•เรียง ๕ คำ เช่น เขียนเสือให้วัวกลัว ตำ ข้าวสารกรอกหม้อ น้ำ ตาเช็ดหัวเข่า •เรียง ๖ คำ เช่น ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำ นม ปากคนยาวกว่าปากกา •เรียง ๗ คำ เช่น ตำ น้ำ พริกละลายแม่น้ำ นกน้อยทำ รังแต่พอตัว •เรียง ๘ คำ เช่น ไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่ มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก สรุปลักษณะเด่นของสำ นวนไทย คือ เป็นถ้อยคำ ที่มีคารมคมคาย กินใจผู้ฟัง ใช้คำ กะทัดรัด ไพเราะรื่น หู ถ้ามีสองวรรคความในแต่ละวรรคจะมีน้ำ หนักสมดุลกัน มีความหมายลึกซึ้ง เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย การใช้สำ นวน การใช้สำ นวนไทยให้มีประสิทธิผลมีหลักทั่ว ๆ ไปคือใช้ให้ตรงตามความหมาย ที่มาของสำ นวนไทย ๑. เกิดจากธรรมชาติ เช่น คลื่นใต้น้ำ มาเหนือเมฆ ฟ้าหลังฝน ๒. เกิดจากสัตว์ เช่น กระต่ายตื่นตูม เห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง เขียนเสือให้วัวกลัว ๓. เกิดจากประเพณี วัฒนธรรม เช่น เข้าตามตรอกออกตามประตู ชิงสุกก่อนห่าม ขนทรายเข้าวัด ๔. เกิดจากลัทธิศาสนาและความเชื่อเช่น วันพระไม่มีหนเดียว แก่วัด คว่ำ บาตร พระมาโปรด ๕. เกิดจากนิทานและวรรณคดี เช่น ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง งอมพระราม วัดรอยเท้า ๖. เกิดจากการละเล่นและกีฬา เช่น สู้จนเย็บตา งูกินหาง ไก่รองบ่อน ๗. เกิดจากการกระทำ ความประพฤติและความเป็นอยู่ เช่น ตำ ข้าวสารกรอกหม้อ ชุบมือเปิบ ๘. เกิดจากอวัยวะของร่างกาย เช่น ปากบอน ตีนเท่าฝาหอย คดในข้องอในกระดูก ๙. เกิดจากของกินของใช้ เช่น ข้าวเหลือเกลืออิ่ม หน้าสิ่วหน้าขวาน ได้แกงเทน้ำ พริก ๑๐. เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก เกี่ยวแฝกมุงป่า บ้านเมืองมีขื่อมีแป ๑๑. เกิดจากประวัติศาสตร์ ขุนนางใช่พ่อแม่ หินแง่ใช่ตายาย ประวัติศาสตร์ซ้ำ รอย ๔๙
๓.การเพิ่มคำ การเพิ่มคำ ในภาษาไทย ลักษณะการเพิ่มคำ ในภาษาไทย มี ๖ ประเภท คือ คำ มูล คำ ประสม คำ ซ้อน คำ ซ้ำ คำ สมาส คำ สนธิ ๑. คำ มูล คือ คำ ที่มีความหมายชัดเจน เป็นต้นกำ เนิดของคำ ชนิดอื่นๆอาจจะเป็นคำ ไทยแท้หรือ คำ ที่มาจากภาษาอื่น โดยแต่ละพยางค์อาจมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้ เช่น พี่ เชิ้ต ทะมัดทะแมง นาฬิกา ไม้ น้ำ ลม ไก่ งู คำ มูลมี ๒ ลักษณะ คือ คำ มูลพยางค์เดียวและคำ มูลที่มีหลาย พยางค์ ๒. คำ ประสม คือ การนำ คำ มูลตั้งแต่ ๒ คำ ขึ้นปารวมกัน ทำ ให้เกิดความหมายใหม่ เช่น คนงาน หัวดื้อ ยกเลิก บ้านพัก ฝนเทียม ดอกเบี้ย รองเท้า เป็นต้น คำ ประสมมีลักษณะดังนี้ ๒.๑ คำ ประสมที่เกิดจากคำ ไทยประสมกับคำ ไทย หรือคำ ที่มาจากภาษาอื่น แต่บางครั้งอาจ จะเป็นคำ บาลีสันสกฤตกับคำ บาลีสันสกฤตประสมกัน แต่เรียงพยางค์แบบไทย เช่น ฝน หลวง(ไทย+ไทย) ศาลเด็ก(สันสกฤต+ไทย) ราชโองการ(บาลี+เขมร) แพทยสัตว์(สันสกฤต+สันสกฤต) ภาพโปสเตอร์(บาลี+อังกฤษ) ๒.๒ คำ ประสมที่ย่อจากใจความกว้างให้แคบ จะมีคำ ต่อไปนี้ประกอบคำ ข้างหน้า คำ เช่น ชาววัง ชาวไร่ ชาวประมง นักร้อง นักดนตรี นักเรียน นักเลง ช่างเครื่อง ช่างไม้ ช่างทอง หมอดู หมอความ ของว่าง ของเล่น ของหวาน ผู้ดี ผู้การ ที่นอน ที่อยู่ เครื่องมือ เครื่องหมาย เครื่องนอน ๒.๓ คำ ประสมที่เกิดจากคำ ที่มีคำ ว่า การ ความ นำ หน้า เช่น การเงิน การพูด การบ้าน ความดี ๓. คำ ซ้อน คือคำ ที่สร้างจากคำ มูล โดยอาจมาจากคำ ในภาษาใด คำ ชนิดใด และทำ หน้าที่ใด ก็ได้ ทั้งนี้ลักษณะส่วนใหญ่คล้ายคำ ประสม คำ ซ้ำ แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ ๓.๑ คำ ที่เกิดจากคำ มูลที่มีความหมายเหมือนหรือคล้ายคลึงกันมารวมกัน เช่น ติดต่อ ซักฟอก สดใส ผูกพัน กักขัง ฝึกหัด ลบเลือน ๓.๒ คำ ซ้อนเพื่อเสียง คือการนำ คำ มูลที่มีเสียพยัญชนะต้นเสียงเดียวกันหรือฐานเดียวกันมา ซ้อนกัน เช่น โลเล เตาะแตะ วอแว สูสี จ๋อแจ๋ โบ๋เบ๋ เป็นต้น ๔. คำ ซ้ำ คือคำ ที่เกิดจากการซ้ำ คำ เดียวกันตั้งแต่ ๒ คำ ขึ้นไปเพื่อให้เกิดคำ ใหม่ เช่น ดำ ๆ หวานๆ และคำ ที่ซ้ำ เสียงโดยเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ เช่น ล้วมหลวม เช้ยเชย เบ๊าเบา เป็นต้น ๕. คำ สมาส คือ การนำ คำ บาลี สันสกฤตมาต่อกับคำ บาลีสันสกฤตแล้วเกิดความหมาย ใหม่ มีลักษณะดังนี้ ๕๐
๕.๑ พยางค์สุค์ดสุท้าท้ยของคำ หน้าน้ประวิสวิรรชนีย์นีย์ก่อก่นสมาสให้ตัห้ดตัทิ้ง ทิ้ แล้วล้อ่าอ่นออกเสียสีง อะ กึ่ง กึ่ เสียสีง เช่นช่ธุรธุะ+กิจกิเป็นป็ธุรธุกิจกิลักลัษณะ+นาม เป็นป็ลักลัษณนาม ๕.๒ พยางค์สุดท้ายของคำ หน้ามีตัวการันต์ก่อนสมาสให้ตัดทิ้ง แล้วอ่านออกเสียง อะ กึ่ง เสียง เช่น มนุษย์+ศาสตร์ เป็น มนุษยศาสตร์ แพทย์+ศาสตร์ เป็น แพทยศาสตร์ ๕.๓ พยางค์สุดท้ายของคำ หน้าที่สระอื่น ที่ไม่ใช่สระอะ ไม่ต้องตัดทิ้งแล้วอ่านออกเสียงต่อ เนื่องกัน เช่น ประวัติ+ศาสตร์ เป็น ประวัติศาสตร์ ๕.๔ คำ สมาสส่วนมากต้องแปลความหมายจากคำ หลังมาหาคำ หน้า เช่น ยุทธ+วิธี เป็น ยุทธวิธี ๕.๕ มีคำ ว่า พระ แผลงมาจาก วร นำ หน้า เช่น พระกร พระหัตถ์ พระบาท พระพุทธ พระธรรม พระพักตร์ พระทนต์ พระเนตร เป็นต้น ๕.๖ คำ บางคำ เป็นคำ สมาส แม้จะเรียงลำ ดับแบบคำ ไทย ให้แปลความเป็น และ อ่านออก เสียงต่อเนื่องกัน เช่น บุตรภรรยา ทาสกรรมกร สมณพราหมณ์ คำ ประสมที่มีลักษณะคล้ายคำ สมาส ได้แก่ ผลไม้ ราชวัง พลเรือน เทพเจ้า พระเก้าอี้ พระศก พระขนง ผลบุญ ประธานสภา ภูมิปัญญา ประวัติบุคคล ๖. คำ สนธิ คือ การนำ คำ บาลีสันสกฤตมาเชื่อมเข้ากับคำ บาลีสันสกฤตให้มีความกลมกลืนเสียง สั้นเข้า เกิดเป็นคำ ใหม่ ลักษณะของการสนธิ มีดังนี้ ๖.๑ สระสนธิ คือ การเชื่อมคำ โดยคำ ตัวหน้าเป็นสระและคำ ตัวหลังเป็นสระ เช่น มหานิ สงส์ อภินันทนาการ ภัตตาหาร มหินทร์ ราชินูปถัมภ์ หลักการสนธิของสระสนธิ มีดังนี้ ๖.๑.๑ อะ อา+อะ อา เป็นสระ อา เช่น ราชะ+อภิเษก เป็น ราชาภิเษก ๖.๑.๒ อะ อา+อิ อี เป็น อิ อี เอ เช่น นร+อินทร์ เป็น นรินทร์ นเรนทร์ ๖.๑.๓ อะ อา+อุ อู เป็น อุ อู โอ เช่น ชล+อุทร เป็น ชโลทร ๖.๑.๔ อะ อา+เอ โอ ไอ เอา เป็น เอ โอ ไอ เอา เช่น ปิยะ+โอรส เป็น ปิโยรส ๖.๑.๕ อิ อี+อิ อี เป็น อิ อี เอ เช่น ธรณี+อินทร์ เป็น ธรณินทร์ ๖.๑.๖ อิ อี+สระอื่น เปลี่ยน อิ เป็น ย แล้วจึงสนธิตามหลักเกณฑ์ เช่น สามัคคี+อาจารย์ เป็น สามัคยาจารย์ อัคคี+โอภาส เป็น อัคโยภาส ๖.๑.๗ อุ อู+สระอื่น เปลี่ยน อุ อู เป็น ว แล้วจึงสนธิตามหลักเกณฑ์ ธนู+อาคม เป็นธันวาคม สาธุ+อาจารย์ เป็น สาธวาจารย์ ๕๑
๖.๒ พยัญชนะสนธิ คือ การเชื่อมและกลมกลืนเสียงระหว่างพยัญชนะของคำ หน้ากับพยัญชนะ ของคำ ขึ้นต้นในคำ ที่มาสนธิกัน หลักการสนธิพยัญชนะมีดังนี้ ๖.๒.๑ อสฺ+พยัญชนะใดๆเปลี่ยน อสฺ เป็น โอ เช่น มนส+รถ เป็น มโนรถ มนส+มัย เป็น มโนมัย เตชส+ชัย เป็น เตโชชัย รหส+ฐาน เป็น รโหฐาน ๖.๒.๒ อิส+พยัญชนะใดๆเปลี่ยน อิส เป็น นิร นร เนร เช่น นิส+ภัย เป็น นิรภัย นิส+เทศ เป็น นิรเทศ เนรเทศ ๖.๒.๓ อุส+พยัญชนะใดๆ เปลี่ยน อุส เป็น ทุร ทร เช่น ทุส+ชน เป็น ทุรชน ๖.๓ นิคหิตสนธิ คือ การต่อเชื่อมและกลมกลืนเสียงระหว่างคำ ต้นลงท้ายด้วยนิคหิตกับคำ ที่ขึ้น ต้นด้วยสระ หรือพยัญชนะ หลักการสนธินิคหิตมีดังนี้ ๖.๓.๑ สํ+พยัญชนะวรรคใด ให้เปลี่ยนนิคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคนั้น เช่น ๖.๓.๑.๑ วรรค ก ข ค ฆ ง สํ+เกด เป็น สังเกต ๖.๓.๑.๒ วรรค จ ฉ ช ฌ ญ สํ+ชาติ เป็น สัญชาติ ๖.๓.๑.๓ วรรค ฏ ฐ ฑ ฒ ณ สํ+ฐาน เป็น สัณฐาน ๖.๓.๑.๔ วรรค ต ถ ท ธ น สํ+โดษ เป็น สันโดษ ๖.๓.๑.๔ วรรค ป ผ พ ภ ม สํ+ภาษณ เป็น สัมภาษณ์ ๖.๓.๒ สํ+เศษวรรคเปลี่ยนนิคหิตเป็น ง เช่น สํ+โยค เป็น สังโยค ๖.๓.๓ สํ+สระ เปลี่ยนนิคหิตเป็น ม เช่น สํ+อาส เป็น สมาส สํ+อาคม เป็น สมาคม ๕๒
๔.การร้อยเรียงประโยค การร้อยเรียงประโยค การแสดงความคิดเพื่อสื่อสารกันนั้น บางโอกาสผู้ส่งสารใช้ประโยคที่ผูกขึ้นให้รัดกุมและถูก ต้องตามระเบียบของภาษาเพียงประโยคเดียวก็สื่อความหมายได้ชัดเจนเช่น คำ ขวัญที่ว่า“ตัวตายดีกว่า ชาติตาย”หลักการร้อยเรียงประโยคและวิธีวิเคราะห์การร้อยเรียงประโยคนักเรียนต้องมีความรู้เกี่ยวกับ ส่วนประกอบของประโยค ลำ ดับคำ ในประโยค ความยาวของประโยคและเจตนาของผู้ส่งสารใน ประโยค ส่วนประกอบของประโยค ประโยคมีส่วนประกอบสำ คัญ ๒ ส่วนคือ ภาคประธานและภาคแสดง เช่นผู้หญิงชอบน้ำ หอม ภาคประธาน ภาคแสดง ผู้หญิง ชอบน้ำ หอม โดยปกติ ภาคประธานเป็นส่วนที่ผู้ส่งสารมักกล่าวถึงก่อน ส่วนภาคแสดงนั้นเป็นส่วนที่บอกว่า สิ่งที่กล่าวถึงนั้นทำ อะไร อยู่ในสภาพใด หรือเป็นอะไร ผู้พูดอาจเพิ่มรายละเอียดเข้าไปในประโยคโดย เพิ่มคำ บางคำ เช่น ผู้หญิงคนนั้นชอบน้ำ หอมราคาแพง หรืออาจเพิ่มประโยคเข้าไปทั้งประโยคทำ ให้มี ความซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น ผู้หญิงที่อยู่ในห้องสีขาวชอบน้ำ หอมที่มีราคาแพงจากต่างประเทศ ประโยคที่ เพิ่มขึ้นอาจสัมพันธ์กับประโยคเดิมโดยมีคำ เชื่อม และ ถ้า แต่ หรือ จึง ฯลฯ เช่น ผู้หญิงชอบน้ำ หอมส่วนผู้ชายชอบโคโลญจน์ ประโยคบางคู่ ประธานและ/หรือ กรรมหรือกริยา หรือส่วนขยายต่างกัน เช่น ๑. ก. เขาฟังเพลงอย่างตั้งใจ ข. เขาฟังเพลงด้วยความตั้งใจ ๒. ก. หลักเกณฑ์กฑ์ารให้คะแนนมีมาก ข. การให้คะแนนมีหลักเกณฑ์มาก ๕๓
๓. ก. แม่ชมเชยเขามาก ข. เขาได้รับการชมเชยจากแม่มาก ตัวอย่างที่ ๑ ประโยค ก และ ข ต่างกันที่ส่วนขยาย ตัวอย่างที่ ๒ ประธานของประโยค ก กับประโยค ข ต่างกัน และประโยค ก ไม่มีกรรม ประโยค ข มีกรรม ตัวอย่างที่ ๓ ประธาน กริยา กรรม ของประโยค ก กับประโยค ข ต่างกัน ประโยคบางคู่ มีความซับซ้อนต่างกัน เช่น ๑. ก. เขาไม่ซื้อของถูก ข. เขาไม่ซื้อของที่มีราคาถูก ๒. ก. เรื่องนี้ทุกคนรู้อยู่แล้ว ข. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ประโยค ก ในตัวอย่างที่ ๑ และสองมีคำ จำ กัดความหมายคือ ถูก และ นี้ ส่วนประโยค ข ใน ตัวอย่างที่ ๑ และ ๒ มีประโยคช่วยจำ กัดความหมายคือ ที่มีราคาถูก และที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ในบางกรณีผู้พูดอาจแสดงความคิดอย่างเดียวกันโดยใช้ประโยคหลาย ๆ ประโยคก็ได้ หรือ รวมประโยคเหล่านั้นเข้าด้วยกันโดยใช้คำ เชื่อมก็ได้ หรือทำ ให้กลายเป็นส่วนประกอบของอีกประโยค หนึ่งก็ได้ ลำ ดับคำ ในประโยค การเรียงลำ ดับคำ ในภาษาไทยมีความสำ คัญมาก เพราะถ้าลำ ดับคำ ต่างกันความสัมพันธ์ ของคำ ในประโยคอาจผิดไป ทำ ให้ความหมายของประโยคเปลี่ยนไปได้ เช่น ฉันช่วยเธอ และ เธอช่วย ฉัน ผู้ทำ และผู้ถูกกระทำ จะต่างกัน ประโยคบางประโยคที่เปลี่ยนลำ ดับคำ แล้วมีความหมายเปลี่ยนไป น้อยมากเช่น เขาเป็นญาติกับตุ้ม และตุ้มเป็นญาติกับเขา บางประโยคอาจเปลี่ยนลำ ดับคำ ที่หลาก หลายโดยที่ความหมายยังคงเดิมเช่น เขาน่าจะได้พบกับเธอที่บ้านคุณพ่อคุณอย่างช้าพรุ่งนี้ เธอน่าจะได้พบกับเขาที่บ้านคุณพ่อคุณอย่างช้าพรุ่งนี้ พรุ่งนี้อย่างช้าเธอน่าจะได้พบกับเขาที่บ้านคุณพ่อคุณ จะพบว่าทุกประโยคสื่อความหมายอย่างเดียวกันทำ ให้ทราบว่าผู้พบกันคือ เขากับเธอ สถาน ที่ที่พบคือ บ้านคุณพ่อคุณ และเวลาที่พบคือ พรุ่งนี้เป็นอย่างช้า ๕๔
ความยาวของประโยค ประโยคอาจมีความแตกต่างกันที่ความสั้นยาว ประโยคจะยาวออกไปได้เมื่อผู้พูดเพิ่มรา ละเอียดให้มากขึ้น รายละเอียดที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ เวลาที่เกิดเหตุการณ์ ต้น เหตุที่ทำ ให้เกิดเหตุการณ์ ฯลฯ นอกจากนั้นอาจเพิ่มความยาวของประโยคโดยหาคำ ขยายคำ นามหรือ กริยาในประโยคก็ได้ เจตนาของผู้ส่งสาร เราอาจแบ่งประโยคตามเจตนาของผู้ส่งสารที่แสดงในประโยค ๆด้เป็น ๓ ประเภทคือ ๑.ประโยคแจ้งให้ทราบ คือประโยคที่ผู้พูดบอกกล่าวหรือแจ้งเรื่องราวบางประการให้ผู้ฟัง ทราบ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าประโยคบอกเล่า เช่น นักเรียนบางคนชอบร้องเพลง ถ้าประโยคแจ้ง ให้ทราบ มีเนื้อความปฏิเสธ ก็จะมีคำ ปฏิเสธ เช่น ไม่ มิ หามิได้ อยู่ด้วยดังประโยค นักเรียน บางคนไม่ชอบร้องเพลง ๒.ประโยคถามให้ตอบ คือ ประโยคที่ผู้พูดใช้ถามเรื่องราวบางประการเพื่อให้ผู้ฟังตอบสิ่ง ที่ผู้พูดอยากรู้ หรือเรียกอีกอย่างว่าประโยคคำ ถาม ถ้าประโยคคำ ถามมีเนื้อความปฏิเสธ ก็จะมีคำ ปฏิเสธ อยู่ด้วย เช่น ใครอยากไปเที่ยวบ้าง เนื้อความปฏิเสธ ใครไม่อยากไปเที่ยวบ้าง ๓.ประโยคบอกให้ทำ คือ ประโยคที่ผู้พูดใช้เพื่อให้ผู้ฟังกระทำ อาการบางอย่างตามความ ต้องการของผู้พูด เรียกว่าประโยคบอกให้ทำ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าประโยคคำ สั่งหรือขอร้อง ประธานของประโยคบอกให้ทำ บางทีก็ไม่ปรากฏประธาน ถ้าผู้พูดต้องการเน้นคำ กริยา และท้าย ประโยคบอกให้ทำ มักจะมีคำ อนุภาค เช่น ซิ นะ เถอะ หลักทั่วไปในการร้อยเรียงประโยค ประโยคที่ร้อยเรียงกันอยู่นั้น ทั้งเนื้อความและลักษณะของถ้อยคำ ในประโยคจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องต่อ เนื่องกัน เนื้อความในประโยคคือความคิดของผู้นำ เสนอ จะต้องมีลำ ดับและมีความเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกัน หรือที่เรียกเป็นศัพท์เฉพาะทางวิชาการว่ามีเอกภาพ ส่วนลักษณะถ้อยคำ ที่ทำ ให้ประโยค เกี่ยวข้องต่อเนื่องกันอาจเกิดจากวิธีต่าง ๆ ได้แก่ การเชื่อม การแทน การละและ การซ้ำ การเชื่อม การเชื่อมประโยคให้ต่อเนื่องกัน อาจใช้คำ เชื่อมหรือเรียกว่า คำ สันธาน หรือใช้กลุ่มคำ เชื่อม หรือที่เรียก ว่า สันธานวลี ประกอบด้วย ข้อต่าง ๆดังนี้ ๑. คำ สันธานบางคำ และสันธานวลีบางวลีแสดงว่า ประโยคหน้าและประโยคหลังมีเนื้อความ คล้อยตามกัน เช่น และ ทั้ง อนึ่ง อีกประการหนึ่ง อีกทั้ง รวมทั้ง ตัวอย่างเช่น ฉันตัดสินใจเรียนหนังสือและทำ งานไปด้วย ๕๕
๒. คำ สันธานบางคำ และสันธานวลีบางวลีแสดงว่า ประโยคหน้าและประโยคหลังมีเนื้อความขัด แย้งกัน เช่น แต่ แต่ทว่า แม้ แม้แต่ แม้ว่า ตัวอย่างเช่น ตำ รวจรู้ตัวผู้กระทำ ผิดแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ ๓. คำ สันธานบางคำ และสันธานวลีบางวลีแสดงว่า ประโยคหน้าและประโยคหลังมีเนื้อความให้ เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น หรือ หรือไม่ก็ ตัวอย่างเช่น เธอจะอยู่กับเขาหรือเธอจะไปกับฉัน ๔. คำ สันธานบางคำ และสันธานวลีบางวลีแสดงว่าประโยคหน้าและประโยคหลังมีเนื้อความ เป็นเหตุเป็นผลกัน เช่น จึง เลย จน จนกระทั่ง ตัวอย่างเช่น เขาทำ งานอย่างหนักสุขภาพจึงทรุดโทรม ๕. คำ สันธานบางคำ และสันธานวลีบางวลีแสดงว่าประโยคหน้าและประโยคหลังมีเนื้อความ เกี่ยวข้องกันทางเวลา เช่น แล้ว แล้วจึง และแล้ว ต่อจากนั้น ต่อมา ตัวอย่างเช่น เขามางานเลี้ยงในตอนเช้าต่อจากนั้นตอนบ่ายเขาก็กลับบ้าน ๖.คำ สันธานบางคำ และสันธานวลีบางวลีแสดงว่าประโยคหน้าและประโยคหลังมีเนื้อความ เกี่ยวข้องกันในแง่ที่เป็นเงื่อนไข เช่น ถ้า ถ้า…แล้ว แม้ว่า หากว่า เมื่อ…ก็ หาก…ก็ ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีความขยันอย่างแท้จริงเราก็ไม่สอบตก การซ้ำ หากประโยค ๒ ประโยค มีส่วนกล่าวถึงบุคคล สิ่ง เหตุการณ์ การกระทำ หรือสภาพเดียวกัน ประโยค ทั้งสองมักจะมีคำ หรือวลีที่หมายถึงบุคคล สิ่ง เหตุการณ์ การกระทำ หรือสภาพนั้น ๆ ปรากฏซ้ำ ๆ การซ้ำ คำ หรือวลีจึงแสดงความเกี่ยวข้องของประโยคได้ เช่น -ฉันวางกระเป๋ากับร่มไว้บนโต๊ะ ประเดี๋ยวเดียวกระเป๋าหายไปแล้วร่มยังอยู่ ประโยคหน้าและประโยคหลังกล่าวถึงสิ่งเดียวกันคือ กระเป๋ากับร่มจึงมีคำ กระเป๋ากับร่มซ้ำ กัน หมายเหตุ ๑. ในกรณีที่มีคำ ซ้ำ กันเช่นนี้ คำ ที่ซ้ำ อาจมีคำ วิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ(นิยมวิเศษณ์) นี้ นั้น โน้น นี่ นั่น มาขยาย เพื่อชี้เฉพาะว่าเป็นสิ่งที่กล่าวถึงไปแล้ว เช่น แหล่งโบราณคดีที่สำ คัญที่สุดแห่งหนึ่งของไทยคือบริเวณเมืองอู่ทอง ในจังหวัดสุพรรณบุรี นัก โบราณคดีหลายท่านเชื่อว่าบริเวณนี้ น่าจะเป็นศูนย์กลางดั้งเดิมของอาณาจักรฟูนัน ประโยคหน้าและประโยคหลังกล่าวถึงสิ่งเดียวกัน คือบริเวณนี้เป็นแหล่งโบราณคดี จึงมีคำ ว่า บริเวณ ซ้ำ กันและมีคำ นี้ ขยายบริเวณ ในประโยคหลังเพื่อช่วยระบุว่าเป็นบริเวณเดียวกันกับที่กล่าวใน ประโยคแรก ๕๖
๒. หากคำ วิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะใช้ขยายคำ ในประโยคหน้าอยู่แล้ว คำ ที่อยู่ในประโยคหลัง มักจะไม่มีคำ วิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะขยาย เช่น เด็กคนนี้ มูลนิธิรับผิดชอบค่าเล่าเรียนแม่ของเด็กรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ประโยคหน้าและประโยคหลังมีส่วนกล่าวถึงคนคนเดียวกันและการกระทำ เดียวกันจึงมีคำ นาม เด็กซ้ำ กัน คำ ว่านี้ขยายคำ ว่า เด็ก ในประโยคหน้าอยู่แล้วจึงไม่ใช้ในประโยคหลังและมีคำ กริยา รับผิดชอบซ้ำ กัน ๓. คำ ที่ขยายคำ ที่ซ้ำ กันนั้น นอกจากคำ วิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะแล้ว อาจมีคำ ชนิดอื่นอีกบ้าง การละ ในบางกรณีเมื่อประโยคหน้าและประโยคหลังมีส่วนกล่าวถึงบุคคล สิ่ง เหตุการณ์ การกระทำ หรือสภาพเดียวกัน อาจไม่จำ เป็นต้องกล่าวซ้ำ เช่น -คนขับรถ กระโดดลงจากรถ ฉวยกระเป๋าได้ รีบเดินเข้าบ้าน ประโยคหน้าและประโยคต่อ ๆไป กล่าวถึงบุคคลเดียวกัน คือ คนขับรถ คำ นาม คนขับรถเป็น ประธานในประโยคหลังด้วยแต่ละไว้ การแทน ในกรณีที่ผู้พูดหรือผู้เขียนไม่ต้องการใช้วิธีซ้ำ หรือวิธีละเมื่อกล่าวถึงบุคคล สิ่ง เหตุการณ์ การ กระทำ หรือสภาพเดียวกัน ก็อาจใช้วิธีนำ คำ หรือวลีอื่นมาแทน การใช้คำ หรือวลีอื่นมาแทนจึงแสดง ความเกี่ยวเนื่องกันของประโยค เช่น -ลูกชายของหญิงชรา จากบ้านไปนานแล้ว เขา อาจเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ ประโยคหน้าและประโยคหลังกล่าวถึงบุคคลคนเดียวกันคือ ลูกชายของหญิงชรา คำ สรรพนาม เขา ในประโยคหลัง หมายถึง ลูกชายของหญิงชรา ที่กล่าวถึงในประโยคหน้า วิเคราะห์การร้อยเรียงประโยค วิธีทำ ให้ประโยคเกี่ยวข้องกันทั้งการเชื่อม การซ้ำ การละ และการแทนดังที่กล่าวมาข้าง ต้น อาจนำ ไปวิเคราะห์ข้อเขียนที่ปรากฏในที่ต่าง ๆได้ การวิเคราะห์จะทำ ให้เราเข้าใจความหมายของ ข้อเขียนอย่างแจ่มแจ้ง และยังเป็นแนวทางในการฝึกทักษะการร้อยเรียงประโยคด้วย ตัวอย่าง ลีซอ เป็นชาวเขาที่มีบุคลิกภาพงดงาม มีผิวกายค่อนข้างขาว มีร่างระหงและใบหน้าเป็นรูปไข่ ชาวเขา เผ่านี้ ยังชีพด้วยการปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด และฝิ่น ลีซอ ส่วนใหญ่ไม่สูบฝิ่น ในบรรดาหนุ่มลีซอนั้น หาคนติดฝิ่นแทบไม่ได้เลย ๕๗
ประโยคแรกกล่าวถึงชาวเขาเผ่าลีซอ ประโยคที่เหลือทั้งหมดมีเนื้อความเกี่ยวกับชาวเขา เผ่านี้ แต่ประโยคที่ ๒ และ ๓ ใช้วิธีไม่เอ่ยชื่อ ประโยคที่ ๔ ใช้วลี ชาวเขาเผ่านี้ แทน ประโยคที่ ๕ ใช้การซ้ำ คำ ว่า ลีซอ และประโยคที่ ๖ ใช้วลี หนุ่มลีซอนั้น เพื่อจำ กัดความหมายให้แคบเข้าว่าหมายถึง เฉพาะชายหนุ่มเผ่าลีซอเท่านั้น ๕๘
๑.ให้นักเรียนยกตัวอย่างประโยคการซ้ำ คำ มาคนละ ๑ ตัวอย่าง ๒.ให้นักเรียนยกตัวอย่างการเชื่อมประโยค มาละคน ๑ ตัวอย่าง ๓.ให้นักเรียนอธิบายคำ และสำ นวน มาโดยสังเขป ๔.ให้นักเรียนยกตัวอย่างการเรียบเรียงประโยค มาคนละ ๒ ตัวอย่าง แบบฝึกหัดท้ายบท ๕๙
การแต่งคำ ประพันธ์ประเภท "ฉันท์" บทที่ ๕ ๖๐
๑. ความสำ คัญของการแต่งคำ ประพันธ์ การเผยแพร่ประสบการณ์ แนวความคิด องค์ความรู้ รวมถึงข้อคิด ข้อควรปฏิบัติตน รวมถึง ข้อคำ สอนต่างๆ ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ส่วนใหญ่มักถ่ายทอดผ่านการท่องจำ และเล่าสู่กัน ฟังในลักษณะ มุขปาฐะ แม้ว่าจะมีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็เผยแพร่กันอยู่ภายใน วงจำ กัด ด้วยเหตุที่ กลุ่มบุคคลที่มีความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ยังคงจำ กัดอยู่แต่กลุ่ม บุคคลชั้นสูง ขุนนาง และ พระสงฆ์หรือบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น นอกเหนือจากความสำ คัญดังกล่าวแล้ว คำ ประพันธ์หรือกวีนิพนธ์ยังเป็นเครื่องมือ ถ่ายทอด อารมณ์ ความรู้สึกอันลุ่มลึกละเมียดละไมของกวีได้อย่างลึกซึ้ง ด้วยลักษณะที่คำ ประพันธ์ แต่ละ ประเภทต่างก็มีการจำ กัดจำ นวนคำ ที่ใช้ในแต่ละบท จึงเป็นข้อจำ กัดให้กวีจำ เป็นต้องเลือกสรร ถ้อยคำ อย่างพิถีพิถัน เพื่อใช้ในบทประพันธ์ให้สามารถนำ เสนออารมณ์ความรู้สึก ทรรศนะ ตลอดจนเนื้อ ความได้ครบถ้วนตรงตามความต้องการ ๒. การแต่งคำ ประพันธ์ประเภทฉันท์ คำ ประพันธ์ประเภทฉันท์ ไทยได้รับแบบอย่างมาจากคัมภีร์วุตโตทัยของอินเดีย โดยได้ดัดแปลง เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของภาษาไทยรวมถึงการเพิ่มสัมผัสของค่า จึงทำ ให้ ฉันท์ในภาษาไทยมี ความไพเราะเพราะพริ้งฟังรื่นหูมากกว่าแบบฉบับ ซึ่งบังคับแต่คณะ ครุ ลหุ ฉันท์มีลักษณะบังคับ ๔ ประการ คือ คณะ พยางค์ ครุ ลหุ และสัมผัส เดิมนั้นกำ หนดเพียง ครุ ลหุ แต่ไทยเพิ่มสัมผัสให้ไพเราะ ยิ่งขึ้น ก่อนจะกล่าวถึงฉันทลักษณ์ของฉันท์ ควรทำ ความเข้าใจเกี่ยวกับ ครุ ลหุดังนี้ ครุ คือพยางค์หรือคำ ที่มีเสียงหนัก ได้แก่ คำ ที่ประสมกับสระเสียงยาวในแม่ ก กา (ไม่มี ตัว สะกด) รวม อำ ไอ ไอ เอา และคำ ที่มีตัวสะกดทั้งหมด เช่น เขียน สวย นั่ง ยืน เป็น นก เป็นต้น โดย ใช้ " ั " เป็นสัญลักษณ์แทนคำ ครุ ลหุ คือพยางค์หรือคำ ที่มีเสียงเบา ได้แก่ คำ ที่ประสมกับสระเสียงสั้นในแม่ ก กา เช่น ชิ นะ รวิ ศิระ ปะทุ นิธิ เป็นต้น โดยใช้สัญลักษณ์ " ุ " แทนคำ ลหุ บทที่ ๕ การแต่งคำ ประพันธ์ประเภท "ฉันท์" ๖๑
๒.๑ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ จะมีแบบแผนเหมือนกับ กาพย์ยานี ๑๑ แต่เพิ่ม ครุ, ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปลว่า เพชรพระอินทร์ หมายถึง ฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่ง ข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำ ครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย ๑) การบังคับคณะ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑ บท มี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรค วรรคที่ ๑ มี ๕ คำ วรรคที่ ๒ มี ๖ คำ ๒) การบังคับสัมผัส ๑. คำ สุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคำ ที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ ๒. คำ สุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับคำ สุดท้ายของวรรคที่ ๓ ๓. ถ้าแต่งหลาย ๆ บทต้องมีสัมผัสระหว่างบท คือ คำ สุดท้ายของวรรที่ ๔ สัมผัส กับคำ สุดท้ายของววรคที่ ๒ ในบทถัดไป ๓) การบังคับครุ ลหุ กำ หนดตามแผนผังต่ไปนี้ ๖๒
๒.๒ โตฎกฉันท์ ๑๒ ชื่อฉันท์แปลว่า ปฏักแทงโค เป็นฉันท์ที่มีลีลากระชั้นคึกคักประดุจนายโคบาลแทงโคด้วยปฏัก กวีนิยมใช้กับเนื้อเรื่องที่แสดงความโกรธเคือง ร้อนรน หรือคึกคะนอง สนุกสนาน ๑) การบังคับคณะ โตฎกฉันท์ ๑ บท มี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรค ๑ วรรค มี ๖ คำ ๒) การบังคับสัมผัส ๑. คำ สุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคำ ที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ ๒. คำ สุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับคำ สุดท้ายของวรรคที่ ๓ ๓. ถ้าแต่งหลาย ๆ บทต้องมีสัมผัสระหว่างบท คือ คำ สุดท้ายของวรรที่ ๔ สัมผัสกับคำ สุดท้ายของววรคที่ ๒ ในบทถัดไป ๓) การบังคับครุ ลหุ กำ หนดตามแผนผังต่ไปนี้ ๖๓
๒.๓ วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ชื่อฉันท์แปลว่า ความงามในฤดูฝน เป็นฉันท์ที่มีลีลางดงามอ่อนช้อยประดุจความงามของ หยาดน้ำ ฝนทั้งเล็กและใหญ่สลับกันในฤดูฝน มีความไพเราะมากฉันท์หนึ่ง ใช้สำ หรับพรรณนาสิ่งที่ สวยงาม เช่น ชมบ้านเมือง ชมธรรมชาติ ชมความงามของสตรี เป็นต้น ทำ ให้ผู้ฟังรู้สึกไพเราะและ ซาบซึ้งกับความงามนั้น ๆ ๑) การบังคับคณะ วสันตดิลกฉันท์ ๑ บท มี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรค ๑ บาท มี ๑๔ คำ ๒) การบังคับสัมผัส ๑. คำ สุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสคำ ที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ ๒. คำ สุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับคำ สุดท้ายของวรรคที่ ๓ ๓. ถ้าแต่งหลาย ๆ บทต้องมีสัมผัสระหว่างบท คือ คำ สุดท้ายของวรรที่ ๔ สัมผัสกับ คำ สุดท้ายของววรคที่ ๒ ในบทถัดไป ๓) การบังคับครุ ลหุ กำ หนดตามแผนผังต่ไปนี้ ๖๔
๒.๔ มาลินีฉันท์ ๑๕ ชื่อฉันท์แปลว่า ดอกไม้ เป็นฉันท์ที่แต่งยากแต่ทว่ามีความงามประดุจดอกไม้ ทำ นองฉันท์ สั้นกระชับในตอนต้น แล้วราบรื่นในตอนปลาย เป็นฉันท์ที่มีท่วงทำ นองเคร่งขรึมน่ายำเกรง กวีมักใช้ แต่งเพื่ออวดความสามารถในการใช้ศัพท์และเป็นเชิงกลบท ๑) การบังคับคณะ มาลินีฉันท์ ๑ บท มี ๑ บาท ๑ บาท มี ๓ วรรค ๑ บท มี ๑๕ คำ ๒) การบังคับสัมผัส ๑. คำ สุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสคำ ที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ ๒. คำ สุดท้ายของวรรคที่ ๓ ส่งสัมผัสไปยังคำ ที่พร้อมจะรับในบทที่จะแต่งต่อไป ๓) การบังคับครุ ลหุ กำ หนดตามแผนผังต่ไปนี้ ๖๕
๒.๕ สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙ ชื่อของฉันท์แปลว่า เสือผยอง เพราะมีลีลาประดุจกิริยาแห่งเสือโคร่ง มีลีลาท่วงทำ นอง เคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง ให้ความรู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์ มีสง่า จึงนิยมใช้แต่งบทประณามพจน์เป็นการ ไหว้ครู หรือกล่าวยอพระเกียรติหรือสรรเสริญพระมหากษัตริย์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ๑) การบังคับคณะ ๑ บท มี ๓ วรรค วรรคแรกมี ๑๒ คำ วรรคที่ ๒ มี ๕ คำ วรรคสุดท้ายมี ๒ คำ ๒) การบังคับสัมผัส ๑. คำ สุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคำ สุดท้ายของวรรคที่ ๒ ๒. สัมผัสระหว่างบท คำ สุดท้ายของบทแรกสัมผัสกับคำ สุดท้ายของวรรคแรก และคำ สุดท้ายของวรรคที่สอง ในบทต่อไป ๓) การบังคับครุ ลหุ ๖๖
๒.๖ อีทิสังฉันท์ ๒๐ ฉันท์นี้มีทำ นองสะบัดสะบิ้ง กระโชกกระชั้น เพราะใช้เสียงครุและเสียงลหุ สลับกัน ทำ ให้เสียงกระแทกกระทั้น เหมาะสำ หรับใช้พรรณนาความรู้สึกที่รุนแรง เช่น พรรณนาความโกรธ ความรัก ความตื่นเต้นที่แสดงออกถึงอารมณ์ ๑) การบังคับคณะ ๑ บาท มี ๓ วรรค วรรคแรกมี ๙ คำ วรรคที่ ๒ มี ๘ คำ วรรคสุดท้ายมี ๓ คำ ๒) การบังคับสัมผัส ๑. คำ สุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคำ สุดท้ายของวรรคที่ ๒ ๒. คำ สุดท้ายของวรรคที่ ๓ สัมผัสกับคำ สุดท้ายของวรรคแรกในบท ต่อไป ๓) การบังคับครุ ลหุ ๖๗
๒.๗ สัทธราฉันท์ ๒๑ ชื่อฉันท์มีความหมายว่า ฉันท์ที่มีลีลาวิจิตรงดงามประดุจสตรีเพศผู้ประดับ ด้วยพวงมาลัย มักใช้เป็นฉันท์พรรณนาความงามหรือความโศกอย่างลึกซึ้งหรือ บรรยายความก็ได้ ๑) การบังคับคณะ ๑ บท มี ๒ บาท ๑ บาท มี ๒ วรรค วรรคแรกมี ๗ คำ วรรคที่ ๒ มี ๗ คำ วรรคที่ ๓ มี ๔ คำ วรรคสุดท้ายมี ๓ คำ ๒) การบังคับสัมผัส ๑. คำ สุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคำ สุดท้ายของวรรคที่ ๒ ๒. คำ สุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับคำ สุดท้ายของวรรคที่ ๓ ๓) การบังคับครุ ลหุ ๖๘
คำ ถามท้ายบทที่ ๕ ๑. ฉันท์มีทั้งหมดกี่ชนิด ๒. คำ ประพันธ์ประเภทฉันท์ได้รับแบบอย่างมาจากคัมภีร์ใด ๓. ฉันท์มีการบังคับอะไรบ้าง ๔. คำ ครุ และคำ ลหุมีลักษณะอย่างไร ๕. ฉันท์ชนิดใดที่แปลว่า เพชรพระอินทร์ ๖๙
เฉลย แบบฝึกหัดท้ายบท ๗๐
เฉลยแบบฝึกหัดบทที่ ๑ ๑. ระดับภาษามีความหมายว่าอย่างไร ตอบ ระดับภาษา หมายถึง ความลดหลั่นของถ้อยคำ และการ เรียบเรียงถ้อยคำ ที่ใช้ โดยพิจารณาตามโอกาสหรือกาลเทศะ ๒. ระดับภาษาแบ่งออกเป็นกี่ประเภทอะไรบ้าง ตอบ แบ่งออกเป็น ๕ ประเภท ได้แก่ ภาษาระดับพิธีการ ภาษาระดับทางการ ภาษาระดับกึ่งทางการ ภาษาระดับไม่เป็น ทางการ ภาษาระดับกันเอง ๓. จงยกตัวอย่างคำ สแลงมาอย่างน้อ น้ ย ๕ คำ ตอบ กิ๊ก ( บุคคลที่มีความสัมพันธ์อย่างคู่รักแต่ไม่ใช่คู่รัก ) กาก ( อ่อนหรือทำ อะไรไม่ได้เรื่อง ) แหล่ม ( แจ่ม, เด็ด, เยี่ยม ) เนียน ( ทำ เป็นเฉย ไม่รู้ไม่สน ส่วนใหญ่ใช้กับการแฝงตัว หรือกลบเกลื่อน ) รั่ว ( บ้า ๆ บอ ๆ ทำ ตัวหลุดโลกสุด ๆ ) ๔. คำ ราชาศัพท์มีที่มาจากที่ใด ตอบ ราชาศัพท์ที่มาจากคำ ไทยแท้ ราชาศัพท์ที่มาจากภาษาอื่น คือ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ๗๑
๑. อิทธิพลที่มีผลต่อการยืมคำ จากภาษาต่างประเทศคืออะไร ตอบ การยืมคำ ที่มาจากภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ยังมี ความสัมพันธ์กับการค้า การเมืองการปกครอง และการศึกษาซึ่ง ทำ ให้ภาษามีความเจริญงอกงามและมีคำ สำ หรับติดต่อสื่อสาร มากขึ้น ๒. จงยกตัวอย่างคำ ยืมที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต มาอย่าง น้อ น้ ย ๕ คำ ตอบ นที ปราชญ์ พล ประสิทธิ์ คุรุสภา ๓. จงยกตัวอย่างคำ ยืมที่มาจากภาษาอังกฤษ มาอย่างน้อ น้ ย ๕ คำ ตอบ แบรนด์ ดรัมเมเยอร์ แฟลต เซลล์ แอลกอฮอล์ ๔. ภาษาถิ่นหมายความว่าอย่างไร ตอบ ภาษาถิ่น หมายถึง ภาษาย่อยของภาษาใดภาษาหนึ่งที่ แตกต่างออกไปตามท้องถิ่นที่ผู้พูดอาศัยอยู่ เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบทที่ ๒ ๗๒
๑ ๓ ๒ ๔ เฉลยแบบฝึกหัด หั ท้ายบทที่ ๓ ๑.คำ ภาษาไทยแต่เดิมเป็นคำ พยางค์เดียว ๒.ภาษาไทยจะมีตัวสะกดตรงตามมาตรา ๓.ภาษาไทยมีคำ ลักษณนาม ๔. คำ ภาษาไทยคำ เดียวมีหลายความหมาย และมีหลายหน้าที่ ๕. ภาษาไทยเป็นภาษาเรียงคำ ๖. คำ ขยายจะวางไว้หลังคำ ที่ถูกขยาย ๗. ภาษาไทยมีระบบเสียงพยัญชนะ เสียงสระ เสียงวรรณยุกต์ ๘. ภาษาไทยมีการสร้างคำ ใหม่ ๑.ประสมคำ ๒.ซ้อนคำ ๓.ซ้ำ คำ ๑.สถาบันการศึกษา ๖ พยางค์ เราควรมีการจัดทำ สื่อการเรียนการสอนในรูปแบบของวิดิโอ การ์ตูน,ภาพยนตร์ ที่มีเนื้อหาของภาษาไทยอยู่ในนั้น เมื่อทุกคนได้รับชม รับฟังก็จะซึมซับภาษาไทยไปด้วย ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง ภ า ษ า ไ ท ย มี อ ะ ไ ร บ้ า ง ก า ร ส ร้ า ง คำ ภ า ษ า ไ ท ย มี วิ ธี ก า ร อ ย่ า ง ไ ร บ้ า ง จ ง ย ก ตั ว อ ย่ า ง ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง พ ย า ง ค์ ใ น ภ า ษ า ไ ท ย ม า ค น ล ะ ๑ ตั ว อ ย่ า ง ใ ห้ นั ก เ รี ย น แ น ะ แ น ว ท า ง ใ น ก า ร ส่ ง เ ส ริ ม ใ ห้ ทุ ก ค น ใ น สั ง ค ม ไ ท ย ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ค ว า ม สำ คั ญ ข อ ง ภ า ษ า ไ ท ย อ ย่ า ง ไ ร บ้ า ง ๗๓
๑ ๓ ๒ ๔ เฉลยแบบฝึกหัด หั ท้ายบทที่ ๔ ๑.วันนี้ฉันไปกินหมูกระทะมา แต่วันนี้กินหมูกระทะได้ไม่ค่อยจะเยอะเลย ๑.ฉันแต่งฟังเพลงใหม่และได้ไอเดียในการแต่งเพลงของฉันแล้ว –คำ หมายถึง เป็นหน่วยของภาษาที่สื่อถึงความหมายซึ่งประกอบด้วย พยางค์หนึ่งพยางค์หรือมากกว่า ปกติแล้วในแต่ละคำ จะมีรากศัพท์ของคำ แสดงถึงความหมายและที่มาของคำ นั้น โดยการนำ คำ หลายคำ มาประกอบกัน จะทำ ให้เกิดวลีหรือประโยคซึ่งใช้สื่อความหมายให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นไป -สำ นวน หมายถึง ถ้อยคำ ที่เรียบเรียงไว้ตายตัวจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็น ถ้อยคำ ที่เข้าใจกันอย่างแพร่หลายมีความหมายไม่ตรงตัว เป็นถ้อยคำ ที่มี ความหมายอื่นแฝงอยู่ มีความหมายในเชิงเปรียบเปรยแทบทั้งสิ้น และเป็นคำ พูดสั้นๆกะทัดรัดแต่มีความหมายกว้าง สำ นวนอาจเป็นประโยคหรือกลุ่มคำ ก็ได้ เช่น เป็นประโยคได้แก่ นกมีหูหนูมีปีก น้ำ ลดมดกินปลา จระเข้ขวาง คลอง เป็นกลุ่มคำ ได้แก่ คงเส้นคงวา แฉโพย คมในฝัก จนแต้ม ฯลฯ ๑. ก.เขาฟังเพลงอย่างตั้งใจ ข. เขาฟังเพลงด้วยความตั้งใจ ใ ห้ นั ก เ รี ย น ย ก ตั ว อ ย่ า ง ป ร ะ โ ย ค ก า ร ซ้ำ คำ ม า ค น ล ะ ๑ ตั ว อ ย่ า ง ใ ห้ นั ก เ รี ย น ย ก ตั ว อ ย่ า ง ก า ร เ ชื่ อ ม ป ร ะ โ ย ค ม า ค น ล ะ ๑ ตั ว อ ย่ า ง ใ ห้ นั ก เ รี ย น อ ธิ บ า ย คำ แ ล ะ สำ น ว น ม า โ ด ย สั ง เ ข ป ใ ห้ นั ก เ รี ย น ย ก ตั ว อ ย่ า ง ก า ร เ รี ย บ เ รี ย ง ป ร ะ โ ย ค ม า ค น ล ะ ๑ ตั ว อ ย่ า ง ๗๔
เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบทที่ ๕ ๑. ฉันท์มีทั้งหมดกี่ชนิด ตอบ ฉันท์มีทั้งหมด ๑๐๘ ชนิด ๒. คำ ประพันธ์ประเภทฉันท์ได้รับแบบอย่างมาจากคัมภีร์ใด ตอบ วุตโตทัย ๓. ฉันท์มีการบังคับอะไรบ้าง ตอบ ฉันท์มีการบังคับคณะ พยางค์ ครุ ลหุ และสัมผัส ๔. คำ ครุ และคำ ลหุมีลักษณะอย่างไร ตอบ ครุ คือพยางค์หรือคำ ที่มีเสียงหนัก ได้แก่ คำ ที่ ประสมกับสระเสียงยาวในแม่ ก กา (ไม่มี ตัวสะกด) รวม อำ ไอ ไอ เอา และคำ ที่มีตัวสะกดทั้งหมด เช่น เขียน สวย นั่ง ยืน เป็น นก เป็นต้น โดยใช้ " ั " เป็นสัญลักษณ์แ ณ์ ทนคำ ครุ ลหุ คือพยางค์หรือคำ ที่มีเสียงเบา ได้แก่ คำ ที่ประสม กับสระเสียงสั้นในแม่ ก กา เช่น ชิ นะ รวิ ศิระ ปะทุ นิธิ เป็นต้น โดยใช้สัญลักษณ์ " ุ " แทนคำ ลหุ ๕. ฉันท์ชนิดใดที่แปลว่า เพชรพระอินทร์ ตอบ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ๗๕
อ้างอิง กำ ชัย ทองหล่อ. (2543). หลักภาษาไทย.กรุงเทพฯ : รวมสาส์น รวงรัตน์ วัฒนเสาวลักษณ์.ณ์(2553).การเรียบเรียงประโยค.สืบค้น 12 กุมภาพันธ์////////จาก https://ruangrat.wordpress.com/. อ้างอิงจาก http://ge.vru.ac.th/gevru/wp-content/uploads/. อ้างอิงจาก https://sites.google.com/site/smilebuffalopink/kar-pheimkha-ni-phasa-thiy. อ้างอิงจาก https://www.tutorferry.com/2016/09/ThaiM5.html. อ้างอิงจาก https://sites.google.com/site/tooktuk2222/karchi-kha-ni-phasa-thiy. ๗๖
หลักภาษาใครก็ว่าง่าย