จิตวิทยา สำ หรับ ครู
คำ นำ หนังสือเล่มนี้จัดทำหนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอจิตวิทยาสำหรับครู จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาค้นคว้าเพื่อนำเสนอข้อมูลความรู้อธิบายและ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์จิตวิทยาจึงมุ่งศึกษาด้านความ สัมพันธ์ระหว่างกระบวนการของร่างกายและจิตใจผู้จัดทำหวังไว้อย่างยิ่ง ว่าผู้อ่านจะได้รับความรู้เพิ่มเติมได้รู้จักเกี่ยวกับจิตวิทยามากขึ้นสามารถนำ ไปใช้ในการเรียนการสอนและนำไปใช้ในประโยชน์ต่อไป ผู้จัดทำได้ผู้จัดทำได้ศึกษาจากเว็บไซต์หรือหนังสือต่างๆหากมีข้อผิดพลาด ประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จัดทำโดย นางสาววนัชพร สิทธิสุวรรณ ก
สารบัญ เรื่อง หน้า คำ นำ สารบัญ 1.ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ จิตวิทยาสำหรับครู 2.ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมมนุษย์ 3.พัฒนาการของมนุษย์ 4.ความจำของมนุษย์ 5.การคิดและเชาว์ปัญญา 6.การรับรู้ 7.การเรียนรู้ 8.การศึกษาเป็นรายกรณี 9.การแนะแนวและการให้คำปรึกษาการ 10.ปรัชญาแนวคิดทฤษฎีทางจิตวิทยา 11.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ 12.การนำ หลักจิตวิทยาไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพ ของครู ข ข ก 1-6 7-12 74-77 13-20 21-28 29-36 37-43 44-50 51-55 56-62 63-68 69-73
บทที่ 1 ความรู้เบื้อ บื้ งต้น ต้ เกี่ยกี่ วกับ กั จิต จิ วิท วิ ยาสำ หรับ รั ครู 1
คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ (กระบวนการของจิต),กระบวนความคิด, และพฤติกรรม ของมนุษย์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหาที่ นักจิตวิทยาศึกษาเช่น การรับรู้ (กระบวนการรับข้อมูลของ มนุษย์) , อารมณ์, บุคลิกภาพ, พฤติกรรม, และรูปแบบ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จิตวิทยายังมีความหมายรวมไป ถึงการประยุกต์ใช้ความรู้กับกิจกรรมในด้านต่างๆ ของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำ วัน และยังรวมถึงการใช้ความรู้ทาง จิตวิทยาสำ หรับการรักษาปัญหาสุขภาพจิต นักจิตวิทยามี ความพยายามที่จะศึกษาทำ ความเข้าใจถึงหน้าที่หรือจุด ประสงค์ต่าง ๆ ของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคลและ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสังคม ขณะเดียวกันก็ทำ การศึกษาขั้น ตอนของระบบประสาทซึ่งมีผลต่อการควบคุมและแสดงออก ของพฤติกรรม 2
จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาค้นคว้าเพื่อนำ ข้อมูลความ รู้มาเสนอ อธิบาย และเพื่อควบคุมและเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ จิตวิทยามุ่งศึกษาด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการของร่างกายกับจิตใจ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นระเบียบแบบแผน เพราะร่างกายและจิตใจมักมีการแสดงออกร่วมกัน อีกทั้งยังแสดงออกในแนวทางที่สามารถทำ นายได้ 3
1.จิตวิทยาทั่วไป (General Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม ทั่วไปของมนุษย์การรับรู้ การเรียนรู้ อารมณ์ ความรู้สึก สติ ปัญญา ประสาทสัมผัส เป็นต้น จิตวิทยาสาขาพื้นฐานของการเรียน จิตฺวิทยาสาจาอื่นต่อไป 2.จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) ศึกษาเกี่ยว กับลำ ดับขั้นตอนของพัฒนาการเจริญเติบโตในแต่ละวัยต่างๆ ของ มนุษย์ ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงวัยชรา 3.จิตวิทยาสังคม (Social Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับบทบาท ความสัมพันธ์และพฤติกรรมของบุคคลในกลุ่มสังคม ปฏิกิริยาตอบ สนองของบุคคลที่อยู่รวมกัน เจตคติและความคิดเห็นของกลุ่มชน 4.จิตวิทยาการทดลอง (ExperimentalPsychology) ศึกษาเกี่ยวกับ ระบบประสาทและพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ในห้องทดลอง 5.จิตวิทยาการแนะแนว(Guidance Psychology) นักจิตวิทยา แนะแนวทำ หน้าที่ให้คำ แนะนำ ให้แนวทาง และให้คำ ปรึกษาสถาน ศึกษากับนักเรียน นักศึกษา เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้มีปัญหาด้าน การปรับตัว ปัญหาการเรียน และปัญหาส่วนตัวอื่นๆ ขอบข่า ข่ ยของจิตจิวิทวิยา 4
1.ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ 2.ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจพัฒนาการของมนุษย์ 3ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจและรู้พื้นฐานทางสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม ของมนุษย์ 4.ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจการรับสัมผัสและการรับรู้ 6.ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ 6ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจสิ่งสำ คัญที่เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้และการถ่ายโยง การเรียนรู้ 7.ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจเชาวน์ปัญญาและตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อเชาว์ปัญญา ของมนุษย์แต่ละบุคคล 8.ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจวิธีการประเมินและวัดบุคลิกภาพได้และแนวทางใน การปรับปรุงบุคลิกภาพของตนเอง 9.ทำ ให้ผู้ศึกษาเข้าใจความหมายของสุขภาพจิตและสาเหตุที่ก่อให้เกิด ปัญหาต่อสุขภาพจิต รู้วิธีการบำ บัดรักษาผู้มีอาการทาง จิตและการส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีให้กับตนเองและผู้อื่น 10.ทำ ให้ผู้ศึกษามีวิธีในการปรับตัว มีกลวิธานในการป้องกันตนเองและ เข้าใจข้อดีและข้อเสียของการให้กลวิธานในการป้องกันตนเอง 11.ทำ ให้ผู้ศึกษาเกิดการรับรู้พฤติกรรมทางสังคม(SocialPerception)ที่มีต่อ พฤติกรรมทางสังคมและนำ ความรู้ไปประยุกต์ ใช้ ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองและสังคมได้เป็นอย่างดีและมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของจิตจิวิทวิยา 5
1. ช่วยครูให้รู้จักลักษณะนิสัย (Characteristics) ของนักเรียนที่ครู ต้องสอนโดยทราบหลักพัฒนาการทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และบุคลิกภาพเป็นส่วนรวม 2. ช่วยให้ครูมีความเข้าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประการ ของนักเรียน เช่น อัตมโนทัศน์ (Self concept) ว่าเกิดขึ้นได้ อย่างไร และเรียนรู้ถึงบทบาทของครูในการที่จะช่วยนักเรียนให้มี อัตมโนทัศน์ ที่ดีและถูกต้องได้อย่างไร 3. ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อ จะได้ช่วยนักเรียนเป็นรายบุคคลให้พัฒนาตามศักยภาพของแต่ละ บุคคล 4. ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก่ วัย และขั้นพัฒนาการของนักเรียน เพื่อจูงใจให้นักเรียนมีความ สนใจและอยากจะเรียนรู้ 5. ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของ นักเรียน เช่น แรงจูงใจ อัตมโนทัศน์ และการตั้งความคาดหวัง ของครูที่มีต่อนักเรียน ความสำ คัญของจิตวิทยาสำ หรับรัครู 6
บทที่2 ปัจจัย จั ที่มีผล ต่อพฤติก ติ รรมมนุษย์ 7
ความหมายของพฤติกรรมมนุษย์ พฤติกรรม (Behavior) คือ กริยาอาการที่แสดงออกหรือปฏิกิริยาโต้ตอบเมื่อเผชิญกับสิ่งเร้า (Stimulus) หรือสถานการณ์ต่าง ๆ อาการแสดงออกต่าง ๆ เหล่านั้น อาจเป็นการเคลื่อนไหวที่สังเกตได้หรือวัดได้ เช่น การ เดิน การพูด การเขียน การคิด การเต้นของหัวใจ เป็นต้น ส่วน สิ่งเร้าที่มากระทบแล้วก่อให้เกิดพฤติกรรมก็อาจจะเป็นสิ่งเร้า ภายใน (Internal Stimulus) และสิ่งเร้าภายนอก (External Stimulus) สิ่งเร้าภายใน ได้แก่ สิ่งเร้าที่เกิดจากความต้องการทางกายภาพ เช่น ความหิว ความกระหาย สิ่งเร้าภายในนี้จะมีอิทธิพลสูงสุด ในการกระตุ้นเด็กให้แสดงพฤติกรรม และเมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้นใน สังคม สิ่งเร้าใจภายในจะลดความสำ คัญลง สิ่งเร้าภายนอกทาง สังคมที่เด็กได้รับรู้ในสังคมจะมีอิทธิพลมากกว่าในการกำ หนดว่า บุคคลควรจะแสดงพฤติกรรมอย่างใดต่อผู้อื่น สิ่งเร้าภายนอก ได้แก่ สิ่งกระตุ้นต่าง ๆ สิ่งแวดล้อมทางสังคมที่สามารถสัมผัสได้ ด้วยประสาททั้ง ๕ คือ หู ตา คอ จมูก การสัมผัส 8
ปัจจัยพื้นฐานของพฤติกรรม ประกอบด้วย ปัจจัยพื้นฐาน ด้านชีวภาพ 1. พันธุกรรม 2. การทำ งานของระบบในร่างกาย 3. ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine System) 4. ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular System) ปัจจัยพื้นฐานด้านจิตวิทยา 1. แรงจูงใจ 2. การเรียนรู้ ปัจจัยพื้นฐานด้านสังคมวิทยา 1. อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม 2. กระบวนการสังคมประกิต 3. อิทธิพลของกลุ่ม 9
ปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งมีปัจจัยย่อยอยู่หลายปัจจัย ปัจจัยทางจิตวิทยา จะทำหน้าที่ เป็นสื่อกลางในการรับรู้และตีความสิ่งเร้าก่อนที่ร่างกาย จะแสดง พฤติกรรมต่าง ๆ ปัจจัยทางจิตวิทยาที่สำคัญ ประกอบด้วย แรงจูงใจและ การเรียนรู้ 1. แรงจูงใจ 1.1 ความหมาย ประเภทและปัจจัย แรงผลักดันจากภายในที่ทำให้ให้มนุษย์เกิดพฤติกรรมตอบสนองอย่าง มีทิศทางและ เป้าหมาย เรียกว่า แรงจูงใจ คนที่มีแรงจูงใจ ที่จะทำ พฤติกรรมหนึ่งสูงกว่า จะใช้ความพยายามนำ การกระทำไปสู่เป้า หมายสูงกว่า คนที่มีแรงจูงใจต่ำกว่า แรงจูงใจของมนุษย์จำแนกได้ เป็น 2 ประเภทหลัก ประเภทแรก ได้แก่ แรงจูงใจทางกาย ที่ทำให้ มนุษย์แสดงพฤติกรรมสนองความต้องการ ที่จำเป็นทางกาย เช่น หา น้ำ และอาหารมา ดื่มกิน เมื่อกระหายและหิว ประเภทที่สอง ได้แก่ แรงจูงใจทางจิตซึ่งเกี่ยวข้องกับ ความต้องการทางสังคม เช่น ความ ต้องการความสำเร็จ เงิน คำชมอำนาจ กลุ่มและพวก เป็นต้น ปัจจัย ที่ทำให้เกิดแรงจูงใจในมนุษย์ ประกอบด้วย 10
1.1.1 ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ ความต้องการจำ เป็นของ ชีวิต คือ อาหาร น้ำ ความปลอดภัย 1.1.2 ปัจจัยทางอารมณ์ เช่น ความตื่นเต้น วิตกกังวล กลัว โกรธ รัก เกลียด และความรู้สึกอื่นใด ที่ให้คนมี พฤติกรรม ตั้งแต่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จนถึง การฆ่าผู้อื่น 1.1.3 ปัจจัยทางความคิด เป็นปัจจัยที่กำ หนดให้บุคคล กระทำ ในเรื่องที่คิดว่า เหมาะสมและเป็นไปได้ และตาม ความคาดหวังว่า ผู้อื่นจะสนองตอบ การกระทำ ของตน อย่างไร 1.1.4 ปัจจัยทางสังคม เป็นปัจจัยที่กำ หนดพฤติกรรมของ มนุษย์ เพื่อให้สอดคล้องกับสังคม และเป็นที่ยอมรับ ของ บุคคลในสังคมนั้นด้วย การกระทำ ของผู้อื่นและผลกรรมที่ ได้รับจึงทำ ให้เกิดการเรียนรู้พฤติกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นไป กฏระเบียบ และตัวแบบทางสังคม 11
1.2 ทฤษฎีแรงจูงใจ นักจิตวิทยาได้พัฒนาทฤษฎีเพื่ออธิบายถึงแรงจูงใจของมนุษย์เพื่อ ตอบคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ปรากฏแต่ละทฤษฎีมีจุดที่เป็นความ แนวคิด เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่แตกต่างกันไป ที่สำคัญได้แก่ ทฤษฎีสัญชาติญาณ ทฤษฎีแรงขับ ทฤษฎีการตื่นตัว และทฤษฎีสิ่ง ล่อใจ 1.2.1 ทฤษฎีสัญชาติญาน (Instinct Theory) สัญชาติญาน เป็น พฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกโดยอัตโนมัติตาม ธรรมชาติของชีวิต เป็นความพร้อม ที่จะทำ พฤติกรรม ได้ในทันที เมื่อปรากฎ สิ่งเร้า เฉพาะต่อพฤติกรรมนั้น สัญชาติ ญาณ จึงมีความสำคัญต่อ ความอยู่รอด ของชีวิต ในสัตว์บางชนิด เช่นปลากัดตัวผู้จะแสดงการก้าวร้าว พร้อมต่อสู้ ทันทีที่เห็นตัวผู้ตัว อื่น สำหรับ ใน มนุษย์สัญชาติญาณ อาจจะไม่แสดงออกมา อย่าง ชัดเจนในสัตว์ชั้นต่ำ แต่บุคคลสามารถรู้สึกได้ เช่น ความใกล้ชิด ระหว่าง ชายหญิง ทำให้เกิด ความต้องการทางเพศได้พฤติกรรม นี้ไม่ต้องเรียนรู้เป็นรูปแบบพฤติกรรมที่ตายตัว แน่นอน ซึ่งกำหนด มา ตามธรรมชาติจาก ปัจจัยทางชีวภาพ ในปัจจุบันการศึกษา สัญชาตญาน เป็นเพียงต้องการ ศึกษา ลักษณะ การตอบสนอง ขั้น พื้นฐาน เพื่อความเข้าใจ พฤติกรรม เบื้องต้นเท่านั้น 12
บทที่3 พัฒ พั นาการ ของมนุษย์ 13
พัฒนาการของมนุษย์(ย์HumanDevelopment) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีในทางที่ พึงปรารถนาทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้าน ร่างกาย อารมณ์ ทางสังคม และทางสติปัญญา ซึ่งจะเกิดติดต่อกันไปเรื่อยๆจากระยะหนึ่งไปสู่อีก ระยะหนึ่ง 14
การศึกษาพัฒนาการของมนุษย์มีความมุ่งหมายที่ สำ คัญ 4 ประการ คือ 1) เพื่อการบรรยาย (description) ลักษณะของ กระบวนการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการพัฒนา ซึ่งมีความ แตกต่างกันในแต่ละวัยอันเป็นความรู้ที่ สามารถนำ ไปใช้ให้ เกิดประโยชน์ทั้งในทางวิชาการ และการดำ เนินชีวิตได้ 2) เพื่อการอธิบาย (explanation) สาเหตุของการ เปลี่ยนแปลงและกระบวนการที่ทำ ให้เกิดการพัฒนา เป็นการ อธิบายหรือให้ความกระจ่างว่าการ เปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์ หรือพฤติกรรมนั้นเกิดขึ้น ได้อย่างไรมีอะไรเป็นสาเหตุและมี ผลที่ตามมา 15
3) เพื่อการทำ นาย (prediction) พฤติกรรมหรือ การ เปลี่ยนแปลงที่จะปรากฏขึ้นเมื่อถึงวัยอัน สมควร เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเมื่อไรจะมี การพฤติกรรม เกิดขึ้น และเกิดขึ้นแล้วผลจะเป็น อย่างไร ทั้งนี้เพื่อจะ ได้มีการเตรียมพร้อมเพื่อรับ กับเหตุการณ์นั้น 4) เพื่อการควบคุม (control) สภาพต่าง ๆ ให้อยู่ ใน ลักษณะที่เป็นไปตามธรรมชาติของพัฒนาการ ในขณะ เดียวกันก็มีพัฒนาการที่สมบูรณ์ที่สุดเท่า ที่จะเป็นไปได้ ตามสภาพของสังคมวัฒนธรรม จารีตประเพณีเจริญรอย ตามวิถีทางการดำ เนิน ชีวิตในสังคมอย่างปกติสุข 16
พัฒนาการของบุคคลในวัยต่างๆ - วัยทารก เป็นวัยที่อยู่ระหว่างแรกเกิดจนถึง2ปี พัฒนาการด้านต่างๆ ในวัยนี้ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานสำ คัญของ พัฒนาการในวัยต่อๆ ไป - วัยเด็ก วัยนี้อยู่ในช่วงอายุประมาณ 2-12 ปี เป็นระยะ ที่ร่างกายจะเจริญเติบโตช้าลงกว่าในวัยทารก โดยเฉพาะ ในระยะเริ่มต้นของวัย แต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วชัดเจนอีกครั้งเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายของวัย วัยเด็ก ตอนต้น อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 3-5 ปี เป็นวัยที่แสดง ความก้าวหน้าทางด้านพัฒนาการในทุกด้าน วัยเด็กตอน กลาง อยู่ในช่วงอายุ 6-9 ปี พัฒนาการด้านต่างๆ ของ เด็กในวัยนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไม่มากนัก วัย เด็กตอนปลาย อยู่ในช่วงอายุ 10-12 ปี ซึ่งถือว่าเป็นช่วง เวลาที่สำ คัญของวัยเด็ก ทั้งนี้เนื่องจากเป็นวัยที่มีการ เปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในทุกด้านหลายประการ 17
- วัยรุ่น วัยนี้จะอยู่ในช่วงอายุ 12-20 ปี นับว่าเป็นวัยที่มี ความสำ คัญมากอีกวัยหนึ่ง อาจกล่าวได่ว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยว หัวต่อของชีวิต เนื่องจากเป็นวัยที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง พัฒนาการในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ซึ่งกลุ่มเพื่อนจะมีบทบาทสำ คัญต่อพัฒนาการทาง สังคมของวัยรุ่นในการที่จะค้นพบตัวเอง - วัยผู้ใหญ่ วัยนี้เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 21 ปีขึ้นไปจนตลอดชีวิต ผู้ใหญ่เป็นอีกวัยที่มีความสำ คัญต่อชีวิตมนุษย์ คือ นอกจากจะ เป็นวัยแห่งความสมบูรณ์สูงสุดของพัฒนาการในด้านต่างๆ ทั้ง ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ยังเป็นวัยเริ่มต้นแห่ง ความแห่งเสื่อมของพัฒนาการทุกด้านอีกด้วย วัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุ 20-40 ปี เป็นวัยแห่งการทำ งาน มีครอบครัวและความ มั่งคงให้กับตนเอง วัยกลางคน อายุ 40-60 ปี เป็นวัยแห่งการ เริ่มต้นความเสื่อมของร่างกาย วัยชราอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นวัย ที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคนในครอบครัวเป็นพิเศษทั้ง ด้านร่ากายและจิตใจ 18
ทฤษฎีพัฎี พัฒนาการ (Theories of Development) พัฒนาการความต้องการทางเพศและบุคลิกภาพ (Freud's Psychosexual&Personality Development) ซิกมันด์ ฟรอยด์ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีพัฒนาการของเขา ไว้ว่า "พัฒนาการความต้องการทางเพศและบุคลิกภาพของบุคคล ต้องอาศัยการพัฒนาที่ต่อเนื่องอย่างเป็นลำดับขั้นจนกลายเป็น บุคลิกภาพที่ถาวรในที่สุด" ช่วงเวลาที่ฟรอยด์ให้ความสำคัญต่อการ สร้างบุคลิกภาพอย่างมากจะอยู่ในช่วงระยะแรกเกิดถึงห้าปี ทฤษฎีพัฒนาการทางสังคมของอีริกสัน (Erikson's Psychosocial Theory) อีริก เอช. อีริกสัน แนวคิดของอีริกสัน จะเน้นความสำ คัญที่ว่าพัฒนาการของบุคคลจะขึ้นอยู่กับปัจจัย ทางสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมทางจิตใจมากกว่าการ ตอบสนองทางร่างกาย พัฒนาการของบุคคลจะเกิดขึ้นอยู่ตลอด เวลาตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งเสียชีวิต 19
ทฤษฎีพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของเพียเจย์ (Piaget's Cognitive Development Theory) ฌอง เพียเจย์ เขาได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ พัฒนาการทางเชาว์ปัญญาอย่างจริงจังและลึกซึ้ง ผลจากการ ทดลองของเขาพบว่าเด็กทุกคนเกิดมาพร้อมที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่ง แวดล้อมอยู่ตลอดเวลา และปฏิสัมพันธ์นี้เองที่เป็นปัจจัยก่อให่เกิด พัฒนาการทางเชาว์ปัญญาขึ้น ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคห์ลเบริก์ (Kohlberg's Moral Development) ลอเรนซ์ โคห์ลเบริก์ วิธีการศึกษาวิจัย ของโคห์ลเบริก์ มีความคล้ายคลึงกับวิธีของเพียเจย์ กล่าวคือ จะมีการสร้าง สถานการณ์สมมติขึ้นมา โดยให้กลุ่มทดลองเป็นผู้ตอบปัญหาที่ เกิดขึ้นในสถานการณ์สมมตินั้น ผลจากการวิเคราะห์คำ ตอบของผู้ ตอบในวัยต่างๆ ทำ ให้โคห์ลเบริก์สรุปเป็นทฤษฎีพัฒนาการทาง จริยธรรมของบุคคลเป็น 3 ระดับ 20
บทที่4 ความจำ ของมนุษย์ 21
มนุษย์เก็บความทรงจำ ประเภทต่างๆ สำ หรับช่วงเวลาซึ่งแตก ต่างกันไป ความทรงจำ ระยะสั้นคงอยู่ได้เพียงไม่กี่วินาทีจนถึง ชั่วโมง ขณะที่ความทรงจำ ระยะยาวอยู่กับเราไปนานหลายปี นอกจากนี้ เรายังมี ความจำ เพื่อใช้งาน(Working memory) อีกเช่นกัน ซึ่งมันช่วยให้เราเก็บข้อมูลเอาไว้ภายในใจด้วยเวลา จำ กัดโดยการเน้นย้ำ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อไรก็ตามที่เรากำ ลัง จดจำ หมายเลขโทรศัพท์ของใครสักคน เราจึงพยายามพูดกับ ตัวเองซ้ำ แล้วซ้ำ เล่า โดยกระบวนการเหล่านี้ถือเป็นช่วงที่ ความจำ เพื่อใช้งาน กำ ลังประมวลอยู่ 22
ระบบของการจำ ความจำเป็นระบบการทำงานที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา (active system) ในการที่จำรับ (receives) เก็บ (stores) จัดการ (organizes) เปลี่ยนแปลง (alters) และนำข้อมูลออกมา (recovers) การทำงานของการจำคล้าย ๆ กับเครื่อง คอมพิวเตอร์คือเริ่มจากการใส่รหัส ข้อมูลเข้าไป จากนั้นจะ เก็บข้อมูลไว้ในระบบ (ซึ่งการจำของมนุษย์จะมีระบบการเก็บ ข้อมูล 3 ระบบ) เมื่อต้องการข้อมูลใดก็เรียก ออกมาได้ เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ เราสามารถเก็บข้อมูลที่ต้องการจำ ได้มากมาย และสามารถนำข้อมูล ที่ต้องากรออกมาได้ทั้งนี้ เพราะข้อมูลถูกจัดไว้ อย่างเป็น ระบบและเป็นลำดับ เสมือน เป็นห้องสมุดเคลื่อนที่ นักจิตวิทยาได้แบ่งความจำ เป็น 3 ระบบ การจัดเก็บข้อมูล ใด ๆ ต้องผ่านขั้นตอนทั้ง 3 นี้ดังแผ่นภาพต่อไปนี้ 23
1.ความจำ จากการรับสัมผัส (sensory memory) ถ้าคุณไปตลาด และเพื่อนฝากซื้อของ โดยการอ่าน รายการของให้ฟังดัง ๆ คุณจะจำ ได้อย่างไร ข้อมูลที่ ต้องการจำ จะเข้าสู่ระบบความจำ จากการรับสัมผัส การจำ แบบนี้ลักษณะเหมือนสิ่งที่ได้เห็นได้ยินทุกอย่าง ถ้าได้เห็น ข้อมูล ภาพติดตา (icon) หรือจินตภาพ 2.ความจำ ระยะสั้น (shot-term memory - STM) สิ่งที่เราเห็นหรือได้ยินทุกอย่างไม่จำ เป็นต้องอยู่ในระบบการ จำ เช่น ถ้าอ่านรายการซื้อของให้ฟัง สิ่งที่สนใจเฉพาะ อย่างจะเคลื่อนจากความจำ จากการรับสัมผัส สู่ความจำ ระยะสั้น (STM) 24
3.ความจำ ระยะยาว (long-term memory - LTM) ข้อมูลที่สำ คัญและมีความหมายจะโยกย้ายไปสู่ระบบความ จำ ที่สาม ซึ่งเรียกว่า ความจำ ระยะยาว เมื่อเปรียบเทียบ กับ STM ความจำ ระยะยาว (LTM) ทำ หน้าที่เสมือนคลัง ข้อมูลถาวร LTM บรรจุทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับ โลกเอาไว้ โดยความสามารถไม่จำ กัดในการเก็บข้อมูล จึงไม่มีข้อมูล หายไปจาก LTM ข้อมูลใน LTM ไม่ได้เก็บในลักษณะของ เสียงเหมือน STM แต่เก็บข้อมูลไว้บนพื้นฐานของความ หมายและความสำ คัญของข้อมูล เช่น ถ้าเราระลึกข้อมูล จาก LTM ผิด ก็จะผิดที่ความหมาย ไม่ใช่เสียงที่พ้องกัน อย่างใน STM ถ้าเราพยายามระลึกคำ ว่า ยุ้งข้าว แต่จำ ไม่ ได้อาจคิดว่าเป็นทุ่งนาหรือโรงใส่ข้าวแต่จะไม่คิดว่าเป็น ยุ้งข้าว 25
ระบบความจำ (Memory System) เป็นการนำ ข้อมูลจัดเก็บไว้ ให้เกิดเป็นความทรงจําผ่านการจํา ได้(Remember)โดย สามารถแบ่งระดับของการจำ ได้ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1) การจำ จากการรับรู้สัมผัส(sensory memory) เป็นความ ทรงจำ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการรับรู้เช่นภาพเสียงซึ่งจะ มีการ จดจําได้ในระยะสั้น 2) ความทรงจำ ระยะสั้น(short term memory) เป็นความ ทรงจำ ที่ได้รับการจัดเก็บไว้แล้วและมีการนำ กลับมา ใช้หรือไม่ ก็ได้กลายเป็นความทรงจำ ชั่วคราวซึ่งระบบจะทำ การ ลืมข้อมูล นี้ไปในระยะ30วินาทีแต่จะมีการคงไว้ในสมองซึ่งอาจ ดึงกลับ มาในอนาคตได้ถ้ามีภาวะวิกฤติเกิดขึ้นเช่นการจดจ่าค่า พูด ภาพโฆษณา 3) ความทรงจำ ระยะยาว (long term memory) เป็นความ ทรงจําที่ได้รับการตีค่าว่ามีความหมายได้รับการเรียน รู้ซ้ำ ๆ เกิดการจดจําอย่างต่อเนื่องและสามารถดึงกลับมาใช้ได้ หากมี สิ่งกระตุ้นความทรงจำ ที่เหมาะสมเช่นการจดจําบทเรียน ภาพ สถานที่ต่างๆ 26
ทฤษฎีการสลายของรอยการจำ (Decay Theory) ทฤษฎีนี้อธิบายว่า ความจำ จะสลายหรือเลือนไปตามกาลเวลา หากไม่มีการทบทวนหรือท่องจำ เพื่อเตือนความทรงจำ เสมอ ๆ อย่างไรก็ตามการจำ ระยะสั้นหรือการจำ ชั่วคราวนี้เกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมการเเรียนรู้ของมนุษย์มากทีเดียว ถ้าเรามีการจำ ชนิด นี้จุมากกว่า 7 ช่องการจำ ในขณะเดียวกัน จะทำ ให้สามารถ อ่านเอาความได้ดีกว่าผู้ที่มีการจำ ระยะสั้นน้อย 1.การปรับปรุงการจำ ระยะสั้น (Improving Short - Term Memory)การ ปรับปรุงขยายขีดความสามารถในการจำ ประเภท นี้ที่นิยมใช้มากที่สุด เรียกว่า การจัดหน่วยย่อย ๆ ให้เป็นหน่วย ที่ใหญ่ขึ้น 2.การจำ ระยะยาวหรือการจำ ถาวร (Long-Term Memory) การจำ ชนิดนี้ คือ การที่ข้อมูลหรือสิ่งเร้าสามารถถูกบันทึกไว้ได้ นาน บางครั้งอาจถูกบันทึกไว้ในสมองตลอดชีวิต 3.การจำ เหตุการณ์ (Episodic Memory) คือการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ว่า เกิดขึ้นเมื่อใดโดยบันทึก เป็นประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตนเอง และเกี่ยวเนื่องกับ ประสบการณ์ 27
เทคนิคและวิธีพัฒนาความทรงจำ 1. พยายามตั้งสมาธิเมื่อปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ 2.พยายามนึกสร้างภาพในใจเมื่อต้องจดจำสิ่งหนึ่งสิ่งใด และ ถ้าภาพประทับใจก็ยิ่งทำให้จดจําได้ 3.เลือกจ่าเฉพาะข้อมูลที่สำคัญเท่าที่จำเป็นเท่านั้น 4.ควรมีสมุดบันทึกพกติดตัวตลอดเวลาเพื่อใช้จดข้อมูล ต่างๆกันลืม 5.พยายามจัดหมวดหมู่สิ่งของไว้เป็นพวกๆเก็บเป็นที่เป็น ทางเพื่อความสะดวกในการใช้งานและไม่สับสน 6.ทำทุกเรื่องด้วยสติและรอบคอบถ้าไม่แน่ใจก็ตรวจทาน อีกครั้งเพื่อป้องกันความผิดพลาด 7.พยายามลดความตึงเครียดเช่นหางานอดิเรกทำในยาม ว่าง,ออกกําลังกาย, นั่งสมาธิเป็นต้น 28
บทที่5 การคิด คิ และ เชาวน์ปัญญา 29
เชาวน์ปัญญา หมายถึง ความฉลาด ความสามารถในการทำ ความ เข้าใจส่ิงต่าง ๆ ความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ รวมท้ังศักยภาพในการเรียนรู้จากประสบการณ์ ปัจจุบันนักจิตวิทยาได้จัดลาดับลักษณะความสำ คัญของคุณสมบัติท่ี ใช้เป็นตัวแทนในการแสดงถึงความสามารถทางเชาวน์ปัญญาของ มนุษย์ออกเป็น 3 ลักษณะ คือ 1.ความสามารถที่เกี่ยวข้องกับเร่ืองความคิด สัญลักษณ์ การสร้าง ความสัมพันธ์ความคิดรวบยอด และความสามารถในทำ ความ เข้าใจกฎเกณฑ์ต่าง ๆ 2.ความสามารถในการแก้ปัญหา ซ่ึงจะเน้นในเร่ืองความสามารถใน การปรับตัวเข้ากับ สภาพการณ์ใหม่ได้อย่างเหมาะสม 3.ความสามารถในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความสามารถทางด้านภาษา สัญลักษณ์ ความสามารถ ทางคณิตศาสตร์ ความสามารถทางด้าน มิติสัมพันธ 30
องค์ประกอบที่เป็นความสามรถทั่วไป เช่น ความจำ องค์ประกอบที่เป็นความสามารถเฉพาะ เช่น ความ สามารถทางคณิตศาสตร์ ทางภาษา ทฤษฎีเชาวน์ปัญญา 1. ทฤษฎีเอกนัยหรือทฤษฎีองค์ประกอบเดียว ผู้คิดทฤษฎีนี้ อัลเฟรด บิเนต์ มีความเห็นว่าว่าเชาวน์ปัญญาหมายถึงผลรวม ของความสามารถหลายๆ ด้านของบุคคลที่มีลักษณะเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน รวมกันเข้าเป็นองค์ประกอบเดียว เรียกว่าองค์ ประกอบทั่วไป ซึ่งไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ ซึ่งบิเนต์เชื่อ ว่าจะพัฒนาไปตามวุฒิภาวะของแต่ละบุคคล 2. ทฤษฎีสององค์ประกอบ ผู้คิดทฤษฎี ชาร์ลส์ อี. สเปียร์แมน เชื่อว่าเชาวน์ปัญญาของคนเราไม่น่าจะมีเพียงองค์ประกอบดียว แต่ควรประกอบขึ้นจากองค์ประกอบสองประเภทด้วยกันคือ ไหวพริบ 31
เชาวน์ปัญญาที่ได้รับจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เชาวน์ปัญญาที่เป็นผลมาจากการเรียนรู้และประสบการณ์ 3. ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาของกิลฟอร์ด เจ.พี. กิลฟอร์ด เชื่อว่า เชาวน์ปัญญาของบุคคลมีโครงสร้างเป็นสามมิติ ซึ่งมีความ สัมพันธ์กัน ได้แก่ ด้านเนื้อหา ด้านวิธีคิด และด้านผลที่ได้ ซึ่งทั้ง สามมิติหรือสามด้านยังสามารถแยกองค์ประกอบย่อยได้อีกถึง 120 ส่วน 4. ทฤษฎีการจัดกลุ่มและอันดับ เวอร์นอน และเบิร์ต มีความ เห็นว่าเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ประกอบด้วยองค์ประกอบอื่นๆ อีกหลายส่วน แต่ละส่วนจะมีขนาด ลักษณะ และคุณภาพที่แตก ต่างกันๆ ไป 5. ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาของแคตเตลล์ ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับ เชาวน์ปัญญาโดยถือเอาอิทธิพลที่มีต่อพัฒนาการทางเชาวน์ ปัญญาเป็นเกณฑ์ โดยเขาเห็นว่าเชาวน์ปัญญาของบุคคลแบ่งองค์ ประกอบทั่วไปสองประเภทคือ 32
1. ขั้นการกระทำ(Enactive Stage)เป็นพัฒนาการในลำดับ แรกโดยพัฒนาการในขั้นน้ี เด็กจะทำความเข้าใจกับส่ิง แวดล้อมโดยการกระทก ดังน้ันการจะสอนเด็กในวัยนี้จะต้อง อาศัยการ แสดงให้ดูโดยการกระทาเท่าน้ันไม่ใช่คำพูด ในขั้น น้ีบรูนเนอร์เน้นเช่นเดียวกับเพียเจท์ว่า “วัตถุคือสิ่งที่ เด็กต้อง ลงมือกระทำเอง” (Objects are what the child does with them) ในขั้นน้ีจะต้องอาศัย การจับ การเคล่ือนไหว การกัด การถู การสัมผัสกับวัตถุนั้น ๆ โดยตรง การกระทำใน ลักษณะที่ว่าน้ี เป็นรากฐานของเชาวน์ปัญญาทางด้านทักษะ ทางกาย (Bodily Kinesthetic Intelligence) ตาม แนวความ คิดของการ์ดเนอร์ (Gardner) บรูนเนอร์ได้อธิบายพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาโดยแบ่ง ออกเป็น 3 ข้ัน ดังนี้ 33
2. ขั้นจินตนาภาพ (Iconic Stage)เป็นพัฒนาการในลำดับขั้น ที่สองซึ่งเป็นข้ันท่ีข้อมูลต่าง ๆ สามารถแสดงออกได้เป็นภาพ (Imagery) ในข้ันน้ีจะมีพัฒนาการทางความจำในสิ่งท่ีรับรู้ ด้วยตา (Visual Memory) แต่อย่างไรก็ตามเด็กจะตัดสินใจ โดยอาศัยความรู้สึกที่ประทับใจ (Sensory Impression) มากกว่าการใช้ภาษา (ในช่วงน้ีตรงกับแนวความคิดของ เพียเจท์ข้ัน Preoperational Thought) ในขั้นนี้เด็กจะเป็น นักโทษท่ีอยู่ในโลกแห่งการรับรู้ของตนเอง (Perceptual World) ใน เร่ืองของความสว่าง เสียง การเคล่ือนไหว ซึ่งในขั้นนี้ การ์ดเนอร์ เรียกว่า เป็นช่วงเชาว์ปัญญาทางมิติ สัมพันธ์ (Spatial Intelligence) บรูนเนอร์ได้อธิบายพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาโดยแบ่ง ออกเป็น 3 ข้ัน ดังนี้ 34
3. ข้ันการใช้สัญลักษณ์ (Symbolic Stage)เป็นข้ันของการรับรู้ ข้อมูลต่าง ๆ โดยใช้ระบบ สัญลักษณ์ (Symbol System) ในระ ยะน้ีความสามารถทางภาษา ตรรกศาสตร์คณิตศาสตร์จะเข้ามา มีบทบาทมาก ในขั้นนี้เด็กจะสามารถแปลประสบการณ์ ต่าง ๆ ออกเป็นกฎเกณฑ์ (Formula) ได้ จากแนวคิดในเรื่อง พัฒนาการทางเชาว์ปัญญาน้ี บรูนเนอร์อธิบายว่าการพัฒนาจะ เป็นไปตามข้ัน จาก ขั้นท่ี 1 ไปยังข้ันที่ 3 อย่างไรก็ตาม พัฒนาการทั้ง 3 ขั้นนี้จะมีความสัมพันธ์ต่อเน่ืองกัน หมายความ ว่า เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่มิใช่ว่าพัฒนาในข้ันการกระทำ และขั้น จินตนาภาพจะหายไปอย่างหมดส้ิน แต่ ความหมายว่าด้วยอายุ และประสบการณ์ท่ีมากข้ึนพัฒนาการในลำ ดับขั้นที่ 3 จะมี มากกว่าส่วนอื่น บรูนเนอร์ได้อธิบายพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาโดยแบ่ง ออกเป็น 3 ข้ัน ดังนี้ 35
ส่วนเพียเจท์ได้อธิบายถึงพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา โดยแบ่งพัฒนาการออกเป็น 4 ขั้น คือ 1. ข้ันการใช้สัมผัสและกล้ามเนื้อ (Sensory – Motor Stage) 2. ขั้นเร่ิมต้นคิด (Preoperational Stage) 3. ขั้นความคิดเชิงรูปธรรม (Concrete Operational Stage) 4. ข้ันความคิดเชิงนามธรรม (Formal Operational Stage) 36
บทที่6 การรับ รั รู้ 37
ทฤษฎีการรับรู้ (Perception Theory) การรับรู้เป็น พื้นฐานการเรียนรู้ที่สำ คัญของบุคคล เพราะการตอบ สนองพฤติกรรมใดๆ จะขึ้นอยู่กับการรับรู้จากสภาพ แวดล้อม ของตน และความสามารถในการแปล ความหมายของสภาพนั้นๆ ดังนั้น การเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยการรับรู้ และสิ่งเร้าที่ มีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจัยการรับรู้ประกอบด้วย ประสาทสัมผัส และปัจจัยทางจิต คือความรู้เดิม ความต้องการ และเจตคติเป็นต้น การรับรู้จะ ประกอบด้วยกระบวนการสามด้าน คือการรับสัมผัส การแปลความหมายและอารมณ์ 38
การรับรู้ (Perception) หมายถึง การท่ีมนุษย์ นำ ข้อมูลที่ได้จากความรู้สึกสัมผัส (Sensation) ซ่ึงเป็นข้อมูลดิบ (Raw Data) จากประสาท สัมผัสท้ัง5 อันประกอบด้วย ตา หู จมูก ล้ิน และกาย สัมผัสมาจำ แนก แยกแยะ คัดเลือก วิเคราะห์ด้วยกระบวนการทำ งานของสมอง แล้วแปลสิ่งท่ีได้ออกเป็น สิ่งหนึ่งส่ิงใดท่ีมีความ หมายเพ่ือนำ ไปใช้ในการเรียนรู้ต่อไป 39
ลักษณะที่สำ คัญของการรับรู้มี6ประการ คือ 1. ต้องมีพ้ืนฐานข้อมูลหรือความรู้ในเรื่องน้ันมาก่อน (Knowledge Based) หรือถ้าไม่มีความรู้ อย่างน้อยก็ ต้องมีประสบการณ์เดิมในเร่ืองนั้นอยู่บ้าง 2. จะต้องประกอบด้วยข้อวินิจฉัย (Inferential) ในข้ัน ตอนของกระบวนการรับรู้ ทั้งนี้เพราะใน การรับรู้เรื่อง ใดเร่ืองหนึ่ง มนุษย์ไม่สามารถรับข้อมูลทุกชนิดในเรื่อง นั้นพร้อมกันได้ ดังน้ันจึงต้องอาศัย วิธีการวินิจฉัย โดยการต้ังสมมติฐานหรือปะติดปะต่อเรื่องต่าง ๆ เข้า ด้วยกันเพื่อให้การรับรู้ในส่ิงนั้นเกิด ความสมบูรณ์มาก ท่ีสุด 3. จะต้องมีความสามารถในการแยกแยะ (Categorical) ลักษณะหรือคุณสมบัติท่ีสาคัญของ ข้อมูลนั้นได้อย่างถูกต้อง ซึ้งในลักษณะน้ีจะต้องอาศัย ความจำ จากประสบการณ์เดิมมาใช้ 40
4. ลักษณะของการรับรู้จะต้องมีความสัมพันธ์ เชื่อมโยง (Relational) ของข้อมูลต่าง ๆ หลาย ประเภท 5. กระบวนการของการรับรู้จะต้องอาศัยของการ ดัดแปลง (Adaptive) ข้อมูลจากประสบการณ์ เดิมมาใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละเร่ืองท่ีกาลังรับรู้อยู่ ในขณะนั้น 6. กระบวนการของการรับรู้มักจะเป็นไปโดย อัตโนมัติ ซึ่งเป็นการทางานของสมองในการรับรู้ ข้อมูลต่างๆ มีการแปลความหมายจากสิ่งที่ได้ สัมผัส และเกิดการรับรู้สิ่งเร้าน้ันในลักษณะของ ส่วนรวมที่มี ความหมาย 41
กระบวนการของการรับรู้จะต้องประกอบไปด้วยสิ่ง เหล่าน้ี 1. มีสิ่งเร้าท่ีจะรับเข้าสู่ร่างกายทางประสาทสัมผัส โดยผ่านอวัยวะรับสัมผัสทั้ง 5 2. ประสาทรับสัมผัส รับสิ่งเร้าเข้ามา ซึ่งประสาท สัมผัสและความรู้สึกสัมผัส เช่น หู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนัง จะต้องสมบูรณ์พอท่ีจะสัมผัสส่ิงเร้าน้ัน และส่งต่อไปยังสมองเพ่ือแปลความหมาย 3. การแปลความหมายเกิดจากประสบการณ์เดิม หรือความรู้เดิมเกี่ยวกับส่ิงเร้าที่ได้สัมผัสนั้น เกิดการตอบสนองต่อสิ่งเร้า เป็นพฤติกรรมต่างๆข้ึน 42
องค์ประกอบท่ีมีอิทธิพลต่อการรับรู้ การรับรู้ท่ีดีข้ึนอยู่กับระบบประสาทสัมผัสและ สภาวะจิตใจของแต่ละบุคคล ตลอดจน ลักษณะ ของวัตถุท่ีเราจะรับรู้ดังนี้ 1. องค์ประกอบทางด้านตัวบุคคล 2. องค์ประกอบของส่ิงเร้า 3. การรับรู้ผิดพลาด 4. การรับรู้ความคงที่ของวัตถุ 43
บทที่7 การเรียรี นรู้ 44
การเรียนรู้ หมายถึง การเรียนรู้ของมนุษย์อาจเกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งของการ ศึกษา การพัฒนาส่วนบุคคล การเรียนการสอน หรือการ ฝึกฝน การเรียนรู้อาจมีกมีารยึดเป้าหมายและอาจมีคมีวาม จูงใจเป็นตัวช่วย การศึกษาว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชาประสาทจิตวิทยา (neuropsychology) จิตวิทยาการศึกษา(educational psychology) ทฤษฎีการเรียนรู้(รู้learning theory) และ ศึกษาศาสตร์ (pedagogy) การเรียนรู้อาจทำ ให้เกิด พฤติกรรมการเรียนรู้(รู้habituation) หรือการวางเงื่อนไข แบบดั้งเดิม(classical conditioning) ซึ่งพบในสัตว์หลาย ชนิด หรือทำ ให้เกิดกิจกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นอย่างเช่นการ เล่น ซึ่งพบได้เฉพาะในสัตว์ที่มีเชาวน์ปัญญา การเรียนรู้ อาจก่อให้เกิดความตระหนักอย่างมีสำ นึกหรือไม่มีสำ นึก ก็ได้ 45
ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) คือ ผลของการ เรียนรู้ที่เป็นความสามารถทางสมอง ครอบคลุม พฤติกรรมประเภท ความจำ ความเข้าใจ การนำไป ใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และประเมินผล ด้านเจตพิสัย (Affective Domain ) คือ ผลของการ เรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงด้านความรู้สึก ครอบคลุม พฤติกรรมประเภท ความรู้สึก ความสนใจ ทัศนคติ การประเมินค่าและค่านิยม ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) คือ ผล ของการเรียนรู้ที่เป็นความสามารถด้านการปฏิบัติ ครอบคลุมพฤติกรรมประเภท การเคลื่อนไหว การ กระทำ การปฏิบัติงาน การมีทักษะและความชำนาญ จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ พฤติกรรมการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายของนักการศึกษาซึ่ง กำหนดโดย บลูม และคณะ (Bloom and Others) มุ่งพัฒนาผู้เรียนใน 3 ด้าน ดังนี้ 1. 2. 3. 4. 46
แรงขับ (Drive) เป็นความต้องการที่เกิดขึ้นภายใน ตัวบุคคล เป็นความพร้อมที่จะเรียนรู้ของบุคคลทั้ง สมอง ระบบประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ แรงขับ และความพร้อมเหล่านี้จะก่อให้เกิดปฏิกิริยา หรือ พฤติกรรมที่จะชักนำ ไปสู่การเรียนรู้ต่อไป สิ่งเร้า (Stimulus) เป็นสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นใน สถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นตัวการที่ทำ ให้บุคคลมี ปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมตอบสนองออกมา ใน สภาพการเรียนการสอน สิ่งเร้าจะหมายถึงครู กิจกรรมการสอน และอุปกรณ์การสอนต่างๆ ที่ครู นำ มาใช้ องค์ประกอบสำ คัญของการเรียนรู้ ดอลลาร์ด และมิลเลอร์ (Dallard and Miller) เสนอ ว่าการเรียนรู้ มีองค์ประกอบสำ คัญ 4 ประการ คือ 1. 2. 47