้ มึง กู อกี สันดานดิบ ฯลฯ

สมั ผัปปลาปวาจาา เวรมณี : เ จ ต น า เ ว ้ น จ า ก ก า ร พ ู ด เ พ ้ อ เ จ้ อ
จรยิ ธรรม : การไม่พูดเพ้อเจอ้

ธรรมประยกุ ต์ ๑๑๖

คุณธรรม : เปน็ ผู้ท่มี คี วามสตั ย์ พูดแต่ประโยชนแ์ ละ

มสี าระเป็นทเี่ ชื่อถอื แก่คนทง้ั หลาย

ใน “ตริ ัจฉานกถา” พระบาลีไดแ้ สดงคำทพ่ี ูดเพอ้ เจ้อ ไว้ ๓๒ ประการ คือ

๑) พูดเก่ยี วกับพระราชา ๒) พดู เกีย่ วกบั เร่อื งโจร

๓) พดู เกีย่ วกบั ทหาร ตำรวจ ๔) พดู เกีย่ วกบั รฐั มนตรี

๕) พูดเก่ียวกับเรื่องภยั ต่าง ๖) พูดเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์

๗) พูดเรอ่ื งอาหารการกนิ ๘) พูดเรอื่ งเครื่องด่ืม

๙) พดู เร่ืองเส้ือผา้ ๑๐) พดู เรื่องท่ีนอน

๑๑) พูดเรือ่ งดอกไม้ ๑๒) พูดเรอื่ งกลิ่นหอม

๑๓) พูดเรอ่ื งวงศาคณาญาติ ๑๔) พดู เรื่องยานพาหน

๑๕) พูดเรื่องหมูบ่ ้าน ๑๖) พดู เรอื่ งนิคม

๑๗) พดู เรื่องสตรี ๑๘) พูดเร่อื งจงั หวดั

๑๙) พูดเรือ่ งชนบท ๒๐) พูดเรื่องบรุ ุษ

๒๑) พูดเร่ืองหญิงสาว ๒๒) พดู เร่อื งชายหนุ่ม

๒๓) พูดเรื่องความกลา้ หาญ ๒๔) พดู เรือ่ งถนนหนทาง

๒๕) พดู เร่อื งทา่ นำ้ ๒๖) พดู เรื่องญาตทิ ล่ี ว่ งลบั ไปแล้ว

๒๗) พูดเรอ่ื งตา่ งๆ นานา ๒๘) พูดเรื่องโลกและผู้สร้างโลก

๒๙) พูดเร่ืองมหาสมทุ ร และผ้สู รา้ งมหาสมุทร

๓๐) พดู เรอื่ งความเจริญและเสอื่ ม ๓๑) พูดเรือ่ งป่า

๓๒) พดู เร่ืองภเู ขา

อนภิชฺฌา : ไมค่ ิดโลภอยากได้ของผ้อู น่ื มาเป็นของตน

จริยธรรม : การไมป่ ระพฤติโดยละโมบ โลภของคนอ่นื ทม่ี ีเจ้าของดิน้

รนทีอ่ ยากจะหาวธิ ใี นการทจ่ี ะไดม้ า เช่น วางแผน

คุณธรรม : เม่อื ปฏบิ ัติในการไมค่ ดิ ที่จะละโมบของคนอื่นไมอ่ ยากได้

ของคนอ่ืนมา เปน็ ของตวั กจ็ ะไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เปน็

คนท่ีรักษาศีล ไดร้ บั ความไว้เน้ือเชือ่ ใจจากคนรอบข้าง

อพยาบาท : ไม่พยาบาทปองรา้ ยผู้อน่ื

จรยิ ธรรม : ไม่กระทำการปองรา้ ยคนอืน่ วางแผน ปล่อยวางละจิตท่ี
คดิ พยาบาทอาฆาต

ธรรมประยกุ ต์ ๑๑๗

คุณธรรม : เป็นคนที่มีจิตใจผ่องใส ไมข่ ุ่นหมองดว้ ยพยาบาท ไม่
อาฆาต

มจิ ฉาทิฏฐิ : การไม่มคี วามเห็นผิด คอื เห็นผิดเปน็ ชอบ เหน็ ชอบเป็นไม่
ชอบ

จริยธรรม : พยายามละความคิดเหน็ ที่ผดิ ๆ มีจิตใจเป็นกลาง แล้ว
ปฏิบตั ิตนใหช้ อบธรรมถกู ต้องตามทำนองคลองธรรม

คณุ ธรรม : เมอ่ื ปฏบิ ตั ติ นเชน่ ดังกลา่ วแล้วจะกลายเปน็ คนมี
ความเหน็ ถกู ต้อง เหน็ เรื่องจริงแห่งชวี ิต เห็นผดิ เปน็ ผิด
เหน็ ชอบเป็นชอบ

คำวา่ สัมมาทฏิ ฐิ น้ีจะตรงกนั ขา้ มกับคำว่า มิจฉาทิฏฐิ ๓ อย่าง คอื
๑) นัตถิกทิฏฐิ คือ ลัทธิที่เห็นว่าผลกำมไม่มีจริงคือ ปฏิเสธผลบุญ การ
บูชา การต้อนรับ การทำดีทำชั่ว ปฏิเสธภพนี้ ภพหน้า คุณมารดา คุณบิดา เปรต
เทวดา พรหม ปฏิเสธการบรรลุคณุ ธรรมของสมณพราหมณ์

๒) อเหตุกทิฏฐิ คือ ลัทธิที่เห็นว่ากรรมดี กรรมชั่วเป็นเหตุก่อให้เกิดผลได้
ผปู้ ฏเิ สธเหตุ ได้ชอ่ื ว่าเปน็ ผูป้ ฏเิ สธท้งั เหตทุ ง้ั ผล

๓) อกิรยิ ทฏิ ฐิ คิอ ลัทธิทเ่ี หน็ ว่าทำดี ทำชั่วดว้ ยตนเองหรือใชใ้ ห้ผู้อื่นทำ ไม่
ชื่อว่าเป็นบาป หรือบุญ ทำแล้วก็ไม่เป็นอันทำ คือ สักแต่ว่าทำลัทธิอกิริยทิ ฏฐิน้ี
ปฏิเสธการกระทำอันเป็นตัวเหตุ ก็เท่ากับปฏิเสธผลของการกระทำด้วยเช่นกัน
(ปฏิเสธทง้ั เหตทุ ั้งผล)

จรยิ ธรรมขนั้ สูง

จริยธรรมขั้นสูงทางพระพุทธศาสนา คือ มรรคมีองค์ ๘ หมายถึง ทาง
แห่งการดับทุกข์ บางที ก็เรียกว่า วิถี แห่งการดับทุกข์ที่ได้แสดงในอริยสัจจ์ ๔
มรรคมีองค์ ๘ ได้ชื่อว่าเป็นจริยธรรมขั้นสูง เพราะเป็นข้อปฏิบัติที่จะไปสู่ความมุ่ง
หมายหรือเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า “พระนิพพาน” บางครั้ง
จะเรยี กข้อปฏิบตั นิ เี้ รียกวา่ ทางสายกลาง หรือ มัชฌมิ าปฏปิ ทา ประกอบด้วย5

5 ม.ม.ู ๑๒/๒๖/๒๖ ; อภ.ิ วิภงคฺ ๓๕/๕๖๙-๕๗๗/๓๑๗-๓๑๗

ธรรมประยกุ ต์ ๑๑๘

๑ . ส ั ม ม า ท ิ ฏ ฐิ (Right View; Right Understanding) ป ั ญ ญ า
เหน็ ชอบ วิปัสสนา ญาณ คือเห็นหรือตรัสร้อู ริยสัจ ๔

๒. สัมมาสังกัปปะ (Right Thought) ดำริชอบ คิดหลีกจากกามารมณ์ อภัย
ไม่พยาบาทจองร้าย ไม่คิด ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
๓. สัมมาวาจา (Right Speech) เจรจาชอบ เว้นจากวจีทุจริต ๔ พูดจริง
อ่อนหวาน ผสานไมตรี พอเหมาะแก่กาลและเวลา
๔. สัมมากัมมันตะ (Right Action) ทำการงานชอบ เว้นจากกายทุจริต ๓
เมตตาตอ่ สรรพสตั ว์ เวน้ จาก โจรกรรม สนั โดษในกามประเวณี

๕. สัมมาอาชีวะ (Right Livelihood) เลี้ยงชีพชอบ เว้นมิจฉาชีพ ทุจริต ผิด
ก ฎ ห ม า ย แ ล ะ ศ ี ล ธ ร ร ม ป ร ะ เ พ ณี
๖.สัมมาวายามะ (RightEffort) เพียรชอบพยายาม ละอบายอกุศล และ
บำเพญ็ บญุ เปน็ ต้น

๗. สัมมาสติ (Right Mindfulness) ระลึกชอบคุมสติสำรวมอารมณ์ คือ
ระลึกในสติปฏั ฐาน ๔

๘. สมั มาสมาธิ (Right Concentration) ต้งั ใจไวช้ อบ คือเจริญฌาน ๔

๑) สัมมาทิฏฐิ คอื ความเห็นชอบ หมายถึงความเหน็ ทถ่ี ูกตอ้ งในธรรมชาติ
ของชีวิต กฎธรรมชาติ เหน็ จริงในอรยิ สจั จ์ ๔ ในไตรลักษณ์ ๓ และปฏิจจสมุปบาท
๑๒ เป็นต้น หรือมีความเห็นที่ถูกต้องในเรื่องความดีความชั่ว ความถูก ความผิด
เป็นต้น ซึ่งความเห็นชอบมปี ัจจยั ใหเ้ กิด สมั มาทิฏฐิ6 ๒ ประการ คือ

ก. ปรโตโฆสะ คือ การได้รับคำสั่งสอนชี้แนะจากบุคคลอื่น ได้ศึกษา
เล่าเรียนจากผู้อื่นท่ีเป็นกัลยาณมิตร หรือ เรียกว่าความรู้หรอื ปัญญา
เกดิ จากการกระตุ้นหรอื ชกั จูงจากภายนอก

ข. โยนิโสมนสิการ คือการใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น
คือกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณา
รู้จักสืบสาวหาเหตุผล แยกแยะสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ออก ให้เห็น
ตามสภาวะและความสมั พนั ธ์แห่งเหตุปัจจยั

6 ม.ม.ู ๑๒/๔๙๗/๕๓๙; องฺ.ทกุ . ๒๐/๓๑๗/๑๑๐.

ธรรมประยกุ ต์ ๑๑๙

๒) สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การดำริหรือการครุ่นคิดที่
ถูกต้อง ความดำริที่ถกู ที่ชอบขึ้นตน้ เช่น ความตั้งใจในทางที่ดี ตัวอย่าง ความตั้งใจ
ที่จะเป็นนักศึกษาที่ดี มีความตั้งใจเรียน และหน้าที่ของความเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่
เป็นต้น ส่วนความดำริที่ถูกต้องที่ชอบ ชั้นสูง ตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา
ไดแ้ ก่

ก. เนกขัมมสังกัปปะ คือ ดำริในการที่จะออกจากวัตถุกาม ได้แก่ รูป
เสียงกลิ่น รส สมั ผสั เป็นต้น
ข. อวิหงิ สาสังกปั ปะ คอื ดำริในการที่จะไมเ่ บียดเบียน
ค. อัพยาปาทสงั กัปปะ คือ ดำริในการทจี่ ะไมพ่ ยาบาทมคี วามเมตตา
๓) สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบหมายถึงการพูดแต่คำสัตย์จริง พูดแต่
สิ่งที่ไม่ก่อทุกข์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น การเจรจาที่ถูกที่ชอบนั้นต้องไม่กล่าวหรือพูด
ดงั ตอ่ ไปน้ี
ก. มสุ าวาท คือ พูดเทจ็
ข. ปิสณุ าวาจา คอื พูดส่อเสียด
ค. ผรสุ วาจา คอื พูดหยาบคายไม่สภุ าพ
ง. สมั ผปั ปลาปวาจา คือ พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ
๔) สัมมากัมมันตะ คือ การงานชอบ หมายถึงการกระทำทางกายกิริยา
ทางกาย เชน่ การเคารพสทิ ธิ และเสรีภาพสว่ นบคุ คล คือเวน้ กายทจุ รติ ๓ คอื
ก. ปาณาตบิ าต คอื การฆา่ สัตว์
ข. อทินาทาน คือ เอาส่งิ ของท่มี ีเจา้ ของท่ีเขาไมไ่ ดใ้ ห้
ค. กาเมสมุ จิ ฉาจาร คอื การประพฤติผิดในกาม

๕) สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพชอบ หมายถึงการประกอบอาชีพโดย
แสวงหาปัจจัย ๔ หรือเครื่องบริโภค อุปโภค มาเลี้ยงตัวเอง หรือครอบครัว ความ
แสวงหาในทางที่ชอบด้วยศีลธรรม ถูกกฎหมาย และ ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดี
งาม ไม่แสวงหาโดยการเบียดเบียนคนเองและผู้อื่นทั้งทางตรงและทางออ้ม เช่น
การคา้ ขาย หรอื ประกอบอาชีพผิดๆ ไดแ้ ก่

ก. สัตถวณิชชา คอื ค้าขายศตั ราวธุ

ข. มนสุ สวณิชชา คือ ค้าขายมนษุ ย์

ค. มชั ชวณิชชา คือ คา้ ขายน้ำเมาและยาเสพติใหโ้ ทษ

ธรรมประยกุ ต์ ๑๒๐

ง. วิสวณชิ ชา คอื คา้ ขายยาพษิ หรือของทีเ่ ป็นพษิ

๖) สัมมาวายามะ คือ ความเพียรพยายามชอบ หมายถึงความเพียร
พยายามในอันจะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นไปในทางที่ถูที่ชอบ และความเพียรพยายาม
นั้นจะต้องต่อเนื่องกันไม่ขาดตอนดำเนินไปอย่างจริงจังมั่นคง จนกว่าจะสำเร็จตาม
เป้าหมายความพยายามเหลา่ นนั้ มีอยู่ ๔ สถาน เรยี กว่า ปทาน7 ๔ คือ

ก.สังวรปาธาน คือ เพียรพยายามละบาปอกุศลไม่ให้เกิดข้ึน
ข. ปหานปธาน คือ เพียรพยายามละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
ค. ภาวนาปธาน คือ เพียรพยายามให้กุศลที่ยังไม่เกิด ให้เกิดข้ึน
ง. อนรุ ักขนาปธาน คอื เพียรพยายามรกั ษากศุ ลท่ีเกิดขึ้นแล้วไม่ให้เส่ือ
และใหพ้ อกพูนข้ึน

๗) สัมมาสติ คือ ความระลึกชอบ หมายถึง จิตที่ตื่นตัว ไม่หลงลืม ไม่
หลงใหล ไม่ประมาท หรือจิตท่ีจดจ่อกับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง หรือความระลึกชอบ
จะหมายถึงการระลึกก่อนพูด ก่อนทำ ให้รู้สึกตวั ว่าจะพูดอะไรจะทำอะไร ความระลึก
ชอบ จึงเป็นการป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาด หรือพลั้งพลาด บกพร่อง อันเป็น
ผลสืบเน่ืองไปสู่ความประมาท และยังผลให้เกิดความเสยี หาย โดยการกำหนดสตนิ นั้ มี
อยู่ ๔ ฐาน ที่เรียกวา่ สตปิ ัฏฐาน8 ๔ ไดแ้ ก่

ก. กายานุปสั สนา คอื การพิจารณากาย
ข. เวทนานปุ ัสสนา คอื การพจิ ารณาเวทนา
ค. จิตตานุปัสสนา คือ การพจิ ารณาจิต

ง. ธัมมานุปัสสนา คอื การพจิ ารณาธรรม

๘) สัมมาสมาธิ9 คือความตั้งใจชอบหมายถึง ความตั้งในแห่งจิต หรือการ
ควบคุมจิตให้มั่นไม่ปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบ สมาธิแบ่ง
ออกเปน็ ๓ ระดบั ดงั นี้.

ก. ขณิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ เป็นสมาธิขั้นธรรมดาที่เราสามารถ
ปฏบิ ัติ ไดใ้ นชวี ิตประจำวนั ซ่งึ ถือวา่ เปน็ สมาธเิ บื้องต้น

7 องฺ.จตุกฺก. ๒๑/๖๙/๖๙; ๑๔/๒๐; ๑๓/๑๙.
8 ท.ี ม. ๑๐/๒๗๓/-๓๐๐; อง.ฺ จตกุ กฺ .๒๑/๔๑/๕๗.
9 สงคฺ ณี อ. ๒๐๗ ; วิสุทธ.ิ ๑/๑๘๔.

ธรรมประยกุ ต์ ๑๒๑

ข. อุปจารสมาธิ คือ สมาธิระดับกลาง คือ สมาธิที่สูงขึ้นไปใกล้กับ
ระดบั ปฐมฌานคอื ความสงบใจจวนจะแน่วแน่

ค. อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิระดับสูง คือ นับตั้งแต่ขั้นปฐมฌานถึง
จตุตถฌานเป็นสมาธิแน่วแน่ ได้แก่ ภาวะ ของจิตที่แพ่งอารมณ์จวน
แนว่ แน่

การปฏิบัติเพื่อให้เกิดสมาธิจิตนั้นย่อมมีกลวิธี หรือกลอุบายสำหรับ
เหนี่ยวนำสมาธิซึ่งพรอรรถกถาจารย์ได้รวบรวมข้อปฏิบัติที่เปน็ กลวิธตี ่างๆ ถึง ๔๐
อยา่ งให้เป็นอารมณข์ องสมาธิ เรยี กว่า “กรรมฐาน10 ๔๐” ไดแ้ ก่

ก. กสิณ11 ๑๐ คือวัตถุ อันจูงใจ หรือวัตถุสำหรับเพ่งเพื่อจูง
จิตให้เป็นสมาธิ

ข. ข. อสุภะ12 ๑๐ คือพิจารณาสิ่งไม่งาม หรือซากศพในสภาพ
ต่างๆใชเ้ ปน็ อารมณ์แห่งกรรมฐาน13

ค. อนุสสติ14 ๑๐ คือ ความระลึกถึง หรือ อารมณ์อันควร
ระลกึ ถึงเน่อื งๆ15

ง. อปั ปมาญญา ๔
จ. อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ คือ กำหนดพิจารณาความเป็น

ปฏกิ ูลในอาหาร
ฉ. จตุธาตุวัฏฐาน ๑ คือกำหนดพิจารณาธาตุ ๔ สักว่าเป็น

ธาตแุ ต่ละอยา่ ง

10 วสิ ทุ ธ.ิ ๑/๑๓๙; สังคห.๕๑.

11 กสิน ๑๐ แบ่งออกเป็น ๓ คือ ภูตกสณิ ๔ กสิณคือ ๑.มหาภตู รูป ไดแ้ ก่ เพง่ ดนิ นำ้ ไฟ ลม ๒. วรรณกสณิ ๔
กสณิ คือสี ไดแ้ ก่ เขยี ว เหลือง แดง และขาว ๓. ปกิณกะกสิณ อน่ื ๆ ๒ คือ แสงสวา่ ง และ ช่องวา่ ง. เป็นตน้ .

12 พจิ ารณา ซากศพ ๑๐ อย่าง คอื ๑.ซากศพเน่าพองขนึ้ อืด ๒. ซากศพเขียวคลำ้ ๓. ซากมนี ำ้ เหลืองไหลเยิม้
๔.ซาก ท่ีขาดจากกัน ๕. ซากศพท่ถี กู สัตว์จิกท้ึงกนิ แล้ว ๖. ศากทีก่ ระจยุ กระจาย ๗. ซากศพทถ่ี กู สบั ฟันบน่ั
เปน็ ทอ่ นๆ ๘. ซากศพทม่ี ีโลหิตไหลออบเรี่ยราดอยู่ ๙. ซากศพทมี่ ีนำ้ หนองคลาดล่ำ๑๐. ซากศพทย่ี ังเหลอื อยแู่ ต่
ร่างกระดกู หรือท่อนกระดูก

13 วสิ ุทธิ. ๑/๒๒๖.

14 การละลกึ ๑๐ อย่าง คือ ๑. พระพทุ ธเจ้า ๒. พระธรรม ๓. พระสงฆ์ ๔.ศีล ๕. การบรจิ าค ๖. เทวดา ๗. ระลกึ ถึง
ความตาย ๘. ระลึกกายวา่ ประกอบขน้ึ จากขันธ์ ๕ ๙. สตกิ ำหนดลมหายใจเขา้ ออก ๑๐. ระลกึ ถึงธรรมท่สี งบ เชน่ นพิ พาน.
15 องฺ.เอก.๒๐/๑๗๙-๑๘๐/๓๙-๔๐ ; ๒๒๔/๔๕; วสิ ทุ ธิ..๑/๒๕๑.

ธรรมประยกุ ต์ ๑๒๒

ช. อรูป16 ๔ คือ อรูปฌาน, ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ หรอื
ภพของอรปู พรม17

16 ฌานอนั กำหนดอากาศ๑ ฌานอันกำหนดวิญญาณหาทสี่ ุดไม่ได๑้ ฌานอันกำหนดภาวะทไ่ี มม่ อี ะไร๑ และ ฌาน
อนั เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไมม่ สี ัญญาก็ไมใ่ ช๑่

17 ท.ี .ปา. ๑๑/๒๓๕/๓๓๕. ; ส.ํ สฬ.๑๘/๕๑๙/๓๒๖.




Click to View FlipBook Version