ก
ก ค าน า สถานศึกษาในสังกดัส านกังาน กศน.จงัหวดัอา นาจเจริญ ไดด้า เนินการจดัทา คู่มือเรียน รายวิชา ประวัติศาสตร์ชาติไทย สค13045 สาระการพัฒนาสังคม ระดับ ประถมศึกษา เพื่อใช้ ประกอบการจัดการเรียนการสอน หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 สาระส าคัญของรายวิชา ประวัติศาสตร์ชาติไทย คือ การเรียนรู้ในเรื่องการต้งัถิ่น ฐาน การด าเนินชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชน การสถาปนาอาณาจักรไทย สัญลักษณ์ของชาติไทย และการศึกษาเรื่องราวทางประวตัิศาสตร์เกี่ยวกบัสถาบนัชาติศาสนา พระมหากษตัริย์ พัฒนาการ ของชุมชน ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมของชุมชน ประเพณีและวัฒนธรรมไทย การ สถาปนาอาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรอยุธยา อาณาจักรธนบุรี อาณาจักรไทยสมัยรัตนโกสินทร์ การศึกษาเหตุการณ์สา คญั ในประวตัิศาสตร์ชาติไทย เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกบัเรื่องราวในอดีตของคน ไทยที่จะทา ให้คนไทยไดร้ับรู้ถึงรากเหง้า ต้งัแต่อดีตจวบจนปัจจุบนั ผู้เรียนสามารถน าคู่มือการ เรี ยนไปศึกษาค้นคว้าได้ด้วยตนเอง ท าความเข้าใจในเน้ือหาสาระของบทเรียน แล้วจัดท า แบบฝึ กหัดและแบบทดสอบท้ายบท สถานศึกษาในสังกดั ส านักงาน กศน.จังหวัดอ านาจเจริญ ขอขอบคุณ ผู้เรียบเรียงและคณะ ผูจ้ดัทา ทุกท่านที่ไดใ้ห้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและหวงัเป็นอย่างยิ่งว่าคู่มือการเรียนชุดน้ีจะเป็น ประโยชน์ในการจดัการเรียนการสอนของคณะครูและการเรียนรู้ของผูเ้รียนต่อไป ส านักงาน กศน.จังหวัดอ านาจเจริญ มิถุนายน 2560
ข สารบัญ หน้า ค าน า ก สารบัญ ข ค าอธิบายรายวิชา ค รายละเอียดค าอธิบายรายวิชา ง บทที่ 1 การศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ 1 การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ 2 หลักฐานที่ใช้ศึกษาเหตุการณ์ส าคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทย 8 แบบฝึ กหัด บทที่1 14 บทที่ 2การตั้งถิ่นฐานการด าเนินชีวิตและวัฒนธรรม 17 การต้งัถิ่นฐานและพฒันาของชุมชน 18 วัฒนธรรมและประเพณีไทย 24 ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมของชุมชน 27 แบบฝึ กหัด บทที่2 31 บทที่ 3 การสถาปนาอาณาจักรไทย 34 อาณาจักรสุโขทัย 35 อาณาจักรอยุธยา 42 อาณาจักรธนบุรี 49 อาณาจักรรัตนโกสินทร์ 55 แบบฝึ กหัด บทที่3 67 บทที่ 4 สัญลักษณ์ของชาติไทย 70 ธงชาติไทย 71 เพลงชาติไทย 77 ศาสนาที่คนไทยนับถือ 82 สถาบันพระมหากษัตริย์ 88 แบบฝึ กหัด บทที่4 94 บรรณานุกรม 97 คณะท างาน 100
ค ค าอธิบายรายวิชาเลือกเสรี วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย (ระดับประถมศึกษา) รหัส สค 13045 จ านวน 2 หน่วยกิต ระดับประถมศึกษา มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ มีความรู้ความเข้าใจ และตระหนักถึงความส าคัญเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ประวตัิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถน ามาปรับใช้ในการด ารงชีวิต ศึกษาและฝึ กทักษะเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ การศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์:ความหมายความสา คญัคุณค่าของการศึกษา ประวัติศาสตร์โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ หลักฐานที่ใช้ศึกษาเหตุการณ์ส าคัญใน ประวัติศาสตร์ชาติไทย การต้งัถิ่นฐาน :การด าเนินชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชน : ความหมายความสา คญัคุณค่า ของการต้งัถิ่นฐานและพฒันาการของชุมชน วัฒนธรรมและประเพณีไทยขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมของชุมชน การสถาปนาอาณาจักรไทย : ความหมายความสา คญัคุณค่าของผสู้ถาปนาอาณาจกัรไทย แต่ละแห่งอาณาจกัรสุโขทยัอาณาจักรอยุธยาอาณาจักรธนบุรีอาณาจักรไทยสมัยรัตนโกสินทร์ สัญลักษณ์ของชาติไทย : ความหมายความสา คญัคุณค่าของธงชาติไทย เพลงชาติไทย ศาสนาที่คนไทยนับถือ และสถาบันพระมหากษัตริย์ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เน้นให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการอภิปรายกลุ่ม ศึกษาจากใบความรู้ เอกสาร ประกอบการเรียนการสอนและเอกสารที่เกี่ยวขอ้งศึกษาจากอินเตอร์เน็ต ผู้รู้/ผู้เชี่ยวชาญ สื่อวีดีทัศน์ การท าใบงาน การท าแบบทดสอบ เรียนรู้ดว้ยตนเอง การรายงาน การศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ ประสบการณ์ตรงโดยใช้สถานการณ์จริงและฝึกปฏิบตัิที่เกี่ยวกบั ประวตัิศาสตร์ชาติไทย การวัดและประเมินผล ประเมินจากแบบทดสอบ จากสภาพจริง จากการสังเกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ผลการ ปฏิบตัิงาน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ความสนใจในกระบวนการเรียนรู้ความรับผิดชอบ ในการปฏิบัติงาน
ง รายละเอียดค าอธิบายรายวิชาเลือกเสรี วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย(ระดับประถมศึกษา) รหัส สค 13045 จ านวน 2 หน่วยกิต ระดับประถมศึกษา มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ มีความรู้ความเข้าใจ และตระหนักถึงความส าคัญเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถน ามาปรับใช้ในการด ารงชีวิต ที่ หัวเรื่อง ตัวชี้วัด เนื้อหา จ านวน (ชั่วโมง) 1 การศึกษาเรื่องราว ทางประวัติศาสตร์ 1. มีความรู้ความเข้าใจความส าคัญ การศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ 2.ตระหนกัเห็นคุณค่าถึงการศึกษา เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ 3.สามารถน าความรู้มาปรับใช้ในการ ด ารงชีวิต เรื่องที่1 การศึกษา ป ร ะ วัติ ศ า ส ตร์ โ ด ย ใ ช้วิธี ก า ร ท า ง ประวัติศาสตร์ เรื่องที่ 2 หลักฐานที่ใช้ศึกษาเหตุการณ์ ส าคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทย 20 2 การต้งัถิ่นฐาน การด าเนินชีวิตและ วัฒนธรรม 1.มีความรู้ความเข้าใจความส าคัญการ ต้งัถิ่นฐานการด าเนินชีวิตและ วัฒนธรรม 2.ตระหนกัเห็นคุณค่าถึงการต้งัถิ่นฐาน การด าเนินชีวิตและวัฒนธรรม 3.สามารถน าความรู้มาปรับใช้ในการ ด ารงชีวิต เรื่องที่ 1การต้งัถิ่นฐานและพฒันาการ ของชุมชน เรื่องที่ 2 วัฒนธรรมและประเพณีไทย เรื่องที่ 3 ขนบธรรมเนียม ประเพณี และ วัฒนธรรมของชุมชน 10 3 การสถาปนา อาณาจักรไทย 1.มีความรู้ความเข้าใจความส าคัญการ สถาปนาอาณาจักรไทย 2.ตระหนกัเห็นคุณค่าถึงการสถาปนา อาณาจักรไทย 3.สามารถน าความรู้มาปรับใช้ในการ ด ารงชีวิต เรื่องที่ 1 ผสู้ถาปนาอาณาจกัรไทยแต่ละ แห่ง เรื่องที่ 2 อาณาจักรสุโขทัย เรื่องที่ 3 อาณาจักรอยุธยา เรื่องที่ 4 อาณาจักรธนบุรี เรื่องที่ 5อาณาจักรไทยสมัย รัตนโกสินทร์ 30
จ ที่ หัวเรื่อง ตัวชี้วัด เนื้อหา จ านวน (ชั่วโมง) 4 สัญลักษณ์ของชาติ ไทย 1.มีความรู้ความเข้าใจ ความส าคัญ สัญลักษณ์ของชาติไทย 2.ตระหนกัเห็นคุณค่าถึงสา คญั สัญลักษณ์ของชาติไทย 3.สามารถน าความรู้มาปรับใช้ในการ ด ารงชีวิต เรื่องที่ 1 ธงชาติไทย เรื่องที่2 เพลงชาติไทย เรื่องที่3 ศาสนาที่คนไทยนับถือ เรื่องที่4 สถาบันพระมหากษัตริย์ 20
1
2 บทที่ 1 การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ การศึกษาประวัติศาสตร์เป็ นการศึกษาเหตุการณ์ในอดีต สามารถศึกษาได้โดยใช้วิธีทาง ประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็ นกระบวนการที่นักประวัติศาสตร์ใช้ในการศึกษาค้นคว้าหรือเรียบเรียง เหตุการณ์ประวตัิศาสตร์จากหลกัฐานต่างๆ เพื่อใหส้ามารถเขา้ใจเรื่องราวในอดีตไดอ้ยา่งชดัเจน การศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ มี 5 ข้นัตอน ดงัน้ี แผนภาพความคิดการเรียงล าดับวิธีการทางประวัติศาสตร์ 1.1 การศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ 1.การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์
3 การก าหนดหัวข้อที่จะศึกษา คือการกา หนดคา ถามหรือหวัขอ้เรื่องที่สนใจตอ้งการศึกษาคน้ควา้หาคา ตอบ ความเป็นมาของจงัหวดัเชียงใหม่ เครื่องแต่งกายของคนในสมยัรัตนโกสินทร์ วัดส าคัญในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ความเป็ นมาของธงชาติไทย การรวบรวมข้อมูลและหลกัฐาน คือเมื่อกา หนดคา ถามหรือหวัขอ้ที่จะศึกษาแลว้ข้นัตอนต่อไปคือการรวบรวม ขอ้มูลเกี่ยวกบัเรื่องที่จะศึกษาจากหลกัฐานประเภทต่างๆ ท้งัจากหลกัฐานช้นัตน้และหลกัฐานช้นั รอง หลกัฐานที่เป็นลายลกัษณ์อกัษรและหลกัฐานที่ไม่เป็นลายลกัษณ์อกัษร การตรวจสอบข้อมูลและหลกัฐาน คือการประเมินความน่าเชื่อถือและความถูกตอ้งของขอ้มูลและหลกัฐานที่ รวบรวมไดว้า่มีความน่าเชื่อถือหรือไม่เช่น หนงัสือที่นา มาใชเ้ป็นขอ้มูลในการศึกษาประวตัิศาสตร์ และเป็ นหลักฐานประเภทใด หลกัฐานที่ไดม้าน้นัขดัแยง้กบัขอ้เทจ็จริงหรือขดัแยง้กนัเองหรือไม่ ใครเป็นผูเ้ขียน มีความรู้ในเรื่องน้นัหรือไม่ผเู้ขียนมีความเป็นกลางหรือนา ความคิดเห็นของตนเอง เขียน มีแหล่งอา้งอิงขอ้มูลหรือไม่เป็นตน้ การสรุปความรู้ คือการนา ขอ้มูลที่ผา่นการตรวจสอบแลว้มาทา การศึกษาเน้ือหาและสรุป รวบรวมได้เช่น เน้ือหาน้นัมีเรื่องราวความเป็นมาหรือเหตุการณ์อยา่งไร มีบุคคลใดบา้งที่มีส่วนเกี่ยวขอ้ง มีปัจจยัใดที่ก่อใหเ้กิดเหตุการณ์ดงักล่าว เหตุการณ์ดงักล่าวก่อให้เกิดผลอยา่งไร จากน้นันา ความรู้ที่ไดม้าสรุปเป็นเรื่องราวโดยการลา ดบัเหตุการณ์ตามช่วงเวลาก่อนหลงั หรือตามประเด็นหัวข้อ ขั้นที่ 1. ขั้นที่ 2. ขั้นที่ 3. ขั้นที่ 4.
4 การน าเสนอ คือการนา ขอ้มูลที่ไดม้าเรียบเรียงเพื่อนา เสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น การเขียน เรียงความ การเล่าเรื่องการจดันิทรรศการเป็นตน้ โดยนา เสนอความคิดเห็นอยา่งเป็นเหตุเป็นผล มีหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้และน าเสนอด้วยความเป็ นกลาง ท้องถิ่นแต่ละแห่งล้วนมีประวตัิศาสตร์หรือเรื่องราวต่างๆเกิดข้ึน เช่น ประวตัิการต้ัง ถิ่นฐานของคนในทอ้งถิ่นเหตุการณ์ส าคญัที่เกิดข้ึนในทอ้งถิ่นบุคคลส าคญัที่ทา ประโยชน์ให้แก่ ทอ้งถิ่น ประเพณีและวฒันธรรมในทอ้งถิ่น เป็นตน้การศึกษาเรื่องราวในทอ้งถิ่นมีประโยชน์คือ ทา ให้คนในทอ้งถิ่นรู้จกัและภาคภูมิใจในทอ้งถิ่นของตนเอง รวมท้งัเขา้ใจคนและสังคมในทอ้งถิ่น ไดด้ียงิ่ข้ึน สะพานขา้มแม่น้า แควจงัหวดักาญจนบุรี การศึกษาเรื่องราวในท้องถิ่นโดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ การศึกษาเรื่อง สะพานข้ามแม่น า้แควจังหวดักาญจนบุรีโดยใช้วธิีการทางประวตัิศาสตร์ 1.2 ตวัอยาง่ ขั้นที่ 5.
5 สะพานขา้มแม่น้า แควสร้างเมื่อใด เพราะเหตุใด นักเรียนท าการรวบรวมข้อมูลจาก แหล่งขอ้มูลต่างๆ เช่น ห้องสมุดประชาชน พิพิธภณัฑส์งคราม สะพานขา้มแม่น้า แควและพ้ืนที่โดยรอบอนุสรณ์สถานเกี่ยวกบัสงครามโลก คร้ังที่ 2 ที่จงัหวดักาญจนบุรีขอ้มูลจากกองจดหมายเหตุหอสมุดแห่งชาติกรุงเทพมหานครเป็นตน้ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ มีอยหู่ลายลกัษณะอาจแบ่งลกัษณะสา คญัของหลกัฐานออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. หลักฐานที่เป็ นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ รายงานของกองบญัชาการทหารสูงสุดเกี่ยวกบัญี่ปุ่นที่เก็บไวใ้นกองจดหมายเหตุเช่น การ สร้างทางรถไฟเชื่อมประเทศไทย-พม่า บันทึกของนากามูระ อาเคโต ผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่ นประจ าประเทศไทย ฉบับที่แปล เป็ นไทย หนงัสือเรื่องประวตัิศาสตร์บอกเล่า : สภาพของจังหวัดกาญจนบุรี ในสมัยสงครามโลก คร้ังที่2 เขียนโดย บุญรอด ชลารักษ์ หนังสือเรื่องทางรถไฟสายไทย-พม่า เขียนโดย โยชิกาวา โทริฮารุ ฉบับที่แปลเป็ น ภาษาไทย แผนที่จงัหวดักาญจนบุรีแสดงที่ต้งัสะพานขา้มแม่น้า แคว 2. หลักฐานที่ไม่เป็ นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ สะพานขา้มแม่น้า แคว ภาพถ่ายต่าง ๆ เกี่ยวกบัสะพานขา้มแม่น้า แคว ภาพยนตร์ที่ถ่ายทา เกี่ยวกบัสะพานขา้มแม่น้า แคว เมื่อรวบรวมขอ้มูลหลกัฐานไดแ้ลว้จึงทา การศึกษาข้นัต่อไปดงัน้ี การก าหนดหัวข้อ การรวบรวมข้อมูลและหลกัฐาน
6 โดยใชส้ะพานขา้มแม่น้า แควเป็นตวัอยา่ง หลักฐาน นกัศึกษาศึกษาหลกัฐานชิ้นอื่นๆ ที่รวบรวมได้โดยวธิีดงัตวัอยา่งจากน้นัจึงเริ่มตรวจสอบ เช่น ผเู้ขียนมีความรู้เรื่องราวเกี่ยวกบัสะพานขา้มแม่น้า แควมากนอ้ยเพียงใด ข้อมูลที่เขียนมีความ น่าเชื่อถือเพียงใด เป็ นต้น การตรวจสอบข้อมูลและหลักฐาน
7 เมื่อไดข้อ้มูลจากหลกัฐานต่าง ๆ แลว้ใหน้กัศึกษาศึกษาขอ้มูล ดงักล่าวแลว้สรุปเป็นความรู้ดงัน้ี เมื่อจดัลา ดบัขอ้มูลแลว้ ใหน้กัศึกษานา เสนอเรื่องราวเช่น การ เขียนเรียงความ จัดนิทรรศการ โดยให้มีสาระตอนหนึ่งเป็ นการ ตอบหวัขอ้ที่กา หนดไว้ การสรุปความรู้ การน าเสนอข้อมูล
8 สะพานข้ามแม่น า้แควสร้างเมื่อใด เพราะเหตุใด จากการศึกษาประวตัิศาสตร์ของสะพานขา้มแม่น้า แคว ทา ใหท้ราบวา่สะพานขา้มแม่น้า แควสร้างข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2485 ในช่วงสงครามโลกคร้ังที่2 โดยกองทัพญี่ปุ่ นได้เกณฑ์เชลยศึกมาสร้าง สะพานขา้มแม่น้า แควเพื่อเขา้ไปยงัประเทศเมียนมา แหล่งข้อมูลทางประวตัิศาสตร์ในการศึกษาปรากฏการณ์ทเี่กดิขึน้ในสังคมไทยแต่ละยุค สมัยอาจจ าแนกได้เป็ น 2 ประเภท ดังนี้ 1. หลกัฐานที่เป็นลายลกัษณ์อกัษรไดแ้ก่หลกัฐานที่เป็นตวัหนงัสือโดยมนุษยไ์ดท้ ิ้ง ร่องรอยขีดเขียนเป็นตวัหนงัสือประเภทต่าง ๆ ในรูปของการจารึกในศิลาจารึกและการจารึกบน แผน่ โลหะ นอกจากน้ีหลกัฐานทางประวตัิศาสตร์ที่เป็นลายลกัษณ์อกัษรประเภทอื่น เช่น พงศาวดาร จดหมายเหตุ ต านาน และกฎหมาย 2. หลกัฐานที่เป็นวตัถุไดแ้ก่วตัถุที่มนุษยแ์ต่ละยคุแต่ละสมยัไดส้ร้างข้ึน และตกทอดมา จนถึงปัจจุบนัเช่น โบราณสถาน ประกอบดว้ยวดัเจดีย์มณฑป และโบราณวตัถุประกอบดว้ย พระพุทธรูป ถ้วยชามสังคโลก การแบ่งล าดับความส าคัญของหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็ น 2 ประเภท คือ 1. หลักฐานช้ันต้นหรือหลักฐานปฐมภูมิเป็นหลกัฐานที่มาจากเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนใน สมัยน้ันจริง ๆ โดยมีการบันทึกของผู้ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์โดยตรง หรือผู้ที่รู้เหตุการณ์น้ัน ด้วยตนเอง ดงัน้นัหลกัฐานช่วงตน้จึงเป็นหลกัฐานที่มีความส าคญัและน่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะ บนัทึกของบุคคลที่เกี่ยวขอ้งกบัเหตุการณ์หรือผูอ้ยู่ในเหตุการณ์บนัทึกไว้เช่น จดหมายเหตุ ค าสัมภาษณ์ เอกสารทางราชการ บันทึกความทรงจ า กฎหมาย หนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์ สไลด์วีดิทัศน์ แถบบันทึกเสียง โบราณสถาน แหล่งโบราณคดีโบราณวัตถุ 2. หลกัฐานช้ันรองหรือหลกัฐานทุติยภูมิเป็นหลกัฐานที่เขียนข้ึนโดยบุคคลที่ไม่ได ้ มีส่วนเกี่ยวขอ้งกบัเหตุการณ์น้นัโดยตรง โดยมีการเรียบเรียงข้ึนภายหลงัจากเกิดเหตุการณ์น้นัๆ ส่วนใหญ่อยใู่นรูปของบทความทางวชิาการและหนงัสือต่าง ๆ เช่น พงศาวดาร ตา นาน บนัทึกคา บอกเล่าผลงานทางการศึกษาคน้ควา้ของนักวิชาการสา หรับหลกัฐานช้นัรองน้นัมีขอ้ดี คือ มีความ หัวข้อที่ก าหนด 2.หลกัฐานท ี่ใช ้ ศ ึ กษาเหตุการณ ์ ส าคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทย
9 สะดวกและง่ายในการศึกษาทา ความเขา้ใจ เนื่องจากเป็นขอ้มูลไดผ้า่นการศึกษาคน้ควา้ ตรวจสอบ ข้อมูลวเิคราะห์เหตุการณ์และอธิบายไวอ้ยา่งเป็นระบบ โดยนักประวัติศาสตร์มาแล้ว ลักษณะส าคัญของหลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย หลักฐานทางประวัติศาสตร์ใน ประเทศไทย มีอยหู่ลายลกัษณะอาจแบ่งลกัษณะสา คญัของหลกัฐานออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. หลักฐานที่ไม่ใช่ลายลักษณ์อักษร ไดแ้ก่ 1.1 โบราณสถาน หมายถึง สิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษยข์นาดต่าง ๆ กนัอยูต่ ิดกบัพ้ืนดิน ไม่อาจนา เคลื่อนที่ไปได้เช่น กา แพงเมืองคูเมืองวงัวดัตลอดจนสิ่งก่อสร้างที่อยใู่นวดั และวัง เช่น โบสถ์วหิารเจดีย์และที่อยอู่าศยัการศึกษาคน้ควา้เกี่ยวกบัโบราณสถาน จา เป็นตอ้งเดินทางไป ยงัสถานที่ต้งัของโบราณสถานน้นัๆ ปราสาทหินพิมาย ปราสาทหินพนมรุ้ง ที่มาภาพ http://www.thaigoodview.com/files/u1300/pimai.jpg ที่มาภาพ : http://www.kodhit.comimages/stories/travel/ norteast/phasadkhow/12.jpg 1.2 โบราณวัตถุหมายถึง สิ่งของโบราณที่มีลักษณะต่างๆกัน สามารถน า ติดตัวเคลื่อนยา้ยได้ไม่วา่สิ่งของน้นัๆ จะเกิดข้ึนตามธรรมชาติเป็นสิ่งที่มนุษยป์ระดิษฐ์ข้ึน หรือ เป็ น ส่วนหน่ึงส่วนใดของโบราณสถาน และสิ่งของที่มนุษยป์ระดิษฐ์ข้ึนเหล่าน้ีเกิดข้ึนในสมยั ประวตัิศาสตร์เช่น พระพุทธรูป เทวรูป รูปเคารพต่าง ๆ เครื่องประดบัและเครื่องมือเครื่องใชต้ ่าง ๆ การศึกษาคน้ควา้เกี่ยวกบัโบราณวตัถุไม่จา เป็นตอ้งเดินทางไปยงัสถานที่ทางประวตัิศาสตร์ เสมอไป และสามารถไปศึกษาไดจ้ากแหล่งรวบรวมท้งัของราชการ เช่น พิพิธภณัฑสถานแห่งชาติ
10 เครื่องป้ันดินเผาในพิพิธภณัฑสถานแห่งชาติบา้นเชียง หม้อบ้านเชียง ที่มาภาพ : http://www.thaitourzone.com/eastnorth/udon/museum.JPG ที่มาภาพ : http://gaprobot.spaces.live.com/blog/cns!EDF1593B634FDF0!319.entry 2. หลักฐานที่เป็ นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ 2.1 จารึกในแง่ของภาษาแลว้มีคา อยู่2 คา ที่คลา้ยคลึงและเกี่ยวกบัขอ้งกนัคือคา วา่จาร และจารึก คา วา่จารแปลวา่เขียนอกัษรดว้ยเหล็กแหลมลงบนใบลาน คา วา่จารึกแปลวา่เขียนเป็นรอยลึกลงบนแผน่ศิลาหรือโลหะ ในส่วนที่เกี่ยวขอ้งกบัหลกัฐานทางประวตัิศาสตร์คา วา่จารึก หมายรวมถึง หลกัฐานที่เป็น ลายลกัษณ์อกัษร ซ่ึงใชว้ธิีเขียนเป็นรอยลึกถา้เขียนเป็นรอยลึกลงบนแผน่หิน เรียกวา่ศิลาจารึกเช่น ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 จารึกพอ่ขนุรามคา แหงถา้เขียนลงบนวสัดุอื่น ๆ เช่น แผน่อิฐเรียกวา่ จารึกบนแผน่อิฐแผน่ดีบุกเรียกวา่จารึกบนแผน่ดีบุกและการจารึกบนใบลาน นอกจากน้ียงัมีการ จารึกไว้บนปูชนียสถานและปูชนียวตัถุต่างๆ โดยเรียกไปตามลกัษณะของจารึกปูชนียวตัถุสถาน น้นัๆ เช่น จารึกบนฐานพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย สมัยลพบุรี จารึกบนฐานพระพุทธรูป วดัป่าข่อยจงหวัดลพบุรี ั จารึกวดัโพธ์ิจงัหวดันครปฐม ที่มาภาพ : http://pirun.kps.ku.ac.th/~b4927046/mon4_5_clip_image001_0000.jpg ที่มาภาพ : http://www.openbase.in.th/files/u10/monstudies035.jpg
11 เรื่องราวที่จารึกไวบ้นวสัดุต่าง ๆ ที่พบในดินแดนประเทศไทย ส่วนมากจะเป็นเรื่องราว ของพระมหากษตัริยแ์ละศาสนาจารึกเหล่าน้ีมีท้งัที่เป็นตวัอกัษร ภาษาไทย ภาษาขอม ภาษามอญ ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต จารึกที่คน้พบในประเทศไทยมีอยจู่า นวนมากเช่น จารึกสมยั ทวารวดี จารึกศรีวิชัย จารึกหริภุญชัย และจารึกสุโขทัย ศิลาจารึกหลักที่1 จารึกพอ่ขุนรามคา แหง ที่มาภาพ http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/nongkhai/thanagorn_n/plan_history/image/pic1130704120859.jpg 2.2 เอกสารพื้นเมือง เอกสารพ้ืนเมืองนับไดว้่าเป็นหลกัฐานทางประวตัิศาสตร์ที่เป็น ลายลักษณ์อักษรที่ส าคัญของประเทศไทย มักปรากฏในรูปหนังสือสมุดไทย และเรียกชื่อแตกต่าง กัน ออกไ ป เ ช่น ต า น า น พ งศาว ด าร จ ด ห ม ายเ ห ตุดัง มีรายละเอีย ด ดัง น้ี 1) ต านาน เป็นเรื่องที่เล่าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในอดีต เล่าสืบต่อกนัมาแต่โบราณจน หาจุดกา เนิดไม่ได้แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นคนเล่าเรื่องราวเป็นคนแรก สิ่งที่พอจะรู้ได้ก็คือ มีการเล่าเรื่องสืบต่อกนัมาเป็นเวลานานพอสมควรจนกระทงั่มีผรูู้้หนงัสือไดจ้ดจา และบนัทึกลงเป็น ลายลกัษณ์อกัษร ต่อมาจึงมีการคดัลอกตา นานเหล่าน้นัเป็นทอด ๆไปหลายคร้ัง หลายครา ทา ให้เกิด มีขอ้ความคลาดเคลื่อนไปเรื่อย ๆ ดงัน้นั เรื่องที่ปรากฏอยูใ่นตา นานจึงอาจถูกเปลี่ยนแปลงไปจาก เรื่องเดิม เน้ือเรื่องของตา นาน ส่วนมากเป็นเรื่องเกี่ยวกบัเหตุการณ์ส าคญัของบา้นเมืองหรือชุมชน สมยัด้ังเดิมเกี่ยวกับปูชนียสถานและปูชนียวตัถุหรือเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคลส าคญัเช่น พ ระ ม หาก ษัตริ ย์ วีรบุ รุ ษ โดย ส าม า รถ จัดป ระ เ ภท ของต าน านไ ท ย ไ ด้ 3 ลัก ษ ณะ คื อ 1.1) ต านานในรูปของนิทานพ้ืนบ้าน เช่น เรื่องพญากง พญาพาน ท้าวแสนปม 1.2) ต านานในรูปของการบันทึกป ระวัติของพระพุท ธศาสนา จุดมุ่งหม าย เพื่ อรั ก ษ าศ รั ท ธ า ควา ม เชื่ อ สัญ ลัก ษ ณ์ ของพุทธศาสนา เช่น ต านานพระแก้วมรกต 1.3) ตา นานในรูปของการบนัทึกเรื่องราวเกี่ยวกบัเหตุการณ์บา้นเมือง ราชวงศ์กษตัริย์และ เหตุการณ์ที่เกี่ยวกบัมนุษยแ์ละสัตวใ์นอดีต เช่น ตา นานสิงหนวตัิกุมาร ต านานจามเทวีวงศ์
12 ต านานมูลศาสนา ต านานชินกาลมาลีปกรณ์ 2) พงศาวดาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัทรงมีพระราชดา รัสใหค้วามหมาย ของพงศาวดารวา่หมายถึง เรื่องราวที่เกี่ยวกบัพระเจา้แผน่ดิน ซ่ึงสืบสันติวงศล์งมาถึงเวลาที่เขียน น้นัแต่ต่อมามีการกา หนดความหมายของพงศาวดารใหก้วา้งออกไปอีกวา่หมายถึงการบนัทึก เหตุการณ์ที่เกี่ยวกบัอาณาจกัรและกษตัริยท์ ี่ปกครองอาณาจกัร พงศาวดารจึงมีมาต้งัแต่สมยักรุงศรี อยธุยาเป็นราชธานีจวบจนกระทงั่สมยัรัตนโกสินทร์ตอนตน้ (รัชกาลที่4) สามารถจ าแนก พงศาวดารได้ 2 ลักษณะคือ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาและพระราชพงศาวดารกรุง รัตนโกสินทร์เช่น พงศาวดารกรุงเก่าฉบบัหลวงประเสริฐ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ของสมเด็จกรมพระยาด ารงราชานุภาพ และพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-4 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ข า บุนนาค) อยา่งไรก็ตามแมว้า่หลกัฐาน ประเภทพงศาวดารจะมีขอ้บกพร่องอยมู่ากแต่ก็เป็นหลกัฐานที่มีประโยชน์ในการศึกษา ประวัติศาสตร์ พระราช พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มาภาพ : http://kanchanapisek.or.th/kp8/ ที่มาภาพ : http://j.static.fsanook.com/category/2008/culture/sgk/pic/sum1.gif07/16/5/b/4047205_1.jpg 3) จดหมายเหตุในสมยัโบราณจดหมายเหตุหมายถึง การจดบันทึกข่าวคราวหรือ เหตุการณ์เรื่องหนึ่ง ๆ ที่เกิดข้ึนในวนัเดือน ปีน้นัๆ แต่ในปัจจุบนัน้ีความหมายของคา วา่จดหมาย เหตุได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หมายถึง เอกสารทางราชการท้งัหมด เมื่อถึงสิ้นปีจะตอ้งนา ชิ้นที่ ไม่ใช้แลว้ไปรวบรวมเก็บรักษาไวท้ี่กองจดหมายเหตุแห่งชาติมีคุณค่าดา้นการคน้ควา้อา้งอิงและ เอกสารเหล่าน้ีเมื่อมีอายุต้งัแต่25-50 ปีไปแลว้จึงเรียกวา่จดหมายเหตุหรือบรรณสารการบันทึก จดหมายเหตุของไทยในสมัยโบราณ ส่วนมากบนัทึกโดยผูท้ี่รู้หนงัสือและรู้ฤกษย์ามดีโดยมีการ บนัทึกวนัเดือน ปีและฤกษ์ยามลงก่อนจึงจะจดเหตุการณ์ที่เห็นว่าส าคญัลงไว้โดยมากจะจดใน
13 วนัเวลา ที่มีเหตุการณ์เกิดข้ึน หรือในวนัเวลา ที่ใกลเ้คียงกนักบัที่ผูจ้ดบนัทึกไดพ้บเห็นเหตุการณ์ น้นัๆ ดว้ยเหตุน้ีเอกสารประเภทน้ีจึงมกัมีความถูกตอ้งในเรื่องวนัเดือน ปีมากกว่าหนงัสืออื่น ๆ เช่น จดหมายเหตุของหลวง เป็นจดหมายเหตุที่ทางฝ่ายบ้านเมืองได้บันทึกไว้เป็ นเหตุการณ์ ที่เกี่ยวกบัพระมหากษตัริยแ์ละบา้นเมืองจดหมายเหตุโหรเป็นเอกสารที่เกิดข้ึนเนื่องจากโหรซ่ึงเป็น ผทู้ี่รู้หนงัสือและฤกษย์ามจดไวต้ลอดท้งัปีและมีที่วา่งไวส้ าหรับใชจ้ดหมายเหตุต่างๆ ลงในปฏิทิน น้นัเหตุการณ์ที่โหรจดไว้โดยมากเป็นเหตุการณ์เกี่ยวกบัดวงดาว จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ที่มาภาพ : http://www.thaispecial.com/bookimages/ ที่มาภาพ : http:// upload.wikimedia.org/wikipedia /
14 แบบฝึ กหัด บทที่ 1 การศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ 1.ให้นักศึกษาน าหมายเลขขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์เติมลงในช่องว่างให้สัมพันธ์กัน 1. การรวบรวมหลกัฐานในหวัขอ้ที่ตอ้งการศึกษาท้งัหลกัฐานช้นัตน้และหลกัฐานช้นัรอง ...... 2. การประเมินความถูกต้องและความส าคัญของหลักฐาน ....... 3. การเลือกเรื่องหรือประเด็นที่ตนเองสนใจหรืออยากรู้ ....... 2.ให้นักศึกษาดูภาพหลกัฐานทางประวตัิศาสตร์แล้วตอบค าถามตามประเด็นทกี่า หนด 1. ประเภทของหลักฐาน หลักฐานที่เป็ นลายลักษณ์อักษร หลกัฐานที่ไม่เป็นเป็นลายลกัษณ์อกัษร 2.ความน่าเชื่อถือของหลักฐาน น่าเชื่อถือ ไม่น่าเชื่อถือ 3. ความส าคัญของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... . ธนา ใช้บางยางและคณะ.การตั ้งถิ่นฐาน , มปป.สืบค้นเมื่อ28 มิถุนายน 2560, จาก http://home.npru.ac.th/phatthayasubjects/aj32/2541102_SettleSTD_PPT.pdf ธารณา คชเสนี น ้าเพ็ชร คชเสนี สัตยารักษ์ และจักรเพ็ชร คชเสนี สัตยารักษ์.ประวัติศาสตร์ชาติ.ไทย.พิมพ์ 1.ก าหนดหัวเรื่องที่จะศึกษา 2.การรวบรวมหลักฐาน 3.การประเมินคุณค่าของ หลักฐาน
15 แบบทดสอบ บทที่ 1 การศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ค าชี้แจง:จงเลือกค าตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงค าตอบเดียว 1. ขอ้ใดไม่ใช่หลกัฐานทางประวตัิศาสตร์ที่เป็นหลกัฐานช้นัตน้ ก. ต านาน ข. โบราณสถาน ค. ภาพถ่าย ง. โบราณวัตถุ 2. หลกัฐานช้นัรองทางประวตัิศาสตร์คือข้อใด ก. ภาพถ่าย ข. อนุสาวรีย์ ค. ปราสาทหิน ง. เครื่องทองโบราณ 3. ขอ้ใดไม่ใช่วธิีการหาความรู้ทางประวตัิศาสตร์ ก. การกา หนดหวัขอ้ ข. การรวบรวมข้อมูล ค. การน าเสนอข้อมูล ง. การสร้างหลักฐานเอง 4. ใครอยใู่นข้นัตอนสุดทา้ยของวธิีการหาความรู้ทางประวตัิศาสตร์ ก. กุลน าเสนอข้อมูล ข. ลิงค้นคว้าในห้องสมุด ค. มะลิตีความหลักฐาน ง. พิกุลวิเคราะห์ข้อความในจารึก 5. ขอ้ใดไม่ใช่แหล่งคน้ควา้ขอ้มูลทางประวตัิศาสตร์ ก. ห้องสมุด ข. พิพิธภัณฑ์ ค. วัดสมัยสุโขทัย ง. ห้างสรรพสินค้า
16 6.วิธีการทางประวัติศาสตร์ข้นัตอนใดเป็นการประเมินความน่าเชื่อถือและความถูกตอ้งของ หลักฐานที ก. กา หนดหวัข้อ ข. รวบรวมหลักฐาน ค. ตรวจสอบหลักฐาน ง. เรียบเรียงและน าเสนอ 7. พงศาวดารเป็ นข้อมูลที่เน้นเรื่องใด ก. พระมหากษัตริย์ ข. สามัญชน ค. พระสงฆ์ ง. ชาวนา 8. “เรื่อง พระยากง พระยาพาน” เป็ นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ประเภทใด ก. จารึก ข. จดหมายเหตุ ค. พงศาวดาร ง. ต านาน 9. โบราณสถานในภาคเหนือ คือข้อใด ก. พระธาตุพนม ข. พระปฐมเจดีย์ ค. พระธาตุหริภุญชัย ง. พระบรมธาตุไชยา 10. ใครไม่อยใู่นข้นัตอนของการสืบคน้หลกัฐาน ก. พิกุลอ่านจารึก ข. มะลิใช้แบบสอบถาม ค. ซ่อนกลิ่นสัมภาษณ์ชาวบา้น ง. ตันหยงเลือกหัวข้อการศึกษา
17
18 บทที่ 2 การตั้งถิ่นฐาน การด าเนินชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชน ความรู้เบ ื้องต้นเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐาน การตั้งถิ่นฐาน หมายถึงการสร้างที่อยอู่าศยัของมนุษย์โดยอยรู่วมกนัเป็นกลุ่ม เป็น หมู่บา้น และเมือง ในการต้งัถิ่นฐานจะมีส่วนประกอบที่สา คญัคือคน และพ้ืนที่ส่วนประกอบที่ สา คญัรองลงมาคือการติดต่อระหวา่งกนัและกนัการใชบ้ริการต่างๆเพื่อตอบสนองความตอ้งการ ของคนในกลุ่มชนน้นัๆ การต้ังถิ่นฐานของมนุษย ์ มนุษยช์อบอยรู่วมกนัเป็นกลุ่ม เพื่อจะไดพ้ ่ึงพาอาศยักนัและทา กิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกนัสิ่งที่ จะท าให้มนุษย์รวมตัวกันก็คือ การใช้ภาษาเดียวกัน นับถือศาสนาเดียวกันมีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่คล้ายกัน ในอดีตการรวมตวัเป็นกลุ่มของมนุษย์เพื่อต้งัถิ่นฐานและ สร้างบ้านเรือนน้ันจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน คือ บางกลุ่มจะเลือกต้งัถิ่นฐานในพ้ืนที่ที่เป็นป่า บางกลุ่มจะเลือกพ้ืนที่ใกลแ้ม่น้า หรือทะเล บางกลุ่มจะเลือกพ้ืนที่บนภูเขา การต้งัถิ่นฐานที่มนุษย์ตอ้งอาศยัผลิตผลจากธรรมชาติน้ัน เป็นการต้งัถิ่นฐานที่ไม่ถาวร เพราะเมื่อใดที่ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปไม่สามารถให้ผลิตผลเพียงพอต่อการดา รงชีพแลว้มนุษย์ จะอพยพยา้ยถิ่นฐานเดิมไปหาที่อยอู่าศยัแห่งใหม่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากกวา่ ต่อมามนุษยม์ ีความรู้มากข้ึนจึงสามารถสร้างสิ่งแวดลอ้มใหม่ๆ ให้เกิดข้ึนไดห้ลายอย่าง เพื่อใหก้ารดา รงชีวติมีความสะดวกสบายมากข้ึน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึน เช่น การสร้างบา้นเรือน โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์และเครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ เรื่องที่ 1การต้งัถิ่นฐานและพฒันาการของชุมชน มนุษย์ส่วนใหญ่จะเลือกต้ังถิ่นฐานในเขตที่ราบที่มีพ้ืนที่ กว้างขวาง มีแหล่งน้ าและดินที่อุดมสมบูรณ์หรือกล่าวโดยสรุปว่า การต้งัถิ่นฐานของมนุษย์ในอดีตน้ัน แต่ละกลุ่มจะพิจารณาเลือกพ้ืนที่ ที่มีสิ่งแวดล้อมเหมาะแก่การด ารงชีพ ที่ใดมีผลิตผลตามธรรมชาติ อย่างเพียงพอ มีสภาพอากาศดี มีอุณหภูมิและความช้ืนที่เหมาะสม มีน้า กินน้า ใช้สมบูรณ์มนุษยจ์ะต้งัถิ่นฐานอยู่อาศยักนัหนาแน่นมากกว่า ในพ้ืนที่ที่เยน็จดัร้อนจดัหรือมีสภาพอากาศที่รุนแรงซ่ึงจะมีคนอาศยัอยู่ เป็นจา นวนนอ้ย หรือไม่มีผคู้นอาศยัอยเู่ลย
19 การที่มนุษย์มารวมกันเป็นกลุ่มเพื่อต้ังถิ่นฐานน้ัน เมื่อมีจ านวนเพิ่มมากข้ึนๆ จะมี ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติถ้าหากมนุษยร์ู้จกัแต่จะใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการ ดา รงชีพ และไม่สนใจในการบา รุงดูแลรักษาจะทา ให้ทรัพยากรธรรมชาติมีแต่ความเสื่อมโทรมลง เรื่อย ๆ ซึ่งจะมีผลต่อการประกอบอาชีพทางการเกษตรคือให้ผลิตผลไม่เพียงพอต่อการเล้ียงชีพคน จ านวนมาก ดงัน้นัความคิดในการต้งัถิ่นฐานของมนุษยใ์นปัจจุบนัจึงแตกต่างจากในอดีตที่พิจารณาจาก สิ่งแวดลอ้มตามธรรมชาติเท่าน้นัมาเป็นการพิจารณาว่าในที่ใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นในชนบท หรือ ในเมือง ที่สามารถประกอบอาชีพมีรายไดม้าเล้ียงครอบครัวไดแ้ลว้มนุษยจ์ะไปรวมตวักนัเป็นกลุ่ม อยู่ณ ที่น้นัเช่น ตามชานเมืองที่มีโรงงานอุตสาหกรรมจะมีการรวมกลุ่มคนเป็นจา นวนมากเกิดเป็น ชุมชนใหม่ข้ึน การต้ังถิ่นฐานในเมืองก็เช่นกัน มนุษย์จะเลือกที่อยู่อาศยัหรือสร้างบ้านเรื อน ในบริเวณที่ใกล้สถานที่ที่จะประกอบอาชีพถ้าสามารถเลือกได้ดังน้ันถ้าหากไม่มีการวางแผน ความเจริญ ของเมืองเป็นอย่างดีแลว้ย่อมก่อให้เกิดปัญหาต่อการดา รงชีวิตได้เช่น ปัญหามลพิษ ต่าง ๆ ปัญหาน้า ท่วม เป็นตน้ ส่วนการต้งัถิ่นฐานในชนบทน้นัเนื่องจากชนบทมีพ้ืนที่กวา้งขวางมากการวางแผนทา ได้ ค่อนขา้งยาก รัฐจึงไดจ้ดัรูปแบบของการต้งัถิ่นฐานในชนบทเป็นหลายลกัษณะ เช่น การจดันิคม สร้างตนเองการจดัปฏิรูปที่ดิน และการจดัหมู่บา้นสหกรณ์เป็นตน้ ประชาชนที่ไปรวมกลุ่มกนัอยู่ ในโครงการต่างๆ ที่ไดม้ีการวางแผนที่ดีตามที่ไดก้ล่าวมาแลว้จะมีความสุขสบาย มีความสะดวกใน การประกอบอาชีพ และจะไม่มีปัญหาใด ๆ ที่รุนแรงจนทา ให้ตอ้งอพยพ ไปหาที่ต้งัถิ่นฐานใหม่กนั อีกต่อไป การตั้งถิ่นฐานในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนไทย มนุษย์ยุคก่อนประวตัิศาสตร์ยงัไม่มีตวัหนังสือบนัทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดข้ึนในยุคน้ัน นักประวัติศาสตร์ จึงมีแนวทางในการศึกษาโดยอาศยัเครื่องมือเครื่องใชต้ ่างๆ ที่หลงเหลืออยูเ่ป็น เครื่องพิสูจน์การศึกษามนุษย์ในยุคก่อนประวตัิศาสตร์จึงไดถู้กแบ่งออกเป็นยุคหินและยุคโลหะ โดยยดึสิ่งของเครื่องใชเ้ป็นเกณฑใ์นการแบ่ง ยุคหิน ยุคโลหะ ช่วงเวลาสมัยบรรพบุรุษมนุษย์สร้ างเครื่องมือ จากหิน ไม้ และกระดูก หรือวัสดุอื่น ๆ เป็ นเครื่องมือในการด ารงชีวิต มนุษย์รู้ จักน าเอาแร่ โลหะมาจาก ธรรมชาติน ามาใช้เพื่อประโยชน์ เช่น ทองแดง, ส าริด และเหล็ก
20 การแบ่งสมัยของประวัติศาสตร์ ในปัจจุบันนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีไดแ้บ่งช่วงสมยัของประวตัิศาสตร์ออก อยา่งกวา้ง ๆ เป็ น 2 สมัย คือ 1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์คือ ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง ยุคหินใหม่ช่วงระยะเวลาต้งัแต่มนุษยถ์ือ กา เนิดข้ึนมาและดา รงชีพ โดยยึดถือหลกัฐานที่เป็นตามธรรมชาติเช่นเดียวกบัสัตวโ์ลกอื่นๆ ต่อมา มนุษยบ์างกลุ่มสามารถปรับชีวติความเป็นอยใู่หด้ีข้ึน โดยการนา เอาทรัพยากรธรรมชาติเช่น ไฟ น้า หิน โลหะ ไม้เป็ นต้น มาใช้ประโยชน์สร้างสมความเจริญและถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลงัจนสามารถ พฒันาเป็นสังคมเมืองการเรียนรู้เรื่องราวในยุคน้ีไดจ้ากหลกัฐานทางโบราณคดีเช่น โครงกระดูก เครื่องมือเครื่องใช้และภาพศิลปะถ้า ต่าง ๆ เช่น ผาแตม้จงัหวดัอุบลราชธานี ยุคหินเก่า เริ่มมีการทา เครื่องมือเครื่องใชด้ว้ยหินอยา่งง่ายก่อน ที่มา:https://www.google.co.th/search?rlz=1C1NHXL ยุคหินกลาง เริ่มทา เครื่องจกัสาน เล้ียงสัตว์เพาะปลูกและล่าสัตว์ ที่มา:https://www.google.co.th/search?rlz=1C1NHXL_enTH693TH693 ยุคหินใหม่มีการเพาะปลูกและการท าการประมง เป็ นสังคมเกษตรกรรม ที่มา https://www.google.co.th/search?q=ยคุหินเก่า+คือ&tbm=isch&tbs=rig
21 2. สมัยประวัติศาสตร์หมายถึง สมยัที่มีการประดิษฐต์วัอกัษรข้ึนใชบ้นัทึกบอกเล่าเรื่องราว ต่างๆ ทา ใหก้ารศึกษาประวตัิศาสตร์ในช่วงยคุสมยัน้ีชดัเจนมากข้ึน โดยอาศัยหลักฐานทาง โบราณคดีสนบัสนุน ช่วงสมยัน้ีสามารถแบ่งยอ่ยได้เช่น การต้งัเมืองหลวงการเปลี่ยนราชวงศ์ สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ เป็ นต้น การแบ่งยคุสมยัประวตัิศาสตร์ของไทยคือการกา หนดช่วงเวลาเพื่อให้เขา้ใจเรื่องราวหรือ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในดินแดนไทย โดยทวั่ ไปการกา หนดช่วงเวลาที่เริ่มตน้และสิ้นสุดของ ช่วงสมยัใด สมยัหน่ึง มกัจะอา้งอิงเหตุการณ์ที่ทา ใหเ้กิดความเปลี่ยนแปลง หรือเป็นจุดเปลี่ยนทาง ประวัติศาสตร์ เช่น การข้ึนครองราชยข์องกษตัริยอ์งคใ์ดองคห์น่ึงจนถึงปีที่พระองคส์วรรคตหรือ สิ้นอา นาจ หรือแบ่งตามศูนยก์ลางอา นาจการปกครองเป็นตน้ วัดไชยวัฒนาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา การตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย 1. ภาคกลางรูปแบบการต้งัถิ่นฐานในภาคกลางแบ่งการต้งัถิ่นฐานไว้3รูปแบบคือ 1.1 การต้งัถิ่นฐานแบบกลุ่ม เป็นการต้งัถิ่นฐานที่มกัจะปรากฏในบริเวณที่ราบใกลแ้ม่น้า บริเวณแยกของเส้นทางคมนาคม 1.2 การต้งัถิ่นฐานแบบกระจายจะพบบริเวณที่มีการทา เกษตรแบบเพิ่มผลผลิต หรือการทา การเกษตรแบบเข้มข้น 1.3. การต้งัถิ่นฐานตามแนวเส้นทางคมนาคม เส้นทางคมนาคมเป็นที่ดึงดูดการต้งัถิ่นฐาน ของประชากรต้งัแต่อดีต โดยเฉพาะแม่น้า ล าคลอง 2 ภาคเหนือการต้งัถิ่นฐานตามแนวเส้นทางคมนาคม เป็นการต้งัถิ่นฐานที่พบมากที่สุดโดยเฉพาะ บริเวณที่ราบบริเวณคนัดินธรรมชาติตามแนวของแม่น้า ปิ ง และแนวโน้มปัจจุบนัการต้งัถิ่นฐาน ตามแนวเส้นทางคมนาคมมกัปรากฏตามแนวถนนสายใหญ่อีกรูปแบบหน่ึงคือการต้งัถิ่นฐานแบบ
22 กลุ่ม จะปรากฏบริเวณถนนตดักนับริเวณโคง้แม่น้า และถา้หุบเขาเป็นแอ่งแผน่ดินขนาดใหญ่ยอ่มมี ผลท าใหล้กัษณะการต้งัถิ่นฐานเป็นหมู่บา้นขนาดใหญ่ดว้ย 3. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รูปแบบการต้งัถิ่นฐานแบ่งเป็น 2แบบ คือ 3.1.การต้งัถิ่นฐานแบบกลุ่ม จะพบโดยทวั่ ไปบริเวณใกลแ้หล่งน้า ธรรมชาตินอกจากน้ียงั พบบริเวณรอบๆ อ่างเก็บน้า บริเวณเนิน บริเวณเส้นทางคมนาคม 3.2.การต้งัถิ่นฐานแบบกระจาย มกัจะพบอยโู่ดยทวั่ ไปในพ้ืนที่การเกษตร ซ่ึงอยหู่ ่างจาก ชุมชนที่เป็นหมู่บา้น ตา บล 4. ภาคตะวันตกรูปแบบการต้งัถิ่นฐานแบ่งได้2แบบ คือ 4.1 การต้งัถิ่นฐานแบบกระจายโดยเฉพาะบริเวณแอ่งที่ราบ บางบริเวณอาจมีบา้นอยู่ รวมกนัเป็นกลุ่มเล็กๆ 5-7 หลังคา 4.2 การต้งัถิ่นฐานแบบรวมกลุ่ม มกัจะพบในบริเวณที่ราบบริเวณกวา้งอยรู่ะหวา่งภูเขา ที่ราบลุ่มแม่น้า โดยเฉพาะบริเวณริมถนน ในภาคตะวนัตกมีการปรับปรุงเส้นทางคมนาคมใหม่ เพื่อสะดวกในการขนส่งวตถุดิบ ั 5. ภาคตะวันออก รูปแบบการต้งัถิ่นฐานไดแ้ก่ 5.1 การต้งัถิ่นฐานตามแนวเส้นทางคมนาคม ซ่ึงบริเวณน้ีมกัจะอยกู่นัอยา่งหนาแน่นตาม แนวถนน 5.2 การต้งัถิ่นฐานแบบรวมกลุ่ม มกัจะพบบริเวณที่เป็นทุ่งนา 5.3 การต้งัถิ่นฐานแบบกระจายในสวนของตน เช่น สวนเงาะ ทุเรียน ยางพารา 6. ภาคใต้ รูปแบบการต้งัถิ่นฐานไดแ้ก่การต้งัถิ่นฐานแบบกลุ่มที่มีขนาดแตกต่างกนัข้ึนอยูก่บัตวั แปรอื่นๆ เช่น ขนาดของถนน ขนาดของลา คลอง นอกจากน้ียงัอยู่รวมกันเป็นกลุ่มบริเวณที่มี ทรัพยากรแร่ธาตุประเภทดีบุกวุลแฟรม ส่วนการต้งัถิ่นฐานตามแนวเส้นทางคมนาคม และการต้งั ถิ่นฐานแบบกระจายก็มีลกัษณะคลา้ยกบัภาคอื่นๆ ของประเทศ วิวัฒนาการในการตั้งถิ่นฐาน
23 ลักษณะการตั้งถิ่นฐาน แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการต้ังถิ่นฐานการต้ังถิ่นฐานเกิดข้ึน เมื่อมนุษย์มีความสัมพันธ์ กับสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว จึงเกิดการรวมกลุ่ม เพื่อต้ังบ้านเรือนและจัดการกับสิ่งรอบตัว ใหเ้หมาะกบัการดา รงชีพ การต้งัถิ่นฐานของมนุษย์จะมีลกัษณะแตกต่างกนัออกไป ข้ึนอยูก่บั ปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อการต้งัถิ่นฐานน้นัๆ ดงัน้ี อิทธิพลด้านสภาพธรรมชาติ 1.แหล่งน ้า น้า เป็นสิ่งสา คญัอนัดบัแรกเนื่องจากน้า เป็นปัจจยัที่มาก่อนสิ่งอื่นท้งัหมดในแง่ ความตอ้งการน้า เพื่ออุปโภคและบริโภค 2. ดิน ดินเป็นปัจจยัรองมาจากน้า ในการเลือกต้งัถิ่นฐาน 3. สภาพภูมิประเทศ บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้า ที่ราบชายฝั่งทะเล ที่ราบลูกคลื่น ภูเขาสูง เป็ นต้น 4.ภูมิอากาศ องคป์ระกอบของอากาศเช่น พลงังานความร้อนจากดวงอาทิตย์อุณหภูมิ ปริมาณน้า ฝน มีอิทธิพลต่อการต้งัถิ่นฐาน
24 อิทธิพลด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 1.การเกษตร การต้งัถิ่นฐานอาจเกิดข้ึนจากการวมกลุ่มกนัหรือต้งัถิ่นฐานแบบกระจาย ข้ึนอยู่กับความแตกต่างของประเภทการเกษตร ซ่ึงกิจกรรมทางการเกษตรที่จะน ามาพิจารณา เกี่ยวกบัการต้งัถิ่นฐาน ไดแ้ก่การเพาะปลูก การเล้ียงสัตว์ 2.การอุตสาหกรรม เป็นปัจจยัหน่ึงที่ดึงดูดใหม้ีการต้งัถิ่นฐานอยา่งหนาแน่น เพราะโรงงาน อุตสาหกรรมต้องการแรงงานเป็ นจ านวนมาก 3.การค้าการประกอบกิจกรรมประเภทน้ีจะเลือกต้งัอยู่บริเวณที่มีประชากรหนาแน่น โดย จะมีลักษณะความเป็ นเมือง 4.การคมนาคมขนส่ ง ไม่ว่าจะเป็นทางน้ า ทางบก ที่สามารถใช้ในการขนส่ง ระหว่าง บริเวณหน่ึงไปยงับริเวณอื่นๆไดส้ะดวกและเป็นปัจจยัที่ส่งเสริมใหม้ีการต้งัถิ่นฐานมากข้ึน 5.อิทธิพลด้านสังคมและวัฒนธรรม อิทธิพลทางดา้นสังคมและวฒันธรรมก็เป็นปัจจยัหน่ึง ที่มีผลต่อการต้งัถิ่นฐานของประชากรในอดีต และยงัส่งผลใหม้ีการต้งัถิ่นฐานที่ถาวร วัฒนธรรมและประเพณีไทย วฒันธรรม หมายถึงแบบอยา่งหรือวถิีการดา เนินชีวิตของชุมชนแต่ละกลุ่มเป็นตวักา หนด พฤติกรรมการอยรู่ ่วมกนัอยา่งปกติสุขในสังคม ประเพณีคือระเบียบแบบแผนในการปฏิบตัิที่เห็นว่าดีกวา่ถูกตอ้งกว่า หรือเป็ นที่ยอมรับ ของคนส่วนใหญ่ในสังคมและมีการปฏิบตัิสืบต่อกนัมา ประเพณีเป็นการทา กิจกรรมทางสังคมที่ถือ ปฏิบัติสืบต่อกันมา ประเพณีในสังคมไทยเราน้ันมีมากมายล้วนเป็นมรดกจากบรรพบุรุษจาก สิ่งแวดลอ้ม ทางธรรมชาติและสังคม นบัวา่คนไทยในปัจจุบนัโชคดีที่มีแนวทางในการ ดา เนินชีวิต ที่ดีงามไวป้ฏิบตัิเป็นแบบอยา่งแก่ลูกหลานสืบต่อมาจนกระทงั่ทุกวนัน้ี ประเพณีการบวช เรื่องที่ 2 วัฒนธรรมและประเพณีไทย
25 ลักษณะของประเพณีไทย ประเพณีไทยแบ่งออกได้เป็ น 2 ลักษณะ คือ 1. ประเพณสี่วนบุคคล หรือประเพณเีกี่ยวกบัชีวติ เป็นประเพณีเกี่ยวกบัการส่งเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตต้งัแต่เกิดจนตาย ไดแ้ก่ ประเพณีการเกิด การบวช การแต่งงาน การตายการทา บุญในโอกาสต่าง ๆ 1. ประเพณีการเกิด เป็ นเรื่องที่สังคมไทยใหค้วามสา คญัแลว้แต่ความเชื่อของบุคคลหรือ สังคม ที่ตนอยู่ซ่ึงแต่เดิมคนเชื่อในสิ่งลึกลบัจึงมีพิธีกรรมต้งัแต่ต้งัครรภจ์นคลอดเพื่อป้องกนัภยั อนัตรายจากทารกเช่น ทา ขวญเดือน โกนผมไฟ ัพิธีลงอู่ต้งัชื่อ ปูเปลเด็ก โกนจุก (ถ้าไว้จุก) เป็ นต้น 2. ประเพณีการบวช ถือเป็นสิ่งที่อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีตลอดจนทดแทนบุญคุณพอ่แม่ ผใู้หก้า เนิดตวัผบู้วชเองก็มีโอกาส ไดศ้ึกษาธรรมวนิยั -การบรรพชาคือการบวชเณร ตอ้งเป็นเด็กชายที่มีอายตุ้งัแต่7 ขวบข้ึนไป -การอุปสมบท คือ การบวชพระ ชายที่บวชต้องมีอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ 3. ประเพณีการแต่งงาน เกิดข้ึนภายหลงัผชู้ายบวชเรียนแลว้เพราะถือวา่ ไดร้ับการอบรม มาดีแลว้เมื่อเลือกหาหญิงตามสมควรแก่ฐานะฝ่ายชายก็ใหผ้ใู้หญ่ไปสู่ขอฝ่ายหญิงข้นัตอนต่าง ๆ ก็ เป็ นการหาฤกษ์หายาม พิธีหม้นัพิธีแห่ขนัหมากการรดน้า ประสาทพรการท าบุญเล้ียงพระ พิธีส่ง ตัวเจ้าสาว เป็ นต้น การประกอบพิธีต่าง ๆ ก็เพื่อความเป็นมงคลใหช้ีวติสมรสอยกู่นัอยา่งมีความสุข 4. ประเพณีการเผาศพ ตามคติของพระพุทธศาสนา ถือวา่ร่างกายมนุษยป์ระกอบดว้ยธาตุ4 คือ - ดิน (เน้ือ หนงักระดูก) - น้า (เลือด เหงื่อ น้า ลาย) -ลม (อากาศหายใจเข้า-ออก) -ไฟ (ความร้อนความอบอุ่นในตวัเรา) ดงัน้นัเมื่อสิ้นชีวิตแลว้ สังขารที่เหลือจึงไม่มีประโยชน์อนั ใด การเผาเสียจึงเป็นสิ่งดีผทู้ี่อยู่ เบ้ืองหลงัไม่ห่วงใยโดยมากมกัเก็บศพไวท้า บุญใหท้านชวั่คราวเพื่อบรรเทาความโศกเศร้า โดยปกติ มักท าการเผา100 วันแล้ว เพราะได้ท าบุญให้ทานครบถ้วนตามที่ควรแล้ว
26 2. ประเพณีเกี่ยวกับสังคม หรือประเพณีส่วนรวม เป็ นประเพณีที่ประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมถือปฏิบตัิไดแ้ก่ประเพณีทา บุญข้ึนบา้นใหม่ ประเพณีสงกรานต์ประเพณีสา คญัทางพระพุทธศาสนา เป็นตน้ ประเพณีส่วนรวมที่คนไทยส่วนมาก ยังนิยมปฏิบตัิกนัเช่น 1. ประเพณีสงกรานต์ 2.ประเพณีเข้าพรรษา สืบเนื่องจากอินเดียสมัยโบราณ กา หนดให้พระสงฆ์ที่จาริกไปยงั สถานที่ต่างๆ กลบัมายงัส านกัของอาจารยใ์นฤดูฝน เพราะลา บากแก่การจาริกยงัไดท้บทวนความรู้ อุบาสกอุบาสิกาไดท้า บุญถวายผา้อาบน้า ฝน ถวายตน้เทียน เพื่อให้พระสงฆใ์ชใ้นพรรษา ชาวไทยถือ นิยมปฏิบตัิการเขา้พรรษาแรกคือปุริมพรรษา เริ่มต้งัแต่แรม 1 ค ่า เดือน 8 จนถึงข้ึน 15 ค ่า เดือน 11 3.ประเพณีทอดกฐิน ทอดผา้เมื่อพน้พรรษาแลว้จะมีประเพณีถวายผา้พระกฐินแก่พระสงฆ์เพื่อ ผลดัเปลี่ยนกบัชุดเดิม ซ่ึงถือปฏิบตัิกนัมาต้งัแต่สมยัสุโขทัยการทอดกฐิน เริ่มต้งัแต่วันแรม 1 ค ่า เดือน 11 จนถึงกลางเดือน 12 รวมเวลา 1 เดือน จะทอด ก่อนหรือหลงัน้ีไม่ได้ ภาพประเพณีการทอดกฐิน เป็นประเพณีที่กา เนิดมาจากประเทศอินเดีย เป็น ประเพณีเฉลิมฉลองการ เริ่มตน้ ปีใหม่ไทยเราใช้กนัมา ต้งัแต่สมยัสุโขทยัเป็นราชธานีวนัที่เริ่มต้นปีใหม่คือ วันที่ 13 เมษายนของทุกปี ถือปฏิบัติจนถึงปี พ.ศ. 2483 รัฐบาลจึงไดก้า หนด ใหว้นัที่1 มกราคม เป็นวนั ปีใหม่ใน วนัสงกรานตจ์ะมีการ ทา บุญ ตกับาตร ปล่อยนก ปล่อยปลาสรงน้า พระพุทธรูปพระสงฆ์รดน้า ดา หวัผใู้หญ่การเล่นสาดน้า กนัการเล่นกีฬาพ้ืนเมือง ปัจจุบนั ยงัเป็นประเพณีนิยมเพื่อความบนัเทิงสนุกสนาน ไดเ้ยยี่มพอ่แม่ญาติพี่นอ้ง
27 ความส าคัญของขนบธรรมเนียมประเพณีไทย วัฒนธรรมประเพณีของชาติ ล้วนแสดงให้เห็นความคิด ความเชื่อ ที่สะท้อนถึงวิธีการด าเนิน ชีวิต ความเป็นมาความสา คญัซ่ึงลว้นเป็นส่วนหน่ึงของอารยธรรมไทย ดงัน้นัขนบธรรมเนียม ประเพณีไทย จึงมีความสา คญัพอสรุปไดด้งัน้ี 1. ความเป็ นสิริมงคลขนบธรรมเนียมประเพณีไทยน้นัลว้นเกี่ยวขอ้งกบัพระพุทธศาสนาและ พราหมณ์พิธีกรรมต่าง ๆ ที่ปฏิบตัิสืบทอดกนัมาน้นัเป็นความเชื่อเรื่องของความเป็นมงคลแก่ชีวติ 2. ความสามัคคี ความเสียสละขนบธรรมเนียมประเพณีเป็ นเครื่องฝึ กจิตใจให้รู้จักเป็ นผู้ เสียสละจะเห็นไดจ้ากงานบุญต่าง ๆ มกัเกิดการร่วมมือร่วมแรง ร่วมใจกนัเช่นพิธีขนทรายเขา้วดัการ ก่อเจดียท์ราย ทา ใหเ้กิดความรักความสามคัคี 3. การมีสัมมาคารวะถือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีไทยอยางหนึ่ง แสดงถึงความนอ ่บน้อม อ่อนโยนความมีมารยาทไทย 4. ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ช่วยทา ใหค้นไทยอยใู่นกรอบที่ดีงาม ถือวา่เป็นเครื่องมือ ในการกา หนดพฤติกรรมไดอ้ยา่งหน่ึง 5. ขนบธรรมเนียมประเพณีในแต่ละท้องถิ่น ถึงแมว้า่จะแตกต่างกนัแต่ทุกคนก็มีความรู้สึก วา่ทุกคนเป็นคนไทย มีความเป็นชาติเดียวกนัและสามารถแบ่งออกถึงความเป็นมาของชาติได้ วฒันธรรมในชุมชน วฒันธรรมเปรียบเสมือนรากแกว้ของตน้ ไมท้ี่เป็นรากหยงั่ลึกลงไปในดินเพื่อยดึตน้ ไม้ ไม่ใหล้มเมื่อมี ้พายลุมแรง เช่นเดียวกบัวฒันธรรมที่เป็นรากฐานในการดา เนินชีวติให้เกิดความ เจริญรุ่งเรือง วฒันธรรมไทยทคี่วรภาคภูมใิจและควรอนุรักษ ์ ชาติไทยไดส้ร้างสมวฒันธรรมสืบเนื่องมาชา้นาน และวฒันธรรมบางอยา่งไดส้ร้างความ เจริญใหแ้ก่สังคม เช่น 1. การแสดงความเคารพโดยการกราบ การไหว้ ชาติไทยมีวัฒนธรรมการแสดงความ เคารพที่แตกต่างจากชาติอื่น คนไทยเมื่อพบเจอกนัจะทกัทายกนัโดยการไหว้และกล่าวทกัทายวา่ เร ื่องที่3 ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวฒันธรรมของชุมชน
28 สวัสดีการแสดงความเคารพโดยการกราบและไหวจ้ะปฏิบตัิแตกต่างกนัตามสถานภาพของบุคคล เช่น การกราบพอ่แม่หรือญาติผใู้หญ่ไม่ตอ้งแบมือ แต่การกราบพระตอ้งแบมือ การแสดงความเคารพโดยการไหว้ การแสดงความเคารพโดยการกราบ 2. อาหารไทย อาหารไทยเป็ นภูมิปัญญาของคนไทยที่คิดคน้น าพืชผกัต่างๆที่มีอยู่ใน ทอ้งถิ่นมาปรุงเป็นอาหารซ่ึงเป็นเอกลกัษณ์ของแต่ละทอ้งถิ่น เช่น ภาคใต้อาหารส่วนใหญ่ไดม้า จากทะเล จึงมีการน าสมุนไพรต่างๆ มาใช้เป็นส่วนผสมในการปรุงอาหารเพื่อดับกลิ่นคาว นอกจากน้ียงัมีการนา พืชผกัสมุนไพรที่มีสรรพคุณ (อ่านวา่สับ – พะ–คุน) เป็นยามาเป็นส่วนผสม ในอาหาร เช่น ข่า ตะไคร้ใบมะกรูด 3. ภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ดงัน้นัชาติต่าง ๆ จึงสร้างภาษา และตวัอกัษรข้ึน เมื่อ พ.ศ.1826 พ่อขุนรามคา แหงมหาราชได้ประดิษฐ์ตวัอกัษรไทยซ่ึงเป็น ตน้กา เนิดของอักษรไทยในปัจจุบันและเป็ นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ คนไทยใช้ภาษาไทยบอก เล่าหรือบนัทึกเรื่องราวต่างๆสืบต่อมา เราควรอนุรักษภ์าษาไทยโดยเขียนหรือพูดสื่อสารด้วยค าพูด ที่สุภาพไพเราะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมในการใช้ภาษาไทย ศิลาจารึกพอ่ขุนรามคา แหงมหาราช
29 ประเพณีท้องถิ่น ประเพณีทอ้งถิ่นไดแ้ก่ประเพณีนิยมปฏิบตัิกนั ในแต่ละทอ้งถิ่น หรือภูมิภาคของประเทศไทย ดงัน้ี 1.ภาคกลาง เช่น ประเพณีอุม้พระดา น้า ประเพณีวงิ่ควาย ตกับาตรเทโว ท าขวัญข้าว เป็ นต้น 2.ภาคใต้ เช่น ประเพณีบุญเดือนสิบ ประเพณีชักพระ ประเพณีชิงเปรต ประเพณีแห่ผา้ข้ึน พระธาตุ เป็ นต้น 3.ภาคเหนือ เช่น ประเพณีสงกรานต์ประเพณีรดน้า ดา หวั ประเพณีปอยส่างลอง เป็ นต้น ประเพณีอุม้พระดา น้า ประเพณีวงิ่ควาย ตักบาตรเทโว ท าขวัญข้าว ประเพณีชิงเปรต ประเพณีชักพระ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีรดน้า ดา หวั ประเพณีปอยส่างลอง ประเพณีบุญเดือนสิบ ประเพณีแห่ผา้ข้ึนพระธาตุ
30 4. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเช่นประเพณีไหลเรือไฟ ประเพณีบุญบ้งัไฟ ประเพณีแห่เทียนพรรษา ประเพณีแห่ผตีาโขน เป็นตน้ ประเพณีไหลเรือไฟ ประเพณีบุญบ้งัไฟ ประเพณีแห่เทียนพรรษา ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยทุกภาค มีความสา คญัต่อคนไทยในแต่ละภาคแสดงใหเ้ห็นวา่สังคมไทย เป็นสังคมที่มีวฒันธรรมเป็นของตนเอง ซ่ึงเป็นเอกลกัษณ์ที่โดดเด่น ควรส่งเสริมและอนุรักษไ์วเ้พื่อเป็นมรดก ของสังคมสืบไป ประเพณีแห่ผตีาโขน
31 แบบฝึ กหัด บทที่ 2 การต้ังถิ่นฐาน การด าเนินชีวติและวฒันธรรมชุมชน ค าชี้แจง ให้นักศึกษาตอบค าถามต่อไปนี้ 1. ปัจจยัที่มีอิทธิพลต่อการต้งัถิ่นฐาน ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 2.ให้นักศึกษาเลือกค าตอบ ก.ยคุก่อนประวตัิศาสตร์หรือข.ยคุประวตัิศาสตร์ทีกา หนดใหเ้ติม ลงในช่องวา่งใหถู้กตอ้ง ………............................. ................................. ……………................... .............................. .....……………................... .................................. ก.ยุคก่อนประวตัศิาสตร ์ ข.ยุคประวตัศิาสตร ์
32 แบบทดสอบ บทที่2การต้ังถิ่นฐาน การด าเนินชีวติและวฒันธรรมของชุมชน ค าชี้แจง:จงเลือกค าตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงค าตอบเดียว 1. เพราะเหตุใดในแต่ละชุมชนจึงมีการด าเนินชีวิตและวัฒนธรรมที่ต่างกนั ก.ฐานะทางสังคมต่างกนั ข. นโยบายของผูน้า ทอ้งถิ่นต่างกนั ค.ความเชื่อถือและการนับถือศาสนา ง.ลกัษณะนิสัยของคนในชุมชนต่างกนั 2. ขอ้ใดไม่ใช่ปัจจยัทางภูมิศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อการต้งัถิ่นฐานของชุมชน ก. ประเพณี ข. ภูมิอากาศ ค. ลักษณะภูมิประเทศ ง. ทรัพยากรธรรมชาติ 3.ลกัษณะของชุมชนในชนบทตรงกบัขอ้ใด ก. เป็ นลักษณะของครอบครัวเดี่ยว ข. ชุมชนที่เน้นความสะดวกสบาย ค.การต้งับา้นเรือนกระจดักระจายตามพ้ืนที่เพาะปลูก ง.การประกอบอาชีพข้ึนอยกู่บัความสามารถของบุคคล 4.คนที่ประกอบอาชีพใด ควรอาศยัอยใู่นสังคมเมือง ก. ชาวไร่ ข. นกัธุรกิจ ค. ชาวสวน ง. ชาวประมง 5. ระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติที่ดีงามและมีการปฏิบัติสืบต่อกนัคือความหมายข้อใด ก. ประเพณี ข.คุณธรรม ค.จริยธรรม ง.วัฒนธรรม
33 6.ขอ้ใดไม่ใช่ลกัษณะเด่นของวฒันธรรมไทย ก.กตัญญูกตเวที ข. เอ้ือเฟ้ือเผอื่แผ่ ค. สุภาพอ่อนนอ้ม ง.ขาดความสามัคคี 7. จากภาพมีจุดมุ่งหมายใด ก. เพื่อขอขมาแม่คงคา ข. เพื่อบูชาสิ่งศกัด์ิสิทธ์ิ ค. เพื่อขอขมาแม่โพสพ ง. เพื่อขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง 8. ภาพในข้อใดคือประเพณีของชุมชนในภาคใต้ ก. ข. ค. ง. 9. ภาพในข้อใดคือประเพณีใดที่เกี่ยวขอ้งกบัพระพุทธศาสนา ก. ข. ค. ง. 10. ขอ้ใดคือวฒันธรรมที่เกี่ยวขอ้งกบัการทา นา ก. การเล้ียงเจา้นา ข. การลอยกระทง ค. การท าบุญกลางบ้าน ง. การกวนข้าวทิพย์
34
35 3.2 อาณาจักรสุโขทยั 3.1 ผู้สถาปนาอาณาจักรต่างๆ บทที่ 3 การสถาปนาอาณาจักรไทย ผู้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัย พอ่ขนุผาเมือง พอ่ขนุศรีอินทราทิตย์(พ่อขนุบางกลางหาว) ผู้สถาปนาอาณาจักรอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่1 (พระเจา้อู่ทอง) กษัตริย์ผู้สถาปนาอาณาจักรธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กษัตริย์ผู้สถาปนาอาณาจักรรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
36 เมื่ออาณาจกัรขอมเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในพุทธศตวรรษที่ 17อิทธิพลของขอมแผ่ขยาย ครอบคลุมดินแดนสุวรรณภูมิอารยธรรมหรือวฒันธรรมของขอมจึงแทรกซึมไปในหมู่ประชากร ของบริเวณน้ีอย่างทวั่ถึงและผสมคลุกเคลา้เป็นวฒันธรรมสืบต่อมาจนถึงปัจจุบนัคร้ันอาณาจกัร ขอมเสื่อมลงในตอนปลายพุทธศตวรรษที่18กลุ่มคนไทยหรืออาณาจกัรต่างๆ ของคนไทยที่เคย ตกอยภู่ายใตอ้ิทธิพลของขอมจึงต่างพยายามต้งัตนเป็นอิสระ ก่อนการสถาปนาอาณาจกัรสุโขทยั เมืองสุโขทัยและเมืองศรีสัชนาลัย มีเจ้าเมืองปกครองมี พระนามวา่พอ่ขนุศรีนาวนา ถม เมื่อสิ้นรัชกาลไดม้ีบุคคลปรากฏตามศิลาจารึกวา่ ขอมสบาดโขลญ ล าพง เข้ามามีอ านาจปกครองเมืองท้งัสอง พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมือง บางยางกบัพระสหายคือ พ่อขุนผาเมืองเจา้เมืองราด ซ่ึงเป็นโอรสพ่อขุนศรีนาวนา ถม ไดช้กัชวนคนไทยผูร้ักชาติบา้นเมือง ท้งัหลายให้รวมตวัผนึกก าลังชิงเมืองสุโขทัยและเมืองศรี สัชนาลัยจากขอมสบาดโขลญล าพง ประกาศสถาปนากรุงสุโขทยัเป็นราชอาณาจกัรอิสระ ประกอบพระราชพิธีอภิเษกพ่อขุนบางกลาง หาวเป็นกษตัริยป์กครองสุโขทยัทรงพระนามวา่ “พอ่ขนุศรีอินทราทิตย” ์ ใน พ.ศ. 1792 พ่อขุนศรีอินทราทิตยไ์ดท้รงปกครองอาณาจกัรสุโขทย เป็ นกษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์ ั พระร่วงโดยมีการสร้างความสัมพนัธ์อนัดีกบัพ่อขุนผาเมือง เจา้เมืองราด ดว้ยความเป็นพระสหาย ของพ่อขุนท้งัสองและเป็ นเครือญาติสนิททางการสมรส คือ พระมเหสีของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ น้นัมีเช้ือพระวงศ์เป็นพระขนิษฐาของพ่อขุนผาเมือง มีพระนามว่า นางเสือง ซ่ึงต่อมาไดม้ีโอรส เสวยราชสมบัติปกครองอาณาจักรสุโขทัยให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาถึง 2 พระองค์ คือ พอ่ขนุบานเมืองและพอ่ขนุรามคา แหงมหาราช ปัจจัยทเี่อือ้ต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทยั ปัจจยัที่เอ้ือต่อการสถาปนาอาณาจกัรสุโขทัย มี 2 ด้าน คือ 1.ปัจจัยภายใน มีผู้น าที่เข้มแข็ง มีขวญัและกา ลงัใจดี คนไทยรักความเป็ นอิสระ บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ 2.ปัจจัยภายนอก ขอมมกัจะรุกรานและแผอ่า นาจเขา้ไปในอาณาจกัรอื่นๆ ตอ้งทา สงครามเป็น ระยะเวลายาวนาน โดยเฉพาะกบัอาณาจกัรจามปา กษตัริยขอมต้องท าสงคราม ์ ยดืเย้อืหลายรัชกาล ตอ้งเสียกา ลงัคน เสบียงอาหาร ทรัพยากรและขาดการทา นุ บ ารุงบ้านเมือง
37 การสร้างปราสาทหรือเทวสถานไว้ประดิษฐานศิวลึงค์ เพื่อการบูชาและการสร้าง สาธารณูปโภคของกษตัริยแ์ต่ละพระองค์ก็เป็นอีกเหตุหน่ึงที่ทา ใหข้อมเสื่อม อ านาจ เพราะต้องใช้แรงงาน ใช้ทรัพยากรและเสบียงอาหารจ านวนมากมาย ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจทา ใหต้อ้งเก็บภาษีจากประชาชนมากข้ึน ความสัมพันธ์กับอาณาจักรอื่นๆ 1. ความสั มพันธ์ กับอาณาจักรล้านนา อาณาจักรสุ โขทัยสร้างความสัมพันธ์อันดี กับอาณาจักรล้านนามาตลอด ต้ังแต่เริ่มก่อต้ังในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์จนถึงสมัยพ่อขุน รามค าแหง ทรงด าเนินนโยบายผูกสัมพันธไมตรีกบัอาณาจกัรลา้นนาให้แน่นแฟ้นยิ่งข้ึน เพราะ เป็นชนชาติไทยดว้ยกนัคือ ในสมยัพอ่ขนุรามคา แหง อาณาจกัรลา้นนามีบุคคลส าคญัคือ พ่อขุน เม็งราย เจ้าเมืองเงินยาง และพ่อขุนงา เมือง เจา้เมืองพะเยา ท้งัสามองคเ์ป็นมิตรสนิทสนมกนัมา แต่เยาว์วยัเมื่อมีอ านาจปกครองบ้านเมือง จึงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ใน พ.ศ. 1835 พ่อขุนเม็งรายสร้างราชธานีใหม่มีชื่อว่า นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่พ่อขุนรามคา แหงและ พ่อขุนง าเมืองก็ได้ให้ความร่วมมือ ตลอดระยะเวลาที่อาณาจักรสุโขทัยเป็นอิสระผูป้กครอง อาณาจกัรท้งัสองฝ่ายต่างเป็นมิตรไมตรีกนั 2. ความสัมพันธ์กับเมืองนครศรีธรรมราช อาณาจักรสุโขทัยมีความสัมพันธ์อันดีกับ นครศรีธรรมราชต้งัแต่สมยัพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ท าให้ได้รับผลดีหลายประการ คือ มีการรับเอา พระพุทธศาสนาลทัธิลงักาวงศม์าเผยแผใ่นสุโขทยัและไดร้ับความเลื่อมใสศรัทธาจากประชาชน เป็นอย่างดีในสมัยพ่อขุนรามคา แหง เมืองนครศรีธรรมราชเข้าร่วมอยู่ในอาณาจักรสุโขทัย สร้างความมนั่คงแก่สุโขทยัเป็นอยา่งยงิ่ 3. ความสัมพันธ์กับลังกา อาณาจกัรสุโขทยัสมยัพอ่ขนุศรีอินทราทิตย์เริ่มมีความสัมพนัธ์ กบัลงักาในทางพระพุทธศาสนาโดยผ่านเมืองนครศรีธรรมราช เจา้กรุงลงักาไดถ้วาย พระพุทธ สิหิงค์แก่กรุงสุโขทยั ในสมยัต่อมาก็มีพระเถระจากสุโขทยัเดินทางไปศึกษาพระไตรปิฎกที่ลังกา รัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) ก็โปรดเกลา้ฯ ให้ไปพิมพร์อยพระพุทธบาทของลงักามา ประดิษฐานไวบ้นยอดเขาสุมนกูฎในเมืองสุโขทยัดว้ย นอกจากน้ียงัไดเ้ชิญพระมหาสามีสังฆราช จากเมืองนครพัน (เมาะตะมะ หรือ มะตะบัน) ประเทศมอญ ซึ่งเป็ นชาวลังกามาเป็ นอุปัชฌาย์เผย แผพ่ระพุทธศาสนาลทัธิลงักาวงศ์ 4. ความสัมพันธ์กับอาณาจักรมอญ อาณาจักรสุโขทัยในสมยัพ่อขุนศรีอินทราทิตยแ์ละ พ่อขุนบานเมืองน้นัยงัไม่ปรากฏหลกัฐานที่แน่ชดัดา้นการเจริญมีสัมพนัธไมตรีกบัอาณาจักรมอญ ต่อมาในรัชกาลพ่อขุนรามคา แหงมหาราช ทรงสนบัสนุน มะกะโท บุตรพ่อคา้ชาวมอญ โดยรับ ไว้เป็ นราชบุตรเขยและส่งเสริมจนไดเ้ป็นกษตัริยแ์ห่งอาณาจกัรมอญและพระราชทานพระนามไว้
38 ว่า พระเจ้าฟ้ารั่ว อาณาจักรมอญจึงสวามิภักด์ิต่ออาณาจักรสุโขทัยตลอดรัชสมัยของพ่อขุน รามคา แหง เมื่อพระเจา้ฟ้ารั่วสิ้นพระชนม์แลว้หัวเมืองมอญจึงต้งัตนเป็นอิสระ ไม่ยอมข้ึนต่อ สุโขทัย 5. ความสัมพันธ์กับอาณาจักรลาว สมยัพอ่ขนุรามคา แหง อาณาจกัรสุโขทยัมีอา นาจเหนือ หัวเมืองลาวบางเมืองในดินแดนลุ่มแม่น้ าโขงทางฝั่งซ้าย คือ ทางด้านตะวนัออก ถึงเมือง เวียงจันทน์ เวียงค า ทางเหนือถึงเมืองหลวงพระบาง หัวเมืองลาวดงักล่าวจึงเป็นเมืองประเทศราช ของสุโขทยัเมื่อสิ้นสมยัพอ่ขนุรามคา แหง หวัเมืองลาวไดต้้งัตนเป็นอิสระปกครองตนเอง คร้ันถึง พ.ศ. 1896 – 1916 เจ้าฟ้างุ้ม กษตัริยล์าวไดร้วบรวมหวัเมืองต่างๆ และต้งัอาณาจกัรลาวการที่ลาว เขม้แข็งและมีอา นาจเป็นผลดีต่อไทย เพราะลาวได้หันไปต่อสู้กบัขอม จนทา ให้ขอมอ่อนอา นาจ และไม่มีก าลังพอที่จะมารุกรานไทย อาณาจักรสุโขทัยและอาณาจักรลาวในช่วงน้ีจึงมี ความสัมพนัธ์ในทางสันติไม่ไดเ้ป็นศตัรูต่อกนั 6. ความสัมพันธ์กับจีน แม้จีนจะอยู่ห่างไกล แต่มีอา นาจมาก จึงแผ่อิทธิพลเขา้มาใน ดินแดนประเทศต่างๆ ในสมยัพระเจา้หงวนสีโจ๊วฮ่องเต้(กุบไลข่าน) ไดส้ ่งพระราชสาสน์เตือน มายังสุโขทัยให้น าเครื่องบรรณาการไปถวายพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 1837 พ่อขุนรามคา แหงทรงเห็นวา่ หากนิ่งเฉยหรือขดัขืน อาจเกิดสงครามกบัจีนได้จึงโปรดให้แต่งราชทูตน าเครื่องบรรณาการไป ถวายกษัตริยจ์ีน สุโขทยัและจีนจึงมีไมตรีต่อกนัมีผลดีท้งัทางเศรษฐกิจการเมือง มีการติดต่อ คา้ขายกบัจีน และได้รับศิลปะการทา เครื่องเคลือบ ซ่ึงต่อมาเรียกว่า เครื่ องสังคโลก ผลิตเป็ น สินคา้ออกเป็นที่นิยมมาก นอกจากน้ียงัได้รับความรู้ในการเดินเรือทะเลจากจีน สามารถน าเรือ บรรทุกสินคา้ไปคา้ขายกบันานาประเทศได้ส่วนทางการเมืองก็ไดร้ับความเชื่อถือจากประเทศอื่นๆ เนื่องจากจีนให้การรับรองไม่ต้องถูกปราบปรามเหมือนบางประเทศ ส่งผลให้สุโขทัยมีการ แลกเปลี่ยนซ้ือขายกบัจีนและประเทศอื่นๆ ขยายตลาดกวา้งขวางข้ึน 7. ความสัมพันธ์กับอาณาจักรขอม พ่อขุนรามคา แหงเริ่มขยายอา นาจไปทางลุ่มแม่น้า โขงตอนล่าง เขา้โจมตีอาณาจกัรขอม โดยได้รับการสนบัสนุนจากจกัรพรรดิกุบไลข่าน การทา สงครามนา ความเสียหายให้แก่ขอม เป็นการทา ลายอา นาจทางการเมืองของขอมที่เคยมีอยู่ในแถบ ลุ่มแม่น้า โขงและลุ่มแม่น้า เจา้พระยาใหส้ิ้นสุดลง 8. ความสัมพันธ์กับอาณาจักรอยุธยา ในรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) ในระยะแรกที่กรุงศรีอยุธยาสถาปนาเป็ นอาณาจักร สุโขทัยและอยุธยาไดม้ีการสู้รบกนัเป็นคร้ัง คราว จนกระทงั่พ.ศ. 1921 ในสมยัพระมหาธรรมราชาที่2 สุโขทยัก็ตกเป็นประเทศราชของ อยธุยาซ่ึงมีพระบรมราชาธิราชที่1 (ขุนหลวงพะงวั่) เป็นกษตัริย์แมต้่อมาพระมหาธรรมราชาที่3 (ไสยลือไทย) จะประกาศอิสรภาพจากอยุธยาไดส้ าเร็จ แต่เมื่อพระองคเ์สด็จสวรรคต ราชโอรส ของพระองคก์ ็แยง่ชิงราชสมบตัิกนัเป็นเหตุใหส้มเด็จพระอินทราชาแห่งกรุงศรีอยุธยายกทพัข้ึนไป
39 ไกล่เกลี่ย ทา ให้สุโขทยัถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน และเมื่อพระมหาธรรมราชาที่4 (บรมปาล) สวรรคต เจา้สามพระยาแห่งอาณาจกัรอยุธยาได้ทรงส่งพระราเมศวร พระราชโอรสที่เกิดจาก พระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 3 ข้ึนไปครองเมืองพิษณุโลกซ่ึงเป็นเมืองลูกหลวงของ อาณาจกัรสุโขทยัสุโขทยัจึงถูกรวมเขา้กบัอาณาจกัรอยธุยาและเป็นอนัสิ้นสุดของอาณาจักรสุโขทัย ปัจจัยทมี่ีผลต่อลกัษณะเศรษฐกจิของสุโขทัย 1.ลกัษณะทางภูมิศาสตร์สุโขทยัอยใู่นภาคกลางตอนบนของประเทศไทย มีพ้ืนที่เป็นที่ ราบส่วนใหญ่จึงเหมาะแก่การทา เกษตรกรรม ทางทิศเหนือมีภูเขาติดต่อกนัลงมา ทางตะวนัตกมี เขาหลวงและเขาแลง้เป็นภูเขาใหญ่และทิวเขาถ้า เจา้รามมีขนาดรองลงมา ในบางทอ้งที่มีภูเขาที่มี น้า ตกหลายแห่งใหค้วามชุ่มช้ืนแก่ดิน มีป่าที่อุดมดว้ยไมม้ีค่า มีพ้ืนที่ราบกวา้งทางตะวนัออกลงมา ทางใตม้ีแม่น้า ลา คลอง หนอง บึง อยทู่วั่ ไป เป็นแหล่งน้า เพื่อการเพาะปลูกและเป็นที่อาศยัของ สัตวน์ ้า เช่น กุง้ ปูปลา เป็นตน้ 2.ลักษณะภูมิประเทศ สุโขทยัประกอบด้วยที่ราบลุ่มแม่น้า และที่ราบเชิงเขา บริเวณลุ่ม แม่น้า ได้แก่ที่ราบลุ่มแม่น้า ใหญ่3 สาย คือ แม่น้า ปิง ผ่านตาก และกา แพงเพชร แม่น้า ยม ผา่นศรีสัชนาลยัและสุโขทยัแม่น้า น่าน ผ่านอุตรดิตถ์พิษณุโลก และพิจิตร บริเวณพ้ืนที่ท้งั สองฝั่งของแม่น้า แต่ละสายจึงเป็นแหล่งส าคญัที่ส่งเสริมการประกอบอาชีพเพาะปลูก เล้ียงสัตว์ และท าประมง ตลอดจนใช้เป็นแหล่งที่ต้งับา้นเรือนไดด้ีส่วนทางทิศตะวนัตกของสุโขทยัจนถึง กา แพงเพชรพ้ืนที่เป็นดินดอน มีความอุดมสมบูรณ์น้อยกว่าบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้า แต่สามารถ เพาะปลูกพืชบางชนิด และสามารถใชเ้ล้ียงสัตวไ์ด้ 3. ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ต้งัของอาณาจกัรสุโขทยัอยูบ่ริเวณที่ราบลุ่มแม่น้า ซ่ึงเป็นสาขา ของแม่น้า เจา้พระยาสลบักบัที่ดอน จึงมีน้า อุดมสมบูรณ์ในหน้าฝน น้า น้อย ในหน้าแล้ง บริเวณ รอบๆ เมืองมีป่าไมข้้ึนอยู่ทวั่ ไป สุโขทยัจึงมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธรรมชาติมีการทา สวนทา ไร่ทวั่ ไป 4. ความสามารถของผู้น า นอกจากลักษณะทางภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติแล้ว ปัจจัยส าคัญอีกประการหนึ่ง คือ พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ในสมัยสุโขทัยที่ทรงท านุ บา รุงบา้นเมืองดา้นต่างๆ โดยเฉพาะในดา้นการเกษตรทรงทา นุบา รุงโดยส่งเสริมดว้ยวิธีการต่าง ๆ ที่ส าคัญคือ การให้กรรมสิทธิ์ที่ดิน เมื่อประชาชนหักร้างถางพง ปลูกพืชพนัธุ์ทา มาหากิน ในที่ดินแห่งใด ให้ที่ดินน้นัตกเป็นกรรมสิทธ์ิของผนู้้นัและเมื่อเจา้ของตายก็ให้ ตกเป็นของลูกหลานสืบต่อไป ทา ใหป้ระชาชนมีกา ลงัใจในการประกอบอาชีพ ซ่ึงปรากฏตามศิลาจารึกพอ่ขุนรามคา แหงมหาราช ดงัน้ี
40 .........หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้ างได้ไว้แก่มัน .......... .......... ผู้ใดแล้ล้มตายหายกว่า..... ป่ าหมากป่ าพลูพ่อเชื้อมัน ไว้แก่ลูกมันสิ้น......... การพัฒนาทางการเกษตร สุโขทยัไดน้า ระบบชลประทานมาช่วยในการเกษตร เช่น มีการสร้างเขื่อน สร้างทา นบ ขดุคูคลอง เพื่อกกัเก็บ ก้นัและส่งน้า ไป ใช้ในการเพาะปลูก สรีดภงส์หรือ ทา นบพระร่วง จัดเป็ นเขื่อนที่สร้างข้ึนจาก ดินเพื่อการชลประทาน แสดงให้เห็นถึงความกา้วหนา้ทางวิทยาการการพฒันา ระบบน้า การสร้างตระพงัเก็บน้า และเหมืองฝาย ต้งัแต่ศรีสัชนาลยัผา่นสุโขทยั ไปถึงกา แพงเพชร เป็นการใชแ้รงงานคนเป็นหลกั ระบบเงินตราสมัยสุโขทยั เงินพดด้วง เบ้ียหอย (ที่มา: https://monchanat.files.wordpress.com และ http://omorosettochrono.blogspot.com/) การนา ระบบเงินตรามาใช้มีส่วนช่วยระบบเศรษฐกิจให้ดีข้ึน เป็นการจูงใจให้ประชาชน ประกอบอาชีพเพื่อจะไดม้ีทรัพยส์ินเป็นของตนเอง ดว้ยเหตุที่สุโขทยัมีแร่ธาตุหลายชนิด เช่น เงิน ทอง ดีบุก เหล็ก จึงมีการนา แร่เงินมาใช้ในการทา เงินตราที่เรียกว่า เงินพดด้วง เป็ นการพัฒนา ระบบเศรษฐกิจเพื่ออา นวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนให้คล่องข้ึน เงินพดดว้ง แบ่งออกเป็ น สลึง บาท และตา ลึง (เงินตราที่มีค่านอ้ยที่สุด คือเบ้ีย ทา จากหอย เรียกวา่เบ้ียหอย)
41 สังคมและวฒันธรรมสมัยสุโขทยั สุโขทยัเป็นอาณาจกัรที่ก่อต้งัข้ึนภายหลงัการกา จดัอิทธิพล ของขอม การที่สุโขทยัสามารถกา จดัอิทธิพลของขอมไปได้ ยอ่มแสดงว่าสังคมสุโขทยัเป็นสังคมที่มีความสมคัรสมานสามคัคี เป็นอย่างดีการไดผู้น้า ที่เก่งกลา้สามารถย่อมก่อให้เกิดขวญัและ กา ลงัใจแก่ประชาชนพลเมือง จึงทา ให้มีการพฒันาชาติบา้นเมือง ให้เจริญรุ่งเรือง ป ระกอบกับ สังค ม สุโข ทัยยึด มั่นใ น พระพุทธศาสนา ประชาชนได้รับการขัดเกลาจิตใจให้มีความ ละเอียดอ่อนท้งัในแง่ของอารยธรรมและในแง่ของศิลปกรรม ท าให้สามารถสร้างสรรค์ศิลปวิทยา ซ่ึงได้สั่งสมเป็นมรดกตก ทอดมาจนถึงปัจจุบัน ความเสื่อมอ านาจของอาณาจักรสุโขทยั ความเสื่อมของอาณาจกัรสุโขทยัเกิดข้ึนเพราะความอ่อนแอของระบบการเมืองการปกครอง แควน้ต่างๆ ที่เคยอยใู่นอา นาจต้งัตนเป็นอิสระ ส่งผลให้อาณาจักรหมดอ านาจลงไปในที่สุด เมื่อสิ้นรัชสมยั พอ่ขนุรามคา แหงมหาราช ประมาณ พ.ศ. 1841 อาณาจกัรสุโขทยัก็เริ่มอ่อนแอลงโดยมีสาเหตุ 4 ประการ ดงัน้ี 1. ความเหินห่างระหวา่งพระมหากษตัริยก์บัราษฎร 2. ความยอ่หยอ่นในดา้นการทหาร 3.การถูกตดัเส้นทางเศรษฐกิจ 4.การแตกแยกภายใน ลักษณะชนชั้นทางสังคมสมัยสุโขทยั
42 3.3 อาณาจักรอยุธยา วัดไชยวัฒนาราม จ.พระนครศรีอยุธยา ที่มา http: oknation.nationtv.tv/blog/supermom/2008/01/16/entry-1 อาณาจักรอยุธยา เป็ นอาณาจักรของชนชาติไทยในลุ่มแม่น้า เจา้พระยาในช่วง พ.ศ. 1893ถึง พ.ศ. 2310 มีกรุงศรีอยุธยาเป็ นศูนย์กลางอ านาจหรือราชธานีท้งัยงัมีความสัมพนัธ์ ทางการค้ากับหลายชาติจนถือได้ว่าเป็ นศูนย์กลางการค้าในระดับนานาชาติเช่น อินเดีย ญี่ปุ่ น จีน เวียดนาม เปอร์เซีย รวมท้งัชาติตะวนัตกเช่น โปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์(ฮอลันดา) แล ะฝรั่งเศส ซ่ึงในช่วงเวลาหน่ึงเคยสามารถขยายอาณาเขตประเทศราชถึงรั ฐฉา น ของพม่าอาณาจักรล้านนา มณฑลยูนาน อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรขอม และคาบสมุทรมลายู ในปัจจุบัน กรุงศรีอยุธยาเป็นเกาะซ่ึงมีแม่น้ าสามสายล้อมรอบ ได้แก่แม่น้ าป่าสักทางทิ ศ ตะวันออกแม่น้า เจา้พระยาทางทิศตะวันตกและทิศใต้ และแม่น้า ลพบุรีทางทิศเหนือเดิมทีบริเวณน้ี ไม่ได้มีสภาพเป็นเกาะ แต่สมเด็จพระเจา้อู่ทองทรงดา ริให้ขุดคูเชื่อมแม่น้า ท้งัสามสาย เพื่อให้เป็น ปราการธรรมชาติป้องกนัขา้ศึก ที่ต้งักรุงศรีอยุธยายงัอยู่ห่างจากอ่าวไทยไม่มากนกัทา ให้กรุงศรี อยุธยาเป็นศูนยก์ลางการคา้กบัชาวต่างประเทศและอาจถือวา่เป็น "เมืองท่าตอนใน" เนื่องจากเป็น ศูนยก์ลางเศรษฐกิจของภูมิภาค มีสินคา้กว่า 40 ชนิด ได้จากสงครามและรัฐบรรณาการ แมว้่า ตวัเมืองจะไม่ติดทะเลก็ตาม มีการประเมินวา่ราว พ.ศ. 2143 กรุงศรีอยุธยามีประชากรประมาณ 300,000 คน และอาจ สูงถึง 1,000,000 คน ราว พ.ศ. 2243 บางคร้ังมีผเู้รียกกรุงศรีอยธุยาวา่"เวนิสแห่งตะวนัออก" ปัจจุบนับริเวณน้ีเป็นส่วนหน่ึงของอ าเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ้ืนที่ ที่เคยเป็นเมืองหลวงของไทยน้นัคืออุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ตัวนครปัจจุบันถูก ต้งัข้ึนใหม่ห่างจากกรุงเก่าไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร
43 สมเด็จพระรามาธิบดีที่1 (พระเจา้อู่ทอง) ที่มา https://sites.google.com/site/jaruporn24226/1 พระเจ้าอู่ทองซ่ึงมีพระนามอย่างเป็นทางการว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่1 เป็นผูก้่อต้งั อาณาจกัรอยุธยาข้ึน ณ บริเวณลุ่มแม่น้า เจา้พระยาตอนล่าง บริเวณดงักล่าวเป็นที่ที่มีความเจริญมา ก่อนแลว้เพราะเคยเป็นที่ต้งัของแควน้ต่างๆ เช่น แควน้ สุพรรณภูมิและแควน้ละโว้พระเจา้อู่ทอง ทรงสถาปนา กรุงศรีอยุธยาเป็ นราชธานีใน พ.ศ.1893 พระเจ้าอู่ทองได้ทรงสร้างเมืองใหม่ข้ึน ที่หนองโสน (บึงพระราม)โดยก่อนหนา้ที่พระเจา้อู่ทองจะมาสร้างเมือง ใหม่น้ีพระองค์ได้ประทับ อยู่ที่เมืองอโยธยา มีหลกัฐานบางชิ้นปรากฏว่า ที่พระองค์ตอ้งทรงยา้ยมา จากเมืองอโยธยาน้ัน อาจเป็นเพราะในเมืองเกิด อหิวาตกโรคระบาด จึงพาไพร่พลอพยพขา้มฝั่งแม่น้า เพื่อหนีจากโรค ระบาด แลว้มาสร้างกรุงศรีอยธุยาแต่มีอีกความเห็นหน่ึงวา่พระเจา้อู่ทองอาจจะทรงอพยพผูค้นมา จากเมืองในแถบสุพรรณบุรีเนื่องจากพระองค์เป็นราชบุตรเขยของเจ้าเมืองน้ัน แต่ไม่ปรากฏ หลกัฐานแน่ชดัวา่พระองคส์ืบเช้ือสายมาจากราชวงศใ์ด หรือมีถิ่นกา เนิดอยทู่ ี่ใด กรุงศรีอยธุยามีความเหมาะสมในการเป็นราชธานีเพราะต้งัอยูใ่นบริเวณที่ราบลุ่มกวา้ง ใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะส าหรับการเพาะปลูก มีแม่น้ าไหลผ่านถึง 3 สาย คือ แม่น้ า เจ้าพระยา แม่น้ าป่าสัก และแม่น้ าลพบุรีทา ให้สะดวกในการคมนาคม และการติดต่อค้าขาย นอกจากน้ียงัสามารถใชแ้ม่น้า เป็นคูเมืองธรรมชาติป้องกนัการรุกรานของขา้ศึกไดเ้ป็นอยา่งดี การสถาปนาอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
44 1. ความเข้มแข็งทางการทหาร สันนิษฐานวา่พระเจา้ อู่ทองทรงเป็นพระราชโอรสของกษตัริยผ์คู้รองแควน้ละโว้ หรือเป็นเจา้เมืองที่มาจากเมืองอู่ทองอยา่งใดอยา่งหน่ึงจึงมี กา ลงัทหารเขม้แขง็มีกา ลงัไพร่พลมากและมีลกัษณะเป็น ผู้น าทางการเมืองที่ผู้คนยอมรับ จึงให้การสนับสนุนในด้าน กา ลงัคนอยา่งเตม็ที 2. การด าเนินนโยบายทางการทูตทเี่หมาะสม กบั ดินแดนใกลเ้คียง พระเจา้อู่ทองไดอ้ภิเษกสมรสกบัเจา้หญิง แห่งแควน้ สุพรรณภูมิจึงเป็นการเชื่อมโยงแคว้นละโว้และแคว้นสุพรรณภูมิให้เป็ นอันหนึ่ง อันเดียวกนัทา ใหท้ ้งัสองอาณาจกัรลดการแข่งขนัทางการเมืองซ่ึงกนัและกนั 3. การปลอดอ านาจทางการเมืองภายนอกในขณะน้นัอาณาจกัรสุโขทยัของคนไทยดว้ยกนั ที่อยู่ทางตอนเหนือ และอาณาจกัรเขมร ซ่ึงอยู่ทางทิศตะวนัออก ค่อย ๆ เสื่อมอา นาจลง จึงไม่ สามารถสกดัก้นัการก่อต้งัอาณาจกัรใหม่ของคนไทยได้ 4. ท าเลที่ตั้ง มีความเหมาะสมในดา้นยุทธศาสตร์กรุงศรีอยุธยามีแม่น้า ไหลผา่น ถึง 3 สาย ไดแ้ก่แม่น้า เจ้าพระยา ป่ าสักและลพบุรี ทา ให้เป็นที่ราบลุ่มต่า ข้าศึกจะล้อมกรุงศรีอยุธยาได้เฉพาะ ฤดูแลง้เท่าน้นัเมื่อถึงฤดูน้า หลาก น้า จะท่วมรอบตวัเมืองทา ใหข้า้ศึกตอ้งถอนทพักลบัไป 5. ความอุดมสมบูรณ์ทางด้านเศรษฐกิจ ลักษณะภูมิประเทศของอยุธยาเป็ นที่ราบที่อุดม สมบูรณ์จึงเป็นแหล่งอู่ขา้วอู่น้า ที่ส าคญั ประกอบกบัอยู่ใกลป้ากแม่น้า เจา้พระยา มีการคมนาคม ทางน้า สะดวกทา ใหส้ามารถติดต่อคา้ขายกบัต่างประเทศไดง้่าย ปัจจัยทสี่นับสนุนให้การสถาปนากรุงศรีอยุธยาประสบความส าเร็จ กรุงศรีอยุธยา ที่มา http://variety.teenee.com/world/76501.html