The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือหลักภาษา ม.6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by FO LK, 2023-02-17 01:48:27

หนังสือหลักภาษา ม.6

หนังสือหลักภาษา ม.6

พิชิตภูมิรู้ หลักภาษาไทย หลักภาษาใครก็ว่าง่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เรียบเรียงโดย ภัทรภร โพธิ์สุ และ ธนกร ขันทวุธ


คำ นำ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้ กำ หนดให้ภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาประจำ ชาติ เป็นรายวิชาพื้นฐานที่ผู้ เรียนทุกคนต้องเรียน เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนให้สามารถใช้ภาษา ไทยได้อย่างถูกต้องตามหลักภาษาไทย และเกิดความรู้ความเข้าใจใน เอกลักษณ์ทณ์างภาษาของชาติ ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ขณ์องชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอัน ทำ ให้เกิดเอกภาพและเป็นเครื่องมือที่ใช้สำ หรับติดต่อสื่อสารเพื่อสร้าง ความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีของคนในชาติ นอกจากนี้ ยังเป็น เครื่องมือสำ คัญที่ช่วยในการแสวงหาความรู้ ทั้งจากหนังสือและแหล่ง ข้อมูลสารสนเทศต่างๆ ทั้งนี้ ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ และ เลือกสรรใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง เพื่อธำ รงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ขณ์องชาติ ไทยและสามารถนำ ไปใช้พัฒนาทักษณะอาชีพต่างๆ เพื่อประโยชน์ขน์อง ตนเองและสังคม สำ หรับหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๖ นี้ ทางคณะผู้เรียบเรียงได้รวบรวมเนื้อหาไว้ในเล่มเดียว ในหนังสือ เล่มนี้มีทั้ง เนื้อหา แบบฝึกหัดท้ายบท และเฉลยแบบฝึกหัดท้ายบท หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษา นี้มีเนื้อหามุ่งเน้นน้ ให้ผู้เรียนเข้าใจภาษาไทยอย่างถ่องแท้ มีทักษะการใช้ ภาษาเพื่อการสื่อสาร รวมทั้งมีความคิดแจ่มชัดและสามารถนำ ภาษาไป ปรับใช้ในชีวิตประจำ วัน ทั้งคำ ราชาศัพท์ การใช้คำ ภาษาต่างประเทศ ในภาษาไทย ธรรมชาติของภาษา และการแต่งคำ ประพันธ์ประเภท ฉันท์ ทั้งนี้การที่ผู้เรียนจะสามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำ เป็นต้องเรียนรู้ จดจำ ฝึกปฏิบัติ และนำ ไปใช้ คณะผู้เรียบเรียงจึงมีความมั่นใจว่า สถานศึกษาที่เลือกใช้หนังสือ เรียนชุดนี้จะสามารถพัฒนาคุณภาพและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ ผู้เรียนได้ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดหลักสูตรแกนกลาง การ ศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ – ๖ ทุกประการ ก


หน้าน้ คำ นำ ก สารบัญ ข บทที่ ๑ ระดับภาษาและคำ ราชาศัพท์ ระดับภาษา คำ ราชาศัพท์ แบบฝึกหัดท้ายบท 1-16 17 บทที่ ๒ ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย และภาษาถิ่น ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ภาษาถิ่น แบบฝึกหัดท้ายบท 18-26 27 บทที่ ๓ ธรรมชาติของภาษา ธรราชาติของภาษา พลังของภาษา ลักษณะของภาษา แบบฝึกหัดท้ายบท 27-38 39 บทที่ ๔ การใช้คำ และกลุ่มคำ สร้างประโยค การใช้คำ กลุ่มคำ สร้างประโยค แบบฝึกหัดท้ายบท 40-53 54 บทที่ ๕ การแต่งคำ ประพันธ์ประเภท "ฉันท์" - ความสำ คัญของการแต่งคำ ประพันธ์ - การแต่งคำ ประพันธ์ประเภทฉันท์ แบบฝึกหัดท้ายบท 55-62 63 อ้างอิง 64 สารบัญ เรื่อง ข


ระดับภาษา และ คำ ราชาศัพท์ บทที่ ๑ ๑


๑.ระดับภาษา ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่มีความสำ คัญอย่างมากต่อชีวิตมนุษย์ แม้ว่าภาษาจะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่ ภาษาเข้ามามีบทบาทต่อการดำ เนินชีวิตมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม จำ เป็นจะต้องอยู่ร่วมกัน มีการปฏิสัมพันธ์และติดต่อสื่อสารกัน มนุษย์จึงต้องใช้ภาษาเพื่อเป็นสื่อกลางใน การสื่อสารความหมายให้เกิดความเข้าใจกัน ทั้งนี้ การใช้ภาษาต้องคำ นึงถึงฐานะของบุคคลและโอกาสที่ต้องการสื่อสาร เนื่องจากภาษาไทยแบ่ง ระดับการใช้ภาษาออกเป็นหลายระดับ ผู้ใช้ภาษาจึงต้องควรเลือกใช้ระดับภาษาให้เหมาะสมตาม สัมพันธภาพของบุคคล เพราะหากใช้ภาษาผิดระดับหรือไม่เหมาะสมจะทำ ให้การสื่อสารไม่สัมฤทธิผลตามที่ ต้องการ ระดับภาษา หมายถึง ความลดหลั่นของถ้อยคำ และการเรียบเรียงถ้อยคำ ที่ใช้ โดยพิจารณาตาม โอกาสหรือกาลเทศะ เช่น ภาษาระดับพิธีการ ภาษาระดับทางการหรือภาษาราชการ ภาษาระดับกันเอง เป็นต้น ๑.๑ การแบ่งระดับภาษา ภาษาที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ได้มีระดับเดียว หากแต่มีหลายระดับภาษาแล้วแต่การใช้งาน ระดับ ของภาษา หมายถึง ความลดหลั่นของถ้อยคำ และการเรียบเรียงถ้อยคำ ที่ใช้โดยพิจารณาตามโอกาสหรือ กาลเทศะ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นผู้สื่อสารระดับภาษา สามารถจำ แนกตามประเภทของการใช้ได้ ๕ ประเภท ดังนี้ ๑.๑.๑ ภาษาระดับพิธีการ ภาษาระดับพิธีการ เป็นภาษาที่สมบูรณ์แบบ รูปประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์มี ความประณีตงดงาม อาจใช้ประโยคที่ซับซ้อน และใช้คำ ระดับสูง ภาษาระดับนี้ จะใช้ในโอกาสสำ คัญ ๆ เช่น งานราชพิธี วรรณกรรมชั้นสูง เป็นต้น ๑.๑.๒ ภาษาระดับทางการ ภาษาระดับทางการ หรือ ภาษาทางการ / ภาษาราชการเป็นภาษาที่สมบูรณ์แบบรูป ประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เน้นความชัดเจน ตรงประเด็นใช้ในโอกาสสำ คัญที่เป็นทางการ เช่น หนังสือราชการ วิทยานิพนธ์ รายงานทางวิชาการ การกล่าวปราศรัย การกล่าวเปิดงานสำ คัญ ๆ เป็นต้น บทที่ ๑ ระดับภาษาและคำ ราชาศัพท์ ๒


๑.๑.๓ ภาษาระดับกึ่งทางการ ภาษาระดับนี้คล้ายกับภาษาระดับทางการ แต่ลดความเป็นการเป็นงานลงบ้างมักใช้ในการ ประชุมกลุ่ม ที่เล็กกว่าการประชุมที่ต้องใช้ภาษาระดับทางการ เช่น ในการประชุมกลุ่มย่อย การบรรยายใน ห้องเรียน เนื้อหาข่าวและบทความในหนังสือพิมพ์มักใช้ภาษาที่ทำ ให้รู้สึกคุ้นเคยมากกว่าภาษาในระดับทางการ และใช้ศัพท์เฉพาะเท่าที่จำ เป็น ๑.๑.๔ ภาษาระดับไม่เป็นทางการ ภาษาระดับไม่เป็นทางการ เป็นภาษาที่ไม่เคร่งครัดตามแบบแผน เพื่อใช้ในการสื่อสาร ทั่วไปในชีวิตประจำ วันหรือโอกาสทั่ว ๆ ไปที่ไม่เป็นทางการ ใช้ในการสนทนาระหว่างบุคคลหรือกลุ่มเล็กๆ ใน สถานที่และโอกาสที่ไม่เป็นการส่วนตัว เช่น ในการเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน ภาษาที่ใช้อาจมีถ้อยคำ ที่เคยใช้ กันเฉพาะกลุ่ม ๑.๑.๕ ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับกันเองหรือภาษาปาก เป็นภาษาพูดที่ใช้สนทนากับบุคคลที่ สนิทคุ้นเคยใช้สถานที่ส่วนตัว หรือในโอกาสที่ต้องการความสนุกสนานครื้นเครง ภาษาที่ใช้เป็นภาษาพูดที่ไม่ เคร่งครัด อาจมีคำ ตัด คำ สแลง คำ ด่า คำ หยาบปะปน โดยทั่วไปไม่นิยมใช้ในภาษาเขียน ยกเว้นงานเขียนบาง ประเภท เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย ภาษาข่าวหนังสือพิมพ์ ฯลฯ ตารางสรุประดับภาษา ๓


๑.๒ คำ สแลง ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสูญไปเช่น เดียวกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ปัจจุบันมีภาษาเกิดขึ้นใหม่ไม่ขาดสายตามวิวัฒนาการของสังคมและ วัฒนธรรมเช่น ภาษาวิชาการ ภาษาเฉพาะวิชาชีพ ภาษาที่ใช้เรียกสิ่งที่เป็นนวัตกรรมต่าง ๆ เป็นต้น และมีภาษาอีกลักษณะหนึ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มคนในสังคมเป็นภาษาที่สร้างสีสัน สร้าง ความแปลกใหม่ได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่มในเวลาสั้น ๆ แล้วเสื่อมสูญไป ภาษาชนิดนี้เรียกว่า ภาษาสแลง คำ สแลง หรือคำ คะนอง ๑) ภาษาสแลง คือ คำ สแลง คำ ย่อ หรือคำ ตลาด คือ ถ้อยคำ หรือสำ นวนที่ใช้เข้าใจกันเฉพาะกลุ่ม หรือชั่วระยะเวลาหนึ่งไม่ใช่ภาษาที่ยอมรับกันว่าถูกต้อง เนื่องจากภาษาไทยสมัยนี้เริ่มมีการ เปลี่ยนแปลงให้เป็นภาษาวิบัติ จึงทำ ให้ชาวต่างชาติที่เรียนภาษาไทยไม่เข้าใจความหมาย และไม่ สามารถเปิดหาคำ ศัพท์เหล่านี้ได้ เช่น กิ๊ก ( บุคคลที่มีความสัมพันธ์อย่างคู่รักแต่ไม่ใช่คู่รัก ) กาก ( อ่อนหรือทำ อะไรไม่ได้เรื่อง ) แหล่ม ( แจ่ม, เด็ด, เยี่ยม ) เนียน ( ทำ เป็นเฉย ไม่รู้ไม่สน ส่วนใหญ่ใช้กับการแฝงตัว หรือกลบเกลื่อน ) รั่ว ( บ้า ๆ บอ ๆ ทำ ตัวหลุดโลกสุด ๆ ) ฉะนั้น คำ สแลงมักเป็นภาษาเขียนที่ไม่เป็นแบบแผน มักใช้เขียนบทสนทนา และ เรื่องส่วนตัวการสร้างประโยคไม่คำ นึงถึงความถูกต้องของหลักภาษา ภาษาที่ไม่เป็นแบบแผน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ คือ ภาษาปาก และภาษาต่ำ ๑.๑) ภาษาปาก ภาษาปาก ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายไว้ ว่า “ ภาษาพูดที่แสดงถึงความคุ้นเคย ไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นภาษาพิธีการ” เป็นระดับภาษาที่มักใช้พูดกันในชีวิตประจำ วันกับบุคคลในครอบครัว และบุคคล ทั่วไป เช่น ในการติดต่อซื้อขาย การประกอบอาชีพ การโฆษณาทางสื่อต่าง ๆ เช่น กินขาด, ไก่โห่, ขาใหญ่, ขี้ตา, ขี้เมฆ, คอม, แดก, ทีวี, ปั๊ม เป็นต้น ๑.๒) ภาษาต่ำ เป็นระดับภาษาที่จัดเป็นภาษาไม่สุภาพ ไม่คำ นึงถึงความถูกต้องของหลักภาษา อาจมีการใช้คำ หยาบ คำ ที่ส่อไปในทางหยาบคาย คำ สแลง หรือที่เรียกว่า “คำ ตลาด” ภาษา ระดับนี้ไม่เหมาะที่จะใช้สื่อสารโดยทั่วไป และไม่ควรนำ มาใช้กับบุคคลที่อาวุโสกว่าหรือในสถานที่ สาธารณะ ๔


๑.๓ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกใช้ระดับภาษา ปัจจัยที่กำ หนดการเลือกใช้ระดับภาษาเพื่อการสื่อสาร ดังนี้ ๑.๓.๑ โอกาสและสถานที่ เป็นปัจจัยที่กำ หนดเลือกใช้ระดับภาษา ถ้าสื่อสารกับบุคคลกลุ่มใหญ่ หรือในที่ ประชุม ภาษาที่ใช้จะต่างระดับกันกับการสื่อสารที่บ้าน ซึ่งโอกาสในการใช้ระดับภาษาสามารถ แบ่งออกเป็น ๒ โอกาส โอกาสอย่างเป็นทางการ คือ โอกาสสำ คัญต่าง ๆ ที่เป็นพิธีการ ระดับภาษาที่ใช้ จะเป็นภาษาระดับแบบแผน เช่น งานพระราชพิธีต่าง ๆ การกล่าวสุนทรพจน์ การกล่าวเปิด ประชุม ส่วนการเขียนจะใช้ในการเขียนรายงานทางวิชาการ กิตติกรรมประกาศ เอกสารต่าง ๆ ของทางราชการ เป็นต้น โอกาสที่ไม่เป็นทางการ ทั้งที่เป็นการติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจำ วัน และการ ติดต่อกันทางด้านธุรกิจต่าง ๆ ระดับภาษาที่ใช้อาจเป็นภาษากึ่งแบบแผน หรือภาษาไม่เป็น แบบแผน ๑.๓.๒ สัมพันธภาพระหว่างบุคคล เป็นปัจจัยในการใช้ระดับภาษาที่บุคคลสื่อสารกันรวมทั้งยังต้องคำ นึงถึงเรื่อง โอกาสในการใช้ด้วย เช่น บุคคลที่เป็นเพื่อนกันเมื่อกล่าวในที่ประชุมก็ไม่สามารถใช้ภาษาระดับ เดียวกันกับที่เคยใช้พูดคุยกันตามลำ พังได้ ๑.๓.๓ ลักษณะของเนื้อหา เนื้อหาของสารมีความเกี่ยวข้องกับโอกาสในการสื่อสาร เช่น เนื้อหาส่วนตัวไม่นำ ไปใช้ในโอกาสที่ต้องใช้ในโอกาสที่ต้องใช้ภาษาระดับแบบแผน ถ้าใช้ภาษาไม่เหมาะสมก็จะ ทำ ให้การสื่อสารไม่ประสบผลสำ เร็จตามที่ต้องการได้ ๑.๓.๔ สื่อที่ใช้ เป็นปัจจัยสำ คัญอีกประการหนึ่งที่ทำ ให้ระดับภาษาแตกต่างกัน เช่น การเขียน จดหมายส่วนตัวปิดผนึกซองจะใช้ระดับภาษาไม่เหมือนกับการเขียนสื่อสารลงบนไปรษณียบัตร การบอกเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตนเองกับการประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงภาษาที่ใช้พูดก็จะมี ความแตกต่างกัน เป็นต้น ๑.๔ ลักษณะของภาษาในระดับต่าง ๆ ลักษณะของภาษาในระดับต่าง ๆ จะกล่าวในประเด็นการเขียนเรียบเรียงประโยค กลวิธี การนำ เสนอ และถ้อยคำ ที่ใช้ ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้ ๕


๑.๔.๑) ลักษณะของภาษาแบบแผน มีดังนี้ ๑) การเขียนเรียบเรียงประโยค ในภาษาแบบแผนทั้งผู้พูด และผู้เขียนจะต้อง ระมัดระวังการใช้ภาษาให้สละสลวย เนื้อหาให้มีความต่อเนื่องกลมกลืนกันอย่างมีระเบียบ เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ กล่าวคำ ปราศรัย หรือกล่าวต้อนรับ มักเตรียมวาทนิพนธ์ไว้ล้วงหน้า หาก เป็นหนังสือราชการก็จะเขียนอย่างมีระบบแบบแผน โดยกล่าวถึงจุดประสงค์ของเรื่องอย่างตรง ไปตรงมมา อาจมีการประกอบกับเหตุผล ความต้องการ ความจำ เป็น ประสงค์ให้ผู้รับสารทราบ หรือให้กระทำ การอย่างใดอย่างหนึ่ง การเขียนบทความใช้ภาษาระดับแบบแผนก็เช่นกัน เนื้อหาจะเรียบเรียไปตามลำ ดับ เช่น เริ่มเรื่องด้วยความจำ เป็นที่จะต้องให้รู้ อาจมีตัวอย่างประกอบแล้วจบลงด้วยแนวทางที่จะนำ ความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นต้น ฺ๒) กลวิธีการนำ เสนอ ภาษาแบบแผนจะนำ เสนอตามรูปแบบที่กำ หนดไว้แล้ว เช่น คำ กราบบังคมทูล หรือคำ กล่าวรายงานจะต้องใช้คำ ขึ้นต้น และคำ ลงท้ายตามแบบแผนที่ กำ หนด ถ้าเป็นการนำ เสนอทางวิทยุ โทรทัศน์ เช่น ประกาศหรือแถลงการณ์จะใช้ระดับภาษาที่ ไม่เจาะจงสื่อสารไปที่ผู้ใด แต่มุ่งไปสู่สาธารณชนเป็นหลัก ในการเขียนหนังสือราชการหรือธุรกิจ ระหว่างหน่วยงาน มักสื่อสารกันระหว่างตำ แหน่งในนามของหน่วยงานนั้น ๆ ๓) ถ้อยคำ ที่ใช้ ภาษาที่ใช้ในระดับแบบแผนจะใช้สรรพนานบุรุษที่ ๑ ได้แก่ กระผม ผม ดิฉัน และข้าพเจ้า สรรพนามฝ่ายผู้รับมักใช้ ท่าน ท่านทั้งหลาย ดังตัวอย่าง ๖


๑.๔.๒) ลักษณะของภาษากึ่งแบบแผน ๑) การเขียนเรียบเรียงประโยค ลักษณะการเขียนเรียบเรียงประโยคของภาษา กิ่งแบบแผน ทั้งผู้พูดและผู้เขียนจะต้องระมัดระวังการใช้ภาษาเช่นเดียวกับการเขียนเรียบเรียง ประโยคของภาษา แบบแผน สำ หรับภาษากึ่งแบบแผนซึ่งมีการโต้ตอบและอภิปราย การพูดอาจ ไม่เรียงลำ ดับหรือไม่ เป็นระเบียบบ้าง อาจพูดในสิ่งที่ตนอยากรู้ อยากจะพูด ถือเป็นหน้าที่ของ ผู้นำ การพูดที่จะต้อง พยายามนำ เข้าสู่ประเด็น เพื่อให้การพูดหรือการอภิปรายตรงตาม ๒) กลวิธีการนำ เสนอ การใช้ภาษาถึงแบบแผนจะไม่มีรูปแบบวิธีการนำ เสนอที่ ตายตัว ขึ้น อยู่กับความประสงค์ของผู้ส่งสาร ๓) ถ้อยคำ ที่ใช้ ภาษาที่ใช้ในระดับกึ่งแบบแผน ผู้ส่งสารและรับสารจะใช้สรรพนาม แทน ตนเองและผู้รับสารเช่นเดียวกับระดับภาษาแบบแผน ดังตัวอย่าง ๑.๔.๓) ลักษณะภาษาที่ไม่เป็นแบบแผน ๑) การเขียนเรียบเรียงประโยค ภาษาระดับไม่เป็นแบบแผน ไม่จำ เป็นต้องมี ระเบียบ เพียง แต่จะพูดเพื่อสื่อสารให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ๒) กลวิธีการนำ เสนอ ภาษาไม่เป็นแบบแผนจะไม่มีรูปแบบการนำ เสนอที่ตายตัว เช่น เดียวกันกับภาษาระดับกึ่งแบบแผน แต่อาจจะใช้น้ำ เสียงแสดงความคุ้นเคยหรือแสดงความรู้สึกได้ ๓) ถ้อยคำ ที่ใช้ ภาษาระดับไม่เป็นแบบแผน สรรพนามที่ใช้แทนตัวผู้ส่งสาร เช่น ฉัน ผม ดิฉัน กัน เรา หนู สรรพนามแทนผู้รับสาร เช่น เธอ คุณ ท่าน ตัว แก การใช้ระดับภาษาเป็นเรื่องของความเหมาะสมในการใช้คำ ตามสัมพันธภาพระหว่าง บุคคล โอกาสและกาลเทศะ เพื่อให้สัมฤทธิผลสมความมุ่งหมาย การใช้ภาษาให้เหมาะสมกับบุคคล เป็นการ แสดงวัฒนธรรมทางภาษาที่ดีงาม ผู้ที่ใช้ภาษาได้เหมาะสมกับบุคคลและใช้ได้อย่างถูกต้อง จะได้รับ การยกย่องว่าเป็นผู้มีมารยาท รู้จักการใช้ภาษาได้ดี และมีวัฒนธรรมทางภาษาที่ดีงามอีกด้วย ๗


๒. คำ ราชาศัพท์ ๒.๑ ความหมายของคำ ราชาศัพท์ คำ ราชาศัพท์ หมายถึง กลุ่มคำ ศัพท์ที่มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นคำ ที่ใช้กับ พระมหากษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ เช่น พระเนตร เสด็จพระราชดำ เนิน เสวย เป็นต้น นอกจากนี้ พระยา ศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “คำ ราชาศัพท์” เป็นถ้อยคำ ภาษาที่ผู้ทำ ราชการพึงศึกษา จดจำ ไว้ใช้ให้ถูก ในการกราบบังคมทูล การเขียนหนังสือ รวมไปถึงการแต่งคำ ประพันธ์กวีนิพนธ์ ซึ่งจะกล่าวถึงผู้ใด สิ่งใด ก็ควรใช้ให้สมความ และไม่ให้ผิดไปจากแบบแผน ธรรมเนียมปฏิบัติ คำ ราชาศัพท์มีหลักเกณฑ์การใช้ที่เป็นแบบแผน ได้รับการยอมรับ และสืบทอดต่อ ๆ กันมา สอดคล้องกับธรรมชาติและถูกต้องตามหลักภาษาไทย มีความไพเราะน่าฟัง ดังนั้นการใช้คำ ราชาศัพท์ นอกจากจะเป็นการรักษาแบบแผนทางภาษาไว้แล้ว ยังเป็นการแสดงออกความเคารพที่ บุคคล พึงมีต่อบุคคลที่ควรแก่การเคารพ กล่าวคือ การใช้คำ ราชาศัพท์ให้ถูกต้องเป็นวิธีการแสดง ความ เคารพ เทิดทูนประการหนึ่งซึ่งเป็นรูปธรรมแก่พระเจ้าแผ่นดินให้สูงกว่าบุคคลอื่น และรวมถึง การ ถวายพระเกียรติให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์อีกประการหนึ่ง ๒.๒ ที่มาของคำ ราชาศัพท์ คำ ราชาศัพท์ที่ปรากฎำ ใช้อยู่ในปัจจุบันมีที่มาแตกต่างกัน ดังนี้ ๒.๒.๑ ราชาศัพท์ที่มาจากคำ ไทยแท้ ราชาศัพท์ที่ผูกขึ้นมาจากคำ ไทยแท้ มีดังนี้ ๑) คำ ที่ใช้เรียกเครือญาติ เช่น พี่ น้อง อาจแปลงให้เป็นราชาศัพท์เพื่อใช้สำ หรับ กษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ได้ โดยนำ กลุ่มคำ อื่นมาประกอบ เช่น ** ข้อสังเกต ** คำ ไทยแท้บางคำ ที่ใช้สำ หรับเครือญาติอาจใช้วิธีการแปลงให้เป็นคำ ราชาศัพท์โดย นำ กลุ่มคำ อื่นมาประกอบไม่ได้เสมอไป เช่น ลุง คำ ราชาศัพท์ใช้ว่า พระปิตุลา ๘


๒) คำ ที่ใช้เรียกส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กราม เต้านม มีวิธีการแปลงให้เป็นคำ ราชาศัพท์ ดังนี้ ** ข้อสังเกต ** คำ ไทยแท้ซึ่งเป็นคำ นามแล้วนำ มาแปลงเป็นคำ ราชาศัพท์ โดยใช้คำ ว่า “ พระ ” เติมหน้าคำ นั้นมีน้อยมาก โดยส่วนใหญ่จะแปลงให้เป็นคำ ราชาศัพท์โดยไม่ใช้คำ เดิม เช่น ๓) คำ ที่ใช้เรียกกิริยาอาการ เช่น ถาม ไอ จาม ยืน ขี่ม้า เล่นดนตรี เป็นต้น มีวิธีการ แปลงให้เป็นราชาศัพท์ โดยใช้คำ “ทรง” เติมหน้าคำ ดังนี้ ๙


** ข้อสังเกต ** คำ ไทยแท้ที่นำ มาแปลงให้เป็นราชาศัพท์ ด้วยวิธีการเติม “ทรง” หน้าคำ นั้น ๆ ยังมีอยู่อีกเป็นจำ นวนมากนอกเหนือจากตัวอย่างที่ยกมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ วิธีการเช่นนี้ ได้กับคำ ไทยทุกคำ ที่เป็นกริยาหรือนาม เช่น ไหว้ ราชาศัพท์ใช้ว่า ทรงคม หรือ อ้วน ราชาศัพท์ ใช้ว่า ทรงห่วงพี่ หรือ ทรงพระเจริญ ๔) คำ ที่ใช้เรียกสิ่งขอเครื่องใช้ทั่วไป เช่น ที่นั่ง แส้ เก้าอี้ มีวิธีการแปลงให้เป็นคำ ราชาศัพท์ ดังนี้ ๒.๓) ราชาศัพท์ที่มาจากภาษาอื่น ราชาศัพท์ที่ผูกขึ้นมาจากคำ ที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศ มีดังนี้ ๑) คำ ที่ใช้เรียกเครือญาติ เช่น ปู่ ตา เมื่อแปลงเป็นคำ ราชาศัพท์ จะใช้คำ ที่มาจากภาษา บาลี คือ อัยกา ทั้งนี้การใช้จะขึ้นอยู่กับอิสริยศักดิ์ เช่น ๑๐


** ข้อสังเกต ** คำ ไทยแท้ที่นำ มาแปลงให้เป็นราชาศัพท์ ด้วยวิธีการเติม “ทรง” หน้าคำ นั้น ๆ ยังมีอยู่อีกเป็นจำ นวนมากนอกเหนือจากตัวอย่างที่ยกมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ วิธีการเช่นนี้ ได้กับคำ ไทยทุกคำ ที่เป็นกริยาหรือนาม เช่น ไหว้ ราชาศัพท์ใช้ว่า ทรงคม หรือ อ้วน ราชาศัพท์ ใช้ว่า ทรงห่วงพี่ หรือ ทรงพระเจริญ ๕) คำ ที่ใช้เรียกสิ่งขอเครื่องใช้ทั่วไป เช่น ที่นั่ง แส้ เก้าอี้ มีวิธีการแปลงให้เป็นคำ ราชาศัพท์ ดังนี้ ๒.๓) ราชาศัพท์ที่มาจากภาษาอื่น ราชาศัพท์ที่ผูกขึ้นมาจากคำ ที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศ มีดังนี้ ๑) คำ ที่ใช้เรียกเครือญาติ เช่น ปู่ ตา เมื่อแปลงเป็นคำ ราชาศัพท์ จะใช้คำ ที่มาจากภาษา บาลี คือ อัยกา ทั้งนี้การใช้จะขึ้นอยู่กับอิสริยศักดิ์ เช่น ๑๑


** ข้อสังเกต ** คำ ไทยแท้ที่นำ มาแปลงให้เป็นราชาศัพท์ ด้วยวิธีการเติม “ทรง” หน้าคำ นั้น ๆ ยังมีอยู่อีกเป็นจำ นวนมากนอกเหนือจากตัวอย่างที่ยกมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ วิธีการเช่นนี้ ได้กับคำ ไทยทุกคำ ที่เป็นกริยาหรือนาม เช่น ไหว้ ราชาศัพท์ใช้ว่า ทรงคม หรือ อ้วน ราชาศัพท์ ใช้ว่า ทรงห่วงพี่ หรือ ทรงพระเจริญ ๕) คำ ที่ใช้เรียกสิ่งขอเครื่องใช้ทั่วไป เช่น ที่นั่ง แส้ เก้าอี้ มีวิธีการแปลงให้เป็นคำ ราชาศัพท์ ดังนี้ ๒.๓) ราชาศัพท์ที่มาจากภาษาอื่น ราชาศัพท์ที่ผูกขึ้นมาจากคำ ที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศ มีดังนี้ ๑) คำ ที่ใช้เรียกเครือญาติ เช่น ปู่ ตา เมื่อแปลงเป็นคำ ราชาศัพท์ จะใช้คำ ที่มาจากภาษา บาลี คือ อัยกา ทั้งนี้การใช้จะขึ้นอยู่กับอิสริยศักดิ์ เช่น ๑๒


๒) คำ ที่ใช้เรียกส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อจะแปลงให้เป็นราชาศัพท์ จะใช้คำ ที่มาจากภาษาอื่น แล้วเติมคำ “พระ” ข้างหน้า เช่น ๓) คำ ที่ใช้เรียกกิริยาอาการ เช่น ป่วย, เจ็บไข้ เมื่อแปลงให้เป็นราชาศัพท์ จะใช้ คำ ที่มาจากภาษาอื่น แล้วเติมคำ นำ หน้าให้เหมาะสมกับอิสริยศักดิ์ ** ข้อสังเกต ** คำ ที่ถือว่าเป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว ไม่จำ เป็นต้องแปลงให้เป็นราชาศัพท์ด้วย วิธีการต่าง ๆ ดังที่นำ เสนอ เช่น รับสั่ง ตรัส เสวย กริ้ว ประทาน โปรด ๑๓


๔) คำ ที่ใช้เรียกชื่อสิ่งของเครื่องใช้ทั่ว ๆ ไป เช่น ต่างหู แหวน เมื่อจะแปลง ให้เป็น ราชาศัพท์จะใช้คำ จากภาษาอื่น แล้วเติมคำ “พระ” นำ หน้า เช่น ๕) การใช้ราชาศัพท์ ราชาศัพท์เป็นการใช้ภาษาที่สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรม อันดีงาม ของไทย ซึ่งควรใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมและคำ นึงถึงลำ ดับพระราชวงศ์ ดังนี้ ลำ ดับที่ ๑ พระมหากษัตริย์ ลำ ดับที่ ๒ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรม โอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร พระบรมวงศ์ที่ได้รับพระราชทาน สัปตปฎลเศวตฉัตรประกอบพระราชอิสริยยศ ลำ ดับที่ ๓ พระบรมวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า ลำ ดับที่ ๔ พระบรมวงศ์ชั้นพระองค์เจ้า พระอนุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้า ลำ ดับที่ ๕ พระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้า **ข้อสังเกต** สมเด็จพระสังฆราช จะใช้ราชาศัพท์ในลำ ดับชั้นที่ ๔ ส่วนชั้นอื่น ๆ เช่น หม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง จะไม่ใช้คำ ราชาศัพท์ แต่ให้ใช้คำ สุภาพ ๑๔


๒.๔ ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับราชาศัพท์ มีดังนี้ ๑. ทรง ใช้นำ หน้าคำ กริยา กลุ่มคำ กริยา ให้เป็นราชาศัพท์ เช่น ทรงฟัง ทรงยินดี ทรงเป็นศิษย์เก่า ๒. ทรง ใช้นำ หน้านามราชาศัพท์ให้เป็นกริยาราชาศัพท์ เช่น พระกรุณา เป็นนาม ราชาศัพท์ ใช้ทรงนำ หน้า เป็น ทรงพระกรุณา หมายถึง มีความกรุณา ๓. กริยาใดเป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว ไม่ต้องใช้ “ทรง” นำ หน้าคำ เหล่านั้น เช่น บรรทม เสวย ประทับ สรง ๔. ทรง ใช้นำ หน้าคำ กริยาที่มีนามราชาศัพท์ต่อท้ายไม่ได้ เช่น มีพระกรุณา จะไม่ใช้ว่า ทรงมีพระกรุณา หรือ มีพระราชโองการ จะไม่ใช้ว่า ทรงมีพระราชโองการ ๕. เสด็จ ใช้นำ หน้าคำ กริยาสามัญบางคำ ให้เป็นกริยาราชาศัพท์โดย ความหมาย สำ คัญจะอยู่ที่กริยาข้างหลัง เช่น เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ และใช้นำ หน้าคำ นามราชาศัพท์เพื่อ ให้เป็นค่ากริยาราชาศัพท์ เช่น เสด็จพระราชสมภพ ๖. “พระบรม” ใช้นำ หน้าคำ นามที่ควรยกย่อง ซึ่งสงวนไว้ใช้กับ พระมหากษัตริย์เท่านั้น เช่น พระบรมราโชวาท ๗. “พระราช” ใช้นำ หน้าคำ นาม สำ หรับพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรม ราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เช่น พระราช กรณียกิจ ๘. “พระ” ใช้นำ หน้าคำ นามที่เป็นสิ่งสามัญทั่วไปสำ หรับลำ ดับพระราชวงศ์ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงชั้นพระองค์เจ้า ๑๖


แบบฝึกหัดท้ายบทที่ ๑ ๑. ระดับภาษามีความหมายว่าอย่างไร ๒. ระดับภาษาแบ่งออกเป็นกี่ประเภทอะไรบ้าง ๓. จงยกตัวอย่างคำ สแลงมาอย่างน้อ น้ ย ๕ คำ ๔. คำ ราชาศัพท์มีที่มาจากที่ใด ๑๗


ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย และ ภาษาถิ่น บทที่ ๒ ๑๘


บทที่ ๒ ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย และภาษาถิ่น ๑. อิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการสื่อสารของ มนุษย์ การยืมคำ ที่มาจากภาษาต่างประเทศจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของการรับวัฒนธรรมอื่นเข้ามาใน ภาษาของตน ไม่ว่าการรับนั้นจะเกิดขึ้นด้วยความจงใจหรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้ การยืมคำ ที่มาจาก ภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ยังมีความสัมพันธ์กับการค้า การเมืองการปกครอง และการศึกษาซึ่งทำ ให้ ภาษามีความเจริญงอกงามและมีคำ สำ หรับติดต่อสื่อสารมากขึ้น คำ ที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศในภาษาไทยมีหลากหลายที่มา แต่ละภาษาที่นำ มาใช้ มีลักษณะทางภาษาที่แตกต่างกัน ภาษาต่างประเทศที่ปรากฏการใช้ในภาษาไทยในด้านต่าง ๆ นั้นได้ แสดงให้เห็นอิทธิพลของภาษาต่างประเทศ ดังนี้ ๑.๑ ภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทย ภาษาบาลีและสันสกฤต เป็นภาษาในตระกูลอินโด-อารยัน (Indo-Aryan) ซึ่งเป็นสาขา ย่อยในภาษาตระกูลอินโด-ยูโรเปียน (Indo-European) ๑)อิทธิพลของคำ ที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต พบการใช้อย่างกลมกลืนเป็นหนึ่งในภาษาไทย มีการใช้อย่างแพร่หลายในชีวิตประจำ วัน ในการติดต่อ สื่อสารทั่วไปทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน และแม้แต่ใช้เป็นคำ วิสามานยนามเรียกสิ่งของต่าง ๆ สถานที่ รวมถึงชื่อบุคคล และการใช้เป็นคำ ราชาศัพท์ เช่น - คําวิสามานยนาม เช่น คุรุสภา - ชื่อบุคคล เช่น นที ปราชญ์ พล ประสิทธิ์ เป็นต้น - คําราชาศัพท์ เช่น พระบรมราชโองการ ประสูติกาล พระครรภ์ เป็นต้น - การสื่อสาร พบคำ ที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตใช้ในชีวิตประจำ วันหรือ การสื่อสารที่เป็นทางการ ดังนี้ ๑๙


นอกจากนี้ยังถือว่าคำ ที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ในภาษาไทย เป็นภาษาระดับสูง จึงนิยมนำ มาใช้เป็นคำ ราชาศัพท์ รวมถึงใช้ในการประพันธ์งานวรรณคดีและงานกวีนิพนธ์ โดย เฉพาะวรรณคดีโบราณ เช่น ยวนพ่ายโคลงดั้น กำ สรวลสมุทร ทวาทศมาส เช่น ๒) หลักการสังเกตคำ ที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ๒.๑ การใช้อักษรบางตัวที่ไม่นิยมเขียนในคำ ภาษาไทย อักษรบางตัวพบมาก ในคำ ยืมภาษาบาลีและสันสกฤต แต่มีในภาษาไทยน้อยหรือบางตัวไม่พบการใช้ในภาษาไทย เลย ได้แก่ ม ม ก ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ท ศ ษ ฬ และสระ ฤ ฤา ตัวอย่างคำ ที่มีอักษรที่นิยมใช้ในภาษา บาลีและ สันสกฤต เช่น ฐานะ ฐากูร ฎีกา ทัณฑฆาต ทักษะ ปฏิปักษ์ เป็นต้น ๒.๒ การใช้ตัวการันต์ท้ายคำ คำ ที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ที่ปรากฏ ใช้ใน ภาษาไทยนิยมใช้ตัวการันต์ในตำ แหน่งสุดท้ายของคำ เพื่อปรับลดจำ นวนพยางค์ในคำ ภาษาบาลี และสันสกฤตให้ออกเสียงภาษาไทยได้สะดวกและเข้ากับระบบเสียงของภาษาไทย เช่น ศาสตร์ ลักข์ เกียรติ์ มนุษย์ ฤทธิ์ วิสุทธิ์ กษัตริย์ เป็นต้น ๒.๓ ไม่ใช้เครื่องหมายไม้ไต่ตู้ คำ ที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตไม่มีการ ใช้ เครื่องหมายไม้ไผ่ตู้ เนื่องจากไม้ไผ่ตู้เป็นเครื่องหมายที่ใช้เขียนคำ ที่ออกเสียงสั้น ในคำ ไทย แท้และ คำ ที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศอื่นที่ไม่ใช่ภาษาบาลีและสันสกฤต แต่คำ ที่ยืมมาจาก ภาษาบาลี และสันสกฤตไม่ใช้เครื่องหมายไม้ไต่คู้ แม้เป็นคำ ที่ออกเสียงสั้น เช่น เพชฌฆาต เวจกุฎี เป็นต้น ๒๐


๒.๔ ไม่ปรากฏรูปวรรณยุกต์ คำ ที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตใน ภาษาไทย ไม่มีการใช้รูปวรรณยุกต์กำ กับ แม้ในการออกเสียงจะเหมือนมีเสียงวรรณยุกต์ก็ตาม เช่น เกษมเกศ เป็นต้น ๒.๕ มักเป็นคำ หลายพยางค์ คำ ที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตที่ใช้ในภาษา ไทย ส่วนใหญ่เป็นค่าหลายพยางค์ เช่น ศิลปศาสตร์ มไหศวรรย์ กาลกิณี ประเทศ สถาปนิก เป็นต้น ๑.๒ อิทธิพลของภาษาเขมรในภาษาไทย ภาษาเขมรเป็นภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) ภาษาที่สำ คัญใน ตระกูลนี้ เช่น ภาษาเขมร ภาษามอญ ภาษาเวียดนาม เป็นต้น ๑) อิทธิพลของคำ ที่ยืมมาจากภาษาเขมร ในภาษาไทยมีลักษณะการใช้คล้ายคลึง กับอิทธิพลของคำ ที่ยืมมาจากภาษาบาลี และสันสกฤต พบการใช้ในชีวิตประจำ วันในลักษณะ เรียกชื่อคน สถานที่ ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ทั่วไป และยังพบการใช้ในคำ ราชาศัพท์ เช่น - คำ วิสามานยนาม เช่น ราชดำ เนิน พระประแดง (กร่อนมาจาก กมรเตง) เป็นต้น - คำ กริยา เช่น เดิน แถลง ฉลอง ตำ หนิ เผดียง เป็นต้น - คำ ราชาศัพท์ เช่น เสด็จ เสวย บรรทม บัณฑูร ตรัส เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบการใช้ในจารึก เอกสาร วรรณคดีโบราณ เช่น จารึกสมัยสุโขทัย มหาชาติ คำ หลวง อนิรุทธคำ ฉันท์ ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง เป็นต้น ซึ่งการศึกษาคำ ที่ยืมมา จากภาษาเขมร ช่วยให้ตีความทำ ความเข้าใจจารึกและวรรณคดีโบราณได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ๒) หลักการสังเกตคำ ที่ยืมมาจากภาษาเขมร มีดังนี้ ๒.๑) คำ โดด ภาษาเขมรเป็นคำ โดด คำ ยืมภาษาเขมรในภาษาไทยจึงมี ลักษณะเป็น ค่าโดดด้วย เช่น กรุง เนา ขลัง เป็นต้น ๒.๒) มีลักษณะการสะกดไม่ตรงกับภาษาไทย ภาษาเขมรมีหน่วยเสียงตัวสะกด มากกว่าภาษาไทย จึงพบว่าเมื่อนำ มาใช้ในภาษาไทยแม้จะมีการปรับเสียงให้ตรงกับหน่วยเสียง ตัวสะกดของภาษาไทย แต่ก็มีการรักษาอักขรวิธีการเขียนเดิมไว้ จึงสามารถสังเกตเห็นถึงความ แตกต่างจากภาษาไทยได้ง่าย เช่น เพ็ญ เสด็จ ประจัญ เป็นต้น ๒.๓) เป็นคำ ที่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ ภาษาเขมรเป็นภาษาที่ไม่มีหน่วยเสียง วรรณยุกต์ คำ ที่ยืมมาจากภาษาเขมรจึงไม่มีรูปวรรณยุกต์ เช่น กระแส เสมียน เป็นต้น ๒๑


๒.๔) เป็นคำ แผลง ภาษาเขมรมีวิธีการสร้างคำ ใหม่ด้วยการเติมหน่วยคำ เติมหน้าและ หน่วยคำ เติม กลาง ซึ่งในภาษาไทยเรียกว่า “คำ แผลง คำ ที่ยืมมาจากภาษาเขมรที่ใช้ในภาษาไทย จึงมีคำ ที่ยืมมา จากคำ แผลงด้วย เช่น สำ เร็จ (เสร็จ) กำ ลัง (ขลัง) ดำ รัส (ตรัส) เป็นต้น ๒.๕) นิยมนำ มาใช้เป็นคำ ราชาศัพท์ คำ ที่ยืมมาจากภาษาเขมรในภาษาไทยมักนำ มาใช้เป็นคำ ราชาศัพท์ในภาษาไทย ด้วย เช่น บัณฑูร เสวย ขนอง เป็นต้น ๑.๓ ภาษาชวา-มลายู ในภาษาไทย ภาษาชวา-มลายู เป็นภาษาในตระกูลมาลาโย-โพลินีเชียน (Malayo-Polynesian) หรือ ออ สโตรนีเซียน (Austronesian) ๑) อิทธิพลของคำ ที่ยืมมาจากภาษาชวา-มลายู ในภาษาไทยสามารถจำ แนก ออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มที่รับมาใช้ในภาษาไทยถิ่นใต้ เช่น กาหยู (มะม่วงหิมพานต์) ฆง (ข้าวโพด) หลุด (ดินโคลน) เป็นต้น กลุ่มที่ ๒ คือคำ ที่รับมาใช้ใน ภาษาไทยทั่วไป เช่น กริช กัญชา กำ ปั่น วิรงรอง เป็นต้น กลุ่มสุดท้าย คือยืมภาษาชวา มลายู ใน วรรณคดี เช่น ยิหวา ปันจุเหร็จ กระยาหงัน ตุนาหงัน เป็นต้น ๒) หลักการสังเกตคำ ที่ยืมมาจากภาษาชวา-มลายู มีดังนี้ ๒.๑ มีลักษณะเป็นคำ สองพยางค์ ภาษาชวา มลายู มีคำ พยางค์เดียว น้อยแต่ภาษาไทยเป็นภาษาค่าโดด จึงสามารถสังเกตเห็นได้ง่ายว่าคำ ใดเป็นคำ ที่ยืมมาจากภาษา ชวา มลายู เช่น ระเด่น บุหลัน บุหรง ปาเต๊ะ เป็นต้น ๒.๒ ไม่มีเสียงพยัญชนะควบกล้ำ แต่ภาษาไทยมีพยัญชนะหลายเสียงที่สามารถ เป็นพยัญชนะควบกล้ำ ได้ จึงมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น กัลปังหา กะปะ เป็นต้น ๒.๓ ไม่มีรูปวรรณยุกต์ ไม่มีหน่วยเสียงวรรณยุกต์ ดังนั้น คำ ที่ยืมมาจากภาษา ชวา-มลายู ในภาษาไทยส่วนใหญ่จึงไม่มีรูปวรรณยุกต์ เช่น เจียระไน โนรี เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คำ ยืมบางคำ ที่นำ มาใช้มีรูปวรรณยุกต์กำ กับด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับระบบเสียงในภาษาไทย เช่น บ้าบ๋า ย่าหนัด เป็นต้น ๒๒


๑.๔ ภาษาอังกฤษในภาษาไทย ภาษาอังกฤษอยู่ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน (Indo-European) คำ ในภาษาอังกฤษ สามารถ เปลี่ยนรูปด้วยการเติมหน่วยผันคำ หรือเปลี่ยนเสียงสระในคำ ๑) อิทธิพลของคำ ที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษ เกิดจากการติดต่อรับวัฒนธรรม ศิลปวิทยาการจากชาติตะวันตกเข้ามาในประเทศไทย จึงทำ ให้รับคำ ยืมภาษาอังกฤษเข้ามาใช้ ซึ่งบางส่วนมีการใช้เป็นปกติในชีวิตประจำ วัน เช่น เกม ฟรี คอมพิวเตอร์ เป็นต้น แต่บางคำ เป็นศัพท์เฉพาะสาขาวิชาการ วิทยาการ หรือหน่วยงานหนึ่ง ๆ เช่น อิเล็กตรอน นิวเคลียส เอกซเรย์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้คำ ยืมภาษาอังกฤษเพื่อใช้เรียกชื่อ ประเทศต่าง ๆ อีกด้วย ๒) หลักการสังเกตคำ ที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษ มีดังนี้ ๒.๑ ลักษณะเป็นคำ หลายพยางค์ คำ ที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษที่ปรากฏใช้ใน ภาษาไทยส่วนใหญ่เป็นคำ หลายพยางค์ เมื่อนำ มาใช้จึงทำ ให้ภาษาไทยมีคำ หลายพยางค์มากขึ้น เช่น นิวเคลียร์ ไดโนเสาร์ ทรานซิสเตอร์ เป็นต้น ๒.๒ ไม่มีการเปลี่ยนรูปไวยากรณ์ แม้ภาษาอังกฤษจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปคำ ตาม ลักษณะทางไวยากรณ์ แต่เมื่อเป็นคำ ยืมในภาษาไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำ ตามลักษณะ ของภาษาไทย และคำ ที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษมักเกิดขึ้นโดยไม่คำ นึงถึงชนิดและหน้าที่ของคำ ในภาษาอังกฤษ เช่น คำ เดิมเป็นคำ นามแต่เมื่อรับมาใช้กลายเป็นคำ กริยา หรือเดิมเป็นคำ คุณศัพท์ แต่น่ามาใช้เป็นคำ กริยา เช่น คอมมิสชัน เป็นต้น ๒.๓ มีเสียงพยัญชนะที่ไม่มีในระบบเสียงภาษาไทย คำ ที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษที่ ปรากฏใช้ในภาษาไทย อาจมีบางคำ ที่มีพยัญชนะควบกล้ำ ที่ไม่มีในระบบเสียงภาษาไทย เช่น บล บร ดร ฟล ฟร ทร เป็นต้น ทำ ให้ภาษาไทยมีหน่วยเสียงพยัญชนะควบกล้ำ มากขึ้น เช่น แบรนด์ ดรัมเมเยอร์ แฟลต เป็นต้น บางคำ อาจมีเสียงพยัญชนะท้ายที่ไม่มีในระบบเสียงภาษาไทย เช่น ฟ ได้แก่ ออฟฟิศ สตัฟฟ์ ล ได้แก่ เซลล์ แอลกอฮอล์ ส ได้แก่ เซอร์วิส ๒๓


๒. ภาษาถิ่น การศึกษาเรื่องภาษาไทถิ่น หรือภาษาไทยถิ่น เพื่อศึกษาร่องรอยการใช้ในภาษาไทย มาตรฐาน สามารถอธิบายกระบวนการใช้คำ เหล่านี้ได้ด้วยวิธีการศึกษาภาษาศาสตร์เชิงประวัติ ซึ่ง จะช่วยสืบค้นที่มาและการใช้ภาษาไทยได้ ๒.๑ ความหมาย ภาษาถิ่น หมายถึง ภาษาย่อยของภาษาใดภาษาหนึ่งที่แตกต่างออกไปตามท้องถิ่นที่ ผู้พูดอาศัยอยู่ ภาษาไท ภาษาไต ภาษาไทย หมายถึง ภาษาตระกูลไท-กะได (Tai-Kadai) ที่พบการ ใช้ ตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศจีน ตะวันออกของประเทศอินเดีย ตอนเหนือของประเทศพม่า ตอน เหนือ ของประเทศเวียดนาม ประเทศไทย ประเทศลาว และตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ภาษาไทถิ่น หมายถึง ภาษาของกลุ่มคนที่ใช้ภาษาตระกูลไท-กะได ที่อาศัยอยู่นอก ประเทศไทย เช่น ภาษาจ้วง (ตอนใต้ของจีน) ภาษาพาเก ภาษาอาหม (รัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย) ภาษาเป็น (ประเทศพม่า) ภาษาไทดำ (ประเทศเวียดนาม) ภาษาลาว (ประเทศลาว) เป็นต้น ภาษาไทยถิ่น หมายถึง ภาษาของกลุ่มคนที่ใช้ภาษาตระกูลไท-กะไดที่อาศัยอยู่ใน ภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยซึ่งสามารถจำ แนกเป็นถิ่นใหญ่ ๆ ตามสภาพภูมิศาสตร์ และการ แบ่งการปกครองเป็นไทยถิ่นเหนือ ไทยถิ่นกลาง ไทยถิ่นอีสาน ไทยถิ่นใต้ ภาษาไทยมาตรฐาน หมายถึง ภาษาย่อยหนึ่งในภาษาไทยถิ่นกลางคือภาษาไทย กรุงเทพฯ ที่ได้รับการยอมรับให้เป็นภาษากลางในการติดต่อราชการและเป็นภาษาหลักที่ใช้ในการ เรียน การสอนในระบบการศึกษาของประเทศไทย สำ หรับภาษาถิ่นที่จะกล่าวถึงในที่นี้จะอธิบายเฉพาะภาษาไทยถิ่นต่าง ๆ ของกลุ่มคนที่ อาศัยอยู่ในประเทศไทย คือ ไทยเหนือ ไทยอีสาน และไทยได้ ที่พบร่องรอยการใช้ในภาษาไทย มาตรฐาน หรืออาจกล่าวว่าคำ ศัพท์ที่เข้าใจว่าเป็นภาษาถิ่นที่พบในภาษาไทยมาตรฐานนั้น ที่จริง เป็นกลุ่มคำ ศัพท์ดั้งเดิมของกลุ่มคนไทย หากแต่เมื่อผ่านระยะเวลาทำ ให้อิทธิพลของภาษา เขมร ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต เข้ามามีบทบาทต่อการใช้ภาษาไทยของคนไทยภาคกลาง ในขณะที่ ภาษาไทยถิ่นอื่นๆ ยังคงมีการใช้ใกล้เคียงกับคำ ศัพท์ดั้งเดิม ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลง เสียง พยัญชนะ วรรณยุกต์บ้างตามสภาพสังคมของแต่ละพื้นที่ ๒๔


๒.๒ การใช้ภาษาถิ่น การศึกษาภาษาถิ่น นอกจากจะทำ ให้สามารถทำ ความเข้าใจบริบททาง สังคม วัฒนธรรม ของแต่ละท้องถิ่น รวมถึงหามารถติดต่อสื่อสารกับท้องถิ่นได้อย่างถูก ต้องตรงตามความหมายแล้ว การศึกษาภาษาถิ่นยังทำ ให้ผู้ศึกษาภาษาไทย สามารถ ทำ ความเข้าใจ และสืบค้น ร่องรอยของคําไทยเดิมทีเคยใช้ร่วมกันในกลุ่มภาษาตระกูล โต-กะได ที่ปัจจุบันไม่ใช้แล้วหรือใช้ ในบริบทอื่นในภาษาไทยมาตรฐาน พวกค่าเหล่านั้น บางส่วนยังคงพบการใช้ในภาษาถิ่นห่างๆ ซึ่ง การศึกษาดังกล่าวอาจทำ ให้สามารถ ตีความและทำ ความเข้าใจการใช้ทำ ตามที่ปรากฏอยู่ในจารึก เอกสารโบราณ และ วรรณคดีโบราณ สำ หรับร่องรอยการใช้คำ ไทยเดินของกลุ่มคนไทยภาคกลาง ที่พบได้จาก เอกสารโบราณ สามารถยกตัวอย่างได้ ดังนี้ ๑. หลวก หมายถึง “ฉลาด รอบรู้” พบการใช้ในเอกสาร และจารึกโบราณ เช่น ปัจจุบันค่าว่า “ลวก" คงมีการใช้ในภาษาไทยถิ่นเหนือ ในขณะที่ภาษาไทยมาตรฐาน มีการ เปลี่ยนแปลงเสียงสระ จาก สระอัว เป็นสระยะ คือ “หลวก” เป็น “หลัก” ในคำ ว่า “หลักแหลม ๒. ลู่ทาง อยู่ช่าง หมายถึง “สะดวก” พบในจารึก และวรรณคดีโบราณใช้ว่า ปัจจุบันค่านี้ไม่พบการใช้ในภาษาไทยมาตรฐาน แต่ยังปรากฏการใช้ในภาษาไทยถิ่นเหนือ ๓. เกียด ในคำ ว่า “เกียดกัน” ในภาษาไทยโบราณ พบการใช้ในคำ ว่า “กีดกัน” ในภาษา ไทยมาตรฐาน ๔. ย่าง หมายถึง “เดิน” ซึ่งในภาษาไทยมาตรฐานปัจจุบันใช้คำ ว่า “เดิน” ตามคำ ที่ยืมมา จากภาษาเขมร คำ ว่า “ย่าง” พบการใช้อยู่ในภาษาไทยถิ่นเหนือ ถิ่นอีสาน ๕. หัวนอน หมายถึง ทิศใต้ ทิศที่หันหัวเวลานอนตามคติโบราณ คือ การหันหัวไปทาง ทิศใต้ คำ ว่า “หัวนอน” หรือ “ทิศหัวนอน” พบการใช้ในเอกสาร และจารึกโบราณ เช่น ๒๕


ปัจจุบันคำ ว่า "หัวนอน" ที่พบการใช้ในความหมายว่า “ทิศใต้” ยังคงมีอยู่ในภาษาไทย ถิ่นใต้ ๖. คำ เรียกลำ ดับลูก ลูกสาว ในสังคมไทยแต่เดิม มีการกำ หนดคำ สำ หรับบอกลำ ดับ ลูกชาย ลูกสาว (ใส่ไว้หน้าชื่อตัว หรือบางครั้งใช้เสมือนชื่อตัว) เพื่อสะดวกในการเรียก หรือการ จัด ระเบียบคนในสังคม ซึ่งคำ ที่ใช้บอกลำ ดับลูกชาย-ลูกสาว แบ่งเป็นลูกชายคนที่ ๑-๑๒ และ ลูกสาว คนที่ ๑-๑๐ โดยคัดตามที่ปรากฏในพระอัยการบานแพนก กฎหมายตราสามดวง ธรรมเนียมไทยแต่โบราณ จะมีคำ ว่าที่ใช้เรียกลำ ดับลูกชาย ลูกสาว ไว้ชัดเจน เช่น เรียก ลูกชายคนที่ ๑ ว่า “อ้าย” คนที่ ๒ ว่า “ยี่” เรียกลูกสาวคนที่ ๑ ว่า “เอื้อย” คนที่ ๒ ว่า “อี่” เป็นต้น ปัจจุบันคำ ดังกล่าวไม่พบการใช้ในภาษาไทยมาตรฐาน หากยังคงพบการใช้อยู่ในภาษา ไทยถิ่นเหนือ และถิ่นอีสาน แม้ว่าความหมายขอองคำ จะเปลี่ยนไป เช่น คำ ว่า “อ้าย” แปลว่า พี่ชาย และ “เอื้อย” แปลว่าพี่สาว ๒๖


แบบฝึกหัดท้ายบทที่ ๒ ๑. อิทธิพลที่มีผลต่อการยืมคำ จากภาษาต่างประเทศคือ อะไร ๒. จงยกตัวอย่างคำ ยืมที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต มา อย่างน้อ น้ ย ๕ คำ ๓. จงยกตัวอย่างคำ ยืมที่มาจากภาษาอังกฤษ มาอย่าง น้อ น้ ย ๕ คำ ๔. ภาษาถิ่นหมายความว่าอย่างไร ๒๗


ธรรมชาติของภาษา บทที่ ๓ ๒๘


ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ ภาษาไทยเป็นภาษา หนึ่งที่มีความงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นักเรียนในฐานะผู้ใช้ภาษาไทยควรอย่างยิ่งที่จะเรียนรู้ ลักษณะของภาษาไทยและตระหนักถึงความสำ คัญของภาษาไทยอันเป็นเครื่องมือในการสื่อสารและเป็น เครื่องมือที่สำ คัญในการสร้างเอกภาพความเป็นชาติไทย ความหมายของภาษา ภาษาเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้ถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ภาษาต่าง ๆ ที่ใช้สื่อสารกันทั่วโลกมี อยู่เป็นจำ นวนมาก บางภาษามีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน แต่ในบางภาษาใช้ในการสนทนาเท่านั้น มีผู้ ให้ความหมายของภาษาไว้อย่างกว้างขวาง “ภาษา” มาจากคำ ภาษาสันสกฤต “ภาษฺ” แปลว่า ถ้อยคำ หรือคำ พูดพจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ (๒๕๓๔: ๓๙๗) อธิบายความหมายของคำ “ภาษา” ไว้ดังนี้ “น. เสียง หรือกิริยาอาการที่ทำ ความเข้าใจกันได้, คำ พูด, ถ้อยคำ ที่ใช้พูดกัน; มีความรู้ความเข้าใจ” พระยาอนุมานราชธน (๒๕๑๕: ๓๒-๓๓) กล่าวว่า ภาษา ตามความหมายในนิรุกติศาสตร์ คือวิธี ที่มนุษย์แสดงความในใจเพื่อให้ผู้ที่ตนต้องการให้รู้ได้รู้ โดยใช้เสียงพูดที่มีความหมายตามที่ได้ตกลงรับรู้ กัน ซึ่งมีผู้ได้ยินรับรู้และเข้าใจ อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ (๒๕๓๗: ๓) กล่าวว่า ภาษา ย่อมเป็นระบบสัญลักษณ์ในเชิงคำ พูดหรือเชิง การเขียนที่มนุษย์เท่านั้นกำ หนดขึ้น และใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อความหมายต่อกันและกัน วิจินตน์ ภาณุพงศ์ (๒๕๓๘: ๖) อธิบายว่า ภาษา หมายถึงเสียงพูดที่มีระเบียบและมีความหมาย ซึ่งมนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือสำ หรับสื่อสาร ความคิด ความรู้สึก ความต้องการ และใช้ในการประกอบ กิจกรรมร่วมกัน กาญจนา นาคสกุล (๒๕๕๑: ๖-๑๑) ได้กล่าวถึงความหมายของภาษา ไว้ว่า ภาษา หมายถึง สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่มนุษย์ใช้สื่อสารในสังคม ภาษา หมายถึง สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์อาจจะเป็นอะไรก็ได้เท่าที่มนุษย์กำ หนดขึ้น ภาษาตามความ หมายนี้ จึงกินความหมายกว้างและมีคำ ขยายได้มากมาย เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ ถ้อยคำ เป็นสื่อกลาง รวมถึงภาษาท่าทาง เครื่องหมาย และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ด้วย บทที่ ๓ ธรรมชาติของภาษา ก ข ค ง ม ย ร ล ว ฬ อ ฮ ๒๙


ภาษา หมายถึง ระบบสัญลักษณ์ซึ่งมนุษย์ใช้เพื่อติดต่อสื่อสารกัน ภาษา หมายถึง สัญลักษณ์ซึ่งได้จัดระบบ มีระบบ หรือเป็นระบบแล้ว เป็นภาษาที่ต้องมีการ เรียนรู้ในสังคม ภาษาตามความหมายนี้หมายถึงภาษาซึ่งเป็นคำ พูด ที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารใน สังคมนักภาษาศาสตร์ศึกษาภาษาก็เพื่อวิเคราะห์ลักษณะที่แท้จริงของภาษาตามความหมายข้อนี้ เพื่อให้ เข้าใจกฎเกณฑ์ของภาษา และเพื่อสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับภาษาตัวอักษรหรือการขีดเขียนซึ่งสามารถอ่าน ออกเป็นคำ พูดในภาษา จึงอาจจัดเป็นภาษาตามความหมายนี้ด้วย เพราะเหตุที่ตัวอักษรมักจะมีระบบมี กฎเกณฑ์การแทนเสียงแทนคำ ที่แน่นอน จึงแทนเสียงพูดได้เกือบจะสมบูรณ์ ซึ่งเสียงพูดนั้นก็สื่อความ หมายได้ในระยะจำ กัด คือในระยะที่คลื่นอากาศถูกลมที่ออกจากปากทำ ให้สั่นสะเทือนเป็นวงกว้างออก ไป จนถึงหูผู้ฟังที่ฟังได้ความหมายถ้าผู้ฟังอยู่ห่างเกินไป ไม่สามารถรับคลื่นเสียงที่ผู้พูดส่งมา ภาษาที่ผู้ พูดพูดออกมาก็ไม่อาจสื่อความหมายตามที่ต้องการได้ ในกรณีนี้จำ เป็นต้องหาเครื่องมืออื่นมาช่วย ถ่ายทอดเสียงพูดให้ไปถึงผู้รับที่อยู่ห่างไกล ในโลกสมัยใหม่ อุปกรณ์ทางโทรคมนาคม มีวิทยุ วิทยุ ถ่ายทอดคลื่นไมโครเวฟ โทรทัศน์ โทรศัพท์ เครื่องบันทึกเสียงและภาพ เป็นต้น ภาษา หมายถึง ระบบสัญลักษณ์ที่คนกลุ่มหนึ่ง ๆ ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันในสังคมเท่าที่ มนุษย์กำ หนดขึ้น ภาษาเป็นของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่การจะกำ หนดว่า ภาษาที่คนหนึ่งพูด กับภาษาที่คนอีกกลุ่ม หนึ่งพูดจะเป็นภาษาเดียวกันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการให้คำ นิยาม และเกณฑ์ที่จะใช้ในการกำ หนดนั้น ๆ การกำ หนดภาษาในสังคมมนุษย์ จึงอาจแตกต่างกันไปหลายแบบตามเกณฑ์ที่ใช้ในการกำ หนดตาม ขอบเขต และตามนิยามของภาษานั้นๆ เช่น การกำ หนดภาษา เป็นภาษาคำ โดด ภาษามีวิภัตติปัจจัย ภาษาคำ ติดต่อ ภาษา หมายถึง ภาษาย่อยที่เปลี่ยนแปลงมาจากภาษาใดภาษาหนึ่ง ภาษา หมายถึง ภาษาย่อยซึ่งมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากภาษาใดภาษาหนึ่งตามข้อกำ หนด ต่าง ๆเช่น ถิ่นที่อยู่ หน้าที่และจุดมุ่งหมายของการใช้ภาษา ลักษณะและฐานะทางสังคมของผู้ใช้ภาษา มีอาชีพ เพศอายุ เป็นต้น ภาษาอาจกำ หนดตามท้องถิ่นของผู้พูดภาษา เรียกว่า ภาษาถิ่น (dialect) เช่น ภาษาถิ่นเหนือ ภาษาถิ่นอีสาน ภาษาถิ่นใต้ ภาษาอาจกำ หนดตามหน้าที่และจุดมุ่งหมายของการใช้ภาษา เช่น ภาษา ราชการ ภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษาแพทย์ ภาษาโหร ภาษาสแลง ภาษาอาจกำ หนดตามลักษณะและ ฐานะทางสังคมของผู้ใช้ภาษา เช่น ราชาศัพท์ ภาษาผู้หญิง ภาษาวัยรุ่น ภาษาที่กำ หนดอย่างนี้อาจเรียก ว่า ทำ เนียบภาษา (register of language) ๓๐


ภาษาเป็นผลสะท้อนความเจริญของสังคม เมื่อชนกลุ่มใดกำ หนดภาษาใดเป็นภาษาประจำ กลุ่มแล้ว ภาษานั้นก็จะนับว่าเป็นภาษาหลัก หรือ ภาษาแม่ของสมาชิกกลุ่มนั้น เมื่อสังคมขยายตัวขึ้นเป็นเมืองหรือเป็นประเทศ ภาษาที่ชนกลุ่มนั้นใช้ก็จะ เปลี่ยนฐานะเป็นภาษาประจำ ชาติ ซึ่งจะเป็นภาษาที่ใช้สืบต่อกันถึงลูกหลาน ถ่ายทอดต่อไปเรื่อย ๆ ภาษานั้น ๆ จะผูกพันกับสังคมของผู้ใช้อย่างใกล้ชิด คำ ศัพท์ที่มีในภาษาจะแสดงให้เห็นลักษณะของ ความเป็นอยู่ อาหารการกิน กิจกรรม ประสบการณ์ ความเชื่อ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ทรัพยากรธรรมชาติ และทุกสิ่งของสังคมนั้นในทางใดทางหนึ่งของสังคมย่อมจะมีผลต่อภาษาด้วย ภาษาจึงเป็นหลักฐาน แสดงอารยธรรมและวัฒนธรรม ตลอดจนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มนุษย์กลุ่ม หนึ่ง ๆ ประสบและได้พัฒนาขึ้นมา ที่สำ คัญภาษาเป็นเครื่องมือในการคิดของมนุษย์และเป็นสื่อที่ใช้ แสดงความคิดซึ่งเป็นนามธรรมออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจด้วย ชนกลุ่มใดมีภาษาซึ่งทำ หน้าที่ดังกล่าวได้อย่าง สมบูรณ์ มีคำ ศัพท์ที่จะแสดงสิ่งที่เป็นนามธรรมต่างๆได้อย่างถูกต้องแจ่มชัด ชนกลุ่มนั้นก็จะคิดได้ลึกซึ้ง กว้างไกลและแน่นอน วิทยาการต่าง ๆ ก็จะเจริญขึ้นเป็นเงาตามตัว จากคำ นิยามสามารถสรุปได้ว่า ภาษา คือ ระบบสัญลักษณ์ที่ทำ หน้าที่เป็นเครื่องมือเพื่อติดต่อใช้ สื่อสารกันในสังคมหนึ่ง ๆ มนุษย์ใช้ภาษาถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและความรู้ มนุษย์จึงมีการถ่ายทอด ภาษาไปสู่ลูกหลาน และมนุษย์เรียนรู้ภาษาทั้งภาษาแรกของตนเอง และภาษาต่างประเทศอยู่เสมอ ความสำ คัญของภาษา ภาษามีความสำ คัญต่อมนุษย์มาก เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารแล้ว ยังเป็น เครื่องมือของการเรียนรู้ การพัฒนาความคิดของมนุษย์และเป็นเครื่องมือถ่ายทอดวัฒนธรรมและการ ประกอบอาชีพที่สำ คัญ ภาษาช่วยเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชาติอีกด้วย เพราะภาษาเป็นถ้อยคำ ที่ใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจกันในสังคม ภาษาจึงมีประโยชน์มากมาย ได้แก่ ๑. ภาษาช่วยธำ รงสังคม การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคมหนึ่ง ๆ นั้นจะมีความสุขได้ต้องรู้จักใช้ภาษาแสดงไมตรีจิตความ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน การทักทายกัน พูดคุยกัน แสดงกฎเกณฑ์ทางสังคมที่จะปฏิบัติร่วมกัน การ ประพฤติตนให้เหมาะสมแก่ฐานะของตนในสังคมนั้น ๆ ทำ ให้สามารถธำ รงสังคมนั้นอยู่ได้ไม่ปั่นป่วน วุ่นวายจนถึงกับเสื่อมสลายไปในที่สุด ๒. ภาษาแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล ภาษาแสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลให้เห็นว่า บุคคลมีอุปนิสัย รสนิยม สติปัญญา ความคิดความอ่าน แตกต่างกันไป เช่น คนหนึ่งอาจพูดว่า “ฉันเหนื่อย เหลือเกิน ฉันไม่เดินต่อไปอีกแล้ว” ๓๑


อีกคนหนึ่งอาจพูดว่า “เหนื่อย ได้ยินไหม เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ยังจะให้เดินอีก” อีกคนหนึ่งอาจพูดว่า “เหนื่อยจัง หยุดพักกันก่อนเถอะ” ส่วนอีกคนหนึ่งพูดว่า “ฉันว่า พักเหนื่อยสักประเดี๋ยว แล้วค่อยไปต่อดีไหมจ๊ะ” เมื่อวิเคราะห์วิธีพูดหรือการใช้ภาษาของบุคคลเหล่านี้อาจอนุมานอุปนิสัยของผู้พูดว่าน่าจะเป็น ดังนี้ คนแรก ยึดตนเป็นที่ตั้งคนที่สองมักชอบตำ หนิผู้อื่น คนที่สามมีอุปนิสัยชอบชักชวนหรือ เสนอแนะ ส่วนคนสุดท้ายมีอุปนิสัยอ่อนโยน รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เป็นต้น ๓. ภาษาช่วยพัฒนามนุษย์ มนุษย์ใช้ภาษาในการถ่ายทอดความรู้ความคิดและประสบการณ์ให้แก่กันและกัน ทำ ให้มนุษย์มี ความรู้กว้างขวางมากขึ้นและเป็นรากฐานในการคิดใหม่ ๆ เพื่อทำ ให้ชีวิตความเป็นอยู่และสังคมมนุษย์ พัฒนาขึ้น ๔. ภาษาช่วยกำ หนดอนาคต การใช้ภาษาสามารถกำ หนดอนาคต เช่น การวางแผน การทำ สัญญา การพิพากษา การ พยากรณ์ การทำ กำ หนดการต่าง ๆ สิ่งต่างเหล่านี้ ทำ ให้เรารู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง กับสังคมนั้น ๆ หรือกระทั่งกับโลกใบนี้ ๕. ภาษาช่วยจรรโลงใจ ภาษาช่วยให้เกิดความชื่นบาน มนุษย์พอใจที่อยากจะได้ยินเสียงไพเราะ จึงได้มีการนำ ภาษาไป เรียบเรียงเป็นคำ ประพันธ์ที่มีสัมผัสอันไพเราะก่อให้เกิดความชื่นบานในจิตใจ และสามารถเล่นความ หมายของคำ ในภาษาควบคู่ไปกับการเล่นเสียงสัมผัสได้จึงทำ ให้เกิดคำ คม คำ ผวน สำ นวน ภาษิตและ การแปลงคำ ขวัญ เพื่อให้เกิดสำ นวนที่น่าฟัง ไพเราะ และสนุกสนานไปกับภาษาด้วย ลักษณะทั่วไปของภาษา ภาษาที่ใช้สื่อสารกันมีอยู่มากมายหลายภาษา การศึกษาลักษณะของภาษาต่าง ๆ ทำ ให้เข้าใจ ลักษณะร่วมที่แต่ละภาษามีเหมือนกัน ดังนี้ ๑. ภาษาเป็นส่วนหนึ่งวัฒนธรรม พระยาอนุมานราชธน (ม.ป.ป. : ๒๑) ให้นิยามว่า วัฒนธรรม คือ ปัญญา ความรู้สึกความคิด และกิริยาอาการที่มนุษย์สำ แดงออกให้เห็นเป็นสิ่งต่าง ๆ และเป็นนิสัยความประพฤติในส่วนรวม ซึ่งไม่มี ขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มีขึ้นเพราะมนุษย์สร้าง หรือจากการงานของมนุษย์ และจะมีวิวัฒนาการเป็น ความเจริญอยู่เรื่อยวัฒนธรรมต้องการเรียนรู้และถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ภาษาเป็น วัฒนธรรม เพราะคนในสังคมจำ เป็นต้องเรียนรู้ภาษาจากบรรพบุรุษและถ่ายทอดไปสู่ชนรุ่นต่อไป ๓๒


๒. ภาษาเกิดจากการเรียนรู้ มนุษย์เรียนรู้ภาษาจากบุคคลที่แวดล้อม เริ่มต้นจากการฟังคนใกล้ชิดพูด จากนั้นจึงเลียนแบบ เสียงพูด มนุษย์ฝึกพูดมาตั้งแต่วัยเด็ก ค่อยๆเพิ่มพูนคำ ศัพท์มากขึ้น เพื่อที่จะสื่อสารทำ ความเข้าใจกับ คนในสังคมได้ การเรียนรู้ภาษาแม่ (mother tongue) เด็กอายุประมาณ ๓-๔ เดือนจะเริ่มออกเสียงคำ ศัพท์ ง่าย ๆเช่น แม่ และพยายามเรียนรู้จดจำ คำ ศัพท์อื่น จนกระทั่งอายุประมาณ ๓ ปีจะเริ่มพูดประโยคที่มี โครงสร้างไม่ซับซ้อนได้ เมื่อเติบโตขึ้นจะเรียนรู้จดจำ โครงสร้างประโยค วิธีการเรียงคำ ในประโยค เพิ่มพูนวงศัพท์มากขึ้นทำ ให้สามารถสร้างประโยคที่มีความสมบูรณ์มากขึ้น และสามารถสื่อสารได้ใน ชีวิตประจำ วัน ๓. ภาษาแต่ละภาษามีโครงสร้างที่แตกต่างกัน ภาษาทุกภาษาย่อมต้องมีโครงสร้าง ทำ นองเดียวกับอาคารบ้านเรือนที่มีโครงสร้าง โครงสร้าง ของอาคารประกอบด้วย ฐานราก เสา คาน ฝาผนัง หลังคา และส่วนย่อยอื่น ๆ เช่น เหล็ก ปูน อิฐ ทราย เป็นต้น ภาษาก็ประกอบด้วยโครงสร้างต่าง ๆ โครงสร้างทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษามีความ แตกต่างกัน เช่น ภาษาไทยจะวางคำ ขยายไว้หลังคำ ที่ถูกขยาย แต่ภาษาอังกฤษจะวางคำ ขยายไว้หน้าคำ ที่ถูกขยาย ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้ beautiful (สวย) girl (สาว) = สาวสวย ๔. ภาษาเป็นสมบัติของสังคม มนุษย์คือ ผู้สร้างภาษา เพื่อเป็นระบบสัญลักษณ์ในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและข้อมูล ข่าวสารต่างๆ อาจกล่าวได้ว่าภาษาเป็นสมบัติของสังคมมนุษย์ เพราะมนุษย์ในแต่ละสังคมเป็นผู้กำ หนด ภาษาขึ้น ตกลงร่วมกันว่าจะใช้คำ ใดในการสื่อความหมาย เช่น การที่คนไทยกำ หนดคำ ทักทายว่า สวัสดี แต่คนพม่าใช้คำ ทักทายว่า มิงกาลาบา เป็นต้น ๕. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง ภาษาที่เราใช้สื่อสารกันในชีวิตประจำ วันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลง เสียงของคำ นับเป็นการเพิ่มจำ นวนคำ ในภาษาไทยให้มากขึ้น ซึ่งวิธีการเปลี่ยนแปลงเสียงของคำ ใน ภาษาไทย มีดังนี้ ๕.๑ การกร่อนเสียง คือ เสียงพยางค์ต้นหายไปเหลือเพียงบางส่วนโดยพยางค์ต้นเหลือ เป็นสระอะ เช่น หมากขาม เป็น มะขาม ต้นไคร้ เป็น ตะไคร้ ตัวขาบ เป็น ตะขาบ ๕.๒ การแทรกเสียง คือ การเติมเสียงเข้ากลางคำ แล้วเสียงเกิดคอนกันจึงเติมข้างหน้าอีก เพื่อให้ถ่วงดุลกัน เช่น ลูกดุม เป็น ลูกกระดุม ดุกดิก เป็น กระดุกกระดิก ๕.๓ การเติมพยางค์ คือ การเติมเสียงเข้าหน้าคำ และหลังคำ ของคำ หน้าเพื่อให้เกิดดุล เสียงกัน เช่น มิดเมี้ยน เป็น กระมิดกระเมี้ยน แอมไอ เป็น กระแอมกระไอ ๓๓


ลักษณะของภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาคำ โดด หมายความว่า การพูดการใช้ภาษาไทยจะมี คำ เป็นหน่วยภาษาที่ แทนความหมาย เมื่อต้องการจะสื่อความหมายใดก็นำ คำ ที่มีความหมายนั้นมาเรียงต่อกันเพื่อแทนความ คิดหรือเรื่องราวที่ต้องการสื่อออกไป โดยคำ นั้นๆ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรูป หรือผันแปรเพื่อให้สอดคล้อง กับคำ อื่นในลักษณะของความสัมพันธ์ทางไวยากรณ์ ในภาษาไทยคำ มีความสัมพันธ์กันด้วยตำ แหน่งและ ความหมาย เช่น เป็นผู้กระทำ เป็นผู้รับการกระทำ เป็นอาการที่กระทำ เป็นต้น ตำ แหน่งและความ หมายของคำ สัมพันธ์กับหน้าที่ของคำ นั้นด้วย ภาษาไทยมีลักษณะเฉพาะของตนเอง แตกต่างจากภาษา อื่น ดังนี้ ลักษณะของคำ ในภาษาไทย ๑. คำ ภาษาไทยแต่เดิมเป็นคำ พยางค์เดียว ภาษาไทยเดิมเป็นภาษาที่มีโครงสร้างคำ พยางค์ เดียวสามารถนำ คำ ไปใช้ในประโยคได้ทันที แต่ในปัจจุบันภาษาไทยได้รับอิทธิพลของภาษาต่างประเทศ ทำ ให้คำ ในภาษาไทยมีคำ หลายพยางค์มากขึ้น คำ พยางค์เดียวที่เป็นภาษาไทยแท้ ดังนี้ ๑.๑ คำ เรียกส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น หน้า หัว หู ๑.๒ คำ บอกอาการโดยทั่วไป เช่น ไป มา นั่ง ๑.๓ คำ เรียกเครือญาติ เช่น พ่อ แม่ พี่ ๑.๔ คำ สรรพนาม เช่น เขา แก เอ็ง ๑.๕ คำ เรียกชื่อสิ่งของ เช่น ถ้วย ชาม ไห ๑.๖ คำ บอกจำ นวน เช่น หนึ่ง สอง สาม ๑.๗ คำ เรียกชื่อเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น จอบ เสียม แพ เบ็ด ๑.๘ คำ เรียกชื่อธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ ลม ๑.๙ คำ ที่เป็นลักษณนามแต่เดิม เช่น กอง ก้อน อัน ๑.๑๐ คำ ขยายที่ใช้แต่เดิม เช่น อ้วน ผอม สูง ๑.๑๑ คำ เรียกสีต่าง ๆ เช่น แดง ขาว ฟ้า ๒. ภาษาไทยจะมีตัวสะกดตรงตามมาตรา มาตราตัวสะกดมี ๘ มาตรา ค าไทยแท้จะมีตัว สะกดตรงตามมาตรา ดังนี้ แม่ กก ใช้ ก สะกด เช่น นก แม่ กด ใช้ ด สะกด เช่น วัด แม่ กบ ใช้ บ สะกด เช่น ราบ แม่ กง ใช้ ง สะกด เช่น ถุง แม่ กน ใช้ น สะกด เช่น หมอน ๓๔


แม่ กม ใช้ ม สะกด เช่น กลม แม่ เกย ใช้ ย สะกด เช่น สาย แม่ เกอว ใช้ ว สะกด เช่น แล้ว ๓. ภาษาไทยมีคำ ลักษณนาม คำ ลักษณนามเป็นคำ ที่บอกลักษณะของนามข้างหน้า ลักษณนาม จะใช้ตามหลังคำ วิเศษณ์บอกจำ นวน (ประมาณวิเศษณ์) เช่น คอมพิวเตอร์ ๒ เครื่อง น้ำ ๑ แก้ว ๔. คำ ภาษาไทยคำ เดียวมีหลายความหมาย และมีหลายหน้าที่ ภาษาเป็นภาษาคำ โดด คำ แต่ละ คำ สามารถนำ ไปใช้ได้อย่างอิสระ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำ เพื่อบอกหน้าที่ของคำ คำ จะมีหน้าที่และ ความหมายเปลี่ยนแปลงไปตามตำ แหน่งที่ปรากฏในประโยค ตัวอย่าง คำ ว่า “ฉัน” ในประโยคต่อไปนี้ ประโยค ๑ : ฉันและเพื่อนกำ ลังไปมหาวิทยาลัย (ประธาน) ประโยค ๒ : พระภิกษุกำ ลังฉันภัตตาหารเพล (กริยา) ๕. ภาษาไทยเป็นภาษาเรียงคำ การเรียงคำ เข้าประโยคในภาษาไทยเป็นเรื่องสำ คัญมาก ความ หมายของคำ จะเปลี่ยนไป เมื่อตำ แหน่งที่คำ นั้นปรากฏในประโยคเปลี่ยนไป ตัวอย่าง ประโยค ๑ : เธอรักเขา (เธอเป็นประธาน เขาเป็นกรรม) ประโยค ๒ : เขารักเธอ (เขาเป็นประธาน เธอเป็นกรรม) ๖. คำ ขยายจะวางไว้หลังคำ ที่ถูกขยาย การวางคำ ขยายในภาษาไทยจะวางไว้หลังคำ ที่ถูกขยาย คำ ขยายจะช่วยให้รายละเอียดที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น อากาศหนาว (คำ ขยาย หนาว ขยายคำ ว่า อากาศ) ๗. ภาษาไทยมีระบบเสียงพยัญชนะ เสียงสระ เสียงวรรณยุกต์ เสียงพยัญชนะ หรือเสียงแปร คือ เสียงที่เปล่งออกมาจากลำ คอ แล้วกระทบกับอวัยวะส่วนใด ส่วนหนึ่งในปาก เช่น คอ ปุ่มเหงือก ฟัน ริมฝีปาก ซึ่งทำ ให้เกิดเป็นเสียงต่าง ๆ กัน โดยพยัญชนะไทยมี ๔๔ รูป ๒๑ เสียง ก ข ค ง ม ย ร ล ะ -า-ิ -ี ๓๕


ตัวอย่าง ระบบเสียง คือ เสียงที่กำ หนดไว้เป็นระเบียบตลอดจนมีวิธีการออกเสียงที่ลงรอยเป็นแบบเดียวกัน ระบบเสียงของภาษาไทยมีเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ เสียงสระ หรือ เสียงแท้ คือ เสียงที่เปล่งออกมาจากลำ คอโดยตรง ไม่ถูกสกัดกั้นด้วยอวัยวะส่วนใด ในปาก แล้วเกิดเสียงก้องกังวาน และออกเสียงได้ยาวนาน ซึ่งเสียงสระในภาษาไทยแบ่งออกเป็น สระเดี่ยว สระเสียงสั้น (รัสสระ) ได้แก่ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ เออะ โอะ เอาะ สระเสียงสระยาว (ทีฆสระ) ได้แก่ อา อี อื อู เอ แอ เออ โอ ออ ๓๖


สระประสม มี ๖ เสียง ดังนี้ เอียะ เอีย เอือะ เอือ อัวะ อัว สระประสมที่เกิดจากสระเสียงสั้น (รัสสระ) อิ + อะ = เอียะ อึ + อะ = เอือะ อู + อะ = อัวะ สระประสมที่เกิดจากสระเสียงยาว (ทีฆสระ) อี + อา = เอีย อื + อา = เอือ อู + อา = อัว เสียงวรรณยุกต์ หรือเสียงดนตรี เสียงวรรณยุกต์ที่ใช้ในภาษาไทยมี ๕ เสียง ดังต่อไปนี้ ๑. เสียงสามัญ (ไม่มีรูป) เช่น กา ๒. เสียงเอก เช่น จ่า ๓. เสียงโท เช่น ตู้ ๔. เสียงตรี เช่น จ๊ะ ๕. เสียงจัตวา เช่น ป๋า การเปลี่ยนแปลงระดับเสียงของคำ เป็นวิธีเพิ่มคำ ให้มากขึ้น ทำ ให้ภาษาขยายตัว เพราะเมื่อคำ เปลี่ยนระดับเสียงหรือที่เรียกว่า เสียงวรรณยุกต์ก็จะทำ ให้คำ นั้นมีความหมายต่างกันออกไป เช่น ขา (เสียงจัตวา) ความหมาย อวัยวะตั้งแต่ตะโพกถึงข้อเท้า สำ หรับยันกายและเดินเป็นต้น ข่า (เสียงเอก) ความหมาย ชื่อไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง มีเหง้า ลำ ต้นเป็นกอ สูง ดอกสีขาว ออกเป็นช่อ ที่ยอด เหง้ามีกลิ่นฉุน ใช้ปรุงอาหารและทำ ยาได้. ข้า (เสียงโท) ความหมาย ประชาชน, ราษฎร, เช่น ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ๘. ภาษาไทยมีการสร้างคำ ใหม่ การสร้างคำ ในภาษาไทยถือเป็นวิธีการเพิ่มจำ นวนคำ ในภาษา ไทยให้มีความหลากหลาย ซึ่งภาษาไทยมีวิธีการสร้างคำ ดังนี้ ประสมคำ ซ้อนคำ หรือ ซ้ำ คำ คำ มูล ชัยวัฒน์ สีแก้ว (๒๕๓๗: ๑๑) ได้กล่าวถึงความหมายของคำ มูลไว้ว่า คำ มูล หมายถึง คำ ดั้งเดิมใน ภาษา คำ มูลอาจเป็นคำ ไทยแท้ หรือเป็นคำ ที่มาจากภาษาอื่น และอาจมีพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ เช่น วิ่ง น้ำ นาฬิกา โดยคำ มูลหลายพยางค์นั้น เมื่อแยกออกเป็นแต่ละพยางค์จะไม่มีความหมาย เช่น มะม่วง ภาษาไทย ง่ายนิดเดียว ๓๗


คำ ประสม พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๔๕: ๖๐-๖๒) ได้กล่าวถึงลักษณะของคำ ประสม ดังนี้ ๑. คำ ประสมที่เอาคำ มูลมีเนื้อความต่างๆประสมกันเข้า มีใจความเป็นอีกอย่างหนึ่ง เช่น หาง เสือ (ที่บังคับทิศทางเรือ) ๒. คำ ที่ย่อมาจากใจความมาก คำ พวกนี้มีลักษณะคล้ายกับที่เรียกว่า “คำ สมาส” ในภาษาบาลี คำ ประสมพวกนี้มีคำ ต่อไปนี้ประกอบอยู่ข้างหน้า คือ ช่าง ชาว นัก เครื่อง หมอ เช่น ช่างไฟฟ้าชาวสวน เครื่องครัว นักศึกษา หมอดู คำ ประสมในภาษาไทย ๑. เกิดจากคำ ไทยประสมกับคำ ไทย เช่น ไฟ + ฟ้า = ไฟฟ้า ๒. เกิดจากคำ ไทยประสมกับคำ ต่างประเทศ เช่น พวง (ไทย ) + หรีด ( อังกฤษ – wreath ) = พวงหรีด ๓. เกิดจากคำ ต่างประเทศประสมกับคำ ต่างประเทศ เช่น รถ ( บาลี ) + เก๋ง ( จีน ) = รถเก๋ง คำ ซ้อน วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๘: ๕๘-๖๑) ได้อธิบายลักษณะคำ ซ้อนไว้ว่า คำ ซ้อน คือ การนำ คำ ที่มี ความหมายเหมือนกัน คล้ายกัน ตรงข้ามกัน มาซ้อนเข้าคู่กัน เพื่อให้ความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น คำ ซ้อน สามารถจำ แนกจุดประสงค์ของการซ้อนคำ ได้เป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ ๑. คำ ซ้อนเพื่อความหมาย เป็นการนำ คำ ที่มีความหมายสมบูรณ์มาซ้อนกันตั้งแต่ ๒ คำ ขึ้นไป ได้แก่ ๑.๑ คำ ซ้อนที่เกิดจากคำ ที่มีความหมายเหมือนกัน เช่น บ้าน + เรือน บ้านเรือน ๑.๒ คำ ซ้อนที่เกิดจากคำ ที่มีความหมายคล้ายกัน เช่น วัว + ควาย วัวควาย ๑.๓ คำ ที่มีความหมายตรงข้ามกัน เช่น ถูก + ผิด ถูกผิด ๒. คำ ซ้อนเพื่อเสียง เป็นการนำ คำ ที่มีเสียงพยัญชนะต้นเสียงเดียวกันมาซ้อนกัน คำ ที่นำ มาซ้อน นั้น อาจมีความหมายทั้งสองคำ มีความหมายเพียงคำ เดียว หรือไม่มีความหมายทั้งสองคำ ก็ได้ เช่น นุ่ม นิ่ม โด่งดัง ซุบซิบ ๓๘


คำ ซ้ำ วันเพ็ญ เทพโสภา (๒๕๕๘: ๗๙) ได้ให้คำ นิยามของคำ ซ้ำ ไว้ว่า คำ ซ้ำ คือ การนำ คำ เดียวกันมา ซ้ำ กัน เพื่อให้มีความหมายเปลี่ยนไปซึ่งความหมายนั้นจะเพิ่มหรือลดน้อยลงก็ได้ ลักษณะความหมายของคำ ซ้ำ มีดังนี้ ๑. คำ ซ้ำ ที่บอกพหูพจน์มักเป็นคำ นามและสรรพนาม เช่น เด็ก ๆ กำ ลังร้องเพลง, พี่ๆ ไปโรงเรียน ๒. คำ ซ้ำ ที่บอกแยกจำ นวน มักเป็นคำ ลักษณะนาม เช่น ล้างชามให้สะอาดเป็นใบ ๆ, อ่านหนังสือเป็นเรื่อง ๆ ๓. คำ ซ้ำ ที่เน้นความหมายของคำ เดิม มักเป็นคำ วิเศษณ์ เช่น พูดดัง ๆ, นั่งนิ่ง ๆ ๔. คำ ซ้ำ ที่บอกความหมายโดยประมาณทั้งที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ดังนี้ ๔.๑ บอกเวลาโดยประมาณ เช่น เราเรียนภาษาไทยตอนสาย ๆ ๔.๒ บอกสถานที่โดยประมาณ เช่น แถวๆนวนครมีร้านกาแฟ ๕. คำ ซ้ำ ที่เป็นสำ นวน เช่น งูๆ ปลา ๆ ลักษณะของพยางค์ในภาษาไทย พยางค์คือ การที่เราเปล่งเสียงออกมาจากลำ คอครั้งหนึ่ง ๆ นั้น แม้ว่าเสียงที่เปล่งออกมาจะมี ความหมายหรือไม่มีความหมายก็ตาม เช่น เราเปล่งเสียง “กระ” ถึงจะไม่รู้ความหมาย หรือไม่รู้เรื่องเรา ก็เรียกว่า ๑ พยางค์ หากเราเปล่งเสียงออกมาอีกครั้งหนึ่งว่า “เป๋า” รวมเป็น “กระเป๋า” จึงจะมีความ หมาย คำ ว่า “กระเป๋า” เปล่งเสียง ๒ ครั้ง ถือว่าคำ นี้มี ๒ พยางค์ เช่น - บ้าน มี ๑ พยางค์ - โรงเรียน มี ๒ พยางค์ (โรง-เรียน) - หอประชุม มี ๓ พยางค์ (หอ-ประ-ชุม) ลักษณะของวลีในภาษาไทย วลี คือ กลุ่มคำ ที่กล่าวออกมาได้ใจความ แต่ไม่ครบทั้งสองภาค คือ ถ้ามีภาคประธานก็ขาดภาค แสดง ถ้ามีภาคแสดงก็จะขาดภาคประธาน วลี มี ๗ ชนิด เหมือนชนิดของคำ สังเกตว่าเป็นวลีชนิดใดได้ จากคำ ขึ้นต้นของกลุ่มคำ นั้น ๆ เช่น - นามวลีขึ้นต้นด้วยคำ นาม เช่น โรงเรียนของเรา - สรรพนามวลี ขึ้นต้นด้วยสรรพนาม เช่น เขาทั้งหลาย - กริยาวลีขึ้นต้นด้วยคำ กริยา เช่น ดีดสีตีเป่า - วิเศษณ์วลีขึ้นต้นด้วยคำ วิเศษณ์ เช่น งามเหลือหลาย ๓๙


- บุพบทวลีขึ้นต้นด้วยคำ บุพบท เช่น สู่จุดหมายปลายทาง - สันธานวลีขึ้นต้นด้วยคำ สันธาน เช่น แต่อย่างไรก็ดี - อุทานวลี สังเกตได้จากจะมีคำ อุทานต่าง ๆ อยู่ เช่น โอ้ตัวเราเอ๋ย ลักษณะของประโยคในภาษาไทย ประโยค หมายถึง กลุ่มคำ ที่มาเรียงต่อกันแล้วมีใจความสมบูรณ์ ประโยคสามารถแบ่งออกได้ เป็นหลายประเภท ซึ่งการจำ แนกประโยคตามโครงสร้างของประโยคเป็นเกณฑ์ ได้ดังนี้ ประโยคความเดียว คือ มีกริยาสำ คัญเพียงตัวเดียว ใจความสำ คัญเพียงหนึ่ง เช่น ฉันรักแม่ ประโยคความรวม คือ การนำ ประโยคตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปมารวมกัน โดยมีคำ สันธานเชื่อม ประโยค แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ ๑. เชื่อมความคล้อยตามกัน เช่น พ่อและแม่ไปดูหนัง เกิดจาก พ่อไปดูหนัง แม่ไปดูหนัง โดยมีคำ สันธาน และ เป็นตัวเชื่อม ๒ .เชื่อมความขัดแย้งกัน เช่น ฉันจะดูหนังแต่เธอจะฟังเพลง เกิดจาก ฉันจะดูหนัง เธอจะฟังเพลง โดยมีสันธาน แต่ เป็นตัวเชื่อม ๓. เชื่อมความเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เธอจะฟังเพลงหรือจะอ่านหนังสือ เกิดจาก เธอจะฟังเพลง เธอจะอ่านหนังสือ โดยมีสันธาน หรือ เป็นตัวเชื่อม ๔. เชื่อมความเป็นเหตุเป็นผลกัน เช่น เพราะเขาตั้งใจเรียนจึงสอบผ่าน เกิดจาก เขาตั้งใจเรียน เขาสอบผ่าน โดยใช้คำ สันธาน เพราะ..จึง เป็นตัวเชื่อม ประโยคความซ้อน คือ ประโยคที่มีใจความสำ คัญเพียงใจความเดียว ประกอบด้วยประโยค ความเดียว ที่มีใจความสำ คัญเป็นประโยคหลัก และมีประโยคความเดียวที่มีใจความเป็นส่วนขยายส่วน ใดส่วนหนึ่งของประโยคหลัก เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยคหลัก โดยทำ หน้าที่แต่งหรือประกอบ ประโยคหลัก ประโยคความซ้อนนี้เดิมเรียกว่า สังกรประโยค ประโยคย่อยที่ทำ หน้าที่เป็นบทขยายประธานหรือบทขยายกรรมหรือบทขยายส่วนเติมเต็ม แล้วแต่กรณี มีประพันธสรรพนาม (ที่ ซึ่ง อัน ผู้) เชื่อมระหว่างประโยคหลักกับประโยคย่อย ตัวอย่างประโยค ความซ้อนที่ประโยคย่อยทำ หน้าที่เป็นบทขยาย ๑. คนที่ประพฤติดีย่อมมีความเจริญในชีวิต ที่ประพฤติดี ขยายประธาน คน คน...ย่อมมีความเจริญในชีวิต : ประโยคหลัก (คน) ประพฤติดี : ประโยคย่อย การจะทำ การใหญ่ ใจของเรานั้นจำ ต้องนิ่ง ๔๐


๒. ฉันอาศัยบ้านซึ่งอยู่บนภูเขา ซึ่งอยู่บนภูเขา ขยายกรรม บ้าน ฉันอาศัยบ้าน : ประโยคหลัก (บ้าน) อยู่บนภูเขา : ประโยคย่อย ๓. พระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ ๕ เป็นสุภาษิตอันมีค่ายิ่ง อันมีค่ายิ่ง ขยายส่วนเติมเต็ม เป็น แยกประโยค อัน พระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ ๕ เป็นสุภาษิต : ประโยคหลัก (สุภาษิต) อันมีค่ายิ่ง : ประโยคย่อย ความสำ คัญของภาษาไทย ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่สำ คัญของชาติเป็นสื่อกลางให้คนในชาติติดต่อถึงกัน อีกทั้งช่วยส่งเสริมให้ วัฒนธรรมอื่น ๆ เจริญขึ้น ชาติไทยเราใช้ภาษาไทยเป็นภาษาประจำ ชาติ นับเป็นมรดกอันล้ำ ค่าที่ บรรพบุรุษไทยได้สร้างไว้ถ่ายทอดและรักษาให้คงอยู่มาจนกระทั่งปัจจุบัน ภาษาไทยจึงเป็นศูนย์กลางยึด เหนี่ยวคนไทยไว้ให้เป็นพวกเดียวกันและคงความเป็นเอกราชเป็นชาติไทยไว้ได้มาจนทุกวันนี้ สามารถ สรุปได้ว่าภาษาไทยมีความสำ คัญ ดังนี้ ๑. ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ภาษาไทยทำ หน้าที่เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำ วัน สร้างความเข้าใจอันดีในการ ทำ งานร่วมกัน อีกทั้งยังถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความรู้ และความต้องการของผู้ส่งสาร (sender) ไปสู่ผู้รับสาร (receiver) ซึ่งกระบวนการส่งสารนั้นอาศัยทักษะการพูดและการเขียนที่มีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลในการสื่อสารสัมฤทธิ์ผล ๒. ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และแสวงหาความรู้ ภาษาไทยมีความสำ คัญในฐานะเครื่องมือในการเรียนรู้และแสวงหาความรู้ เพราะคนไทยส่วน ใหญ่เรียนรู้โดยใช้ภาษาไทยเป็นสื่อกลางในการเรียนรู้ศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และ สังคมศาสตร์เป็นต้น ล้วนเรียนรู้ศาสตร์เหล่านี้โดยใช้ภาษาไทยเป็นสื่อกลาง หากผู้เรียนมีทักษะการใช้ ภาษาไทยที่มีประสิทธิภาพก็มีส่วนสนับสนุนการศึกษาความรู้สาขาอื่นๆ นอกจากนี้ภาษาไทยยังเป็น เครื่องมือในการสืบค้นแสวงหาความรู้จากแหล่งข้อมูลต่างๆที่มีอยู่รอบตัว เช่น ตำ รา บทความ เอกสาร ทางวิชาการ และข้อมูลที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต หากเราแสวงหาความรู้อยู่เสมอ จะทำ ให้เป็นผู้มี ความรู้ ทันโลก เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้สามารถวางแผนการทำ งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแก้ปัญหาได้สำ เร็จลุล่วง วัตถุโบราณ ยิ่งนานยิ่งมีค่า ๔๑


๓. ภาษาไทยเป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ประเทศไทยนั้นมีภาษาถิ่นที่ใช้ติดต่อกันเฉพาะกลุ่ม แบ่งเป็นภาษาถิ่นเหนือ ภาษาถิ่นกลาง ภาษาถิ่นอีสาน และภาษาถิ่นใต้ แต่มีการกำ หนดภาษาประจำ ชาติขึ้น โดยเลือกภาษาไทยถิ่นกลางเป็น ภาษาประจำ ชาติ เพื่อใช้ติดต่อสื่อสาร เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อมวลชน และสร้างความเข้าใจอันดี ของคนไทยในชาติ ๔.ภาษาเป็นเครื่องมือในการบันทึกและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของบรรพบุรุษในรูปของ วรรณคดีและวรรณกรรม นักเขียนไทยทุกยุคทุกสมัยสร้างสรรค์วรรณคดีและวรรณกรรมใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการ ถ่ายทอดอารมณ์สะเทือนใจ ถ่ายทอดความรู้สึก จินตนาการ โดยอาศัยกลวิธีทางวรรณศิลป์ที่ทำ ให้งาน เขียนมีความงดงาม ไพเราะ และทรงคุณค่า วรรณคดีเป็นงานเขียนที่ได้รับการยกย่อง ควรค่าแก่การ ศึกษาของชนรุ่นหลัง เมื่อเราศึกษาวรรณคดีทำ ให้ความเข้าใจวิถีชีวิต ความคิด และสภาพสังคมของคน ไทยในสมัยนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ๕. ภาษาเป็นเครื่องมือสร้างเอกภาพของชาติ ประเทศไทยมีภาษาไทยถิ่นกลาง เป็นภาษามาตรฐาน ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติที่มีความ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน การใช้ภาษาไทยในการติดต่อสื่อสารนั้นทำ ให้คนในชาติเกิดความรู้สึกเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกัน และเกิดความผูกพันเป็นเชื้อชาติเดียวกัน ทำ ให้เกิดความปรองดองและความสามัคคีที่ จะช่วยกันพัฒนาชาติไทยให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น สรุป จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเห็นว่าภาษาไทยมีลักษณะเฉพาะที่นักศึกษาควรเรียนรู้ เพื่อให้เกิด ความเข้าใจลักษณะของภาษาไทยอย่างถ่องแท้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งควรตระหนักถึงความสำ คัญของภาษาไทยใน ฐานะภาษาประจำ ชาติและเป็นเครื่องมือในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งการมีความรู้ความ เข้าใจลักษณะและความสำ คัญของภาษาไทยจะเป็นพื้นฐานของการใช้ภาษาไทยอย่างมีวิจารณญาณเพื่อ การสื่อสารในชีวิตประจำ วัน ๔๒


๑. ลักษณะของคำ ภาษาไทยมีอะไรบ้าง ๒. การสร้างคำ ภาษาไทยมีวิธีการอย่างไรบ้าง ๓.จงยกตัวอย่างลักษณะของพยางค์ในภาษาไทย มาคนละ ๑ ตัวอย่าง ๔.ให้นักเรียนแนะแนวทางในการส่งเสริมให้ทุกคนในสังคม ไทยตระหนักถึงความสำ คัญของภาษาไทยอย่างไรบ้าง แบบฝึกหัดท้ายบท ๔๓


การใช้คำ และ กลุ่มคำ สร้างประโยค บทที่ ๒ ๔๔


๑.การใช้คำ ในภาษาไทย การใช้คำ ในภาษาไทยให้เหมาะสม ประกอบด้วยเสียงและความหมาย การรู้จักเลือกคำ มาใช้ให้ถูกต้อง ควรคำ นึงถึงเรื่องต่อไปนี้ ๑. การใช้คำ ให้ถูกต้องตามความหมาย ความหมายของคำ ที่จะกล่าวถึงมีดังนี้คือ ๑.๑ คำ ที่มีความหมายตรงและความหมายโดยนัย - ความหมายตรง คือ ความหมายที่เป็นที่รับรู้ เข้าใจตรงกันในหมู่ผู้ใช้ภาษาไม่ต้องตี ความเป็น อย่างอื่น - ความหมายแฝง คือ ความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในความหมายของคำ นั้นๆ เป็นความ หมายที่เพิ่ม ขึ้นจากความหมายตรง จะเข้าใจตรงกันหรือไม่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้ประสบการณ์ของ แต่ละบุคคล ตลอดจนคำ แวดล้อม ๑.๒ คำ บางคำ อาจมีได้หลายความหมาย คือ เมื่ออยู่ในประโยคหนึ่ง คำ บางคำ อาจมีความแตก ต่างไปจากเมื่ออยู่ในอีกประโยคหนึ่ง ๑.๓ คำ บางคำ มีความหมายใกล้เคียงกัน อาจทำ ให้ผู้ใช้ภาษาเกิดความสับสนได้ ๒. การใช้คำ ให้ถูกต้องตามไวยากรณ์ ไวยากรณ์ หมายถึง หลักว่าด้วยรูป และระเบียบวิธีการ ประกอบรูปคำ ให้เป็นประโยค ชนิดของคำ แบ่งออกเป็น ๗ ชนิด ได้แก่ ๑.คำ นาม ๒.คำ สรรพนาม ๓.คำ กริยา ๔.คำ วิเศษณ์ ๕.คำ บุพบท ๖.คำ สันธาน ๗.คำ อุทาน ๓. การเขียนสะกดการันต์ให้ถูกต้อง การเขียนสะกดคำ การันต์นั้นเป็นเรื่องสำ คัญ เพราะถ้าเขียน สะกดบกพร่องหรือผิดความหมายก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้น ในการเขียนจึงต้องอาศัยการสังเกต และการจดจำ หลักการเขียนคำ ประเภท ต่างๆ ดังนี้ บทที่ ๔ การใช้คำ และกลุ่มคำ สร้างประโยค ๔๕


-คำ สมาส -คำ พ้องเสียง -คำ ที่ใช้ ซ, ทร -คำ ที่ใช้ ใ-, ไ- - คำ ที่ออกเสียง อะ -การใช้วรรณยุกต์ - คำ ที่มีตัวการันต์ -คำ ทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ ๔. การออกเสียงให้ถูกต้องและชัดเจน พยางค์หนึ่งๆ ในภาษาไทยประกอบด้วย พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ ถ้าเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์เปลี่ยนไป ความหมายก็จะเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งจะ ทำ ให้สื่อความหมายผิดพลาดได้ เรื่องนี้ต้องอาศัยการสังเกตและจดจำ เป็นสำ คัญ การใช้คำ ในภาษาไทย ใช้ต่างกันตามความเหมาะสมหรือตามระดับของคำ เวลานำ คำ ไปใช้จะต้อง คำ นึงถึงความเหมาะสมของ บุคคล กาลเทศะ โอกาส และความรู้สึก ระดับของภาษาแบ่งอย่างกว้างๆ ได้ ๓ ระดับคือ ๑. ภาษาปาก เป็นภาษาที่ใช้พูดหรือเขียน เพื่อความเข้าใจในกลุ่มคนที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม กัน ถ้อยคำ ที่ใช้ไม่ต้องพิถีพิถันกันมากนัก ๒. ภาษากึ่งแบบแผน เป็นภาษาที่ใช้ทั้งในการพูดและเขียน ๓. ภาษาแบบแผน เป็นภาษาที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าถูกต้องและประณีต มักใช้ในการพูดและ เขียนที่เป็นทางการ การใช้คำ ให้เหมาะสม ควรคำ นึงถึงเรื่องต่อไปนี้ ๑. การใช้คำ ให้เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะ การใช้คำ ที่สุภาพหรือคำ ที่เหมาะสมกับ บุคคลเป็น เรื่องที่คนไทยถือเป็นเรื่องสำ คัญ ควรใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสม ๒. การใช้คำ ให้เหมาะสมกับความรู้สึก คำ บางคำ ในภาษาไทยจะแสดงความรู้สึกของผู้ใช้ ภาษาได้ ว่ารู้สึกเช่นใด ในขณะเดียวกันก็จะส่งผลต่อความรู้สึกของผู้รับสารได้เช่นกัน หวังว่า ท่านจะนำ หลักการเหล่านี้ไปเป็นพื้นฐานในการใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำ วันได้อย่างถูกต้อง ๔๖


๒.คำ และสำ นวน คำ ประกอบด้วยเสียงที่มีความหมายซึ่งมนุษย์ใช้ในการสื่อสาร คำ หลาย ๆ คำ ที่เรียบเรียงไว้ ตายตัว สลับที่หรือตัดทอนไม่ได้มีความหมายไม่ตรงไปตรงมาแต่เป็นที่เข้าใจกัน บางทีมีความหมายใน เชิงเปรียบเทียบที่ลึกซึ้งกินใจ ทำ ให้เห็นภาพชัด เรียกว่าสำ นวน การรู้จักใช้คำ และสำ นวนช่วยให้การ สื่อสารมีประสิทธิผล คำ พิจารณาตามความหมายได้ดังนี้ ๑. ความหมายเฉพาะ แยกพิจารณาได้ ๒ ทางคือ ทางที่ ๑ เป็นความหมายตามตัวกับความ หมายเชิงอุปมา ทางที่ ๒ เป็นความหมายนัยตรงกับความหมายนัยประหวัด •ความหมายตามตัวเป็นความหมายเดิมของคำ เมื่อปรากฏในบริบทต่าง ๆ ส่วนความหมายเชิง อุปมาเป็นความหมายที่เกิดจากการเปรียบเทียบกับคำ นั้นในบริบทอื่น เช่น เมื่อคืนนี้มีดาวเต็มท้องฟ้า (ดาว เป็นความหมายตามตัว) สมัยที่เป็นนิสิตฉันเป็นดาวของคณะ (ดาว เป็นความหมายเชิงอุปมา) •ความหมายนัยตรง เป็นความหมายตามที่ปรากฏในพจนานุกรม อาจเป็นความหมายตาม ตัว หรือความหมายเชิงอุปมาก็ได้ ซึ่งผู้ใช้ภาษาจะเข้าใจตรงกัน ส่วนความหมายนัยประหวัดเป็น ความหมายที่คำ นั้นก่อให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ กันไป อาจเป็นทางดี ไม่ดี หรือในทางอื่นใดก็ได้ ๒. ความหมายเทียบเคียงกับคำ อื่น แยกออกเป็น •คำ ที่มีความหมายเหมือนกัน เช่น ม้า ใช้คำ ว่า อัศดร อาชา พาชี หัย แสะ บางครั้งอาจเป็น ภาษาสุภาพกับไม่สุภาพ เช่น รับประทาน ทาน เสวย ฉัน กิน •คำ ที่มี ที่ คมีวามหมายคล้าล้ยกันกัหรือรืร่วร่มกันกัมีคำมีคำจำ นวนมากที่มี ที่ คมีวามหมายส่วส่นหนึ่ง นึ่ ร่วร่มกันกัแต่คต่วาม หมายอีกอีส่วส่นหนึ่ง นึ่ ต่าต่งกันกัเช่นช่หั่น หั่ ตัดตัเฉือฉืน เจียจีน ปาด สับสัแล่ เลาะ ฝาน •คำ ที่มีความหมายตรงข้ามกัน เช่น อ้วน – ผอม ชั่ว – ดี เป็น – ตาย •คำ ที่มีความหมายครอบคลุมคำ อื่น เช่น เครื่องเขียน มีความหมายครอบคลุมถึงเครื่องใช้เกี่ยว เนื่องกับการเขียนทั้งหมด เช่น ดินสอ ปากกา ยางลบ ไม้บรรทัด สมุด ๔๗


การใช้คำ ๑. ใช้คำ ให้ตรงตามความหมาย มีข้อควรระวังคือ - การใช้คำ ที่มีความหมายนัยตรงต้องระวังไม่ให้ผู้อื่นคิดไปในทางนัยประหวัด - อย่าใช้คำ ที่มีความหมายกำ กวม - ให้ใช้คำ ที่มีความหมายเฉพาะตรงตามที่ต้องการ - เลือกใช้คำ ที่มีความหมายเกี่ยวเนื่องกับคำ อื่นได้อย่างเหมาะสม ๒. ใช้คำ ให้ตรงตามความนิยม คำ ที่มีความหมายเดียวกันบางทีใช้แทนกันได้แต่บางทีใช้แทนกัน ไม่ได้ เช่น มะม่วงดก ฝนตกชุก “ดก,ชุก” มีความหมายว่า มาก แต่ใช้แทนกันไม่ได้ ๓. ใช้คำ ให้เหมาะแก่กาลเทศะและบุคคล ในที่สาธารณะหรือในสถานที่สำ คัญต้องใช้ คำ พูดที่แสดงความสำ รวมและเคารพต่อสถานที่ การพูดกับบุคคลที่เราคุ้นเคยและเป็นส่วน ตัวอาจใช้คำ ที่แสดงความเป็นกันเอง เป็นต้น ๔ ใช้คำ ไม่ซ้ำ ซาก การใช้คำ เดิมซ้ำ ๆ กันอาจก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย จึงควรมี การหลากคำ คือเลือกใช้คำ ที่แปลก ๆ ออกไป แต่คำ เหล่านี้ต้องมีความหมายที่ใช้แทนกัน ได้ เช่น ไม่ชอบ ชัง เกลียด ไม่พอใจ โกรธ เคือง เป็นต้น สำ นวน คำ และสำ นวน ในที่นี้อาจครอบคลุมไปถึงภาษิต สุภาษิต และคำ พังเพยด้วย ในที่นี้เราจะ พิจารณาจำ นวนคำ และเสียง ในสำ นวนเสียก่อนโดยเฉพาะประเภทที่มีเสียงสัมผัส สำ นวนกันตั้งแต่ ๔ คำ ไปจนถึง ๑๒ คำ ๑. สำ นวนที่มีเสียงสัมผัส •เรียง ๔ คำ เช่น มือไวใจเร็ว ปากว่าตาขยิบ •เรียง ๖ คำ เช่น ขิงก็ราข่าก็แรง ยุให้รำ ตำ ให้รั่ว •เรียง ๘ คำ เช่น ตกน้ำ ไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ •เรียง ๑๐ คำ เช่น คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ •เรียง ๑๒ คำ เช่น มีเงินเขานับว่าน้อง มีทองเขานับว่าพี่ ๒. สำ นวนที่ไม่มีเสียงสัมผัส •เรียง ๒ คำ เช่น ควันหลง งามหน้า จนแต้ม คว่ำ บาตร •เรียง ๓ คำ เช่น ตายดาบหน้า ชุบมือเปิบ แทงใจดำ •เรียง ๔ คำ เช่น แกว่งเท้าหาเสี้ยน น้ำ ตาลใกล้มด คนล้มอย่าข้าม ๔๘


Click to View FlipBook Version