The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน ธรรมนิเทศ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wpholamungdee, 2021-07-22 00:08:58

ธรรมนิเทศ

เอกสารประกอบการสอน ธรรมนิเทศ

Keywords: ธรรมนิเทศ,พระพุทธศาสนา,วันชัย พลเมืองดี

ธรรมนิเทศ ๔๔

คำถามท้ายบท

บทท่ี ๔
ประเภทของการพูด

๑. ความนำ

เรามักได้ยินเสมอว่า พูดได้แต่พูดเป็นหรือเปล่า คำว่าพูดได้มักจะนิยมใช้นำหรับ
การพูดเพียงเปล่งเสียงออกมาเป็นภาษาได้ รู้เรื่องได้ แต่มีข้อจำกัดตรงที่ว่า กินใจ ประทับใจ
ไดค้ วามหมายตรงกับสิ่งท่จี ะสือ่ หรือไม่ หรือพูดไปแลว้ ประสบผลสำเรจ็ ผฟู้ ังเข้าใจวัตถุประสงค์
เนื้อหาที่พูดหรือไม่ เป็นต้น ดังนั้นการพูดจึงมีศิลปะ ท่านจึงเรียกกันว่า พูดเป็น คำว่า พูด
เปน็ จงึ หมายถงึ การพูดทบี่ รรลุเป้าหมาย บรรลุวตั ถุประสงค์ ซง่ึ การท่คี นพูด พดู ไปแล้ว คนฟัง
เข้าใจ รับรู้ความหมายที่สื่อไปเข้าใจความหมายตรงกัน พร้อมเกิดผลอื่นๆ ที่ตามมา คือ
ประทับใจ กนิ ใจ ราบรืน่ แชม่ ชื่น สบายใจ การพูด แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภทใหญ่ๆ ไดแ้ ก่ :-

๑.๑. การพูดเพื่อดำเนนิ ในชวี ิตประจำวัน (Speech to Live) การพูดเพื่อดำเนิน
ในชีวิตประจำวัน คือการพูดติดต่อสื่อสารทั่วไป ที่ใช้การพูดเพื่อสื่อความหมายทั่วไปที่ไม่มี
พิธีรีตองอะไรมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นการพูด คุย สนทนาเรื่องราวสารทุกข์สุกดิบของคน
เพื่อนที่รู้จักกัน ทำอะไร ที่ไหน ไปไหนมา ทานอะไร สบายดีหรือเปล่า ..ฯลฯ เพราะการการพูด
ดังกลา่ วน้ี เป็นทางการไมม่ ีพิธีรีตองอะไร

๑.๒. การพูดเพื่อให้ความรู้ เชิงวิชาการ (Speech Inform) เป็นการพูดของพิธี
การมีพิธีรีตอง พูดแบบนักวิชาการให้ความรู้ ในศาสตร์ มีสาระ มีจุดมุ่งหวังให้ผู้ฟังได้รับ
ความรู้ หรอื วชิ าต่างๆ จาก นักวิชาการ ครู ผู้ทรงคุณวุฒิ ผ้รู ู้ ผเู้ ชี่ยวชาญ และรวมไปถึงการ
เทศน์ พธิ กี ารทางศาสนา การพูดประเภทนีแ้ บง่ ออกได้ดังต่อไปนี้

๑. การเทศน์
๒. การกลา่ วสนุ ทรพจน์
๓. การแสดงปาฐกถา
๔. การอภิปราย/สัมมนา
๕. พิธีกร/โฆษก
๖. การแนะนำตัว

๒. การเทศน์

การเทศน์เป็นการให้ความรู้ทางหลักคำสอนของศาสนาเช่น โต๊ะอิม่ามเทศน์
อบรมศาสนิกมุสลิม หรือบาทหลวง เทศนอ์ บรมกับ ชาวครสิ ต์ หรือ พระภกิ ษุ-สามเณร เทศน์
อบรมเยาวชนชาวพุทธ อย่างนี้เป็นต้น ในทางพระพุทธศาสนา พระภิกษุ – สามเณรจึงเป็น
ตัวแทนพระพุทธเจ้าที่ได้นำเอาหลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเทศนา เผยแผ่ แก่
พทุ ธศาสนิกชน ซงึ่ การเทศน์จงึ ต้องมีหลักเกณฑ์ เปน็ ไปตามหลกั ศาสนพิธี ดังน้ี

ธรรมนิเทศ ๔๖

ก. กล่าวสรรเสรญิ พระพทุ ธเจ้า
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธสั สะ.
ขอนอบน้อมแดงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ัน ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกเิ ลส ตรัสรู้ชอบ
ไดด้ ว้ ยพระองค์เอง.(กลา่ ว ๓ ครง้ั )
ข. กลา่ วคำบูชาพระรัตนไตร
อะระหงั สมั มา สมั พทุ โธ ภะคะวา, พุทธงั ภะคะวันตัง อะภิวาเทม.ิ
พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต์, ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์สิ้นเชิง, ตรัสรู้ชอบ
ไดโ้ ดยพระองคเ์ องขา้ พเจา้ อภิวาทพระผ้มู ีพระภาคเจา้ ผรู้ ู้ ผูต้ ื่น ผูเ้ บกิ บาน, (กราบ)
สวาขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, ธมั มัง นะมสั สาม.ิ
พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสไว้ดีแล้ว, ข้าพเจ้านมัสการพระ
ธรรม. (กราบ)
สปุ ะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆงั นะมาม.ิ
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว, ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์.
(กราบ)
ค.กลา่ วคำบูชาดอกไม้ธูปเทียนแดพ่ ระรตั นตรยั
อมิ ินา สักกาเรนะ พทุ ธังอะภิปูชะยามิ
อมิ นิ า สกั กาเรนะ ธัมมงั อะภปิ ูชยามิ
อิมนิ า สักเรนะ สงั ฆังอะภิปชู ยามิ.
ง. กลา่ วคำอาราธนาศีล ๕ หรือ เบญจศลี
มะยังภันเต วิสงุ วสิ ุง รักขะณัตถายะ ตสิ ะระเณนะ สะหะ ปญั จะ สลี านิ ยาจามะ.
มะยงั ภันเต วสิ งุ วสิ งุ รกั ขะณตั ถายะ ตสิ ะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ.
มะยังภนั เต วสิ งุ วสิ งุ รักขะณตั ถายะ ตสิ ะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สลี านิ ยาจามะ.
จ. กล่าวคำอารธนาธรรม หรือ เป็นการกล่าวนิมนต์พระสงฆ์โปรดแสดงธรรม
เทศนา

พรัหมา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติ กัตอญั ชะลี อันธิวะรงั อะยาจะถะ
สัตตีธะ สตั ตาปปะระชกั ขะชาติกา เทเสตุ ธมั มงั อะนกุ ัมปมิ งั ปะชงั .
หลังจากนั้นพระสงฆ์ก็จะแสดงพระธรรมเทศนาที่เรียกว่าการเทศน์เพื่อฉลองศัทธา
ผู้ฟัง ซงึ่ ลักษณะการเทศน์ มี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คอื
๑. การเทศนต์ ามคมั ภรี ์ หรืออา่ นตำคัมภรี ์
๒. การเทศนป์ ฏภิ าณโวหาร
๒.๑. การเทศน์ตามคัมภีร์ หมายถึง การเทศน์โดยการอ่านตามคัมภีร์ที่ผู้
รจนานักปราชญ์ทางศาสนาได้รจนาแต่งไว้ โดยจะมีส่วนที่เป็นเนื้อหาเรื่องราวที่ได้นำมาจาก
เน้ือหาชาดกบ้าง เรอ่ื งสภาวะความเป็นจริงแห่งชีวติ ความเกดิ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
บ้างมาประกอบดว้ ยหลักธรรมคำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า ซึง่ การเทศน์ตามคมั ภีรก์ ็มีการแสดง
๒ ลกั ษณะ คอื
๒.๑.๑. เทศน์ตามคัมภีร์แบบร้อยแก้ว คือ อ่านไปตามเนื้อหาไปธรรมดา
เหมือนบทความ อา่ นขา่ ว เป็นต้น
๒.๑.๒. เทศน์ตามคัมภีร์แบบร้อยกรอง เป็นการอ่านตามคัมภีร์แต่ผสมผสาน
ท่วงทำนอง มีจังหวะ เสียงสูงต่ำ ซึ่งการเทศน์แบบนี้ผู้ฟังจะได้รับถึงความไพเราะของเสียง

ธรรมนเิ ทศ ๔๗

ทำนอง โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเทศน์ มหาชาติ โดยประยุกต์ทำนองที่เรียกว่า แหล่ กาพย์
ซงึ่ อธบิ ายในบทต่อไป เปน็ ตน้

๒.๒. การเทศน์ปฏิภาณโวหาร บางทีก็เรียกว่าเทศน์ปฏิภาณไหวพริบ หรือ
เทศน์ปากเปล่าเป็นการใช้สำนวนโวหารของผู้เทศน์เองที่จะต้องคิดขึ้นโดยอาศัยระเบียบวิธี
ความรู้ในภูมิธรรมที่มีในแล้วอยูใ่ นตัวผู้เทศน์แลว้ ถ่ายทอด โดยอาศัยหลักพุทธธรรม การเทศน์
ลักษณะนี้มีรูปแบบการเทศน์ ๒ แบบ คือ เทศน์เดี่ยว หรือเทศน์รูปเดียว และ เทศน์หลายรูป
คือมีการเทศน์ตั้งแต่ ๒ รูปขึ้นไป ถึง ๔ รูป ซึ่งจะเรียกว่า เทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ๑ เทศน์ ๓
ธรรมาสน์ เป็นต้น

๓. การเตรยี มตัวเตรียมใจ กอ่ นเทศน์ และวธิ ปี ฏิบัติในการเทศน์

พระผู้เทศน์หรือแสดงธรรมถือว่าได้เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าในการแสดงพระธรรม
เทศนา นับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพระรูปนั้น เปรียบเสมอเหมือนพระพุทธเจ้าแสดงพระธรรม
หน้าที่อันสำคัญเช่นนี้ กับภาระที่เสมอเหมือนพระพุทธเจ้า พระนักเทศน์จึงจะต้องมีการเตรียม
ตัว เตรียมใจเป็นอย่างดี มีความพร้อมทั้งความรู้สติปัญญา และเทคนิควิธีในการแสดงพระ
ธรรมเทศนา

๓.๑. วธิ กี ารเตรียมตวั กอ่ นเทศน์
วิธีการเตรียมตัวก่อนเทศน์ควรจะนำเทคนิควิธีการพูดในที่ชุมชนมาประยุกต์ใช้ใน
การเทศนา และกจ็ ะมวี ิธกี ารเตรยี มตัวเพิ่มเตมิ บา้ งบางส่วน ดังน้.ี

๓.๑.๑ พระผู้เทศน์จะต้องทราบข้อมูลเบื้องต้นของผู้มานิมนต์ไปเทศน์ว่า เทศน์
วันไหน เวลาไหนต้ังแต่เทา่ ไร ถึงเท่าไร สถานทท่ี ีใ่ ด เทศน์ให้ใครฟงั มเี ร่อื งทีจ่ ะให้เทศน์ที่ผู้นิมนต์
เขากำหนดมาให้หรือไม่ถ้าไม่มี ก็ควรจะนำข้อมูลรู้พื้นฐานว่า เทศน์ให้ใครฟัง อายุเท่าไร กลุ่ม
ผู้ฟงั มีปญั หาอะไร ก็จะได้ตัดสินใจวา่ ควรนำเรือ่ งใดไปเทศนใ์ ห้ผู้ฟังได้

๓.๑.๒ เตรียมเนื้อหาที่จะเทศน์ การที่จะเป็นพระนักเทศน์ที่ดีที่สำคัญต้องมีการ
เตรียมเรื่องที่จะเทศน์เพื่อให้เหมาะสมกับเวลา และผู้ฟังเพื่อที่จะได้รับประโยชน์ อย่าอวดเก่ง ผู้
เทศนอ์ ย่าสำคญั ว่าตัวเองเก่งไม่เตรียมเน้ือหา คดิ ว่าจะไปพูดโดยทไ่ี ม่เตรียมอะไรเลย และเป็นไป
ได้ก็ต้องมีการซ้อมบทที่จะเทศน์ก่อนขึ้นเทศน์จริงทั้งนี้เพื่อทบทวนเรื่องที่จะเทศน์ จังหวะ และ
เวลาอยา่ งเหมาะสม

๓.๑.๓ การขึ้นธรรมาสน์/การปรากฏตัว การปรากฏตัวก็เป็นส่วนสำคัญคือ
การห่มครองผ้าให้เป็นปริมณฑลในวัดก็ให้เปิดไหล่ นอกวัดก็ปิดไหล่ทั้งสองข้าง ผ้าที่ห่มครอง
ตอ้ งสะอาด ไมส่ กปรกมกี ลนิ่ เหม็น การเทศนส์ ่วนใหญ่ ต้องใช้ธรรมาสน์ การขึ้นลงกา้ วข้นึ อย่าง
ถกู ต้อง

๓.๑.๔ การจับคัมภีร์เทศน์ การเทศน์สิ่งที่ลืมไม่ได้คือคัมภีร์ เพราะพระรูปท่ี
เทศน์จะตอ้ งจับคมั ภีร์ กจ็ ะมกี ารปฏบิ ัติในการจับคัมภีร์มหี ลักปฏิบตั ิท่คี วรทำต่อคัมภีร์เช่น การ
ยกมือไหว้คัมภีร์เพื่อเป็นการเคารพ พร้อมกับจะเป็นการขออธิฐานให้การเทศน์สำเร็จลุล่วง
การแสดงธรรมอย่าได้มีติดขัด ขณะมีปฏิภาณไหวพริบเหมือนพระสารีบุตร การจับคัมภีร์ใน

๑ เป็นอาสนะหรอื ทน่ี ั่งของพระสงฆเ์ หมอื นเก้าอี้ มีการสลักลวดลายลงรกั ปิดทอง ทั่วไปจะเป็นธรรมาสน์ขาสงิ ห์
นยิ มใชเ้ ป็นทน่ี งั่ พระสงฆแ์ สดงธรรม ซึ่งบางทอ้ งถน่ิ เชน่ ภาคเหนอื และอีสาน ท่ีนง่ั พระเทศน์ท่ไี ด้รับการตกแตง่ อยา่ งวจิ ติ
งดงาม เรียกว่า ธรรมาสนกลบถ เปน็ ตน้ .

ธรรมนเิ ทศ ๔๘

ขณะทเ่ี ทศน์อา่ นตามคัมภีรต์ อ้ งแบ่งความยาวของคัมภีร์ออกเป็น ๔ ส่วน แล้วจับสว่ นท่ี ๒และ
๓เท่าๆกัน ทั้ง ๒ มือ เพื่อไม่ให้คัมภีร์ตก หรือสะดวกในการที่จะเปิดอ่าน และถ้าเป็นเทศน์แบบ
โวหารปฏิภาณ ก็ประนมมืออัญเชญิ คัมภีร์วางไว้บนโคนนิ้วช้ีและใต้นิ้วหัวแม่มือคีบ หรือหนีบไว้
ไมใ่ ห้หนีบหรอื คีบด้วยนว้ิ อน่ื ๆ

๓.๑.๕ เริ่มต้นเทศน์ เมื่อมัคคนายกอาราธนาพระธรรมเรียบร้อยแล้วพระรูป
เทศน์กจ็ ะประนมมอื อธิฐานจิตใหแ้ น่วแน่ แล้วกข็ ึน้ การเทศน์โดยการ กล่าวบท ปุพพภาคนมการ
เริ่มต้นกล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า นะโม ฯลฯ นั่นเอง ซึ่งการขึ้นบท นะโม เทศน์ จะนิยม
ขึ้น นะโม ๕ ช้นั ๒ วา่ นะโม ตัสสะ, ภะคะวะโต, อะระหะโต, สมั มาสมั พุทธสั สะนะโม ตัสสะ,// ภะ
คะวะโต อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ,// นะโม ตัสสะ, ภะคะวะโต,// อะระหะโต, สัมมา// สัมพุท
ธสั สะฯ........// ตดิ ตามด้วยพุทธภาษิตเป็นภาษาบาลี พรอ้ มแปล หรือจะมีการต่อดว้ ยการบอก
วัน ปี ศักราช ซึ่งก็แล้วแต่ซึ่งปัจจุบันจะมีการบอกหรือไม่บอกก็ได้ หลังจากนั้นก็จะเป็นบทเริ่ม
เน้ือหาธรรมะทพี่ ระรูปเทศนต์ ามเนอ้ื หา

ดังที่ได้กล่าวไว้ว่าการเทศน์มีการเทศน์ ๑ ธรรมาสน์ หรือ ๒ ธรรมาสน์ หรือ ๓
ธรรมาสน์ กจ็ ะดำเนินระเบียบวิธีขึ้นตอนดังกล่าวแต่ต้น แต่เม่ือมกี ารเทศน์ ต้ังแต่ ๒ ธรรมาสน์
ขึน้ ไป พระรูปท่เี ทศนก์ จ็ ะแบง่ หน้าท่กี ันเป็น คอื แตล่ ะรูปจะมหี น้าที่ท่ตี ่างกัน ส่วนใหญ่ จะเป็น ๒
คือ รูป๑ จะเป็นฝ่ายถามเรียกว่า ฝ่ายปุจฉา รูป ๑ จะเป็นฝ่ายตอบ เรียกว่า วิสัชนา ซึ่งมี
รปู แบบดงั น้ี

๓.๒. การกำหนดหนา้ ทขี่ องพระรูปเทศน์ ๒ และ ๓ ธรรมาสน์
คำสมมตุ ิตน พระเทศน์รูปแรก ก็จะขึน้ เหมอื นกบั การเทศน์ ๑ ธรรมาสน์ ข้ึนบทนะโม
พทุ ธภาษิตท่ีเก่ียวกบั เรอื่ งที่จะเทศน์ แลว้ กจ็ ะมกี ารแนะนำพระรูปที่เทศน์รูปอ่ืน ดงั ตัวอย่าง ว่า
...........ครั้นอาตมาภาพจะวิสัชนาไปในส่วนอนิสังสกาถา กาลเวลาก็จะเป็นอัจจายิกสมัย เพราะ
เทศน์เรื่อง......(เรื่องที่จะเทศน์) ...ซึ่งจะแสดงข้างหน้ายังมีอีกมาก จึงขอยุติส่วนอารมภบทพจน์
กถาไวเ้ พียงน้ี และจะได้สมมุตซิ ึ่งกนั และกันตามประเพณแี หง่ การแสดงโดยปจุ ฉาวิสัชนา ซึ่งพระ
โบราณจารย์มีพระมหากัสสปะเป็นต้นได้ทำมา ปุระโต ธัมมาสะเน นิสันนัง สัมมะนามิ ขอสมมุติ
พระคุณเจ้าสังฆชินบุตรพุทธชินโนรสเบื้องหน้าอาตมาภาพ ผู้มีนามว่า..........(ชือ่ ...ฉายา..).....แห่ง
สำนักวัด........................ให้รับหน้าที่พระสกทยาจารย์ มีพนักงานไตรถาม (มีหน้าที่ถาม) เมวาหัง
สว่ นอาตมาขอสมมุติตนเองให้รับหน้าที่พระปรวายาจารย์ มพี นกั งานแกไ้ ขปัญหา(มหี น้าที่ตอบ)
ตัสมา สาธะโว เพราะฉะนั้น ขอท่านสาธุชนทั้งหลายพึงตั้งโสตประสาททั้งสองลงประดุจภาชนะ
ทองคอยรับรองรสพระธรรมเทศนา ซึ่งพระคุณเจ้าสักวาทยาจารย์จะได้ดำเนินบุรพประโยค
กถาสืบตอ่ ไป ณ กาลบัดนี้.......”
๓.๓. การดำเนินหนา้ ทีข่ องพระสกวาที
หลังจากพระปรวาทยาจารย์หรือพระรูปแรกที่แนะนำสิ้นสุดลงพระสักวาทยาจารย์
หรือพระอีกรูปหนึ่งก็รับหน้าที่ในการไต่ถามก็จะขึ้นประโยคเทศน์ต่อว่า... “บัดนี้ อาตมาภาพผู้
ได้รับสมมุติสมัญญาเป็นพระสักวาทยาจารย์มีพนักงานไต่ถาม จากเจ้าพระคุณสังฆชินบุตร
พุทธชิโนรส ผู้มีนามปรากฏ......(ชื่อ ฉายาพระรูปแรก)....วัด........ จะได้แสดงสืบอนุสนธิเทสนา

๒ ธรรมวโรดม,พระ,(บญุ มา คุณสมปฺ นโฺ น ป.๙). คู่มอื ประอปุ ัชฌาย.์ พมิ พ์คร้งั ที่ ๖. กาญจณบรุ ี: สหาย
พฒั นาการพมิ พ.์ ๒๕๔๐.
หน้า ๑๖๙ – ๑๗๐.

ธรรมนเิ ทศ ๔๙

ต่อไปเพื่อไต่ถามในเร่ือง..................เพื่อให้สมตามเจตนาของทา่ นผู้ฟัง”....ก็อาจจะมกี ารทักทายซ่ึง
กนั และกันทัง้ ๒ รปู เพอ่ื ใหเ้ หมือนดเู ป็นกันเอง หลงั จากน้ันก็มีเริ่มแสดงพระธรรมตามเนื้อหาสืบ
ต่อไป จนกระทั้งจบกระบวนความเนื้อหาธรรม และเวลาที่กำหนด ซึ่งการจบการแสดงพระ
ธรรมเทศนาแล้วสุดท้ายพระปรวาทยาจารย์ก็จะมีลีลาจบว่า “ปุจฉาวิสัชนาวสาเน ในอาวสาน
กาลเป็นที่จบแห่งการปุจฉาวิสัชนาเรื่อง.........อาตมาทั้ง ๒ จึงขอสมติยุติลงคงไว้แต่เพียงเท่าน้ี
ขอให้ท่านทั้งหลาย...จงประสบ สุขสม สร่างตรม สิ้นโศก เรือนกายไร้โรค วิโยคใจพาล เกษม
เปรมปรีชีวีชื่นบาน โชติช่วงดวงมาลย์ พลพานโชคดี...ฯลฯ การแสดงพระธรรมเทศนามา
พอสมควรแกเ่ วลา เอวงั ก็มีดว้ ยประการฉะนี้.....”

๓.๔. การเทศนแ์ บบ ๓ ธรรมาสน์
การเทศน์แบบนี้ก็จะข้อแตกต่างคือ มีพระรูปเทศน์อยู่ ๓ รูป คืออาจจะมีพระผู้มี
หนา้ ทใ่ี นการถาม ๑ รปู แลว้ ตอบ ๒ รปู หรอื บางทีอาจจะมกี ารแบ่งหน้าทีใ่ นการตอบท้ัง ๓ รูป
เป็นพระผู้มีความรอบรู้ทางพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม และพระทุกรูปก็สามารถถาม
ปัญหาได้ เชน่ พระรปู แรกมีหนา้ ท่ีในการไตถ่ ามก็จะขึ้นบทนะโม เหมอื นเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ยก
พุทธภาษิต แปล เรอ่ื งทเ่ี ทศน์ อานสิ งสแ์ ลว้ ก็มีลลี าดงั ตัวอย่าง “ทกั ขณิ ะโต ธัมมา สะเน นิสินนัง
สัมมะนามิ ขอสมเด็จพระคุณสังฆชินบุตรพุทธชินรสผู้มีนามปรากฏในพระพุทธศาสนาว่า .....
(ชื่อ ฉายา).....ซึ่งสถิต ณ ธรรมมาสน์เบื้องขวาของอาตมา ให้รับหน้าที่มหากัสสปสังฆวุฒา
สมมุติพระคุณเจ้าผู้มีปรีชาฉลาดในพระวินัยซึ่งมีนามว่า.....(ชื่อ ฉายา)....ซึ่งสถิต ณ ธรรมาสน์
เบื้องซ้ายของอาตมา ให้รับหน้าที่พระอุบาลีเถระ มีหน้าที่วิสัชนาพระวินัย....สะยะเมวาหัง..ส่วน
อาตมาเป็นมีสติปัญญาน้อยขอถอยลงมารับหน้าที่พระอานนท์พุทธอนุชามีหน้าที่วิสัชนาแก้ไข
พระสตู ร และพระอภิธรรม เพ่ือจรรโลงองคศ์ รัทธาของท่านเจ้าภาพต่อไป....
จากนั้นกระบวนการเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ก็ดำเนินไปโดยมีการถามตอบ ซึ่งการเทศน์
ทั้ง ๒ และ ๓ ธรรมมาสน์เป็นการเทศน์ที่น่าสนใจ เพราะเป็นการเทศน์ที่มีลักษณะถามแล้วตอบ
ทำให้คนฟังเข้าใจตรงจุดประเดน ซึ่งการเทศน์ทั้ง ๒ ประเภทนี้จะให้ดีพระผู้เทศน์ก็ต้องมี
ความสามารถรอบรู้พระธรรมวินัยอย่างแตกฉานและสามารถถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นให้ ผู้ฟัง
ได้เป็นไปอยา่ งน่าสนใจและมีความเพลดิ เพลนิ ในรสแหง่ พระสัทธรรม
พระผู้รับหน้าที่ในการแสดงพระธรรมเทศนาไม่ว่าจะเป็น ๑ - ๒ หรือ ๓ ธรรมาสน์
ยังต้องอาศัยทฤษฏีหลักวิธีการพูด การเตรียมตัว การวางตัว การนุ่งห่ม ความสำรวม
สำเนียงเสียง เพราะต้องพึงตระหนักว่าพระรูปที่เทศน์หรือกำลังแสดงพระธรรมเทศนาบัดน้ี
เสมอเหมอื นเปน็ ตัวแทนของพระพุทธเจ้านั้นเอง

๔. การแสดงปาฐกถา Speech Giving

ปาฐกถา คือ การพูดหรือการบรรยายที่ให้ความรู้ ให้ข้อคิด แก่ผู้ฟังจำนวนมากๆ
โดยมีจุดมุ่งหมายก่อให้เกิดความรู้ เตือนสติ ข้อคิดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ฟัง ซึ่งการ
แสดงปาฐกถา ผู้พูดหรือผู้แสดงปาฐกถาจะเป็นใครก็ได้ไม่เหมือนกับการเทศน์ เพราะการเทศน์
กำหนดไว้ว่าจะต้องเป็นนักบวชทางศาสนาเท่านั้นและมีรูปแบบพิธีกรรมที่ลงตัว แต่การแสดง
ปาฐกถา จะเป็นใครก็ได้ไม่ว่าจะเป็นนักบวช ประชาชนทั่วไป นักวิชาการ นักการเมือง และท่ี
สำคัญตอ้ งเป็นคนทย่ี อมรบั นับถือ เช่ือถือได้เปน็ ไดท้ งั้ ชายและหญงิ

ธรรมนเิ ทศ ๕๐

การแสดงปาฐกถาแม้จะเป็นการพูดเพื่อให้ความรู้ ข้อคิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
ต้องเป็นความรู้ทางวิชาการเสมอไป เรื่องและโอกาสที่จะแสดงปาฐกถาอาจจะแบ่งออกเป็น ๒
ลกั ษณะ คือ

๑. การแสดงปาฐกถาเกี่ยวกับเรื่องราวทางวิชาการ การแสดงแบบนี้มักจะเป็น
การแสดงแบบบรรยายในเรื่องวิชาการเพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ในด้านนั้นๆ แก่ผู้ที่อยู่ในวง
วชิ าการ หรือผูส้ นใจ เช่น ในมหาวทิ ยาลัย โรงเรียน หรือสถาบันการศึกษา และแม้แตห่ น่วยงาน
อื่นๆ

๒. การแสดงปาฐกถาเกี่ยวกับความรู้ทั่วไป ข้อคิด หลักการในการดำเนินชีวิต
เพราะเรื่องราวชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบวิชาการ อาจจะเป็นเรื่องทั่วไปท่ีน่าสนใจ และไม่
จำเป็นต้องแสดงที่สถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่อาจจะเป็นองค์กร สมาคม หน่วยงาน โรงแรม
ฯลฯ อาจจะเป็นการเล่าประสบการณ์ชีวิต การทำงาน ที่จะนำเอามาเป็นแบบอย่าง หรือการ
นำเอาธรรมทอ่ี งคป์ าฐกประทับใจถา่ ยทอดใหฟ้ ัง ฯลฯ ซง่ึ บางครั้ง องคป์ าฐกอาจจะเป็นสมาชิก
หรอื แขกผูม้ เี กยี รติ หรือผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ ี่ไดร้ ับเชญิ ก็ได้

๔.๑. หลักสำคัญของการแสดงปาฐกถา
การแสดงปาฐกถามีความหมายดังกล่าวมาแล้ว ดังนัน้ ผู้แสดงย่อมมคี วามรู้ในเรื่อง
ที่จะแสดงอย่างแจ่มแจ้ง และจำเป็นต้องวิเคราะห์ผู้ฟัง กาลเทศะ การศึกษา วัย สังคม และ
ทัศนคติของผู้ฟังให้เหมาะสม กับการแสดงปาฐกถาได้อย่างถูกต้องตามหลักแล้วการจัดเน้อื หา
เรื่องราว และการลำดับในเรื่องที่จะแสดงก็ไม่ทำให้ผู้ฟังเบื่อหน่าย เหตุนี้ นอกจากนักปาฐกถา
จะมีความสามารถในการพูดที่ดีแล้ว การจัดเนื้อหาหรือโครงเรื่อง ก็จำเป็นอีกประการ ซึ่ง
องค์ประกอบของโครงเร่ือง ประกอบด้วยส่วนสำคญั ๓ สว่ น คอื

๔.๑.๑. คำนำ (Introduction) เป็นอารมั ภบทท่จี ะนำผู้ฟังเข้าสเู่ รื่องที่จะพดู มี
หลักเกณฑ์สำคญั คือ

๔.๑.๑.๑ บอกให้ผฟู้ ัง รู้ถึงเรอื่ งท่ีจะพูดโดยพูดกวา้ งๆ มีความสัมพันธ์
กับใจความเนื้อเรื่อง

๔.๑.๑.๒ อาจใช้การขึ้นต้นด้วยการอ้างอิงสภุ าษติ คำพงั เพย คำคม
บทกวี หรือประโยคคำถาม

๔.๑.๑.๓ ขนึ้ ต้นสัน้ ใจความดี เรียกความสนใจ ชวนใหต้ ดิ ตาม
๔.๑.๒. ใจความ หรอื ตัวเรื่อง (Main body) คือการอธิบายใจความ เรือ่ งท่ี
พดู ให้ผู้ฟังไดเ้ ข้าใจ ช้ีชัด คุณโทษ ประโยชน์ จดุ ประสงค์เร่อื งราว เหมือนบทนำเม่อื พูดแล้วทำให้
คนฟงั เกิดความสงสัย ใจความคือบทที่ตอบขอ้ สงสัยอย่างกระจ่าง จนผู้ฟังเม่ือไดฟ้ ังแลว้ ตอ้ ง
รอ้ ง...อ๋อ....(อย่างนนี้ เี่ อง เข้าใจแลว้ )... โดยมีหลักเกณฑด์ งั น้ี

๔.๑.๒.๑ มีสาระ และชัดเจน เหมาะสม
๔.๑.๒.๒ มขี ้อมูล หรือตวั อย่างตลอดจนแหลง่ อ้างอิงประกอบ
๔.๑.๒.๓ หวั ข้อการพูดต้องสมั พันธก์ ันในส่วนของบทนำ เนื้อหา และ

บทสรปุ
๔.๑.๒.๔ การใช้คำง่ายๆ อธบิ ายเพอื่ งา่ ยตอ่ การเขา้ ใจ แตถ่ า้ หลีกเลีย่ ง

ไม่ได้ ก็ให้อธิบายความหมายประกอบ
๔.๑.๒.๕ สอดแทรกอารมณ์ขันในบางโอกาส เพื่อสร้างบรรยากาศ

ความเป็นกนั เอง แต่ไมใ่ ช่เลอะเทอะ จนจบแล้วกลายเป็นวา่ ได้

ธรรมนิเทศ ๕๑

แตส่ นุกแต่ไม่รเู้ ร่ือง
๔.๑.๓. บทสรุป (Conclusion) ควรมลี ักษณะดงั น้ี คือ

๔.๑.๓.๑. สรุปอย่างกะทัดรัด แต่ใหเ้ น้ือหาครบถ้วนและชดั เจน
๔.๑.๓.๒. อาจจบด้วยการเรียกร้อง ให้ผูฟ้ ังทำสิ่งหน่ึงสิ่งใด หรือ จบ

ด้วยบทกลอนสุภาษติ ความสนกุ สนาน อิม่ ใจ หรือจบดว้ ย
คำถาม
๔.๒. หลกั การแสดงปาฐกถา หลกั การแสดงปาฐกถา ผ้แู สดงควรคำนึงถึง
หลกั การดังน้ี
๔.๒.๑. พูดตรงตามหวั ขอ้ ทก่ี ำหนด
๔.๒.๒. เน้ือหาสาระให้ความรู้ ข้อคิด มคี ำอธบิ ายตัวอย่างใหฟ้ ังให้เข้าใจได้อย่าง
รวดเร็ว
๔.๒.๓. มีทัศนะคตทิ ี่ดีต่อเรื่องที่พูด

๕. การอภปิ ราย (Discussion)

๕.๑. ความหมายของการอภปิ ราย
พจนานกุ รมราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ กล่าววา่ “การอภอิ ปราย คอื การ
พูดช้ีแจงแสดงความคิดเห็น” จากความหมายนี้ อธิบายเพิ่มได้วา่ การอภิปรายคอื การทกี่ ลุ่ม
บุคคลมารวมกลุ่มกันเพือ่ ระดมความคิดปรกึ ษาหารือ แลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ ซึง่ กนั และกัน
ถา่ ยทอดประสบการณ์ของตนซ่งึ ได้มาในสมาชิกในกลุ่มได้รบั ทราบ รูปแบบของการอภิปราย
อาจกล่าวได้วา่ มี ๔ ประเด็น คือ

๕.๑.๑. เสนอแนวนโยบายและวธิ กี ารแก้ไขปญั หา
๕.๑.๒. ปรกึ ษาหารอื ของกลมุ่ หรือคณะบุคคลกลุ่มใดกล่มุ หนึง่ มใิ ช่ของคนคน

เดียว
๕.๑.๓. ช้ีแนะ ชกั ชวนใหโ้ อกาสบุคคลคิดอยา่ งอิสระ มีเหตผุ ลมใิ ช่ด้วยอารมณ์
๕.๑.๔. เสนอทัศนคติ ประสบการณ์ ในการแลกเปล่ยี นความคิดเห็นของกัน

และกัน
๕.๒. เป้าหมายของการอภปิ ราย โดยท่ัวไปการอภิปรายมีเป้าหมายสำคัญดงั น้ี

๕.๒.๑. เพ่อื ให้กลุ่มคนกล่มุ หนงึ่ ได้อภิปรายแลกเปล่ียนความรอู้ ย่างมเี หตผุ ล
๕.๒.๒. เพ่อื สรปุ หาขอ้ เทจ็ จริงเกี่ยวกบั ปัญหาโดยใช้หลักความคิดเหน็ แบบ

ประชาธิปไตย
๕.๒.๓. เพื่อใหร้ ูจ้ กั ระดมความคิดจากหลายฝา่ ย แล้วนำมาประมวลเป็นแนวทาง

ในการแก้ไขปญั หา
๕.๒.๔. เพอื่ ใหผ้ ู้รว่ มอภปิ รายได้เรยี นรกู้ ารทำงานร่วมกบั ผอู้ ่ืน การปรบั ตวั เข้า

กบั สงั คมและเข้าใจผ้อู นื่ ได้ดีย่งิ ขนึ้
๕.๒.๕. สรปุ เผยแผค่ วามรู้ซ่ึงเกดิ จากรการอภิปราย ไปสู่ประชาชนอย่าง

กว้างขวาง

ธรรมนเิ ทศ ๕๒

๕.๓. ประเภทของการอภิปราย
รปู ลักษณข์ องการอภปิ ราย กค็ อื การสนทนาอย่างมีเหตผุ ล และแพรห่ ลายในหลาย
สถานท่เี ช่น โรงเรยี น สถาบันการศกึ ษา วงการธรุ กิจ วทิ ยุ โทรทศั น์ และโรงแรม ฯลฯ การ
อภิปรายแยกประเภทการอภิปราย ๙ ประเภท ดังน้ี

๕.๓.๑. การอภปิ รายกล่มุ (Group Discussion) ไดแ้ ก่ การอภปิ รายไม่จำกัด
จำนวนผู้อภปิ ราย แต่ไม่นิยมเกนิ กวา่ ๒๐ คน ผู้เข้าอภปิ รายมีสิทธิแสดงความคดิ เห็นเท่าเทียม
กนั ผลัดกันเปน็ ผูอ้ ภิปราย และผู้ฟัง ไม่มีผู้ฟังภายนอก จะมเี ฉพาะกลุม่ ผู้อภิปรายเท่านั้น

๕.๓.๒. การอภิปรายในชุมชน (Public Discussion) คอื การอภปิ รายที่ผู้
อภปิ รายพูดเสนอเรือ่ งราวขอ้ คิด ความรแู้ กผ่ ู้ฟงั ซึ่งการอภิปรายประเภทนีผ้ อู้ ภิปรายมกั จะเป็น
ผมู้ คี วามรอบรู้เฉพาะด้าน ทีไ่ ด้รับเชิญมาเป็นผูอ้ ภิปรายแลกเปลย่ี นความร้ปู ระสบการณ์
สดุ ท้ายก็จะเปิดโอกาสใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมฟังการอภิปรายแสดงข้อคดิ เห็นและถาม ตอบคำถาม

๕.๓.๓. การอภปิ รายแบบโต้วาที (Debate Discussion) เป็นการอภิปราย
ชี้แจงแสดงเหตผุ ลของฝ่าย ๒ ฝา่ ยที่เหน็ ด้วยหรอื ไม่เหน็ ด้วยกับปัญหาหวั ขอ้ ท่ียกเป็นกระทขู้ ้ึน
โดยในแตล่ ะฝ่ายจะยกเหตผุ ลมาหักล้างคัดคา้ นเพ่อื ให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมรบั เหตผุ ลฝา่ ยตวั เอง ซึ่ง
การอภิปรายแบบนี้กจ็ ะมปี ระธานในการควบคุมหัวข้อการโต้ จะสังเกตลักษณะการโตแ้ บบน้จี ะ
เหน็ ในการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิก หรอื ในท่ปี ระชุม เป็นตน้

๕.๓.๔. การอภปิ รายกบั ผู้ฟงั (The Forum Discussion) ได้แกก่ ารอภปิ รายที่
มีผ้รู ่วม ๒ คนข้ึนไปโดยจะมีหน้าท่ีรบั เป็นผู้ดำเนินการอภปิ ราย ๑ คน และผู้ร่วมอภิปรายที่มา
กว่า ๑ คนข้นึ ไป อาจจะทำเป็นรปู แบบของการแจ้งข่าวสาร หรือผลงานกบั คนจำนวนมาก หรือ
อภปิ รายทางวิทยุ โทรทัศน์ จากน้ันก็เปดิ โอกาสให้ผฟู้ ังซักถาม

๕.๓.๕. การอภิปรายแบบเปิดอภิปรายทั่วไป (The Open Forum
Discussion) เป็นการอภิปรายท่ีใช้ผู้อภิปรายเพยี งคนเดยี วเม่ือจบการอภปิ รายกจ็ ะเปิดโอกาส
ใหผ้ ู้ฟังซักถามปัญหา และแสดงข้อคิดเห็น ในรูปแบบนี้ คล้ายการแสดงปาฐกถา ต่างกนั ตรงที่
การอภิปรายเปิดกว้างกว่าในการซักถาม และตอบโตเ้ หตุผลขอ้ คิด เช่นการอภิปรายใน
ห้องเรียน

๕.๓.๖. การอภปิ รายโต๊ะกลม (Round Table Discussion) เป็นการอภปิ ราย
ทผ่ี ู้อภิปรายได้นั่งโต๊ะรว่ มกันอภปิ รายเป็นวงกลมมองเหน็ หนา้ กนั ชัดเจน ปรกึ ษาหารอื กนั อยา่ ง
ใกลช้ ดิ ผู้อภิปรายทกุ ทา่ นมีสทิ ธิเท่าเทียมกัน และจะต้องมผี ู้ดำเนินรายการอภิปราย ข้อสำคญั
การอภิปรายแบบนี้ผดู้ ำเนินการอภิปรายตอ้ งรู้ปญั หาอย่างดี รวบรวมข้อเท็จจรงิ กอ่ นการ
อภิปราย ส่วนมากใช้ในการประชุมในวงการใกล้ชิด เชน่ ผู้บริหารราชการ บริษทั สมาคม
องค์การ ฯลฯ

๕.๓.๗. การอภปิ รายเวที (Panel Discussion) เป็นการอภปิ รายที่มกี าร
กำหนดให้ผู้อภปิ รายนั่งอยู่ในแนวเดยี วกันหนา้ กระดานบนเวที ผูด้ ำเนนิ การอภปิ รายอาจจะนั่ง
ตรงกลางร่วมกับผ้อู ภิปราย คนฟงั น่งั ตรงกันขา้ มเพ่ือฟัง และดูผู้อภิปรายซึ่งแต่ละคนจะมี
ทศั นคตคิ วามคิดเห็นที่แตกต่างกันไปจากเร่อื งหน่ึงเรื่องใด ไม่วา่ จะเปน็ ปัญหา ทัศนคติ ตลอดจน
การเสนอวิธแี ก้ปญั หา และยังสามารถเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ซักถามปญั หาตา่ งๆได้ เมื่อผู้ร่วม
อภิปรายอภิปรายเสร็จผดู้ ำเนนิ การอภปิ รายก็จะมาสรุปขอ้ คิดเห็นแล้วปดิ รายการ

๕.๓.๘. การอภิปรายเพอ่ื แลกเปลย่ี นความรู้ (Symposium Discussion) มี
ลกั ษณะคลา้ ยแบบ Panel ตา่ งกนั ตรงทอี่ ภิปรายแบบนี้ผอู้ ภิปรายแบ่งหัวข้อกนั คน้ คว้าหา

ธรรมนิเทศ ๕๓

ความรู้ ขอ้ เท็จจริง ผูอ้ ภปิ รายในลักษณะนตี้ ้องเป็นผู้มคี วามรดู้ ้านน้ันๆ ผดู้ ำเนินการอภปิ รายจะ
มหี นา้ ท่เี ชื่อมโยง ใหเ้ ร่ืองราวแต่ละตอนของผอู้ ภปิ รายตดิ ต่อประสานกัน

๕.๓.๙. การอภปิ รายแบบสัมมนา (Seminar Discussion) เป็นการอภปิ ราย
แบบ panel ผสมกบั อภิปรายทั่วไปโดยจะมผี ู้เช่ียวชาญ หรือ วทิ ยากรมาบรรยายใหค้ วามรู้ตาม
หวั ขอ้ ของการประชมุ สมั มนากอ่ น จากนั้นผูเ้ ขา้ ร่วมสัมมนาก็จะบางกลุ่มอภปิ รายแสดงความ
คิดเห็นแล้วสรุปผลของแต่ละกลมุ่ เสนอต่อท่ปี ระชุมใหญ่อกี ครัง้ ที่ประชุมใหญเ่ ห็นด้วยก็ถอื ว่า
สิ้นสุด ถ้ามีการประชุมใหญไ่ มเ่ หน็ ด้วยกจ็ ะมีการอภิปรายกนั ต่อไป จนกว่าจะท่ีพอใจของกลุม่

๕.๔. องค์ประกอบการอภิปราย องคป์ ระกอบการอภปิ รายมอี งคป์ ระกอบท่ีสำคญั
๕ ประการ ไดแ้ ก่

๑. ปญั หา หรือเรื่องทจ่ี ะอภปิ ราย
๒. ผ้อู ภิปราย
๓. ผูฟ้ ังการอภิปราย
๔. ผดู้ ำเนินการอภปิ ราย
๕. สถานท่ี ให้เหมาะสมกบั ประเภทของการอภปิ ราย
๕.๔.๑. ปญั หา หรือเร่อื งท่ีจะนำมาอภิปราย ควรมลี ักษณะดงั น้ี

๕.๔.๑.๑. ไมค่ วรเป็นเรอื่ งราว ขอบข่ายทกี่ วา้ งเกนิ ไป
๕.๔.๑.๒. ควรเป็นเรอ่ื งราวทม่ี สี าระ และเป็นประโยชน์สำหรบั ผู้ฟงั และ

สามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาได้
๕.๔.๑.๓. ควรเป็นเร่ืองท่ีอยู่ในความสนใจประชาชน และทำใหก้ ่อน

ความเขา้ ใจปญั หาได้อยา่ งถกู ต้อง
๕.๔.๑.๔. ควรมกี ารเสนอขบวนการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล เพื่อนำไปสู่

การแก้ไขปัญหาไดจ้ ริงเม่ือนำไปใช้
๕.๔.๒. ผอู้ ภิปราย ควรมีคณุ ลักษณะ ดังต่อไปนี้

๕.๔.๒.๑. ผู้อภิปรายควรมีไมต่ ่ำกว่า ๒ ท่าน(รวมผู้ดำเนินการอภิปราย)
๕.๔.๒.๒. ผู้อภปิ รายควรมีความรู้ ในเร่ืองท่ีจะอภิปรายอย่างแท้จริง

และสามารถเสนอ แนวทางในการแก้ไขปญั หาน้นั ๆ ได้
๕.๔.๒.๓. ผู้อภปิ รายแตล่ ะคนควรมสี ิทธิ ความคิดเห็น ทัศนะคติ ว่าดว้ ย

เหตผุ ล ข้อเท็จจริงไมข่ ้ึนอยู่กบั อารมณ์ ความเห็นแก่ตนหรือ
ฝา่ ยใดฝ่ายหนงึ่ แต่เพื่อประโยชน์ สว่ นรวม
๕.๔.๒.๔. มีความรับผิดชอบตอ่ งานที่มีการเชญิ ใหเ้ ป็นวิทยากร ในการ
อภปิ รายนนั้ ๆ และความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
๕.๔.๒.๕. หน้าทข่ี องผอู้ ภปิ รายควรมหี น้าท่ี ในการรบั ผิดชอบต่อตนเอง
และผู้อ่ืนมี ๒ ประการ
การเตรยี มการอภปิ ราย
ก. ศกึ ษา เขา้ ใจเร่อื งราวปัญหาทจ่ี ะอภปิ รายอย่างแจ่มแจง้ และ ถูกต้อง
ข. ศึกษา ขอ้ มูลสามารถเสนอ หลักฐาน ข้ออ้างอิง สนับสนุน ส่งเสริม
แก้ไขและการนำไปใชใ้ นการให้เกดิ ประโยชน์ทุกๆ ฝ่าย
ค. จดั ลำดับเน้ือหาในการอภปิ รายจากง่ายไปหายาก ไมส่ บั สน
ง. อภิปรายเพอื่ มุง่ หวงั ให้ผู้ฟังสามารถนำไปปฏบิ ตั ไิ ด้จรงิ

ธรรมนเิ ทศ ๕๔

หน้าท่ีในการอภิปราย
ก. พูดหรืออภิปรายตรงประเด็น และมีสารประโยชน์
ข. พูดเมือ่ ผู้ดำเนินการอภิปรายเชญิ ให้พูดเท่านั้น
ค. พูดในเรื่องท่ีอภิปรายให้เหมาะสมกบั เวลา
ง. บทสรปุ ควรสรุปข้อความเห็นของตนเองให้กบั ผู้อนื่ เสมอ
๕.๔.๓. ผดู้ ำเนนิ การอภปิ ราย การอภปิ รายจะดำเนินไปในแนวทาง และตรง
ตามวตั ถุประสงค์หรือไม่ เหมาะสมกบั เวลาเน้อื หาสาระของเรื่องและปัญหาทต่ี งั้ ไวห้ รอื ไม่
ผู้ดำเนนิ การอภปิ รายมสี ่วนสำคญั ในการท่ีจะจัดสรรเรอ่ื งของเวลา และความน่าสนใจของเรอ่ื ง
หรอื ปัญหาอภิปรายในการที่จะกำหนดรปู แบบ แยกประเด็นกำหนดจดุ หมายได้อยา่ งถกู ต้อง
ผดู้ ำเนินการอภปิ รายควรมีคณุ ลกั ษณะดังน้ี
๕.๔.๓.๑. มีบุคลกิ ลักษณะที่นา่ เช่ือถือ และมีศิลปะในการพูด
๕.๔.๓.๒. มคี วามรู้และสนใจในปัญหาท่อี ภิปราย
๕.๔.๓.๓. มีความคิดริเริ่ม และสรา้ งสรรค์
๕.๔.๓.๔. มีศิลปะในการดำเนินการอภิปราย กำหนดแนวให้ผูอ้ ภิปราย

พูดไปตามเป้าหมายไม่ออกนอกประเด็น
๕.๔.๓.๕.วางตัวเป็นกลาง ไมเ่ อนเอยี งเข้าขา้ งผอู้ ภปิ รายฝา่ ยใดฝ่ายหน่ึง

อารมณ์ดยี ้ิมแย้มแจม่ ใสสามารถควบคุมอารมณ์ ควบคุมการ
อภปิ รายได้และ สรุปการอภปิ รายด้วย ภาษาที่สละสลวย
ชดั เจน นุ่มนวล เข้าใจง่าย
๕.๔.๓.๖. เคารพความคิดเห็นผ้อู ่นื ใหโ้ อกาสผอู้ ภปิ รายแสดงความ
คิดเห็นอย่างเตม็ ท่ีมิใช่ผกู ขาดอยู่ข้างเดียว
๕.๔.๓.๗. รับผิดชอบต่อหนา้ ท่ี มีสมรรถนะในการทำงานตามเปา้ หมาย
ทก่ี ำหนดและสามารถตัดสินใจไดท้ นั ที
๕.๕. หน้าท่ีความรับผดิ ชอบผู้ดำเนนิ การอภปิ ราย
๕.๕.๑ พิธกี าร คือ กล่าวปฎสิ ณั ฐานกับผู้ฟัง ชี้แจงเหตแุ ละโอกาสท่นี ำปญั หาน้นั
มาอภิปรายเพื่อให้ผฟู้ ังจะได้รูว้ ตั ถุประสงค์ และตง้ั ใจฟังเร่ืองท่ีนำมาอภปิ ราย
๕.๕.๒ กล่าวแนะนำผู้อภิปรายทกุ คน แกผ่ ู้ฟังอย่างกะทดั รัด โดยเริ่มจากชื่อ
นามสกุล ตำแหน่งหนา้ ท่ีการงาน ผลงานดีเด่น และความสามารถทีเ่ หมาะสมกับการอภิปรายใน
เรอ่ื งนนั้ ๆ
๕.๕.๓ เชิญผอู้ ภปิ รายแต่ละท่านให้พูดแสดงความคดิ เหน็ เสนอขอ้ เทจ็ จริง
กลา่ วสรุปเพ่ือให้ต่อเน่ืองกับเรื่องทผี่ ู้อภิปรายคนต่อไปจะอภิปรายตอ่
๕.๕.๔ สรา้ งบรรยากาศอภปิ รายแบบธรรมชาติ เป็นกนั เอง ช่วยซักถามปญั หา
แทนผฟู้ ังเพ่ือผู้อภปิ รายจะได้พูดตรงประเด็น เพื่อใหก้ ารอภปิ รายเปน็ ไปตามวตั ถุประสงค์
๕.๕.๕ เม่อื จบการอภปิ ราย ต้องสรปุ ผลการอภปิ รายกลา่ วขอบคุณผูอ้ ภปิ ราย
ผฟู้ ัง กลา่ วปิดการอภปิ ราย

ธรรมนิเทศ ๕๕

๖. การกลา่ วสนุ ทรพจน์

สนุ ทรพจน์ คือ การพดู ที่งาม ไพเราะ และเป็นประโยชน์ การกล่าวสุนทรพจน์เปน็
การพูดคนเดียวทแ่ี สดงข้อคิดเห็น ทัศนคติ ความรู้ หรือเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตดีๆ หรอื การ
บรหิ าร องคก์ ร บ้านเมืองที่ประสบผลสำเรจ็ ตลอดจนถึงการขอความร่วมมอื ทมี่ ีประโยชน์
สงู สดุ ของผ้พู ูดไปสผู่ ู้ฟัง จากความหมายดังกล่าวการกล่าวสุนทรพจน์มจี ุดประสงค์สำคัญ ๖
ประการ คือ

๑. เพอื่ โนม้ น้าว ชักชวน เชิญชวน ก่อให้เกิดความร่วมมือ
๒. เพอ่ื บอกเล่า ประชบการณช์ ีวิตที่ประสบผลสำเร็จ
๓. เพื่อเร้าใจ กระตุ้นใหเ้ กิดการอยากทำตาม
๔. เพ่ือความบนั เทิง
๕. เพ่ือใหค้ วามรู้
๖. เพื่อใหข้ อ้ คิด
ลักษณะขั้นตอนและรูปแบบการกลา่ วสุนทรพจน์ทดี่ ีควรเป็นเชน่ นี้ คือ
๖.๑. เนื้อหา เน้ือหาของการพูดสุนทรพจนจ์ ะต้อง กะทัดรัด ชดั เจน ดึงดดู ความ
สนใจ และมปี ระโยชน์ โดยมกี ารจัดลำดบั เนอ้ื หาไม่สบั สน เช่นอาจจะต้องจัดลำดับจาก อดีต –
ปจั จุบนั – อนาคต ซึ่งเนื้อหาของการกลา่ วสุนทรพจน์ควรประกอบด้วย

๖.๑.๑ ดึงดดู ความสนใจผู้ฟังทันท่ีต้ังแต่เริ่มต้น จนจบ
๖.๑.๒ ทำใหผ้ ู้ฟังตอ้ งการทีจ่ ะฟัง เสียดายเวลาหมดก่อน
๖.๑.๓ ทำให้ผ้ฟู ังเกิดความพอใจ ถกู อกถกู ใจ ประทบั ใจ
๖.๑.๔ ยกตัวอย่างเหตกุ ารณ์ เหตผุ ล หรือขอ้ เทจ็ จริงให้ผู้ฟงั คล้อยตาม
๖.๑.๕ เรยี กร้อง เชญิ ชวน กระตุน้ ใหก้ ระทำอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง

๖.๒. ผู้กล่าวสนุ ทรพจน์ จะตอ้ งเป็นผู้ที่ได้รบั การฝึกฝนการพูดท่ีดี รูถ้ ึงข้อ
ควรปฏิบตั ขิ อ้ ท่ีไมค่ วรปฏิบัติ ในการพูดในทช่ี ุมชนมาอย่างดโี ดยเฉพาะผู้ทจ่ี ะกลา่ วสุนทรพจน์
จะตอ้ งเป็นคนท่ีมคี ณุ ธรรม เป็นที่เคารพ ยกยอ่ ง นับถือเป็นอย่างดี

๖.๓. ตวั อยา่ งการกลา่ วสุนทรพจน์
กราบนมัสการพระคณุ เจ้าท่เี คารพ

เรียนท่านประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพนั ธ์แห่งโลก
และทา่ นผมู้ ีเกยี รตทิ กุ ทา่ น๓

ผมรู้สึกเป็นเกยี รติเป็นอย่างยิ่ง ทีไ่ ดม้ โี อกาสมากลา่ วปาฐกถาในกิจกรรมเน่ือง
ในวนั วสิ าขบชู าโลก ประจำปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ โดยจะไดพ้ ูดถึงเรื่อง “ผนู้ ำพอเพยี ง
คุณธรรมเพยี งพอ ทางรอดของประเทศไทย” ณ องค์การพุทธศาสนกิ สัมพันธแ์ หง่ โลกในวันนี้

๓ คำกลา่ วปาฐกถาพิเศษ เนือ่ งในวนั วสิ าขบชู าโลก เรอ่ื ง “ผนู้ ำพอเพยี ง คณุ ธรรมเพยี งพอ ทางรอดประเทศ
ไทยโดย พลเอก สรุ ยุทธ์ จุลานนท์ นายกรฐั มนตรณี ห้องประชุมสัญญา ธรรมศักด์ิ องคก์ ารพุทธศาสนกิ สัมพันธแ์ หง่ โลก ใน
อุทยานเบญจสิริ สขุ มุ วทิ ๒๔ กรงุ เทพฯ;วันท่ี ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐. เวลา ๐๙.๐๐ น.

ธรรมนิเทศ ๕๖

กค็ งจะกล่าวได้ว่าในวาระโอกาสท่ีมีความสำคญั ย่ิงของพุทธศาสนิกชนคือวนั วิสาขบชู า ซ่ึงเป็น

วนั ที่เปน็ ท้ังวันประสตู ิ ตรัสรู้ และปรินิพพาน สิง่ ที่ผมอยากจะยกขึ้นมากลา่ วในวันนี้ คง

เปน็ เรื่องที่ถอื ได้ว่าเป็นสว่ นสำคญั ของวันวิสาขบชู า น่ันคือในวาระโอกาสท่พี ระพุทธองค์ได้ตรัส

รูถ้ ึงสิ่งท่ีเราพูดกันวา่ เปน็ อริยสจั ๔ ส่งิ น้ไี ด้พิสจู น์ใหเ้ ห็นว่าเป็นแนวทางท่ีจะทำใหผ้ ูท้ ่มี ีความ

ศรัทธา ผูท้ ่ีมีความเล่อื มใสน้ันลดความทุกขล์ งได้ บางท่านกพ็ ้นทุกข์ได้ ผู้ทไ่ี ด้ศึกษาอย่าง

จรงิ จังก็พน้ จากความทกุ ข์ ผมเองกถ็ ือได้วา่ เป็นคนหนงึ่ ทมี่ ีความทุกข์ จุดตรงนี้ก็เปน็ สว่ นที่

อาจจะถอื ได้ว่าเป็นจุดเปล่ียนในประสบการณ์ของตวั ผมเอง ท่ีอยากจะนำมาเรยี นไว้ในเบ้ืองต้น

พืน้ เพทางด้านการศกึ ษาของผม ผมเรยี นโรงเรียนที่เรียกวา่ เปน็ คาทอลิกต้ังแต่ชัน้ อนบุ าล

จนกระทั่งถึงชั้นมธั ยมปีที่ ๓ กไ็ ดร้ ับการอบรม ไดร้ บั การส่ังสอนในด้านของศาสนาครสิ ต์ แตก่ ็

ไม่ได้มีความร้สู กึ ทเ่ี ล่ือมใสศรัทธามากมายนัก เป็นการปฏบิ ัติตามท่ีได้รับการอบรม เม่ือผม

ย้ายโรงเรยี นมาเรียนทโ่ี รงเรยี นรัฐบาล ก็ไดม้ โี อกาสศกึ ษาในสว่ นของศาสนาพทุ ธมากขน้ึ

ได้รับฟงั ไดม้ ีโอกาสศกึ ษาในเบ้ืองตน้ แตก่ เ็ ป็นเรอื่ งความรูส้ กึ ของเดก็ ๆ ความรู้สกึ ของ

เยาวชน ก็เลอื่ มใสศรทั ธาอยู่ในระดับหน่ึง

เมอื่ มาเปน็ ผู้ใหญ่ ออกมารบั ราชการกเ็ ริ่มรับวา่ ทุกขท์ เี่ กดิ ข้ึนกบั ตวั เรานน้ั มันมี

มากมาย ทกุ ข์ส่วนหน่งึ กม็ องเหน็ ว่า ความก้าวหน้าในอนาคตของเราน้ันจะเป็นไปได้แคไ่ หน

อย่างไร ดว้ ยความโชคดีของตวั ผมเองกไ็ ด้ไปหยบิ หนังสอื ทพี่ ิมพแ์ จกในงานศพ ซงึ่ เป็นหนังสือ

เกี่ยวกบั พระพุทธศาสนา เป็นประวตั ขิ องพระพุทธองค์ ซ่งึ แปลมาจากฉบบั ภาษาอังกฤษว่า

The Light of Asia ผมอา่ นก็เกดิ ความรู้สกึ ประทับใจในตอนหนึ่ง ซง่ึ ถ้าในภาษาปัจจบุ นั บอกวา่

โดนใจ กค็ อื คำท่ีว่า “เมอ่ื พลัดพรากจากส่ิงทีร่ ักก็เกิดทกุ ข์ เมื่อประสบกบั สงิ่ ที่ไม่รักก็เป็นทกุ ข์

อยากได้ในสง่ิ ใด ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ส่งิ น้ันกเ็ ป็นทกุ ข์ ” นั่นคอื การโดนใจครั้งแรกท่ีเป็น

ประสบการณข์ องตวั ผมเอง คำทผี่ มพดู ออกไปน้ีก็ยังคงอย่ใู นใจของผม ตราบจนทกุ วันน้ี

นนั่ กเ็ ป็นส่ิงทถ่ี ือได้วา่ เป็นความประทบั ใจ เม่ือมีโอกาสท่ีจะศึกษาตอ่ กค็ ่อย ๆ ศึกษา

ไปด้วย เพราะวา่ อาชพี ของผมน้นั ไม่ค่อยเหมาะกับการศึกษาทางดา้ นพุทธศาสนา แตส่ ่ิงที่ผม

ไดน้ ำไปใช้และเห็นอยา่ งชัดเจนก็คือการทจี่ ะหาทางแก้ไขปัญหาโดยทางสันติ ผมมีโอกาสทีเ่ ข้าไป

เกย่ี วข้องกับเรื่องความขดั แย้งในประเทศเพื่อนบ้านหลาย ๆ แห่ง ด้วยความท่ีว่าเปน็ คนทีน่ บั ถอื

ศาสนาพทุ ธด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะมคี วามเชื่อทางการเมืองท่ีแตกต่าง แต่พูดถงึ ศาสนาพทุ ธ

แนวทางทจ่ี ะแกไ้ ขปัญหาโดยสนั ติวิธแี ล้ว ส่วนใหญก่ ็เห็นคล้อยตาม แล้วกแ็ ก้ไขตาม สิ่งทใ่ี ห้

ประสบการณ์ผมนีเ้ ป็นสว่ นทถี่ อื ได้ว่ามคี ณุ ค่าเป็นอย่างยิง่ ที่ทำให้ผมมคี วามมงุ่ มั่น และไดต้ งั้ ใจ

วา่ ในชีวิตของผมนัน้ จะเปน็ พทุ ธศาสนิกชนทจี่ ะมโี อกาสได้ศึกษา และปฏิบัติ ต้ังใจไว้ เมอื่ ผม

เกษียณอายุจากราชการ ก็ได้มีโอกาสเข้าไปสกู่ ารศกึ ษาทม่ี ากย่ิงขึ้น และการปฏบิ ตั ทิ ่เี ขม้ ข้น

ยงิ่ ขึน้ คำสั่งสอนของพระพทุ ธองค์ทไ่ี ด้เน้นน้นั คอื เน้นเรอื่ งการปฏบิ ตั ิบชู า ไมไ่ ด้เน้นเรอื่ งอามิส

บูชา นกี่ เ็ ป็นอนั หนึ่งท่ีผมอยากจะเรยี น

ผมได้ศกึ ษาพระไตรปฎิ กฉบบั ย่อ ซึ่งท่านหนึง่ ท่อี ยู่ในคณะผกู้ อ่ ต้งั ขององคก์ ารพทุ ธ

ศาสนิกสมั พนั ธ์แหง่ โลกคือท่านสุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผ้แู ปล และได้จัดพิมพข์ ้ึนมา เลม่ นี้ทาง

กระทรวงวัฒนธรรมก็ได้พิมพข์ น้ึ มา ผมได้รับไวห้ ลายเล่ม และไดแ้ จกจ่ายใหก้ ับบคุ คลท่ีสนใจไป

บา้ ง สิ่งท่ีผมตง้ั ใจคือว่าในฐานะทเ่ี ปน็ ตัวอย่างทจ่ี ะอา่ นพระไตรปฎิ ก ขอบอกว่ามีท้งั หมด

๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มพี ระวินยั พระสตู ร และพระอภิธรรม ที่ถือวา่ ค่อนข้างยาว ผมได้มี

โอกาสไดเ้ ข้าไปเก่ียวขอ้ งกับการชำระพระไตรปฎิ กฉบับอกั ษรโรมันด้วย ซึง่ อัญเชญิ กนั มามี

ทั้งหมด ๔๕ เล่ม ความรู้สึกคือวา่ ในฐานะท่เี ป็นคนไทยคนหนึง่ ความรู้สกึ คอื ว่าเราจะมีทางอะไร

ธรรมนเิ ทศ ๕๗

ทีท่ ำให้งา่ ย ทที่ ำให้คนไทยได้มโี อกาสศึกษา เรยี นรไู้ หม เพราะว่าพระไตรปิฎกทเ่ี ราชำระนั้นทำใน
ฐานะท่เี ป็นภาษาบาลี และเปน็ อกั ษรโรมัน คนไทยซงึ่ เรียนภาษาบาลมี อี ยู่ไม่มากนัก เว้นเสยี แต่
ว่าจะไปเรียนทางดา้ นของสงฆ์ น่ันเป็นจดุ ทถี่ ือได้ว่าทำอย่างไรที่เราจะดำเนนิ การนอกเหนอื จาก
สงิ่ ที่ไปสู่พทุ ธศาสนาที่เปน็ สากลแล้ว

ในส่วนของคนไทยของเราเองนั้น เราควรจะร่วมมือร่วมใจกันทำอยา่ งไรที่จะให้
การศึกษาศาสนาพทุ ธเป็นไปได้อยา่ งงา่ ยขึ้น ไม่ลำบากมากนัก ผมไปบวช ๓เดอื น ความต้ังใจ
ก็คืออา่ นใหจ้ บ ผมใช้เวลาในชว่ ง ๑๑.๐๐ – ๑๕.๐๐ น. ทุกวนั เป็นเวลา ๓ เดอื นท่ีจะอา่ น
พระไตรปิฎก มีสิ่งหนึ่งทอี่ ยากจะเรียนว่าพระพุทธองคท์ ่านสอนไวว้ ่าทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระ
ธรรมขนั ธ์ น้ีเปรยี บเสมือนสวนดอกไม้ เมอื่ ท่านเดนิ เขา้ ไปในสวนดอกไม้แล้วทา่ นไม่มีทางท่จี ะเอา
ดอกไมท้ ้ังหมดออกมา ท่านจงเลือกดอกไม้ที่ทา่ นเห็นวา่ สวย ท่ที า่ นเห็นว่ามีกลนิ่ หอม แลว้ ก็
นำไปบูชา นั่นคอื สิ่งท่ีผมมีความประทับใจและคิดวา่ ส่ิงที่พระพทุ ธองค์ท่านไดท้ รงส่งั สอนนั้น
สำคัญท่ีสุดคือจิตใจของเราเอง ซึ่งผมได้เด็ดดอกไมท้ ่ีปรากฏอย่ใู นนี้ออกมา และขอใหท้ ่าน
ทง้ั หลายไดล้ องพจิ ารณาดูว่าในสว่ นของคำว่า นเ่ี ป็นคำภาษาบาลีครับ มโนปุพฺพงคฺ มาธมมฺ า
มโนเสฎฐฺ า มโนมยา แปลเป็นไทยก็บอกวา่ ทุกส่งิ สำเร็จด้วยใจ ใจเป็นใหญเ่ ป็นประธาน ใจเป็น
รากฐานของสิ่งทั้งปวง เป็นอีกอย่างหนึ่งทปี่ ระทบั ใจผม ว่าในชีวิตของคนเราถ้าเราตง้ั ใจท่จี ะทำ
อะไร มคี วามเพยี ร มคี วามพยายาม กจ็ ะไปสจู่ ดุ น้ันได้ แนวทางเหล่านเี้ ป็นแนวทางที่พระพุทธ
องคไ์ ด้ทรงส่ังสอนไวท้ ั้งส้ิน

ในส่วนท่ถี ือได้ว่าใจของเราทวี่ ่าใหญน่ ้ันมันเกิดอะไรขึน้ ทา่ นก็ทรงส่งั สอนไว้ว่า
ความรสู้ กึ ของคนเราก็เกิดจากการสัมผัส เมื่อมาสัมผัสกับตัวเราแล้ว เราก็เร่ิมคดิ บางอย่าง
ไมต่ ้องคดิ เลย เรามีปฏกิ ิริยาตอบทนั ที เร่ืองร้อนเร่อื งเย็นนต้ี อบทันที แต่บางเรื่องตอ้ งคิด เรา
ถงึ จะมปี ฏิกริ ิยาตอบ ตรงนก้ี ็เปน็ จุดเริ่มตน้ ของแตล่ ะบุคคลท่จี ะมีวิจารณญาณ มีวิธีคดิ
อยา่ งไร ซงึ่ เป็นเร่ืองของแต่ละบุคคลจริง ๆ และศาสนาพุทธได้พูดถึงเร่อื งของความเป็นบคุ คล
หรอื ทเ่ี ราเรยี กวา่ ปจั เจกตั้งแตเ่ บือ้ งต้น คำสอนของพระพุทธองค์ที่บอกวา่ ใบไม้ทงั้ ป่าก็คือใบไม้
แต่วา่ ทกุ ใบไม่เหมือนกันเลย นั่นคอื ความเปน็ ปัจเจก แต่ละคนถ้าท่านจะบอกว่าตอ้ งการใหค้ น
ไทยนบั ถือศาสนาพทุ ธอยา่ งน้นั อยา่ งน้ีคงเปน็ ไปไม่ได้ กอ็ ยทู่ แี่ ต่ละบคุ คลที่จะไดน้ ำไปพิจารณา
ไตร่ตรองกนั อย่างไร ที่จะใหบ้ ังเกิดความเลือ่ มใสศรัทธา และศึกษาไดอ้ ย่างตอ่ เนอ่ื ง นำสิ่งท่ีได้
ศึกษานัน้ ไปปฏบิ ตั บิ ้างก็จะเป็นประโยชน์ เร่มิ ต้นน้ตี ดิ ขดั เหลือเกิน คือตวั บคุ คลคนนน้ั เอง ไมไ่ ด้
เปน็ ใครอืน่ ก็เริ่มต้นจากตัวบคุ คลคนน้ัน ที่จะมีความสบายใจ มีส่ิงทเี่ ราเรียกวา่ มคี วามเป็นสุข
เกดิ ข้ึน แตค่ วามเป็นสขุ ทีว่ ่านไ้ี ม่ได้เป็นความสุขทางโลก เปน็ ความสขุ ท่ีตัวเองได้ทำความดี เป็น
ความสขุ ที่คิดว่าเราได้ทำสิ่งทถ่ี ูกตอ้ ง สิง่ ทค่ี วรแล้ว ก็เปน็ ลักษณะอย่างนั้น

วันวิสาขบชู าพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้อรยิ สัจ ๔ เราก็คงทราบกันว่า ทุกข์ สมุทยั นิโรธ
มรรค ถา้ เราลองนบั ดเู รากจ็ ะเหน็ ว่า ท่านพูดถึงเรอ่ื ง ผล ก่อน คือผลท่ีเกิดขึ้นคือทกุ ข์ และ
ยอ้ นไปหาเหตุ บางครง้ั ท่านก็บอกวา่ ให้พิจารณาจากเหตมุ าหาผลว่ามันเกิดขนึ้ เหตุอย่างนม้ี ี
ปจั จยั อย่างนี้ แล้วผลจะออกมาอย่างไร นัน่ ก็เป็นสว่ นที่ผมคดิ ว่าท่านไดท้ รงสอนให้เราได้ใช้
สติปญั ญา ไดใ้ ช้ประสบการณ์ ได้ใช้ความรขู้ องเราพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ แล้วจงึ
ตัดสินใจว่าเราควรจะทำอะไร บางครั้งในการสวดท่ีเป็นภาษาบาลกี ็ทำใหค้ นไทยหลาย ๆ คนเกิด
ความเบ่อื หน่ายเพราะวา่ ไม่เขา้ ใจ ยกตัวอย่างง่าย ๆ แม้แตค่ ำอาราธนาศลี ๕ ก็ท่องไปแต่วา่ ไม่
รวู้ ่าแปลวา่ อะไร มอี ยู่ในนนั้ ที่ระบุไวว้ ่าเราจะเลอื กข้อไหนกไ็ ด้ที่จะนำมาเป็นข้อปฏิบัตขิ องเราเอง
แต่ตอ้ งเป็นความต้ังใจ ศีลไมไ่ ด้หมายความวา่ เราจะตอ้ งถูกบังคับใหร้ ับ ในศาสนาอนื่ กจ็ ะมีการ

ธรรมนิเทศ ๕๘

รับศีลเหมือนกนั แต่วา่ เปน็ อีกลกั ษณะหน่ึง ในศาสนาพุทธไดร้ ะบไุ วช้ ดั เจนวา่ ศีล ๕ เราเลอื ก
ปฏบิ ัติได้ แลว้ ในชว่ งสุดท้ายก็ได้ระบุอกี วา่ ใครท่ีไดป้ ฏิบัตอิ ยา่ งจรงิ จังตอ่ ศีล ๕ แลว้ กจ็ ะนำไปสู่
ความพน้ ทกุ ข์ได้

ผมสงสยั สีเลนะนิพพตุ ิงยันติ สเี ลนะโภคะสัมปะทา สีเลนะสุขตงิ ยนั ติ ก็สงสัยวา่
ทำไมถงึ เป็นอย่างน้ี กไ็ ปค้นในส่วนท่พี ูดถงึ วา่ มรรค มรรคา ทางทจี่ ะไปสูค่ วามพน้ ทกุ ข์ ไดร้ ะบุ
ไว้ชดั เจนว่าศลี ๕ น้ันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏบิ ัตติ ามทางทั้ง ๕ ข้อ น่นั ก็เป็นสว่ นท่ีผมเกดิ ความ
เขา้ ใจทนั ทีว่าที่ทา่ นเทศน์เป็นภาษาบาลีวา่ อย่างน้ี ไปเก่ยี วโยงกับทางแห่งความพ้นทกุ ข์อย่างไร
และถ้าหากว่าเราสามารถปฏิบัติไดต้ ามทท่ี ่านสอน ที่วา่ ปฏิบัติไดน้ ห้ี มายถึงว่าลด อย่างทีเ่ รา
พดู กันเป็นประจำวา่ ทำความดี ละท้ิงความชัว่ ทำจิตใจใหบ้ ริสุทธิ์ ก็เป็นส่วนเบือ้ งต้น แตก่ ารที่
จะทำความดลี ะทิ้งความช่วั นน้ั เราจะทำได้อย่างไร ก็อยู่ทีส่ ่วนทเ่ี ราจะค่อย ๆ ลด ผมคิดวา่ ไม่มี
ใครรู้ดีไปกว่าตัวเราเองว่าเราทำอะไรผดิ ทำอะไรที่ไม่ดี แม้แต่ภรรยาผมกไ็ ม่รู้ดีเท่าผม น่ันคือ
สว่ นหน่ึงท่ีเหน็ ไดช้ ัดเจนว่าเราทำอะไรอย่บู า้ ง เราจะควรจะละ เราควรจะทิ้งอะไรท่ไี มถ่ ูกไมค่ วร
นั่นเป็นส่วนหนึง่ ทเี่ ป็นประสบการณ์ที่อยากจะพดู ในวันน้วี ่า เมอ่ื เราจะเป็นพุทธศาสนกิ ชน ก็
อยากใหไ้ ด้เน้นมาทางดา้ นของการศกึ ษา และการปฏิบัติใหม้ ากขึ้น ในฐานะทเ่ี ป็นคนไทยก็
อยากจะเหน็ การช่วยกนั ชำระพระไตรปฎิ กฉบบั ภาษาไทย ซึ่งผมอา่ นแล้วก็ยงั มีสว่ นท่ีผิดพลาด
อยู่ ถ้าหากว่าเราชว่ ยกันที่จะทำตรงนี้เพ่อื คนในประเทศของเราบ้าง ก็จะเป็นประโยชน์ หลาย ๆ
คนโดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในวงการของพวกผมคือพวกท่ีเป็นทหาร ไม่คอ่ ยเคยเห็น พระไตรปิฎกนี้
ไม่เคยเห็น พอผมบอกว่าใหห้ ยิบมาดู บางคนบอกว่าอยากศกึ ษาเร่ืองพระธรรมวินัย ผมก็
บอกว่าพระธรรมวนิ ัยท่พี ระพุทธเจ้าบญั ญัติไว้ ๒๒๗ ขอ้ น้ีไมไ่ ด้มอี ะไรมาก เพยี งแต่เป็นสิ่งที่
เกดิ ขน้ึ ในอดีตแล้วก็พระสงฆ์ประชุมกนั แล้วบอกวา่ สิ่งน้ีไม่ควรท่จี ะปฏบิ ัติอีกแล้ว กไ็ ดบ้ ญั ญัติ
เป็นพระธรรมวนิ ัยขึ้นมา อะไรทไ่ี ม่ดีเมื่อประชุมกันแลว้ เหน็ ว่าไมถ่ ูกไมค่ วร เราก็ไม่ปฏิบัติ ไม่ได้
มอี ะไรมากไปกวา่ น้ัน ไมต่ ้องไปดวู ่าจะเหมือนกฎหมายไหม สงฆจ์ ะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้
ไหม คำว่าสำรวมซึ่งเปน็ ส่วนหน่ึงทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั สงฆ์ ก็ได้ยินได้ฟังมานานแลว้ แตเ่ ม่อื ไปบวชก็
ร้ทู นั ทีวา่ ความหมายทบ่ี อกใหส้ ำรวมน้ันลึกซ้ึงกว่าการท่มี องไม่เกิน ๓ กา้ วมากนกั อยา่ งที่ผมได้
เรยี นแล้ววา่ เม่ือเราสัมผัส ไม่ว่าจะไดย้ นิ ไดก้ ล่ิน ได้เหน็ ได้ฟงั สิ่งเหลา่ น้ีจะเริ่มเข้ามากระทบ
เม่ือเป็นพระก็ย่ิงจะตอ้ งสำรวมให้มากขึ้น เพราะว่าจติ ใจจะได้ไม่ฟุง้ ซา่ น ไมไ่ ปคิดถงึ โยมทีบ่ ้าน
เมอื่ เวลาไปบวช น่กี ็คือความรู้สึกทีผ่ มได้ประสบกบั ตัวเองอยา่ งชัดเจน ที่มากกว่านั้นคอื พระ
พุทธองค์ได้ทรงแนะนำวา่ พระสงฆ์นอกจากจะสำรวมแล้วกต็ ้องปลีกวเิ วกเพราะการอยู่ในท่ี
วิเวกน้นั สำรวจตวั เองได้ มจี ิตทีเ่ มื่อภาวนาแล้วกจ็ ะมสี มาธิเพ่ิมขึ้น เม่อื มสี มาธกิ ็จะเพิ่มระดับ
ของความมีสมาธนิ ้ันมากยิ่งขน้ึ ตอ่ ไป ซึง่ อย่างทีเ่ ราพดู กันว่ามพี ลังทางจติ สิ่งนัน้ ไม่ไดม้ ีอะไรที่
ถอื ได้วา่ เป็นส่วนที่ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ เป็นสงิ่ ที่เกิดขนึ้ ไดถ้ ้าท่านมคี วามพากเพยี รพยายาม
และได้เดินตามแนวทางที่พระพุทธองคท์ ่านได้ทรงวางไว้ ข้ันสุดท้ายกค็ งถึงจุดที่บอกได้ว่าพ้น
จากทกุ ข์ สงิ่ น้ันไม่ไดเ้ ป็นส่ิงที่ถอื วา่ เกินกว่าเราจะใฝฝ่ ัน เปน็ สิ่งทีเ่ ราใฝ่ฝนั ได้ และเราก็พยายาม
ทจี่ ะไปถึงจุดเหลา่ นนั้ ให้ได้ ผมไดพ้ ดู กบั หลวงพี่ท่ียังคงอยู่ที่วดั ในขณะนี้ บอกว่าตอนที่ผมสึกผม
ก็พดู กบั ทา่ นในวันลา บอกว่าทกุ ๆ รปู ที่อย่นู ั้นท่านเดินบนเส้นทางท่ีตรง ผมน้ันตอ้ งออกไปเดิน
ทางอ้อม ไม่ไดเ้ ดนิ ทางตรงอกี แล้ว ก็คงพูดได้ว่าในส่วนของความพยายามของเราเม่อื เรา
มองเห็นทาง และเราเพยี รที่จะเดนิ ไป ไม่ว่าจะเหน่ือยยาก ไมว่ ่าจะทกุ ข์เข็ญ เหมือนอย่างพระ
มหาชนกท่ีพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ วนั หนงึ่ เราก็คงไปถึงจดุ หมาย
ปลายทาง นัน่ ก็เป็นส่งิ ทอี่ ยากจะเรยี นไวใ้ นวนั นว้ี า่ ความต้ังใจ ความพยายามของคนเรานั้น

ธรรมนิเทศ ๕๙

เป็นจุดที่หาขอบเขตทจ่ี ำกัดไดย้ าก เพราะวา่ เม่ือเรามีเจตนามีความตัง้ ใจ เราก็คงจะมุ่งไปสจู่ ดุ ท่ี
เราต้องการได้

ผมได้พดู ถงึ เรื่องความสำคญั ของวันทท่ี รงตรัสรู้ไปแล้ว ก็มีอีกบทหน่งึ ที่ได้ตรสั
สอนไว้ และถอื ว่าเปน็ ส่วนทปี่ ระทบั ใจผมเช่นเดียวกัน บทนนั้ คงเปน็ บทท่ีกลา่ วไดว้ า่ มี
ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือปจั ฉิมโอวาท เป็นคำพูดของพระพุทธองค์เปน็ โอวาทสดุ ท้ายที่
พดู ว่า สังขารท้ังหลายมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ทา่ นทัง้ หลายจงยังความไม่ประมาท
ให้ถึงพร้อมเถิด นี่กเ็ ป็นส่วนท่ีผมได้เลือกนำดอกไม้ที่สวยงามทมี่ กี ล่นิ หอม มาเจอื จายตัวผม
เองเป็นลำดับแรก แลว้ ก็อยากจะเผยแพรใ่ ห้กบั ทา่ นทัง้ หลายไดม้ ีโอกาสได้ทดลองนำดอกไมท้ ี่มี
กลนิ่ หอม มีความสวยงามเหล่านนั้ ไปประดับแจกันในใจของทา่ นบ้าง คงเป็นเรอื่ งท่อี ยากจะ
กลา่ วถึงในส่วนของความสำคญั ของพระพุทธองค์ ความสำคัญของวันวิสาขบูชา ทงั้ ในชว่ ง
ทีต่ รสั รู้ และในช่วงทที่ รงปรินิพพาน วา่ ไดท้ รงวางอะไรไวใ้ ห้เราบ้าง หลกั สำคญั ทา่ นพดู ถึงวา่
ศาสนาพุทธจะอยู่ไดอ้ ย่างไร ก็อยู่ท่พี ระธรรมคำสั่งสอนของพระพทุ ธองค์ ไม่ได้อยูท่ ี่ส่ิงอื่น
ไม่ไดอ้ ยู่ท่ีรูปเคารพ ไมไ่ ด้อยู่ด้วยอิทธฤิ ทธ์ิ แต่อยู่ดว้ ยพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
คนทพ่ี ูดถึงว่าได้มโี อกาสศึกษาและได้มโี อกาสปฏิบัติ กม็ ีอีกส่วนหนึ่งท่ีถอื ว่ามคี วามสำคัญ
เช่นเดียวกัน กค็ ือพระพุทธองคท์ ่านไดก้ ล่าวไว้ว่า ผู้ใดปฏิบตั ิธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้น้ันชื่อว่า
บูชาตถาคต ผใู้ ดเห็นธรรม ผู้นนั้ เห็นเราตถาคต เหน็ ก็คงเป็นเรอ่ื งของปจั เจกอย่างท่ีวา่ แต่ถา้
เผอื่ ท่านปฏบิ ตั ิบูชา ท่านก็ถือว่าท่านบชู าตถาคตอยูแ่ ล้ว นั่นเปน็ สิ่งที่ผมอยากจะนำมากล่าวไว้
ในวนั น้ี ในวันที่มีความสำคัญทางศาสนา ไม่ใชเ่ ฉพาะในประเทศไทย แตว่ า่ เป็นสากล เป็นส่วน
ทีถ่ อื ได้ว่าท่านทั้งหลายท่มี าอยูท่ นี่ ีจ้ ะมีสว่ นร่วมในการดำเนินการต่อไป

ในเร่อื งของความพอเพียง ก็คงเปน็ เรอ่ื งทที่ างรัฐบาลเองได้พยายามที่จะนอ้ มนำ
ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงมาใหค้ นไทยได้นำไปศึกษาและนำไปปฏิบตั ิ ในส่วนนเี้ องในเรอ่ื งของ
ความพอเพียงกอ็ ยใู่ นคำสอนของศาสนาพุทธอยา่ งชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นทางสายกลาง ไม่วา่ จะ
ในเรือ่ งของการทีจ่ ะพิจารณากลั่นกรองด้วยเหตดุ ้วยผล ส่ิงเหลา่ นั้นเป็นส่วนท่มี ีอยู่ในคำสอน
ของพระพุทธองค์ทง้ั สน้ิ ในด้านของปรชั ญานั้น ถา้ หากวา่ เรามองในด้านทเี่ ปน็ ส่วนท่เี ป็น
รูปธรรม พอมีคำวา่ เศรษฐกิจเขา้ ไปคนกจ็ ะมองว่าเปน็ ส่วนที่เปน็ รปู ธรรม แน่นอนว่ามนั แยก
ไมไ่ ด้ แยกให้เหน็ ชัดเจนว่าเป็นส่วนทเ่ี ป็นรปู ธรรมไมไ่ ด้ แต่ทำอย่างไรทเ่ี ราจะช่ังระหว่างส่วนที่
เป็นรปู ธรรมและนามธรรมนีใ้ ห้มคี วามสมดุล ให้มคี วามพอเพยี ง ความสุขของคนเราไม่ได้เกิด
เน่อื งจากรปู ธรรมเพยี งอย่างเดียว จะต้องมอี กี ส่วนหนงึ่ คอื ความสขุ ท่ีเกิดจากนามธรรม เพราะ
ฉะนนั้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้นำเสนอแนวทางการบรหิ ารจัดการกับชีวิตของคนเราใน
ลักษณะท่มี ีความสมดุล ไมใ่ ชเ่ ปน็ เรอื่ งเศรษฐกจิ แต่ตอ้ งเกีย่ วกับเศรษฐกจิ เพราะว่าเป็นปัจจัย
ปัจจยั ๔ ทเ่ี ราพูดถึงกเ็ ป็นส่วนหน่ึง ถา้ หากเราไม่ได้แก้ไขในส่วนเหล่าน้ี ส่วนที่ผมไดพ้ ูดถึงใน
ตอนแรกว่า ผสั สะที่เราสัมผสั นี้มันมากขึ้น เราพูดกันว่าโลกาภิวัตน์ โลกแคบลง ทกุ สงิ่ ทุก
อยา่ งหล่ังไหลเข้ามา ทา่ นไมร่ บั มันกเ็ ข้ามา ถ้าทา่ นปิดหูไมไ่ ด้ ปดิ ตาไมไ่ ด้ มนั ก็เข้ามาในตัวของ
เรา ทำอย่างไรท่ีเราจะได้นำสิ่งเหลา่ น้ีมาพิจารณาไตรต่ รอง แล้วก็นำหลักการทีส่ ามารถจะหา
จุดสมดลุ หาจุดทเี่ หมาะสม หาจดุ ท่พี อเพียงในชีวิตของเรา ให้ก้าวไปข้างหนา้ ให้ได้

ศาสนาพทุ ธไมไ่ ด้สอนให้เราเป็นคนขีเ้ กยี จ ศาสนาพุทธสอนใหเ้ ราเชื่อในกฎแห่ง
กรรม ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำอะไรเรากต็ อ้ งรับสิ่งนัน้ มากหรือน้อยข้ึนอยกู่ ับการท่ีเรา
จะละความช่ัว แลว้ ก็หันมาทำความดี เดก็ ๆ ผมก็เรียนว่า ทำไมพระเทวทตั ถงึ จองล้างจอง
ผลาญพระพุทธเจ้าขนาดไหน เป็นเพราะอะไร ทำไมถงึ เป็นอยา่ งนั้น ทั้ง ๆ ท่กี ็เปน็ ญาติกัน ก็

ธรรมนเิ ทศ ๖๐

สอนเทวทัตวา่ ศาสนาพทุ ธเปน็ อย่างไร หลักการเป็นอย่างไร แตท่ ำไมกย็ ังถึงพยายามที่จะทำ
รา้ ยพระพุทธองค์ ในพระไตรปิฎกนี้มคี ำตอบว่าพระพทุ ธเจา้ ได้เคยทำร้ายเทวทัตในอดีตมา
ก่อน ก็เปน็ กรรมท่ีตามมาถงึ พระพทุ ธองค์แม้ในชาตสิ ุดทา้ ยทีเ่ ป็นพระพุทธองคแ์ ล้ว เทวทัต
กลิ้งก้อนหนิ ลงมา ก้อนหนิ น้นั ถกู พระพุทธองค์ นั่นเปน็ เร่ืองเมอ่ื ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว แม้แต่
ในชาติสุดทา้ ยเปน็ พระพทุ ธองค์แลว้ แม้แต่กระทง่ั ตรสั ร้แู ล้ว กรรมก็ยงั ตามถึง เพราะฉะน้ันถ้า
หากทา่ นเช่ือในเร่ืองของกรรม ท่านก็เรง่ ทำความดี ละสงิ่ ท่ีไม่ดี แลว้ ท่านก็จะมีโอกาสท่จี ะพ้น
จากสง่ิ ท่ีไม่ดไี ม่งามทั้งหลาย หรอื ไม่พน้ ก็เบาบางลงเปน็ อยา่ งมาก นั่นก็เชน่ เดียวกันครบั วา่ ใน
สว่ นของปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงไดช้ ้ีแนวแนะส่ิงตา่ ง ๆ ทผี่ มอยากจะเรียนวา่ สอดคล้องท้ัง
ในด้านของรปู ธรรมและนามธรรมทีเ่ ราสามารถที่จะนำไปประยุกต์ และนำไปใชใ้ ห้เปน็ ประโยชน์ได้
บางคนถามผมบอกว่าใชไ้ ด้เฉพาะกับเกษตรกร ใช้ไดเ้ ฉพาะกบั คนทอ่ี ยู่ในฐานะทีย่ ากไร้ ผมก็
ตอบเขาบอกว่าถ้าอยากจะดูองค์กรระดับสากล ไปดูบริษทั ปูนซีเมนตไ์ ทย เป็นองคก์ รที่ใชห้ ลัก
ของปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง แต่วา่ ก้าวไปขา้ งหนา้ ได้อย่างม่นั คง แล้วก็ทำประโยชนใ์ ห้กับ
สงั คมเปน็ อยา่ งมาก นัน่ เป็นจดุ ทผ่ี มอยากจะเรียนว่า ถ้าเราศกึ ษากนั ใหจ้ ริงจังแล้วกใ็ ช้ประโยชน์
จากส่งิ ทีร่ ัฐบาลไดพ้ ยายามนำเสนอในเรือ่ งของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ท่านกจ็ ะสามารถฟนั ฝา่
อปุ สรรคตา่ ง ๆ ใหพ้ ้นจากสภาวะ อาจจะเป็นความเครยี ด อาจจะเป็นแรงกดดันทมี่ าจากสภาวะ
ของโลกาภวิ ตั น์ เพ่ือให้เราผ่านพ้นสิง่ เหล่าน้ีไปได้ บางทา่ นก็บอกว่าในปัจจุบันเศรษฐกิจชะลอ
ตัว ผมก็บอกว่าจริง ชะลอตวั เพราะมีปญั หาจากหลาย ๆ ปจั จยั ปจั จัยแรกกค็ อื ในเรือ่ งของ
สภาวะทางค่าเงนิ ของสหรัฐเอง ซึ่งอ่อนตัวลง และมีผลกระทบไปท่ัวโลก สกลุ อนื่ ๆ นั้นแข็งตวั
ขึน้ มา เราเองพูดตรงน้พี ูดไดว้ ่าก็เป็นหน้าทขี่ องธนาคารแหง่ ประเทศไทยทจี่ ะต้องดูแล เพ่ือไม่ให้
เกดิ ความเปลีย่ นแปลงท่รี วดเร็วจนเกินไป จนกระท่ังสง่ ผลกระทบ รฐั บาลก็บอกเพยี งอยา่ ง
เดยี วว่าขอให้รักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลย่ี น กระทรวงการคลงั ก็ประสานกับธนาคาร
แหง่ ประเทศไทยวา่ พอทำได้หรอื ไม่ ผู้วา่ การธนาคารแหง่ ประเทศไทยท่านก็บอกวา่ ทา่ นทำได้
น่ันคอื หนา้ ท่ีของแตล่ ะส่วน ที่เราจะตอ้ งชว่ ยกันดแู ล เมือ่ ผู้ท่ีมีหน้าทรี่ บั ผดิ ชอบโดยตรงท่านดู
อยู่ ทกุ ๆ วินาที เพราะว่าขอ้ มลู ขึ้นทกุ วนิ าที ออนไลน์คอมพิวเตอร์ทุกวินาที ก็จะเห็นวา่ เม่ือ
เรามหี นา้ ทแี่ ล้วเรามีความไว้วางใจ กต็ ้องมอบสิ่งเหล่าน้ันให้อยใู่ นมือทีถ่ อื วา่ เป็นมอื ทมี่ ีคุณภาพ
เป็นมือทีไ่ ด้รบั ความไว้วางใจ และเป็นมอื อาชีพ

ในด้านอนื่ ๆ ที่มีปจั จัยกระทบก็คงเป็นเร่ืองของความเชือ่ มั่น ถ้าการเมืองของเรายงั
ไมน่ ิ่ง นกั ลงทุนต่างประเทศเขาก็ไม่สามารถท่ีจะเข้ามาลงทุน ตราบใดที่เรายังไมเ่ ดนิ ไปข้างหน้า
ไมเ่ ดินไปในลักษณะท่ีว่ามุ่งไปสกู่ ารทจ่ี ะให้มีการเลือกตั้ง เพอ่ื จะมีรัฐบาลท่มี าตามครรลองของ
ระบอบประชาธิปไตยทเ่ี ราอยากเหน็ เราเดินกันไปทางน้ัน น่ันจะเป็นทางที่จะทำใหส้ ิ่งที่ทา่ น
ท้งั หลายไดเ้ ห็นว่ามันเป็นความเดอื ดร้อน เป็นความวุ่นวาย เป็นความกดดนั ผ่านพ้นไปได้ ถา้
เราร่วมมอื ร่วมใจกัน คนสว่ นใหญ่เหน็ ว่าน่ีคอื ทางที่ควรจะเดิน ทางทเี่ ราน่าจะแก้ไขปัญหาของ
บา้ นเมืองของเราไดแ้ ล้ว กจ็ ะเป็นส่วนทที่ ำให้ส่ิงทีพ่ วกเรากระวนกระวาย กังวลใจ มันผ่านพน้
ไปได้ หน้าทข่ี องผมกค็ งมีท่จี ะทำให้บา้ นเมืองของเราผ่านพ้นช่วงเวลาท่ีเป็นวิกฤตตรงน้ี ทำ
อย่างไรที่พ่ีนอ้ งคนไทยจะได้รว่ มมอื กนั ช่วยกนั แก้ไขวิกฤตของบา้ นเมอื งของเรา แล้วก็นำพา
ศาสนาพทุ ธไปสู่ความเป็นสากลให้มากขนึ้ ซึง่ ไม่ได้เป็นเรอ่ื งยากเยน็ ถา้ เราทำใหเ้ ปน็ ตวั อย่างว่า
บา้ นเมอื งของเราแก้ไขปัญหาโดยสันติวธิ ี แล้วกเ็ ดินไปข้างหน้า เราไปพูดท่ีไหนก็ได้ทั่วโลก ว่า
คนไทยเราแกไ้ ขปญั หากันอยา่ งนี้ เราไมใ่ ชค้ วามรุนแรง ขอบคุณครับ

***********

ธรรมนเิ ทศ ๖๑

คำถามท้ายบท

๑. การเทศน์ คอื อะไร จงอธบิ าย และการเทศน์มีก่ีประเภท?
๒. การเทศน์ปฏภิ าณโวหาร กับการเทศน์อ่านตามคัมภรี ์เหมือนและตา่ งกนั อย่างไร ?
๓. การแสดงปาฐกถา คืออะไรแตกตา่ ง กบั การเทศน์ อยา่ งไร ?
๔. การอภิปราย คอื อะไร ?
๕. การอภิปรายแบ่งออกเปน็ กี่ประเภท?
๖. การกลา่ วสุนทรพจน์ ท่านเขา้ ใจว่าอย่างไร ?
๗. การกลา่ วสุนทรพจน์ทดี่ ีมีลักษณะอย่างไร และวัตถุประสงคใ์ นการกล่าวสนุ ทรพจน์

ควรประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
๘. การพูด มีก่ปี ระเภท และแตกตา่ งกนั อย่างไร ?
๙. การพูดเชงิ วิชาการเพ่อื ให้ความรู้ เปน็ การพูดลักษณะอย่างไร ? จงยกตัวอย่างการ

พดู ประเภทนนั้ มาดู ๓ ตัวอยา่ ง?

************

บทท่ี ๕
หลกั และวิธกี ารเผยแผ่ของพระพุทธเจา้

๑. ความนำ

๔๕ พรรษาทพี่ ระพทุ ธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาท่ัวท้ังชมพูทวปี จนแพร่หลาย
กลายเป็นศาสนาที่สำคญั ศาสนาหนง่ึ ของโลก แน่นอนย่อมมีปจั จยั ท่ีสำคัญในการท่จี ะเผยแผ่
หรือประกาศพระศาสนา พระพทุ ธเจ้าทรงมหี ลกั และวธิ กี ารเผยแผ่เช่นไร เปน็ เรอ่ื งที่นา่ ศกึ ษา
ซ่งึ จากการศกึ ษาได้พบว่าลักษณะพิเศษของการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาได้สำเร็จเป็นทีย่ อมรับ
นับถอื อย่างกวา้ งขวาง เพราะความสำคัญ ๓ ประการ คือ

๑. คณุ สมบตั ิของพระศาสดา
๒. เนือ้ หา หรือคำสอน
๓. พุทธวธิ ีการเผยแผ่ หรือวิธีการสอนของพระพทุ ธเจา้
๑.๑. คุณสมบัตขิ องพระศาสดา
พระพทุ ธเจา้ นามเดิมวา่ เจ้าชายสิทธตั ถะ พระโอรสในพระเจา้ สทุ โธทนะ กับพระนาง
สริ ิมหามายา แหง่ กรงุ กบิลพัสด์ุ ทรงตรัสรธู้ รรมแลว้ นำมาประกาศส่ังสอนแกค่ นในชมพูทวปี
ตอนเหนือของประเทศอินเดีย พระธรรมเหลา่ น้ันนำมาซ่ึงความสงบสขุ สันติของมหาชนทำให้
มหาชนท้ังหลาย ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมเหล่านั้น สามารถบรรลธุ รรมเป็นผทู้ หี่ มดซ่ึงอาสวะกิเลส
โดยคณุ สมบัติของพระศาสดา หรอื พุทธคุณ๑ มี ๓ ประการ คอื

๑.๑.๑. พระปญั ญาคุณ (Wisdom) คอื พระปญั ญาทีพ่ ระองคส์ ามารถท่ตี รัสรู้
ธรรมได้โดยพระองค์เองไม่ตอ้ งมีใครสอน

๑.๑.๒. พระวิสทุ ธคิ ุณ (Purity) คอื พระองค์มคี วามบริสทุ ธิ์ทรงปราศจากอา
สวะกิเลส หมดจดจากกเิ ลสกามตัณหาใดๆ ท้ังปวง เปน็ ผู้ สะอาด สว่าง สงบ

๑.๑.๓. พระมหากรณุ าธิคุณ (Compassion) คือพระองคม์ ีความรัก เมตตา
ต่อสรรพสตั ว์ ตรสั รู้ธรรมแลว้ ได้เที่ยวส่ังสอนใหไ้ ด้รตู้ ามไมห่ วังผลตอบแทนใดๆ จากผบู้ รรลุ
ธรรมทั้งสิ้น อกี ประการหนง่ึ การรวมพุทธคณุ หรือคณุ สมบตั ขิ องพระพทุ ธเจา้ เปน็ ๒ คือ
พุทธคณุ ๒ ๒ ไดแ้ ก่

๑.๒. พทุ ธคุณ ๒
๑.๒.๑. อตั ตหิตสมบัติ คือ พระองคท์ รงถึงพรอ้ มดว้ ยการบำเพ็ญประโยชน์

สว่ นพระองค์เองจนเสร็จสมบูรณ์ โดยพระปญั ญา เปน็ เคร่ืองมือในการสำเร็จพทุ ธภาวะ คือ
ความเปน็ พระพทุ ธเจ้า อันเป็นผ้บู ริสุทธ์ิ ไกลจากกิเลส ทำลายแห่งสังสารจักร(อะระหัง) เป็นผูท้ ่ี
ตรสั รชู้ อบดว้ ยพระองคเ์ อง(สัมมาสมั พุทโธ) ถึงพร้อมด้วยวชิ าความรู้ และจรณะ (วชิ ชาจะ
ระณะสัมปันโน) คอื ความประพฤติอนั งดงาม(สคุ โต) ทรงเป็นผู้ไปแลว้ ด้วยดี คือประดิษฐานพระ

๑ วนิ ยั วิสทุ ธิ. ฏีกา ๑/๑.
๒ วิ.(ไทย)๑/๗/๑๒; ม.ม.ู (ไทย)๑๒/๒๗๘/๒๖๘.

ธรรมนิเทศ ๖๓

ศาสนาอันเป็นประโยชนแ์ ก่มหาชน เป็นผู้รแู้ จง้ สภาวะอันเป็นคติธรรมแห่งโลก (โลกะวิฑ)ู
พระองคเ์ ป็นผ้เู บิกบาน(พทุ โธ) คือตื่นจากความงมงาย และทรงเปน็ ผมู้ โี ชค(ภะคะวา) คอื จะทำ
การใดก็จะลุลว่ งสำเร็จปลอดภัย

๑.๒.๒. ปรหติ ปฏบิ ตั ิ คอื พระองคไ์ ดป้ ฏิบัติพระองคเ์ พอื่ ประโยชนแ์ ก่ผู้อน่ื คือ
ทรงเป็นสารถีฝกึ บุรุษทีค่ วรฝกึ ได้ ไมม่ ีใครยงิ่ ไปกว่า(อนุตตะโร ปรุ ิสะทัมมะสารถิ) คอื ทรงเป็นผู้
ฝกึ คนได้ดีเยย่ี มไมม่ ีผใู้ ดเทียมเท่า และทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทัง้ หลาย (สัตถา เทวะ
มะนุสสานงั ) เป็นต้น

๒. พทุ ธกจิ

การอบุ ัตขิ องพระพุทธศาสนาขึ้นในโลกนับว่าเป็นสง่ิ ประเสริฐของเวนยั สัตว์
ท้งั หลาย ที่สามารถน้อมรบั คำสั่งสอนมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้อยา่ งสันตสิ ุข นั่นเป็นเพราะ
หนา้ ที่ กิจของพระพทุ ธเจา้ ท่เี ราเรยี กว่า พทุ ธกิจ พุทธกจิ ๔๕ พรรษา ที่พระองคป์ ฏิบตั ิอย่าง
สมำ่ เสมอ ในการปฏบิ ัติพระองคแ์ บ่งออกเป็น ๓ คือ

๒.๑.โลกัตถจรยิ า๓ คือ การทีพ่ ระองคท์ รงบำเพญ็ ประโยชน์แกช่ าวโลก พระองค์
ทรงประกอบพทุ ธกิจ ๕ ประการเปน็ ชีวติ ประจำวันของพระองค์ ไดแ้ ก่

๒.๑.๑.ปุพฺพณฺเห บิณฺฑปาตญจฺ เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาตเพือ่ โปรดเวไนยกรผู้
ต้องการบญุ

๒.๑.๒.สายณเฺ ห ธมฺมเทสนํ เวลาเย็นทรงแสดงธรรมแก่บุคคลผสู้ นใจในการฟัง
ธรรม

๒.๑.๓.ปโทเส ภิกขฺ ุโอวาทํ เวลาคำ่ ทรงประทานโอวาทแก่เหลา่ ภิกษทุ ้ังหลาย
๒.๑.๔.อฑฺฒรตเฺ ต เทวปญฺหนํ เวลาเทีย่ งคืนทรงตอบปัญหาเทวดา
๒.๑.๕.ปจจฺ สุ เสว คเต กาเล ภพพฺ าภพฺเพ วิโลกนํ เวลาจวนสวา่ งทรงตรวจดู
สตั ว์โลกผู้อาจรู้ธรรมซ่ึงพระองค์แสดงแล้วได้รบั ผลตามสมควรแก่อุปนิสัยบารมีของคน
เหล่านัน้
๒.๒. ญาตัตถจริยา คือ การที่พระองค์ทรงบำเพ็ญประโยชน์แกพ่ ระญาตซิ ่งึ
พระองคก์ ็มไิ ด้ละเลยหน้าท่ีของความเป็นเครือพระญาติ ทรงโปรดพระราชบิดา พระมารดา ณ
สวรรค์ช้ันดาวดงึ ส์ ทรงหา้ มทัพพี่นอ้ งรบกันเพอื่ แย่งน้ำ ตลอดจนโปรดใหพ้ ระนางปชาบดโี คตมี
บวชเปน็ ภกิ ษณุ ี พระนันทกุมาร พระราหลุ ไดเ้ ข้าอุปสมบท
๒.๓. พทุ ธัตถจรยิ า คอื ทรงบำเพ็ญประโยชน์ในหน้าทข่ี องความเปน็ พระพุทธเจ้า
อันพึงจะมตี ่อ สาวก พุทธบริษัท สงั คม โลก เปน็ ต้น

๓. เนือ้ หา หรอื คำสงั่ สอน

เนื้อหา หรอื คำสัง่ สอนถือว่า เป็นหัวใจสำคญั เพราะถา้ เน้ือหา หรือคำส่ังสอนของ
พระองค์ไมด่ แี ล้วแน่นอน คำสั่งสอนเหลา่ น้ันท่เี ราเรียกวา่ ธรรมคงอมตะดำรงทรงอย่ถู งึ ปัจจบุ นั
ไม่ได้ โดยในเน้อื หาคำสอนของพระองคแ์ ยกออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ

๓ ข.ุ จ.ู (ไทย)๓๐/๖๖๗/๓๒๒.

ธรรมนเิ ทศ ๖๔

๓.๑. คำส่งั ทเี่ รยี กวา่ พระวินยั อันเป็นคำสัง่ ท่ีให้ปฏิบตั ิ หรือตอ้ งปฏิบัตสิ ำหรบั
พุทธบริษัท๔ ซึง่ คำสั่งบางข้อก็มกี ารกำหนดโทษ และบทลงโทษสำหรับผู้ละเมิดวินัย เช่น ศีล
๒๒๗ ขอ้ ของภิกษุสงฆ์ ในจำนวน ๔ ข้อแรกท่ีเรยี ก วา่ ปราชิก๕ ๔ เป็นพทุ ธบัญญัติหา้ มมิให้
พระภิกษลุ ะเมดิ ซ่ึงถ้าละเมดิ ก็จะขาดจากความเปน็ ภิกษุทนั ที หรอื การละเมิดพระวนิ ัยส่วนที่
เรยี กว่า สังฆาทิเสส ๑๓ พระองคก์ จ็ ะกำหนดโทษ และกำหนดวธิ กี ารลงโทษ เช่นต้องปลีกตัว
ออกไปอยู่ปริวาส ประพฤติอานตั ิ เป็นต้น หรือการทมี่ ีญาติโยมนำผ้ากฐินมาถวายในอาวาส
หนึง่ พระพุทธเจ้าก็จะทรงบญั ญตั ใิ ห้มีการรบั กฐิน โดยการทำสังฆกรรมทเี่ รียกว่า การกราน
กฐิน คอื การสวดญัตตขิ อมติในทีป่ ระชุมสงฆเ์ พื่อจะให้หม่สู งฆเ์ หน็ ควรให้ผ้ากฐนิ แก่ภิกษรุ ูป
หนึ่งรปู ใดครอง อย่างนีเ้ ป็นต้น

๓.๒. คำสอน หรอื ที่เรยี กวา่ พระสตู ร และพระอภธิ รรม เป็นคำสอนท่บี อกถึงส่ิงทีค่ วร
ปฏบิ ตั ิ แลว้ เม่ือปฏบิ ตั กิ จ็ ักไดผ้ ลเช่นไร คำสอนไม่มขี อ้ บงั คบั และไม่มีบทลงโทษ เหมือนคำสั่งหรอื
พระวินัย ในสว่ นของคำสอนมีคุณสมบัติ ทเ่ี รียกว่า ธรรมคุณ๖ ๖ ประการ คือ

๓.๒.๑. สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมท่ีพระองคท์ รงตรัสไวด้ แี ล้ว คอื
ตรัสไว้เป็นความจริงแท้ อีกทง้ั งามเบื้องต้น งามในทา่ มกลาง งามในท่ีสุด พร้อมท้ังอรรถ
พร้อมทั้งพยญั ชนะ ประกาศหลกั การครองชีวิตอนั ประเสริฐ บริสุทธ์ิ บริบรู ณ์อยา่ ง
สิ้นเชิง (สวากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม) ความหมายในคณุ แหง่ ธรรมน้ี มีอยู่ดังแยกอธิบายถึง
ความทพี่ ระธรรมไดต้ รสั ไว้ดีแลว้ ว่า เพราะความดแี หง่ พระธรรมท่ีจะธำรงรักษาผปู้ ฏิบตั ิ
ธรรมน้ันมีชีวิตท่ีมคี วามสุข ประกอบกับความงามแห่งธรรม เป็นส่งิ ท่มี คี วามหมาย
หลายประการ คือ

ประการแรก รสแหง่ พระธรรมใครไดย้ ินได้ฟังแล้วสามารถรับรถู้ ึงอรรถรสแหง่ พระ
ธรรมอย่างลึกซ้ึง
ประการทสี่ อง ความงามของจิตใจแกผ่ ้ทู ่ีปฏบิ ตั ิตามแห่งพระธรรมน้ันทำให้ จรยิ
วตั รผปู้ ฏบิ ัตติ ามพระธรรมนน้ั งดงามเป็นทเี่ ลอื่ มใส และ
ประการท่สี าม คือพระธรรมมีความงดงาม และไพเราะในตัวเอง แม้ใครได้ฟงั ได้ยนิ
กจ็ ะซาบซง้ึ

๓.๒.๒. สันทฏิ ฐโิ ก พระธรรมนน้ั ผู้ที่นำไปปฏบิ ตั ิจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง คือ
ผู้ใดปฏิบัติ ผู้ นั้นย่อมบรรลุ ย่อมประจักษ์ได้ด้วยตนเอง ประดุจคนที่ได้รับรส แห่งรส
หวาน เผ็ด มัน เค็ม เช่นไร จะอธิบายให้แก่คนอื่นที่ไม่ได้รับรสแห่ง หวาน เผ็ด
ฯลฯ ได้รู้และเข้าใจ เว้นไว้รสเหล่าน้ันต้องสัมผสั เอง ลิ้มรสเองถึงไดร้ ู้ชัดว่ารสเหล่านนั้
เปน็ เชน่ ไรได้ด้วยตนเอง(สนฺทิฏฺฐิโก)

๓.๒.๓. อกาลิโก พระธรรมน้ันไม่ประกอบด้วยกาล คือ การปฏิบัติธรรมจะ
ให้ผลไม่ขึ้นกับ กาลเวลาปฏิบัติ สามารถปฏิบัติได้ทุกกาลสมัย ซึ่งพระธรรมคำ
สอนเปน็ จรงิ อย่างนัน้ ทเี่ รยี กว่า เปน็ สากล (อกาลิโก)

๓.๒.๔. เอหิปัสสิโก พระธรรมเป็นสิ่งประเสริฐควรเรียก(ผู้อื่น) มาดู คือ
ชกั ชวนให้มาชม และพิสูจน์ หรือทา้ ทายต่อการตรวจสอบ เหมือนสมยั นจี้ ะต้อง
มีการประเมินผา่ นการตรวจสอบ เพราะเปน็ ของจริงและดีจริง(เอหปิ สสฺ ิโก)

๔ บรษิ ัท ๔ ไดแ้ ก่ ภิกษุ ๑ ภิกษณุ ๑ี อุบาสก(ชาย)๑ อุบาสกิ า(หญงิ )๑
๕ ปราชิก ๔ ไดแ้ ก่ การฆา่ สตั ว๑์ การขโมย๑ การเสพเมถนุ กาม๑ และการอวดอา้ งคณุ วิเศษท่ไี ม่มใี นตัว๑
๖ ม.มู.(ไทย)๑๒/๙๕/๖๗; อง.ฉกก.(ไทย)๒๒/๒๘๑/๓๑๘.

ธรรมนิเทศ ๖๕

๓.๒.๕. โอปนยิโก พระธรรมเป็นส่ิงประเสริฐควรน้อมเข้ามาใส่ตัว คือ น้อม
เข้ามาไวใ้ นใจ หรือนอ้ มใจเขา้ ไปใหถ้ ึงธรรม ดว้ ยการปฏบิ ตั ใิ หเ้ กิดมีข้ึนในใจ ทำ
ให้ใจบรรลุ ถงึ ธรรมอยา่ งนั้น หมายความว่า เชิญชวนใหท้ ดลองมาปฏิบัตดิ ู อีกอย่าง
หน่งึ ว่าเป็นส่ิงที่ผูน้ ำ ปฏบิ ตั ใิ ห้เขา้ ถงึ ทีห่ มาย คอื พระนิพพาน(โอปนยโิ ก)

๓. ๒.๖. ปัจจตัง พระธรรมเป็นสิ่งประเสริฐอันวญิ ญูชนพึงรู้เฉพาะตน คือ
เปน็ วสิ ัยของวิญญชู นจะพึงรู้ไดเ้ ป็นของจำเพาะตน ต้องทำจงึ เสวยไดเ้ ฉพาะตัวทำ
ใหก้ นั ไมไ่ ด้ เอาจากกนั ไม่ได้ และรูไ้ ด้ประจักษท์ ีใ่ นใจตนน่ีเองเหมือนกบั การได้ชิมน้ำ
แกง ผชู้ มิ จะได้ลิม้ รสแหง่ น้ำแกง ผู้ไมไ่ ด้ชิมก็ไม่สามารถลิ้มรสแห่งน้ำแกงนั้น(ปจฺจต)ํ

๔. พทุ ธวธิ กี ารเผยแผข่ องพระพุทธเจ้า

นอกจากคุณสมบัติที่งดงามของพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นประโยชน์
ต่อผู้ปฏิบัติบรรลุถึงประโยชน์สูงสุดแล้ววิธีการเผยแผ่ก็เป็นส่วนสำคัญของการแผ่ขยายของ
พระพุทธศาสนาไปอย่างกว้างขวาง พระพุทธองค์ทรงมีวิธีการเผยแผ่อย่างไร จากการศึกษา
ได้พบว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงใช้วธิ ีการเผยแผ่ ๓ ประการด้วยกัน เรียกว่า ปาฏหิ าริย์๗ ๓ แปล
ตามศัพท์ว่า การทำที่กำจัด, ทำให้ปฏิปักษ์ย่อมได้, การทำให้เห็นเป็นอัศจรรย์, หรือการกระทำ
ให้บังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ ในที่นี้หมายถงึ การสอนของพระพุทธที่ประสบผลสำเร็จอยา่ อัศจรรย์
ไดแ้ ก่

๑. อทิ ธปิ าฏิหาริย์ : marvel of psychic power
๒. อาเทสนาปฏหิ ารยิ ์ : marvel of mind-reading
๓. อนุสาสนปี าฎิหาริย์ : marvel of teaching
๔.๑. อิทธปาฏิหาริย์ (marvel of psychic power) คือ การที่พระพุทธเจ้าทรง
ใช้อิทธปิ าฎิหาริย์เข้ากำราบ หรือปราบเพ่อื ใหเ้ ชือ่ ฟังกลุ่มคนเหล่าท่ีพูดดีๆ ไม่ฟัง ปลอบก็ไม่ฟัง
ดันทุลังดื้อดึง มีทิฏฐิมานะสูงถือตน ทะนงตนว่าสูง มีความรู้ มีฐานะสูง เป็นนักเลง และอยาก
ลองดี ดังนั้นจะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เปิดใจยอมรับในพระธรรมคำสอนจึงต้องมีการเปิดใจให้เขา
ยอมสิโรราบโดยไม้แข็งคือการปราบดว้ ยอิทธิปาฏิหาริย์ ดังตัวอยา่ ง
กำราบอุรเุ วลากัสสปะ
ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังสำนักอุรุกเวลากัสสปะ แล้วเข้าไปขอพักใน
สำนัก อุรเุ วลากัสสปะคิดจะกำจัดพระพุทธเจ้าจึงอนุญาตให้พระพุทธเจ้าไปพักในโรงครัว ซ่ึงใน
โรงครัวนั้นมีพญานาคมีพิษร้าย หวังจะให้พญานาคฆ่าพระพุทธเจ้าเสียให้ตาย ความนัยนี้
พระพุทธเจ้าทราบด้วยพระญาณ พระองค์ทรงใช้ฤทธิ์ปราบพญานาคจับใส่ไว้ในบาตร และ
แสดงปาฏหิ าริย์ให้ทา้ วมหาราช จตโุ ลกบาลทง้ั ๔ ทา้ วสกั กะ ทา้ วสหมั บดพี รหม มาเข้าเฝ้า และ
ยังแสดงเสด็จไปบิณฑบาตที่ อุตตรกุรุทวีป เทพต่างๆ มาช่วยกันชักผ้าบังสุกุล ทรงนำผลหว้า
ประจำชมพูทวีปมาให้ดู ทรงผ่าฟืน ก่อไฟ ก่อกองไฟ ๕๐๐ กอง ทรงทำนายความดำริของอุรุ
เวลากัสสปะได้อย่างถูกต้อง จนครั้งสุดท้าย ทรงแยกน้ำออกแล้วทรงเดินจงกรมระหว่าง
กำแพงน้ำ ในท่สี ดุ อรุ เุ วลากัสสปะจึงยอมแพ้๘

๗ ที.สี.(ไทย)๙/๓๓๙/๒๗๓: อง.ตกิ .(ไทย)๒๐/๕๐๐/๒๑๗; ขุ.ปฎิ.(ไทย) ๓๑/๗๑๘/๖๑๖.
๘ แสง จันทร์งาม. วธิ ีการสอนของพระพทุ ธเจ้า. บรรณาคาร กรงุ เทพฯ: ๒๕๒๖ หนา้ ๓๓-๓๘.

ธรรมนเิ ทศ ๖๖

ปราบขุนโจรองคุลมี าล
อีกครง้ั หน่งึ ทรงโปรด องคลุ มิ าล มหาโจรทีต่ ดั น้ิวมือมนุษยท์ ำพวงมาลัย พระองค์
ทรงเล็งดูด้วยพระญาณว่า องคุลีมาล สามารถที่จะบรรลุธรรมจึงได้ไปโปรด โดยความสติฟ่ัน
เฝ่ือน แมแ้ ตแ่ มผ่ ู้บงั เกิดเกล้าขององคุลีมาลก็ยังไม่เว้นที่จะฆ่าเพอื่ ท่ีจะเอานิ้วมือให้ครบพัน ด้วย
พระญาณของพระพุทธเจ้าจึงเห็นว่าว่าองคุลีมาลมิใช่โจรโดยสันดาน แต่เป็นเพราะความหลง
ผิด และยังพอที่จะบรรลุธรรมชั้นสูงได้ พระพุทธเจ้าจึงได้ไปห้ามการทำมาตุฆาต โจรร้ายก็ยัง
หันมาไล่หมายชีวิตพระพุทธเจ้าแต่วิ่งไล่เท่าไร ก็วิ่งไม่ทัน จนองคุลีมาลกล่าวว่า “สมณะ จง
หยดุ ” พระพทุ ธเจา้ ตรสั “เราหยดุ แลว้ แตท่ า่ นยงั ไมห่ ยุด” ขุนโจรองคลุ ีมาล ฉุดคิดขนึ้ มา เปิดใจ
รับคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าจนปรารถนาอย่างแรงกลา้ ขอบวช
เหล่านี้ก็พอ เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าการประกาศศาสนาที่ลำบากที่สุดคือการต้องใช้
อิทธิฤทธิ์เข้าไปกำราบ ซึ่งยอมรับว่าการประกาศศาสนาแบบนี้พระองค์ไม่อยากใช้ แต่ก็ต้องใช้
ในเมอ่ื จำเปน็ ท่ีสุด เหมือนกับ ครูทจ่ี ะสอนหนังสือเด็กนักเรียนบางคนอาจจะดื้อ ถือตน ทะนงตน
ครูเองก็ต้องกำราบปราบดว้ ยการเฆีย่ นตี ลงโทษ บ้าง
๔.๒. อาเทสนาปฏิหาริย์ (marvel of mind-reading) คือ การพูดให้สะกิด
เตือนใจสั้น พระองค์มักจะใช้กับพวกทีม่ ีสติปัญญาเฉลียวฉลาดให้ฉุดคิด และ การ
สอนแบบอาเทสนาปฏหิ ารยิ ท์ พ่ี ระองค์ไม่ใชค้ ำสอนแตใ่ ห้ลงมอื ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตัวเอง

๔.๒.๑. การสอนดว้ ยคำพดู ส้ันๆ แตป่ ระทับใจ หรือกนิ ใจ ตัวอย่างเช่น
ทรงโปรดปัญจวัคคีย์
คร้งั กอ่ นการตรัสรู้ พระพุทธเจา้ บำเพ็ญทุกรกรยิ าทรมานตน ไดม้ ปี ญั จวัคคีย์๙
ได้ติดตามปรนิบัติ ดูแลเพื่อหวังว่านักบวชสิทธัตถะเมื่อบรรลุธรรมจักได้แสดงแก่ตนบ้างจาก
การทรมานตน โดยความเชอื่ ผิดๆ แต่ครั้นเม่อื นกั บวชสทิ ธตั ถะ หยุดการทรมานตน หันมาเสวย
อาหาร ปัญจวัคคีย์ต่างก็พากันเลิกปรนิบัติ โดยเชื่อว่าพระสมณะโคดมเลิกการปฏิบัติทุกร
กริ ยา คงไมบ่ รรลุธรรม จงึ พากนั หนีมุ่งหนา้ ไปยังสารนาถปา่ อิสปิ ตนมฤคทายวนั เมืองพาราณ
สี ที่ๆ พวกเหล่าฤษีชีไพรต่างพากันบำเพ็ญพรต หลังจากนักบวชบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจา้
ก็มีประประสงค์ที่จะโปรดปัญจวัคคีย์จึงเสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมื่อปัญจวัคคีย์เห็น
พระพุทธเจ้าเสด็จไปต่างก็แอบคุยกันว่า พระสมณะโคดมผู้ล้มเหลวได้ซมซานมาขอพึ่งพา
อาศัยอีกแล้ว ต่างพากันเห็นว่าพระสมณะโคดมมาถึงก็ หาที่ปูนั่งให้นั่ง นั่งก็นั่งไม่นั่งก็ตาม
พระทัย พระพุทธเจ้าตรัสแก่ ปัญจวัคคีย์ว่า “เราตรัสรู้แล้ว” ปัญจวัคคีย์ต่างกันก็พูดวาจา
อย่างดูถูก ไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าก็ตรัสสั้นๆ ว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอยังจำได้หรือว่าถ้อยคำ
เชน่ น(ี้ เราตรัสรแู้ ล้ว) เราไดเ้ คยได้พูดแล้วในกาลกอ่ นหรือ๑๐ ?” ปญั จวคั คยี จ์ ึงฉุดคิดต่างพากัน
ยอมรับฟังธรรมท่ีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเร่ือง “ธรรมจักรกัปปวัตตนสตู ร”
ทำให้ อญั ญาโกณฑัณญะ เห็นพร้องโดยธรรมและเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จึงขอบวช
ในพระพุทธศาสนา
โปรดชายหน่มุ ๓๐ หรือ ภัททวัคคีย์
เรื่องมีอยู่ว่า ในระหว่างเดินทางไปยังกรุงราชคฤห์พระพุทธเจ้าได้แวะที่พักใต้
ตน้ ไม้ตน้ หนง่ึ ในบรเิ วณใกลเ้ คียงกันน้ัน ไดม้ ชี ายหนมุ่ ๓๐ คน ตา่ งเดนิ พบพระพุทธเจ้าแล้วถาม
หาหญิงนางหนึ่ง พระองค์ตรัสถามว่า มีอะไรกันหรือ? ชายคนหนึ่งก็เล่าให้พระพุทธเจ้าฟังว่า

๙ พวก ๕ ไดแ้ ก่ โกฑญั ญะ๑ วัปปะ๑ ภทั ทิยะ๑ มหานามะ๑ อัสสช๑ิ
๑๐ มหาขนั ธกะ พระวินยั ปฎิ ก. ๔; ๑๗.

ธรรมนิเทศ ๖๗

พวกตนต่างพาแฟนมาเที่ยวหาความสำราญกัน มีคนหนึ่งไม่มีแฟนมาด้วย เลยต้องไปหานาง
หญิงแพศยา๑๑ แต่นางแพศยากลับลักเอาของมคี ่าแลว้ หลบหนีไป พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อน
กุมารทั้งหลาย พวกเธอจะมีความเห็นเป็นอย่างไร การที่พวกเธอแสวงหาหญิง กับการที่พวก
เธอแสวงหาตัวเอง อย่างไหนดีสำหรับพวกเธอเล่า” ชายหนุ่มทั้งหลายต่างเห็นว่า แสวงหาตน
ดีกว่า พระพุทธเจ้าเลยแสดงธรรมการแสวงหาตนแก่ภัททวัคคีย์ จนกระทั้งบรรลุธรรมใน
ท่ีสดุ ๑๒

โปรดพระพาหิยะ
คราวหนึ่ง มีนักบวชนอกศาสนาคนหนึ่งชื่อ พาหิยะ มาจากเมืองท่าสุปปารกะที่
ริมฝั่งสมุทรอันเป็นแดนไกล เข้ามาพบพระพุทธเจ้าขณะที่พระองค์ทรงบิณฑบาต และขอให้
พระองคท์ รงแสดงธรรมใหฟ้ ัง พระพุทธเจ้าทรงหา้ มถึง ๓ ครัง้ เพราะเห็นว่าเป็นเวลาที่ไม่เหมาะ
กับการแสดงธรรม แต่ในที่สุดพระองค์ก็ทรงยินยอมแสดงธรรมอย่าง ย่อๆ ว่า “ดูก่อน พาหิ
ยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังสักว่าฟัง เมื่อ
ทราบเป็นอย่างนี้ว่า ฟังเมื่อทราบจักเป็นสักว่า ทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่า รู้แจ้ง......พาหิยะ
ในกาลใดแลเมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น......ในกาลนั้น “ท่าน” ย่อมไม่มี ในกาลใดท่านไม่มี ใน
กาลนั้นท่านย่อมไม่มีในโลกนี้...โลกหน้า... ในระหว่างโลกทั้งสองนี้แหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์” เมื่อ
พาหิยะ ได้ฟังคำสอนย่อๆ นี้ก็เกิดความรู้ถึงระดับวิชชุญาณ และเกิดการเปลี่ยนแปลงใน
กลายเปน็ พระอรหันต์ไป ตอ่ มาภายหลังพระพุทธเจา้ ตรสั ชมพระพาหิยะว่า “ภิกษุทั้งหลาย พาหิ
ยะ ทารุจีริยะ เป็นบัณฑิตปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมทั้งไม่ทำให้เราลำบากเพราะเหตุแห่งการ
แสดงธรรม”
พระอัสสชสิ อนพระสารบี ตุ ร แบบยอ่ ๆ
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่พระอัสสชิ กำลังเดินบิณฑบาตรอยู่ในเมือง อุปติสส
ปริพาชก๑๓ เป็นสาวกคนสำคัญของเจ้าลัทธิหนึ่งชื่อ ท่านสัญชัย อุปติสสปริพาชกได้มาพบ
พระอัสสชิเดินบิณฑบาตโดยอาการอันสำรวมน่านับถือ และรสู้ ึกประทับใจมากในกิริยามารยาท
อันสงบสำรวมของท่าน เมื่อได้โอกาสอุปติสสปริพาชกจึงตรงเข้าไปถามพระอัสสชิว่า ท่านเป็น
สาวกของใคร พระศาสดาของทา่ นสอนว่าอยา่ งไร พระอัสสชิตอบว่า “เราเปน็ คนใหม่ บวชยัง
ไม่นาน พึ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านอย่างกว้างขวางได้ แต่จักกล่าว
ใจความแก่ท่านโดยย่อว่า ธรรมเหล่าใดเกดิ แต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะทรงสั่งอย่างนี้ ๑๔ พอไดฟ้ ังเพียงเท่าน้ีอุปติสสะ
ปรพิ าชกก็เกดิ ความรรู้ ะดบั วชิ ชญุ าณ๑๕ เกดิ การเปลี่ยนแปลงภายในใจจนกลายเป็นโสดาบันไป
๔.๒.๒. การสอนแบบใหล้ งมือทำ ซึ่งในบางกรณี พระพุทธเจา้ ไม่ทรงสอนอะไร
ด้วยพระวาจาเลย แต่ทรงมอบหมายงานบางอย่างให้ไปกระทำ จนกระทั้งผู้กระทำกิจนั้นๆ ได้

๑๑ ในสมัยน้ันเรียก โสเพณีระดบั ต่ำ วา่ แพศยา เพราะโสเพณใี นสมยั นนั้ มรี ะดบั โสเพณี ท่ีมีตำแหนง่ ถา้ สูงเรยี ก
โสเภณีวา่ หญงิ งามเมอื ง ซง่ึ จะเปน็ คนของราชการท่ีไว้ต้อนรับแขกบ้านเขกเมอื ง ส่วน แพศยาทว่ี า่ ก็เปน็ หญิงท่ัวไปขาย
ความสขุ สำราญใหก้ บั คนท่ัวๆ ไป.

๑๒ มหาขนั ธกะ พระวินยั ฎก ตท.๔:๔๐-๔๑.
๑๓ เปน็ ชอ่ื เดมิ ของพระสารบี ุตร
๑๔ มหาขันธกะ พระวินยั ฎก ตท. ๔; ๖๘-๖๙.
๑๕ ระดบั ความรู้ ๖ ระดบั ทางพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ ๑. ระดับวิญญาณ ๒.ระดบั สัญญา ๓.ระดับทิฐิ ๔. ระดบั
อภญิ ญา ๕.ระดบั วชิ ชญุ าณ คือการเหน็ ความจริงรวมยอดอยา่ งแจม่ แจง้ และโดยปจั จบุ ัน. ๖. ระดับโพธิญาณ. เปน็ ต้น

ธรรมนเิ ทศ ๖๘

ค้นพบความจริงด้วยตัวเอง ซงึ่ วิธีนมี้ กั จะสังเกตว่าพระองคใ์ ช้วธิ ีน้กี ับคนที่มีสภาวะจิตท่ีไม่ยอม
ไม่พรอ้ มทีจ่ ะรบั ฟังคำสอนใด

โปรดพระจุฬปัณถก
ความมีว่า ในสมัยพทุ ธกาลมีพระเถระรปู หนึ่งช่ือว่า มหาปัณถก ได้นำน้องชาย
ชื่อ จุฬปัณถกมาบวชด้วย ครั้นเมื่อบวชแล้วพระพี่ชายก็มอบหมายหน้าที่ให้ท่องจำคำฉันท์บท
หนึ่ง ซึ่งมีความเพียง ๔ บทเท่านั้น แต่พระจุฬปัณถกก็ท่องไม่ได้แม้เวลาจะล่วงไปแล้วตั้ง ๔
เดือนก็ตาม พระมหาปัณถกผู้พี่ก็เห็นว่าน้องชายคงจะไปไม่ไหวจึงขับไล่ให้ลาสิกขาออกไปเป็น
คฤหัสถ์เสีย แต่พระจุฬปัณถกยังไม่อยากสิกขาลาเพศไป จึงร้องให้ จำใจให้พระพุทธเจ้าสิกขา
ให้ พระพุทธเจ้าเห็นก็ตรัสถามเรื่องราว จุฬปัณถกจึงเล่าให้ฟัง พระพุทธเจ้าทราบก็ให้พระ
จฬุ ปณั ถกเอาผ้าขาวที่พระองคป์ ระทานใหผ้ ืนหน่ึง แล้วแนะนำใหพ้ ระจุฬปัณถกเอามือลบู ผ้าขาว
น้ันไป พร้อมกับท่องคำวา่ “ระโชหะระณัง” โดยไมต่ ้องคิดอะไรไปเรื่อยๆ เมอื่ พระจฬุ ปัณถกท่อง
ไป ลูบไป จิตกลายเป็นสมาธิ มีความสว่าง สะอาด สงบ เป็นลักษณะ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม
ความรูร้ ะดับวชิ ชญุ าณก็เกดิ ข้นึ พระจุฬปณั ถกผูเ้ ป็นปุถชุ นกลายเป็นพระอรหันต์ไป๑๖
โปรดนางกีสาโคตรมี
นางกีสาโคตรมี เป็นสะใภ้เศรษฐีคนหนึ่ง มีบุตรคนเดียวกำลังน่ารักไม่นาน
บุตรชายได้เสียชีวิตลงไปอย่างปัจจุบันทันด่วน นางเสียอกเสียใจ จนมีสติวิปลาสไป ด้วยความ
รักอาลัยในบุตร นางจึงไม่ยอมให้ใครเอาศพบุตรชายไปเผาหรือฝัง ได้แต่อุ้มศพลูกน้อยเที่ยว
ตระเวนไปตามหมูบ่ ้าน เพอ่ื ขอยาชบุ ชีวติ บุตรของนางใหฟ้ ้ืน เป็นทสี่ มเพชเวทนาสำหรับบางคน
แต่ก็เป็นที่น่าขบขันสำหรับบางคน นางได้ไปขอยาชุบชีวิตที่ไหนก็ไม่มี จะมีแต่คำว่า “ไม่มี” จาก
ทุกบ้านเรือน บางแห่งยังถูกขับใสไล่ส่งเสียอีก นานวันศพลูกน้อยก็ขึ้นอืด นางก็ยังอุ้มเที่ยวหา
ยาต่อไป จนกระทง่ั ไดพ้ บอบุ าสกคนหน่งึ ซ่งึ แนะนำให้นางไปหาพระพทุ ธเจ้าวา่ “ยามีแน”่ นางกี
สาโคตรมีดีใจเป็นล้นพน้ ที่ได้ยิน คำวา่ “มี” เปน็ ครั้งแรก นางทลู ขอยาชุบชวี ิต พระพุทธเจ้าทรง
ตรัสว่ายาชนิดนี้ต้องเอาพันธ์เมล็ดผักกาดจากที่บ้านคนที่ไม่มีครอบครัวไหนตายเลย นางดีใจ
เปน็ ล้นพ้นจงึ ไปเที่ยวหาเมล็ดผกั กาด ทกุ บา้ นบอกว่าเมล็ดผักกาดนะ มแี ละมที กุ บา้ น แตว่ ่า บ้าน
ทุกบ้านที่นางไปเที่ยวขอกลับไมม่ ี ไม่มีคนตาย ทุกบ้านมีแต่คนตาย มีญาติตายแทบทั้งสิ้น นาง
เดินจนเหนื่อยอ่อน เพราะทุกบ้านล้วนแต่มีคนตายทั้งสิ้น ในที่สุดแสงสว่างก็เกิดขึ้นในดวงจิต
ของนางว่า ความตายเป็นของธรรมดา คนในโลกทุกคนต้องตาย บุตรของนางเองก็ต้องตาย
เป็นไปตามธรรมแห่งจักรวาล นางเห็นเช่นนั้นจึงได้นำศพบุตรน้อยไปฝังแล้วกลับไปเฝ้า
พระพทุ ธเจา้ ตอ่ มาได้ศกึ ษาปฏิบัติธรรมจนบรรลุพระอรหนั ต์๑๗
๔.๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (marvel of teaching) คือ การสอนแบบธรรมดาเป็น
คำสอนที่เป็นจริง สอนให้เห็นจริงนำไปปฏิบัติได้ผลสมจรงิ หรือแบบบรรยายซ่ึงพระองคไ์ ม่ต้อง
ใชอ้ ิทธฤิ ทธ์ิอะไร และวธิ ีการเผยแผ่พระพุทธนอกจากจะเป็นการสอนแล้วยังถือวา่ เป็นวิธีการท่ี
เจ้าลัทธิต่างๆ ในสมัยพุทธกาลนิยมใช้เป็นการโต้วาที หรือโต้วาทะใน สังคีติสูตร ท่านแยก
ประเภทปัญหาไว้ตามลกั ษณะวธิ ีตอบเปน็ ๔ ประเภท ไดแ้ ก่

๑๖ พระธัมปทิ ฎั ฐกถาแปล ภาค ๒ มหามกุฎฯ หนา้ ๑๑๙-๑๒๓.
๑๗ พระธมั ปทิ ัฎฐกถาแปล ภาค ๒ มหามกุฎฯ หน้า ๒๒๓-๒๒๘.

ธรรมนิเทศ ๖๙

๔.๓.๑. เอกังสพยากรณียปัญหา คือปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงตอบ
ตรงไปตรงมาตายตวั หรอื ปัญหาท่ีทรงตอบทนั ที ซงึ่ คำถามประเภทนี้ ผถู้ ามยอ่ มมีใจบริสุทธิ์
อยากรูเ้ ร่ืองท่ถี าม แล้วกเ็ มอ่ื ได้ฟงั แล้วก็เกิดประโยชน์ เช่นใน สิงคาลมานพสตู ร๑๘

สมยั หนึง่ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬวุ ัน สถานทใ่ี หเ้ หย่ือกระแต เขตกรุงรา
ชคฤห์ ขณะนนั้ สงิ คาลกะ คหบดีบตุ ร ลกุ ขึ้นแต่เชา้ ออกจากกรุงราชคฤห์มผี ้าเปียก มีผมเปียก
ประคองอัญชลีไหว้ทิศทั้งหลาย คือ ทิศต่างๆ พระพุทธเจ้าตรัสถามสิงคลกะคหบดีบุตรว่า
“คหบดีบุตร เธอลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าเปียกมีผมเปียก ประคองอัญชลีไหว้
ทิศทั้งหลายอยู่เพราะเหตุไร” สิงคาลกะคหบดีบุตรทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บิดาของข้า
พระองค์ก่อนจะตายไดก้ ลา่ วไวอ้ ย่างนี้ว่า “นีแ่ นะ่ ลูก จงลกุ ขน้ึ แตเ่ ช้า ออกจากกรุงราชคฤห์มีผ้า
เปียก มีผมเปียก ประคองอัญชลีไหว้ทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง
ทิศเบือ้ งซา้ ย ทิศเบ้อื งลา่ ง ทิศเบอื้ งบนอยพู่ ระพทุ ธเจ้าข้า” พระพทุ ธเจา้ ตรัสวา่ “คหบดบี ตุ ร ใน
อริยวินัย๑๙ เขาไม่ไหว้ทิศทั้ง ๖ ดังกล่าวกันอย่างน้ี” สิงคาลกะ คหบดีบุตร ถามว่า “ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ในอริยวินัยเขาไหว้ทิศ ๖ กันอย่างไร ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าทรงแสดงแก่ข้าพระองค์ วิธีการไหว้ทิศ ๖ ในอริยวินัยเถิด” พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“คหบดี ถ้าอย่างนั้นเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าว” “คหบดีบุตร อริยสาวก ละกรรม
กิเลส๒๐ ๔ ประการได้แล้ว ไม่ทำบาปกรรมโดยเหตุ ๔ ประการ และไม่ข้องแวะอบายมุข๒๑ ๖
ประการ แห่งโภคะทั้งหลาย อริยสาวกนั้นเป็นผู้ปราศจากบาปกรรม ๑๔ ประการนี้แล้ว ชื่อว่า
เป็นผู้ปิดป้องทิศ๒๒ ๖ ปฏิบัติเพื่อครองโลกทั้ง ๒ ทำให้เกิดความยินดีทั้งโลกนี้และโลกหน้า
หลังจากตายแล้วย่อมไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์” หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้อธิบายธรรม
ตามลำดับ ไดแ้ ก่ กรรมกเิ ลส ๔ คอื การกระทำท่ีทำให้ชีวิตมัวหมอง ได้แก่ เบยี ดเบียนชีวิตสัตว์๑
ลักทรัพย์ ๑ ประพฤตผิ ิดในกาม๑ การพดู เทจ็ ๑ เหตทุ ำบาป ๔ ประการ ลำเอยี งเพราะชอบ ๑
ลำเอียงเพราะชัง ๑ ลำเอียงเพราะเขลา ๑ และลำเอียงเพราะกลัว ๑ อบายมุข ๖ คือ หมกมุ่น
เสพสุรา ๑ หมกมุ่นในการเที่ยว ๑ หมกมุ่นดูมหรสพ ๑ หมกมุ่นในการพนัน ๑ หมกมุ่นในการ
คบมิตรชั่ว และ เกียจคร้าน ๑ หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงแสดงเรื่องทิศ ๖ คือ ที่สุดทำให้
สงิ คาลกะ บรรลมุ องเห็นดวงตาเหน็ ธรรม

๔.๓.๒. ปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา คือปัญหาที่จะต้องพึงย้อนถาม ปัญหานี้
มักจะมีความเข้าใจผิดของผู้ถามนั้น๒๓ พระพุทธเจ้าทรงย้อนถามในเรื่องอุปมาง่ายๆ เสียก่อน
เพื่อใหผ้ ฟู้ งั เขา้ ใจปญั หาที่สลับซับซ้อน เช่น

โปรดท่านคามณี
คราวหนึ่งนายบ้านนามว่า ปาฎิลิยะ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลว่า เราได้
ยินคนพูดกันว่า พระพุทธเจ้าทรงรู้จักมายา ดังนี้ คนเหล่านั้นพูดจริงหรือไม่จริง พระพุทธเจา้
ทรงรับรองว่า เขาเหล่านั้นพูดจริง นายคามณีจึงทูลว่า ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า
พระพุทธเจ้าทรงมีมายาละซิ พระองค์ตรัสถามว่า คนที่เขาพูดว่าเรารู้จักมายา หมายความว่า
เรามมี ายากระน้ันหรือ นายบา้ นทูลตอบว่า คงเป็นเช่นนั้น พระพทุ ธเจ้าตรัสถามว่า “ดูก่อนนาย

๑๘ ทีฆ.ปา. (ไทย)๑๑/๑๙๙/๒๔๒-๒๔๔.
๑๙ ธรรมเนียมแบบแผนของพระอรยิ ะ.
๒๐ กรรมเครอ่ื งเศร้าหมอง.
๒๑ ปากทางแหง่ ความเสื่อม.
๒๒ ปกปดิ ชอ่ งวา่ งระหวา่ งตนกบั บคุ คลท่ีเก่ยี วขอ้ ง ซง่ึ เรยี กว่า ทิศ ๖ (ท.่ี ปา.ฏีกา ๒๔๔/๑๕๙.)
๒๓ แสง จันทรฺ ์งาม วธิ กี ารสอนของพระพุทธเจ้า. บรรณาคาร กรุงเทพฯ: ๒๕๒๖ หนา้ ๑๑๖-๑๑๙.

ธรรมนเิ ทศ ๗๐

คามณี ถ้าอย่างนั้นเราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ท่านพึงแก้ตามท่ีทา่ นชอบใจ ดูก่อนนายคามณี
ท่านย่อมรู้จักอำมาตย์ผู้มีมวยผมยาวแห่งชาติโกฬิยะ หรือ ?” นายคามณีทูลว่า “...โอย...ข้า
พระองคร์ จู้ ักดีพวกนเี้ ป็นคนทุศีล มีธรรมเลวทราม....” พระพุทธเจ้าตรสั ตอบว่า “ เช่นนน้ั ท่าน
คามณีก็เป็นคนทุศีล มีธรรมเลวทรามอย่างนี้” นายคามณี ทูลตอบ “ ไม่หรอกพวกอำมาตย์
พวกหนึ่ง ข้าพระองค์ก็พวกหนึ่ง พวกอำมาตย์....มีธรรมอย่างหนึ่ง ข้าพระองค์ก็มีธรรมอย่าง
หน่ึง” พระพุทธเจา้ กท็ รงตรสั สรุปว่า พระองค์ทรงรูจ้ ักมายา แตพ่ ระองคก์ ็ไม่มีมายาโดยทำนอง
เดียวกนั ๒๔”

ทรงโปรดอภยั ราชกุมาร
คราวหนึ่ง อภัยราชกุมารทูลถามพระพุทธองค์ว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กษตั ริยผ์ ้บู ัณฑติ ก็ดี พรามหณผ์ ู้บณั ฑิตก็ดี คฤหบดผี ู้บณั ฑติ ก็ดี สมณะผู้บัณฑิตก็ดี ผูกปัญหา
แล้วเข้ามาเฝ้าทูลถามพระตถาคต การตอบปัญหาของบัณฑิตเหล่านั้น พระผู้มีพระภาค ตรึก
ตรองด้วยพระทัยก่อนว่า บัณฑิตทั้งหลายจักมาเฝ้าเราแล้วทูลถามอย่างนี้ เรา...จักพยากรณ์
อย่างนี้ หรือว่า การพยากรณ์นั้นมาปรากฏแจ่มแจ้ง แก่พระตถาคตโดยทันที” พระพุทธเจ้า
ย้อนถามอภัยราชกุมารว่า ท่านอภัยกุมารเป็นทหารรถ ย่อมมีความรู้ในเรื่องรถดี ถ้ามีคนมา
ถามเรื่อง อุปกรณ์ส่วนต่างๆของรถ ท่านอภัยกุมารจักตอบคำถามแก่ผู้ถาม ด้วยการตรึก
ตรอง คนทั้งหลายจักทูลถามอย่างนี้ ท่านจักตอบอย่างนี้ หรือว่า การตอบคำถามเล่านั้นจะ
ปรากฏแจม่ แจ้งแก่พระองค์เองทันที” ทา่ นอภัยราชกุมารทูลตอบ ว่า “ ไม่ได้ตรึกตรอง เตรียม
คิดว่าใครจะถามเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่ถ้ามีใครมาถามเรื่องที่เรารู้ มันก็จะสามารถตอบได้ทันที”
พระพุทธเจ้าก็ตรัส “เราก็เหมอื นทา่ นแหละราชกุมาร กษตั ริย์ผ้บู ณั ฑิตกด็ ี พราหมณ์ผู้บัณฑิตก็
ดี ....ผูกปัญหาแล้วจกั เข้ามาถามตถาคต การพยากรณ์นั้นย่อมแจ่มแจ้งกะตถาคตโดยทันที ข้อ
นนั้ เพราะเหตไุ ร เพราะความทธี่ รรมธาตุน้ันตถาคตแทงตลอดดีแล้ว๒๕”
๔.๓.๓. วิภัชชพยากรณียปัญหา คือปัญหาที่ต้องแยกตอบเป็นปัญหาคุลม
เครอื มี ๒ แง่ ๒ มุม ถ้าตอบอยา่ งตรงไปตรงมาอาจจะผิดได้ จึงต้องแยกตอบ ดังปรากฏใน วชั
ชยิ มาหติ สตู รวา่ ด้วย วัชชิยมาหิตคหบดี๒๖
สมยั หน่ึง พระพทุ ธเจ้าประทบั อยู่ ณ รมิ ฝงั่ สระอคั ราโบขรณี เขตกรุงจำปา คร้ัง
นัน้ วชั ชิยมาหิตคหบดีได้เดนิ ทางเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ไดเ้ ดินผา่ นพวก อัญเดียรถยี ์ปรพิ าชก ซึ่ง
กำลังสนทนากัน พอเห็น วัชชิยมาหิตคหบดีเดินเข้ามาก็เงียบเสียง คหบดีก็สงสัยก็เข้าไปหา
พวกอัญเดียรถีย์ถามว่า “ คหบดี นัยว่า พระสมณโคดมทรงติเตียนตบะทั้งหมด กล่าวโทษผู้มี
ตบะเลี้ยงชีพเศร้าหมอง๒๗ โดยส่วนเดียว จริงหรือ” วิชิยมาหิตคหบดีตอบว่า “ ท่านผู้เจริญ
พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จะทรงติเตียนตบะ ทัง้ หมดก็หมดมไิ ด้ จะได้กล่าวโทษผ้มู ตี บะทกุ คนผ้เู ล้ียงชีพ
เศร้าหมองโดยส่วนเดียวก็หามิได้ พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนตบะที่ควรติเตียน สรรเสริญตบะ
ที่ควรสรรเสริญเมื่อสิ่งติเตียนที่ควรติเตียน สรรเสริญสิ่งที่ควรสรรเสริญจึงชื่อว่า วิภัชชวาที
(มีปกติตรัสจำแนก) ในเรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้ามิใช่เอกังสวาที(มีปกติตรัสโดยส่วนเดียว)” ...
เมื่อวัชชิยมาหิตคหบดีได้สนทนากับพวกอัญเดียรถีย์ปริพาชกแล้วก็เดินทางหลีกเข้าเฝ้า
พระพุทธเจ้าแล้วก็ทูลถามความสงสัย พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดีละ ดีละ อย่างนั้นแหละ คหบดี

๒๔ ปาฏลิยสูตร สฬา.ส.ํ ตท. ๑๘.๓๐๗-๓๗๐.
๒๕ อภยั ราชกมุ ารสตู ร. ม.ม. ตท. ๑๓:๘๓-๘๔.
๒๖ อังคุตรนิกาย ทสกนิบาต. วิชชิยมาหติ สูตร. ๒๔/๙๔/๒๒๐-๒๒๓.
๒๗ คอื ประกอบทกุ รกริ ยิ า ดำรงชีพอยา่ งฝดื เคอื ง ทรมานตนใหล้ ำบาก.

ธรรมนิเทศ ๗๑

ท่านสามารถข่มโมฆบุรุษเหล่านั้นได้อย่างแนบเนียนตามกาลอันควร โดยชอบธรรมเราไม่กล่าว

ตบะทั้งหมดว่า ควรบำเพ็ญ หรือไม่ควรบำเพ็ญ เราไม่กล่าวการสมาทานทั้งหมดว่า ควร

สมาทาน หรือไม่ควรสมาทาน เราไม่กล่าวความมุ่งมั่นทั้งหมดว่า ควรมุ่งมั่นหรือไม่ควรมุ่งม่ัน

เราไม่กล่าวการสละคืน ทั้งหมดว่า ควรสละคืน หรือไม่ควรสละคืน เราไม่กล่าวความหลุดพ้น

ทั้งหมดว่า ควรหลุดพ้น หรือไม่ควรหลุดพ้น ตบะใด เม่ือบุคคลบำเพ็ญอยู่ อกุศลธรรม

ทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมทั้งหลาย เสื่อมไปตบะเช่นนั้นเรากล่าวว่า ไม่ควรบำเพ็ญ ส่วน

ตบะใด เมอ่ื บคุ คลบำเพญ็ อยู่ อกศุ ลธรรมทั้งหลายเสื่อมไปกุศลธรรมท้ังหลายเจริญย่ิงข้ึน ตบะ

เช่นนั้นเรากล่าวว่า ควรบำเพ็ญ การสมาทานใดเมื่อบุคคลสมาทานอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลาย

เจรญิ ยิง่ ขึ้น กศุ ลธรรมทั้งหลายเสื่อมไป การสมาทานเช่นน้ันเรากลา่ วว่า ไมค่ วรสมาทาน ส่วน

การสมาทานใด เมื่อบุคคลสมาทานอยู่อกุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมไป กุศลธรรมทั้งหลายเจริญ

ยิ่งขึ้น การสมาทานเช่นนั้นเรากล่าวว่า ควรสมาทาน ความมุ่งมั่นใด เม่ือบุคคลมุ่งมั่นอยู่

อกุศลธรรมทง้ั หลายเจรญิ ยิ่งข้ึน กศุ ลธรรมทงั้ หลายเสื่อมไป ความม่งุ มนั่ เชน่ นั้นเรากล่าววา่ ไม่

ควรม่งุ ม่ัน ส่วนความมุ่งมั่นใด เม่ือบคุ คลมุ่งมั่นอยู่ อกศุ ลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญยิ่งข้ึน

ความมุ่งนั่น เช่นนั้นเรากล่าวว่า ควรมุ่งมั่น การสละคืนใด เมื่อบุคคลสละคืนอยู่ อกุศลธรรม

เจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป การสละคืนเช่นนั้นเรากล่าวว่า ไม่ควรสละคืน ส่วนการสละคืน

ใด เมื่อบุคคลสละคืนอยู่อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น การสละคืนเช่นนั้น เรา

กล่าวว่า ควรสละคืน ความหลุดพ้นใด เมื่อบุคคลพ้นอยู่ อกุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรม

เสื่อมไป ความหลุดพ้นเช่นนั้นเรากลา่ วว่า ไม่ควรหลุดพ้น ส่วนความหลุดพ้นใดเมื่อบุคคลหลุด

พ้นอยู่ อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น ความหลุดพ้นเช่นน้ันเรากลา่ วว่า ควรหลุด

พ้น

ลำดับนั้นแล วัชชิยมหาหิตคหบดีผู้อันพระพุทธเจ้าทรงช้ีแจงให้เห็นเช่นนี้มีจิตใจ

อยากรับเอาธรรมแห่งพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ ธรรมของพระองค์เร้าใจกระตุ้นให้อยากปฏิบัติ มี

ความแกล้วกล้าอยากทดลอง ทั้งยังให้จิตใจวัชชิยมาหิตคหบดีสดชื่น ร่าเริง เมื่อจบการแสดง

ธรรมแล้ว วัชชิยมาหิตคหบดีก็ลุกขึ้นแล้วถวายอภิวาทพระพุทธเจ้าทำการประทักษิณแล้วก็

เดนิ ทางไป.

๔.๓.๔. ฐปนยี ปญั หา คอื ปญั หาท่ีพึงยับยั้งเสีย สว่ นใหญเ่ ป็นปัญหาที่ถามนอก

เรื่องบ้าง ไร้ประโยชน์ อันจักเป็นเหตุให้เขว ยืดเยื้อ สิ้นเปลืองเวลาเปล่า หรือไม่เกิดประโยชนแ์ ก่

ผถู้ าม ดงั ปรากฏในจูฬมาลงุ กยสตู ร๒๘ว่า

สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับ ณ พระเชตะวันอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้นและ พระมาลุงกยบุตร หลีกเร้นอยู่ในที่สงัดได้เกิดความคิดคำนึง

พระพุทธเจา้ ไมต่ รัสคำตอบท่ีตนถามจะสกึ ซ่งึ คำถามเลา่ น้นั กค็ ือ

โลกเทย่ี ง โลกไมเ่ ทยี่ ง

โลกมที ่ีสุด โลกไม่มที ่ีสุด

ชีพกับสรีระเปน็ อันเดยี วกัน ชพี กับสรีระแยกกัน

สตั ว์ตายแล้วยังมีอยู่ สตั วต์ ายแลว้ ไม่มีอยู่

สตั ว์ตายแล้วมอี ยกู่ ็มี สตั วต์ ายแลว้ ไม่มอี ยู่ก็มี

สตั วต์ ายแล้วมีอยู่ก็มี สัตวต์ ายไมม่ ีอยกู่ ็มี

๒๘ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๒๒/๑๓๓-๑๔๑.

ธรรมนเิ ทศ ๗๒

สัตว์ตายแล้วมีอยู่ก็มิใช่ สัตว์ตายแล้วไม่มอี ยกู่ ็มใิ ช่

คำถามเหล่านี้พระมาลุงกยบตุ รทลู ถามพระพทุ ธเจ้าแล้วมีเงอ่ื นไขว่า ถ้าพระพทุ ธเจ้าไม่ตอบ

คำถามเหล่าน้ใี หห้ ายสงสัยก็จะสกึ พระพทุ ธเจ้าตรสั ตอบวา่ “มาลุงกยบุตร ได้ยินวา่ เรามิได้พูด

ไว้กับเธอว่า เธอจงมาประพฤตพิ รหมจรรยใ์ น(สำนกั )เราเถิดเราจักตอบเธอวา่ โลกเท่ียง โลกไม่

เทยี่ ง...ฯลฯ....โมฆบุรุษ เมื่อเป็นอย่างน้ัน เธอเปน็ ใคร จะมาทวงอะไรกบั ใครเล่า” พระองค์ได้

อธิบายเปรียบเทียบเหมอื นชายท่ีถกู ลูกศรอาบยาพิษนอนเจบ็ หนา้ ทข่ี องเขาคือเอาศรออกแลว้

เยียวยารักษาใหห้ าย ไม่ใช่มวั ไปถาม ลกู ศรนั้นใครยิงมา ลกู ศรทำด้วยอะไร ขาดเท่าไร ปญั หาท่ี

ไมต่ อบ เพราะ ปัญหาเล่านั้นไม่มีประโยชน์ ไมเ่ ป็นเบ้ืองต้นแหง่ พรหมจรรย์ ไมเ่ ป็นไปเพือ่ ความ

เบือ่ หน่าย เพือ่ คลายกำหนัด เพ่อื ดบั เพ่ือระงบั เพ่ือรู้ย่งิ เพือ่ ตรสั รู้ และเพ่ือนิพพาน สว่ นปญั หา

ท่พี ระองคต์ อบ ก็เพราะปัญหาน้ันมีประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไมเ่ ป็นไปเพ่อื ความ

เบ่อื หนา่ ย เพื่อคลายกำหนัด เพ่ือดับ เพื่อระงบั เพอื่ รู้ยงิ่ เพื่อตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน

เมอื่ ศึกษาเรื่องราวดังกลา่ วมาแล้ว เราจะพบว่าพุทธวิธกี ารสอนของพระพทุ ธเจา้

ทรงพระผู้ควรเปน็ สัตถา คือเปน็ ผู้ท่รี ูจ้ กั วิธีการสอนคน พระองคเ์ องก็ทรงใช้พุทธวธิ ดี งั กลา่ วใน

การเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพราะสมัยพทุ ธกาลการเผยแผล่ ทั ธิศาสนามีมากมาย มกี ารแข่งขนั

สูง เพราะยคุ น้ันจะเหน็ ว่ามเี จ้าลทั ธมิ ากมายต่างก็ประกาศลทั ธิศาสนาของตนเพื่อในการที่จะ

ไดม้ าซึ่งสาวก ซง่ึ ความสามารถของเจ้าลทั ธิในแตล่ ะสำนกั ผู้เปน็ เจ้าสำนัก ย่อมจะมี

ความสามารถในการทจี่ ะสอนชีน้ ำเหตผุ ล โดยเฉพาะวถิ ี การดำเนนิ ชีวติ ทปี่ ระเสริฐ ที่จะนำไปสู่

ความสงบสุข ความเจริญแหง่ ชวี ิต การโต้วาทะในการเสนอลัทธิของแตล่ ะสำนกั ก็มีการบันทกึ ใน

พระไตรปฎิ กทำให้เราไดท้ ราบถงึ วิธกี ารเผยแผ่ของแต่ละลทั ธิ ซึง่ มีการแขง่ ขันกันสูงมากทเี ดยี ว

เพ่อื ใหไ้ ดม้ าซึ่งสาวก

พระพุทธเจ้าทรงปฏบิ ตั ิหน้าทีข่ องความเปน็ พระพุทธเจา้ ๔๕ พรรษาการทำหน้าที่

ของเราในฐานะครู ในฐานะผู้สอนศาสนากเ็ ทยี บเคียงกับพุทธกิจของพระองคไ์ ด้เพยี งแคส่ ่วน

น้อยนิดเท่าน้ัน แตพ่ ุทธจริยา พทุ ธกจิ ทงั้ หลายทั้งมวลผู้ต้องการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ปรารถนาเป็นครูอย่างแรงกลา้ กค็ วรทจี่ ะรู้ถึงพุทธวิธีการเผยแผ่ของพระพทุ ธเจ้าไว้

๕. เปา้ หมายในการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา

จรถ ภกิ ฺขเว จารกิ ํ พหุชนหติ าย
พหชุ นสุขาย โลกานกุ มปฺ าย

อตถฺ าย หิตาย สขุ าย เทวมนสุ ฺสานํ
“ภิกษทุ ัง้ หลาย พวกเธอจงจาริกไป เพื่อประโยชน์แกช่ นหมู่มาก โดยอาศัยความ
อนุเคราะห์ชาวโลกเพื่อประโยชนเ์ พอ่ื ความเกอ้ื กลู และเพอ่ื ความสุขของเทวดาและ

มนษุ ย์ท้งั หลาย”๒๙
เปา้ หมายสูงสุดในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ของพระพุทธเจา้ ที่นักการศาสนานัก
เผยแผ่ทัง้ หลายควรทจี่ ะนำปฏิบตั เิ ปน็ เย่ียงอย่าง มเี ป้าหมายสูงสดุ ๓ ประการ คือ
๕.๑. อัตถายะ เพ่อื ประโยชน์พระธรรมทท่ี รงแสดงมุ่งประโยชนแ์ ก่ผู้ฟังตามพ้ืนฐาน
อุปนสิ ัย ๓ ระดับ ได้แก่

๒๙ ว.ิ ม.(ไทย)๔/๓๒/๔๐.

ธรรมนเิ ทศ ๗๓

๕.๑.๑. ทิฏฐธิ มั มิกตั ถะ มุ่งประโยชนป์ จั จบุ ันอันก่อให้เกิดความสขุ แก่บุคคล
ตามสมควรแห่งอาชีพของคนเหลา่ นั้น

๕.๑.๒. สัมปรายกิ ตั ถะ มุ่งประโยชน์ในภายภาคหนา้ ท่ีจะไดร้ บั อานิสงส์จากการ
ปฏบิ ัติ

๕.๑.๓. ปรมัตถะ ประโยชน์สูงสุดได้แก่ การบรรลมุ รรค ผล นิพพาน ซ่ึงบคุ คล
สามารถบรรลุไดท้ ้ังในชาตินี้ ชาติหน้า

๕.๒. หติ ายะ เพ่ือเกื้อกูลแกค่ นทง้ั หลาย พระธรรมเปรียบเหมือนยารกั ษาโรค
กลา่ วคือ ยาอะไรจะเกื้อกูลแก่คนไข้ขึ้นอยูก่ ับวินจิ ฉยั ของนายแพทย์ ข้อน้ฉี ันใด พระธรรมกฉ็ ัน
นัน้ เหมือนกันพระธรรมขอ้ ใดจะเก้อื กูลแกใ่ คร เปน็ เร่ืองที่ต้องวเิ คราะห์เป็นรายๆ บุคคลไป

๕.๓. พหชุ นายะ เพอื่ ความสขุ แก่สรรพสตั ว์ พระธรรมยอ่ มอำนวยความสขุ
ใหแ้ กผ่ ูป้ ฏิบัตติ ามสมควร แก่ธรรมจงึ ทำให้ผู้ปฏิบตั จิ ะได้รับ บรรลเุ ปา้ หมายสูงสุด ๓ ประการ
ดงั กล่าว

สรปุ พระพุทธเจา้ ทรงมีหลักพทุ ธวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ๓ ประการ คือ
๕.๓.๑.ทรงสง่ั สอนเพอื่ ให้ผู้ฟังรยู้ ่งิ เห็นจริงในส่ิงท่คี วรเห็น กล่าวคอื ทรงแสดง
ธรรมตามลำดับพ้ืนฐานทางสติปญั ญาของผู้ฟงั หมายถงึ พระองค์จะสั่งสอน
ใครพระองคจ์ ะมีข้อมลู สามารถวิเคราะห์ จรติ นิสัย ความรู้พื้นฐานของจิตใจผู้
นนั้ และนำธรรมท่ีเหมาะสมสั่งสอนแก่เขา
๕.๓.๒. ทรงแสดงอย่างมีเหตุผล ให้ผู้ฟังนำไปพิจารณาให้เกดิ ความรจู้ รงิ ได้

ด้วย
ตนเอง
๕.๓.๓. ทรงแสดงธรรมเปน็ อศั จรรย์ คือบคุ คลใดเม่ือปฏบิ ตั ิตามธรรมที่

พระองค์
สอน ผลย่อมเกิดขึน้ แกบ่ คุ คลนั้นตามสมควรแก่การปฏิบตั ิแห่งเขา

************

ธรรมนิเทศ ๗๔

คำถามท้ายบท

๑. พระพทุ ธเจ้าทรงมีคณุ สมบตั อิ ย่างไรถึงไดช้ ่ือว่าเป็นศาสดาเอกของโลก?
๒. คุณสมบัติของพระพทุ ธเจ้าทที่ รงมีพระมหากรณุ าธคิ ุณ อย่างไรจึงเรียกว่า

ทรงมพี ระมหากรณุ าธิคุณจงยกตวั อย่าง?
๓. การเป็นครทู ี่ดขี องพระพทุ ธเจ้าทรงมีพุทธคณุ อยา่ งไร?
๔. คุณของเน้ือหาธรรมหรอื คุณของธรรมมีเทา่ ไรอะไรบ้างจงอธิบาย?
๕. พระพทุ ธเจา้ ทรงมีพุทธวิธีการเผยแผ่ท่ีประสบผลสำเร็จท่ีเรยี กวา่ ปาฏิหาริย์ ๓

ไดแ้ ก่ อะไรบ้างจงอธบิ าย?
๖. พระพทุ ธเจ้าทรงยกยอ่ งสรรเสรญิ การสอนแบบใดถือวา่ เป็นเยีย่ มประเสริฐ

ที่สดุ ?
๗. พุทธวิธีการตอบปญั หาของพระพทุ ธเจ้ามเี ทา่ ไร อะไรบา้ งจงอธิบาย?
๘. ความหมายลักษณะอย่างไรทีเ่ รียกว่า “คำสั่ง” “คำสอน” มีลักษณะแตกต่าง

กนั อยา่ งไรจงยกตัวอยา่ ง ?
๙. การตอบปญั หาแบบ ปฏิปจุ ฉาพยากรณียปัญหา คือการตอบปญั หาของ

พระพุทธเจ้าแบบใดจงอธบิ ายพร้อมยกตัวอย่าง?
๑๐. คำว่า “พหชุ นายะ” มีความหมายว่าอย่างไร ?

*************

บทที่ ๖
พทุ ธอุบายในฐานะครูของเทวดาและมนษุ ย์

๑. ความนำ

ธรรมชาตใิ ห้สตั ว์เกิดมีมีสัญชาตญาณ คอื มีความสามารถในการดำรงชีวิตดว้ ย
สัญชาตญาณ ในการอยู่รอดด้วยตัวของมันเอง พอ่ สตั วไ์ มจ่ ำเป็นทจี่ ะสอนใหล้ ูก กิน ไม่
จำเปน็ ต้องสอนใหล้ ูกเดนิ หรอื หนภี ยั หลบภัย สัตว์สามารถทจ่ี ะเดินเองได้หลังจากท่เี กิดออกมา
ไม่นาน หากินเองเมอื่ อาหารสำรองทีม่ ีในตัวแรกเกดิ หมด เมอื่ เกดิ ในนำ้ มันกว็ า่ ยนำ้ เองได้
ตรงกันข้ามกบั มนุษย์ พ่อแมจ่ ะต้องสอน เดนิ ติดต่อสอื่ สาร สอนการดำรงชีวติ เพื่อการอยู่
รว่ มกับสังคม เพอื่ การอยู่รอดของการดำรงชีวิตและเผา่ พันธุ์ เหตนุ ้ีนเ่ี องมนุษยจ์ ึงตอ้ งมี
การศึกษา การศึกษาเพื่อการอยู่รอด มนษุ ย์ เริ่มเรียนตัง้ แต่ ตั้งไข่ หดั เดิน หัดพดู หัดกิน ฯลฯ
เพ่ือการอยู่รอดของมชี ีวติ ตลอดท้ังชีวติ จงึ ตอ้ งศกึ ษา ทัง้ น้ีเพราะความหมุนเวียนเปล่ยี นไป
ความเจรญิ วิวัฒนาความเจริญของโลกก้าวไปอย่างไม่หยดุ หยง้ั ยิ่งต้องทำใหม้ นษุ ยต์ ้องศกึ ษา
ตลอดชีวติ เพือ่ ให้เท่าทันกับความเจรญิ เหล่านน้ั ชีวิตจบ การศึกษากจ็ บ ทั้งน้ีเพราะดังกล่าวมา
ว่า การศึกษาเพอ่ื ความอยู่รอดของชีวิต ของเผ่าพันธ์ุ

พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาเพ่ือการดำรงชวี ิตของมนุษย์ พระพุทธศาสนาเปน็
ศาสนาประเภท อเทวนยิ ม ชีวิตไมไ่ ดข้ น้ึ อยู่กับส่ิงอันใด ไม่ว่าจะพระเจ้าหรือเทวดา พระพรหม
หรือฟา้ ลขิ ิต แตช่ ีวิตจะข้นึ อยกู่ บั การปฏิบัตติ น เมื่อพระพุทธศาสนาแห่งการปฏิบตั ิ ไปสู่ความดี
งามของชวี ติ เป็นศาสนาแห่งความเป็นเหตุ เป็นผล เหตุน้ันการศกึ ษาในการดำรงชีวิตจึงจำเป็น
อยา่ งยิ่ง

๒. การจัดหลกั สูตรการเรยี นการสอนของพระพทุ ธเจา้

มนุษย์ตัวตนคนใดทต่ี อ้ งการจะดำรงชีวิตให้รอด และมศี ักยภาพในการทีจ่ ะเก้ือกูล
มนษุ ยค์ นอื่น ขจดั สัญชาตญาณความเปน็ สตั ว์ช้ันตำ่ ท่มี ่งุ หวังจะดำรงชวี ิตด้วยการแย่ง แขง่ ใช้
กำลังแยง่ ชิงอาหาร แย่งสนองความต้องการทางกาม มากกว่านั้นความท่ีมนษุ ยป์ รารถนาความ
ปลอดภัยในตวั ตน ปลอดภยั ส่ิงของของตน มนุษย์จึงมี กฎ กตกิ าสังคม จริยธรรม ศลี ธรรม
เพอื่ ปกป้องตัวเอง ประสบการณใ์ นการดำเนินชวี ติ ของเผ่าพันธุ์อนื่ กลุม่ อื่น คนอนื่ ทำอยา่ งไร
การทจ่ี ะบรรลุในการดำเนินชวี ติ อย่างมีความสุข สันติ และอยู่รอดกน็ า่ จะต้องเรียนรจู้ าก
ประสบการณ์เหล่าน้ัน ประกอบกบั เพราะมนุษย์ต่างจากสตั วท์ ี่ธรรมชาติไมค่ ่อยจะใหค้ วามเปน็
สญั ชาตญาณอันดี เหมือนสัตว์ แตม่ นุษยก์ ลับมี มันสมอง มีสตปิ ญั ญา ในการที่จะพฒั นาจาก
ความนกึ คดิ และการเรียนรู้ เหตนุ ั้นมนุษยจ์ ึงจำเป็นต้องมกี ารเรียนรู้ ชวี ิตจึงมีการศึกษา เพอื่
พฒั นาสติปญั ญาเพื่อการดำรงชีวิตเพอ่ื การอยู่รอดนนั่ เอง

มนุษย์มีสมอง มสี ตปิ ัญญาทจี่ ะฝึกฝนไดป้ ระกอบกบั มนุษย์จำเป็นทจ่ี ะต้องศึกษา
เรียนรกู้ ารดำรงชีวิต ทั้ง ๒ ประการจึงเกือ้ กูลกันอยา่ เหมาะสม เหตุนนั้ ทำให้มนุษย์กลายเป็น

ธรรมนิเทศ ๗๖

สัตวท์ ฝี่ ึกได้ และตอ้ งฝกึ ฝนด้วย จงึ หลกี ไม่พ้นชีวิตเกดิ มาเพอ่ื การศกึ ษา พระพุทธเจ้าทรง
รบั รองวา่ มนุษย์ต้องเรยี นรู้ เพราะต้องเรยี นรู้ มนษุ ย์เปน็ สัตว์ทฝ่ี ึกได้ และเมอื่ ฝึกแล้วก็จะฝึกได้
ดี ดังพทุ ธภาษิตว่า “อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ โกหินาโถ ปโร สิยา อตตฺ นา หิ สนุ ตฺเตน นาถํ ลภ
ติ ทลุ ฺลภํ๑” แปลวา่ ตนแลเป็นท่ีพงึ ของตน แทจ้ ริงน้ันคนอื่นใครเล่าจะเปน็ ที่พ่ึงได้ มีตนท่ฝี ึกดี
แล้วนนั่ แหละ คอื ได้ทพ่ี ่ึงหาไดย้ าก” หรือพุทธภาษิตทต่ี รสั ยกยอ่ งว่ามนุษยท์ ่ีได้รบั การฝึกฝน
แลว้ เป็นมนุษย์ท่ีประเสรฐิ ท่ีสดุ ว่า “ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ๒” แปลว่า “ในหมมู่ นษุ ย์ ผู้ประเสริฐสุด
คือ คนที่ฝกึ แล้ว” เหล่าน้คี งเป็นตวั อย่างว่า มนุษยจ์ ำเป็นทจ่ี ะตอ้ งศึกษา เมื่อศึกษาแล้วกจ็ ะ
กลายเปน็ มนุษยอ์ นั ประเสริฐ เป็นมนุษย์ท่ีมีประโยชนแ์ ก่ตนเอง และยังต่อผอู้ ื่นอีกด้วย

ดงั น้ัน การศกึ ษา จงึ จำเป็นสำหรบั มนุษย์ การศึกษา ภาษาบาลใี ช้คำว่า สกิ ขา ในทาง
พระพุทธศาสนาพระพุทธเจา้ ได้ตรัสเกย่ี วกบั การศึกษา ๓ ประการ ท่านเรียกวา่ ไตรสิขา
หมายถงึ การศกึ ษา ๓ ประการ

๓. ไตรสกิ ขา๓

ไตรสิกขา คอื การศกึ ษา ๓ ประการ เป็นการศึกษาเพ่อื ใหม้ นษุ ยส์ ามารถดำรงชีวิต
อยู่รว่ มกับชวี ิตอน่ื ๆ ในโลกนไี้ ด้อย่างสงบ ๓ ประการ ได้แก่

๓.๑. อธศิ ลี สกิ ขา (training in higher morality) คือสกิ ขาหรือการศึกษา
เพ่อื ท่จี ะสร้างปฏิสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันของมนษุ ยต์ ่อมนษุ ย์ มนุษย์กบั สัตว์ มนษุ ย์กบั ภาวะ
แวดล้อม โดยอาศัย กฎระเบียบ แบบแผน วนิ ัยในการท่จี ะป้องกันตวั เอง ป้องกันการตัวเองทจ่ี ะ
ไปเบยี ดเบยี น ทำร้าย ทางกาย วาจา ไม่ให้ไปเบียดเบยี นทำรา้ ย แย่งชิง คนอื่น รกั ษาซ่งึ สิทธิ
ความเป็นมนษุ ย์ท่ีไม่มีสิทธิทจ่ี ะไปล่วงละเมิดบุคคลอ่ืนอีกดว้ ย

๓.๒. อธิจิตตสิกขา (trainging in higher mentality) คือ ศึกษาทจี่ ะฝกึ อบรม
จิต ของมนุษย์ทีพ่ ฒั นาให้กอ่ เกิดคุณสมบัตอิ ันดีงามทีเ่ รียกว่า “คณุ ธรรม” อันได้แกค่ วาม รัก
ความเมตตา ความกรุณา เอ็นดสู งสาร เห็นอกเห็นใจ เอื้อเฟือ้ เผื่อแผ่ ซือ่ สตั ย์สจุ รติ กตญั ญู
รู้คุณ กบั มนุษย์ สัตว์ เพ่ือร่วมโลก อื่นๆ ท่มี ีชีวิต และไมม่ ีชีวิตทเ่ี ก้ือกูลประโยชนแ์ กก่ ันและกัน
โดยมจี ติ สำนึกถึงความเช่ือมั่นในคุณของพระพุทธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ เชอื่ ม่ันในความเพียร
กลา้ หาญ ขยนั อดทน ผลกจ็ ะทำให้จติ เกดิ ความปติ สิ ขุ ปราโมทย์ แชม่ ช่ืน ผอ่ งใส รวม เรียกว่า
“อธิจิตสิกขา”

๓.๓. อธปิ ญั ญาสิกขา (training in higher wisdom) คอื สิกขา ศึกษาอบรม
ปัญญา หรือ ศึกษาความรู้ รู้ อะไร รู้ความจริงของชวี ติ รู้ความจรงิ ของ ไตรลักษณะ ร้คู วาม
จรงิ ของปฏิจสมปุ บาท รคู้ วามจรงิ ของอริยสัจจ์ ๔ เรยี กว่า “อธิปัญญาสกิ ขา”

๑ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๒/๓๖.
๒ ขุ.ธ. (ไทย)๒๕/๓๓/๕๗.
๓ ที.ปา.(ไทย)๑๑/๒๒๘/๒๓๑ ; อง.ติก. ๒๐/๕๒๑/๒๙๔.

ธรรมนิเทศ ๗๗

๔. นวงั คสัตถสุ าสนา

ในสมัยพทุ ธกาลคำสอนของพระพทุ ธเจ้าได้มีการแบ่งหมวดหมู่คำสอน ออกเป็น ๙

ประเภท เรยี กวา่ นวงั คพทุ ธวจนะ บ้าง นวงั คสัตถุสาสนา๔ บา้ ง นวังคชนิ ภาสติ บา้ ง

นวังคสัตถสาสน์ ดังน้ี

๔.๑. สุตตะ (threads; discourses) มาจากคำว่า สตุ ตะ ตรงกบั คำว่า สูตตะ

แปลวา่ กลา่ วดีแล้ว โดยหมายถึงข้อความท่ีแสดงแกน่ พุทธธรรมอยา่ งสน้ั ๆ ทีส่ มบูรณ์ในตัว

รวมถงึ กฎพระวินยั ท่เี ป็นหลัก

๔.๒. คาถา (verses) คำว่า คาถา มาจาก คี ธาตุ แปลวา่ ขบั ร้อง สวดเป็นทำนอง

หมายถึงคำสอนทปี่ ระพันธ์อยู่ในรปู ร้อยกรอง เช่น บทประพนั ธใ์ นเถระเถรีคาถา สตุ ตนบิ าต

ธรรมบท เป็นต้น นอกจากนน้ั คาถาน้ัน หมายถงึ คำสอนทป่ี ระพนั ธเ์ ป็นบทรอ้ ยกรอง แล้วใน

วรรณคดี ยังมคี ำวา่ สทุ ธิคาถา หมายเร่อื งปรสิ ุทธิ คือ ความสอนที่เก่ียวกบั สัจจะของการดบั

ทกุ ขจ์ ะอยใู่ นรปู ของรอ้ ยแล้ว หรอื ร้อยกรองกไ็ ด้ เสทโมจน คาถา แปลว่า คาถาเหง่ือแตก เปน็

ข้อคำถามสำนวนรอ้ ยแกว้ เก่ยี วกับปัญหาตา่ งๆในพระวินยั เรียกว่าเป็นปญั หายาก เลยเรียกว่า

ปัญหาเหงือ่ แตก วตั ถคุ าถา หมายถึงเรอื่ งราวเก่ยี วกบั เหตกุ ารณอ์ ันเป็นมาของคำสอน และไว

ยกรณคาถา หมายถึง เร่ืองเก่ยี วกบั ประสบการณข์ องการตรัสรู้ ซึ่งพระปจั เจกพุทธเจ้ารูปอน่ื

ฟงั ที่ภูเขา ช่ือ คันธ มาทนะ

๔.๓. เคยยะ (discourses mixed with verses ; songs) คำวา่ เคยยะ ประกอบ

รปู ศัพท์จาก คี ธาตุ แปลว่า ขบั รอ้ ง สวด เป็นทำนอง เหมอื นอย่างคาถา แตห่ มายถงึ คำสอนที่

อย่ใู นรูปร้อยแกว้ และร้อยกรองในเรื่องเดียวกัน สว่ นใหญบ่ ทรอ้ ยกรองมกั แทรกอย่ตู อนกลาง

หรอื ตอนท้ายของส่วนที่เป็นรอ้ ยแก้ว

๔.๔. เวยยากรณ์ (prose-expositions) คำวา่ เวยยากรณ์ หมายถึงลักษณะคำ

สอนที่เป็นคำตอบ เชน่ การตอบคำถาม ๔ ประเภท ได้แก่

๔.๔.๑. วิภัชชวยากรณ์ คอื การตอบด้วยวิธกี ารวเิ คราะห์หลักธรรมอย่าง

ละเอียด ใช้สำหรบั ตอบคำถาม ท่ีไม่ควรตอบรับ หรอื ปฏิเสธอย่างใดอยา่ งหน่ึงแต่

จำเป็นตอ้ งวเิ คราะหแ์ ยกแยะประเดน็ เหตกุ ารณ์

๔.๔.๒. ปฏปิ ุจฉาวยากรณ์ คอื การตอบด้วยการถามปัญหาย้อนกลับ เพ่อื ให้

ผู้ถามได้พจิ ารณาปญั หานั้นด้วยตนเอง

๔.๔.๓. ฐปนยี วยากรณ์ คอื การตอบด้วยการวางคำถามไปเสียขา้ ง

หมายความ วา่ การไมต่ อบคำถามเพราะเหตุว่าคำถามนั้น ตอบไปกไ็ มม่ ปี ระโยชน์

๔.๔.๔. เอกงั สวยากรณ์ คือตอบปัญหาโดยตรง หรือ การตอบรบั หรือ

ปฏิเสธอย่างใดอยา่ งหนงึ่

๔.๕. อุทาน (exclamations; verses of uplift) คำว่า อทุ าน ประกอบรปู ศัพท์

มาจาก อปุ สรรค อุท – ข้ึน และ ธาตุ อน – หายใจ แปลวา่ หายใจออก หรือเปล่งเสียงออกมา

ในทน่ี หี้ มายถึงคำพูดทเ่ี ปล่งออกมาเนื่องจากเกดิ ความประทบั ใจในบคุ คลใด หรือสงิ่ ใดส่ิงหนึ่ง

หรืออาจเน่ืองจากเหน็ สัจธรรมบางอย่างอันเป็นของน่าอศั จรรย์ หรือทีท่ ำให้เกดิ การประจักษ์

แจ้งในความเป็นจริงแห่งชวี ติ คำอทุ านนี้เป็นท้ังท่เี ป็นรปู ร้อยแก้ว และร้อยกรองท้งั ทเ่ี ปน็ คำ

๔ สภุ าพรรณ ณ บางชา้ ง.ประวัติวรรคดีบาลอี นิ เดยี และลังกา. จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . กรงุ เทพฯ :
๒๕๒๖.หนา้ ๑๒-๓๐.

ธรรมนิเทศ ๗๘

อทุ านของพระพทุ ธเจา้ และพระสาวก เช่น "ยทา หเว ปาตภุ วนตฺ ิ ธมมฺ า" เป็นต้น มีใจความว่า
เมอ่ื ใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่บคุ คลประเสรฐิ ผู้เพียรพยายามเพ่งพนิ จิ อยู่ เมอ่ื น้ันปวงความ
สงสัย ยอ่ มมลายไป เพราะมารู้เข้าใจถงึ ธรรมพร้อมท้ังเหตขุ องมัน . . . เพราะได้รู้ถึงภาวะที่ส้นิ ไป
แหง่ ปัจจัยทง้ั หลาย . . . ขจัดมารและเสนาเสียได้ ดังตะวันส่องฟ้าทอแสงจา้ อยู่ ฉะนั้น"๕

๔.๖. อิติวุตตกะ (thus-said discourse) แปลตามรปู ศัพท์วา่ กล่าวแลว้ อย่างนี้
หมายถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าซึง่ พระสาวกหรือบคุ คลอ่ืนยกข้ึนอ้าง คำตอ่ คำ

๔.๗. ชาดก (birth-stories) คำวา่ ชาดก แปลตามรปู ศพั ท์ว่า เร่ืองทีเ่ กิดขึน้ แล้ว
ในนวังคสัตถศุ าสนา หมายถงึ ชาติก่อนหรืออดตี ชาติของพระพุทธเจา้

๔.๘. อัพภูตธรรม (marvelous ideas) บางที่ก็เรยี กว่า อจั ฉริยัพภูตธรรม
หมายถึง คำสอนหรือเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ใจได้แก่เรื่องดังต่อไปน้ี

๔.๘.๑. ธรรมทีเ่ ป็นสัจจะความจรงิ ธรรมชาตขิ องชีวิต ได้แก่ ทุกข์ วธิ ดี ับทุกข์
ฯลฯ

๔.๘.๒. เรือ่ งพระโพธิสัตว์ หรือเรื่องพระพทุ ธเจา้ ตรัสรู้
๔.๘.๓.เรื่องคุณสมบตั ิพเิ ศษของพระอริยบุคคล บางทา่ นซงึ่ พระพุทธเจ้าตรัส
สรรเสรญิ ว่าเปน็ สิ่งอัศจรรย์ เช่น ภิกษุภักกลุ ะ ไม่เคยมกี ามสญั ญาตลอด ๘๐ ปีท่ที ่านถือเพศ
บรรพชติ
๔.๙. เวทลั ละ (question and answer) คำว่า เวทัลละ หมายถงึ คำสอนที่มกี าร
วิเคราะหแ์ จกแจงความหมายอย่างละเอียด ซ่งึ อาจทำได้โดยการอธิบายขยายความใหค้ ำจำกดั
ความ เป็นต้น

๕. การสังคายนาของพระสารีบตุ ร

การสังคายนาของพระสารีบตุ ร กเ็ ป็นส่วนหน่ึงในการจดั ระบบระเบยี บการศกึ ษาที่
ทา่ นไดก้ ราบทลู แด่พระพุทธเจ้า โดยการจดั หมวดหมธู่ รรม เป็นหมวดหมู่ เช่น ธรรมท่ีเป็นคู่
อยา่ ง รูป – นาม หิริ-โปตัปปะ สมาธิ-วปิ ัสสนา สติ-ปญั ญา ฯลฯ และยังมหี มวด ๓ หมวด ๔
อ่นื ๆ เป็นต้น ซ่ึงสาเหตุเร่อื งน้เี กดิ ขึ้นเพราะศาสดาคแู่ ข่งของพระพทุ ธเจ้าคอื มหาวิระ แห่ง
ศาสนาเชน ได้ตายลงไป ก็มเี หล่าสาวกของศาสนาเชน ก็ได้ทะเลาะกันเก่ยี วกบั หลักธรรมโดยถือ
ว่าตนนนั้ จำมาจากศาสดามาดีกวา่ มากกว่า หรอื ถูกตอ้ งกว่า จงึ เกิดการแตกแยก พระสารี
บุตร กไ็ ด้นำภิกษุท้งั หลายมาช่วยกบั รวบรวมธรรมของพระพุทธเจ้าโดยได้จัดเปน็ หมวดหมู่
ดงั กลา่ ว ซ่ึงเร่ืองนีป้ รากฏในสังคตี ิสูตร พระพุทธเจา้ ยงั ได้ตรสั รบั รองการกระทำของพระสารี
บุตรว่า “ดแี ลว้ สารีบตุ ร เธอไดก้ ระทำสงั คีติปริยายแกภ่ กิ ษุทงั้ หลาย เปน็ การดีแล้ว”
นอกจากน้นั ยงั ปรากฏในทสูตรตระสูตร วา่ พระสารบี ตุ รไดส้ รุปธรรม ๑๐ หมวดเหมือนอย่าง
ใน สังคิตสิ ูตรอกี ด้วย

๕ วินย.(ไทย)๔/๑-๓;ขุ.อ.ุ (ไทย)๒๕/๓๘-๔๐.

ธรรมนเิ ทศ ๗๙

๖. การรวบรวมธรรม วินยั มาตกิ า สุตตนั ตะ

ความหมาย ธรรม เป็นคำกลางๆ หมายถึงคำสอนของพระพุทธเจา้ วินยั หมายถงึ
กฎระเบียบ ข้อบงั คบั บทลงโทษตา่ ง มาติกา หมายถึงหวั ข้อธรรมเชน่ พระสารีบุตรไดร้ วบรวมไว้
ดงั กลา่ วไวข้ า้ งต้น และ สุตตันตะ หมายถึงเทศนาเร่อื งหนึ่งๆ ของพระพุทธเจ้า

ในการศกึ ษาสมยั พุทธกาลจะมีพระภกิ ษุท่ีมคี วามร้คู วามเชีย่ วชาญเฉพาะทาง
เหมือนคนสมัยปจั จุบนั ท่ีมีความเช่ียวชาญเฉพาะสาขาวชิ า ทก่ี ารศึกษาสมัยปัจจบุ นั ได้แยก
การศึกษาเฉพาะทางจัดหลักสูตรตามความรู้ ความสามารถเฉพาะบคุ คล และตามที่ผู้เรยี น
สนใจ ทีจ่ ะศึกษาในสาขาต่างๆ สมยั พทุ ธกาลก็จะมพี ระสงฆ์ผ้เู ช่ยี วชาญต่างๆ ไดแ้ ก่ พระสงฆ์ที่
เชยี่ วชาญทางพระวินัย กจ็ ะเรยี กวา่ พระวินยั ธร เชย่ี วชาญทางธรรม กจ็ ะเรยี กว่า พระธรรมธร
เกง่ เชยี่ วชาญในการสอน กจ็ ะเรียกว่า พระธรรมกถิกะ หรอื พระธรรมกถกึ เชยี วชาญมาติกา
ก็จะเรียกวา่ พระมาติกาธร และเช่ียวชาญท่องจำพระสุตตนั ตะ ก็จะเรียกว่า พระสุตตตนั ตกิ ะ
เป็นต้น

ซึ่งเหมือนปจั จบุ นั การศึกษา ได้มีการจัดการศกึ ษาเฉพาะทางให้กับผ้ทู ี่สนใจและมี
ความสามารถท่ตี ่างกัน ระบบการเรียนการสอนในปัจจบุ ันน่าจะนำเอาระบบการศกึ ษาสมยั
พทุ ธกาลมาใชอ้ ย่างปฏิเสธไม่ได้ จนกลายมาเป็นการศึกษาทเี่ อานักเรยี กมาเปน็ ศูนยก์ ารการ
เรียน คอื ใครใครเ่ รียน อะไร สนใจอะไรกเ็ รยี นตามทีต่ นชอบ

สุดท้ายแมจ้ ะเป็นทยี่ อมรบั ว่าเป็นผูเ้ ช่ียวชาญด้านใดด้านหน่งึ พระพทุ ธเจ้าก็มกั ทรง
ตักเตอื นพระภิกษุผูท้ ี่มคี วามเชย่ี วชาญเหล่าน้ันเสมอว่า อย่าได้ยืดม่ัน จนก่อให้เกดิ มจิ ฉาทฎิ ฐิ
อยา่ ทะนงตน ว่าประเสริฐกวา่ ผู้อ่ืน เพราะจะทำใหท้ ิฎฐิน้ันเป็นอปุ สรรค หรือเป็นเหตุทำใหไ้ ม่
บรรลเุ ป้าหมายสูงสุดคือ พระนพิ พาน

๗. กลวธิ ี และอุบายประกอบการสอน๖

กลวธิ ี และอบุ ายการสอนของพระพุทธเจ้า หรืออาจจะเรียกอีกอยา่ งหนง่ึ คอื พทุ ธ
เทคนิคก็ได้ เมื่อพระสาวก หรือผู้ทีจ่ ะประกาศพระศาสนา สิง่ ต่อไปนีเ้ ป็นเรือ่ งทีส่ ำคัญ และจำเปน็
ซงึ่ สามารถทจี่ ะใช้กลวธิ ขี องพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการสอนในการเทศน์ ในการสะกด
ผ้ฟู ัง ดึงดูดจติ ใจผู้ฟงั ไดเ้ ป็นอย่างดี กลวธิ ีการสอนของพระพุทธเจา้ พอสรุปเป็นขอ้ ๆ ดังน้ี

๗.๑. การยกอุทาหรณ์ หรือการเลา่ นิทานประกอบ พระองค์จะใช้การยก
อุทาหรณ์ และการเล่านทิ านประกอบช่วยให้จำแม่นยำ เห็นจริงและ เกิดความเพลดิ เพลิน ทำให้
การสอนมอี รรถรส สีสัน ซ่ึงในคัมภีร์ตา่ งมีอทุ าหรณ์ และนทิ านปรากฏอยู่ทวั่ ไปโดยเฉพาะคัมภีร์
ชาดก อยา่ งเดยี วมนี ิทานชากดถึง ๕๔๗ เร่อื ง เช่น เมื่อครง้ั พระองคไ์ ด้เสด็จไปโปรดพระญาติ
พระพทุ ธบดิ า แล้วแสดงปาฎิหาริย์ ฝนโบขรพรรตก แล้วก็ทรงแสดงเร่อื งพระเวสันดรชาดก
หรอื เรื่อง ลิงเฝ้าสวน๗ หรือคนขายเหล้า๘ ซ่งึ การยกเหตกุ ารณ์และการเลา่ นิทานประกอบเป็น
เสนห่ ข์ องเน้ือหาที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความสนใจได้ยิ่งข้ึน ซึ่งสมยั พุทธกาลการเลา่ นิทานเป็นทีน่ ิยม
ใช้ประกอบในการสอนมาก

๕๑-๖๘. ๖ พระธรรมปฏิ ก (ป.อ. ปยุตฺโต) พทุ ธวิธีในการสอน.พมิ พค์ รั้งท่ี ๕. กรงุ เทพฯ: มลู นิธพิ ุทธธรรม. ๒๕๔๑. หนา้

๗ ชา.อ.(ไทย)๒/๒๓.
๘ ชา.อ.(ไทย)๒/๒๖.

ธรรมนิเทศ ๘๐

๗.๒. การเปรยี บเทยี บดว้ ยคำอปุ มาอปุ มัย คำอปุ มาชว่ ยให้เรื่องทล่ี กึ ซ้งึ

เขา้ ใจยากปรากฏความเด่นชัดออกมาและเข้าใจง่ายขนึ้ โดยเฉพาะมักใชใ้ นการอธบิ ายส่งิ ที่เปน็

นามธรรม เปรียบให้เหน็ ชัดด้วยสิ่งท่ีเป็นรูปธรรม เช่น คำเปรียบเทยี บวา่ ความเปน็ คนเช่นไร ที่

เรียกว่า บัณฑติ กับภเู ขาศิลาทไี่ ม่มีจติ ใจหว่ันไหว “ภูเขาศิลาล้วนเปน็ แท่งทบึ ย่อมไม่หวน่ั ไหวด้วย

แรงลม ฉนั ใด บัณฑิตทัง้ หลายย่อมไม่หว่ันไหวเพราะคำนินทาและสรรเสรญิ ฉันนน้ั ”๙ “คนผู้

เรยี นร้นู อ้ ยย่อมแก่ลงเหมือนโคถึก เน้ือของเขาเจริญขน้ึ แตป่ ญั ญาหาเจริญไม่”๑๐ “เม่อื พระ

อาทติ ย์จะอุทัย ย่อมมแี สงเงนิ แสงทองปรากฏขนึ้ เป็น นมิ ิตมากอ่ น ฉันใด ความมกี ัลยาณมติ ร

ย่อมเป็นเบอื้ งตน้ เป็นนิมติ หมายแหง่ การบังเกิดข้นึ ของโภชฌงค์ ๗ ฉันนั้น”๑๑

๗.๓. การใช้อุปกรณก์ ารสอน การใชอ้ ุปกรณก์ ารสอน กท็ ำใหก้ ารเผยแผ่การ

สอน หรือการพดู เปน็ เร่ืองท่นี า่ สนใจ สมยั พุทธกาลก็มบี ้างสำหรับอปุ กรณ์การสอน ส่วนใหญ่จะ

เปน็ ของที่อยใู่ นธรรมชาติ ไมม่ ีอปุ กรณ์อนั ทันสมยั ดจุ ดังสมัยนี้ เช่น พระองคส์ อนสามเณร

ราหลุ ในจูฬราหุโลวาทสูตร๑๒ ก็จะใช้ภาชนะ กระจกแว่น หรือ การทีใ่ หพ้ ระภกิ ษุรูปหนง่ึ ไปเด็ด

ใบไมใ้ นป่ามาหนึ่งกำมือ แลว้ ตรสั วา่ ธรรมของพระองคแ์ คเ่ พยี งใบไมใ้ นกำมือในป่าไมท้ งั้ หลาย

ดังนี้

๗.๔. การทำใหด้ ูเป็นตัวอย่าง นับว่าเป็นพุทธวธิ ีที่ดที ่ีสดุ โดยเฉพาะในด้าน

ทางจรยิ ธรรม คือการทำตัวให้เป็นตวั อย่าง ซง่ึ การสอนโดยไม่ต้องบอก ไมต่ อ้ งพดู แตเ่ ปน็ การ

ทำให้ดปู ฏิบัติใหเ้ ห็น โดยพระองคท์ รงปฏิบตั ิตนเป็นผู้นำท่ีดี กบั พุทธจรยิ วัตรอนั ดีงามทเี่ ป็นไป

โดยปกตินั่นเอง เชน่ ปรากฏในพระวินัยปิฎก คิลานวตั ถุกถา ว่าด้วยภกิ ษุไข้ เรื่องภิกษุพาพาธ

เปน็ โรคท้องร่วง๑๓ สมัยน้นั พระภิกษรุ ปู หน่งึ อาพาธเป็นโรคท้องรว่ ง นอนกล้ิงเกลือกไปมา

บนปัสสวะ และอุจจาระของตนเอง พระพุทธเจ้าพร้อมทัง้ พระอานนท์ได้เสดจ็ พบ ได้ถามทราบ

ความว่า ไม่มีใครดแู ลรกั ษาพยาบาลภิกษุผ้อู าพาธ พระพทุ ธเจา้ ได้ประคอบศรี ษะข้ึนแล้วทำการ

พยาบาลภกิ ษุผู้ป่วยนน้ั หลงั จากน้ันก็ไดเ้ รยี กประชุมคณะสงฆแ์ ล้วตรัสว่า “ภกิ ษุทง้ั หลาย พวก

เธอไม่มมี ารดา ไม่มบี ิดาผู้คอยพยาบาล ภิกษุท้ังหลายเธอพวกเธอไมพ่ ยาบาลกนั เอง ใครเล่าจะ

คอยพยาบาลพวกเธอ ภิกษทุ ัง้ หลาย ผ้จู ะพยาบาลเรากจ็ งพยาบาลภกิ ษุไขเ้ ถิด ถา้ มีอุปชั ฌาย์

อุปชั ฌาย์พึงพยาบาลภกิ ษุไข้นั้นจนตลอดชีวิต (หรือ) จนกว่าเธอจะหาย ถ้ามีอาจารย์ อาจารย์

พงึ พยาบาลภิกษุไขน้ ั้นตลอดชวี ิต (หรือ) จนกว่าเธอจะหาย ถา้ มีสทั ธวิ ิหาริก สัทธิวหิ ารกิ พงึ

พยาบาลภกิ ษุไขน้ ้ันจนตลอดชีวติ (หรือ) จนกวา่ เธอจะหาย ถา้ มอี ันเตวาสิก อันเตวาสิกพงึ

พยาบาลภกิ ษุไข้น้ันตลอดชวี ิต (หรือ) จนกว่าเธอจะหาย ถ้ามีภิกษผุ ู้รว่ มอุปชั ฌาย์ ผรู้ ว่ ม

อุปชั ฌาย์พึงพยาบาลภกิ ษุไขน้ ั้นจนตลอดชีวิต (หรือ) จนกว่าเธอจะหาย ถา้ มีภิกษรุ ่วมอาจารย์

ผรู้ ่วมอาจารย์พึงพยาบาลภิกษุไข้น้นั จนตลอดชีวิต (หรือ) จนกว่าเธอจะหาย ถา้ ไม่มีอปุ ชั ฌาย์

อาจารย์ สัทธวิ ิหารกิ อันเตวาสกิ ผู้ร่วมอุปัชฌาย์ หรือผู้ร่วมอาจารย์ สงฆต์ อ้ งพยาบาลภิกษุไข้

น้ัน ถ้าไมพ่ ยาบาล ต้องอาบตั ิทุกฎ”

๗.๕. การเล่นภาษาหรอื เล่นคำ และใช้ในความหมายใหม่ การเล่นภาษา และ

เล่นคำ เปน็ เรอื่ งของความสามารถในการใชภ้ าษาผสมกบั ปฏิภาณ ขอ้ นี้ก็มกี ารแสดงให้เห็นถงึ

๙ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๖.
๑๐ ส.ํ ม.(ไทย)๑๙/๕๑๖.
๑๑ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๒๑.
๑๒ ม.ม.(ไทย)๑๓/๑๐๗/๑๑๗-๑๑๙.
๑๓ วนิ ย.ม.(ไทย) ๕/๓๖๕/๒๓๙-๒๔๓.

ธรรมนิเทศ ๘๑

พระปรีชาสามารถของพระพุทธเจ้าท่ีมรี อบไปทกุ ๆด้าน เมื่อผใู้ ดถกู ทูลถามมาเป็นคำร้อยกรอง

พระองค์ก็ทรงตอบเป็นรอ้ ยกรองไปทันทีคล้ายกลอนสด บางทีทูลถามหรือกล่าวข้อความโดย

ใช้คำทม่ี ีความหมายไปในทางไม่ดี ไม่งาม พระองคก์ ็ตรสั ตอบไปด้วยคำพูดเดยี วกนั นั้นเอง แต่

เปน็ คำพูดในความหมายที่ตา่ งออกไปเป็นฝา่ ยดีงาม คำสนทนาโตต้ อบแบบน้ีมีรสอยู่แต่ในภาษา

เดมิ แปลออกสู่ภาษาอ่ืนย่อมเสียรสเสียความหมาย บางคร้ังผู้มาเฝ้าปริภาษพระองค์ด้วย

คำพดู ต่างๆที่รุนแรงยิ่ง พระองค์ทรงยอมรับคำปริภาษเหลา่ น้นั ท้ังหมด แลว้ ทรงแปล

ความหมายอธิบายเสียใหม่ให้เปน็ เรื่องดีงาม

๗.๖. อบุ ายเลือกคนและการปฏิบัตริ ายบุคคล การเลือกคนเป็นอุบายสำคัญการ

สอนในการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาของพระพุทธเจ้า นบั แตพ่ ระองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา

พระองค์ตรัสรูใ้ หมๆ่ พระองค์ ปรารถนาจะสอนธรรมแด่พระอาจารย์ ๒ ท่าน คือ อทุ กดาบส

และอาฬารดาบส สดุ ท้ายทา่ นทั้ง ๒ ตายไปก่อนหน้านี้ จงึ นึกถึง ปัญจวัคคีย์ ท่ีเคยได้ดแู ล

พระองคม์ ากอ่ น หลงั จากนนั้ ก็ไดโ้ ปรด ยสกุมาร พร้อมทั้งบดิ ามารดา และญาตมิ ิตร และเมื่อ

เสด็จไปถงึ แคว้นมคธ พระองค์ก็ทรงโปรดชฏิล ๓ พี่นอ้ ง พร้อมทั้งบริวารทั้งพัน โดยเรมิ่ ด้วย

ชฏิลคนพเี่ สียกอ่ น แล้วเมือ่ ชฏลิ ทงั้ ๓ ยอมเป็นสาวกเป็นศษิ ย์พระพุทธเจ้ากไ็ ดเ้ ข้าสู่นครรา

ชคฤห์ ประกาศพระธรรม ณ พระนครน้ันได้ กษัตริย์แหง่ ราชคฤหย์ อมรับพระพทุ ธศาสนา ก็มี

ทั้ง กษตั รยิ ์ เศรษฐี นักบวช ซ่งึ เป็นคนชัน้ สูงในสมัยนั้นยอมเป็นสาวกของพระพุทธเจา้

กลายเป็นว่าการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาจงึ ปลอดโปร่งแจ่มใส สะดวกในการเผยแผ่

พระพทุ ธศาสนาเป็นอย่างดีต่อไป การส่ังสอนคนแตล่ ะถน่ิ หรือแตล่ ะหมูค่ ณะ ก็มักทรงเริ่มตน้ ท่ี

บุคคลเปน็ ประมขุ หัวหน้า เชน่ พระมหากษตั รยิ ์ หรอื หวั หนา้ ของชนหมู่นั้น ทำให้การประกาศ

พระศาสนาได้ผลดแี ละรวดเรว็ และเป็นการยืนยันพระปรีชาสามารถของพระองค์ด้วย

๗.๗. รจู้ กั จังหวะและโอกาส ผูส้ อนต้องรจู้ กั ใชจ้ ังหวะ และโอกาสใหเ้ ป็น

ประโยชน์เมอื่ ยงั ไม่ถึงจังหวะ ไมเ่ ป็นโอกาส ก็ไม่ปล่อยโอกาสและจังหวะ เสียไป และถ้าไม่มีโอกาส

ไมม่ ีจังหวดั กจ็ ะไมท่ ำ เชน่ ผู้เรียนยังไม่พร้อม ยังเกิดปรปิ ากะแห่งญาณ หรืออินทรีย์ ก็ตอ้ งมี

ความอดทนไมช่ งิ หกั หาญหรือดึงดนั ทำ แตก่ ต็ อ้ งตืน่ ตวั อยูเ่ สมอเมอื่ ถึงจงั หวะหรอื เปน็ โอกาส ก็

ตอ้ งมีความฉับไวทจี่ ะจับมาใชใ้ หเ้ ป็นประโยชนไ์ ม่ปล่อยใหผ้ า่ นเลยไปเสียเปล่า แม้ในการเผยแพร่

ศาสนาแก่คนส่วนใหญ่พระพุทธเจ้าทรงปฏบิ ัติตามจังหวะและโอกาสด้วย เช่น ในระยะแรกทรง

แสดงธรรม ในวันสำคัญ เช่น วันมาฆบูชาปุณมี หลังตรัสรู้ ๑ ปี เม่ือประทับอยู่ ณ เวฬวุ ัน

พระสงฆ์สาวกมาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นน่ั พระองค์เหน็ เป็นโอกาสเหมาะ จึงแสดงโอวาทปาฏิ

โมกข์ สำหรบั เป็นหลักยดึ ถือร่วมกันของสงฆ์ ทจ่ี ะแยกย้ายกนั ไปบำเพ็ญศาสนกิจต่อไป หรือ

เม่อื คราวที่ นิครนถนาฎบุตร ส้ินชีวิต เกิดความแตกแยกในหมนู่ ิครนถ์ พระสารีบตุ รถือ

เหตุการณน์ ั้นเป็นตัวอยา่ งชใ้ี หภ้ กิ ษสุ งฆ์เหน็ ความสำคญั ในการรอ้ ยกรองธรรมวนิ ัย ชักชวน

พระสงฆ์ให้พรอ้ มใจกันทำสังคายนา และทา่ นไดท้ ำสังคายนาเปน็ ตัวอย่างโดยแสดงไว้ใน สังคตี ิ

สูตรไว้๑๔

๗.๘. ความยืดหยนุ่ ในการใช้วธิ ี ถา้ ผู้สอนหรือนักเผยแผส่ อนอยา่ งไมม่ ีอตั ตา ตดั

ตัณหา มานะ ทิฏฐเิ สยี ให้น้อยท่ีสุด กจ็ ะมุ่งไปยังผลสำเรจ็ ในการเรียนรู้เป็นสำคัญ สุดแตจ่ ะใช้

กลวิธีใดใหก้ ารสอนไดผ้ ลดีทสี่ ดุ กจ็ ะทำในทางนัน้ ไมก่ ลัวว่าจะเสียเกยี รติ ไม่กลวั จะถกู รูส้ ึกว่าแพ้

บางคราวเม่อื สมควรก็ต้องยอมให้ผู้เรยี นรู้สกึ ตัวว่าเขาเก่ง บางคราวสมควรข่มก็ขม่ บางคราว

๑๔ ที.ปา.(ไทย)๑๑/๒๒๑-๓๖๓.

ธรรมนิเทศ ๘๒

สมควรโอนออ่ นผอ่ นตามก็ยอมตามสมควรขัดกข็ ัด สมควรคลอ้ ยก็คลอ้ ย สมควรปลอบก็
ปลอบ มีพุทธพจน์ว่า “เราย่อมฝึกคนด้วยวธิ ีละมุ่นละไมบ้าง ด้วยวธิ รี ุนแรงบ้าง ดว้ ยวธิ ที ที่ ้ัง
อ่อนละมุ่นละไม และท้ังรุนแรงปนกันไปบาง”๑๕ คนบางคนจะใหเ้ ขายอมได้ด้วยการท่ยี อมใหเ้ ขา
รสู้ ึกวา่ ตัวเขามเี กียรตหิ รือเกง่ หรอื ไดส้ มใจกอ่ น ผสู้ อนจับจุดไดก้ ใ็ ชว้ ธิ ีสนองความตอ้ งการแลว้
ดงึ เขา้ สทู่ ่ีหมายได้ตามประสงค์ เช่น เม่อื คราวทเ่ี วรัญชพราหมณ์บริภาษพระพุทธเจา้ พระองค์
ทรงรับสมอ้างตามคำบริภาษนน้ั ให้สมใจพราหมณ์ แลว้ ค่อยชแ้ี จงแกไ้ ข ให้เขาเลื่อมใสพระองค์
ภายหลัง หรือเม่ือเผชญิ อาฬวกยกั ษ์ผู้ดรุ า้ ย พระองค์เสดจ็ เข้าไปในท่ีอย่ขู อง อาฬวกะ อาฬวกะ
ส่งั พระองค์ใหเ้ สดจ็ ออกไป พระองค์ก็เสดจ็ ออกตามส่ัง อาฬวกะส่ังพระองคใ์ ห้เสดจ็ เข้ามาอีก
พระองค์กเ็ สดจ็ เข้าไปอีก อาฬกวะส่ังใหพ้ ระองคเ์ สดจ็ เขา้ เสด็จออกอย่างนี้ซึ่งพระองค์ก็ปฏบิ ตั ิ
ตามอยา่ งวา่ งา่ ยถึง ๓ วาระ ใหเ้ ขาร้สู ึกสมใจในอำนาจของตนก่อน ตอ่ จากนนั้ กท็ รงเปล่ียน
กลวธิ ีและได้โปรดอาฬกวะลงเป็นผลสำเร็จ๑๖ อกี ตวั อย่างหนง่ึ พราหมณ์คนหนึ่งเปน็ คนมมี านะ
นสิ ัยแข็งกระด้างไม่ไหว้ แม้แตม่ ารดา บิดา อาจารย์ และพีช่ าย วันหน่งึ พระพุทธเจ้ากำลังทรง
แสดงธรรมอยู่ในทีป่ ระชมุ เขาคดิ ว่าจะลองเข้าเฝ้าพระพุทธ แลว้ คดิ ในใจวา่ “ถ้าสมณโคดมตรัส
กะเรา เราก็จะไม่พูดกับทา่ น ถา้ สมณโคดม ไมต่ รัสกะเรา เราก็จะไม่พูดกับท่าน” แล้วเขา้ ไปยืนอยู่
ข้างหนงึ่ พระพุทธเจ้าทรงเฉยเสยี ไมต่ รัสด้วย พราหมณ์ทำท่าจะกลบั ออกไปโดยคดิ ว่า “พระ
สมณโคดมองค์นี้ไม่มคี วามรู้อะไร” พระพุทธเจ้าทรงทราบความในใจของพราหมณ์ จึงตรัสว่า
“พราหมณ์เอ๋ย ความถือตัวไม่ช่วยใหใ้ ครได้ดีอะไรเลย ใครมาเพอื่ ประโยชนใ์ ด ก็ควรเสริมสร้าง
ประโยชน์น้นั เสยี ” พระพุทธเจา้ ตรสั เช่นนี้ทำให้พราหมณฉ์ ุดคิดวา่ “พระสมโคดมรูใ้ จเรา” ถงึ
ยอมทรุดน่ังแสดงคารวะทำให้ทป่ี ระชุมงงงวยประหลาดใจว่า “น่าอศั จรรย์จริงพราหมณ์นี้ไม่ไหว้
แม้แต่มารดา บิดา อาจารย์ พชี่ าย แต่พระสมณโคดมทรงทำใหค้ นอย่างน้ีนอบน้อมได้เป็นอย่าง
ด”ี จากน้ันพระองคจ์ ึงได้ทรงเชญิ ใหเ้ ขาน่ังบนอาสนะแลว้ ตอบปญั หาธรรมแกเ่ ขา จนลงทา้ ย
พราหมณ์ได้ประกาศตนเป็นอบุ าสก๑๗

๗.๙. การลงโทษและใหร้ างวลั พระพทุ ธเจา้ ทรงใชก้ ารชมเชยยกย่องบ้าง ก็
เป็นไปในรปู การยอมรับคุณความดีของผนู้ ั้นอยา่ งแท้จรงิ กล่าวชมโดยธรรมใหเ้ ขามัน่ ใจในการ
กระทำความดีของตน และไมใ่ หเ้ กดิ เปน็ การเปรยี บเทียบขม่ คนอื่นลง บางทที รงชมเชยให้ถอื เป็น
ตวั อยา่ ง หรอื เพือ่ แกค้ วามเขา้ ใจผิด ให้ต้งั ทัศนคติท่ีถกู เช่น ชมพระนันทกะ๑๘ ชมพระนวกะรูป
หนึ่ง๑๙ ชมพระสชุ าต ชมพระลกุณฎกภัททยิ ะ ชมพระวิสาขปญั จาลบตุ ร และตำหนิเตือนพระนัน
ทะ เป็นตน้

อย่างไรก็ตาม การลงโทษนา่ จะมีอยู่แบบหนง่ึ คอื การลงโทษตนเอง ซึ่งมีทั้งทางธรรม
และวินัย ในทางพระวนิ ัยถอื วา่ มบี ทบญั ญัติความประพฤติอยแู่ ลว้ และบทบญั ญัติเหล่าน้ี
พระพทุ ธเจา้ ทรงตราไว้โดยความเห็นชอบร่วมกนั ของสงฆ์ พร้อมทั้งมบี ทกำหนดโทษไวเ้ สร็จ
เมอื่ ผใู้ ดลว่ งละเมดิ ก็เป็นการกระทำผิดต่อส่วนรวม ต้องไถ่ถอนความผดิ ของตน มฉิ ะนั้นจะเปน็ ผู้
ไมเ่ ป็นทย่ี อมรับของสงฆ์ คือ หมคู่ ณะทั้งหมด สว่ นในทางธรรม ภิกษทุ ่ีเหลือขอจรงิ ๆ สอนไม่ได้

๑๕ อง.จตกุ ก.(ไทย)๒๑/๑๑๑.
๑๖ ข.ุ ส.ุ (ไทย)๒๕/๓๑๐.
๑๗ สํ.ส.(ไทย)๑๕/๖๙๔-๗๐๐.
๑๘ อง.นวก.(ไทย) ๒๓/๒๐๘.
๑๙ สํ.น.ิ (ไทย)๑๖/๖๙๖-๗๑๒.

ธรรมนิเทศ ๘๓

ก็กลายเป็นผทู้ ่ีพระพทุ ธเจ้าและเพ่ือนพรหมจารีทง้ั ปวงไม่ถือว่าเป็นผู้ท่ีควรจะว่ากลา่ วสั่งสอน

โดยวิธีน้ี ถือว่าเป็นการลงโทษอย่างรนุ แรงท่ีสุด๒๐

๗.๑๐. การแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหน้า ปญั หาเฉพาะหนา้ ท่ีเกิดข้ึนตา่ งครง้ั ตา่ ง

คราว ยอ่ มมลี ักษณะแตกต่างกันไม่มที ีส่ ุด การแก้ปัญหา เฉพาะหน้ายอ่ มอาศัยปฏภิ าณ คอื

ความสามารถในการประยุกตห์ ลกั วิธีการและกลวิธีต่างๆ มาใชใ้ หเ้ หมาะสม เป็นเรื่องเฉพาะครั้ง

เฉพาะคราวไป

ในการประกาศพระศาสนา พระพุทธเจ้าทรงประสบปัญหาเฉพาะหน้าอย่ตู ลอดเวลา

และทรงแก้สำเรจ็ ไปในรูปต่างๆกันเช่นใน ธนญั ชานสี รู อักโกสสูตร ว่าดว้ ยธนัญชานี

พราหมณี๒๑ ข้าพเจ้า๒๒ ไดส้ ดับมา อย่างน.ี้ .สมยั หน่งึ พระผู้มีพระภาคเจา้ ประทบั อยู่พระเวฬุวัน

กรงุ ราชคฤห์ สมัยนั้นมีนาง พราหมณชี ่อื ธนัญชานี ของพราหมณ์การทวาชโคตร นางได้นำ

ภัตรเข้าไปให้พราหมณ์ แล้วเกดิ ก้าวเท้าพลาด เปล่งอุทานว่า “นะโม ตสั สะ” พราหมณ์ได้ยินก็

โมโหกลา่ ววา่ “ก็หญิงถ่อยคนนี้กล่าวคณุ ของสมณะโลน้ นั้นอยา่ งน้ี อยา่ งน้ีไม่ว่าในท่ไี หนๆ หญิง

ถ่อยบัดน้ีเราจักยกวาทะ๒๓ ของพระศาสดานั้นของพระเจ้าบ้างละ” นางพราหมณีธนัญชานี ก็

ท้าใหไ้ ป วา่ ไปแลว้ จะรู้เอง คร้นั น้นั พราหมณ์ภารทวาชโคตร โกรธ ไม่พอใจ จึงเขา้ ไปหา

พระพุทธเจ้าถึงทีป่ ระทบั ไดส้ นทนาปราศรัยพอเป็นท่ีบันเทิงใจ พอเป็นที่ระลกึ ถึงกนั แล้วนั่ง ณ ท่ี

สมควร ได้กล่าวกบั พระพุทธเจ้าเป็นคาถาว่า “ บุคคลกำจัดอะไรได้จงึ เปน็ สขุ กำจดั อะไรไดจ้ งึ

ไมเ่ ศร้าโศก ข้าแตพ่ ระโคดม ของพระองค์ทรงพอพระทัยการกำจดั ธรรมอย่างหนงึ่ คืออะไร”

พระพทุ ธเจ้าตรัสตอบวา่ “ บุคคลกำจดั ความโกรธได้จึงอยู่เปน็ สขุ กำจัดความโกรธได้จงึ ไม่

เศร้าโศก พราหมณ์ พระอรยิ ะทั้งหลายสรรเสรญิ การกำจดั ความโกรธ ซ่งึ มรี ากเป็นพษิ มียอด

หวาน เพราะบุคคลกำจดั ความโรธนัน้ ไดแ้ ล้วจึงไม่เศร้าโศก” เม่ือพระพทุ ธเจ้าตรัสอย่างนีแ้ ล้ว

พราหมณ์ภารทวาชโคตร ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าขอบวชในพระพุทธศาสนา หลกี ออกไปอยู่

คนเดยี ว ไมป่ ระมาท มคี วามเพียร อุทศิ กายและหวั ใจอยูไ่ ม่นานนักก็ทำใหแ้ จ้งซึ่งประโยชน์ยอด

เยย่ี มอันเป็นท่ีสุดแห่งพรหมจรรย์ อีกเร่ืองหนึ่ง เร่อื งอกั โกสกภารทวาชพราหมณ์๒๔ สมยั หน่ึง

ที่พระพทุ ธเจ้าประทับทวี่ ัดเวฬุวนั กรุงราชคฤห์ พราหมณ์อักโกสกภารทวาชพราหมณเ์ ข้าบวช

ในพระพุทธศาสนาก็โกรธ จึงเขา้ เฝ้าพระพุทธเจา้ ไปถึงก็ปริภาษพระพทุ ธเจ้า พระองค์ตรัสถาม

ว่า “พราหมณ์ท่านรกู้ ิจการต้อนรับญาติหรอื เปลา่ ?...ทา่ นจัดอาหารใหญ้ าติเหลา่ นัน้ หรอื เปล่า?”

“จดั บา้ ง” พระพุทธเจา้ ตรสั ถามอีก “ถ้าไม่จัดของควรลน้ิ นั้นจะเปน็ ของใคร”....ถ้าผู้เป็นแขก

เหลา่ นัน้ ไม่รับ ของเคียวของบรโิ ภคหรือของควรล้ินนั้นกจ็ ะเป็นของข้าพระองคด์ ังเดิม”

พระพทุ ธเจา้ ตรัสว่า “พราหมณ์ ขอ้ นีก้ เ็ หมือนกันท่านด่าเราผ้ไู ม่ดา่ อยู่ ท่านโกรธต่อเราผู้ไมโ่ กรธ

อยูท่ ่านมาทะเลาะกบั เราผ้ไู ม่ทะเลาะอยู่ เราจกั ไม่รบั คำดา่ เป็นตน้ ของท่านน้ัน พราหมณ์ ดงั นน้ั

คำด่า เป็นตน้ จึงเป็นของทา่ นผู้เดยี ว” จากนั้นอกั โกสกภารทวาชพราหมณ์เลอ่ื มใส ขอ

พระพุทธเจ้าบวชแล้วไม่นานก็บรรลพุ ระอรหันต์ในกาลตอ่ มา

๒๐ อง.จตกุ ก.(ไทย)๒๑/๑๑๑.
๒๑ ส.ํ ส.(ไทย)๑๕/๑๘๗/๒๖๓-๒๖๕.
๒๒ หมายถึง พระอานนท์ พทุ ธอุปถาก.
๒๓ หมายถงึ การปราบวาทะ.
๒๔ สํ.ส.(ไทย)๑๕/๑๘๘/๒๖๙.

ธรรมนิเทศ ๘๔

๘. คุณสมบัตแิ หง่ ความเปน็ ครู

พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต) ไดอ้ ธิบายเก่ยี วกับกัลยาณมติ รว่า คนดี มปี ญั ญา ท่ี
เรยี กว่าบัณฑติ หรือสัตบุรุษนี้ เม่อื ใครไปเสวนาคบหา๒๕

สตฺถา เทว มนสุ สฺ านํ๒๖ แปลว่า พระศาสดาทรงเป็น ครขู องเทวดา และมนุษย์
ทั้งหลาย จากคุณสมบตั ิของความเป็นครู ได้รบั การยกย่องพระองค์ยอ่ มเช่นนี้ ผใู้ ดจกั เป็น
ครผู ูส้ อนท่ีดคี วรมีคณุ สมบัติ และแบบอยา่ งพุทธลีลาในการสอนดังน้ี

๘.๑. กลั ยาณมิตร
กัลยาณมิตร คือ ครตู อ้ งประกอบด้วยองคค์ ณุ แห่งกัลยาณมิตร หรอื กลั ยามติ ร
ธรรม๒๗ ๗ ประการดังน้.ี

๘.๑.๑. ปโิ ย ทรงเปน็ ผูท้ ีน่ ่ารัก เป็นทใ่ี ครๆ ก็อยากใหค้ วามสนทิ สนมอยากเขา้ ไป
ใกล้

๘.๑.๒. ครุ ทรงเป็นผูท้ ่ีปฏิบตั ิเปน็ ที่น่าเคารพ นับถือพึง่ พาได้
๘.๑.๓ ภาวนโี ย ทรงเปน็ ผู้นา่ เจริญใจ นา่ ยกยอ่ งในฐานท่ีพระองค์ ทรงมีความรู้

มีปญั ญา
๘.๑.๔. วตั ตา จ ทรงเป็นผู้ทร่ี ูจ้ กั พูดใหไ้ ด้ผล คือ รูจ้ ักชีแ้ จงใหเ้ ข้าใจรู้ว่าเม่ือไร

ควร พดู อะไรอยา่ งไร คอยให้คำแนะนำว่ากล่าวตักเตอื น เป็นที่
ปรกึ ษาที่ดี
๘.๒. ธรรมเทศกธรรม
“อานนท์ การแสดงธรรมใหค้ นอืน่ ฟัง มใิ ชส่ ่ิงกระทำโดยงา่ ย ผแู้ สดงธรรม
แกค่ นอ่ืนพึงตงั้ ธรรมห้าอยา่ งไวใ้ นใจ คือ
๑. เราจักกล่าวช้แี จงไปตามลำดบั
๒. เราจกั กลา่ วช้ีแจงยกเหตุผลมาแสดงใหเ้ ข้าใจ
๓. เราจกั แสดงดว้ ยอาศัยเมตตา
๔. เราจักไมแ่ สดงด้วยเหน็ แกอ่ ามิส
๕. เราจกั แสดงไปโดยไม่กระทบตนและผอู้ ่ืน
การเป็นครทู ่ีตั้งใจประสิทธ์ิประสาทความรูใ้ หแ้ ก่ศษิ ย์ มีธรรม ๕ ประการ เรียกวา่
ธรรมเทศกธรรม๒๘ ๕ ประการ คอื
๘.๒.๑. อนบุ ุพพกิ ถา คอื สอนไปตามลำดบั คอื จัดความลำดบั จากง่ายไป
หายาก จากธรรมดาไปถึงเนื้อหาท่ลี ุ่มลึก ลึกซงึ้ อธบิ ายอย่างตอ่ เนื่องไปด้วยลำดับ
๘.๒.๒. ปรยิ ายทัสสาวี คอื ช้ีแจกเหตผุ ลแสดงใหเ้ ข้าใจชดั ในแตล่ ะประเด็น
อธิบาย วเิ คราะห์ สังเคราะห์ วจิ ารณ์ วนิ จิ ฉัย ตามแนวเหตผุ ล
๘.๒.๓. อนุทยตัง ปฏจิ จะ คอื สอนลกู ศิษย์ดว้ ยจิตเมตตามงุ่ ให้ลูกศษิ ยไ์ ด้รบั
ผลประโยชน์ในคำสอนนัน้ ไดม้ าก จนสามารถที่จะนำไปใช้ในการดำเนนิ ชีวิตได้

๒๕ พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). พุทธรรม. พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๙. กรงุ เทพฯ :โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
, ๒๕๔๓,หน้า ๖๓๑.

๒๖ อง. ติก.(ไทย) ๒๐/๒๖๕.
๒๗ อง.ฺ สตตฺ ก.(ไทย)๒๒/๓๔/๓๓.
๒๘ อง.ฺ ปญจฺ ก.(ไทย)๒๒/๑๕๙/๒๐๕.

ธรรมนิเทศ ๘๕

๘.๒.๔. น อามิสันตโร คอื สอนลูกศษิ ยโ์ ดยไม่หวังลาภ สินจ้าง หรือหา
ผลประโยชน์ใดจากลูกศษิ ย์

๘.๒.๕. อตั ตานญั จะ ปรัญจะ อนปุ หัจจะ คือ การสอนหรือแสดงธรรม
ตามเนื้อหา มุ่งหมายเพ่อื แสดงอรรถ แสดงธรรม ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ว่าตนดีกว่าผูอ้ ่ืน ไม่
เสียดสีข่มข่ีผู้อนื่ เป็นตน้

๘.๓. พทุ ธลีลาการสอน
๕๔ พรรษาพระพทุ ธเจา้ ทรงเที่ยวส่ังสอนศาสนิกจนได้พระนามว่าเปน็ ครผู ู้ฝกึ
เทวดาและมนุษย์ ความที่พระองค์ทรงเป็นบรมครูคือ ผู้สอนท่ีประสัมฤทธ์ผิ ล เพราะพระพุทธ
องคท์ รงมีพทุ ธลีลาในการสอน พุทธลลี าดังกว่าในปัจจบุ ันอาจจะกล่าวว่าเป็นวาทศิลป์ พุทธ
ลลี าในการสอนของพระพุทธเจ้า มี ๔ ประการหรอื เรยี กวา่ เทศนาวิธี๒๙ ๔ คือ

๘.๓.๑. สันทัสสนา๓๐ คอื พระพุทธเจา้ ทรงสอนอะไร กช็ แ้ี จงจำแนกแยกแยะ
อธบิ ายและแสดงเหตผุ ลให้ชดั เจน จนผู้ฟังเขา้ ใจแจ่มแจ้ง เห็นจริง เห็นจงั ดังจงู มอื ไปดูไปเห็นกับ
ตา ซ่งึ จะยังผลแกผ่ ู้เรยี นหรอื ศาสนกิ ได้ปลดเปล้ืองความเขลา หรือความมืดมัวสารมารถเห็น
แจ้ง ในสัจจธรรม ความจริงแห่งอริยสจั จ์ ๔ เห็นแจง้ ในขนั ธ์ ๕ รแู้ จง้ กฎแห่งไตรลกั ษณะ เป็นตน้

๘.๓.๒. สมาทปนา คือ พระพุทธเจ้าทรงชกั ชวน ศาสนกิ เห็นถูกต้องดีงามของ
พระธรรมแล้วอยากรับเอาคำสอนเหลา่ นั้นมาใสใ่ จถือปฏิบัติ เป็นทีย่ อมรบั อยากลงมือปฏบิ ตั ิ
ตามคำสอน เม่ือมีความเห็นดีเห็นงามแห่งพระธรรมทำเกดิ ความไมป่ ระมาทแห่งธรรม

๘.๓.๓. สมุเตชนา คอื ปลุกเร้าใจให้กระตอื รือรน้ เกิดความอตุ สาหะ มกี ำลังแขง็
ขนั มั่นใจท่จี ะทำให้สำเร็จจงได้ สู้งาน ไม่หวนั่ ระย่อไม่กลวั เหนื่อย ไมก่ ลวั ยาก ขจัดความเกยี จ
คร้าน ในการใคร่ใฝ่ในการทจ่ี ะปฏิบัตธิ รรม

๘.๓.๔. สมั ปหงั สนา คือ บำรงุ จิตให้แช่มชื่นเบิกบานโดยช้ีใหเ้ หน็ ผลดีหรือ
คุณประโยชน์ทจ่ี ะไดร้ ับและทางทจี่ ะกา้ วหน้าบรรลุผลสำเรจ็ ย่ิงขนึ้ ไป ทำใหผ้ ู้ฟงั มีความหวังและร่า
เรงิ เบิกบานใจ

๘.๔. อาการท่พี ระพุทธเจ้าทรงส่งั สอน ๓
ลักษณะการสอนของพระพทุ ธเจ้า๓๑ ท่ที ำให้คำสอนของพระองค์ ควรแกก่ ารปฏิบตั ิ
ตามเปน็ ท่ยี อมรับนับถือ ทำให้พุทธศาสนิกพุทธสาวกไดเ้ กิดความเคารพเชื่อมั่นเล่ือมใสใน
พระองค์อย่างแทจ้ ริงเพราะพระองค์ทรงแสดงธรรม ๓ ประการ คอื

๘.๔.๑. อภิญญายธมั มเทสนา คอื ทรงแสดงธรรมด้วยความรู้ย่ิง ทรงรยู้ ่ิงเหน็
จริงแลว้ จงึ ทรงสอนผู้อื่น เพ่อื ใหร้ ู้ย่ิง เห็นจริงตาม ในธรรมทคี่ วรรู้ย่ิงเห็นจรงิ

๘.๔.๒. สนทิ านธัมมเทสนา ทรงแสดงธรรมมีเหตผุ ล ทรงส่งั สอนชีแ้ จงใหเ้ หน็
เหตเุ ห็นผลไม่เลอ่ื นลอย

๘.๔.๓. สัปปาฏิหาริยธัมมเทสนา คือ ทรงแสดงธรรมใหเ้ ห็นจริงได้ผลเป็น
อัศจรรย,์ ทรงส่งั สอนให้มองเห็นชัดเจนสมจรงิ จนต้องยอมรบั และนำไปปฏบิ ัติไดผ้ ลจริงเป็น
อศั จรรย์

๒๙ ที.ส.ี (ไทย)๙/๑๙๘/๑๖๑ ; ฯลฯ ท.ี อ.(ไทย)๒/๘๙ ; อ.ุ อ.(ไทย)๓๐๔,๔๕๗,๔๙๐.
๓๐ พระธรรมปฏิ ก(ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสสตร.์ โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย,พมิ พ์ครง้ั
ที่ ๙.กรุงเทพมหานคร : ๒๕๔๓. หนา้ ๑๕๘-๑๕๙.
๓๑ ม.ม.(ไทย)๑๓/๓๓๐/๓๒๒; อง.ฺ ตกิ .(ไทย)๒๐/๕๖๕/๓๕๖.

ธรรมนิเทศ ๘๖

๘.๕. หน้าทีข่ องครทู ีม่ ตี อ่ ศิษย์
นอกจากการทีค่ รมู คี ุณสมบตั ใิ นตัวเองแล้วการรับภาระหน้าท่ีทคี่ รูพ่ึงมีตอ่ ศิษย์ก็ยัง
จำเปน็ ซ่ึงหน้าที่ของครูท่ีมีต่อศิษย์พระพุทธเจา้ ทรงแสดงไวใ้ น ทิศ ๖ หน้าที่ ที่ครูพึงมตี ่อศษิ ย์
๕ ประการ คอื

๘.๕.๑. แนะนำฝกึ อบรมให้ศิษยเ์ ป็นคนดมี ีศีลธรรม จริยธรรม คณุ ธรรม
๘.๕.๒. สอนให้ศิษยใ์ หเ้ ข้าใจอยา่ งแจ่มแจง้ รู้จริง
๘.๕.๓. สอนศิลปวิทยาให้ส้ินเชิงไมป่ กปิดอำพรางความรู้
๘.๕.๔. สง่ เสรมิ ยกย่องความดีของศิษย์ท่ีดีงามมีความสามารถให้ประจักษ์ในหมู่

ชน
๘.๕.๕. สร้างเครอ่ื งค้มุ ภัยในสารทิศ คือ สอนฝกึ ศิษยใ์ หใ้ ชว้ ชิ าเลย้ี งชพี ได้ จรงิ

และรูจ้ กั ดำรงตนด้วยดี ท่จี ะเป็นประกนั ใหด้ ำเนินชีวติ ดงี ามด้วยสวสั ดี มี
ความสขุ ความเจรญิ

* * * ** * * * * * * * *

ธรรมนเิ ทศ ๘๗

คำถามท้ายบท

๑. การจดั หลกั สตู รการสอนของพระพุทธเจ้าในสมัยพทุ ธกาล เมื่อได้ศึกษาแล้วมีก่ี
ประเภท ยกตัวอยา่ งมา ๓ ประเภท ?

๒. จงอธบิ ายความหมาย คำต่อไปน้ี
๒.๑.ปริยตั ิ
๒.๒. ปฏิบัติ
๒.๓. ปฏิเวธ

๓. การจดั หลกั สูตรแบบ นวังคสตั ถุสาสนา เปน็ การจัดหลกั สูตรอยา่ งไร ประกอบดว้ ย
อะไรบ้าง จงอธบิ าย ?

๔. ลกั ษณะของคำว่า “อุทาน” ในนวังคสตั ถสุ าสนามีลกั ษณะเชน่ ไรจงอธิบาย?

๕. พุทธอุบายในการสอนท่ีเรียกว่า ใหล้ งโทษ ของพระพุทธเจา้ มหี รอื ไม่อย่าง จงอธบิ าย
ว่าทำมยั ต้องมกี ารลงโทษ?

๖. การสอนของพระพุทธเจ้าท่ีนยิ มการยกตัวอย่างประกอบการสอนเปน็ กลอุบายการ
สอน ของพระพุทธเจ้าอยา่ งหนึง่ มลี ักษณะอย่างไร ?

*************

บทที่ ๗

พระนักเทศนแ์ ละพระนกั เขยี นบทความธรรมที่ดี

๑. ความนำ

ในบทน้ีเราจะศกึ ษาเทคนคิ ในการที่จะเป็นนกั เผยแผ่ ซ่ึงจะอาศยั ประสบการณ์ในการ
บรรยาย แตพ่ ระนักเผยแผ่ ก็จะรวมไปถงึ การเทศน์ การปาฐกถา ซ่ึงการเทศน์ เรามหี ลักและวธี ี
การ และรูปแบบท่ีแน่นอนตายตัว ไม่อยากให้ใครเปลี่ยนแปลงรปู แบบการเทศน์ ไดแ้ ก่ การเทศน์
ตอ้ งมกี ารอาราธนาธรรม มีการต้ัง นะโม แล้วตามด้วยพุทธภาษิตเรื่องที่จะเทศน์ แลว้ กว็ ธิ ีการ
จบ ได้แก่ สิง่ ท่ีเรยี กวา่ เทศนาวสาเน การสิ้นสุดแห่งการแสดงธรรม ฯลฯ รูปแบบเหลา่ น้ีตอ้ งมี
แต่เทคนิค หรอื การประยุกต์ภาษา คำ ความบันเทิง อารมณ์ขัน ควรจะมเี พิ่มเติม แต่ก็ไม่มากจน
กระทั้งเสีย รปู แบบ เหน็ โจ๊ก ทอคโ์ ชวเ์ ป็นต้น

การท่จี ะเปน็ พระนักเผยแผ่สมัยปัจจุบันจะให้ประสบผลสำเรจ็ บางคนคิดว่าต้องมี
พรสวรรค์ทางการพูด แต่เช่อื ว่า ไม่ถกู ต้องเสมอไป โดยจะแบ่งถงึ พระนักเผยแผท่ ีป่ ระสบ
ผลสำเร็จได้มี อยู่ ๔ ประการใหญ่ คอื ๑ มีความต้งั ใจจรงิ อยากเป็นพระนักเทศน์ เทา่ กับสำเรจ็
ไป ๓๐% ๒.ศึกษาค้นคว้า ๓๐% ๓.ประสบการณ์ ๓๐% และ ๔.พรสวรรค์ ๑๐%

๒. คณุ สมบตั ิพระนักเทศน์ทน่ี า่ เล่ือมใส

พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงบุคคลที่นา่ เล่อื มใส เป็นเหตุทำให้การแสดงพระธรรมเป็นที่
ยอมรับของผู้ฟัง ทา่ นเรียกว่า ปมาณิก๑ ๔ ดังน้คี ือ

๒.๑. รูปประมาณ คือ ผรู้ บั สาร หรือผู้ฟังธรรมเมอ่ื เหน็ รปู ร่างของผู้แสดงธรรม เกิด
ความรสู้ กึ ดี ผดู้ ู ผชู้ ม ไดเ้ หน็ รูปร่างสวยงาม ทรวดทรงดี อวัยวะสมสว่ น ทา่ ทางสง่างาม
สมบูรณ์พร้อม จงึ ชอบใจเล่ือมใสนอ้ มใจท่ีจะเชื่อถือ

๒.๒. โฆษประมาณ ผู้ถือประมาณในเสยี ง บุคคลทีไ่ ดย้ ินได้ฟังเสียงสรรเสรญิ
เกยี รติคณุ หรือเสยี งพดู จาทไ่ี พเราะเปน็ นักรอ้ ง ก็คลั่งไคล้ในเสยี งร้องทไ่ี พเราะ จึงชอบใจเลือ่ มใส
นอ้ มใจทจ่ี ะเช่อื ถือ

๒.๓. ลูขประมาณ ผู้ถือประมาณในความครำ่ หรือเศร้าหมอง บุคคลที่มองเห็น
ส่ิงของเครื่องใช้ความเปน็ อยเู่ ศรา้ หมองเช่น จีวรคร่ำๆ เป็นตน้ หรือมองเห็นการกระทำคร่ำ
เครียดเป็นเหมือนบำเพญ็ ทกุ รกิรยิ า ประพฤตเิ คร่งครัดเข้มงวดขดู เกลาตน คนบางคน หรอื

๑ องจฺ ตุกฺก.(ไทย)๒๑/๖๕/๙๓.; สุตฺต.อ.(ไทย)๑/๓๒๙.

ธรรมนิเทศ ๘๙

ผู้รับสารบางคนเหน็ ลักษณะผสู้ ่งสารหรอื ผแู้ สดงธรรม ใส่ผา้ ท่เี ศร้าหมอง คร่ำครา่ เก่าจึงชอบใจ
เล่ือมใสน้อมใจท่ีจะเชอ่ื

๒.๔. ธรรมประมาณ ผ้ถู ือประมาณนธรรม บคุ คลท่พี ิจารณาดว้ ยปญั ญาเห็นสาร
ธรรมหรือการปฏบิ ตั ดิ ปี ฏิบตั ิชอบ คอื ศลี สมาธิ ปัญญา จงึ ชอบใจเลือ่ มใส น้อมใจทจี่ ะเช่ือถือ

บุคคล ๓ จำพวกต้น ยังมีทางพลาดได้มาก โดยอาจเกดิ ความคิดความใคร่ ถกู
ครอบงำชกั พาไปด้วยความหลง ถูกพัดวนเวียนหรือติดอยู่แคภ่ ายนอกไม่รูจ้ ักคนท่ีตนมองได้
อยา่ งแท้จริงและไมเ่ ขา้ ถึงสาระส่วนผถู้ อื ธรรมเป็นประมาณ จึงจะรู้ชัดคนท่ีตนเองมองอย่าง
แทจ้ ริง ไม่ถกู พดั พาไป เขา้ ถงึ ธรรมทป่ี ราศจากส่ิงครอบคลมุ พระพุทธเจ้าทรงมีพระคณุ สมบัติ
ครบถว้ นท้ัง ๔ ข้อ (เฉพาะข้อ ๓ ทรงถือแต่พอด)ี จงึ ทรงครองใจคนทกุ จำพวกไดท้ ้ังหมด คนท่ี
เห็นพระพทุ ธเจ้าแลว้ ที่จะไม่เล่ือมใสน้ัน หาได้ยากย่ิงนัก ในชั้นอรรถกถา นยิ มเรียกบคุ คล ๔
ประเภทนี้วา่ รูปัปปมาณิกา โฆสัปปมาณกิ า ลูขัปปมาณิกา และธมั มัปปมาณกิ า ตามลำดับ

๓. คุณสมบตั พิ ระนกั เทศน์

พระนักเทศน์ สมยั พทุ ธกาลเรยี กว่า “พระธรรมกถึก” ซ่ึงพระธรรมกถกึ น้ันต้องมี
คณุ สมบัติหรือธรรมของนักเทศน์ หรือ องคแ์ หง่ ธรรมกถึก๒ ๕ ประการ ดังนี้

๓.๑. อนุปพุ พิกถา คือการกล่าวความไปตามลำดบั คอื จากงา่ ยไปหายาก ไม่สับสน
มีเหตผุ ลสัมพันธต์ ่อเนื่อง และสอดคล้องไปตาม กาละ คอื เวลาที่เหมาะสม ไม่ส้นั หรือยาวกวา่
เวลา ไปตาม เทสะ คือเรื่องนัน้ เหมาะกับสมัย คน และงาน

๓.๒. ปริยายทสั สาวี คือ ช้ีแจง อธบิ าย ขยายได้อย่างถูกตอ้ ง สามารถอธบิ าย จาก
นามธรรมใหเ้ ป็นรปู ธรรม คือภาพลักษณ์ ภาพพจน์ได้อยา่ งชัดเจนในแง่ตา่ งๆ ประเด็นตา่ งๆ

๓.๓. อนทุ ยตงั ปฏจิ จะ คือ การแสดงธรรมด้วยความเมตตา คือ สอนเขาด้วยจติ
เมตตา เพือ่ ประโยชนแ์ ก่เขา มิใช้เพือ่ ลาภสักการะแห่งตน

๓.๔. อนามิสันตโร ไมเ่ สดงธรรมดว้ ยเหน็ แก่อามิส คือ สอนเขาเพื่อที่จะใหเ้ ขาถวาย
ลาภสักการะแก่เรา ซง่ึ ท้ัง ๓ ข้อและ๔ ภาษาทางโลกว่าไม่มยี ศในอาชีพ หรือหน้าที่

๓.๕. อตั ตานญั จะ อนปุ หจั จะ คอื การแสดงธรรมไมก่ ระทบผู้อ่นื ไม่ยกตนขม่ ท่าน ไม่
โอ้อวด หรือแสดงว่าตนน้ันแสดงธรรมไดเ้ ก่งกว่าคนนั้นคนน้ี หรอื แม้แต่การเทศนเ์ พ่อื จะใส่ร้าย
เสยี ดสี ผู้อืน่ เป็นตน้

ใน ธัมมัสสวนสตู ร วา่ โดยการฟังธรรมเมื่อฟังธรรมแล้วย่อมจะเกิดปญั ญา ดงั พุทธภาษิตว่า
“สุสฺสูสํ ลภเตปญฺญํ” “ฟงั ดว้ ยดียอ่ มได้ปัญญา”๓ ไดแ้ สดงอานิสงส์แหง่ การฟังธรรม ๕
ประการไดแ้ ก่

๒ องปฺ ญฺจก.(ไทย)๒๒/๑๕๙/๒๐๕.
๓ สํ.ส. (ไทย)๑๕/๑๗๕/๕๒

ธรรมนิเทศ ๙๐

๑. ได้ฟังส่ิงท่ีไม่เคยฟัง
๒. เข้าใจชัดส่งิ ทีไ่ ด้ฟงั แลว้
๓. บรรเทาความสงสยั เสียได้
๔. ทำให้ความเห็นไดต้ รง
๕. จติ ของผู้ฟงั ธรรมย่อมเลื่อใส

ในการเทศน์น้ัน มีเคล็ดลบั และศลิ ปะสำคัญท่ีนกั เทศน์ควรทำความเข้าใจ ๓
ประการ คือ
๑. ทุน ของนักเทศน์
๒. ทาง ของนกั เทศน์
๓. ธรรม ของนกั เทศน์

๓.๕.๑. “ทุน” หมายถึง พื้นความร้แู ละความสามารถทีม่ ีอยู่เดิม ถ้าจะ

เป็นนกั เทศน์กต็ ้องมที ุน อยา่ งน้อย ๖ ประการคือ

รู้หลักธรรม จำหลักสูตร

พดู ฉะฉาน ปฏิภาณไว

นำ้ ใจงาม มคี วามรอบรู้

๓.๕.๒. “ทาง” หมายถึง วิธเี ข้าถงึ ความสำเร็จ ตอ้ งมีวีการเหล่านี้เป็น

แนวทาง คือ

มคี รูแนะนำ ทอ่ งจำเทศนา

ฝึกวา่ ปากเปล่า เข้าใจวางโครง

ฟงั เขียน เพยี รอา่ น ปฏภิ าณวอ่ งไว

จติ ใจสงบ ชอบคบบณั ฑติ

เกาะติดสถานการณ์

๓.๕.๓. “ธรรม” ในที่นี้ หมายถึง หลกั การและอุดมคติของนักเทศน์

หลกั การเทศน์ การเทศน์ควรปฏิบตั ิไปตามหลกั การ(ธรรมกถกึ

๕)ดงั น้ี

เทศนาตามข้ันตอน

สั่งสอนอย่างมีเหตผุ ล

เมตตาต่อสาธุชน

ไม่กังวลกับเครื่องกณั ฑ์

ไม่กระทบตนกระทบทา่ น คือ หลักการเทศนา

๔. พระนกั เทศนท์ ่จี ะประสบผลสำเรจ็

๔.๑.หลักการเตรยี มการเทศน์
เตรียมตัวใหพ้ ร้อม ซกั ซอ้ มให้ดี ท่าทีเตะตา กถาเตะหู

ธรรมนเิ ทศ ๙๑

ตาดคู นฟัง ท่าน่ังผ่ึงผาย อธบิ ายแจ่มแจ้ง แสดงหลกั การ

ปฏิภาณวอ่ งไว จิตใจสะอาด มารยาทเป็นเยย่ี ม

๔.๒. ขอ้ ปฏบิ ตั นิ กั เทศน์ควรคำนึงถึงเรอื่ งน้ี คอื

ไปกอ่ นเวลา เข้าหาเจ้าหน้าที่

คมั ภรี ์ไมข่ าด ฉลาดเจรจา (เจ้าภาพ)

ถามหาข้อมูล (งาน) เพ่ิมพูนศรทั ธา

จรรยางดงาม รปู ความแจม่ ชัด

๔.๓. จดุ เดน่ ของนกั เทศน์

รูปสะดดุ ตา เนอ้ื หาสะดุดหู

ความร้สู ะดดุ จิต ข้อคดิ สะดุดใจ

อุปมาอุปไมยน่าฟงั เสียงดังพอดี

ไมตรีพอได้

๔.๔. อดุ มคตินักเทศน์

สอนใหจ้ ำ ทำให้ดู อยูใ่ หเ้ หน็ สอนตนก่อน

แลว้ จงึ สอนคนอน่ื ความเป็นนักทำ

ตอ้ งนำนกั เทศน์ ถ้าสอนจากเร่ืองท่ีตนทำ

๕. การเทศน์ตามหลักศาสนพธิ ี

การเทศน์มักจะนยิ มใช้สำหรับการท่พี ระภกิ ษสุ ามเณรนำธรรม คำสง่ั สอนของ
พระพทุ ธเจา้ มาแสดงใหก้ บั พุทธบรษิ ัทได้รบั ฟัง แตก่ ารเทศนเ์ ป็นระเบียบวิธี หรือเปน็ พุทธศาสน
พธิ อี นั หน่ึงซ่ึงจะนิยมเทศน์กันในงานต่างๆ เช่น งานมงคล ขึน้ บา้ นใหม่ แต่งงานทำบุญต่างๆ
งานอวมงคล งานศพ เป็นตน้

๕.๑. การเทศน์จะมีขน้ั ตอนพธิ กี าร ดังน้ี
๑. มีการจุดธูปเทยี นบชู าพระรตั นตรัย การเตรียมความพรอ้ มทางใจ เร่ิมทก่ี าร

จุดธูป ๓ ดอกเพ่อื บูชาคุณของ พระพทุ ธเจ้า ๓ ประการ ไดแ้ ก่ พระมหากรณุ าธิคณุ พระ
ปัญญาธิคณุ และ พระบริสุทธิคุณ จุดเทียน ๒ เล่ม เพื่อบชู าพระธรรม ๑ และพระวินยั ๑ ส่วน
พระสงฆช์ าวพุทธกจ็ ะนำดอกไม้เป็นเคร่อื งบชู าพระสงฆ์

๒. มีการรบั ศีล จากพระสงฆ์ เพื่อชำระรา่ งกายของตนเองให้ปลอดโปร่ง เพื่อจะ
เข้าไปส่กู ารนอ้ มรับฟังพระธรรม คำอาราธนา ศีล มะยงั ภนั เต วิสงุ วิสุง ลักขขณั ถายะ....นยิ าจา
มะ เป็นต้น

๓. มกี ารอาราธนาพระธรรม คอื การนิมนต์พระสงฆ์องค์ทนี่ ิมนต์มาเพอื่ แสดง
พระธรรมพรหมาจะโลกาธปิ ะติสะหมั ปะต.ิ ....ฯลฯ....กะโรมาเส

๔. พระสงฆ์ ก็จะแสดงพระธรรมเทศน์ การแสดงพระธรรมเทศนา พระสงฆ์ก็จะ
แสดงจนจบซ่ึงการแสดงพระธรรมเทศนานั้นมีอยู่ ลักษณะ ไดแ้ ก่

ธรรมนเิ ทศ ๙๒

๑) การแสดงธรรมอ่านตามพระคมั ภรี ม์ ี ๒ ประเภท คอื
ก. อา่ นทำนองร้อยแกว้
ข. อา่ นทำนองรอ้ ยกรอง

๒) การแสดงธรรมโดยใช้ปฏภิ าณโวหาร
ก. การแสดงธรรม ๑ ธรรมาสน์ เป็นการแสดงพระเทศน์เพียง
องค์เดยี ว
ข. การแสดงธรรม หลายธรรมาสน์ หมายถึงการแสดงธรรม
ค. โดยมีการถามตอบ แบบปุจฉา-วิสชั นา ซ่ึงจะมอี งคแ์ สดง
ธรรมตั้งแต่ ๒ รูป ขึ้นไป แต่มักไม่เกนิ ๔ รูป

๖. การเทศนม์ หาชาตชิ าดก

ในการเทศนล์ กั ษณะอ่านคัมภรี ์ทำนองร้อยกรองนี้ การเทศน์ท่ีนิยมและทุกภาคของ
ประเทศไทยนิยมใชเ้ ทศน์คือเทศนช์ าดก เรยี กว่ามหาชาติชาดก ดังน้ัน ในบทน้ีเราจะศึกษาการ
เทศน์แบบสำนวนภาคกลางทเ่ี รยี กวา่ แหล่ และท่วงทำนองแบบลา้ นนาหรอื ทางภาคเหนอื กัน
เพอ่ื ใหส้ อดคล้องกบั การอนุรักษาศิลปะท้องถนิ่

การเทศน์มหาชาติ คอื การเทศน์ชาติใหญ่ หรือชาติสำคญั ของพระพทุ ธเจ้า เรยี กวา่
เปน็ ชาติสุดท้ายกอ่ นทพ่ี ระพทุ ะเจ้าจะจุติลงในโลกมนุษย์ในชาติสุดทา้ ย ซึง่ เป็นการบำเพ็ญ หรือ
สร้าง บารมีครบ ๑๐ ประการ เรยี กว่า บารมี๔ ๑๐ ซงึ่ การเทศน์มหาชาตมิ ีทุกภาคในประเทศไทย
คือ เหนือ อีสาน กลาง และใตโ้ ดยใช้ ชาดก พระเวสสันดรชาดก

๗. สาเหตุของการเกิดประเพณี

ความเช่ือในประเพณีการเทศน์มหาชาติ มีคตคิ วามเชื่อท่หี น้าสนใจ ดงั น้ี
๗.๑. เชอ่ื กันว่า เรื่องราวของมหาเวสสันดรชาดกเป็นพระพุทธวจนะทสี่ มเด็จพระผู้
มีพระสัมมาสมั พุทธเจา้ ตรัสประทานแด่พระภิกษุสงฆ์ ณ นโิ ครธาราม ในกรุงบลิ พัสด์ุ ผใู้ ดได้
สดบั กย็ อ่ มเกิดสิรสิ วสั ดีมงคล
๗.๒. เช่อื กนั ว่า พระศรีอารยิ เมตไตรยบุตร ซึ่งจะได้ตรสั รู้เป็นพระพุทธเจา้ อนาคต
กาล ได้มเี ทวโองการส่งั พระมาลัยมหาเถระซึ่งไดข้ ึ้นไปบนสวรรค์ให้มาบอกมนษุ ยว์ ่า ถ้าผู้ใดมี
ความปรารถนาจะใคร่ประสบพระศาสนาของพระศรีอรยิ เมตไตรย ให้สดับตรับฟังเวสสันดร
ชาดกใหจ้ บในวันหน่ึงและหน่ึงคืน และบูชาดว้ ยประทปี ธปู เทียนธงฉัตร ดอกไมต้ า่ งๆ อาทิ
ดอกบัว ดอกราชพฤกษ์ ดอกพกั ตบ ฯลฯ ให้ครบจำนวนชนดิ ละพันดอก อานสิ งสน์ ั้นจะชกั นำให้
พบศาสนาพระศรีอารยิ ์

๔ ทาน, ศีล, เนกขมั มะ, ปัญญา, วิรยิ ะ, ขนั ติ, สจั จะ, อธษิ ฐาน, เมตตา, อเุ บกขา

ธรรมนเิ ทศ ๙๓

๗.๓. เชอื่ กนั วา่ การเทศน์มหาชาตนิ ้ี พระผ้เู ทศน์มีกระแสเสียงอนั ไพเราะ บรรยากาศ
ก็ครึกครื้นทำให้เกิดความปิตโิ สมนสั ร่นื เริงบันเทิงใจ

๘. เนือ้ หาพระเวสสันดรชาดก

เทศนม์ าหาชาตเิ ปน็ การพรรณนาถึง “เร่ืองพระเวสสนั ดรชาดก” คำว่า “ชาดก”
นัน้ เป็นช่อื เรยี กคัมภรี ์ประเภทหนงึ่ ของพุทธศาสนา ท่ีกล่าวถึงอดีตชาตขิ องพระพุทธเจ้า เป็นคำ
สอนประเภทบคุ ลาธิษฐานคอื ยกตวั ละครข้ึนมาเล่าแลว้ สอดแทรกคำสอนเข้าไปในการเลา่ เร่ือง
นัน้ ๆ ชาดกมีอยู่มากมาย แตท่ นี่ บั วา่ สำคัญทส่ี ุดมอี ยู่ ๑๐ ชาดก หรอื สิบชาติ ตามทน่ี ิยมเรียกกัน
วา่ “พระเจ้าสบิ ชาติ” ในแต่ละชาตพิ ระพุทธเจา้ ทรงบำเพญ็ บารมตี า่ งกัน เพอื่ มุ่งหวังทีจ่ ะให้
สำเรจ็ เปน็ พระสัมมาสมั โพธิญาณ “การบำเพ็ญบารมี” กค็ ือการกระทำความดี ถา้ ดูเผนิ ๆ การ
บำเพ็ญบารมีเป็นเรอื่ งของปัจเจกบคุ คล เปน็ เรื่องเฉพาะตวั ไมเ่ กี่ยวกบั ผู้อน่ื หรอื ส่วนรวม แต่
ความเป็นจริงแล้วการบำเพญ็ บารมี น้ันยอ่ มจะทำใหเ้ กิดผลดีท้ังแกต่ ัวผกู้ ระทำ และประชาชน
โดยส่วนรวมโดยแทเ้ ช่น “การบำเพ็ญสัจจะบารมี” ผู้บำเพญ็ ยดึ มัน่ แตเ่ ฉพาะความเปน็ จรงิ ความ
เท่ียงตรงบคุ คลอ่ืนได้รบั ผลกค็ ือ ไมถ่ กู ตม้ ไมถ่ ูกหลอกลวง เป็นตน้ อน่ึง การบำเพ็ญบารมีนั้น
แบ่งออกเป็น ๓ ช้ัน หรอื ๓ ระดับคือ ระดบั ธรรมดาช้ันต้นๆ เรียกวา่ “บารม”ี ระดับสูงคือระดับ
ทที่ ำได้คอ่ นข้างยากเรยี กว่า “อปุ บารม”ี และระดับสูงสุดคือระดับทบ่ี คุ คลซึง่ ยังเปน็ ปุถุชนอยูไ่ ม่
สามารถจะทำได้ เรียกวา่ “ปรมตั ถบารมี” พระพทุ ธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีครบทง้ั ๓ ระดบั ทุก
ชาติ ดังนนั้ รวมสบิ ชาติจงึ เปน็ ๓๐ ระดับ เรียกว่า “บารมี ๓๐ ทัศ” ชาติทั้งสบิ นั้น เรยี งตามลำดับ
ดังนี้

๑. พระเตมีย์ใบ้ บำเพญ็ เนกขมั มะบารมี คือ การออกบวช
๒. พระชนก บำเพญ็ วิรยิ ะบารมี คือ ความเพียร
๓. พระสวุ รรณสาม บำเพ็ญเมตตาบารมี คือ ประสงคใ์ ห้คนอื่นมี ความสขุ
๔. พระเนมริ าช บำเพญ็ อธิษฐานบารมี คือ มคี วามตงั้ ใจแนว่ แน่
๕. พระมาโหสถ บำเพญ็ ปัญญาบารมี คือ มคี วามรับผดิ ชอบ
๖. พระภูรทิ ตั ต์ บำเพ็ญศลี บารมี คือ รกั ษาศีลอย่างเคร่งครัด
๗.พระจันทรกุมาร บำเพ็ญขันตบิ ารมี คอื ความอดทนอดกล้ัน
๘. พระนารท บำเพ็ญอุเบกขาบารมี คือ ความวางเฉยไมห่ ว่ันไหว
๙. พระวธิ ูร บำเพ็ญสจั จะบารมี คอื ความจริงความเที่ยงตรง
๑๐.พระเวสสันดร บำเพ็ญทานบารมี คอื ความเสยี สละ
เพ่อื ความสขุ ของคนอ่ืน “เวสสันดรชาดก” เป็นชาตสิ ุดท้ายทพี่ ระพุทธเจา้ เสวยชาติ
เปน็ พระโพธิสตั ว์ ชาติตอ่ ไปกไ็ ดบ้ รรลเุ ป็นพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ในชาติทีเ่ ป็นเวสสันดรนี้
พระองค์บำเพญ็ ทานบารมีครบทงั้ ๓ ระดับ เหมือนกบั ชาตอิ ืน่ เริ่มด้วยการเสยี สละทรพั ยส์ ินของ
พระองค์ ให้เปน็ ประโยชน์แกผ่ ู้อ่ืนท่ีไดร้ บั ความเดือดรอ้ นท่ัวไปเป็นทานบารมรี ะดบั แรกขนั้ ที่สอง
เปน็ ช้ันทบ่ี คุ คลท่ัวไปนอ้ ยคนจะสามารถทำไดค้ ือ เสียสละเลือดเนอ้ื ของพระองค์ใหเ้ ป็นทาน เช่น


Click to View FlipBook Version