ธรรมนเิ ทศ ๙๔
ใหล้ ูกเป็นทาน เป็นตน้ ระดับสูงสดุ พระองคย์ อมเสยี สละแม้กระทงั้ ชีวติ เพ่อื ให้เป็นทานหรือพดู อกี
อย่างหนึ่งว่าถ้าสงิ่ ใดจะเป็นความสุขของปวงชน พระองค์ยอมเสยี สละได้ทุกอยา่ งแมก้ ระท้ังชีวติ
เราจะหา “นักปกครอง” ท่ีไหนทที่ ุ่มเททุกอยา่ งเพ่อื ประโยชน์สขุ ของประชานได้เหมอื นพระ
เวสสันดรบ้าง ประเพณีเทศน์มหาชาตนิ ้ี สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธไ์ วใ้ น
“หนงั สือกาพย์สกั รบรรพ” มใี จความสำคัญตอนหนึ่งวา่ “เทศน์มหาชาติ ชั้นแรกนิยมเทศน์
คาถาอย่างเดียว และเทศนว์ นั เดียวจบท้งั ๑๓ กณั ฑ์ ถือวา่ มีอานิสงสม์ าก และเปน็ อุดมมงคล
ตลอดถึงน้ำมนตท์ ่ตี ง้ั ไวใ้ นบรเิ วณพิธอี าจจะชำระล้างอัปมงคลได้ ตอ่ มาสมยั คร้งั กรุงสุโขทัยยงั
เปน็ ราชธานี ไดแ้ ปลออกเป็นภาษาไทยดว้ ยสำนวนธรรมดา ไมไ่ ด้แต่เป็นกลอนร่ายยาวเหมอื น
ปัจจบุ นั นี้ พ่ึงจะมาแตง่ เป็นกลอนร่ายข้ึนครั้งแรกในปีขาล จลุ ศกั ราช ๘๔๔ พ.ศ. ๒๐๒๕ คร้ัง
แผ่นดินพระบรมไตรโลกนาถครองกรงุ ศรีอยุธยา วธิ ีแต่งในครั้งนั้นเอาตัวคาถาภาษามคธมา
แต่งก่อน แลว้ แตง่ เป็นกลอนรา่ ย สลบั กนั ไป แลว้ นำมาอ่านสู่กันฟังปฏบิ ตั กิ ันสบื มาจนถึงทกุ
วนั น้.ี ..เทศน์มหาชาตทิ ง้ั ๑๓ กณั ฑ์ มีเนอื้ หาในแตล่ ะกัณฑโ์ ดยสังเขปดงั ต่อไปน้ี
๘.๑. กัณฑท์ ี่ ๑ ทศพร กณั ฑ์นี้เร่มิ ด้วยการกล่าวถึงมลู เหตทุ ี่ทำให้เกิดเรอื่ ง
เวสสนั ดรชาดก และกล่าวถึงนางผุสดี (แม่ของพระเวสสันดร) ขอพร ๑๐ ประการ จากพระ
อินทร์ ก่อนทีจ่ ะมาเกดิ เป็นมนุษย์ มูลเหตุของเวสสันดรชาดกมีอยู่ว่า หลังจากพระเจ้าไดต้ รัสรู้
เป็นพระสมั มาสัมพุทธเจา้ เริ่มเผยแพร่พระศาสนา มีพระสงฆ์สาวกเกดิ ข้ึนบ้างแลว้ พระองคจ์ ึง
ตง้ั พระทัยท่จี ะเสดจ็ ไปโปรดพระประยูรทเ่ี มืองกบิลพัสดุ์ เมื่อเสดจ็ ไปถงึ มิได้ตรงไปยังพระราชวัง
แต่ไปประทับอยู่ ณ นโิ ครธารามมหาวหิ าร เหลา่ พระประยรู ญาตเิ มอ่ื ทราบข่าวก็พากันมาเฝ้า แต่
ต่างแสดงท่าทางกระด้างกระเดื่อง ให้พระญาติผู้ท่มี ีอายุน้อยเข้านั่งอยู่ด้านหนา้ แสดงความ
เคารพ แตพ่ ระญาติผูใ้ หญ่ประทับอยดู่ า้ นหลงั ไมแ่ สดงความเคารพ เมื่อพระองค์ทรงเห็นอาการ
ของพระประยรู ญาติ ทแ่ี สดงออกเช่นน้ันเพ่ือลดทิฐดิ ังกลา่ วพระองค์จงึ ทรงแสดงอทิ ธิปาฎิ
หารยิ ต์ า่ งๆ ให้ประยรู ญาติไดป้ ระจักษ์ หลังจากน้ันก็มีฝนตกลงมาอย่างหนกั เป็นฝนทต่ี กแปลก
กวา่ ฝนทว่ั ไป คือมีสแี ดงเหมือนสเี ลือดและแห้งเหือดไปในทนั ที ใครจะประสงค์จะให้ถกู ตวั ก็ถูก ถา้
ไมป่ ระสงคจ์ ะให้ไม่ถูกก็ไม่ถูก เป็นทน่ี ่าอัศจรรย์แก่พระประยูรญาติและพระภิกษุสงฆ์ย่ิงนกั
พระองคจ์ ึงตรัสแก้ขอ้ สงสัยนัน้ ว่า นี่เปน็ ฝนโบกขรภักยแ์ ละท่ตี กครั้งนี้มิใชเ่ ปน็ คร้ังแรก ในอดตี
เคยตกมาแลว้ คร้งั ทพี่ ระองคเ์ สวยชาตเิ ปน็ พระเวสสันดร ครั้งแล้วพระองค์ก็ตรสั เลา่ เรื่องพระ
เวสสันดร การท่พี ระพุทธเจ้าต้องแสดงอทิ ธิปาฏิหาริย์ เพ่ือลดทิฐิของพระประยูรญาติน้ี เป็นข้อ
เตอื นใจสำหรับนักปกครองเป็นอยา่ งดยี งิ่ คือ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามทจี่ ะให้ประชาชนเข้ามามีสว่ น
ร่วมด้วยนักปกครองจะตอ้ งทำให้ประชาชนเกดิ ศรัทธาในตัวเราเสียก่อน ให้พวกเขามีความ
เชอื่ มั่นวา่ ถ้าทำตามที่เราแนะนำแล้ว ผลดจี ะเกดิ แก่เขาอยา่ งแน่นอน และถ้านักปกครองสามารถ
ทำให้ดเู ป็นตวั อย่างไดย้ ่ิงดีเช่น สอนให้ประชาชนสามัคครี บั ผดิ ชอบต่อส่วนรวมรว่ มกัน แตน่ กั
ปกครองทอ่ี ยู่บนทวี่ ่าการอำเภอมีเพียงไมก่ คี่ น ยังแตกสามัคคีกนั อย่างเห็นไดช้ ัด แลว้ ประชาชน
จะศรัทธาได้อย่างไร ศรทั ธาของประชาชนเป็นตัวบ่งบอกถงึ ความสำเร็จของนักปกครอง เม่ือ
พระประยรู ญาติลดทิฐลิ งก็เพราะเกดิ ศรัทธาในพระพุทธเจ้า และเชือ่ ว่าพระองคเ์ ปน็ ผู้นำพวก
ธรรมนิเทศ ๙๕
เขาได้ จึงยอมทำตามและฟังเทศน์ ส่วน “พร ๑๐ ประการ” ท่นี างผุสดที ูลขอตอ่ พระอินทรน์ ้ัน มี
ดังนี้
พรที่ ๑ “ขอให้ข้าไปบังเกิดในปราสาทแห่งพระเจ้าสีวิราชอันทรงศักดิ์มีพระ
ราชอาณาจกั ร ปกแผไ่ ปในสกลชมุ พทู วปี ” คือขอไปเกดิ เปน็ ราชธดิ า
พรที่ ๒ “ขอให้ดวงเนตรทั้งสองข้างดำเป็นสีเหมือนดังตามฤคีลูกเนื้อทราย” คือ
ขอให้มดี วงตาสีดำสวยเหมือนตาของเน้ือทราย
พรที่ ๓ “ขอให้ขนคิ้วของข้าเรียวงามขำบริสุทธิ์ เป็นสีระยับดุจสร้อยคอยูงงาม”
คอื ขอใหค้ วิ้ โก่งงามมีสีระยบิ ระยับเหมือนคอนกยูง
พรที่ ๔ “ ข้าแต่สมเด็จพระอมรินทราธิราช นามข้าพระบาทจงชื่อผุสดี”คือขอให้มี
ชื่อวา่ ผุสดีเหมือนเดมิ
พรที่ ๕ “ขอให้ข้าพระองค์มีโอรส ทรงพระเกียรติยศยิ่งกว่ากษัตริย์ในสากล” คือ
ขอใหม้ ลี กู ชายและใหเ้ ปน็ กษตั ริยม์ ีเกียรตยิ ศเกรียงไกร
พรที่ ๖ “เมื่อข้าพระองค์ทรงครรภ์พระโอรสอย่าให้ครรภ์ข้าพระบาทปรากฏนูน
เหมอื นหญงิ ทว่ั ๆไป
พรท่ี ๗ “ยุคคลถันสองของขา้ พระบาท เมอื่ ทราบครรภอ์ ยา่ วิปลาสแปรผันดำ
ปรากฏ แม้พระบวรปิยะโอรสจะเสวยทุกวันเวลา ก็อย่าคล้อยเคลื่อนเลื่อนลดลงมาจากพระ
ทรวงให้แต่งตั้งดังประทุมบัวหลวงงามบริสุทธิ์วิเศษเสร็จ” คือ ขอให้นมทั้งสองข้างอย่าได้
หย่อนยานแม้จะมลี ูกดูดด่มื กนิ นมอยู่ทกุ วันกต็ าม
พรที่ ๘ “ขอใหเ้ สน้ เกศาสีดำขลบั สลบั สวยบริสุทธ์ิ” คอื ขอใหเ้ ส้นผมมีสดี ำตลอดไป
อยา่ ไดห้ งอก
พรที่ ๙ “ขอให้ผิวเนื้อละเอียดเป็นนวลละอองดุจทองธรรมชาติสกลกายใสสะอาด
ผอ่ งแผว้ หมดราคี” คือขอให้มีผวิ พรรณสดใสสง่างามไมม่ ที ตี่ ำหนิ
พรที่ ๑๐ “คนโทษทุจริตอันเข้มแข็ง จะพินาศด้วยพระทัณฑ์ทำลายล้างชีวิต ขอให้
ข้าได้เปลื้องปล่อยปลิดให้พน้ สายตาด้วยกำลังยศปริยายปัญญาญาณ” คือขอให้มีโอกาส
ได้ช่วยเหลือบุคคลที่ต้องโทษถึงประหารชีวิต และการช่วยเหลือนั้นต้องเกิดจาก
กำลังสติปัญญาท่รี อบครอบของนางเพื่อมิใหเ้ กิดความเดือดร้อน
พร ๑๐ ประการของนางผุสดีนั้น แสดงให้เห็นถงึ ความปรารถนาข้ันพ้ืนฐานของสตรี
ท่ัวๆไปมีอยู่ ๔ ประการ คือ (๑) รูปงาม (๒) นามเพราะ (๓) พรั่งพรอ้ มด้วยสินทรัพย์ (๔) มี
เกยี รตศิ กั ด์ใิ นสังคม
๘.๒. กัณฑท์ ี่ ๒ หมิ พานต์ กัณฑท์ ่พี รรณนาถึงการที่พระนางผุสดตี ง้ั ครรภ์ไปจนถงึ
พระเวสสันดรใหช้ า้ งเป็นทานแกพ่ ราหมณช์ าวเมอื งกลิงคราษฎร์ แล้วถกู เนรเทศใหอ้ อกจาก
เมืองไปอยปู่ ่า และนางมัทรีพรรณาเก่ียวกับป่าหมิ พานต์คตธรรมทีไ่ ด้จากกณั ฑ์น้คี ือ จะต้องมี
ความเช่ือมั่นในการกระทำของตน ยินดีรบั ทั้งผิดทั้งชอบเมอื่ พิจารณาโดยรอบคอบ ตดั สนิ ใจทำ
อะไรแล้วต้องไมห่ ว่ันไหว กลา้ เผชิญกบั ความจรงิ เหมอื นพระเวสสันดรทตี่ ัดสินใจใหช้ า้ งมงคล
ธรรมนิเทศ ๙๖
เป็นทานไมส่ ะทกสะท้านเมื่อถกู ลงโทษ “อย่าว่าแต่เศวตคชาพาหิรกทานทเ่ี ราบริจาคอชั ฌตั ทาน
อันยอดยากทย่ี กให้ ถ้าแลมยี าจกผู้ใดปรารถนาซงึ่ พาหาหทยั นัยเนตรทั้งคู่ เรากจ็ ะเชอื ดชอู อกให้
เป็นทาน จะแลกโพธญิ าณในเบ้ืองหน้า อย่าว่าแตจ่ ะตอ้ งปพั พาชนยี กรรมทำโทษ ถึงไพร่ฟ้าเขา
จะพิโรธรอนรานประหารชีวิต เราก็มิได้คิดย่อท้อท่จี ะบำเพ็ญทานการท่ีพระเวสสันดรให้ช้างเปน็
ทานแกช่ าวเมืองกลิงคราษฎร์ นกั ปกครองบางท่านในสมัยนอี้ าจคดิ ว่าเปน็ การดำเนินนโยบายท่ี
ผิดพลาดอย่างมหันต์ ทำใหเ้ กดิ ความโกลาหลว่นุ วาย ประชาชนโกรธแคน้ ถงึ กับเดินขบวนขบั ไล่
ขอใหพ้ ระเจ้ากรุงสญชยั เนรเทศพระเวสสันดรออกไปจากเมือง การกระทำท่ีฝืนตอ่ มตมิ หาชน
ของพระเวสสันดรคร้ังนี้ เห็นท่ีจะนำมาเป็นตัวอยา่ งไม่ไหแ้ น่ กรณนี ้ี ถ้าเราศกึ ษาประวตั ิศาสตร์
อนิ เดียโบราณประกอบดว้ ย จะทำใหเ้ ห็นวา่ การตัดสนิ ใจของพระเวสสันดรคราวนี้ เปน็ การ
ตดั สินใจท่ีถูกต้องท่ีสุด เพราะยึดเอาเอกราชของชาติ และสันติสขุ ของประชาชนเป็นสิ่งสำคญั
เหนอื ส่ิงอนื่ ใด แมพ้ ระองค์จะได้รับความยากลำบากสกั ปานใดกย็ อม ขอเพียงใหเ้ อกราชของ
ชาติคงอย่เู ป็นพอ ทั้งน้กี ็เพราะว่าเมอื งสีพขี องพระเวสสันดรเป็นเมืองเลก็ ๆ แตอ่ ดุ มสมบรู ณ์
ประชาชนอยู่กันอยา่ งสันตสิ ุข ไม่เคยรบทัพจับศกึ กบั ใคร ส่วนเมืองกลงิ คราษฎร์เป็นเมืองใหญ่ท่ี
มีพลานภุ าพมาก ความเข้มแข็งของเมืองกลิงคราษฎรน์ ้มี ีมานานแล้ว และต่อเนื่องมาจนถึงสมยั
พระเจ้าอโศกมหาราช เมอื ง กลิงคราษฎรก์ ็ยังคงเข้มแขง็ อยู่ พระเจา้ อโศกมหาราช แผอ่ ำนาจ
ยกทพั ไปปราบเมอื งตา่ งๆ ไดอ้ ย่างง่ายดาย แตพ่ อยกทัพไปตเี มืองกลิงคราษฎร์ กว่าจะตไี ดต้ อ้ ง
เสยี ไพรพลจำนวนมหาศาล และการตีเมอื งกลงิ คราษฎรน์ ้ีเอง ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชเศร้า
สลดพระทัยอยา่ งสุดซงึ้ ทที่ รงเหน็ นกั รบทั้งสองฝ่ายลม้ ตายเป็นจำนวนหมนื่ จำนวนแสน จึง
ตดั สนิ พระทยั เลิกทำการรบราฆา่ ฟนั อีกต่อไป หันมาศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาเผยแพร่ธรรมมานุ
ภาพแทนแสนยานุภาพพระเวสสันดรทรงรู้ดี คณะทูตทม่ี าจากเมืองกลิงคราษฎร์น้นั มี
วัตถุประสงค์แนวแนท่ จี่ ะต้องเอาช้างมงคลตัวนี้ไปใหไ้ ด้ ขั้นแรกจะผกู ไมตรีขอเจรจาเอาแต่โชคดี
หากเมอื งสีพไี ม่ยอมก็จะใช้กำลงั ยดึ เอา พดู ง่ายๆ ก็คือไม่ไดด้ ้วยเลห่ ก์ เ็ อาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์
ก็เอาด้วยคาถา แต่พระเวสสันดรรเู้ ท่าทันเหตุการณ์จงึ ผูกไมตรดี ้วยและยกช้างใหต้ ามทีข่ อ หาก
แขง็ ข้อไม่ยอมให้สงครามก็ตอ้ งเกิดอยา่ งหลีกเลยี่ งไม่ได้ และผู้พา่ ยแพ้สงครามก็คอื เมอื งสีพี
นัน่ ย่อมหมายถงึ การสญู เสียไม่เพียงแต่ช้างตัวเดียวเท่านัน้ แต่จะรวมถึงเอกราชของเมืองสพี ี
ด้วย ประชาชนทไ่ี ม่เข้าใจถึงสถานการณ์ อาจจะมองไปวา่ เป็นการไม่สมควรทีจ่ ะยอมเสียเปรียบ
ต่างชาติงา่ ยๆ เชน่ นน้ั ประเทศไทยเราสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็เคยประสบกบั ปัญหาในลักษณะอยา่ งนี้
เหมือนกัน ประชาชนในสมัยนัน้ ต้องการจะสูร้ บกับต่างชาติแตพ่ ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจา้ อยู่หวั ทรงมองเหน็ การณไ์ กล ร้แู สนยานุภาพของต่างชาตเิ ป็นอย่างดี จึงทรงใช้พระปรชี า
ญาณทีส่ ุขุมแก้ไขสถานการณผ์ ่อนหนกั ใหเ้ ป็นเบา เสียสละส่วนน้อยเพ่อื รกั ษาประโยชน์ส่วน
ใหญ่เอาไว้ พระเวสสันดรยอมยกช้างคู่บ้านคเู่ มืองให้แกค่ ณะทตู เมืองกลิงคราษฎร์ นอกจากมุ่ง
บำเพญ็ ทานบารมแี ล้ว ยังสืบเนือ่ งมาจากสถานการณ์บงั คับอีกดว้ ย และเห็นแก่สันติสุขของ
ประชาชน ไมต่ ้องการให้มกี ารล้มตายด้วยการสู้รบ และผอ่ นปรนเพื่อรกั ษาอธิปไตยของชาติ
เอาไว้ จึงตัดสินใจให้ช้างเปน็ ทานทง้ั ๆที่ขดั ตอ่ ความรู้สกึ มตมิ หาชน ตัวเองยอมลำบากดกี ว่าให้
ธรรมนเิ ทศ ๙๗
ชาตลิ ม่ จม ผู้นำแบบนค้ี วรแกก่ ารยกย่องแลว้ และคำกล่าวท่ีวา่ การจะดูภริยาว่ามคี วามซื่อสตั ย์
ตอ่ สามีหรือไม่ เมื่อสามปี ่วยไข้ทรัพย์สนิ หรือตกยากลำบากน้ัน ชวี ิตพระนางมัทรีใหค้ ติอยา่ งดี
ยง่ิ ซ่งึ มีปรากฏในกัณฑท์ ่ี ๒ ตอนหนึ่งวา่ ”ถึงพระร่มเกลา้ ปกเกศ เสดจ็ ทเุ รศได้ราชสรุ ยิ ะวงศจ์ ะ
บุกป่าฝา่ ดงไปแหง่ ใด ข้าพระบาทจะตามเสดจ็ ไป ไมข่ ออยู่...แมม้ ทิ รงอนญุ าตใหเ้ สด็จไป ขา้ มัทรจี ะ
กอ่ ไฟใหร้ ุ่งโรจน์โดดเขา้ ตายเหน็ จะดกี วา่ อยใู่ ห้คนทั้งหลายเขานินทา ว่ามีภสั ดาแตเ่ ม่ือยามสุข ถึง
เม่ือยามทุกขก์ ็ไม่ทุกขด์ ว้ ย ดแี ตร่ ะรื่นรวยอย่ใู นพระบุรี จะขอตามเสด็จจรลีไปสู่ยากเม่ือยามจน
๘.๓. กณั ฑท์ ่ี ๓ ทานกณั ฑ์ กลา่ วถึงพระนางผุสดีทูลขออภัยโทษ แล้วพรรณนา
ถงึ สตั ตชาดกมหาทาน พระเวสสนั ดรทูลลาพระชนกชนนี พระนางมทั รรี ำพรรณถงึ การเป็น
หญิงหม้ายตัดพ้อต่างๆ จนถึงพระเวสสันดรส่ังเมือง คตสิ อนใจท่ีไดจ้ ากกณั ฑ์น้ีคือ ตอนพระ
นางผสุ ดีทลู ขออภัยโทษต่อพระเจ้ากรุงสญชยั วา่ ”พระพทุ ธเจ้าขา้ อันเสนาน้อยใหญ่ยากท่ีจะ
ตรองเห็นใจวา่ ตรงจริง มีบญุ เขาก็วิ่งเขา้ มาเป็นขา้ พึ่งพระเดชพระกรุณาใหใ้ ช้สอย เฝ้าป้อยอ
สอพลอพลอยทกุ เช้าคำ่ ยามเมื่อเพลี่ยงพล้ำเขากจ็ ะชว่ ยกันกระหนำ่ ซำ้ ซ้อนซัก ด่งั ราชหงส์ปกี
หักตกปักหนอง กาแก่ก็จะแซ่ซอ้ งเขา้ สาวไส้ พระองค์จงทรงพระวินิจฉยั อย่างเชอ่ื คำชาวเมอื ง
มันย่อมยำยยุ งใหล้ งโทษ” ตอนพระนางมทั รีทลู ลา ตัดพ้อพระเจ้ากรุงสญชัย ไดก้ ลา่ วเป็นคติ
สำหรบั สตรีไวอ้ ยา่ งไพเราะวา่ “พระคณุ เอ่ย เป็นหญงิ น้นั ยากท่จี ะไวจ้ ะวางตัว ครน้ั จะทำ
ขมกุ ขมัวมอมแมม ชายเหน็ จะเยอื้ นแยม้ บรภิ าษให้บาดจิต คร้ันจะบำรุงรปู ดดั จริตใหด้ ีดดิ้น จะผัด
หนา้ ทาขมนิ้ สน้ิ ราคี คำคนมนั จะเสยี ดสีเล่นต่างๆ จนช้ันแตว่ ่าผมเหม็นสาบจะเฉยสางใสน่ ้ำมัน กับ
เหน็ ไรให้สะสมก็สารวอน จะทาแปง้ หอมเม่ือยามร้อนก็ค้อนว่าบำรุงรูปกิรยิ าเท่ียวหาผัว คร้นั
เหลือบแลมันกจ็ ะวา่ เล่นตัวและเล่นตา ครงั้ เดินเฉยไม่เงยหน้า มนั ก็นินทาว่าทำป้ันปงึ ...เป็นสตรจี ะ
หาผัวที่ดีนัน้ แสนยากพระคุณเอย เม่ือยามรักเขากว็ ่าไมจ่ ากจนตัวตาย หญิงหลงด้วยลม
ชายเพราะหวานชิดสนิทนัก สู้บำเรอรักบำรุงผัวจนตวั ยาก ครั้นส้ินทรพั ย์ อัปภาคย์เขาก็ไม่
อยากอนิ ังนำพาพาลพาโลโกธาแลว้ ด่าตี”
๘.๔. กณั ฑท์ ่ี ๔ วนประเวศน์ กลา่ วต้ังแตส่ กี่ ษตั ริย์ต้งั แต่ พระเวสสันดร นางมทั รี
กัณหา และชาลี เสด็จจากกรุงเชตดุ รถงึ มาตลุ นคร จนถึงพระยาเจตราชทูลระยะทางไปเขาวงกต
แลว้ พรรณนาภเู ขาในป่าหิมพานต์ และสกี่ ษัตริย์บำเพ็ญพรต
๘.๕. กัณฑ์ ๕ ชูชก กล่าวถึงชชู กไปทวงทองท่ีฝากไว้ กับเพือ่ พราหมณ์ใช้เสียหมด
เลยยกลูกสาวให้เป็นภรรยา นางพราหมณีเพ่อื นบา้ นพากันอิจฉา กลุ้มรุมกันด่าอมติ ตดาดว้ ย
ประการตา่ งๆ อมติ ตดาจงึ ขอให้ชชู กไปขอสองกุมารมาเป็นทาส ชูชกออกจากบ้านเดินทางไปจน
พบพรานเจตบตุ รชูชกเป็นคนแก่มอี าชีพขอทาน ดเู หมอื นว่าเปน็ คนเลวทรามไม่อะไรดเี อา
เสียเลย การเทศน์มหาชาติกัณฑ์ชชู กน้ี ก็ไมม่ ใี ครอยากจะรบั เป็นเจ้าภาพ แต่ถา้ เราพจิ ารณาให้ดี
ชูชกมีส่วนดีอย่ไู ม่น้อยเลยท่เี ดียว โดยเฉพาะเป็นผูเ้ สริมให้การบำเพ็ญบารมีของพระเวสสันดร
ให้เดน่ ชดั ยิ่งขึ้นถ้าขาดชชู กเสยี แลว้ กไ็ มแ่ นว่ ่าบารมีของพระเวสสันดรจะสมบูรณ์หรือไม่
เหมือนกบั ตำรวจมอื ปราบ ถ้าไม่มโี จรที่เกง่ กาจความสามารถในการปราบปรามกจ็ ะไมป่ รากฏ
ชวี ิตของชูชกมขี ้อที่นา่ ศึกษาที่สำคัญอกี ประการหนง่ึ คือ การกระทำใดๆก็ตามถึงแมจ้ ะไม่ผิด
ธรรมนิเทศ ๙๘
กฎหมาย ไมข่ ัดต่อศลี ธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี แต่การกระทำน้นั กม็ ลี ักษณะท่ีไมเ่ หมาะสม
กจ็ ะนำความเดอื ดรอ้ นมาสู่ตนและบคุ คลขา้ งเคียงได้เช่น ชชู กเป็นคนแก่ มเี มยี สาวที่ตา่ งวัยกัน
มากมองดูแล้วกไ็ ม่ผดิ อะไร แต่ก็ไม่เหมาะสม ชูชกทั้งรกั ทงั้ หลงเมีย เมยี ตอ้ งการสิ่งใดชชู กเป็น
ตอ้ งพยายามหามาให้ ต้องเขา้ ป่าขึ้นเขาลงห้วยลำบากแคไ่ หนชชู กก็ยอม ครอบครวั ของเพื่อน
บ้านต้องทะเลาะเบาะแวง้ กันกเ็ พราะเมยี สาวของชชู ก ดงั น้ัน การกระทำใดๆถึงแมจ้ ะไมผ่ ดิ กค็ วร
จะคิดดว้ ยว่าสิ่งนัน้ สมควรหรอื ไม่เมื่อชูชกไปทวงเงินกับเพ่ือนพราหมณ์สองผวั เมยี ไมม่ จี ะให้
เพราะใชห้ มดแล้ว จึงยกอมิตตาดาลูกสาวให้แทนกล่าวเป็นคติว่า “เสมือนหนง่ึ เกวียนหักลงกนั ที่
ของนั้นมันจะหนีไปไหน เสยี หนึง่ น่ิงใหน้ าน ไหนก็จะได้สอง เสมือนหน่ึงของท่านหายมที ไี่ ว้ ขา้ พเจา้
คงจะหามาให้ไม่ได้เดือดรอ้ น ยอมเสยี กำไหก่อนนน่ั แลจึงไดก้ อบ” ทา่ นวา่ มีเงินนั้นหรือจะไรข้ องมี
ทองน้ันหรือจะไร้แหวน ข้าพเจ้าจะทดแทนประชดเชิญเห็นวา่ มีเงินมีทองแล้วพดู ได้ มไี ม้มไี รป่ ลกู
เรือนงาม กระนน้ั ก็ตามแต่ ออเจ้าเถิดชี” คำปริภาษของพวกนางพราหมณีเพอ่ื บ้านทีต่ อ้ งการให้
นางอมติ ตาดาเจ็บใจแล้วจากไปเสยี น้ันเป็นคตินา่ ฟงั ดังน้ี “แม่ไปเสยี เถดิ ดีกว่าเชื่อพีเ่ ถิดนะเจ้า
แมจ่ ะมาด้านด้ือดึงทิง้ โครงเปล่าให้เขาร้องแรก แม่จะมาแบกความอายนีไ่ ม่ขายหนา้ หรือ แมจ่ ะมา
เปน็ กระสือเสียพงศ์แมจ่ ะมารกั ดงนีห่ รือกวา่ เหย้า แมจ่ ะมารกั เหาน้ีหรอื กวา่ ผม จะมารักลมนี่
หรอื กวา่ น้ำ จะมารกั ถ้ำหรือกวา่ เรือน จะมารกั เดือนหรือกวา่ ตะวนั เออน่จี ะมารกั ออเฒ่าน้นั ยิ่ง
กวา่ ตัวเลา่ ดโู ฉดเฉาช่ัวชวนชังนำ้ หน้า” เม่ือชูชกออกเดินทางไปขอสองกุมารกเ็ ป็นห่วงหน้า
พะวงหลงั กลัวลาง จะกลับใจไปหลงรักชายอ่ืนจงึ ไดก้ ล่าวเตอื นเมียรักไว้เป็นคติวา่ “ค่ำมืดผิด
เวลาอย่าลงล่าง ปดิ ประตูหน้าตา่ งเข็นบันไดท้ังล่ิมกลอนสลักใสใ่ หแ้ น่นแฟ้น ถ้ามาตรแม้นมันจะ
กระแอมแอบเขา้ มา แม่อย่าได้พูดจาทกั ทาย มันจะรแู้ ยบคายว่าพี่ไมอ่ ยู่ อันนกั เลงเจ้าชแู ยบคาย
มันมีมาก ทจ่ี ะพดู แล้วกห็ วานแต่รากตลอดปลาย ทำเปน็ ประเปรยปรายเข้ามาแอบองิ ทำทีเล่นที
จรงิ ไมย่ มิ้ แย้ม ทำเป็นสนทิ สนมเหน็บแนมน้อมตวั เข้าไป ใครมิรู้เชงิ ชายกต็ ายใจหลงไปได้มันก็จะ
ระรื่นระรวยรินจนสิน้ ตัว อันเมียงามกว่าผัวท่ีมันได้ความเดอื ดรอ้ น เจ้าจงฟังคำพ่ีสอนให้
โอวาท” ชายไทยท่ีไปขายแรงงานในต่างประเทศเพ่อื หาเงนิ มาเลี้ยงครอบครัว คงจะไมไ่ ดก้ ำชบั สงั่
เสียเมียเหมือนชูชกกระมัง บางคนจึงประสบปัญหาดังท่ีพูดกันวา่ “ไปเสยี นา มาเสยี เมีย”
๘.๖. กณั ฑ์ท่ี ๖ จลุ พน กลา่ วถึงพรานเจตบตุ รพบชชู ก ชูชกบอกกล่าวว่าตนเป็น
ราชทูตของพระเจา้ กรงุ สญชัยนำราชสาส์นไปถวายพระเวสสันดร เจตบุตรหลงเชอื่ จึงชบ้ี อก
หนทางให้ไปจนถึงอาศรมของพระอจั จุตฤาษี
๘.๗. กณั ฑ์ท่ี ๗ มหาพน กล่าวถึงชชู กเขา้ ไปนมัสการพระอจั จุตฤาษี เล่อื มใสแลว้ ก็
ถามถึงระยะทางทไ่ี ปเขาวงกต พระฤาษีพรรณนาสตั วน์ านาชนิดตามระยะทางและชแ้ี จงรกุ ขชาติ
นานาพนั ธ์ุที่มอี ยู่ใกล้ขอบสระมุจลินท์ และช้ีทางไปเขาวงกตให้ชูชกทราบโดยตลอด
กัณฑ์ที่ ๖-๗ มีส่ิงน่าสนใจคือ การมีปฏิภาณไหวพริบทช่ี ชู ก การท่ชี ูชกสามารถพดู
ใหพ้ รานเจตบตุ รหลงเช่อื ว่าตนเป็นผู้นำสาสน์ ไปใหพ้ ระเวสสันดรจรงิ ก็เพราะชชู กพดู ถึงพ้ืนฐาน
ความเช่ือความเคารพของพรานเจตบตุ ร การท่ีเราจะสร้างมติ รกบั ใครก็ตาม จะต้องไม่ดูถูก
หรอื ยำ่ ยีในสงิ่ ทเี่ ขาเคารพและศรัทธาเป็นอันขาด จะต้องพยายามนำความเช่ือเหลา่ น้ันมาเป็น
ธรรมนิเทศ ๙๙
พ้นื ฐานในการดำเนนิ งานต่างๆ ให้ได้ให้สมกับคำท่วี ่า ได้ท้ังงาน ไดท้ ั้งน้ำใจอกี อย่างหนง่ึ ในสอง
กัณฑ์นี้ พรรณนาคุณค่าและความงามของป่าไม้ไวน้ ่าฟังมาก แสดงใหเ้ ห็นวา่ คนสมัยโบราณก็
ได้มองเหน็ ความสำคญั ของปา่ ไม้เชน่ กัน ปา่ ไม้เปน็ ทรัพยากรธรรมชาติทม่ี ีคณุ อยา่ งอเนกอนันต์
ตอ่ ชวี ิตมนุษย์ ทุกคนจะต้องร่วมมือกันอนรุ กั ษไ์ ว้ ผ้ใู ดทำลายปา่ กเ็ ท่ากับทำลายชาติ
๘.๘. กณั ฑ์ที่ ๘ กมุ าร กลา่ วถงึ ชูชก เข้าเฝา้ พระเวสสันดรแลว้ ทลู ขอสองกุมาร พระ
เวสสันดรตรี าคาสองกุมารแล้วประทานให้ชชู ก พระเวสสนั ดรทรงปริเทวนาการจนถึงชาลีกัณ
หาคร่ำครวญส่ังความถึงพระนางมทั รี กุมารทง้ั ๒ คอื กณั หาและชาลีเป็นเด็กทมี่ ีความเฉลียว
ฉลาดมาก เมอ่ื ทราบวา่ พ่อจะยกตนท้ังสองใหเ้ ป็นทานแก่ชูชก ตอนแรกกค็ ดิ หนีเอาตวั รอดโดย
หนีไปซอ่ นตัวอยใู่ นสระ การเดินลงสระก็เดินถอยหลังลง เพื่ออำพราง ประหนึ่งว่าเดินข้ึนจาก
สระ แตพ่ ระเวสสันดรก็รู้ทนั เพราะรอยเทา้ ของผู้ที่ข้ึนจากสระจะต้องหนักที่ปลายเทา้ หาก
รอยเท้าหนักท่ีส้นเท้าแสดงวา่ เจ้าของรองเทา้ รองเท้าน้ันเดินถอยหลังสระคนท่จี ะเปน็ ผู้นำคน
ต้องเป็นคนรอบคอบ ชา่ งสงั เกตวเิ คราะหป์ รากฏการณ์ต่างๆ ด้วยเหตแุ ละผลจึงจะทำให้การ
ตัดสนิ ใจต่างๆ ไดถ้ ูกตอ้ งหรือผดิ พลาดนอ้ ย ถา้ ขาดความรอบครอบก็จะถกู หลอกได้ง่าย การ
กระทำใดๆ จะได้บรรลุตามเจตนารมณ์น้ัน สิง่ ท่ไี ม่ควรมองขา้ มก็คือ “กาลเทศะ” เมื่อชชู กไปถึง
อาศรมของพระเวสสันดรแลว้ กต็ อ้ งยบั ย้ังไวก้ อ่ น ไม่ผลีผลามเขา้ ไปในทันที เพราะคดิ ว่าถ้าเข้าไป
ในทนั ที คงจะไม่เกิดผลดแี น่ ดงั ทีช่ ูชกแก่รำพงึ วา่ “เวลาปานฉะน้ีน่าจะมลิ ดุ ่ังประจใุ จท่ีกนู ้ีเจตนจ์ ง
ด้วยสมเดจ็ อนงคน์ าฏมัทรี เธอคงจรลกี ลบั จากแสวงหาผลาผลเสด็จรบี ร้นเข้ามายังอาศรม
สถาน อนงึ่ กเ็ ปน็ คำบรุ าท่านยอ่ มว่า ช้าช้าจะได้พรา้ สองเล่มงาม ด่วนได้สามผลามมกั พลิกแพลง
ธรรมดาว่าสตรีน้เี ปน็ เกาะแก่งกีดกระแสกุศล มมี จั ฉริยะมดื มนคือตัวมาร ยามเม่ือสามจี ะทำทาน
มกั ทำลาย...” คำของพระชาลีเมอื่ ทลู ลาพระบดิ าไปเปน็ ข้าทาสของชูชก ไดก้ ล่าวกบั แก้วกัณหา
ถึงความสัมพันธ์ระหวา่ งบิดามารดากับลกู ชายลูกหญงิ ไว้เปน็ คตทิ ่ีนา่ ฟังว่า “ดูกรแกว้ กัณหา
เอ๋ย พ่ีไดย้ ินเนือ้ ความเล่าสบื กนั มาว่า กำพรา้ สองประการสบื สันดานโดยประเพณี กุมารกุมารี
ใดไร้นิราศปราศจากพ่อยงั แต่แมผ่ ู้เดยี ว ก็พอแลพอเหลยี วช่อื วา่ อยู่พรอ้ มทั้งบิดามารดา ทารก
ผู้ใดไร้นริ าศปราศจากแม่ยังแต่พอ่ ผู้เดียวก็เปลา่ เปลี่ยวไดช้ ือ่ ว่าสญู สิ้นทั้งบดิ าและมารดา ถงึ จะ
ประโลมเลยี้ งรกั ษาเลา่ ก็ไม่ถงึ ใจ ถึงจะได้ทุกข์ภยั สกั ร้อยสิ่ง อันบิดาแล้วกน็ ่งิ ไม่นำพา อนั คุณของ
พระมารดาท่านพรรณนาไว้ว่าเปน็ ยิ่งนกั
๘.๙. กัณฑ์ท่ี ๙ มัทรี กล่าวถงึ ตอนพระนางมทั รไี ปหาผลไมใ้ นป่า กลบั มาพบสาม
เสอื ร้ายนอนขวางคำรามอยู่ เมื่ออ้อนวอนให้สามเสือหลกี ทางให้แล้ว กลบั ถึงอาศรมไม่พบลูก
ท้งั สองทรงพิลาปรำพันถึงลกู รักทั้งสอง ถูกพระเวสสันดรตรัสพ้อนานาประการจน พระนางมัท
รีสลบไป คติ เมอื่ พระนางมัทรีกลับถึงอาศรมไมเ่ ห็นลูกกร็ ำพนั ด้วยความโศกสุดกำลงั แทบจะ
วายชีวีโทรมกลิง้ อยกู่ ลางดง พระเวสสันดรจึงแกลง้ ตรสั โวหารการหึงหวง เขา้ หักความโศก
ของพระนางมทั รใี ห้เส่อื มลงด้วยถอ้ ยคำอันไพเราะเป็นคติดงั น้ี “เออ ก็เมอ่ื เช้าเจ้าจะเขา้ ป่านา่
สงสาร ปานประหนึ่งว่าจะไปมไิ ด้ทำร้องไห้ฝากลกู มริ แู้ ลว้ คลาดแคล้วเคล่อื นคล้อยเขา้ สดู่ ง ปาน
ประหน่ึงวา่ จะหลงลืมลกู สละผวั ตอ่ มือมวั สกิ ลบั เข้ามาทำเป็นบีบนำ้ ตาตอี กวา่ ลูกหายใครจะไป
ธรรมนเิ ทศ ๑๐๐
แยบคายความคิดหญงิ ถ้าแม่เจา้ อาลัยอยดู่ ้วยลูกจรงิ เหมือนวาจาก็รบี กลบั เข้ามาแตต่ ะวันไม่
ทนั รอน เออน่ีเจา้ เท่ยี วพเนจรตามสนุกใจ ชมนกชมไม้ในไพรวัน สารพันท่ี จะมี ท้ังฤษีสิทธ์วิ ิทยา
ธร คนธรรพ์ เทพารกั ษผ์ ู้มีพักตร์อนั เจริญ เห็นแล้วกน็ า่ เพลดิ เพลนิ ไม่เมนิ ได้ อปุ มาเสมือนหนึ่ง
ภุมรินทร์บินแวะรอ่ นเที่ยวซบั ซาบเอาเกสรสุคนธาเลิศ พบดอกไมอ้ ันวิเศษตอ้ งประสงค์เคล้า
คลงึ รสจนลืมรัง เขา้ เถ่ือนเจา้ ลมื พรา้ ไดห้ น้าและลืมหลังไม่เหลยี วกลับ เท่ียวทอดประทับมากลาง
ทางพอมาถึงก็ทำเสยี งข้ึนเสยี งเลยี่ งพาโลว่าลกู หาย
๘.๑๐. กัณฑท์ ่ี ๑๐ สักกบรรพ กล่าวถึงตอนพระอินทร์ แปลงเพศเป็น
พราหมณ์มาทูลขอพระนางมทั รพี ระเวสสันดรทรงยินดพี ระราชทานให้ พระอินทร์รบั แล้วกลับ
ถวายพระนางคืนให้อยู่ปรนนิบตั พิ ระเวสสันดรสืบไปแล้วได้ประสาทพร ๘ ประการแก่พระ
เวสสนั ดร คติ พระอินทร์ไดใ้ ห้โอกาสใหพ้ ระเวสสันดรขอพรท่ีปรารถนา เราจะได้ทราบน้ำพระทัย
ของพระเวสสนั ดรว่า พรท่ีพระองค์ปรารถนาน้นั ล้วนเพ่ือประโยชน์สขุ แก่ผู้อืน่ ทง้ั สนิ้ มี ๘
ประการคอื
พรที่ ๑ ขอให้พระเจ้ากรุงสญชัย ผู้เป็นพระชนกของหม่อมฉันจงมีพระหฤทัย
ยนิ ดียก โทษให้และเสดจ็ เช้ือเชิญใหก้ ลบั เมอื ง
พรท่ี ๒ ขอให้หมอ่ มฉันมีธรรมเป็นอำนาจ ชว่ ยปลดปลอ่ ยนกั โทษประหารให้
รอดจาก ชีวิต
พรท๓ี่ ขอใหห้ มอ่ มฉนั เปน็ ทรี่ ักใคร่ของทกุ คนทกุ ช้นั ทกุ วยั และเปน็ ร่มโพธิ์ร่มไทร
ให้ความผาสุกกับทกุ คนท่วั ไป
พรท่ี ๔ ขออยา่ ให้ลอุ ำนาจแกส่ ตรี จงมคี วามพอใจเฉพาะภรยิ าผูเ้ ดียว
พรท่ี ๕ ขอให้หมอ่ มฉันมอี ายยุ ืนนานและมีบุตรสืบสกลุ ได้ปกครองราชสมบัตใิ ห้
มธี รรมเปน็ อำนาจ
พรที่ ๖ นับแต่น้ีไปทุกๆ วันขอใหภ้ ักษาหารทพิ ยบ์ ังเกดิ แกห่ ม่อมฉันโดยอดุ ม
สมบรู ณ์
พรที่ ๗ ขออย่าใหส้ ิ่งของท่ีหม่อมฉนั บรจิ าคไปแล้วหมดสิ้นไป ขอใหบ้ รสิ ทุ ธ์ ๓
กาลคอื ก่อนแตจ่ ะให้ กำลงั ให้ และใหแ้ ลว้ ไม่เดอื ดร้อนในการใดกาล
หนึ่ง
พรที่ ๘ เมอื่ หม่อมฉัน จตุ ิจากมนุษย์น้ไี ปแล้ว ขอให้ได้ไปบงั เกดิ ยังโลกสวรรค์
ดสุ ิตพภิ พ ถ้ากลบั มาเกิดในมนษุ ยโ์ ลกก็ขอให้สำเร็จพระสพั พัญญาต
ญาณในชาตนิ ัน้ แลว้ ไม่เกดิ อกี ต่อไป
๘.๑๑. กัณฑท์ ี่ ๑๑ มหาราช กลา่ วถึงชชู กพาสองกุมารชาลีกณั หา เดินหลงทางไป
ยงั กรุงพชิ ยั เชตุดรพระเจ้ากรุงสญชัย ทรงไถ่พระเจ้าหลานต่อชูชกดว้ ยมูลค่าพนั ตำลึง และ
ทรงเลี้ยงดูจนอิ่มหนำสำราญ ชชู กบริโภคมากเกินไปจนท้องแตกตาย ทำการสมโภชรบั ขวญั
พระเจ้าหลาน แล้วรับคำสั่งใหเ้ ตรียมกองทัพไปรับเสดจ็ พระเวสสันดรและพระนางมัทรกี ลบั
เมือง คติสอนใจ ทไ่ี ด้จากกัณฑ์น้ี คือการร้สู ภาวะและฐานะของตนเองเป็นส่ิงจำเปน็ อย่างย่ิงใน
ธรรมนิเทศ ๑๐๑
สงั คม พระชาลไี ด้ทลู พระเจ้ากรงุ สญชยั ด้วยคำอันไพเราะและนา่ รกั เมื่อถกู เรียกให้เข้าไปใกล้ๆ
และขอรอ้ งให้ไปตามพระเวสสันดรวา่ “ซงึ่ ทรงพระกรุณานับเนือ่ งในพระประยูรวงศ์ พระคณุ
ของพระองคก์ เ็ ป็นล้นเกลา้ แต่ตวั ข้าสิเป็นทาส ดังฟา้ จะเอานอ้ งมิอาจขึน้ ไปน่ังรว่ มบลั ลังกร์ ัต
นราชาภิรมย์ อันประเสริฐสูงไม่สมพิสัยศักด์ิ เหตฉุ ะนัน้ พระหลานรกั จึงเจยี มตัวดว้ ยกลัวอาย
ขายฝ่าพระบาทจงึ เฝา้ อยหู่ ่างๆ อย่างทำนองทาสแต่เพียงน้ี... “ซึ่งจะโปรดใหห้ ลานออกไปทลู เชิญ
เสดจ็ เกลือกพระบิดาจะระแวงว่าเป็นเท็จไมเ่ ชอ่ื ฟัง อันคำเด็กน้หี รอื ใครจะหวังเอาเปน็ จริง เห็น
พระทัยท้าวเธอจะเกรงกร่งิ ไมค่ ืนเมือง ขอเชญิ เสด็จพระองคอ์ อกไปปลอบเปลอ้ื งดวงกมลเท
วแห่งพระเจา้ พ่อผู้เป็นหน่อเรศรร์ าชอทุ ร....”
๘.๑๒. กัณฑท์ ่ี ๑๒ ฉกกษตั ริย์ กล่าวถึงระยะทางเสดจ็ พระราชดำเนนิ ของพระเจ้า
กรงุ สญชัย และจตุรงค์เสนาเป็นขบวนตามเสดจ็ จากกรงุ เชตุดรถงึ เขาวงกต จนหกกษัตรยิ ์พบ
กนั แล้วเศรา้ โศกพิไรรำพันจนถึงวิสัญญีภาพท้ังหมด
๘.๑๓. กัณฑ์ ๑๓ นครกัณฑ์ กลา่ วถงึ พระเวสสันดรลาพระอาศรมทรงลาเพศ
นกั พรตสรงสนามรับพระราชทานเครอ่ื งทรง แล้วเสด็จกลับไปครองเมืองสพี ีสบื ไปในบทนี้
เพื่อให้สอดคล้องกับการศึกษาประเพณีท้องถ่ินจะได้แสดงอธบิ ายการแสดงธรรมหรือเทศ
มหาชาติชาดกทางเหนือให้ศกึ ษากัน
๙. การเทศน์มหาชาติแบบทางภาคเหนือ
การเทศมหาชาติเป็นการเทศน์ทำนอง คล้ายกับการสวดมนต์สรภัญญะ หมายถงึ มี
ทำนองท่เี ป็นแบบแผน ซึ่งการเทศน์มหาชาตจิ ะนิยมเทศนใ์ นเทศกาลวันลอยกระทง ซึ่งการเทศ
มหาชาตมิ เี ทศน์ทุกภาคของไทย แต่มีข้อแตกต่างก็อาจจะเป็นทำนอง รูปแบบการเทศน์ และ
เรอื่ งราวท่ใี ช้ในการเทศน์ ก็คอื พระเวสสันดรชาดก มที ้ังหมด ๑๓ กัณฑ์ โดยส่วนใหญ่จะนิมนต์
พระรูปหน่ึงเทศน์ ๑ กัณฑ์ ซง่ึ การเทศนม์ หาชาติในแตล่ ะกณั ฑจ์ ะใชเ้ วลานาน เพราะไมใ่ ช่เพยี ง
การเทศน์ทำนองดำเนินเนื้อเรื่องของพระเวสสันดรชาดกเท่าน้ัน แต่ การเทศน์มหาชาติแบบ
ลา้ นนา นั้นกลับมสี ำนวนท่ีน่าสนใจ ทพ่ี ระผเู้ ทศน์นิยมใสท่ ำนองอกี ทำนองที่นอกจากทำนอง
เทศน์ เรียกว่า “กาพย์” ซ่งึ การเทศน์มหาชาตินับว่าเป็นศลิ ปะแบบแผนการเทศนท์ ่ีทำนองที่
นา่ สนใจ เพราะนอกจากฟังเนอื งธรรมท่ียาว ถึง ๑๓ กณั ฑอ์ ย่างไมเ่ บื่อหน่ายเพราะมีทำนอง
ตา่ งๆ ทีแ่ ทรกอยู่ในแตล่ ะกัณฑ์ ทำนองเทศนท์ างล้านนา ทา่ นเรียกว่า “ระบำธรรม” ซ่งึ จะกลา่ ว
ต่อไป การเทศน์มหาชาติตอ้ งอาศยั การฝึกฝน เรียนรู้ พระภิกษุผู้ท่ีฝกึ ฝนอย่างจริงจงั และใฝ่
การศึกษาเท่าน้ันที่สามารถจะเทศน์ได้ถกู ตอ้ งตามทำนองวธิ ี
ผฝู้ ึกเทศน์จะตอ้ งขยันฝกึ อยา่ งแทจ้ ริงการเทศนเ์ ป็นส่ิงสำคัญ เพราะการเทศน์
ทำนองเหล่านย้ี อ่ มทำใหผ้ ู้ฟงั เกิดความอ่มิ เอิบใจ ปิติยินดี ได้ล้ิมรสแหง่ เสียงพระธรรม พระผู้หัด
เทศน์จงึ ตอ้ งปฏบิ ัตดิ ังนี้
๑) ตั้งใจจรงิ มสี มาธิท่จี ะฝกึ ฝนตงั้ แต่ ขนึ้ นะโม...ออกเสียงดังพอควร
ธรรมนเิ ทศ ๑๐๒
๒) นัง่ ไม่พงิ ฝาผนงั เสา หรอื นอนท่อง หรือทอ่ งแคค่ รง่ึ ๆ กลาง เพราะถา้ ไมฝ่ ึก
การเทศน์มหาชาติต้องอาศยั พลังเสียง การฝึกฝนบ่อยจะได้ไม่เหนื่อย
๓) หัดตอ้ งไมใ่ ช้เสยี งธรรม หมายถงึ เสยี งพูด แตต่ อ้ งเปล่งเสียงทำนองไม่สูง
และไม่ต่ำเกินไป
๔) ฝึกทำเสียงสตั ว์ทุกชนิดที่พอจะทำได้ เพราะการเทศน์มหาชาติพระ ผ้เู ทศน์
เกง่ ๆ สามารถทจี่ ะทำเสียงสตั ว์ต่างๆ ประกอบในการเทศน์ไดเ้ ป็นอย่างดี
๕) ฝึกบอ่ ยๆ เปน็ ไปได้ให้อัดเทปฟงั เสยี งตัวเองดวู ่า เพราะหรอื ไมถ่ ูกตอ้ ง
ตาม อักขระวธิ หี รือไม่จะได้นำมาแก้ไข
๑๐. ลกั ษณะทว่ งทำนอง หรอื ระบำธรรม
ทำนอง หรอื ระบำธรรม คือทำนองวธิ กี ารขึ้นลงเสียง จงั หวะ ซึ่งทำนองในแต่ละถ่ิน
ในเขตจังหวัดภาคเหนอื น้ีกน็ ิยมไม่เหมอื นกนั หรือ ทำนองเหล่าน้ีเกิดขนึ้ จากภมู ิปญั ญาพระ
นักเทศนท์ ่ีคิดสรรค์ทำนองต่างๆ กลายเป็นเอกลกั ษณ์ประจำจังหวดั ของแตล่ ะจังหวดั ไป ซึ่ง
ระบำธรรม สามารถแบ่งออก เป็น ๙ ระบำธรรม ดังนี้
๑๐.๑. ป๊าวไกวใ๋ บ เป็นคำเหนือ ป๊าว หมายถงึ มะพร้าว ไกว๋ แปลว่า แกว่ง ใบ
หมายถึงใบมะพร้าว แก่วงๆ นีเ่ ปน็ ระบำหนง่ึ ทเ่ี รียนลีลาของใบมะพร้าวแก่วงไปมาเพราะโดนลม
ซงึ่ มีทำนองและลีลาแบบป๊าวไกว๋ใบ ทำนองน้จี ะนิยมทาง จงั หวัดเชียงใหม่ เชียงราย
๑๐.๒. ไต่ขัวก้อม เป็นคำเหนอื ไต่ หมายถึง เดิน ขวั หมายถงึ ท่อนไม้ กอ้ ม หมายถงึ
ส้นั รวมความหมายถึง การเดินบนท่อนไม้สั้นๆ ลกั ษณะการเดนิ บนท่อนไม้ซุงเราจะสังเกตเหน็ ว่า
เดินแบบบ่องๆ ระวัง ทำนองหรอื ระบำธรรมน้ี ก็จะมลี ักษณะเช่นนี้
๑๐.๓. นกเขาเหนิ หมายถึง ทำนองหรือ การเดินระบำธรรม เลยี นแบบของนกเขาท่ี
ใช้ลีลาการบิน แบบเหนิ ฟ้า มกี ารเหินลงเม่ือเราสังเกต ดงั น้นั การเทศน์ทำนองลกั ษณะท่ีมีเสยี ง
สงู และต่ำขนึ้ ลงเหมอื นนกเขาเหนิ น้ันเอง
๑๐.๔. นำ้ ตกตาด หมายถึง ทำนอง หรือระบำธรรมท่ีเรียนแบบลักษณะน้ำตก ทีไ่ หล
ลงมากระทบโขดหิน
๑๐.๕. ภ่จู มุ ดวง หมายถึง ทำนอง หรือระบำธรรมทเี่ รยี นแบบลักษณะของแมลงภู่ท่ี
บนิ มาลิ้มรสเกสรดอกไม้ ดอกน่ันที ดอกน่ที ี
๑๐.๖. กว๋างเดินดง หมายถงึ ทำนองหรือระบำธรรมท่เี รยี นแบบลกั ษณะของกวาง
เดินในปา่ ค่อยๆ ไป เรื่อยๆ
๑๐.๗. แลรอดก่ิว หมายถงึ ทำนองท่ีใชเ้ สยี งสูง และยาวเป็นหลักที่ตอ้ งขึ้นสงู ๆ
คล้ายนกเขาเหิน คลา้ ย ป๊าวไกว๋ใบ ท่ีมารวมกัน เป็น แลรอดกวิ่
ธรรมนิเทศ ๑๐๓
๑๐.๘. บน่ าวล่องของ หรือ มะนาวลอ่ ง (แม่น้ำ) โขง เรียนแบบมะนาวทลี่ ่องในแม่น้ำ
โขง ตุ๊บปอ่ งๆ ทำนองหรือรำธรรมแบบน้ี จะเหมือนการลอยของมะนาวตบุ๊ ป่องๆ ในแม่น้ำโขง
และสดุ ทา้ ย
๑๐.๙. หมาไต่คันนา หมายถงึ ทำนองหรือระบำธรรมเรยี นแบบ ลักษณะของสุนขั
เดินไต่บนคันนา
ซึ่งจะเหน็ ไดว้ ่าภูมปิ ัญญานักปราชญอ์ าจารย์สมยั เกา่ ได้นำลกั ษณะธรรมชาตทิ ่ีได้
พบเห็นในชีวิตประจำวนั มาใช้ในการสร้างสรรคท์ ำนอง หรือระบำธรรมต่างๆ เพ่ือการจรรโลง
จิตใจของผู้ที่จะฟังการแสดงธรรมได้เป็นอย่างดี ยา่ งทไ่ี ด้กล่าวมาแล้วว่า อย่างน้อย เม่ือมีความ
รนื่ เริง จิตใจอ่ิมเอบิ เบกิ บาน แชม่ ชนื่ ใจ ก็จะซึมซบั จดจำคำสอนท่ีเป็นเนอ้ื หาหลักธรรม มาใช้ใน
การดำเนินชวี ิตประจำวัน
๑๑. สำนวนการแตง่
การเทศน์มหาชาตไิ ด้มี โบราณอาจารย์ศาสนาได้แตง่ สำนวนหลายสำนวน ถอื วา่
เป็นวรรณคดีท้องถิน่ ไปอย่างน่าภาคภมู ใิ จ และหวงแหนยิง่ นัก ซึ่งมี ๕ สำนวน
๑๑.๑. สำนวน ไม้ไผ่แจเ้ รียวแดง ไม่บอกปีทแี่ ตง่ หรือ จาร สงั เกตจากภาษาและเน้อื
ความเห็นได้วา่ เก่ามาก นายสงิ ฆะ วรรณสัย สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นวรรณคดสี มัยอยธุ ยา และมี
อายุไม่ต่ำกวา่ ๓๐๐ ปี เป็นแบบใหส้ ำนวนอน่ื นำมาเกลาใหม่หลายสำนวน มีลักษณะเป็นใบลาน
จารดว้ ยอักษรพื้นเมือง (ตั๋วเมอื ง) ๑๓ ผูก หรือ ๑๓ กณั ฑ์
๑๑.๒. สำนวน สรอ้ ยสังกร เป็นสำนวนท่ีชำระตรวจสอบโดยพระอบุ าลีคุณูปมา
จารย์ (ฟู อตตฺ สิโว) เมื่อครัง้ ยงั ดำรงตำแหน่งเปน็ พระธรรมราชานวุ ตั ร เจา้ คณะตรวจการภาค
๕ พิมพ์เผยแพร่ เม่ือเดือนกุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๐๓
๑๑.๓. สำนวน อนิ ทรเ์ หลา ไมไ่ ด้บอกปี ท่แี ต่งและจาร๕ แตส่ ังเกตจากถอ้ ยคำ
สำนวนและการตอ่ เติมความนาจะเปน็ สำนวนทเ่ี กิดขึ้นในสมยั รัตนโกสินทร์ ความบางตอน
คลา้ ยคลึงกบั สำนวนพระยาฟนื้ มาก ลักษณะเป็นใบลานจารด้วยอกั ษรพื้นเมอื ง ๑๓ ผกู
๑๑.๔. สำนวน พระยาฟืน้ ผู้ชำระ คือ พระยาปัญญทิพธาจารย์ (พระยาฟน้ื ) ชำระ
สมยั รตั นโกสินทร์ไมไ่ ด้บอกปีท่ีจาร เป็นใบลาน จารด้วยอกั ษรพ้ืนเมือง ๑๓ ผูก
๕ เป็นกริ ิยา ของการเขยี นบนั ทกึ ตวั อักษรภาษาล้านนาหรือต๋ัวเมอื ง ลงบนใบลาน หรอื ลงบนกระดาษสา โดยใช้
เหลก็ ปลายแหลมเป็นเคร่ืองในการเขยี น ท่เี รยี กว่า เหลก็ จาร ฉะนน้ั การเขยี นบันทึกอกั ษรภาษาลา้ นนานจึงเรียกตามเหลก็ ท่ใี ช้
เขียน เหล็กจาร ว่า จาร
ธรรมนิเทศ ๑๐๔
๑๑.๕. มหาเวสสันดรชาดกฉบับพิเศษชุด สร้อยรวมธรรม เกลา๖โดย อินสม ไชย
ชมพู โดยอาศัยสำนวนตา่ งๆ เช่น ฉบับแสนหลวง ฉบับทา่ แปน้ ฉบบั เมืองมาง ฉบับเมอื งบอ ฉบบั
สรอ้ ยสังกร และอาศยั ทศชาติฉบับชนิ วรเป็นหลกั มหาชาติชดุ นี้เป็นหนังสอื ผูก ๑๓ ผูก
สำหรับผู้ทีส่ นใจรายละเอียดเกี่ยวกับ เน้ือหารสาระธรรม สำนวนต่างๆ ก็สามารถ
ศึกษาได้ หรอื พระภิกษุผู้ใฝ่ในการศกึ ษาทำนอง ระบำธรรมก็สามารถทจี่ ะศึกษาไดจ้ ากผูร้ ู้ เพราะ
อยา่ งน้อยดารสืบทอด พุทธศลิ ปะการเทศนก์ ย็ ังเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาได้อกี ทางหน่ึง
๑๒. ตวั อยา่ งการแสดงปาฐกถาอบรมเยาวชน
บรรยายพระคุณแม่
เจริญพรทา่ นผอู้ ำนวยการ คณาจารย์ทุกท่าน……
สวัสดี ศรีสวัสดิ์ บรรดานักเรยี นท้งั ชายและหญิง ตา่ งมาน่งิ เหมือนกับเป็นแฟนของ
วงสตรงิ ปิติยนิ ดี ที่พวกเธอใฝก่ ุศล อุสา่ ห์มานั่งอดน่ังทนฟัง ปาฐกถา ส่งเสียงแจว้ ๆ มาแล้วละ
หนา ได้พบสบตาแลว้ พาชื่นใจ....(ฮ้ลู า ฮูลา่ เทศน์แล้วเทศนอ์ ีก) (ฮ่า....) วนั น้ี พระอาจารย์ดีใจ ท่ี
ได้มโี อกาสได้พบกบั นกั เรียนเพราะความใฝฝ่ ัน ว่า คงมสี ักวัน....(ฮา.......เพลงของก๊อด จกั พนั ธ์
อาบครบุรี) ได้พบกับพวกเธอ วันนี้ เลยทำให้ฝันนั่นเป็นจรงิ
สาเหตทุ ีอ่ ยากพบกเ็ พราะยุคน้กี ำลังเขา้ สกู่ าลียกุ ต์ คือยคุ มืด ยุคท่อี ันตราย ยกุ ต์ทมี่ ี
ความเส่อื มสลายของคนดี มคี วามเศร้าสลดทางจริยธรรม ดงั ท่เี ขาบอกวา่ ธรรมไมก่ ลับมา
โลกาจะวินาศ ดงั น้ัน จะต้องเร่ิมปลกุ ฝังกับพวกเธอกนั ใหม่ เพราะพวกเธอเปน็ เด็กวนั นี้ คือ
ผู้ใหญว่ นั หน้า ถ้าเป็นเด็กขห้ี มาจะมีคณุ ค่าอะไรในประเทศ ละ ...(ฮา...) เพราะคนสมยั นี้ไม่สนใจ
ธรรมะ วนั พระ วันโกน กไ็ มร่ จู้ ัก..... เธอรู้ไหม วันนคี้ อื วันอะไร ...ผูใ้ หญ่ บางคน เด็กบางคน วัดไม่
เขา้ พระเจา้ ไม่ไหว้ ศลี ไม่รกั ษา ภาวนาไม่เจริญ ไปมัวเพลิดเพลนิ กับอบายมุข หรือวัดไม่เข้า เหลา้
ไมข่ าด บาตรไม่ใส่ อุ้มไกไ่ ม่ละ เอาหัวพระเปน็ ปฏทิ ิน เห็นวันไหนหัวพระโล้นๆ.......ถึงได้รูว้ ่า วันพระ
...(ฮ่า...)
พระอาจารย์ว่าคำพระบาลีวา่ “นมิ ิตตัง สาธุรปู านัง กตญั ญกตเวทติ ตา” แปลเปน็
ภาษาไทย ว่า ความกตัญญู เป็นเคร่ืองหมายของคนดี เป็นเร่ืองที่นา่ สนใจ เพราะคนเราเกิด
มาแล้ว ไม่รู้จกั การตอบแทนบุญคณุ คน ก็จะเป็น อกตัญญู และจะกลายเป็นคน เนรคุณ ดว้ ยซำ้
สรรพสิ่งในโลกน้ี มีหลายส่ิงหลายอย่างท่ีปรากฏขน้ึ แตเ่ มอ่ื กล่าวโดยสรุปแลว้ มี ๒
อยา่ ง คือ มีเกิด กบั มีตาย ชีวติ ของคนเราเม่ือมกี ารเกิดกต็ ้องมกี ารตายเปน็ เร่ืองธรรมดาของ
ชีวิตตายหมดครู นักเรยี น พระอาจารย์ทง้ั หลายที่มาในงาน นี้กต็ ายหมด ก็ใหพ้ ระอาจารย์รูปอื่น
ตายกอ่ น ส่วนพระอาจารย์คนนจ้ี ะไปทหี ลัง...(ฮ่า......) ก่อนพวกเธอทงั้ หลาย (เร่ิมทำเสียงท่ี
๖ การปรับแต่งขดั เกลาสำนวน.
ธรรมนิเทศ ๑๐๕
จริงจัง......) ท่ีเปน็ ลกู ทีร่ กั ของพ่อแม่ขอใหพ้ วกเราจงนอ้ มระลึกถึง พระคุณของพอ่ ของแม่ ที่ทา่ น
มีบญุ คุณต่อเรา ดังคำประพนั ธท์ ่ีว่า.......
“พระคุณของพอ่ แม่ เลศิ หลา้ มหาสมุทรพระคุณพ่อแม่ สูงสุด มหาศาล
พระคุณของพอ่ แม่ เลศิ หล้า สธุ าธาร ใครจะปาน พ่อแมฉ่ นั นั้นไม่มี”
ก่อนที่เราจะเปน็ ตัวตนอย่างนี้ ไดม้ าอบรมธรรมแบบน้ี ได้มาเรียนอยา่ งนไ้ี ด้ เป็นชีวิต
ท่ีมเี ลอื ดมเี น้อื พอ่ แม่บางคนมีลูกยาก ก็ตอ้ งไปขอพร กับสิ่งศักด์สิ ิทธ์ิ หรอื ถ้ามีลูก ก็ใครอยาก
ไดล้ กู ที่ดี มีร่ายกายแข็งแรง พ่อแม่บางคน พอรู้วา่ กำลังจะมีลกู แลว้ ดีใจเป็นท่ีสดุ พ่อแมท่ ่ีมีลูก
มักจะมีนมิ ิตฝันไวว้ ่า จะมีใครมีใครมาเกิด....มาเปน็ ลูกสดุ ที่รัก...วันนั้น แมข่ องลกู ทุกคน ก็คงจะมี
ความกระหย่ิมย้มิ ย่องอยู่ในใจของแม่ว่า...แม่จะมลี กู แล้ว...เราจะรกั ลูก เมื่อเรามีลูกแลว้ จะเฝา้
เอ็นดู เลยี้ งดแู ลรักษาอยา่ งทะนุถนอมยงุ ไมใ่ ห้ไต่ไรไมใ่ ห้ตอม บางทกี เ็ หมือนกับแม่ได้พูดคนเดียว
ซ่ึงที่จริงพดู กบั เธอตัวน้อยๆ ท่อี ยู่ในท้องแมน่ ั้นเอง ความทแี่ ม่ เคยกินของเผด็ เค็ม หวาน เปรี้ยว
หรือรสจัดๆ ซ่งึ เป็นรส ท่แี ม่ชอบ ก็ตอ้ งงด เพราะเป็นหว่ งลูก ว่าจะรบั รส เหล่านี้ไมไ่ ด้ ก็ อด เพอ่ื
ลูก วัน....ผ่าน........เดือนผา่ น เจ้าตัวน้อยก็เร่ิมเติบใหญ่ อยู่ในทอ้ งแม่ ถึง ๙ เดอื น ๑๐ เดอื น..มีบ้าง
ไหมใครจะรูส้ ึกถงึ ความลำบากของแม่ ทจี่ ะตอ้ ง หนักไหมทีล่ กู โตขึ้นในทอ้ งแม่ เจ็บไหม เวลาลกู
พลกิ ตวั ใช้เทา้ ถบี ท้องแม่ เหนือ่ ยไหม เวลาไปไหนมาไหน กเ็ อาลูกตดิ ท้องไปด้วย คำเหล่านี้
เหนือ่ ยม้ัยแม่ เจบ็ มัย้ แม่ หนกั มยั้ แม่ เคยออกจากปากลูกสกั คำไหม... มีแตแ่ มเ่ ทา่ นั้นท่คี อยเฝ้า
ปรนนิบัติลกู ในท้องของแม่ทุกเช้า ทกุ เย็น แม่นนั้ รักลูก คดิ ถึง ห่วง และเฝา้ ถนอมลกู แมม่ าตลอด
“ความรกั ใดไหนเลา่ เท่าลูกรกั จิตพันธผ์ กู เลอื ดเนื้อ สบื เชื้อสาย
เป็นความรกั บริสุทธิ์ ทงั้ กายใจ เปน็ เครื่องหมาย ประจักษ์ รักซ่ือตรง
ลกู ของแม่ แม่รักยง่ิ กวา่ ชวี ิต รกั ดว้ ยจติ เปน็ มติ รใหญ่ ยง่ิ ไหลหลง
รักลูกรัก ปักใจ ไว้มั่นคง ลมื ไม่ลงรกั ลูก ไปทกุ ทาง
มาเถดิ หนา ลกู คนดี สุดทรี่ กั มารู้จกั รักของแม่ แผไ่ พศาล
มาทำจติ จำเรญิ เดินสายกลาง รักไมห่ ่าง จากไกล ในชวี นิ .....ฯ”
เมอ่ื ลูกอยูใ่ นท้องครบกำหนดแล้ว แม่กร็ ้สู ึกว่าเจบ็ ปวดทอ้ ง เจบ็ เหมือนใจจะขาด แม่
ร้สู กึ ปวดเป็นยงิ่ นกั แตแ่ ม่ก็ทนได้ แมท่ นเพ่อื ลูกรกั ... แต่มีแมบ่ างคนทนไมไ่ ด้..บางคร้ังกเ็ อาชีวิต
แม่ไป เพือ่ ให้ไดล้ กู มา...ความเจ็บปวดนั้นทรมานนัก ดังทีเ่ ขาวา่
“วันเกดิ ลกู นนั้ เกอื บคลาย วันตายแม่ รักไม่เบื่อ เกยี จไม่ลง เพราะสงสาร
ตอ้ งอุ้มทอ้ งเจบ็ ปวด ทกุ ขท์ รมาน ให้ดม่ื ธาร จากทรวงอก โอ..ลูกจา๋
ความทกุ ข์ทรมาน ความเจ็บปวด ความกระเสือกกระสนแหง่ ความเจบ็ ปวดที่ลูกจะ
ออกมาลืมตาดูโลกมันชา่ งแสนทรมาน และยืนยาวเหลอื เกิน ลกู บางคนเกิดมาพอถึงวันเกิดกจ็ ะ
คดิ ถงึ งานฉลอง ฉลองวันทีต่ วั เองเดมา หรอื ว่า ฉลองวนั ทแ่ี ม่เกือบตาย วันท่ีแม่เกือบตายเพราะ
เกดิ ลูก ลกู จัดงานฉลองอยา่ งสนุกสนานหรอื ...บางคนสนกุ สนานจนลืมพอ่ ลมื แม่ไปก็มี เธอ
ท้งั หลายในที่น้.ี ..ได้ชือ่ วา่ เป็นผู้ที่ไดร้ บั การอบรมธรรมมาแลว้ มจี ติ ใจสงู ขึ้นหรือปา่ ว ถ้าจติ ใจสูง
เธอจะตระหนกั เถิดวา่ ...
ธรรมนเิ ทศ ๑๐๖
“งานวันเกิด ยิง่ ใหญ่ ใครคนน้นั ฉลองกันในกลุ่มผู้ลุม่ หลง
หลงลาภยศ สรรเสริญ เพลินทะนง วนั เกิดสง่ ชีพส้นั เร่งวันตาย
อีกมมุ หนงึ่ ที่เหงา นา่ เศร้าแท้ หญิงแก่ๆนกั หงอย และคอยหา
โอว้ ันน้ัน เป็นวนั อนั ตราย แมค่ ลอดสายโลหิต แทบปลิดชนม์
วนั เกิดลกู เกอื บคลา้ ย วนั ตายแม่ เจ็บท้องแท้ เทา่ ไรมิไดบ้ น่
กว่าอ้มุ ทอ้ ง กว่าจะคลอด มาเปน็ คน เตบิ โตจน บดั นี้ นีเ่ พราะใคร
แมเ่ จ็บเจียน ขาดใจ ในวันน้ัน กลับเป็นวันลูกฉลองกันผ่องใส
ได้ชีวิตคิดหลงระเริงใจ ลมื ผใู้ ห้อกี ชวี ติ อนจิ จา
ไฉนจงึ เรียกกนั วา่ วนั เกิด วนั ผใู้ ห้กำเนดิ จะถูกกว่า
คำอวยพรทเี่ ขียน ควรเปลีย่ นมา ให้มารดาคณุ เปน็ สุข จะถูกแท้
เลิกจดั งาน วนั เกิดกนั เถิดนะ ควรทจ่ี ะคุกเขา่ กราบเท้าแม่
ระลกึ ถงึ พระคณุ อบอุ่นแน่ อย่างมวั จัดงานประจานตัว...ฯ.
พวกเธอท่รี กั ทั้งหลาย พอลกู ได้คลอดออกมาแล้ว แมก่ ก็ ระหย่ิมยมิ้ ย่องด้วยความ
ชื่นอกชื่นใจและรำพงึ ในใจว่า ลกู ของเราปลอดภัยแล้ว ลูกของเราเกิดแลว้ เราได้เหน็ หน้าลูกแลว้
นแี่ หละ คือน้ำใจของแม.่ ..น้ำตาท่ีกลั่นออกมาเป็นนำ้ ใจในความสขุ
“ นำ้ ใจแม่ สะอาดแท้กว่าทกุ สง่ิ นำ้ ใจแม่สะอาดยิ่ง กว่าสง่ิ ไหน
น้ำใจแม่ สะอาดแท้ เกนิ สิ่งใด นำ้ ใจแม่ มีไว้เพ่ือลูกทุกคน
ลูกๆ ทงั้ หลาย เธอเห็นม้ยั ว่า แม่รกั ลูกขนาดไหน เพื่อลกู รักเพื่อความเจรญิ เติบโต
ของลูกแล้วแม้ว่าชีวติ ของแม่จะดบั ด้ินส้ินไปก็ตาม แม่ก็ยอมเสียสละเพ่ือลูกได้ แต่จะมีลกู สกั กคี่ น
ที่จะยอมเสียสละชีวติ เพื่อแม่ไดบ้ ้าง แตม่ ีลกู หลายคนทีท่ ำกับพอ่ กบั แม่อยา่ งหมูกับหมา ดถู กู แม่
ดถู กู พอ่ ของตัวเอง วา่ โง่เง้า..ง่ีเงา่ ...ไม่ทันสมัย ใช้พอ่ แมห่ าเงินเพื่อตัวเองจะไดใ้ ชอ้ ยา่ งสบาย
เหมือนววั เหมือนควาย เหมือนทาส เหมอื นขข้ี ้า เติบโตมาแลว้ นี่ เรยี กใช้อะไรก็ไม่ได้ แนะนำพร่ำ
สอนอะไรกก็ ไ็ ม่เช่ือ อบรมอะไรก็ไมฟ่ ัง ส่งั สอนอะไรกไ็ ม่จำ ทั้งๆ ทน่ี ้ำใจแม่ทแี่ ท้ คือปรารถนาดีต่อ
ลกู ปรารถนาดี รักทีบ่ รสิ ุทธต์ิ ง้ั แต่อยใู่ นทอ้ ง..พอโตขึ้นได้เรียนสงู กว่าทา่ น กลับประณามท่านทุก
สิ่งทุกอย่าง ว่าแมโ่ ง่ แม่ง่ีเง่า แม่ไม่ทนั สมัย แม่ใจร้าย แม่ใจดำ แม่เลว แมล่ ำเอียง แม่ไม่รกั
บางที กเ็ อาแมไ่ ปเปรียบเทียบกบั ส่ิงทเี่ รียกว่าสะใจ แมเ่ หมือนควาย เหมือนวัว แม่เป็นไดโนเสาร์
แมเ่ ป็นเต่าตุ่น บางทีแม่ด่า กเ็ พราะอยากให้ลูกดี ด่าตีเพราะลูกทำผิดในโลกน้ีไม่มีหรอกครบั พ่อ
แม่จะด่าจะตลี ูกโดยไม่มเี หตุผล เพราะเราผดิ จริงๆ ซึ่งแทนท่ีจะสำนึก...ไม่..กลับคร่ำครวญวา่ แม่
ไม่รกั แมไ่ มร่ ักแลว้ เกดิ หนูมาทำมั้ย แม่ไม่สมควรเป็นแมข่ องหนู หนเู กลียดแม่..หนไู มอ่ ยากเห็น
หนา้ แม่ น่ีคือ ลูกบางคนทำกับแม่....ซงึ่ แท้จริงแล้ว แมร่ ัก หวังดีตอ่ ลกู ตลอดมา คำเตือนก็เปน็ คำ
ดา่ ตเี พอ่ื ใหห้ ลาบจำก็เพอ่ื ไมใ่ หก้ ระทำอีก แตห่ าว่า ไมร่ ัก แม่....กลับถูกลูกตอ่ ว่าสาดเสียเทเสีย
อย่างเสียๆ หายๆ ทำใหท้ ่านต้องทำอยา่ งงัย...ถามว่าตอ้ งการอยา่ งงัย...ท่านตอ้ ง หวานอม ขม
กลืน กินท้ังนำ้ ตาของตนเอง อย่างเจบ็ ปวดรวดรา้ วในใจ รอ้ งให้ เพราะลูกร้อง ก้องให้ เพราะลูก
เจบ็ ร้องใหเ้ พราะลูกไม่เชื่อฟัง...แต่คร้ังแล้ว ครัง้ เล่า พอ่ แม่ก็อดทน ทนเพ่ือลูกได้เสมอ ใครคน
อ่ืนท่ีพอ่ แม่มีรกั พอ่ แมจ่ ะไมส่ นใจเลยว่าจะดีหรือไม่อยา่ งไร และใครกม็ าดถู ูกว่า พอ่ ว่าแม่ แบบ
ลูกวา่ พ่อแม่อย่างนไ้ี มไ่ ด้
ธรรมนิเทศ ๑๐๗
ซ้ำรา้ ย ลูกทเี่ ตบิ โตมีกำลงั เทา่ พ่อแม่ บางคน ประทุษร้ายตีพอ่ แม่ ด้วยมอื บ้าง ไม้บ้าง
คำพดู บ้างที่เหยียดหยามเลวทรามตำ่ ชา้ ....
เธอรู้มย้ั ..ว่า....แม.่ .ไมเ่ คยนึก ไม่เคยเฉลยี วใจเลยว่า...ลูก..ทีท่ ่านอุ้มท้องมาอย่าง
เธอ เจริญมาถึงปานน้ี...เธอจะทำใหแ้ มต่ ้องเจบ็ ชำ้ นำ้ ใจ ปวดร้าวแสนสาหัสเชน่ น้ีอกี แม่ได้แต่คดิ
ว่าลูกคงจะเป็นคนดี เป็นลูกทดี่ ี เป็นลูกที่มีความกตัญญรู คู้ ณุ เพราะวา่ แม.่ ....
“รกั ไม่เบอ่ื เกลียดไม่ลง เพราะสงสาร
นึกถึงตอนอมุ้ ทอ้ งต้องทรมาน
ใหด้ มื่ ธาร จากทรวงอกพกช้ำมา”
ตรงกนั ข้ามเมือ่ พอ่ แม่ ได้รบั ขา่ วรา้ ย ว่าลกู เลว ลูกไม่ดี ท่านได้แตเ่ สียใจ น้อยใจ
รันทดใจ และแม่ก็เฝ้าทจี่ ะโทษตวั เองเสมอว่า แม่เล้ยี งลูกไม่ดีเอง แม่ส่ังสอนลูกไม่ดี แม่ไม่เคยโทษ
ลกู เลยบางครงั้ ก็ท้อกะชีวิต ไหนจะต้องทำงาน หนักกาย ลำบากกาย ไหนต้องทกุ ขใ์ จลำบากใจ
อกี เพราะรกั ลกู ...แล้วลูกๆ และเธอละ....เป็นหว่ งแม่บา้ งไหม จะมลี กู สักกีค่ น...สกั กี่คน...พอกลับ
ถึงบ้าน เข้าไปก้มกราบทต่ี ัก ของพอ่ ของแม่ แลว้ ถามว่า พ่อจา่ ...แมจ่ ๋า...พอ่ แมท่ ำงานเหนอื่ ยไหม
วนั นี้...ทำงานหนักไหม...ใหล้ ูกช่วยอะไร หรือป่าว..พ่อแมพ่ กั ผ่อนก่อน ทำงานมาเหนือ่ ยมามาก
แล้ว ตอนนี้ผมโตแลว้ หนูโตแลว้ ใหผ้ ม..ใหห้ นูได้ทำงานเองบา้ งเถดิ ลูกจะชว่ ยพอ่ ...ช่วยแม่...ลกู
สงสารพ่อ...สงสารแมจ่ ัง....พดู แบบน้ี จะมีสักก่คี น ทำอย่างนส้ี กั กรี่ าย... พอทีจ่ ะบรรเทา ความ
ทุกขใ์ นยามเจบ็ ปวด คอยปรนนบิ ตั ิ อย่างใจจดใจจ่อ ด้วยความเคารพเทิดทูล และเปน็ ห่วงเป็นใย
แมแ้ ต่ พ่อแม่จะคอยถามว่า...เป็นอย่างง้ยั ลกู เรยี นหนังสือเหนื่อยมย้ั ..เป็นอะไร หรอื ป่าว...ทำม้ยั
พ่อแม.่ .อาทร ห่วงหาลูกปานนี.้ .กป่ี ีท่ี เราเกิดมาแล้วช่วยตวั เองไม่ได้...พอ่ แม่ทำใหท้ ั้งน้นั ...อาบนำ้
ให.้ ..อุจจาระปัสสาวะ...พอ่ แมก่ ็ล้าง.....เช็ด ไม่อยากให้ลูกนอนจมอยใู่ น นำ้ เยี่ยว...ข้.ี ..จะมีลูกสักก่ี
คนทไี่ ด้ตอบแทนบญุ คณุ อันใหญ่หลวงนี้
อนจิ จา ลกู บางคน อาย....อายทมี่ ีพอ่ แม่ที่ดๆี แบบน.้ี ...อายเพราะพอ่ แม่จน อยา่ งน้ัน
หรอื ลูก อายเพราะพ่อแมไ่ ม่มคี วามรู้เหรอ...แต่พ่อแม่ไม่เคยเลยที่จะมีลูกแบบไหน ลูกแบบไหน ก็
คือลูกของพอ่ ลกู ของแม่ ...หรอื ว่า กวา่ จะสำนึก รอใหท้ า่ นตายเสียกอ่ น....ทำความดหี ลงั ทท่ี ่าน
ตายเสยี กอ่ น.... กลบั ตัวกลบั ใจหลงั ทต่ี ายซะกอ่ น...ตอนพ่อแมม่ ีชีวิต ลกู เลว คอยทำแต่เรอ่ื งที่
ตอ้ งทำให้ พ่อแม่ รอ้ งให้ น้ำตาตก ตดิ เหล้า บหุ ร่ี กัญชา เฮโรอีน ทินเนอร์ ยาบ้าน ต่างๆ
นับต้ังแต่วันน้ีเป็นต้นไป วันน้ี จะเป็นวันท่มี ีความหมายย่ิงในชีวิต เป็นวนั ทลี่ ูกๆ จะมี
ความสำนกึ สำเนยี กในการทจ่ี ะแสดงความกตัญญูกตเวทีก่อนท่ีจะไม่มีพ่อไม่มีแม่ให้ปรนนบิ ตั ิ ทำ
ให้ท่านมคี วามสุขทั้งกายและใจ ท้ังทางใจใหม้ ีความสขุ อยา่ ไดก้ ระทำตัวทชี่ วั่ ช้าเหลวไหลเฉกเช่น
เหมอื นก่อนมากระทำอีก ถ้าพวกเธอทง้ั หลายจะทำนำความงดงามไปฝากพ่อ ฝากแม่ เธอจะทำ
เพอื่ ท่านไมไ่ ด้เชียวเหรอ....
“ถนอมดวงจติ วันทา หน้าพอ่ แม่ นอ้ มดวงแด บรรจง ลงกราบไหว้
นอ้ มเคารพ แนบสนิท ดว้ ยจติ ใจ นอ้ มฤทยั บชู า เปน็ อาจณิ
พอ่ แมจ่ า๋ ลกู บชู า อยูเ่ ป็นนจิ ขอมอบชีวิต กตญั ญู เปน็ อาจิณ
รักพอ่ แม่ เหนืออน่ื ใด ในแผ่นดนิ มอบชีวิน ให้พ่อแม่ อยา่ งแท้จรงิ
ธรรมนเิ ทศ ๑๐๘
ศิโรราบ กรานกราบ พระพอ่ แมแ่ ก้ว สำนึกแล้วความเลวเคยเหลวไหล
ณ บัดนี้ เวลาน้ี ณ ต่อไป ลกู สายใจ ของแม่ จะทำดี...
วันนจี้ ะมีลูกๆ ทกี่ ตัญญูรู้คุณ สำนกึ แล้วจะออกมาปฏิญาณตวั เอง ตรงหนา้ พระ
รัตนตรยั อีกท้ังเพ่ือนๆ วา่ จะเป็นคนดี จะทำความดี เพ่ือพ่อแม่...ของตัวเอง...พระอาจารย์ไม่
บังคับ ว่าใครจะกล้าออกมาหรือไมม่ า...การแสดงออกซง่ึ ความดีงามใครคดิ วา่ เป็นเร่ืองหน้าอาย
ก็ไม่ต้องออกมา....ใครเห็นว่า...เปน็ เร่อื งทง่ี ดงาม และตัง้ ใจจะตงั้ สัจจะอธฐิ าน ตั้งปณิธานใหพ้ ระ
อาจารย์ ท้ังหลาย และเพื่อนๆ ให้รับรู้ ความเลวทเี่ คยทำ กรรมชั่วท่ีปฏบิ ตั ิ เธอจกั เลกิ ...และจะ
เปน็ คนดตี อบแทน พระคุณ พอ่ แม.่ ..เชิญ ออกมา... (จบตัวอยา่ งการอบรมเยาชนวนั แม)่
๑๓. การสอ่ื ธรรมดว้ ยการเขียน
การเขยี นเป็นทกั ษะ ๑ ใน ๔ ของการสือ่ สารคอื ฟัง อ่าน พูด และเขียน ฉะนนั้ การ
เขยี นจงึ จำเปน็ ในการที่จะใชใ้ นการส่อื ธรรมเผยแผ่ธรรม เพือ่ ให้สอดคลอ้ ง และบรรลุเปา้ หมาย
อย่างมีประสทิ ธผิ ล จึงจำเป็นทจี่ ะต้องศึกษาทฤษฏีว่าด้วยการเขียน เพ่ือจะนำไปสู่ การเขยี น
บทความธรรมเพ่ือการเผยแผ่
การเผยแผธ่ รรมดว้ ยการพดู แม้จะเป็นปัจจัยสำคญั ในการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาใน
ยุคปัจจุบันแต่การเผยแผ่ด้วยการพดู หรอื เทศน์ก็มขี ้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น ผทู้ ่ีไม่สามารถรับสาร
ด้วยด้วยอาศัยหู ในการท่ีจะฟงั เสียง เม่อื บุคคลท่รี ับสารไม่สามารถไดย้ ิน การสือ่ สารทอ่ี าศัย
เสียงจึงเปน็ ปัญหาอุปสรรคในการส่อื สารธรรม การเขยี นกย็ ังเป็นอกี ทางเลอื กหน่งึ ทจี่ ะทำให้ผู้ท่ี
พบเห็นตัวหนังสือ บทความแผน่ พับ ฯลฯ สามารถทีจ่ ะรับสารไดโ้ ดยท่ีไมต่ ้องใชเ้ สียงในการ
สื่อสาร
อย่างไรก็ตามถา้ การสื่อสารธรรมไปสู่พุทธศาสนกิ ได้ท้งั ๒ ประเภท คือ สามารถได้
ยินท้งั เสยี ง และสามารถอ่าน ไดจ้ ากการเขียนที่ดีก็จะทำใหก้ ารสื่อสารหรอื การเผยแผธ่ รรม
เป็นไปไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ดังนั้น จึงจำเป็นที่ผู้เผยแผธ่ รรมควรทจ่ี ะศึกษาในเร่อื งของการ
เขยี นบทความ โดยเฉพาะการเขยี นบทความธรรม
๑๔. ความหมายของการเขยี น
การเขยี นเป็นการส่ือสารด้วยตัวอกั ษรเพือ่ ถ่ายทอดความรู้ ความนึกคิด อารมณ์
ความรสู้ ึก ประสบการณ์ ขา่ วสารและจิตนาการจากผเู้ ขียนไปสผู่ ู้อา่ น๗ ซ่งึ การเขยี นกย็ ังต้อง
เข้าใจต่อไปอีกว่าการเขยี น เขียนเพ่ืออะไรมีจุดมุ่งหมายว่าจะอธบิ าย เขยี นเพ่ือแสดงความ
คิดเห็น เขียนเพื่อสรา้ งเรื่องจิตนาการ เขยี นเพื่อโนม้ นา้ วจติ ใจ เป็นต้น
จากการศึกษาเก่ยี วกับการเขียนเราสามารถได้แบง่ ประเภทของการเขยี นไว้ ดังนี้.
๗ ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศลิ ปกร.ภาษากบั การส่อื สาร.โรงพิมพ์มหาวิทยาลยั
ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจนั ทร.์ นครปฐม : ๒๕๔๐. หนา้ ๑๖๙.
ธรรมนเิ ทศ ๑๐๙
๑๔.๑. การเขยี นยอ่ หนา้ คือ การเขยี นข้อความหรือกลมุ่ ประโยคทแ่ี สดงความคิด
สำคญั เดียงอย่างเดยี วและเปน็ ส่วนของงานเขียนเรอ่ื งหน่งึ ๘
๑๔.๒. การเขยี นเรียงความ คอื งานเขียนที่ผเู้ ขียนมีจดุ ประสงค์จะถ่ายทอดความรู้
ความคิด ทรรศนะ ความร้สู ึก ความเข้าใจออกมาเป็นเร่ืองราวด้วยถอ้ ยคำสำนวนท่เี รยี บเรยี ง
อยา่ งชัดเจนและท่วงทำนองของการเขียนท่หี น้าอ่าน๙
๑๔.๓. การเขยี นบทความ คือ งานเขียนท่ีผู้เขียนมุ่งเสนอความคิด ความรูท้ เ่ี ปน็
ขอ้ เทจ็ จริงและเรือ่ งราวที่เกิดข้ึนจริงในขณะนั้น รวมท้ังเสนอทรรศนะของผ้เู ขียนท่มี ีต่อเร่ืองราว
เหตุการณ์หรอื ปัญหานัน้ ๆ ผ้อู ่านบทความนอกจากจะได้รับความรู้ ความคิด แล้วยงั ได้รบั ความ
เพลิดเพลินอีกด้วย๑๐
๑๔.๔. การเขียนสรุปความ เป็นทกั ษะการเขยี นที่สืบเนอื่ ง และสัมพันธก์ ับการอ่าน
จบั ใจความ กลา่ วคอื เป็นการส่ือสารใหผ้ เู้ ขียนตอ้ งแสดงทง้ั สมรรถภาพในการอา่ นจับใจความ
ถูกต้อง ตรงประเด็นและสามารถเรียบเรยี งภาษาสรปุ ประเด็นได้ถกู ต้องชดั เจน ต่อเนื่อง
สละสลวย เปน็ ภาษาเขียนท่ีดีด้วย๑๑
๑๔.๕. การเขยี นจดหมาย คือ หนังสือท่ีใชต้ ดิ ต่อส่อื สารแทนการติดต่อกนั ดว้ ย
วาจา๑๒
๑๔.๖. การเขยี นรายงานทางวิชาการ หมายถึงผลของการศึกษาคน้ ควา้ เร่อื งทาง
วิชาการทเ่ี รยี บเรยี บขึ้นอย่างมีแบบแผน เพ่อื เสนอเป็นสว่ นประกอบการศึกษาวิชาการต่างๆ
การทำรายงานจึงเป็นการศึกษาดว้ ยตนเอง อันจะทำใหม้ ีความรู้ความเข้าใจเร่อื งท่ีศกึ ษาได้ดี
ยงิ่ ขึ้น๑๓
๑๕. การเขียนบทความธรรม
๑๕.๑. จดุ ม่งุ หมายของการเขยี นบทความธรรม
การเขียนบทความธรรม เปน็ ระบบการสอ่ื สารหรือการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสว่ น
หนึ่งจากผู้ส่งสารไปยังผูร้ ับสาร ซ่ึงการเขยี นบทความธรรมมีจุดม่งุ หมาย หลายประการ คอื
๑๕.๑.๑. เขยี นเพือ่ ชักชวน คือการเขยี นบทความธรรมเพือ่ ท่จี ะชกั ชวนใหม้ า
เห็นถงึ ความจำเป็นของชีวิตทจ่ี ะต้องอาศัยหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา มาใชใ้ นการดำเนิน
ชวี ิต
๘ เรอื่ งเดยี วกนั . หนา้ ๑๘๑.
๙ เร่อื งเดียวกัน.หนา้ ๒๐๐.
๑๐ เรื่องเดียวกนั .หน้า ๒๑๖.
๑๑ เรือ่ งเดียวกนั . หนา้ ๒๒๙.
๑๒ เรอ่ื งเดียวกนั . หนา้ ๒๓๖.
๑๓ เร่อื งเดียวกนั . หนา้ ๒๕๖.
ธรรมนเิ ทศ ๑๑๐
๑๕.๑.๒. เขยี นเพ่อื ช้ีชดั คอื การเขียนบทความธรรมเพอ่ื ที่จะช้ีชดั เห็นแจง้ เห็น
ความเปน็ จริงของสารถะแห่งความเป็นกฎแห่งอริยสัจจ์ ๔ สรรพส่ิงเกิดขึน้ สลายไป เพราะ
อาศยั เหตุปจั จัยแห่ง ปฏิจสมุปบาท
๑๕.๑.๓. เขียนเพอ่ื ชักนำ คือ ธรรมนำชีวติ ไปสคู่ วาม สบง นิพพาน สันติ วิมุต
มรรค เป็นต้น
๑๕.๒. ประเภทของบทความ
๑) พทุ ธประวัติ ประวตั พิ ทุ ธสาวก ประวตั ิพุทธสาวิกา
๒) วันสำคญั ทางพระพุทธศาสนา
๓) ธรรมเพ่ือการปฏิบตั ิ
๔) ผลของธรรม
๑๕.๒.๑. การเขยี นบทความทเี่ กยี่ วเนอื่ งพุทธประวตั ิ ประวตั ิพทุ ธสาวก-
สาวิกา เป็นการเขยี นเรื่องราวพทุ ธจริยวตั ร ข้อปฏิบตั ิตน พุทธกจิ อันท่ีจะดำเนนิ ไปสู่การท่ี
พัฒนาตนเองของพระพทุ ธเจ้าและเหล่าพระสาวกในการบำเพญ็ บารมจี นไปสจู่ ุดมุง่ หมายแหง่
การดำเนินชีวติ ของพระองค์ การเขยี นบทความเก่ยี วพทุ ธประวัติ ควรอาศยั หลักการการสรา้ ง
โครงเรื่อง กล่าวคือ ความนำ เนอื้ หา และบทสรุป กจ็ ะกลา่ วถงึ พระพุทธเจ้า พทุ ธสาวก
ประสบผลสำเรจ็ อะไรในชีวิต แล้วกอ็ ธิบายเรือ่ งราวการปฏบิ ัตติ นว่า ทรงปฏิบัติตนอยา่ งไร มี
แนวทางในการปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร สุดทา้ ย สรปุ สุดทา้ ยผู้เขยี นบทความธรรมก็จะชักชวนให้ผู้อา่ น
เห็นพุทธกิจ พุทธจริยวตั ร เปน็ เรอื่ งทที่ กุ คนควรปฏบิ ัตติ าม
๑๕.๒.๒.การเขยี นบทความธรรมเนอ่ื งในวันสำคญั ทางพระพุทธศาสนา ก็จะ
เป็นการเขยี นเพื่อให้ทราบถึงความเป็นมาของวนั สำคัญดังกลา่ ว เมอื่ ทราบความเปน็ มาของวนั
สำคัญในฐานะชาวพุทธควรทราบความเป็นมาอยา่ งไร และวันสำคัญดังกว่าให้ข้อคดิ แสดงถงึ
ความดงี ามท่ชี าวพุทธควรระลกึ เช่นไร ตลอดจนถึง วันสำคญั ดังกวา่ ในฐานะท่ีเป็นชาวพุทธ
ควรปฏิบตั ติ นในวันสำคัญอย่างไร เพื่อส่งเสรมิ ชีวิตใหเ้ กดิ ความดีงามในการที่จะรกั ษา
หลักธรรม เชน่ ศีล ทาน ภาวนา เปน็ ต้น
๑๕.๒.๓. การเขยี นบทความธรรม ธรรมอนั ท่ีจะนำพาตนเองควรจะต้องปฏิบัติ
ขอ้ ควรละเว้นทจ่ี ะกล่าวและนำเสนอใหเ้ ห็นถึง ธรรมของพระพุทธเจา้ มคี วามเหมาะสมกับทุกเพศ
ทุกวยั เป็นธรรมท่ีเหมาะสมกับกาลสมยั คือทนั สมยั ตลอด การเสนอบทความธรรม จะ
กลา่ วถึงความหมายของธรรม มีความหมายอยา่ งไร คุณประโยชน์ของผู้ที่ปฏิบตั ิธรรม และไม่
ปฏิบตั ธิ รรมก่อใหเ้ กิดผลอย่างไร
๑๕.๒.๔. การเขยี นบทความธรรมท่แี สดงผลของธรรม การเขยี นบทความใน
ลักษณะน้ีก็จะนำผลของการปฏบิ ัติธรรมมาแสดงมาเขยี น เชน่ เร่ือง มรรค ผล นพิ พาน วิ
สุทธิ วิมตุ ฌาน ฯลฯ ซึง่ เปน็ การนำเอาผลของการปฏิบัตธิ รรมมาเป็นประเด็นในการเขียน แล้ว
กจ็ ะเสนอวธิ กี ารไปสู่ผล แหง่ การบรรลุธรรมดงั กล่าว
********** *
ธรรมนิเทศ ๑๑๑
คำถามท้ายบท
๑. ทา่ นคดิ ว่า จากการศกึ ษาวิชานีท้ า่ นได้รบั ความรู้ ซงึ่ สามารถนำไปปฏิบตั ิได้จรงิ ได้
หรือไม่ อย่างไร?
๒. คณุ สมบตั พิ ระนกั เทศน์ อยา่ ง เชน่ พระธรรมกถกึ ตอ้ งเป็นพระนักเทศนเ์ ช่นไรจง
อธิบาย?
๓. ธรรมมหาชาตชิ าดก มีทง้ั หมด ก่ี กัณฑ์เท่าไร อะไร บา้ ง?
๔. สำนวนการแตง่ ธรรมเทศน์มหาชาติ แบ่งออกเป็นกี่สำนวนอะไรบา้ งใครเป็นผู้แตง่ ?
๕. จากการศึกษาธรรมพระเวสสนั ดรชาดก ทา่ นได้รับประโยชน์จากการศึกษาน้ี
อยา่ งไร?
***********
บทท่ี ๘
ธรรมท่ใี ชใ้ นการเทศน์
๑. ความนำ
ในสภาวะการณ์ที่ ไม่สู้ดนี ัก ธรรมะทใี่ ชใ้ นการนิเทศกอ่ นอ่ืนกต็ ้องศึกษาว่า เรา
จะนิเทศหรือแสดงธรรมในกลุ่มเป้าหมายคอื ใคร มอี าชีพ อะไร วยั เทา่ ไร เพราะข้อมูล ส่วนน้ีมี
ประโยชน์ในการที่จะเลือกหัวข้อ ในการที่จะหาข้อมูล แล้วเวลาแสดงธรรมก็จะได้เหมาะสมกับ
ผู้รับสาร ตรงตามทฤษฎีของนิเทศธรรมนิเทศที่จะควรใช้ในการนิเทศ ก็ควรจะหาข้อธรรมที่
กลุ่มเป้าหมายหรือผู้รับสารใหต้ รงอาทิ เชน่ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ระดบั คือ
๑. ระดับเด็ก หมายถึง ระดับเด็กที่พอจะรู้จักอะไรเป็นอะไร ระดับนี้ผู้สอนควรและ
จำเป็นที่จะต้องรู้จักปลูกฝัง คุณธรรมใส่ในใจเขา คุณธรรมที่เป้นความรัก ความเมตตา ความ
กตัญญูรู้คุณคน ความเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ เจือจาน แบ่งปัน รู้จักความรับผิดชอบตัวเอง ซื่อสัตย์
สจุ รติ เป็นตน้
๒. ระดับวัยรุ่น ก็จะปลูกฝังการคบค้าสมาคม กับเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อต่างเพศ
เพื่อต่างวัย รู้จักคุณโทษ ของการคบเพื่อน เพื่อนที่ดีเป็นเช่นไร เพื่อนไม่ดีเป็นเช่นไร ปลูกฝัง
ค่านิยมเวลา ความซื่อสัตย์ สอนสังคมยอมรับอะไร สังคมไม่ยอมรับอะไร ชี้คุณ โทษของคิด
อะไรผิดๆ นอกลู่นอกทาง รู้จักความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองเป็นสำคัญ สำเนียกรู้เรียน
บทบาทหน้าที่ที่ตนกำลังเป็นอยู่ เป็นลูกก็เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นนักเรียนก็เป็นนักเรียนที่ดี
ของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นประชาชนคนไทย ก็จงรักภักดีต่อ
ชาตบิ ้านเมือง
๓. ระดับคนท่มี ีครอบครัวควรที่จะออกเรอื น มีคณุ ธรรมและธรรมระดบั น้มี ากมาย
ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสธรรม รู้จักประกอบอาชีพอย่างสุจริต เลือกคู่ครองที่เหมาะสม รู้จักหา
ทรัพย์ ใช้จ่ายทรัพย์ที่หามาได้ ความรับผิดชอบต่อสังคมสว่ นรวม และคุณธรรมระดับแรกๆ ที่
ส่ังสมก็นำมาดำเนนิ ชีวิตประจำวัน
๔. ระดับสูง ระดับที่แสดงหาธรรมชั้นสูงใส่ตัว เพื่อความหลุดพ้น เพื่อจิตอันสงบ
เพอื่ การผกั ผ่อนทางสังขาร ร่างกาย ดูแลใจ ให้สงบ ไม่หวน่ั ไหว แต่กไ็ ม่ทงิ้ การบำเพ็ญประโยชน์
ต่อสังคมทั้ง ๔ ระดับดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผู้ที่จะนิเทศธรรม ควรพิจารณาให้อย่างเหมาะสม
เดก็ นกั เรยี นท่ีเรียนอยู่ ก็ไมค่ วรเน้นเนื้อหาถึงการปฏบิ ตั ิเพื่อใหห้ ลดุ พ้น ธรรมะของพระพุทธเจ้า
เหมาะสมกับบุคคลทุกกาลทุกสมัย แต่จะใช้หมวดไหน ข้อไหนในการแนะนำนิเทศ และใช้ในการ
ดำเนนิ ชวี ิตประจำวันอันน้ี ก็ควรอย่างไร ก็ตอ้ งช้แี นะ แนะนำกนั ต่อไป และถา้ ไม่มีโอกาสจะได้รับ
คำชแ้ี นะจากใครอันนีก้ ็สุดแล้วแต่ สติปัญญาของมนุษย์ทกุ หมู่เหลา่ จะแสวงหากันเอง
ดังนั้น ในบทนี้เราจะศึกษาธรรมที่เหมาะสมของผู้รับสาร หรือกลุ่มเป้าหมายส่วน
ใหญ่ พระสงฆ์จะแสดงธรรมให้กับชาวบ้านจะเป็นผู้รับสาร ดังนั้นธรรมะที่จะให้ชาวบา้ น ก็ควรท่ี
จะให้สอดคลองกับสภาวะการณ์ เราเรียกผู้รับสาร ตามทฤษฎีของนิเทศ ก็คือ ฆราวาส มิใช่
นักบวช ฆราวาส คือ คนที่กำเนินชีวิตตามบ้าน เรียกว่า ชาวบ้าน ทางพระพุทธศาสนาเรียก
ธรรมนิเทศ ๑๑๓
ผู้รับสารเหลา่ นีว้ ่าฆราวาส ดังนั้นธรรมที่เหมาะสม เราเรียกว่า ฆราวาส นอกจากธรรมสำหรบั
ฆราวาสแล้วพระองค์ก็ยังได้แสดงหลักธรรมสำหรับการครองเรือนอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนแต่
เป็นธรรมสำหรับฆราวาส ดังนั้น นักธรรมนิเทศ หรือพระสงฆ์ผู้เผยแผ่พระศาสนาตระหนักและ
นำธรรม อนั มนิ อ้ ยน้ไี ปแสดงให้กับผคู้ รองเรือนกันตอ่ ไป
๒. ฆราวาสธรรม
๒.๑. ธรรมสำหรบั ผู้ครองเรอื น มี ๔ ประการ ฆราวาสธรรม๑ ๔ (ธรรมสำหรับ
ฆราวาสธรรมสำหรับการครองเรือน,หลักการครองชีวติ ของคฤหัสถ์
๒.๑.๑ สัจจะ (truth and honesty) แปลว่า ความจริง ซื่อตรง ซื่อสัตย์
หมายถึง ชีวิตของคนที่จะเป็นฆราวาสต้องเป็นคนที่มีความจริงใจ พูดจริง ทำจริง เรียกว่าเป็น
คนจริง ไม่ใช้ไรสาระใช้ชีวิตสกั แตห่ าใจไปวนั ๆหนึ่ง ไม่มีความซื่อตรง ซื่อสัตย์ ต่อหน้าทีก่ ารงาน
อาชีพของตัวเอง ไม่เป็นคนทรยศหักหลังอาชีพหน้าที่การงานของตน ตั้งใจจริงในการปฏิบัติ
หนา้ ทท่ี ีส่ ังคมมอบหมาย หนา้ ที่สถานะตนเองเป็นอย่างซอื่ สตั ย์
๒.๑.๒ ทมะ (adjustment) แปลว่า การฝึกฝน การข่มใจ ฝึกนิสัย ปรับตัว
รู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหัดดัดนิสัยแก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรุงตนให้เจริญก้าวหน้าด้วย
สติปัญญา หมายถึงการรู้จักการข่มจิตใจ นิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รอมชอม ให้อภัยกัน เพราะแม้
จะถูกใครเยาะเย้ย ดูแคลน ก็ต้องอดทน หรือทำงานอย่างเต็มที่อย่างตั้งใจ แต่กลับถูกให้ร้าย
เวลาทำงานพลาดมแี ต่คนคอยซำ้ เติม มธี รรมะ ขม่ จติ ใจให้ตกอยภู่ าวะเส่อื มได้
๒.๑.๓. ขันติ (forbearance; tolerance) แปลว่า ความอดทน ตั้งหน้าทำ
หน้าทก่ี ารงานด้วยความขยันหม่ันเพียร เข้มแข็ง ทนทาน ไมห่ วั่นไหว มน่ั ในจดุ หมาย ไม่ท้อถอย
หมายถงึ อดทนตรากตรำทำงาน หน้าทีแ่ มจ้ ะต้องทุ่มเท แรงกายแรงใจ เหนด็ เหนอื่ ย ร้อนก็ต้อง
ทน ตากฝน กต็ อ้ งทำไม่บน อดทน กับสภาวะอาการสภาพแวดลอ้ มที่ เยน็ หนาว รอ้ น เปน็ ต้น
๒.๑.๔. จาคะ (liberality; generosity) แปลว่าความเสียสละ สละกิเลส สละ
ความสุขสบายและผลประโยชน์ส่วนตนได้ ใจกว้าง พร้อมที่จะรับฟังความทุกข์ ความคิดเห็น
และความต้องการของผู้อื่นพร้อมที่จะร่วมมือ ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่คับแคบเห็นแก่ตน
หรือเอาแต่ใจตัว รู้จักหยบิ ยื่นแบ่งปันความสุขที่พอมีให้กับคนเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ตลอดจนถึง
การเสียสละความชั่ว ความไม่ดีในงามในจิตใจที่เรียกว่า เสียสละสิ่งที่เป็นอกุศลในจิตใจของตน
ใหห้ มดไป เปน็ ตน้
๒.๒. การมีคคู่ รองออกเรอื นมคี รอบครัว
การครองเรือนหรือชีวิตสมรส คือการที่ชายและหญิงมีความพอใจในรสสัมผัสซึ่ง
กันและกันตกลงทจี่ ะใชช้ ีวิตครู่ ่วมกัน จะเผชิญกบั ปัญหาร่วมกัน และมีความพยายามท่ีจะดำเนิน
ชีวิตร่วมกัน เพื่อความสุขในการครองเรือน การที่บุคคล ๒ คน ซึ่งต่างก็มีพื้นฐานจาก
ครอบครัวเดิมต่างกัน มีความคิด ค่านิยม รสนิยมต่างกัน มาอยู่ร่วมกัน ย่อมก่อให้เกิดปัญหา
ครอบครวั จะมสี ุขได้ เพราะด้วยเหตุจากการประพฤติตนของสามภี รรยา บุคคลทั้งสองนี้เป็นผู้ท่ี
มีความสามรถดลบันดาลให้ครอบครัวนั้นๆ เป็นสวรรค์น่าอย่หู รือเป็นนรกก็ได้ ดังนั้นการเลือก
๑ สํ.ส.(ไทย)๑๕/๘๔๕/๓๑๖; ข.ุ สุ.(ไทย)๒๕/๓๑๑/๓๖๑.
ธรรมนิเทศ ๑๑๔
ใครมาเป็นคู่ครองของตนนั้น พระพุทธเจ้าทรงเสดงสมชีวิกถา๒ ๔ ข้อ คือเหตุที่ทำให้คู่สมรส
ครองเรือนอยดู่ ้วยกันไดอ้ ย่างยืดยาว ไดแ้ ก่
๒.๒.๑. สมสัทธา (to be matched in faith) ให้เลือกบุคคลที่มีความเชื่อ
เลื่อมใสในศาสนาหรือสิ่งเคารพบูชาต่างๆ เหมือนกัน มีความคิดเห็นในเรื่องหนึ่งเหมือนกัน มี
จดุ มงุ่ หมายในชวี ติ เหมอื นกัน ตลอดจนมีรสนยิ มตรงกนั
๒.๒.๒. สมสีลา (to be matched in moral conduct) ให้เลือกบุคคลที่มี
ความประพฤติ ศีลธรรม จรรยา มารยาท มีพื้นฐานการอบรมพอเหมาะสอดคล้องกันไปกันได้
หรืออยูใ่ นระดบั เดยี วกัน จะได้ไม่เปน็ เหตุใหเ้ กิดความรงั เกียจซึ่งกนั และกัน
๒.๒.๓. สมจาคา (to be matched in generosity) ให้เลือกบุคคลที่มีความ
เอ้ือเฟื้อเผอื่ แผ่ โอบอ้อมอารี มีใจกว้าง มีความเสียสละ มคี วามพรอ้ มทจ่ี ะชว่ ยเหลอื เกอ้ื กูลผู้อื่น
เหมือนกับเราเวลาทั้งเขาและเราบริจาคให้ทาน ก็จะได้ไม่มาบ่นกินแหนงแคลงใจ แต่ถ้าเสมอกัน
ด้วยจาคะ ก็จะอนุโมทนาอิ่มเอิบไปกับการกระทำของการบริจาคของฝ่ายหนึ่งที่ทำไป บุคคลท่ี
เสมอกันด้วยจาคะนีจ้ ะทำใหค้ รอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข เพราะเมื่อคนเราอยู่ด้วยกนั ก็ต้องเสยี สละ
ทัง้ ทรพั ย์สินเสียสละความสขุ ของตน เพ่ือเกื้อกูลซ่งึ กันและกนั
๒.๒.๔. สมปัญญา (to be matched in wisdom) ให้เลือกบุคคลที่มีปัญญา
เสมอกัน คือ รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ไม่ใช้ประโยชน์ มีการ
ใช้ความคิดเพื่อแก้ปัญหา นอกเหนือจากการเลือกคู่ครองโดยใช้หลักสมชีวิกถา ๔ แล้ว
พระพทุ ธเจ้าทรงสอนให้เลอื กคนท่ีมีลกั ษณะ ๔ อย่างดังต่อไปนี้มาเปน็ คู่ครอง เพ่ือประโยชน์สุข
ในปัจจบุ นั ชาติ (ทิฎฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์)
๑. เลอื กบคุ คลที่มคี วามขยนั ในการประกอบอาชพี
๒. เลอื กบคุ คลทเ่ี ป็นคนประหยัด รู้จักอดออมทรัพย์
๓. เลือกบคุ คลที่รจู้ กั คบคนดีเป็นเพื่อน
๔. เลือกบคุ คลท่ีมีการเลีย้ งชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรพั ย์ท่ีหามาได้ ไม่
ไห้ฝดื เคอื งนกั ไมใ่ ห้ฟุง้ เฟอ้ นัก เมือ่ ผ่านขน้ั ตอนการเลือกคู่แลว้ การอยู่รว่ มกันเป็นสามีภรรยา
ทง้ั คจู่ ะต้องมีหน้าท่ีท่ตี อ้ งปฏบิ ตั ิตอ่ กนั ดงั น้ี สามีภรรยาเป็นบคุ คลทพี่ ึ่งเป็นพึ่งตายซึ่งกนั และกัน
ฉะนั้น ที่วา่ สามี ภรรยา จึงเหมือนกบั การร่วมชีวิต กอ่ นแตล่ ะคนเคยมีใจ คนละดวง
จะทำอะไรกต็ ามใจดวงเดียวได้ แต่เมื่อเวลาแต่งงาน กลายเป็นหัวใจสองดวงทต่ี อ้ งแบง่ ปัน สละ
เพอื่ อีกดวงหนงึ่ มันกอ็ าจจะเกดิ ปญั หา แต่ถา้ ก่อนจะแตง่ งานอย่รู ่วมกันต้องคิดเสมอว่ากำลัง
จะเอาใจสองดวงมาหลอ่ หลอมเป็นใจดวงเดยี วกัน วา่ จะเข้ากันได้หรือไม่ น่ันหมายถงึ สมชีวิ
ธรรม ๔ ดังกล่าวรวมเป็นใจดวงเดียวกัน พระพทุ ธเจ้าทรงส่ังสอนให้มีความซื่อสัตยต์ ่อกัน ไปไม่
ประพฤตนิ อกใจกันและกัน เพราะการทำเช่นน้นั เปน็ การทำรา้ ยจิตใจของกันและกัน ท่านทรง
สอนเปน็ คู่สมรสมีสัจจะคือจริงใจ หรือซื่อสัตยต์ ่อกัน สอนให้มีจาคะ เสียสละให้ปันกัน ได้ทรัพย์
มาก็จัดสรรทรัพย์ทหี่ าได้ร่วมกัน ใช้ร่วมกัน ไม่ตระหนี่ถี่เหนยี ว ทา่ นทรงสอนใหม้ ีทมะ คือรู้จักขม่
ใจ รจู้ กั ควบคุมอารมณ์ ระงบั อารมณ์ หรอื ความรู้สกึ ต่อเหตุบกพร่องของกันและกัน และเม่ืออยู่
ร่วมกันบางชว่ งของชีวติ คู่ คนใดคนหน่งึ อาจจะเจบ็ ป่วยประสบเคราะห์กรรมต่างๆ ค่สู มรสก็
ตอ้ งมคี วามอดทน (ขันติ) ต่อเหตุการณ์ตา่ งๆ อดทนต่อกัน คุณธรรมทั้ง ๔ นี้คือ ฆราวาสธรรม
ซ่ึงถ้าสามีภรรยาปฏิบัติตามแลว้ ครอบครัวกจ็ ะมีความสขุ ซ่ึงจะเห็นได้วา่ ฆราวาสธรรม ๔ ยัง
๒ องฺจตุกฺก.(ไทย)๒๑/๕๕/๘๐.
ธรรมนเิ ทศ ๑๑๕
เปน็ ธรรมเชอ่ื มประสานใจสองดวงใหเ้ ป็นดวงเดยี วกันได้เปน็ อย่างดี คือ อยู่กันสองคนสอง
ดวงใจประสานเป็นใจดวงเดยี วกัน กต็ ้องซ่อื สัตว์ตอ่ กนั ไม้นอกใจกัน อยู่ด้วยกนั สองคนกต็ า่ ง
จติ ตา่ งใจอาจจะกระทบกระทง่ั กันก็ต้องรจู้ ักระงับขม่ ใจควบคุมอารมณ์ เม่ือควบคุมอารมณจ์ าก
ใจสองดวงเข้าด้วยกันแลว้ ก็ต้องมีความอดทนตรากตรำช่วยกันแสวงหาทรพั ย์ยอมลำบาก
กายเพ่อื สบายในภายหน้ายามมีทรพั ย์ไว้ได้ใชเ้ ป็นตน
เพราะความทเี่ ปน็ ฆราวาส คือการออกเรือนสิ่งจำเป็นท่ีจะตอ้ งมกี ค็ ืออาชีพเงินทอง
เพ่ือจะเปน็ เครื่องแลกเปล่ยี นส่ิงบางสงิ่ ท่ีตนเองขาดไป ต้องมีเงินไปแลกอาหารมาบรโิ ภค ตอ้ ง
เอาเงินไปแลกเคร่อื งนุ่งหม่ ปดิ กายา ต้องเอา เงินไปแลกความเจบ็ ไข้ไดป้ ว่ ยแม้ไม่หายสนิทแต่
บรรเทาลงไป หรอื หายไปก็ดกี ต็ ้องเอาเงนิ ไปแลก หรอื ต้องเอาเงินไปแลกท่อี ยอู่ าศัยเพอ่ื เปน็ ที่
พกั พิงร่างกายยามอ่อนแอ เหนอื่ ยเหมื่อยล้าดงั น้นั ชีวติ ฆราวาสจึงจำเป็นตอ้ งมีเงนิ ทอง ซง่ึ เงนิ
ทองก็ไมไ่ ด้นกึ จะมาก็มาได้ ตอ้ งเอาแรงกาย แรงสตปิ ญั ญามาอย่างสุจรติ ในทางพระพุทะ
ศาสนาไดก้ ล่าวถึงชีวิตฆราวาสธรรมสำหรบั หาเงิน และรักษาเงินไว้ดงั น้ี
สมยั หนึ่ง พระพทุ ะเจ้าประทบั อยู่ ณ นิคมของชาวโกฬยิ ะ ช่ือวา่ ภักกรปตั ตะ ในครั้ง
น้ันมีชายคนหนง่ึ ชอ่ื ทฆี ชาณุ หรอื อกี นานหนงึ่ ว่าพญัคฆปัชชะ ได้เขา้ ไปเฝ้า แล้วกราบทลู วา่ “ข้า
แต่พระองค์ผ้เู จริญ ข้าพระองคเ์ ป็นคฤหัสถ์ ยงั บริโภคกาม อยคู่ รองเรอื น...ยงั ยนิ ดีทองและเงิน
ของพระผู้มพี ระภาคโปรดแสดงธรรม ทีเหมาะสมแก่ข้าพระองค์ อันจะพึงเป็นไปเพ่ือประโยชน์
เพ่ือความสุขในปัจจบุ ัน เพอ่ื ประโยชน์และความสุขในภายหน้าเถิด พระเจา้ ข้า”พระพุทธองค์ได้
ตรสั ว่า “พอัคฆปชั ชะ! ธรรม ๔ ประการน้ี ย่อมเป็นไปเพือ่ ประโยชน์ และเพอ่ื ความสุขในปจั จบุ ัน
แกก่ ลุ บุตร คือ
๑) อุฎฐานสมั ปทา๓
๒) อารักขสัมปทา
๓) กัลป์ยาณมติ ตตา
๔) สมชวี ิตา...”
ลายแทง ๔ ข้อน้ี จัดว่าเป็น “หัวใจเศรษฐี” ท่พี ระพุทธเจ้าประทานแก่ทีฆชาณุ ทเี่ รา
เอา มาย่อวา่ อุ อา กะ สะ มคี ำอธบิ ายโดยย่อ ดังนี้
อุ ยอ่ มาจาก อุฏฐานสมั ปทา คือ การถึงพร้อมด้วยความหมนั่ คือ ขยันหม่ันเพยี ร
ในการประกอบอาชีพที่สุจรติ วา่ กันตรงๆ กค็ อื การไมเ่ กียจคร้านน่ันเอง
อา ยอ่ มาจาก อารักขสัมปทา คือ การถึงพร้อมด้วยการรักษา คือ รกั ษาทรัพย์ที่
หามาได้ ด้วยความหมั่นไม่ใหเ้ ปน็ อันตราย หรือหมดไปในทีท่ ี่ไม่เป็นประโยชน์
กะ ยอ่ มาจาก กัลยาณมิตตตา คอื การมเี พอื่ นเปน็ คนดี ไม่คบคนช่ัว
สะ ย่อมาจาก สมชวี ติ า คือ การมีความเปน็ อยทู่ ่พี อเหมาะพอดี ไดแ้ ก่การเลีย้ งชีวิต
ตามสมควรแกก่ ำลงั ทรัพย์ ที่หามาได้ ไม่ให้ฝืดเคืองนกั และไมใ่ ห้สลุ ยุ่ สุรา่ ยนัก ซงึ่ ก็สามารถมี
ทรพั ย์ได้ และเมอ่ื มีทรัพย์พระองค์ได้ตรัสถงึ ความสุขของการมที รัพย์ เรยี กว่า ดังนี้
๑ . อตั ถิสขุ ๔ (bliss of ownership) สขุ ทีเ่ กิดจาการมีทรัพย์
๒. โภคสุข (bliss of enjoyment) สุขที่เกดิ จาการใช้จา่ ยทรพั ย์
๓. อัณณสุข (bliss of debtless ness) สขุ ที่เกิดจากความไม่เป็นหนี้
๓ องอฺ ฎฐก.(ไทย)๒๓/๑๔๔/๒๘๙.
๔ องฺจตุกฺก.(ไทย)๒๑/๖๒/๙๐.
ธรรมนเิ ทศ ๑๑๖
๔. อนวัชชสุข (bliss of blamableness) สุขทเ่ี กิดจากการทำงานไมเ่ ปน็ โทษ
เมอื่ ดำเนินชีวิตในครอบครัวพอมคี วามสุขแล้วความเอ้ือเฟ้อื แบ่งปันสงั คมก็
ขยายตัวออกสู่สังคม คอื การช่วยเหลือสังคม เอื้อเฟื้อคนที่เขามีความลำบาก มคี วามทุกข์ท่ี
มากใหเ้ บาบางลง หรอื มีน้อยกใ็ ห้หมดไปคณุ ธรรมของฆราวาสในฐานะชาวบ้านองค์ธรรมน้นั ก็
คอื “พรหมวิหาร”
๓. พรหมวิหาร
๓.๑. ความหมายของพรหมวิหาร๕ ๔
พรหมวิหาร แปลวา่ ธรรมของพรหมหรือของทา่ นผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเปน็
หลกั ธรรมสำหรับทกุ คนเป็นหลักธรรมประจำใจทจ่ี ะช่วยใหเ้ ราดำรงชีวติ อยู่อย่างประเสริฐและ
บรสิ ทุ ธ์หิ ลกั ธรรมนไี้ ด้แก่
เมตตา ความปรารถนาให้ผู้อน่ื ได้รับสุข
กรุณา ความปรารถนาให้ผู้อ่นื พ้นทุกข์
มุทติ า ความยินดเี มื่อผู้อื่นไดด้ ี
อุเบกขา การรู้จกั วางเฉย
๓.๒. คำอธบิ ายพรหมวหิ าร ๔
๓.๒.๑. เมตตา (loving-kindness; friendliness) ความปรารถนาให้ผู้อื่น
ไดร้ บั สุข ความสุขเป็นสงิ่ ท่ีทกุ คนปรารถนา ความสขุ เกดิ ข้นึ ไดท้ ั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิด
การมีทรพั ย์ ความสุขเกดิ จากการใชจ้ า่ ยทรัพยเ์ พ่ือการบรโิ ภค ความสขุ เกดิ จากการไมเ่ ป็นหนี้
และความสขุ เกิดจาการทำงานที่ปราศจากโทษ เป็นต้น ดงั พระพุทธองค์ตรัสไว้ในเมตตาสูตร
“ภกิ ษุทัง้ หลาย เมตตาทบี่ ุคคลเจริญแลว้ ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่ผาสุกมากอย่างนแ้ี ล”
๓.๒.๒. กรณุ า (compassion) ความปรารถนาใหผ้ ้อู น่ื พ้นทุกข์ ความทกุ ข์
คอื สงิ่ ทเี่ ข้ามาเบยี ดเบียนใหเ้ กิดความไม่สบายกายไมส่ บายใจ และเกิดขน้ึ จากปจั จัยหลาย
ประการดว้ ยกัน พระพุทธองคท์ รงสรุปไวว้ ่าความทุกขม์ ี ๒ กลุ่มใหญ่ ดังนี้
- ทกุ ข์โดยสภาวะหรือเกดิ จากเปล่ยี นแปลงตามธรรมชาตขิ องรา่ งกาย เชน่ การ
เกิด การเจบ็ ไข้ ความและความตายส่งิ มชี ีวติ ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกจะตอ้ งประสบกับการ
เปลีย่ นแปลงของร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรวมเรียกว่า กายิกทุกข์
- ทกุ ขจ์ ร หรือทุกข์ทางใจ อนั เปน็ ความทุกขท์ ่ีเกดิ จากสาเหตุที่อยูน่ อกตวั เรา
เชน่ เมอ่ื ปรารถนาแล้วไม่สมหวังก็เป็นทกุ ข์ การประสบกับสง่ิ อันไม่เป็นท่ีรักก็เป็นทกุ ขก์ ารพลัด
พรากจากสิ่งอันเปน็ ทีร่ กั กเ็ ปน็ ทุกข์ รวมเรยี กว่า เจตสกิ ทกุ ข์
๓.๒.๓. มทุ ติ า (sympathetic joy; altruistic joy) ความยินดีเมอื่ ผู้อื่นได้ดี
คำว่า “ดี” ในท่ีนี้หมายถึง การมคี วามสุขหรือมีความเจริญก้าวหน้า ความยินดีเมอื่ ผอู้ ่ืนได้ดจี ึง
หมายถึง ความปรารถนาให้ผ้อู น่ื มีความสขุ ความเจริญก้าวหนา้ ยิ่งๆ ขน้ึ ไม่มีจติ ริษยา ความ
รษิ ยา คอื ความไมส่ บายใจ ความโกรธ ความพุ่งซ่านซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเหน็ ผูอ้ นื่ ไดด้ ีกว่าตน เชน่
เห็นเพ่ือนแต่งตวั เรียบรอ้ ยแลว้ ครชู มเชยก็เกดิ ความริษยาจึงแกล้งเอาเศษชอล์กโคลน หรือหมึก
๕ ที.ม.(ไทย)๑๐/๑๘๔/๒๒๕; ท.ี ปา.(ไทย)๑๑/๒๒๘/๒๓๒.
ธรรมนิเทศ ๑๑๗
ไปปา้ ยตามเส้ือกางเกงของเพื่อนนกั เรยี นคนน้ันให้สกปรกเลอะเทอะ เราต้องหม่ันฝึกหัดตนให้
เปน็ คนท่มี ีมุทติ า เพราะจะสรา้ งไมตรแี ละผกู มิตรกับผอู้ ่นื ไดง้ ่ายและลึกซ้ึง
๓.๒.๔. อเุ บกขา (equanimity; neutrality; poise) การรจู้ กั วางเฉย
หมายถึง การวางใจเปน็ กลางเพราะพจิ ารณาเห็นวา่ ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วยอ่ มไดช้ ัว่ ตาม
กฎแห่งกรรม คอื ใครทำสิ่งใดไว้สิ่งน้ันยอ่ มตอบสนองคนื บุคคลผูก้ ระทำ เมอ่ื เราเหน็ ใครไดร้ ับผล
กรรมในทางท่ีเป็นโทษเราก็ไม่ควรดีใจหรือซำ้ เติมเขาในเรื่องที่เกิดข้ึน เราความความปรารถนา
คอื พยายามช่วยเหลอื ผูอ้ ่ืนใหพ้ ้นจากความทกุ ข์ในลกั ษณะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
คุณธรรม ๔ ประการนี้ นอกจากความเป็นมนุษยผ์ ู้ประเสริฐแล้ว ยงั เป็นอานิสงสค์ วามสขุ แก่ผู้
ปฏิบัติธรรม ๔ ประการ นอกจากความเป็นมนษุ ย์ผู้ประเสริฐแล้ว ยังเป็นอานสิ สงสค์ วามสขุ แกผ่ ู้
ปฏบิ ตั ถิ ึง ๑๑ ประการ ดังนี้
๑. นอนหลับเปน็ สขุ เหมือนนอนหลับในสมาบตั ิ
๒. ตืน่ ข้นึ มคี วามสขุ ไม่มคี วามขนุ่ มัวในใจ
๓. นอนฝัน ก็ฝันเปน็ มงคล
๔. เป็นทรี่ ักของมนุษย์ เทวดา พรหม และภูตผีทงั้ หลาย
๕. เทวดา พรหม จะรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายท้ังปวง
๖. จะไม่มอี ันตรายจากเพลิง สรรพาวุธ และยาพิษ
๗. จิตจะต้งั ม่ันในอารมณ์สมาธิเปน็ ปกติ สมาธทิ ่ีได้ไว้แล้วจะไม่เส่ือม มีแตเ่ จรญิ
ยงิ่ ขึ้น
๘. มดี วงหน้าผุดผ่องเป็นปกติ
๙. เมอื่ จะตาย จะมีสตสิ ัมปชัญญะสมบูรณ์
๑๐.ถา้ มไิ ด้บรรลุมรรคผลในชาติน้ี ผลแห่งการเจรญิ พรหมวิหาร ๔ น้ี
จะส่งผลให้ไปเกดิ ในพรหมโลก
๑๑.มอี ารมณแ์ จม่ ใส จติ ใจปลอดโปร่ง ทรงสมาบตั ิ วิปัสสนา และทรง
ศลี บริสุทธิ์
๔. หลักวธิ ีการดำเนนิ ชวี ติ ของฆราวาส
ในพระไตรปฎิ กเล่มที่ ๑๑ พระสตุ ตนั ตปฎิ ก เล่ม ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ในเรือ่ ง
สิงคาลกสูตรไดก้ ล่าวถึงการดำเนนิ ชีวติ อยา่ งอริย หรือ อรยิ พระผู้มพี ระภาคประทับ ณ เวฬุ
วนั ( ปา่ ไผ่ ) ใกล้กรุงราชคฤห์ เช้าวันหน่ึงเสด็จกรุงราชคฤห์เพ่ือบิฑบาต ไดท้ อดพระเนตรเห็นสงิ
คลกมาณพมีผ้าเปียก มีผมเปยี ก ไหว้ทิศท้ังหกอยู่ ตรสั ถาม ทราบว่าเป็นการทำตามคำส่ังของ
บดิ า จงึ ตรสั วา่ ในอรยิ วินัยไม่พึงไหว้ทิศแบบนี้. เม่ือมาณพกราบทูลถามว่า พงึ ไหว้อย่างไร
สมเดจ็ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ กท็ รงแสดงหลักคำสอนทเี่ รยี กวา่ “สงิ คาลกะสูตร” คือก่อนท่ี
สงิ คาลกะจะไหว้ทิศ ก็ได้ไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย เตรยี มตวั ก่อน แล้วจึงมายืนไหว้ แตก่ ารไหว้
ทศิ ในอรยิ วนิ ัยก็ทำในทำนองเดยี วกัน แตจ่ ะตอ้ งทำเปน็ ข้ัน ๆ ไป คอื ขั้นท่ี ๑ จะต้องรักษาชวี ติ
ใหส้ ะอาดซงึ่ ไม่ใช่อยู่ทก่ี ารอาบน้ำ ชำระลา้ งร่างกายใช้สบหู่ อมชนดิ ต่าง ๆ นั่นเป็นการชำระ
ล้างสิ่งสกปรกโสโครกซงึ่ เกดิ ขึ้นจากปฏกิ ลู ภายใน จากฝ่นุ ละอองภายนอก ทำใหผ้ ิวกาย
ร่างกาย และทวารของเราสกปรก เราสามารถใช้นำ้ ชำระล้างได้ แตค่ วามชั่วตา่ ง ๆ ในร่างกายมี
ถึง ๑๔ อย่าง มีกรรมกิเลส ๔ อยา่ ง คือการกระทำใหช้ ีวิตมวั หมอง เป็นการกระทำทเ่ี สียหาย
ธรรมนิเทศ ๑๑๘
คือการดำเนินชีวติ หรือความประพฤตทิ ่ีเบยี ดเบยี นกัน ๔ ประการ; ไมท่ ำกรรมชั่วโดยฐานะ ๔
; ไม่เสพปากทางแห่งความเสอื่ มทรพั ย์ (โภคานํ อปายมขุ านิ ) ๖ ประการ ; เขาปราศจาก
ความชั่ว ๑๔ ดังกลา่ วได้แล้ว เป็นผู้ปกปดิ ทิศ ๖ ช่ือวา่ ปฏิบตั ิเพื่อชยั ชนะในโลกทั้งสอง คือโลก
นี้และโลกหนา้ , เมอื่ ตายไปก็จะเขา้ ถึงสคุ ตโิ ลกสวรรค์.
๔.๑. อะไรคือกรรมกิเลส กเิ ลส คือ เครอ่ื งเศรา้ หมอง กรรม คอื การกระทำ
กรรมกิเลส จึงหมายถึง การกระทำท่ีเศร้าหมอง ๔ ประการ พระพทุ ธเจา้ ตรัสสอนแก่สิงคาล
มนพ ว่า ให้ละเวน้ กรรมกเิ ลส๖ ๔ นี้ ไดแ้ ก่
๑. ปาณาตบิ าต การฆา่ สัตว์
๒. อทนิ นาทาน การลักทรพั ย์
๓. กาเมสมุ จิ ฉาจาร การประพฤตผิ ิดในกาม
๔. มสุ าวาท การพูดปด
๔.๒. อคติ หรือความประพฤตอิ อกนอกทางของธรรมเรียกวา่ อคติ๗ ๔ อย่าง คอื
๑.ฉนั ทาคติ หมายถึง ความลำเอียงเพราะความชอบ
๒.โทสาคติ หมายถึง ความลำเอียงเพราะชงั
๓. โมหาคติ หมายถึง ความลำเอยี งเพราะเขลา
๔. ภยาคติ หมายถึงความลำเอียงเพราะความกลวั
ฉะน้ัน ชีวติ ของแตล่ ะคนทีเ่ ป็นฆราวาสเมื่อเจรญิ เติบโตเป็นผูใ้ หญ่ จะตอ้ งมีความ
รับผิดชอบของตนเอง รับผิดชอบสังคม รบั ผดิ ชอบการงาน และในท่ีสดุ ก็เป็นหัวหน้าครอบครัว
เป็นหวั หน้าหนว่ ยงาน เป็นหัวหน้าชุมชน ซงึ่ จำเปน็ อยา่ งย่ิงที่จะต้องรักษาความเปน็ ธรรม ให้
ความเป็นธรรมแกค่ นอื่นท่ีอยใู่ นความดแู ลของตน หรือวา่ ให้กลุ่มคนอ่ืนหรอื หมู่ชนนน้ั ด้วย
ความสามคั คี เราจะต้องสร้างความสงบสันตสิ ุข
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ จงึ ทรงใหเ้ ว้นจากความลำเอยี ง ๔ อย่างน้ี คือความ
ประพฤตผิ ดิ ธรรม หรือคลาดเคลอื่ นเพราะความชอบ ความชงั ความเขลา และความกลัว แต่ให้
เราตง้ั ม่ันอยู่ในธรรม สรา้ งความถกู ตอ้ งดีงามและเที่ยงธรรมใหเ้ กิดข้ึนรวมเป็น ๘ อย่าง
๔.๓. อบายมขุ ๘ ๖ อบาย แปลวา่ ความเส่ือม ความฉบิ หาย มขุ แปลว่า ปาก,
หน้าอบายมขุ จึงแปลวา่ ปากทางแหง่ ความเสื่อม เน่ืองจากมันเป็น ปากทาง สว่ นตวั ความเสอื่ ม
จริงๆ นั้นอยู่ ปลายทาง เมื่อมองเพียงผิวเผินเราจึงมักยงั มองไมเ่ หน็ ความเส่ือม แตพ่ ระสัมมาสัม
พุทธเจา้ และทา่ นผู้ร้ทู ง้ั หลายมองเห็น เป็นทางแหง่ ความเส่ือม หรือช่องทางแหง่ ความหมด
เปลืองของทรัพย์สนิ เงินทองในการทำมาหาเลยี้ งชีพ ชวี ิตของฆราวาสทั้งหลายเร่อื งสำคัญกค็ ือ
ตอ้ งสามารถเก็บเงินเกบ็ ทองอยู่ เกบ็ เป็น และเก็บได้ แตถ่ ้ามีอบายมุขแล้ว เงนิ ทองก็จะหมดไปได้
นอกจากความเสื่อมทรัพย์สนิ เงนิ ทองแลว้ ความเสื่อมทางดา้ นจิตใจก็ทำให้จิตใจของเราไม่อยู่
ในหน้าท่ีการงาน ถา้ อยูใ่ นวยั เรียนก็เสยี การเรียน ซ้ำร้ายสขุ ภาพกเ็ ส่ือมโทรมด้วย
ฉะน้นั จงึ ควรเวน้ ในอบายมขุ คอื ทางเสือ่ ม ๖ ประการ ดังนี้
๖ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๑๗๔/๑๙๕.
๗ ทปี า.(ไทย)๑๑/๑๗๖/๑๙๖; ๒๔๖/๒๔๐; องจฺ ตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๑๗/๒๓.
๘ ที.ปา.(ไทย)๑๑/๑๗๘-๑๘๔/๑๙๖-๑๙๘.
ธรรมนเิ ทศ ๑๑๙
๔.๓.๑. การเปน็ นักเลงสรุ า เป็นนักด่ืม หมกหมุ่นอยู่กับสรุ ายาเมา และส่งิ เสพติ
ต่าง ๆ
๔.๓.๒. การเป็นนกั เท่ยี ว เทีย่ วไม่เปน็ เวลา เทย่ี วเสเพล เท่ยี วเร่ือยเป่อื ย
สมยั ก่อน เรียกว่า นกั เท่ยี วกลางคืน
๔.๓.๓. การเป็นนกั บันเทิง หมกหม่นุ อย่แู ตใ่ นเรื่องสนกุ สนา บันเทิงอยู่กับ
สถานท่ี สถานเริงรมย์ หาแตค่ วามสนุกสนานอย่างเดียว มัวเมา และท้ิงการเรียน การงาน ไม่มี
เวลาหาเงนิ ทอง และผลาญทรพั ย์สมบัติที่มีอยู่
๔.๓.๔. การเป็นนักเลงการพนนั เปน็ ข้อที่ผลาญทรพั ย์อย่างยิ่ง ดังโบราณ
ท่านว่า ไฟไหม้
ยงั ดีกว่าเล่นการพนัน ไฟไหมบ้ ้านหมด ทด่ี ินกย็ งั อยู่ แต่ถ้าลองเล่นการพนันแลว้ แมแ้ ตท่ ี่ดินก็
หมดได้โดยไม่เหลอื อะไรเลย
๔.๓.๕. การคบคนชั่วเปน็ มติ ร คอื คบนักเลงสรุ า คบนักเลงการพนัน นักเท่ยี ว
เสเพลก็พาไปในทางทีไ่ ม่ดี คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บณั ฑติ พาไปหาผล
๔.๓.๖. การเกียจครา้ นการงาน คือ ไม่เอาใจใสใ่ นหน้าที่การงาน ดแี ต่จะนอนอยู่
สบาย พอมีงานหรอื มเี ร่ืองที่จะต้องทำยากหนอ่ ยก็อ้างโน่นอา้ งนี่ และหลบเลีย่ งเร่ือยไป น่ีคือ
อบายมุข ๖
๔.๔. ทศิ ๖๙
การปฏบิ ัติตอ่ ทศิ ทัง้ ๖ หรือเรียกวา่ ธรรมแหง่ ความสัมพนั ธต์ ่อกันละกัน เป็นหน้าท่ี
หรือธรรมเพื่อการปฏบิ ตั หิ นา้ ทตี่ ่อกัน ดังน้ี
ทศิ เบ้อื งหน้า ไดแ้ ก่ บดิ ามารดา
หน้าทบ่ี ตุ รพงึ ปฏิบัตติ อ่ บิดามารดา ดงั น้ี หนา้ ท่ีบิดามารดาพึงอนุเคราะห์บตุ ร ดังน้ี
๑. ท่านได้เลีย้ งเรามาแล้วเลย้ี งท่านตอบ ๑. หา้ มมใิ หบ้ ุตรธิดาทำช่ัว
๒. ช่วยกจิ การงานของทา่ น ๒. ใหต้ ั้งอยใู่ นความดี
๓. รักษาดำรงวงศต์ ระกลู ๓. ให้ศกึ ษาศลิ ปะวิทยาการ
๔. ประพฤตติ นใหเ้ ปน็ ผ้สู มควรรับมรดก ๔. หาภรรยา-สามีที่สมควรให้
๕. เม่ือท่านล่วงลับไปแล้ว กท็ ำบุญอุทิศให้ ๕. มอบทรัพยใ์ ห้
ทา่ น
ทิศเบอื้ งขวา : ครู อาจารย์
ศิษยพ์ ึงปฏิบัติต่อครูอาจารย์ อาจารย์พึงอนเุ คราะหศ์ ิษย์
๑.ดว้ ยลุกขึ้นยืนรับ ๑. แนะนำดี
๒.ด้วยเข้าไปยืนคอยรับใช้ ๒.ใหเ้ รยี นดี
๓.ด้วยเชอ่ื ฟงั ๓.บอกศลิ ปะให้สิ้นเชงิ
๔.ด้วยอุปัฏฐาก ๔.ยกยอ่ งใหป้ รากฏในหม่เู พ่ือนฝูง
๕.ดว้ ยเรียนศิลปวทิ ยาโดยเคารพ
๙ ท.ี ปา.(ไทย)๑๑/๑๙๘-๒๐๔/๒๐๒-๒๐๖.
ธรรมนเิ ทศ ๑๒๐
๕.ทำความป้องกันทิศท้ังหลาย
จะไปทิศทางไหนก็ไมอ่ ดอยาก
ทศิ เบือ้ งหลงั : ภรรยา สามี
สามพี ึงปฏบิ ตั ิตอ่ ภรรยา ดงั นี้ ภรรยาพึงปฏิบัติตอ่ สามี ดังน้ี
๑.ดว้ ยการยกยอ่ งนับถอื ว่าเปน็ ภรรยา ๑.จดั การงานดี
๒.ด้วยไมด่ หู ม่ิน ๒.สงเคราะห์คนขา้ งเคยี งของสามี
๓.ด้วยไมป่ ระพฤตนิ อกใจ ๓.ไมป่ ระพฤตินอกใจสามี
๔.ด้วยมอบความเป็นใหญ่ในบ้านให้ ๔.รกั ษาทรัพยท์ ี่สามหี ามาได้ไว้
๕.ด้วยใหเ้ คร่ืองแตง่ ตัว ๕.ขยนั ไม่เกียจครา้ นกิจการทั้งปวง
ทิศเบ้ืองซ้าย : มิตรสหาย
มิตรพึงปฏบิ ตั ติ อ่ มิตร ดังน้ี มิตรยอ่ มอนเุ คราะหม์ ติ รตอบ ดังน้ี
๑.ดว้ ยใหป้ นั สิ่งของ ๑.รกั ษามติ รผู้ประมาทแล้ว
๒.ด้วยเจรจาถ้อยคำไพเราะ ๒.รกั ษาทรพั ย์ของมติ รผปู้ ระมาทแลว้
๓.ดว้ ยประพฤตปิ ระโยชน์ ๓.เมือ่ มีภยั เอาเป็นทพ่ี ึ่งพำนกั ได้
๔.ด้วยความเป็นผู้มตี นเสมอ (เสมอต้นเสมอ ๔.ไม่ละทิง้ ในยามวิบัติ (ยามฉิบหาย)
ปลาย) ๕.นับถอื ตลอดวงศ์ของมติ ร
๕.ด้วยไมแ่ กลง้ กล่าวใหค้ ลาดจากความเป็นจริง
ทศิ เบื้องต่ำ : บ่าว / ลกู จ้าง
นายพึงปฏิบัติต่อบา่ ว/ลูกจ้างดงั น้ี บ่าว/ลูกจ้างย่อมอนุเคราะห์ตอบนาย ดงั นี้
๑.ด้วยจัดการงานใหท้ ำตามสมควรแกก่ ำลงั ๑.ลุกข้นึ ทำงานก่อนนาย
๒.ดว้ ยใหอ้ าหารและรางวลั ๒.เลกิ การงานหลังนาย
๓.ดว้ ยรักษาพยาบาลในเวลาเจบ็ ไข้ ๓.ถือเอาแตข่ องที่นายให้
๔.ด้วยแจกของมีรสแปลกๆดีๆใหก้ นิ ๔.ทำการงานใหด้ ีขึ้น
๕.ด้วยปลอ่ ยให้สมัย(ให้สนุกรืน่ เรงิ เป็น ๕.นำคณุ ของนายไปสรรเสรญิ ในทตี่ า่ งๆ
ครง้ั
เป็นคราวตามสมควรแกโ่ อกาส
ทศิ เบอ้ื งบน : สมณพราหมณ์
ศาสนิกพึงปฏิบัตติ ่อนักบวชสมณพราหมณ์ ดังนี้ สมณพราหมณย์ ่อมอนุเคราะหต์ อบ
ดังน้ี
๑.ดว้ ยกายกรรม คือ ทำอะไรๆประกอบด้วยเมตตา ๑.ห้ามมิให้กระทำช่ัว
๒.ด้วยวจีกรรม คือ ทำอะไรๆประกอบด้วยเมตตา ๒.ให้ตัง้ อยใู่ นความดี
๓.ดว้ ยมโนกรรม คือทำอะไร ๆ ประกอบด้วยเมตตา ๓.อนเุ คราะห์ดว้ ยนำ้ ใจอนั งาม
๔.ดว้ ยเป็นผู้ไม่ปิดบังเขา คือ มไิ ดห้ ้ามไม่ใหเ้ ข้า ๔.ให้ไดฟ้ ังในส่ิงที่ยงั ไม่เคยฟงั
ธรรมนิเทศ ๑๒๑
บ้านเรอื น ๕.ทำส่ิงทเี่ คยฟังแล้วให้แจม่ แจ้ง
๕.ดว้ ยใหอ้ ามิสทาน (สิง่ ของ) ๖.บอกทางสวรรค์ให้
๕. วิธีกำจดั ความโกรธตามแนววสิ ทุ ธิมรรค
ความโกรธ ในภาษาบาลี ใชค้ ำว่า โทสะ แปลว่า ความโกรธ ซ่ึงในทาง
พระพุทธศาสนา จัดว่า ความโกรธ เป็นอกุศลมูล เป็น ๑ ใน อกุศลมลู ๑๐ ๓ ได้แก่ โลภะ (ความ
อยากได้)๑ โทสะ (ความคดิ ประทุษรา้ ย)๑ และ โมหะ (ความหลง)๑ และกย็ ังจัดเป็น หนึ่งใน
กลิ เลส๑๑ ๑๐ เมือ่ เป็น อกศุ ลมูลที่อยใู่ นจิตคนดังน้ันจงึ เปน็ ส่วนหน่ึงท่ีสำคญั ของจิตเม่อื มีอะไรมา
กระทบจิต เม่ือไม่พอใจกจ็ ะแสดงออกมาเป็นอารมณ์โกรธ อารมณ์โกรธมักจะแสดงความ
ก้าวร้าว แห่งความเป็นสัญชาตญาณแห่งความเปน็ สัตว์ ในการท่จี ะสตั ว์คิดและเขา้ ใจว่าตวั เอง
จะถกู ทำร้าย หรือถกู แยง่ ชิง กจ็ ะแสดงสญั ชาตญาณของการปอ้ งกนั ตัวกลายเปน็ ความโกรธ
แล้วแสดงออก ดงั น้ันเม่ือมนุษย์ได้รับการฝึกฝน การควบคมุ อารมณ์ได้มนุษย์จงึ จำเป็นทจ่ี ะ
ควบคุมอารมณ์โกรธของตวั เอง เพราะความโกรธ เป็นอารมณ์แหง่ การทำรา้ ยในพุทธภาษิตได้
กลา่ วถึงความโกรธ และผลของการระงับความโกรธเอาไว้เชน่
โกธํ ทเมน อุจฉฺ นิ เฺ ท๑๒
พงึ ตัดความโกรธด้วยความขม่ ใจ
โกโธ สตฺถมลํ โลเก๑๓
ความโกรธเป็นดังสนิมศัสตราในโลก
โกธํ ฆตวฺ า สุขํ เสติ
ฆา่ ความโกรธได้ อยู่เปน็ สุข
โกธสมฺมทสมฺมตโฺ ต อายสกฺยํ นคิ จฺฉติ
ผู้เมามึนด้วยความโกรธ ย่อมถึงความไร้ยศศกั ด์ิ
ยํ กทุ โฺ ธ อปุ โรเธติ สุกรํ วิย ทุกกฺ รํ
ผู้โกรธจะผลาญสิ่งใด สงิ่ นั้นทำยากกเ็ หมอื นทำงา่ ย
อนตถฺ ชนโน โกโธ
คนมักโกรธ ย่อมอยเู่ ป็นทุกข์
อปฺโป หุตฺวา พหุ โหติ วฑฺฒเต โส อขนตฺ ิโช
ความโกรธน้อยแล้วมาก มันเกิดจากความไม่อดทน จึงทวีข้ึน
ปจฺฉา โส วิคเต โกเธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ๑๔
ภายหลงั เม่ือความโกรธหายแล้ว เขาย่อมเดือดร้อน เหมือนถูกไฟไหม้จากตัวอย่างพุทธ
ภาษิตที่ได้ยกมาเป็นตัวอย่างดังกลา่ ว จะเห็นได้ว่า ความโกรธไม่ใชค่ วามดงี าม แต่เป็นเรื่องท่ี
ควรจะได้รับการระงับ กำจัดเสีย พระพุทธเจ้าทรงได้ตรัสสอนในแนวทางในการดับ ขจัด
๑๐ ที.ปา.(ไทย)๑๑/๓๙๓/๒๑๙; ข.ุ อิต.ิ (ไทย)๒๕/๒๒๘/๒๕๔.
๑๑ อภิ.ว.ิ (ไทย)๓๕/๑๐๒๖/๕๒๘.
๑๒ นัย อง.ฺ สตตฺ ก.(ไทย) ๒๓/๑๐๐.
๑๓ สํ.ส.(ไทย)๑๕/๖๐.
๑๔ อง.ฺ สตฺตก.(ไทย) ๒๓/๙๙.
ธรรมนิเทศ ๑๒๒
ความโกรธไว้ มากมายในหลายๆ ตอนโดยเฉพาะอย่างการที่มีพระพุทธโฆษะ๑๕ ได้แต่ง
หนังสืออธิบายหัวข้อธรรม ของพระพทุ ธเจ้าท่ีสรา้ งชื่อเสียงแก่ท่านพุทธโฆษะ นั่นคือคัมภีร์
วิสุทธิมรรค จัดเป็นคัมภีร์สำคัญฝ่ายเถรวาทคัมภีร์หนึ่งในชั้นนวัฎฐกถา รจนาขึ้น เมื่อหลัง
พุทธปรินิพพานประมาณ ๙๕๖ ปี (ราวพุทธศตวรรษที่ ๙) การกำจัดความโกรธสามารถฝึก
และระงับให้เบาบางและหายไปได้โดยวธิ ี ๙ ประการคือ
๕.๑. ให้ระลกึ ถึงโทษของความโกรธ วา่ ความโกรธนั้นให้โทษประการต่าง ๆ หาคุณมไิ ด้
เลย ผ้ไู มโ่ กรธตอบผูโ้ กรธตนกอ่ น ผูน้ ้ันไดช้ ่ือว่า ชนะสงครามทช่ี นะได้ยาก
๕.๒. ใหร้ ะลกึ ถงึ ความดขี องเขา เพราะแต่ละคนยอ่ มมีทั้งความดีและความไม่ดีอย่ใู นตัว
ถ้าหาความดีไมไ่ ด้จริง ๆ กใ็ ห้นึกสงสารเขาวา่ ตอ่ ไปจะตอ้ งประสบผลร้าย จากการ
ประพฤตไิ ม่ดอี ยา่ งน้ี
๕.๓. ให้คดิ ถงึ ความจริงทีว่ ่า การโกรธคอื การทำให้ตัวเองทกุ ข์ คนที่โกรธแลว้ เป็นสุขไม่มี
ในโลก
๕.๔. ให้พจิ ารณาว่าสตั วท์ ั้งหลายมกี รรมเปน็ ของตน กรรมท่ีเกดิ จากความโกรธ จะทำ
ใหต้ วั เองตกตำ่ ลงไปอกี
๕.๕. ใหพ้ จิ ารณาพระจริยาวัตรในปางก่อนของพระศาสดาว่า พระพุทธเจา้ ของเรานั้น
กวา่ จะตรัสรู้ ก็ได้ทรงบำเพญ็ บารมีท้ังหลายตลอดเวลายาวนาน ได้ทรงบำเพญ็
ประโยชน์แก่ผู้อ่ืน โดยยอมเสียสละแม้แตพ่ ระชนม์ชีพของพระองคเ์ อง เมือ่ ทรงถูกข่มเหง
กลนั่ แกลง้ เบียดเบียนดว้ ยวิธีการตา่ ง ๆ ก็ไม่ทรงแคน้ เคอื ง ทรงเอาดเี ข้าตอบ ถงึ แมเ้ ขา
จะต้งั ตวั เป็นศัตรู
๕.๖. ใหพ้ จิ ารณาถึงความทีเ่ คยเก่ยี วข้องกันในวฏั สงสาร ดังทีพ่ ระพุทธองค์ทรงตรสั ไว้
ว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผ้ไู มเ่ คยเป็นมารดา ไมเ่ คยเปน็ บดิ า ไมเ่ คยเป็นพ่ชี ายน้องชาย
พห่ี ญิงน้องหญงิ ไม่เคยเป็นบตุ รเป็นธดิ าของเรา มิใช่หาไดง้ ่าย หมายความวา่ มนุษยท์ ุก
คนตอ้ งเคยเก่ยี วข้องกันมาในอดีตชาติ
๕.๗. พจิ ารณาอานสิ งสข์ องเมตตา ความโกรธมโี ทษก่อผลร้ายมากมายฉนั ใด เมตตาก็
มคี ณุ ก่อให้เกิดผลดีมากฉันนัน้ ผู้มเี มตตาย่อมสามารถเอาชนะใจคนอืน่ ซ่งึ เป็นชยั ชนะท่ี
เดด็ ขาด ไม่กลบั แพ้ ผู้ต้งั อย่ใู นเมตตาช่ือว่าทำประโยชน์ทัง้ แกต่ นเองและผอู้ ่ืน
๕.๘. พจิ ารณาโดยวธิ แี ยกธาตุ วา่ ทุก ๆ ส่ิงในโลกประกอบด้วยธาตุ ดิน นำ้ ลม ไฟ
๕.๙. พจิ ารณาทำทานสังวิภาค การทำทานสังวิภาคคอื การใหข้ องของตนแก่ศตั รูและ
รับของของเขามาเพ่อื ตน แตถ่ ้าของของเขาไม่บริสทุ ธิ์ กพ็ ึงให้แตข่ องของตนฝ่ายเดยี ว
ไมร่ บั ของเขา เมื่อทำดังนี้ ความอาฆาตในบุคคลนั้นก็จะระงบั ไป ฉะนั้น
สเี ล ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญจฺ ภาวยํ
อาตาปี นปิ โก ภิกขฺ ุ โส อิมํ วิชฏเฺ ย ชฏํ๑๖
๑๕ ทา่ นเกดิ ในตระกลู พราหมณ์ ใกลก้ บั เมอื งพทุ ธคยา ประเทศอินเดยี ฝ่ายใต้ ในวัยเยาว์ได้ศกึ ษาเลา่ เรยี น
ศิลปวทิ ยา ตามธรรมเนยี มของพราหมณ์ เป็นผทู้ เ่ี ช่ียวชาญในคมั ภีรพ์ ระเวทมาก ท่านได้เดินทางไปยงั เมืองตา่ ง ๆ ของอนิ เดยี
เพอื่ โตต้ อบเรื่องปรัชญากับนักปราชญท์ ั้งหลาย วันหนงึ่ ท่านได้พบกับพระเรวตั เถระท่วี ัดแหง่ หนึง่ หลงั จากทไ่ี ต่ถามปัญหาทาง
ธรรมะ จงึ เกดิ ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และขอออกบวช ได้สมญานามวา่ พทุ ธโฆสะ เพราะเสียงของทา่ นมีความลกึ ซงึ้
สอ่ื ความหมายทางธรรมดุจดงั พระสรุ เสียงของพระพทุ ธเจา้ .
๑๖ อรรถกถา สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสงั ยตุ สตั ติวรรคที่ ๓ ชฏาสูตรที่ ๓;
ธรรมนิเทศ ๑๒๓
นรชนผ้ฉู ลาด มคี วามเพียรเครือ่ งเผากิเลสอยา่ งต่อเนอ่ื ง มีปญั หา คือ สัมปชัญญะ ๔ (นับ)
เปน็ ภิกษุผ้เู ห็นภยั ในวัฏฏะ (เมอ่ื ) ตั้งม่ันอยใู่ นศลี แล้ว อบรมจติ (สมาธ)ิ และปัญญาอยู่
นรชนผนู้ ั้น จะพงึ ถางรกชัฏอนั น้ีออกเสยี ได้๑๗
การกำจัดความโกรธ โดยวิสุทธมิ รรค ก็เป็นการนำ เอาเนอื้ หาสารถะแหง่ ธรรมใน
เรอื่ ง ของ ศีล สมาธิ และ ปัญญา มากำจัด ความโกรธ
๖. หลักการทำสมาธแิ บบ “อานาปานสติ” ในชีวิตประจำวนั
อานาปานสติ คือ การทำสมาธิวิธหี น่ึง โดยหลักการท่ีสำคญั ก็คือการเพ่งลมหายใจเข้า
ออก คอื จะรวมจิตไว้ทีก่ ารรับรลู้ มหายใจเข้าออก เพื่อไม่ให้จิตซดั ส่ายคิดไปในเรอ่ื งตา่ งๆ คร้ัน
เม่อื จิตจดจอ่ กับลมหายใจ เข้าออก ผลท่ีจะเกิดคอื ความมีสมาธิ เหตุน้นั การเอาจติ จดจอ่ กับลม
หายใจเข้าออกจึงเป็นกุศโลบายในการที่จะชกั จูงนำพาจติ ให้เป็นสมาธิ ความมสี มาธมิ ีกำลัง มี
พลังมหาศาลในการทจี่ ะประกอบกจิ การการทำงานโดยเฉพาะสภาวะปจั จบุ นั ท่ีความเจรญิ ทาง
วตั ถุเขา้ ครอบงำ พลังกายพอมตี อ่ สูไ่ ด้แต่ พลังทางจิตใจกลับอ่อนแอลง จำเปน็ อย่างยิ่ง การทำ
สมาธิเพ่ือใหเ้ กิดพลัง โดยเฉพาะวิธีใช้ ลมหายใจท่มี ีอยู่ หายใจทกุ ขณะเปน็ วถิ ี แนวทางไปส่กู าร
การปฏิบตั ิ
การทำสมาธิแบบอานาปานสตนิ ้ี เป็นการทำนำเอาลมหายใจมาเป็นตัวกำหนดให้
จิตเปน็ สมาธิ๑๘ ความอธิบายแห่งอานาปานสตทิ ่ีลกึ ซ้ึง และมคี วามสำคัญอย่างสูงมีอยา่ งมากแต่
ใคร่จะกลา่ วถึงเอาความมีสมาธิ มาใชป้ ระโยชนใ์ นการดำเนนิ ชีวติ ประจำวันขน้ั พื้นๆ ทไี่ มต่ ้อง
สลับสับซ้อน ท่ีสูงขึ้นจนกล่าวถึงเรอ่ื ง ฌาน ญาณสมาบัติ สงิ่ เหลา่ นเ้ี ป็นผลอันเกิดมาจากการ
ฝกึ ฝนสมาธใิ นข้ึนสูงๆ ข้ึนไป แตถ่ า้ จะใหร้ ูถ้ ึงพื้นฐานปกตทิ ีจ่ ะนำไปใช้ในการดำเนนิ ชวี ิต อยา่ งมี
ความสุข อย่างไม่มีปัญหา ก็น่าจะพอเป็นพ้ืนฐานแห่งธรรมชั้นสูง ต่อไปไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
การไมม่ ีสมาธิทำงานมีปัญหาอย่างไร ทำงานทกุ ขอ์ ย่างไร
คนที่ทำงานเก่ียวกับเคร่ืองยกกลไกต่างๆ ท่ีจะต้องเอารา่ งกายเข้าไปใกล้ และสัมผสั
ถือว่าเป็นเร่ืองสำคัญ ขณะทำงานจติ ใจไมม่ ีสมาธิ เลื่อยกลกำลัง เลื่อยตัดไม้ ใจนกึ คิดแตป่ ัญหา
ครอบครัว นึกถึงแฟน นึกถงึ บ้าน ความนึกถึงเหลา่ นี้เปน็ สภาวะไปสูค่ วามเมอ่ ลอย เมอ่ื เม่อลอย
ทำงานกบั เคร่ืองยนต์ท่ีอันตรายแบบน้ี อบุ ตั เิ หตกุ เ็ กิด ปัญหากเ็ กิด ความทกุ ข์กเ็ กดิ แมแ้ ต่การ
ท่ีจะเดนิ เมอื่ ขาดสมาธิในการเดิน สภาวะการเมอ่ ลอยกเ็ กดิ คนเมอ่ ลอยเดินข้ามถนน ท่านคิดว่า
ปลอดภัยหรือเปล่า เดนิ ลงบนั ใดไม่มสี มาธิ สตสิ ตงั ไมอ่ ยูก่ ับเน้อื กบั ตัว ปัญหากเ็ กดิ
จะเหน็ ได้ว่า แคเ่ รามสี มาธิพนื้ ๆ ปัญหาอบุ ัติเหตเุ ล็กๆ น้อยๆก็ไม่มีเกิด ครั้นเมือ่ เรามี
สมาธิ ความมีสมาธเิ ปน็ ประโยชน์ย่ิงใหญ่
************
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=392&Z=403
๑๗ ส.ํ ส.(ไทย) ๑๕/๒๐.
๑๘ พทุ ธทาสภิกขุ. วธิ ฝี กึ สมาธิวิปัสสนา ฉบบั สมบรู ณ์. พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๖. รงุ่ แสงการพิมพ์. กรงุ เทพฯ: ๒๕๓๔.๑-
๑๕.
ธรรมนเิ ทศ ๑๒๔
คำถามท้ายบท
๑. กรรมกเิ ลส คอื อะไร อาการอยา่ งไรทเี่ รียกวา่ กรรมกเิ ลสจงอธิบาย?
๒. อบายมขุ แปลวา่ อะไร มีเทา่ ไร ? เหตุใดชวี ิตฆราวาส จงึ ต้องหนใี หไ้ กลจากอบายมุข
๓. กตญั ญูกตเวทติ าธรรม มีความหมายอยา่ งไรทำไมตอ้ งกตัญญู ?
๔. อานาปานสติ คืออะไร ?
๕. จงอธบิ ายเร่อื งของ กาย เวทนา จติ ธรรม คืออะไร ?
๖. สมาธิ คืออะไร ต่างจาก วิปสั สนา อย่างไร?
**********
บรรณานกุ รม
กรมการศาสนา.พระไตรปิฏกฉบับแปลภาษาไทย ๒๕ พุทธศตวรรษ. กรงุ เทพฯ :
โรงพมิ พก์ รมการศาสนา. ๒๕๒๕.
กญั ญา ศิริกลุ และคณะ. หลักประชาสัมพันธ์. ครั้งท่ี ๙. กรุงเทพฯ : สำหนักพิมพ์มหาวทิ ยาลยั
รามคำแหง, ๒๕๓๕.
กิดานันท์ มลิทอง,รศ.ดร. เทคโลโลยแี ละนวตั กรรม. พิมพ์ครั้งท่ี ๒. ๒๕๔๓.
จมุ พจน์ วนชิ กลุ . ความรเู้ บอื้ งต้นการสารนิเทศศาสตร์, กาญจนบรุ ี: สถาบันราชภัฎกาญจนบุร,ี
๒๕๓๕.
จุไรรัตน์ ลักษณะศริ ,ิ บาหยัน อ่มิ สำราญ, บรรณาธิการ. ภาษากบั การสื่อสาร. กรุงเทพฯ :
พี เพรสส, ๒๕๔๘.
ฉตั รวรณุ ตันนะรตั น์. การพูดเบ้ืองต้น. พิมพค์ รั้งที่ ๑๐. กรุงเทพฯ: สำนักพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั
รามคำแหง.๒๕๓๒.
ชลธริ า กลดั อยู่และคนอืน่ ๆ. การใช้ภาษา. กรุงเทพฯ : สำนกั พิมพ์เคลด็ ไทย, ๒๕๑๗.
ชาญชัย อาจนิ สมาจาร. เทคนิคการสื่อความหมายท่ีทรงประสิทธผิ ล.กรุงเทพฯ : สหมติ ร
ออฟเซท. ม.ป.ป.
ดวงพร คำนณู วฒั น,์ วาสนา จนั ทรส์ วา่ ง. ส่อื สารการประชาสมั พนั ธ.์ พิมพ์ครงั้ ท่ี ๒,กรุงเทพฯ :
ห้างห่นุ สว่ นจำกดั อินไทมเ์ ทรด.๒๕๓๖.
เดอื น ดำด,ี ดร. พทุ ธปรัชญา. กรงุ เทพฯ : โอ.เอส.พริ้นตงิ้ เฮา้ ส,์ ๒๕๓๔.
ทนิ วฒั น์ มฤคพิททกั ษ.์ ศลิ ปะการพดู ตอ่ ท่ีชุมนุมชน. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพอ์ ักษรไทย,๒๕๑๖.
ธรรมปิฎก(ป.อ.ประยุตฺโต),พระ. เทคนคิ การสอนของพระพุทธเจา้ . กรงุ เทพฯ :
มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๓๒.
นิพนธ์ ศศธิ ร. หลักการพดู ชุมนมุ ชน. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๑.
ปรมะ สตะเวทิน. หลักนิเทศศาสตร.์ กรงุ เทพฯ : หน้าหนุ่ สว่ นจำกดั ภาพพิมพ,์ ๒๕๓๓.
ประคอง นิมมนาเหมนิ ท์. มหาชาติลา้ นนา : ศึกษาในฐานะทเ่ี ป็นวรรณคดีทอ้ งถิน่ .
กรงุ เทพฯ :ไทยวฒั นาพานิช. ๒๕๒๖.
ประสาร ทองภักดี. พุทธวธิ สี อน. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๓๕.
------------------. พทุ ธวิธสี อน. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์อักษรศาสตร,์ ๒๕๑๔.
ธรรมนิเทศ ๑๔๘
ปรีชา ชา้ งขวัญยนื . ศิลปะการเขยี น. กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพว์ ชิ าการ,๒๕๒๕.
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๔๓๓ (กรงุ เทพฯ : โรงพิมพท์ ้องถิน่ . ๒๕๑๖.
พชร บัวเพียร. วาทวิทยา. ปทมุ ธานี ซ มหาวิทยาลัยรงั สิต, ๒๕๓๗.
พระธรรมปฏิ ก,(ป.อ. ปยุตโฺ ต). ธรรมนญู ชวี ติ . พิมพ์คร้งั ที่ ๓. ๒๕๔๗.
--------------.พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พมิ พ์คร้ังที่ ๙.กรงุ เทพมหานคร :
โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓.
---------------.พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท.์ พิมพ์ครัง้ ท่ี ๙. กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓.
พระเมธธี รรมภรณ(์ ประยูร ธมมฺ จิตฺโต). ครูทดี่ ีต้องมีธรรมะ. กรุงเทพฯ :
บริษัทสหธรรมกิ จำกัด, ๒๕๓๙.
พระราชวรมนุ ี.(ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต). ปรัชญาการศึกษาไทย. พมิ พค์ ร้ังที่ ๓. กรงุ เทพมหานคร :
โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๒๘.
-----------------.(ประยรู ธมฺมจติ โฺ ต). ขอบฟา้ แห่งความร.ู้ กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๐.
พระวรศักดิ์ วรธมฺโม. ครูกับศีลธรรม. กรงุ เทพฯ : สมชายการพมิ พ์, ๒๕๒๒.
มณฑล ใบบัว, ผศ. หลกั และทฤษฏีการสอื่ สาร. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริงตงิ เฮาส์, ๒๕๓๖.
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . พระไตรปิฏกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย,เล่ม ๔. กรงุ เทพมหานคร:โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
--------------------.พระไตรปฏิ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย,เลม่ ๑๓
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๐.
--------------------.พระไตรปฏิ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,เล่ม ๑๔.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกราชวิทยาลยั , ๒๕๔๐.
--------------------.พระไตรปิฏกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย,เลม่ ๑๕.
กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐.
--------------------.พระไตรปิฏกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,เล่ม ๑๖.
กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกราชวิทยาลยั , ๒๕๔๐.
--------------------.พระไตรปฏิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,เล่ม ๑๗.
กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐.
ธรรมนเิ ทศ ๑๔๙
--------------------.พระไตรปิฏกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,เลม่ ๑๘.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐.
--------------------.พระไตรปฏิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย,เลม่ ๑๙.
กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐.
--------------------.พระไตรปฏิ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,เลม่ ๒๐.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐.
--------------------.พระไตรปฏิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,เลม่ ๒๑.
กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐.
--------------------.พระไตรปิฏกภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย,เล่ม ๒๒.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๐.
--------------------.พระไตรปิฏกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,เลม่ ๒๓.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐.
--------------------.พระไตรปฏิ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย,เล่ม ๒๔.
กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกราชวิทยาลยั , ๒๕๔๐.
--------------------.พระไตรปฏิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,เลม่ ๒๕.
มหาวีรวงศ์ (พมิ พ์ ธมฺมธโร),บทสรา้ งนิสัย.กรุงเทพฯ : ชวนพิมพ์. ๒๕๓๗.
------------.มงคลยอดชวี ติ บับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ : ธรรมสภา,๒๕๓๙
-----------.พระธรรมปทัฎฐกถาแปล ภาค ๔. มหามกฎุ . กรงุ เทพฯ : ม.ป.ป.
ราชวรมนุ (ี ประยรู ธมจฺ ติ โฺ ต),พระ และคณะ. พุทธศาสนสุภาษิต บันทึกธรรมประจำวัน.
กรงุ เทพฯ : ธรรมสภา, ๒๕๓๙.
วศิน อินทสระ. พทุ ธวิธีในการสอน. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์มหามกุฎราชวทิ ยาลยั ,๒๕๓๔.
-----------------. พุทธวิธีในการสอน. พมิ พ์ครง้ั ที่ ๔. กรุงเทพฯ : โรงพิมพเ์ ม็ดทราย,๒๕๔๕.
ศศธิ ร ธัญลักษณานนั ท.์ ภาษาไทยเพ่อื การส่อื สาร และสบื คน้ . กรงุ เทพฯ : เวิรด์ เวฟเอด็ ดเู อชัน่
จำกัด,๒๕๔๒.
สวนิต ยมาภัย.การสื่อสารของมนษุ ย.์ กรงุ เทพฯ : ๖๘ การพิมพ์,๒๕๒๕.
สชุ ีพ ปญุ ญานุภาพ. คณุ ลกั ษณะพเิ ศษแหง่ พระพทุ ธศาสนา.กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์มหามกุฎ
ราชวทิ ยาลัย,๒๕๓๓.
สุภาพรรณ ณ บางชา้ ง. ประวัติวรรณคดบี าลใี นอินเดียและลังกา. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , ๒๕๒๖.
ธรรมนเิ ทศ ๑๕๐
เสถยี รพงษ์ วรรณปก. พทุ ธวิธสี อนจากพระไตรปฏิ ก. พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๒. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั
อมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์ จำกดั ,๒๕๔๒.
แสง จันทรง์ าม. วธิ ีการสอนของพระพุทธเจ้า. กรงุ เทพฯ : บรรณาคาร, ๒๕๒๖.
***********