The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Siriluck, 2024-03-08 02:42:05

ธี่หยด

ธี่หยด

คำนำ “ธี่หยด” สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นที่จังหวัด กาญจนบุรี ในปี พ.ศ. 2515 จากกระทู้ดังในเว็บ Pantip ที่มีการแชร์เป็นแสนครั้ง และ ยังได้มีการเขียน เป็นหนังสือ นวนิยาย และ ล่าสุดเจ้าของเรื่อง ได้มีการมาเล่ากันสดๆ ใน รายการ The Ghost Radio ใน ชื่อเรื่อง “ธี่หยด” โดย คุณกฤตานนท์ ซึ่งเรื่องราวในกระทู้ Pantip กับ ในนวนิยาย และ ภาพยนตร์นั้น จากข้อมูลอ้างอิง เป็นเรื่องเดียวกัน แต่อาจมีบางอย่างที่แตกต่างกัน เนื่องจากมีการแต่งเติม เพื่อให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น หลายคนคงตั้งข้อสงสัยกับ คำว่า “ธี่หยด” คืออะไร ? หรือ ความหมายคืออะไร ?


: เรื่องย่อ เรื่องเล่า เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2515 วันนึง “แย้ม” น้องสาวคนกลางในครอบครัว เกิดล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากที่แย้มได้พบเจอหญิง ชุดดำ ที่ยืนอยู่ใกล้ศาลร้าง บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ระหว่างทางกลับบ้าน ซึ่งบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ยังมีศาลร้างตั้งอยู่ บริเวณนั้นอีกด้วย หลังจาก “แย้ม” ได้พบเจอหญิงชุดดำใต้ต้นไม้ แย้มเกิดล้มป่วยลง จากเด็กที่แสนอ่อนโยน กลับกลายเป็นเด็กที่มีอารมณ์ ก้าวร้าว รุนแรงขึ้นๆลงๆ และวันๆ เอาแต่นอนซมอยู่แต่บ้าน จนกระทั่ง วันนึง “ยักษ์” พี่ชายคนโตสุดในครอบครัว ได้กลับมาบ้าน เนื่องจากก่อนหน้านี้ มักจะไม่ค่อยอยู่ บ้าน และไม่ค่อยได้กลับมาบ้านบ่อยนัก เมื่อยักษ์ กลับมา “หยาด” น้องสาวอีกคนจึงเล่าให้พี่ชายฟังว่า หลังจากที่น้องได้ป่วย หยาดมักได้ยินเสียงแว่วตอนกลางคืน เป็นตามเสียงลม ซึ่งแรกๆหยาดก็ฟังไม่ออกว่าเป็น เสียงอะไร แต่พอพยายามตั้งใจฟัง ก็จับใจความได้เป็นคำว่า “ธี่หยด” เสียงแบบโหยหวนลากยาวๆ ลอยมาตา มลมในช่วงเวลากลางคืน หลังจากนั้น ยักษ์ ก็ได้เรียกพี่น้องในครอบครัวมารวมตัวกัน เพื่อปรึกษาและสืบหาถึงสาเหตุที่แย้มป่วย และ เสียงที่ได้ยินในตอนกลางคืน โดยที่นับวัน ยิ่งผ่านไปนานวัน อาการของแย้มและสิ่งต่างๆภายในบ้านก็ยิ่งเกิดขึ้น เลวร้ายมาก สุดท้าย เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงยังไง ต้องรอติดตาม โดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น มีชีวิตทุกคนในครอบครัวเป็นเดิมพัน


“ ธี่หยด ” : ครอบครัวมีพี่น้องทั้งหมด 6 คน หยาดมีพี่ชาย 3 คน ชื่อ ยักษ์ ยศ ยอด และน้องสาว 2 คน หยาดและน้องสาวอีก 2 คนสนิทกันมาก เพราะเกิดไล่เลี่ยกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน รวมถึงไปเรียนหนังสือก็ไปด้วยกัน น้องของหยาดคนแรก ชื่อแย้ม ลักษณะจะเป็นผู้หญิงเรียบร้อย อ่อนหวาน เงียบๆ อีกคน ชื่อยี่ จะเฮี้ยวๆ แก่น ร่าเริง ทุกวันตอนเช้าหลังจากช่วยทำงานบ้านและ งานในไร่เสร็จ หยาดและน้องๆ ต้องเดิน เท้าหลายกิโลเมตร เพื่อไปเรียนหนังสือ อย่างที่ทราบกันสมัยก่อน ถนนหนทางไม่ได้สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ ถนนเป็นดินลูกรัง 2 ข้างทาง บางช่วงก็เป็นไร่นา บางช่วงก็เป็น ผักสวนครัวที่ชาวบ้านแถวนั้นปลูก หรือบางช่วงเป็นป่ารก เต็มไปด้วย ต้นไม้ใหญ่และมีอยู่ 1 ต้น ที่ตรงโคนมีศาลไม้เก่าๆ ตั้งอยู่ เดินผ่านไป-มา แต่ก็ยกมือไหว้ทุกครั้ง


กว่าจะเดินจากบ้านไปถึง โรงเรียนก็ 2-3 ชม. ทุกๆวันกิจวัตรก็จะเป็นแบบนี้ ขากลับจากโรงเรียนมา บ้าน ยิ่งช้า แต่ทุกๆวันเหตุการณ์ก็ดำเนินไปแบบนี้ จนอยู่มาวันนึง ก็เกิดเรื่องขึ้น เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียน หยาดและน้องๆ ก็เดินกลับบ้านกันปกติ วันนั้นแย้มก็ไม่ค่อยสบาย พอใกล้จะถึงบ้านก็เริ่มมืด แต่ทุกคนก็ ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะชินแล้ว แต่วันนี้มีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ตรงป่ารก ตรงโคนต้นไม้ที่มีศาลเก่าๆตั้งอยู่ มีผู้หญิงคนนึงยืนอยู่ ข้างๆศาล ผู้หญิงวัยกลางคน ผมยาวป่ะบ่า ใส่เสื้อสีดำนุ่งผ้าถุง หยาดจำแม่น ในตอนนั้นไม่คิดอะไร รีบจูงน้องให้กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ผ่านผู้หญิงคนนั้นไป ช่วงที่ผ่านไป หยาดเหลือบไปมองเห็นผู้หญิงคนนั้นจ้องมาทางหยาดและน้องแล้วผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้ม ตาของผู้หญิง คนนั้นดูน่ากลัวมาก ช่วงเช้าหลังจากทำงานเสร็จ ก็ต้องไปโรงเรียน เพียงแต่วันนี้แย้มอาการไม่ดีขึ้น ไข้ขึ้นสูง หยาดจึงไป โรงเรียนกับยี่แค่ 2 คน เหตุการณ์เป็นแบบนี้อยู่ 2-3 วัน อาการแย้มไม่ดีขึ้นเลย และที่แปลกคือตอนกลางคืน จะสะดุ้งและ กรี๊ดดังลั่นบ้าน บอกแม่ว่ามีคนเข้ามาจะทำร้าย แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ คิดว่าคงจะฝัน


วันรุ่งขึ้น พ่อก็ไปตามหมอมาดูอาการ หมอก็บอกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้ยานอนพักอีกสัก 2-3 วันก็ หาย แต่สุดท้ายอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ซ้ำยังทรุดลงด้วย ตอนกลางคืนแย้มก็ยังฝันเหมือนเดิมทุกวันว่ามีคนเข้ามาทำร้าย จนแทบไม่ได้นอน โทรม หน้าตา หมองไม่มีแรง จนผ่านไป 7 วันถึงตอนนี้ พี่ชายคนโต(ยักษ์) ก็คุยกับพ่อว่า มันดูแปลกๆแล้วนะ แล้วมาถามหยาด ว่าไปซนอะไรที่ไหนมารึเปล่า? หยาดก็บอกว่าเปล่า วันนั้นยักษ์ก็ออกไปข้างนอกและกลับเข้ามาตอนประมาณบ่ายๆ พาหมอยา ไม่ใช่หมอผีถือมีด ห้อย ประคำ ประมาณ หมอยาหมอตำแย แต่ก็คงพอมีวิชา หลังจากหมอคนนั้นเข้ามา ก็เดินเข้าไปหา แย้ม แย้มก็สวัสดี บอกน้าจ๋าช่วยหนูด้วยมีคนจะมาทำร้าย หมอยาก็บอกไม่มีอะไร หนูแค่ฝันไป หลังจากตรวจดูอาการพร้อมให้ยาแบบสมุนไพร ก็เดินเลี่ยงออกมาคุยกับ ยักษ์ และพ่อแม่ของยักษ์ หมอยาบอกว่า แย้ม ลักษณะเหมือนคนโดนของหรืออาจแค่ยังไม่หายไข้ก็ยังไม่รู้ ให้ต้มยากินรอดู อาการ ถ้าไม่ดีขึ้นคงต้องไปอำเภอ แต่หมอยาย้ำว่า สำคัญ! คือห้ามคนแปลกหน้าหรือคนไม่รู้จักมา เยี่ยมเด็ดขาด


พูดยังไม่ทันขาดคำ หยาดเล่าว่ามีเพื่อนๆ พ่อและแม่แวะมาเยี่ยมหลายคน บางคนหยาดก็จำได้ บาง คนก็ไม่รู้จัก หมอยาก็มองหน้าพ่อ แล้วพ่อบอกว่าไม่เป็นไรเพื่อนกันๆ เสร็จแล้วเพื่อนๆพ่อก็เดินเข้า ไปเยี่ยมแย้ม ซึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้ตรงโถงกลางบ้าน ปรากฏว่ามีผู้หญิงแก่ๆอยู่ 1 คน ยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่เข้าไปเยี่ยม จ้อง ไปที่แย้ม แย้มเห็นหญิงแก่คนนี้ก็ร้องกรี๊ดดด ดังลั่นบ้าน ทุกคนตกใจ หมอยาเห็นหญิงแก่คนนั้นก็วิ่งเข้ามาชี้หน้าด่าตะโกนลั่นเสียงดัง แบบ หยาบๆ ขออภัย>< “E-sad! ช่วย มึงมาทำไม รีบกลับไปเลยนะ อย่า มาให้กูเห็นหน้าอีกนะ อย่างมึงมันไม่ได้ตายดีหรอก” คนในบ้านก็ตกใจ งงกันหมด ผู้หญิงแก่คนนั้น ยิ้มแว๊บเดียว แล้วก็เดินกลับไป พ่อกับแม่ก็สงสัยเข้าไปถามหมอยา หมอยาถามกลับว่ารู้จักยายแก่คนนี้หรอ พ่อกับแม่บอกไม่รู้จัก หมอยาจึงเล่าให้ฟังว่า ยายแก่คนเนี่ยเป็นพวกเล่นของ เล่นจนของเข้าตัว เพี้ยน วิปริต ปกติเป็นคนเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่รู้วันนี้มาทำไม แต่ถ้ายายแก่คนนี้มาอีกให้รีบไล่ อย่าให้เข้ามาในบ้าน และห้ามให้เจอคนป่วยเด็ดขาด


คุยกันสักพักแล้วหมอก็กลับไป บอกว่าถ้าอาการไม่ดีให้ไปตาม แต่หลายๆอย่างดูจะแย่ลง คืนนั้นเองที่เหตุการณ์แปลกๆเริ่มเกิดขึ้นในบ้าน ตอนดึกคืนนั้น หยาดนอนหลับอยู่ในมุ้ง ก็เห็นเงาลางๆของแย้ม ออกมาจากมุ้งข้างๆ หยาดก็ถามจะไปไหน แต่แย้มไม่ตอบ เดินหายไปในครัว หยาดเลยลุกเดินตามไปดูน้องในครัว ก็ เห็นแย้มนั่งยองๆหันหลังให้อยู่ หยาดเดินอ้อมไปด้านหน้า ก็ตกใจมาก เพราะแย้มนั่งกินเครื่องในไก่อยู่ โดยที่ไม่สนใจ หยาดเลย เพียงแค่กรอกตา มาชำเลืองหยาดแว๊บเดียว แล้ว แย้มก็เดินกลับไปนอน หยาดแม้จะงงๆ แต่ก็ยังเด็กอยู่ไม่ได้สนใจ ก็เดินตามไปนอน เช้าวันรุ่งขึ้นแม่ก็มาดูอาการ จับหัวแย้ม ปรากฏว่าไข้ลดแล้ว แม่ก็บอกว่า หายแล้วก็ออกไปเดินรับ อากาศหน่อย ไปโรงเรียนไหวมั้ย? แย้มตอบแม่มา 3 คำ “กูจะนอน” แม่เห็นแย้มป่วยอยู่จึงไม่ได้ว่าอะไรมาก แค่บ่นๆแล้วเดิน ออกไป ส่วนหยาดกับยี่ ก็ไปโรงเรียนกัน 2 คน ระหว่างทางยี่ก็เล่าว่า เมื่อคืนแย้มนอนจ้องหน้าทั้งคืน รู้สึกน่ากลัวยังไงไม่รู้ หยาดก็บอกว่าไม่มีอะไร คิดมาก


หลังเลิกเรียนกลับมาถึงบ้าน แย้มก็ยังนอนอยู่ แม่ทำกับข้าวให้ก็ไม่กิน บอกอยากจะกินต้มเครื่องใน จะได้มีแรง (ซึ่งปกติแย้มเกลียดเครื่องในมาก) ด้วยความรักลูก แม่ก็ไปฆ่าไก่ในเล้ามาแล้วแช่เย็นไว้ พรุ่งนี้เช้าจะได้ทำให้แย้มกิน แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน ช่วงดึกๆ แย้มก็ออกจากมุ้ง เดินเข้าไปในครัวอีก แต่คืนนี้แปลก กว่าและหายไปนานกว่าปกติ ราวๆตี 2-3 หมาหอนระงมไปหมด หยาดก็สะดุ้งตื่น หยาดมองเข้าไป ในมุ้งหลังข้างๆ ไม่เห็นแย้ม เห็นแค่ยี่นอนหลับอยู่คนเดียว ระหว่างนั้นมีเสียงแปลกๆ ฟังคล้ายบทสวดมนต์ หรือคำพูดอะไรสักอย่างไม่ เป็นภาษา และไม่ใกล้ไม่ไกล เสียงนั้นดังว่า “ธี่หยด………………..ธี่หยด………………..ธี่หยด” เสียงเย็นเยียบยานคาง วังเวง น่ากลัวมาก ฟังแล้วขนลุก จนหยาดไม่กล้าออกจากมุ้งไปตามแย้ม ต้องนอนคลุมโปงอยู่ เสียงดังกล่าวดังอยู่สักพักก็เงียบ แล้วหยาดก็ได้ยินเสียงคนเดินกลับเข้า มาในห้อง ตึก....ตึก....ตึก ดังมาก เหมือนผู้ใหญ่กระทืบเท้า หยาดชำเลือง ดูแว๊บเดียว ก็เห็นแย้มกำลังกลับเข้านอน แม้จะไม่ค่อยชัดเพราะมีมุ้งบัง แต่หยาดก็เห็นแย้มหันกลับมามองแล้วยิ้ม หยาดบอกว่าแววตาของแย้มคืน นั้น ดูแปลกๆชอบกล


คืนนั้นทั้งคืน เหตุการณ์เป็นแบบนี้อยู่ 2-3 วัน กลางวันแย้มจะนอนอย่างเดียว ส่วนกลางคืนก็จะลุก หายไปในความมืด แล้วสักพักก็จะมีเสียงหมาหอนแทรกด้วยเสียงโหยหวน ดังลอยมาว่า “ธี่หยด” ทุกครั้ง จนหยาดกลัวมากเลยคิดว่าจะไปคุยกับยักษ์ (พี่ชายคนโต) แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถาม เช้าวันต่อมาหยาดก็ได้ยินพี่ชาย 3 คน คุยกัน โดยยศคุยอยู่กับยักษ์ ใจความคือ ยศบอกว่ารู้สึกแย้ม แปลกๆไป กลางวันเอาแต่นอน ไม่ช่วยงานในบ้าน แถมยังมีกิริยาก้าวร้าว ผิดไปจากคนเดิมมาก ที่ ทั้งขยันและเรียบร้อย ยักษ์(พี่คนโตนิสัยนักเลงมากๆ แต่ไม่ค่อยอยู่บ้านต้องไปทำงานบ่อยๆ) บอก ว่าก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน กลางวันรู้สึกหลบหน้าหลบตาคนในบ้านตลอด ไม่ค่อยคุยกับใคร หรือ จะโดนของ ให้รอดูอาการอีกวัน ถ้าไม่ดีขึ้นพรุ่งนี้จะไปตามหมอยามาดูอาการอีกครั้ง หยาดก็เลย เดินเข้าไปคุยว่ารู้สึกแปลกๆเหมือนกัน ตอนกลางคืนแย้มชอบลุกออกไปไหนไม่รู้ แล้วหยาดก็บอก ว่าได้ยินเสียงแปลกๆด้วย แต่พี่ชายทั้ง 3 คน บอกว่าหยาดฝัน (มาบอกตอนหลังว่าไม่อยากให้กลัว) และคืนนั้นเองก็มีเหตุการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้น ช่วงเย็นพ่อกับแม่ต้องไปงานเลี้ยงต่างอำเภอ และกว่าจะกลับคงใกล้ๆรุ่ง ให้ยักษ์ดูน้องๆด้วย หยาด ก็เห็นยักษ์กับยศยืนซุบซิบคุยกัน หลังจากกินข้าวเสร็จ คุยกันสักพักทุกคนแยกย้ายกันเข้านอน หยาดก็เข้ามุ้งนอน ซึ่งคืนนั้นยี่ขอมา นอนกับหยาด เพราะไม่ชอบที่แย้มชอบนอนจ้องหน้า ซึ่งหลังๆ หยาดกับแย้มก็แทบจะไม่ได้คุยกัน


คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่สักพัก แล้วก็หลับไป กลางดึกคืนนั้นเอง หยาดก็ได้ยินเสียงคนเดินอยู่ใกล้ๆ เหมือนเดิม เสียงดังมาก ตึก ตึก ตึก ก็คิดว่าคงเป็นแย้มลุกไปไหนอีก แล้ว ก็พูดออกไปว่า “เดินเบาๆหน่อยสิ คนจะหลับจะนอน” แย้มไม่ตอบ แต่มีเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วตามด้วยเสียงวี๊ด หยาดก็ไม่ได้สนใจเพราะง่วงมากแต่ก็ต้องมาสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ได้ยินเสียงโหยหวนนั่นอีก “ธี่หยด.....ธี่หยด......ธี่หยด” หยาดบอกว่าคืนนั้นรู้สึกกลัวผิดปกติ จึงลุกขึ้นมา ว่าจะไปนอนกับพี่ๆ (โดยทิ้งยี่ให้นอนคนเดียว><) หยาดเดินออกมาจากห้อง ภายในบ้านมืดสนิท แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ หยาดหยิบไฟฉายแล้วรีบจ้ำไป ทางห้องยักษ์ เพราะเสียงนั่นยังดังอยู่ใกล้ๆน่าจะอยู่ด้านหลังบ้าน มันโหยหวนและน่ากลัวมาก พอ หยาดเข้าไปห้องยักษ์ ก็เปิดมุ้งจะเข้าไปนอนด้วย แต่ในมุ้งนั้นว่างเปล่า ไม่มีเงาคนอยู่เลย หยาดก็คิดในใจว่ายักษ์คงออกไปเที่ยวอีกแล้ว เลยเดินไปมุ้งข้างๆที่ยอดกับยศนอนอยู่ ปรากฏว่าใน มุ้งก็ไม่มีคนอีกแต่ยังไม่ทันที่หยาดจะคิดอะไรก็สะดุ้งสุดตัว เพราะมีเสียงปืนดังขึ้น เสียงปืนดัง 1นัด หยาดตกใจกระโจนเข้าไปอยู่ในมุ้ง แต่ยังไม่ทันที่จะคลุมโปงก็ได้ยินเสียงหลายเสียงสับสนไปหมด หนึ่ง คือเสียงยี่ที่ร้องกรี๊ดลั่นบ้าน หยาดรีบวิ่งไปห้องนอน เห็นยี่นั่งร้องไห้อยู่ในมุ้ง ก็เข้าไปปลอบ (ยี่อายุน้อยกว่าหยาด 2 ปี)


แต่ยังไม่ทันที่ยี่จะหยุดร้อง เสียงปืนก็ดังขึ้นอีก 1 นัด ทีนี้ 2 คนกอดกันกลมเลย แล้วก็ได้ยินเสียง ยักษ์ตะโกนดังลั่นจากนอกบ้าน (ภาษาพ่อขุนรามฯ) “E.... มึงทำอะไรน้องกูวะ!!?” พอได้ยินเสียง หยาดก็บอกให้ยี่ไปหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้า บอกว่าเดี๋ยวมา พอยี่เข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้า แล้ว ปิดตู้ หยาดก็รีบวิ่งไปทางต้นเสียงซึ่งอยู่ด้านหลังบ้าน ซึ่งประตูหลังบ้านเปิดอยู่ ก็เห็นยศกับยอดถือ จอบ , พร้า คนละด้าม ถือไฟฉายคนละกระบอกส่องไปมาในความมืด โดยด้านหน้าสุด ยักษ์ยืนถือ ปืนลูกซองอยู่ ด้านหลังบ้าน จะมีกอไผ่กอใหญ่อยู่ 2-3 กอ เลยไปเป็นแปลกผักกว้างๆ สุดสายตา ซึ่งดำทมึนไป หมด ไม่เห็นอะไรเลย พอยอดเห็นหยาดออกมาก็ไล่ให้กลับเข้าบ้าน หยาดก็วิ่งไปหลบหลังประตู แล้วชำเลืองมองตรงไปในความมืด คือมันมืดมาก แทบไม่เห็นอะไรเลย เห็นแค่ไฟฉาย 2 กระบอก สาดไปมาในความมืด หยาดก็ถามยอดว่า “โจรหรอๆ” แต่ยอดไม่ตอบ บอกว่าอย่าออกมา ระหว่างที่หยาดกำลังกล้าๆกลัวๆ ปนสงสัยอยู่ อยู่ นั่นเอง จู่ๆ ไฟจากไฟฉายก็ส่องไปเจอเงาๆนึง หยาดบอกว่าเห็นไม่ชัด แต่เป็นคนแน่ๆ เป็น ผู้หญิง ใส่เสื้อสีดำ ยืนนิ่งอยู่ในความมืด อยู่ไกล ออกไปหลายสิบเมตร


พอไฟฉายส่องเจอเงาคนปุ๊บ ยักษ์ไม่ถงไม่ถามสุขภาพสักคำ ซัดตูมด้วยลูกซองเลย หยาดปิดหูร้องกรี๊ดลงไปนั่งกับพื้น แล้วตะโกนถามยักษ์ เห้ย ยิงทำไมนั่นแย้มรึเปล่า!! ยักษ์ตอบ กลับมาว่า เงียบๆ! อยู่ตรงนี้นิ่งๆ ห้ามออกไปไหน เสร็จแล้ว ยักษ์ ยศ ยอด 3 คนก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตรงจุดที่เห็นเงาคนเมื่อสักครู่ หยาดเห็นแค่แสงไฟ วับๆอยู่ไกลๆ เห็นทั้ง 3 คน เดินวนไปมา ได้ยินเสียงบ่นอยู่ไกลๆว่า “ไปไหนวะ” วนอยู่สักพักก็เดินกลับมา หยาดก็ตกใจถามว่า แย้มรึเปล่า? ยักษ์คงเดือดๆอยู่ เลยดุหยาดว่า เงียบๆ อย่าเพิ่งถามอะไรได้ปะ? แล้วก็เดินเข้าไปในบ้านเอากระสุนปืนยัดใส่กระเป๋ากำนึง แล้วบอกให้ยศเดินไปด้วย ทั้ง 2 คนเดิน ลุยกลับเข้าไปในความมืดต่อ หยาดงงไปหมด น้ำตาซึมๆ ยอดเลยมานั่งข้างๆ แล้วบอกว่าไม่มีอะไรๆ หยาดจึงบอกกลับไปว่า “ไม่มีได้ไง! มีอะไรก็บอกมาสิ แล้วเมื่อกี้ยิงอะไร ยิงใคร เกิดเป็นแย้มจะทำไง?” ยอดเลยเอาไฟฉายส่องไปข้างๆบ้าน ใกล้ๆกอต้นไผ่ ตรงนั้นแย้มนั่งอยู่ แย้มเหมือนนั่งหลับอยู่ เหมือนละเมอแล้วมานั่งหลับตรงนี้ หยาดเข้าไปปลุกแล้วเขย่าแรงๆจนแย้ม ตื่น พอตื่นปุ๊บ แย้มร้องโอ้ยแบบทรมานมาก บอกว่าปวดเมื่อย และปวดท้องมาก ยักษ์เดินเข้ามาดู


บอกให้พากลับเข้าไปในบ้าน 2 คนช่วยประคองแย้มกลับมาที่ห้อง พอได้ยินเสียงคน ยี่ก็โผล่ออกมา จากตู้เสื้อผ้า เข้าไปถามหยาดว่า มีอะไรกัน แย้มเป็นอะไร? หยาดก็กำลังจะเล่า แต่ยอดสั่นหัวไม่ให้เล่า บอกให้พาแย้มไปนอน ยี่ก็ถามแย้มเป็น อะไร แย้มก็ตอบแบบปกติไม่ก้าวร้าว แบบปกติ แบบที่เป็นตัวเอง ว่าเจ็บท้อง เสร็จแล้ว หยาดกับยอดก็เดินออกมานอกห้อง หยาดก็ถามต่อ มันเกิดอะไรขึ้น อยากรู้ ยอดก็เริ่มเล่า ว่า นั่งคุยกับยักษ์, ยศ ว่าแย้มดูแปลกๆ ไม่ค่อยพูดจา พูดก้าวร้าว วันๆเอาแต่นอน แล้วช่วงที่ยักษ์ ไม่อยู่ ก็มีเสียงอะไรแปลกๆทุกคืน ยักษ์บอกว่ารู้สึกเหมือนกัน เดี๋ยวคืนนี้ลองนั่งดูสิว่าจะมีอะไรรึ เปล่า ทั้ง 3 คนก็นั่งรอ จน ยอดกับยศหลับไป จนยักษ์มาปลุก บอกว่า นั่งสูบบุหรี่อยู่ กำลังจะหลับ เห็น แย้มเดินออกไปทางหลังบ้าน ทั้ง 3 คนก็เดินตามออกไป พอไปถึงประตูกำลังจะเปิด ก็ได้ยินเสียง สวบ สวบ เหมือนใครเหยียบใบไม้อยู่ ดังมาจากหลังบ้าน ยักษ์เดินไปหยิบปืน แล้วเปิดประตูออกไป ไฟส่องไปทางต้นเสียง ด้านนอกมีแต่ความมืด ส่องกันครู่นึง ก็เห็นแย้มยืนหันหลัง โงนเงนไปมา


พอยักษ์ส่งเสียงเรียกออกไป แย้มหันกลับมามองแว๊บเดียวก็ล้มพับไปเลย ยศจึงเข้าปลุกและเรียก แย้ม แต่ไม่ตื่น นั้นชั่วอึดใจเดียวหลังจากจับแย้มนั่งพิงกอไผ่ ก็มีเสียงแปลกๆ เหมือนคนโหยหวน อะไรสักอย่าง “ธี่หยด” ดังลอยมาจากด้านหลังกอไผ่ ซึ่งเป็นแปลงผักโล่งๆ ทั้ง 2 คนเลยส่องไฟไป ทางเสียง ก็เห็นมีเงาคนยืนอยู่ลิบๆ ไม่ใกล้ไม่ไกล พอไฟส่องชัดๆก็ รู้ว่าเป็นผู้หญิง ใส่เสื้อเข้มๆ ยืนยิ้มอยู่ ยักษ์เลยยิงปืนขึ้นฟ้าไป 1 นัด แต่ผู้หญิงคน นั้นก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับและยิ้มๆ เหมือนเดิม คราวนี้ยักษ์เลยยิงใส่ไปอีก 1 นัด แต่ก็แว๊บหายไป แล้วครู่นึง หยาดถามต่อว่าแล้วไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยหรอ? ยอดบอกว่า ตอนไปถึงไม่มี แต่ก่อนหน้านี้มีแน่ เพราะมีรอยเท้า (เปล่า) ใหม่ๆยืนย่ำอยู่บนแปลงผัก หยาดเริ่มใจไม่ดี ในใจคิดว่าผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนผู้หญิงเสื้อดำที่ยืนอยู่ข้างศาลไม้เก่าๆ ที่เคยเจอ ระหว่างทางไปโรงเรียนเมื่อหลายวันก่อน


ก็บอกยอดไปว่า เคยเห็นผู้หญิงคนนึง ลักษณะคล้ายๆกับผู้หญิงคนเมื่อกี้ตอนไปโรงเรียน ยอดก็ถาม ว่าเห็นที่ไหน หยาดก็เล่าเรื่องวันนั้นให้ฟังว่าไปเจอได้ยังไง และเจอที่ไหน ยอดฟังก็ดูตกใจเล็กน้อย แล้วก็บอกว่า ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า แต่ห้ามเล่าเรื่องนี้ให้ยักษ์ฟัง เพราะแกมีนิสัยนักเลง โผง ผาง ไม่กลัวใคร เผลอๆหงุดหงิด ไปพังศาลเข้าจะไม่ดี จะมีปัญหากับชาวบ้านแถวนั้นด้วย จนสักพักใหญ่ๆ ยักษ์กับยศก็เดินกลับมา แต่ก็ไม่เล่าอะไรให้ฟัง ไล่ให้ไปนอน หยาดเห็นพี่ๆ 3 คน ยืนคุยกัน อีกพัก จึงแยกย้ายกันไปนอน คืนนั้นทั้งคืนจนเช้า แย้มร้องครวญว่าเจ็บท้อง จนใกล้ๆสว่าง ยักษ์กับยศจึงขับรถออกไปตามหมอ ยาคนเดิมอีกครั้ง และพักเดียวพ่อกับแม่ก็กลับมาบ้าน ยอดเลยเดินเข้าไปเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง แต่ ดูพ่อไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้ แต่แม่ดูค่อนข้างจะเชื่อ จนช่วงสายๆ พ่อกับยอดก็ออกไปทำสวน ในบ้านเหลือแม่ , หยาด , ยี่ คอยดูแลแย้มซึ่งยังนอนปวด ท้อง แล้วอยู่ๆก็มีญาติของแม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเดินเข้ามาบอกมาเยี่ยม แม่ก็ไปหลังบ้านหาน้ำหาท่า มาให้กิน ช่วงขณะนั้นเอง


หญิงแก่คนเดิมคนนั้น ซึ่งเดินแฝงมากับญาติๆ ก็เดินเข้ามาในบ้าน เดินไปจนถึงหน้าห้องนอนของ หยาดกับแย้ม แล้วหยาดกับแม่ก็ได้ยินเสียงแย้ม ร้องกรี๊ดดังมาก แม่รีบวิ่งกลับมาดูว่าลูกสาวเป็น อะไร เห็นหญิงแก่คนนั้นยืนอยู่ในห้องก็ตกใจมาก หยิบขันน้ำปาใส่ แล้วตะโกนด่าว่า “มึงมาทำไม มึงออกไปจากบ้านกูเดี๋ยวนี้นะ” หญิงแก่คนนั้นหันกลับมามอง แล้วยิ้ม แล้วก็เดินกลับออกไป แม่วิ่งเข้าไปดูแย้ม แต่ตอนนี้แย้มหลับไปแล้ว ญาติก็ถามว่ามีอะไร แม่ก็ไม่เล่า ส่วนหยาดก็ไม่รู้จะเล่ายังไง สักพักช่วงบ่ายๆ พ่อกับยอดก็กลับเข้ามากินข้าวที่บ้าน แม่ก็เข้าไปคุยกับพ่อว่าผู้หญิงแก่คนนั้นมา บ้านอีกแล้ว พ่อไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้นักก็บอกว่า ช่างเถอะไม่เป็นไร แต่คราวหน้าดูหน่อยละกัน เวลาใครมาบ้าน ระหว่างที่คุยกันอยู่ ยักษ์กับยศก็ขับรถกลับมาถึงบ้านพอดี โดยพาหมอยาคนเดิม มาด้วย หมอถามว่าอาการยังไม่ดีขึ้นใช่มั้ย แม่เล่าว่า ค่อยยังชั่วหลายวันแล้ว เพิ่งจะมากำเริบเมื่อคืน ก็ลง ความเห็นกันว่า คงต้องพาไปโรงพยายาลในตัวจังหวัด (ซึ่งไกลมาก) แม่ , หยาด , ยศและหมอยาก็ เดินเข้าไปดูอาการแย้ม


เข้าไปถึงแย้มนอนลืมตาอยู่แล้ว หมอยาจึงถามว่าเป็นยังไงบ้างแย้ม ยังไม่ดีขึ้นเรอะ? แต่คำตอบที่แย้มตอบ แย้มตอบหมอยาไปว่า “ กูไม่ใช่ e แย้ม ไอ้(สั...) ไอ้หมอ(เหี้...) เสือกยุ่งกับกูจริงๆ เดี๋ยวกูจะแดกให้หมด” หลังจากนั้นแย้มก็หัวเราะไม่หยุด แม่ก็บอกเป็นอะไร เป็นบ้าหรอ แย้มก็ไม่ตอบหัวเราะอย่างเดียว หมอยาก็ถามกลับไปว่า มึงอี xx ใช่มั้ย? แย้มหันมามองหมอยาแว๊บเดียว ไม่ตอบแล้วก็หลับไป แม่ พยามปลุกก็ไม่ตื่น ระหว่างนั้นยักษ์ก็เดินเข้ามาถามว่าเอ๊ะ!อะไรกัน หมอยาจึงพายักษ์กับพ่อเดินไปคุยกันข้างนอก ตอนนั้นแม่ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน แต่ตอนหลังยักษ์มาเล่าให้ฟังว่า หมอยาสงสัยว่าแย้มจะโดนปอบกิน อยู่ เป็นผู้หญิงแก่ที่ชื่อ xx อาศัยอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ คนที่เคยเจอก่อนหน้านี้จำได้มั้ย พ่อก็ยังไม่ค่อยเชื่อ แต่ยักษ์ก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้หมอยากับพ่อฟังว่าเจอผู้หญิงคนนึงเหมือนกัน เมื่อคืนแต่ไม่ใช่คนแก่ เป็นผู้หญิงวัยกลางคน หมอยาได้ฟังก็ขนลุก หน้าซีด และเล่าว่า เคยได้ยินคนเล่าอยู่เรื่องแบบนี้อยู่ เหมือนกัน ผู้หญิงเสื้อดำว่าเป็นอะไรที่น่ากลัว เป็นผีก็ไม่ใช่ปอบก็ไม่เชิง รู้แค่ว่าได้ยินเรื่องหญิงเสื้อ ดำคนนี้มานานแล้ว


ส่วนหญิงแก่คนนั้นที่เล่นของมากจนสติไม่ดี ปกติจะอาศัยอยู่เงียบๆ สงบๆ ไม่ค่อยพบเจอใคร ถ้า เป็นคนปกติไปเจอก็เหมือนเจอคนแก่ทั่วไป แต่ถ้าใครที่ป่วยแล้วจิตอ่อนแอ ไม่สบายจะถือว่าเป็น อันตรายมาก คิดว่าแย้มคงโดนเข้าแล้ว พอดีแม่เข้ามาได้ยินก็ร้องไห้ บอกว่าเป็นเรื่องจริงหรอหมอ? หมอกับพ่อก็ปลอบว่า แค่เดาๆ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ยักษ์เห็นแม่ร้องไห้ก็โมโห ถามว่าหมอยาว่า “บ้านมันอยู่ไหน กูจะไปกระทืบถึงบ้านเลย” หมอยาก็บอกว่าอย่าเลย ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า ก็แค่เดาเอา ไปทำร้ายแบบนั้นเดี๋ยวก็ซวยเข้าซังเตกัน หมดพอดี แต่ช้าไปแล้ว ยักษ์เดินไปหยิบไม้หน้าสามมาอัน บอก “ไม่มีอะไรหรอก...ไปหมอพาไปบ้านมันหน่อยสิ จะไปถามหน่อยว่าเป็น ha อะไรมากรึเปล่า? ชอบมาป่วนเปี้ยนบ้านกูเนี่ย” พ่อกับแม่ก็ห้าม แต่ยักษ์ หมอยากับยศเดินออกไปแล้ว แล้วตะโกนมาว่า “ไม่มีอะไรหรอกแม่ ไปคุยเฉยๆ”


ระหว่างนั้น หยาด พ่อแม่ ยี่ (ซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่อง) ยอดก็รออยู่บ้าน ประมาณ 1 ชม. ยักษ์กับหมอยาก็ กลับมา พ่อกับแม่ก็ถามว่าเป็นยังไง เจอมั้ย? ยักษ์ก็บอกว่าเจอ มีคนอยู่ที่บ้าน 2-3คน ลูกๆหลานๆ มันมั้ง แม่ก็ตกใจบอกมีเรื่องกันรึเปล่า? ยักษ์บอกว่า “ เปล่า... ไม่ได้มีเรื่อง จะไปมีได้ไง คนที่บ้านมันบอกว่า มันเพิ่งจะตายไปเมื่อสัก ชม.ก่อนนี่เอง ” บ้านของหญิงแก่อยู่ลึกเข้าไปในดงสน ตั้งอยู่เดี่ยวๆ ห่างไกลจากบ้านคน หมอยาก็เล่าให้ฟังว่า พอ ไปถึงก็มีเสียงเอะอะกันอยู่ในบ้าน พอเข้าไปก็เห็นหญิงแก่คนนั้นนอนอยู่บนแคร่ไม้ โดยมีผ้าขาวผืน เล็กปิดหน้า หมอยาก็เลยถามคนในบ้านว่าแกเป็นอะไร ชายและหญิงที่อยู่ในบ้านก็บอกว่าเป็นหลานของหญิงแก่คนนี้ ทุกวันตอนเที่ยงจะเอาข้าวมาส่ง แต่ วันนี้มาช้า พอเข้ามาถึงบ้านก็ตกใจ เพราะเห็นป้านอนคว่ำหน้าอยู่ตรงประตู ก็ช่วยกันดูสรุปว่าเสียชีวิตไปแล้ว ชายหญิงคู่นั้นยังบอกอีกว่า ช่วงที่ป้าตัวเองใกล้เสียคงทรมานมาก เพราะรอบๆ ตัวเต็มไปด้วยรอย เล็บที่ขูดพื้นดินจนลึก หลังจากคุยกันได้สักพัก ฝ่ายยักษ์ก็ขอตัวกลับมานี่ละ หมอยาเล่าจบก็ถามพ่อว่าจะเอายังไง พ่อก็บอกว่าวันนี้เย็นมากแล้วคงต้องรอพรุ่งนี้เช้าถึงจะพา แย้มไปโรงพยาบาลในตัวจังหวัดได้


เมื่อสรุปตามนี้ยศก็ขับรถพาหมอยากลับ แต่ก่อนกลับหมอสั่งว่าอย่าให้แย้มไปไหนเด็ดขาด ให้ นอนคนเดียวและเฝ้าไว้ให้ดีบางทีแย้มอาจจะเป็นโรคอะไรสักอย่างก็ได้ เคลื่อนไหวมากๆเดี๋ยวจะ ยิ่งทรุด พรุ่งนี้ไปตรวจอาการก็คงรู้ แต่หยาดยืนฟังอยู่ใกล้ๆ ก็รู้ว่ามันไม่ใช่โรคเจ็บไข้ได้ป่วย มันเป็นอะไรที่ลี้ลับกว่านั้น ช่วงเย็นตอนกิน ข้าว แม่ก็เอากับข้าวไปให้แย้ม แต่แย้มยังหลับอยู่ แม่ก็นั่งเฝ้าน้ำตาซึม พร่ำเรียกชื่อว่า แย้มเอ้ย เป็นอะไรลูก ตื่นมากินข้าวกินปลาหน่อยมั้ย แต่ทุกอย่างก็เงียบ คืนนี้หยาดกับยี่ก็ไปนอนกับยอด ส่วนยศกับยักษ์นั่งสูบบุหรี่คุยกันตรงโถงกลางบ้าน หยาดหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ก็ได้ยินเสียงนาฬิกากลางบ้านตีบอกเวลาราวตี 1 หยาดมองออกไป นอกห้อง (นอนไม่ปิดประตู) ตรงโต๊ะกลางบ้านมีไฟสลัวๆอยู่ เห็นยักษ์นอนฟุบอยู่ ใกล้ๆยศนั่ง สัปหงกเช่นกัน อึดใจเดียวหยาดก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเบาๆดัง แอ๊ดดดดดดด……. ตามด้วยเสียง คนเดินกระทืบเท้า ตึกๆๆ หยาดกลัวมากตอนนั้น ร้องก็ไม่มีเสียง ได้แต่จ้องไปด้านนอกห้อง สักพัก ก็มีคนเดินมาตรงโต๊ะกลาง แย้มนั้นเอง แย้มยืนโงนเงนมองยักษ์ กับยศ ซึ่งนั่งหลับอยู่ครู่ ก็เดินเลย ไปทางหลังบ้าน จนลับตาหยาด ได้ยินเพียงแต่เสียง แอ๊ดดด เบาๆอีกรอบ ตามด้วยเสียงประตูปิด


พอเสียงประตูเงียบไปสักพัก หยาดก็รีบปลุกยอด กว่าจะตื่นก็กินเวลาไปนานโข แต่ยอดที่งัวเงียอยู่ แทบจะตื่นทันทีเพราะเสียงเย็นเยียบ ลอยมาเบาๆ “ธี่…….หยดดดดด ธี่ หยดดดดดด ธี่.........หยดดดดด” ยอดผุดลุกจากเตียงตรงไปปลุกยักษ์กับยศ ทั้ง 2 ตื่นมาก็รู้แทบจะทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเสียง นั่นยังลอยโหยหวนชวนสยอง ยักษ์ไม่พูดอะไรหยิบปืนลูกซองกระบอกเดิมออกมา แล้วสั่งเบาๆให้หยาดกลับเข้าไปนอนแล้วล็อคประตูห้อง ปิดหน้าต่างปิดม่านให้หมด ได้ยินเสียง อะไรห้ามออกมาจากห้องเด็ดขาด หยาดอยากตามไปดูมาก แต่ก็กลัวยักษ์มากเหมือนกัน จึงจำใจต้องกลับเข้าห้องล็อคกลอนตาม คำสั่ง หลังจากนั้นหยาดก็เข้าไปนั่งในมุ้ง นอนชิดกับยี่ ซึ่งหลับไม่รู้เรื่อง ก็พอได้ยินพี่ๆ ทั้ง 3 คนเดินไป ทางหลังบ้านทางเดียวกับที่แย้มเดินลับไป เสียงนั่นยังดังเอื่อยๆ เป็นระยะ สลับกับเสียงหมาหอน ดังระงมไปหมด หยาดเงี่ยหูฟัง ในความวังเวงนั่นเอง แล้วหยาดก็ได้ยินเสียงชุลมุนด้านนอก และตามด้วยเสียงยักษ์ตะโกนดังลั่นกลบเสียงหมาหอน และ กลบเสียงประหลาดนั้นด้วย


“ กูไม่กลัวมึงหรอก แน่จริงมึงออกมา กูจะยิงแม่งให้ตายอีกรอบเลย ออกมาสิวะ!” สิ้นเสียงยักษ์ หยาดได้ยินอีกเสียงหนึ่งดังลอยมาไกลๆ ไม่ใช่เสียงประหลาด เป็นเสียงที่ไม่คุ้นหู ฟังแล้วขนลุกไป ทั้งตัว เสียงผู้หญิงหัวเราะ... เสียงนั่นดังแว๊บเดียว ทุกอย่างก็เงียบ สักพักหยาดได้ยิน พ่อกับแม่ตื่นขึ้นมา แล้ววิ่งออกไปหลังบ้าน ได้ยินเสียงคุยกันว่า เกิดอะไรขึ้น แล้วพ่อก็ดุยักษ์ว่า เอาปืนออกมาทำไม มีอะไรกัน โจรขึ้นบ้านหรอ หลังจากนั้นก็เริ่มทะเลาะกัน หยาดได้ยินยักษ์บอกว่า “พ่อไม่รู้อะไรหรอก รู้มั้ยว่าตอนเนี่ยในบ้านมันแปลกๆ ตั้งแต่แย้มไม่สบายเนี่ย กลางดึกมันจะเดิน ออกมาพึมพำ บ้าบอทุกคืน วันๆพ่อก็ทำแต่งาน รู้มั้ยน้องๆมันกลัวกันแค่ไหน”


หลังจากนั้นก็ทะเลาะกันเสียงดังขึ้น พ่อก็บอกว่างมงาย ไร้สาระ ผีเพ่อมีจริงที่ไหน ระหว่างที่เถียง กันอยู่ แม่ก็ถามว่าแล้วแย้มอยู่ไหน? ยศก็บอกว่ายังไม่เจอ แม่กับยอดก็ตะโกนเรียก ยักษ์กับยศกำ เดินฝ่าความมืดออกไปทางแปลงผักเดิม ยักษ์ก็คะนอง ตะโกนท้าทายว่า “มึงออกมาสิวะ e-ha แน่จริงมึงออกมา” แม่ได้ยินก็ตกใจร้องว่า ไปท้าทายแบบนั้นได้ยังไง เงียบเลยนะ ยักษ์ก็บอกว่า “ไม่กลัวหรอกแม่ คนเยอะแยะ แน่จริงมึงออกมา พวกกูไปทำอะไรให้หนักหนาเสือกมายุ่งกับ ครอบครัวกูมึงออกมา!” แค่นั้นละ ทุกคนรวมหยาดที่นั่งอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงโครม! เสียงดังมาก เหมือนใครเอาก้อนดิน ก้อนปาลงมาบนหลังคาบ้าน หยาดตกใจมาก แต่คนที่ตกใจกว่าอยู่นอกบ้าน หยาดได้ยินแม่บอกว่า “แม่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปท้าทาย!! บอกแล้วใช่มั้ย เงียบเลยนะหยุดๆ” แต่ยักษ์คงโมโห ถึงไม่ตะโกน แต่ก็สบถ ออกมา “แม๊ง...จะเอาไงกับกูวะ” แม่ก็ดุว่า หยุดๆ! ห้ามทัก! ห้ามท้า! พูดยังไม่ทันขาดคำ


เสียงใครปาอะไรสักอย่างลงบนหลังคาบ้าน ดังโครม! อีกรอบ เท่านั้นละเสียงปืนลูกซองดังเปรี้ยง! กลบเสียงอื่นๆไปจนหมด นอกบ้านชุลมุนอีก ทั้งพ่อทั้งแม่ ด่ายักษ์ยกใหญ่ บอกยิงทำไม บ้าหรอ ชาวบ้านชาวช่องเค้าตกใจ กันหมด ตอนนั้นนั่นเอง… ทุกคนก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องวี๊ดออกมา แม่จำได้ว่าเป็นเสียงแย้ม ก็ตะโกนหากัน เดินหากันชั่วครู่... หยาดก็ได้ยินเสียงยอดดังมาว่า “นั่นแย้มอยู่นั่น เห้ย! เข้าไปทำอะไรในนั้นวะ!?” แล้วก็ได้ยินเสียงแม่ร้องสั่งยอดว่าให้เข้าไปอุ้มแย้มออกมา หยาดยังนั่งอยู่ในห้องอยากจะออกไปแต่ก็กลัว ได้ยินเสียงด้านนอกเป็นระยะ ได้ยินเสียงยศกับยอด ว่า “เห้ย แย้ม เข้าไปในนั้นทำไมวะ เข้าไปได้ไง?” หยาดตัดสินใจจะตามออกไปดูว่ามีอะไรข้างนอกกันแน่ แต่ยังไม่ทันลงจากเตียง ดันมีเสียงเบาๆเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา เป็นเสียงใครบางคนเคาะประตู ห้องนอนเบาๆ


ก๊อก......ก๊อก.....ก๊อก หยาดชะงักกึก! เสียงเคาะประตูดังอีกรอบ ก๊อก.....ก๊อก.....ก๊อก หยาดเงียบไม่กล้าส่งเสียงในใจคิด ใคร? ทุกคนก็อยู่นอกบ้านกันหมด หรือกลับเข้ามาแล้ว? แต่ยังได้ยินเสียงเอะอะด้านนอกอยู่เลย ยี่ก็นอนหลับอยู่ข้างๆ หยาดก็ก้าวลงจากเตียงช้าๆ ถามว่าใครน่ะ? เงียบไปอึดใจเดียว เสียงเย็นๆ เสียงหนึ่งตอบกลับมาว่า “ xx……. เปิดประตูให้หน่อยย” หยาดทั้งงงทั้งกลัว เพราะเสียงนั่นเป็นเสียงแย้ม... เสียงเคาะประตูดังอีกรอบ ก๊อก ก๊อก ก๊อก “ xx……. เปิดประตูให้หน่อยย” หยาดกล้าๆกลัวๆ ถามไปเบาๆว่า แย้มหรอ? แต่ปลายเสียงไม่ตอบ กลับพูดเหมือนเดิม “ xx……. เปิดประตูให้หน่อยย” เป็นรอบที่ 3 ใจก็คิดว่าคงเป็นน้องตัวเอง เอื้อมมือไปกำลังเปิดกลอน ก็นึกได้ว่า... หยาดนึกขึ้นได้ว่านานมาแล้ว ตอนสัก 10 ขวบ แม่เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนตำบลใกล้ๆมีเรื่อง แปลกๆที่ลือกันว่า มีผีผู้หญิงชอบออกมาป้วนเปี้ยนตอนดึกๆ และจะเกิดเรื่องว่า วัยรุ่น หรือเด็ก เล็กๆ หายไปจากบ้านตอนกลางคืน โดยทุกเหตุการณ์จะเล่าคล้ายๆกันคือ จะมีเสียงคนรู้จักมาเคาะประตูบ้าน และเรียกชื่อคนที่อยู่ใน บ้าน 3 ครั้ง


คนที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นเดินไปเปิดประตูให้ ก็เดินหายไปในความมืดและไม่ได้กลับมาอีกเลย ส่วนคนที่ รอดมาได้ก็มาเล่าให้ฟังว่า เหมือนฝัน ได้ยินเสียงคนรู้จักมาเคาะประตูหน้าบ้านตอนกลางคืน ก็เดิน ออกไปเปิดประตู เห็นผู้หญิงคนนึงยืนอยู่ลิบๆ คนที่เล่าฝันว่ากำลังเดินไปหาผู้หญิงคนนั้น พอดีมีคนในบ้านอีกคนตื่นขึ้นมาแล้วตะโกนมาว่า ออกมาทำอะไร ละเมอหรอ คนที่เล่าก็ได้สติ พบว่าไม่ได้ฝัน ตัวเองยืนอยู่หน้าบ้านจริงๆ แม่ก็เลยบอกว่า ถ้ามีใครมาเคาะเรียก 3 ครั้งตอนกลางคืน ห้ามเปิด เพราะใครที่ไหนมาบ้านจะมา เคาะประตูเบาๆ เนิบๆ พร้อมเรียกแค่ 3 ครั้ง (ในใจคิดว่าแม่ขู่) ถึงตอนนี้หยาด ไม่รู้อะไรดลใจ หรือเก็บกดกับเรื่องนี้มาหลายวัน หยาดตะโกนด่าไปว่า “ อีผีบ้า! จะไปไหนก็ไป อย่ามาแถวนี้!” ไม่มีเสียงตอบกลับ มีแต่เสียงหัวเราะเย็นๆ เบาๆ แล้วหยาดก็ร้องเสียงดังว่า “แม่ช่วยด้วย!!”


จากนั้นก็มีเสียงเอะอะ มีเสียงคนวิ่งเข้ามา แม่เข้าถึงคนแรก ทุบประตูดัง โครมคราม ถามว่า หยาด มีอะไร เปิดประตูสิ พ่อก็บอกเปิดประตูๆ หยาดก็เปิดประตูออกมา กอดแม่ร้องไห้อย่างเดียว ยักษ์ เดินเข้ามาถาม มีอะไร? เกิดอะไรขึ้น หยาดก็เล่าว่าแย้มมาเคาะประตูห้อง คนในบ้านก็งงกันหมด เพราะยศ เพิ่งจะอุ้มแย้มเดินตามกัน เข้ามา แม่ก็บอกหูฝาดไป ไม่มีอะไรๆ แต่หยาดก็ยืนยันว่าได้ยินจริงๆ (ด่าด้วย) หยาดก็ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เชื่อรึเปล่า แต่สองคนนั้นก็บอกว่าหูแว่วไปเอง แต่คนที่เชื่อคือยักษ์ เพราะ ออกอาการโมโหมาก ตอนนั้นเวลาประมาณตี 3 ยักษ์ก็เดินไปเอากุญแจรถ บอกให้ยศกับยอดดูพ่อ , แม่และน้องๆไว้ เดี๋ยวสายๆกลับมา พ่อกับแม่ถาม จะไปไหน ยักษ์ก็ไม่บอก บอกแค่ว่าเดี๋ยวกลับมาตอนเช้า แล้ว ยักษ์ก็ขับรถออกไป ส่วนคนที่เหลือก็ไม่เป็นอันทำอะไร นอนไม่หลับ และแย้มเองก็เหมือนคนปกติ ที่นอนหลับอยู่ ช่วงเช้าวันต่อมา หยาดกับยี่ก็ช่วยกันหุงหาอาหารปกติ แม่ก็นั่งดูอาการแย้มซึ่งก็ยังทรงๆอยู่ พ่อกับ ยศก็ออกไปทำงานอยู่ใกล้ๆบ้าน เพราะห่วงลูกสาวที่อาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ ส่วนยอดก็ออกไปนั่งรอ ยักษ์ที่ม้าหินไม้หน้าบ้าน จนแดดแรงราว 8 โมง


พ่อกับยศก็กลับมาบ้าน ก็บ่นๆว่ายักษ์ยังไม่กลับมาหรอ สายป่านนี้แล้ว กว่าจะตีรถเข้าตัวจังหวัด อีกหลาย ชม. เดี๋ยวก็ไม่ได้ไปกันพอดี แล้วก็ถามแม่ว่าแย้มเป็นยังไงบ้าง แม่ก็บอกว่าสีหน้าก็ดูปกติ แต่ถามคุยอะไรไปก็บอกว่าเพลีย อยากนอนอย่างเดียว ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน พ่อก็เลยเดินเข้าไปดูอาการ ถามว่าเป็นยังไง ก็ได้ ยินเสียงแว่วๆของแย้ม บอกว่าจะนอน เพลีย พ่อก็โมโห บอกว่า เป็นอะไรนักหนา ค่อยยังชั่วหรือเป็นอะไรก็บอกมาสิ เอาแต่นอนไม่พูดไม่จาอยู่ได้ งานการไม่ทำ เริ่มทะเลาะกันดังขึ้น สุดท้ายแย้มก็ตะโกนมาว่า “อย่ามายุ่งกับกูได้มั้ย!!?” พ่อได้ยินแบบนั้นก็โมโหมาก บอกว่า พูด แบบนี้ได้ไง ไม่มีใครสั่งสอนรึไง แล้วตีแย้ม แย้มโดนตีก็ร้องกรี๊ดด เสียงดัง แม่ก็เข้าไปห้ามบอกว่าลูกไม่สบายอยู่ ก็ปล่อยให้นอนพัก ไปก่อนสิ พ่อโมโหมากเดินออกไปนอกบ้าน หยาดก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนฟัง เสียงกรี๊ดของแย้ม


รอจนเกือบเที่ยง หยาดก็ได้ยินเสียงรถขับมาจอดหน้าบ้าน หยาดรีบวิ่งออกไปดู สิ่งแรกที่เห็นคือ รถกระบะจอดอยู่ โดยกระจกหน้ารถมีรอยร้าวใหญ่มาก แล้วก็เห็นหมอยาคนเดิมมากับยักษ์ด้วย หยาดเดินเข้าไปก็ได้ยินยศคุยกับยักษ์ “รถไปโดนอะไรมา” ยักษ์ตอบไปว่า “ ก็เมื่อคืนตอนที่กูขับรถออกมา พอออกจากไร่ได้แป๊บเดียว พอเลี้ยวโค้ง อยู่ๆไม่รู้ใครปาก้อนดิน ใส่กระจกหน้า สงสัยอีนั่นมั้ง ดีนะเป็นก้อนดิน ถ้าเป็นก้อนหินกูซวยแน่" พูดจบยักษ์ก็บอกให้ยศกับยอดไหว้ชายสูงอายุคนนึงที่มาด้วยกัน ชายผมขาว ใส่เสื้อคอเต่าสีขาว ติดกระดุมถึงเม็ดบนสุด เป็นชายสูงวัยที่ดูสุภาพและท่าทางใจดี ชายคนดังกล่าวยิ้มน้อยๆให้กับทุกคน รวมหยาดด้วย ยักษ์แนะนำให้ชายคนนั้นรู้จักพ่อและแม่ เสร็จแล้วชายแก่คนดังกล่าวก็เดินดูรอบๆบ้าน (สมมุติว่าชื่อพุฒิ) เดินไปจนถึงหลังบ้าน ลุงพุฒิก็เดิน วนไปวนมาเดินเลยไปถึงแปลงผักหลังบ้าน แล้วก็ส่ายหัวน้อยๆ ยักษ์กับแม่ถามว่ามีอะไร ลุงพุฒิบอกว่า ก็ไม่แน่ใจ แต่ไม่ค่อยดี ได้กลิ่นแปลกๆกันมั้ย?


หยาดที่เดินไปด้วยก็พยามดมกลิ่น แต่ไม่ได้กลิ่นอะไร ทุกคนก็ไม่ได้กลิ่น แล้วยักษ์ก็พาลุงพุฒิเข้าไปในบ้าน ลุงพุฒิก็เดินดูโน่นนี่ไปเรื่อย และก็เดินเข้าไปห้องแย้ม ไปถึงแย้ม ก็นอนลืมตาอยู่ก่อนแล้ว พอแย้มเห็นยักษ์ หยาดบอกว่าเห็นแย้มยิ้มแว๊บนึง แว๊บเดียว แต่พอ เหลือบไปเห็นลุงพุฒิหน้าแย้มกลับบึ้งขึ้นมาทันที ลุงพุฒิเดินเข้าไปใกล้ๆ พูดทักทายว่า ชื่อแย้มใช่มั้ยเป็นยังไงบ้าง? แย้มไม่ตอบนอนจ้องหน้าลุงพุฒินิ่ง ส่วนด้านหลัง หมอยาก็ยืนคุยกระซิบกระซาบกับยักษ์อยู่ ถัดไป เป็นแม่กับพ่อ ส่วนหยาดยืนหลังสุด ลุงพุฒิก็พูดราบเรียบแบบสุภาพต่อ “ทุกคนเค้าเป็นห่วงนะ เนี่ยพ่อแม่เค้าก็กังวลกันอยู่ เป็นอะไรก็บอกลุง” ลุงพุฒิเอื้อมมือจะไปแตะหน้าผาก แต่แย้มขยับหนี ลุงพุฒิก็พูดต่อ “ไม่ต้องกลัว ลุงไม่ได้มาทำร้าย หนูได้ยินลุงมั้ย?” แย้มก็ไม่ตอบ นอนจ้องหน้าลุงพุฒิเขม็ง นิ่งกันไปชั่วอึดใจ ลุงพุฒิก็ถามต่อ “จะออกหรือไม่ออก?”


แย้มได้ยินก็ตอบกลับไปว่า “ลุงพูดอะไร หนูไม่รู้เรื่อง” ลุงพุฒิก็พูดต่อว่า “ทางใครทางมันเถอะ นี่ก็ทำร้ายกันมามากแล้วสงสารเด็กมันนะ” แต่แย้มก็ตอบเหมือนเดิม “ลุงพูดอะไร หนูไม่รู้เรื่อง” แต่ท่าทางที่แย้มแสดงออกไม่ใช่ลักษณะของคนไม่ประสา แต่เป็นลักษณะของการท้าทายมากกว่า ลุงพุฒิถอนหายใจ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบตลับกลมๆขนาดเท่าเหรียญสิบ เปิดฝาออก ด้านในเป็นสีผึ้งสีขาวๆคล้ำ ลุงพุฒิป้ายสีผึ้งด้วยนิ้วโป้ง แล้วแปะไปบนหน้าผากของแย้ม ทันทีที่แย้มโดนสีผึ้งก็ไม่มีอาการกรี๊ดร้องเหมือนในละคร แต่จะมีอาการชักๆ เกร็งๆ แย้มเกร็งๆสัก พักก็ร้องเบาๆ แม่ช่วยหนูด้วย หนูกลัวลุงคนนี้ แม่ได้ยินก็จะเดินเข้าไปหา แต่ยักษ์ดึงไว้ แย้มก็เกร็งยิ่งขึ้น มือไม้งอ ก็ร้องอีกว่า แม่ช่วยหนูด้วย หนูกลัว แม่ก็สะบัดมือยักษ์ บอกพอแล้วๆ สงสารแย้ม แล้วก็เดินเข้าไปลูบหน้าลูบตาบอกไม่เป็นไรแล้วๆ


ยักษ์ก็หงุดหงิด บอกว่า หลบก่อนเถอะแม่ ให้ลุงพุฒิดูก่อน แม่ก็บอกยักษ์ว่า ไม่สงสารน้องหรอ น้องมันก็ปกติดี ไม่เห็นที่เรียกเมื่อกี้หรอ พ่อก็บอกว่าพอแล้วๆ ยักษ์จะพูดต่อ แต่ลุงพุฒิยกมือ บอก ไม่เป็นไรๆ เราออกไปคุยกันข้างนอกหน่อยนะ ลุงพุฒิกับยักษ์และหมอยาก็เดินตามกัน ออกไปหลังบ้าน หยาดก็เดินตามไปแอบฟังด้วย หยาดได้ยินลุงพุฒิพูดเบาๆว่า “ไม่ดีแล้วไอ้หนุ่มเอ้ย น้องสาวเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วใช่มั้ย?” ยักษ์ก็บอกว่าเป็นมาอาทิตย์กว่า แล้ว ลุงพุฒิส่ายหน้าบอกว่า แรงนะ ไม่เคยเจอขนาดนี้ ทำไมปล่อยกันมาหลายวันแบบนี้ ยักษ์ก็บ่นๆว่า ตัวเขาเองก็ไปทำงานหลายวัน กลับมาอะไรๆมันก็เลวร้ายไปหมดแล้ว พ่อกับแม่ก็ดู ไม่ค่อยเชื่อ ห่วงลูกอย่างเดียว ลุงพุฒิบอกว่าของแบบนี้คนเชื่อก็มี คนไม่เชื่อก็มาก และก็บอกว่า งานนี้ลำพังแค่ตัวลุงเองคงไม่ไหว คงต้องให้หมอแผนปัจจุบันในตัวเมืองช่วยด้วย ถ้าทันอาจจะผ่อนหนักเป็นเบาได้ ก็เลยสรุปกันว่าจะพาแย้มเข้าโรงพยาบาลในตัวจังหวัดตอนนั้นเลย ยักษ์เลยให้ยศไปอุ้มแย้มขึ้นรถ และให้หยาดไปเตรียมของ เตรียมเสื้อผ้าจะให้ไปคอยเฝ้าไข้


พอยศเข้าไปบอกแม่กับแย้มว่าจะพาไปโรงบาล แย้มก็ร้องกรี๊ดๆ อีก บอกว่า ไม่ไปๆ ดิ้นไปมาอย่าง รุนแรง ยังไงก็ไม่ไป ดิ้นจนเสื้อขาด แม่เห็นก็ร้องไห้บอกไปนะ จะได้หาย ยศก็ไม่รู้จะทำยังไง ยักษ์จึงเดินเข้ามาบอกว่า “ไม่ไปจะหายได้ไง แม่หลบออกไปก่อน อยากให้แย้มมันหายมั้ย” ยักษ์ก็เดินไปจับแขนให้ลุก แต่แย้มก็ไม่ลุก ทั้งดิ้นทั้งสะบัด ยักษ์โมโหเลยลากแย้มออกมาทั้งแบบนั้น แย้มก็กรี๊ดเสียงดังลั่นบ้าน พ่อกับแม่ก็บอกว่าทำกับน้องเบาๆสิ ก็เริ่มทะเลาะกันอีก ลุงพุฒิที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ตรงประตูหลังบ้าน แต่ไม่ได้มองมาในบ้าน กลับมองออกไปนอกบ้าน ก็เรียกยักษ์ให้ไปหา ยักษ์กำลังลากแย้มไปขึ้นรถ แต่ก็แทบจะไม่ไปไหน เพราะแย้มดิ้นแรงมากยักษ์เลยปล่อยมือ พอยักษ์ปล่อยปุ๊บ แย้มก็ผลุบกลับ เข้าไปในห้องนอนทันที ส่วนยักษ์ส่ายหัวเดินไปหาลุงพุฒิซึ่งยืนอยู่หลังบ้าน ลุงพุฒิบอกว่าไปหามีดพร้ามาสัก 1 เล่มได้มั้ย ยักษ์กับยศหายไปตรงห้องเก็บของ กลับมาพร้อมมีดพร้าคนละเล่มก็สงสัยว่าลุงพุฒิให้เอามาทำไม ลุงพุฒิเดินไปเดินมาตรงหลังบ้าน ปากก็พึมพัมๆเบาๆ บางทีก็เดินไปไกลถึงแปลงผัก แล้วก็วน กลับมา ยักษ์ถามว่าให้เอามีดมาทำไม แต่ลุงพุฒิยังไม่ตอบ เดินไปหยุดตรงหน้ากอไผ่กอใหญ่ 2-3 กอหลังบ้าน


หยาดได้ยินยศกระซิบกับยักษ์ว่า กอที่แย้มเข้าไปคืนนั้นนี่หว่า **ใครจำไม่ได้ย้อนกลับไปอ่านช่วงนั้นได้ ที่แม่บอกให้ยศอุ้มแย้มออกมา หยาดเพิ่งมารู้ทีหลังว่า ที่ ได้ยินยศถามว่าแย้มเข้าไปทำไมในนั้น เมื่อตอนดึกวันก่อน ที่แท้มันคือในกอไผ่นั่นเอง** ลุงพุฒิยืนจ้องกอไผ่กอใหญ่สุดอยู่สักครู่ ก็บอกว่า “เอ๊า ลองฟันกอไผ่กอนี้ให้ดูหน่อย ข้างในมีอะไรรึเปล่า” ยศก็ดูงงๆ ถามว่าให้ฟันทำไม ด้านในมันมีอะไร ลุงพุฒิไม่ตอบอะไรยืนดูนิ่งๆ ยศก็หันไปมองพี่ชาย ว่าจะเอายังไง แต่ยักษ์ไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินเข้าไปฟันโช๊ะสุดแรง ลำไผ่หักโค่นลงมาทันทียศเห็น จึงเข้าไปสมทบ กระหน่ำฟันกอไผ่กอใหญ่กอนั้นไม่ยั้ง พ่อก็ออกมาถามว่าทำอะไรกัน ลุงพุฒิก็เดินเข้าไปขอโทษ บอกว่าให้รอดูสักพัก ยักษ์กับยศฟันกอไผ่ไปได้สักพักก็ผงะ หยุดนิ่ง ซึ่งไม่ใช่แค่ 2 คนนั้น แต่ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นได้กลิ่นเหม็นเน่ามากจนแทบอ้วก โชยมาจากส่วน ลึกด้านใน ลุงพุฒิยืนนิ่งๆก็พูดต่อ “เอ๊าฟันต่อไป ยังหนุ่มยังแน่นแรงหมดแล้วเหรอ? เอาอีก เข้าไปให้ถึงตรงกลางดงเลย”


ยักษ์บอกให้หยาดหยิบผ้าขาวม้ามา พันจมูก แล้วลงมือฟันต้นไผ่ลำใหญ่นั้นต่อ ยิ่งเข้าไปลึก กลิ่น เหม็นเน่ายิ่งรุนแรง จนยศไม่ไหวต้องถอยออกมาตั้งหลักก่อน เหลือยักษ์คนเดียว ซึ่ง ณ ตอนนั้นหยาดบอกว่ายักษ์คงบ้าเลือดไปแล้ว ไม่สนกลิ่นเน่าอะไรทั้งนั้น ฟันไปด่าไป ทั้งถีบ ทั้งฟันทั้งกระชากกอไผ่กอนั้นกระจุยไปแถบ จนกอไผ่ด้านนึงถูกฟันจนราบไปถึงด้านใน หยาดเห็นยักษ์ยืนหอบมองเข้าไปด้านในกอไผ่แล้วสบถออกมา “นี่มันอะไรวะเนี่ย?” พ่อกับหมอยาพร้อมยศ เดินตามเข้าไปดูก่อน หยาดจึงคว้ามือยอดเดินตามเข้าไปด้วย หยาดได้ยินเสียงลุงพุฒิเตือนว่าอย่าเข้าไปใกล้มาก สิ่งนั้น ไม่เพียงมีกลิ่นที่ชวนให้คลื่นเหียน มองเผินๆ เหมือนใยแมงมุม แต่พอเข้าไปใกล้ๆ ดูชัดๆก็ เห็นว่าเป็นเมือกใสๆเหมือนกาวยาง ระโยงระยางห้อยซ้อนกันไปมา น้ำเหนียวๆยืดห้อยต่องแต่ง กลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว ใต้เมือกเหนียวๆ มีเศษซากอะไรบางอย่าง **ตอนแรกนึกว่าเป็นเศษใบไผ่ที่กองทับกันจนแห้งเหี่ยว**


แต่พอมองดูดีๆ สิ่งนั้นมันคล้ายลำไส้หรืออวัยวะ (คนหรือสัตว์ก็ไม่รู้) ที่ถูกฉีกจนยุ่ย เป็นชิ้นเล็กชิ้น น้อยกองรวมกับเศษผ้าเก่าๆ แล้วก็ปอยผมเล็กๆ หลายปอย ดีที่อวัยวะพวกนั้นแห้งกรังไปหมดแล้ว หยาดทนไม่ไหวเดินออกมาอาเจียน เห็นหมอยาเดินหลบมาคุยกับลุงพุฒิ ระหว่างนั้นเองยศก็หยิบ ลำไผ่ที่เกลื่อนอยู่กับพื้นขึ้นมา 1 ลำ แล้วเอาไปเขี่ยเมือกที่อยู่ตรงหน้า ลุงพุฒิหันมาเห็นก็บอกว่าอย่าไปถูกมัน แต่ช้าไปแล้ว ยศเขี่ยไปแล้ว พลันที่ยศเขี่ยเมือกใสนั้น แย้มที่ตอนแรกนอนอยู่ในห้องลากเท่าไหร่ก็ไม่ยอมไปไหน โผล่พรวดมา ยืนตรงประตูหลังบ้าน สีหน้าบึ้งตึง แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมา ลุงพุฒิตะโกนบอกให้จับแย้มกลับเข้าไปในห้อง


ยอดเข้าไปจับไว้ แต่ก็เหมือนเดิมคือ สู้แรงเด็กสาวอายุไม่เกิน 15 ไม่ได้ หยาดก็เดินเข้ามาช่วย บอกว่า “แย้มออกมาทำไมเข้าไปรอในบ้านก่อน” แย้มไม่สนใจเลย ผลักหยาดจนเกือบจะล้ม ยักษ์เลยเดินเข้าไปขวางจับไหล่แล้วบอกว่า “แย้ม เข้าบ้านไปก่อน” แย้มหันมามองยักษ์ แต่ก็ไม่สนสะบัดมือจะเดินต่อ แต่ยักษ์ไม่ปล่อย ตบหน้าแย้มเสียงดังเผี๊ยะ “กรูบอกให้ไปรอในบ้าน” พ่อกับหยาดก็ตกใจ แต่แย้มก็ไม่ยอมดิ้นแรงมาก จนลุงพุฒิเดินเข้ามาเอาสีผึ้งป้ายตรงหน้าผาก หน้าแย้มก็หยุดดิ้น มีอาการเหมือนเดิมคือตาเหลือก เกร็ง แล้วลุงพุฒิก็บอกให้ยักษ์กับยอดพาแย้ม กลับเข้าไปรอในห้อง เสร็จแล้วลุงพุฒิก็เดินเข้าไปคุยกับตา บอกว่าไอ้ของพวกเนี่ย เป็นเสนียดมาก เป็นเหมือนของ อัปมงคล ที่พวกเล่นของสมัยก่อน จงใจกัดกิน ส่วนที่เหลือก็เก็บติดตัวไว้ ลุงพุฒิอยากทำลายให้หมด ไปเลย


พ่อก็ถามว่าจะทำยังไง ลุงพุฒิก็บอกว่า คงต้องขอเผาทั้งกอไผ่ไปเลยจะเป็นอะไรมั้ย พ่อซึ่งตอนนี้ เริ่มเชื่อก็บอกว่า ถ้าคิดว่าทำแล้วมันดีขึ้นก็เอาเถอะ แต่ลุงพุฒิบอกว่าก็ไม่มั่นใจ แต่คิดว่ายังไงก็ไม่ ควรเก็บของพวกนี้ไว้ ลุงพุฒิให้ยศเดินไปหยิบถุงผ้าในรถ สักพักยศก็เดินกลับมาพร้อมถุงผ้าสีขาว ลุงพุฒิล้วงเข้าไปหยิบสายสิญจน์แล้วเดินไปที่กอไผ่ เอา ปลายด้านหนึ่งผูกไว้กับลำไผ่แล้วเดิมวนอ้อมรอบกอไผ่กอนั้นหลายรอบจบแล้วก็มายืนด้านหน้า ของเหล่านั้น พึมพำอยู่ครู่แล้วโยนสายสิญจน์ที่เหลือเข้าไป ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่แล้วแดดร้อนจัด พ่อก็เอาไม้ขีดมาให้ลุงพุฒิ ลุงพุฒิจุดไม้ขีดก้านแรก ไฟลุกพรึบขึ้นมาแล้วก็ดับพรึบทันทีราวกับมีคนเป่าลมใส่ ลุงพุฒิก็หยิบ ขึ้นมาอีกก้าน ก็เป็นอาการเดิมคือยังไม่ทันจะต่อเชื้อ ไฟก็ดับอีก ลุงพุฒิก็ส่ายหัวบ่นพึมพำ ยศก็ถาม ว่า ผีเป่ารึเปล่า ลุงพุฒิได้แต่ยิ้มๆ ก็บอกให้หาน้ำมันก๊าดมาให้หน่อย ต้องรีบทำเวลาหน่อย ยศก็ไปหยิบน้ำมันฉีด ราดแถวโคนกอไผ่ ลุงพุฒิบอกว่าพอเห็นของด้านในโดนเผาแล้ว ก็ฟันต้นไผ่ที่เหลือลงมาเผาด้วย เดี๋ยวไฟลามจะคุมยาก แต่ต้องรอให้ของพวกนั้นโดนเผาก่อนนะอย่าลืม


ยักษ์กับยอดก็เดินออกมาสมทบ ลุงพุฒิถามว่าแย้มเป็นยังไง ยักษ์ก็บอก นอนสั่นเป็นเจ้าเข้า แม่กับ ยี่นั่งเฝ้าอยู่ ลุงพุฒิวานยอดให้เข้ามาช่วยกัน เผื่อไฟลามไปทางอื่น ส่วนยักษ์ ลุงพุฒิบอกว่า “กลับไปนั่งด้านในนะ ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ เดี๋ยวจะตกใจ” พอยักษ์เดินกลับเข้าไป ลุงพุฒิก็บอกว่า เอ๊า จุดละนะ ช่วยกันดูด้วย ลุงพุฒิจุดไม้ขีดอีกก้าน คราวนี้ไม่ดับ (สงสัยไม่มีลม) แล้วโยนไปตรงเศษใบไผ่แห้งที่ราดน้ำมันจน ชุ่ม ไฟลุกพรึบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ลามไปจนถึงใจกลางกอไผ่ จากนั้นก็มีเสียง ฝุด ฝุด ฝุด ฝุด ดังมา จากด้านใน แล้วตามด้วยเสียงกรี๊ดของแย้ม ดังมาก พ่อกับหยาดที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ตกใจ ตะโกนถามเข้าไปในบ้านว่า มีอะไร!? แย้มเป็นอะไร แม่ก็ ตะโกนกลับมาว่า ไม่รู้ อยู่ดีๆก็กรี๊ดขึ้นมา ตอนนี้สลบไปแล้ว ทำยังไงดี ยักษ์บอกไม่เป็นไรแม่ ไม่ เป็นไร ใจเย็นๆ แล้วก็ตะโกนเสียงดังถามลุงพุฒิว่าจะเอายังไงต่อล่ะลุง ลุงพุฒิหันไปบอกยอดซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ “เอ๊า หนุ่มรีบไปเตรียมข้าวของ และเตรียมรถเลย เดี๋ยวพาน้องไปโรงพยาบาลในเมืองกัน เร็วๆนะ อย่าให้มืด”


ไฟไหม้จนโคนไผ่ดำเป็นตอตะโก และเริ่มลามขึ้นไปเรื่อยๆ เสียง ฝุด ฝุด ด้านใน ก็ค่อยๆเบาเสียง ลงเรื่อย จนได้ยินแต่เสียงไฟที่เผาไม้แทน ลุงพุฒิเลยบอกให้โค่นต้นไผ่ที่เหลือลงมาให้หมด เห็นเหลือยศอยู่คนเดียว หมอยาก็หยิบมีดมาช่วยฟัน เสร็จแล้วก็ลากลำไผ่ ที่ยักษ์กระซวกทิ้งไว้ (ไม่รับผิดชอบ) ขนมารวมกันแล้วราดน้ำมันก๊าดทยอยเผา ลุงพุฒิบอกว่า ใครจะไปโรงพยาบาลให้เตรียมตัวเลยได้เลย จะออกเดินทางกันแล้ว ส่วนใครที่ไม่ไปก็เฝ้ากอไผ่ที่ไฟยังลุกไหม้อยู่ สรุปคือ พ่อ , ยศ , ยี่ รออยู่ที่บ้าน ส่วนลุงพุฒิ, แม่ , หมอยา , ยักษ์, ยอด , หยาดจะพาแย้มเข้าโรงพยาบาลในตัวจังหวัด ลุงพุฒิเลยเร่งทุกคนบอกให้รีบขึ้นรถ หยาดวิ่งเข้าไปหยิบเสื้อมาแค่ตัวเดียว แม่ก็เก็บของใช้ที่เท่า จำเป็น เสร็จแล้วก็เดินเข้าไปหาแย้ม แย้มยังนอนหลับอยู่ ไม่เหมือนคนป่วย ไม่มีอาการเกร็ง แม่บอกให้ยอดเข้าไปอุ้มน้อง


ยอดถามว่าคงไม่ดิ้นอีกนะ ลุงพุฒิก็บอกว่าไม่ดิ้นแล้ว สงบแล้ว แต่ระวังไว้ก็ดี ยอดก็สงสัย ระวัง อะไร แล้วจึงเข้าไปอุ้มแย้ม แย้มก็นอนนิ่งให้อุ้ม ไม่ดิ้นเหมือนตอนแรก แต่เรื่องแปลกก็ยังไม่จบ หยาดจำแม่นว่ายืนอยู่ตรงนั้น ดูเหตุการณ์แปลกๆนั้นด้วยความประหลาดใจ ยอดซึ่งเป็นวัยรุ่น ร่างกายค่อนข้างจะบึกบึนสมส่วน เพราะทำงานในสวน ในไร่มาตั้งแต่ยังเล็ก กลับอุ้มเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆไม่ขึ้น ยกขึ้นมาได้แค่นิดเดียว ก็ต้องวาง ทุกคนก็งงบอกว่ายอดเล่นอะไร คนกำลังรีบๆ ยอดก็เข้าไปลองอีกที ก็เหมือนเดิม ยกขึ้นมาได้นิดเดียวก็ต้องวาง ยอดบ่น “อะไรเนี่ย ทำไมตัวหนักแบบนี้วะเนี่ย?” ทุกคนก็งงๆ ยักษ์จึงเดินแทรกเข้ามาบอก ยอดหลบไป กรูเอง แล้วก็เข้าไปอุ้ม ก็ปรากฏว่า อาการเดียวกันคือยก ไม่ขึ้น ทุกคนแปลกใจกันหมด ตัวคนยกเองก็งงมาก ลุงพุฒิเลยบอกว่า อย่าเพิ่งสงสัย ช่วยกันอุ้มไปก่อน บ่ายมากแล้ว เดินทางค่ำๆ มันไม่ดียักษ์กับ ยอดจึงช่วยกันอุ้มแย้มไปขึ้นรถอย่างทุลักทุเล


พ่อกับคนที่เหลือก็เดินออกมาส่ง พ่อบอกกับลุงพุฒิว่า ฝากลูกฉันด้วยนะ ลุงพุฒิบอกว่าจะช่วยดูเต็มที่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นมากแค่ไหน ต้องให้คุณหมอในโรงพยาบาลช่วยดูอีกที เสร็จแล้วก็เดินเข้าไปสมทบกับคนที่จะเดินทางไปด้วย ลุงพุฒิลูบหัวหยาด ถามว่า จะไปด้วยเหรอ? หยาดตอบว่า จะไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ กับน้อง ลุงพุฒิยิ้ม แล้วบอกกับคนในกลุ่มว่า “ขอคนจิตแข็งๆหน่อยเป็นคนขับนะ”ทุกคนก็มีเหว๋อเล็กน้อย แน่นอนงานนี้โชเฟอร์คือยักษ์นั่นเอง รถกระบะสมัยก่อนไม่หรูหราโอ่อ่าเหมือนทุกวันนี้ ไม่มีแคป ไม่มีตอน คนที่นั่งด้านหน้า 4 คน มียักษ์, แม่ , แย้มและลุงพุฒิต้องเบียดอัดกันเป็นปลากระป๋อง ที่เหลือก็ขึ้นกระบะหลัง ประมาณเกือบ 5 โมง ยักษ์ก็ขับรถออกมาจากไร่ โดยมีพ่อกับยี่ ยืนมองรถหายไปกับฝุ่น (ส่วนยศ เฝ้ากอไผ่ที่เผาอยู่)


ทางไปโรงพยาบาลในตัวจังหวัดค่อนข้างจะไกลมาก ปกติตอนกลางวันใช้เวลาราว 2-3 ชม. กว่าจะ ไปถึงแต่ช่วงเย็นคงนานกว่าอีกหน่อย ประกอบกับถนนในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ 80-90% เป็นถนนลูกรังแดง ถนนดิน เท่านั้นไม่พอยังมีหลุมมีหล่มตลอดทาง และสาเหตุบางข้อที่ทำให้เดินทางได้ไม่เร็วเท่าที่ควร หนึ่งคือช่วงที่รถกระแทกกับหลุม แย้มซึ่งหลับอยู่ จะร้องโอ้ยขึ้นมา แม่ก็จะบอกให้ยักษ์ขับดีๆ หน่อย อีกข้อคือ กระจกรถซึ่งร้าวอยู่ยักษ์มองทางไม่ถนัด แวนซ์มากไม่ได้(><) จึงสรุปกันว่าจะเข้าไปเปลี่ยนรถที่บ้านญาติ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากไร่ของพ่อก่อน พอเข้าไปถึงยักษ์กับยอดก็เข้าไปคุยกับญาติขอยืมรถ จะพาแย้มไปโรงพยาบาล ญาติก็ถามว่ารถไป ชนอะไรมา ยักษ์ก็ว่า เดี๋ยวค่อยเล่า ตอนนี้รีบอยู่ แต่ญาติก็ถามอีกว่า “รู้จักป้า xx ที่อยู่แถวๆบ้านยักษ์มั้ย?” ที่อยู่คนเดียวน่ะ แกตายแล้วนะ เมื่อวานมีคนมาบอกเนี่ย ว่าจะไปงานศพแกหน่อย ยักษ์หันขวับดูท่าทางไม่ค่อยพอใจ “อีแก่โรคจิตนั่นน่ะนะ? ตาย ha ไปก็ดีแล้ว” คือหยาดบอกว่ายักษ์เคืองมาก ที่ปล่อยคนแปลกหน้า เข้าบ้าน ทั้งที่หมอยาก็บอกแล้วว่าห้ามคนแปลกหน้าเข้าบ้าน ถ้าวันนั้นวันที่หญิงแก่คนนี้มา แล้ว ยักษ์อยู่ด้วย หญิงแก่คนนั้นคงโดนตบหัวทิ่มกลับบ้านแทบไม่ทัน คงไม่ได้ยืนแสยะยิ้มแบบนั้น แล้ว เรื่องอาจจะไม่แย่แบบนี้


ทั้งหมดก็ย้ายมาขึ้นรถอีกคัน ตอนออกมาจากบ้านญาติ ฟ้าก็เริ่มสีม่วงๆแดงๆ แล้ว ลุงพุฒิก็ถอนหายใจเบาๆ บอกขับระวังๆด้วย นะ ดูทางให้ดียักษ์ก็ขับ ไม่ช้าไม่เร็ว หันซ้าย หันขวาตลอด และชำเลืองดูกระจกหลังเป็นระยะ ทางที่รถวิ่งผ่านมาแทบจะมองไม่เห็นอะไร ไม่ใช่เพราะมืด แต่เพราะฝุ่นสีแดงจากถนนลูกรังลอย ปิดถนนเต็มไปหมด คนที่นั่งกระบะหลัง ถึงไม่โดนฝุ่นเต็มๆ แต่ก็ต้องหาผ้ามาปิดหน้าปิดตา ขับออกมาจากบ้านญาติได้สักพัก ฟ้าก็เริ่มมืด ฝุ่นสีแดงจากถนนลูกรัง มองเห็นเป็นสีขาวฟุ้งๆไป แทน ยักษ์ขับไปตามทาง ด้านหน้ารถ หยาดเห็นยักษ์พูดกับลุงพุฒิบ้างเป็นบางครั้ง แม่ก็ลูบหัว แย้มที่หลับอยู่ ส่วนกระบะหลังยอดก็คุยกับหมอยาเบาๆว่า ปกติไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้ แต่คืนที่เจอเงาคนใส่เสื้อ ดำตอนกลางคืนวันนั้น หลอนมาก ไม่คิดว่าจะมีจริง ก็ไม่รู้ว่า ไปแล้วเจอคนโดนยิงนอนอยู่ กับไม่ เจออะไรเลย แบบไหนจะน่ากลัวว่ากัน หมอยาก็บอกว่า คงถึงคราวซวยจริงๆ เจอทั้งหญิงแก่คนนั้น กับอีกคนพร้อมกัน หมอยา นิ่งไปครู่แล้วบอกว่า “หรือจะเป็นคนเดียวกัน?” หยาดก็บอกหมอยาว่าผู้หญิงชุดดำคืนนั้นต้องเป็นคนเดียวกับที่เจอวันนั้นแน่ๆ แล้วหยาดก็เล่าให้ หมอยาฟังอีกคนว่าไปเจออะไรมา หมอยาก็บอกว่าคงไม่ใช่หรอกมั้ง วันนั้นที่เจอเป็นชาวบ้านแถว นั้นรึเปล่า เห็นมีคนไปแก้บนใต้ต้นไม้นั้นเยอะนะ


ตอนนั้นหยาดก็ไม่คิดอะไร แต่ตอนหลังคงพอรู้ว่า ผู้ใหญ่เค้าก็ไม่อยากพูดให้กลัว รอบข้างก็มืดหมดแล้ว ไฟจากบ้านคน ก็นานมากกว่าจะเห็นลิบๆสักดวง หยาดเกาะขอบกระบะ มองผ่านห้องคนขับไปทางกระจกหน้า ระหว่างนั้นก็สะดุ้ง เพราะไฟหน้ารถส่องไปเจอเงาๆนึง ยืน อยู่ข้างทาง หยาดก็เงียบคิดว่าเป็นคงเป็นชาวบ้านแถวนั้นเพิ่งกลับจากไร่ แต่พอรถแล่นไปได้อีกครู่ เดียว หยาดก็เห็นมีคนยืนอยู่ข้างทางอีกตรงมุมเดิม หยาดเข้าไปจับเข่ายอด ยอดบอกให้ไปนั่งที่เดิม ฝุ่นมันเยอะ แต่หยาดดูตื่นๆบอกว่า “เมื่อกี้ เห็นคนยืนอยู่ข้างทาง พี่เห็นมั้ย?” ยอดก็แหล่ไปมองหมอยาแว๊บนึง แล้วบอกว่า ตาฝาดมั้ง กลัวผีขึ้นสมองแล้ว แต่หยาดบอกว่า “เห็น 2 ครั้งแล้วนะ” หมอยาบอกว่า ไม่มีอะไร แล้วบอกหยาดให้นั่งหลับไปเลย อีกนานกว่าจะเข้าตัวจังหวัด หยาดก็ไม่ กล้ามองไปทางหน้ารถ หันมานั่งจ้องหน้ายอดกับหมอยาแทน แล้วหยาดก็เห็นว่ายอดก็ทำตาโต รีบ ก้มหน้า แล้วยอดก็กระซิบไปทางหมอยาว่า


“เออ......เห็นจริงๆด้วยว่ะลุง” หมอยาหันซ้าย หันขวาแล้วทำเสียง จุ๊ๆ “อย่าไปทัก เห็นอะไรแปลกๆ อย่าทัก ไม่ต้องไปสนใจ ร้องเพลงอะไรไปก็ได้” ยอดกระซิบถามว่า แล้วไอ้คนขับไม่เห็นเหรอ? หมอยาบอกว่า “คนขับมันใจนักเลง ไม่ค่อยกลัวอะไร ประมาณว่าจิตมันแข็ง ถ้าของไม่แรงมาก มันก็ไม่เห็นอะไร หรอก” ก็อย่างที่คนไม่เคยเห็น มันก็ไม่เคยพบเคยเจอสักที ส่วนไอ้พวกที่เห็น ก็เจออยู่นั่นล่ะ จริงๆพวกเอ็ง ก็ไม่ได้ขวัญอ่อนนะ แต่พอมาเจอเรื่องแบบนี้ นั่นล่ะ จิตใจก็เลยไม่ค่อยมั่นคง เห็นอะไรก็หลอนหู หลอนตาไปหมด หมอยาพูดจบ หยาดถามคำเดียว “แล้วลุงเห็นมั้ย?” หมอยานิ่งๆ ไม่ตอบอะไร ผ่านไปสัก ชม. ยอดก็ยังล่อกแล่กฮัมเพลงไปเรื่อยเปื่อยไม่มองไปข้างทางอีกเลย ผ่านทางโค้ง รถ เลี้ยวไปเจอ วัดทุ่ง xx ทางขวามือ ยอดก็บอกว่าถึงตรงนี้ อีกสักครึ่ง ชม. ก็ออกถนนใหญ่แล้ว หยาดก็โล่งอก


ผ่านวัดไปเป็นไร่อ้อยทั้ง 2 ข้างทาง ยาวเหยียด ต้นอ้อยสูงยิ้มวทัศน์ด้านข้างจนหมด ถนนก็เลี้ยวไป มา ไม่มีบ้านคน ไม่เห็นแสงไฟเลย แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงดัง ปึง! ดังจากข้างรถ เหมือนมีใครเอาอะไรมา ปาใส่รถ ทั้ง 3 คนที่นั่งด้านหลังก็มองหน้ากันนิ่ง ผ่านไปสักพักก็มีเสียงดังปึงมาจากอีกข้าง ยักษ์ก็เลยชะโงกหน้ามาถามว่าเล่นอะไรกัน? ยอดก็บอก เปล่า ไม่ได้ทำอะไรเลย ยักษ์ก็หันไปขับรถต่อ แต่หยาดเห็นยอดนั่งแทะเล็บแล้ว ส่วนหมอยาก็ดู กระสับกระส่าย ขับไปมาตามทางได้สักพัก เจอทางโค้ง 2-3 โค้ง รถก็เลี้ยว แล้วทุกคนในรถก็นิ่งกัน หมด ไม่เว้นแม้แต่ยักษ์ที่ทำหน้าเลิ่กลัก เพราะทางขวามือ เป็นวัดทุ่ง xx ยอดเห็นก็ชะโงกไปคุยกับ ยักษ์ว่า หลงทางรึไง ขับวนมาที่เดิมเนี่ย ยักษ์ก็บอกว่า “ไม่รู้ว่ะ แต่มันจะหลงได้ไงวะ ไม่มีทางแยกเลยนะ ตรงอย่างเดียว ปกติเข้าเมืองก็ขับเส้นนี้ตลอด?” แล้วยักษ์ก็ชะลอรถ แต่หยาดเห็นลุงพุฒิโบกมือไม่ให้หยุดรถ ยักษ์คุยกับลุงพุฒิครู่นึง ยักษ์ก็ตะโกนมาด้านหลังว่า “เห้ย ลุงพุฒิบอกว่า ถ้าเห็นหรือได้ยินเสียงอะไรอย่าทักกันนะ” ยอดก็เลยพูดสวนกลับไปว่า “ก็เมื่อกี้หยาดนั่นแหละทัก”


และก็น่าแปลก รถขับฝ่าเข้าดงอ้อยเหมือนเดิม เส้นทางเดิม แต่วิ่งไปได้สักพัก ก็วิ่งมาตัดถนนใหญ่ ท่ามกลางความโล่งใจปนสงสัย แม้จะเป็นถนนใหญ่ แต่เวลาทุ่มกว่าสองทุ่ม ก็เงียบไม่ต่างกัน แต่ดี ตรงที่ยังพอมีไฟจากข้างทาง ทำให้บรรยากาศไม่อึมครึมมาก พอขึ้นถนนใหญ่ได้ ยักษ์ก็จัดเต็ม เหยียบด้วยความเร็ว แต่หยาดก็เห็นลุงพุฒิเหมือนบอกให้อย่าเร็วมาก รถขับไปได้อีกพัก เป็นช่วงถนนที่ไม่มีแสงไฟ ถนนด้านหน้าก็มืดไปหมด ยักษ์ขับรถตรงไป อยู่ๆก็มี ไฟสูงเปิดใส่หน้ารถอย่างกระชั้นชิด ยักษ์หักหลบหวุดหวิด แล้วก็ได้ยินเสียงด่าตามหลังไปว่า แม่ม ขับรถภาษาอะไรวะไม่เปิดไฟ แต่หมอยากลับบอกว่า อีนี่มันเล่นไม่เลิก รถขับผ่านมาถึง ศาลเจ้าพ่อ xx หยาดและทุกคนในรถก็ยกมือไหว้ แม่อธิษฐานว่า ขอให้แย้มหาย ป่วยด้วยเถิด จะเอาผลไม้มาถวาย หลังจากนั้นจะด้วยเหตุบังเอิญรึเปล่าก็ไม่ทราบ รถก็ขับผ่านไป ถึงตัวจังหวัดแบบไม่มีเหตุการณ์อะไรอีกเลย หยาดเห็นแม่พนมมือตลอดทาง และลูบหัวแย้มไม่หยุด... ประมาณ 2 ทุ่มเศษๆ ก็มาถึงจุดหมาย เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัด ที่ถือว่าดีที่สุดเมื่อ 30-40 ปีก่อน ชื่อโรงพยาบาลตั้งตามชื่อคนใหญ่คนโตก่อนที่หยาดจะเกิดเสียอีก มีบุรุษพยาบาลมารับตัวแย้ม ก็แปลกที่สามารถอุ้มขึ้นรถเข็นได้ง่ายๆ จนยักษ์กับยอดมองหน้ากัน แบบงงๆ


Click to View FlipBook Version