หนงั สือ ดนตรีไทย
ดนตรีไทยประเภทตี
สารบญั
บทท1ี่ : ความเป็ นมาของดนตรีไทย และ ประวตั ิ ดนตรีไทย 1
ความเป็นมาของดนตรไี ทย 2
ประวตั ิ ดนตรไี ทย 3
-สมยั สโุ ขทยั 4
-สมยั กรุงศรอี ยธุ ยา 8
-สมยั กรุงธนบรุ ี 11
-สมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ 12
บทท2่ี : ดนตรีไทย4ภาค 22
เครอ่ื งดนตรไี ทยแบง่ ตามภาคตา่ ง ๆ ของประเทศ 23
-เครอ่ื งดนตรภี าคกลาง 25
-เครอ่ื งดนตรภี าคเหนือ 26
-เครอ่ื งดนตรภี าคตะวนั ออกเฉียงเหนอื 27
-เครอื่ งดนตรภี าคใต้ 28
บทท3่ี : รายชอ่ื เคร่ืองดนตรไี ทยแบ่งตามการบรรเลง(เคร่ืองต)ี 29
บทท1่ี
ความเป็ นมาของดนตรีไทย
และ ประวัติ ดนตรีไทย
2
ความเป็นมาของดนตรไี ทย
ดนตรไี ทย เป็นศิลปะแขนงหน่งึ ของไทย ไดร้ บั อิทธิพล
มาจากประเทศตา่ ง ๆ เช่น อนิ เดีย, จีน, อินโดนีเซีย และอ่ืน ๆ
เครื่องดนตรีมี 4 ประเภท ดีด สี ตี เป่า
3
ประวตั ิ ดนตรีไทย
นบั ตงั้ แต่ไทยไดม้ าตงั้ ถ่ินฐานในแหลมอินโดจีน และ
ได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้น จึงเป็ นการเร่ิมต้น ยุคแห่ง
ประวตั ิศาสตรไ์ ทย ท่ีปรากฎ หลกั ฐานเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร
กล่าวคือ เม่ือไทยได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึน้ และ
หลงั จากท่ี พ่อขนุ รามคาแหง มหาราช ไดป้ ระดิษฐ์อักษรไทย
ขนึ้ ใชแ้ ลว้ นบั ตงั้ แตน่ นั้ มาจงึ ปรากฎหลกั ฐานด้าน ดนตรไี ทย
ท่ีเป็ นลายลักษณ์อักษร ทั้งในหลักศิลาจารึก หนังสือ
วรรณคดี และเอกสารทางประวัติศาสตร์ ในแต่ละยุค ซ่ึง
สามารถนามาเป็นหลกั ฐานในการพิจารณา ถึงความเจริญ
และวิวฒั นาการของ ดนตรีไทย ตงั้ แต่สมยั สโุ ขทยั เป็นตน้ มา
จนกระท่งั เป็นแบบแผนดงั ปรากฏ ในปัจจบุ นั
4
สมยั สโุ ขทยั
ดนตรีไทย มีลกั ษณะเป็นการขบั ลานา และรอ้ งเลน่ กนั
อย่างพืน้ เมือง เก่ียวกับ เคร่ืองดนตรีไทย ในสมยั นี้ ปรากฎ
หลกั ฐานกลา่ วถงึ ไวใ้ นหนงั สอื ไตรภมู ิพระรว่ ง ซ่งึ เป็นหนงั สือ
วรรณคดี ท่ีแต่งในสมยั นี้ ไดแ้ ก่ แตร, สงั ข,์ มโหระทึก, ฆอ้ ง,
กลอง, ฉ่ิง, แฉ่ง (ฉาบ), บัณเฑาะว์ พิณ, ซอพุงตอ
(สนั นิษฐานว่าคือ ซอสามสาย) ป่ีไฉน, ระฆงั , และ กงั สดาล
เป็นตน้ ลกั ษณะการผสม วงดนตรี ก็ปรากฎหลกั ฐานทั้งใน
ศิลาจารกึ และหนงั สือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึง “เสียงพาทย์
เสียงพิณ” ซ่ึงจากหลกั ฐานท่ีกล่าวนี้ สนั นิษฐานว่า วงดนตรี
ไทย ในสมยั สโุ ขทยั มีดงั นี้ คือ
5
1. วงบรรเลงพณิ มีผบู้ รรเลง 1 คน ทาหนา้ ท่ีดีดพณิ
และขบั รอ้ งไปดว้ ย เป็นลกั ษณะของการขบั ลานา
6
2. วงขบั ไม้ ประกอบดว้ ยผบู้ รรเลง 3 คน คือ
คนขบั ลานา 1 คน คนสี ซอสามสาย คลอเสยี งรอ้ ง
1 คน และ คนไกว บณั เฑาะว์ ใหจ้ งั หวะ 1 คน
7
3. วงป่ีพาทย์ เป็นลกั ษณะของวงป่ีพาทย์
เคร่อื ง 5 มี 2 ชนดิ คือ
วงป่ีพาทยเ์ คร่ืองหา้ อย่างเบา ประกอบด้วยเคร่ือง
ดนตรชี นิดเลก็ ๆ จานวน 5 ชิน้ คือ 1. ป่ี 2. กลองชาตรี 3. ทบั
(โทน) 4. ฆอ้ งคู่ และ 5. ฉ่ิง ใช้บรรเลงประกอบการแสดง
ละครชาตรี (เป็นละครเก่าแก่ท่ีสดุ ของไทย)
วงป่ีพาทยเ์ คร่ืองหา้ อย่างหนกั ประกอบดว้ ย เคร่ือง
ดนตรีจานวน 5 ชิน้ คือ 1. ป่ีใน 2. ฆอ้ งวง (ใหญ่) 3. ตะโพน
4. กลองทัด และ 5. ฉ่ิง ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีและ
บรรเลงประกอบ การแสดงมหรสพ ต่าง ๆ จะเห็นว่า วงป่ี
พาทยเ์ ครือ่ งหา้ ในสมยั นีย้ งั ไมม่ ีระนาดเอก
สมยั กรุงศรอี ยธุ ยา 8
วงป่ีพาทย์
มีวงป่ีพาทยท์ ่ียังคงรูปแบบป่ีพาทยเ์ คร่ืองหา้ เหมือน
เช่นสมยั กรุงสโุ ขทยั แต่เพ่ิมระนาดเอกเขา้ ไป นบั แต่นนั้ วงป่ี
พาทยจ์ งึ ประกอบดว้ ย
• 1.ระนาดเอก
• 2.ป่ีใน
• 3.ฆอ้ งวง (ใหญ่)
• 4.กลองทดั ตะโพน
• 5.ฉ่ิง
9
วงมโหรี
ในสมัยนี้พัฒนามาจาก วงมโหรีเคร่ืองส่ี ในสมัย
สโุ ขทยั เป็น วงมโหรีเคร่ืองหก เพราะไดเ้ พ่ิม เคร่ืองดนตรี เขา้
ไปอีก 2 ชิน้ คือ ขล่ยุ และ รามะนา ทาให้ วงมโหรี ในสมยั นี้
ประกอบดว้ ย เครอ่ื งดนตรี จานวน 6 ชิน้ คือ
1.ซอสามสาย
2.กระจบั ป่ี (แทนพณิ )
3.ทบั (โทน)
4.รามะนา
5.ขลยุ่
6.ฉ่ิง
10
ปรากฎหลกั ฐานเก่ียวกับ ดนตรีไทย ในสมยั นี้ ในกฏ
มลเฑียรบาล ซ่ึงระบุช่ือ เคร่ืองดนตรีไทย เพ่ิมขึน้ จากท่ีเคย
ระบไุ ว้ ในหลกั ฐานสมยั สโุ ขทยั จึงน่าจะเป็น เคร่ืองดนตรี ท่ี
เพ่ิงเกิดในสมัยนี้ ไดแ้ ก่ กระจับป่ี ขลุ่ย จะเข้ และ รามะนา
นอกจากนีใ้ นกฎมณเฑียรบาลสมัย สมเด็จพระบรมไตร
โลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) ปรากฎขอ้ หา้ มตอนหน่ึงว่า “…
หา้ มรอ้ งเพลงเรือ เป่ าขล่ยุ เป่ าป่ี สีซอ ดีดกระจับป่ี ดีดจะเข้
ตีโทนทบั ในเขตพระราชฐาน…” ซง่ึ แสดงวา่ สมยั นี้ ดนตรีไทย
เป็นท่ีนิยมกนั มาก แมใ้ นเขตพระราชฐาน ก็มีคนไปร้องเพลง
และเล่นดนตรีกันเป็นท่ีเอิกเกริกและเกินพอดี จนกระท่ัง
พระมหากษัตรยิ ต์ อ้ งทรงออกกฎมลเฑียรบาล ดงั กลา่ วขึน้ ไว้
11
สมยั กรุงธนบรุ ี
เน่ืองจากในสมยั นีเ้ ป็นช่วงระยะเวลาอนั สนั้ เพียงแค่
15 ปี และประกอบกับ เป็นสมัยแห่งการก่อร่างสรา้ งเมือง
และการป้องกนั ประเทศเสียโดยมาก วงดนตรีไทย ในสมยั นี้
จึงไม่ปรากฎหลกั ฐานไวว้ ่า ไดม้ ีการพฒั นาเปล่ียนแปลงขึน้
สนั นิษฐานว่า ยงั คงเป็นลกั ษณะและรูปแบบของ ดนตรีไทย
ในสมยั กรุงศรอี ยธุ ยาน่นั เอง
12
สมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์
เม่ือบา้ นเมืองไดผ้ ่านพน้ จากภาวะศกึ สงคราม และได้
มีการก่อสรา้ งเมืองให้ม่ันคงเป็นปึกแผ่น เกิดความ สงบ
ร่มเย็น โดยท่วั ไปแลว้ ศิลป วฒั นธรรม ของชาติ ก็ได้รบั การ
ฟื้นฟูทะนุบารุง และส่งเสริมใหเ้ จริญรุ่งเรืองขึ้น โดยเฉพาะ
ทางดา้ น ดนตรีไทย ในสมัยนีไ้ ดม้ ีการพัฒนาเปล่ียนแปลง
เจรญิ ขนึ้ เป็นลาดบั
สมยั รชั กาลท่ี 1 ดนตรีไทย สว่ นใหญ่ ยงั คงมีลักษณะ
และ รูปแบบตามท่ีมีมาตงั้ แต่ สมยั กรุงศรอี ยธุ ยา ท่ีพฒั นาขนึ้
บา้ งในสมัยนีก้ ็คือ การเพ่ิม กลองทัด ขึน้ อีก 1 ลูก ใน วงป่ี
พาทย์ ซ่ึง แต่เดิมมา มีแค่ 1 ลูก รวม มี กลองทัด 2 ลูก มี
เสียงสงู (ตวั ผู)้ ลกู หน่ึง และ เสียงต่า (ตวั เมีย) ลกู หน่ึง และ
การใช้ กลองทัด 2 ลูก ในวงป่ีพาทยน์ ี้ ก็เป็นท่ีนิยมกันมา
จนกระท่งั ปัจจบุ นั นี้
สมยั รชั กาลท่ี 2 13
อาจกล่าวว่าในสมยั นี้ เป็นยคุ ทองของ ดนตรีไทย ยคุ
หน่ึง ทงั้ นีเ้ พราะ องคพ์ ระมหากษัตริย์ ทรงสนพระทัย ดนตรี
ไทย เป็นอย่างย่ิง พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ ในทาง
ดนตรไี ทย ถงึ ขนาดท่ี ทรงดนตรไี ทย คือ ซอสามสาย ได้ มีซอ
คู่พระหัตถช์ ่ือว่า “ซอสายฟ้าฟาด” ทัง้ พระองคไ์ ด้ พระราช
นิพนธ์ เพลงไทย ขึน้ เพลงหน่งึ เป็นเพลงท่ีไพเราะ และอมตะ
มาจนบดั นีน้ ่นั กค็ ือเพลง “บหุ ลนั ลอยเล่อื น”
การพัฒนา เปล่ียนแปลงของ ดนตรีไทย ในสมยั นี้ก็
คือ ไดม้ ีการนาเอา วงป่ีพาทยม์ าบรรเลง ประกอบการขับ
เสภา เป็นครงั้ แรก นอกจากนี้ ยงั มีกลองชนิดหน่งึ เกิดขนึ้ โดย
ดดั แปลงจาก “เปิงมาง” ของมอญ ต่อมาเรียกกลองชนิดนีว้ ่า
“สองหนา้ ” ใชต้ ีกากบั จงั หวะแทนเสียงตะโพนในวงป่ี พาทย์
ประกอบการขับเสภา เน่ืองจากเห็นว่าตะโพนดังเกินไป
จนกระท่ังกลบเสียงขับ กลองสองหน้านี้ ปัจจุบันนิยมใช้ตี
กากบั จงั หวะหนา้ ทบั ในวงป่ีพาทยไ์ มแ้ ขง็
14
สมยั รชั กาลท่ี 3
วงป่ีพาทยไ์ ดพ้ ฒั นาขึน้ เป็นวงป่ีพาทยเ์ คร่ืองคู่ เพราะ
ไดม้ ีการประดษิ ฐ์ระนาดทมุ้ มาคกู่ บั ระนาดเอก และประดิษฐ์
ฆอ้ งวงเลก็ มาคกู่ บั ฆอ้ งวงใหญ่
15
สมยั รชั กาลท่ี 4
วงป่ีพาทย์ได้พัฒนาขึน้ เป็นวงป่ีพาทย์เคร่ืองใหญ่
เพราะได้มีการประดิษฐ์ เคร่ืองดนตรี เพ่ิมขึน้ อีก 2 ชนิด
เลียนแบบ ระนาดเอก และระนาดทุ้ม โดยใช้โลหะทาลูก
ระนาด และทารางระนาดใหแ้ ตกต่างไปจากรางระนาดเอก
และระนาดทมุ้ (ไม)้ เรยี กว่า ระนาดเอกเหลก็ และระนาดทุ้ม
เหล็ก นามาบรรเลงเพ่ิมในวงป่ีพาทยเ์ คร่ืองคู่ ทาให้ ขนาด
ของ วงป่ีพาทยข์ ยายใหญ่ขึน้ จึงเรียกว่า วงป่ีพาทยเ์ คร่ือง
ใหญ่ อน่ึงในสมยั นี้ วงการดนตรีไทย นิยมการรอ้ งเพลงสง่ ให้
ดนตรีรบั หรือท่ีเรียกว่า “การรอ้ งส่ง” กนั มากจนกระท่งั การ
ขบั เสภาซ่งึ เคยนิยมกนั มาก่อนคอ่ ย ๆ หายไป และการรอ้ งสง่
ก็เป็นแนวทางใหม้ ีผคู้ ิดแต่งขยายเพลง 2 ชนั้ ของเดิมใหเ้ ป็น
เพลง 3 ชนั้ และตดั ลง เป็นชนั้ เดียว จนกระท่งั กลายเป็นเพลง
เถาในท่ีสุด (นับว่าเพลงเถาเกิดขึ้นมากมายในสมัยนี้)
นอกจากนี้ วงเคร่อื งสาย ก็เกิดขนึ้ ในสมยั รชั กาลนีเ้ ชน่ กนั
สมยั รชั กาลท่ี 5 16
ไดม้ ีการปรบั ปรุงวงป่ีพาทยข์ ึน้ ใหม่ชนิดหน่งึ ซ่งึ ต่อมา
เรียกว่า “วงป่ีพาทยด์ กึ ดาบรรพ”์ โดยสมเด็จกรมพระยานริศ
รานวุ ดั ติวงศ์ สาหรบั ใชบ้ รรเลงประกอบการแสดง “ละครดึก
ดาบรรพ์” ซ่ึงเป็น ละครท่ีเพ่ิงปรบั ปรุงขึน้ ในสมัยรัชกาลนี้
เช่นกัน หลกั การปรบั ปรุงของท่านก็โดยการตดั เคร่ืองดนตรี
ชนิดเสียงเลก็ แหลม หรอื ดงั เกินไปออก คงไวแ้ ตเ่ คร่ืองดนตรีท่ี
มีเสียงทมุ้ น่มุ นวล กบั เพ่ิมเคร่ืองดนตรีบางอย่างเขา้ มาใหม่
เคร่ืองดนตรี ในวงป่ี พาทย์ดึกดาบรรพ์ จึงประกอบด้วย
ระนาดเอก ฆอ้ งวงใหญ่ ระนาดทมุ้ ระนาดทมุ้ เหล็ก ขลุ่ย ซอ
อู้ ฆอ้ งหยุ่ (ฆอ้ ง 7 ใบ) ตะโพน กลองตะโพน และเคร่อื งกากบั
จงั หวะ
สมยั รชั กาลท่ี 6 17
ไดก้ ารปรบั ปรุงวงป่ีพาทยข์ นึ้ มาอีกชนิดหนึ่ง โดยนาวง
ดนตรีของมอญมาผสมกบั วงป่ีพาทยข์ องไทย ต่อมาเรียกวง
ดนตรีผสมนีว้ ่า “วงป่ีพาทยม์ อญ” โดยหลวงประดิษฐไพเราะ
(ศร ศิลปบรรเลง)เป็นผปู้ รบั ปรุงขึน้ วงป่ีพาทยม์ อญดงั กล่าว
นี้ ก็มีทงั้ วงป่ีพาทยม์ อญเคร่ืองหา้ เคร่ืองคู่ และเคร่ืองใหญ่
เช่นเดียวกับวงป่ีพาทย์ของไทย และกลายเป็นท่ีนิยมใช้
บรรเลงประโคมในงานศพ มาจนกระท่งั บดั นี้ นอกจากนีย้ งั ได้
มี การนาเคร่ืองดนตรีของต่างชาติ เขา้ มาบรรเลงผสมกับ วง
ดนตรีไทย บางชนิดก็นามาดดั แปลงเป็นเคร่อื งดนตรีของไทย
ทาใหร้ ูปแบบของ วงดนตรีไทย เปล่ยี นแปลงพฒั นา ดงั นี้ คอื
18
การนาเคร่ืองดนตรีของชวา หรืออินโดนีเซีย คือ
“อังกะลุง” มาเผยแพร่ในเมืองไทยเป็นครงั้ แรก โดยหลวง
ประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ทงั้ นีโ้ ดยนามาดดั แปลง
ปรับปรุงขึน้ ใหม่ให้มีเสียงครบ 7 เสียง (เดิมมี 5 เสียง)
ปรบั ปรุงวิธีการเล่น โดยถือเขย่าคนละ 2 เสียง ทาใหเ้ คร่ือง
ดนตรีชนิดนี้ กลายเป็นเคร่ืองดนตรีไทยอีกอย่างหน่ึง เพราะ
คนไทยสามารถทาองั กะลงุ ไดเ้ อง อีกทงั้ วิธีการบรรเลงก็เป็น
แบบเฉพาะของเรา แตกต่างไปจากของชวาโดยสิน้ เชิง การ
น า เ ค ร่ื อ ง ด น ต รี ข อ ง ต่ า ง ช า ติ เ ข้ า ม า บ ร ร เ ล ง ผ ส ม ใ น ว ง
เคร่ืองสาย ไดแ้ ก่ ขิมของจีน และออรแ์ กนของฝร่งั ทาใหว้ ง
เคร่ืองสายพฒั นารูปแบบของวงไปอีกลกั ษณะหน่ึง คือ “วง
เครอ่ื งสายผสม”
19
จากสมัยสุโขทัยสืบต่อมาสมัยอยุธยาจนถึงปั จจุบัน
ดนตรีไ ทยจัดเป็ นดนตรีท่ี มี แ บบ แ ผนหรือ ดนตรีคลาส สิก
(Classic Music) เคร่อื งดนตรีไทยนนั้ กรมศิลปากร จาแนกไว้
รวมทงั้ สิน้ 56 ชนิด ประกอบดว้ ยเคร่ืองตี เคร่ืองเป่ า เคร่ือง
ดีด และเครื่องสี เคร่อื งดนตรไี ทยท่ีนิยมใชก้ นั มาก ดงั นี้
-เคร่ืองดีด ไดแ้ ก่ พิณนา้ เตา้ พิณ เพย้ กระจับป่ี ซึง
จะเข้
- เครอื่ งสี ไดแ้ ก่ ซอดว้ ง ซออู้ ซอสามสาย ซอลอ้
-เคร่ืองตีประเภทไม้ ไดแ้ ก่ เกราะ โกร่ง กรบั ระนาด
เอก ระนาดทมุ้ เครอ่ื งตีท่ีทาดว้ ยโลหะ ไดแ้ ก่ ระนาดเอกเหลก็
ระนาดทุม้ เหล็ก ฉ่ิง ฉาบ โหม่ง ฆอ้ ง หุ่ย และเคร่ืองตีท่ีทา
ดว้ ยหนงั ไดแ้ ก่ กลองทกุ ประเภท
-เครือ่ งเป่า ไดแ้ ก่ ขลยุ่ ป่ี แคน แตร สงั ข์ เป็นตน้
หรืออีกสันนิษฐานของเหล่าท่านผูร้ ูท้ างดา้ น ดนตรี
ไทย โดยการพิจารณา หาเหตุผลเก่ียวกับกาเนิด หรือท่ีมา
ของ ดนตรไี ทย ก็ไดม้ ีผเู้ สนอแนวทศั นะในเร่อื งนีไ้ ว้ 2 ทศั นะท่ี
แตกตา่ งกนั คือ
20
ทศั นะท่ี 1 สนั นิษฐานว่า ดนตรีไทย ไดแ้ บบอย่างมา
จากอินเดีย เน่ืองจาก อินเดียเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณ ท่ี
สาคญั แห่งหน่ึงของโลก อารยธรรมต่าง ๆ ของอินเดียไดเ้ ขา้
มามีอทิ ธิพล ตอ่ ประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชียอย่างมาก ทั้งใน
ดา้ น ศาสนา ประเพณีความเช่ือ ตลอดจน ศิลป แขนงต่าง ๆ
โดยเฉพาะทางดา้ นดนตรี ปรากฎรูปรา่ งลกั ษณะ เครอ่ื งดนตรี
ของประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย เช่น จีน เขมร พม่า อินโดนิ
เซีย และ มาเลเซีย มีลกั ษณะ คลา้ ยคลึงกัน เป็นส่วนมาก
ทงั้ นีเ้ น่ืองมาจาก ประเทศเหล่านนั้ ต่างก็ยึดแบบฉบบั ดนตรี
ของอินเดีย เป็นบรรทัดฐาน รวมทั้งไทยเราด้วย เหตุผล
สาคัญท่ีท่านผู้รูไ้ ดเ้ สนอทัศนะนีก้ ็คือ ลักษณะของ เคร่ือง
ดนตรไี ทย สามารถจาแนกเป็น 4 ประเภท คือ
• เครอ่ื งดดี
• เครอ่ื งสี
• เครอ่ื งตี
• เครอ่ื งเป่า
21
• ใกลเ้ คียงกบั ลกั ษณะ เคร่อื งดนตรี อนิ เดียตามท่กี ลา่ วไวใ้ น
คมั ภีร์ “สงั คีตรตั นากร” ของอินเดีย ซง่ึ จาแนกเป็น 4
ประเภท เชน่ กนั คือ
• ตะตะ คือ เครอ่ื งดนตรี ประเภทมีสาย
• สษุ ิระ คือ เครอ่ื งเป่า
• อะวะนทั ธะ หรอื อาตตะ คือ เครอ่ื งหมุ้ หนงั หรอื กลอง ตา่ ง ๆ
• ฆะนะ คอื เครอ่ื งตี หรอื เครอ่ื งกระทบ
บทท2่ี
ดนตรีไทย4ภาค
23
เครอ่ื งดนตรแี ตล่ ะภาคเป็นดนตรพี ืน้ บา้ นท่ีถ่ายทอดกนั มาดว้ ย
วาจาซง่ึ เรยี นรูผ้ า่ นการฟังมากกว่าการอ่าน และเป็นส่ิงท่ีพดู ตอ่ กนั มา
แบบปากต่อปากโดยไม่มีการจดบนั ทกึ ไวเ้ ป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร จงึ เป็น
ลกั ษณะการสบื ทอดทางวฒั นธรรมของชาวบา้ นตงั้ แตอ่ ดตี เรอ่ื ยมา
จนถึงปัจจบุ นั ซง่ึ เป็นกิจกรรมการดนตรเี พ่ือผอ่ นคลายความตงึ เครยี ด
จากการทางาน และชว่ ยสรา้ งสรรคค์ วามรน่ื เรงิ บนั ทิงเป็นหมคู่ ณะและ
ชาวบา้ นในทอ้ งถ่ินนนั้ ซง่ึ จะทาใหเ้ กิดความรกั สามคั คีกนั ในทอ้ งถ่ิน
และปฏิบตั สิ บื ทอดต่อมายงั รุน่ ลกู รุน่ หลาน จนกลายเป็นเอกลกั ษณท์ าง
พืน้ บา้ นของทอ้ งถ่ินนนั้ ๆ สืบตอ่ ไป
24
25
ประกอบดว้ ยเครอ่ื งดนตรปี ระเภท ดดี สี ตี เป่า โดยเคร่ืองดีด
ไดแ้ ก่ จะเขแ้ ละจอ้ งหน่อง เครอ่ื งสี ไดแ้ ก่ ซอดว้ งและซออู้ เครอ่ื งตีไดแ้ ก่
ระนาดเอก ระนาดทมุ้ ระนาดทอง ระนาดทมุ้ เลก็ ฆอ้ ง โหม่ง ฉ่ิง ฉาบ
และกรบั เครอ่ื งเป่า ไดแ้ ก่ ขลยุ่ และป่ี ลกั ษณะเดน่ ของเคร่ืองดนตรภี าค
กลาง คอื วงป่ีพาทยข์ องภาคกลางจะมีการพฒั นาในลกั ษณะ
ผสมผสานกบั ดนตรหี ลวง โดยมีการพฒั นาจากดนตรปี ่ีและกลองเป็น
หลกั มาเป็นระนาดและฆอ้ งวงพรอ้ มทงั้ เพ่ิมเครอ่ื งดนตรี มากขนึ้ จนเป็น
วงดนตรที ่ีมีขนาดใหญ่ รวมทงั้ ยงั มีการขบั รอ้ งท่ีคลา้ ยคลงึ กบั ป่ีพาทย์
ของหลวง ซง่ึ เป็นผลมาจากการถ่ายโยงทางวฒั นธรรมระหว่าง
วฒั นธรรมราษฎรแ์ ละหลวง
26
ในยคุ แรกจะเป็นเครอ่ื งดนตรปี ระเภทตี ไดแ้ ก่ ทอ่ นไมก้ ลวง ท่ี
ใชป้ ระกอบพิธีกรรม ในเรอ่ื งภตู ผีปีศาจและเจา้ ป่า เจา้ เขา จากนนั้ ไดม้ ี
การพฒั นาโดยนาหนงั สตั วม์ าขึงท่ีปากท่อนไมก้ ลวงไวก้ ลายเป็นเครอ่ื ง
ดนตรที ่ีเรยี กวา่ กลอง ตอ่ มามีการพฒั นารูปแบบของกลองใหแ้ ตกตา่ ง
ออกไป เช่น กลองท่ีขงึ ปิดดว้ ยหนงั สตั วเ์ พียงหนา้ เดียว ไดแ้ ก่ กลอง
รามะนา กลองยาว กลองแอว และกลองท่ีขงึ ดว้ ยหนงั สตั วท์ งั้ สองหนา้
ไดแ้ ก่ กลองมองเซิง กลองสองหนา้ และตะโพนมอญ(กลองเตง่ ถิง้ )
นอกจากนีย้ งั มีเครอ่ื งตีท่ีทาดว้ ยโลหะ เช่น ฆอ้ ง ฉ่ิง ฉาบ สว่ นเครอ่ื ง
ดนตรปี ระเภทเป่า ไดแ้ ก่ ขลยุ่ ย่ะเอ้ ป่ีแน ป่ีมอญ ปีสรไน และเครอ่ื งสี
ไดแ้ ก่ สะลอ้ ลกู 5 สะลอ้ ลกู 4 และ สะลอ้ 3 สาย และเครอ่ื งดีด ไดแ้ ก่
พิณเพียะ ปินน่าน(พณิ น่าน) และซงึ 3 ขนาด คือ ซงึ นอ้ ย ซงึ กลาง และ
ซงึ ใหญ่ สาหรบั ลกั ษณะเดน่ ของเครอ่ื งดนตรภี าคเหนือ คือ มีการนา
เครอ่ื งดนตรปี ระเภท ดดี สี ตี เป่า มาผสมวงกนั ใหม้ ีความสมบรู ณแ์ ละ
ไพเราะ โดยเฉพาะในดา้ นสาเนียงและทานองท่ีพลิว้ ไหวตาม
บรรยากาศ ความน่มุ นวลออ่ นละมนุ ของธรรมชาติ นอกจากนีย้ งั มีการ
ผสมทางวฒั นธรรมของชนเผ่าต่าง ๆ และยงั เช่ือมโยงกบั วฒั นธรรมใน
ราชสานกั ทาใหเ้ กิดการถ่ายโยง และการบรรเลงดนตรไี ดท้ งั้ ในแบบราช
สานกั ของคมุ้ และวงั และแบบพืน้ บา้ นมีเอกลกั ษณเ์ ฉพาะถ่ิน
27
มีววิ ฒั นาการมายาวนานนบั พนั ปี[ตอ้ งการอา้ งอิง] เรม่ิ จากใน
ระยะตน้ มีการใชว้ สั ดทุ อ้ งถ่ินมาทาเลยี นเสียงจากธรรมชาติ ป่าเขา
เสยี งลมพดั ใบไมไ้ หว เสียงนา้ ตก เสียงฝนตก ซง่ึ สว่ นใหญ่จะเป็นเสียง
สนั้ ไมก่ อ้ ง ในระยะตอ่ มาไดใ้ ชว้ สั ดพุ ืน้ เมืองจากธรรมชาติมาเป่า เชน่
ใบไม้ ผิวไม้ ตน้ หญา้ ปลอ้ งไมไ้ ผ่ ทาใหเ้ สยี งมีความพลิว้ ยาวขนึ้ จนใน
ระยะท่ี 3 ไดน้ าหนงั สตั วแ์ ละเครอ่ื งหนงั มาใชเ้ ป็นวสั ดสุ รา้ งเครอ่ื งดนตรี
ท่ีมีความไพเราะและรูปรา่ งสวยงามขนึ้ เช่น กรบั เกราะ ระนาด ฆอ้ ง
กลอง โปง โหวด ป่ี พิณ โปงลาง แคน เป็นตน้ โดยนามาผสมผสานเป็น
วงดนตรพี ืน้ บา้ นภาคอีสานท่ีมีลกั ษณะเฉพาะตามพืน้ ท่ี 3 กลมุ่ คอื
กลมุ่ อีสานเหนือ และอีสานกลางจะนิยมดนตรหี มอลาท่ีมีการเป่าแคน
และดดี พิณประสานเสียงรว่ มกบั การขบั รอ้ ง สว่ นกลมุ่ อีสานใตจ้ ะนิยม
ดนตรกี นั ตรมึ ซง่ึ เป็นดนตรบี รรเลงท่ีไพเราะของชาวอีสานใตท้ ่ีมีเชือ้ สาย
เขมร นอกจากนีย้ งั มวี งพิณพาทยแ์ ละวงมโหรดี ว้ ยชาวบา้ นแต่ละกลมุ่ ก็
จะบรรเลงดนตรเี หลา่ นีก้ นั เพ่ือ ความสนกุ สนานครนื้ เครง ใชป้ ระกอบ
การละเลน่ การแสดง และพิธีกรรมตา่ ง ๆ เชน่ ลาผีฟ้า ท่ีใชแ้ คนเป่าใน
การรกั ษาโรค และงานศพแบบอีสานท่ีใชว้ งตมุ้ โมงบรรเลง นบั เป็น
ลกั ษณะเดน่ ของดนตรพี ืน้ บา้ นอีสานท่ีแตกต่างจากภาคอ่ืน ๆ
28
มีลกั ษณะเรยี บง่าย มีการประดษิ ฐเ์ ครอ่ื งดนตรจี ากวสั ดใุ กลต้ วั
ซง่ึ สนั นิษฐานวา่ ดนตรพี ืน้ บา้ นดงั้ เดมิ ของภาคใตน้ ่าจะมาจากพวกเงาะ
ซาไก ท่ีใชไ้ มไ้ ผล่ าขนาด ตา่ ง ๆ กนั ตดั ออกมาเป็นท่อนสนั้ บา้ งยาวบา้ ง
แลวั ตดั ปากของกระบอกไมไ้ ผ่ใหต้ รงหรอื เฉียงพรอ้ มกบั หมุ้ ดว้ ยใบไม้
หรอื กาบของตน้ พืช ใชต้ ีประกอบการขบั รอ้ งและเตน้ รา จากนนั้ ก็ไดม้ ี
การพฒั นาเป็นเครอ่ื งดนตรแี ตร กรบั กลองชนิดตา่ ง ๆ เช่น รามะนา ท่ี
ไดร้ บั อิทธิพลมาจากชาวมลายู กลองชาตรหี รอื กลองต๊กุ ท่ีใชบ้ รรเลง
ประกอบการแสดงมโนรา ซง่ึ ไดร้ บั อิทธิพลมาจากอินเดีย ตลอดจน
เครอ่ื งเป่าเช่น ป่ีนอกและเครอ่ื งสี เช่น ซอดว้ ง ซออู้ รวมทงั้ ความเจรญิ
ทางศลิ ปะการแสดงและดนตรขี องเมืองนครศรธี รรมราช จนไดช้ ่ือว่า
ละคร ในสมยั กรุงธนบรุ นี นั้ ลว้ นไดร้ บั อิทธิพลมาจากภาคกลาง
นอกจากนีย้ งั มีการบรรเลงดนตรพี ืน้ บา้ นภาคใต้ ประกอบการละเลน่
แสดงตา่ งๆ เชน่ ดนตรโี นรา ดนตรหี นงั ตะลงุ ท่ีมีเครอ่ื งดนตรีหลกั คือ
กลอง โหม่ง ฉ่ิง และเครอ่ื งดนตรปี ระกอบผสมอ่ืน ๆ ดนตรลี ิเกป่าท่ีใช้
เครอ่ื งดนตรรี ามะนา โหมง่ ฉ่ิง กรบั ป่ี และดนตรรี องเง็ง ท่ีไดร้ บั
แบบอยา่ งมาจากการเตน้ ราของชาวสเปนหรอื โปรตเุ กสมาตงั้ แตส่ มยั
อยธุ ยา โดยมีการบรรเลงดนตรที ่ีประกอบดว้ ย ไวโอลิน รามะนา ฆอ้ ง
หรอื บางคณะก็เพ่ิมกีตา้ รเ์ ขา้ ไปดว้ ย ซง่ึ ดนตรรี องเง็งนีเ้ ป็นท่ีนยิ มในหมู่
ชาวไทยมสุ ลมิ ตามจงั หวดั ชายแดน ไทย- มาเลเซีย ดงั นนั้ ลกั ษณะเดน่
ของดนตรพี ืน้ บา้ นภาคใตจ้ ะไดร้ บั อิทธิพลมาจากดินแดนใกลเ้ คียง
หลายเชือ้ ชาติ จนเกิดการผสมผสานเป็นเอกลกั ษณเ์ ฉพาะท่ีแตกตา่ ง
จากภาคอ่ืน ๆ โดยเฉพาะในเรอ่ื งการเนน้ จงั หวะและลีลาท่ีเรง่ เรา้ หนกั
แนน่ และคกึ คกั เป็นตน้ ฯ
บทท3่ี
รายชื่อเครื่องดนตรีไทยแบ่ง
ตามการบรรเลง(เครื่องต)ี
30
กลองแขก
เป็นเครอ่ื งดนตรีประเภทเครอ่ื งตีท่ีมีรูปรา่ ง
ยาวเป็นรูปทรงกระบอก ขึน้ หนังสองขา้ งดว้ ยหนัง
ลูกววั หรือหนังแพะ. หนา้ ใหญ่ กวา้ งประมาณ 20
cm เรียกว่า หนา้ รุ่ยหรือ "หนา้ มดั " ส่วนหนา้ เล็ก
กวา้ งประมาณ 15 cm เรียกว่า หนา้ ต่านหรือ"หนา้
ตาด" ตวั กลองหรอื ห่นุ กลองสามารถทาขนึ้ ไดจ้ ากไม้
หลายชนิดแต่โดยมากจะนิยมใชไ้ ม้เนือ้ แข็งมาทา
เป็นหุ่นกลอง เช่นไมช้ ิงชัน ไมม้ ะริด ไมพ้ ยุง กระพี้
เขาควาย ขนุน สะเดา มะค่า มะพรา้ ว ตาล กา้ มปู
เป็นตน้ ขอบกลองทามาจากหวายผ่าซีกโยงเรียง
เป็นขอบกลองแล้วม้วนด้วยหนังจะไดข้ อบกลอง
พรอ้ มกับหน้ากลอง และถูกขึงใหต้ ึงดว้ ยหนังเสน้
เล็ก เรียกว่าหนงั เรียดเพ่ือใชใ้ นการเรง่ เสียงใหห้ นา้
กลองแตล่ ะหนา้ ไดเ้ สียงท่ีเหมาะสมตามความพอใจ
กลองแขกสารบั หน่ึงมี 2 ลกู ลูกเสียงสงู เรียก ตวั ผู้
ลกู เสียงต่าเรียก ตวั เมีย ตีดว้ ยฝ่ ามือทั้งสองขา้ งให้
สอดสลบั กนั ทงั้ สองลกู
31
กลองสะบดั ชยั
เป็นกลองท่ีมีมานานแลว้ นบั หลายศตวรรษ
ในสมยั ก่อนใช้ ตยี ามออกศกึ สงคราม เพ่ือเป็นสิริ
มงคล และเป็น ขวญั กาลงั ใจใหแ้ ก่เหลา่ ทหารหาญ
ในการตอ่ สใู้ หไ้ ดช้ ยั ชนะ ทานองท่ีใชใ้ นการตี กลอง
สะบดั ชยั โบราณมี 3 ทานอง คือ ชยั เภร,ี ชยั ดถิ ี
และชนะมาร
การตกี ลองสะบดั ชยั เป็นศิลปะการแสดง
พืน้ บา้ นลา้ นนาอย่างหนง่ึ ซง่ึ มกั จะพบเหน็ ในขบวน
แห่หรอื งานแสดงศิลปะพืน้ บา้ นในระยะหลงั
โดยท่วั ไป ลลี าในการตีมีลกั ษณะโลดโผนเรา้ ใจมี
การใชอ้ วยั วะหรอื สว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย เชน่ ศอก
เขา่ ศรี ษะ ประกอบในการตีดว้ ย ทาใหก้ ารแสดง
การตีกลองสะบดั ชยั เป็นท่ีประทบั ใจของผทู้ ่ีไดช้ ม
จนเป็นท่ีนยิ มกนั อยา่ งกวา้ งขวางในปัจจบุ นั
32
กลองสองหนา้
สนั นิษฐานวา่ เรม่ิ นามาใชใ้ นสมยั รชั กาลท่ี
2 มีลกั ษณะคลา้ ยลกู เปิงมาง แตใ่ หญ่กวา่ หนา้
กลองดา้ นกวา้ งเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 21-24
เซนตเิ มตร ดา้ นเลก็ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 20-22
เซนติเมตร ตวั กลองยาว 55-58 เซนติเมตร ใชใ้ นวง
ป่ีพาทยเ์ สภาและใชต้ ปี ระกอบจงั หวะการเด่ียว
เครอ่ื งดนตรตี ่างๆดว้ ย
33
กลองยาว
เป็นเครอ่ื งดนตรี สาหรบั ตดี ว้ ยมอื ตวั กลองทา
ดว้ ยไม้ มีลกั ษณะกลมกลวง ขงึ ดว้ ยหนงั มหี ลายชนิด ถา้
ทาดว้ ยหนงั หนา้ เดียว มีรูปยาวมากใชส้ ะพายในเวลาตี
เรยี กวา่ กลองยาวหรอื เถิดเทงิ
เช่ือกันว่ากลองยาวไดแ้ บบอย่างมาจากพม่า
ในสมยั กรุงธนบุรี หรือตน้ กรุงรตั นโกสินทร์ สมัยท่ีไทยกบั
พม่ากาลังทาสงครามกัน เวลาพักรบ ทหารพม่าก็เล่น
"กลองยาว" กันสนุกสนาน พวกชาวไทยได้เห็นก็จา
แบบอยา่ งมาเลน่ บา้ ง แตบ่ างทา่ นก็เลา่ วา่ กลองยาวของ
พม่าแบบนี้ มีชาวพม่าพวกหนึ่งนาเขา้ มาเล่นในงานท่ีมี
กระบวนแห่ เช่น บวชนาค ทอดกฐิน เป็นตน้ และนิยม
เลน่ กนั เป็นท่ีร่นื เริง สนกุ สนานในเทศกาลสงกรานต์ และ
เลน่ กนั แพรห่ ลายไปแทบทกุ หวั บา้ นหวั เมือง วงหน่ึงๆ จะ
ใชก้ ลองยาวหลายลกู กไ็ ด้ เคร่อื งดนตรีท่ีใชบ้ รรเลงรว่ ม มี
ฉ่ิง, ฉาบเล็ก, กรับ, โหม่ง เรียกการเล่นชนิดนี้ว่า
"เถิดเทงิ " หรอื "เทงิ กลองยาว" ท่ีเรียกเช่นนีเ้ ขา้ ใจว่า เรยี ก
ตามเสียงกลองท่ตี แี ละตามรูปลกั ษณะกลองยาว
34
กลองมลายู
กลองมลายู มีลกั ษณะเดียวกับกลองแขก
แต่สนั้ และอว้ นกว่า หนา้ หน่งึ ใหญ่ อีกหนา้ หน่งึ เล็ก
ขึน้ หนงั สองหนา้ เร่งใหต้ ึงดว้ ยหนงั รูดให้แน่น สาย
โยงเรง่ เสียงทาดว้ ยหนงั หนา้ ใหญ่อย่ทู างขวาตีดว้ ย
ไม้งอ หน้าเล็กตีด้วยฝ่ ามือ ใช้บรรเลงคู่เหมือน
กลองแขก ลูกเสียงสูงเรียกว่า"ตัวผู้" ลูกเสียงต่า
เรียกว่า"ตวั เมีย" ใชบ้ รรเลงในวงป่ีพาทยน์ างหงส์
และวงบวั ลอย
35
กลองทดั
เป็นกลองสองหนา้ ขนาดใหญ่ ขนึ้ หนา้ ทงั้
สองขา้ งดว้ ยหนงั ววั หรอื หนงั ควาย ตรงึ ดว้ ยหมดุ
หนุ่ กลองทาจากไมเ้ นือ้ แขง็ กลงึ ควา้ นขา้ งในจน
เป็นโพรง ป่องตรงกลางนดิ หนอ่ ยหมดุ ท่ีตรงึ หนงั
เรยี กวา่ แส้ ทาดว้ ยไมห้ รอื งาหรอื กระดกู สตั ว์ ตรง
กลางห่นุ กลองมีหว่ งสาหรบั แขวน เรยี กวา่ หกู ระวิน
หรอื หรู ะวงิ กลองทดั มีขนาดหนา้ กวา้ งเท่ากนั ทงั้
สองขา้ ง วดั เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางไดป้ ระมาณ 46 ซม.
ตวั กลองยาวประมาณ 41 ซม. กลองทดั มี 2 ลกู ลกู
ท่ีมเี สียงสงู ดงั ตมุ เรยี กวา่ ตวั ผู้ และ ลกู ท่ีมีเสยี ง
ต่าตีดงั ตอ้ ม เรยี กวา่ ตวั เมีย ใชไ้ มต้ ี 1 คู่ มีขนาด
ยาวประมาณ 54 ซม.
36
กรบั
เป็นเคร่ืองดนตรีไทยชนิดหน่ึง ซ่ึงกรบั นนั้ มี
อยู่ 3 ชนิดดว้ ยกนั คอื กรบั คู่ กรบั พวง และกรบั เสภา
กรบั คู่ กรบั คู่ ทาดว้ ยไมไ้ ผ่ซีก 2 อนั เหลาให้
เรยี บและเกลีย้ ง หนาตามขนาดของเนือ้ ไม้ หัวและ
ทา้ ยกว่าใหญ่ลดหล่นั กันเล็กนอ้ ย ตีดว้ ยมือทงั้ สอง
ขา้ ง โดยจบั ขา้ งละอนั ใหด้ า้ นท่ีเป็นผิวไมก้ ระทบกนั
ตีลงบริเวณใกลก้ ับตอนหัว มีเสียงดัง กรับ กรับ
โดยมากจะใช้ตีกากับจังหวะในวง ป่ีพาทย์ชาตรี
ประกอบการแสดงละครชาตรี โดยเฉพาะ ในเพลง
รา่ ยต่างๆ ในวงกลางยาวก็นิยมใชก้ รบั ค่ไู ปตีกากบั
จงั หวะหนกั ท่ีเรียกว่ากรบั ค่คู งเป็นเพราะมีเป็นคู่ 2
อนั บางทีก็เรยี กวา่ ” กรบั ไม้ “
37
กรบั พวง
เป็ น ก รับชนิ ด ห น่ึง ตอ น ก ล าง ท าด้วย ไ ม้
บางๆหรอื แผ่นทองเหลือง หรอื งาหลายๆอนั และทา
ไมแ้ ก่น 2 อันเจาะรูตอนหัวรอ้ ยเชือกประกบไว้ 2
ขา้ งเหมือนดา้ มพดั เวลาตใี ชม้ ือหน่ึงถือตรงหวั ทาง
เชือกรอ้ ย แลว้ ฟาดลงไปบนอีกฝ่ามือหน่ึง เกิดเป็น
เสียงกรบั ขึน้ หลายเสียง จึงเรยี กว่ากรบั พวงใชเ้ ป็น
อานตั สญั ญาณ เช่นในการเสดจ็ ออกในพระราชพิธี
ของพระเจา้ แผ่นดิน เจา้ พนกั งานจะรวั กรบั และใช้
กรับพวงตีเป็นจังหวะ ในการขับร้อง เพลงเรือ
ดอกสร้อยและใช้บรรเลงขับร้องในการแสดง
นาฏกรรมดว้ ย
38
กรบั เสภา
ทาดว้ ยไมแ้ ก่น เช่นไมช้ ิงชนั ยาวประมาณ
20 ซม หนาประมาณ 5 ซม เหลาเป็นรูป 4 เหล่ียม
แต่ลบเหล่ียม ออกเพ่ือมิใหบ้ าดมือและใหส้ ามารถ
กลิง้ ตวั ของมันเองกลอก กระทบกันไดโ้ ดยสะดวก
ใชบ้ รรเลงประกอบในการขบั เสภา เวลาบรรเลงผขู้ ับ
เสภาจะใชก้ รบั เสภา 2 คู่ รวม 4 อนั ถือเรียงกันไว้
บนฝ่ ามือของตนขา้ งละคู่ กล่าวขับเสภาไปพลาง
มือทัง้ 2 ขา้ งก็ขยับกรบั แต่ละขา้ งใหก้ ลอกกระทบ
กันเขา้ จงั หวะ กับเสียงขบั เสภา จึงเรียกกรับชนิดนี้
วา่ กรบั เสภา
39
ฉ่ิง
ฉ่ิง เป็นเครอ่ื งดนตรไี ทยประเภทตี ทาดว้ ย
ทองเหลอื ง หลอ่ หนา ปากผายกลม 1 ชดุ มี 2 ฝา
ฉ่ิงมี 2 ชนิดคือ ฉ่ิงสาหรบั วงป่ีพาทย์ และ ฉ่ิงท่ีใช้
สาหรบั วงเครอ่ื งสายและวงมโหรี ฉ่ิงสาหรบั วงป่ี
พาทยม์ ีขนาดท่ีวดั ผ่านศนู ยก์ ลาง จากขอบขา้ งหนง่ึ
ไปสดุ ขอบอีกขา้ งหน่งึ กวา้ งประมาณ 6 – 6.5 ซม
เจาะรูตรงกลางสาหรบั รอ้ ยเชือก เพ่ือใหจ้ บั สะดวก
ขณะตี สว่ นฉ่ิงสาหรบั วงเครอ่ื งสายและวงมโหรนี นั้
มีขนาดเลก็ กวา่ วดั ผา่ นศนู ยก์ ลางไดข้ นาดประมาณ
5.5 ซม
เน่ืองจากการตีฉ่ิง ตอ้ งเอาขอบของฝาขา้ ง
หนง่ึ กระทบกบั อีกฝากหน่งึ แลว้ ยกขนึ้ ก็จะมีเสยี ง
ดงั กงั วานยาวดงั ฉ่ิง แตถ่ า้ เอาทงั้ 2 ฝานนั้ กระทบ
และประกบกนั ไว้ จะไดย้ ินเสยี งดงั สนั้ ๆดงั ฉับ ดงั นนั้
การเรยี กช่ือเครอ่ื งดนตรชี นิดนีว้ ่า ฉ่ิง ก็เพราะเรยี ก
ตามเสียงท่ีเกิดขนึ้ น่นั เอง
40
ตะโพน
เป็นเครอ่ื งดนตรที ่ีขงึ ดว้ ยหนงั ตวั ตะโพนทา
ดว้ ยไมส้ กั หรือไมข้ นุน เรียกว่า หุ่น ขุดแต่งใหเ้ ป็น
โพรงภายใน ขนึ้ หนงั 2 หนา้ ดงึ ดว้ ยสายหนงั โยงเรง่
เสียงเรียกว่า หนังเรียด หน้าใหญ่มีความกว้าง
ประมาณ 25 ซม เรยี กว่า หนา้ เท่ง ตดิ หนา้ ดว้ ยขา้ ว
สุกบดผสมกับขีเ้ ถ้าเพ่ือถ่วงเสียง อีกหน้าหน่ึงเล็ก
กว่ามีขนาดประมาณ 22 ซม เรียกว่า หนา้ มัด ตัว
กลองยาวประมาณ 48 ซม รอบ ๆ ขอบหนังท่ีขึน้
หนา้ ถักดว้ ยหนังท่ีตีเกลียวเป็นเสน้ เล็กๆ เรียกว่า
ไสล้ ะมาน แลว้ จึงเอาหนังเรียดรอ้ ยในช่วงของไส้
ละมานทัง้ สองขา้ ง โยงเรียงไปโดยรอบจนมองไม่
เห็นไมห้ ่นุ มีหนงั พนั ตรงกลางเรยี กวา่ รดั อก ขา้ งบน
รดั อกทาเป็นหูหิว้ และมีเทา้ รองให้ ตัวตะโพนวาง
นอนอยบู่ นเทา้ ใชฝ้ ่ามือซา้ ยขวาตไี ดท้ ัง้ สองหนา้ ใช้
สาหรับประกอบจังหวะผสมอยู่ในวงป่ีพาทย์ ทา
หนา้ ท่ีกากบั จงั หวะหนา้ ทบั ตา่ ง ๆ
41
โทน
เป็นช่ือของเคร่ืองหนงั ท่ีขึงหนงั หนา้ เดียว
มีสายโยงเร่งเสียงจากขอบหนังถึงคอ มีหางย่ืน
ออกไปและบานปลาย มีช่ือเรียกคู่กันว่า โทนทับ
โดยลักษณะรูปร่างนั้น โทนมีช่ือเรียกกันได้ตาม
รูปรา่ งท่ีปรากฏ 2 ชนิดคือ โทนชาตรี และ โทนมโหรี
โทนชาตรนี นั้ ตวั โทนทาดว้ ยไมข้ นุน ไมส้ กั
หรือ ไม้กะท้อนมีขนาดปากกว้าง 17 ซม ยาว
ประมาณ 34 ซม มีสายโยงเร่งเสียงใชห้ นงั เรียด ตี
ดว้ ยมือขา้ งหน่ึง ส่วนอีกมือหน่ึงคอยปิดเปิด ปลาย
หางท่ีเป็นปากลาโพง ช่วยให้เกิดเสียงต่างๆ ใช้
สาหรบั บรรเลงประกอบการแสดงละครชาตรี และ
หนงั ตะลงุ และตีประกอบจงั หวะในวงป่ีพาทย์ หรือ
วงเคร่ืองสาย หรือวงมโหรีท่ีเล่นเพลงภาษาเขมร
หรอื ตะลงุ
42
โปงลาง
ดนตรีพืน้ เมืองอีสานถือว่าจังหวะสาคัญ
มาก เคร่ืองดนตรีประเภทตีใชด้ าเนินทานองอย่าง
เดียวคือ โปงลาง โปงลางมีวิวัฒนาการมาจาก
ระฆังแ ขวนค อสัตว ์เพ่ือใ ห้เกิ ด เสียง โปงล าง ท่ีใ ช้
บรรเลงอยู่ในภาคอีสานมี2 ชนิด คือ โปงลางไม้
และโปงลางเหล็ก ภาพท่ีแสดงคือ โปงลางไม้ซ่ึง
ประกอบดว้ ยลกู โปงลางประมาณสิบสองลกู เรียง
ตามลาดบั เสียงสงู ต่า ใชเ้ ชือกรอ้ ยเป็นแผงระนาด
แต่โปงลางไม่ใชร้ างเพราะเห็นว่าเสียงดงั อยู่แลว้
แต่นามาแขวนกบั ท่ีแขวน ซ่งึ ยึดส่วนปลายกบั ส่วน
โคนให้แผงโปงลางทามุมกับพืน้ 45องศา ไม้ตี
โปงลางทาดว้ ยแก่นไมม้ ีหวั งอนคลา้ ยคอ้ นสาหรบั ผู้
บรรเลงใชต้ ีดาเนินทานอง1 คู่ และอีก 1 ค่สู าหรบั
ผูช้ ่วยใชเ้ คาะทาใหเ้ กิดเสียงประสานและจังหวะ
ตามลักษณะของดนตรีพืน้ เมืองอีสานท่ีมีเสียง
ประสานรา
43
ระนาดทมุ้
ระนาดทมุ้ เป็นเครอ่ื งดนตรที ่ีสรา้ งขนึ้ มาใน
สมยั รชั กาลพระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจา้ อย่หู วั
เป็นการสรา้ งเลยี นแบบระนาดเอก ใชไ้ มช้ นิด
เดยี วกนั กบั ระนาดเอก ลกู ระนาดทมุ้ มีจานวน 17
ลกู ลกู ตน้ ยาวประมาณ 42 ซม กวา้ ง 6 ซม และ
ลดหล่นั ลงมาจนถึงลกู ยอด ท่ีมีขนาดยาว 34 ซม
กวา้ ง 5 ซม รางระนาดทมุ้ นนั้ ประดิษฐใ์ หม้ ีรูปรา่ ง
คลา้ ยหีบไม้ แตเ่ วา้ ตรงกลางใหโ้ คง้ โขนปิดหวั ทา้ ย
เพ่ือ เป็นท่ีแขวนผืนระนาดนนั้ ถา้ หากวดั จากโขน
ดา้ นหนง่ึ ไปยงั โขนอีกดา้ นหน่งึ รางระนาดทมุ้ จะมี
ขนาดยาวประมาณ 124 ซม ปาก รางกวา้ ง
ประมาณ 22 ซม มีเทา้ เตยี้ รองไว้ 4 มมุ ราง
44
ระนาดทมุ้ เหลก็
เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีพระบาทสมเด็จพระป่ิน
เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในรชั กาลท่ี 4 มีพระราชดารใิ หส้ รา้ ง
ขึน้ ลูกระนาดทาอย่างเดียวกับระนาดเอกเหล็ก
ระนาดทุ้มเหล็กมีจานวน 16 หรือ 17 ลูก ลูกต้น
ยาวประมาณ 35 ซม กว้างประมาณ 6 ซมและ
ลดหล่นั ลงไปจนถึงลกู ยอดซ่งึ ยาวประมาณ 29 ซม
กวา้ งประมาณ 5.5 ซม ตวั รางระนาดยาวประมาณ
1 เมตร ปากราง กวา้ งประมาณ 20 ซม มีชานย่ืน
ออกไปสองขา้ งราง ถา้ นบั ส่วนกวา้ งรวมทงั้ ชานทงั้
สองขา้ งดว้ ย รางระนาดทมุ้ เหล็กจะกวา้ ง ประมาณ
36 ซม มีเทา้ รองติดลกู ลอ้ 4 เทา้ เพ่ือใหเ้ คล่ือนท่ีไป
มาไดส้ ะดวก ตวั รางสงู จากพืน้ ถึงขอบบนประมาณ
26 ซมระนาด ทุกชนิดท่ีกล่าวมานั้น จะใชไ้ มต้ ี 2
อนั
45
ระนาดเอก
ระ น าด เอ ก เป็ นเ คร่ือ ง ตี ชนิ ด หน่ึง ท่ี
วิวฒั นาการมาจากกรบั แต่เดิมคงใชก้ รบั สองอนั ตี
เป็นจังหวะ ต่อมาก็เกิดความคิดว่า ถ้าเอากรับ
หลาย ๆ อันวางเรียงราดลงไป แลว้ แกไ้ ขประดิษฐ์
ใหม้ ีขนาดลดหล่นั กัน แลว้ ทารางรองอมุ้ เสียง และ
ใช้เชือกรอ้ ยไม้กรับขนาดต่าง ๆ กันนั้นให้ติดกัน
และขงึ ไวบ้ นรางใชไ้ มต้ ใี หเ้ กิดเสยี ง นาตะก่วั ผสมกบั
ขีผ้ งึ้ มาถ่วงเสียงโดยนามาติดหวั ทา้ ยของไมก้ รบั นนั้
ให้เกิดเสียงไพเราะย่ิงขึน้ เรียกไมก้ รบั ท่ีประดิษฐ์
เป็นขนาดต่างๆกนั นนั้ วา่ ลกู ระนาด เรยี กลกู ระนาด
ท่ีผกู ติดกนั เป็นแผ่นเดียวกนั ว่า ผืน ระนาดเอกใชใ้ น
งานมงคล เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีเป็นมงคลในบ้าน
บรรเลงในวงป่ีพาทยแ์ ละวงมโหรี โดยระนาดเอกนี้
ทาหนา้ ท่ีเป็นผนู้ าวงดนตรี
46
ระนาดเอกเหลก็
ระนาดเอกเหลก็ เป็นเครอ่ื งดนตรที ่ี
ประดิษฐข์ นึ้ ในสมยั รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจอม
เกลา้ เจา้ อย่หู วั แตเ่ ดมิ ลกู ระนาดทาดว้ ยทองเหลือง
จงึ เรยี กกนั วา่ ระนาดทอง ในเวลาตอ่ มาไดม้ กี าร
ประดิษฐล์ กู ระนาดดว้ ยเหลก็ ระนาดเอกเหลก็ มี
จานวน 20 หรอื 21 ลกู โดยวางไวบ้ นรางท่ีมีไมร้ ะกา
วางพาดไปตามของราง ก็อาจใชผ้ า้ พนั ไมแ้ ลว้ นามา
รองลกู ระนาดก็ได้ ลกู ตน้ ของระนาดเอกเหลก็ มี
ขนาด 23.5 ซม กวา้ งประมาณ 5 ซม ลดหล่นั ขนึ้ ไป
จนถงึ ลกู ยอดท่ีมีขนาด 19 ซม กวา้ งประมาณ 4 ซม
รางของระนาดเอกเหลก็ นนั้ ทาเป็นรูปส่เี หลย่ี ม มี
เทา้ รองรบั ไวท้ งั้ 4 ดา้ นหรอื อาจใสล่ กู ลอ้ เพ่ือสะดวก
ในการขนยา้ ยก็ได้
47
ระนาดแกว้
ระนาดแกว้ เป็นระนาดชนิดหนง่ึ ไมป่ รากฏ
วา่ เรม่ิ มีในสมยั ใด ในตานานเรอ่ื งมโหรปี ่ีพาทยข์ อง
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุ
ภาพระบไุ วต้ อนหนง่ึ วา่ "ในสมยั รชั กาลท่ี ๑ กรุง
รตั นโกสินทรไ์ ดเ้ พ่ิมเครอ่ื งมโหรขี นึ้ แต่ทาขนาดย่อม
ใหส้ มกบั ผหู้ ญิงเลน่ เติมระนาดไมก้ บั ระนาดแกว้
อีกสองอยา่ ง มโหรวี งหน่งึ เป็น ๘ คน มาในสมยั
รชั กาลท่ี ๒ เลิกระนาดแกว้ เสยี ใชฆ้ อ้ งวงแทน..."[1]
สว่ นประกอบของระนาดแกว้ นนั้ มี
รายละเอียดบอกไวแ้ ตเ่ พียงว่า รางระนาดทาดว้ ย
ไมร้ กั มีลกู ระนาดทาจากแกว้ จานวน ๑๖ ลกู ซง่ึ แต่
เดิมระนาดแกว้ ใชใ้ นวงมโหรี แตภ่ ายหลงั ไดถ้ กู ตดั
ออกจากวง เน่ืองจากเสียงเบาและแตกงา่ ย