3.การตอบสนอง (Response) เป็นปฏิกิริยา หรือ พฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงออกมาเมื่อบุคคลได้รับการก ระตุ้นจากสิ่งเร้า ทั้งส่วนที่สังเกตเห็นได้และส่วนที่ไม่ สามารถสังเกตเห็นได้ เช่น การเคลื่อนไหว ท่าทาง คำ พูด การคิด การรับรู้ ความสนใจ และความรู้สึก เป็นต้น 4.การเสริมแรง (Reinforcement) เป็นการให้สิ่งที่มี อิทธิพลต่อบุคคลอันมีผลในการเพิ่มพลังให้เกิดการ เชื่อมโยง ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองเพิ่มขึ้น การเสริมแรงมีทั้งทางบวกและทางลบ ซึ่งมีผลต่อการ เรียนรู้ของบุคคลเป็นอันมาก 48
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆสามารถนำ ไปประยุกต์ใช้เป็นหลักในการ จัดการเรียนการสอนได้ในลักษณะต่างๆ เช่น การจัดสภาพที่ เหมาะสมสำ หรับการเรียนการสอน การจูงใจ การรับรู้ การเสริมแรง การถ่ายโยงการเรียนรู้ ฯลฯ การจัดสภาพที่เอื้อต่อการเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอน ที่สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ เพื่อเกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้นจ ต้องคำ นึงถึงหลักการที่สำ คัญอยู่ 4 ประการคือ 1. ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนอย่างกระฉับกระเฉง เช่น การให้เรียนด้วยการลงมือปฏิบัติ ประกอบกิจกรรม และเสาะ แสวงหาความรู้เอง ไม่เพียงแต่จะทำ ให้ผู้เรียนมีความสนใจสูงขึ้น เท่านั้น แต่ ยังทำ ให้ผู้เรียนต้องตั้งใจสังเกตและติดตามด้วยการ สังเกต คิดและใคร่ครวญตาม ซึ่งจะมีผลต่อการเพิ่มพูนความรู้ 2. ให้ทราบผลย้อมกลับทันที เมื่อให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติหรือ ตัดสินใจทำ อะไรลงไป ก็จะมีผลสะท้อนกลับให้ทราบว่านักเรียน ตัดสินใจถูกหรือผิด โดยทันท่วงที 49
3. ให้ได้ประสบการณ์แห่งความสำ เร็จ โดยใช้การเสริม แรง เมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์หรือถูกต้อง ก็จะมีรางวัลให้ เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจ และแสดง พฤติกรรมนั้นอีก 4. การให้เรียนไปทีละน้อยตามลำ ดับขั้น ต้องให้ผู้เรียน ต้องเรียนทีละน้อยตามลำ ดับขั้นที่พอเหมาะกับความสนใจ และความสามารถของผู้เรียนโดยคำ นึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคลเป็นสำ คัญจะทำ ให้ประสบความสำ เร็จใน การเรียน และเกิดการเรียนรู้ที่มั่นคงถาวรขึ้น 50
บทที่8 การศึก ศึ ษา เป็นรายกรณี 51
การศึกษารายกรณี (Case study ) การศึกษารายกรณี (Case study ) เป็นรูปแบบหนึ่งของการ วิจัยในชั้นเรียนเชิงคุณภาพ เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยครูในการ เชื่อมโยงกลับไปสู่เหตุปัจจัยที่ทำ ให้เกิดเป็นผล คือบุคลิกภาพ เด็กที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน การศึกษาเด็กเป็นรายกรณี หมายถึง การศึกษา วิเคราะห์ ข้อมูลของเด็กเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม รายห้องเรียนในด้าน ต่างๆ เช่น พัฒนาการ พฤติกรรม สภาพแวดล้อม การอบรม เลี้ยงดู อย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งไม่จำ เป็นต้องศึกษาเฉพาะเด็กที่มี ปัญหาเสมอไป อาจศึกษาเด็กที่มีความสามารถ พัฒนาการหรือ บุคลิกภาพด้านใดด้านหนึ่งเด่นชัด ควรได้รับการส่งเสริมพัฒนา ให้ดียิ่งๆขึ้นไป เช่น เด็กปัญญาเลิศ เด็กที่มีความประพฤติ ปฏิบัติดี เป็นต้น การศึกษาเด็กเป็นรายกรณีจึงเป็นประโยชน์มากสำ หรับการนำ มาใช้ในการพัฒนาผู้เรียน เพราะจะช่วยให้ครูเข้าใจผู้เรียนที่ครู ต้องการช่วยเหลือได้อย่างละเอียดลึกซึ้งจนสามารถหาแนวทาง แก้ไขหรือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 52
จุดมุ่งหมายของการศึกษารายกรณี 1. เพื่อสืบค้นหาสาเหตุที่ทาให้นักเรียนมีพฤติกรรมผิดปกติซึ่ง ทางโรงเรียนจะได้ให้ความช่วยเหลือ และแก้ไขได้อย่างถูกต้อง 2. เพื่อสืบค้นรูปแบบ (Pattern) ของพัฒนาการของนักเรียนทั้ง ทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์สังคม และจิตใจ ซึ่งทาง โรงเรียนจะได้ให้การส่งเสริมพัฒนาได้อย่างเหมาะสม 3. เพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจตนเอง ยอมรับความจริง เกี่ยวกับตนเอง สามารถพัฒนาตนเอง สามารถวางแผนชีวิต สามารถตัดสินใจเลือกแนวทางศึกษาต่อและเลือกอาชีพที่ สามารถดาเนินชีวิตอยู่ใน สังคมได้อย่างมีความสุขและมี ประสิทธิภาพ 4.เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจเด็กของตนได้ดีขนึ้ และให้ความ ร่วมมือกับทางโรงเรียนในการแก้ปัญหา ของบุตรหลานของตน 5. เพื่อช่วยให้ขณะครูได้เข้าใจนักเรียนอย่างละเอียดลึกซึ้งถูก ต้อง และนาผลของการศึกษารายกรณีไป ใช้ในการปรับปรุง การเรียนการสอน การจัดกิจกรรม และการให้บริการต่าง ๆ แก่นักเรียนได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของ นักเรียน 53
ประโยชน์ของการศึกษารายกรณี การศึกษารายกรณีเป็นเทคนิคที่มีประโยชน์ต่องานของบุคคล ที่นำมาใช้และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดังที่ กมลรัตน์ หล้าสุรวงษ์ (2541) ได้สรุปประโยชน์ของการศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี ดังนี้ 1. ประโยชน์ทางตรง คือประโยชน์ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ศึกษาเอง ซึ่งแบ่งออกได้หลายประการคือ ทำให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคลมากขึ้น เข้าใจสาเหตุของปัญหา ได้กว้างขวาง ขณะเดียวกันก็ทำให้เป็นคนที่รู้จักใช้เหตุผลใน การพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นระบบระเบียบ 2. ประโยชน์ทางอ้อม คือประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับผู้ได้รับการ ศึกษา คือทาให้ผู้ศึกษาเข้าใจพฤติกรรมของ ผู้รับการศึกษา ซึ่งสามารถให้การช่วยเหลือได้ต่อเหตุการณ์และในขณะ เดียวกัน ผู้รับ การศึกษาก็จะ เข้าใจตนเองมากขึ้นและรู้จัก วิธีปฎิบัติตนเพื่อป้องกันมิใหเ้กิดปัญหาหรือส่งเสริมให้มีการ พัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น 54
ขั้นตอนการศึกษาเด็กเป็นรายกรณี 1..ขั้นรวบรวมข้อมูล/ จัดหมวดหมู่ข้อมูล การรวบรวมข้อมูลผู้รวบรวม ข้อมูลต้องมีความรู้พื้นฐานทางด้านพัฒนาการ และจิตวิทยาพัฒนาการ มี จรรยาบรรณของนักวิจัย และต้องพยายามรวบรวมข้อมูลเด็กให้ครบ ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้านโดยละเอียดอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเลือกวิธี รวบรวมให้เหมาะสม หลายวิธี จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายน่าเชื่อถือ เช่น - การสัมภาษณ์เด็กโดยตรง - การรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้อง -การรวบรวมข้อมูลจากเอกสารในชั้นเรียน เช่น แบบบันทึกพฤติกรรม ระเบียนสะสม 2.ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลคือ การนำ ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมมาพิจารณา ตั้งสมมุติฐาน 3. ขั้นวินิจฉัยปัญหา เป็นการวินิจฉัยสาเหตุที่ทำ ให้เกิดพฤติกรรม จาก ข้อมูลที่ได้มาอย่างเพียงพอ 4. ขั้นเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหา หลังจากวินิจฉัยปัญหา ขั้นต่อมาเป็น ขั้นตอนแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหา ซึ่งต้องเป็นวิธีการที่มีระเบียบ แบบแผน 5. ขั้นติดตามและประเมินผล เป็นการติดตามว่าการช่วยเหลือหรือพัฒนา แก้ไขพฤติกรรม บุคลิกภาพเด็กนั้นประสบความสำ เร็จหรือไม่ อย่างไร 55
บทที่9 การแนะแนว และ การให้คำ ปรึก รึ ษา 56
การให้การปรึกษาและแนะแนว (Counseling and Suidance) เป็นวิชาชีพหนึ่งที่เน้นสัมพันธภาพของการ ช่วยเหลือและพัฒนาบุคคลอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ บุคคลเกิดการเจริญเติบโต เปลี่ยนแปลงชีวิตในเชิง สร้างสรรค์และมีความหมาย รวมทั้งเป็นเรื่องของชีวิต ที่ชีวิตหนึ่งพยายามเอื้ออำ นวยความสะดวกและช่วย เหลืออีกชีวิตหนึ่งให้มีอิสรภาพหลุดพ้นจากทุกข์ ไม่ว่า จะเป็นทุกข์ทางความคิด ทุกข์ทางกายหรือทุกข์ทางใจ มีภาวะที่เป็นไทแก่ตัว มีสติ พร้อมที่จะใช้ปัญญาใน การคิดวินิจฉัยและพัฒนาตนเอง เพื่อให้ชีวิต เปลี่ยนแปลงไปในทางบวก 57
ความหมายของการแนะแนว การแนะแนว หมายถึง กระบวนการทางการศึกษาที่ช่วย ให้ บุคคลรู้จัก และเข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อม สามารถนำ ตนเองได้ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง และพัฒนา ตนเองได้ตามศักยภาพ ปฏิบัติตนให้เป็นสมาชิกที่ดีของ สังคม ประเภทของการแนะแนว 1. การแนะแนวการศึกษา (Education Guidance) 2. การแนะแนวอาชีพ (Vocational Guidance) 3. การแนะแนวส่วนตัวและสังคม (Personal and Social Guidance) 58
การแนะแนวการศึกษา ( Educational Guidance )หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือนักเรียนในเรื่องที่เกี่ยวกับการ ศึกษาโดยเฉพาะ เช่น แนวทางการศึกษาต่อ การเลือกโปรแกรม การเรียน การลงทะเบียน หลักสูตร การเรียนการสอน การวัดผล ประเมินผลของโรงเรียน การค้นคว้าเขียนรายงาน การอ่าน หนังสือ การเตรียมตัวสอบ การสร้างสมาธิในการเรียน การเข้า ร่วมกิจกรรมเสริมหลักสูตร การแนะแนวอาชีพ ( Vocational Guidance )หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือนักเรียนเกี่ยวกับการวางแผนและ การตัดสินใจเลือกอาชีพ เพื่อช่วยให้นักเรียนได้คนพบอาชีพที่ เหมาะสมกับความสามารถ ความถนัด ความสนใจ และสภาพ ร่างกายของตน การแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม ( Personal and Social Guidance )หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือนักเรียน ใน เรื่องที่นอกเหลือจากด้านการศึกษาและอาชีพ เป็นการช่วยให้ นักเรียนเกิดความเข้าใจตนเองและสภาพแวดล้อม ทำ ให้สามารถ มีชีวิตและปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข 59
การให้การปรึกษา (Counseling) นับได้ว่าเป็นหัวใจของการแนะแนว และเป็นกระบวนการที่ แสดงถึงมนุษยสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนระหว่างบุคคล โดยบุคคล หนึ่ง คือ ผู้ให้การปรึกษา (Counselor) ทำ หน้าที่ให้การ ปรึกษา(Counseling) และเป็นผู้ที่เอื้ออำ นวยความสะดวก (Facilitator) แก่ผู้รับการปรึกษา (Client) ให้ได้สำ รวจตนเอง ทั้งด้านความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก และพฤติกรรม เพื่อนำ ไปสู่การรู้จักตนเองตามความเป็นจริงภายใต้บริบทแวดล้อม ต่าง ๆสามารถรับรู้ ตระหนักรู้ ถึงขอบเขตพลังความสามารถ และศักยภาพของตนเอง ยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง พร้อมที่จะรับผิดชอบตนเอง ศึกษาแนวทางในการเผชิญปัญหา และตัดสินใจเลือกทางเลือกหรือแนวทางในการแก้ไขและ พัฒนาตนเองอย่างมีสติ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดในชีวิต รวมทั้งมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ทั้ง 60
วัตถุประสงค์ของการให้คำ ปรึกษา จึงประกอบด้วยการ ช่วยให้วัยรุ่น 1.เกิดแรงจูงใจที่จะให้ข้อมูล 2.เข้าใจและเห็นปัญหาของตนเอง 3.อยากแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาตนเอง 4.ดำ เนินการแก้ไขปัญหา หรือพัฒนาตนเอง บริการให้คำ ปรึกษา การบริการให้คำ ปรึกษาหมายถึงการจัดให้บุคคลได้ศึกษา ตัวของเขาเองในส่วนที่เกี่ยวกับโอกาสในอาชีพ การกำ หนดจุดมุ่งหมายในการประกอบอาชีพและการ วางแผนงานต่างๆในการประกอบอาชีพและการวางแผน งานต่างๆในการประกอบอาชีพโดยการใช้การสำ ภาษณ์ เป็นรายบุคคลและการให้การแนะแนวเป็นกลุ่ม 61
ธรรมชาติของการให้คำ ปรึกษา Patterson ได้กล่าวถึงการให้คำ ปรึกษาในเชิงบวก ดั้งนี้ 1. การให้คำ ปรึกษาเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ของบุคคลด้วยความสมัครใจอย่างเป็นอิสระของผู้มาขอรับคำ ปรึกษา 2. จุดมุ่งหมายของการศึกษาก็เพื่อจัดสภาพต่างๆ ที่ช่วยให้ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วยความสมัครใจซึ่งสภาพดังกล่าวก็ได้ แก่การที่มีสิทธิ์จะเลือก การมีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวของตัวเอง 3. การให้คำ ปรึกษานั้นมีข้อจำ กัดอยู่ที่จุดมุ่งหมายและ กระบวนการให้คำ ปรึกษา 4. สภาพที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้มา ขอรับคำ ปรึกษา ส่วนใหญ่จะกระทำ โดยการสัมภาษณ์ 5. การให้คำ ปรึกษาต้องใช้การฟังแม้ว่าการฟังทุกอย่างไม่ใช่ การให้คำ ปรึกษาการฟังในแง่ให้คำ ปรึกษานั้นจะต้องมีความ เข้าใจในแง่คุณภาพมากกว่าปริมาณ 6.การให้คำ ปรึกษาต้องดำ เนินไปหรือจัดให้มีขึ้นโดยมีลักษณะ เป็นเรื่องส่วนตัวและการอภิปรายหรือพูดคุย 62
บทที่10 ปรัชรั ญาแนวคิด คิ ทฤษฎีทาง จิต จิ วิท วิ ยา 63
ปรัชญา คือ ศาสตร์ที่ศึกษาหาความรู้ ความจริง ของมนุษย์ โลก ธรรมชาติ และชีวิต อย่างลึกซึ้งเพื่อ อธิบายเหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ โดยใช้หลักการของ เหตุผล ในวิชาตรรกวิทยา เป็นเครื่องมือในการเข้า ถึงความจริงหรือความรู้ที่แน่นอน แนวคิดทางจิตวิทยามีจุดมุ่งหมายของการเรียน จิตวิทยาการศึกษา คือ เพื่อให้เข้าใจ เพื่อการ ทำ นายและเพื่อควบคุมพฤติกรรมการเรียนรู้ของ มนุษย์ในสถานการณ์ต่างๆ 64
ความสำ คัญของจิตวิทยา จิตวิทยามีอิทธิพลต่อการดำ เนินชีวิตอย่างกว้าขวาง ผู้ศึกษาจิตวิทยาสามารถได้รับประโยชน์ดังต่อไปนี้ 1.ทำ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติ ของมนุษย์ เช่น ความต้องการ การแก้ปัญหา การ ปรับตัวอารมณ์และความรู้สึกในสถานการณ์ต่างๆ 2.ช่วยในการแก้ปัญหาทางจิต รู้จักวิธีรักษาสุขภาพ จิตได้ดี สามารถเอาชนะปมด้อยต่างๆ รู้วิธีแก้ ปัญหาและปรับตัวอย่างเหมาะสม 3.สามารถเข้าใจ ตัดสินใจ และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี กับบุคคลในสังคม 4.ช่วยในการวางแผนการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม 65
กู๊ดวินและคลอส ไมเออร์ (Goodwill & Cross Mier,1975) มีจุดมุ่งหมายที่สำ คัญของการเรียนจิตวิทยา ไว้ดังนี้ 1.เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เป็นระบบ ทั้งด้านทฤษฎี หลักการและสาระอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กับการเรียนรู้ของมนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 2.เป็นการนำ ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ ไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อการเรียนการสอน 3.เพื่อให้ครูสอนสามารถนำ เทคนิคและวิธีการการ เรียนรู้ไปใช้ในการเรียนการสอน การแก้ไขปัญหาใน ชั้นเรียน 66
ทฤษฎีของนักจิตวิทยา ธอร์นไดค์ได้อธิบายทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงไว้ ว่า คือ การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการ ตอบสนอง โดยมีหลักพื้นฐานว่า การเรียนรู้เกิดจากการ เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองที่ มักจะออกมาในรูปแบบต่างๆหลายรูปแบบ โดยการลองถูกลองผิดโดยมี 3 กฎของการ เรียนรู้ ดังนี้ 67
1. กฎแห่งความพร้อมการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดี ถ้าผู้เรียนมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ตัวอย่าง 3 กฎของการเรียนรู้ 2. กฎแห่งการฝึกหัดการฝึกหัดหรือกระทำ บ่อยๆ ด้วยความเข้าใจจะทำ ให้การเรียนรู้นั้นคงถาวร ถ้าไม่ได้กระทำ ซ้ำ บ่อยๆ การเรียนรู้นั้นจะไม่คง ถาวร และในที่สุดอาจจะลืมได้ 3. กฎแห่งความพอใจเมื่อบุคคลได้รับผลที่พึง พอใจย่อมอยากจะเรียนรู้ต่อไป แต่ถ้าได้รับผลที่ ไม่พึงพอใจ จะไม่อยากเรียนรู้ดังนั้น การได้รับ ผลที่พึงพอใจ จึงเป็นปัจจัยสำ คัญในการเรียนรู้ 68
บทที่11 ปัจจัย จั ที่ส่งผล ต่อการเรียรี นรู้ 69
สิ่งที่เป็นเหตุซึ่งเอื้อให้เกิดการเรียนรู้เกิดขึ้น ประกอบ ด้วยปัจจัย ด้านผู้เรียน และปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม การที่จะทำ ให้การเรียนรู้ เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครูควรต้องศึกษาและทำ ความเข้าใจใน ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ให้ชัดเจน ในปัจจัยด้านผู้เรียน ครูต้องทราบว่า มนุษย์มีความแตกต่างกัน ทั้งด้านรูปร่างหน้าตา สติ ปัญญา ความถนัด ความสนใจ รวมทั้งเจตคติ อันจะ ส่งผลต่อพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป ด้วย สติปัญญา (Intelligence) กู๊ด (Carter U. Good) ให้ ความ หมายไว้ 3 นัย ดังนี้ ความสามารถในการปรับตัว ให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้รวดเร็ว และเรียบร้อย ตลอดจนมีความสามารถในการเรียนรู้จากประสบการณ์ ความสามารถในการรวบประสบการณ์ต่าง ๆ เข้าเป็นอัน หนึ่งอัน เดียวกัน ความสามารถที่วัดได้ด้วยแบบทดสอบ วัดสติปัญญา 70
เจตคติ ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจเกี่ยวกับ บุคคล สิ่งของ สภาพการณ์ เหตุการณ์ เมื่อเกิดความ รู้สึก บุคคลนั้นจะมีการเตรียมพร้อม เพื่อมีปฏิกิริยา ตอบโต้ไปใน ทิศทางใดทางหนิ่งตามความรู้สักของ ตนเอง เจตคติจำ แนก เป็น 2 ประเภท คือ เจตคติทาง บวก (positive attitude) เป็นความรู้สึกที่ดี ที่ชอบ ที่อยากมีความสัมพันธ์กับสิ่งใดสิ่ง หนึ่ง และ เจตคติทาง ลบ (negative attitude) เป็นความรู้สึก ที่ไม่ดี ไม่ ชอบ ไม่อยากมีความสัมพันธ์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง องค์ประกอบของเจตคติ 3 ประการ ด้านความคิดความเข้าใจ (cognitive) ความคิด อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีข้อมูล หรือข้อ เท็จจริงเพิ่ม ด้านความรู้สึก (affective) เปลี่ยนแปลงได้ยาก เนื่องจากการ ประเมินผล ความรู้สึกเป็นเรื่องราว ของความ สนใจและการให้คุณค่าจึงค่อนข้างคงทน องค์ประกอบด้าน การกระทำ (behavior) 71
หน้าที่ของเจตคติ • เป็นแรงจูงใจให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ กัน เช่น คนที่มี เจตคติที่ดีต่ออาชีพ ครูก็พยายามขวนขวาย เพื่อหา ทางประกอบอาชีพที่ ตนต้องการให้ได้ • หน้าที่กำ หนดค่านิยมให้กับชีวิตของบุคคล เช่น ผู้ที่มีเจตคติ ว่าลูก ที่ดีต้องกตัญญู ต่อพ่อแม่ ก็จะยึดถือว่า ความกตัญญู เป็นที่มีค่าและ ยึดถือเป็นแนวทางในการ ปฏิบัติ • ช่วยในการตีความหมายในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น เมื่อคน แปลก หน้าเข้ามาคุย หรือถาม บางคนพร้อมที่จะพูดคุยด้วย แต่บางคนเดินหนี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจตคติ ของแต่ละบุคคลเป็น สำ คัญ เป็นกลวิธีในการป้องกันตัวเองอย่างหนึ่ง เช่น คนที่มี เจตคติไม่ชอบ วิชาที่ครูสอน แต่ถูกสถานการณ์บังคับ เช่น สอบเข้ามาเรียนได้ เมื่อ เรียนไปแล้วไม่มีความสุข เลย พยายามปรับเจตคติของตัวเองให้ชอบ วิชาชอบครู เพื่อจะได้ รู้สึกมีความสุข ในขณะที่เรียนมากยิ่งขึ้นการ เปลี่ยนแปลง เจตคติ 72
ความสามารถในการถ่ายโยงการเรียนรู้ การที่ผู้เรียนสามารถ นำ สิ่งที่เรียนแล้วมาใช้ในสภาพการณ์ใหม่ การถ่ายโยงการ เรียนรู้เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะเป็นกระบวนการที่ผู้ เรียน สามารถนำ สิ่งที่เรียนรู้ แล้วไปใช้ในสภาพการณ์อื่นได้ ซึ่งใน ลักษณะดังกล่าวย่อมแสดงว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่าง แท้จริง การถ่ายโยงการเรียนรู้แบ่งอออกเป็น 2 ประเภท คือ การถ่ายโยงการ เรียนรู้ทางบวก คือ การที่เมื่อได้เรียนรู้สิ่ง หนึ่งแล้ว ทำ ให้การเรียนรู้อีก สิ่งหนึ่งง่ายขึ้น เช่น การเรียนรู้ ในการแปลูก ตะกร้อ ทาให้การเรียนรู้ ในการแปลูกฟุตบอล ง่ายขึ้น เป็นต้น การถ่ายโยงการเรียนรู้ทางลบ คือ การที่สิ่งที่ เรียนรู้ก่อนไปรบกวนสิ่งที่เรียนรู้ใหม่ เช่น การเรียนรู้ภาษา ถิ่น ไปรบกวนการเรียนรู้ภาษา ที่ใช้ในโรงเรียน หรือการเรียนรู้วิธี การตี แบดมินตันไปรบกวนการเรียนรู้การตีเทนนิส เพราะการ ตี แบดมินตัน ต้องใช้ข้อมือในการตี แต่การตีเทนนิสต้องตี ด้วยท่อนแขน เป็นต้น 73
บทที่12 การนำ หลัก ลั จิต จิ วิท วิ ยาไปใช้ ในการพัฒ พั นา ศัก ศั ยภาพของครู 74
ความสำ คัญของจิตวิทยาการศึกษาต่ออาชีพครู วิชาจิตวิทยาการศึกษาสามารถช่วยครูได้ในเรื่องต่อไปนี้ 1.ช่วยให้ครูรู้จักลักษณะนิสัยของนักเรียนที่ครูต้องสอน โดยทราบหลักพัฒนาการทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และบุคลิกภาพเป็นส่วนรวม 2.ช่วยให้ครูมีความเข่าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประการของ นักเรียนเช่นอัตมโนทัศน์ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และเรียนรู้ถึงบทบาทของ ครูในการที่ช่วยนักเรียนให้มีอัตมโนทัศน์ที่ดีและถูกต้องได้อย่างไร 3.ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อจะได้ช่วยนักเรียนเป็นรายบุคคลให้พัฒนาตามศักยภาพของแต่ละ บุคคล 4.ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก้ วัยและขั้นพัฒนาการของนักเรียนเพื่อจูงใจให้นักเรียนมีความสนใจและ มีความที่อยากจะเรียนรู้ 5.ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของ นักเรียน เช่นแรงจูงใจอัตมโนทัศ และการตั้งความคาดหวังของครูที่มีต่อ นักเรียน 75
6.ช่วยครูในการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน เพื่อทำ ให้การสอนมีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้นักเรียนทุกคน เรียนตามศักยภาพของแต่ละบุคคล โดยคำ นึงถึงหัวข้อต่อไปนี้ 6.1 ช่วยครูเลือกวัตถุประสงค์ของบทเรียนโดยคำ นึงถึงลักษณะ นิสัยและความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียนที่จะต้องสอน และสามารถที่จะเขียนวัตถุประสงค์ให้นักเรียนเข้าใจว่าสิ่งคาด หวังให้นักเรียนรู้มีอะไรบ้าง โดยถือว่าวัตถุประสงค์ของบทเรียน คือสิ่งที่จะช่วยให้นักเรียนทราบ เมื่อจบบทเรียนแล้วนักเรียน สามารถทำ อะไรได้บ้าง 6.2 ช่วยครูในการเลือกหลักการสอนและวิธีสอนที่เหมาะสม โดยคำ นึงลักษณะนิสัยของนักเรียนและวิชาที่สอน และ กระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน 6.3 ช่วยครูในการประเมินไม่เพียงแต่เฉพาะเวลาครูได้สอนจน จบบทเรียนเท่านั้นแต่ใช้ประเมินความพร้อมของนักเรียนก่อน สอน ในระหว่างที่ทำ การสอน เพื่อทราบว่านักเรียนมีความ ก้าวหน้าหรือมีปัญหาในการเรียนรู้อะไรบ้าง 76
7.ช่วยครูให้ทราบหลักการและทฤษฎีของการเรียนรู้ที่นัก ได้พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี เช่น การเรียนจากการสังเกตหรือการ เลียนแบบ 8.ช่วยครูให้ทราบถึงหลักการสอนและวิธีสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งพฤติกรรมของครูที่มีการสอนอย่างมีประสิทธิภาพว่ามี อะไรบ้าง เช่น การใช้คำ ถาม การให้แรงเสริม และการทำ ตน เป็นต้นแบบ 9.ช่วยครูให้ทราบว่านักเรียนที่มีผลการเรียนดีไม่ได้เป็นเพราะ ระดับเชาวน์ปัญญาเพียงอย่างเดียว แต่มีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น แรงจูงใจ ทัศนคติหรือ อัตมโน ทัศน์ของนักเรียนและความคาดหวังของครูที่มีต่อนักเรียน 10.ช่วยครูในการปกครองชั้นและการสร้างบรรยากาศของ ห้องเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้และเสริมสร้างบุคลิกภาพของ นักเรียน ครูและนักเรียนมีความรักและไว้วางใจซึ่งกันและกัน นักเรียน ต่างก็ช่วยเหลือกันและกัน ทำ ให้ห้องเรียนเป็นสถานที่ที่ ทุกคนมีความสุขและนักเรียนรักโรงเรียน อยากมาโรงเรียน 77
บรรณานุกรม http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/17k 571811058953fF15F.pdf
นางสาว วนัชพร สิทธิสุวรรณ 650691032 สังคมห้อง2