The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารประกอบของหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านวังตาอินทร์ พ.ศ.2564

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by a.chalomthip, 2021-08-25 08:55:22

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับประถมศึกษา พ.ศ.2564 โรงเรียนบ้านวังตาอินทร์

เอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารประกอบของหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านวังตาอินทร์ พ.ศ.2564

หน่วยที่ ชื่อหน่วยการเรียนรู้ มาตรฐาน/ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรู้ เวลา สัดสว่ น
(ชั่วโมง) คะแนน

๖ คำสนั ธาน...สะพาน ท ๔.๑ ป. ๖/๑ คำสันธานใช้เชื่อมคำ ประโยค ๑๐ ๕

เชือ่ มคำและประโยค หรือข้อความให้มีใจความ ๕

ต่อเนื่องกัน ประโยคที่มี

คำสันธานจะสามารถแยกเป็น

ประโยคย่อยได้ คำสันธานทำ

ให้ประโยคหรือข้อความ

สละสลวยขึ้น

๔ คำอทุ าน... ท ๔.๑ ป. ๖/๑ คำอุทานใช้แทนอารมณ์ ๑๐

สอื่ สารอารมณ์ ความรู้สกึ ต่าง ๆ ของผูพ้ ดู ทำ

ให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่พูดชัดเจน

ย่ิงขึน้

๖ ระดบั ภาษา ราชาศัพท์ ท ๔.๑ ป. ๖/๒ การเลือกใช้ภาษาในการ ๑๐

ภาษาถิ่น...ใชใ้ ห้เคยชนิ สื่อสารกับบุคคลต่าง ๆ ได้

และเหมาะสม อย่างเหมาะสมเป็นการ

อนุรักษ์วัฒนธรรมทางภาษา

ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหน่ึง

ของชาติ

๙ คำในภาษาไทย... ท ๔.๑ ป. ๖/๓ การรู้ลักษณะของคำและ ๑๐

ทน่ี ำมาใช้จาก ความหมายของคำ

ภาษาตา่ งประเทศ ภาษาต่างประเทศที่ใช้ใน

ภาษาทำให้อ่าน เขียน และ

เข้าใจข้อความต่าง ๆ ได้

ถกู ต้องชัดเจนยงิ่ ข้นึ

๑๐ สังเกตอย่างไร... ท ๔.๑ ป. ๖/๔ ป ร ะ โ ย ค ใ ช ้ ส ื ่ อ ส า ร ใ น ๑๐

ประโยคชนิดใด ชวี ิตประจำวนั การใช้ประโยค

หรือกลุ่มคำ ได้ถูกต้องจะทำให้การสื่อสาร

มีประสิทธิภาพ

๑๑ กลอนสุภาพ...ซาบซ้ึง ท ๔.๑ ป. ๖/๕ การแต่งบทร้อยกรองต้อง ๑๐ ๕
ใจ คำนึงถึงลักษณะและ
ข้อกำหนดของบทร้อยกรอง
แต่ละประเภท รู้จักเลือกสรร
ถ้อยคำที่มีความหมายและ
เสยี งคล้องจองเหมาะสมมาใช้
จึงจะทำให้บทร้อยกรองนั้น
ไพเราะ สละสลวย

94

หนว่ ยท่ี ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้ เวลา สัดสว่ น
(ชว่ั โมง) คะแนน

๑๒ สำนวนไทย...สอนใจให้ ท ๔.๑ ป. ๖/๖ คำพังเพยและสุภาษิตเป็น ๑๐ ๕

คดิ สำนวนไทยที่มีความหมายใน ๕

เชิงเปรียบเทียบและให้คติ

สอนใจ

๑๓ อา่ นคล่อง...ตอ้ งรวู้ ธิ ี ท ๑.๑ ป. ๖/๑, ๑. การอ่านออกเสียงบทร้อย ๑๐

ป. ๖/๒, แก้วต้องออกเสียงให้ถูกต้อง

ป. ๖/๓, ชัดเจนตามอกั ขรวธิ ี เวน้ วรรค

ป. ๖/๔, ตอนเหมาะสม ใช้น้ำเสียงน่า

ป. ๖/๕, ฟัง มีเสียงหนักเสียงเบา การ

ป. ๖/๖, อ่านนั้นจึงจะมีประสิทธิภาพ

ป. ๖/๗, เกิดความน่าสนใจ ผู้ฟัง

ป. ๖/๘, สามารถจับใจความได้ง่าย

ป. ๖/๙ และถกู ตอ้ ง

๒. การอ่านออกเสียงบทร้อย-

กรองได้ถูกต้องตามลักษณะ

คำประพนั ธ์และอักขรวธิ ี รู้จัก

เอื้อนเสียง แสดงอารมณ์ตาม

เนื้อหาความ จะทำให้บท

ร้อย-กรองนั้นเกิดความ

ไพเราะน่าฟังยิ่งขนึ้

๓. การฝึกฝนการอ่านจับ

ใจความตามหลักเกณฑ์อย่าง

สม่ำเสมอจะทำให้เข้าใจ

ส า ร ะ ส ำ ค ั ญ ข อ ง เ ร ื ่ อ ง ไ ด้

ถ ู ก ต ้ อ ง แ ล ะ อ ่ า น เ ร ื ่ อ ง ไ ด้

รวดเรว็ ย่ิงข้นึ

๔. การอ่านงานเขียนเชิง

อธิบาย คำสั่ง ขอ้ แนะนำ และ

ปฏิบัติตามอย่างถูกต้องจะทำ

ให้ได้รับประโยชน์ในการ

นำไปใช้อย่างเตม็ ท่ี

๕. การอ่านข้อมูลจากแผนผัง

แผนที่ แผนภูมิ และกราฟทำ

ให้เข้าใจความหมายรวดเร็ว

ชัดเจนยิ่งขึ้นและนำไปใช้

ประโยชนไ์ ดง้ ่าย

๖. การอ่านหนังสือไม่ว่าจะ

เป็นหนังสือประเภทใด ล้วน

95

หน่วยท่ี ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ มาตรฐาน/ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้ เวลา สัดสว่ น
(ช่วั โมง) คะแนน
๑๔ เขียนชำนาญ...
งานสร้างสรรค์ แต่มีความสำคัญในการสร้าง ๕

พฤติกรรมแห่งการเรียนรู้ได้

ตลอดชีวติ

๗. การมีมารยาทในการอ่าน

แ ส ด ง ถ ึ ง อ ุ ป น ิ ส ั ย ท ี ่ ด ี ซ่ึ ง

น่าชนื่ ชม

ท ๒.๑ ป. ๖/๑, ๑. การคัดลายมือเป็นทักษะ ๑๕

ป. ๖/๒, ที่ต้องฝึกฝนอยู่เสมอ เพื่อ

ป. ๖/๓, พัฒนาลายมือและเขียน

ป. ๖/๔, หนังสือให้ถูกต้อง ลายมือที่

ป. ๖/๕, อ ่ า น ง ่ า ย เ ป ็ น ร ะ เ บ ี ย บ

ป. ๖/๖, เรียบร้อย สะอาด นอกจาก

ป. ๖/๗, ทำให้ผู้อ่านสบายตา เกิด

ป. ๖/๘, ความรู้สึกอยากอ่านข้อความ

ป. ๖/๙ นั้นแล้วยังแสดงให้เห็นว่า

ผู้เขียนมีความตั้งใจ และมี

มารยาทท่ีดีในการเขยี น

๒. การเขียนสื่อสารต้องใช้

ถ้อยคำ สำนวนภาษา รวมทั้ง

รูปแบบให้ถูกต้องเหมาะสม

เพื่อสื่อความหมายได้ชัดเจน

ตรงตามวตั ถุประสงค์

๓. การเขียนแผนภาพโครง

เรื่องและแผนภาพความคิด

เพื่อใช้พัฒนางานเขียน จะ

ช่วยให้การนำเสนอข้อมูลมี

ระบบ งานเขียนมีประเด็น

ชัดเจนและได้ความครบถ้วน

สมบรู ณ์

๔. การเขียนเรียงความมี

รูปแบบเฉพาะคือมีคำนำ

เนื้อเรื่อง และสรุป เป็นการ

เขียนเพื่อถ่ายทอดความรู้

ความคิด ความรู้สึก และ

ประสบการณไ์ ปยังผอู้ า่ น

๕. การเขียนย่อความเป็น

การนำใจความสำคัญของ

เนื้อเรื่องแต่ละย่อหน้ามา

96

หน่วยท่ี ช่อื หน่วยการเรียนรู้ มาตรฐาน/ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้ เวลา สดั สว่ น
(ชัว่ โมง) คะแนน

เรียบเรียงใหม่ให้ต่อเนื่องกัน ๕

ซึ่งจะช่วยให้การสื่อสารเกิด

ความเข้าใจได้ง่ายย่งิ ขึน้

๖. การเขียนจดหมายสว่ นตวั

เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกับบิดา

มารดาญาติพี่น้อง หรือเพื่อน

ควรเลือกใช้ถ้อยคำ สำนวน

ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับ

สถานการณ์ จะทำให้การ

สื่อสารนั้นประสบผลสำเร็จ

ตรงตามวตั ถุประสงค์

๗. การกรอกแบบรายการได้

ครบถ้วน ถูกต้องด้วยลายมือ

ที่อ่านง่าย สะอาด เรียบร้อย

จะทำให้การติดต่อสื่อสารกับ

หน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ

ประสบความสำเร็จ

๘. การเขียนเรื่องตาม

จินตนาการ ต้องมีความรู้

เ ก ี ่ ย ว ก ั บ เ ร ื ่ อ ง น ั ้ น อ ย ่ า ง ดี

จากนั้นจึงวางโครงเรื่องท่ี

สนุกและน่าสนใจ แล้วเรียบ

เรียงเรอ่ื งโดยใช้สำนวนภาษา

ทีเ่ หมาะสม เพ่ือให้ผู้อ่านเห็น

ภาพและเกิดความรู้สึกคล้อย

ตามเนอ้ื เรือ่ งทอ่ี า่ น

๙. การมีมารยาทในการเขียน

จะช่วยให้การถ่ายทอด

ความรู้และความคิดของ

ผ ู ้ เ ข ี ย น ไ ป ส ู ่ ผ ู ้ อ ่ า น มี

ประสิทธิภาพและประสบ

ผลสำเร็จ

๑๕ ฟัง ดู รูส้ นทนา...ภาษา ท ๓.๑ ป. ๖/๑, ๑.การพูดแสดงความรู้ ความ ๑๕

สื่อสาร ป. ๖/๒, เข้าใจจุดประสงค์ของเรื่องที่

ป. ๖/๓, ฟังและดู ต้องฟังและดูเรื่อง

ป. ๖/๔, นั้นให้ตลอด จึงจะสามารถ

ป. ๖/๕, พูดได้ถูกต้อง และนำความรู้

ป. ๖/๖

97

หน่วยที่ ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้ เวลา สดั สว่ น
(ชั่วโมง) คะแนน

หรือข้อคิดไปใช้ให้เ ป็น 70
30
ประโยชนไ์ ด้ 100

๒. การตั้งคำถามและตอบ

คำถามเชิงเหตุผลจากเรื่องที่

ฟังและดู ทำให้สามารถ

วิเคราะห์ความนา่ เช่ือถอื เพื่อ

นำความรู้และข้อคิดที่ได้จาก

เ ร ื ่ อ ง น ั ้ น ไ ป ป ฏ ิ บ ั ต ิ ใ ห ้ เ กิ ด

ประโยชน์

๓. การวิเคราะห์ความ

น่าเช่ือถอื จากสื่อโฆษณา ต้อง

ใช้ข้อมูลและเหตุผลประกอบ

เพื่อจะได้เลือกซื้อสินค้าท่ีมี

คุณภาพหรือใช้บริการตามที่

ต้องการอยา่ งคมุ้ คา่

๔. การพูดรายงานที่ดีทำให้

การนำเสนอข้อมูลมีความ

น่าสนใจ ผู้ฟังได้รับความรู้

และประโยชน์จากการฟัง

๕. การพูดโน้มน้าวเป็นการ

พูดจูงใจหรือเชิญชวนให้ผู้ฟัง

เกิดความรู้สึกคล้อยตามหรือ

เกิดกำลังใจในการทำสิ่งใดสิ่ง

ห น ึ ่ ง ท ี ่ เ ก ิ ด ป ร ะ โ ย ช น ์ แ ก่

สว่ นรวม

๖. การมีมารยาทในการฟัง

การดู และการพูดจะทำให้รับ

สารและส่งสารได้เหมาะสม

กับกาลเทศะ เปน็ ทช่ี นื่ ชมของ

ผ้ทู ่ีพบเห็น

คะแนนระหว่างปี

คะแนนสอบปลายปี

รวม 160

98

คำอธบิ ายรายวชิ าเพิม่ เติม

ท 1๖๒01 เสรมิ ทักษะภาษาไทย ๖ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ เวลา ๔0 ช่วั โมง/ปี

ศึกษาเรียนรู้การอ่านออกเสียงและอธิบายความหมายของบทร้อยแก้วและบทร้อยกรอง การอ่านบทร้อย-
กรองเปน็ ทำนองเสนาะ การจบั ใจความจากส่ือตา่ ง ๆ การแยกข้อเทจ็ จริงและขอ้ คดิ เหน็ คาดคะเนเหตุการณ์ การสรุป
ความรแู้ ละขอ้ คิดจากเร่อื งท่ีอ่าน การอ่านหนงั สือตามความสนใจ หนงั สือที่ครูและนักเรียนกำหนดรว่ มกนั

ศึกษาเรียนรู้การจำแนกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นจากเรื่องที่ฟังและดู การจับใจความและพูดแสดงความรู้
ความคิดในเรื่องที่ฟังและดูจากสื่อต่าง ๆ การรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ศึกษาค้นคว้าจากการฟัง การดูและการ
สนทนา

โดยใช้กระบวนการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูดอย่างมีวิจารณญาณ และสร้างสรรค์ มีความรู้
ความเข้าใจ เกี่ยวกับการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด มีมารยาทในการอ่าน การเขียน การฟัง การดูและ
การพดู มีนิสยั รกั การอา่ นเหมาะสมกบั ระดับชน้ั

ผลการเรียนรู้
๑. ผู้เรยี นสามารถอา่ นออกเสียงและอธบิ ายความหมายของบทรอ้ ยแกว้ และบทร้อยกรองได้
๒. ผู้เรียนสามารถอ่านจบั ใจความจากส่อื ต่าง ๆ แยกขอ้ เท็จจริงและข้อคิดเห็นได้
๓. ผ้เู รยี นสามารถเขา้ ใจความหมายของคำและข้อความทอ่ี ่าน
๔. ผู้เรยี นสามารถฟัง ดู และพูดการจบั ใจความสำคัญจากสงิ่ ท่ฟี งั และดูได้

รวมท้ังหมด ๔ ผลการเรยี นรู้

99

โครงสร้างรายวชิ าเพ่มิ เติม

ท 1๖๒01 เสริมทักษะภาษาไทย ๖ กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย
ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ เวลา ๔0 ช่ัวโมง/ปี

หน่วย ช่อื หน่วยการเรียนรู้ มาตรฐาน/ สาระการเรยี นรู้ เวลา สดั สว่ น
ที่ ตัวช้ีวัด (ชัว่ โมง) คะแนน

๑ บทละครเร่ือง ท ๑.๑ ป. ๖/๑, รามเกียรติ์ เป็นวรรณคดีไทยที่มี ๖ ๑๐

รามเกยี รติ์ ตอน ป. ๖/๒, เคา้ โครงเรื่องมาจากรามายณะของ ๑๐

ศึกไมยราพ ป. ๖/๕, อินเดีย เนื้อเรื่องเป็นการทำ ๑๐

ป. ๖/๘ สงครามอันยืดเยื้อระหว่างมนุษย์ ๑๐

ท ๕.๑ ป. ๖/๑, ลิง และยักษ์ มีความสนุกสนาน ๑๐

ป. ๖/๓, ตื่นเต้นเร้าใจ โดยมีแก่นสำคัญของ

ป. ๖/๔ เร่ือง คือธรรมะย่อมชนะอธรรม

๒ นิทานทองอิน ตอน ท ๑.๑ ป. ๖/๑, นิทานทองอิน ตอน นากพระโขนง ๖

นากพระโขนงท่ีสอง ป. ๖/๒, ที่สองสะท้อนให้เห็น การเกิดข่าว

ป. ๖/๓, ลือขึ้นในสังคม แม้กระทั่งได้เห็นส่ิง

ป. ๖/๕, นั้นด้วยตาก็อาจไม่ใช่ความจริง ย่ิง

ป. ๖/๘ ผู้รับข่าวสารต้องมีวิจารณญาณ

ท ๕.๑ ป. ๖/๑, ไตร่ตรองเพื่อไม่ให้หลงผิด หรือตก

ป. ๖/๒, เปน็ เหยือ่ ของผไู้ ม่หวงั ดี

ป. ๖/๓

๓ บทเสภาเรือ่ ง ท ๑.๑ ป. ๖/๑, บทเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน เป็น ๖

ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน ป. ๖/๒, วรรณคดีที่สะท้อนความเป็นไทย

กำเนดิ พลายงาม ป. ๖/๕, อย่างเด่นชัด ทั้งสภาพสังคม วิถี

ป. ๖/๘ ชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อ และยัง

ท ๕.๑ ป. ๖/๑, สะท้อนความจริงของชวี ิตท่ีต้องพบ

ป. ๖/๒, กับความทุกข์ ความเสียใจ ความ

ป. ๖/๓, พลัดพราก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น

ป. ๖/๔ คุณคา่ ของวรรณคดที ่ผี อู้ ่านจะได้รบั

๔ สภุ าษติ สอนหญงิ ท ๑.๑ ป. ๖/๑, สุภาษิตสอนหญิง เป็นวรรณคดีคำ ๖

ป. ๖/๒, สอนแก่หญิงไทย ให้คติเตือนใจ

ป. ๖/๕, แนวทางในการประพฤติปฏิบัติตน

ป. ๖/๘ ทั้งทางกาย วาจา ใจที่ดีงาม

ท ๕.๑ ป. ๖/๑, ส อ ด ค ล ้ อ ง ก ั บ ค ่ า น ิ ย ม แ ล ะ

ป. ๖/๓, ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ซ่ึง

ป. ๖/๔ ยงั คงทนั สมัยและใช้ได้ตลอดกาล

๕ คำกลอนสอนสุภาษิต ท ๑.๑ ป. ๖/๑, การนำข้อคิดจากคำกลอนสุภาษิต ๖

...ใหข้ อ้ คดิ สอนใจ ป. ๖/๒, ไปปฏบิ ัติทำใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ การ

ป. ๖/๕,

100

หน่วย ช่ือหน่วยการเรียนรู้ มาตรฐาน/ สาระการเรียนรู้ เวลา สดั สว่ น
ท่ี ตัวช้ีวดั (ชว่ั โมง) คะแนน

ป. ๖/๘ ดำเนินชีวิตประจำวัน และการอยู่ ๑๐

ท ๕.๑ ป. ๖/๑, ร่วมกนั ในสังคม ๑๐

ป. ๖/๓, ๗๐
๓๐
ป. ๖/๔ ๑๐๐

๖ นิทานพน้ื บ้าน ท ๕.๑ ป. ๖/๒ การศึกษาค้นคว้านิทานพื้นบ้าน ๕

และเพลงพน้ื บา้ น และเพลงพื้นบ้านเป็นการอนุรักษ์

และสืบทอดภูมิปัญญาและมรดก

ทางวฒั นธรรมไทยแขนงหน่ึง

๗ บทอาขยาน ท ๕.๑ ป. ๖/๔ การทอ่ งจำบทอาขยานเพอ่ื นำไปใช้ ๕

อ้างอิงและนำข้อคิดไป เ ป็ น

แนวทางในการดำเนินชวี ติ

คะแนนระหวา่ งปี

คะแนนสอบปลายปี

รวม ๔๐

101

สื่อ/แหล่งเรยี นรู้

สื่อการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้ทักษะ
กระบวนการและคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลกั สูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อการเรียนรู้ มีหลากหลายประเภท
ทั้งสื่อธรรมชาติ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี และเครือข่ายการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีในท้องถิ่นการเลือกใช้สื่อควรเลือกให้มี
ความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการ และลีลาการเรียนรู้ที่หลากหลายของผู้เรียนการจัดหาสื่อการเรียนรู้ ผู้เรียนและ
ผู้สอนสามารถจัดทำและพัฒนาขึ้นเอง หรือปรับปรุงเลือกใช้อย่างมีคุณภาพจากสื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัวเพื่อนำมาใช้
ประกอบในการจัดการเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมและสื่อสารให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่าง
พอเพียง เพอื่ พัฒนาให้ผู้เรียน เกดิ การเรยี นรู้อย่างแท้จริงสถานศึกษาเขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงานท่เี กี่ยวข้องและผู้มี
หนา้ ทจ่ี ัดการศึกษาข้นั พื้นฐาน ควรดำเนินการดงั น้ี

๑. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์สื่อการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่ายการเรียนรู้ที่มี
ประสิทธิภาพทั้งในสถานศึกษาและในชุมชน เพื่อการศึกษาค้นคว้าและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การเรียนรู้
ระหว่างสถานศึกษา ทอ้ งถ่นิ ชมุ ชน สังคมโลก

๒. จดั ทำและจดั หาสื่อการเรียนรู้สำหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน เสริมความรู้ให้ผู้สอน รวมทั้งจัดหาสิ่งที่
มีอยูในทอ้ งถ่ินมาประยกุ ต์ใช้เป็นสอ่ื การเรียนรู้

๓. เลือกและใช้สื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้
ธรรมชาติของสาระการเรียนรู้ และความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรยี น

๔. ประเมนิ คณุ ภาพของสอื่ การเรยี นรู้ทเี่ ลอื กใช้อย่างเป็นระบบ
๕. ศึกษาคน้ คว้า วิจัย เพ่อื พัฒนาสือ่ การเรียนรู้ให้สอดคล้องกบั กระบวนการเรยี นรู้ของผู้เรียน
๖. จดั ให้มีการกำกบั ตดิ ตาม ประเมนิ คณุ ภาพและประสิทธิภาพเก่ยี วกบั ส่ือและการใช้ส่ือการเรยี นรู้เป็นระยะ
ๆ และสม่ำเสมอ
ในการจัดทำ การเลือกใช้และการประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ในสถานศึกษาควรคำนึงถึงหลักการ
สำคัญของสื่อการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตร วัตถุประสงค์การเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เนื้อหามีความถูกต้องและทันสมัย ไม่กระทบความมั่นคงของชาติ ไม่ขัดต่อศีลธรรม มี
การใช้ภาษาท่ีถูกต้อง รูปแบบการนาํ เสนอที่เข้าใจงา่ ย และนา่ สนใจ

102

การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ คะแนน
70
อัตราส่วนคะแนน คะแนนระหว่างปกี ารศึกษา : สอบปลายปีการศกึ ษา = 7๐ : 3๐ 60

รายการวดั 10
30
ระหว่างภาคมีการวัดและประเมินผล ดังนี้ 100
๑. คะแนนระหว่างปกี ารศกึ ษา

๑.๑ วัดโดยใช้แบบทดสอบ
๑.๒ วัดทักษะ/กระบวนการ/สมรรถนะ (เลอื กวดั ตามแผนการจดั การเรียนรู้)
๑.๒.๑ ภาระงานท่มี อบหมาย
- การทำใบงาน/แบบฝึกหดั /สมดุ งาน
- การศึกษาคน้ คว้า/การนำเสนองาน
- การร่วมกจิ กรรมการเรียนรู้
๑.๒.๒ ทักษะการส่อื สารทางภาษาไทย และสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
- การอ่าน
- การเขียน
- การฟง ดู พูด
๑.๓ วัดคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์

๒. คะแนนสอบกลางปีการศกึ ษา วดั และประเมินผลโดยใชแ้ บบทดสอบ
คะแนนสอบปลายปีการศึกษา มวี ัดและประเมนิ ผลโดยใช้แบบทดสอบ

รวม

เกณฑก์ ารวัดผลประเมนิ ผล

๑. การวัดและประเมินผลโดยใช้แบบทดสอบ
๑.๑ เกณฑใ์ ห้คะแนนแบบทดสอบแบบเลือกตอบ พจิ ารณาจากความถกู ผดิ ของการเลอื กตอบ
ตอบถกู ให้ ๑ คะแนน ตอบผดิ ให้ ๐ คะแนน
๑.๒ เกณฑใ์ ห้คะแนนแบบทดสอบแบบถูกผิด พิจารณาจากความถกู ผิดของคาํ ตอบ
ตอบถูกให้ ๑ คะแนน ตอบผิดให้ ๐ คะแนน
๑.๓ เกณฑใ์ ห้คะแนนแบบทดสอบแบบเติมคำ พิจารณาจากความถูกผดิ ของคำตอบ
ตอบถูกให้ ๑ คะแนน ตอบผดิ ให้ ๐ คะแนน
๑.๔ เกณฑใ์ ห้คะแนนแบบทดสอบแบบจับคู่ พจิ ารณาจากความถกู ผิดของการจับคู่
จับคถู่ กู ให้ ๑ คะแนน จบั คู่ผดิ ให้ ๐ คะแนน
๑.5 เกณฑใ์ ห้คะแนนแบบทดสอบแบบเปรียบเทยี บ พจิ ารณาจากความถกู ผดิ ของการเปรยี บเทียบ
เปรียบเทยี บถูกให้ ๑ คะแนน เปรยี บเทียบผิดให้ ๐ คะแนน

103

๑.6 เกณฑ์การให้คะแนนแบบทดสอบแบบเขียนตอบ พิจารณาจากคำตอบในภาพรวมทั้งหมด โดย
กำหนดระดับคะแนนเป็น ๔ ระดบั ดังนี้

ระดับคะแนน เกณฑ์การให้คะแนน

๓ ตอบไดถ้ ูกต้อง สามารถอธบิ ายเหตผุ ลได้อย่างชัดเจน
๒ ตอบไดถ้ ูกต้อง สามารถอธิบายเหตผุ ลได้เป็นบางส่วน แต่ยังไมช่ ัดเจน
๑ ตอบไดถ้ กู ต้อง แต่ไมส่ ามารถอธบิ ายเหตผุ ลได้
๐ ตอบไม่ถกู ต้อง และไม่สามารถอธบิ ายเหตุผลได้

๒. การวดั และประเมินผลด้านทักษะ/กระบวนการ/สมรรถนะ

๒.๑ ภาระงานท่ีมอบหมาย

- ใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝึกทักษะ

กำหนดเกณฑก์ ารทำใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝึกทักษะ ๔ ระดบั ดังน้ี

ระดับคณุ ภาพ เกณฑ์การให้คะแนน

๔ (ดีมาก) - ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทักษะครบถว้ นและเสร็จตามกาํ หนดเวลา

- ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทกั ษะได้ถกู ต้อง

- แสดงลำดับข้ันตอนของการทำใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝึกทกั ษะชดั เจน เหมาะสม

๓ (ด)ี - ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทักษะครบถว้ นและเสรจ็ ตามกำหนดเวลา

- ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทกั ษะได้ถูกต้อง

- สลับขั้นตอนของการทำใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝึกทักษะ หรอื ไม่ระบขุ ั้นตอน ของ

การทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทกั ษะ

๒ (พอใช้) - ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทักษะครบถวน แต่เสร็จหลงั กำหนดเวลาเลก็ น้อย

- ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทกั ษะขอ้ ไม่ถูกตอ้ ง

- สลับขัน้ ตอนของการทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทักษะ หรอื ไม่ระบุขั้นตอน ของ

การทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทักษะ

๑ (ปรับปรงุ ) - ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทกั ษะไมค่ รบถว้ น หรือไม่เสร็จตามกำหนดเวลา

- ทำใบงาน/แบบฝึกหดั /แบบฝึกทกั ษะไมถ่ ูกตอ้ ง

- แสดงลำดับขั้นตอนของการทำใบงาน/แบบฝึกหัด/แบบฝึกทักษะไม่สัมพันธ์กับ

โจทย์หรอื ไมแ่ สดงลำดับข้นั ตอน

๒.๒ ทกั ษะการส่ือสารทางภาษาไทยและสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
1) การวัดผลและประเมินการเรียนรู้ด้านภาษา การวัดผลและประเมินการเรยี นรู้ด้านภาษาเป็นงาน

ที่ยากซึ่งต้องการความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการพัฒนาทางภาษา ดังนั้นผู้ปฏิบัติหน้าที่วัดผลการเรียนรู้ด้านภาษา
จำเป็นต้องเขา้ ใจหลักการของการเรียนรู้ภาษาไทย เพ่ือเป็นพนื้ ฐานการดาํ เนินงาน ดงั นี้

(๑.๑) ทักษะทางภาษาทั้งการฟัง การดู การพดู การอ่าน และการเขยี นมีความสำคัญเท่า ๆ
กันและทกั ษะเหล่านีจ้ ะบูรณาการกนั ในการเรยี นการสอนจะไม่แยกฝกทักษะทลี ะอย่างจะต้องฝึกทกั ษะไปพร้อม ๆ กนั
และทกั ษะทางภาษาทกั ษะหนงึ่ จะส่งผลต่อการพัฒนาทักษะทางภาษาอืน่ ๆ ด้วย

104

(๑.๒) ผู้เรียนต้องได้รับการพัฒนาความสามารถทางภาษาพร้อมกับการพัฒนาความคิด
เพราะภาษาเป็นสื่อของความคิด ผู้ที่มีทักษะและความสามารถในการใช้ภาษาจะช่วยให้ผู้เรียนมีความสามารถในการ
คดิ ดว้ ยขณะเดียวกันการเรียนภาษาจะเรียนร่วมกันกบั ผู้อ่ืนมีการติดต่อสื่อสาร ใช้ภาษาในการตดิ ต่อกับเพ่ือนกับครูจึง
เป็นการฝึกทักษะทางสังคมด้วย เมื่อผู้เรียนได้ใช้ภาษาในสถานการณ์จริงทั้งในบริบททางวิชาการในห้องเรียนและใน
ชุมชนจะทำให้ผู้เรยี นได้ใช้ภาษาและได้ฝึกทกั ษะทางสังคมในสถานการณ์จริง

(๑.๓) ผู้เรียนต้องเรียนรู้การใช้ภาษาพูดและภาษาเขียนอย่างถูกต้องด้วยการฝึกการใช้
ภาษามิใช่เรียนรู้กฎเกณฑ์ทางภาษาแต่เพียงอยางเดียว การเรียนภาษาจะต้องเรียนรู้ไวยากรณ์หรือหลักภาษา การ
สะกดคำ การใช้เครื่องหมายวรรคตอน และนำความรู้ดังกล่าวไปใช้ในการฝึกฝนการเขียน พฒั นาทกั ษะทางภาษาของ
ตน

(๑.๔) ผู้เรียนทุกคนจะได้รับการพัฒนาทักษะทางภาษาเท่ากัน แต่การพัฒนาทางภาษาจะ
ไมเ่ ทา่ กัน และวธิ กี ารเรยี นรู้จะตา่ งกนั

(๑.๕) ภาษากับวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด หลักสูตรจะต้องให้ความสำคัญ
และใช้ความเคารพและเห็นคณุ คาของเชือ้ ชาติ จัดกิจกรรมภูมิหลงั ของภาษาและการใช้ภาษาถิ่นของผู้เรียน และช่วย
ให้ผู้เรียนพัฒนาภาษาไทยของตน และพัฒนาความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับภาษาไทยและกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียน
ภาษาไทยด้วยความสุข

(๑.๖) ภาษาไทยเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้ และทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้จะต้องใช้
ภาษาไทยเป็นเครื่องมือการสื่อสารและการแสวงหาความรู้ การเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้จะใช้ภาษาไทยคิด
วิเคราะห์ การคิดสรางสรรค์ การอภิปราย การเขียนรายงาน การเขียนโครงการ การตอบคำถามการตอบข้อทดสอบ
ดังนั้นครูทุกคนไม่ว่าจะสอนวิชาใดก็ตามจะต้องใช้ภาษาทีเ่ ป็นแบบแผน เป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักเรียน และต้องสอนการ
ใช้ภาษาแกผ่ ู้เรยี นด้วยเสมอ

๒) วธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการเรยี นของผู้เรียน
วิธีการเกบ็ รวบรวมข้อมูลที่ถกู นำมาใช้ในการประเมินโดยทั่วไป ได้แก่ การสังเกต การตรวจงานหรือ
ผลงาน การทดสอบความรู้ การตรวจสอบการปฏิบัติ และการแสดงออกอย่างไรกต็ าม มีการนำเสนอแนวทางการเกบ็
รวบรวมข้อมูล โดยพิจารณาจากเป้าประสงคข์ องการประเมินท่เี ฉพาะเจาะจงในรายละเอียด เพ่อื ข้อมูลท่ไี ด้จะสามารถ
นำมาใช้ประโยชน์ตอ่ การปรบั ปรุงพัฒนากระบวนการเรียนรู้ไดอ้ ย่างแทจ้ ริง ดงั นี้

(๒.๑) การให้ตอบแบบทดสอบ ทั้งในลักษณะที่เป็นแบบเลือกคำตอบ ได้แก่ ข้อสอบแบบ
เลือกตอบ ถูก-ผิด จับคู่ และข้อสอบชนิดให้ผู้สอบสร้างคำตอบ ได้แก่ เติมข้อความในช่องว่างคำตอบสั้นเป็นประโยค
เป็นข้อความ แผนภูมิการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีการนี้เหมาะกับการวัดความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความรู้เกี่ยวกับ
กระบวนการ ซึ่งมีข้อดีที่ใช้เวลาในการดำเนินการน้อย ง่าย และสะดวกต่อการนำไปใช้ให้ผลการประเมินท่ี
ตรงไปตรงมา เนอ่ื งจากมเี กณฑ์การประเมนิ ชดั เจนแต่ไมเ่ หมาะกบั การนำไปใช้กบั ผลการเรียนรู้ที่เป็นเจตคตคิ า่ นิยม

(๒.๒) การพิจารณาจากผลงาน เช่น เรียงความ รายงานการวิจัย บันทึกประจำวัน รายงาน
การทดลอง บทละครบทร้อยกรอง แฟ้มผลงาน เป็นต้น ผลงานจะเป็นตัวแสดงให้เห็นการนำความรู้ และทักษะไปใช้
ในการปฏบิ ตั ิงานของผู้เรียน จุดเด่นของการประเมินโดยดจู ากผลงานนี้คือจะแสดงให้เห็นส่ิงท่นี ักเรยี นสามารถทำได้มี
การกำหนดเกณฑก์ ารประเมนิ เพื่อให้ผู้เรยี นสามารถประเมินตนเองได้เพื่อการปรบั ปรุงพัฒนาตนเองของผู้เรียน เพ่ือน
ก็สามารถใช้เกณฑ์ในการประเมินผลงานของผู้เรียนได้เช่นกัน จุดอ่อนของการประเมินจากผลงาน คือ ต้องมีการ
กำหนดเกณฑ์การประเมินร่วมกัน ต้องใช้เวลาในการประเมินมาก รวมทั้งตัวแปรภายนอกอาจเข้ามามีอิทธพิ ลต่อการ
ประเมนิ ไดง้ า่ ย

(๒.๓) พิจารณาการปฏิบัติ โดยผู้สอนสามารถสังเกตการนำทักษะและความรู้ไปใช้
ได้โดยตรงในสถานการณ์ที่ให้ปฏิบัติจริง วิธีการนี้ถูกนําไปใช้อย่างกว้างขวางในการประเมินมีคุณค่ามากหากผู้เรียน
ได้นำไปใช้ในการประเมินตนเองเพื่อสร้างแรงจูงใจในการปรับปรุงพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ในกระบวนการประเมิน

105

จะมีเครื่องมือประกอบการดำเนินการคือ แบบสํารวจรายการประมาณค า และเกณฑ์การให้ระดับคะแนน
(scoring rubric)

(๒.๔) พิจารณากระบวนการ วิธีการนี้จะให้ข้อมูลเก่ียวกับวธิ ีการเรยี นรู้กระบวนการคดิ ของ
ผู้เรียนมากกว่าที่จะดูผลงานหรือการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้เข้าใจกระบวนการคิดที่ผู้เรียนใช้วิธีการที่ครูผู้สอนใช้อยู่เป็น
ประจำในกระบวนการเรียนการสอน คือ การให้นกั เรยี นคิดดัง ๆ การต้ังคำถามให้นักเรียนตอบ โดยครจู ะเป็นผู้สังเกต
วธิ ีการคิดของผู้เรยี น

วิธีการเช่นนี้เป็นกระบวนการที่จะให้ข้อมูลเพื่อการวินิจฉัย และเป็นข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน โดยการเก็บ
รวบรวมข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับการประเมินพัฒนาการดานคุณธรรม จริยธรรม และลักษณะนิสัยจากแนว
ทางการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินผลการเรียนรู้ดังกล่าวข้างต้นสามารถ นำมาพิจารณากำหนดแนวทางการ
เกบ็ รวบรวมข้อมูลทกั ษะทางภาษาได้โดยการสังเกตผ่านพฤติกรรมการปฏบิ ัตติ ่าง ๆ ของผู้เรยี น เช่น การเล่าเรอื่ ง การ
ให้คำชี้แจง การเล่าประสบการณ์ การร่วมกิจกรรมต่าง ๆ การปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มหรือบุคคลหากผลการเรียนรู้ที่
ตอ้ งการจากการเรียนคือความรู้ความคดิ เกีย่ วกบั กฎเกณฑ์ของภาษาการใช้ภาษา

วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินที่เหมาะสม คือ การใช้ข้อสอบซึ่งอาจเป็นแบบเลือกตอบ หรือให้
สร้างคำตอบการประเมินด้วยการกำหนดประเด็นการประเมินที่แจกแจงระดับการปฏิบัติ (Rubric) ซึ่งเป็นเครื่องมือ
ประเมนิ ผลการเรียนรู้ท่ีกำลงั ได้รับการยอมรบั และถูกนำมาใช้ในการประเมินผลการเรยี นอย่างกว้างขวาง เนอื่ งจากผล
การประเมินที่ได้มีคุณค่าต่อการปรับปรุงพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าตัวเลขคะแนน และมีประสิทธิภาพ
สำหรับการประเมินการปฏิบัติหรือผลงานที่ไม่มีคำตอบถูกเพียงคำตอบเดียว หรือการแก้ปัญหาทางเดียว แต่จะมี
คำตอบที่หลากหลายการตัดสินผลการประเมินจำเป็นต้องมีเกณฑ์การประเมินที่แสดงระดับคุณภาพที่ต้องการการ
ประเมินความสามารถหรือทักษะทางภาษา เครื่องมือ ประเภทนี้น่าจะเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้ได้อย่าง
สอดคล้อง แต่เนื่องจากสร้างยากแต่หากสามารถพัฒนาขึ้นใช้ได้จะช่วยให้ผลการประเมินเที่ยงตรง เชื่อถือได้และ
ยุติธรรม รวมทั้งมีคุณค่าต่อการปรับปรุง และพัฒนาตนเองของผู้เรียน เนื่องจากระบุความคาดหวังของการปฏิบัติไว้
อย่างชดั เจน

๒.3 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
- การประเมินผลสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ประเมินโดยใช้แบบประเมิน สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
กำหนดเกณฑก์ ารประเมิน ดงั น้ี

ระดบั คณุ ภาพ เกณฑ์การให้คะแนน
(๓) ดเี ยย่ี ม
ผู้เรียนปฏบิ ตั ิตนตามสมรรถนะจนเป็นนสิ ยั และนําไปใช้ในชีวติ ประจำวนั เพ่ือประโยชน์
(๒) ดี สุขของตนเองและสังคม โดยพิจารณาจากผลการประเมินระดับ ดีเยี่ยมจำนวน ๓-๕
สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะใดไดผ้ ลการประเมนิ ตำ่ กว่าระดบั ดี

ผู้เรียนมีสมรรถนะในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เพื่อให้เป็นการยอมรับของสังคม
พจิ ารณาจาก
๑. ได้ผลการประเมินระดับดีเยี่ยม จำนวน ๑-๒ สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะใดได้ผล
การประเมินตำ่ กว่าระดบั ดี หรอื
๒. ได้ผลการประเมินระดับดีเย่ยี ม จำนวน ๒ สมรรถนะ และไมม่ สี มรรถนะใดได้ผลการ
ประเมนิ ตำ่ กว่าระดบั ผ่าน หรือ
๓. ได้ผลการประเมินระดับดี จำนวน ๔-๕ สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะใดได้ผลการ
ประเมนิ ตำ่ กว่าระดับผ่าน

106

ระดบั คณุ ภาพ เกณฑ์การให้คะแนน
(๑) พอใช้
ผู้เรยี นรับรู้และปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑ์และเง่อื นไขทีส่ ถานศึกษากำหนด พิจารณาจาก
(๐) ปรบั ปรุง ๑. ได้ผลการประเมนิ ระดบั ผ่าน จำนวน ๔-๕ สมรรถนะ และไมม่ ีสมรรถนะใดได้ผลการ
ประเมินตำ่ กว่าระดับผ่าน หรอื
๒. ได้ผลการประเมินระดับดี จำนวน ๒ สมรรถนะ และไม่มีสมรรถนะใด ได้ผลการ
ประเมินต่ำกว่าระดบั ผ่าน

ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติได้ไม่ครบตามเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด โดยพิจารณา จากผล
การประเมินระดับตอ้ งปรับปรุง ตงั้ แต่ ๑ สมรรถนะ

เกณฑ์การให้คะแนน ๓ คะแนน
พฤตกิ รรมทป่ี ฏบิ ัตสิ มำ่ เสมอ ให้ ๒ คะแนน
พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ัติบ่อยครงั้ ให้ ๑ คะแนน
พฤติกรรมที่ปฏบิ ัตบิ างครั้ง ให้ ๐ คะแนน
พฤติกรรมที่ปฏิบัตนิ ้อยครง้ั ให้

เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ

ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ
๑๓-๑๕ ดเี ย่ยี ม (๓)
๙-๑๒
๕-๘ ดี (๒)
ต่ำกว่า ๕ ผ่าน (๑)
ไมผ่ ่าน (๐)

107

แบบประเมนิ สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น

ชอื่ .......................................................นามสกลุ ....................................................เลขท.ี่ .............ชัน้ ...................

คำชีแ้ จง : ให้ผสู้ อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี น และขีด ✓ลงในชอ่ งทตี่ รงกบั คะแนน

ระดับคุณภาพ

สมรรถนะด้าน รายการประเมิน ดเี ยีย่ ม ดี (2) ผา่ น ไม่ผา่ น
(3) (1) (0)

1. ความสามารถ 1.1 มีความสามารถในการรบั -สง่ สาร

ในการสื่อสาร 1.2 มคี วามสามารถในการถา่ ยทอดความรู้ ความคดิ ความ

เขา้ ใจ ของตนเอง โดยใชภ้ าษาอย่างเหมาะสม

1.3 ใชว้ ิธกี ารสอ่ื สารทเ่ี หมาะสม มีประสทิ ธภิ าพ

1.4 เจรจาต่อรองเพ่ือขจัดและลดปญั หาความขัดแย้งตา่ ง ๆ ได้

1.5 เลอื กรับและไม่รับข้อมลู ข่าวสารด้วยเหตผุ ลและถูกตอ้ ง

สรปุ ผลการประเมิน รวม ........ คะแนน ระดบั ...........

2. ความสามารถ 2.1 มีความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์

ในการคิด 2.2 มที กั ษะในการคดิ นอกกรอบอยา่ งสรา้ งสรรค์

2.3 สามารถคิดอย่างมวี จิ ารณญาณ

2.4 มีความสามารถในการสรา้ งองค์ความรู้

2.5 ตดั สินใจแก้ปญั หาเกีย่ วกบั ตนเองได้อยา่ งเหมาะสม

สรุปผลการประเมนิ รวม ........ คะแนน ระดับ ...........

3. ความสามารถ 3.1 สามารถแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ท่เี ผชิญได้

ในการแก้ปญั หา 3.2 ใช้เหตผุ ลในการแก้ปัญหา

3.3 เขา้ ใจความสัมพนั ธแ์ ละการเปล่ียนแปลงในสงั คม

3.4 แสวงหาความรู้ ประยุกตค์ วามรู้มาใชใ้ นการป้องกันและ

แกไ้ ขปญั หา

3.5 สามารตดิ สนิ ใจได้เหมาะสมตามวยั

สรปุ ผลการประเมิน รวม ........ คะแนน ระดับ ...........

4. ความสามารถ 4.1 เรยี นรู้ด้วยตนเองไดเ้ หมาะสมตามวัย

ในการใช้ทักษะ 4.2 สามารถทำงานกลุ่มร่วมกบั ผูอ้ นื่ ได้
ชีวติ 4.3 นำความร้ทู ี่ไดไ้ ปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจำวนั

4.4 จัดการปัญหาและความขัดแยง้ ได้เหมาะสม

4.5 หลีกเลีย่ งพฤติกรรมไมพ่ งึ ประสงคท์ ี่ส่งผลกระทบตอ่ ตนเอง

สรปุ ผลการประเมิน รวม ........ คะแนน ระดบั ...........

5. ความสามารถ 5.1 เลือกและใช้เทคโนโลยไี ด้เหมาะสมตามวัย

ในการใช้ 5.2 มีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี

เทคโนโลยี 5.3 สามารถนำเทคโนโลยีไปใชพ้ ัฒนาตนเอง

5.4 ใช้เทคโนโลยีในการแกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์

5.5 มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมในการใช้เทคโนโลยี

สรุปผลการประเมนิ รวม ........ คะแนน ระดบั ...........

ระดบั คุณภาพตามเกณฑก์ ารประเมินในหลกั สูตรรายชัน้

ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมนิ

108

3. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
การประเมินผลคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ประเมินโดยใช้แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์กำหนด

เกณฑใ์ นการประเมนิ ดังนี้

ระดบั คณุ ภาพ เกณฑ์การให้คะแนน
(๓) ดเี ยีย่ ม
ผู้เรียนปฏบิ ัตติ นตามคุณลักษณะจนเป็นนิสัยและนำไปใช้ในชวี ิตประจำวัน เพ่ือประโยชน์
(๒) ดี สุขของตนเองและสังคม โดยพจิ ารณาจากผลการประเมินทั้ง ๘ คุณลกั ษณะ คอื ได้ระดับ
๓ จำนวน ๕-๘ คณุ ลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใดได้ผลการประเมนิ ต่ำกว่าระดับ ๒
(๑) ผ่าน
(๐) ไมผ่ ่าน ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เพื่อให้เป็นการยอมรับของสังคม
พจิ ารณาจาก

๑. ได้ผลการประเมิน ระดับ ๓ จำนวน ๑-๔ คุณลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใด
ไดผ้ ลการประเมินต่ำกว่าระดบั ๒ หรือ

๒. ได้ผลการประเมิน ระดับ ๓ จำนวน ๔ คุณลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใดได้ผล
การประเมนิ ตำ่ กว่าระดับ ๑ หรอื

๓. ได้ผลการประเมิน ระดับ ๒ จำนวน ๕-๘ คุณลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใด
ไดผ้ ลการประเมินต่ำกว่าระดับ ๑
ผู้เรยี นรับรู้และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และเงอื่ นไขท่สี ถานศึกษากำหนด พจิ ารณาจาก

๑. ได้ผลการประเมิน ระดบั ๑ จำนวน คณุ ลักษณะ และไม่มีคุณลักษณะใดได้ผลการ
ประเมินตำ่ กว่าระดับ ๑ หรอื

๒. ได้ผลการประเมิน ระดับ ๒ จำนวน ๔ คุณลกั ษณะ และไม่มคี ณุ ลักษณะใดได้ผล
การประเมินตำ่ กว่าระดบั ๑

ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติได้ไม่ครบตามเกณฑ์และเงือ่ นไขที่กำหนด โดยพิจารณาจากผลการ
ประเมนิ ระดบั ๐ ต้ังแต่ ๑ คณุ ลักษณะขน้ึ ไป

เกณฑ์การให้คะแนน ๓ คะแนน
พฤติกรรมที่ปฏิบตั สิ ม่ำเสมอ ให้ ๒ คะแนน
พฤตกิ รรมท่ีปฏิบตั ิบ่อยครง้ั ให้ ๑ คะแนน
พฤตกิ รรมที่ปฏบิ ตั ิบางครัง้ ให้ ๐ คะแนน
พฤตกิ รรมทป่ี ฏิบัตนิ ้อยครง้ั ให้

109

แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์

ชือ่ .......................................................นามสกุล....................................................เลขที่. .............ชั้น...................

คำชีแ้ จง : ให้ผสู้ อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียน และขีด ✓ ลงในช่องทตี่ รงกบั คะแนน

ระดับคุณภาพ

สมรรถนะด้าน รายการประเมนิ ดเี ย่ยี ม ดี ผา่ น ไมผ่ ่าน

(3) (2) (1) (0)

1. รกั ชาติ - ยืนตรงเคารพธงชาติ และร้องเพลงชาตไิ ด้

ศาสน์ กษัตริย์ - เขา้ ร่วมกจิ กรรมท่สี รา้ งความสามัคคี ปรองดอง และ

เป็น ประโยชนต์ ่อโรงเรียน

- เขา้ รว่ มกจิ กรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ปฏิบตั ิตาม

หลัก ศาสนา

- เขา้ ร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกบั สถาบนั พระมหากษตั ริย์

ตามท่ี โรงเรยี นจัดขนึ้

2. ซื่อสัตย์ - ให้ข้อมลู ที่ถูกต้อง และเป็นจริง

สจุ ริต - ปฏิบัตใิ นสง่ิ ทถ่ี ูกต้อง

3. มีวนิ ยั - ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบงั คับของ

รับผิดชอบ ครอบครัว มีความตรงต่อเวลาในการปฏิบัตกิ ิจกรรม

ต่าง ๆ ในชวี ติ ประจำวัน

4. ใฝ่เรียนรู้ - รู้จกั ใชเ้ วลาวา่ งให้เปน็ ประโยชน์ และนำไปปฏิบัติได้

- รู้จกั จัดสรรเวลาให้เหมาะสม

- เชือ่ ฟังคำส่ังสอนของบิดา

- มารดา โดยไม่โต้แย้ง

– ตงั้ ใจเรยี น

5. อยูอ่ ย่าง - ใช้ทรพั ยส์ ินและสง่ิ ของของโรงเรยี นอยา่ งประหยดั

พอเพียง - ใชอ้ ุปกรณก์ ารเรียนอยา่ งประหยัดและรู้คุณค่า

- ใชจ้ ่ายอย่างประหยัดและมีการเก็บออมเงนิ

6. มงุ่ ม่ันในการ - มีความตั้งใจและพยายามในการทำงานทไ่ี ด้รับ

ทำงาน มอบหมาย

- มีความอดทนและไมท่ ้อแท้ตอ่ อปุ สรรคเพื่อใหง้ าน

สำเร็จ

7. รักความเปน็ - มจี ติ สำนกึ ในการอนุรกั ษ์วฒั นธรรมและภูมิปญั ญาไทย

ไทย - เหน็ คณุ คา่ และปฏิบัตติ นตามวัฒนธรรมไทย

8. มีจติ - รจู้ ักชว่ ยพอ่ แม่ ผูป้ กครอง และครูทำงาน

สาธารณะ - รู้จักการดูแลรักษาทรัพย์สมบัติและสง่ิ แวดลอ้ มของ

หอ้ งเรยี นและโรงเรียน

ระดบั คณุ ภาพตามเกณฑก์ ารประเมินในหลักสตู รรายชนั้

ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน

110

เกณฑก์ ารตัดสินผลการเรียน

1. เกณฑ์การตดั สนิ ระดับผลการเรยี น ความหมาย ช่วงคะแนน
ผลการเรียนดเี ยี่ยม ๘๐ - ๑๐๐
ระดับผลการเรยี น ผลการเรียนดมี าก ๗๕ – ๗๙
๔ ๗๐ – ๗๔
๓.๕ ผลการเรยี นดี ๖๕ – ๖๙
๓ ผลการเรียนค่อนข้างดี ๖๐ – ๖๔
๒.๕ ผลการเรยี นปานกลาง ๕๕ – ๕๙
๒ ๕๐ – ๕๔
๑.๕ ผลการเรยี นพอใช้ 0 - ๔๙
๑ ผลการเรยี นผ่านเกณฑ์ขน้ั ตำ่
๐ ผลการเรียนตำ่ กว่าเกณฑ์

๒. เกณฑ์การตัดสินผลการเรยี น ร และ มส.
2.๑) ตัดสินผลการเรียน ร หมายถึง รอการตัดสินและยังตัดสินผลการเรียนไม่ได้เนื่องจาก ผู้เรียนไม่มีข้อมูล

ผลการเรียนในรายวิชาครบถ้วน ได้แก่ ไม่ได้วัดผลกลางภาคเรียน/ปลายภาคเรียน ไม่ได้ส่งงานท่ี มอบหมายให้ทำซึ่ง
งานน้ันเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสนิ ผลการเรยี น หรอื มีเหตุสุดวิสัยท่ีทำให้ประเมินผลการเรยี นไม่ได้

2.2) ตัดสินผลการเรียน มส. หมายถึง ผู้เรียนไม่มีสิทธิเข้ารับการวัดผลปลายภาคเรียน เนื่องจากผู้เรียนมี
เวลาเรียนไมถ่ ึงรอ้ ยละ ๘๐ ของเวลาเรยี นทง้ั หมด และไม่ไดร้ บั การผ่อนผนั ให้เขา้ รับการวดั ผลปลายภาคเรยี น

การประเมนิ การอ่าน คดิ วเิ คราะห์และการเขียน

เกณฑ์การประเมนิ การอา่ น คดิ วิเคราะห์และการเขียน คะแนนเต็ม 10๐ คะแนน

ระดับคุณภาพ ความหมาย ชว่ งคะแนน
ดเี ยี่ยม 80 - 10๐
ดี มผี ลงานท่แี สดงถงึ ความสามารถในการอ่าน คิด 65 – 79
ผ่าน วเิ คราะห์และเขยี น ทีม่ คี ณุ ภาพดเี ลิศอยู่เสมอ 5๐ – 64

ไมผ่ ่าน มีผลงานทแ่ี สดงถงึ ความสามารถในการอ่าน คิด 1 - 49
วเิ คราะห์และเขียน ท่มี ีคณุ ภาพเป็นท่ียอมรับได้

มผี ลงานท่แี สดงถึงความสามารถในการอ่าน คิด
วิเคราะห์ และเขียน ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ
ได้ แตย่ ังมีขอ้ บกพร่องบางประการ

ไม่มีผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการอ่าน
คิดวิเคราะห์และเขียน หรือถ้ามีผลงาน ผลงาน
นั้นยงั มขี ้อบกพร่องทีต่ ้องการได้รับการปรับปรุง
แก้ไขหลายประการ

111

บรรณานกุ รม

กรมวิชาการ.(๒๕๕๕). พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และท่แี กไ้ ขเพม่ิ เติม (ฉบบั ที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๕ และพระราชบัญญตั กิ ารศึกษาภาคบังคบั พ.ศ. ๒๕๔๕.กรงุ เทพฯ : อกั ษรไทย.

กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๕). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๕. กรุงเทพฯ :
ครุ ุสภาลาดพร้าว.

________________. (๒๕๕๑). หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ :
ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั .

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน. (๒๕๕๗,๒๙ กันยายน). แนวปฏิบตั ิเกย่ี วกับค่านยิ มหลัก ๑๒
ประการส่กู ารปฏบิ ัติ. กรุงเทพฯ : ผูแ้ ต่ง.

สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (๒๕๕๑). แนวทางการบริหารจัดการหลักสูตร. กรุงเทพฯ : ชุมนุม
สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกัด.

____________________________. (๒๕๕๑). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการ
เรยี นร้ภู าษาไทย. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั .

112

ภาคผนวก

113

ภาคผนวก ก

คำอภธิ านศพั ท์

114

อภิธานศพั ท์

กระบวนการเขียน
กระบวนการเขยี นเป็นการคิดเรื่องทจ่ี ะเขียนและรวบรวมความรู้ในการเขียน กระบวนการเขียน มี 5 ขนั้ ดังนี้
1. การเตรียมการเขียน เป็นขั้นเตรียมพร้อมที่จะเขียนโดยเลือกหัวข้อเรื่องที่จะเขียนบนพื้นฐานของ

ประสบการณ์ กำหนดรูปแบบการเขียน รวบรวมความคิดในการเขียน อาจใช้วิธีการอ่านหนังสือ สนทนา จัด
หมวดหมู่ความคิด โดยเขียนเป็นแผนภาพความคิด จดบันทึกความคิดที่จะเขียนเป็นรูปหัวข้อเรื่อง ใหญ่ หัวข้อย่อย
และรายละเอียดครา่ วๆ

2. การยกรา่ งขอ้ เขยี น เม่ือเตรียมหัวขอ้ เรอ่ื งและความคดิ รปู แบบการเขียนแล้ว ให้นำความคดิ มาเขยี นตาม
รูปแบบที่กำหนดเป็นการยกร่างข้อเขียน โดยคำนึงถึงว่าจะเขียนให้ใครอ่าน จะใช้ภาษาอย่างไรให้เหมาะสมกับเรื่อง
และเหมาะกับผู้อ่นื จะเรมิ่ ต้นเขยี นอยา่ งไร มีหัวข้อเรือ่ งอยา่ งไร ลำดับความคิดอยา่ งไร เช่ือมโยงความคิดอยา่ งไร

3. การปรับปรุงข้อเขียน เมื่อเขียนยกร่างแล้วอ่านทบทวนเรื่องที่เขียน ปรับปรุงเรื่องที่เขียนเพิ่มเติม
ความคดิ ใหส้ มบูรณ์ แกไ้ ขภาษา สำนวนโวหาร นำไปใหเ้ พ่อื นหรอื ผู้อนื่ อา่ น นำขอ้ เสนอแนะมาปรับปรงุ อกี คร้งั

4. การบรรณาธิการกิจ นำขอ้ เขยี นที่ปรบั ปรงุ แลว้ มาตรวจทานคำผิด แก้ไขให้ถกู ตอ้ ง แล้วอ่านตรวจทาน
แก้ไขขอ้ เขยี นอีกครงั้ แก้ไขขอ้ ผดิ พลาดทั้งภาษา ความคดิ และการเวน้ วรรคตอน

5. การเขียนให้สมบูรณ์ นำเรื่องที่แก้ไขปรับปรุงแล้วมาเขียนเรื่องให้สมบูรณ์ จัดพิมพ์ วาดรูปประกอบ
เขียนให้สมบูรณ์ด้วยลายมือที่สวยงามเป็นระเบียบ เมื่อพิมพ์หรือเขียนแล้วตรวจทานอีกครั้งให้สมบูรณ์ก่อนจัดทำ
รปู เลม่

กระบวนการคดิ
การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เป็นกระบวนการคิด คนที่จะคิดได้ดีต้องเป็นผู้ฟัง ผู้พูด ผู้อ่าน และ

ผู้เขียนที่ดี บุคคลที่จะคิดได้ดีจะต้องมีความรู้และประสบการณ์พื้นฐานในการคิด บุคคลจะมีความสามารถในการ
รวบรวมข้อมลู ขอ้ เท็จจรงิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และประเมนิ ค่า จะตอ้ งมีความรแู้ ละประสบการณ์พนื้ ฐานที่นำมา
ช่วยในการคดิ ทงั้ สิน้ การสอนให้คิดควรให้ผเู้ รยี นรู้จักคัดเลือกข้อมูล ถา่ ยทอด รวบรวม และจำข้อมูลตา่ งๆ สมองของ
มนุษย์จะเป็นผู้บริโภคข้อมลู ขา่ วสาร และสามารถแปลความขอ้ มูลข่าวสาร และสามารถนำมาใช้อ้างอิง การเป็นผ้ฟู ัง
ผู้พูด ผู้อ่าน และผู้เขียนที่ดี จะต้องสอนให้เป็นผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารที่ดีและเป็นนักคิดที่ดีด้วย กระบวนการสอน
ภาษาจงึ ต้องสอนให้ผูเ้ รยี นเปน็ ผรู้ ับรู้ข้อมูลข่าวสารและมีทักษะ การคิด นำข้อมลู ข่าวสารท่ีไดจ้ ากการฟังและการอ่าน
นำมาสู่การฝึกทักษะการคิด นำการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน มาสอนในรูปแบบบูรณาการทักษะ ตัวอย่าง
เช่น การเขียนเป็นกระบวนการคิดในการวิเคราะห์ การแยกแยะ การสังเคราะห์ การประเมินค่า การสร้างสรรค์ ผู้เขียน
จะนำความรู้และประสบการณ์สู่การคิดและแสดงออกตามความคิดของตนเสมอ ต้องเป็นผู้อ่านและผู้ฟังเพื่อรับรู้
ขา่ วสารท่จี ะนำมาวิเคราะหแ์ ละสามารถแสดงทรรศนะได้

กระบวนการอ่าน
การอ่านเป็นกระบวนการซึ่งผู้อ่านสร้างความหมายหรือพัฒนา การตีความระหว่างการอ่านผู้อ่านจะต้องรู้

หัวข้อเรื่อง รู้จุดประสงค์ของการอ่าน มีความรู้ทางภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาที่ใช้ในหนังสือที่อ่าน โดยใช้
ประสบการณเ์ ดมิ เป็นประสบการณท์ ำความเข้าใจกบั เร่ืองที่อ่าน กระบวนการอา่ นมีดงั น้ี

1. การเตรียมการอ่าน ผู้อ่านจะต้องอ่านชื่อเรื่อง หัวข้อย่อยจากสารบัญเรื่อง อ่านคำนำ ให้ทราบ
จุดมุ่งหมายของหนังสือ ตั้งจุดประสงค์ของการอ่านจะอ่านเพื่อความเพลิดเพลินหรืออ่านเพื่อ หาความรู้ วาง
แผนการอ่านโดยอ่านหนังสือตอนใดตอนหนึ่งว่าความยากง่ายอย่างไร หนังสือมีความยากมากน้อยเพียงใด รูปแบบ
ของหนังสือเปน็ อยา่ งไร เหมาะกบั ผู้อ่านประเภทใด เดาความว่าเปน็ เร่ืองเก่ียวกับอะไร เตรยี มสมดุ ดินสอ สำหรับ
จดบันทกึ ขอ้ ความหรอื เน้อื เร่อื งท่ีสำคญั ขณะอ่าน

115

2. การอ่าน ผู้อา่ นจะอ่านหนังสือให้ตลอดเล่มหรือเฉพาะตอนที่ต้องการอ่าน ขณะอา่ นผู้อ่านจะใช้ความรู้
จากการอ่านคำ ความหมายของคำมาใช้ในการอ่าน รวมท้ังการร้จู ักแบ่งวรรคตอนด้วย การอา่ นเร็วจะมีส่วนช่วยให้
ผู้อา่ นเขา้ ใจเรื่องได้ดีกว่าผู้อา่ นช้า ซง่ึ จะสะกดคำอ่านหรืออ่านย้อนไปย้อนมา ผู้อา่ นจะใชบ้ ริบทหรือคำแวดล้อมช่วย
ในการตคี วามหมายของคำเพอื่ ทำความเขา้ ใจเรือ่ งที่อา่ น

3. การแสดงความคิดเห็น ผู้อ่านจะจดบันทึกข้อความที่มีความสำคัญ หรือเขียนแสดงความคิดเห็น
ตีความข้อความที่อ่าน อ่านซ้ำในตอนที่ไม่เข้าใจเพื่อทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ขยายความคิดจากการอ่าน จับคู่กับ
เพื่อนสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตั้งข้อสังเกตจากเรื่องที่อ่าน ถ้าเป็นการอ่านบทกลอนจะต้องอ่านทำนอง
เสนาะดังๆ เพ่ือฟังเสียงการอ่านและเกดิ จนิ ตนาการ

4. การอ่านสำรวจ ผู้อ่านจะอ่านซ้ำโดยเลือกอ่านตอนใดตอนหนึ่ง ตรวจสอบคำและภาษา ที่ใช้ สำรวจ
โครงเรื่องของหนังสือเปรียบเทียบหนังสือที่อ่านกับหนังสือที่เคยอ่าน สำรวจและเชื่อมโยงเหตุการณ์ในเรือ่ งและการ
ลำดบั เร่ือง และสำรวจคำสำคญั ทใี่ ช้ในหนงั สอื

5. การขยายความคิด ผู้อ่านจะสะท้อนความเข้าใจในการอ่าน บันทึกข้อคิดเห็น คุณค่าของเรื่อง
เช่อื มโยงเร่ืองราวในเรื่องกับชีวติ จริง ความรู้สกึ จากการอ่าน จดั ทำโครงงานหลักการอ่าน เชน่ วาดภาพ เขียนบท
ละคร เขียนบันทึกรายงานการอ่าน อ่านเรื่องอืน่ ๆ ที่ผู้เขียนคนเดียวกันแต่ง อ่านเรื่องเพิ่มเติม เรื่องที่เกี่ยวโยงกบั
เรอ่ื งท่อี า่ น เพอื่ ให้ไดค้ วามรู้ทช่ี ดั เจนและกว้างขวางขึ้น

การเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์
การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการเขียนโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ และจินตนาการในการเขียน เช่น การ

เขียนเรียงความ นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย และบทร้อยกรอง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ผู้เขียนจะต้องมีความคิดดี
มีจินตนาการดี มีคลังคำอย่างหลากหลาย สามารถนำคำมาใช้ ในการเขียน ต้องใช้เทคนิคการเขียน และใช้
ถ้อยคำอยา่ งสละสลวย

การดู
การดูเป็นการรับสารจากสื่อภาพและเสียง และแสดงทรรศนะได้จากการรับรู้สาร ตีความ แปลความ

วิเคราะห์ และประเมินคุณค่าสารจากสื่อ เช่น การดูโทรทัศน์ การดูคอมพิวเตอร์ การดูละคร การดูภาพยนตร์
การดูหนังสือการ์ตูน (แม้ไม่มีเสียงแต่มีถ้อยคำอ่านแทนเสียงพูด) ผู้ดูจะต้องรับรู้สาร จากการดูและนำมาวิเคราะห์
ตีความ และประเมินคุณค่าของสารที่เป็นเนื้อเรื่องโดยใช้หลักการพิจารณาวรรณคดีหรือการวิเคราะห์วรรณคดี
เบื้องต้น เช่น แนวคิดของเรื่อง ฉากที่ประกอบเรื่องสมเหตุสมผล กิริยาท่าทาง และการแสดงออกของตัวละครมี
ความสมจริงกับบทบาท โครงเรื่อง เพลง แสง สี เสียง ที่ใช้ประกอบการแสดงให้อารมณ์แก่ผู้ดูสมจริงและ
สอดคล้องกับยุคสมัยของเหตุการณ์ที่จำลองสู่บทละคร คุณค่าทางจริยธรรม คุณธรรม และคุณค่าทางสังคมที่มี
อิทธพิ ลตอ่ ผูด้ หู รือผชู้ ม ถ้าเปน็ การดขู ่าวและเหตุการณ์ หรือการอภปิ ราย การใช้ความรู้หรือเรื่องที่เปน็ สารคดี การ
โฆษณาทางสื่อจะต้องพิจารณาเนื้อหาสาระว่าสมควรเชื่อถือได้หรือไม่ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ความคิด
สำคัญและมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้มาก และการดูละครเวที ละครโทรทัศน์ ดขู ่าวทางโทรทัศน์จะเป็นประโยชน์ได้รับ
ความสนกุ สนาน ต้องดูและวิเคราะห์ ประเมินค่า สามารถแสดงทรรศนะของตนได้อยา่ งมเี หตผุ ล

การตีความ
การตีความเป็นการใช้ความรู้และประสบการณ์ของผู้อ่านและการใช้บริบท ได้แก่ คำที่แวดล้อมข้อความ

ทำความเขา้ ใจขอ้ ความหรือกำหนดความหมายของคำให้ถกู ต้อง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า การตีความหมาย ชี้หรอื กำหนดความหมาย

ให้ความหมายหรืออธิบาย ใชห้ รอื ปรับใหเ้ ขา้ ใจเจตนา และความม่งุ หมายเพ่ือความถกู ตอ้ ง

116

การเปลย่ี นแปลงของภาษา
ภาษายอ่ มมีการเปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลา คำคำหนึ่งในสมัยหนึ่งเขยี นอยา่ งหน่ึง อกี สมัยหนึ่งเขียนอีกอย่าง

หนงึ่ คำว่า ประเทศ แตเ่ ดิมเขียน ประเทษ คำวา่ ปักษ์ใต้ แต่เดิมเขยี น ปกั ใต้ ในปจั จุบนั เขยี น ปกั ษ์ใต้ คำว่า
ลุ่มลึก แต่กอ่ นเขียน ลุม่ ฦก ภาษาจึงมีการเปลี่ยนแปลง ทง้ั ความหมายและการเขียน บางครัง้ คำบางคำ เช่น คำ
ว่า หล่อน เป็นคำสรรพนามแสดงถึงคำพูด สรรพนามบุรุษที่ 3 ที่เป็นคำสุภาพ แต่เดี๋ยวนี้คำว่า หล่อน มี
ความหมายในเชิงดูแคลน เปน็ ตน้

การสรา้ งสรรค์
การสร้างสรรค์ คือ การรู้จักเลือกความรู้ ประสบการณ์ที่มีอยู่เดิมมาเป็นพื้นฐานในการสร้างความรู้

ความคิดใหม่ หรือสิ่งแปลกใหม่ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม บุคคลที่จะมีความสามารถในการ
สร้างสรรค์จะต้องเป็นบุคคลที่มีความคิดอิสระอยู่เสมอ มีความเชื่อมั่นในตนเอง มองโลกในแง่ดี คิดไตร่ตรอง ไม่
ตัดสินใจสิ่งใดง่ายๆ การสร้างสรรค์ของมนุษย์จะเกี่ยวเนื่องกันกับความคิด การพูด การเขียน และ
การกระทำเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งจะต้องมีการคดิ เชงิ สร้างสรรค์เป็นพ้นื ฐาน

ความคิดเชิงสร้างสรรค์เป็นความคิดที่พัฒนามาจากความรู้และประสบการณ์เดิม ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของ
การพดู การเขยี น และการกระทำเชิงสรา้ งสรรค์

การพูดและการเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการแสดงออกทางภาษาที่ใช้ภาษาขัดเกลาให้ไพเราะ งดงาม
เหมาะสม ถกู ต้องตามเน้อื หาทพี่ ดู และเขียน

การกระทำเชิงสร้างสรรคเ์ ปน็ การกระทำท่ีไม่ซ้ำแบบเดิมและคิดค้นใหม่แปลกไปจากเดิม และเป็นประโยชน์
ที่สงู ขึน้

ขอ้ มูลสารสนเทศ
ข้อมูลสารสนเทศ หมายถึง เรื่องราว ข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สามารถ

สื่อความหมายด้วยการพูดบอกเล่า บันทึกเป็นเอกสาร รายงาน หนังสือ แผนที่ แผนภาพ ภาพถ่าย บันทึกด้วย
เสยี งและภาพ บันทึกดว้ ยเครือ่ งคอมพิวเตอร์ เป็นการเกบ็ เร่อื งราวตา่ งๆ บันทกึ ไวเ้ ป็นหลักฐานด้วยวธิ ตี ่างๆ

ความหมายของคำ
คำท่ใี ช้ในการตดิ ต่อส่ือสารมคี วามหมายแบง่ ไดเ้ ป็น 3 ลักษณะ คอื
1. ความหมายโดยตรง เปน็ ความหมายท่ใี ช้พดู จากนั ตรงตามความหมาย คำหน่งึ ๆ น้ัน อาจมคี วามหมาย

ได้หลายความหมาย เช่น คำว่า กา อาจมีความหมายถึง ภาชนะใส่น้ำ หรืออาจหมายถึง นกชนิดหนึ่ง ตัวสีดำ
ร้อง กา กา เป็นความหมายโดยตรง

2. ความหมายแฝง คำอาจมีความหมายแฝงเพิ่มจากความหมายโดยตรง มักเป็นความหมายเกี่ยวกับ
ความรู้สึก เช่น คำว่า ขี้เหนียว กับ ประหยัด หมายถึง ไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย เป็นความหมายตรง แต่
ความรสู้ ึกตา่ งกัน ประหยดั เปน็ สง่ิ ดี แต่ข้เี หนียวเปน็ ส่งิ ไมด่ ี

3. ความหมายในบริบท คำบางคำมีความหมายตรง เมื่อร่วมกับคำอื่นจะมีความหมายเพิ่มเติมกว้างข้ึน
หรือแคบลงได้ เช่น คำว่า ดี เด็กดี หมายถึง ว่านอนสอนง่าย เสียงดี หมายถึง ไพเราะ ดินสอดี หมายถึง
เขยี นไดด้ ี สขุ ภาพดี หมายถงึ ไม่มีโรค ความหมายบรบิ ทเปน็ ความหมายเช่นเดียวกบั ความหมายแฝง

คุณคา่ ของงานประพันธ์
เมอ่ื ผู้อ่านอา่ นวรรณคดีหรือวรรณกรรมแลว้ จะต้องประเมินงานประพันธ์ ใหเ้ ห็นคุณคา่ ของงานประพันธ์ ทำ

ให้ผู้อ่านอา่ นอยา่ งสนุก และได้รบั ประโยชน์จาการอา่ นงานประพันธ์ คณุ คา่ ของงานประพันธ์แบ่งไดเ้ ป็น 2 ประการ
คอื

117

1. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ถ้าอ่านบทร้อยกรองก็จะพิจารณากลวิธีการแต่ง การเลือกเฟ้นถ้อยคำมาใช้ได้
ไพเราะ มีความคิดสร้างสรรค์ และให้ความสะเทือนอารมณ์ ถ้าเป็นบทร้อยแก้วประเภทสารคดี รูปแบบการเขียน
จะเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง วิธีการนำเสนอน่าสนใจ เนื้อหามีความถูกต้อง ใช้ภาษาสละสลวยชัดเจน การนำเสนอมี
ความคิดสรา้ งสรรค์ ถา้ เป็นร้อยแกว้ ประเภทบนั เทิงคดี องค์ประกอบของเรื่องไม่วา่ เร่ืองส้ัน นวนิยาย นทิ าน จะมี
แก่นเรื่อง โครงเรื่อง ตัวละครมีความสัมพันธ์กัน กลวิธีการแต่งแปลกใหม่ น่าสนใจ ปมขัดแย้งในการแต่ง
สร้างความสะเทือนอารมณ์ การใช้ถ้อยคำสร้างภาพได้ชัดเจน คำพูดในเรื่องเหมาะสมกับบุคลิกของ ตัวละครมี
ความคดิ สรา้ งสรรค์เก่ียวกับชวี ิตและสงั คม

2. คุณค่าด้านสังคม เป็นคุณค่าทางด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ ชีวิตความเป็นอยู่
ของมนุษย์ และคุณค่าทางจริยธรรม คุณค่าด้านสังคม เป็นคุณค่าที่ผูอ้ ่านจะ เข้าใจชีวติ ทั้งในโลกทศั น์และชีวทัศน์
เข้าใจการดำเนินชีวิตและเข้าใจเพื่อนมนุษย์ดีขึ้น เนื้อหาย่อมเกี่ยวข้องกับการช่วยจรรโลงใจแก่ผู้อ่าน ช่วยพัฒนา
สังคม ชว่ ยอนรุ กั ษ์สงิ่ มคี ณุ ค่าของชาตบิ า้ นเมอื ง และสนับสนุนค่านยิ มอนั ดีงาม

โครงงาน
โครงงานเป็นการจัดการเรียนรู้วิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนด้วยการค้นคว้า ลงมือปฏิบัติจริง ในลักษณะ

ของการสำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ผู้เรียนจะรวบรวมข้อมูล นำมาวิเคราะห์ ทดสอบเพื่อแก้ปัญหา
ข้องใจ ผูเ้ รยี นจะนำความร้จู ากชน้ั เรยี นมาบูรณาการในการแกป้ ัญหา คน้ หาคำตอบ เปน็ กระบวนการค้นพบนำไปสู่
การเรียนรู้ ผู้เรียนจะเกิดทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการจัดการ ผู้สอนจะเข้าใจผู้เรียน เห็นรูปแบบการ
เรียนรู้ การคิด วิธกี ารทำงานของผ้เู รยี น จากการสงั เกตการทำงานของผ้เู รยี น

การเรียนแบบโครงงานเป็นการเรียนแบบศึกษาคน้ ควา้ วธิ ีการหนึ่ง แต่เป็นการศกึ ษาค้นคว้าท่ีใช้กระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนมีเหตุผล สรุปเรื่องราวอย่างมีกฎเกณฑ์
ทำงานอยา่ งมีระบบ การเรียนแบบโครงงานไม่ใช่การศึกษาค้นคว้าจดั ทำรายงานเพยี งอย่างเดียว ต้องมกี ารวิเคราะห์
ขอ้ มลู และมกี ารสรุปผล

ทักษะการส่อื สาร
ทักษะการสื่อสาร ได้แก่ ทักษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน ซึ่งเป็นเครื่องมือของการส่งสาร

และการรับสาร การส่งสาร ได้แก่ การสง่ ความรู้ ความเชอื่ ความคิด ความรู้สึกด้วยการพูด และการเขียน ส่วน
การรบั สาร ไดแ้ ก่ การรับความรู้ ความเช่อื ความคิด ดว้ ยการอ่านและการฟัง การฝกึ ทกั ษะการสือ่ สารจงึ เป็นการ
ฝกึ ทกั ษะการพดู การฟงั การอ่าน และการเขยี น ให้สามารถ รบั สารและส่งสารอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

ธรรมชาติของภาษา
ธรรมชาติของภาษาเป็นคุณสมบัติของภาษาที่สำคัญ มีคุณสมบัติพอสรุปได้ คือ ประการที่หนึ่ง

ทุกภาษาจะประกอบดว้ ยเสียงและความหมาย โดยมรี ะเบยี บแบบแผนหรือกฎเกณฑ์ในการใช้ อยา่ งเปน็ ระบบ ประการท่ี
สอง ภาษามพี ลงั ในการงอกงามมิรสู้ ิน้ สุด หมายถงึ มนษุ ยส์ ามารถใชภ้ าษา สื่อความหมายได้โดยไมส่ ้ินสุด ประการ
ที่สาม ภาษาเป็นเรื่องของการใช้สัญลักษณ์ร่วมกันหรือสมมติร่วมกัน และมีการรับรู้สัญลักษณ์หรือสมมติร่วมกัน
เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกัน ประการที่สี่ ภาษาสามารถใช้ภาษาพูดในการติดต่อสื่อสาร ไม่จำกัดเพศของผู้ส่งสาร
ไม่ว่าหญิง ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ สามารถผลัดกันในการส่งสารและรับสารได้ ประการที่ห้า ภาษาพูดย่อมใช้ได้ทั้งใน
ปัจจุบัน อดีต และอนาคต ไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ประการที่หก ภาษาเป็นเครื่องมือการถ่ายทอดวัฒนธรรม
และวิชาความรู้นานาประการ ทำใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและการสรา้ งสรรค์สง่ิ ใหม่

118

แนวคิดในวรรณกรรม
แนวคิดในวรรณกรรมหรือแนวเรื่องในวรรณกรรมเป็นความคิดสำคัญในการผูกเรื่องให้ ดำเนินเรื่องไปตาม

แนวคดิ หรอื เปน็ ความคิดทีส่ อดแทรกในเรื่องใหญ่ แนวคิดยอ่ มเก่ียวข้องกบั มนุษย์และสังคม เป็นสารท่ีผู้เขียนส่งให้
ผู้อ่าน เช่น ความดีย่อมชนะความชั่ว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ความยุติธรรมทำให้โลกสนั ตสิ ขุ คนเราพ้นความตายไป
ไมไ่ ด้ เป็นต้น ฉะนน้ั แนวคดิ เป็นสารทผี่ ูเ้ ขียนตอ้ งการส่งให้ผู้อนื่ ทราบ เช่น ความดี ความยุติธรรม ความรกั เปน็ ต้น

บรบิ ท
บริบทเป็นคำที่แวดล้อมข้อความที่อ่าน ผู้อ่านจะใช้ความรู้สึกและประสบการณ์มากำหนดความหมายหรือ

ความเขา้ ใจ โดยนำคำแวดลอ้ มมาชว่ ยประกอบความรแู้ ละประสบการณ์ เพื่อทำ ความเขา้ ใจหรอื ความหมายของคำ

พลงั ของภาษา
ภาษาเป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์จึงสามารถเรียนรู้ภาษาเพื่อการดำรงชีวิต เป็น

เครื่องมือของการสื่อสารและสามารถพัฒนาภาษาของตนได้ ภาษาช่วยให้คนรู้จกั คิดและแสดงออกของความคิดด้วย
การพดู การเขยี น และการกระทำซ่ึงเปน็ ผลจากการคิด ถ้าไมม่ ีภาษา คนจะคิดไม่ได้ ถ้าคนมีภาษาน้อย มีคำศัพท์
น้อย ความคิดของคนก็จะแคบไม่กว้างไกล คนที่ใช้ภาษาได้ดีจะมีความคิดดีด้วย คนจะใช้ความคิดและแสดงออก
ทางความคิดเป็นภาษา ซึ่งส่งผลไปสู่ การกระทำ ผลของการกระทำส่งผลไปสู่ความคิด ซึ่งเป็นพลังของภาษา
ภาษาจึงมีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์ ช่วยให้มนุษย์พัฒนาความคิด ช่วยดำรงสังคมให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่าง
สงบสุข มีไมตรีต่อกัน ช่วยเหลือกันด้วยการใช้ภาษาติดต่อสื่อสารกัน ช่วยให้คนปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์ของสังคม
ภาษาช่วยให้มนุษย์เกิดการพัฒนา ใช้ภาษาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การอภิปรายโต้แย้ง เพื่อนำไปสู่ผลสรุป
มนุษย์ใช้ภาษาในการเรียนรู้ จดบันทึกความรู้ แสวงหาความรู้ และช่วยจรรโลงใจ ด้วยการอ่านบทกลอน ร้องเพลง
ภาษายังมีพลังในตัวของมันเอง เพราะภาพย่อมประกอบด้วยเสียงและความหมาย การใช้ภาษาใช้ถ้อยคำทำให้เกิด
ความร้สู ึกต่อผรู้ ับสาร ใหเ้ กดิ ความจงเกลยี ดจงชงั หรือเกิด ความช่ืนชอบ ความรกั ย่อมเกิดจากภาษาท้งั ส้นิ ที่นำไปสู่
ผลสรุปทม่ี ปี ระสิทธภิ าพ

ภาษาถิน่
ภาษาถิ่นเป็นภาษาพื้นเมืองหรือภาษาที่ใช้ในท้องถิ่นซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิมของชาวพื้นบ้านที่ใช้พูดจากันในหมู่

เหล่าของตน บางครั้งจะใช้คำท่ีมีความหมายต่างกันไปเฉพาะถิ่น บางครั้งคำที่ใช้พูดจากันเป็นคำเดียว ความหมาย
ตา่ งกันแล้วยังใช้สำเนียงท่ีต่างกนั จงึ มีคำกล่าวที่ว่า “สำเนียงบอกภาษา” สำเนียงจะบอกว่าเป็นภาษาอะไร และผู้
พูดเป็นคนถ่นิ ใด อย่างไรก็ตามภาษาถ่นิ ในประเทศไทยไมว่ ่าจะเปน็ ภาษาถนิ่ เหนือ ถ่ินอสี าน ถ่นิ ใต้ สามารถส่ือสาร
เข้าใจกนั ได้ เพียงแตส่ ำเนยี งแตกตา่ งกันไปเท่าน้นั

ภาษาไทยมาตรฐาน
ภาษาไทยมาตรฐานหรือบางทีเรียกว่า ภาษาไทยกลางหรือภาษาราชการ เป็นภาษาที่ใช้ สื่อสารกันท่ัว

ประเทศและเป็นภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้คนไทยสามารถใช้ภาษาราชการ ในการติดต่อสื่อสารสร้างความ
เป็นชาติไทย ภาษาไทยมาตรฐานก็คือภาษาท่ีใชก้ ันในเมืองหลวง ที่ใช้ตดิ ต่อกันทั้งประเทศ มีคำและสำเนียงภาษาที่
เป็นมาตรฐาน ต้องพูดให้ชัดถ้อยชัดคำได้ตามมาตรฐานของภาษาไทย ภาษากลางหรือภาษาไทยมาตรฐานมี
ความสำคัญในการสร้างความเป็นปึกแผ่น วรรณคดีมีการถ่ายทอดกันมาเป็นวรรณคดีประจำชาติจะใช้ภาษาท่ี เป็น
ภาษาไทยมาตรฐานในการสรา้ งสรรค์งานประพนั ธ์ ทำใหว้ รรณคดเี ปน็ เครอื่ งมือในการศึกษาภาษาไทยมาตรฐานได้

119

ภาษาพดู กับภาษาเขียน
ภาษาพูดเป็นภาษาที่ใช้พูดจากัน ไม่เป็นแบบแผนภาษา ไม่พิถีพิถันในการใช้แต่ใช้สื่อสารกันได้ดี สร้าง

ความรู้สึกที่เป็นกันเอง ใช้ในหมู่เพื่อนฝูง ในครอบครัว และติดต่อสื่อสารกันอย่างไม่เป็นทางการ
การใช้ภาษาพูดจะใชภ้ าษาทีเ่ ปน็ กันเองและสภุ าพ ขณะเดียวกนั กค็ ำนึงวา่ พูดกบั บคุ คลที่มีฐานะต่างกนั การใช้ถ้อยคำ
กต็ า่ งกันไปดว้ ยไม่คำนงึ ถงึ หลกั ภาษาหรือระเบยี บแบบแผนการใช้ภาษามากนัก

ส่วนภาษาเขียนเป็นภาษาที่ใช้เคร่งครัดต่อการใช้ถ้อยคำ และคำนึงถึงหลักภาษา เพื่อใช้ใน
การสื่อสารให้ถูกต้องและใช้ในการเขียนมากกว่าพูด ต้องใช้ถ้อยคำที่สุภาพ เขียนให้เป็นประโยค เลือกใช้ถ้อยคำที่
เหมาะสมกบั สถานการณ์ในการส่ือสาร เป็นภาษาทใี่ ชใ้ นพธิ ีการตา่ งๆ เช่น การกล่าวรายงาน กลา่ วปราศรยั กล่าว
สดุดี การประชุมอภิปราย การปาฐกถา จะระมัดระวังการใช้คำที่ไม่จำเป็นหรือคำฟุ่มเฟือย หรือการเล่นคำจน
กลายเป็นการพูดหรือเขียนเลน่ ๆ

ภูมิปญั ญาท้องถนิ่
ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Local Wisdom) บางครั้งเรียกว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นกระบวนทัศน์ (Paradigm)

ของคนในท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ เพื่อความอยู่รอด แต่คนในท้องถิ่นจะสร้าง
ความรู้จากประสบการณ์และจากการปฏิบัติ เป็นความรู้ ความคิด ที่นำมาใช้ในท้องถิ่นของตนเพื่อการดำรงชีวิตท่ี
เหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติ ผู้รู้จึงกลายเป็น ปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้เกี่ยวกับภาษา ยารักษาโรคและ
การดำเนินชีวติ ในหมบู่ ้านอย่างสงบสุข

ภูมิปญั ญาทางภาษา
ภูมปิ ัญญาทางภาษาเป็นความรทู้ างภาษา วรรณกรรมท้องถน่ิ บทเพลง สภุ าษติ คำพงั เพยในแต่ละท้องถิ่น

ที่ได้ใช้ภาษาในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมทางสังคมที่ต่างกัน โดยนำภูมิปัญญาทาง
ภาษาในการสั่งสอนอบรมพิธีการต่างๆ การบันเทิงหรือการละเล่น มีการแต่งเป็นคำประพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ทั้ง
นิทาน นิทานปรัมปรา ตำนาน บทเพลง บทร้องเล่น บทเห่กล่อม บทสวดต่างๆ บททำขวัญ เพื่อประโยชน์ทาง
สงั คมและเปน็ สว่ นหนงึ่ ของวัฒนธรรมประจำถ่ิน

ระดับภาษา
ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่คนในสังคมจะต้องใช้ภาษาให้ถูกต้องกับสถานการณ์และโอกาสที่ใช้ภาษา บุคคลและ

ประชุมชน การใช้ภาษาจึงแบ่งออกเป็นระดับของการใช้ภาษาได้หลายรูปแบบ ตำราแต่ละเล่มจะแบ่งระดับภาษา
แตกตา่ งกันตามลกั ษณะของสมั พนั ธภาพของบุคคลและสถานการณ์

การแบ่งระดับภาษาประมวลไดด้ งั น้ี
1. การแบง่ ระดบั ภาษาทเี่ ปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ

1.1 ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาที่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการประชุม ในการกล่าว
สนุ ทรพจน์ เปน็ ต้น

1.2 ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาที่ไม่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการสนทนา
การใช้ภาษาในการเขียนจดหมายถึงผูค้ ุน้ เคย การใช้ภาษาในการเลา่ เร่ืองหรือประสบการณ์ เป็นต้น

2. การแบ่งระดับภาษาที่เป็นพิธีการกับระดับภาษาที่ไม่เป็นพิธีการ การแบ่งภาษาแบบนี้เป็น
การแบง่ ภาษาตามความสมั พนั ธ์ระหว่างบุคคลเป็นระดบั ดังน้ี

2.1 ภาษาระดับพิธีการ เป็นภาษาแบบแผน
2.2 ภาษาระดบั กง่ึ พธิ ีการ เป็นภาษาก่ึงแบบแผน
2.3 ภาษาระดบั ที่ไม่เปน็ พิธีการ เปน็ ภาษาไมเ่ ปน็ แบบแผน

120

3. การแบ่งระดับภาษาตามสภาพแวดลอ้ ม โดยแบ่งระดบั ภาษาในระดับยอ่ ยเปน็ 5 ระดับ คือ
3.1 ภาษาระดับพธิ กี าร เชน่ การกล่าวปราศรัย การกล่าวเปดิ งาน
3.2 ภาษาระดบั ทางการ เช่น การรายงาน การอภปิ ราย
3.3 ภาษาระดับกึง่ ทางการ เช่น การประชมุ อภิปราย การปาฐกถา
3.4 ภาษาระดบั การสนทนา เช่น การสนทนากับบคุ คลอยา่ งเป็นทางการ
3.5 ภาษาระดับกนั เอง เชน่ การสนทนาพดู คุยในหมูเ่ พอื่ นฝงู ในครอบครัว

วิจารณญาณ
วิจารณญาณ หมายถึง การใช้ความรู้ ความคิด ทำความเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างมีเหตุผล

การมีวิจารณญาณต้องอาศัยประสบการณ์ในการพิจารณาตัดสินสารด้วยความรอบคอบ และอย่างชาญฉลาดเป็นเหตุเป็น
ผล

121

ภาคผนวก ข

คำสั่งโรงเรยี นบา้ นวังตาอินทร์

- แต่งตั้งคณะกรรมการปรับปรุงหลักสูตรโรงเรียนบ้านวงั ตาอินทร์ พ.ศ. 2564 ตามหลกั สูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551

- คำสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการบรหิ ารหลกั สูตร และงานวชิ าการสถานศึกษาขั้นพน้ื ฐาน

122

123

124

125

126

ภาคผนวก ค

ประกาศ/คำส่ัง กระทรวงภศากึคษผานธวิกการค

- คำสั่ง ให้ใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระ

ประกาศ...ภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร

แกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
- คำส่งั ให้เปล่ียนแปลงมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชว้ี ดั กลมุ่ สาระการเรียนร้คู ณิตศาสตร์ และ

วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551
- คำส่งั ยกเลกิ มาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ชีว้ ดั สาระท่ี 2 การออกแบบและเทคโนโลยี และสาระท่ี 3

เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร ในกลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี ตามหลกั สตู ร
แกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 และเปลย่ี นชอื่ กลมุ่ สาระการเรียนรู้

- คำสงั่ การปรับปรุงโครงสร้างเวลาเรยี น ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช
2551

- ประกาศ การบริหารจดั การหลกั สตู รสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรยี นร้คู ณติ ศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551

- ประกาศ การบรหิ ารจัดการเวลาเรียนของสถานศึกษาขัน้ พื้นฐาน

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

คณะผจู้ ดั ทำ

คณะผู้จัดทำหลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทคยณะผู้จัดทำ
1. นายนพิ นธ์ จันทะโพธ์ิ หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้

2. นางสาวลักขณา นารอด ครผู สู้ อน

คณะบรรณาธิการ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านวังตาอนิ ทร์
1. นางวาสนา นำ้ เพ็ชร หัวหนา้ กลุ่มบรหิ ารวิชาการ
2. นางรงั สิมา จนั ทะโพธ์ิ หัวหนา้ งานวิชาการช่วงชนั้ 2
3. นางสาวเสาวณีย์ แตงฉ่ำ หัวหนา้ งานวิชาการช่วงชนั้ 1
4. นางสาวลักขณา นารอด หวั หน้ากล่มุ พฒั นาหลกั สูตรสถานศกึ ษา
3. นางสาวอรนชุ ชะโลมทพิ ย์

จดั พมิ พต์ ้นฉบับ หัวหน้ากลมุ่ พัฒนาหลักสูตรสถานศกึ ษา
นางสาวอรนชุ ชะโลมทิพย์

142


Click to View FlipBook Version