คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 1 ประเสริฐ ถาหล้า ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี 2565 คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว เอกสารวิชาการ
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 2 คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว ประเสริฐ ถาหล้า ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 298 หมู่ 1 ต าบลกลางดง อ าเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 30320 ติดต่อ: 098-270-1589 อีเมล์ : [email protected] และ [email protected]
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 3 ค าน า คู่มือ “การผลิตและการปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว” เป็นการเรียบเรียง และรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ องค์ความรู้ เทคโนโลยี กระบวนการ และประสบการณ์ ให้ได้มาซึ่งวิธีการ ผลิตเมล็ดพันธุ์เช่น การขยายสายพันธุ์แท้พ่อ-แม่ การปลูกผลิตลูกผสม รวมถึงวิธีการปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ เช่น การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การคัดแยกฝัก ลดความชื้นฝัก กะเทาะฝัก คัดแยกสิ่งเจือปน ลดความชื้นเมล็ด ท าความสะอาด คัดขนาด คลุกสารเคมี ตรวจสอบคุณภาพ บรรจุ การขนย้าย ตลอดจนการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ดีและง่ายต่อการผลิต ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ต่อไร่สูง คุ้มค่าต่อ การลงทุนในเชิงธุรกิจ ได้เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยวที่มีคุณภาพดีทั้งทางพันธุกรรม (Genetic quality) และทางกายภาพ (Physical quality) เหมาะสมส าหรับน าไปปลูกเพื่อผลิตเป็นข้าวโพดส าหรับ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ขอขอบคุณ ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ คณะเกษตร ที่ให้การสนับสนุนทรัพยากร บุคลากร และขอขอบคุณส านักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ที่ให้การสนับสนุน ทุนวิจัยใน ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างดียิ่งตลอดระยะเวลาด าเนินงาน โครงการวิจัย จนก่อให้เกิดเป็นข้อมูลที่สามารถน ามาเขียนเป็นคู่มือให้ทุกท่านได้เรียนรู้มากขึ้น ขอขอบคุณ อาจารย์แสงแข น้าวานิช ที่ช่วยให้ค าแนะน า เรียบเรียง และให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการ ป้องกันและก าจัดแมลงศัตรูพืช อาจารย์วราภรณ์ บุญเกิด ที่ช่วยให้ค าแนะน า เรียบเรียง และให้ข้อมูลที่ เกี่ยวข้องกับการป้องกันและก าจัดโรคพืช และอาจารย์ยุวดี อินจันทร์ ที่ช่วยให้ค าแนะน าเรื่องการตรวจสอบ คุณภาพเมล็ดพันธุ์อย่างดียิ่งจนก่อให้เกิดเป็นข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ขอขอบคุณ อาจารย์วีรชัย ศรียี่สุ่น ที่ช่วยให้ค าแนะน าให้ค าปรึกษา เรียบเรียง และให้ข้อมูลที่ เกี่ยวข้องกับการผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์อย่างดียิ่งจนก่อให้เกิดเป็นข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทางผู้จัดท าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยต่อเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สภาเกษตรกร นิสิต นักศึกษา บริษัทเอกชน SMEs ขนาดเล็กและขนาดกลาง และผู้ที่สนใจธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสม อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่และถ่ายทอดองค์ความรู้ของศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่าง แห่งชาติคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตามแนวทางการปฏิบัติงานอย่างถูกต้องและมีทิศทาง เดียวกันได้และหากมีข้อเสนอแนะใดเพื่อให้คู่มือมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ผู้จัดท าขอน้อมรับด้วยความยินดียิ่ง ประเสริฐ ถาหล้า สิงหาคม 2565
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 4 สารบัญ หน้า 1 ค าน า 3 2 สารบัญ 3 ค าอธิบายสัญลักษณ์และค าย่อที่ใช้ในคู่มือ 6 4 บทที่ 1 ความส าคัญของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 7 5 บทที่ 2 ล าดับชั้นและการขยายเมล็ดพันธุ์ 9 ล าดับชั้นของเมล็ดพันธุ์ 9 การขยายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ 10 6 บทที่ 3 ขั้นตอนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมเดี่ยว 12 การเลือกพันธุ์ดี 12 การเลือกพื้นที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ 16 สภาพแวดล้อมในการผลิตเมล็ดพันธุ์ 17 การเตรียมแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ 18 ขั้นตอนการปลูก 22 น้ า และการจัดการน้ า 25 การตรวจสอบแปลง 28 การถอดช่อดอกเกสรตัวผู้ในแถวสายพันธุ์แม่ 29 การตัดต้นสายพันธุ์พ่อ หรือ แถวต้นตัวผู้ 31 การเก็บเกี่ยวผลผลิตเมล็ดพันธุ์ 32 7 บทที่ 4 การจัดการวัชพืช โรคพืช และแมลงศัตรูพืช 34 การจัดการวัชพืช 34 การจัดการโรคพืช 39 การจัดการแมลงศัตรูพืช 48
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 5 สารบัญ หน้า 8 บทที่ 5 การปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ 57 การรับเมล็ดพันธุ์ 59 การขนส่งและคัดฝัก 59 การลดความชื้นเมล็ดพันธุ์ 60 การกะเทาะหรือสีเมล็ดพันธุ์ 62 การขนย้ายและการล าเลียงเมล็ดพันธุ์ 63 การท าความสะอาด และคัดขนาดเมล็ดพันธุ์ 64 การรมสารเคมีป้องกันแมลง 65 การคลุกสารเคมี 67 การบรรจุถุง 68 9 บทที่ 6 การจัดเก็บ และตรวจสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์ 70 การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ 70 การตรวจสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์ 72 10 เอกสารอ้างอิง 79 11 ภาคผนวก 83 ภาคผนวก 1 84 ภาคผนวก 2 92 ภาคผนวก 3 95 ภาคผนวก 4 96 ภาคผนวก 5 101 ภาคผนวก 6 102
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 6 ค าอธิบายสัญลักษณ์และค าย่อที่ใช้ในคู่มือ สัญลักษณ์ ค าอธิบาย กก. = กิโลกรัม กก./ไร่ = กิโลกรัมต่อไร่ ชม. = ชั่วโมง ซม. = เซนติเมตร มม. = มิลลิเมตร มล. = มิลลิลิตร มกษ. = มาตรฐานสินค้าเกษตร ไร่/คน/วัน = ไร่ต่อคนต่อวัน g. = กรัม kg. = กิโลกรัม ml. = มิลลิลิตร L. ลิตร % = เปอร์เซ็นต์ 0 C = องศาเซลเซียส
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 7 บทที่ 1 ความส าคัญของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เมล็ดพันธุ์ (Seed) หมายความถึง เมล็ดพืชที่มีชีวิต มีคุณภาพสูง (ทั้งนี้อาจจะรวมไปถึง ท่อนพันธุ์ หน่อ ตา ไหล ของพืชด้วย) ซึ่งเมื่อน าไปปลูก หรือน าไปขยายพันธุ์แล้วจะได้ต้นที่เจริญงอกงามตรงตาม พันธุกรรมของพืชชนิดนั้นๆ แตกต่างจาก "เมล็ดพืช (Grain)” เพราะเมล็ดพันธุ์ต้องมีชีวิต มีความงอกสูง ให้ต้น กล้าแข็งแรง ลักษณะตรงตามพันธุ์แต่เมล็ดพืชอาจเป็นเมล็ดตาย หรือมีความงอกต่ า ต้นกล้าอ่อนแอ อาจมี เมล็ดพืชอื่น หรือดิน ทรายปะปน การใช้เมล็ดพันธุ์คุณภาพดีจึงท าให้ได้จ านวนต้นต่อไร่สูงกว่า ประหยัดเมล็ด พันธุ์ต้นกล้าทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีลักษณะตรงตามพันธุ์ต้านทานโรค และให้ผลผลิตสูงการผลิตเมล็ดพันธุ์ คุณภาพดีจึงต้องดูแลรักษาแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์อย่างถูกต้องและเหมาะสมตรวจสอบทุกขั้นตอนตั้งแต่การเลือก พื้นที่ปลูกไปจนถึงการเก็บเกี่ยว และการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์(Maize หรือ Corn, Zea mays) เป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบที่ส าคัญในอุตสาหกรรม อาหารสัตว์เพื่อการส่งออกและใช้ในประเทศซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 80,000 ล้าน บาทต่อปี ปัจจุบันพบว่าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ผลิตในประเทศมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการของ ตลาด โดยมีความต้องการใช้อยู่ประมาณ 8.3 ล้านตัน ต่อปี (สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ, 2563) แต่ประเทศ ไทยผลิตได้เพียง 4.2-4.5 ล้านตันต่อปีที่เหลือต้องมีการน าเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งถือว่ามีความส าคัญเป็นอย่าง ยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคเกษตรของประเทศให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน เนื่องจาก ประเทศไทยมีสภาพภูมิประเทศและสภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกข้าวโพดเป็นอย่างยิ่ง โดยในปี เพาะปลูก พ.ศ. 2562/2563 มีพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รวมรุ่นทั้งประเทศมีประมาณ 7,024,503 ไร่ พื้นที่ เก็บเกี่ยวผลผลิต 6,522,121 ไร่ ได้ผลผลิต 4,535,058 ตัน คิดเป็นผลผลิตเฉลี่ยต่อพื้นที่เก็บเกี่ยว 695 กก./ไร่ อย่างไรก็ตามสิ่งส าคัญที่ควบคู่ไปกับการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั่นคือ อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์โดยในปี 2562 มี การผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของเอเชีย ปริมาณ การส่งออก 23,719.88 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1,924.06 ล้านบาทเพิ่มขึ้นในปี 2563 ปริมาณส่งออก 25,622.64 ตัน คิดเป็นมูลค่า 2,140.50 ล้านบาท และ ไตรมาสที่ 1-2 (มกราคม – พฤษภาคม 2564) ส่งออกไปทั้งสิ้น 16,384.82 ตัน มูลค่า 1,364.26 ล้านบาท (ส านักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2564) มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประมาณ 400,000 ครัวเรือน นอกจากนี้สภาพการผลิตของเกษตรกรยังคงประสบปัญหาด้านการผลิตโดยเฉพาะต้นทุนการผลิตที่สูงมากกว่า 4,480 บาท/ไร่ หรือ 6.63 บาท/กก. และมีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อยๆ คิดเป็นต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ประมาณ ร้อยละ 10-12 ทั้งนี้ผู้ที่มีบทบาทส าคัญในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อส่งออกรวมถึงใช้ภายในประเทศ คือ บริษัทค้าเมล็ดพันธุ์เอกชนรายใหญ่และเป็นบริษัทต่างชาติจ านวน 4 บริษัท ได้แก่ 1) บริษัทมอนซานโต้ ไทย แลนด์ จ ากัด 2) บริษัท ซินเจนทา ซีดส์(ประเทศไทย) จ ากัด 3) บริษัท แปซิฟิคเมล็ดพันธุ์ จ ากัด 4) บริษัท คอร์เทวา อะกริซายน์ ประเทศไทย หรือ บริษัท ไพโอเนีย (ไฮ-เบรด) จ ากัด เป็นผลให้ได้รับส่วนแบ่งทาง การตลาดของธุรกิจเมล็ดพันธุ์มากกว่าครึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่พัฒนาโดยภาคเอกชน มีเพียงบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จ ากัด เท่านั้นที่เป็นบริษัทของคนไทย Napasintuwong (2014) รายงานว่า แต่ละ บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 23, 16, 16, 14 และ 21 ตามล าดับ ซึ่งหากรวมส่วนแบ่งการตลาด บริษัทเอกชนรายใหญ่รวมกันอาจมากถึงร้อยละ 90 โดยบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs ครองสัดส่วน อยู่ในระดับต่ า ซึ่งในประเด็นนี้อาจมีผลต่อความมั่นคงทางการผลิตเมล็ดพันธุ์ (Seed Security) ความมั่นคง
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 8 ด้านอาหารสัตว์ (Feed Security) จนน าไปสู่ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ได้ในอนาคตหาก ประเทศไทยยังต้องพึ่งพาเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดจากบริษัทต่างชาติ (กัมปนาท และคณะ, 2561) ส าหรับในส่วนของภาครัฐ ที่วิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และส่งเสริมพันธุ์ดีและผลิตเมล็ด พันธุ์ให้แก่เกษตรกร ได้แก่ 1) ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ กรมวิชาการเกษตร ที่ส่งเสริมพันธุ์ นครสวรรค์ 3 และ พันธุ์นครสวรรค์ 5 และ 2) ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ ส่งเสริมพันธุ์สุวรรณ 4452 สุวรรณ 5731 สุวรรณ 5819 และปัจจุบันปี 2565 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ ร่วมมือกับส านักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ส่งเสริมพันธุ์ข้าวโพดพันธุ์ใหม่ คือ สุวรรณ 5720 และสุวรรณ 5821 ซึ่งจะเห็นว่ามีเพียงไม่กี่พันธุ์ ที่ส าคัญยกตัวอย่างพันธุ์สุวรรณ 4452 ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ จากแปลงผลิตของศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติที่มีการจัดการที่ดี ค่อนข้างต่ า 250-350 กก./ไร่ และ การผลิตมีข้อจ ากัดมากมาย เนื่องด้วยกระบวนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมเดี่ยวนั้นมีความละเอียดอ่อน แตกต่าง ยุ่งยากและซับซ้อนกว่าการผลิตข้าวโพดอุตสาหกรรมทั่วไป ปัจจุบันข้าวโพดลูกผสมส่วนใหญ่ที่ จ าหน่ายในท้องตลาดเป็นข้าวโพดลูกผสมเดี่ยวเกือบ 99% ซึ่งใช้สายพันธุ์แท้พ่อและแม่เพียงอย่างละ 1 สาย พันธุ์เท่านั้น แต่ผลผลิตเมล็ดพันธุ์นั้นได้จากสายพันธุ์แม่เท่านั้นซึ่งจะได้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์หนึ่งไร่ประมาณ 80% ของพื้นที่ ส่วนที่เหลือเป็นสายพันธุ์พ่อซึ่งต้องตัดทิ้งไป ดังนั้นสัดส่วนของแถวสายพันธุ์แม่ต่อสายพันธุ์พ่อ ขึ้นอยู่ กับการจัดการและระบบการผลิตและเทคโนโลยีที่ใช้เช่น 4:1 หรือ 6:1 แบบแถวเดี่ยว หรือ 3:1 แบบแถวคู่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการโปรยละอองเกสรของต้นตัวผู้ ซึ่งการผลิตเมล็ดพันธุ์ มีเป้าหมายส าคัญ 2 ประการคือ ผลผลิตและคุณภาพเมล็ดพันธุ์ และประการที่สอง คือเทคโนโลยีการผลิตการผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อให้ ได้ผลผลิตที่สูงที่สุด โดยทั่วไปแล้วการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมนั้นควรมีเป้าหมายผลผลิตได้ไม่ต่ ากว่า 400 กก./ไร่ขึ้นไปจึงจะคุ้มค่าต่อการลงทุนในทางธุรกิจ ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการจัดท าคู่มือฉบับนี้ เพื่อสามารถถ่ายทอดและสร้างองค์ความรู้ด้าน เทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อช่วยตอบโจทย์เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สภาเกษตรกร นิสิต นักศึกษา บริษัทเอกชน SMEs ขนาดเล็กและขนาดกลาง และผู้ที่สนใจธุรกิจเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสม และ เสริมศักยภาพความเข้มแข็งการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสม อีกทั้งยังสามารถต่อยอดขยายผล ปรับใช้ในพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมอื่นๆ อาทิ ข้าวโพดฝักอ่อน ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดข้าวเหนียว เป็นต้น เพื่อให้สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ง่าย ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ต่อไร่สูง คุ้มค่าต่อการลงทุนในเชิงธุรกิจ
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 9 บทที่ 2 ล าดับชั้นและการขยายเมล็ดพันธุ์ การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยวนั้นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ เช่นนักวิชาการ เจ้าหน้าที่ ส่งเสริม หรือแม้แต่เกษตรกรต้องมีความเข้าใจในเรื่องของล าดับชั้นเมล็ดพันธุ์ (Classes of maize seed) ด้วย เนื่องจากข้าวโพดลูกผสมเดี่ยวนั้นเกิดจากสายพันธุ์แท้ (Inbred line) จ านวน 2 สายพันธุ์ จ าเป็นต้องมีการ ขยายสายพันธุ์แท้ที่ใช้เป็นสายพันธุ์แม่ และสายพันธุ์พ่อ โดยจะมีล าดับชั้นของการผลิตเมล็ดพันธุ์มาตั้งแต่นัก ปรับปรุงพันธุ์มีการควบคุมการผลิตระดับสถานีวิจัย ส่งต่อให้นักวิชาการหรือเจ้าหน้าที่ส่งเสริม ตลอดจนถึงการ ปลูกขยายในแปลงเกษตรกรขนาดใหญ่ ดังนี้ 1. ล าดับชั้นของเมล็ดพันธุ์ 1.1 เมล็ดพันธุ์คัด (Breeder Seed) หรือ G0) คือ เมล็ดพันธุ์ที่ผลิตขึ้นโดยนักปรับปรุงพันธุ์ซึ่งต้อง ท าการคัดเลือกเฉพาะเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณสมบัติตามที่นักปรับปรุงพันธุ์ก าหนดคิดค้นขึ้นมา ภายใต้การควบคุม หรือตรวจสอบพันธุ์อย่างถี่ถ้วน ถูกต้องตามหลักวิชาการผลิตขึ้นมีจ านวนน้อยเพื่องานวิจัย กรมวิชาการเกษตร สถาบันเพื่อการวิจัย สถาบันการศึกษาเพื่อการค้นคว้า โดยปกติแล้วเมล็ดพันธุ์คัดจะมีจ านวนน้อย มีประมาณไม่ เกิน 50 กิโลกรัม/สายพันธุ์ และราคาค่อนข้างแพง (ในกรณีของข้าวโพดพันธุ์ผสมเปิดนั้นสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ ไว้ปลูกต่อได้อีก 3-4 รุ่น) เมล็ดพันธุ์คัดจะน าไปปลูกเป็นพันธุ์หลักในฤดูผลิตต่อไป 1.2 เมล็ดพันธุ์รักษา (Inbred Maintenance Seed) หรือ G1) คือ เมล็ดพันธุ์ชั่วแรกที่ได้มาจาก การขยายเมล็ดพันธุ์คัด ภายใต้ค าแนะน าและวิธีการของนักปรับปรุงพันธุ์ หรือนักวิชาการของกรมวิชาการ เกษตรหรือสถาบันวิชาการฯ เพื่อรักษาความบริสุทธิ์และลักษณะประจ าพันธุ์ของสายพันธุ์แท้ราคาถูกกว่า เมล็ดพันธุ์คัด (ในกรณีของข้าวโพดพันธุ์ผสมเปิดนั้นสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้อีก 2-3 รุ่น) ทั้งนี้จาก มาตรฐานสินค้าเกษตร มกษ. 4407-2559 ของส านักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ก าหนดมาตรฐานขั้นต่ าของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ก าหนดให้ เปอร์เซ็นต์ความชื้น (สูงสุด) ไม่ เกิน 12% เปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์(ต่ าสุด) ไม่ต่ ากว่า 98% และเปอร์เซ็นต์ความงอก (ต่ าสุด) ไม่ต่ ากว่า 90% เมล็ดพันธุ์รักษาที่ได้น าไปปลูกเป็นพันธุ์หลักหรือเมล็ดพันธุ์ขยายต่อไป 1.3 เมล็ดพันธุ์หลัก (Foundation Seed) หรือ G2) คือ เมล็ดพันธุ์ที่ได้จากการปลูกด้วยเมล็ด พันธุ์รักษา โดยเกษตรกรที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้จัดท าแปลงขยายพันธุ์ ภายใต้การควบคุมดูแลและให้ ค าแนะน าจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการและเจ้าหน้าที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ของศูนย์ขยายพันธุ์พืช กรมส่งเสริม การเกษตร (ในกรณีของข้าวโพดพันธุ์ผสมเปิดนั้นสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้อีก 1-2 รุ่น) ทั้งนี้จาก มาตรฐานสินค้าเกษตร มกษ. 4407-2559 ของส านักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ก าหนดมาตรฐานขั้นต่ าของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ก าหนดให้ เปอร์เซ็นต์ความชื้น (สูงสุด) ไม่ เกิน 12% เปอร์เซ็นความบริสุทธิ์(ต่ าสุด) ไม่ต่ ากว่า 98% และเปอร์เซ็นต์ความงอก (ต่ าสุด) ไม่ต่ ากว่า 85% ซึ่ง เมล็ดพันธุ์หลักจะน าไปใช้ในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมต่อไป
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 10 1.4 เมล็ดพันธุ์จ าหน่าย (Certified Seed/Commercial Seed หรือ (F1 Hybrid) คือ เมล็ด พันธุ์ชั่วแรกที่ได้จากการปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์ขยายโดยเกษตรกร หรือบริษัทปลูกในแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ ด้วยการ ปฏิบัติตามวิธีการที่ได้รับค าแนะน าจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการ ของศูนย์ขยายพันธุ์พืช กรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์จ าหน่ายให้แก่เกษตรกรทั่วไป เพื่อใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ที่จ าหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป ทั้งนี้จาก มาตรฐานสินค้าเกษตร มกษ. 4407-2559 ของส านักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ก าหนดมาตรฐานขั้นต่ าของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ก าหนดให้ เปอร์เซ็นต์ความชื้น (สูงสุด) ไม่ เกิน 12% เปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์(ต่ าสุด) ไม่ต่ ากว่า 98% และเปอร์เซ็นต์ความงอก (ต่ าสุด) ไม่ต่ ากว่า 75% 2. การขยายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ การผลิตและขยายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ในระดับชั้นต่างๆ ให้มีความบริสุทธิ์สูง ส าหรับใช้ในการผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมในทางธุรกิจนั้นมีความส าคัญอย่างยิ่งเพราะเกี่ยวข้องกับแผนธุรกิจ (Business plan) ในระยะยาว โดย ดร.เกรียงศักดิ์สุวรรณธราดล ได้อธิบายว่าขั้นตอนของการขยายพันธุ์พ่อแม่ จนถึงการผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมจะผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ต้องมีการสกัดสายพันธุ์แท้และสร้างลูกผสมขึ้นมาทดสอบ โดยน าสายพันธุ์แท้ที่เกี่ยวข้องไปท าให้มีความบริสุทธิ์และขยายพันธุ์อีกหลายครั้ง เพื่อให้เพียงพอกับการผลิต พันธุ์ลูกผสมนั้นไปในระยะเวลาหนึ่ง ซึ้งขั้นตอนการขยายพันธุ์และการเรียกชื่อเมล็ดพันธุ์ที่ได้จากการขยายพันธุ์ แต่ละขั้น ซึ่งจะเป็นการลดโอกาสของการเกิดความคลาดเคลื่อนทางพันธุกรรม หรือ Genetic Drift โดย เกรียงศักดิ์ (ไม่ระบุปีที่พิมพ์) ได้อธิบายไว้ขั้นตอนดังกล่าวไว้ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ปลูกเมล็ดพันธุ์ของสายพันธุ์แท้ที่ได้จากการผสมตัวเอง (Selfed- seed) ของแต่ละสายพันธุ์ (ประมาณชั่วที่ S6ขึ้นไป) จ านวน 500 -1,000 ต้น เพื่อท าการผสมตัวเอง เก็บเมล็ดจากแต่ละฝักแยกกัน ขั้นตอนที่ 2 ปลูกเมล็ดจากแต่ละฝักในหนึ่งแถว (Ear-to-row) แถวยาว 3 เมตร (16 ต้น) เพื่อดูแถว ที่มีลักษณะไม่ตรงตามพันธุ์ที่จะต้องคัดทิ้งไป ขั้นตอนที่ 3 น าเมล็ดที่เหลือ (Remnant seed) ของแถวที่มีลักษณะตรงตามพันธุ์รวมเข้าด้วยกัน (bulked selfed-seed) เป็น เมล็ดพันธุ์คัด (Breeder Seed) โดยปกติแล้วเมล็ดพันธุ์คัดจะมีจ านวนน้อย มีประมาณไม่เกิน 50 กิโลกรัม/สายพันธุ์ ขั้นตอนที่ 4 แบ่งตัวอย่างเมล็ดพันธุ์คัดไปปลูกในที่ปลอดเกสรจากข้าวโพดพันธุ์อื่น (isolation) โดย เว้นระยะห่างจากข้าวโพดพันธุ์อื่นอย่างน้อย 400 เมตร หรือเว้นระยะเวลาปลูกห่างกัน 20-30 วัน เพื่อป้องกัน การปลอมปนของละอองเกสร จากนั้นตัดต้นที่ไม่ตรงตามพันธุ์ทิ้งก่อนที่ต้นข้าวโพดจะออกดอก ปล่อยให้ต้น ข้าวโพดที่เหลือมีการผสมเกสรอย่างอิสระ เก็บเกี่ยวฝักและสีเมล็ดรวมกัน เป็น เมล็ดพันธุ์รักษา (Inbred Maintenance Seed) โดยปกติแล้วเมล็ดพันธุ์รักษาเมื่อผ่านการปลูกขยายจากเมล็ดพันธุ์คัด ควรจะได้ไม่ต่ ากว่า 200 เท่า เช่น เมื่อใช้เมล็ดพันธุ์คัด 1 กิโลกรัม ควรปลูกขยายได้เมล็ดพันธุ์รักษา 200 กิโลกรัม เป็นอย่างน้อย ขั้นตอนที่ 5 แบ่งตัวอย่างเมล็ดพันธุ์รักษา ไปปลูกในแปลงที่ปลอดเกสรจากข้าวโพดพันธุ์อื่น (isolation) ซึ่งอาจเป็นแปลงเกษตรกรก็ได้ทั้งนี้ต้องอยู่ในก ากับของนักวิชาการ โดยเว้นระยะห่างจากข้าวโพด พันธุ์อื่นอย่างน้อย 200 เมตร หรือเว้นระยะเวลาปลูกห่างกัน 20-30 วัน เพื่อป้องกันการปลอมปนของละออง เกสรตัดต้นที่ไม่ตรงตามพันธุ์ทิ้งก่อนที่ต้นข้าวโพดจะออกดอก ปล่อยให้ต้นข้าวโพดที่เหลือมีการผสมเกสรอย่าง อิสระ เก็บเกี่ยวฝักและสีเมล็ดรวมกัน เป็น เมล็ดพันธุ์หลัก (Foundation Seed) โดยปกติแล้วเมล็ดพันธุ์หลัก เมื่อผ่านการปลูกขยายจากเมล็ดพันธุ์รักษา ควรจะได้ไม่ต่ ากว่า 200 เท่า เช่นกัน ทั้งนี้ในแต่ละขั้นตอนควร ค านึงถึงปัจจัยประกอบอื่นร่วมด้วย เช่น 1) การผลิตเมล็ดพันธุ์หลักของแต่ละสายพันธุ์แท้ขึ้นอยู่กับแผนการตลาดของแต่ละพันธุ์ลูกผสมว่า ต้องการผลิตจ าหน่ายในปริมาณเท่าไร ในแต่ละช่วงเวลา จะใช้สายพันธุ์ไหนเป็นฝ่ายพ่อหรือแม่ และจะปลูกทั้ง
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 11 สองสายพันธุ์แท้ในแปลงผลิตโดยใช้อัตราส่วนของแถวพ่อและแม่เป็นเท่าใดขึ้นอยู่กับลักษณะทางการเกษตรที่เอื้อต่อ การผสมข้ามพันธุ์ระหว่างพันธุ์พ่อและพันธุ์แม่ 2) เมื่อใช้เมล็ดพันธุ์หลักไปผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมจนใกล้จะหมดแล้ว จะต้องกลับไปผลิตเมล็ดพันธุ์หลัก จากเมล็ดพันธุ์รักษาใหม่และ 3) การผลิตเมล็ดพันธุ์รักษาก็จะต้องไปผลิตจากเมล็ดพันธุ์คัดเช่นเดียวกัน ดังตัวอย่าง ภาพที่ 1และ2 หมายเหตุ: ประยุกต์มาจาก MacRobert, J.F., P.S. Setimela, J. Gethi, and M. Worku. 2014. รูปภาพที่ 1 แผนผังแสดงการขยายเมล็ดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ ในล ากับชั้นต่างๆ ตั้งแต่เมล็ดพันธุ์คัด (G0) เมล็ดพันธุ์รักษา (G1) และเมล็ดพันธุ์หลัก (G2) ส าหรับการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลูกผสม (F1) ในแปลงของเกษตรกร หมายเหตุ: ประยุกต์มาจาก ราเชนทร์ ถิรพร. 2539. รูปภาพที่ 2 แผนผังแสดงการขยายเมล็ดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สายพันธุ์แท้ในล าดับชั้นต่างๆ กับผู้ที่มีส่วน รับผิดชอบหรือด าเนินการในขั้นตอนเหล่านั้น ตัวอย่างการขยายสายพันธุ์แท้ เมล็ดพันธุ์คัด (BS) – 1 กก. เมล็ดพันธุ์รักษา (MS) – 200 กก. เมล็ดพันธุ์หลัก (FS) – 40,000 กก. ปล่อยผสมอิสระในแปลงปลอดละอองเกสร อย่างน้อย 400 ม.
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 12 บทที่ 3 ขั้นตอนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมเดี่ยว ปัจจุบันข้าวโพดลูกผสมส่วนใหญ่ที่จ าหน่ายในท้องตลาดเป็นข้าวโพดลูกผสมเดี่ยวเกือบ 99% ดังนั้น ในการพัฒนาเทคโนโลยีของการผลิตเมล็ดพันธุ์จึงมุ่งเน้นในการเพิ่มผลผลิตในสายพันธุ์แม่ พัฒนาขั้นตอนการ ผลิตให้ผลิตได้ง่ายและให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ที่จ าหน่ายได้สูง ซึ่งเริ่มตั้งแต่การเลือกพื้นที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ สายพันธุ์ ที่ใช้ปลูก วิธีการปลูก การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว และรวมถึงขบวนการหลังการเก็บเกี่ยว แต่ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ นั้นได้จากสายพันธุ์แม่เท่านั้น ดังนั้นสัดส่วนของแถวสายพันธุ์แม่ (ตัวเมีย) ต่อสายพันธุ์พ่อ (ตัวผู้) ขึ้นอยู่กับการ จัดการและระบบการผลิตและเทคโนโลยีที่ใช้อาจเป็นอัตรา 3:2 และ 3:1 แบบแถวคู่ หรือ 4:1 และ 6:1 แบบ แถวเดี่ยว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการโปรยละอองเกสรของต้นตัวผู้รวมถึงการบริหารจัดการแปลงผลิต ของแต่ละพื้นที่ ซึ่งการผลิตเมล็ดพันธุ์มีเป้าหมายส าคัญ 2 ประการคือ ผลผลิตและคุณภาพเมล็ดพันธุ์ โดยใช้ หลักการเดียวกันกับการผลิตข้าวโพดลูกผสมทั่วไป สามารถอธิบายรายละเอียดได้ดังต่อไปนี้ 1. การเลือกพันธุ์ดี การเลือกพันธุ์ดีหมายถึง การเลือกชนิดของพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส าหรับจ าหน่ายเป็นพันธุ์การค้า ควรเป็นพันธุ์ที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ง่ายให้ผลผลิตเมล็ดของลูกผสม (Grain) และ ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ (Seed) คุ้มค่า ต่อการลงทุนในเชิงธุรกิจไม่ว่าจะทั้งเกษตรกรและผู้ประกอบการ ทั้งนี้พันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรนิยม ปลูกกันอยู่ทั่วไป สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้ 1.1 พันธุ์ผสมเปิดหรือพันธุ์ผสมปล่อย (Open pollinated variety) คือพันธุ์ที่เกิดจากการน าพันธุ์ผสมเปิดหรือสายพันธุ์จากพันธุ์ต่าง ๆ มาผสมรวมกัน แล้วคัดเลือก ภายในพันธุ์ให้มีลักษณะผลผลิตและเกษตรกรรมอื่น ๆ ดียิ่งขึ้นจนมีลักษณะใหญ่ๆ ร่วมกัน พันธุ์ผสมเปิดจะมี ความสม่ าเสมอในลักษณะต่าง ๆ น้อยกว่าพันธุ์ลูกผสม ศักยภาพในการให้ผลผลิตต่ ากว่าพันธุ์ลูกผสมที่ดี ข้อดี คือ เกษตรกรสามารถเก็บเมล็ดใช้ท าพันธุ์ต่อได้และเมล็ดพันธุ์มีราคาถูก เช่น พันธุ์สุวรรณ 1 และพันธุ์สุวรรณ 5 เป็นต้น ปัจจุบันเกษตรกรนิยมใช้เพื่อผลิตต้นข้าวโพดสดและข้าวโพดหมักส าหรับเลี้ยงปศุสัตว์ เช่น โคเนื้อ หรือโคนม ทั้งนี้มีสัดส่วนพื้นที่ปลูก พันธุ์ผสมเปิดหรือพันธุ์ผสมปล่อย ประมาณ 1% 1.2 พันธุ์ลูกผสม (Hybrids) คือเมล็ดพันธุ์ชั่วแรก (F1) ที่เกิดจากการผสมระหว่างสายพันธุ์แท้ (inbred line) ที่ใช้เป็นสายพันธุ์แม่ (ต้องการผลผลิตจากฝัก) และสายพันธุ์พ่อ (ต้องการเพียงละอองเกสร) ตั้งแต่ 2-4 สายพันธุ์ ปัจจุบัน 99% เป็น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว (Field Corn Single Cross Hybrids) ส าหรับขั้นตอนและกระบวนการผลิตเมล็ด พันธุ์ข้าวโพดลูกผสมนั้นมีความละเอียดอ่อน แตกต่าง และยุ่งยากกว่าการผลิตข้าวโพดอุตสาหกรรมทั่วไป ซึ่งต้อง ใช้เวลาและต้นทุนที่สูงกว่า อีกทั้งการเก็บเกี่ยวผลผลิตสามารถเก็บได้เพียง 2 ใน 3 หรือ 3 ใน 4 ส่วน ของพื้นที่ ปลูกเท่านั้นส่งที่เหลือคือสายพันธุ์พ่อที่ต้องมีการตัดทิ้งหลังโปรยละอองเกสรหมด ดังนั้นราคาของเมล็ดพันธุ์ ลูกผสมเดี่ยวจึงมีราคาจ าหน่ายค่อนข้างสูง การเลือกชนิดของพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส าหรับผลิตเมล็ดพันธุ์นั้นต้อง ค านึงถึงต้นทุนและผลตอบแทนด้วย ปกติแล้วพันธุ์ที่ดีควรสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ดีด้วยผลตอบแทนหรือก าไร
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 13 ต้องไม่ต่ ากว่า 35% ของต้นทุน ดังตัวอย่างแผนการผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ภาคผนวก 1 ที่ส าคัญสายพันธุ์ แท้พ่อ-แม่ ต้องมีความบริสุทธิ์ของสายพันธุ์ มีแหล่งที่มาชัดเจน และถูกต้องตรงตามพันธุกรรมของสายพันธุ์นั้นๆ สายพันธุ์พ่อและสายพันธุ์แม่ที่ดีควรมีวันออกไหมและวันโปรยละอองเกสรตรงกัน อีกทั้งควรเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิต สูง ปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ต้านทานต่อโรคและแมลง มีระบบรากและล าต้นแข็งแรง เจริญเติบโตเร็ว ทนทานต่อสภาพแห้งแล้ง และทนทานต่อสภาพน้ าท่วมขังพอสมควร ต้านทานต่อโรคฝักและเมล็ดเน่า ดังแสดงใน ตารางที่ 1 โดยขอยกตัวอย่างพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์ดีของภาครัฐ ที่ส่งเสริมเป็นพันธุ์การค้ามาตั้งแต่ปี 2563 และยังสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ คือ พันธุ์สุวรรณ 5731 และ พันธุ์สุวรรณ 5819 ตารางที่ 1 แสดงลักษณะทางการเกษตรที่ดีของสายพันธุ์แท้แม่-พ่อ ส าหรับใช้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลูกผสมเดี่ยว สายพันธุ์แม่ (Female parent) ที่ดี สายพันธุ์พ่อ (Male parent) ที่ดี 1. ความสูงต้นและความสูงฝักต่ า ลักษณะใบตั้งตรง 1. ความสูงต้นมากกว่าสายพันธุ์แม่ 2. ระบบรากแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย 2. ระบบรากแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย 3. ต้านทานโรคทางใบ และแมลงศัตรูพืชได้ดี 3. ต้านทานโรคทางใบ และแมลงศัตรูพืชได้ดี 4. อายุวันออกไหม 50% ตรงกันกับวันสลัดละอองเกสร 50% ของสายพันธุ์พ่อ 4. อายุวันสลัดละอองเกสร 50% ตรงกันกับวัน ออกไหม 50% ของสายพันธุ์แม่ 5. ถอดช่อดอกตัวผู้ง่าย ไม่เหนียว 5. มีการชูช่อของช่อดอกตัวผู้ดี 6. ศักยภาพการออกไหมดีมาก 6. ขนาดของดอกตัวผู้ใหญ่และยาว ก้านแขนง เยอะ 7. การติดเมล็ดดี (ติดตั้งแต่โคนฝัก-ปลายฝัก) 7. ปริมาณละอองเกสรเยอะ 8. ขนาดของฝักใหญ่และยาว 8. ช่วงระยะการบานของดอกตัวผู้นาม (> 6 วัน) 9. จ านวนแถวมากกว่า 14 แถว และจ านวนเมล็ดต่อแถวมาก 9. สามารถขยายเมล็ดพันธุ์หลัก (G2) ได้มากกว่า 300 กก./ไร่ 10. ให้น้ าหนักฝัก (15% ความชื้น) ไม่ต่ ากว่า 800 กก./ไร่ 11. เปอร์เซ็นต์กะเทาะสูง 12. มีขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางเมล็ด ขนาด 3 หุน (9 มม.) มากกว่า 70% 13. ให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ที่จ าหน่ายได้มากกว่า 400 กก./ไร่ 14. สามารถขยายเมล็ดพันธุ์หลัก (G2) ได้มากกว่า 300 กก./ไร่ 1.3 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว พันธุ์สุวรรณ 5731 ได้จากการผสมพันธุ์ระหว่าง สายพันธุ์แท้เกษตรศาสตร์63 (Ki 63) ({(Ki 49 x Kei 9806)-F2-S7-4-1- 1-B x Kei 0703}-F2-S7-9-1-1-1-1-1) กับ สายพันธุ์แท้เกษตรศาสตร์48 (Ki 48) (Pioneer 3013-S8-57-2) ล า ต้นตั้งตรง มีความสูงต้นเฉลี่ย 218 ซม. ความสูงฝักวัดจากพื้นดินถึงข้อฝักบนสุดสุด เฉลี่ย 122 ซม. ใบมีลักษณะ ยาวรี ตั้งตรง (Erect) ความกว้างของใบรองฝักบนสุดมีขนาดปานกลาง เฉลี่ย 10.2 ซม. และยาวเฉลี่ย 90.6 ซม. ความกว้างฝักเฉลี่ย 4.7 ซม. ความยาวฝักเฉลี่ย 21.4 ซม. ความยาวติดเมล็ดเฉลี่ย 21.4 ซม. จ านวนเมล็ดต่อ แถวเฉลี่ย 40.8 เมล็ด และมีจ านวนแถวต่อฝักเฉลี่ย 14 แถว จากการปลูกทดสอบผลผลิตในฤดูแล้งของจังหวัด นครราชสีมา ในช่วงเวลาปี 2560-2561 จ านวน 12 แปลงปลูก พบว่า พันธุ์สุวรรณ 5731 ให้ผลผลิตเฉลี่ย
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 14 1,117 กก./ไร่ เปอร์เซ็นต์กะเทาะ 79.8% โดยให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์การค้าบางพันธุ์ เช่น KKK Super และ Pac 339 โดยมีลักษณะเด่นประจ าพันธุ์คือ 1) ผลผลิตเฉลี่ยที่ความชื้น 15 เปอร์เซ็นต์ ประมาณ 1,586 กก./ไร่ 2) อายุเก็บเกี่ยว 110-120 วัน 3) เปอร์เซ็นต์การกะเทาะสูง ประมาณ 82 เปอร์เซ็นต์4) ต้านทานโรคราน้ าค้าง และโรคทางใบได้ดี5) เมล็ดเป็นสีส้มเหลืองและกึ่งหัวแข็ง 5) อายุออกดอกตัวผู้และตัวเมียพร้อมกัน ประมาณ 53-57 วัน และในปี พ.ศ. 2562 ในฤดูต้นฝน (ระหว่างเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม) ได้ท าการปลูกทดสอบผลิต เมล็ดพันธุ์แบบเชิงการค้า โดยใช้พื้นที่ปลูก 12.5 ไร่ ณ ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ พบว่า สามารถ ผลิตเมล็ดพันธุ์ที่สามารถจ าหน่ายได้ (Commercial seed yield) ปริมาณรวมทั้งสิ้น 6,340 กก. เฉลี่ย 507.20 กก./ไร่ นอกจากนี้ประเสริฐ และคณะ (2564) ยังได้ทดสอบเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พันธุ์สุวรรณ 5731 ภายใต้โครงการ “การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์เชิงธุรกิจ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลูกผสมพันธุ์ใหม่ พันธุ์สุวรรณ 5720 สุวรรณ 5731 สุวรรณ 5819 และ สุวรรณ 5821” แหล่งทุน ส านักงาน พัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โดยปลูกทดสอบใน 3 ฤดู (ได้แก่ ฤดูแล้ง ฤดูต้นฝน และฤดูปลาย ฝน) พบว่า ให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ที่จาหน่ายได้ ที่เปอร์เซ็นต์ความชื้น 12% มีค่าเฉลี่ยของการทดลองเท่ากับ 468 กก./ไร่ ฤดูปลูกที่เหมาะสมคือฤดูแล้งให้ผลผลิตสูงสุด 538 กก./ไร่ และเมื่อปลูกที่ระยะ 60 x 20 ซม. ร่วมกับ อัตราปลูก 4:1 มีแนวโน้มให้ผลผลิตดีสุด 511 กก./ไร่อีกทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์สุวรรณ 5731 ได้ขึ้นทะเบียน พันธุ์เพื่อการค้ากับกรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563 ซึ่งปัจจุบันได้ผลิตและจ าหน่ายเมล็ด พันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์สุวรรณ 5731 รวมแล้วกว่า 25,000 กิโลกรัม รูปภาพที่ 3 ลักษณะสายพันธุ์พ่อ-แม่ และลูกผสมพันธุ์สุวรรณ 5731 ได้ขึ้นทะเบียนพันธุ์เพื่อการค้ากับกรม วิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 15 1.4 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว พันธุ์สุวรรณ 5819 ได้จากการผสมพันธุ์ระหว่างสายพันธุ์แท้เกษตรศาสตร์ 64 (Ki 64) (Suwan3(S)C8-F3-S6-142-1-1- 1-1-B)กับ สายพันธุ์แท้เกษตรศาสตร์60 ((Agron 12 x Ki 49)-F2-S9-2-1-3-1-1)ล าต้นตั้งตรง มีความสูงต้นเฉลี่ย218 ซม. ความสูงฝักวัดจากพื้นดินถึงข้อฝักบนสุดสุด เฉลี่ย 136 ซม. ใบมีลักษณะใหญ่ ค่อนข้างตั้งตรง (Semi-erect) ความกว้างของใบ รองฝักบนสุดกกว้าง เฉลี่ย 12.2 ซม.และยาวเฉลี่ย 100.9 ซม. ความยาวของก้านช่อดอกเกสรตัวผู้ที่ จากฐานใบธงถึงปลายยอดของเกสรตัวผู้เฉลี่ย 49.0 ซม. ความกว้างฝักเฉลี่ย 4.8 ซม. ความยาวฝักเฉลี่ย 23.0 ซม. ความยาวติดเมล็ดเฉลี่ย 22.7 ซม. จ านวนเมล็ดต่อแถวเฉลี่ย 46 เมล็ด และมีจ านวนแถวต่อฝักเฉลี่ย 16 แถว มี ลักษณะเด่นประจ าพันธุ์ดังนี้ 1) ผลผลิตเฉลี่ยที่ความชื้น 15เปอร์เซ็นต์ ประมาณ 1,586 กิโลกรัมต่อไร่2) อายุเก็บ เกี่ยว 110-120วัน 3) เปอร์เซ็นต์การกะเทาะสูง ประมาณ 83เปอร์เซ็นต์4) ต้านทานโรคราน้ าค้าง และโรคทางใบได้ ดี5) เมล็ดเป็นสีส้มเหลืองและกึ่งหัวแข็งและ 6) อายุออกดอกตัวผู้และตัวเมียพร้อมกัน ประมาณ 53-58 วัน โดยใน ฤดูต้นฝน ปี 2563 – ฤดูแล้ง ปี 2564 ได้เริ่มปลูกผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อจ าหน่าย ณ ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่าง แห่งชาติ โดยใช้อัตราปลูกสายพันธุ์แม่:สายพันธุ์พ่อ คือ 4:1 ระยะระหว่างแถว 70 ซม. ระยะระหว่างต้น 20 ซม. พื้นที่ปลูก 37.5 ไร่ พบว่า ได้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ที่จ าหน่ายได้รวมทั้งสิ้น 10,545.00 กิโลกรัม เฉลี่ย 281.2 กก./ไร่ซึ่ง ถือว่าได้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์จ าหน่ายค่อนข้างต่ า เมื่อเทียบกับศักยภาพของพันธุ์ ดังนั้น ประเสริฐ และคณะ (2564) จึงได้ท าการทดสอบเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์ สุวรรณ 5819 โดยมีเป้าหมายคือสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์จ าหน่ายได้มากกว่า 400 กก./ไร่ ภายใต้โครงการ “การพัฒนา เทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์เชิงธุรกิจ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมพันธุ์ใหม่ พันธุ์สุวรรณ 5720 สุวรรณ 5731 สุวรรณ 5819 และ สุวรรณ 5821”แหล่งทุน ส านักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โดยปลูกทดสอบ 3 ฤดู ในปี 2564 พบว่า ให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ที่จ าหน่ายได้ที่เปอร์เซ็นต์ความชื้น 12% มีค่าเฉลี่ยของการทดลอง 403 กก./ ไร่ฤดูปลูกที่เหมาะสมคือฤดูปลายฝนให้ผลผลิตสูงสูงสุด513 กก./ไร่และเมื่อปลูกที่ระยะ60 x 20 ซม. ร่วมกับอัตรา ปลูก4:1 มีแนวโน้มให้ผลผลิตดีสุด414 กก./ไรอีกทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์สุวรรณ 5819 ได้ขึ้นทะเบียนพันธุ์เพื่อ การค้ากับกรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563 ซึ่งปัจจุบันได้ผลิตและจ าหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยง สัตว์พันธุ์สุวรรณ 5819 รวมแล้วกว่า 50,000 กิโลกรัม รูปภาพที่ 4 ลักษณะสายพันธุ์พ่อ-แม่ และลูกผสมพันธุ์สุวรรณ 5819 ทีได้ขึ้นทะเบียนพันธุ์เพื่อการค้ากับกรม วิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 16 2. การเลือกพื้นที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ 2.1 พื้นที่และท าเลที่ตั้งของแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ ควรเลือกพื้นที่ให้เหมาะสมกับชนิดพืช โดยพิจารณาถึงสภาพพื้นที่ เช่น ความลาดเอียง สภาพและ ลักษณะของดิน ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ค่าความเป็นกรด-ด่าวที่เหมาะสม (pH 5.6-6.8) อินทรียวัตถุในดิน แหล่งน้ าชลประทาน (ข้าวโพดต้องการน้ าประมาณ 600 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ ทั้งฤดู) การจัดการด้านแรงงานใน พื้นที่ ระยะทางในการขนส่งผลผลิตจากแปลงผลิตไปยังสถานที่อบลดความชื้นและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ควรอยู่ บริเวณใกล้เคียงกัน หรือทิ้งช่วงเวลาห่างหลังจากเก็บเกี่ยวไม่ควรเกิน 24 ชั่วโมง สภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม เช่นสภาพภูมิอากาศ แห้งและเย็น ฝนไม่ตกชุก กลางวันแดดจ้ากลางคืนเย็น อุณหภูมิที่เมาะสมเฉลี่ย 24-30 องศาเซลเซียส 2.2 การก าหนดระยะห่างจากแปลงอื่น (Isolation) หลักการส าคัญของการเลือกพื้นที่ปลูกคือ การก าหนดระยะห่างของแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ควร ห่างไกลจากแปลงผลิตข้าวโพดพันธุ์อื่น อย่างน้อย 200-500 เมตร และควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อ ป้องกันการปนเปื้อนของละอองเกสร ท าให้เมล็ดพันธุ์ที่ได้ไม่บริสุทธิ์และเกิดการปลอมปนของพันธุ์Zuber และ Darrah (1987) รายงานว่า เมล็ดข้าวโพดที่ผสมติดอยู่ในแถวพันธุ์แม่นั้นต้องเป็นเมล็ดที่เกิดจากการผสมของ ละอองเกสรตัวผู้ของแถวพันธุ์พ่อเท่านั้น โดยความห่างระหว่างแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์กับข้าวโพดพันธุ์อื่น ต้อง ปลอดละอองเกสรในระยะอย่างน้อย 200 เมตร หรือหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือจัดการเรื่องของระยะทางได้ (Distance isolation) ก าหนดให้มีการปลูกเหลื่อมเวลา (Time isolation) ของแต่ละพันธุ์อย่างน้อย 3 สัปดาห์ (20-30 วัน หลังหยอดเมล็ดและให้น้ าทันที) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุการออกดอกตัวผู้และการออกไหมของพันธุ์ที่ใช้ ผลิตเมล็ดพันธุ์และพันธุ์อื่น ทั้งนี้พื้นที่และที่ตั้งของแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ควรปราศจากเมล็ดข้าวโพดตกค้างมา จากฤดูก่อน (Volunteer plant) รวมถึงข้าวโพดที่ขึ้นมาในพื้นที่ใกล้เคียง รูปภาพที่ 5 แสดงตัวอย่างการจัดการพื้นที่และท าเลที่ตั้งของแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ณ ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 17 3. สภาพแวดล้อมในการผลิตเมล็ดพันธุ์ 3.1 ฤดูปลูกและวันปลูก โดยทั่วไปฤดูปลูกที่เหมาะสมต่อการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้นสามารถปลูกได้ทั้งปี ถ้าพื้นที่ ผลิตสามารถจัดการน้ าได้แต่สามารถแบ่งช่วงเวลาปลูกที่เหมาะสมได้ 3 ฤดู ดังนี้ 1. ฤดูแล้ง ปลูกตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม การปลูกในฤดูนี้ต้องมีระบบชลประทานเท่านั้น ฝักข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวได้อยู่ในช่วงเดือนมีนาคมเมษายน ซึ่งค่อนข้างปลอดภัยต่อเชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส (Aspergillus flavus) คุณภาพฝักและเมล็ด พันธุ์ รวมถึงผลผลิตเมล็ดพันธุ์มากกว่าการปลูกในฤดูต้นฝน และปลายฝน แต่การปลูกต้องมีการเตรียมดินที่ดี และต้องมีการจัดการระบบน้ าที่ดี 2. ฤดูต้นฝน ปลูกตั้งแต่ เดือนมีนาคม – มิถุนายน การปลูกในฤดูนี้มีความเสี่ยงต่อฝนทิ้งช่วงในเดือน มิถุนายน-กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าวโพดสาย พันธุ์แม่ก าลังออกไหม และสายพันธุ์พ่อโปรยละอองเกสรถ้าหากฝนไม่ทิ้งช่วงข้าวโพดจะให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์สูง กว่าการปลูกในปลายฤดูฝนประมาณ 20 – 25 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากมีช่วงแสงยาวนานกว่า แต่มีปัญหาที่ต้อง เก็บเกี่ยวในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ซึ่งมีฝนตกหนักท าให้การเก็บเกี่ยวล าบาก ฝักหรือเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่ เก็บเกี่ยวได้มีความเสี่ยงต่อการเข้าท าลายของเชื้อรา แอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส เนื่องจากเมล็ดมีความชื้นสูง 3. ฤดูปลายฝน ปลูกตั้งแต่ เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม การปลูกในฤดูนี้ข้อดีคือลดปริมาณการให้น้ า แต่อาจมีความเสี่ยงเรื่องฝนตกหนักท าให้การ เจริญเติบโตไม่ดี เนื่องจากข้าวโพดไม่ชอบน้ าขังหรือดินแฉะมากเกินไปเป็นเวลานานหลายวัน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งสายพันธุ์ซึ่งอ่อนแอมากกว่าลูกผสม ท าให้มีผลกระทบต่อการหายใจของราก รวมทั้งลดความเป็นประโยชน์ ของธาตุอาหารในดินส่งผลให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ลดลง อีกทั้งลมพัดแรงท าให้ต้นหักล้มง่าย และปัญหาเรื่องของ การระบาดของโรคพืช เช่น โรคราน้ าค้าง โรคใบไหม้แผลใหญ่ โรคราสนิม และที่ส าคัญคือโรคล าต้นเน่าจารเชื้อ แบคทีเรียระบาดในแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์มากกว่าการปลูกในฤดูแล้ง และฤดูต้นฝน แต่ฝักข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวได้ จะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน อากาศค่อนข้างแห่งมีฝนตกน้อยส่งผลให้ฝักหรือเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยง สัตว์มีคุณภาพดีปลอดภัยจากเชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส อย่างไรก็ตาม ฤดูปลูกที่เหมาะสมต่อการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้แก่ 1) ฤดูแล้ง (ปลูกระหว่าง เดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ช้าสุดไม่ควรเกิน วันที่ 15 มกราคม ของทุกปี เพราะหากปลูกหลังจากนั้นในช่วงที่ ข้าวโพดขณะก าลังผสมหรือพัฒนาฝักและเมล็ดจะได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนท าให้ต้นข้าวโพดหักล้มและ ผลผลิตเสียหาย)และ 2) ฤดูต้นฝน (ปลูกระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม) หลักการส าคัญก็คือพืชจะต้องไม่ขาดน้ า และอากาศไม่ร้อนจัด (ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส( 0 C))ขณะสายพันธุ์แม่ออกไหม และสายพันธุ์พ่อโปรยละอองเกสร ตัวผู้ตลอดจนในช่วงของการติดเมล็ด 3.2 อุณหภูมิ อุณหภูมิของอากาศและอุณหภูมิดินมีผลกระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของ ข้าวโพด โดยเฉพาะอุณหภูมิที่ใช้ในการงอก การเจริญเติบโตในระยะแรก การออกดอก การสร้างเมล็ด และการ สุกแก่ของข้าวโพด โดยที่อุณหภูมิที่เหมาะสมส าหรับการงอกของเมล็ด และการยืดตัวของ Hypocotyl การ เจริญเติบโตทางด้านล าต้นและรากของข้าวโพด ต้องการอุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส กระบวนการ ต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ดีนั้นต้องมีอุณหภูมิระหว่าง 15-40 องศาเซลเซียส ส าหรับระยะออกดอกและระยะผสมเกสร หากมีอุณหภูมิสูงส่งผลให้ละอองเกสรตัวผู้ตาย ช่อดอกเกสรตัวผู้แห้งไหม้ การติดเมล็ดไม่สมบูรณ์ เพราะจะท า ให้เกิดการผสมไม่ติด อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของข้าวโพดอยู่ในช่วงของอุณหภูมิต่ าสุดประจ าวัน
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 18 21 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงสุดประจ าวัน 31 องศาเซลเซียส โดยข้าวโพดจะให้ผลผลิตสูงสุดเมื่ออุณหภูมิ อากาศสูงสุดประจ าวันอยู่ในช่วง 24-30 องศาเซลเซียส และหากเมล็ดพันธุ์อยู่ในช่วงของการสุกแก่ทางสรีรวิทยา ไม่ควรเป็นช่วงที่มีฝนตกชุก หรือมีความชื้นสัมพัทธ์สูง เพราะจะท าให้เกิดการเข้าท าลายของโรคและแมลง ตารางที่ 2 แสดงตัวอย่างเมล็ดพันธุ์พืชบางชนิดที่สามารถงอกได้ในอุณหภูมิที่ระดับต่างๆ ชนิดเมล็ดพืช อุณหภูมิ (องศาเซลเซียส) 0C ชื่อสามัญ ชื่อวิทยาศาสตร์ ต่ าสุด (Minimum) เหมาะสม (Optimum) สูงสุด (Maximum) ข้าว (Rice) Oryza sativa 10 – 20 20 - 30 40 – 42 ข้าวบาร์เลย์ (Barley) Hordeum vulgare 3 – 5 15 – 20 30 – 40 ข้าวโพด (Maize, Corn) Zea Mays 8 – 10 24 - 30 40 – 44 ข้าวสาลี (Common wheat) Triticum aestivum 3 – 5 15 - 20 30 - 43 ข้าวไรย์ (Rey) Secale cereale 3 – 5 10 – 15 30 - 40 แคนตาลูป (Cantaloupe) Cucumis melo 16 – 19 20 – 30 45 - 50 ถั่วเหลือง (Soybean) Glycine max 8 20 - 35 40 มะเขือเทศ (Tomato) Lycopersicon esculentum 20 20 - 30 35 – 40 ยาสูบ (Tobacco) Nicotiana tabacum 10 24 30 หมายเหตุ: ประยุกต์มาจาก จวงจันทร์ ดวงพัตรา. 2529. 4. การเตรียมแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ 4.1 การเตรียมดิน การเตรียมดินเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการส่งเสริมการงอกของเมล็ด การตั้งตัวของต้นกล้า คลุกเคล้าอินทรียวัตถุให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์อย่างสม่ าเสมอ ลดการแข่งขันของวัชพืชกับข้าวโพดในระยะเริ่ม งอก ท าลายโรคและแมลงที่อาศัยอยู่ในดิน ต่อมามีการใช้สารเคมีบางชนิดก าจัดวัชพืชได้ผลดี ท าให้เกษตรกร สามารถลดการไถพรวน และใช้สารเคมีก าจัดวัชพืชได้ ประกอบกับการไถพรวนมากครั้งด้วยเครื่องจักรกล การเกษตร อาจจะมีผลกระทบต่อการอัดแน่นของดิน ส าหรับการเตรียมดินมีวัตถุประสงค์เพื่อท าให้โครงสร้าง ของดินมีสภาพที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืช ควบคุมและก าจัดวัชพืช เตรียมผิวดินให้เหมาะแก่การ ชลประทาน และเป็นการเพิ่มปุ๋ย หากมีการไถกลบซากพืชหรือพืชสดลงในดิน อีกทั้งเป็นการควบคุมโรคและ แมลงที่เป็นศัตรูพืช มีวิธีการดังนี้ 4.1.1 ตรวจวิเคราะห์ดิน โดยลักษณะของดินต้องมีปริมาณธาตุอาหารเพียงพอ ตามตารางที่ 3 โดย เกษตรกร หรือผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์สามารถสุ่มตัวอย่างดินไปวิเคราะห์ที่หน่วยงานขิงราชการที่ให้บริการ เช่น กรม วิชาการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือมหาวิทยาลัยอื่นๆ เป็นต้น 4.1.2 ไถดะหรือไถบุกเบิกด้วยผาน 3 หรือผาน 4 ลึก 30 - 40 เซนติเมตร และตากดินไว้ระยะหนึ่ง ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะช่วยลดปริมาณวัชพืชและซากวัชพืชหรือก าจัดโรคและแมลงที่เคยระบาดได้ 4.1.3 ไถแปรหรือไถพรวนด้วยผาน 7 1-2 ครั้ง แล้วตามด้วยจอบหมุน (Rotary Tillers) หรือกรณี ของศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ ใช้การไถพรวนชนิด 22 ผาน ในการพรวนหยาบ แล้วตามด้วย ไถพรวนชนิด 24 ผาน ในการพรวนละเอียด จากนั้นตากดินไว้ระยะหนึ่งประมาณ 3- 5 วัน จะช่วยลดปริมาณ วัชพืชและซากพืชหรือก าจัดโรคและแมลงที่เคยระบาดได้ 4.1.4 กรณีที่ดินไม่สามารถระบายน้ าได้ดีหรือมีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ สามารถยกร่องปลูกได้ตาม ต้องการ
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 19 รูปภาพที่ 6 การเตรียมดินด้วยการไถดะหรือไถบุกเบิกด้วยผาน 3 ไถพรวนหยาบและละเอียดด้วยผาน 22 และ 24 ใบ การยกร่องก่อนปลูก และ การไถระเบิดดินดานด้วยเครื่องจักรกลทางการเกษตร 4.2 ปุ๋ยและการใส่ปุ๋ย ดินที่เหมาะกับการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดรวมถึง การปลูกข้าวโพดโดยทั่งไปควรมีระดับความเป็น กรดและด่าง (pH) ระหว่าง 5.6-6.8 ดินแต่ละชนิดมีความอุดมสมบูรณ์ของดินแตกต่างกัน การใส่ปุ๋ยเคมีกับข้าว โพดจึงควรใส่ปุ๋ยให้ถูกชนิด สูตร อัตราและเวลา การน าดินไปวิเคราะห์เพื่อรับค าแนะน าการใช้ปุ๋ยจะท าให้ ข้าวโพดได้รับธาตุอาหารอย่างพอเพียง ประหยัดต้นทุนและได้ผลก าไรสูงสุด อย่างไรก็ตาม การใส่ปุ๋ยเพื่อผลิต เมล็ดพันธุ์นอกจากให้ผลผลิตสูงแล้ว ยังต้องค านึงถึงความสมบูรณ์ของเมล็ดพันธุ์อีกด้วย ดังนั้น ค าแนะน าการ ใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน จึงเป็นเพียงค าแนะน าเบื้องต้นส าหรับผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์เท่านั้น 4.2.1 การใส่ปุ๋ยรองพื้น หมายถึง การใส่ปุ๋ยก่อนปลูกข้าวโพด โดยการปฏิบัติอาจหว่านปุ๋ยในบริเวณ แปลงปลูก โดยใช้แรงงานคน หรือเครื่องหว่านปุ๋ยแล้วพรวนดินกลบก่อนปลูกแล้วจึงท าการปลูกข้าวโพดเพื่อให้ ปุ๋ยคลุกเคล้าอยู่ในดิน เมื่อรากข้าวโพดงอกออกมจากเมล็ดจึงท าให้สามารถได้รับปุ๋ยได้ทันทีปุ๋ยที่ใส่รองพื้นใน ครั้งแรกควรมีทั้ง ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และ โพแทสเซียม (K) ในสัดส่วนตามค าแนะน า โดยเฉพาะปุ๋ย ไถดะหรือไถบุกเบิกด้วยผาน 3 ไถพรวนหยาบและละเอียดด้วยผาน 22 และ 24 ใบ การยกร่องก่อนปลูก การไถระเบิดดินดาน
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 20 P และ K นั้นเป็นปุ๋ยที่ไม่มีการเคลื่อนย้ายในดินจึงจ าเป็นต้องใส่ให้คลุกเคล้าอยู่ในดินการใส่ปุ๋ยที่มี P และ K ภายหลังปุ๋ยจะอยู่ที่ผิวดินและไม่เป็นประโยชน์กับข้าวโพด 4.2.2 การใส่ปุ๋ยท ารุ่นหรือพูนโคน หมายถึง การใส่ปุ๋ยพร้อมกับก าจัดวัชพืชหลังปลูก 20-25 วัน โดยใส่ปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0 อาจกระท าโดยใช้รถใส่ปุ๋ยท ารุ่นหรือการแซะดินให้ห่างจากโคนต้นข้าวโพด ประมาณ 15-20 เซนติเมตร แล้วกลบดิน โดยใช้แรงงานคนหรือเครื่องใส่ปุ๋ยพร้อมท ารุ่น ทั้งนี้สิ่งส าคัญคือหลัง ใสปุ๋ยท ารุ่นแล้วต้องให้น้ าตามทันที ไม่อย่างนั้นแล้ว ส าหรับค าแนะน าเพื่อเป็นแนวทางการใส่ปุ๋ยในข้าวโพดโดยทั่วไปให้เหมาะกับดินแต่ละชนิด มีดังนี้ ดินเหนียวสีด า ถ้ามีฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์สูงกว่า 10 ส่วนในล้านส่วน ให้ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 21-0-0 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร 46-0-0 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ โดยโรยข้างแถวหลังปลูก 20-25 วัน แล้ว กลบ ถ้าฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ต่ ากว่า 10 ส่วนในล้านส่วน ให้ปุ๋ยเคมีสูตร 20-20-0 อัตรา 40 กิโลกรัมต่อ ไร่ หรือสูตร 16-20-0 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ รองก้นร่องพร้อมปลูก และให้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 10 กิโลกรัม ต่อไร่ หรือสูตร 21-0-0 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ โรยข้างแถวหลังปลูก 20-25 วัน แล้วพรวนดิน ดินเหนียวสีด า ถ้ามีฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์สูงกว่า 10 ส่วนในล้านส่วน ให้ปุ๋ยเคมีสูตร 21-0-0 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร 46-0-0 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ โดยโรยข้างแถวหลังปลูก 20-25 วันถ้า ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ต่ ากว่า 10 ส่วนในล้านส่วน ให้ปุ๋ยเคมีสูตร 20-20-0 อัตรา 40 กิโลกรัมต่อไร่ หรือ สูตร 16-20-0 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ รองก้นร่องพร้อมปลูก และให้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร 21-0-0 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ โรยข้างแถวหลังปลูก 20-25 วัน แล้วพรวนดินกลบ ดินเหนียวสีแดง ดินเหนียวสีน้ าตาล หรือดินร่วนเหนียวสีน้ าตาล ให้ปุ๋ยเคมีสูตร 16-20-0 หรือ 16-16-8 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ รองก้นร่องพร้อมปลูก และให้ปุ๋ยเคมีสูตร 21-0-0 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร 46-0-0 อัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ โรยข้างแถวหลังปลูก 20-25 วัน แล้วพรวนดินกลบ ดินร่วน หรือดินร่วนทราย ให้ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 หรือสูตร 15-15-15อัตรา 50กิโลกรัมต่อไร่ รองก้น ร่องพร้อมปลูกและปุ๋ยเคมีสูตร21-0-0อัตรา30กิโลกรัมต่อไร่ โรยข้างแถวหลังปลูก20-25วัน แล้วพรวนดินกลบ ตารางที่3 ปริมาณวิกฤติของธาตุอาหารที่อยู่ในดินส าหรับการเจริญเติบโตและการพัฒนาของข้าวโพด ธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารจุลธาตุ/อาหารเสริม ไนโตรเจน (N) = 3.0% แคลเซียม (Ca) = 0.4% แมงกานีส (Mn) = 15 ppm ฟอสฟอรัส (P) =0.25% แมกเนเซียม (Mg) = 15 ppm เหล็ก (Fe) = 25 ppm โพแทสเซียม (K) = 1.9% ก ามะถัน (S) = 1.5 ppm ทองแดง (Cu) = 5 ppm โบรอน (B) 10-14 ppm สังกะสี (Zn) = 15-20 ppm โมลิบดินั่ม (Mo) = 0.5-1.0 ppm หมายเหตุ: ประยุกต์มาจาก Barber and Olson (1968) และ ราเชนทร์ ถิรพร. (2539).
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 21 รูปภาพที่ 7 ตัวอย่างของปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ (15-15-15) ส าหรับรองพื้นก่อนปลูก และปุ๋ยเคมีสูตร (46-0-0) ส าหรับการใส่ปุ๋ยท ารุ่นหรือพูนโคนโดยใช้เครื่องใส่ปุ๋ยพร้อมท ารุ่นติดท้ายแทรกเตอร์ แหล่งที่มา ภาพโดย: Pioneer A DuPont Business Hi-Bred. 2010. PHII. รูปภาพที่ 8 การแสดงลักษณะของใบ และผลผลิตฝักของข้าวโพดเมื่อมีอาการขาดธาตุอาหารที่จ าเป็นต่อการ เจริญเติบโต
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 22 5. ขั้นตอนการปลูก 5.1 การเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ เมล็ดพันธุ์สายพันธุ์แม่กับสายพันธุ์พ่อที่ใช้ผลิตลูกผสมเดี่ยว ควรใช้เมล็ดพันธุ์หลัก (Foundation Seed หรือ G2) หรือชั้นเมล็ดพันธุ์ขยายจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และมีหลักฐาน การตรวจสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์ ทดสอบความงอกของเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูก เพื่อใช้ในการค านวณปริมาณของเมล็ดพันธุ์ ที่จะใช้ปลูก สามารถ ศึกษารายละเอียดได้ในบทที่ 2 5.2 อัตราปลูก ส าหรับขั้นตอนการปลูกส าหรับผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยวนั้น เป็นการปลูกสลับ สายพันธุ์แม่กับสายพันธุ์พ่อ (Crossing block) โดยมีการก าหนดอัตราส่วนในการปลูกระหว่างแถว สายพันธุ์แม่: สายพันธุ์พ่อ และระยะปลูกอย่างเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น 1) ปลูกแบบแถวเดี่ยว อัตรา 4:1 หรือ 6:1 ระยะระหว่างแถว 60 - 70 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 15 - 20 เซนติเมตร 2) ปลูกแบบแถวคู่ ใช้อัตรา 3:2 หรือ 3:1 แบบแถวคู่ ระยะระหว่างแถว 90 - 110 เซนติเมตร ระยะ ระหว่างต้น 15 - 25 เซนติเมตร และระยะระหว่างแถวคู่ 25 - 30 เซนติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของการผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมแต่ละพันธุ์ และสิ่งส าคัญคือช่วงการออก ไหม 50 เปอร์เซ็นต์ ของแถวสายพันธุ์แม่ และช่วงการปล่อยละอองเกสร 50 เปอร์เซ็นต์ ของแถวสายพันธุ์พ่อ ควรใกล้เคียงกัน (Good nicking) ซึ่งรายละเอียดมีดังนี้ รูปภาพที่ 9 การปลูกแบบแถวเดี่ยว อัตรา 4:1 ระยะระหว่างแถว 60 - 70 ซม. และระยะระหว่างต้น 15 - 20 ซม. รูปภาพที่ 10 การปลูกแบบแถวคู่อัตรา 3:1 ระยะระหว่างแถว 90 - 110 ซม. ระยะระหว่างแถวคู่ 25 - 35 ซม. และระยะระหว่างต้น 15 - 25 ซม.
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 23 วนัที่ 1 2 3 4 5 ปลกูพอ่แถวที่ 1 ปลกูพอ่แถวที่ 2 ปลกูแม่ ให้น ้ำตำมทันที ให้น ้ำตำมทันที ให้น ้ำตำมทันที ระบบปลูก 4 - 2 - 0 การปลูก เวน้ 1 วนัเวน้ 1 วนั การจัดวันปลกูระหว่างสายพันธุ์พ่อ-แม่ระบบ 4-2-0 5.3 การจัดวันปลูกสายพันธุ์พ่อ-แม่ การจัดวันปลูกระหว่างสายพันธุ์พ่อ-แม่ (Nicking หรือ Split planting) คือ การปลูกสายพันธุ์พ่อ และ สายพันธุ์แม่พร้อมกัน หรือ ปลูกสายพันธุ์พ่อก่อนหรือหลังสายพันธุ์แม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ เทคนิค และวิธีการปลูกของ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยวแต่ละพันธุ์ สิ่งส าคัญคือช่วงการออกไหม 50 เปอร์เซ็นต์ และช่วงการปล่อยละออง เกสร 50 เปอร์เซ็นต์ ต้องตรงกัน โดยปกติแล้วความคาดหวังของผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ ต้องการพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมที่ ปลูกสายพันธุ์พ่อ-แม่ วันเดียวกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้วหาพันธุ์ลูกผสมแบบนี้ได้ค่อนข้างยาก โดยส่วนใหญ่จะปลูก ไม่พร้อมกัน จะห่างกันประมาณ 3-5 วัน ทั้งนี้พันธุ์ลูกผสมที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ง่ายควรจัดวันปลูกไม่ควรเกิน 7 วัน หากเกิน ควรคัดเลือกพันธุ์ทิ้งตั้งแต่ขั้นตอนของการปรับปรุงพันธุ์ ถึงแม้พันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้นจะให้ผลผลิตดี มากเพียงใดก็ตาม ยกตัวอย่าง 2 กรณี ดั้งนี้ กรณีที่ 1 สายพันธุ์พ่อปล่อยละอองเกสร หลังวันออกไหมสายพันธุ์แม่ เช่น การผลิตเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พันธุ์สุวรรณ 5819 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่สายพันธุ์พ่อมีวันสลัดละอองเกสร 50% หลังวันออกไหม 50% สายพันธุ์แม่ 4 วัน จึงมีการจัดวันปลูกระหว่างสายพันธุ์พ่อ-แม่ คือระบบ 4-2-0 ดังนี้ ปลูกสายพันธุ์พ่อ จ านวน 2 ครั้งเบี่ยงกันในแถวเดิม (ปลูกแบบ Double planting/row) โดยปลูกสายพันธุ์พ่อครั้งที่ 1 ก่อน 4 วัน จากนั้นปลูก สายพันธุ์พ่ออีก ครั้งที่ 2 ก่อน 2 วัน หลังจากนั้นปลูกแถวสายพันธุ์แม่ ทั้งนี้วันที่ปลูกสายพันธุ์แม่พร้อมให้น้ าจะ นับเป็นวันที่ศูนย์ดังตารางที่ 4 ตารางที่4 การจัดวันปลูกระหว่างสายพันธุ์พ่อ-แม่ (Nicking หรือ Split planting) เมื่อสายพันธุ์พ่อปล่อยละออง เกสร 50% หลัง วันออกไหม 50% ของสายพันธุ์แม่ กรณีที่ 2 สายพันธุ์พ่อปล่อยละอองเกสร ก่อนวันออกไหมสายพันธุ์แม่ เช่น สายพันธุ์พ่อมีวันสลัด ละอองเกสร 50% ก่อนวันออกไหม 50% สายพันธุ์แม่ 4 วัน จึงมีการจัดวันปลูกระหว่างสายพันธุ์พ่อ-แม่ตรงกัน ข้ามกับกรณีที่ 1 คือระบบ 0-2-4 ดังนี้ ปลูกสายพันธุ์แม่พร้อมให้น้ าจะนับเป็นวันที่ศูนย์หลังจากนั้นปลูกสาย พันธุ์พ่อจ านวน 2 ครั้งเบี่ยงกันในแถวเดิม (ปลูกแบบ Double planting/row) โดยปลูกสายพันธุ์พ่อครั้งที่ 1 หลัง 2 วัน จากนั้นปลูกสายพันธุ์พ่ออีก ครั้งที่ 2 หลัง 4 วัน ดังตารางที่ 5 ตารางที่5 การจัดวันปลูกระหว่างสายพันธุ์พ่อ-แม่ (Nicking หรือ Split planting) เมื่อสายพันธุ์พ่อปล่อยละออง เกสร 50% ก่อน วันออกไหม 50% ของสายพันธุ์แม่ วนัที่ 1 2 3 4 5 ปลกูแม่ ปลกูพอ่แถวที่ 1 ปลกูพอ่แถวที่ 2 ให้น ้ำตำมทันที ให้น ้ำตำมทันที ให้น ้ำตำมทันที ระบบปลูก 0 - 2 - 4 การจัดวันปลกูระหว่างสายพันธุ์พ่อ-แม่ระบบ 0-2-4 การปลูก เวน้ 1 วนัเวน้ 1 วนั
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 24 5.4 วิธีการปลูก 1) ปลูกโดยใช้แรงงานคน โดยวิธีการขุดหลุมด้วย จอบ หรือเสียม หรือไม้ปลายแหลมวิธีนี้มีระยะ ระหว่างต้นและหลุม และความลึกของการปลูกไม่สม่ าเสมอ ซึ่งแก้ไขได้โดยใช้เครื่องปลูกที่เรียกว่า แจ๊ป สามารถก าหนดระยะระหว่างหลุมและความลึกได้และปลูกได้เฉลี่ย 1-2 ไร่/คน/วัน ซึ่งปัจจุบันการปลูกด้วยวิธี นี้ส าหรับแปลงขนาดใหญ่ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากใช้ระยะเวลาและแรงงานจ านวนมาก แต่จะใช้ส าหรับปลูกใน พื้นที่ขนาดเล็ก หรืองานทดลอง พื้นที่ 1- 2 ไร่ รูปภาพที่ 11 การปลูกโดยใช้แรงงานคน โดยใช้เครื่องปลูกที่เรียกว่า แจ๊ป สามารถก าหนดระยะระหว่างหลุม และความลึกได้ 2) การปลูกโดยใช้เครื่องปลูกแบบล้อเข็นโดยอาศัยแรงงานคน มีระยะระหว่างแถวชัดเจน มีความ สม่ าเสมอในระยะระหว่างหลุม ตั้งแต่ 18 – 30 ซม. และความลึกของหลุม ค่อนข้างแน่นอน มากกว่าการปลูกโดย ใช้ แจ๊ป ซึ่งนิยมใช้กันอย่าแพร่หลายในแปลงเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ในเนื่องจากมีราคาไม่สูงมากนักประมาณ 2,500 – 4,500 บาทต่อเครื่อง และสามารถปลูกได้ 3 – 5 ไร่/คน/วัน อย่างไรก็ตามต้องทดสอบการปลูกบนพื้นที่ ราบก่อนปลูกจริง และปรับจานปลูกหรือหลุมปลูกให้มีขนาดเท่ากับขนาดของเมล็ดพันธุ์ที่จะใช้ปลูก รูปภาพที่ 12 การปลูกโดยใช้เครื่องปลูกแบบล้อเข็นโดยอาศัยแรงงานคน มีความสม่ าเสมอในระยะระหว่าง หลุม ตั้งแต่ 18 – 30 เซนติเมตร
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 25 3) การปลูกโดยใช้เครื่องปลูกติดท้ายรถแทรกเตอร์โดยสามารถปลูกแยกเฉพาะสายพันธุ์แม่ (2 แถว, 4 แถว หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับพื้นที่และก าลังเครื่องยนต์ของรถแทรกเตอร์) และสายพันธุ์พ่อ (1 แถว หรือ 2 แถว ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องปลูก) ข้อดี คือ เหมาะส าหรับใช้ผลิตเมล็ดพันธุ์ในพื้นที่ขนาดใหญ่ มีระยะระหว่าง แถวชัดเจน มีความสม่ าเสมอในระยะระหว่างหลุม และความลึกของหลุม ค่อนข้างแน่นอน อย่างไรก็ตามต้อง ทดสอบการปลูกบนพื้นที่ราบก่อนปลูกจริง และปรับจานปลูกและความเร็วของรถแทรกเตอร์ให้สัมพันธ์กัน เพื่อให้มั่นใจว่าเมล็ดข้าวโพดที่ปลูกได้ระยะตามที่ก าหนด ปกติเครื่องปลูกติดท้ายรถแทรกเตอร์มักจะมีถังใส่ปุ๋ย รองพื้นด้วย เมื่อปลูกเครื่องจะหยอดเมล็ดก่อนตามด้วยปุ๋ยรองพื้นจากนั้นใช้ล้อยางแบนกลบทั้งเมล็ดและปุ๋ย อยู่ด้านท้ายสามารถปรับความลึกของเมล็ดได้อีกทั้งสามารถปรับตั้งปริมาณการจ่ายปุ๋ยได้ข้อเสีย คือมี ค่าใช้จ่ายต่อเครื่องค่อนข้างแพงตั้งแต่หลักหมื่นบาท ถึงหลักแสนบาท ผู้ปลูกต้องมีความช านาญในการขับรถ แทรกเตอร์และไม่เหมาะสมกับพื้นที่ขนาดเล็ก รูปภาพที่ 13 การปลูกโดยใช้เครื่องปลูกติดท้ายรถแทรกเตอร์สายพันธุ์แม่ แบบ 4 แถว และสายพันธุ์พ่อ แบบ 1 แถว ชนิดแถวเดี่ยว หรือแถวคู่ 6. น้ า และการจัดการน้ า แปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ควรมีแหล่งน้ าเพื่อการชลประทาน ไม่ควรใช้น้ าฝนเพียงอย่างเดียวเพราะการขาดน้ า จะมีผลถึงผลผลิตและคุณภาพเมล็ดพันธุ์อย่างชัดเจน เนื่องจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องการน้ าตลอดฤดูปลูก ประมาณ 450 - 500 มิลลิเมตร หรือ 600 - 800 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ ตั้งแต่ปลูกจนกระทั่งเก็บเกี่ยว การให้น้ า ครั้งแรกควรให้หลังปลูกเสร็จประมาณ 40-45 มิลลิเมตร เพื่อให้ดินมีความชื้นเพียงพอส าหรับการงอกของเมล็ด หลังจากนั้นซ้ าน้ าอีกครั้งหลังจากให้น้ าครั้งแรก 4-5 วัน จะช่วยให้ต้นกล้างอกสม่ าเสมอ หลังจากนั้นควรให้น้ า ทุก 7-10 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้าง และชนิดของดิน หรือสังเกตจากความชื้นของผิวดิน ไม่ควร ปล่อยให้แปลงผลิตเมล็ดพันธุ์มีน้ าท่วมขัง หรือดินชื้นแฉะเป็นเวลานาน เพราะจะท าให้ข้าวโพดต้นเล็กแคระ แกน เหลือง อาจส่งผลต่อการลดลงของผลผลิตข้าวโพด เพราะเพราะสายพันธุ์แท้มีความอ่อนแอต่อสภาพปลูก นอกจากนั้นการขาดน้ าในช่วงที่พืชออกดอกและติดเมล็ดจะกระทบกระเทือนต่อผลผลิตมากที่สุด และ กระทบกระเทือนถึงคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ด้วย ดังแสดงในตารางที่ 6 โดยช่วงวิกฤตของข้าวโพดเมื่อเกิดอาการ ขาดน้ า ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ลดลงอย่างมาก คือ 1. ก่อน การออกช่อดอกเกสรตัวผู้และวันออกไหม 2 สัปดาห์ 2. หลัง การออกช่อดอกเกสรตัวผู้และวันออกไหม 2 สัปดาห์ การปลูกสายพันธุ์แม่แบบ 4 แถว การปลูกสายพันธุ์พ่อ แบบ 1 แถว ชนิดแถวคู่
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 26 ตารางที่ 6. ผลของการขาดน้ าที่มีต่อผลผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ระยะการเจริญเติบโตของข้าวโพด เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตที่ลดลง 1. ระยะต้นกล้าถึงระยะหัวเข่า 5 – 10% 2. ระยะเริ่มเห็นเริ่มเห็นช่อดอกตัวผู้โผล่ 10 – 25% 3. ระยะออกไหม หรือผสมเกสร 40 – 50% 4. ระยะเป็นเมล็ดใส 30 – 40% 5. ระยะแป้งแข็ง 20 – 30% แหล่งที่มา: ประยุกต์มาจาก Classen, M.M.,and R.H.Shaw. 1970. แหล่งที่มา ภาพโดย: https://www.doa.go.th/share/showthread.php?tid=1160 แหล่งอ้างอิง: กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 2559. รูปภาพที่ 14 แสดงความต้องการน้ าของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่เริ่มปลูก ตลอดจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิต
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 27 วิธีการให้น้ า วิธีการให้น้ าหรือระบบน้ า มีหน้าที่น าน้ าที่ถูกส่งผ่านระบบกระจายไปยังข้าวโพดโดยทั่วไปมี 4 ได้แก่ 1. การให้น้ าทางผิวดิน เช่น การให้น้ าแบบท่วมเป็นผืน (Flooding) และ แบบไหลผ่านร่อง (Furrow) 2. การให้น้ าแบบฝนเทียม หรือ สปริงเกอร์ (Sprinkler) 3. การให้น้ าแบบไมโคร เช่น แบบน้ าหยด (Drip) น้ าพุ่ง และ มินิสปริงเกอร์(Mini-sprinkler) 4. การให้น้ าทางใต้ดิน ทั้งนี้การให้น้ าทั้ง 4 ระบบนั้นมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไปและที่ส าคัญการจะเลือกใช้ระบบน้ า ระบบใดระบบหนึ่งผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ควรค านึงถึงความเหมาะสมของพื้นที่ ต้นทุน แรงงาน และการบริหาร จัดการ ปริมาณน้ า และอื่นๆ ประกอบด้วยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด รูปภาพที่ 15 ตัวอย่างของระบบน้ า แบบต่างๆ ส าหรับใช้ผลิตเมล็ดพันธุ์รวมถึงการปลูกข้าวโพดโดยทั่วไป แบบไหลผ่านร่อง (Furrow) แบบฝนเทียม โดยใช้เครื่อง Linear irrigation แบบฝนเทียม ด้วยสปริงเกอร์ (Sprinkler) แบบไมโคร ด้วยแบบน้ าหยด (Drip)
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 28 7. การตรวจสอบแปลง การตรวจสอบแปลง (Field inspection) ถือเป็นขั้นตอนที่ส าคัญในการผลิตเมล็ดพันธุ์จุดประสงค์ เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ตรงตามพันธุ์และความบริสุทธิ์ของพันธุ์ เพื่อการรับประกันหรือรับรองคุณภาพของเมล็ด พันธุ์ ซึ่งควรมีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้และความช านาญ และรู้จักสายพันธุ์พ่อ-แม่ เป็นอย่างดี ในการตรวจแปลง เกษตรกร เพื่อตรวจสอบแปลงตลอดฤดูปลูก เช่น การก าหนดระยะห่างของแปลงข้าวโพดพันธุ์อื่น การถอดช่อ ดอกเกสรตัวผู้ในแถวสายพันธุ์แม่ และการตรวจสอบพันธุ์ปนและท าการถอนทิ้งพันธุ์ปน (Rouging) ซึ่งปกติแล้ว พันธุ์ปนจะมีได้ 2 กรณี คือ 1) พันธุ์ปนจากเมล็ดข้าวโพดตกค้างมาจากฤดูก่อน (Volunteer plant) และ 2) สายพันธุ์ปน (Off-type plant) คือเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่ได้รับละอองเกสรมาจากสายพันธุ์อื่น การตรวจสอบ พันธุ์ปนมี 5 ระยะส าคัญ ดังนี้ 7.1 ระยะหลังงอกประมาณ 2-3 สัปดาห์ ระยะนี้จะเห็นความแตกต่างของขนาดต้น สีโคนต้น สีใบ และต้นที่งอกนอกแถวปลูก ซึ่งการคัดพันธุ์ปนสามารถท าไปพร้อมกับการถอนแยก ใส่ปุ๋ย พูนโคนได้ 7.2 ระยะเจริญทางล าต้นก่อนการออกดอก ตั้งแต่ 30 ถึง 40 วัน ระยะนี้สามารถเห็นลักษณะ แตกต่างอื่น ๆ เช่น การพัฒนาของราก ล าต้น ความสูงต่ าของต้น ต้นอ่อนแอ ทรงใบ สีใบ สีต้น ขนบนต้น การ เกิดโรคและแมลง การตัดพันธุ์ปนในระยะนี้ช่วยลดภาระในการตัดพันธุ์ปนในช่วงออกดอกซึ่งถือเป็นระยะวิกฤติ ได้มาก 7.3 ระยะออกดอก เป็นระยะที่เริ่มเห็นลักษณะและทรงช่อดอกตัวผู้ของสายพันธุ์พ่อ เช่น สีช่อดอกที่ ผิดปกติของลักษณะประจ าสายพันธุ์ และระยะที่เริ่มเห็นลักษณะสีไหมของสายพันธุ์แม่ได้ชัดเจน สิ่งส าคัญคือ ต้องก าจัดทิ้งก่อนโปรยละอองเกสร โดยเฉพาะต้นที่ผิดปรกติ ต้นไม่สมบูรณ์ และต้นที่เจริญเติบโตช้า หรืองอก ช้ากว่าต้นอื่นๆ ต้องก าจัดทิ้งให้หมด (สามารถเพิ่มจ านวนครั้งได้ตามความจ าเป็นก่อนที่เกสรตัวผู้จะบานและ โปรยละอองเกสร) 7.4 ระยะติดฝัก ลักษณะที่คัด เช่น ทรงฝัก การติดฝัก ความสูงของฝัก การเกิดโรคและแมลง 7.5 ระยะก่อนการเก็บเกี่ยว เป็นการตรวจสอบพันธุ์ปน ต้นข้าวโพดสายพันธุ์แม่ครั้งสุดท้ายก่อนการ เก็บเกี่ยวให้ดูความสม่ าเสมอ ของความสุกแก่ของต้นและฝัก การแห้งของต้น การหักล้มของต้น รวมทั้งการตัด ต้นที่เป็นโรคทิ้ง รูปภาพที่ 16 การตรวจสอบแปลง ระยะเจริญทางล าต้นก่อนการออกดอก ตั้งแต่ 30 - 40 วัน หลังปลูก
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 29 8. การถอดช่อดอกเกสรตัวผู้ในแถวสายพันธุ์แม่ การถอดช่อดอกเกสรตัวผู้ในแถวสายพันธุ์แม่ (Detasseling) หรือเรียกอีกอย่างว่าการ ถอดยอด เพื่อ ป้องกันการผสมตัวเองของสายพันธุ์แม่ ให้ท าทันทีเมื่อเริ่มเห็นช่อดอกตัวผู้โผล่พ้นใบธงก่อนที่จะโปรยละออง เกสรและต้องถอดช่อดอกเกสรตัวผู้ให้หมดทุกต้น โดยปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 7-15 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยหลายด้าน เช่น ถ้าเมล็ดงอกสม่ าเสมอ การเจริญเติบโตดีออกดอกพร้อมกัน ก็สามารถก าจัดช่อดอกได้ ภายใน 5-7 วัน แต่การถอดช่อดอกตัวผู้อาจนานขึ้น กรณีเมล็ดงอกไม่พร้อมกัน ความอุดมสมบูรณ์ของดิน หรือ การเจริญเติบโตไม่สม่ าเสมอ อากาศไม่เหมาะสมในช่วงออกดอกหรือการระบาดของโรคและแมลงที่ท าให้ชะงัก การเจริญเติบโต อาจใช้เวลานาน 10-15 วัน อย่างไรก็ตามการถอดช่อดอกสายพันธุ์แม่ ควรดูลักษณะของสาย พันธุ์พ่อร่วมด้วย คือ หากสายพันธุ์พ่อโปรยละอองเกสรไปแล้วเกิน 90% แต่ยังคงเหลือต้นข้าวโพดที่ยังไม่ สามารถถอดช่อดอกได้ ควรท าการตัดต้นข้าวโพดสายพันธุ์แม่เหล่านั้นทิ้งทั้งหมด 8.1 ข้อปฏิบัติการถอดช่อดอกเกสรตัวผู้ 1. ต้องถอดช่อดอกตัวผู้ทุกวัน ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นเช่นไร 2. ดึงช่อดอกตัวผู้ออกทั้งช่อ และสิ่งส าคัญคือห้ามหักช่อดอกเด็ดขาด อาจท าให้หลงเหลือก้านช่อเล็ก ดอกหรือกิ่งแขนงดอก ตรงบริเวณโคนช่อดอกซึ่งสามารถโปรยละอองเกสรได้ 3. ช่อดอกตัวผู้ที่ถอดออกแล้วให้ทิ้งลงทันทีไม่ถือช่อดอกเปล่าเดินต่อไปในแถว เพื่อป้องกันพันธุ์ปน 4. เมื่อดึงช่อดอกตัวผู้ไม่ควรให้มีใบติดออกมาด้วย หากมีใบหลุด 1, 2 และ 3 ใบ อาจท าให้ผลผลิตลดลง 1.5, 4.9 และ 13.5 เปอร์เซ็นต์ ตามล าดับ ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานควรมีความช านาญและระมัดระวังให้มากที่สุด 5. หากพื้นที่ผลิตมากและแรงงานจ ากัดเมื่อก าจัดช่อดอกตัวผู้ได้90-95%อาจดึงช่อดอกที่เหลือทิ้งทั้งหมด เพื่อประหยัดแรงงาน 6. ข้อควรระวัง การถอดช่อดอกเกสรตัวผู้ มีผลให้เร่งอายุออกไหมเร็วขึ้นกว่าปกติ 2-3 วัน ดังนั้นต้องมี การวางแผนวันแรกในการถอดดอกให้ดี ไม่ช้าหรือเร็วเกินไปเพื่อให้พอดีกับวันโปรยละอองเกสรของสายพันธุ์พ่อ 8.2 วิธีถอดช่อดอกเกสรตัวผู้ 1. ถอดช่อดอกเกสรตัวผู้โดยอาศัยแรงงานคน ปัจจุบันประเทศไทยยังใช้แรงงานคนในการถอดช่อดอก เกสรตัวผู้100% โดยหนึ่งคนสามารถถอดดอกได้ 3-5 ไร่/คน/วัน 2. ถอดช่อดอกเกสรตัวผู้โดยใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในต่างประเทศที่มีการ ผลิตในพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เป็นต้น รูปภาพที่ 17 การถอดช่อดอกเกสรตัวผู้ในแถวสายพันธุ์แม่ท าทันทีเมื่อเริ่มเห็นช่อดอกตัวผู้โผล่พ้นใบธงก่อนที่ จะโปรยละอองเกสรและต้องถอดช่อดอกเกสรตัวผู้ให้หมดทุกต้น
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 30 รูปภาพที่ 18 การถอดช่อดอกเกสรตัวผู้ในแถวสายพันธุ์แม่โดยอาศัยแรงงานคน แหล่งที่มา ภาพโดย: http://www.oxbocorp.com/Products/Seed-Corn/Detasselers/TS2-Detasseler#2035267-specifications รูปภาพที่ 19 ถอดช่อดอกเกสรตัวผู้โดยใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร (Detasseler Corn)
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 31 9. การตัดต้นสายพันธุ์พ่อ หรือ แถวต้นตัวผู้ การตัดต้นสายพันธุ์พ่อ คือ การตัดต้นข้าวโพดที่ใช้เป็นสายพันธุ์พ่อทั้งหมดภายในแปลงผลิตเมล็ด พันธุ์ ควรท าทันทีหลังจากที่โปรยละอองเกสรหมดแล้ว เพื่อลดการแย่งน้ าและอาหารกับต้นสายพันธุ์แม่ โดยเฉพาะแถวฝั่งซ้ายและขวาที่ติดกับสายพันธุ์พ่อ จะท าให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นและคุณภาพดีขึ้น ซึ่งปกติ จะใช้เวลาโปรยละอองเกสรประมาณ 7 - 12 วัน นอกจากนี้ยังช่วยลดการปนของเมล็ดพันธุ์ขณะเก็บเกี่ยว รูปภาพที่ 20 การตัดต้นสายพันธุ์พ่อ หรือแถวต้นตัวผู้ลังจากที่โปรยละอองเกสรหมดแล้ว เพื่อลดการแย่งน้ า และอาหารกับต้นสายพันธุ์แม่ โดยเฉพาะแถวฝั่งซ้ายและขวาที่ติดกับสายพันธุ์พ่อ แถวต้นพันธุ์พ่อที่ตัดออกไปแล้ว
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 32 10. การเก็บเกี่ยวผลผลิตเมล็ดพันธุ์ ในการเก็บเกี่ยวผลผลิตเมล็ดพันธุ์นั้นจะค่อนข้างละเอียดกว่าการเก็บเกี่ยวข้าวโพดโดยทั่วไป เพราะ เมื่อข้าวโพดมีอายุที่พร้อมเก็บเกี่ยวต้องเก็บในระยะที่มีการสะสมน้ าหนักแห้งสูงสุด เพื่อให้สามารถเก็บรักษาได้ นาน การเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์นั้น วิธีเก็บที่ดีสุดคือเกี่ยวโดยใช้แรงงานคน เพราะเก็บเกี่ยวเฉพาะฝักจากต้นสาย พันธุ์แม่เท่านั้น โดยจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ดีที่สุดเมื่อถึงระยะที่ข้าวโพดสุกแก่ทางสรีระวิทยา (Physiological maturity) หากปลูกในฤดูต้นฝน-ปลายฝน จะมีอายุตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 100-110 วัน เป็นระยะ ที่เมล็ดมีน้ าหนักแห้งสูงสุด หรือสะสมแป้งสูงสุด ความแข็งแรงสูงสุด แต่ความชื้นในเมล็ดยังสูง ซึ่งจะมีความชื้น ประมาณ 30-35% ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม แต่หากปลูกในฤดูแล้ง (ฤดูหนาว) ให้นับจากวันออกไหมสายพันธุ์ แม่ จะมีอายุเก็บเกี่ยวที่ 40-45 วัน หลังออกไหม 50% (อายุตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว ประมาณ 130-140 วัน เนื่องจากอากาศเย็นและมีการยืดวันออกดอก) ลักษณะที่เห็นเด่นชัดเมื่อครบก าหนดอายุ คือ ลักษณะล าต้น และใบยังมีสีเขียวหรือเขียวออกเหลือง แต่ฝักแห้งสนิททั้งฝัก และเมื่อแกะเมล็ดดูจะเห็นเนื้อเยื่อสีด า (Black layer) อยู่ที่ขั้วเมล็ด (ต้องไม่ใช้สีเหลืองหรือน้ าตาล เพราะแสดงว่าเมล็ดยังไม่สุกแก่เต็มที่) หรือท าการสุ่มแล้ว หักฝักเพื่อดูลักษณะเส้นน้ านม (Milk line) ข้าวโพดที่ถึงระยะสุกแก่ทางสรีระวิทยาจะต้องไม่มีเส้นน้ านมให้เห็น (Stage R6) ดังแสดงในภาพที่ 19 แหล่งที่มา ภาพโดย: https://twitter.com/SeligaJohn/status/1168999774483357697/photo/1 แหล่งอ้างอิง: Pioneer Agronomy Science รูปภาพที่ 21 ลักษณะเส้นน้ านม (Milk line) ที่อยู่ในระยะการสะสมน้ าหนักเมล็ด (Grain filling) . วิธีเก็บเกี่ยวผลผลิตเมล็ดพันธุ์ 1. เก็บเกี่ยวผลผลิตเมล็ดพันธุ์โดยอาศัยแรงงานคน ปัจจุบันประเทศไทยยังใช้แรงงานคนในการเก็บ เกี่ยวผลผลิตเมล็ดพันธุ์ 99% หนึ่งคนสามารถถอดดอกได้ 1-2 ไร่/คน/วัน โดยการเก็บเกี่ยวนั้นจะเก็บเกี่ยวฝัก พร้อมปอกเปลือก จะไม่กะเทาะทันทีเพราะความชื้นยังสูงอยู่แล้วขนส่งเข้าลดความชื้นฝักภายใน 24 ชั่วโมง 2. เก็บเกี่ยวผลผลิตเมล็ดพันธุ์โดยเครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในต่างประเทศที่มี การผลิตในพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เป็นต้น ในขณะที่ประเทศไทยเริ่มมีการ น ามาใช้บ้างโดยบริษัทเอกชนที่เป็นบริษัทข้ามชาติ
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 33 รูปภาพที่ 22 การเก็บเกี่ยวผลผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยวโดยอาศัยแรงงานคน รูปภาพที่ 23 การเก็บเกี่ยวผลผลิตเมล็ดพันธุ์โดยเครื่องจักรกลทางการเกษตร
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 34 บทที่ 4 การจัดการวัชพืช โรคพืช และแมลงศัตรูพืช 1. การจัดการวัชพืช การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยวให้ได้ผลผลิตสูงคุ้มค่าต่อการลงทุน ปัจจัยส าคัญอย่าง หนึ่งคือการป้องกันก าจัดวัชพืชในแปลงผลิต แปลงต้องปลอดวัชพืช ตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวโดยเฉพาะ ตลอด ช่วงระยะเวลา 1 เดือนแรกถ้ามีวัชพืชหนาแน่นจะส่งผลท าให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลดลงและเสียหายสูงสุด 1.1 ประเภทของวัชพืชที่พบในแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ 1.1.1 วัชพืชประเภทใบแคบ (Narrow-leafed weeds หรือ grass weeds) เป็น วัชพืชที่ใบมีลักษณะ เรียวยาวและแคบ เส้นใบเรียงขนานกับเส้นกลางใบ ส่วนใหญ่จะเป็นวัชพืชใบเลี้ยงเดี่ยว และจัดเป็นพืชในตระกูล หญ้า เช่นเดียวกับข้าวโพด ได้แก่ หญ้าขจรจบ หญ้าคา หญ้าตีนนก หญ้าบุ้ง หญ้ารังนก และหญ้าโขย่ง เป็นต้น รูปภาพที่ 24 ตัวอย่างวัชพืชประเภทใบแคบ เช่น หญ้าโขย่ง หญ้าขจรจบ 1.1.2 วัชพืชประเภทใบกว้าง (Broad-leafed weeds) เป็นวัชพืชที่มีลักษณะใบ กว้าง เส้นใบเป็น ร่างแห ส่วนใหญ่จะเป็นวัชพืชใบเลี้ยงคู่ ได้แก่ หญ้ายาง ผักปลาบ ผักเบี้ย โทงเทง ผักโขม และสาบเสือ เป็นต้น รูปภาพที่ 25 ตัวอย่างวัชพืชประเภทใบกว้าง เช่น หญ้ายาง ผักโขม ผักปลาบ หญ้าโขย่ง (Rottboellia cochinchinensis) หญ้าบุ้ง (Cenchrus echinatus) หญ้าขจรจบ (Pennisetum setosum) ผักยาง (Euphorbia geniculata) ผักโขมหนาม (Amaranthus spinosus) ผักปลาบ (Commelina benghalensis)
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 35 1.1.3 วัชพืชประเภทกก (Sedge family weeds) เป็นวัชพืชมีลักษณะใบแคบ มีหัว หรือส่วน ขยายพันธุ์อยู่ใต้ดิน ได้แก่ แห้วหมูกกดอกขาว รูปภาพที่ 26 ตัวอย่างวัชพืชประเภทกก เช่น แห้วหมู(Cyperus rotundus) 1.2 วิธีการก าจัดวัชพืช 1.2.1 การไถและพรวนดิน ก่อนปลูกข้าวโพด โดยไถและพรวนดินหลังวัชพืชงอก จะช่วยท าลาย กล้าวัชพืชให้ตายได้ ส่วนกล้าและเหง้าวัชพืชที่ตายยาก ควรตากดินนาน 7-10 วัน เพื่อให้วัชพืชตาย ก่อนปลูก ข้าวโพด 1.2.2 การท ารุ่น เป็นการพรวนดิน ดายหญ้า โดยใช้แรงงานคน หรือใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร หลังข้าวโพดงอกแล้ว แต่ต้องก าจัดวัชพืชก่อนจะถึงระยะวิกฤต ปกติจะท ารุ่นในช่วงที่ข้าวโพดมีอายุ 20-25 วัน หลังปลูกก่อนการใส่ปุ๋ยพูนโคน รูปภาพที่ 27 การท ารุ่นหญ้าในร่องข้าวโพด ด้วยเครื่องท ารุ่นขาสปริงติดท้ายรถแทรกเตอร์ 1.3.3 การใช้สารเคมีสารเคมีที่ใช้ในการควบคุมและป้องกันก าจัดวัชพืชในแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้น สามารถแบ่งระยะการใช้ได้ 3 ระยะ ดังนี้ 1) ใช้ก่อนการปลูกข้าวโพด (Pre-planting) เช่น กลูโฟซิเนต-แอมโมเนียม พาราควอท (ยกเลิกการ ใช้และห้ามน าเข้า) และไกลโฟเสท (จ ากัดการใช้) วิธีใช้และอัตราการใช้ดังแสดงในตารางที่ 7
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 36 2) ใช้ก่อนวัชพืชงอก (Per-emergenceherbicides)คือการฉีดยาคุมวัชพืชหลังปลูก ได้แก่ อาทราซีน เพนดิเมธาลิน และอะลาคลอร์ เป็นต้น หลักการส าคัญการฉีดพ่นสารเคมีก่อนวัชพืชงอก คือ ต้องค านึงถึงช่วงเวลา ในการฉีดพ่นด้วย เช่น การฉีดยาคุมวัชพืชควรฉีดทันทีหลังปลูกและให้น้ าวันแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ดินมีความชื้นจะท า ให้สารเคมีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้องศึกษาและเลือกใช้ให้เหมาะสมวิธีใช้และอัตราการใช้ดังแสดงในตารางที่ 7 3) ใช้หลังข้าวโพดงอก (Post-emergenceherbicides)คือการใช้หลังจากพืชปลูกข้าวโพด และหรือ วัชพืชงอกแล้ว ซึ่งอาจใช้ในขณะที่พืชงอกใหม่ๆ (Early post) หรือหลังจากที่พืชตั้งตัวได้แล้ว (Late post) ได้แก่ พาราควอท ไกลโฟเสท ฟลูร๊อกซิเพอร์ กลูโฟซิเนต-แอมโมเนียม และ 2,4-ดี อามีน และนิโควัลฟูรอน เป็นต้น การใช้สารเคมีหลังข้าวโพดงอกควรใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ผู้ฉีดหรือผู้ใช้ต้องมีความรู้ความเข้าใจ และทักษะเป็นอย่างดี หลีกเลี่ยงการโดนต้นข้าวโพดโดยเฉพาะส่วนยอด เพราะจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของ ข้าวโพดเป็นอย่างมาก อัตราการใช้ดังแสดงในตารางที่ 7 รูปภาพที่ 28 การฉีดยาคุมวัชพืชก่อนหรือหลังปลูกข้าวโพด ด้วยเครื่องฉีดยาติดท้ายรถแทรกเตอร์
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 37 ตารางที่ 7 แสดงตัวอย่างการใช้สารเคมีก าจัดวัชพืชในแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์และแปลงปลูกข้าวโพดทั่วไป รายการ ชื่อสามัญสารเคมี อัตราที่ใช้ วัตถุประสงค์ หมายเหตุ ใช้ก่อนการปลูก ข้าวโพด (pre-planting) พาราควอท ไดคลอไรด์ (Parpquat dichioride) 300-500 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ใช้ก าจัดวัชพืชที่งอกจากเมล็ด และส่วนที่มีสีเขียวเหนือดิน (ไม่เลือกก าจัด ประเภทเผาไหม้) 1. ฉีดพ่นเมื่อพบ วัชพืชหนาแน่น 2. (ยกเลิกการใช้ และห้ามน าเข้า) ไกลโฟเซต-ไอโซโพรพิล แอมโมเนียม (Glyphosateisopropylammonium 40% Sl) 480-720 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ใช้ก าจัดวัชพืชที่งอกจากเมล็ด และส่วนที่มีสีเขียวเหนือดิน (ไม่เลือกก าจัด ประเภทดูดซึม) 1. ฉีดพ่นเมื่อพบ วัชพืชหนาแน่น 2. (จ ากัดการใช้) ควิซาโลทอป-พี-เทฟูริล (Quizalofob-P-tefuryl) 40% EC. 240-320 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ใช้ก าจัดวัชพืชที่งอกแล้ว ประเภทใบแคบ เช่น หญ้า โขย่ง ฉีดพ่นเมื่อพบวัชพืช หนาแน่น เท่านั้น ฟลูร็อกซิเพอร์-พี-บิวทิล (Fluazifop-P-butyl) 100-200 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ก าจัดวัชพืชประเภทใบกว้าง ฉีดพ่นเมื่อพบวัชพืช หนาแน่น เท่านั้น กลูโฟซิเนต-แอมโมเนียม (Glufosinate-ammonium 15% W/V EC) 800-1,400 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ก าจัดวัชพืชประเภทใบแคบและ ใบกว้าง ฉีดพ่นเมื่อพบวัชพืช หนาแน่น เท่านั้น ใช้ก่อนวัชพืช งอก (Preemergence) อาทราซีน (Atrazing 90% WG) 250-650 กรัม/ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ควบคุมวัชพืชได้ทั้งประเภทใบ กว้างและใบแคบ ฉีดพ่นทันทีหลังปลูก และให้น้ าครั้งแรก ขณะดินมีความชื้น เพนดิมิทารีน (Pendimethalin 33% W/V EC) 350-800 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ควบคุมวัชพืชประเภทใบแคบ ฉีดพ่นทันทีหลังปลูก และให้น้ าครั้งแรก ขณะดินมีความชื้น อะลาคลอร์ (alachlor) 48% W/V EC 240-400 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ควบคุมวัชพืชได้ทั้งประเภทใบ กว้างและใบแคบ ฉีดพ่นทันทีหลังปลูก และให้น้ าครั้งแรก ขณะดินมีความชื้น อะเซทโทคลอร์ (acetochlor) 50% W/V EC 240-500 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร เลือกท าลาย ในกลุ่ม Chloroacetamides มีฤทธิ์ดูด ซึม ก าจัดวัชพืชส่วนที่อยู่ใต้ดิน และยอดอ่อน ฉีดพ่นทันทีหลังปลูก และให้น้ าครั้งแรก ขณะดินมีความชื้น เอส-เมโทลาคลอร์ (S-metolachlor) 150-200 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ควบคุมวัชพืชประเภทใบแคบ ดูดซึมเข้าทางยอดอ่อน ท าให้ รากและต้นวัชพืชไม่เติบโต ฉีดพ่นทันทีหลังปลูก และให้น้ าครั้งแรก ขณะดินมีความชื้น ใช้หลังวัชพืช งอก (Postemergence) 2,4-ดีไดเมทิลแอมโมเนียม (2,4-D dimethyl ammonium 84% W/V SL) 200-240 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ก าจัดวัชพืชที่งอกแล้ว ประเภท ใบแคบ ใบกว้าง และวัชพืช ประเภทกก เช่น แห้วหมู ฉีดพ่นเมื่อพบวัชพืช หนาแน่น พาราควอท ไดคลอไรด์ (Parpquat dichioride) 300-500 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ใช้ก าจัดวัชพืชที่งอกจากเมล็ด และส่วนที่มีสีเขียวเหนือดิน (ไม่เลือกก าจัด ประเภทเผาไหม้) 1. ฉีดพ่นเมื่อพบ วัชพืชหนาแน่น 2. (ยกเลิกการใช้ และห้ามน าเข้า)
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 38 ตารางที่ 7 (ต่อ) รายการ ชื่อสามัญสารเคมี อัตราที่ใช้ วัตถุประสงค์ หมายเหตุ ใช้หลังวัชพืช งอก (Postemergence) อาทราซีน (Atrazing 90% WG) 250-650 กรัม/ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ควบคุมวัชพืชได้ทั้งประเภทใบ กว้างและใบแคบ ฉีดพ่นในขณะที่ดินมี ความชื้น ฟลูร็อกซิเพอร์-พี-บิวทิล (Fluazifop-P-butyl) 100-200 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ก าจัดวัชพืชประเภทใบกว้าง ฉีดพ่นในขณะที่ดินมี ความชื้น ไกลโฟเซต-ไอโซโพรพิล แอมโมเนียม (Glyphosateisopropylammonium 40% Sl) 480-720 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ใช้ก าจัดวัชพืชที่งอกจากเมล็ด และส่วนที่มีสีเขียวเหนือดิน (ไม่เลือกก าจัด ประเภทดูดซึม) 1. ฉีดพ่นเมื่อพบ วัชพืชหนาแน่น 2. (จ ากัดการใช้) 3. ห้ามใช้หลังปลูก ข้าวโพด และใน ระหว่างปลูกพืช หลัก กลูโฟซิเนต-แอมโมเนียม (Glufosinate-ammonium 15% W/V EC) 800-1,400 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ก าจัดวัชพืชประเภทใบแคบและ ใบกว้าง ฉีดพ่นเมื่อพบวัชพืช หนาแน่น และฉีดใน ร่องข้าวโพดเท่านั้น ห้ามโดนยอด โทพรามีโซน + อาทราซีน (Topramezone 33.6% W/V SC. + Atrazing 90% WG) 20-150 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ก าจัดวัชพืชประเภทใบแคบและ ใบกว้าง ฉีดทับข้าวโพดได้ (วัชพืชต้องมีจ านวน ใบไม่เกิน 3-5 ใบ) นิโคซัลฟูรอน (Nicosulfuron 6% W/V OD.) 160-180 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ก าจัดวัชพืชประเภทใบแคบและ ใบกว้าง ฉีดทับข้าวโพดได้ บางพันธุ์ แนะน าให้ ศึกษาก่อนฉีดพ่น มีโซไตรโอน + อาทราซีน (Mesotrione + Atrazing 90% WG) 480-560 มล./ไร่/น้ า 60-80 ลิตร ควบคุมและก าจัดวัชพืชประเภท ใบแคบและใบกว้าง ฉีดทับข้าวโพดได้ บางพันธุ์ แนะน าให้ ศึกษาก่อนฉีดพ่น หมายเหตุ: ประยุกต์มาจาก สดใส ช่างสลัก. 2564.
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 39 2. การจัดการโรคพืช โรคส าหรับการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีสาเหตุจากเชื้อโรคหลายชนิด ข้าวโพดสามารถเกิด โรคได้ตั้งแต่งอกจนเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะสายพันธุ์แท้พ่อ-แม่ ซึ่งมีความอ่อนแอมากกว่าลูกผสมท าให้เกิดความ เสียหายต่อผลผลิตและคุณภาพเมล็ดพันธุ์เป็นอย่างมากกรณีที่เกิดการระบาด โรคบางชนิดพบทั่วไปแต่ไม่ ก่อให้เกิดความเสียหาย ในขณะที่บางโรคก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง การระบาดของโรคจะพบมากเมื่อปลูก ข้าวโพดในช่วงฤดูฝน มากกว่าฤดูแล้ง และต้นฝน เนื่องจากสภาพอากาศชื้น ท าให้มีการสะสมเชื้อโรคสูง แต่เมื่อ ปลูกฤดูแล้งจะไม่ค่อยประสบปัญหาโรครบกวน โดยโรคข้าวโพดที่ส าคัญ มีดังนี้ 2.1 โรคราน้ าค้าง (Corn Downy Mildew) เชื้อสาเหตุPeronosclerospora sp. ลักษณะอาการ พบการระบาดในช่วงฤดูต้นฝน ตลอดจนฤดูปลายฝนที่มีฝนตกชุก เชื้อโรคสามารถ เข้าท าลายได้ตั้งแต่ระยะต้นกล้าจนถึงออกดอกลักษณะอาการ ระยะแรกเมื่อข้าวโพดเป็นต้นกล้าจะเกิดจุดสีขาว หรือสีเหลืองอ่อนบนใบเลี้ยงและใบจริงสองสามใบแรกแล้วขยายเป็นทางสีขาวลามไปยังฐานใบระยะที่2 ใบใหม่จะมี ทางสีขาวเขียวอ่อน หรือเหลืองอ่อน เกิดขึ้นจากฐานใบถึงปลายใบ อาจพบปื้นสีขาวจากฐานใบไปยังปลายใบข้าวโพดที่ เป็นโรคในระยะต้นกล้าจะแห้งตายในที่สุดส่วนที่เป็นโรคเมื่อโตแล้วอาจแห้งตายก่อนออกดอกออกฝัก หรือแม้จะมี ฝักก็ไม่สมบูรณ์หรือไม่มีเมล็ด อาการอย่างอื่นที่พบ ได้แก่ส่วนยอดและดอกแตกเป็นพุ่ม ก้านฝักยาวมาก หรือมี จ านวนฝักมากกว่าปกติแต่ไม่สมบูรณ์ วิธีการป้องกันก าจัด เช่น การเลือกฤดูผลิตเมล็ดพันธุ์ให้เหมาะสม โดยหลีกเลี่ยงการปลูกข้าวโพด ในช่วงที่ฝนตกชุกมากเกินไป การใช้สารเคมีควรใช้สารเคมีเมทาแลกซิล 35% SD. อัตรา 7-10 กรัมต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม คลุกเมล็ดพันธุ์สายพันธุ์พ่อ-แม่ ก่อนปลูก หรือการเผาท าลาย หากพบต้นข้าวโพดแสดงอาการโรครา น้ าค้างต้องถอนต้นที่เป็นโรคและน าออกจากแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ให้เร็วที่สุด และเผาท าลายทันที ภาพโดย: วราภรณ์ บุญเกิด ภาพโดย:กรมวิชาการเกษตร. 2562. รูปภาพที่ 29 ลักษณะอาการของข้าวโพดเมื่อถูกท าลายโดย โรคราน้ าค้าง (Corn Downy Mildew)
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 40 2.2 โรคราสนิม (Southern Rust) เชื้อสาเหตุ Puccinia polysora ลักษณะอาการ พบการระบาดช่วงฤดูปลายฝนต่อต้นฤดูแล้ง (ฤดูหนาว) ซึ่งมีความชื้นในอากาศสูง 95-100 เปอร์เซ็นต์ และอุณหภูมิค่อนข้างเย็น ประมาณ 24-28 องศาเซลเซียส การระบาดรุนแรงพบเสมอที่ อ าเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา อาการของโรคจะเกิดได้แทบทุกส่วนของต้นข้าวโพด คือ ใบ ล าต้น กาบใบ ฝัก และช่อดอกตัวผู้ โดยแสดงอาการเป็นจุดนูนเล็ก ๆ ขนาดแผล 0.2-2.0 มิลลิเมตร สีน้ าตาลแดง ลักษณะ แผลค่อนข้างกลมถึงรูปไข่ แผลจะเกิดด้านบนใบมากกว่าด้านล่างใบ ต่อมาแผลจะแตกออกมองเห็นเป็นผงสี สนิมเหล็ก ถ้าโรคระบาดรุนแรงจะท าให้ใบแห้งตาย การป้องกันก าจัด ได้แก่ 1) การใช้สารเคมี โดยฉีดพ่นด้วยสารเคมีไดฟีโนโคนาโซล+โพรพิโคนาโซล หรือ อะซอกซีสโตรบิน+ไดฟีโนโคนาโซล อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ า 20 ลิตร หรือ80 ลิตรต่อไร่ พ่นเมื่อพบการ ระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน 2 -3 ครั้ง สามารถดูรายละเอียดดังตารางที่ 8 ภาพโดย: วราภรณ์ บุญเกิด ภาพโดย: กรมวิชาการเกษตร. 2562. รูปภาพที่ 30 ลักษณะอาการของข้าวโพดเมื่อถูกท าลายโดย โรคราสนิม (Southern Rust)
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 41 2.3 โรคใบไหม้แผลเล็ก (Southern Corn Leaf Blight) เชื้อสาเหตุ Bipolaris maydis ลักษณะอาการ เชื้อโรคสามารถระบาดได้โดยติดไปกับเมล็ดที่เป็นโรค และโดยทางลมหรือฝนน าพา สปอร์ปลิวไปในอากาศ พบระบาดทั่วไปในแหล่งที่มีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดและแหล่งปลูกปลูกข้าวโพด อาหารสัตว์ทั่วไป และระบาดเพิ่มขึ้นมากในหลายพื้นที่ ระยะแรกเกิดจุดฉ่ าน้ าเล็กๆ สีเขียวอ่อนแล้วขยายออก ตามความยาวใบโดยด้านกว้างของแผลขนานไปตามเส้นใบกลางแผลมีสีเทา ขอบแผลมีสีน้ าตาล ขนาดของแผล ไม่แน่นอนกว้าง 6-12 มิลลิเมตร ยาว 6-27 มิลลิเมตร กรณีข้าวโพดเป็นโรครุนแรง แผลจะขยายตัวขนาดใหญ่ ท าให้ใบแห้งตาย เมื่อเกิดโรคกับต้นกล้าพร้อมกันทุกใบ จะเหี่ยวแห้งตายภายใน 3-4 สัปดาห์หลังปลูก ถ้าเกิด กับต้นแก่อาการจะเกิดกับใบล่างก่อน และยังเกิดกับต้น กาบใบ ฝัก เมล็ดอีกด้วย วิธีการป้องกันก าจัด ได้แก่ 1) การใช้สารเคมี โดยฉีดพ่นด้วยสารเคมีไดฟีโนโคนาโซล 25% EC. อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ า 20 ลิตร หรือ80 ลิตรต่อไร่ พ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน 2 -3 ครั้ง สามารถดูรายละเอียดดังตารางที่ 8 2) การเผาท าลาย ควรหมั่นตรวจแปลงอย่างสม่ าเสมอ หากพบต้นที่ เป็นโรคต้องถอน และเผาท าลายทันที ภาพโดย: ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ รูปภาพที่ 31 ลักษณะอาการของข้าวโพดเมื่อถูกท าลายโดย โรคใบไหม้แผลเล็ก (Southern Corn Leaf Blight)
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 42 2.4 โรคใบไหม้แผลใหญ่ (Northern Corn Leaf Blight) เชื้อสาเหตุExserohilum turcicum ลักษณะอาการ เป็นโรคที่ในปัจจุบันพบการระบาดรุนแรงในเขตภาคเหนือของประเทศไทย รวมถึง แหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ เช่น จังหวัดตาก ลพบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ เป็นต้น โรคนี้พบได้ตลอดฤดูเพาะปลูก พันธุ์ อ่อนแออาการรุนแรงท าให้ผลผลิตลดลงได้ ถ้าเข้าท าลายข้าวโพดก่อนออกดอกท าให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์สูญเสียเป็น อย่างมาก แต่ถ้าเข้าท าลาย 6-8 สัปดาห์หลังจากข้าวโพดออกดอกแล้ว ไม่มีผลกระทบต่อผลผลิต สามารถเกิดโรค โรคใบไหม้แผลใหญ่ ได้ทุกส่วนของล าต้นข้าวโพดโดยเฉพาะบนใบ นอกจากนั้นจะพบที่กาบใบ ล าต้น และฝัก โดยเกิดเป็นแผลมีขนาดใหญ่สีเทาหรือสีน้ าตาลแผลมีลักษณะยาวตามใบ หัวท้ายเรียวคล้ายรูปกระสวย แผลมี ขนาดระหว่าง 2.5-20 เซนติเมตร แผลที่เกิดบนใบอาจเกิดเดี่ยว ๆ หรือหลายแผลซ้อนร่วมกันขยายเป็นขนาด ใหญ่ ถ้าแผลขยายรวมกันมาก ๆจะท าให้ใบแห้งตายได้ในสภาพไร่พบที่ส่วนล่างของข้าวโพดก่อนแล้วอาการ ของโรคจะพัฒนาไปส่วนบนของต้น วิธีการป้องกันก าจัด ได้แก่ 1) การใช้สารเคมีฉีดพ่นด้วยสารเคมีไตรโฟรีน 20% EC. อัตรา 60 มิลลิลิตรต่อน้ า 20 ลิตร หรือ80 ลิตรต่อไร่ สารเคมีคาร์เบนดาซิม + อิพ๊อกซีโคนาโซล 12.5% EC. อัตรา 25 มิลลิลิตรต่อน้ า 20 ลิตร หรือ80 ลิตรต่อไร่ สารเคมีอะซอกซีสโตรบิน + ไดฟีโนโคนาโซล 32.5% EC. อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ า 20 ลิตร หรือ80 ลิตรต่อไร่ และสารเคมีโพรพิโคนาโซล 25% EC. อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้ า 20 ลิตร หรือ80 ลิตรต่อไร่ พ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน 2 -3 ครั้ง สามารถดูรายละเอียดดัง ตารางที่ 8 รูปภาพที่ 32ลักษณะอาการของข้าวโพดเมื่อถูกท าลายโดย โรคใบไหม้แผลใหญ่ (Northern Corn Leaf Blight) 2.5 โรคกาบและใบไหม้(Banded Leaf and Sheath Blight) ภาพโดย: วราภรณ์ บุญเกิด ภาพโดย: อดิศักดิ์ บ้วนกียาพันธุ์ ภาพโดย: กรมวิชาการเกษตร. 2562.
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 43 เชื้อสาเหตุRhizoctonia solani Kuhn.f.sp.sasakii Exner. ลักษณะอาการ อาการจะเริ่มจากส่วนล่างของกาบฝักชั้นนอกสุด แผลบนกาบฝักกระจายตัว และ อาการเป็นแถบจะเห็นชัดเจน พบจุดฉ่ าน้ ารูปร่างไม่แน่นอนทั้งด้านหน้าและหลังของโคนกาบใบต่อมาจุด เหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นสีฟางข้าวในพันธุ์พ่อแม่ที่อ่อนแอแผลจะขยายปกคลุมทั่วทั้งกาบใบที่โคนใบถึงกลางใบ อาจพบเส้นใยของเชื้อรา หรือเม็ดเชื้อราคล้ายเม็ดผักกาดบนแผล อาการบนล าต้น เกิดจุดหรือแผลบนเปลือก ของล าต้น ซึ่งอยู่ใต้กาบใบที่เป็นโรคเกิดแผลเป็นสีน้ าตาลเข้มถึงด า แผลจะขยายตัวบนข้อที่สี่หรือห้านับจากโคน ต้นขึ้นมา แผลจะขยายรวมกันทางด้านข้างของปลายแผลแต่ละแผล บางครั้งแผลแห้งเป็นสะเก็ดน้ าตาลเข้ม เกิดจุดแผลสีน้ าตาลบนเปลือกของล าต้น ท าให้ล าต้นเปราะ หักง่ายนอกจากนี้โรคเกิดได้กับกาบฝัก และฝัก การป้องกันและก าจัด 1) หมั่นตรวจไร่อยู่เสมอในระยะต้นข้าวโพดอายุได้40-50 วัน เมื่อพบโรค ระบาดให้ถอนและเผาท าลายในระยะออกฝัก หากพบฝักเป็นโรคมีเม็ดเชื้อราร่วงหล่นในแปลงเพราะจะแพร่โรค ต่อไป 2) ท าลายเศษเหลือของต้นข้าวโพดหลังการเก็บเกี่ยว ก่อนปลูกฤดูต่อไปให้ไถพลิกดินขึ้นมาตากแดด หลายๆ ครั้ง 3) หลีกเลี่ยงการปลูกพืชหนาแน่น ลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนปริมาณสูง 4) ปลูกพืชหมุนเวียนที่ไม่ใช่ พืชอาศัยของโรคนี้ได้แก่ ข้าว ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วต่าง ๆ และอ้อย 5) ใส่อินทรียวัตถุในแปลงปลูก เตรียมดิน ให้มีการระบายน้ าดี6) เพิ่มจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ เช่น Trichoderma harzianum, T. viride เหล่านี้สามารถเจริญ แข่งขันและย่อยสลายเส้นใยของเชื้อสาเหตุเหล่านี้ได้7) ใช้สารเคมี เช่น คาร์เบนดาซิม (Carbendazim) 50% SC.) อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ า 20 ลิตร หรือ80 ลิตรต่อไร่เมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน 2 -3 ครั้ง หรือจนกว่าจะควบคุมการระบาดได้ สามารถดูรายละเอียดดังตารางที่ 8 รูปภาพที่ 33ลักษณะอาการของข้าวโพดเมื่อถูกท าลายโดย โรคใบไหม้แผลใหญ่ (Northern Corn Leaf Blight) 2.6 โรคต้นเน่าจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Stalk Rot) เชื้อสาเหตุErwinia chrysanthemi ภาพโดย: กรมวิชาการเกษตร ภาพโดย: กรมวิชาการเกษตร. 2562
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 44 ลักษณะอาการ โรคนี้พบได้ทั่วไป มักเกิดในสภาพอากาศร้อน ขาดน้ าสลับกับฝน ซึ่งท าให้ข้าวโพด อ่อนแอ อาการจะรุนแรงเมื่อมีฝนตกติดต่อกันหลายสัปดาห์และต้นข้าวโพดเกิดบาดแผลจากลมพัดแรง โดยเฉพาะข้าวโพดที่ปลูกในพื้นที่ราบต่ าหรือในร่องน้ า มักเกิดบริเวณข้อที่อยู่เหนือดินเป็นรอยช้ าสีน้ าตาลแดง ถึงน้ าตาลเข้ม มีน้ าเมือกไหลเยิ้ม กลิ่นเหม็น ใบข้าวโพดแห้ง ข้าวโพดยืนต้นตายหรือหักล้ม ฝักไม่สมบูรณ์ต้นที่ แสดงอาการในระยะแรกใบยังคงมีสีเขียวอยู่ได้หลายวัน มักเกิดเมื่อต้นโตแล้วประมาณปลายฤดูปลูก การป้องกันและก าจัด 1) หลีกเลี่ยงการปลูกข้าวโพดสายพันธุ์แท้ในแหล่งที่เคยมีการระบาด 2) ถอน แล้วเผาท าลายต้นที่เป็นโรคทันทีที่พบ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไปยังต้นอื่น หลังถอนต้นเป็นโรคออกแล้วใช้ ปูนขาวโรยก้นหลุม 3) ท าร่องระบายน้ าไม่ให้น้ าขังในแปลงช่วงที่มีฝนตกชุกหลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน ปริมาณสูงและปลุกแน่นเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน เพื่อปรับให้มีการแข่งขันของจุลินทรีย์4) ใช้สารเคมีฉีดพ่น ได้แก่ คาซูกาไมซิน ไฮโดรคลอไรด์ ไฮเดรต (Kasugamycin Hydrochloride Hydreate) อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ า 20 ลิตร หรือ80 ลิตรต่อไร่ หรือ คอปเปอร์ ไฮดรอกไซด์(Copper Hydroxide) 77%WP อัตรา 20 กรัมต่อน้ า 20 ลิตร หรือ80 ลิตรต่อไร่ ฉีดพ่นทุก 7 วัน 2-3 ครั้ง หรือจนกว่าจะควบคุมการระบาดได้ สามารถดู รายละเอียดดังตารางที่ 8 รูปภาพที่ 34ลักษณะอาการของข้าวโพดเมื่อถูกท าลายโดย โรคต้นเน่าจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial stalk rot) ภาพโดย: วราภรณ์ บุญเกิด
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 45 2.6 โรคใบด่าง (Maize Dwarf Mosaic) เชื้อสาเหตุ1) Sugarcane mosaic virus (SCMV) 2) Maize dwarf mosaic virus (MDMV) 3) Maize chlorotic mottle virus (MCMV) ลักษณะอาการ ใบด่างสีเขียวซีดสลับเขียวเข้ม หรือด่างประจุดเหลือง หรือด่างประร่วมกับอาการใบ และยอดไหม้ หากโรคเข้าท าลายข้าวโพดในระยะก่อนออกดอก จะพบอาการใบเหลืองซีดทั่วทั้งใบ ยอดอ่อนมีสี เหลืองซีดหรือมีจุดประ ต้นที่เป็นโรคจะแคระแกร็นลักษณะอาการของโรคคล้ายโรคราน้ าค้าง แต่แตกต่างคือไม่พบ สปอร์ของเชื้อราบนใบ เมื่อน าใบข้าวโพดมาส่องกับแสงอาทิตย์จะเห็นจุดด่างเรียงลงมาตามท่อน้ าเลี้ยงของใบ การป้องกันและก าจัด 1) ก าจัดพืชที่แสดงอาการหรือพืชอาศัย เช่น หญ้าจอห์นสัน อ้อย ข้าวฟ่าง 2) ก าจัดเพลี้ยอ่อน ซึ่งเป็นแมลงพาหะ 3) ปลูกพืชอื่นหมุนเวียนสลับกับการปลูกข้าวโพด 4) ถอนแล้วเผา ท าลายต้นที่เป็นโรคทันทีที่พบ รูปภาพที่ 35 ลักษณะอาการของข้าวโพดเมื่อถูกท าลายโดย โรคใบด่าง ที่เกิดจากไวรัส ภาพโดย: วราภรณ์ บุญเกิด
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 46 ตารางที่ 8 การใช้สารเคมีป้องกันก าจัดโรคที่ส าคัญ ในแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์และแปลงปลูกข้าวโพดทั่วไป โรค ชื่อสารเคมี อัตราที่ใช้ วิธีใช้ ราน้ าค้าง (Corn Downy Mildew) เมทาแลกซิล (Metalaxyl 35% DS) 7-10 กรัม/เมล็ด 1 กก. คลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูก ไดเมทโทมอร์ฟ (Dimethomorph 50% WP) 20 กรัม/เมล็ด 1 กก. 1. คลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูก 2. ฉีดพ่นสารอัตรา 20–25 กรัม/น้ า 20 ลิตรเมื่อข้าวโพด อายุ 7–10 วันทุก 7 วัน จ านวน 3–4 ครั้ง ราสนิม (Southern Rust) ไดพีโนคลอนาโซล (Difenoconazole 25% EC) 80-120 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน จ านวน 2-4 ครั้ง โพรพิโคนาโซล (Propiconazole 25% EC) 120 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน จ านวน 2-4 ครั้ง แมนโคเซบ (Mancozeb) 80% WP) 160กรัม./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน จ านวน 2-4 ครั้ง ไดฟีโนโคนาโซล+โพรพิโคนาโซล (Difenoconazole 15% EC + Propiconazole 15% EC) 80 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน 2-3 ครั้ง อะซอกซีสโตรบิน+ไดฟีโนโคนาโซล (Azoxystrobin 20% EC + Difenoconazole 12.5% EC) 80 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน 2-3 ครั้ง ใบไหม้แผลเล็ก (Southern Corn Leaf Blight) ไดพีโนคลอนาโซล (Difenoconazole 25% EC) 80-120 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน จ านวน 2-4 ครั้ง ไดฟีโนโคนาโซล+โพรพิโคนาโซล (Difenoconazole 15% EC + Propiconazole 15% EC) 80 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน 2-3 ครั้ง อะซอกซีสโตรบิน+ไดฟีโนโคนาโซล (Azoxystrobin 20% EC + Difenoconazole 12.5% EC) 80 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน 2-3 ครั้ง ใบไหม้แผลใหญ่ (Northern Corn Leaf Blight) โพรพิโคนาโซล (Propiconazole 25% EC) 120 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน จ านวน 2-4 ครั้ง คาร์เบนดาซิม + อีพอกซีโคนาโซล (Carbendazim 12.5% SC + Epoxiconazole 12.5% SC) 100 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน 2-3 ครั้ง และไม่ควรใช้ สารชนิดเดียวกันเกิน 3 ครั้ง อะซอกซีสโตรบิน+ไดฟีโนโคนาโซล (Azoxystrobin 20% EC + Difenoconazole 12.5% EC) 80 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน 2-3 ครั้ง ไดฟีโนโคนาโซล+โพรพิโคนาโซล (Difenoconazole 15% EC + Propiconazole 15% EC) 80 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน 2-3 ครั้ง
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 47 ตารางที่ 8 (ต่อ) โรค ชื่อสารเคมี อัตราที่ใช้ วิธีใช้/ข้อแนะน า กาบและใบไหม้ (Banded Leaf and Sheath Blight) คาร์เบนดาซิม (Carbendazim 50% SC.) 160 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร 1. ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน จ านวน 2-4 ครั้ง 2. งดการให้น้ า หรือยกร่องปลูก 3. ท าร่องระบายน้ าไม่ให้น้ าขังในแปลง ช่วงที่มีฝนตกชุก วาลิดามัยซิน (Validamycin 3% SL) 120-160 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน จ านวน 2-4 ครั้ง ต้นเน่าจากเชื้อ แบคทีเรีย (Bacterial Stalk Rot) คาซูกาไมซิน ไฮโดรคลอไรด์ ไฮเดรต (Kasugamycin Hydrochloride Hydreate) 320 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน จ านวน 2-4 ครั้ง คอปเปอร์ ไฮดรอกไซด์ (Copper Hydroxide 77%WP) 80-120 มล./ไร่/ น้ า 80 ลิตร ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน จ านวน 2–4 ครั้ง แบคทีเรียมัยซิน (Bacterimycin) 80-200 กรัม/ไร่/ น้ า 80 ลิตร 1. ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน จ านวน 3-4 ครั้ง 2. เป็นแบคทีเรียที่ฆ่าแบคทีเรียด้วยกันไม่ ส่งผลกระทบต่อข้าวโพด บาซิลลัส ซับทีลีส (Bacillus Subtilis) 200 กรัม/ไร่/ น้ า 80 ลิตร 1. ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาดของโรค ติดต่อกันทุก 7 วัน จ านวน 3-4 ครั้ง 2. เป็นแบคทีเรียที่ฆ่าแบคทีเรียด้วยกันไม่ ส่งผลกระทบต่อข้าวโพด หมายเหตุ: ประยุกต์มาจาก กรมวิชาการเกษตร. 2562. รูปภาพที่ 36 การฉีดพ่นสารเคมีในการป้องกันก าจัดโรคพืชด้วยการใช้แรงงานคน และอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ทางการเกษตร
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 48 3. การจัดการแมลงศัตรูพืช แมลงศัตรูพืชเป็นปัญหาส าคัญของการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว มากกว่าการปลูก ข้าวโพดลูกผสมทั่วไปเนื่องจากใช้สายพันธุ์แท้ที่มีความอ่อนแอมากกว่าในการผลิต ดังนั้นการป้องกันก าจัด แมลงศัตรูพืชจึงต้องการความระมัดระวังและเอาใจใส่มากกว่า โดยแมลงศัตรูพืชที่ส าคัญและพบการระบาดได้ เสมอในแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ปัจจุบัน มีดังนี้ 3.1 เพลี้ยไฟ รูปร่างลักษณะ เพลี้ยไฟ (Corn thrips) มีชื่อวิทยาศาสตร์Frankliniella williamsi Hood เพลี้ยไฟ เป็นแมลงขนาดเล็ก มีรูปร่างเรียวยาว ขนาดประมาณ 1-3 มิลลิเมตร ตัวอ่อนมีสีเหลืองเข้ม เมื่อเป็นตัวเต็มวัย จะมีสีด า ปากสั้นคล้ายรูปกรวย ในที่แห้งแล้งจะพบเพลี้ยไฟบนต้นข้าวโพดอ่อนและแก่ ตัวเมียจะวางไข่ลงตาม เส้นใบ ตัวเมีย 1 ตัว วางไข่ได้ 64 ฟอง มีขนาด 0.1 x 0.2 มิลลิเมตร ไข่จะฟักเป็นตัวภายใน 3-4 วัน ตัวอ่อน ลอกคราบ 2 ครั้ง ระยะตัวอ่อน 7 วัน ระยะดักแด้ 3 วัน เพลี้ยไฟอาศัยอยู่ตามซอกกาบใบ และตามช่อดอก เพลี้ยไฟท าลายข้าวโพดโดยการดูดน้ าเลี้ยงที่ใบ ท าให้เป็นรอยด่างสีเหลืองซีดเป็นหย่อมๆ อยู่ทั่วไป และใบจะ เหี่ยวแห้งตายไปในที่สุด การแพร่ระบาดและการป้องกันก าจัด การระบาดของเพลี้ยไฟ โดยทั่วไปพบในระยะฝนแล้งเท่านั้น ถ้ามีความชุ่มชื้นพอเพียงก็จะไม่มีปัญหาในเรื่องเพลี้ยไฟ ถ้ามีเพลี้ยไฟระบาดอย่างรุนแรงและคุ้มค่าที่จะท าการ พ่นสารฆ่าแมลงเพื่อรักษาข้าวโพดนั้นไว้ได้สามารถเลือกสารฆ่าแมลงชนิดใดชนิดหนึ่งตามค าแนะน าของกรม วิชาการเกษตร และพ่นซ้ าตามความจ าเป็น โดยสามารถศึกษารายละเอียดสารเคมีป้องกันก าจัดเพลี้ยไฟได้ใน ตารางที่ 9 รูปภาพที่ 37รูปร่างลักษณะและการเข้าท าลายของเพลี้ยไฟ (Corn thrips : Frankliniella williamsi Hood) ภาพโดย: ส านักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการ ภาพโดย: แสงแข น้าวานิช
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 49 3.2 เพลี้ยอ่อนข้าวโพด รูปร่างลักษณะ เพลี้ยอ่อนข้าวโพด (Corn leaf aphids) ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhopalosiphum maidis Fitch. เป็นแมลงขนาดเล็ก เคลื่อนไหวช้า ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยมีลักษณะคล้ายกัน ตัวเต็มวัยมีสีเขียวอ่อน ตลอดทั้งตัว พบทั้งชนิดที่มีปีกและไม่มีปีก เพลี้ยอ่อนที่มีปีกจะมีลาตัวเล็กกว่าที่ไม่มีปีก มีความยาว 0.7 - 2.0 มิลลิเมตร ส่วนของหัว อก หนวด และขามีสีดา ส่วนท้องมีสีเขียวอ่อนและจุดสีดาทั่วไป ที่ส่วนท้ายของลาตัวมี ท่อเล็ก ๆ 2 อัน ซึ่งเป็นท่อขับถ่ายน้าหวานที่เกิดจากการดูดกินน้าเลี้ยงจากท่ออาหารของพืช เพลี้ยอ่อน ขยายพันธุ์โดยการออกลูกเป็นตัว ซึ่งมีเพศเมียเพียงเพศเดียว ตัวอ่อนที่ไม่มีปีกจะลอกคราบไม่เกิน 4 ครั้ง เป็น ตัวเต็มวัยที่สมบูรณ์ ถ้ามีการลอกคราบครั้งที่ 5 จะเป็นเพลี้ยอ่อนที่มีปีก ซึ่งจะพบเพลี้ยอ่อนระยะนี้ในสภาพที่มี พืชอาหารไม่สมบูรณ์การพัฒนาตัวอ่อนถึงตัวเต็มวัยใช้เวลา 12 วัน หลังจากเป็นตัวเต็มวัย เพลี้ยอ่อน 1 ตัว ออกลูกได้ 45 ตัว การแพร่ระบาดและการป้องกันก าจัด มักจะพบเกาะเป็นกลุ่มๆ ดูดกินน้ าเลี้ยงจากส่วนต่าง ๆ ของต้น ข้าวโพด เช่น ยอด กาบใบ โคนต้นกาบใบ และจะพบมากที่สุดบริเวณช่อดอก ท าให้บริเวณที่ถูกดูดกินแสดง อาการเป็นจุดสีเหลืองปนแดง ถ้าช่อดอกมีเพลี้ยดูดกินอยู่มากจะท าให้ช่อดอกไม่บาน การติดเมล็ดน้อยและท า ให้เมล็ดแก่เร็วทั้งๆ ที่เมล็ดยังไม่เต็มฝักแต่ถ้าการระบาดของเพลี้ยอ่อนเกิดขึ้นในระยะที่ข้าวโพดก าลังจะมีเกสร ตัวผู้และเกิดฝนทิ้งช่วงในระยะนี้ก็อาจจ าเป็นต้องใช้สารฆ่าแมลงตามค าแนะน าของกรมวิชาการเกษตรในการ ป้องกันก าจัด เพื่อลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น การพ่นไม่ควรพ่นคลุมทั้งพื้นที่ ควรพ่นเป็นจุดๆ ที่มีเพลี้ย อ่อนระบาดอยู่เท่านั้น โดยสามารถศึกษารายละเอียดสารเคมีป้องกันก าจัดเพลี้ยอ่อนข้าวโพดได้ในตารางที่ 9 รูปภาพที่ 38รูปร่างลักษณะและการเข้าท าลายของเพลี้ยอ่อนข้าวโพด (Corn leaf aphids: Rhopalosiphum maidis Fitch.) ภาพโดย: แสงแข น้าวานิช
คู่มือ การผลิตและปรับสภาพเมล็ดพันธุ์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลูกผสมเดี่ยว | 50 3.3 หนอนเจาะล าต้นข้าวโพด รูปร่างลักษณะ หนอนเจาะล าต้นข้าวโพด (Corn stem-borer) ชื่อวิทยาศาสตร์ Ostrinia furnacalis (Guenee) ตัวเต็มวัยเป็นแมลงพวกผีเสื้อกลางคืน แม่ผีเสื้อวางไข่เป็นกลุ่มซ้อนกันคล้ายเกล็ดปลา สีขาวนวลด้านใต้ใบข้าวโพด หนอนเจาะเข้าท าลายตั้งแต่ต้นข้าวโพดอายุ 20 วัน ถึงระยะเก็บเกี่ยว โดยเข้า ท าลายส่วนยอด ช่อดอกตัวผู้ และล าต้น ท าให้ชะงักการเจริญเติบโต หักล้มง่าย และหากระบาดรุนแรงจะพบ การเข้าท าลายฝักด้วย พบระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแห้งแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน การแพร่ระบาดและการป้องกันก าจัด หนอนชนิดนี้เข้าเจาะฝักข้าวโพด โดยเจาะกินที่ก้านฝักหรือ โคนฝัก ถ้าพบการระบาดรุนแรงมากหนอนจะเข้าท าลายฝักข้าวโพด และเข้าท าลายล าต้นข้าวโพดในช่วงการ เจริญเติบโต ระยะติดผลและติดเมล็ด โดยที่หนอนจะเจาะกินที่ใบส่วนยอด ภายในช่อดอก และเจาะเข้าภายใน ล าต้น หนอนที่ฟักออกจากไข่ระยะแรกจะกัดกินใบที่ม้วนอยู่ แต่ถ้าหนอนระบาดในระยะที่ข้าวโพดก าลังออก เกสรตัวผู้ หนอนจะอาศัยและกัดกินที่ช่อดอกตัวผู้ จากนั้นจึงเจาะเข้าล าต้นบริเวณก้านใบเหนือข้อและโคนฝัก ในสภาพที่มีการเจาะท าลาย 3-6 รูต่อต้น จะท าให้ผลผลิตลดลง 10-40 เปอร์เซ็นต์วิธีการป้องกันและก าจัด 1) การใช้พันธุ์ข้าวโพดที่ค่อนข้างต้านทาน ต่อหนอนเจาะล าต้น 2) การใช้แมลงศัตรูธรรมชาติ ของหนอนเจาะล า ต้นข้าวโพด ได้แก่ แตนเบียน แมลงหางหนีบ แมลงช้าง และแมงมุม เป็นต้น 3) การใช้สารเคมี ฉีดพ่นด้วย เช่น ไซเพอร์เมทริน 15 เปอร์เซ็นต์ อีซีอัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้ า 20 ลิตร หรือไตรฟลูมูรอน 25 เปอร์เซ็นต์ดับบลิว พีอัตรา 30 กรัมต่อน้ า 20 ลิตร เมื่อพบยอดข้าวโพดถูกท าลาย 30 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงระยะก่อนออกช่อดอกตัว ผู้ หรือเมื่อพบหนอนประมาณ 50-100 ตัว หรือพบรูเจาะ 50 รูต่อข้าวโพด 100 ต้น โดยสามารถศึกษา รายละเอียดสารเคมีป้องกันก าจัดหนอนเจาะล าต้นข้าวโพด ได้ในตารางที่ 9 รูปภาพที่ 39 รูปร่างลักษณะและการเข้าท าลายของหนอนเจาะล าต้นข้าวโพด (Corn Stem-borer: Ostrinia furnacalis (Guenee)) ภาพโดย: แสงแข น้าวานิช ภาพโดย: แสงแข น้าวานิช