The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
(Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pairoon16, 2022-09-25 22:47:20

Chronic Obstructive Pulmonary Disease

การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
(Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD)

Keywords: COPD



การพยาบาลผู้ปวุ ยโรคปอดอดุ กัน้ เร้ือรัง

(Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD)

นางสาวสริ ตา ช่นื โชติกิตติ
นายสมศักดิ์ กัณณะ และคณะ

ภารกจิ ด้านการพยาบาล
สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์



คานา

สถานการณ์โลกในปัจจุบันยังพบว่า โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นปัญหาสุขภาพระดับโลก สาเหตุ
การเกิดโรคส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการปฏิบัติของผู้ปุวย เช่น จากการสูบบุหร่ี การประกอบอาชีพ
เป็นต้น ในประเทศไทยโรคปอดอุดกั้นเร้ือรังก็ยังคงเป็นเป็นปัญหาสุขภาพในระดับต้นของประเทศ
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายขับเคลื่อนการดูแลรักษาตามมาตรฐานให้ครอบคลุมทั่ว
ประเทศ โดยได้มอบหมายให้สถาบันโรคทรวงอก ซึ่งเป็นสถาบันสุขภาพเฉพาะทางโรคปอดและหัวใจ
ดาํ เนินการขับเคลื่อนนโยบาย service plan โรคปอดอดุ ก้ันเรอ้ื รงั ในระดบั เขต และ ระดับประเทศ

การดูแลผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังซ่ึงเป็นโรคท่ีมีผู้รับบริการในแผนกอายุรกรรมปอด สถาบัน
โรคทรวงอก ติดอันดับ top five มาโดยตลอด เพ่ือตอบสนองยุทธศาสตร์การพัฒนามาตรฐานการดูแล
รักษาและการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ภารกิจด้านการพยาบาลจึงได้จัดทําคู่มือพัฒนาสมรรถนะ
พยาบาลโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเน่ืองให้มีความรู้ ทักษะ
ความเชยี่ วชาญในการดแู ลผปู้ ุวยได้อย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพ เกิดประสิทธิภาพ
และประโยชน์สูงสุดต่อผู้รับบริการและประชาชน นอกจากนี้ยังสามารถนําไปใช้เป็นแนวทางการเรียน
การสอนในหลักสตู รการพยาบาลเฉพาะทางระบบหายใจภาคปฏบิ ตั ไิ ดเ้ ป็นอย่างดี

คณะผูจ้ ดั ทํา
มนี าคม 2565

สารบญั ข

เรือ่ ง หนา้

1. คาํ นํา ก
2. สารบญั ข
3. สารบัญภาพ ค
4. สารบญั ตาราง ง
5. บทนํา 1
6. โรคปอดอุดกน้ั เร้ือรงั 3
7. ความเปน็ มาและความสําคญั 3
8. กายวิภาคศาสตรข์ องปอด 3
9. คําจํากดั ความ 5
10. พยาธิกําเนิด/ พยาธิวิทยา 6
11. พยาธิสรีรวทิ ยา 7
12. สาเหตแุ ละปัจจยั เส่ียงการเกดิ โรค 7
13. อาการและอาการแสดง 8
14. การวนิ ิจฉยั โรค 8
15. การประเมนิ ระดับความรุนแรงของโรค 11
16. การรกั ษา 13
17. การพยาบาล 36
18. แผนการพยาบาลโรคปอดอุดกนั้ เรอื้ รัง 39
39
 แผนการพยาบาลในแผนกผ้ปู ุวยใน 53
62
 แผนการพยาบาลในแผนกผปู้ ุวยนอก 70
19. การวางแผนจาํ หนา่ ยและการเสรมิ สร้างพลังอํานาจ 73
20. บรรณานุกรม 75
21. ภาคผนวก ก. 78
22. ภาคผนวก ข. 90
23. ภาคผนวก ค. 93
24. ภาคผนวก ง.
25. ภาคผนวก จ.

สารบญั ภาพ ค

เร่อื ง หนา้
5
1. ภาพที่ 1 โครงสร้างของระบบหายใจ 7
2. ภาพที่ 2 พยาธิสภาพของหลอดลมในผปู้ ุวยโรคปอดอุดกัน้ เรื้อรัง 9
3. ภาพที่ 3 ภาพถา่ ยรังสีทรวงอก ผปู้ ุวยโรคปอดอุดกั้นเรอื้ รงั 10
4. ภาพที่ 4 การประเมินความผดิ ปกตขิ องสมดลุ กรด-ดา่ ง 13
5. ภาพท่ี 5 แนวทางการประเมนิ ความรุนแรงของโรค



สารบญั ตาราง

เร่ือง หน้า

ตารางท่ี 1 ระดบั ความรนุ แรงของโรคปอดอุดกน้ั เรื้อรังตามคา่ FEV1 หลงั ให้ยาขยายหลอดลม 10
ตารางที่ 2 แสดงค่าปกติของผล ABG 10
ตารางท่ี 3 COPD Assessment TestTM (CAT score)
12

ตารางท่ี 4 การประเมินระดับอาการรู้สึกความเหน่ือยตาม modified Medical Research Council 12

ตารางที่ 5 แสดงกลมุ่ ยาท่ีใช้ในการรักษาโรคปอดอดุ กน้ั เร้ือรงั 16

ตารางที่ 6 แสดงกลุ่มยาท่ีใชใ้ นการรกั ษาโรคปอดอดุ กัน้ เร้อื รัง (ต่อ) 16

ตารางท่ี 7 แสดงกลุ่มยาที่ใชใ้ นการรกั ษาโรคปอดอดุ ก้นั เรอื้ รงั (ต่อ) 17

ตารางที่ 8 แสดงกลุ่มยาขยายหลอดลม SAMA+SABA ทีใ่ ช้ในสถาบนั โรคทรวงอก Berodual 18

ตารางท่ี 9 แสดงกลุ่มยาขยายหลอดลม LAMA ท่ีใช้ในสถาบนั โรคทรวงอก Spiriva 18

ตารางที่ 10 แสดงกลุ่มยาขยายหลอดลม ICS ท่ใี ชใ้ นสถาบันโรคทรวงอก Clenil 19

ตารางท่ี 11แสดงกล่มุ ยาขยายหลอดลม LABA + LAMA ท่ีใชใ้ นสถาบนั โรคทรวงอก Ultibro 19

ตารางท่ี 12 แสดงกลมุ่ ยาขยายหลอดลม LABA + ICS ท่ใี ช้ในสถาบันโรคทรวงอก Seretide 20

ตารางที่ 13 แสดงกลุ่มยาขยายหลอดลม Selective beta2 agonist ที่ใช้ในสถาบนั โรคทรวงอก 21

ตารางที่ 14 แสดงกลุ่มยาตา้ นการอักเสบ ทใี่ ช้ในสถาบันโรคทรวงอก Montelukast sodium 22

ตารางท่ี 15 แสดงกลุ่มยา steroid ทีใ่ ชใ้ นสถาบนั โรคทรวงอก Prednisolone 23

ตารางที่ 16 แสดงกลมุ่ ยา Anti-asthmatic ทีใ่ ชใ้ นสถาบันโรคทรวงอก Doxofylline 23

ตารางท่ี 17 แสดงกลมุ่ ยา Phosphodiesterase-4 inhibitor ทใี่ ชใ้ นสถาบันโรคทรวงอก Roflumilast 24

ตารางที่ 18 แสดงกลุ่มยา Antibiotic ชนิดรบั ประทานท่ีใชใ้ นสถาบันโรคทรวงอก Azithromycin 24

ตารางท่ี 19 แสดงกลุ่มยา Antibiotic ชนดิ รบั ประทาน ที่ใชใ้ นสถาบันโรคทรวงอก clarithromycin 25

ตารางท่ี 20 แสดงกลมุ่ ยา Antiviral ชนิดรบั ประทาน ที่ใช้ในสถาบนั โรคทรวงอก Oseltamivir 25

ตารางท่ี 21 แสดงกลุ่มยา Mucolytics & antioxidant ท่ใี ชใ้ นสถาบันโรคทรวงอก Erdosteine 26

ตารางท่ี 22 แสดงกลุ่มยา Mucolytics & antioxidant ทีใ่ ชใ้ นสถาบันโรคทรวงอก Brown mixture 26

ตารางที่ 23 แสดงกลมุ่ ยา Mucolytics ทใี่ ชใ้ นสถาบันโรคทรวงอก Acetylcysteine 27

ตารางท่ี 24 แสดงกลมุ่ ยา Mucolytics ทใี่ ชใ้ นสถาบนั โรคทรวงอก Bromhexine 27

ตารางที่ 25 แสดงกลุ่มยา Expectorant ท่ใี ชใ้ นสถาบนั โรคทรวงอก Ammonium carbonate 28

ตารางท่ี 26 แสดงกลมุ่ ยา Anti-tussive ทใี่ ช้ในสถาบันโรคทรวงอก Dextromethorphan 28

ตารางท่ี 27 แสดงกลมุ่ ยา Opioids ที่ใช้ในสถาบันโรคทรวงอก Codeine 29

ตารางที่ 28 แสดงกลมุ่ ยา Antihistamine ทใี่ ช้ในสถาบนั โรคทรวงอก Cetirizine 29

ตารางท่ี 29 แสดงกลมุ่ ยา Antihistamine ท่ีใช้ในสถาบันโรคทรวงอก Loratadine 30

ตารางที่ 30 แสดงกลุ่มยา Decongestant ทีใ่ ช้ในสถาบนั โรคทรวงอก Pseudoephedrine 30

ตารางท่ี 31 ข้อบง่ ช้ใี นการใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจและใช้เครอื่ งช่วยหายใจ 34

ตารางท่ี 32 การรักษาผู้ปุวยปอดอดุ กนั้ เรื้อรงั ทมี่ ีอาการกาํ เริบ(Exacerbation of COPD) 34

1

บทนา
คมู่ ือการพยาบาลผู้ปวุ ยโรคปอดอดุ ก้นั เรอ้ื รังสถาบนั โรคทรวงอก

คู่มือการพยาบาลผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง สถาบันโรคทรวงอก คณะผู้จัดทําได้ทบทวน
วรรณกรรม คน้ คว้าเอกสาร ตาํ รา และงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้อง โดยครอบคลมุ ประเด็นสําคญั ดงั น้ี

โรคปอดอุดก้ันเร้ือรงั
1. กายวภิ าคศาสตรข์ องปอด
2. คําจํากดั ความ
3. พยาธิกําเนดิ / พยาธวิ ทิ ยา/ พยาธสิ รีรวิทยาของโรค
4. สาเหตุและปัจจยั เสีย่ งการเกิดโรค
5. อาการและอาการแสดง
6. การวินิจฉัยโรค
7. การประเมนิ ระดับความรนุ แรงของโรค
8. การรักษา
9. การพยาบาล
10. การเสริมสร้างพลงั อาํ นาจและการวางแผนจาํ หนา่ ย

วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่ือเป็นคู่มือการพยาบาลผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ในงานการพยาบาลอายุรกรรมปอด
สถาบนั โรคทรวงอก
2. เพอ่ื เป็นแนวทางในการประเมิน คัดกรอง แยกแยะระดับสมรรถนะการพยาบาลตามประสบการณ์
การทํางานในงานการพยาบาลอายุรกรรมปอด สถาบันโรคทรวงอก
3. เพ่ือพฒั นาสมรรถนะพยาบาล ในการดูแลผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเร้ือรังตามประสบการณ์การทํางาน
ในงานการพยาบาลอายรุ กรรมปอด สถาบนั โรคทรวงอก

ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะได้รบั
ค่มู อื การพยาบาลผู้ปุวยโรคปอดอุดก้ันเร้ือรงั ก่อให้เกิดประโยชนม์ ากมายทั้งต่อหนว่ ยงาน

องค์กร บคุ ลากรพยาบาล และผู้รบั บริการ ดงั นี้
1. หน่วยงาน เกดิ ประโยชน์ด้านการบริหาร ได้แก่

1.1 สามารถนําไปใช้ในการประเมินคุณภาพและ ประสิทธิผลของงานบริการทางการพยาบาล
1.2 สามารถใช้เป็นเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะบุคลากรเพ่ือพัฒนาขีดความสามารถให้ไปสู่
ระดับผเู้ ชย่ี วชาญ
2. ด้านองค์กร
2.1 มีกรอบในการใชท้ รัพยากรบคุ คลอยา่ งเหมาะสมและเกิดความคุ้มค่าคุ้มทนุ ในการให้บริการ
2.2 การบริการพยาบาลเป็นไปตามมาตรฐานวิชาชพี อย่างมีคณุ ภาพ
3. ด้านบคุ ลากรพยาบาล
3.1 การตดั สนิ ใจทางคลินิกง่ายขน้ึ และมีแนวทางในการดูแลรกั ษาผู้ปุวยโรคปอดอุดกัน้ เร้ือรงั
3.2 มมี าตรฐานหรอื เกณฑใ์ นการวัดความเหมาะสมของการปฏิบัตกิ ารพยาบาล

2

3.3 สามารถแยกความรับผิดชอบตามประสบการณก์ ารทาํ งานของพยาบาลในการดูแลผู้ปุวยได้
ชัดเจนข้ึน และ เป็นการส่งเสริมความร่วมมือ การประสานงานในทีมให้มีประสิทธิภาพย่ิงขึ้นและลด
ความเสีย่ งความผิดพลาดจากการปฏิบัติงาน

3.4 เปน็ แนวทางในการพฒั นาศักยภาพบุคลากรให้มสี มรรถนะท่ีเหมาะสมกับอายุงาน
4. ด้านผรู้ ับบรกิ าร

ทาํ ให้ผปู้ ุวยโรคปอดอุดกัน้ เร้อื รงั ได้รับการพยาบาลที่ไดม้ าตรฐาน ปอู งกนั อาการกาํ เรบิ การกลบั เขา้
รกั ษาซา้ํ และ มคี ุณภาพชวี ติ ทดี่ ี

3

โรคปอดอดุ ก้นั เรอ้ื รงั

ความเปน็ มาและความสาคญั

โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) มีลักษณะที่สําคัญ
คือมีการอุดกั้นและจํากัดของการหายใจเข้าออก (airflow limitation) (GOLD, 2020) และเป็นสาเหตุ
การเจ็บปุวยและการเสียชีวิตของประชากรท่ัวโลก จากสถิติขององค์การอนามัยโลกพบว่าปัจจุบันมี
ผูป้ วุ ยทเี่ ปน็ โรคปอดอุดกนั้ เร้อื รังประมาณ 210 ล้านคน คิดเปน็ ร้อยละ10 ของประชากรในวัยผู้ใหญ่เป็น
สาเหตุการตายอันดับท่ี 4 ในปี ค.ศ. 2012 (โชค ล้ิมสุวัฒน์, 2561) และคาดว่าจะเป็นสาเหตุการตาย
อันดับที่ 3 ของประชากรโลกในปี ค.ศ. 2030 (GOLD, 2020) สําหรับประเทศไทยมีอัตราการตายเป็น
ลําดบั ที่ 6 (เบญจมาศ ชว่ ยช,ู 2558)

ประเทศไทยพบว่าโรคปอดอุดกั้นเร้ือรังในเป็นปัญหาท่ีสําคัญทางด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง
จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ โดยมีการอุดก้ันของทางเดินหายใจอย่าง
ถาวร เนื่องจากมีการเปล่ียนแปลงภายในหลอดลมและ/หรือในเนื้อปอด ทําให้หลอดลมตีบแคบลง สาเหตุ
ส่วนใหญ่ของปอดอุดกั้นเรื้อรังมักเกิดจากหลอดลมเกิดการระคายเคืองเป็นเวลานาน จากการสูบบุหรี่
สิ่งแวดล้อม และอาชีพท่ีเกี่ยวข้องกับมลภาวะ มีผลทําให้ปอดและหลอดลมเกิดการอักเสบติดเช้ือในเวลา
ต่อมา จากข้อมูลการเบิกจ่ายของสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2557 พบว่าผู้ปุวยท่ีนอน
โรงพยาบาลด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมีจํานวน 350 คนต่อจํานวนประชากร 100,000 คน มีอัตราการ
เสยี ชีวิตร้อยละ 5.4 ในจํานวนนี้มีการใช้เครอ่ื งชว่ ยหายใจหรือใส่ท่อช่วยหายใจร้อยละ 9.8 และมีอัตรา การ
กลับมานอนโรงพยาบาลซํ้าใน 28 วันหลังจําหน่ายผู้ปุวยร้อยละ 28 (สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย,
2560)

ดังน้ันการดูแลผู้ปุวยขณะท่ีรักษาตัวในโรงพยาบาล จึงมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งท่ีจะช่วยให้
ผู้ปุวยมชี วี ติ รอดโดยปราศจากอาการแทรกซอ้ น พยาบาลเป็นผทู้ มี่ บี ทบาทสาํ คญั ในการเป็นผู้ดูแลใกล้ชิด
ท้ังผู้ปุวยและครอบครัว ต้องใช้ความรู้ความสามารถทางการพยาบาลทั้งภาคทฤษฎีและการปฏิบัติการ
พยาบาล สามารถประเมินอาการของผู้ปุวย เพ่ือให้การพยาบาลท่ีถูกต้องรวดเร็ว ด้วยความละเอียด
รอบคอบ ด้วยทักษะเฉพาะทาง เพื่อให้การดูแลเกิดประสิทธิภาพสามารถปูองกันภาวะแทรกซ้อนที่
อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิต เม่ือผู้ปุวยสามารถจําหน่ายออกจากโรงพยาบาล พยาบาลต้องให้ความรู้
คําแนะนําการดูแลตนเอง เช่น การสูดพ่นยา การรับประทานอาหาร และการฟ้ืนฟูสมรรถภาพปอด
(Lung Rehabilitation) เปน็ ต้น เพือ่ คุณภาพชวี ติ ทดี่ ีของผูป้ ุวย

กายวภิ าคศาสตร์ของปอด (Lung)

ปอดเปน็ อวัยวะทท่ี าํ หนา้ ทใ่ี นการหายใจ ปอดตัง้ อยู่ภายในทรวงอก มีปริมาตรประมาณ 2 ใน 3
ของทรวงอก ปอดขวาสั้นกว่าปอดซ้าย เนื่องจากตับซ่ึงอยู่ทางด้านล่างดันขึ้นมา ปอดด้านซ้ายจะแคบ
กว่าปอดดา้ นขวาเพราะมีหวั ใจแทรกอยู่ ปอดซา้ ยมี 2 กลีบ ได้แก่ กลีบบน (Upper lobe) และกลีบล่าง
(Lower lobe) ส่วนปอดขวามี 3 กลีบ คือ กลีบบน (Upper lobe) กลีบกลาง (Middle lobe) และ
กลีบลา่ ง (Lower lobe) ปอดมีเยื่อหุ้มปอด (Pleura) 2 ชั้น ช้ันนอกติดกับผนังช่องอก ส่วนชั้นในติดกับ
ผนังของปอด ระหว่างเย่ือทั้งสองช้ันมีของเหลงเคลือบอยู่ การหุบและการขยายของปอดจะเป็น

4

ตวั กาํ หนดปริมาณอากาศท่ีเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะทําให้ร่างกายได้รับออกซิเจน ถ่ายเทคาร์บอนไดออกไซด์
ออกตามท่รี ่างกายต้องการ (วนั วสิ า เรง่ รุด, 2561)

ปอดแต่ละข้างจะถูกห่อหุ้มด้วยเย่ือหุ้มปอด 2 ชั้น คือ ชั้นในติดอยู่กับเน้ือปอด (Visceral
pleura) และชัน้ นอกตดิ กบั ผนังของช่องอก (Parietal pleura) เย่ือหุ้มปอดทั้ง 2 ชั้นนี้อยู่แนบติดกันจน
ดเู ป็นผนื เดยี ว ระหวา่ งชั้นทั้งสองมีของเหลวใสๆ เคลือบอยู่ ซ่ึงทําให้เกิดเป็นช่องว่างขึ้น (Intra pleural
space) เน่ืองจากปอดและผนงั ทรวงอกมคี ุณสมบตั ิยืดหย่นุ โดยท่ีปอดจะพยายามหดกลับให้เล็กลง ส่วน
ทรวงอกก็พยายามขยายออกในทิศทางตรงข้าม ทําให้เย่ือหุ้มปอดทั้งสองพยายามแยกจากกัน เป็นเหตุ
ให้ชอ่ งเย่อื หุ้มปอดมคี วามดนั ต่ํากวา่ บรรยากาศ หรือมีค่าเป็นลบ ด้วยเหตุน้ีจึงทําให้ปอดอยู่ในลักษณะที่
พองโตเต็มทรวงอก ถ้าความดันในช่องเยื่อหุ้มปอดสูงเท่ากับบรรยากาศจะทําให้ปอดแยกตัวจากผนัง
ทรวงอก ทําใหป้ อดเลก็ หรอื แฟบลงได้ (พนสั เฉลมิ ยากร, 2560)

เยื่อหุ้มปอดและช่องเย่ือหุ้มปอด (Pleurae and Pleural cavities)
เยื่อหุม้ ปอดเป็นเนอื้ เยอ่ื บางๆ ทห่ี อ่ หุม้ เนอื้ ปอดท้ังหมด โดยมีหน้าที่ปกปูองปอด เยื่อหุ้มปอดจะ
มี 2 ชน้ั ระหว่างชัน้ ทงั้ สองจะเป็นโพรงหรือเปน็ ชอ่ ง เรยี กว่า โพรงเยื่อหุ้มปอด หรือ ช่องเยื่อหุ้มปอด ซึ่ง
ในโพรงน้ีมีของเหลวในปริมาณเล็กน้อย เพ่ือหล่อล่ืนเยื่อหุ้มปอดทั้ง 2 ชั้นไม่ให้เสียดสีกัน และเน่ืองจาก
ความดนั ในโพรงเย่ือหุ้มปอดน้ีเป็นสุญญากาศ ดังนั้นโพรงเยื่อหุ้มปอดจึงยังเป็นตัวช่วยการขยายและหด
ตัวของปอดในการหายใจเข้าออกอกี ด้วย
เย่ือหุ้มปอดมีสองชั้นคือ เย่ือหุ้มปอดช้ันนอกเรียกว่า Parietal pleura และเยื่อหุ้มปอดชั้นใน
เรียกว่า Visceral pleura ห่อหุ้มเน้ือปอดไว้ ขณะปอดขยายตัวระหว่างการหายใจเข้า เย่ือหุ้มปอดท้ัง
สองชน้ั จะเบียดชิดกันจนแทบจะไม่มีช่องว่างภายในช่องเย่ือหุ้มปอดเลย ช่องว่างระหว่างเย่ือหุ้มปอดท้ัง
สองเรียกว่า ช่องเยื่อหุ้มปอด (Pleural cavity) ตามปกติจะมีของเหลวท่ีหล่ังโดยเย่ือหุ้มปอดเคลือบอยู่
อย่างเบาบาง เพื่อหล่อล่ืนและลดความฝืดระหว่างเย่ือหุ้มปอดท้ังสองชั้น ทําให้ผิวที่สัมผัสกันอยู่ลื่นไหล
ผา่ นกันอยา่ งราบร่ืนระหว่างการหายใจ ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในการหายใจเป็นปกติ (วันวิสา เร่งรุด,
2561)

โครงสร้างของระบบหายใจแบง่ ตามหนา้ ทไ่ี ด้ 2 ส่วน
1. สว่ นท่อทางเดนิ อากาศ (Conducting division) เริ่มตั้งแต่โพรงจมูกจนถึงหลอดลมฝอยส่วน
ปลาย ซ่ึงเป็นส่วนที่มีโครงสร้างผนังที่หนาประกอบด้วยเซลล์เย่ือบุ (Epithelial cell) ซ่ึงมีเซลล์ขนกวัก
(cilia) มตี ่อมและเซลล์สร้างมกู (Goblet cell and Mucus gland) ทําหน้าที่สรา้ งสารคัดหลั่ง (Mucus)
หน้าท่ีสาํ คญั ของทอ่ ทางเดินอากาศเป็นทางเดนิ อากาศระหว่างบรรยากาศกับถุงลมให้ความชื้นแก่อากาศ
ที่ผ่านเข้าสู่ปอดปรับอุณหภูมิที่ผ่านเข้าสู่ปอดให้สูงขึ้นหรือใกล้เคียงกับอุณหภูมิร่างกายทําความสะอาด
อากาศทผ่ี ่านเข้าสปู่ อด
2. ส่วนท่ีมีการแลกเปลี่ยนก๊าซ (Respiratory division) เร่ิมต้ังแต่หลอดลมฝอย (Respiratory
bronchioles) ท่อถุงลม (Alveolar duct) ถุงลมใหญ่ (Alveolar sac) จนถึงถุงลมเล็ก (Alveoli)
โครงสรา้ งของสว่ นนมี้ ีผนงั บางพอท่จี ะทาํ ใหเ้ กดิ การแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างอากาศในถุงลมกับอากาศใน
หลอดเลือดฝอย (Pulmonary capillary) โครงสร้างของถุงลมประกอบด้วยเซลล์เย่ือบุชั้นเดียว ซึ่งแบ่ง
ออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่1 เป็นเซลล์ส่วนใหญ่ของผนังถุงลมมีลักษณะแบนและบาง ซึ่งช่วยในการ
แลกเปล่ียนก๊าซ ชนิดที่ 2 เป็นเซลล์เย่ือบุที่มีขนาดและรูปร่างใหญ่กว่าทําหน้าท่ีสร้างสารลดแรงตึงผิว

5

(Surfactant) นอกจากนี้ผิวของเซลล์เย่ือบุถุงลมมีเซลล์แมคโครฟาจ (Macrophage) ทําหน้าที่กินส่ิง
แปลกปลอมต่าง ๆ ทีเ่ ข้ามาส่ถู ุงลม (พนัส เฉลมิ ยากร, 2560)

ภาพท่ี 1 โครงสร้างของระบบหายใจ (Anatomy-physiology of respiratory system)
ทีม่ า: https://quizlet.com/387348188/anatomy-physiology-respiratory-system-the-
respiratory-system-anatomy-diagram/ retrieved on 8 March 2022.

การแลกเปลยี่ นก๊าซในรา่ งกาย ประกอบดว้ ย
1. ปอด (Lung) เป็นการแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างในถุงลมปอดกับเส้นเลือดฝอย โดยออกซิเจน
จากถุงลมปอดจะแพร่เข้าสู่เส้นเลือดฝอยรอบๆ ถุงลมปอด และรวมตัวกับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin;
Hb) ท่ีผิวของเม็ดเลือดแดงกลายเป็นออกซีฮีโมโกลบิน (Oxyhemoglobin; HbO2) ซึ่งมีสีแดงสด เลือด
ท่มี ีออกซีฮโี มโกลบนิ จะถูกส่งเข้าสู่หัวใจและสบู ฉดี ไปยงั เนอ้ื เย่อื ตา่ งๆ ท่ัวร่างกาย
2. เนอื้ เยื่อ (tissue) ออกซีฮีโมโกลบินจะสลายให้ออกซิเจนและฮีโมโกลบิน ออกซิเจนจะแพร่
เข้าสู่เซลล์ ทําให้เซลล์ของเน้ือเยื่อได้รับออกซิเจน ในขณะที่เนื้อเยื่อรับออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ท่ี
เกิดขึ้นในเซลล์จะแพร่เข้าเส้นเลือด คาร์บอนไดออกไซด์ส่วนใหญ่จะทําปฏิกิริยากับนํ้าในเซลล์เม็ดเลือด
แดงเกิดเปน็ กรดคาร์บอนิก (H2CO3) แตกตัวต่อได้ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน (HCO3) และ ไฮโดรเจน
ไอออน (H+) เมื่อเลือดทีม่ ีไฮโดรเจนคารบ์ อเนตไอออน (HCO3) มากจะไหลเข้าสู่หัวใจ จะถูกสูบฉีดต่อไป
ยังเส้นเลือดฝอยรอบๆ ถุงลมปอดไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออนและไฮโดรเจนไอออนจะรวมตัวกันเป็น
กรดคารบ์ อนิกแลว้ สลายตวั เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ และในเซลลเ์ ม็ดเลือดแดง เป็นผลให้ความหนาแน่น
ของคาร์บอนไดออกไซด์ในเส้นเลือดฝอยสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ในถุงลมปอด เกิดการแพร่ของ
คาร์บอนไดออกไซด์จากเสน้ เลือดฝอยเข้าสู่ถงุ ลมปอด

คาจากดั ความ (Definition)
โรคปอดอุดกั้นเร้ือรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) คือ โรคที่มีการอุด

ก้ันและการจํากัดของทางเดินหายใจ (airway limitation) อย่างถาวร (COPD diagnosis, management
and prevention, 2019) ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างในปอด (structural changes) และ
ทําให้ช่องทางเดินหายใจเล็กลงซึ่งการจํากัดขนาดของทางเดินหายใจนั้นจะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ สัมพันธ์กับ
การอกั เสบเร้อื รังทเี่ กดิ ขนึ้ ในปอดเพื่อตอบสนองกับสารอันตรายต่างๆ (noxious particles) ท่ีเข้ามาในปอด

6

เช่น ฝุน และแก๊สพิษ ท่ีสําคัญท่ีสุด ได้แก่ ควันบุหรี่ ทําให้เกิด abnormal inflammatory response ทั้ง
ในปอดและระบบอื่นๆของร่างกาย (multicomponent disease) ผู้ปุวยที่มีโรคร่วมหรืออาการกําเริบ
เฉียบพลัน จะมผี ลตอ่ ความรนุ แรงของโรค (สมาคมอรุ เวชช์แห่งประเทศไทย, 2560)

โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังจะมีการอุดกั้นเร้ือรังของทางเดินหายใจขนาดเล็ก (obstructive
bronchiolitis) ร่วมกับการถูกทําลายของถุงลมปอด (emphysema) ทําให้ผู้ปุวยมีอาการของโรค 2
ลักษณะคือ โรคถุงลมโปุงพอง (emphysema) และโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (chronic bronchitis)
(GLOD, 2020) ผ้ปู ุวยสว่ นใหญ่มกั พบโรคดงั กล่าวทงั้ สองโรคอยรู่ ่วมกัน และแยกออกจากกันได้ยาก

โรคถุงลมโปงุ พอง (emphysema) คือโรคท่ีมีพยาธิสภาพการทําลายของถุงลมปอด โดยถุงลม
บริเวณต่อหลอดลมส่วนปลาย respiratory bronchiole มีการขยายตัวโปุงพองกว่าปกติอย่างถาวร
(GLOD, 2020)

โรคหลอดลมอกั เสบเรอ้ื รัง (chronic bronchitis) มนี ิยามจากอาการทางคลนิ ิก กล่าวคือ ผู้ปุวย
มีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะ อย่างน้อย 3 เดือนใน 1 ปี ติดต่อกันอยู่เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่ได้เกิดจาก
สาเหตุอืน่ (GLOD, 2020)

พยาธกิ าเนดิ (Pathogenesis)

โรคปอดอุดกั้นเร้ือรังเป็นผลจากการระคายเคืองอย่างต่อเนื่องทําให้เกิดการอักเสบเร้ือรังใน
หลอดลม เน้ือปอด และหลอดเลือดปอด (pulmonary vasculature) โดยมีเซลล์สําคัญที่เกี่ยวข้องคือ
T-lymphocyte (สว่ นใหญ่เปน็ CD8) neutrophil และ macrophage ทําให้มีการหลั่ง inflammatory
mediators หลายชนิด ท่ีสําคัญ ได้แก่ leukotriene B4, interleukin 8 และ tumor necrosis factor
α เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกระบวนการสําคัญท่ีมาเก่ียวข้องกับพยาธิกําเนิดอีก 2 ประการคือ การเพิ่ม
ของ oxidative stress และความไม่สมดุลระหว่าง proteinase กับ antiproteinase (สมาคมอุรเวชช์
แห่งประเทศไทย, 2560)

พยาธิวิทยา (Pathology)
พบการเปลี่ยนแปลงของหลอดลมต้ังแต่ขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก มีเซลล์ท่ีเก่ียวข้องกับการ

อักเสบแทรกในเยื้อบุท่ัวไป มี goblet cell เพ่ิมข้ึน และ mucous gland ขนาดใหญ่ข้ึน ทําให้มีการสร้าง
mucus ออกมามากและเหนียวกว่าปกติ การอักเสบ และการทําลายท่ีเกิดข้ึนซํ้าๆ โดยพบเซลล์ CD8 + T-
lymphocyte เซลล์ neutrophils และ CD68 + monocytes/macrophages (โชค ล้ิมสุวัฒน์, 2561) จะ
ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของผนังหลอดลมโดยเฉพาะหลอดลมส่วนปลายท่ีมีขนาด
เส้นผา่ ศูนยก์ ลางนอ้ ยกวา่ 2 มลิ ลเิ มตร ทําใหม้ กี ารตบี ของหลอดลม ดงั รปู ภาพที่ 2

เนื้อปอดส่วน respiratory bronchiole และถุงลมท่ีถูกทําลายและโปุงพองมีลักษณะจําเพาะ
รวมเรียกว่า centrilobular emphysema โดยเริ่มจากปอดส่วนบนแล้วลุกลามไปส่วนอื่นๆ ใน
ระยะเวลาต่อมา(สมาคมอรุ เวชชแ์ หง่ ประเทศไทย, 2560)

สําหรับบริเวณหลอดเลือดปอด มีผนังหนาตัวข้ึน กล้ามเนื้อเรียบและเซลล์ท่ีเก่ียวข้องกับการ
อกั เสบมจี ํานวนมากขึน้

7

ภาพที่ 2 พยาธสิ ภาพของหลอดลมในผูป้ ุวยโรคปอดอุดก้นั เร้อื รัง
ทมี่ าของภาพ https://www.bangkokhospital.com/th/disease-treatment/copd (27/04/2020)

พยาธสิ รีรวิทยา (Pathophysiology)
การเปลีย่ นแปลงทางพยาธิวิทยาของปอด นาํ ไปสู่การเปลย่ี นแปลงทางสรีรวทิ ยาในผู้ปุวย ดังนี้
1. การสรา้ ง mucus มากกวา่ ปกติ รว่ มกับการทาํ งานผิดปกติของ cilia ทําใหผ้ ู้ปุวยไอเรอื้ รงั มีเสมหะ

ซาํ้ อาจเปน็ อาการนําของโรคก่อนที่จะมีการเปลีย่ นแปลงทางสรีรวิทยาอื่นๆ
2. การตบี ของหลอดลมรว่ มกบั การสูญเสยี elastic recoil ของเนื้อปอดทําใหเ้ กิด airflow limitation

และ air trapping
3. การตีบของหลอดลม การทําลายของเน้ือปอด และหลอดเลือดจะมีผลต่อการแลกเปลี่ยนก๊าซ

ทําให้เกิดภาวะ hypoxemia และ hypercapnia ตามมาซ่ึงอาจทําให้เกิด pulmonary hypertension และ
cor pulmonale ในที่สดุ

นอกจากน้กี ารเพิ่มของ inflammatory mediators ในระบบไหลเวยี นโลหติ จะมผี ลตอ่ อวัยวะ
ต่างๆ ภายนอกปอดดว้ ย ทาํ ใหเ้ กดิ โรครว่ มของ COPD ขนึ้ ในหลายระบบ เชน่ muscle wasting, ischemic
heart disease, heart failure, type 2 diabetes, metabolic syndrome, osteoporosis, anemia
และdepression

สาเหตแุ ละปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค
โรคปอดอดุ กนั้ เร้ือรัง มีปจั จยั เสยี่ งแบ่งได้เป็น 2 กลุม่ คือ
1. ปจั จยั ดา้ นผปู้ วุ ย เชน่ ลกั ษณะทางพันธุกรรม การขาดสาร alpha-1 antitrypsin อายุ และ

เพศ โดยพบวา่ (โชค ล้ิมสุวฒั น,์ 2561)
- กลุ่มผู้ปวุ ยทมี่ ปี ระวตั ิพอ่ แมเ่ ป็นโรคนสี้ ว่ นใหญจ่ ะมีอาการรนุ แรง กําเริบบ่อย และคุณภาพ

ชวี ติ ต่ํากว่ากลมุ่ ผ้ปู วุ ยทไี่ ม่มปี ระวตั พิ ่อแม่เป็นโรคน้ี
- การขาดสาร alpha-1 antitrypsin จะทําให้ neutrophil elastase ย่อยสลาย elastase

ในถุงลม ทําใหเ้ กิดภาวะถุงลมโปุงพองได้ง่ายตั้งแต่อายุยงั น้อย
- อายุ พบวา่ อายุยิง่ มากยง่ิ มีโอกาสเกดิ โรคปอดอุดกั้นไดม้ ากข้ึน โดยเฉพาะในอายทุ ่มี ากกว่า

40 ปี จะมีโอกาสเกดิ โรคได้มากกวา่

8

- เพศ พบในเพศชายมากกวา่ เพศหญิง เนื่องจากมปี ระวัติการสบู บุหร่ีมากกว่าเพศหญิง
2. ปจั จยั ดา้ นสภาวะแวดลอ้ ม มีความสาํ คัญมากทส่ี ุด ได้แก่

- ควันบุหร่ี เป็นสาเหตุสําคัญท่ีสุด พบว่ามากกว่าร้อยละ 75.4 ของผู้ปุวย COPD เกิดจาก
บหุ ร่ี (โชค ลิ้มสวุ ัฒน,์ 2561)

- มลภาวะทั้งในบริเวณบ้าน ที่ทํางาน และท่ีสาธารณะ ที่สําคัญคือ การเผาไหม้เชื้อเพลิงใน
การประกอบอาหาร (biomass fuel) และสําหรับขับเคลื่อนเครื่องจักรต่างๆ (diesel exhaust)
(สมาคมอรุ เวชชแ์ หง่ ประเทศไทย, 2560)

อาการและอาการแสดง
อาการที่พบในผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเร้ือรังในระยะเริ่มแรกอาจไม่มีอาการใดๆป รากฏเลย

มีเพียงอาการเหนื่อยง่ายกว่าคนปกติในวัยเดียวกันเท่านั้น ต่อมาเมื่อปอดเส่ือมสภาพมากข้ึน
จะเร่ิมมีอาการเหนื่อยหอบเล็กน้อย ไอเป็นพักๆ มีเสมหะเหนียวใสปริมาณไม่มาก มักเป็นตอนเช้าหลัง
ตื่นนอน บางคร้ังอาจไอเร้ือรังโดยไม่มีเสมหะ หรือบางคนอาจมีอาการไอเป็นเลือดแต่พบไม่บ่อย ซึ่ง
อาการเหล่านี้จะอยูใ่ นระยะอาการสงบของโรคปอดอดุ กนั้ เรื้อรัง (Stable COPD)

กรณีผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเร้ือรังมีการติดเชื้อ จะมีไข้ เสมหะสีขาว ต่อมาเสมหะเปล่ียนเป็นสี
เหลืองหรือเขียวจํานวนมาก เม่ือการดําเนินของโรครุนแรงมากข้ึน ผู้ปุวยจะมีอาการเหน่ือยมากข้ึนแม้
ออกแรงเพียงเลก็ น้อย มอี าการหายใจลําบาก หายใจมีเสียงว๊ีด หอบเหนื่อยมากจากเลือดขาดออกซิเจน
และคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง ส่งผลให้ชีพจรเต้นเร็ว อ่อนเพลีย สับสน ซึมได้ ซึ่งอาการเหล่านี้จะอยู่ใน
ระยะอาการกําเรบิ เฉียบพลันของโรคปอดอุดกน้ั เร้ือรัง (Acute Exacerbation of COPD)

เมื่อเกิดภาวะเจ็บปุวยด้วยโรคปอดอุดกั้นเร้ือรังนานๆ ร่วมกับการมีอาการกําเริบของโรคบ่อย
คร้ัง ส่งผลต่อความไม่สุขสบาย ร่างกายอ่อยเพลีย เหน่ือยล้า ส่งผลรบกวนต่อแบบแผนการนอนหลับ
ทําใหน้ อนหลบั ไมเ่ พียงพอ เกดิ ข้อจํากัดในการออกแรงหรือทํากิจกรรม เกิดความวิตกกังวลเก่ียวกับการ
เกิดอาการกําเริบซํ้า หรือทํากิจกรรมต่างๆไม่ได้ ต้องพ่ึงพาผู้อื่นมากข้ึน รู้สึกคุณค่าในตนเองลดลง หดหู่
และซมึ เศร้า

ในระยะท้ายของโรคร่างกายจะมีภาวะเป็นกรดจากการหายใจ (respiratory acidosis)
เนอ่ื งจาก ทางเดินหายใจมกี ารอุดก้ันเป็นเวลานาน และบางรายอาจมีอาการบวมจากภาวะหัวใจซีกขวา
ล้มเหลวได้ (สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย, 2560)

การวนิ ิจฉัยโรค
การวินจิ ฉยั อาศยั องคป์ ระกอบหลายอย่าง ได้แก่ ประวัติการสมั ผสั ปัจจยั เสี่ยงดังกล่าวข้างตน้

ร่วมกบั อาการ ผลการตรวจร่างกาย ภาพถ่ายรงั สีทรวงอก และยืนยันการวินิจฉยั โดยการตรวจ
สมรรถภาพปอด (spirometry)

การตรวจร่างกาย
การตรวจร่างกายในระยะแรกอาจไม่พบความผิดปกติ เม่ือการอุดก้ันของหลอดลมมากขึ้น อาจ
ตรวจพบลักษณะของ airflow limitation และ air trapping เช่น prolonged expiratory phase,
increased chest A-P diameter or barrel chest, accessory muscles use, hyperresonance
on percussion และฟังปอดพบเสียงหายใจผิดปกติ เช่น: wheeze, rhonchi เป็นต้น ระยะท้ายของ

9

โรคอาจตรวจพบลักษณะของหลอดเลือดแดงปอดสูง และ/หรือหัวใจด้านขวาล้มเหลว (cor
pulmonale) (GOLD, 2020)

การตรวจทางรังสีวทิ ยา
ภาพรังสีทรวงอกมคี วามไวน้อยสําหรบั การวินิจฉัยโรคปอดอุดก้ันเร้ือรัง แต่มีความสําคัญในการ
แยกโรคอื่น ส่วนในผู้ปุวย emphysema อาจพบลักษณะ hyperinflation คือ กะบังลมแบนราบและ
หัวใจมีขนาดเล็ก ในผู้ปุวยท่ีมี cor pulmonale จะพบว่าหัวใจห้องขวา และ pulmonary trunk
มีขนาดโตขึ้น และ peripheral vascular marking ลดลง ดังภาพที่ 3

ภาพท่ี 3 ภาพถ่ายรงั สีทรวงอก ผู้ปวุ ยโรคปอดอดุ กั้นเรือ้ รัง
ทีม่ า: https://www.shutterstock.com/search/copd+xray retrieved 27 December 2021

การทํา CT scan of chest มีความไวและความจําเพาะสูงในการวินิจฉัยภาวะถุงลมโปุงพอง
โดยเฉพาะแบบท่ีมีความละเอียดสูง (Hight Resolution Computed Thermography: HRCT)
อย่างไรก็ตาม ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องทํา CT Chest เพื่อการวินิจฉัยโรค แต่จะใช้เพื่อตรวจหา
ภาวะแทรกซ้อนเท่าน้ัน ลักษณะที่พบ ได้แก่ emphysema ซ่ึงอาจพบได้ทั้งชนิด centriacinar และ
panacinar emphysema (โชค ลม้ิ สุวฒั น,์ 2561)

การตรวจสมรรถภาพปอด (Spirometry)
การตรวจสมรรถภาพปอด มีความจําเป็นในการวินิจฉัยโรค และจัดระดับความรุนแรง โดยการ
ตรวจ spirometry นี้จะต้องตรวจเม่ือผู้ปุวยมีอาการคงที่ (stable) และไม่มีอาการกําเริบของโรคอย่าง
น้อย 1 เดือน การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยโรคได้ต้ังแต่ระยะท่ีผู้ปุวยยังไม่มีอาการกําเริบจะพบลักษณะ
ของ airflow limitation โดยค่า FEV1/FVC หลังให้ยาขยายหลอดลมน้อยกว่าร้อยละ 70 และแบ่ง
ความรุนแรงเปน็ 4 ระดับ โดยใช้ FEV1 หลงั ให้ยาขยายหลอดลม (ตารางที่ 1) การตรวจสมรรถภาพปอด
อ่ืน ๆ อาจมีประโยชน์ แต่ไม่จําเป็นในการวินิจฉัย เช่น พบค่า residual volume (RV), total lung
capacity (TLC), และ RV/TLC เพ่ิมข้ึน ส่วนค่า diffusing capacity ของ carbon monoxide
(DLCO) อาจจะลดลง

10

ตารางที่ 1 ระดับความรุนแรงของโรคปอดอุดก้นั เรื้อรงั ตามคา่ FEV1 หลงั ใหย้ าขยายหลอดลม (GOLD,
2020)

ผู้ปุวยทกุ รายต้องมีค่า FEV1/FVC หลงั ใหย้ าขยายหลอดลมนอ้ ยกวา่ ร้อยละ 70

รุนแรงนอ้ ย (GOLD 1) ค่า FEV1 > 80% ของคา่ มาตรฐาน

รุนแรงปานกลาง (GOLD 2) คา่ FEV1 50-79% ของคา่ มาตรฐาน

รนุ แรงมาก (GOLD 3) คา่ FEV1 30-49% ของค่ามาตรฐาน

รนุ แรงมากทสี่ ดุ (GOLD 4) ค่า FEV1 <30% ของคา่ มาตรฐาน

การตรวจวเิ คราะห์กา๊ ซในเลือดแดง (Arterial Blood Gas: ABG)
เปน็ การตรวจทางหอ้ งปฏิบัตกิ ารเพอ่ื ประเมินสมรรถภาพการทํางานของปอดในด้านการหายใจ
(Ventilation) ปริมาณออกซเิ จน (Oxygenation) การแลกเปลี่ยนก๊าซ (Gas Exchange) และภาวะกรด
ด่างในรา่ งกาย (Acid-Base Status) เพื่อชว่ ยในการวินจิ ฉยั การรกั ษาและตดิ ตามผลการรักษา

ตารางท่ี 2 แสดงคา่ ปกติของผล ABG

pH คา่ ปกติ
PaCO2
HCO3- 7.35 – 7.45
PaO2 35-45 mmHg.
Oxygen saturation 22-26 mEq/L
80-100 mmHg.
97 – 100 %

การประเมนิ สมดุลกรด-ด่างของผล ABG

ภาพท่ี 4 การประเมินความผิดปกตขิ องสมดุลกรด-ดา่ ง (Acid-base disorder)
ทีม่ า : https://rnspeak.com/abg-interpretation-made-easy/ retrieve on 24 March 2022

11

การวินิจฉยั แยกโรค
การวินิจฉัยแยกโรคปอดอุดก้ันเรื้อรังท่ีสําคัญคือ โรคหืด วัณโรค มะเร็งปอด โรคหลอดลมพอง
โรคปอดจากการประกอบอาชีพ ภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นต้น การวินิจฉัยแยกโรคหืดออกจาก โรคปอด
อุดกั้นเร้ือรังบางคร้ังทําได้ยาก โดยเฉพาะในผู้ปุวยสูงอายุที่มีลักษณะเป็น persistent airflow
limitation และมีประวัติสูบบุหรี่ แต่มีลักษณะอาการทางคลินิกเข้าได้กับท้ังโรคหืดและโรคปอดอุดกั้น
เรอ้ื รงั เรยี กกล่มุ อาการนว้ี า่ Asthma COPD Overlap (ACO)

การประเมินระดับความรุนแรงของโรค
การประเมินระดับความรุนแรงของโรคปอดอุดก้ันเรื้อรังโดยใช้ GOLD system ซึ่งใช้ได้ง่ายมี

ความแพร่หลาย และเป็นมาตรฐานทั่วโลก โดยอาศัยผลการตรวจ spirometry (ตารางที่ 1) ร่วมกับ
ประเมินอาการของโรคโดยใช้แบบสอบถาม COPD Assessment TestTM (CAT score) (ตารางท่ี 2)
คะแนนสูงกว่า 10 คะแนน แสดงว่าอาการมาก หรือการประเมินระดับอาการรู้สึกความเหน่ือยตาม
modified Medical Research Council (mMRC) dyspnea scale (ตารางที่ 3) mMRC ≥ 2 มอี าการ
มาก หลังจากการประเมินผู้ปุวยโดยใช้ข้อมูลข้างต้นจะสามารถจัดแบ่งผู้ปุวยได้เป็น 4 กลุ่ม (GOLD
group) ดังนี้

กล่มุ ที่ A มคี วามเสยี่ งตา่ํ ทีจ่ ะเกิดอาการกําเริบและมีอาการน้อยได้แก่ มีการกําเริบ 0 – 1 คร้ัง/
ปี และไมเ่ คยนอนโรงพยาบาล CAT score < 10 หรือ mMRC 0 – 1

กลุ่มท่ี B มีความเสี่ยงตํ่าที่จะเกิดอาการกําเริบแต่มีอาการมาก ได้แก่ มีอาการกําเริบ 0 – 1
ครัง้ /ปี และไมเ่ คยนอนโรงพยาบาล CAT score > 10 หรอื mMRC > 2

กลมุ่ ท่ี C มีความเสี่ยงสูงท่ีจะเกิดอาการกําเริบแต่มีอาการน้อย ได้แก่ มีการกําเริบ > 2 ครั้ง/ปี
และนอนโรงพยาบาล > 1 ครงั้ CAT score < 10 หรอื mMRC 0 – 1

กลุ่มท่ี D มีความเสย่ี งสูงทจี่ ะเกิดอาการกําเริบแต่มีอาการมาก ได้แก่ มีอาการกําเริบ > 2 ครั้ง/
ปี และเคยนอนโรงพยาบาล> 1 คร้ัง CAT score > 10 หรอื mMRC > 2

12

ตารางที่ 3 COPD Assessment TestTM (CAT score) ดัดแปลงจาก GOLD 2020 (GOLD, 2020)

แบบสอบถามน้ีจะช่วยให้ท่านและแพทย์ของท่านสามารถทําการประเมินผลกระทบของโรคปอดอุดกั้น
เร้ือรังต่อความสุขและการทํากิจวัตรประจําวันของท่าน และแพทย์ของท่านสามารถใช้คะแนนทดสอบ
เพือ่ ช่วยในการปรบั ปรุงการรกั ษาเพอ่ื ประโยชนข์ องทา่ น
โปรดกาเคร่ืองหมาย (X) ลงในตวั เลขดา้ นล่างทีอ่ ธบิ ายไดใ้ กลเ้ คียงกับอาการของทา่ นมากที่สุด

ขา้ พเจ้าไมเ่ คยมอี าการไอ 1 2 3 4 5 ข้าพเจ้าไอตลอดเวลา

ข้าพเจ้าไมม่ เี สมหะในปอดเลย 1 2 3 4 5 ปอดของขา้ พเจา้ เตม็ ไปดว้ ยเสมหะ

ข้าพเจ้าไม่รู้สึกแน่นหน้าอกเลย 1 2 3 4 5 ขา้ พเจา้ รู้สกึ แน่นหนา้ อกมาก

เมื่อข้าพเจ้าเดินข้ึนเนินหรือ ข้ึนบันได 1 2 3 4 5 เมื่อข้าพเจ้าเดินขึ้นเนินหรือ ขึ้นบันไดหน่ึง

หนง่ึ ขั้น ขา้ พเจ้ายงั คงหายใจคลอ่ ง ข้ัน ข้าพเจา้ หอบเหนอื่ ยอย่างมาก

ข้าพเจ้าทํากิจกรรมต่างๆ ที่บ้านได้โดย 1 2 3 4 5 ข้าพเจ้าทํากิจกรรม ท่ีบ้านได้โดยจํากัด

ไมจ่ ํากดั อยา่ งมาก

ข้าพเจ้ามีความม่ันใจในการออกนอก 1 2 3 4 5 ขา้ พเจ้าไมม่ คี วามมนั่ ใจในการออกนอกบ้าน

บา้ นท้งั ทม่ี โี รคปอด เลยเพราะโรคปอด

ข้าพเจา้ นอนหลบั สนทิ 1 2 3 4 5 ขา้ พเจา้ นอนหลับไมส่ นิทเพราะโรคปอด

ขา้ พเจ้ารสู้ ึกกระปรี้กระเปร่าอย่างมาก 1 2 3 4 5 ขา้ พเจ้ารสู้ กึ ออ่ นเพลียและ เหน่อื ยล้า

คะแนนรวม (เต็ม 40)

ตารางท่ี 4 การประเมินระดับอาการรู้สึกความเหน่ือยตาม modified Medical Research Council

(mMRC) dyspnea scale ดัดแปลงจาก GOLD 2020 (GOLD,2020)

mMRC Grade อาการ

0 รสู้ ึกหอบเหนือ่ ยขณะออกกาํ ลังกายอย่างหนกั เท่าน้ัน

1 หายใจหอบเมื่อเดินอย่างรวดเรว็ บนพน้ื ราบ หรอื เมื่อเดินขึ้นท่สี งู

2 เดนิ ในแนวระนาบไดช้ า้ กว่าคนในวยั เดียวกนั เพราะหายใจเหน่อื ย หรือต้องหยุดเดิน

เพ่อื หายใจ เม่อื เดนิ ในแนวราบ

3 ต้องพักหายใจหลังเดินได้ระยะทาง 90 เมตร (100 หลาหรือเดนิ ในแนวราบได้สกั พัก)

4 อาการเหนื่อยเกินกว่าที่จะออกจากบา้ นได้หรอื เหน่ือยเมื่อต้องใสเ่ สื้อ หรือ ถอดเส้อื

13

สรุปแนวทางการประเมนิ ความรนุ แรงของโรค ดัดแปลงจาก GOLD 2020 (GOLD, 2020)

Spirometry ยนื ยนั ประเมนิ ระดับ ประเมนิ อาการ/ความเสย่ี ง
การวินิจฉัย airflow limitation ของอาการกาํ เริบ

Post-bronchodilator Grade FEV1 อาการกาเรบิ ระดับ CD
FEV1/FVC < 0.7 (% predicted) ปานกลางถึงรนุ แรง

GOLD 1 > 80 > 2 คร้ังหรอื ต้องการ
นอนใน ร.พ. > 1 ครง้ั

GOLD 2 50 – 79 AB

GOLD 3 30 – 49 0 -1 ครัง้ และไม่ mMRC 0-1 mMRC > 2
GOLD 1 < 30 นาํ ไปสู่การรักษาใน CAT < 10 CAT > 10
โรงพยาบาล

ระดับอาการ

ภาพท่ี 5 แนวทางการประเมินความรนุ แรงของโรค
ที่มา: GOLD, 2020

การรกั ษา
โรคปอดอดุ ก้นั เร้ือรงั มขี นั้ ตอนการรกั ษาดังต่อไปน้ี (สมาคมอุรเวชช์แหง่ ประเทศไทย, 2560)
ขน้ั ท่ี 1 การประเมนิ ผ้ปู ุวยเพ่ือการรักษา
ข้นั ที่ 2 แนวทางการรักษาดว้ ยยาแบบขน้ั บันได (stepwise approach to COPD treatment)
ข้นั ที่ 3 การรกั ษาอ่ืน ๆ

ขน้ั ท่ี 1 การประเมินผู้ปุวยเพ่ือการรักษา
หลังจากแพทยไ์ ดว้ ินิจฉัยโรคตามเกณฑ์การวินิจฉยั แลว้ จะทําการประเมินผปู้ วุ ยเพ่ือจัดกลุ่มการ

รักษา โดยพิจารณาจากหลายปัจจัยร่วมกัน (multimodality) ได้แก่ อาการหอบเหนื่อย การวัด
modified medical research Council dyspnea Scale (mMRC) การเกิดอาการกําเริบเฉียบพลัน
ของโรค (acute exacerbation) ผลการตรวจสมรรถภาพปอด (FEV1) และ COPD Assessment

14

TestTM (CAT score) เป็นปัจจัยสําคัญในการประเมิน โดยถือเอาความรุนแรงสูงสุดจากปัจจัยเหล่านี้
เปน็ หลักในการจัดกลุม่ โดยพจิ ารณาตามความเหมาะสม มกี ารแบง่ ผูป้ วุ ยเป็น 4 ระดบั ดังนี้

กลมุ่ ท่ี 1 อาการนอ้ ย (mild) ประกอบด้วย
 อาการ : มีอาการเหนื่อยเมื่อมีการออกกําลังอย่างหนัก มีอาการของโรคเพียงเล็กน้อย ไม่
เคยมอี าการหอบกาํ เริบ และอาการไม่มผี ลต่อการประกอบกจิ วัตรประจําวัน
 mMRC : 0 - 1
 การกาํ เรบิ เฉยี บพลนั : ไม่มี
 ผลการตรวจสมรรถภาพปอด : FEV1 ตั้งแต่ร้อยละ 80 ข้นึ ไป
กลมุ่ ที่ 2 อาการปานกลาง (moderate) ประกอบดว้ ย
 อาการ : มีอาการเหนื่อยเม่ือมีการออกกําลังปานกลาง มีการติดเช้ือทางระบบการหายใจ
บ่อยครัง้ และอาการไมม่ ีผลตอ่ การประกอบกิจวัตร ประจําวนั หรือมีผลเลก็ นอ้ ย
 mMRC : 1 – 2
 การกาํ เริบเฉียบพลนั : มีแต่ไม่มคี วามจาํ เป็นทีจ่ ะต้องใช้ยาปฏชิ วี นะ หรอื สเตยี รอยด์
 ผลการตรวจสมรรถภาพปอด : FEV1 ร้อยละ 50 ถึง 79
กลมุ่ ท่ี 3 อาการรุนแรง (severe) ประกอบดว้ ย
 อาการ : มอี าการเหน่ือยเม่ือมีกจิ กรรมเพียงเล็กน้อย เหนอื่ ยแมจ้ ะเดินบนทางราบ มีอาการ
ไอและเสมหะบอ่ ยคร้งั และอาการเหนื่อยมผี ลต่อการประกอบกจิ วัตรประจําวนั
 mMRC : 2 - 3
 การกําเริบเฉียบพลัน: มีอาการกําเริบท่ีต้องใช้ ยาปฏิชีวนะและ/หรือสเตียรอยด์อย่างน้อย 2
ครัง้ ตอ่ ปี หรือกาํ เรบิ จนตอ้ งเขา้ รบั การรักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างนอ้ ย 1 คร้ังต่อปี
 ผลการตรวจสมรรถภาพปอด : FEV1 ร้อยละ 30 ถึง 49
กลุ่มที่ 4 อาการรนุ แรงมาก (very severe) ประกอบดว้ ย
 อาการ : มอี าการเหน่ือยตลอดเวลาแม้ในขณะพัก มีอาการไอเรื้อรัง ปริมาณเสมหะมาก
อาการเหน่ือยมีผลต่อการประกอบกิจวัตรประจําวนั เป็นอย่างมาก
 mMRC : 3 – 4
 อาการกาํ เรบิ เฉียบพลัน : มอี าการกาํ เรบิ ที่ตอ้ งใชย้ าปฏิชวี นะและ/หรือ สเตียรอยด์อยา่ ง
น้อย 2 ครั้งต่อปี หรอื กาํ เริบจนตอ้ งเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างน้อย 1 ครัง้ ต่อปี
 ผลการตรวจสมรรถภาพปอด : FEV1 นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 30

ขั้นท่ี 2 แนวทางการรักษาด้วยยาแบบข้นั บนั ได (stepwise approach to COPD treatment)
หลังการประเมินข้ันต้น เร่ิมการรักษาให้ยาโดยพิจารณาตามความรุนแรงของโรคแบบข้ันบันได

(stepwise approach) โดยเรม่ิ ต้นจากการให้ยาหนง่ึ ขนาน จากนนั้ พิจารณาเพิ่มยาให้ผปู้ ุวย หากอาการ
ผู้ปุวยไม่ดีข้ึน หลังการประเมินวิธีการและความสมํ่าเสมอของการใช้อุปกรณ์สูดหรือพ่นยาอย่างดีแล้ว
โดยพิจารณาการรกั ษาดงั นี้

15

กลุม่ ที่ 1 อาการน้อย (mild)
 เรม่ิ การรกั ษาด้วยยาพน่ สูดขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์สั้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Short-acting

beta2 agonist (SABA) หรือกลุ่ม Short-acting anticholinergic (SAMA) หรือยาแบบ
ผสมทง้ั 2 กลมุ่ (SABA+SAMA) เพ่ือบรรเทาอาการเหน่อื ย
 อาจพิจารณาเลอื กใช้ยาขยายหลอดลมชนิดรับประทาน theophylline ชนิดออกฤทธิ์นาน
ขนาดตํ่า (sustained-release theophylline) เป็นยาเด่ียวหรือให้ร่วมกับยาพ่นสูดขยาย
หลอดลมชนิดออกฤทธสิ์ ้นั
กลุ่มท่ี 2, 3, 4 อาการปานกลาง (moderate) อาการรนุ แรง (severe) และอาการรนุ แรง
มาก (very severe) เพ่ือลดอาการของผูป้ วุ ย และปอู งกนั การกําเรบิ ของโรค จะมีการเพ่มิ ยาดงั ตอ่ ไปนี้
 ยาพน่ สูดขยายหลอดลมชนดิ ออกฤทธย์ิ าว กลมุ่ Long-acting anticholinergic (LAMA)
และ/หรือกลุ่ม Long-acting beta2 agonist (LABA)
ผปู้ ุวยท่ีมีอาการกาเริบบอ่ ย (มกี ารกําเริบมากกวา่ หรอื เทา่ กับ 2 ครั้งต่อปี หรือต้องเข้ารับการ
รกั ษาในโรงพยาบาลอย่างน้อย 1 ครงั้ ตอ่ ปี) เพม่ิ ยา ดงั ตอ่ ไปนี้
 ยาสูดพน่ ขยายหลอดลมชนดิ ออกฤทธ์ิยาว กลุม่ Long-acting beta2 agonist ผสม สเตยี
รอยด์ (LABA/ICS) และ/หรือกลุม่ Long-acting anticholinergic (LAMA) พิจารณาเพิ่ม
ยากลุ่ม phosphodiesterase-4 (PDE-4) inhibitor (roflumilast) ในผปู้ ุวยกลุม่ หลอดลม
อกั เสบเร้ือรงั (chronic bronchitis) และมคี า่ FEV1 น้อยกวา่ ร้อยละ 50
 พิจารณาเพิ่มยา azithromycin ในระยะยาวหรือเพ่ิมยา mucolytic ทีม่ ีฤทธ์ติ ้านการ
อักเสบ เชน่ N-acetyl cysteine, carbocysteine ในผ้ปู ุวยทมี่ ีเสมหะมาก

ยาทใี่ ชใ้ นการรักษาโรคปอดอุดก้นั เรือ้ รัง
การใช้ยามีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาอาการ เพ่ิมคุณภาพชีวิต ลดการกําเริบเฉียบพลัน รวมถึง

ชะลอการดาํ เนนิ โรค อยา่ งไรก็ตามยังไม่มียาชนิดใดท่มี ีหลักฐานชดั เจนว่าสามารถชะลอการเสื่อมของ
สมรรถภาพปอดได้ หลกั การเลอื กใช้ยา จะพิจารณาถงึ ปจั จัยต่อไปนี้

1. ความรนุ แรงของอาการและภาวะ airflow limitation
2. ความถแี่ ละความรนุ แรงของการเกิดการกําเริบของโรค
3. โรคร่วม
4. ราคายา และการเข้าถงึ ยาของผ้ปู วุ ย
5. ความสามารถในการใช้ยาของผู้ปุวย โดยเฉพาะการใช้อปุ กรณย์ าพน่ สดู
6. การตอบสนองของผปู้ ุวย และผลข้างเคยี งที่เกิดขนึ้

นอกจากน้ีควรมีการประเมิน และปรับยาให้เหมะสมกับสภาวะของผู้ปุวยเป็นระยะ โดยประเมิน
ท้ังคุณประโยชน์ที่ได้และผลข้างเคียงของยา ยาหลักท่ีใช้ในการรักษาโรคปอดอุดก้ันเร้ือรังประกอบด้วย
ยาขยายหลอดลม ยาต้านการอักเสบ เช่น สเตียรอยด์ ยาบรรเทาอาการ เช่น ยาแก้ไอ ยาขับเสมหะ ยา
ปฏชิ วี นะ และอ่ืน ๆ ดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปนี้

16

ยาขยายหลอดลม
ยาขยายหลอดลมมีประโยชน์เพ่ือบรรเทาอาการ เพิ่ม exercise capacity และเพิ่มคุณภาพ

ชีวิต ของผู้ปุวย แม้บางรายอาจจะไม่พบการตอบสนองต่อยาขยายหลอดลมตามเกณฑ์การตรวจ
สมรรถภาพปอดก็ตาม ยาขยายหลอดลมแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ beta2 agonist, anti cholinergic
และ methylxanthine หรือแบ่งตามระยะเวลาการออกฤทธ์ิเป็นชนดิ ออกฤทธ์สิ น้ั และออกฤทธยิ์ าว
ตารางที่ 5 แสดงกลมุ่ ยาทีใ่ ชใ้ นการรกั ษาโรคปอดอดุ กั้นเรอ้ื รัง (สมาคมอุรเวชช์แหง่ ประเทศไทย, 2560)

ตารางท่ี 6 แสดงกลุ่มยาท่ีใช้ในการรักษาโรคปอดอดุ กัน้ เรื้อรงั (ต่อ) (สมาคมอุรเวชช์แหง่ ประเทศไทย, 2560)

17

ตารางที่ 7 แสดงกลมุ่ ยาท่ีใช้ในการรักษาโรคปอดอดุ กนั้ เรื้อรัง (ตอ่ ) (สมาคมอุรเวชช์แหง่ ประเทศไทย,2560)

ยากลุ่ม beta2-agonist มีฤทธิ์ขยายหลอดลม โดยยากลุ่ม short acting beta2-agonist
(SABA) มีผลลดอาการเหน่ือยและเพ่ิมค่า FEV1 แต่ออกฤทธ์ิส้ันประสาน 4-6 ช่ัวโมง ส่วนยากลุ่ม long
acting beta2-agonist (LABA) มีข้อมูลว่าสามารถเพ่ิม FEV1 ลดอาการเหน่ือย ลดการกําเริบ และลด
การนอนโรงพยาบาล กลุม่ ยาLABA ใหใ้ ช้วันละ 1-2 ครงั้ ตามระยะเวลาทอี่ อกฤทธิ์เพ่ือควบคุมอาการ

ยากลุ่ม antimuscarinic ประกอบด้วยยาชนิดออกฤทธิ์ส้ัน หรือ short acting antimuscarinic
(SAMA) และออกฤทธ์ิยาว หรือ long acting antimuscarinic (LAMA) โดยยากลุ่ม SAMA ได้ผลใน
การบรรเทาอาการไมต่ า่ งกบั SABA มากนัก ส่วนยากลมุ่ LAMA พบว่าได้ประโยชนใ์ นการบรรเทาอาการ
ลดการกาํ เริบ และลดการนอนโรงพยาบาล

18

ตารางท่ี 8 แสดงกล่มุ ยาขยายหลอดลม SAMA+SABA ท่ีใช้ในสถาบนั โรคทรวงอก Berodual
ชื่อการคา้ Berodual
ชอ่ื ยาสาํ คญั Ipratropium Bromide + Fenoterol
กลุม่ ยา SAMA+SABA
รูปแบบยา Metered-dose inhaler (MDI)
วธิ ีการใชย้ า Inhale 2 puff prn q 4-6 hr.
การออกฤทธ์ิ Relaxes bronchial smooth muscle by

1. cholinergic antagonist of acetylcholine at the cholinergic receptors
2. action on beta2-receptors with little effect on heart rate
ผลขา้ งเคยี ง ปากแหง้ , คอแหง้ , ทําให้เกดิ รสขมในปาก, มึนงง, หวั ใจเตน้ เรว็ , แสบอก, หายใจลําบาก
ข้อหา้ มใช้ ผ้ปู ุวยที่แพ้ยา Ipratropium Bromide หรอื Fenoterol หรอื สว่ นประกอบอ่นื ในตํารบั ยา
การพยาบาล 1. ใช้ยาถกู วิธี อย่าใช้ยาเกนิ ท่ีแพทย์สั่ง
2. สงั เกตอาการข้างเคยี งของยา หากพบรายงานแพทยท์ ราบ
3. ประเมินภาวะระดับโพแทสเซียมต่าํ หัวใจเตน้ ผดิ จงั หวะ
4. บันทกึ สัญญาณชีพ โดยเฉพาะผป็ ุวยเบาหวาน หวั อใจ หลอดเลือด

ตารางที่ 9 แสดงกลุ่มยาขยายหลอดลม LAMA ท่ีใช้ในสถาบันโรคทรวงอก Spiriva
ช่อื การคา้ Spiriva
ชอื่ ยาสําคัญ Tiotropium Bromide
กลมุ่ ยา LAMA
รปู แบบยา Handihaler
วธิ ีการใชย้ า Inhale 1 capsule OD
การออกฤทธ์ิ bronchodilation via inhibition of the M3 receptor on airway smooth muscle
ผลขา้ งเคียง ปากแหง้ , คอแห้ง, ท้องผูก, Angle-closure glaucoma, Urinary retention,

paradoxical bronchospasm
ข้อหา้ มใช้ ผูป้ ุวยทแ่ี พย้ า Tiotropium bromide หรือส่วนประกอบอื่นในตํารับยา
การพยาบาล 1. ใช้ยาถูกวิธี อย่าใชย้ าเกนิ ที่แพทย์สง่ั

2. สงั เกตอาการขา้ งเคียงของยา หากพบรายงานแพทยท์ ราบ
3. ประเมินภาวะระดับโพแทสเซียมตํา่ หัวใจเตน้ ผิดจงั หวะ
4. บันทึกสญั ญาณชีพ โดยเฉพาะผป็ ุวยเบาหวาน หัวใจ หลอดเลอื ด

19

ตารางท่ี 10 แสดงกลมุ่ ยาขยายหลอดลม ICS ท่ีใช้ในสถาบันโรคทรวงอก Clenil

ชอ่ื การค้า Clenil Flixotide

ชอ่ื ยาสําคญั Beclomethasone Fluticasone Propionate

กลุ่มยา ICS ICS

รปู แบบยา MDI MDI

วธิ ีการใช้ยา 200-2000 mcg/day 100-1000 mcg/day

การออกฤทธ์ิ Anti-inflamatory glucocorticoid; Anti-inflamatory glucocorticoid;

inhibits inflammatory cells and inhibits inflammatory cells and release

release of inflammatory mediators of inflammatory mediators

ผลข้างเคียง เสยี งแหบ เชื้อราในช่องปาก เสยี งแหบ เชือ้ ราในชอ่ งปาก

ผลขา้ งเคียงทาง Systemic พบนอ้ ยมาก ผลขา้ งเคียงทาง Systemic พบน้อยมาก

ได้แก่ ผลกดการทํางานของต่อมหมวกไต ได้แก่ ผลกดการทํางานของต่อมหมวกไต

และการลดลงของมวลกระดูก และการลดลงของมวลกระดูก

ข้อห้ามใช้ ผู้ปวุ ยท่ีแพ้ยา Beclomethasone หรอื ผ้ปู วุ ยที่แพย้ า Fluticasone หรอื

ส่วนประกอบอ่ืนในตาํ รบั ยา สว่ นประกอบอื่นในตาํ รบั ยา

การพยาบาล 1. ใชย้ าถูกวธิ ี อยา่ ใช้ยาเกินที่แพทยส์ ่ัง

2. สงั เกตอาการขา้ งเคียงของยา หากพบรายงานแพทย์ทราบ

3. บ้วนปากหลงั พ่นยาทุกคร้งั เพ่ือปูองกนั การเกิดเชอ้ื รา

ตารางท่ี 11 แสดงกลุ่มยาขยายหลอดลม LABA + LAMA ท่ีใช้ในสถาบันโรคทรวงอก Ultibro

ชื่อการค้า Ultibro Spiolto

ช่อื ยาสาํ คัญ Indacaterol/Glycopyrronium Olodaterol/Tiotropium

กลุ่มยา Long acting LABA+LAMA Long acting LABA+LAMA

รปู แบบยา Breezhaler Respimat

วิธกี ารใชย้ า Inhale 1 capsule OD Inhale 2 puff OD

การออกฤทธิ์ bronchodilation via bronchodilation via

1. beta2 adrenergic agonist 1. beta2 adrenergic agonist

2. inhibition of the M3 receptor on 2. inhibition of the M3 receptor on

airway smooth muscle airway smooth muscle

ผลขา้ งเคียง ปวดหัว, ไอ, ใจส่นั , Nasopharyngitis, ปวดหวั , ไอ, ใจสัน่ , Nasopharyngitis,

ปากแห้ง, คอแห้ง, ทอ้ งผูก, Angle- ปากแห้ง, คอแห้ง, ทอ้ งผูก, Angle-closure

closure glaucoma, Urinary retention glaucoma, Urinary retention

การพยาบาล 1. ใชย้ าถกู วิธี อย่าใช้ยาเกินท่ีแพทย์สง่ั

2. สังเกตอาการขา้ งเคยี งของยา หากพบรายงานแพทย์ทราบ

3. ประเมนิ ภาวะระดับโพแทสเซยี มตาํ่ หวั ใจเตน้ ผิดจงั หวะ

4. บนั ทึกสญั ญาณชีพ โดยเฉพาะผ้ปู วุ ยเบาหวาน หวั ใจ หลอดเลอื ด

20

ตารางที่ 12 แสดงกลมุ่ ยาขยายหลอดลม LABA + ICS ท่ใี ชใ้ นสถาบนั โรคทรวงอก Seretide

ชื่อการค้า Seretide Symbicort

ชอ่ื ยาสาํ คญั Salmeterol+Fluticasone Propionate Formoterol+ Budesonide

กลมุ่ ยา LABA + ICS LABA + ICS

รปู แบบยา Accuhaler, Evohaler Turbuhaler

วิธีการใชย้ า Inhale 1-2 puff BID Inhale 1-2 puff BID

การออกฤทธ์ิ 1. long-acting beta2-adrenergic agonist 1. long-acting beta2-adrenergic agonist

2. Anti-inflammatory glucocorticoid; 2. Anti-inflammatory glucocorticoid;

inhibits inflammatory cells and inhibits inflammatory cells and release

release of inflammatory mediators of inflammatory mediators

ผลขา้ งเคยี ง - ปวดหวั , ไอ, ใจสัน่ , Nasopharyngitis - ปวดหัว, ไอ, ใจส่ัน, Nasopharyngitis

- เสียงแหบ เชื้อราในชอ่ งปาก - เสียงแหบ เช้ือราในช่องปาก

ผลข้างเคยี งทาง Systemic พบน้อยมาก ผลขา้ งเคยี งทาง Systemic พบน้อยมาก

ไดแ้ ก่ ผลกดการทาํ งานของต่อมหมวกไต ได้แก่ ผลกดการทาํ งานของต่อมหมวกไต

และการลดลงของมวลกระดูก และการลดลงของมวลกระดูก

ข้อห้ามใช้ ผปู้ ุวยทีแ่ พย้ า Salmeterol หรอื ผ้ปู วุ ยทแ่ี พ้ยา Formoterol หรอื

Fluticasone Propionate หรอื Budesonide หรอื ส่วนประกอบอนื่ ในตาํ รับ

สว่ นประกอบอืน่ ในตาํ รับยา ยา

การพยาบาล 1. ใช้ยาถกู วธิ ี อยา่ ใชย้ าเกินที่แพทย์ส่งั

2. สังเกตอาการข้างเคียงของยา หากพบรายงานแพทยท์ ราบ

3. บ้วนปากหลังพ่นยาทุกคร้ังเพอื่ ปูองกันการเกิดเชอื้ รา

ควรใช้ยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์สั้น เพ่ือบรรเทาอาการ เน่ืองจากสามารถลดอาการ
เหน่ือยได้ดี ส่วนยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์ยาวใช้ควบคุมโรคสามารถเพ่ิมสมรรถภาพปอดได้ ลด
อาการ และเพ่ิมคุณภาพชวี ติ ได้ดกี วา่ ยาชนิดออกฤทธิส์ ั้น

การใช้ยาขยายหลอดลมสองชนิดที่มีกลไกและระยะเวลาการออกฤทธ์ิต่างกัน อาจช่วยเสริม
ฤทธ์ิซึ่งกันและกันในด้านการขยายหลอดลมและลดผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มขยาดยาขยาย
หลอดลม เช่น การใช้ยากลุ่ม beta2 agonist ร่วมกับยากลุ่ม anticholinergic ได้ผลดีในการเพิ่มค่า
FEV1 มากกว่าเพิ่มขนาดยาแต่ละชนิด นอกจากนี้การใช้ยากลุ่ม LABA ร่วมกับ LAMA ยังมีผลช่วย
บรรเทาอาการ ทําใหส้ ภาวะสุขภาพดขี น้ึ และลดอัตราการกําเริบของโรคได้ดีกว่าการใช้ยา long acting
bronchodilatorอย่างเดียว

การใช้ ICS ทําให้อาการดีข้ึน ลดอาการกําเริบ เพิ่มคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในผู้ปุวยท่ีมีค่า
FEV1 < 60% predicted การเกิดอาการไม่พึงประสงค์เม่ือใช้ในขนาดสูง และใช้ระยะยาว เพ่ิมความ
เสย่ี งในการเกิดปอดอักเสบ และมวลกระดูกลดลง การหยุดยา ICS อย่างฉับพลัน อาจมีผลทําให้อาการ
แย่ลง หรือเกิดการกําเริบได้ การหยุดยา ICS ต้องค่อยๆ ลดขนาดยาลงช้า ๆ ร่วมกับการใช้ยาขยาย
หลอดลมชนิดออกฤทธ์ิยาวอย่างเต็มที่ ผลข้างเคียงจากยาที่สําคัญคือ เช้ือราในปาก เสียงแหบ skin

21

bruising ปอดอักเสบ ใช้ในการรักษาการกําเริบเฉียบพลัน เน่ืองจากมีผลข้างเคียงมาก เช่น steroid
myopathy, osteoporosis เพิ่มความเสยี่ งในการติดเช้ือ น้ําตาลในเลอื ดสูง

Combination inhaled corticosteroids/ bronchodilator
การใชย้ าผสมระหว่าง ICS กับ LABA (ICS/LABA) มปี ระสิทธิภาพเหนือกวา่ ยา LABA หรือยา
ICS ชนิดพน่ สดู เพียงชนิดเดยี ว โดยทําให้ภาวะสุขภาพและสมรรถภาพปอดดีข้ึน ลดการเกิดการกาํ เรบิ
โดยเฉพาะผู้ปวุ ยกลุ่มที่มีความรุนแรงปานกลางขนึ้ ไป (FEV1 < 80% predicted)

ยาชนดิ รับประทาน
Methylxanthines เป็นยาทีม่ ีฤทธใ์ิ นการขยายหลอดลม แต่ประสิทธภิ าพในการขยายหลอดลม

ไม่ดีมากเมื่อเทียบกับยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์ยาวชนิดอ่ืน การใช้ยา theophylline ในขนาดตํ่า
เชน่ sustained-release theophylline ขนาด 200 มก. ต่อวัน) ช่วยทําให้หลอดลมตอบสนองต่อ ICS
ไดด้ ขี ึ้น สามารถใชย้ ากลุ่มนี้ร่วมกบั ยาขยายหลอดลมอื่นเพือ่ เสรมิ ฤทธข์ิ ยายหลอดลม

การใช้ยา Methylxanthines มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงในผู้ปุวยสูงอายุ ผลข้างเคียงท่ีสําคัญคือ
หวั ใจเตน้ ผดิ จงั หวะ ชัก ปวดศรี ษะ นอนไม่หลับ คลื่นไส้ อาเจียน heartburn Drug interaction เมื่อใช้
ร่วมกับยาอ่ืนที่ metabolize ผ่าน cytochrome P 450 เช่นยากลุ่ม macrolide, quinolone และ
warfarin เป็นตน้ (สมาคมอรุ เวชชแ์ หง่ ประเทศไทย, 2560)

ตารางท่ี 13 แสดงกลุม่ ยาขยายหลอดลม Selective beta2 agonist ท่ีใช้ในสถาบันโรคทรวงอก
ชื่อการคา้ Meptin /Meptin mini
ชอ่ื ยาสาํ คัญ Procaterol hydrochloride
กลุม่ ยา Selective beta2 agonist
รูปแบบยา Tablet
วธิ ีการใช้ยา ขนาดยา 50/25 mcg

ผใู้ หญ่ : รับประทาน 1 เม็ด วันละครง้ั (dose : tab 50 mcg) ก่อนนอน
การออกฤทธิ์ ยาขยายหลอดลมท่อี อกฤทธิ์โดยกระตุ้น beta2 receptor มผี ลทาํ ใหเ้ กิดการคลายตัวหรือ

ลดการหดตวั ของกล้ามเน้อื เรียบรอบทางเดินหายใจ ออกฤทธิ์ได้ยาวนาน ต้านการแพ้และ
การอกั เสบได้แรงกว่ายาตวั อน่ื ในกล่มุ เดียวกัน
ผลขา้ งเคียง 1. cardiovascular: palpitation, flush, sense of fever
2. neuropsychic: tremor, headache, dizziness, sleeplessness, ringing in the ear
3. GI : คล่นื ไส้
4. hypersensitivity : ผน่ื
5. อนื่ ๆ nasal congestion
การพยาบาล 1. เฝูาระวงั ผลข้างเคียงจากการใช้ยา หากพบรายงานแพทย์
2. ประเมินสัญญาณชีพ monitor EKG
ช่อื การคา้ Theophylline
ชอื่ ยาสาํ คญั Theodur /nuelin SR 200

22

กลมุ่ ยา Selective beta2 agonist
รูปแบบยา
วธิ ีการใช้ยา Tablet

การออกฤทธ์ิ ขนาดยา 100, 125, 200, 300 และ 400 mg.
ผู้ใหญ่ :รบั ประทาน1เม็ด วนั ละ 1-4 คร้ัง
ผลขา้ งเคยี ง รับประทานยาขณะทอ้ งว่าง อย่างนอ้ ย 1 ช่วั โมงกอ่ นอาหาร หรอื 2 ช่ัวโมงหลงั อาหาร

การพยาบาล ยับย้ัง Phosphodiesterase และช่วยสร้าง Cyclic adenosine monophosphate
มีผลให้หลอดลมขยายตัว มีการกระตุ้นหัวใจ ระบบประสาท และการขับปัสสาวะ
ตลอดจนการหลงั่ ของนํ้ายอ่ ยในกระเพาะอาหารเพิม่ มากข้นึ

ปวดท้อง ท้องป่นั ปวุ น ท้องเสีย ปวดศรี ษะ นอนหลบั ยาก หงดุ หงดิ
วติ กกังวล กระสบั กระส่าย หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ เต้นผิดจังหวะ หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม
หายใจเรว็ หรอื ไมส่ ม่าํ เสมอ ใจส่ัน คล่ืนไส้ อาเจียน ท้องเสียรุนแรง ลมชัก ผ่ืนคัน หน้าแดง
มีอาการกระหายนาํ้ อยา่ งผิดปกติ เหนอื่ ย ออ่ นแรงอยา่ งผิดปกติ

1. หากพบวา่ อาการผดิ ปกติ รีบรายงานแพทย์ใหท้ ราบ
2. หา้ มเคยี้ วหรอื บดเม็ดยาให้แตก

ตารางท่ี 14 แสดงกลุ่มยาต้านการอักเสบ ที่ใชใ้ นสถาบนั โรคทรวงอก Montelukast sodium

ช่อื การคา้ SINGULAIR

ชื่อยาสาํ คัญ Montelukast sodium, Montek

กลมุ่ ยา ยาตา้ นการอกั เสบ และบรรเทาการหดรัดตวั ของหลอดลม

รูปแบบยา Tablet

วธิ ีการใชย้ า ขนาดยา 10 mg
ผใู้ หญ่ : รบั ประทาน 1 เม็ด
วันละคร้งั เวลาเยน็ และควรรับประทานยานกี้ อ่ นอาหาร 1 ชม. หรอื หลังอาหาร 2 ชม.

การออกฤทธ์ิ ลดการอักเสบ โดยเป็น Cysteinyl leukotriene receptor antagonist ท่ีมีความแรง
และความจําเพาะเจาะจงสงู ต้านการอักเสบ และบรรเทาการหดรัดตวั ของหลอดลม

ผลข้างเคยี ง ท้องเสีย มไี ข้ ท้องไส้ป่ันปุวน ปวดศรี ษะ คลื่นไส้ อาการทางผิวหนงั เช่น ผืน่ ลมพิษ การ
ติดเช้ือในระบบทางเดนิ หายใจสว่ นบน อาเจียน
อาการข้างเคยี งที่พบได้ไม่บ่อย ได้แก่ วิตกกังวล สง่ ผลต่อการเปล่ียนแปลง
พฤติกรรม ซมึ เศร้ามึนงง งว่ งนอน ปากแห้ง เลอื ดออก ปวดเมื่อยกลา้ มเนื้อ บวม
นํา้ อาการชกั ประสาทการรับรู้ผดิ ปกติ สง่ ผลต่อการนอน
อาการข้างเคยี งที่พบไดน้ ้อย ได้แก่ ผิวหนังชน้ั ลกึ บวม (Angioedema) เหน็ ภาพหลอน
สง่ ผลต่อการทาํ งานของตบั สญู เสยี ความทรงจํา หวั ใจเต้นเรว็ อาการสัน่

การพยาบาล 1. หมัน่ บ้วนปากบอ่ ยๆ หลังใหย้ า เพ้อื ปูองกนั การติดเช้ือในช่องปากและปากแหง้
2. สงั เกตอาการติดเช้อื เช่น ปวดศรี ษะ เป็นต้น หากพบใหร้ ายงานแพทย์
3. แนะนาํ ผปู้ วุ ยให้เลิกสบู บุหรี่

23

ตารางที่ 15 แสดงกลุ่มยา steroid ท่ีใช้ในสถาบันโรคทรวงอก Prednisolone
ชื่อการค้า Minisolone, Fortisone
ชอื่ ยาสาํ คญั Prednisolone
กลุ่มยา steroid
รปู แบบยา Tablet
วิธกี ารใชย้ า ขนาดยา 5 mg

รบั ประทานยาตามคาํ ส่งั แพทยเ์ พราะขนาดและระยะเวลาใน การใช้ยาน้ขี น้ึ กบั ชนดิ
และความรนุ แรงของโรค หากรับประทานวนั ละ 1 ครง้ั ใหร้ ับประทานตอนเชา้ พร้อม
อาหารหรือหลงั อาหารทนั ที
การออกฤทธ์ิ ลดกระบวนการสร้างสารทีท่ ําใหเ้ กดิ การอักเสบ ได้แก่ prostaglandin และ
leukotriene ลดการผา่ นเข้าออกของสารตา่ งๆทีบ่ รเิ วณเส้นเลือดฝอย ทําใหล้ ด
อาการบวม
ผลขา้ งเคยี ง คลนื่ ไส้ อาเจยี น ปวดศีรษะ สบั สน นํ้าหนักตัวเพ่ิม มีการบวม และเจ็บบริเวณขาข้าง
หนึ่ง เจ็บตา ประสิทธิภาพในการมองเห็นลดลง ตาโปน ไข้ ไอ จาม เจ็บคอ หรือ
อาการอื่นที่แสดงถึงการติดเช้ือ แผลที่รักษาไม่หาย ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ํามาก หดหู่
อารมณ์เปล่ียนแปลง เจ็บบริเวณ สะโพก หลัง ซี่โครง ขา แขน ไหล่ บวมบริเวณเท้า
นอ่ ง
การพยาบาล 1. ใหร้ ับประทานยาพรอ้ มอาหารหรอื หลังอาหารทนั ที หรือรับประทานยาพร้อมนม
และดืม่ นา้ํ ตามมาก ๆ เพื่อลด อาการปวดมวนท้อง
2. สังเกตอาการข้างเคยี งของยา หากพบให้รายงานแพทย์
3. ห้ามใช้ยาในผูป้ วุ ยที่มปี ระวัติการแพย้ า Prednisolone
4. เฝาู ระวังการใชย้ าในผู้ปุวยท่ีมภี าวะความดันโลหิตสูง เบาหวาน

ตารางที่ 16 แสดงกลมุ่ ยา Anti-asthmatic ทใี่ ชใ้ นสถาบนั โรคทรวงอก Doxofylline
ช่อื การค้า Puroxan
ชื่อยาสาํ คญั Doxofylline
กลุ่มยา Anti-asthmatic drugs
รูปแบบยา Tablet
วธิ กี ารใชย้ า ขนาด 400 mg

รบั ประทานวันละ 1-2 ครงั้ ๆละ1 เม็ดตอนเชา้ และ กอ่ นนอน
การออกฤทธ์ิ ออกฤทธ์ิขยายหลอดลม เสริมฤทธิ์ของ corticosteroid release ชนิดสูดในการช่วย

ลดการอกั เสบ
ผลข้างเคยี ง คล่ืนไส้ อาเจียน อาการปวดท้อง ใจสั่น อาการปวดหัว โรคนอนไม่หลับเวียนหัว

อาการส่ัน
การพยาบาล 1. สงั เกตอาการข้างเคยี งของยา หากพบให้รายงานแพทย์

2. เฝาู ระวังการใชย้ าในผปู้ วุ ยท่ีมภี าวะความดนั โลหติ สูง หัวใจขาดเลอื ด

24

Phosphodiesterase-4 inhibitor (PDE-4 inhibitor) (สมาคมอุรเวชชแ์ ห่งประเทศไทย, 2560)
เป็นยาท่ไี ม่มีฤทธ์ขิ ยายหลอดลมโดยตรง แตอ่ าจใชร้ ว่ มกับยาขยายหลอดลมที่ออกฤทธ์ิยาว เพื่อ
ลดอัตราการกําเริบ ใช้ในผู้ปุวยกลุ่ม Chronic bronchitis ท่ีมี FEV1<50% และมีประวัติการกําเริบ
อย่างน้อย 2 ครงั้ ตอ่ ปี ผลขา้ งเคยี ง ไดแ้ ก่ คลน่ื ไส้ เบ่อื อาหาร ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ
น้ําหนกั ลด และหา้ มใช้รว่ มกับยา theophylline เพราะทําใหม้ ผี ลข้างเคยี งเพม่ิ ข้นึ

ตารางที่ 17 แสดงกล่มุ ยา Phosphodiesterase-4 inhibitor ทใ่ี ชใ้ นสถาบันโรคทรวงอก Roflumilast
ชื่อการค้า Daxas
ชือ่ ยาสําคญั Roflumilast
กลุ่มยา Phosphodiesterase-4 inhibitor
รปู แบบยา Film-coated tablet
วธิ ีการใชย้ า ขนาด 500 mcg วันละ 1 เมด็
การออกฤทธิ์ ยับย้ังการทํางานของเอนไซม์ Phosphodiesterase-4 inhibitor (PDE-4 inhibitor)

ออกฤทธิ์นานตา้ นการอกั เสบ
ผลขา้ งเคียง ทอ้ งร่วง คลื่นไส้ ปวดท้อง ปวดศีรษะ นอนไมห่ ลบั น้าํ หนักลด กลา้ มเน้อื ออ่ นแรง
การพยาบาล 1. สังเกตอาการขา้ งเคยี งของยา หากพบใหร้ ายงานแพทย์

2. ห้ามใชย้ าในผูป้ วุ ยท่มี ปี ระวัตกิ ารแพย้ าน้ี
3. เฝูาระวังการใชย้ านีใ้ นผปู้ วุ ยโรคตบั โรคไต

ยาปฏิชีวนะ (สมาคมอรุ เวชชแ์ ห่งประเทศไทย, 2560)
ใช้รักษาอาการติดเชื้อในช่วงท่ีมกี ารกาํ เริบของโรค สว่ นการใชย้ าปฏชิ วี นะเพอื่ ลดอัตราการ
กําเริบของโรคนั้น ยาทม่ี ีการศึกษาว่าอาจชว่ ยลดอตั ราการกําเริบได้

ตารางที่ 18 แสดงกลุ่มยา Antibiotic ชนดิ รับประทาน ที่ใช้ในสถาบันโรคทรวงอก Azithromycin
ช่อื การคา้ Binozyt, Azithro
ช่อื ยาสําคัญ Azithromycin
กลุม่ ยา Antibiotic
รปู แบบยา capsule
วธิ ีการใชย้ า ขนาด 250 / 500 มิลิกรมั
การออกฤทธ์ิ ยากล่มุ Macrolides ยับย้ังการการสังเคราะห์โปรตีนของแบคทีเรีย ยับยั้งการเคลื่อนย้าย

ของ aminoacyl tranfer-RNA ที่มผี ลตอ่ การสังเคราะหโ์ ปรตนี
ผลขา้ งเคยี ง คล่ืนไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องผูก ปวดท้อง วิงเวียน ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ มีอาการคัน

ในช่องคลอด หรือ ตกขาว เสียงดังในหู รับรสและรับกลิ่นลดลง ใช้ในระยะยาวอาจเกิด
เชื้อราในช่องปาก
การพยาบาล 1. สงั เกตอาการขา้ งเคยี งของยา หากพบใหร้ ายงานแพทย์
2. ห้ามใชย้ าในผู้ปวุ ยทม่ี ปี ระวตั ิการแพย้ านห้ี รือประวัติการแพ้ยาฆ่าเช้ือกลุ่ม Macrolides
เช่น อีริโทรไมซิน (Erythromycin)
3. เฝูาระวังการใช้ยานใ้ี นผปู้ ุวยโรคตบั

25

ตารางท่ี 19 แสดงกลุ่มยา Antibiotic ชนิดรับประทาน ทใี่ ชใ้ นสถาบันโรคทรวงอก clarithromycin
ชื่อการคา้ Klacid
ช่ือยาสาํ คญั clarithromycin
กลุ่มยา Antibiotic
รูปแบบยา Tablet
วิธีการใชย้ า ขนาด 125/250 / 500 มิลิกรัม รบั ประทานขนาด 250 มก. (ชนดิ เม็ด) วนั ละ 2 คร้งั

ในกรณตี ิดเช้ือ รุนแรงใหเ้ พิม่ ขนาดเป็น 500 มก. วันละ 2 ครัง้
การออกฤทธ์ิ ยากลุม่ Macrolides ยับยงั้ การการสังเคราะห์โปรตีนของแบคทีเรีย ยับยั้งการเคล่ือนย้าย

ของ aminoacyl tranfer-RNA ทม่ี ผี ลต่อการสังเคราะหโ์ ปรตีน
ผลขา้ งเคียง ปัญหาเก่ียวกับตา เช่น ผิวเหลือง ตัว-ตาเหลือง เบื่ออาหาร ปวดท้องช่วงบน ปัสสาวะสี

เขม้ ออ่ นเพลีย หวั ใจเตน้ เร็ว หนา้ บวม ริมฝีปากบวม ลําคอบวม หายใจลําบาก ผ่นื ลมพิษ
การพยาบาล 1. สงั เกตอาการขา้ งเคยี งของยา หากพบใหร้ ายงานแพทย์

2. หา้ มใช้ยาในผู้ปวุ ยทีม่ ีประวตั ิการแพ้ยานหี้ รือประวัติการแพ้ยาฆ่าเชื้อกลุ่ม Macrolides
เช่น อีรโิ ทรไมซนิ (Erythromycin)
3. เฝูาระวังการใช้ยาน้ใี นผปู้ วุ ยโรคตับ โรคไต

ตารางท่ี 20 แสดงกล่มุ ยา Antiviral ชนิดรับประทาน ท่ีใชใ้ นสถาบนั โรคทรวงอก Oseltamivir
ชื่อการคา้ Tamiflu
ชื่อยาสําคญั Oseltamivir
กลมุ่ ยา Antiviral
รปู แบบยา capsule
วธิ ีการใช้ยา ขนาด 75 มลิ ิกรัม รับประทานวันละ 2 คร้งั 5 วัน
การออกฤทธิ์ ยับยั้งเอ็นไซม์ neuraminidase ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ยับย้ังการเพิ่มจํานวนของไวรัส

ขัน้ ตอนการปล่อยไวรสั ออกจากเซลล์
ผลขา้ งเคียง คลื่นไส้ อาเจียน(โดยปกติจะไม่ รุนแรงและจะเกิดอยใู่ นช่วง 2 วนั แรกของการรักษา) อาการปวด

ท้อง ทอ้ งเสีย อาหารไม่ย่อย
การพยาบาล 1. สงั เกตอาการขา้ งเคยี งของยา หากพบให้รายงานแพทย์

2. ห้ามใชย้ าในผู้ปวุ ยทมี่ ีประวตั กิ ารแพ้ยานี้
3. เฝาู ระวังการใชย้ านใ้ี นผู้ปวุ ยโรคตับ โรคไต

Mucolytic & Antioxidant (สมาคมอุรเวชชแ์ หง่ ประเทศไทย, 2560)
ใชเ้ พือ่ บรรเทาอาการเสมหะเหนียวเป็นช่วงสัน้ ๆ การใช้ยา, N-acetylcysteine ในขนาดสงู
(1200 มก. ตอ่ วนั ) เปน็ antioxidant ลดอตั ราการกาํ เริบในผ้ปู วุ ย COPD stage 2

26

ตารางท่ี 21 แสดงกล่มุ ยา Mucolytics & antioxidant ทใี่ ช้ในสถาบันโรคทรวงอก Erdosteine
ชือ่ การคา้ Erdos, Mucotec
ชือ่ ยาสาํ คญั Erdosteine
กลมุ่ ยา ยาละลายเสมหะและตอ่ ต้านอนุมลู อสิ ระ (Mucolytics & antioxidant)
รปู แบบยา capsule
วิธกี ารใช้ยา ขนาด 300 mg
การออกฤทธิ์ ทําลายโครงสร้างส่วนที่ทําให้เสมหะเหนียว ไอเสมหะออกง่าย ต่อต้านอนุมูลอิสระและ

ตา้ นการอกั เสบ ปอู งกนั ความเสยี หายของเนอ้ื เยอ่ื
ผลขา้ งเคียง เหง่ือออก คล่ืนไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ระคายเคืองระบบทางเดนิ อาหาร
การพยาบาล 1. สังเกตอาการขา้ งเคียงของยา หากพบให้รายงานแพทย์

2. ห้ามใชย้ าในผู้ปุวยที่มปี ระวตั ิการแพ้ยานี้
3. ระมดั ระวงั การใช้ยานใี้ นผปู้ ุวยที่มีแผลในกระเพาะอาหาร

ตารางที่ 22 แสดงกลมุ่ ยา Mucolytics & antioxidant ที่ใช้ในสถาบนั โรคทรวงอก Brown mixture
ชือ่ การค้า M. tussis
ช่อื ยาสาํ คัญ Brown mixture
กลุ่มยา ยาระงับอาการไอ (Anti-tussive) และยาขับเสมหะ (Expectorants)
รปู แบบยา Suspension ขนาด 60/120 ml.
วธิ ีการใช้ยา จิบ 1-2 ช้อนชา,1ชอ้ นชา = 5ซซี ี รบั ประทานครง้ั ละ15 ซซี ี วันละ3-4 ครัง้ หลงั อาหาร

หรือเมือ่ มีอาการไอแหง้ ๆ
การออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์กดระบบประสาทสว่ นกลางทาํ ใหร้ ะดับความทนตอ่ การไอสูง
ผลข้างเคียง ท้องผกู มนึ งง ปวดศรี ษะ ง่วงซมึ คลน่ื ไส้ อาเจียน แพ้ มผี ื่นคัน
การพยาบาล 1. สงั เกตอาการข้างเคียงของยา หากพบให้รายงานแพทย์

2. หา้ มใช้ยาในผปู้ วุ ยที่มปี ระวตั ิการแพ้ยาน้ี
3. ยานม้ี แี อลกอฮอลผ์ สมอยู่ 9.1% ควรใช้ด้วยความระมดั ระวงั
4. ระมัดระวังการใช้ยาน้ีในผู้ปุวยที่มีเสมหะเหนียว หรือไอจากโรคปอดอักเสบ หลอดลม
อักเสบ เพราะตัวยาจะทําให้เสมหะเหนียวเกิดการอุดก้ันของทางเดินหายใจ และกดศูนย์
การหายใจ

27

ตารางที่ 23 แสดงกลุ่มยา Mucolytics ท่ใี ช้ในสถาบันโรคทรวงอก Acetylcysteine
ช่อื การค้า Fluimucil, Nac Long, Mysoven
ชอ่ื ยาสาํ คญั Acetylcysteine
กลมุ่ ยา ยาละลายเสมหะ (Mucolytics)
รูปแบบยา ผงแกรนลู /เม็ดฟุู ละลายน้าํ
วธิ กี ารใชย้ า ขนาด 100/200/600 มิลลกิ รมั

 รบั ประทานคร้ังละ 1 ซอง (200 มลิ ลกิ รมั ) 2-3 ครงั้ /วัน
ขนาด 600 มลิ กิ รัม รบั ประทาน 1-3 เม็ด ชนดิ ฟูุ วันละครั้ง กอ่ นอาหารเยน็
หรือ วันละ 2 ครง้ั เชา้ เย็น

การออกฤทธิ์ ทําลาย Disulfide bond ของ mucoprotein ซ่ึงเป็นตัวทําให้มูกหรือเสมหะอ่อนตัวลง
และขับออกได้งา่ ย

ผลข้างเคียง นาํ้ มูกไหล ตัวเยน็ ง่วงนอน มีไข้ มีอาการอกั เสบระคายเคืองบริเวณปาก หรือ ลิ้น คลนื่ ไส้
อาเจยี น
ผลขา้ งเคยี งทีร่ ุนแรง พบนอ้ ยมากคอื ผน่ื ลมพิษ หน้าบวม ปากบวม ล้ินบวม หายใจติดขัด
หลอดลมหดเกรง็ แนน่ หนา้ อก

การพยาบาล 1. สงั เกตอาการข้างเคยี งของยา หากพบให้รายงานแพทย์
2. สงั เกตการหายใจ ฟงั เสยี งปอด ผู้ปวุ ยทเี่ ป็นโรคหอบหืดอาจทาํ ใหห้ ลอดลมหดเกร็งได้
3. หา้ มใช้ยาในผูป้ วุ ยที่มปี ระวัตกิ ารแพย้ าน้ี

ตารางท่ี 24 แสดงกลมุ่ ยา Mucolytics ทใ่ี ช้ในสถาบนั โรคทรวงอก Bromhexine
ชื่อการค้า Disol, Bisoven, Bromxine
ชื่อยาสําคัญ Bromhexine
กลมุ่ ยา ยาละลายเสมหะ (Mucolytics)
รปู แบบยา Tablet
วิธกี ารใช้ยา ขนาด 8 มลิ ลกิ รมั รบั ประทาน 1 เมด็ วันละ 3 คร้ัง
การออกฤทธิ์ ทําลาย Disulfide bond ของ mucoprotein ซึ่งเป็นตัวทําให้มูกหรือเสมหะอ่อนตัวลง

และขับออกได้ง่าย
ผลข้างเคยี ง อาเจียน เวียนศีรษะ มีผื่น ลมพิษ คันผิวหนัง ท้องเสีย ปวดท้องส่วนบน เกิดภาวะ

angioedema ช้นั ผวิ หนงั แท้บวม การทาํ งานของตับเพ่ิมสงู ขนึ้
การพยาบาล 1. สงั เกตอาการข้างเคยี งของยา หากพบให้รายงานแพทย์

2. ห้ามใชย้ าในผู้ปุวยท่ีมีประวัตกิ ารแพย้ าน้ี
3. ระมัดระวังการใชย้ านใ้ี นผ้ปู วุ ยทม่ี แี ผลในกระเพาะอาหาร
4. ระมดั ระวงั การใช้ยาน้ีในผปู้ ุวยท่เี ปน็ โรคหอบหืด เพราะอาจทาํ ให้หลอดลมหดเกร็ง

28

ตารางที่ 25 แสดงกลุ่มยา Expectorant ท่ีใช้ในสถาบันโรคทรวงอก Ammonium carbonate
ชื่อการคา้ M. Ammoncarb
ชอ่ื ยาสําคญั Ammonium carbonate
กลุม่ ยา ยาขบั เสมหะ (Expectorants)
รปู แบบยา Suspension ขนาด 60/120 ml.
วิธีการใชย้ า จิบ 1-2 ชอ้ นชา, 1ช้อนชา = 5 ซซี ี

รบั ประทานคร้ังละ15 ซซี ี วันละ 3-4 ครัง้ หลงั อาหารหรอื เมอ่ื มีอาการไอ
การออกฤทธ์ิ กระตุน้ ผนังเนือ้ เย่ือของหลอดลมใหห้ ลง่ั เมอื กออกมา ชว่ ยขบั เสมหะและบรรเทาอาการไอ
ผลขา้ งเคยี ง ปวดศรี ษะ เบ่ืออาหาร คลื่นไส้ อาเจยี น อจุ จาระรว่ ง
การพยาบาล 1. สังเกตอาการขา้ งเคยี งของยา หากพบใหร้ ายงานแพทย์

2. สงั เกตการหายใจ ฟงั เสยี งปอด ผปู้ ุวยท่ีเปน็ โรคหอบหืดอาจทาํ ใหห้ ลอดลมหดเกรง็ ได้
3. หา้ มใชย้ าในผปู้ ุวยที่มปี ระวัติการแพย้ านี้

ตารางท่ี 26 แสดงกลมุ่ ยา Anti-tussive ทใี่ ช้ในสถาบนั โรคทรวงอก Dextromethorphan
ชอ่ื การค้า Throatsil Dex, Tusco, Tuscolgen
ชอ่ื ยาสาํ คญั Dextromethorphan
กลมุ่ ยา ยาระงบั อาการไอ (Anti-tussive)
รปู แบบยา Tablet
วธิ ีการใชย้ า ขนาด 15 มลิ ลิกรัม รับประทานครัง้ ละ 1 เม็ด วันละ 3-4 ครงั้
การออกฤทธ์ิ ยับย้งั ศุนย์ควบคุมการไอในระบบประสาทสว่ นกลางสว่ นเมดัลลา (medulla) ขัดขวางการ

สง่ สัญญาณการไอในระบบประสาทสว่ นกลาง
ผลข้างเคยี ง ง่วงซึม มนึ งง คล่ืนไส้ อาเจียน เวยี นศีรษะ เดนิ เซ สับสน เม่อื หยดุ ยาอาการจะหายไป
การพยาบาล 1. สังเกตอาการข้างเคียงของยา หากพบให้รายงานแพทย์

2. ห้ามใช้ยาในผปู้ วุ ยทีม่ ปี ระวตั กิ ารแพ้ยานี้
3. ระมัดระวังการใช้ยาน้ีในผู้ปุวยที่เป็นโรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบเร้ือรัง สูบบุหร่ี
หรือไอแบบมเี สมหะ

29

ตารางท่ี 27 แสดงกลุม่ ยา Opioids ท่ีใชใ้ นสถาบนั โรคทรวงอก Codeine
ชือ่ การคา้ Ropect, Rolar
ชอื่ ยาสําคญั Codeine
กลุ่มยา Opioids/Narcotics
รปู แบบยา Tablet
วธิ กี ารใช้ยา ขนาด 15-60 มลิ ลกิ รัม รับประทาน 1 เม็ด ทุก 4 ชม. แตไ่ ม่เกิน 360 มิลลกิ รัมต่อวัน
การออกฤทธ์ิ ระงบั อาการไอแห้งๆ กดศนู ยก์ ารไอน้อย ออกฤทธ์อิ ่อนกว่ามอร์ฟนี
ผลขา้ งเคียง ปวดทอ้ ง หรือทอ้ งผูกมนึ งงหรือง่วงซึมเล็กนอ้ ย มผี ื่นข้นึ ตามผิวหนงั ไดเ้ ลก็ น้อย เหงอ่ื ออก

มาก คลื่นไส้ หรอื อาเจียน หน้ามืด อ่อนเพลีย เหน่ือยมาก หายใจตืน้ หวั ใจเตน้ ช้า
และชีพจรอ่อนลง มอี าการชกั หรอื เปน็ ลม ผลข้างเคยี งรนุ แรง เช่น มีอาการบวมท่ีใบหน้า
ริมฝีปาก ลิน้ หรอื ลาํ คอ ลมพิษขน้ึ ตามผิวหนัง หายใจตดิ ขัด เหน็ ภาพหลอน
กระสับกระสา่ ย มีไข้ หนาวสนั่ หัวใจเตน้ เร็ว เหงือ่ ออก กล้ามเนอ้ื ตึง หรือท้องเสีย เป็นต้น
การพยาบาล 1. สังเกตอาการข้างเคียงของยา หากพบใหร้ ายงานแพทย์
2. หา้ มใชย้ าในผปู้ วุ ยที่มปี ระวตั กิ ารแพ้ยาน้ี
3. ระมัดระวังการใช้ยานี้ในผู้ปุวยที่เป็นโรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบเร้ือรัง สูบบุหรี่
หรือไอแบบมีเสมหะ

ตารางท่ี 28 แสดงกลมุ่ ยา Antihistamine ทใี่ ช้ในสถาบันโรคทรวงอก Cetirizine
ชื่อการค้า Zyrtec, Fatec
ชือ่ ยาสาํ คญั Cetirizine
กลมุ่ ยา Antihistamine
รปู แบบยา Tablet
วิธีการใช้ยา รับประทานวนั ละ 10 มิลลกิ รมั 1 คร้งั หรอื คร้งั ละ 5 มิลลิกรมั 2 ครงั้ ตอ่ วนั

ผูส้ งู อายุ เร่ิมต้นรับประทานอย่างนอ้ ยวันละ 5 มลิ ลิกรัม
การออกฤทธิ์ ยับยั้งการทํางานของตัวรับฮีสตามีนท่ีกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ โดยไปจับกับตัวรับ H1-

receptor บนเซลล์ในระบบทางเดนิ หายใจ ทําให้อาการแพท้ ุเลาลง
ผลขา้ งเคียง อาการงว่ งเหงาหาวนอน อ่อนเพลยี ปากแหง้ นอนไมห่ ลับ วงิ เวียนศรี ษะ งว่ งซมึ

รู้สึกเหนือ่ ย ปวดศรี ษะ ปากแห้ง เจบ็ คอ ไอ คลน่ื ไส้ ท้องผูก หัวใจเต้นผดิ ปกติ เหนอ่ื ย
มอี าการสนั่ หรอื นอนไม่หลบั มอี าการอยู่ไมส่ ขุ ต่ืนตัวอยูต่ ลอดเวลา
การพยาบาล 1. สังเกตอาการข้างเคียงของยา หากพบให้รายงานแพทย์
2. หา้ มใชย้ าในผู้ปวุ ยที่มปี ระวัติการแพ้ยานี้
3. เฝาู ระวังการใช้ยานี้ในผปู้ วุ ยที่มไี ตวายและตบั วาย

30

ตารางที่ 29 แสดงกลุ่มยา Antihistamine ท่ีใช้ในสถาบันโรคทรวงอก Loratadine
ช่ือการค้า Claritin
ชอ่ื ยาสาํ คญั Loratadine
กลมุ่ ยา Antihistamine
รปู แบบยา Tablet
วธิ กี ารใชย้ า ขนาด10 มิลลกิ รัม รบั ประทานวันละคร้ัง ขณะท้องว่างคือ ก่อนอาหารอย่างน้อย 1

ชัว่ โมง หรือ หลงั อาหาร 2 ช่วั โมง
การออกฤทธ์ิ ยับย้ังการหลั่งของสารฮีสตามีน เพื่อต่อต้านสารก่อภูมิแพ้ ออกฤทธิ์ผ่านสมองน้อยมาก

ทาํ ให้ไมร่ ู้สกึ ง่วง
ผลขา้ งเคียง ปวดศีรษะ หงดุ หงิด อาจจะมีอาการง่วง ออ่ นเพลีย ตาแดง ตามัว ปากแหง้ เสยี งแหบ

ปวดทอ้ ง ถ่ายเหลวอาจจะมีอาการตับอักเสบ ผมร่วง แตน่ ้อยมาก
อาการแพแ้ บบรุนแรงใหห้ ยดุ ยาและพบแพทย์ ไดแ้ ก่ แน่นหนา้ อก หายใจไม่ออก หนงั ตา
รมิ ฝีปากบวม ผนื่ ข้ึน ใจส่นั หรือหวั ใจเตน้ เรว็ หน้ามืดจะเปน็ ลม ตวั เหลืองตาเหลือง ชัก
การพยาบาล 1. สังเกตอาการข้างเคยี งของยา หากพบให้รายงานแพทย์
2. หา้ มใช้ยาในผ้ปู ุวยทมี่ ปี ระวตั กิ ารแพย้ านี้
3. เฝูาระวังการใช้ยานี้ในผ้ปู ุวยทมี่ ีไตวายและตับวาย

ตารางท่ี 30 แสดงกลมุ่ ยา Decongestant ท่ีใช้ในสถาบนั โรคทรวงอก Pseudoephedrine
ช่ือการค้า Sulidine, Actifed
ชื่อยาสาํ คญั Pseudoephedrine
กลุ่มยา Decongestant
รูปแบบยา Tablet
วธิ ีการใชย้ า รับประทานยา 1 เม็ด ทุกๆ 12 ชว่ั โมง
การออกฤทธิ์ ทําใหเ้ กดิ การหดรัดตวั ของหลอดเลอื ดในโพรงจมกู ลดอาการคัดจมูก หอู ้ือ หรือเคอื งตา
ผลข้างเคยี ง เวยี นหวั งว่ งนอน รสู้ กึ ออ่ นเพลีย นอนไมห่ ลับ ปากแห้ง คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องผูก

ไมม่ ีสมาธิ
การพยาบาล 1. สงั เกตอาการขา้ งเคยี งของยา หากพบให้รายงานแพทย์

2. หา้ มใชย้ าในผูป้ วุ ยทีม่ ปี ระวตั กิ ารแพ้ยานี้
3. เฝาู ระวงั การใชย้ านี้ในผ้ปู วุ ยโรคหัวใจ หลอดเลือด และไตวาย

31

การรกั ษาอ่ืนๆ (สมาคมอุรเวชช์แหง่ ประเทศไทย, 2560)
การรักษาอ่ืนๆ หมายถึงการใช้วิธีการต่างๆอย่างผสมผสานเพ่ือช่วยให้ผู้ปุวยโรคปอดอุดก้ัน

เร้ือรังไม่เกิดอาการกําเริบ หรือไม่ทรุดลงไปกว่าเดิม ลดความทุกข์ทรมาน เพิ่มความสุขสบาย เป็นต้น
การรกั ษาในผปู้ วุ ยทกุ รายจะต้องใหค้ าํ แนะนาํ ควบคูไ่ ปดว้ ยเพื่อช่วยให้ผู้ปุวยมีความเข้าใจในแนวทางการ
รักษา และการปฏิบัติตนที่เหมาะสม เพ่ิมคุณภาพชีวิต ลดการกําเริบ ตลอดจนการวางแผนการรักษา
ควรทําร่วมกบั ผู้ปุวยเสมอ การรักษาอน่ื ๆ ทไี่ ม่ใชย่ า ได้แก่

 การได้รับวัคซีนปูองกันโรคทางเดินหายใจ ได้แก่ วัคซีนปูองกันไข้หวัดใหญ่ (influenza
vaccine) ผู้ปุวยโรคปอดอุดก้ันเรื้อรังควรได้รับวัคซีนปีละอย่างน้อย 1 ครั้ง และ วัคซีนปูองกันปอด
อักเสบ (pneumococcal vaccine) พิจารณาฉีดในผู้ปุวยที่มีอายุมากกว่า65 ปี หรือผู้ที่อายุน้อยกว่า
65 ปีทมี่ ีค่าของFEV1 น้อยกว่าร้อยละ 40 ของค่าอ้างองิ

 การเลิกบุหรี่ แนะนาํ วธิ กี ารและให้การสนบั สนุนการเลิกสูบบหุ รี่ (ภาคผนวก 2)

 การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด (pulmonary rehabilitation) เพื่อเพ่ิมความสามารถในการทํา
กิจวัตรประจําวัน เพ่ิมคุณภาพชีวิต การฟ้ืนฟูสมรรถภาพปอดมีองค์ประกอยหลายอย่าง คือ การให้
ความรู้ การปรับเปลยี่ นพฤตกิ รรม เทคนิคการขับเสมหะให้ถูกวิธี การใช้ยา การประเมินและฟ้ืนฟูสภาพ
ของกล้ามเน้ือ สภาพอารมณ์และจิตใจ ภาวะโภชนาการ และการออกกําลังกาย ส่งผลการให้การดูแล
ตนเองมคี วามเหมาะสม

การฝึกออกกําลังกายเป็นปัจจัยท่ีสําคัญที่สุดที่จะกําหนดผลลัพธ์ของการฟื้นฟูสมรรถภาพ
ปอด ผู้ปุวยทุกระดับความรุนแรงสามารถเข้าโปรแกรมการฝึกออกกําลังกายได้ ควรทําอย่างน้อย 6
สปั ดาห์ข้ึนไป ยิ่งทาํ ต่อเน่อื งนานยิง่ มปี ระสทิ ธิผลมากยิ่งข้ึน การกําหนดโปรแกรมสามารถปรับเปลี่ยนได้
ตามภาวะของโรคของผู้ปุวยแตล่ ะราย ตามระดบั การรบั รู้ ความเขา้ ใจ สภาพสงั คม หรือ เศรษฐกจิ

การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดจะต้องมีการประเมินผู้ปุวยทั้งก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจก รรม
เพ่ือใช้เป็นตัวชี้วัดถึงประโยชน์ท่ีได้รับและเปูาหมายที่ต้องการในผู้ปุวยแต่ละราย การประเมินควร
ประกอบด้วยดชั นีหลัก ดงั ต่อไปน้ี

1. ระดบั ความรนุ แรงของอาการเหนื่อย เช่น mMRC
2. ความสามารถในการออกกาํ ลังกาย เชน่ 6-minute walk distance test (6MWT)
3. คณุ ภาพชวี ติ (Quality of life) เชน่ COPD assessment test (CAT)
4. ความแข็งแรงของกลา้ มเน้อื ท่ีใชใ้ นการหายใจ และ กลา้ มเนือ้ แขนขา (muscle strength)
โดยเฉพาะในผูป้ วุ ยรายที่มกี ล้ามเนอ้ื ลีบ หรือกลา้ มเนื้ออ่อนแรง
5. การพ่งึ พาบริการทางสาธารณสุข เช่น อัตราการกําเรบิ ของโรค (exacerbation rate) อัตรา
การนอนโรงพยาบาล (admission rate) เป็นตน้

 การให้ออกซิเจนระยะยาว (long term oxygen therapy)ในกลุ่มที่มีอาการรุนแรง
(ภาคผนวกท1่ี )

 การผ่าตัดปอด (lung volume reduction surgery- LVRS) / หตั ถการพิเศษ
ผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังท่ีได้รับการรักษาด้วยยา และการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดอย่าง
เตม็ ท่แี ลว้ ยงั ไม่สามารถควบคุมอาการได้ จะพจิ ารณาการรักษาด้วยการผา่ ตดั ได้แก่

1. Bullectomy พิจารณาในผู้ปุวยท่ีมีการโปุงพองของเน้ือเย่ือปอดที่มีการรั่วออกมา

ขงั อยู่ใต้เยื่อหุ้มปอด (Bleb หรือ Bullae)

32

2. การผ่าตัดเพ่ือลดปริมาณปอด (lung volume reduction surgery) พิจารณาทํา
ในรายท่ีมีถุงลมโปุงพองเด่นที่ปอดกลีบบน (upper lobe predominant emphysema) และมี
ความสามารถออกกาํ ลังกายในระดับตา่ํ

3. การส่องกล้องในหลอดลมเพื่อลดปริมาตรปอด (endobronchial valve)
4. การผ่าตัดเปล่ยี นปอด (lung transplantation)
การดแู ลแบบประคบั ประคอง ในรายที่ผูป้ ุวยได้รับการพยากรณ์วา่ อยูใ่ นชว่ งวาระสดุ ท้ายในชีวิตมกี ารให้
คําปรกึ ษาพูดคยุ กบั ผู้ปุวยและญาติเพ่ือวางแผนชวี ิตในอนาคต

บรบิ ทการรักษา
การใหบ้ ริการรักษาพยาบาลผู้ปวุ ยโรคปอดอุดกนั้ เร้ือรังในโรงพยาบาล มีความแตกต่างกนั ตาม

สภาวะอาการของผ้ปู ุวย โดยทัว่ ไปสามารถแบ่งผปู้ วุ ยออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ตามระบบการดูแลรักษา
ไดแ้ ก่ 1) การรักษาแบบผู้ปุวยนอก 2) การรกั ษาแบบผู้ปุวยใน (สมาคมอรุ เวชช์แห่งประเทศไทย, 2560)
การรักษาแบบผปู้ ุวยนอก

กรณีผปู้ วุ ยมีอาการกําเริบเลก็ น้อยเหนอ่ื ยหอบไมม่ าก ยงั พอทํากิจวตั รประจาํ วันได้ มีแนวทาง
การรกั ษาดังน้ี

1. เพิ่มขนาดและความถี่ของยาพ่นสดู ขยายหลอดลมชนดิ ออกฤทธ์สิ ัน้ เปน็ ทุก 4-6 ชว่ั โมง ยา
พ่นสูดรูปแบบ MDI ควรใช้คู่กับspacer

2. ยาสเตยี รอยด์ชนดิ รับประทาน เชน่ prednisolone 30-40 มก./วนั นาน 5วัน
3. ยาปฏิชีวนะ เมอ่ื สงสัยมีการติดเชอื้ แบคทเี รยี เชน่ มีเสมหะมากขน้ึ หรือ เปลีย่ นสี มีไข้
4. ทบทวนวธิ กี ารใช้ยา ความสมํ่าเสมอการใชย้ า ปัจจยั กระตนุ้ และ การเลิกบุหร่ี
การรกั ษาแบบผู้ปุวยใน
การรับผูป้ ุวยไว้รักษาในโรงพยาบาล มขี ้อบ่งชดี้ งั นี้
1. มอี าการกาํ เริบรุนแรง ได้แก่

- มีการใช้กล้ามเน้ือช่วยหายใจ (Accessory Muscle) มากขึ้น หรือมีอาการแสดงของ
กล้ามเนอ้ื หายใจอ่อนแรง เช่น abdominal paradox หรอื respiratory alternant

- หายใจเรว็ หรอื เกิดภาวะcyanosis
- Hemodynamic instability
- ซึม สับสน หรอื หมดสติ
- มีอาการแสดงของหัวใจห้องขวาล้มเหลวท่เี กิดข้นึ ใหม่ เชน่ ขาบวม
2. มโี รคปอดอุดก้ันเรื้อรงั ระดับรุนแรง หรือมีประวัติการกําเรบิ เฉียบพลันของโรคบ่อยและรนุ แรง
3. มีโรคร่วมหรือภาวะอื่นที่รุนแรงร่วม เช่น ปอดติดเช้ือ ภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ
(Cardiac arrhythmia) เปน็ ตน้
4. ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบผปู้ ุวยนอก
5. ผู้ปวุ ยไม่สามารถรับการดแู ลอย่างเหมาะสมทบี่ ้านได้

33

แนวทางการรกั ษาในโรงพยาบาล ประกอบด้วย (สมาคมอรุ เวชช์แหง่ ประเทศไทย, 2560)
1. การให้ออกซิเจน เพ่ือให้ได้ระดับออกซิเจนในร่างกาย (oxygen saturation) อยู่ระหว่าง

88-92% หรือ PaO2 อยู่ระหว่าง 60-70 mmHg การให้ออกซิเจนท่ีมากเกินไปอาจเป็นอันตราย เช่น
ภาวะซึมจากคารบ์ อนไดออกไซด์คงั่ ได้ (CO2 narcosis)

2. การให้ยาขยายหลอดลมชนิดพ่นสูด ได้แก่ inhaled SABA หรือ inhaled SABA ร่วมกับ
SAMA พ่นผ่าน nebulizer พิจารณาให้ทกุ 20 นาที ใน 1ชวั่ โมงแรก หลงั จากนน้ั พน่ ทุก 4-6 ชัว่ โมง

3. การให้ยาสเตยี รอยด์ ชว่ ยลดอาการเหน่ือยทําใหส้ มรรถภาพปอดดีข้ึน ลดระยะเวลาการนอน
โรงพยาบาล ลดความเส่ยี งการเกดิ โรคกาํ เริบซํ้าและการรักษาล้มเหลว

ในระยะแรกอาการรุนแรงจะเป็นยาฉีด เช่น hydrocortisone 100-200 มก. หรือ
dexamethasone 5-10 มก. ทุก 6 ช่ัวโมง เม่ืออาการดีขึ้น จะเปลี่ยนเป็นยารับประทาน
prednisolone ขนาด 30-40 มก./วัน นาน 5-10 วนั ถ้าอาการไม่ดขี ้ึนอาจให้นาน 14 วนั

4. การให้ยาต้านจุลชีพ หรือยาปฏิชีวนะ กรณีสงสัยมีการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่นเสมหะเพ่ิมข้ึน
หรือเปล่ยี นสี มไี ข้ และผูป้ ุวยที่มกี ารกําเริบรนุ แรงโดยเฉพาะ ผู้ปุวยท่ตี อ้ งใช้เครอ่ื งชว่ ยหายใจ

5. การใช้เครื่องช่วยหายใจ มีเปูาหมายเพื่อบรรเทาอาการ และลดอัตราการเสียชีวิต โดย
พิจารณา noninvasive ventilator (NIV) ก่อน ตามข้อบ่งชี้ เนื่องจากมีประโยชน์ 80-85% ท้ังในแง่การ
ลดภาวะ acidosis, หอบเหนื่อยลดลง ลดการใส่ท่อช่วยหายใจ และลดจํานวนวันนอนโรงพยาบาล ลด
อัตราการเสียชีวติ และ ลดภาวะแทรกซ้อนที่เกดิ จากการใสท่ ่อชว่ ยหายใจ (โชค ล้มิ สวุ ฒั น,์ 2561)

ข้อบ่งชีใ้ นการใช้ noninvasive ventilator (NIV) มลี ักษณะทางคลนิ ิกดังนี้
1. Acute respiratory acidosis (pH ระหวา่ ง 7.25-7.35 และ PCO2 > 45 mmHg)
2. มกี ารใช้กล้ามเนื้อช่วยหายใจ (accessory muscle) มากขึ้น หรือมอี าการแสดงของ
กลา้ มเนอ้ื หายใจอ่อนแรง
ขอ้ หา้ มใช้ NIV
1. มีขอ้ บ่งชี้ในการใช้ invasive mechanical ventilation
2. มโี ครงหนา้ ผิดปกติ หรอื ไม่สามารถหาหนา้ กากที่เหมาะสมได้
3. เสมหะมปี รมิ าณมากไมส่ ามารถแก้ไขไดด้ ้วย secretion clearance techniques
4. เพิ่งไดร้ บั การผ่าตัดใบหน้า ทางเดินหายใจสว่ นบน หรือทางเดินอาหารส่วนบน
5. มเี ลอื ดออกจากทางเดนิ อาหารสว่ นบนทย่ี งั ควบคุมไมไ่ ด้
หลงั การใช้ NIV ควรประเมนิ การตอบสนองท่ี 30-60 นาที โดยดูจากระดบั ความรสู้ กึ ตัว อาการ
เหนือ่ ย อัตราการหายใจ และผลวเิ คราะห์ arterial blood gases
ขอ้ บง่ ชกี้ ารใสท่ ่อช่วยหายใจและใชเ้ ครื่องช่วยหายใจ (invasive mechanical ventilation)
1. หยุดหายใจ หรือ หวั ใจหยุดเต้น
2. มีความผิดปกติในระบบหัวใจ เช่น ความดนั โลหติ ตา่ํ กล้ามเนอื้ หวั ใจขาดเลือด หัวใจเต้นผิด
จงั หวะทไี่ มส่ ามารถแก้ไขได้
3. มรี ะดบั ความรสู้ ึกตัวไม่ดี หรือไมร่ ว่ มมือ
4. ระดับ pH < 7.25
5. ไม่ตอบสนองต่อการใช้ NIV (อาการ หรือ arterial blood gases แย่ลงที่ 1-2 ชั่วโมง)
6. ผ้ปู วุ ยไม่สามารถทนตอ่ การใช้ NIV ได้
7. เสมหะปริมาณมากไม่สามารถแกไ้ ขไดด้ ้วย secretion clearance techniques

34

8. มีการสําลักปริมาณมาก (massive aspiration)

6. การดูแลรักษาเสริม ได้แก่ การรักษาโรคร่วม การดูแลสมดุลสารน้ํา และ เกลือแร่ การดูแล
ด้านโภชนาการ การทบทวนการใช้ยาและวิธีการบริหารยา การประเมินการเลิกบุหรี่ การให้ความรู้
เกี่ยวกับโรค และแนวทางปฏิบัติ รวมถึงโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพปอดเมอื่ ผูป้ ุวยอาการดีขึ้น

อย่างไรกต็ ามการประเมินหลังจากใช้ NIV มีความสําคญั หากใน 30 นาทถี ึง 1 ช่วั โมงไม่มกี าร
เปล่ยี น แปลงทางคลนิ กิ ท่ีดขี ึ้น ควรพิจารณาใสท่ ่อชว่ ยหายใจดังตาราง

ตารางที่ 31 ข้อบ่งชใ้ี นการใส่ทอ่ ช่วยหายใจและใช้เครอ่ื งช่วยหายใจ (โชค ล้มิ สวุ ัฒน,์ 2561)

-Unable to tolerate NIV or NIV failure -Respiratory frequency > 35 breaths per

minute

-Life-threatening hypoxemia Respiratory arrest

-Severe dyspnea with use of accessory -Severe acidosis (pH < 7.25) and/or

muscles and paradoxical hypercapnia (PaCO2 > 60 mmHg)

abdominal motion

-Somnolence, impaired mental status - -Other complications (metabolic

Cardiovascular complications abnormalities, sepsis, pneumonia,

(hypotension, shock) pulmonary embolism, barotraumas,

massive pleural effusion)

ตารางท่ี 32 การรักษาผู้ปวุ ยปอดอุดก้ันเรอ้ื รังทม่ี ีอาการกําเริบ(Exacerbation of COPD) (โชค

ลม้ิ สุวัฒน์, 2561)

ระดับอาการของผู้ปวุ ย/การรกั ษา ข้อแนะนาในการรักษา COPD with acute

exacerbation

กรณผี ปู้ วุ ยไม่มภี าวะหายใจล้มเหลว - ประเมินระดบั ความรุนแรงของโรคโดยการดูอาการรว่ มกบั

การตรวจเพ่มิ เติม ได้แก่ CXR หรอื blood gas

- ให้ oxygen supplement เพื่อให้ระดบั oxygen ใน

ร่างกายอยู่ในระดับทเี่ หมาะสม

- ให้ยาขยายหลอดลม ให้ SABA รว่ มกบั short-acting

anticholinergics ผา่ น spacer หรอื air-driven

nebulizers

- พิจารณาใหย้ าสเตยี รอยดแ์ บบกนิ

- พิจารณาใหย้ าฆา่ เช้อื แบคทีเรียหากมีอาการทสี่ งสัยการติด

เชื้อทางเดินหายใจ

กรณีผ้ปู ุวยมีภาวะหายใจลม้ เหลว หากไม่มขี ้อหา้ มแนะนําให้ใชก้ ่อนที่จะพจิ ารณาใส่ท่อชว่ ย

- Noninvasive ventilation หายใจ เนื่องจากชว่ ยลดระยะเวลาในหอผ้ปู วุ ยวิกฤติ ลดอัตรา

ตาย และการนอนโรงพยาบาล

35

ตารางท่ี 32 การรกั ษาผู้ปวุ ยปอดอุดกนั้ เรอ้ื รังทมี่ ีอาการกําเริบ(Exacerbation of COPD) (ต่อ)
(โชค ลมิ้ สุวฒั น,์ 2561)

ระดบั อาการของผู้ปุวย/การรักษา ข้อแนะนาในการรักษา COPD with acute
- High flow nasal cannula exacerbation
-Ventilator strategies
- พิจารณาใช้เพ่ือลดโอกาสใส่ท่อช่วยหายใจ
-Post extubation
-Medication - Low tidal volume 6 – 8 ml/kg
- RR 10 -12/min ,PEEP 5 mmH20
Other specific treatment - permissive hypercapnia strategy
In-effective treatment or no - plateau pressure < 30 mmH20
strong evidences base - FiO2 tritrate to keep SpO2 > 88
- ใช้ HFNC หรอื NIV ชว่ ยลดโอกาสการใส่ท่อชว่ ยหายใจซํา้

- SABA inhalation
- Ipratropium bromide inhalation
- systemic glucocorticoid
- antibiotic

- ECMO อาจพิจารณาทําในผู้ปุวยไม่ตอบสนองต่อการรักษา
แบบปกติ

- Mucolytic, methylxanthine อาจเพิ่มผลข้างเคียงได,้
และ MgSO4 แบบสดู ดม

เกณฑก์ ารจาหน่ายผู้ปุวยออกจากโรงพยาบาล
1. อาการเหน่ือยลดลงจนใกลเ้ คียงกบั ก่อนรบั ไวใ้ นโรงพยาบาล
2. สัญญาณชีพเปน็ ปกติ และอาการคงที่แล้วอย่างน้อย 12-24 ชว่ั โมง
3. การใช้ยาพน่ ขยายหลอดลมชนดิ ออกฤทธิ์สนั้ ไม่ถี่ไปกว่าทุก 4 ชั่วโมง
4. ผปู้ ุวยสามารถบรหิ ารยาชนิดสูดไดอ้ ยา่ งถกู วธิ ี และรบั ทราบแผนการรักษาตอ่ เน่ืองพร้อมการนดั
ตรวจติดตามท่ี2-4 สปั ดาห์
ควรประเมนิ ข้อบ่งชี้ของการบําบัดด้วยออกซิเจนระยะยาว (Long term oxygen therapy) ท่ี 3
เดือนหลงั การกาํ เรบิ เฉยี บพลัน

36

กระบวนการพยาบาล

พยาบาลมีบทบาทหน้าท่ีสําคัญ ในการจัดการเก่ียวกับปัญหาสุขภาพของผู้รับบริการเป็น
รายบุคคล ซ่ึงท้ังนี้จะต้องสามารถค้นหาปัญหาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการได้พยาบาล
จงึ ต้องมีกรอบการทํางานท่ีได้มาจาก แนวคิด ทฤษฎีทางการพยาบาลและความรู้จากศาสตร์สาขาต่างๆ
มาชว่ ยในการคิดวิเคราะห์และการตดั สินใจทางคลนิ ิก ในการแก้ปัญหาและความตอ้ งการของผู้รับบริการ
กระบวนการพยาบาล (nursing process) เป็นการวางกรอบการทํางานของพยาบาลวิชาชีพในการ
ปฏิบัติการพยาบาลที่มีคุณภาพในทุกมิติของการพยาบาลและทุกสถานบริการสุขภาพ ท่ีครอบคลุมการ
ส่งเสริมสุขภาพ การปูองกันโรค การดูแลรักษาและฟ้ืนฟูสุขภาพ สามารถใช้ได้ทั้งในโรงพยาบาลและ
ชุมชน กระบวนการพยาบาลเป็นพ้ืนฐานของกรอบแนวคิดวิเคราะห์ทางการพยาบาลท่ีเป็นระบบ เป็น
ข้ันตอนที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ทางการพยาบาล ทฤษฎีการพยาบาลหลักทางวิทยาศาสตร์ในการ
วิเคราะหเ์ พอ่ื คน้ หาปัญหาเพอื่ นํามาสูก่ ารวางแผนการพยาบาลให้สอดคล้องกับความต้องการหรือปัญหา
สุขภาพเป็นรายบุคคลซ่ึงรวมถึงทักษะการตัดสินใจทางคลินิก ในการเลือกกิจกรรมการพยาบาลในการ
แก้ปญั หา การค้นหาปญั หาหรือความต้องการทางสุขภาพของผู้รับบริการแต่ละคน มีความหลากหลายท่ี
มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเก่ียวข้อง เช่น ความรุนแรงของโรคท่ีเป็นวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี
เศรษฐกิจ วฒั นธรรมและความเชอ่ื ดงั นนั้ กระบวนการพยาบาล จึงถกู นํามาใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล
ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการหรือสามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้รับบริการเป็นรายบุคคลได้
กระบวนการพยาบาลได้รับการยอมรับว่าเป็นเคร่ืองมือที่สําคัญท่ีพยาบาลได้นํามาใช้ในการปฏิบัติการ
พยาบาลในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้รับบริการ กระบวนการพยาบาล หมายถึงการปฏิบัติการ
พยาบาลที่มีข้ันตอนท่ีพยาบาล คิดวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณในการแก้ปัญหาสุขภาพ
ของผรู้ บั บรกิ าร ประกอบดว้ ย 5 ขน้ั ตอน ได้แก่ การประเมินภาวะสุขภาพ การวินิจฉัยการพยาบาล การ
วางแผนการพยาบาล การปฏิบัติการพยาบาลและการประเมินผลการพยาบาล (พรศิริ พนั ธสี, 2564)

กระบวนการพยาบาล ประกอบดว้ ย 5 ขั้นตอน ดังน้ี (พรศิริ พันธสี, 2564)
1. การประเมินภาวะสุขภาพ (Health assessment)

การประเมินภาวะสุขภาพเป็นขั้นตอนแรกท่ีสําคัญ ของกระบวนการพยาบาล เป็นการสร้าง
ฐานข้อมูลเก่ียวกับการตอบสนองของผู้รับบริการต่อภาวะสุขภาพและการเจ็บปุวย ตลอดจน
ความสามารถในการจดั การความต้องการในการดูแลสุขภาพของตนเอง เป็นขั้นตอนท่ีทําอย่างเป็นระบบ
และต่อเน่ืองตลอดกระบวนการพยาบาล การเก็บรวบรวบข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพของผู้รับบริการ
จะต้องถูกต้องและครบสมบูรณ์ เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของผู้รับบริการอย่างแท้จริง การ
ประเมินภาวะสุขภาพจะนําไปส่ขู อ้ กาํ หนดขอ้ วนิ ิจฉยั การพยาบาลและการวางแผนกิจกรรมการพยาบาล
ที่ตอบสนองต่อความต้องการของปัญหาสุขภาพของผู้รับบริการ ควรเป็นการประเมินภาวะสุขภาพแบบ
องค์รวมของทุกความต้องการของผู้รับบริการ โดยใช้แนวคิดและรูปแบบการพยาบาลมาใช้เป็นกรอบ
แนวคดิ
2. การวินจิ ฉัยการพยาบาล (Nursing diagnosis)

เป็นขั้นตอนของการนําความต้องการหรือปัญหาทางสุขภาพของผู้รับบริการ (clien’s needs
or problems) ท่ีผ่านการาวิเคราะห์ข้อมูล ข้อเท็จจริงจนสรุปได้ว่าผู้รับบริการมีปัญหาทางสุขภาพมา
เขียนเป็นข้อวินิจฉัยการพยาบาล (nursing diagnosis statement) NANDA (The North American

37

Nursing Diagnosis Association) ได้ให้ความหมายของการวินิจฉัยการพยาบาลไว้ว่า “เป็นการ
ตัดสินใจทางคลินิกเก่ียวกับ บุคคล ครอบครัวหรือชุมชนท่ีตอบสนองต่อปัญญาสุขภาพท่ีกําลังเกิดขึ้น
หรือมีโอกาสท่ีจะเกิดขึ้นได้ในกระบวนการของชีวิต การวินิจฉัยการพยาบาลใช้เป็นฐานสําหรับการจัด
กิจกรรมการพยาบาลในการปฏิบัติการพยาบาล เพ่ือให้บรรลุเปูาหมายตามที่พยาบาลรับผิดชอบ
NANDA ไดจ้ าํ แนกข้อวินจิ ฉัยการพยาบาล ออกเปน็ 5 ประเภท ดังน้ี

2.1. ข้อวนิ ิจฉยั การพยาบาลท่ีมปี ัญหาเกิดขึ้นแล้ว (actual nursing diagnosis) เป็นข้อวินิจฉัย
การพยาบาลทบ่ี ่งบอกถึงปญั หาสุขภาพทเ่ี กดิ ข้ึนแล้วในขณะที่ทําการประเมินภาวะสุขภาพ มีอาการและ
อาการแสดงท่ีชัดเจน (signs and symptoms) ได้มาจากการบอกเล่าของผู้รับบริการหรือจากการ
สงั เกตของพยาบาล

2.2. ข้อวินิจฉัยการพยาบาลท่ีมีความเสี่ยง (risk nursing diagnosis) เป็นข้อวินิจฉัยทางการ
พยาบาลที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้ คือ มีปัจจัยเส่ียงปรากฏให้เห็น แต่ปัญหายังไม่เกิด ไม่มีอาการและ
อาการแสดงปรากฏให้เห็นชดั และมีโอกาสพฒั นาเป็นปัญหาสุขภาพได้

2.3. ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่อาจเกิดข้ึน (possible nursing diagnosis) เป็นข้อวินิจฉัยการ
พยาบาลท่ีปัญหาอาจเกิดขึ้นได้แต่ยังไม่ชัดเจน และไม่สมบูรณ์ในข้อมูลที่มีและสาเหตุของปัญหายังระบุ
ไม่ได้ ปัญหาเป็นเพียงพจิ ารณาไดว้ ่า อาจจะเกิดขึ้นได้

2.4. ข้อวินิจฉัยการพยาบาลสุขภาพดี (wellness nursing diagnosis) เป็นข้อวินิจฉัยการ
พยาบาลสุขภาพดีที่แสดงถึงภาวะสขุ ภาพท่ีมีการเปลย่ี นแปลงจากระดับสุขภาพดเี ป็นระดับดีมากขึน้

2.5. ข้อวินิจฉัยการพยาบาลของกลุ่มอาการ (syndrome nursing diagnosis statement)
เปน็ ข้อวินิจฉัยการาพยาบาลท่ีอธิบายกลุ่มอาการที่เฉพาะเจาะจงของการวินิจฉัย การพยาบาลท่ีเกิดข้ึน
ร่วมกันของข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่เกิดข้ึนแล้วกับข้อวินิจฉัยการพยาบาลท่ีมีความเส่ียงสูงร่วมกันท่ี
เกี่ยวขอ้ งกับสถานการณ์ ซงึ่ จะบอกใหพ้ ยาบาลไดร้ บั รู้ว่ามีสถานการณ์ร้ายแรงเกดิ ขึ้น
3. การวางแผนการพยาบาล (Nursing care plan) มี 4 ขัน้ ตอนของกิจกรรม ดังน้ี

3.1. จดั ลําดบั ข้อวินจิ ฉัยการพยาบาลตามความสําคญั และความเรง่ ดว่ นของปัญหา
3.2. กําหนดผลลัพธ์ที่คาดหวัง (expected outcomes) หรือเกณฑ์การประเมิน (Evaluation
criteria) เปน็ การกําหนดขอ้ บ่งช้ใี นการวัดพฤติกรรมสขุ ภาพของผู้รบั
3.3. การเลือกกิจกรรมการพยาบาล (selecting nursing intervention/activities) เป็นการ
เลือกกิจกรรมการพยาบาลที่เหมาะสมสอดคล้องกบั ปัญหาสขุ ภาพของผูร้ ับบรกิ าร
3.4. การเขียนแผนการพยาบาล (writing nursing care plan) การเขียนแผนการพยาบาล
เปน็ หนา้ ทคี่ วามรบั ผดิ ชอบของพยาบาลทกุ คนทมี่ ีหน้าท่ีรับผดิ ชอบดูแลผู้รับบรกิ ารทีไ่ ด้รับมอบหมาย
4. การปฏบิ ตั กิ ารพยาบาล (Implementation of nursing care plan)
เป็นขั้นตอนการนําแผนการพยาบาลไปสู่การปฏิบัติ หรือการปฏิบัติการพยาบาล โดยใช้
แผนการพยาบาลทีม่ ีความสมบรู ณแ์ ละถกู ตอ้ ง กอ่ นนําแผนการพยาบาลไปปฏิบัติ พยาบาลควรประเมิน
ภาวะสขุ ภาพของผู้รบั บรกิ ารซ้าํ เพ่อื ตรวจสอบภาวะสุขภาพของผู้รับบริการอีกครั้งว่ามีการเปล่ียนแปลง
หรือไม่ ถ้าไม่มีการเปล่ียนแปลงจะได้มีการปรับกิจกรรมการพยาบาลให้เหมาะสมกับภาวะสุขภาพและ
ปัญหาสุขภาพของผู้รับบริการ ประสิทธิภาพของการปฏิบัติการพยาบาลขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ
และทกั ษะทางการพยาบาล

38

5. การประเมนิ ผล (Evaluation)
การประเมินการพยาบาลเป็นข้ันตอนสุดท้ายของกระบวนการพยาบาล เป็นการประเมินทุก

ขณะของการปฏิบัติการพยาบาล เพ่ือตรวจสอบกิจกรรมการพยาบาลท่ีให้แก่ผู้รับบริการสอดคล้องกับ
เปูาหมายและส่ิงท่ีคาดหวังไว้หรือไม่ การประเมินผลการพยาบาลช่วยทําให้ผู้รับบริการได้รับการดูแลท่ี
สอดคล้องกับปัญหาสุขภาพ และเป็นการตรวจสอบคุณภาพของการพยาบาลท่ีปฏิบัติให้แก่ผู้รับบริการ
ดังน้ันการประเมินผลการพยาบาลเป็นการสร้างมาตรฐานสําหรับผู้ปฏิบัติการพยาบาลและผลการ
ปฏบิ ัตกิ ารพยาบาล

สรุป กระบวนการพยาบาลเป็นการกระทํากิจกรรมการดูแลผู้รับบริการอย่างต่อเนื่อง แต่ละ
ขั้นตอนของกระบวนการพยาบาล เป็นการดําเนินการค้นหาปัญหาและวางแผนแก้ไขให้สอดคล้องกับ
ปัญหาสุขภาพของผู้รับบริการเริม่ ตงั้ แต่ประเมินภาวะสุขภาพ กําหนดปัญหาและข้อวินิจฉัยการพยาบาล
วางแผนกิจกรรมการพยาบาลที่มีเปูาหมายเป็นตัวกําหนด การประเมินและนําผลการประเมินมา
ปรับปรุงแก้ไขนอกจากนี้การใช้กระบวนการพยาบาลทําให้พยาบาลได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้รับบริการ
ครอบครวั และชมุ ชน เพ่อื ให้เกดิ การมสี ่วนรว่ มของผูร้ ับบรกิ ารผูท้ ่ีเกี่ยวข้องและทีมสุขภาพ เป็นการสร้าง
ความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้รับบริการกับพยาบาลและทีมสุขภาพ การใช้กระบวนการพยาบาลในการ
ปฏิบัติการพยาบาลเป็นการวางแผนการทํางานอย่างเป็นระบบมีข้ันตอนของการตอบสนองความ
ต้องการและปัญหาสุขภาพของผู้รับบริการเป็นรายบุคคล เป็นการปฏิบัติการพยาบาลที่มีมาตรฐานท่ีมี
เปูาหมายใหผ้ รู้ ับบรกิ ารมภี าวะสขุ ภาพทด่ี ที ่สี ดุ ตามศกั ยภาพของแตล่ ะบุคคล ปัญหาสุขภาพและปัญหาท่ี
เก่ยี วข้องไดร้ ับการแกไ้ ขโดยพยาบาลและเปน็ การปฏิบตั ติ ามมาตรฐานการพยาบาล

39

แผนการพยาบาลผ้ปู วุ ยโรคปอดอุดกนั้ เรื้อรงั

การพยาบาลผู้ปุวยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง มีเปูาหมายคือ การดูแลผู้ปุวยให้มีคุณภาพชีวิตท่ีดี
แมว้ ่าจะเจ็บปุวยเร้ือรัง ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล 9 ข้อ (ดวงรัตน์ วัฒนกิจไกรเลิศ, 2559) ดังต่อไปน้ี
จะเป็นแนวทางการพยาบาลสาํ หรบั ผู้ปวุ ยโรคปอดอุดกั้นเรือ้ รัง ในแผนกการพยาบาลผปู้ ุวยใน (IPD)

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่ 1 (Nursing Diagnosis) มีโอกาสเกิดภาวะพร่องออกซิเจนเน่ืองจาก

การระบายอากาศไม่มีประสิทธิภาพ หรือ การแลก เปล่ียนก๊าซจากการระบายอากาศลดลง และ/หรือมี

เสมหะอดุ กนั้

ข้อมลู สนบั สนุน

1. หายใจลําบาก หายใจมเี สียงหวดี

2. กระสบั กระสา่ ย สับสน

3. สญั ญาณชพี ผิดปกติ

4. SpO2 < 90 % มีการคัง่ ของคาร์บอนไดออกไซดใ์ นเลือด (hypercapnia)
5. มีเสมหะปริมาณมากไมส่ ามารถขับเสมหะออกเองได้

เปาู หมายการพยาบาล (Nursing Goal) ไมเ่ กิดภาวะพร่องออกซเิ จน

เกณฑ์การประเมนิ

1. ไม่มีภาวะหายใจลาํ บาก ฟังปอดพบเสยี งหวีด (wheeze) หรอื เสียงเสมหะ (crepitation)

ลดลงหรอื หมดไป

2. ลกั ษณะการหายใจปกติ ไม่มอี าการหายใจเหนื่อยหอบ

3. สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ

4. SpO2 > 95 %
แผนการพยาบาล

กิจกรรมทางการพยาบาล เหตุผล

1. ประเมินอัตราการหายใจ รูปแบบการหายใจ เพื่อประเมินอาการพร่อง O2 และการค่ังของ CO2
และเสยี งหายใจโดยสมาํ่ เสมอ รวมท้งั ตดิ ตามผล การใช้กล้ามเน้ืออื่นๆ ช่วยในการหายใจ เสียง

blood gas และรายงานเม่ือมอี าการเปลยี่ นแปลง หายใจจะลดลงในบริเวณทีม่ ีอากาศไหลเข้ามาน้อย

หรือบริเวณเนื้อปอดอักเสบแข็งตัว (consolidation)

เสียงหวีดเกิดจากหลอดลมเล็กหดตัวหรือมีเสมหะ

อดุ ตัน

2. ประเมนิ ระดบั ความรู้สกึ ตัว ภาวะพร่องออกซิเจนทําให้ผู้ปุวยสับสน ระดับ

ความรู้สึกตวั เปล่ียนได้

3. ดูแลให้ได้รับออกซเิ จนตามแผนการรกั ษา เพื่อให้ผปู้ ุวยไดร้ บั ออกซิเจนเพียงพอ

4. จัดท่า High Fowler ในบางช่วงเวลาอาจจัดท่า ในผปู้ วุ ยท่มี ีภาวะพรอ่ งออกซิเจนรนุ แรงในคร้ังแรก

ผู้ปุวยนอนคว่ําตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง ของการเปล่ียนท่า จะพบว่าสามารถช่วยระบาย

(prone position) นานเท่าที่ผปู้ ุวยจะทนได้ เสมหะได้ดีข้ึน ทําให้ออกซิเจนเข้าสู่ปอดได้ดีข้ึน มี

PaO2 เพม่ิ ขนึ้

40

กจิ กรรมทางการพยาบาล เหตุผล

5. กระตนุ้ และสอนทําการบริหารการหายใจ การบริหารการหายใจจะช่วยลดการเกิดภาวะแฟบ

ของหลอดลมเล็ก ลดอาการหายใจลําบาก ลดการ

ออกแรงในการหายใจ

6. ดูดเสมหะตามความจาํ เป็นเมอ่ื ผู้ปุวยไม่สามารถ เพือ่ ให้อากาศไหลเขา้ ปอดได้สะดวก

ไอออกมาเองได้ กระบวนการแลกเปลย่ี นกาซทํางานเป็นปกติ

7. ใหย้ าขยายหลอดลมตามแผนการรกั ษา และ เพื่อใหห้ ลอดลมขยายตัวได้ตามปกติ มีการระบาย

สงั เกตอาการข้างเคยี งของยา อากาศได้ดี

8. ดูแลให้ผปู้ ุวยได้รับการพักผอ่ น เพอื่ ลดการใช้ออกซิเจน ลด work of breathing

9. ดแู ลให้ไดร้ ับยาสงบประสาท (sedative) ยา เนอื่ งจากกลไกการออกฤทธิ์ของยาเหล่านี้ จะกด

กล่อมประสาท (tranquilizers) สังเกตผลข้างเคียง การหายใจ ทําให้การระบายอากาศลดลง

ของยา

ข้อวนิ จิ ฉัยทางการพยาบาลที่ 2 มีโอกาสเกิดการอุดก้ันทางเดินหายใจ เนื่องจากการระบายเสมหะไม่มี
ประสิทธิภาพ ปริมาณเสมหะมาก เหนียว/ผนังหลอดลมหนาตัว/อ่อนล้าและการไอไม่มีประสิทธิภาพ/
หลอดลมหดตวั
ขอ้ มูลสนับสนนุ

1. ฟังปอดได้เสียงเสมหะ / ใช้กล้ามเนื้ออื่น ๆ ช่วยในการหายใจ /เสียงหายใจผิดปกติ เช่น
หายใจมเี สยี งหวดี (wheeze) รอนไค แครกเกิล

2. ไอ (persistent cough) มีเสมหะ ไอขบั เสมหะออกเองไมไ่ ด้
3. SpO2 drop < 90 %, NIP < -20 cmH2O
เปูาหมายการพยาบาล (Nursing Goal) ทางเดินหายใจโลง่ อากาศผา่ นเขา้ ออกปากได้สะดวก
เกณฑ์การประเมนิ
1. อาการไอลดลง ปริมาณเสมหะลดลง
2. ไม่มภี าวะหายใจลาํ บาก ฟังปอดไม่พบเสยี งหายใจผดิ ปกติ เชน่ ไม่มีเสียงเสมหะ เสียงหวีด
รอนไค แครกเกิล
3. สญั ญาณชพี อยู่ในเกณฑ์ปกติ SpO2 > 95 %

แผนการพยาบาล

กิจกรรมการพยาบาล เหตผุ ล

1. ฟังเสยี งหายใจผปู้ วุ ย เพ่อื ประเมินเสียงหายใจที่ เพอื่ ประเมนิ ความรุนแรงของอาการหายใจลาํ บาก

ผดิ ปกติ เชน่ หายใจเร็ว หายใจมเี สยี งหวีด โดยใช้

Visual analogue scale (VAS)

41

กจิ กรรมการพยาบาล เหตผุ ล

2. ดูแลให้ผูป้ ุวยไดร้ บั นาํ้ อุ่นอย่างเพยี งพอ (ถา้ ไมม่ ี น้ําอ่นุ จะทําให้เสมหะอ่อนตวั ระบายออกมาได้งา่ ย

ขอ้ ห้าม เชน่ ภาวะหวั ใจล้มเหลว) ควรดมื่ นา้ํ วนั ละ เครือ่ งดื่มประเภทชา กาแฟ และเคร่อื งดมื่ ท่ีมี

6 – 8 แก้วต่อวนั (แกว้ ละประมาณ 240 มล.) ไม่ คาร์บอเนตปริมาณมาก เพราะอาจรบกวนต่อการ

ควรด่มื เคร่อื งดื่มประเภทชา กาแฟ และเครื่องด่ืม ดูดซมึ ยาบางชนดิ

ท่มี ีคารบ์ อเนตปรมิ าณมาก เช่น โคล่า และ

หลกี เลีย่ งเครื่องดม่ื ที่ประเภทชอ็ กโกแลต

3. ดูแลทางเดนิ หายใจให้โลง่ ทําการเคาะปอด การเคาะปอด (percussion) และการสั่นสะเทอื น

(percussion) และการส่นั สะเทือนปอด ปอด (vibration) จะทาํ ใหเ้ สมหะทีเ่ กาะอยู่ใน

(vibration) โดยใชอ้ ้งุ มือเคาะปอดบรเิ วณที่มีเสยี ง ทางเดนิ หายใจหลดุ ออก และเพ่อื ให้เสมหะไหลลง

เสมหะ ใชผ้ า้ รองทที่ รวงอกก่อนที่จะเคาะ การ มาตามแรงโน้มถว่ ง จะไม่ทําในผปู้ วุ ยที่หายใจ

สัน่ สะเทอื นปอดโดยใช้ฝาุ มือสั่นบริเวณทรวงอกที่มี ลําบาก เขียว หรอื สญั ญาณชพี ไม่คงที่

เสมหะ ในขณะท่ีหายใจออก รว่ มกบั การจดั ท่าเพื่อ

ระบายเสมหะ (postural drainage) เม่ือผปู้ ุวยไม่

สามารถระบายเสมหะไดเ้ อง การจดั ท่าผู้ปุวยโดย

ให้บริเวณที่มเี สมหะอยสู่ ูงกว่าหลอดลมใหญใ่ นแนว

ตรงให้ผูป้ ุวยอยู่แต่ละท่านาน 5 – 10 นาที ข้ึนกบั

สภาพและความทนทานของผู้ปวุ ย พยาบาลจะ

ตอ้ งใชห้ มอนและผ้าเชด็ ตัวรองรบั ขอ้ ต่อตา่ งๆ ดว้ ย

4. สาธติ และสาธิตย้อนกลบั การไออย่างมี การไออยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพชว่ ยให้การขับเสมหะ

ประสทิ ธภิ าพ และใหผ้ ปู้ วุ ยปฏบิ ตั ิตามโดยหายใจ ออกมาได้ดี ลดแรงในการไอ ลดอาการเหนื่อย

เขา้ ลึก ๆ กลน้ั หายใจ โน้มตัวมาขา้ งหน้าแลว้ ไอ

ออกมา

5. สาธติ และสาธติ ยอ้ นกลับการหายใจโดยการใช้ เพ่อื ให้มกี ารระบายอากาศในปอดได้มี

กลา้ มเนื้อหน้าท้องและการเปุาปาก (abdominal ประสิทธภิ าพ ลดการค่งั ค้างคาร์บอนไดออกไซด์ใน

and pursed-lip breathing exercises) ปอด

6. ฟงั เสยี งหายใจในปอดก่อนและหลังทํา เพ่อื ประเมินประสิทธิภาพของการไอและการทํา

กายภาพบําบัดปอด กายภาพบาํ บดั ปอด

ข้อวินจิ ฉัยทางการพยาบาลท่ี 3 ความทนทานในการทํากิจกรรมลดลงเนื่องจากหายใจลาํ บาก
ข้อมูลสนับสนุน

1. ทาํ กจิ กรรมต่าง ๆ ได้ลดลง
2. มีอาการหายใจลําบากขณะทาํ กิจกรรม
เปูาหมายการพยาบาล (Nursing Goal) ความทนทานในการทํากิจกรรมเพ่ิมขึ้น ประเมินจาก
ความสามารถในการทาํ กจิ กรรมแต่ละกิจกรรมเพ่ิมข้ึน

42

เกณฑ์การประเมิน

1. ทํากจิ กรรมต่าง ๆ ได้ไม่มีอาการหายใจลําบากขณะทํากจิ กรรม

2. ขณะทํากจิ กรรม SpO2 ≥ 92%

3. ระยะทางท่ีเดินไดใ้ น 6 นาทเี พ่ิมข้ึน

แผนการพยาบาล

กจิ กรรมการพยาบาล เหตุผล

1. แนะนําให้ผปู้ ุวยหลกี เลี่ยงภาวะท่ีทาํ ใหใ้ ช้ ปจั จัยตา่ ง ๆ เหล่านี้จะเพ่ิมความตา้ นทานของ

ออกซเิ จนเพิ่มข้นึ เชน่ การสูบบหุ ร่ี อยู่ในที่ร้อน หลอดเลือดส่วนปลาย ทาํ ให้หัวใจทํางานหนักขึ้น

หรือเย็นเกินไป นาํ้ หนักเพ่ิมข้ึนมาก ๆ ภาวะเครียด ตอ้ งการออกซเิ จนเพิ่มข้นึ

2. แนะนาํ ถงึ วิธีสงวนพลงั งาน เช่น การวางแผน การใช้เทคนิคสงวนพลงั งาน จะทาํ ให้ผปู้ วุ ยทาํ งาน

การมกี จิ กรรม และการพกั ผ่อนตลอดวัน จดั ใหม้ ี ไดม้ ากขนึ้ โดยใชพ้ ลงั งานจาํ กัด

กิจกรรมหนักสลับเบา หรือให้มกี ารพักระหว่างการ

ทาํ กจิ กรรม

3. ช่วยผู้ปวุ ยจัดตารางการ เพ่ิมการทํากิจกรรม กิจกรรมการออกกาํ ลังกายทาํ ให้ปอดขยายตวั และ

และการออกกาํ ลังกายอยา่ งค่อยเป็นค่อยไป หัวใจทํางานดีขึ้น

4. บริหารการหายใจโดยใช้กลา้ มเนื้อหน้าท้องและ หายใจเขา้ ใหท้ ้องพองออกจะช่วยลดการทํางานของ

กระบังลม (abdominal and diaphragmatic accessory muscle หายใจออกค่อย ๆ ผ่อนลม

breathing) และเปุาปาก (pursed lips) หายใจออกทางปากในขณะทห่ี ่อปากคล้ายเปุาเทียน

จะทาํ ให้หายใจช้าลง ทางเดินหายใจไมต่ ีบขณะ

หายใจออก โดยคงความดันบวกในการหายใจ ทาํ

อย่างน้อยวันละ 4 ครงั้ คร้ังละ 15 นาที

5. ดแู ลให้ได้ยาขยายหลอดลมกอ่ นการทํากิจกรรม การทําหน้าท่ีของปอดจะสงู สุดเม่ือทางเดนิ หายใจ

ตา่ งๆ จัดให้มีกิจกรรมออกกําลังกายหลังจากทํา โล่ง การทํากจิ กรรมจะชว่ ยเพิ่มสมรรถนะปอด

กายภาพบําบดั ปอดอย่างเหมาะสมค่อยเปน็ ค่อยไป

6. ให้ออกซิเจน เมื่อตอ้ งการ หรอื เมือ่ มอี าการ การใหอ้ อกซเิ จนทดแทนจะช่วยให้การทํากจิ กรรม

ออ่ นเพลยี ขณะทํากิจกรรม ได้ดีข้ึน ลดโอกาสเกดิ การพร่องออกซิเจน จากการ

ออกกาํ ลงั กาย

7. ประเมินอาการแสดงของความผดิ ปกติหลังทํา การเปล่ียนแปลงของระบบหายใจ หัวใจ และ

กิจกรรมหรือออกกาํ ลังกาย เชน่ หลังจากออก ระบบไหลเวยี นอยา่ งมนี ัยสําคัญ เมื่อออกกาํ ลังกาย

กําลงั กาย 3 นาที อตั ราการหายใจ ชพี จรยงั ไมล่ ง แสดงถงึ มีความทนทานในการออกกาํ ลงั กายน้อย

มาใกล้เคียงกบั ขณะพัก มกี ารเปลยี่ นแปลงระดับ

ความร้สู กึ ตวั

43

ข้อวนิ จิ ฉัยทางการพยาบาลที่ 4 มคี วามวติ กกังวล/ภาวะซึมเศร้า เนื่องจากอาการหายใจลําบาก

ข้อมูลสนับสนุน

1. มีอารมณ์ซึมเศร้าประเมนิ จาก: ความเพลิดเพลินใจในสง่ิ ต่าง ๆ ลดลง รู้สึกสะเทือนใจ ร้องไห้

ง่าย รู้สึกเบื่อหน่าย หดหู่ จิตใจห่อเหี่ยว ไม่มีความสุขสบายใจหรือสดช่ืนเหมือนเดิม หงุดหงิดง่าย นอน

ไม่หลบั เบ่อื อาหาร เช่อื งชา้ เฉื่อยชา พูดน้อย คดิ นาน อยเู่ ฉย ๆ ได้นาน ๆ ความคิดเชื่องช้าลง รู้สึกชีวิต

ตนเองไม่มคี ุณคา่ มีความคดิ อยากตาย

2. มคี วามวิตกกงั วลประเมินจาก: ความรสู้ กึ ไม่สขุ สบาย หวาดหว่นั วติ ก ตงึ เครียด

3. เคยมีอาการหายใจลําบาก/เคยเขา้ รับการรักษาในหอ้ งฉกุ เฉินหรอื หอผปู้ ุวยดว้ ยอาการ

หายใจลาํ บาก

เปูาหมายการพยาบาล (Nursing Goal)

1. มคี วามวิตกกังวลลดลง/อารมณ์ซมึ เศรา้ ลดลง

2. อาการหายใจลําบากลดลง/ความถีใ่ นการเขา้ รบั การรักษาในหอ้ งฉุกเฉินลดลง

เกณฑก์ ารประเมนิ

1. พูดคยุ ย้ิมแย้ม ใหค้ วามรว่ มมือในการพยาบาล และการรักษาของแพทย์

2. นอนหลบั พกั ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งใช้ยานอนหลับ

3. ไม่มีท่าทางอิดโรย อาการหายใจลาํ บาก หรือ เหน่ือย

แผนการพยาบาล

กจิ กรรมการพยาบาล เหตุผล

1. อยู่กับผู้ปุวยตลอดเวลาท่ีผู้ปุวยมีอาการหายใจ เพื่อให้ผปู้ วุ ยม่ันใจวา่ พยาบาลจะช่วยเหลอื ผู้ปุวยได้

ลําบาก และช่วยเหลือผู้ปุวยด้วยท่าทีท่ีสงบ และมี ทันท่วงที ท่าทีท่ีสงบไม่ลุกล้ีลุกลนของพยาบาลจะ

ความมัน่ ใจในการดูแลผูป้ ุวย ทาํ ให้มีความเช่อื ม่ันในความสามารถของพยาบาล

2. จดั บรรยากาศใหเ้ งียบสงบ เปน็ การลดสิง่ เร้าจากภายนอก ทาํ ใหผ้ ปู้ ุวยสงบลง

3. หากมีอาการหายใจลําบากเฉียบพลัน จํากัด เปน็ การลดส่งิ เรา้ จากภายนอก ทําใหผ้ ู้ปุวยสงบลง

จํานวนคนที่อยู่กับผู้ปุวย ย้ายสิ่งของท่ีไม่จําเป็น

ออกจากเตียงผปู้ วุ ย

4. สนับสนุนให้ผู้ปุวยใช้เทคนิคผ่อนคลาย และ การควบคุมการหายใจได้เอง จะทําให้ผู้ปุวยมี

การหายใจท่ีมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทําให้ผู้ปุวยรู้สึก ความวิตกกังวลและซึมเศร้าลดลง การใช้เทคนิค

วา่ ควบคุมตนเองได้ วิธีที่งา่ ยทสี่ ดุ คอื การฝึกหายใจ ผอ่ นคลายทาํ ไดห้ ลายวธิ ี เช่น การน่ังสมาธิ การฝึก

เข้าออกช้า ๆ โดยเม่ือเริ่มทํา หายใจเข้าครั้งที่ 1 ผ่อนคลายกล้ามเนื้อแบบโพรเกรสสิพ โยคะ

นับ 1 หายใจเข้าคร้ังท่ี 2 นับ 2 ไปจนถึงคร้ังที่ 5 ไบโอฟดี แบค (biofeedback) ดนตรบี าํ บดั

ในการหายใจเข้าแต่ละคร้ังเมือ่ ครบ 5 เริ่มต้นนับ 1

ใหม่ สามารถทําร่วมกับการใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง

และกะบังลม

5. ดูแลการให้ยา สงบประสาท และยากล่อม ยาสงบประสาทมีฤทธ์ขิ ้างเคียงกดการหายใจ

ประสาทตามแผนการรักษาด้วยความระมัดระวัง

ควรใช้วิธลี ดความวติ กกังวลโดยไม่ใชย้ า

44

กิจกรรมการพยาบาล เหตผุ ล

6. ดูแลให้ได้รับยาขยายหลอดลมตามแผนการ ช่วยให้หลอดลมขยายตัวตามปกติ การระบาย

รกั ษา อากาศในปอดมปี ระสิทธภิ าพ

7. ใหอ้ อกซิเจนตามแผนการรักษา เ พื่ อ ใ ห้ ร่ า ง ก า ย มี อ อ ก ซิ เ จ น พ อ เ พี ย ง กั บ ค ว า ม

ต้องการ

8. ใหว้ ัคซีนปูองกนั ไขห้ วดั ใหญ่ ปลี ะ 1 คร้ัง เพ่ือลดการเกิดไข้หวัดใหญ่ ซ่ึงเป็นสาเหตุสําคัญ

ของการเกิดอาการหายใจลําบาก ซ่ึงทําให้ต้องเข้า

รบั การรักษาในห้องฉกุ เฉิน

9. ประเมินความรุนแรงละความก้าวหน้าของ เพ่อื ประเมนิ ประสทิ ธิภาพของการรกั ษาพยาบาล

อาการหายใจลาํ บาก

ขอ้ วินจิ ฉยั ทางการพยาบาลท่ี 5 มีโอกาสเกิดภาวะทุพโภชนาการเน่ืองจากรับประทานได้น้อย /ใช้พลังงาน

มากในการหายใจ

ข้อมูลสนับสนนุ
1. ค่า Total Lymphocyte Count (TLC) < 1500 เซลล/์ มม3

2. Serum Albumin < 3.5 กรมั /ดล.

3. น้าํ หนกั ลด/ BMI < 18.5/มวลกล้ามเนอื้ ลดลง/แรงตงึ ตัวกลา้ มเน้อื ลดลง

4. มีเสมหะ/ไอ/เหน่ือย/เบอ่ื อาหาร

เปาู หมายการพยาบาล (Nursing Goal) ไมเ่ กิดภาวะทุพโภชนาการ

เกณฑก์ ารประเมนิ
1. คา่ Total Lymphocyte Count (TLC) >1500 เซลล/์ มม3

2. Serum Albumin > 3.5 กรัม/ดล.

3. มีความอยากอาหารเพิ่มขนึ้ รบั ประทานอาหารได้มากขน้ึ

4. BMI อยูร่ ะหวา่ ง 18.5 – 24.9

แผนการพยาบาล

กจิ กรรมการพยาบาล เหตผุ ล

1.ประเมินภาวะโภชนาการและพลงั งานที่ควร เพอื่ ให้ผู้ปุวยไดร้ บั พลังงานทเ่ี พียงพอต่อความ

ได้รับในแตล่ ะวนั ตอ้ งการของร่างกาย

2.กําหนดประเภท และปริมาณอาหารให้เหมาะสม เพือ่ ให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน ได้รับพลังงาน

ตามภาวะโภชนาการ ควรลดปรมิ าณ เพียงพอ สง่ เสรมิ ให้มีการฟ้นื ฟูสภาพรา่ งกายที่ดี

คารโ์ บไฮเดรตลง การเผ่าผลาญคารโ์ บไฮเดรตทําให้มกี ารผลติ

คารบ์ อนไดอ้ อกไซด์มากกวา่ สารอาหารชนดิ อน่ื

3.ควบคุมนํ้าหนักให้เหมาะสมกับความสูงตาม ในผ้ปู วุ ยปอดอดุ กัน้ เรอ้ื รังทมี่ ีนาํ้ หนกั เกิน ปอดและ

เกณฑ์มาตรฐาน (Ideal body weight) โดยออก หวั ใจตอ้ งทาํ งานหนกั ทาํ ให้การหายใจยากลาํ บาก

กาํ ลงั กายสมา่ํ เสมอ จํากดั จํานวนแคลอรีให้อยใู่ น ข้นึ นา้ํ หนักทม่ี ากข้ึนต้องการออกซิเจนมากข้ึน

45

กจิ กรรมการพยาบาล เหตุผล

ระดบั ตํา่ ทีส่ ดุ เพยี งพอกบั ความต้องการของ ผปู้ วุ ยที่มนี า้ํ หนกั น้อยการได้รับแคลอรเี พยี งพอ

ร่างกาย ในผทู้ ี่น้ําหนักน้อยจะรสู้ ึกเหนอ่ื ยและอ่อน สามารถปอู งกันการอ่อนแรงของกลา้ มเนือ้ กะบัง

ล้า กจ็ ะตอ้ งให้ผ้ปู ุวยได้อาหารท่ีแคลอรเี พยี งพอ ลมและกล้ามเนื้ออ่นื ๆ ที่ชว่ ยในการหายใจ

4.หลีกเล่ียงอาหารแปรรูป (cured meat) ท่มี ไี น อาหารแปรรูปจะทาํ ให้เกดิ อนั ตรายตอ่ collagen

ไตรท์ (nitrite) เป็นสว่ นประกอบ เชน่ เบคอน และ elastin ของเนื้อปอด คลา้ ยการเกดิ

กนุ เชยี ง แฮม กระบวนการของควนั บุหร่ีที่ทําใหเ้ กิดถุงลมโปงุ

พอง มกี ารประมาณวา่ การรบั ประทานอาหารแปร

รปู ทมี่ ีไนไตรท์เพ่มิ ข้นึ 1 ครัง้ ใน 1 เดอื น จะให้คา่

FEV1 ลดลง 3.85 มล. และคา่ FEV1/FVC ลดลง
ร้อยละ 0.07 การรับประทานเพ่มิ ข้นึ จึงมโี อกาส

เสี่ยงต่อการเกิดปอดอุดก้ันเรื้อรัง

5.ชั่งนํ้าหนักผูป้ ุวย 1 – 2 ครั้ง ตอ่ สัปดาห์ ถา้ ไดร้ ับ ถ้านาํ้ หนักเพิ่มจากภาวะน้าํ เกิน ทําให้มภี าวะปอด

ขบั ปัสสาวะ หรือยาเสตียรอยด์ จะต้องช่งั น้าํ หนัก ช้ืน (pulmonary congestion) เป็นอปุ สรรคต์ ่อ

ทกุ วนั ถา้ นาํ้ หนักเพิม่ ข้นึ หรอื ลดลงมากกวา่ 0.9 การแลกเปล่ียนกาซในปอด การระบายอากาศไม่มี

กิโลกรัมใน 1 วนั หรอื 2.25 กิโลกรมั ใน 1 สปั ดาห์ ประสทิ ธภิ าพ

โดยไม่มีสาเหตุอื่น ตอ้ งรายงานแพทย์ เพอ่ื ปรบั

ชนิดของอาหารและปริมาณน้ําท่รี บั เข้าไป

6.รบั ประทานอาหารไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ ไฟเบอร์จะชว่ ยเคลือบอาหารในทางเดนิ อาหาร

ข้าวกลอ้ ง ควรรับประทานอาหารประเภทไฟเบอร์ ชว่ ยให้การควบคุมระดบั นํา้ ตาลในเลอื ดดขี น้ึ และ

20 – 35 กรมั ต่อวนั ในการแนะนาํ ผู้ปวุ ยควรบอก อาจชว่ ยลดระดบั คอเลสเตอรอลในเลอื ด

ชนิดของอาหาร หนว่ ยทีว่ ัดได้สะดวก เชน่ ทัพพีให้

ผปู้ ุวยสามารถเทยี บเปน็ กรัมได้สะดวก และจดั

ตวั อย่างเมนูอาหารในแตล่ ะมื้อ

7.ประเมนิ การเคลือ่ นไหวลําไส้ เนือ่ งจากการจาํ กัดนา้ํ ในผูป้ ุวยบางราย การ

รบั ประทานอาหารไดน้ อ้ ย การมีกจิ กรรมไดล้ ดลง

และภาวะพร่องออกซิเจนในเลอื ด (hypoxemia)

ทําให้ลาํ ไสเ้ คลื่อนไหวได้ลดลง ส่งผลใหท้ ้องผกู

8.ส่งเสริมใหม้ ีกิจกรรมหรอื ออกกําลังกายโดย เพื่อให้ลาํ ไสเ้ คลื่อนไหวดี

สม่าํ เสมอ

9. ควบคุมอาหารประเภทเกลือ แนะนาํ ให้นาํ การรบั ประทานเกลือในปริมาณสงู ในปรมิ าณสูงทํา

เคร่ืองปรงุ ทมี่ ีสว่ นประกอบของโซเดียมออกจาก ใหร้ า่ งกายดดู น้ํากลับในปรมิ าณสงู เกิดการคงั่ ของ

โต๊ะอาหาร เพ่ือหลกี เลีย่ งการเติมเกลอื ลงไปใน นํ้ามากข้นึ ทําให้การหายใจยากข้นึ

อาหารทป่ี รงุ สาํ เสร็จแล้ว สอนผปู้ วุ ยและผดู้ ูแลใน

การอ่านฉลากอาหารเพื่อดปู ริมาณโซเดียมใน

อาหาร


Click to View FlipBook Version