45 กรุ งศรี อยุธยาปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิ ทธิราชย์ พระมหากษัตริ ย์ทรง เป็ น พระประมุข ที่มีอ านาจสูงสุดใน การปกครอง แผ่นดิน ทรงปกครองแผ่นดินด้วย ทศพิธราชธรรม พระองค์ทรง มอบหมายให้พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางปกครอง ดูแลเมือง ลูกหลวง หลานหลวง ต่างพระเนตรพระกรรณ ส่วนเมืองประเทศราชมีเจ้านายใน ราชวงศ์เก่า ปกครองข้ึนตรงต่อเมืองราชธานีศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ (พ.ศ.๑๙๙๑-๒๐๓๑) ทรงปฏิรูปการปกครอง ลดทอนอ านาจหัวเมือง ทรงแยกการบริหาร ราชการแผ่นดิน ออกเป็ น ๒ ฝ่ าย คือฝ่ ายทหารมีสมุหพระกลาโหม เป็ นผู้รับผิดชอบ ฝ่ ายพลเรือนมีสมุหนายกเป็ นผู้รับผิดชอบ ในฝ่ ายพลเรือน น้ันยงัแบ่งออกเป็น ๔ กรมหรือ จตุสดมภ์คือ สี่เสาหลัก ได้แก่กรมเวียงหรือ นครบาลท าหน้าที่ปกครองดูแลบ้านเมือง กรมวังหรื อธรรมมาธิการณ์ ท าหน้าที่ดูแลกิจการ พระราชวังกรมคลังหรือโกษาธิบดีทา หน้าที่ดูแลด้านการค้าและการต่างประเทศ กรมนา หรือ เกษตราธิการท าหน้าที่ดูแลเรื่ องเกษตรกรรม ซึ่งรูปแบบการปกครองน้ีใช้สืบต่อมาตลอด สมัยอยุธยาการปกครองของกรุงศรีอยุธยาตลอดระยะเวลาแห่งการเป็นราชธานีอนัยาวนาน มีการ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองแตกต่างกันแต่ละยุคแต่ละสมัย ซ่ึงสามารถแบ่งรูปแบบ การปกครองได้เป็ น 3 ช่วงคือ สมยัอยธุยาตอนตน้ สมยัอยธุยาตอนกลางและสมยัอยธุยาตอนปลาย การปกครองสมยัอยุธยา พระมหากษตัริย ์ กรุงศรีอยุธยา มี5 ราชวงศ์ คือ
46 ล าดับ พระนาม พระราช สมภพ เริ่ม ครองราชย์ สิ้นราชการ สวรรคต รวมปี ครองราชย์ ราชวงศอ์ู่ทอง(คร้ังที่1) 1 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พ.ศ. 1855 พ.ศ. 1893 พ.ศ. 1912 20 ปี (พระเจา้อู่ทอง) 2 สมเด็จพระราเมศวร พ.ศ. 1885 พ.ศ. 1912 พ.ศ. 1913 พ.ศ. 1938 ไม่ถึง 1 ปี ราชวงศ์สุพรรณภูมิ(คร้ังที่ 1) 3 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 พ.ศ. 1853 พ.ศ. 1913 พ.ศ. 1931 18 ปี (ขนุหลวงพะงวั่) 4 สมเด็จพระเจ้าทองลัน (เจ้าทองจันทร์) พ.ศ. 1917 พ.ศ. 1931 7 วัน ราชวงศอ์ู่ทอง(คร้ังที่2) - สมเด็จพระราเมศวร พ.ศ. 1885 พ.ศ. 1931 พ.ศ. 1938 7 ปี 5 สมเด็จพระรามราชาธิราช พ.ศ. 1899 พ.ศ. 1938 พ.ศ. 1952 ไม่ปรากฏ 15 ปี ราชวงศ์สุพรรณภูมิ(คร้ังที่2) 6 สมเด็จพระอินทราชา พ.ศ. 1902 พ.ศ. 1952 พ.ศ. 1967 15 ปี (เจ้านครอินทร์) 7 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) พ.ศ. 1929 พ.ศ. 1967 พ.ศ. 1991 24 ปี 8 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. 1974 พ.ศ. 1991 พ.ศ. 2031 40 ปี 9 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พ.ศ. 2005 พ.ศ. 2031 พ.ศ. 2034 3 ปี 10 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 พ.ศ. 2015 พ.ศ. 2034 พ.ศ. 2072 38 ปี 11 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (หน่อพทุธางกรู ) พ.ศ. 2040 พ.ศ. 2072 พ.ศ. 2076 4 ปี 12 พระรัษฎาธิราช พ.ศ. 2072 พ.ศ. 2077 5 เดือน 13 สมเด็จพระไชยราชาธิราช พ.ศ. 2045 พ.ศ. 2077 พ.ศ. 2089 12 ปี รายพระนาม
47 ล าดับ พระนาม พระราช สมภพ เริ่ม ครองราชย์ สิ้นราชการ สวรรคต รวมปี ครองราชย์ 14 พระยอดฟ้า (พระแกว้ฟ้า) พ.ศ. 2078 พ.ศ. 2089 พ.ศ. 2091 2 ปี - ขุนวรวงศาธิราช พ.ศ. 2049 พ.ศ. 2091 42 วัน (ไม่ไดร้ับ การยกยอ่ง แต่ผา่นพระ ราชพิธีบรม ราชาภิเษก) 15 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พระเจ้าช้างเผือก) พ.ศ. 2048 พ.ศ. 2091 พ.ศ. 2111 20 ปี 16 สมเด็จพระมหินทราธิราช พ.ศ. 2082 พ.ศ. 2111 7 สิงหาคม พ.ศ. 2112 1 ปี เสียกรุงคร้ังที่1 ราชวงศ์สุโขทัย พ.ศ. 2059 พ.ศ. 2112 พ.ศ. 2133 21 ปี 17 สมเด็จพระมหาธรรม ราชาธิราช (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 1) 18 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2) พ.ศ. 2098 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 25 เมษายน พ.ศ. 2148 15 ปี 19 สมเด็จพระเอกาทศรถ (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 3) พ.ศ. 2104 25 เมษายนพ.ศ. 2148 พ.ศ. 2153 5 ปี 20 พระศรีเสาวภาคย์ (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 4) พ.ศ.2153 พ.ศ.2154 1ปี 2 เดือน 21 สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (สมเด็จพระบรมราชาที่ 1) พ.ศ. 2125 พ.ศ. 2154 12 ธันวาคม พ.ศ. 2171 17 ปี 22 สมเด็จพระเชษฐาธิราช พ.ศ. 2156 พ.ศ. 2171 พ.ศ. 2173 1 ปี 8 เดือน 23 พระอาทิตยวงศ์ พ.ศ. 2161 พ.ศ. 2173 สิ้นราชการพ.ศ. 2173 สวรรคต พ.ศ.2178 36 วัน
48 ล าดับ พระนาม พระราช สมภพ เริ่ม ครองราชย์ สิ้นราชการ สวรรคต รวมปี ครองราชย์ ราชวงศ์ปราสาททอง พ.ศ. 2143 พ.ศ. 2173 พ.ศ. 2199 25 ปี 24 สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่5) 25 สมเด็จเจ้าฟ้าไชย (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 6) - พ.ศ. 2199 9 เดือน 26 สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา (พระสรรเพชญ์ที่ 7) - พ.ศ. 2199 พ.ศ. 2199 2 เดือน 17 วัน 27 สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3) พ.ศ. 2175 พ.ศ. 2199 พ.ศ. 2231 32 ปี ราชวงศ์บ้านพลูหลวง พ.ศ. 2175 พ.ศ. 2231 พ.ศ. 2246 15 ปี 28 สมเด็จพระเพทราชา 29 สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (สมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี) (พระเจ้าเสือ) พ.ศ. 2204 พ.ศ. 2246 พ.ศ. 2251 5 ปี 30 สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 (สมเด็จพระเจา้อยหู่วัทา้ยสระ) พ.ศ. 2221 พ.ศ. 2251 พ.ศ. 2275 24 ปี 31 สมเด็จพระเจา้อยหู่วับรมโกศ พ.ศ. 2223 พ.ศ. 2275 พ.ศ. 2301 26 ปี 32 สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) พ.ศ. 2265 พ.ศ. 2301 พ.ศ. 2339 2 เดือน 33 สมเด็จพระที่นงั่สุริยาศน์อมัริ นทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) พ.ศ. 2252 พ.ศ. 2301 สิ้นครองราชย์7 เมษายน พ.ศ. 2310 สวรรคต 9 ปี เสียกรุงคร้ังที่2
49 3.4 อาณาจักรธนบุรี การสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสามารถกู้เอกราชคืนมาจากพม่าแล้ว สภาพ บา้นเมืองของกรุงศรีอยธุยาทรุดโทรมมากไม่เหมาะสมที่จะใชเ้ป็นเมืองหลวงอีกต่อไป กรุงศรีอยุธยาถูกทา ลายชา รุดทรุดโทรมมากยากแก่การบูรณะใหด้ีดงัเดิมได้ กรุงศรีอยุธยามีบริเวณกวา้งขวางมากเกินกวา่กา ลงัของพระองคท์ ี่มีอยู่เพราะ ผูค้นอาศยัอยู่ตามเมืองน้อย ส่วนมากหลบหนีพม่าไปอยู่ตามป่า จึงยากแก่ การรักษาบ้านเมืองได้สะดวกและปลอดภัย ขา้ศึกโดยเฉพาะพม่ารู้ลู่ทางภูมิประเทศและจุดอ่อนของกรุงศรีอยุธยาเป็น อยา่งดีทา ใหไ้ทยเสียเปรียบในดา้นการรบ ที่ต้งัของกรุงศรีอยุธยาเป็นอนัตรายท้งัทางบกและทางน้า ขา้ศึกสามารถโจมตี ได้สะดวก กรุงศรีอยุธยาต้งัอยู่ห่างจากปากแม่น้า มากเกินไป ทา ให้ไม่สะดวกในการ ติดต่อคา้ขายกบัต่างประเทศ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงทรงตัดสินใจเลือกเอากรุงธนบุรีเป็ นราชธานีด้วยสาเหตุ สา คญัต่อไปน้ี
50 กรุงธนบุรีเป็นเมืองขนาดเล็กเหมาะสมกบักา ลงัป้องกนัท้งัทางบกและทางน้า กรุงธนบุรีต้งัอยปู่ากแม่น้า เจา้พระยา สะดวกในการติดต่อคา้ขายกบัต่างประเทศ สะดวกในการควบคุมการลา เลียงอาวุธและเสบียงต่างๆ ไปตามหัวเมืองหรือ จากหวัเมืองเขา้มาช่วย เมื่อเกิดศึกสงคราม ถ้าหากข้าศึกยกกา ลังมามากเกินกว่ากา ลังของทางกรุงธนบุรีจะตา้นทานได ้ ก็สามารถยา้ยไปต้งัมนั่ที่จนัทบุรีได้โดยอาศยัทางเรือไดอ้ยา่งปลอดภยั กรุงธนบุรีมีป้อมปราการอยู่ท้ังสองฟากแม่น้ า ที่สร้างไว้ต้ังแต่สมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราชหลงเหลืออยู่สามารถใช้ในการป้องกนัขา้ศึกได้ บา้งที่จะเขา้มารุกรานโดยยกกา ลงัมาทางเรือ คือ ป้อมวิไชยประสิทธ์ิและป้อม วิไชเยนทร์ การกอบกู้อสิรภาพ พระเจ้าตากใชเ้มืองจนัทบุรีเป็นแหล่งตระเตรียมการที่จะเขา้มากอบกูก้รุงศรีอยุธยาให้พน้ จากอา นาจของพม่า ระหว่างฤดูฝน ได้ต่อเรือรวบรวมกา ลงัผูค้นและอาวุธ พระเจ้าตากพิจารณา วา่ ในระยะน้นัมีผูค้นต้งัตวัเป็นใหญ่หลายชุมนุมดว้ย ผูท้ี่จะเป็นใหญ่ไดจ้า เป็นจะตอ้งกา จัดอ านาจ พม่าใหพ้น้จากราชธานีเสียก่อน ดงัน้นัเมื่อสิ้นฤดูฝนพระเจ้าตากได้ควบคุมเรือรบ 100 ล า รวบรวม ไพร่พล ประมาณ 5,000 คน ยกกองทพัเรือออกจากเมืองจนัทบุรีมาถึงปากแม่น้า เจา้พระยาในเดือน 12 ตีเมืองธนบุรีและจบัตวันายทองอินประหารชีวิตแล้วข้ึนไปยงัค่ายโพธ์ิสามตน้ สามารถขบั ไล่ พม่าออกไปจากกรุงศรีอยุธยาไดเ้ป็นผลส าเร็จ หลงัจากที่ไทยตกเป็นเมืองข้ึนของพม่าเพียง 7 เดือน เท่าน้นั สมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชสามารถกูเ้อกราชและรวบรวมคนไทย ต้งัเป็นอาณาจกัร ไทยใหเ้ป็นปึกแผน่ ได้เป็นเพราะ 1. พระปรีชาสามารถในการรบของพระองค์ 2. พระปรีชาสามารถในการผกูมดัน้า ใจคน จูงใจผอู้ื่น ทรงมีความสุขมุรอบคอบ และเด็ดเดี่ยว 3. ทหารของพระองคม์ ีความสามารถ มีระเบียบวินยักลา้หาญ มีความเป็นน้า หน่ึงใจเดียวกนั ในอนัที่จะสร้างความมนั่คง และความปลอดภัยให้ประเทศโดยอุทิศตัวเพื่อประเทศชาติ อยา่งแทจ้ริง เมื่อต้งักรุงธนบุรีเป็นราชธานีอาณาจกัรของสมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราช มีอาณาเขตเพียง กรุงธนบุรีหัวเมืองรายรอบและหัวเมืองชายทะเลตะวนัออกเท่าน้ัน คร้ังเมื่อพระองค์ปราบปราม ชุมนุมต่างๆเป็นผลส าเร็จแลว้อาณาจกัรของพระองคก์ ็กวา้งขวางข้ึน การรวบรวมอาณาเขตภายใน ราชอาณาจักรของพระองค์ ใช้เวลาเพียง 3 ปีเท่าน้นับา้นเมืองก็กลบัสู่สภาพปกติอีกคร้ัง
51 การขยายอาณาเขต ด้านการปกครอง ดา เนินรอยตามแบบแผนของสมยัอยธุยาตอนปลายโดยแบ่งการปกครองออกเป็น 1.การปกครองส่วนกลางหรือราชธานีอยใู่นความรับผดิชอบของอัครมหาเสนนาบดี ท้งั 2 ตา แหน่งคือ สมุหกลาโหม ดูแลฝ่ ายทหาร และสมุหนายก ดูแลฝ่ายพลเรือน กบัตา แหน่ง เสนาบดีจตุสดมภ์อีก 4 ตา แหน่งคือกรมเวยีงกรมวงักรมคลงักรมนากรมท้งั 4 น้ีมีหนา้ที่คือ กรมเวียง มีหน้าที่ปกครองท้องที่ บังคับบัญชาบ้านเมือง และรักษาความ สงบเรียบร้อยของบ้านเมือง กรมวัง มีหนา้ที่เกี่ยวกบัราชสา นกัและพิจารณาพิพากษาคดีความของ ราษฎร
52 กรมคลัง มีหนา้ที่รับจ่ายและเก็บรักษาพระราชทรัพยท์ ี่ไดม้าจากส่วยอากร บงัคบับญัชากรมท่าซ่ึงเกี่ยวขอ้งกบัการติดต่อคา้ขายกบัต่างประเทศและมี หนา้ที่เกี่ยวกบัพระคลงัสินค้าการค้าส าเภาของหลวง กรมนา มีหน้าที่ดูแลการทา นา เก็บข้าวข้ึนฉางหลวง และพิจารณาคดี ความเกี่ยวกบัเรื่องโคกระบือและที่นา คา วา่ “กรม” ในที่น้ีหมายความ คลา้ยกบั “กระทรวง”ในปัจจุบัน 2.การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งออกเป็น การปกครองหัวเมืองชั้นใน ที่อยรู่ายรอบราชธานีเรียกวา่ เมืองชั้นจัตวา มีผปู้กครองเรียกวา่ “ผรู้้ัง” ปฏิบตัิตามคา สั่งของเสนาบดีจตุสดมภใ์น ราชธานี การปกครองหัวเมืองภายในราชอาณาจักรเรียกวา่ หัวเมืองชั้นนอก หรือ เมืองพระยามหานครเป็นเมืองที่อยนู่อกเขตราชธานีออกไป แบ่งออกเป็ น เมืองช้นเอก โท ตรี ั การปกครองหัวเมืองประเทศราช ที่อยหู่ ่างไกลออกไปถึงชายแดน มีอาณาเขตติดต่อกบั ประเทศอื่น ตอ้งส่งเครื่องราชบรรณาการมาใหต้าม กา หนด ไดแ้ก่กมัพูชาลาวเชียงใหม่และนครศรีธรรมราช ด้านกฎหมายและการศาล กฎหมายและวิธีพิจารณาคดีความในศาลสมัยธนบุรีใชต้ามแบบสมยัอยธุยาเท่าที่มี หลกัฐานปรากฏอยมู่ ีเพียงฉบบัเดียวเกี่ยวกบัการสักเลกคือ การลงทะเบียนชายฉกรรจ์เพื่อรับใช้ใน ราชการเรียกวา่ ไพร่หลวงการสักเลกในสมยัน้นัสา คญัมากเพราะเป็นระยะเวลาของการป้องกนั และแผอ่า นาจ เพื่อให้ประเทศชาติมนั่คง ส่วนการศาลมกัใชบ้า้นของเจา้นาย บา้นของตุลาการ บางคร้ัง สมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชก็ทรงเป็นผพู้ ิพากษาคดีเองและทรงใชศ้าลทหารและพระบรม ราชโองการเป็ นกฎหมายใช้ในการตัดสินคดีความด้วย ด้านเศรษฐกิจ หลงัจากเสียกรุงศรีอยธุยาแก่พม่าแลว้ สภาพเศรษฐกิจของไทยตกต่า มากประชาชนยากจน อตัคดัฝืดเคืองอาหารหายากและราคาแพง เนื่องจากในขณะที่เกิดศึกสงครามผูค้นต่างพากนัหนีเอา
53 ตวัรอด การทา ไร่ทา นาตอ้งหยดุชะงกัลง สมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชทรงแกไ้ขปัญหาเฉพาะหนา้ ในระยะที่ต้งักรุงธนบุรีใหม่ๆ ดว้ยการจ่ายพระราชทรัพยซ์ ้ือขา้วจากพ่อคา้ต่างประเทศในราคาสูง เพื่อแจกจ่ายประชาชน และชักชวนให้ราษฎรกลบัมาต้งัภูมิลา เนาอยู่ตามเมืองต่างๆ ทา มาหากิน ดงัแต่ก่อน นอกจากน้นัสมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราช ยงัส่งเสริมทางดา้นการคา้ขาย มีการส่งเรือ ส าเภาไปค้าขายยังประเทศ อินเดียและประเทศใกล้เคียง ส าหรับสิ่งของที่บรรทุกเรือส าเภาหลวงไป ขาย เช่น ดีบุก พริกไทย ครั่ง ข้ีผ้ึง ไม้หอม ฯลฯ และเมื่อขายสินค้าหมดแล้วก็จะซ้ือสินค้า ต่างประเทศที่ตอ้งการใชใ้นประเทศเช่น ผา้ลายและถว้ยชามมาขายให้แก่ประชาชนอีกต่อหน่ึง ซ่ึง การคา้ขายน้ีเป็นแบบเดียวกบัสมยัอยุธยา คือ อยู่ภายใตก้ารดูแลของพระคลงัสินคา้หรือกรมท่า มีการส่งเสริมใหร้าษฎรทา การเพาะปลูก ทา ใหเ้ศรษฐกิจของประเทศค่อย ๆ ดีข้ึนตามลา ดบั ด้านสังคม สังคมไทยสมยักรุงธนบุรีมีการควบคุมอยา่งเขม้งวด เพื่อเตรียมพร้อมอยูเ่สมอเพราะมีการ ทา ศึกกบัพม่าบ่อยคร้ัง มีการสักเลกบอกชื่อสังกดัมูลนายและเมืองไวท้ี่ขอ้มือไพร่หลวงทุกคน ซ่ึงมี หน้าที่รับใช้ราชการปี ละ 6 เดือน โดยการมารับราชการ 1 เดือน แลว้หยุดไปทา มาหากินของตนอีก 1 เดือนสลบักนัไป เรียกวา่ “การเข้าเดือน ออกเดือน” ไพร่หลวงอีกพวกหน่ึง เรียกวา่ “ไพร่ส่วย” คือ ไพร่หลวงที่ส่งสิ่งของแทนการใชแ้รงงานแก่ราชการ ซ่ึงเป็นพวกที่รับใชแ้ต่เฉพาะเจา้นายที่เป็นขุน นาง ด้านการศึกษา ศูนยก์ลางการศึกษาในสมยัธนบุรีอยู่ที่วดัเด็กผูช้ายเมื่อมีอายุพอสมควร พ่อแม่มกัเอาไป ฝากกบัพระ เมื่อมีเวลาว่างพระก็จะสอนให้อ่านเขียน หนงัสือแบบเรียนที่ใช้คือหนังสือจินดามณี เมื่ออ่านออกเขียนได้แล้ว ก็เรียนแต่งร้อยแก้ว โคลง ฉันท์กาพย์กลอน ศึกษาศพัท์เขมร บาลี สันสกฤต วชิาเลขเรียนมาตราไทย ชงั่ตวงวดัมาตราเงินไทยคิดหนา้ไม้(วิธีการคา นวณหาจา นวน เน้ือไมเ้ป็นยก หรือเป็นลูกบาศก์) การศึกษาด้านอาชีพ พ่อแม่มีอาชีพอะไรก็มกัฝึกให้ลูกหลาน มีอาชีพตามตนเอง โดยฝึกฝนตกทอดกนัมาหลายชั่วอายุคน เช่น วิชาช่างและแกะสลกัช่างป้ัน ช่างถม แพทยแ์ผนโบราณ ฯลฯ ส่วนสตรีประเพณีโบราณไม่นิยมใหเ้รียนหนงัสือ มีนอ้ยคนที่อ่านออกเขียนได้ เด็กผหู้ญิงส่วนมากจะถูกฝึกสอนใหด้า้นการเยบ็ ปักถกัร้อย ทา กบัขา้วการจดับา้นเรือน และมารยาท ของกุลสตรี
54 ด้านศาสนา เมื่อคร้ังเสียกรุงศรีอยธุยาคร้ังที่2 สิ่งสา คญัต่างๆ ในพระพุทธศาสนาถูกทา ลายเสียหายมาก หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงย้ายเมืองหลวงมายังกรุงธนบุรี พระองค์ได้ฟ้ืนฟู ศาสนาข้ึนใหม่โดยชา ระความบริสุทธ์ิของพระสงฆ์พระสงฆ์รูปใดที่ประพฤติไม่อยู่ในพระวินัย ก็ให้สึกออกไปเสีย พระสงฆ์รูปใดประพฤติอยู่ในพระวินัยทรงอาราธนาให้บวชเรียนต่อไป นอกจากน้ีพระองค์ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการสร้างพระอุโบสถ วิหาร เสนาสนะ กุฏิสงฆ์และวดัวาอารามต่าง ๆ เช่น วดั บางยี่เรือเหนือ (วัดราชคฤห์) วัดบางยี่เรือใต้ (วดัอินทาราม) วดับางหวา้ใหญ่ (วดัระฆังโฆษิตาราม) วดัแจ้ง (วดัอรุณราชวราราม) วดัหงส์ (วัดหงส์รัตนาราม) เป็ นต้น นอกจากน้ีเมื่อพระองค์ทราบว่าพระไตรปิฎกมีอยู่ที่ใด ก็ทรงให้นา มาคดัลอกเป็นฉบบั หลวงไวท้ ี่กรุงธนบุรีแล้วส่งต้นฉบับกลับไปเก็บไวท้ ี่เดิม ทรงให้ช่างจารพระไตรปิฎกท้ังจบ ที่สา คญัที่สุดทรงใหอ้ญัเชิญพระแกว้มรกต มาประดิษฐานที่วดัอรุณราชวราราม ด้านศิลปะและวรรณกรรม สมัยกรุงธนบุรีดา้นศิลปะมีไม่ค่อยมากนกัเพราะบา้นเมืองอยูใ่นภาวะสงคราม ถึงกระน้นั พระองคก์ ็ทรงให้มีการละเล่น เพื่อเป็นการบา รุงขวญั ประชาชน ให้หายจากความหวาดกลวัและลืม ความทุกข์ยาก มีขบวนแห่อญัเชิญและสมโภชพระแก้วมรกตเป็นเวลา 7 วัน การประชันละคร ระหวา่งละครผหู้ญิงของเจ้านครศรีธรรมราช และละครหลวง ผลงานทางด้านวรรณกรรมในสมัยน้ัน มีน้อยและไม่สู้สมบูรณ์นัก วรรณกรรมที่มี ชื่อเสียงไดแ้ก่บทพระราชนิพนธ์เรื่อง รามเกียรติ์บางตอน หลวงสรวิชิต (หน) ประพันธ์ลิลิตเพชร มงกุฏและอิเหนาค าฉันท์ นายสวนมหาดเล็ก ประพันธ์โคลงยอพระเกียรติพระเจา้กรุงธนบุรีการไป ติดต่อกบัจีนในปลายรัชสมยัทา ให้มีวรรณกรรมเกิดข้ึนอีกเรื่องหน่ึงคือ นิราศพระยามหานุภาพไป เมืองจีน หรือนิราศเมืองกวางตุ้ง การติดต่อกับประเทศตะวันตก 1. ฮอลันดา ใน พ.ศ. 2313ฮอลันดาจากเมืองปัตตาเวีย (จาการ์ตา) ซึ่งเป็ นสถานีการค้า ของฮอลันดา และแขกเมืองตรังกานูได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อถวายปื นคาบศิลา จ านวน 2,200กระบอก และถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองด้วย
55 3.5อาณาจักรรัตนโกสินทร์ 2. อังกฤษ ใน พ.ศ.2319กปัตนั ฟรานซิส ไลท์ไดน้า ปืนนกสับ จา นวน 1,400กระบอก และสิ่งของอื่นๆ เขา้มาถวายเพื่อเป็นการสร้างสัมพนัธไมตรี 3. โปรตุเกส ใน พ.ศ. 2322แขกมวัร์จากเมืองสุรัต ซ่ึงเป็นเมืองข้ึนของโปรตุเกส นา สินคา้เขา้มาคา้ขายในกรุงธนบุรีและไทยไดส้่งสา เภาหลวงไปคา้ขายยงัประเทศอินเดีย เหตุการณ์ตอนปลายสมัยธนบุรี ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสิ นมหาราช พระองค์ทรงตรากตร าในการสู้รบ เพื่อรักษาและขยายขอบเขตแผน่ดินโดยมิไดว้า่งเวน้จนสามารถขยายเป็นอาณาจกัรใหญ่ในแหลม ทองน้ีได้พระองคท์รงเป็นนกัรบ มิไดท้รงมีโอกาสแมแ้ต่จะเสวยสุขสงบในบ้นั ปลายพระชนม์ชีพ เพราะได้เกิดกบฏพระยาสรรค์ข้ึนก่อน บ้านเมืองวุ่นวาย ดังที่กรมหลวงนริ นทรเทวีบันทึกไว้ ในจดหมายเหตุความทรงจา ของท่านวา่ “เมื่อต้นแผ่นดินเย็นด้วยพระบารมีชุ่มพื้นชื่นผลจนมีแท่น ปลายแผ่นดินแสนร้ อนรุมสุมรากโคนโค่นล้มถมแผ่นดิน ด้วยสิ้นพระบารมีแต่เพียงนั้น” การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อคร้ังยงัดา รงพระยศเป็น สมเด็จ เจา้พระยามหากษตัริยศ์ึกภายหลงัที่ไดท้รงเลิกทพักลบัจากกรุงกมัพูชาเพราะในกรุงธนบุรีเกิดการ จลาจลเมื่อถึงกรุงธนบุรีบรรดาขุนนางนอ้ยใหญ่ท้งัหลายก็พากนัอ่อนนอ้มยอมสวามิภกัด์ิเรียกร้อง ใหแ้กไ้ขวกิฤติการณ์พร้อมกนัน้นัก็พากนัอนัเชิญให้พระองคเ์สด็จข้ึนครองราชยส์มบตัิเป็นพระเจา้ แผ่นดินไทยสืบต่อไป เมื่อวนัที่6 เมษายน พ.ศ.2325 รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จกัรี(นับเป็นวนั เริ่มตน้แห่งราชวงศจ์กัรีทางราชการจึงกา หนดให้วนัที่6 เมษายน ของทุกปี เป็ นวันจักรี เพื่อระลึก ถึงวนัแห่งการสถาปนาราชวงศจ์กัรี)
56 ผังเมืองกรุงเทพมหานครฯ https://kittayaporn29.wordpress.com ภายหลังเมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว รัชกาลที่ 1 ทรงเห็นว่าก่อนจะประกอบพิธี ปราบดาภิเษกเป็นกษตัริย์เห็นว่าควรจะยา้ยราชธานีไปอยู่ฟากตะวนัออกของแม่น้ าเจ้าพระยา เสียก่อน โดยบริเวณที่ทรงเลือกที่จะสร้างพระราชวังน้ัน เคยเป็นสถานีการค้าขายกับ ชาวต่างประเทศในแผน่ดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีนามเดิมวา่ “บางกอก” ซ่ึงในขณะน้นัเป็น ที่อยูอ่าศยัของชาวจีนเมื่อไดท้รงชดเชยค่าเสียหายให้พอสมควรแลว้ทรงให้ชาวจีนยา้ยไปอยู่ตา บล ส าเพ็ง แล้วโปรดเกล้าฯให้สร้างร้ัวไม้แทน ก าแพงข้ึนและสร้างพลับพลาไม้ข้ึนชั่วคราว ด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระราชวินิจฉยัวา่กรุงธนบุรีไม่เหมาะ ที่จะเป็ นราชธานีสืบไป ด้วยสาเหตุหลายประการ คือ 1. พระราชวงัภายในกรุงธนบุรีคบัแคบไม่สามารถขยายเขตพระราชวงัใหก้วา้งขวางออกไป ได้ เพราะมีวัดขนาบ อยู่2 ด้าน คือวัดแจ้งหรือวัดอรุณราชวรารามและวัดท้ายตลาดหรือวัดโมลี โลกยาราม 2.กรุงธนบุรีแต่เดิมน้นัมีอาณาเขตขา้มมาถึงฝั่งตะวนัออก ติดฟากจงัหวดัพระนครบดัน้ีดว้ย มีแม่น้า เจา้พระยาผา่นกลาง มีลกัษณะเป็นเมืองอกแตกแบบเมืองพิษณุโลก ซ่ึงพระองคป์ระทบัสู่ พม่ามาแลว้ทรงเห็นวา่การที่มีแม่น้า อยกู่ลางเมืองน้นัไม่สะดวกแก่การต่อสู้ขา้ศึกยงิ่แม่น้า เจา้พระยา เป็นแม่น้า กวา้งดว้ยแลว้ความไม่สะดวกน้นัยอ่มทวขี้ึน หลายเท่า เพราะทา สะพานขา้ม
57 ไม่ได้แม่น้า ลึกคลื่นมากแมจ้ะมีเรือขา้มก็ขา้มไม่สะดวกเวลามีขา้ศึกมาลอ้ม พระนครจะส่งทหาร ถ่ายเทกนัไปช่วยคนละฟากแม่น้า เป็นการยาก 3.ถา้หากยา้ยพระนครมาต้งัฝั่งตะวนัออกฝั่งเดียวจะไดอ้าศยัแม่น้า เจา้พระยาเป็นคูพระนคร 2 ด้านเพราะที่ตรงน้ีเป็ นแหลม ยื่นออกไป คงท าคูเมืองอีก 2 ดา้นเท่าน้นั ยอ่มเป็นการสะดวกแก่ การป้องกนัพระนครมาก 4. ที่ต้งัพระราชวงัเดิม (กรมอู่ทหารเรือในปัจจุบนั ) เป็นท้องคุง้น้ าเซาะตลิ่งพงัลงเรื่อย ไม่เหมาะแก่การจะสร้างพระราชวงัใหเ้ป็นการถาวรได้ 5.กรุงธนบุรีเป็นเมืองที่มีการสร้างป้อมปราการเอาไวท้ ้งัสองฝั่งแม่น้า โดยเอาแม่น้า ผ่า กลาง (เรียกวา่เมืองอกแตก) เหมือนเมืองพิษณุโลกเมื่อเวลาถูกข้าศึกมาต้งัประชิดแต่การรักษาเมือง คนข้างในจะถ่ายเทก าลังเข้ารบพุ่งรักษาหน้าที่ได้ไม่ทันท่วงทีเพราะต้องข้ามแม่น้ า แต่แม่น้ า เจา้พระยาท้งักวา้งและลึกจะทา สะพานขา้มก็ไม่ได้ทา ให้ยากแก่การรักษาพระนครเวลาขา้ศึกบุก เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เสด็จข้ึนครองราชยแ์ล้วใน วันที่ 21 เมษายน 2325 ได้ยา้ยราชธานีจากกรุงธนบุรีมาอยู่ทางฝั่งตะวนัออกของแม่น้า เจา้พระยา และต้งัชื่อเมืองแห่งใหม่น้ีว่า “กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตาลสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรม ประสิทธ์ิ” หรือที่คนยคุปัจจุบนันิยมเรียกวา่ “กรุงรัตนโกสินทร์” ดว้ยทรงวินิจฉยัวา่บริเวณที่ต้งัราช ธานีใหม่ มีความเหมาะสมหลายประการ ดงัน้ี 1.ทางฝั่งกรุงเทพฯเป็นที่ชยัภูมิเหมาะสมเพราะเป็นหวัแหลมถา้สร้างเมืองแต่เพียงฟากเดียว จะไดแ้ม่น้า ใหญ่เป็นคูเมืองท้งัดา้นตะวนัตกและดา้นใต้เพียงแต่ขดุคลองเป็นคูเมืองแต่ดา้นเหนือ และดา้นตะวนัออกเท่าน้นัถึงแมว้า่ขา้ศึกจะเขา้มาโจมตีก็พอต่อสู้ได้ 2.เนื่องดว้ยทางฝั่งตะวนัออกน้ีพ้ืนที่นอกคูเมืองเดิมเป็นพ้ืนที่ลุ่มที่เกิดจากการต้ืนเขินของ ทะเลขา้ศึกจะยกทพัมาทางน้ีคงทา ไดย้าก ฉะน้นัการป้องกนัพระนครจะไดมุ้่งป้องกนัฝั่งตะวันตก แต่เพียงดา้นเดียว 3.ฝั่งตะวนัออกเป็นพ้ืนที่ใหม่สันนิษฐานวา่ชุมชนใหญ่ในขณะน้นัคงจะมีแต่ชาวจีนที่เกาะ กลุ่มกนัอยจู่ ึงสามารถขยายออกไปไดอ้ยา่งกวา้งขวางและขยายเมืองได้เรื่อย ๆ พระองคท์รงสร้างพระบรมราชวงัใหม่ตามแบบอยา่งการสร้างราชวงัเดิมในสมยัอยธุยา โดยประกอบดว้ยวงัหลวงวงัหนา้และวดัพระศรีศาสดารามหรือวดัพระแกว้ซ่ึงเป็นวดัในพระบรม
58 ราชวงัเช่นเดียวกบัวดัพระศรีสรรเพชญใ์นสมยัอยธุยา แลว้ใหอ้ญัเชิญพระแกว้มรกตจากวัดอรุณ ราชวรารามมาประดิษฐานที่วดัน้ีและพระราชทานนามใหม่วา่ “พระพุทธมหามณีรัตนปฎิมากร” เป็นพระพุทธรูปคู่บา้นคู่เมืองของประเทศไทยจนทุกวนัน้ีนอกจากน้นัยงัมีทุ่งพระเมรุ (สนามหลวง) และสถานที่ส าคัญอื่น ๆ โดยอาณาบริเวณต้งัแต่ริมฝั่งแม่น้า เจา้พระยาจนถึงคูเมืองเดิม ในสมัยธนบุรี (ปัจจุบันคือคลองหลอด) และพระองค์ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองเชื่อมในเขต พระนครคือคลองบางลา พูคลองโอ่งอ่างและโปรดใหขุ้ดคลองเชื่อมคูเมืองเก่ากบัคูเมืองใหม่ และสร้างกา แพงเมือง ประตูเมืองและป้อมปราการข้ึนตามแนวคลองรอบกรุง ท้งยังโปรดให้สร้าง ั ถนน สะพาน และสถานที่อื่นๆ อีกมากมายหลงัจากน้นั ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2325ขณะที่พระองค์ ทรงมีพระชนมายุได้ 45 พรรษาไดท้รงประกอบพิธีปราบดาภิเษกข้ึนเป็นปฐมกษตัริยแ์ห่งราชวงศ์ จกัรีทรงพระนามวา่ “พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดีฯ” แต่ในสมยัปัจจุบันผู้คนนิยม เรียกพระนามวา่ “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” และทรงสถาปนา ตา แหน่งวงัหนา้ (กรมพระราชวงับวรสถานมงคล)และตา แหน่งวงัหลงั(กรมพระราชวงับวรสถาน พิมุข) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงไดร้ับอญัเชิญข้ึนครองราชยใ์น วันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325แต่ในขณะน้นัยงัไม่ไดส้ร้างพระราชวงัใหม่จึงทรงประทบัในพระราชวงั เดิมไปก่อน ต่อมาเมื่อก่อสร้างพระบรมมหาราชวงัและราชธานีแห่งใหม่ทางฝั่งตะวนัออก ของแม่น้า เจา้พระยาเสร็จในปีพ.ศ.2328ก็โปรดฯใหม้ีการสมโภชน์พระนคร และกระท าพิธีปราบดาภิเษกข้ึนเป็นพระมหากษตัริยอ์ีกคร้ัง พระพุทธมหามณีรัตนปฎิมากร ที่มา http://suvarnabhumiairport.com/th/popular-destinations/
59 6.พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์สงบร่มเยน็อยภู่ายใตพ้ระบรมโพธิสมภารของพระมหากษตัริยแ์ห่ง ราชวงศจ์กัรีมานานกวา่ 230 ปีนบัต้งัแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่1 ทรงสถาปนาราชวงศแ์ละข้ึนครองราชยเ์มื่อปีพ.ศ. 2325จวบจนบดัน้ีมีพระมหากษตัริย์ แห่งราชวงศจ์กัรีแลว้ท้งัสิ้น 10รัชกาล รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ข้ึนครองราชย์พ.ศ. 2325 – พ.ศ. 2352) ทรงประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2279 พระราชบิดาทรงพระนาม วา่ออกอกัษรสุนทรศาสตร์พระราชมารดาทรงพระนามวา่ดาวเรือง มีบุตรและ ธิดารวมท้งัหมด 5คน - ด้านการเมืองการปกครอง สถาปนากรุงเทพมหานครเป็ นราชธานี ได้ ทรงชา ระกฎหมายเรียกวา่กฎหมายตรา3 ดวง เสียดินแดนเกาะหมาก (ปี นัง) ใหก้บั ประเทศองักฤษเสียดินแดนมะริด ทวาย ตะนาวศรีใหก้บัพมา่ - ดา้นเศรษฐกิจการคา้ขายกบัต่างประเทศผลประโยชนข์องประเทศ ไทยที่ได้รับ ขณะน้นั ไดจ้ากภาษีอากรเช่น อากรสุราอากรบ่อนเบ้ีย อากรนอนตลาด ภาษีค่าน้า เก็บตามเครื่องมือ - ด้านสังคมและวัฒนธรรม ฟ้ืนฟพูระราชประเพณีเช่น พระราชพิธี บรมราชาภิเษก รัชกาลที่1 ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/
60 รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลยั (ข้ึนครองราชย์พ.ศ. 2352 – พ.ศ. 2367) รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ข้ึนครองราชย์พ.ศ. 2367 – พ.ศ. 2394) ทรงประสูติเมื่อ24กมุภาพนัธ์พ.ศ.2310 ตรงกบัวนัพธุข้ึน 7ค่า เดือน 3 ปีกนุ มีพระนามเดิมวา่“ฉิม” พระองค์ทรงเป็ นพระบรมราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและกรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์พระบรมราชชนนี พันปี หลวง - ด้านการเมืองการปกครอง เจริญสมัพนัธไมตรีกบัโปรตุเกส องักฤษ และจีน เสียดินแดนบนัทายมาศ(ฮาเตียน) ใหก้บัฝรั่งเศส - ดา้นเศรษฐกิจ หา้มคา้ฝิ่น มีการต้งัโรงงานผลิตน้า ตาลทราย มีการค้า สา เภาหลวงไปที่เมืองท่าต่างๆของจีนและเมืองมาเก๊า - ด้านสังคมและวัฒนธรรม (ทรงพระปรีชาทางด้านวรรณกรรม )ขยาย พระบรมมหาราชวงัร้ือฟ้ืนประเพณีเก่า เช่นประเพณีวนัวสิาขบูชา ฯลฯ การใชธ้งชา้ง พระราชนิพนธ์ละครนอก ละครใน สังคายนาบทสวดมนต์ สถาปนาพระสังฆราช - พระบาทสมเดจ็พระนงั่เกลา้เจา้อยหู่วัทรงเป็นพระมหากษตัริยไ์ทยองคท์ ี่3 แห่งราชวงศจ์กัรีเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพทุธเลิศหลา้นภาลยัและ สมเด็จพระศรีสุราลัย ( เจ้าจอมมารดาเรียม ) ประสูติ ณ วันจันทร์ เดือน 4 แรม 10 ค ่า ปี มะแม ตรงกบัวนัที่31 มีนาคม พุทธศักราช 2330 มีพระนามเดิมวา่ “พระองค์ชายทับ” - ด้านการเมืองการปกครอง เกิดสงครามระหวา่งไทย-เวยีงจนัทน์สงครามกบั ญวนยกหมู่บา้นและตา บลเป็นเมือง เช่นหนองคาย ฯลฯ เจริญสมัพนัธไมตรีกบัต่างชาติ ราชทูตไปเมืองจีน สนธิสัญญาเบอร์นีย์เสียดินแดนแสนหวี เมืองพง เชียงตุง ใหก้บัพม่า เสียรัฐเปรัคใหก้บัองักฤษ - ดา้นเศรษฐกิจ (ทรงพระปรีชาทางด้านการค้าถูกขนานนามวา่เจา้สวั) มีการ คา้ขายเรือสา เภา มีความเจริญมงั่คงั่ขดุคลองบางขนุเทียน เพื่อพฒันาดา้น คมนาคม เกบ็ ภาษีอากรแบบใหม่ - ด้านสังคมและวัฒนธรรม สร้างและซ่อมพระบรมมหาราชวงั ปฏิสงัขรณ์และสร้างพระอารามต่าง ๆ มิชชนันารีเขา้มาเผยแผศ่าสนา คริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ หมอบรัดเลย์ออกหนังสือพิมพ์เป็นคร้ังแรก รัชกาลที่3 ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/ รัชกาลที่2 ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/
61 รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( ข้ึนครองราชย์พ.ศ. 2393 - พ.ศ. 2411) รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ข้ึนครองราชย์พ.ศ. 2411 – พ.ศ. 2453) พระบาทสมเดจ็พระจอมเกลา้เจา้อยหู่วัเป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเดจ็พระ พทุธเลิศหลา้นภาลยักบัสมเดจ็พระศรีสุริเยนทรา บรมราชินีประสูติเมื่อวนัพฤหสับดีที่18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ตรงกบั ปีชวด มีพระนามเดิมวา่เจา้ฟ้ามหามาลา - ด้านการเมืองการปกครอง (ทรงปรีชาทางด้านภาษาและดารารศาสตร์) เสียดินแดนสิบ สองปันนา ใหก้บัจีน เสียดินแดนเขมรใหแ้ก่ฝรั่งเศส เสด็จทอดพระเนตรสุริยปุราคาที่ ต าบลหว้ากอจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เซอรจอห์น เบาว์ริง( Sir John Bowring)เข้าท า สนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้า - ดา้นเศรษฐกิจ สนธิสญัญาเบาวร์ิงมีผลใหเ้ศรษฐกิจของประเทศไทย เปลี่ยนแปลงในการจดัเก็บภาษีศุลกากรและเปิดใหม้ีการคา้เสรีพระราชทาน ที่ดินใหช้าวต่างชาติต้งัหา้ง - ด้านสังคมและวัฒนธรรม พิธีบรรจุดวงชะตาพระนคร ส่งสมณะทูตไป ประเทศลงักา สมโภชพระแกว้มรกต พระบาทสมเดจ็พระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัมีพระนามเดิมวา่” เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ” เป็ นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยหู่วัรัชกาลที่4กบัสมเด็จ พระเทพ ศิรินทราบรมราชินี ( สมเด็จพระนางร าเพยภมรภิรมย์ ) พระองค์ประสูติ เมื่อวนัที่20กนัยายน พ.ศ.2396 ตรงกบัวนัองัคารแรม 3ค่า เดือน 10 - ด้านการเมืองการปกครอง เปลี่ยนจากกระทรวงเป็นกรม ประกาศต้งักระทรวง 12 กระทรวง ภายหลังยุบรวมเหลือ 10 กระทรวง เสียดินแดน 7 คร้ังเพื่อรักษาแผน่ดินส่วน ใหญ่ไว้ - ดา้นเศรษฐกิจ จดัด้งัธนาคารแห่งแรก สร้างถนนต่าง ๆ สร้างสะพาน เริ่มเปิดการ เดินรถไฟช่วงแรก( เปลี่ยนแปลงระบบสาธารณูปโภคให้ทันสมัย) - ด้านสังคมและวัฒนธรรม พ.ร.บ.เลิกทาส จดัต้งัโรงเรียนหลวงสา หรับราษฎร ต้งั โรงพยาบาลแห่งแรก(โรงพยาบาลศิริราช) จัดเป็ นกระทรวงเดิม มี 12 กระทรวงแกไ้ขจนเหลือ10 กระทรวง รัชกาลที่4 ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/ รัชกาลที่5 ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/
62 รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ข้ึนครองราชย์พ.ศ. 2453 – พ.ศ. 2468) รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ข้ึนครองราชย์พ.ศ. 2468 – พ.ศ. 2477) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้เจา้อยหู่วัทรงพระราชสมภพเมื่อวนัเสาร์ที่1 มกราคม พ.ศ. 2421 พระองค์ทรงเป็ นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัและสมเดจ็พระนางเจา้เสาวภาผอ่งศรี( สมเด็จพระศรีพชัรินทราบ รมราชเทวี) เมื่อยงัทรงพระเยาวท์รงพระนามวา่ “สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ” - ด้านการเมืองการปกครอง ต้งักองเสือป่าฝึกพลเรือนใหรู้้จกัวธิีรบ ไทยเขา้ร่วมรบ ในสงครามโลกคร้ังที่ 1 - ดา้นเศรษฐกิจ จดัด้งัธนาคารออมสิน โปรดเกลา้ใหเ้ลิกหวยก.ข. - ด้านสังคมและวัฒนธรรม จดัต้งัโรงเรียนมหาดเลก็หลวงวชิราวธุวทิยาลยั ประกาศใช้พระราชบัญญัตินามสกุล พระบาทสมเดจ็พระปกเกลา้เจา้อยหู่วัเป็นโอรสองคท์ ี่76 ทรงเป็ น พระโอรสองค์เล็กของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้เจา้อยหู่วัซ่ึงทรง ประสูติแด่สมเด็จพระศรีพชัรินทราบรมราชินีนารถ นบัวา่เป็นพระราชโอรส องค์เล็กสุด ประสูติ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 ตรงกบัวนัพธุแรม 14 ค ่า เดือน 11 ปีมะเส็ง ทรงพระนามเดิมวา่ ” เจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดช กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ” - ด้านการเมืองการปกครอง ต้งัอภิรัฐมนตรีสภา เสนอโครงร่าง รัฐธรรมนูญ การปฏิวัติคณะราษฎร สงครามโลกคร้ังที่ 1 - ดา้นเศรษฐกิจ ตัดงบประมาณรายจ่ายของกระทรวง ทบวงกรมต่างๆ เปิ ดสะพานพระราม 6 - ด้านสังคมและวัฒนธรรม เปิ ดสถานีวทิยกุระจายเสียงทวไปส าหรับ ั่ ประชาชน ปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามในการฉลองพระนครครบ 150 ปี รัชกาลที่6 ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/ รัชกาลที่7 ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/
63 รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (ข้ึนครองราชย์พ.ศ. 2472 – พ.ศ. 2489) รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (ข้ึนครองราชย์พ.ศ. 2489 – 2559) พระบาทสมเดจ็พระปรเมนทรมหาอานนัทมหิดล มีพระนามเดิมวา่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กนัยายน พ.ศ.2468 ตรงกบัวนัข้ึน 3 ค ่า เดือน 11 ปี ฉลู ณ เมืองไฮเดลแบร์ก ประเทศเยอรมันนี - ด้านการเมืองการปกครอง พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบบัใหม่ ประเทศไทยเขา้สู่สงครามอินโดจีนในปีพ.ศ. 2483 - ด้านสังคมและวัฒนธรรม แกป้ ัญหาความขดัแยง้ระหวา่งชาวไทยและชาว ไทยเช้ือสายจีนที่สา เพง็แสดงตนเป็นพทุธมามกะเมื่อเสดจ็นิวตัิพระนครคร้ังแรก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ เมืองเคมบริจดจ์มลรัฐเมสสาชูเสท ประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงเป็ นพระราชโอรสาธิราช องค์ที่ 3 ในสมเด็จ พระราชชนนีศรีสังวาลย์ (สมเด็จพระศรีนครินทรทรา บรมราชชนนี ) - ด้านการเมืองการปกครอง เสียดินแดนเขาพระวหิารใหก้บัเขมร พระราชทานรัฐธรรมนูญจ านวน 16 ฉบับ - ดา้นเศรษฐกิจ ทรงมีพระอจัฉริยภาพทางดา้นเศรษฐกิจคือการวาง ปรัชญาเศรษฐกิจที่ยดึคนเป็นที่ต้งัเพื่อนา ไปสู่กระบวนการขบัเคลื่อน เศรษฐกิจและสงัคมที่สร้างสรรคภ์ายใตค้วามสมัพนัธ์ระหวา่งคนกบั เทคโนโลยีคนกบัสงัคม และคนกบัตนเอง (หลกัปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง) - ด้านสังคมและวัฒนธรรม ทรงมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด าริ กวา่ 4,000 โครงการเพื่อช่วยเหลือประชาชน ท้งัในดา้นการเกษตรการฟ้ืนฟู ทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ม ดา้นการแพทยแ์ละสาธารณสุข ดา้นการศึกษา ด้านศาสนา ฯลฯ รัชกาลที่8 ที่มาhttps://minnytawny.wordpress.com รัชกาลที่9 ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/
64 รัชกาลที่ 10 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์บดินทรเทพยวรางกูร (ทรงราชย์ พ.ศ. 2559 – ปัจจุบัน) ปัจจัยที่มีผลต่อการสถาปนาอาณาจักรไทย การสถาปนาอาณาจกัรไทยท้งักรุงสุโขทยักรุงศรีอยธุยากรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ลว้นเกิดจากปัจจยัที่แตกต่างกนั โดยปัจจยัหลกัๆ ไดแ้ก่ปัจจยัทางภูมิศาสตร์ปัจจยัทางการเมือง และประวัติศาสตร์ 1. กรุงสุโขทัย(พ.ศ. 1792 -2006) ปัจจยัที่มีผลต่อการสถาปนากรุงสุโขทยั ไดแ้ก่ 1) ปัจจัยทางภูมิศาสตร์การเลือกที่ต้งัเมืองหลวงในอดีตส่วนใหญ่มกัใกลแ้ม่น้า แต่เมือง สุโขทยัไม่ไดต้้งัอยรู่ ิมน้า เพราะแม่น้า ยมอยหู่ ่างจากตวัเมืองสุโขทยัไปประมาณ 13กิโลเมตรการ เลือกต้งัเมืองหลวงที่สุโขทยัคงเป็นเพราะสุโขทยัเป็นเมืองสา คญัมาแต่เดิม นอกจากน้ีการที่สุโขทยั ยงัต้งัอยทู่ ่ามกลางเทือกเขาถนนธงชยัเทือกเขาตะนาวศรีและเทือกเขาเพชรบูรณ์ทา ใหอ้ากาศไม่ ร้อนมากจนเกินไป และมีลมมรสุมพดัผา่น จึงทา ใหม้ีฝนตกชุกรวมท้งัมีทรัพยากรธรรมชาติอุดม สมบูรณ์ สมเด็จพระเจา้อยหู่วัมหาวชิราลงกรณ์บดินทรเทพยวรางกรู พระราชสมภพ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เป็ นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศจ์กัรีเสด็จข้ึนทรงราชยเ์มื่อวนัที่13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบัน เป็ นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจา้สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ - ด้านการเมืองการปกครอง พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ( ฉบับที่20 ) - ดา้นเศรษฐกิจ ทรงสานต่อหลกัปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ สมเด็จพระชนก - ด้านสังคมและวัฒนธรรม ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ นานปัการท้งัในดา้น การทหารการบิน ดา้นการศึกษา ดา้นการแพทยแ์ละ สาธารณสุข ดา้นการเกษตรและดา้นการต่างประเทศเป็ นต้น รัชกาลที่10 ที่มา https://news.mthai.com/
65 2) ปัจจัยทางการเมืองและประวัติศาสตร์ก่อนการสถาปนาอาณาจกัรสุโขทยัน้นั ในเขต สุโขทยัและศรีสัชนาลยัมีชุมชนที่มีผนู้า ไทยอยกู่ ่อนแลว้เช่น พอ่ขนุศรีนาวนา ถุม เจา้เมืองเชลียง พอ่ขนุผาเมือง เจา้เมืองราด โอรสของพ่อขนุศรีนาวนา ถุม และพอ่ขนุบางกลางหาวเจา้เมืองบางยาง (ต่อมาคือพอ่ขุนศรีอินทราทิตย)์ ต่อมาเมื่อพ่อขนุศรีนาวนา ถุมสิ้นพระชนมล์งขอมสบาดโขลญลา พงซ่ึงอาจเป็นขุนนางเขมรไดเ้ขา้ยดึเมืองศรีสัชนาลยัสุโขทยัพอ่ขนุผาเมืองและพอ่ขนุบางกลาง หาวไดท้รงช่วยกนัต่อสู้ขบัไล่ขอมสบาดโขลญลา พงและพอ่ขนุศรีอินทราทิตยส์ถาปนาอาณาจกัร สุโขทยัข้ึนมา 2. กรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 -2310) ปัจจยัที่มีผลต่อการสถาปนากรุงศรีอยธุยาไดแ้ก่ 1) ปัจจัยทางภูมิศาสตร์เนื่องจากต้งัอยบู่ริเวณที่ราบลุ่มกว้างใหญ่มีแม่น้า ลา คลองหนองบึง มากและมีความอุดมสมบูรณ์ทา ใหก้ารเกษตรกรรมไดผ้ลดีรวมท้งัมีแม่น้า สา คญัหลายสายไหลผา่น คือแม่น้า ลพบุรีทางเหนือแม่น้า ป่าสักทางตะวนัออกแม่น้า เจา้พระยาทางตะวนัตกและทางใต้ กรุงศรีอยธุยาจึงติดต่อกบัหวัเมืองต่าง ๆ ไดส้ะดวกรวมท้งัต้งัอยไู่ม่ไกลจากอ่าวไทย ทา ใหก้รุงศรี อยธุยาพฒันาเป็นเมืองท่าที่ส าคญัของภูมิภาค มีการติดต่อคา้ขายกบัดินแดนต่าง ๆ ท้งัที่อยใู่กลเ้คียง เช่น เขมร มอญ และดินแดนที่อยหู่ ่างไกลเช่น อินเดียจีน อาหรับ และชาติตะวนัตก ทา ใหไ้ดร้ับ วฒันธรรมต่างชาติมาผสมผสานกนั 2) ปัจจัยทางการเมืองและประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยามีพัฒนาการมาจากอาณาจักรละโว้ และสุพรรณบุรีเมื่อพระเจา้อู่ทองมาต้งัเมืองที่กรุงศรีอยธุยาไดท้รงสร้างวงัที่บริเวณเวยีงเหล็กก่อน ต่อมาทรงเห็นวา่บริเวณหนองโสนหรือบึงพระรามในปัจจุบนัมีความเหมาะสมมากกวา่จึงทรงยา้ย วงัไปบริเวณหนองโสน จะเห็นไดว้า่การสถาปนากรุงศรีอยธุยาไดม้ีการพิจารณาท้งัในดา้น ภูมิศาสตร์และมีพฒันาการทางการเมืองการปกครองมาก่อน ทา ใหกรุงศรีอยุธยามีความพร้อม ้ ในการต้งัเป็นอาณาจกัร 3. กรุงธนบุรี(พ.ศ. 2310 -2325) ปัจจยัที่มีผลต่อการสถาปนากรุงธนบุรีไดแ้ก่ 1) ปัจจัยทางภูมิศาสตร์เมื่อสมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชสถาปนาราชธานีแห่งใหม่ยงั เป็นช่วงที่บา้นเมืองไม่มนั่คงการเลือกต้งัเมืองที่กรุงธนบุรีจึงคา นึงถึงปัจจยัทางดา้นความมนั่คงเป็น
66 หลกักรุงธนบุรีอยใู่นจุดยทุธศาสตร์ที่ดีเพราะอยูร่ ิมแม่น้า เจา้พระยาและอยไู่ม่ไกลจากอ่าวไทย หากขา้ศึกยกทพัมาแลว้สู้ไม่ไดก้็สามารถหนีออกทางทะเลได้ 2) ปัจจัยทางการเมือง เมื่อกรุงศรีอยธุยาล่มสลาย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้เป็ นผู้น า ในการขบัไล่กองทพัพม่าและสถาปนาตนข้ึนเป็นกษตัริย์ต้งัราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรีเพราะกรุงศรี อยธุยาเสียหายจนยากจะฟ้ืนคืนดงัเดิม 4. กรุงรัตนโกสินทร์(พ.ศ. 2325 - ปัจจุบัน) ปัจจยัที่มีผลต่อการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ไดแ้ก่ 1) ปัจจัยทางการเมือง ในช่วงปลายสมยัธนบุรีเกิดความไม่สงบข้ึนในบา้นเมืองและ เกิดกบฏพระยาสรรค์ หลังจากปราบกบฏพระยาสรรค์แล้ว สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกได้สถาปนา ราชวงศจ์กัรีและกรุงรัตนโกสินทร์พร้อมกบัสา เร็จโทษสมเด็จพระเจา้ตากสินมหาราชตาม ธรรมเนียมการเมืองในอดีต 2) ปัจจัยทางภูมิศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ถูกต้งัข้ึนบนฝั่งตะวนัออกของแม่น้า เจา้พระยา ตรงขา้มกบักรุงธนบุรีการยา้ยเมืองหลวงมายงัที่ใหม่หรือฝั่งกรุงเทพ ฯ เพราะมีพ้ืนที่กวา้งขวางกวา่ กรุงธนบุรีซ่ึงเหมาะแก่การขยายบา้นเมืองต่อไปในอนาคต นอกจากน้ีกรุงเทพ ฯ ยงัมีที่ต้งัที่ดีในการ ติดต่อคา้ขายกบัต่างชาติเพราะอยใู่กลป้ากอ่าวไทย
67 แบบฝึ กหัด บทที่ 3 เรื่อง การสถาปนาอาณาจักรไทย ค าชี้แจง ให้นักศึกษาตอบค าถามต่อไปนี้ 1.ใหน้กัศึกษายกตวัอยา่งโครงการในพระราชดา ริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) มา 3 โครงการ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ค าชี้แจง ให้นักศึกษาดูภาพทกี่า หนดให้แล้วตอบค าถามในประเด็นที่ก าหนด ภาพ อาณาจักร ผู้ก่อต้ัง ช่วงเวลา(พ.ศ.) ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ...................................
68 แบบฝึ กหัดท้าย บทที่3 การสถาปนาอาณาจักรไทย 1. ค าชี้แจง ให้นกัศึกษาอ่านข้อความ แล้วน าตัวอักษร ก-ญ ไปเติมหน้าข้อความ ข้อ1-10 ให้มี ความสัมพนัธ์กนั 1.…….จัดระเบียบการปกครองแบบจตุสดมภ์ 2.…….ผู้ประดิษฐ์อักษรไทย 3.….…หลงั่ทกัษิโณทกเพื่อประกาศอิสรภาพ 4.…….ราชบุตรเขย ชาวมอญ ในพอ่ขนุรามคา แหง 5.........พระราชโอรสของพอ่ขุนศรีนาวนา ถุม 6.….…เงินตราที่มีค่านอยที่สุด ้ ในสมัยสุโขทัยท าจากหอย 7.........ฐานะของกษตัริยเ์ปลี่ยนจาก พอ่ขนุเป็น พระยา (พญา) 8.…….การปกครองในสมัยสุโขทัย 9.….…เป็ นเขื่อนที่สร้างข้ึนจากดินเพื่อการชลประทาน 10...….แผอ่ ิทธิพลดา้นศิลปะการท าเครื่องเคลือบ เครื่องสังคโลก 2. ค าชี้แจง เลือกค าตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงค าตอบเดียว 1. ขอ้ใดไม่ใช่แม่น้า สามสายที่รายรอบกรุงศรีอยธุยา ก. แม่น้า เจา้พระยา ข. แม่น้า ปราจีน ค. แม่น้า ป่าสัก ง. แม่น้า ลพบุรี 2. ข้อใดเป็ นเหตุผลที่เลือกกรุงศรีอยุธยาเป็ นศูนย์กลาง ก. มีลักษณะเอ้ือประโยชน์ต่อความมนั่คงของอาณาจักร ข. มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะต่อการปลูกขา้ว ค. เป็นศูนยก์ลางในการติดต่อคมนาคม ง. ถูกทุกข้อ 3. การปกครองของอาณาจักรอยุธยาเป็ นแบบใด ก. ราชาธิปไตย ข. เทวราชา ค. ประชาธิปไตย ง. สมบูรณาญาสิทธิราช ก. เบ้ีย ข. จีน ค. พอ่ ปกครองลูก ง. สรีดภงส์ จ. พระเจา้ฟ้ารั่ว ฉ. พอ่ขนุผาเมือง ช. พระเจา้อู่ทอง ซ. พอ่ขนรามค าแหงุ ฌ. รัชสมัยพระยาเลอไท ญ. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 4. สมัยอยุธยามีราชวงศ์และ พระมหากษตัริยจ์า นวนเท่าใด ก. 7 ราชวงศ์, 33 พระองค์ ข. 7 ราชวงศ์, 34 พระองค์ ค. 5 ราชวงศ์, 33 พระองค์ ง. 5 ราชวงศ์, 34 พระองค์ 5. กษัตริย์พระองค์ใดเป็ นผู้สถาปนากรุงศรี อยุธยา ก. สมเด็จพระสุริโยทัย ข. สมเด็จพระรามาธิบดีที่1 ค. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ง. สมเด็จพระมหาธรรมราชา 6. อาณาจกัรกรุงธนบุรีมีอายุรวมกี่ปี ก. 15 ปี ข. 20 ปี ค. 25 ปี ง. 30 ปี
69 7.กรุงธนบุรีมีพระมหากษตัริยก์ี่พระองค์ ก.1 ข. 2 ค. 3 ง. 4 8. บุคคลใดเป็ นผู้สถาปนากรุงธนบุรี ก. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ข. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ค. สมเด็จพระเจา้อู่ทอง ง. สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร 9.รัฐบาลไดป้ระกาศใหว้นัที่เท่าไรของทุกปี เป็ น ’’ วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช’’ ก. 15 ตุลาคม ข. 28 ตุลาคม ค. 15 ธันวาคม ง. 28 ธันวาคม 10. พระเจ้าตากสินทรงแกป้ ัญหาการขาดแคลนขา้ว ด้วยวิธีใด ก. น าเข้าจากจีน ข.ขา้ราชการช่วยเกณฑ์แรงงานปีละ2คร้ัง ค. นา สิ่งของหายากแลกขา้วกบัชาวต่างชาติ ง. ถูกทุกข้อ 11.ราชธานีใหม่ที่รัชกาลที่1 โปรดใหส้ร้างข้ึน บริเวณใด ก. ทิศใต้ของกรุงธนบุรี ข.ฝั่งตะวนัออกของแม่น้า เจา้พระยา ค. ทิศเหนือของกรุงธนบุรี ง.ฝั่งตะวนัตกของแม่น้า เจา้พระยา 12.สถานที่ก่อสร้างพระบรมมหาราชวงัในราชธานีแห่ง ใหม่เดิมเคยเป็นที่อยูอ่าศยัของชนชาติใดมาก่อน ก. ชนชาติจีน ข. ชนชาติมอญ ค. ชนชาติญวน ง. ชนชาติตะวันตก 13.พระมหากษัตริย์ของไทยที่ได้รับการถวายสมัญญานาม “มหาราช” ต่อทา้ยพระนาม คือรัชกาลใดบา้ง ก. รัชกาลที่ 1 , รัชกาลที่ 3 , รัชกาลที่ 5 ข. รัชกาลที่ 1 , รัชกาลที่ 5 , รัชกาลที่ 9 ค. รัชกาลที่ 1 , รัชกาลที่ 5 , รัชกาลที่ 6 ง. รัชกาลที่ 1 , รัชกาลที่ 4 , รัชกาลที่ 9 14.พระพุทธรูปส าคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ที่ประดิษฐาน ในวดัพระแกว้ (วดัพระศรีรัตนศาสดาราม)คือองคใ์ด ก. พระพุทธสิหิงค์ ข. พระพุทธชินราช ค. พระแกว้มรกต (พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร) ง. พระศรีศากยมุนี 15.ข้อใด ไม่ใช่เหตุผลในการยา้ยราชธานีมาอยฝู่ ั่งบางกอก ของรัชกาลที่ 1 ก.กรุงธนบุรีเป็นเมืองอกแตก มีแม่น้า ผา่กลางป้องกนั ข้าศึกยาก ข.พระราชวังเดิมในกรุงธนบุรีมีวัดขนาบข้างท าให้ขยาย ได้ยาก ค.ฝั่งบางกอกมีพระราชวงัและป้อมปราการพร้อมอยแู่ลว้ ไม่ตอ้งสร้างใหม่ ง.ฝั่งบางกอกมีพ้ืนที่กวา้งขวางสามารถขยายพระนครได้ เรื่อย ๆ
70
71 บทที่ 4 สัญลักษณ์ของชาติไทย “ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็ นสัญลักษณ์ของความเป็ นไทย เราจงร่วมใจกนัย ื นตรงเคารพธงชาติด้วยความภาคภูมใิจในเอกราช และความเสียสละของบรรพบุรุษไทย” 3.1 ธงชาติไทย ประวัติธงชาติไทย ประวตัิธงชาติไทย สมัยโบราณ จนถึงปัจจุบัน สมัยโบราณ รูปภาพ ธงแดงเกล้ียง สา หรับใชเ้ป็นที่หมายของเรือสยามโดยทวั่ ไป (ยงัไม่ใช่ธงชาติสยาม) นบัต้งัแต่สมยักรุงศรีอยธุยา ตามหลกัฐานต่าง ๆ ปรากฏวา่ต้งัแต่สมยัโบราณไทยเรายงัไม่มีธงชาติโดยเฉพาะ เมื่อเวลา จัดกองทัพไปท าสงคราม จะใช้ธงสีต่าง ๆ ประจ าทัพเป็นเครื่องหมายทัพละสีต่อมาเมื่อมี การเดินเรือค้าขายกับต่างประเทศทางตะวนัตกในสมัยกรุ งศรี อยุธยา ได้ใช้ธงสีแดงติดเป็ น เครื่องหมายว่าเป็นเรือสินคา้ของไทย จดหมายเหตุของชาวต่างประเทศกล่าวว่า ในรัชกาลสมเด็จ พระนารายณ์มหาราชมีเรือฝรั่งเศสแล่นเขา้มาสู่ปากน้า เจา้พระยา เมื่อถึงป้อมของไทย ไทยชกัธง ฮอลนัดาข้ึนรับเรือฝรั่งเศส เพราะไม่มีธงชาติของตนเอง แต่เรือฝรั่งเศสไม่ยอมสลุตรับธงฮอลนัดา เพราะเคยเป็นอริกนัมาก่อน และถือว่าไม่ใช่ธงชาติไทย ฝ่ายไทยจึงแก้ไขโดยนา "ธงแดง"ข้ึนชัก แทนธงชาติเรือฝรั่งเศสจึงยอมสลุตคา นบัต้งัแต่น้นัมาธงสีแดงจึงกลายเป็นธงชาติของไทยเรื่อยมา
72 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รูปภาพ ธงเรือหลวงในรัชสมัยพระบามสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ไทยยงัคงใชธ้งสีแดงเกล้ียงชกัเป็นเครื่องหมายประจา เรือคา้ขายกบัต่างประเทศอยู่ ธงแดงน้ีใช้ชกัข้ึนท้งัในเรือหลวงและเรือราษฎร ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระราชดา ริว่า เรือหลวงและเรือราษฎรควรมีเครื่องหมายให้เห็นที่ต่างกนัจึงมีพระบรมราช โองการให้จดัทา รูปจกัรสีขาวติดไวก้ลางธงแดงเป็นเครื่องหมายใชเ้ฉพาะเรือหลวง ส่วนเรือคา้ขาย ของราษฎรทวั่ ไปยงัคงใชธ้งแดงเกล้ียงอยู่ รัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 2-รัชกาลที่ 3) รูปภาพ ธงเรือหลวงในรัชสมัยพระบามสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่2 ระหว่าง พ.ศ. 2360 - 2366 โปรดใหส้ ่งเรือกา ปั่นหลวงไปคา้ขายระหวา่งกรุงเทพฯ สิงคโปร์และมาเก๊า ซ่ึงเป็นสถานีคา้ขายของ องักฤษ โดยโปรดให้ติดธงสีแดง แต่ ปรากฏว่าไปเหมือนกบัธงเรือสินค้าของชาติมาลายูเจ้าเมือง สิงคโปร์จึงขอให้เรือไทยใช้ธงสีอื่นให้ต่างกันออกไป ในระยะน้ันประจวบกับมีช้างเผือกมาสู่ พระบารมีพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงมีพระบรมราชโองการให้ท ารูปช้างเผือกไว้ กลางวงจักร
73 รูปภาพ “ธงช้างเผือก”ธงชาติสยามในรัชสมยัพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้เจา้อยหู่วั รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ท าหนังสือสัญญาเปิดการค้าขาย กบัชาวตะวนัตกในพ.ศ. 2398 มีเรือสินคา้ของประเทศต่างๆ ในยุโรปและอเมริกาเดินทางเขา้มา ค้าขายมากข้ึน และมีสถานกงสุล ต้งัอยู่ในกรุงเทพฯ สถานที่เหล่าน้ันล้วนชักธงชาติของตนข้ึน เป็นของตนข้ึนเป็นส าคญัจึงจา เป็นที่จะตอ้งมีธงชาติที่แน่นอน จึงทรงพระราชดา ริว่า ธงสีแดง ซ่ึงเรือสินคา้ไทยใช้อยู่น้นัซ้า กบั ประเทศอื่น ยากแก่การสังเกตไม่สมควรใช้อีกต่อไป ควรจะใช้ธง อย่างเรือหลวงเป็นธงชาติแต่โปรดให้เอารูปจกัรออกเสียเพราะเป็นเครื่องหมายเฉพาะพระเจ้า แผน่ดินคงไวแ้ต่รูปชา้งเผอืกอยกู่ลางธงแดง รูปภาพ ธงค้าขาย พ.ศ.2459 รัชกาลที่ 4
74 รัชกาลที่ 6 ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ออก ประกาศแกไ้ขเพิ่มเติมพระราชบญัญตัิธงรัตนโกสินทรศก129 เมื่อวนัที่21 พฤศจิกายน 2459แกไ้ข ลกัษณะธงชาติเป็นธงพ้ืนแดงกลางเป็นรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น หันหน้าเขา้เสา ประการน้ี เริ่มใหบ้งัคบัใช้ต้งัแต่วนัที่1 มกราคม 2459 (ขณะน้นัยงันบัเดือนเมษายนเป็นเดือนเริ่มศกัราชใหม่ ) สงครามโลกครั้งที่ 1 (ธงไตรรงค์) ใน พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงน าประเทศไทยเข้าร่วม สงครามโลกคร้ังที่1 ทรงพระราชดา ริว่าการประกาศสงครามนบัเป็นความเจริญกา้วหนา้ข้นัหน่ึง ของประเทศ สมควรจะมีสิ่งเตือนใจ ส าหรับวาระน้ีไวภ้ายหนา้ สิ่งน้นัควรไดแ้ก่"ธงชาติ" ทรงเห็น วา่ลกัษณะที่แกไ้ขใน พ.ศ. 2459 น้นัยงัไม่สง่างาม ทรงโปรดเกลา้ฯ ให้เพิ่มแถบน้า เงินแก่ข้ึนอีกสี หน่ึงเป็นสามสีตามลกัษณะของธงนานาชาติที่ใช้กนัอยู่เพื่อให้เป็นเครื่องหมายวา่ ไทยเขา้ร่วมกบั ฝ่ายสัมพนัธมิตร และอีกประการหน่ึงสีน้า เงินเป็นสีประจา พระชนมวารเฉพาะพระองค์ จึงเป็ น สีที่ควรประดับไว้ในธงชาติไทย ดังน้ันในปี2460 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พระราชบญัญตัิธง พระพุทธศกัราช 2460ออกประกาศเมื่อวนัที่28กนัยายน พ.ศ. 2460 มีผลบังคับ ภายหลงัวนัออกประกาศในหนงัสือราชกิจจานุเบกษาแลว้30วนัลกัษณะธงชาติมีดงัน้ีคือ
75 เป็นธงรูปสี่เหลี่ยมรีขนาดกวา้ง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน มีแถบสีนา เงินแก่กวา้ง 1 ใน 3 ของ ความกวา้งของธงอยูก่ลาง มีแถบสีขาวกวา้ง 1 ใน 6ของความกวา้งของธงขา้งละแถบ แล้วมีแถบ แดงกวา้งเท่ากบัแถบขาวประกอบข้างนอกอีกข้างละแถบ และพระราชทานนามว่า "ธงไตรรงค์" ส่วนธงรูปชา้งกลางธงพ้ืนแดงของเดิมน้นั ใหย้กเลิกความหมายของสีธงไตรรงค์คือ สีแดง หมายถึง ชาติ และความสามัคคีของคนในชาติ สีขาว หมายถึง ศาสนา ซึ่งเป็ นเครื่องอบรมสั่งสอนจิตใจให้ บริสุทธ์ิสีน้า เงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็ นประมุขของประเทศ รัชกาลที่7จนถึงปัจจุบัน คร้ันถึงรัชกาลที่7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ได้มี พระราชบนัทึกพระราชทานไปยงัองคมนตรีเพื่อให้เสนอความเห็นของคนหมู่มากว่า จะคงใช ้ ธงไตรรงคด์งัที่ใชอ้ยูเ่ป็นธงชาติต่อไป หรือจะกลบัไปใชธ้งชา้งแทน หรือจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ลกัษณะธงชาติกบัวิธีใชธ้งไตรรงคอ์ยา่งไร ปรากฏวา่ความเห็นขององคมนตรีแตกต่างกระจายกนั มากจึงมิไดก้ราบบงัคมทูลขอ้ช้ีขาด ดงัน้นัจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คงใช้ธงไตรรงค์เป็ น ธงชาติต่อไปตามพระราชวินิจฉัยลงวนัที่25 พฤษภาคม พ.ศ. 2470 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระเจา้อยูห่วัอานนัทมหิดลรัชกาลที่8 ไดม้ีการปรับปรุงพระราชบญัญตัิธงซ่ึงยงัคงใชธ้งไตรรงค์ เป็นธงชาติเช่นเดิมแต่ไดอ้ธิบายลกัษณะธงไวเ้ขา้ใจง่ายและชดัเจน ดงัน้ีลกัษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีขนาดกวา้ง 6 ส่วน ยาว 9 ส่วน ด้านกวา้ง 2 ใน 6 ส่วน ตรงกลางเป็ นสีขาบต่อจากแถบสีขาบ ออกไปสองขา้ง ๆ ละ1 ส่วนใน 6 ส่วนเป็นแถบสีขาว ต่อจากสีขาวออกไปท้งั2ขา้งเป็นแถบสีแดง นบัแต่น้นัมาไม่มีขอ้ความใดๆ เปลี่ยนแปลงลักษณะของธงชาติอีก ธงไตรรงค์ จึงเป็ นธงชาติไทย สืบมาจนปัจจุบัน
76 ภาพธง ระยะเวลาการใช้ การบังคับใช้ธง ลักษณะ หมายเหตุ สมัยอยุธยา - พ.ศ. 2325(ธงเรือ หลวง)-สมัยอยุธยา พ.ศ.2398 (ธงเรือ เอกชน) ใชเ้ป็นธรรมเนียมสืบมาต้งัแต่ สมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แดงเกล้ียง ไม่ระบุวา่ ใชค้ร้ัง แรกเมื่อไร พ.ศ.2325-2360 พระบรมราชโองการใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลกมหาราช ธงสี่เหลี่ยมพ้ืน แดงตรงกลางมี รูปวงจักรสีขาว ใช้เฉพาะบนเรือ หลวง พ.ศ.2360-2398 พระบรมราชโองการใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ หล้านภาลัย ธงสี่เหลี่ยมพ้ืน แดงตรงกลางมี รูปช้างเผือกในวง จักรสีขาว ใช้เฉพาะบนเรือ หลวง พ.ศ.2398-2459 พระบรมราชโองการใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจา้อยหู่วัพระราชบญัญตัิวา่ ดว้ยแบบอยา่งธงสยาม ร.ศ.110 พระราชบัญญัติธง ร.ศ.116 พระราชบัญญัติธง ร.ศ.118 พระราชบัญญัติธง ร.ศ.129 พระราชบัญญัติธง ธงสี่เหลี่ยมพ้ืน แดงตรงกลางมี รูปชา้งเผือกเปล่า หันหน้าเข้าหาเสา ธง ใชบ้นแผน่ดิน เป็ นธงแรก พ.ศ.2459-2460 พระราชบัญญัติธง ร.ศ.129 (ธง ราชการ) พระบรมราชโองการ ประกาศเพิ่มเติมและแกไ้ข พระราชบัญญัติธง ร.ศ.129 พ.ศ.2459 ธงสี่เหลี่ยมพ้ืน แดงตรงกลางมี รูปช้างเผือก ทรงเครื่องยืน แท่นหนัหนา้เขา้ หาเสาธง ส าหรับราชการ ตารางแสดงพฒันาการของธงชาติไทยโดยสรุป
77 3.2 เพลงชาติไทย ประวัติก าเนิดของเพลงชาติไทย ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้มีการใช้เพลงสรรเสริญพระบารมี เป็ นเพลงถวาย ความเคารพองคพ์ระมหากษตัริยต์ามธรรมเนียมสากลแมเ้พลงดงักล่าวไม่ใช่เพลงชาติของประเทศ สยามอยา่งเป็นทางการก็ตาม แต่ก็ถืออนุโลมวา่เป็นเพลงชาติโดยพฤตินยัตามหลกัดงักล่าว เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475คณะราษฎรได้ประกาศใช้เพลงชาติ มหาชยัซ่ึงประพนัธ์เน้ือร้องโดยเจา้พระยาธรรมศกัด์ิมนตรี(สนนั่เทพหสัดิน ณ อยุธยา) เป็ นเพลง ชาติอยู่7วนั (ใชช้วั่คราวระหวา่งรอพระเจนดุริยางคแ์ต่งเพลงชาติใหม่)แต่ไม่ไดร้ับความนิยมจาก ประชาชน ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาเป็นเพลงชาติฉบับที่แต่งท านองโดยพระเจนดุริ ยางค์ (ปิติวาทยะกร) เป็นเพลงชาติอยา่งเป็นทางการแทนเพลงสรรเสริญพระบารมี ภาพธง ระยะเวลาการใช้ การบังคับใช้ธง ลักษณะ หมายเหตุ พ.ศ.2459-2460 พระบรมราชโองการ ประกาศเพิ่มเติมและ แกไ้ขพระราชบญัญตัิธง ร.ศ.129 พ.ศ.2459 ในชื่อ “ธงค้าขาย” ธงสี่เหลี่ยมพ้ืนผา้ยาว 9 ส่วน กวา้ง 6 ส่วน แบ่งออกเป็นแถบสี แดงกว้างแถบละ 1 ส่วน แถบสีขาวกวา้ง แถบละ1 ส่วน แถบสี แดงตรงกลางกว้าง 2 ส่วน ส าหรับสามัญ ชน พ.ศ.2460-ปัจจุบัน พระราชบญัญตัิแกไ้ข พระราชบัญญัติธงพระ พุทธศักราช 2460 พระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2479 พระราชบัญญัติ พ.ศ.2522 ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 6 ส่วน ยาว9 ส่วนแบ่ง ออกเป็ นแถบสีแดง กวา้งแถบละ1 ส่วน แถบสีขาวกว้างแถบ ละ1 ส่วนแถบสีน้า เงินขาบตรงกลางกว้าง 2 ส่วน ใชท้วั่ประเทศ
78 พระเจนดุริยางค์(ปิติวาทยะกร) ผู้ประพนัธ์ทา นองเพลงชาติ ที่มาของทา นองเพลงชาติปัจจุบนัน้ัน จากบนัทึกความทรงจา ของพระเจนดุริยางค์ไดเ้ล่าไวว้า่ ราวปลายปี พ.ศ. 2474 เพื่อนนายทหาร เรือช้นัผูใ้หญ่คนหน่ึงของท่าน คือ หลวงนิเทศกลกิจ (กลาง โรจนเสนา) ไดข้อให้ท่านแต่งเพลงส าหรับชาติข้ึนเพลงหน่ึง ในลกัษณะของเพลงลา มาร์แซแยส ซึ่งพระเจนดุริยางค์ได้บอกปฏิเสธเพราะถือวา่เพลงสรรเสริญ พระบารมีเป็นเพลงชาติอยแู่ลว้ท้งการจะั ใหแ้ต่งเพลงน้ีก็ยงัไม่ใช่คา สั่ง ของทางราชการด้วย แมภ้ายหลงัหลวงนิเทศกลกิจจะมาติดต่อให้แต่งเพลงน้ีอีกหลายคร้ังก็ตาม พระเจนดุริยางค์ก็หาทางบ่ายเบี่ยงมาตลอด เพราะท่านสงสัยว่าการขอร้องให้แต่งเพลงน้ีเกี่ยวขอ้ง กบัการเมือง ประกอบกบั ในเวลาน้นัก็มีข่าวลือเรื่องการปฏิวตัิอยา่งหนาหูดว้ย หลงัการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในวนัที่24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ผ่านไปไดป้ระมาณ 5 วนัแล้ว หลวงนิเทศกลกิจ ซ่ึงพระเจนดุริยางค์รู้ภายหลงัว่าเป็น 1 ในสมาชิกคณะราษฎรด้วย ไดก้ลบัมาขอร้องให้ท่านช่วยแต่งเพลงชาติอีกคร้ัง โดยอา้งวา่เป็นความตอ้งการของคณะผูก้่อการ ท่านเห็นวา่คราวน้ีหมดทางที่จะบ่ายเบี่ยง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในเวลาน้นัอยูใ่นระยะ หวัเล้ียวหัวต่อจึงขอเวลาในการแต่งเพลงน้ี7 วนัและแต่งส าเร็จในวนัจนัทร์ที่6กรกฎาคม พ.ศ. 2475 ซ่ึงเป็นวนัสุดทา้ยที่ตนไดก้า หนดนดัหมายวนัแต่งเพลงชาติไว้ขณะที่นงั่บนรถรางสายบางขุน พรหม-ท่าเตียน เพื่อไปปฏิบตัิราชการที่สวนมิสกวนัจากน้นัจึงไดเ้รียบเรียงเสียงประสานส าหรับ ให้วงดุริยางค์ทหารเรือบรรเลง โดยได้เลือกใช้ทา นองคลา้ยคลึงกบัเพลงมาซูแร็กดอมบรอฟสกี แยกอและมอบโนต้เพลงน้ี ให้หลวงนิเทศกลกิจนา ไปบรรเลง ในการบรรเลงดนตรีประจ าสัปดาห์ ที่พระที่นงั่อนนัตสมาคมในวนัพฤหสับดีถดัมา พร้อมท้งักา ชบัวา่ ใหป้ิดบงัชื่อผแู้ต่งเพลงเอาไวด้ว้ย อยา่งไรก็ตาม หนงัสือพิมพศ์รีกรุงก็ไดล้งข่าวเรื่องการประพนัธ์เพลงชาติใหม่โดยเปิดเผย ว่า พระเจนดุริยางค์เป็นผูแ้ต่งทา นองเพลงน้ีทา ให้พระเจนดุริยางค์ถูกเจ้าพระยาวรพงศ์พิพฒัน์ เสนาบดีกระทรวงวงัต าหนิอย่างรุนแรง ในเรื่องน้ีแม้ภายหลังพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีจะไดช้้ีแจงวา่ท่านและสมาชิกสภาผูแ้ทนราษฎรเป็นผูค้ิดการแต่งเพลงน้ีและเพลงน้ี ก็ยงัไม่ไดร้ับรองวา่เป็นเพลงชาติเนื่องจากยงัอยู่ในระหวา่งการทดลองก็ตาม แต่พระเจนดุริยางค์ก็ ได้รับคา สั่งปลดจากทางราชการให้รับเบ้ียบา นาญ ฐานรับราชการครบ 30 ปีและหักเงินเดือน คร่ึงหน่ึงเป็นบา นาญ อีกคร่ึงที่เหลือเป็นเงินเดือน โดยให้รับราชการต่อไปในอตัราเงินเดือนใหม่น้ี ในเดือนตุลาคมปีเดียวกนัน้นัเอง
79 ขุนวจิิตรมาตรา (สง่ากาญจนาคพนัธ์)ผู้ประพันธ์ค าร้องเพลงชาติฉบับแรกสุด ส่วนเน้ือร้องของเพลงชาติน้ัน คณะผูก้่อการได้ทาบทามให ้ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่ากาญจนาคพนัธ์) เป็นผูป้ระพนัธ์โดยคา ร้องที่แต่ง ข้ึนน้นัมีความยาว2 บท สันนิษฐานวา่เสร็จอยา่งชา้ก่อนวนัที่29 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เนื่องจากมีการคนัพบโน้ตเพลงพร้อมเน้ือร้อง ซึ่งตีพิมพ์โดย โรงพิมพ์ศรีกรุง ซึ่งลงวนัที่ตีพิมพใ์นวนัดงักล่าวแมเ้พลงน้ีจะเป็นเพลงที่ ได้รับความนิยมจากประชาชนทวั่ ไปก็ตาม แต่เพลงน้ีก็ยง ั ไม่ได้มีการ ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นเพลงชาติและมีการจดจา ต่อ ๆ กนั ไป เรื่อย ๆ โดยไม่มีใครรู้ที่มาชดัเจน ดงัปรากฏวา่มีการคดัลอกเน้ือเพลงชาติ ของขุนวิจิตรมาตราส่งเขา้ประกวดเน้ือเพลงชาติฉบบัราชการ เมื่อ พ.ศ. 2476โดยอา้งวา่ตนเองเป็นผแู้ต่งดว้ย เน้ือร้องที่ขุนวิจิตรมาตราประพนัธ์เริ่มแรกสุดแต่ไม่เป็นทางการ และ เป็นฉบบัตอ้งห้าม ก่อนที่จะมีการแกไ้ขเมื่อมีการประกวดเน้ือเพลงชาติฉบบัราชการ ใน พ.ศ. 2476 มีดงัน้ี(โปรดเทียบ กบัเน้ือร้องฉบบัราชการ พ.ศ. 2477 ในหวัขอ้เพลงชาติไทยฉบบัพ.ศ. 2475และ พ.ศ. 2477) แผน่ดินสยามนามประเทืองวา่เมืองทอง ไทยเขา้ครองต้งัประเทศเขตตแ์ดนสง่า สืบชาติไทยดึกด าบรรพ์บุราณลงมา ร่วมรักษาเอกราษฎร์ชนชาติไทย บางสมยัศตัรูจู่มารบ ไทยสมทบสวนทพัเขา้ขบัไล่ ตะลุยเลือดหมายมุ่งผดุงผะไท สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา อนัดินแดนสยามคือวา่เน้ือของเช้ือไทย น้า รินไหลคือวา่เลือดของเช้ือข้า เอกราษฎร์คือกระดูกที่เราบูชา เราจะสามคัคีร่วมมีใจ ยดึอา นาจกุมสิทธ์ิอิสสระเสรี ใครย่า ยเีราจะไม่ละให้ เอาเลือดลา้งใหส้ิ้นแผน่ดินของไทย สถาปนาสยามให้เทิดชัยไชโย เพลงชาติสยามฉบับราชการ พ.ศ. 2477 ฉันท์ ข าวิไล ผู้ประพันธ์เพลงชาติสยามฉบับราชการ บทที่ 3 และบทที่ 4 ในปี พ.ศ. 2477 รัฐบาลไดจ้ดัประกวดเน้ือร้องเพลงชาติใหม่โดยมีคณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติเป็นผูด้า เนินการ ประกอบด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเป็นประธาน มีกรรมการท่านอื่นๆ ดงัน้ีคือ พระเรี่ยมวิรัชพากย์, พระเจนดุริยางค์, หลวงช านาญ นิติเกษตร, จางวางทวั่พาทยโกศล และนายมนตรีตราโมท การประกวดเพลงชาติในคร้ังน้นั ได้ ดา เนินการประกวดเพลงชาติ2 แบบ คือเพลงชาติแบบไทย (ประพนัธ์ข้ึนโดยดดัแปลงจากดนตรี ไทยเดิม)และเพลงชาติแบบสากล ซ่ึงผลการประกวดมีดงัน้ี
80 1. เพลงชาติแบบไทย คณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติได้ตัดสินให้ผลงานเพลง "มหานิมิตร" ซึ่งประพันธ์โดย จางวางทวั่พาทยโกศล เป็นผลงานชนะเลิศ เพลงมหานิมิตรน้ีจางวางทวั่ ไดป้ระพนัธ์ดดัแปลงมา จากเพลงหนา้พาทยส์า คญัของไทยที่มีชื่อวา่"ตระนิมิตร" ใหส้ามารถบรรเลงเป็นทางสากล ซ่ึงเพลง ตระนิมิตรน้ีเป็นเพลงที่ถือวา่เป็นเพลงครูนกัดนตรีจะใชบ้รรเลงในพิธีส าคญัต่าง ๆ เช่น งานไหว้ ครูบรรเลงเป็นการอญัเชิญครูบาอาจารย์เทวดาท้งัหลายมาประชุมกนัเพื่อความเป็นสิริมงคล ดงัน้นั จึงมีความหมายอนัควรแก่การเคารพนบั -ถือเป็ นสิริมงคล เหมาะสมที่จะใช้เป็ นเพลงชาติไทยได้ รัฐบาลได้ทดลองบรรเลงออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงอยู่ระยะหน่ึง แต่ต่อมาเมื่อ คณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติจะเสนอผลการประกวดให้คณะรัฐมนตรีประกาศรับรองน้ัน คณะกรรมการฯ ไดป้ระชุมกนัและมีความเห็นว่า เพลงชาติมีลกัษณะที่บ่งบอกถึงความศกัด์ิสิทธ์ิ หากมีการใชอ้ยู่2 เพลง จะทา ให้คลายความศกัด์ิสิทธ์ิลง จึงไดต้ดัสินใจไม่เสนอเพลงชาติแบบไทย ที่ได้คัดเลือกไว้ให้คณะรัฐมนตรีประกาศรับรองเป็ นเพลงชาติในที่สุด 2. เพลงชาติแบบสากล โน้ตเพลงชาติสยามฉบับราชการ พ.ศ. 2477 คณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติมีความเห็น ให้ใช้ท านองเพลง ซึ่งประพันธ์โดยพระเจนดุริยางค์เป็ นท านองเพลงชาติแบบสากล ส าหรับบทร้อง น้นั ไดค้ดัเลือกบทร้องของขุนวิจิตรมาตราซ่ึงไดแ้กไ้ขเพิ่มเติมเป็นบทร้องชนะเลิศและไดเ้พิ่มบท ร้องของนายฉันท์ ข าวิไล ซึ่งเป็ นบทร้องที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศเข้าอีกชุดหนึ่ง คณะรัฐมนตรี ได้ประกาศรับรองให้เป็ นบทร้องเพลงชาติฉบับราชการเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2477 บทร้องท้งัของขุนวิจิตรมาตราและนายฉนัท์ประพนัธ์ในรูปฉนัทลกัษณ์แบบกลอนสุภาพ (กลอนแปด) ความยาว4 บท แต่ละบทมี4วรรคผลงานของแต่ละคนจึงมีความยาวของบทร้องเป็น 16 วรรค เมื่อนา มารวมกนัแลว้จึงทา ให้บทร้องเพลงชาติท้งัหมดมีความยาวถึง 32 วรรค ซ่ึงนบัว่า ยาวมาก หากจะร้องเพลงชาติให้ครบท้งัสี่บทจะตอ้งใช้เวลาร้องถึง 3 นาที52 วินาที(เฉลี่ยแต่ละ ท่อนรวมดนตรีนา ด้วยท้งัเพลงตกที่ท่อนละ 35 วินาที) ในสมยัน้ันคนไทยส่วนใหญ่จึงนิยมร้อง แต่เฉพาะบทร้องของขนุวจิิตรมาตราและต่อมาภายหลงัจึงไม่มีการขบัร้องคงเหลือแต่เพียงทา นอง เพลงบรรเลงเท่าน้นั
81 เพลงชาติสยามฉบับสังเขป พ.ศ. 2478 ในปี พ.ศ. 2478 รัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ออกระเบียบการบรรเลงเพลง สรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติ ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (มีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 กุมภาพนัธ์ปีเดียวกนั ) ระเบียบดงักล่าวน้ีไดม้ีการกา หนดให้แบ่งการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระ บารมีและเพลงชาติออกเป็ น 2 แบบ คือ การบรรเลงแบบพิสดาร (บรรเลงตามความยาวปกติเต็ม เพลง)และการบรรเลงแบบสังเขป ในกรณีของเพลงชาติน้นั ไดก้า หนดให้บรรเลงเพลงชาติฉบบั สังเขปในการพิธีที่เกี่ยวขอ้งกบั ประชาชน สโมสรสันนิบาต โดยเฉพาะอยา่งยิ่งในพิธีปกติส่วนการ บรรเลงแบบเตม็เพลงน้นั ใหใ้ชใ้นงานพิธีใหญ่เท่าน้นั ท่อนของเพลงชาติที่ตดัมาใช้บรรเลงแบบสังเขปน้นัคือท่อนข้ึนตน้ (Introduction) ของ เพลงชาติ(เทียบกบัเน้ือร้องเพลงชาติฉบบั ปัจจุบนัก็คือต้งัแต่ท่อน สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี จนจบเพลง)ความยาวประมาณ 10วนิาทีไม่มีการขบัร้องใดๆ ประกอบ เพลงชาติไทย พ.ศ. 2482 - ปัจจุบัน สา เนาประกาศสา นกันายกรัฐมนตรีวา่ดว้ยรัฐนิยม ฉบบัที่๖ เรื่อง ทา นองและเน้ือร้องเพลง ชาติ ลงวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๒ในปี พ.ศ. 2482 "ประเทศสยาม" ได้เปลี่ยนชื่อเป็ น "ประเทศ ไทย" รัฐบาลจึงไดจ้ดั ประกวดเน้ือร้องเพลงชาติไทยใหม่เพื่อให้สอดคลอ้งกบัการเปลี่ยนแปลงชื่อ ประเทศโดยกา หนดเงื่อนไขยงัคงใชท้า นองของพระเจนดุริยางคอ์ยูเ่ช่นเดิม แต่กา หนดให้มีเน้ือร้อง ความยาวเพียง 8 วรรคเท่าน้นัและปรากฏคา ว่า "ไทย" ซ่ึงเป็นชื่อประเทศอยู่ในเพลงดว้ย ผลการ ประกวดปรากฏว่าเน้ือร้องของพนัเอกหลวงสารานุประพนัธ์ซ่ึงส่งประกวดในนามกองทพับก ไดร้ับรางวลัชนะเลิศรัฐบาลไทยจึงไดป้ระกาศรับรองให้ใชเ้ป็นเน้ือร้องเพลงชาติไทย โดยแกไขค า ้ ร้องจากต้นฉบบัที่ส่งประกวดเล็กน้อย เมื่อวนัที่10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และใช้เรื่อยมาจนถึง ปัจจุบัน เน้ือร้องของหลวงสารานุประพนัธ์ซ่ึงส่งประกวดในนามกองทพับกไทยก่อนแกไ้ขเป็น ฉบบัทางการมีดงัน้ี(สา หรับเน้ือร้องฉบบั ประกาศใชจ้ริง ดูไดใ้นหวัขอ้เน้ือเพลง) ประเทศไทยรวมเลือดเน้ือชาติเช้ือไทย เป็นประชารัฐไผทของไทยทุกส่วน อยดู่า รงคงไวไ้ดท้ ้งัมวล ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี ไทยน้ีรักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ใหใ้ครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเป็ นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวีมีชัย ชโย การประกวดเพลงชาติคร้ังน้ีไดป้รากฏหลกัฐานวา่มีกวีและผูม้ีชื่อเสียงในทางการประพนัธ์ เพลงหลายท่าน เช่น เจา้พระยาธรรมศกัด์ิมนตรีแก้ว อจัฉริยะกุล ชิต บุรทตัเป็นตน้ซ่ึงรวมถึง
82 ผปู้ระพนัธ์เน้ือเพลงชาติสองฉบบัแรก(ขุนวิจิตรมาตราและฉนัท์ขา วิไล) ไดส้ ่งเน้ือร้องของตนเอง เข้าประกวดด้วย แต่ปรากฏว่าไม่ผ่านการตดัสินคร้ังน้นัเฉพาะเน้ือร้องที่ขุนวิจิตรมาตราแต่งใหม่ น้นั ปรากฏวา่มีการใชค้า วา่"ไทย"ถึง 12คร้ัง ฉบับปัจจุบัน ท านอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิ ติ วาทยะกร) ค าร้อง: พันเอก หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ในนามกองทัพบก ประเทศไทยรวมเลือดเน้ือชาติเช้ือไทย เป็นประชารัฐไผทของไทยทุกส่วน อยดู่า รงคงไวไ้ดท้ ้งัมวล ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี ไทยน้ีรักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ใหใ้ครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเป็ นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย ตามประกาศคณะการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทศัน์และกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติเรื่อง หลกัเกณฑก์ารจดัทา ผงัรายการสา หรับการใหบ้ริการกระจายเสียงหรือโทรทศัน์พ.ศ. 2556กา หนดใหผ้รู้ับใบอนุญาตที่ใชค้ลื่นความถี่ใหบ้ริการทวั่ ไปตอ้งจดัให้ออกอากาศเพลงชาติไทย ทุกวันในเวลา 08.00 น. และ 18.00 น. 3.3 ศาสนาที่คนไทยนับถือ ประวัติความเป็ นมาของศาสนาพุทธ พุทธศาสนาอุบตัิข้ึนในขณะที่ศาสนาด้งัเดิมคือศาสนาพราหมณ์กา ลงัเจริญรุ่งเรือง ดงัน้นัเจา้ชายสิทธตัถะรวมท้งัพระราชบิดา พระราชมารดาและพระประยรูญาติท้งัหลายต่างก็นบัถือ ศาสนาพราหมณ์ท้งัน้นัและยงัมีศาสนาหน่ึงที่เกิดร่วมสมยัของพุทธศาสนาคือศาสนาเชน แต่ใน พุทธประวตัิไม่ค่อยกล่าวถึง เจา้ชายสิทธตัถะราชกุมารกรุงกบิลพสัดุ์ไดพ้บความไม่เป็นแก่นสารของโลกและชีวิต จึงเสด็จออกผนวชแสวงหาโมกขธรรม ใช้เวลาทดลองพิสูจน์ตามลทัธิต่างๆอยู่นานถึง 6 ปีแต่ใน ที่สุดก็ทรงเห็นวา่มิใช่ทางพน้ทุกข์จึงทรงละเวน้ทางเหล่าน้นัเสียกลบัมาใชก้ารคน้ควา้ ในทางของ พระองคเ์องและในที่สุดก็ไดต้รัสรู้อริยสัจ 4 ในวนัเพญ็เดือน 6ก่อนพุทธศก45 ปี
83 ศาสดา พระพุทธเจา้ทรงถือกา เนิดจากพระเจา้สุทโธทนะเจา้กรุงกบิลพสัดุ์และพระนางเจา้ มายา โดยทรงประสู ติในวันศุกร์ เพ็ญเดือนวิสาขะ (เดือน 6 ราวเดือนพฤษภาคม) ปี จอ ก่อนพุทธศกัราช 80 ปีเวลาสาย ใกลเ้ที่ยง และประสูติที่สวนลุมพินีวนัพระเจา้สุทโธทนะไดเ้ชิญ พราหมณ์มาฉนั โภชนาหาร พราหมณ์ไดถ้วายคา พยากรณ์เป็น 2 นยัคือถา้พระกุมารทรงอยู่ครอง เพศฆราวาสจักได้เป็นพระจักรพรรดิยิ่งใหญ่ในโลก และถ้าพระราชโอรสออกผนวชจักได ้ เป็นพระศาสดาเอกของโลก หลงัจากน้ันพราหมณ์ท้งัหลายได้ร่วมกันถวายพระนามพระกุมาร วา่"สิทธตัถะ"แปลวา่ ผู้ต้องการความส าเร็จ เมื่อพระกุมารเจริ ญวัย มีพระชนมายุได้16 พรรษา ได้อภิเษกสมรสกับพระนาง ยโสธรา หลังจากอภิเษกสมรสได้ 13 พรรษา พระนางยโสธราทรงพระครรภ์และประสูติพระโอรส ทรงมีพระนามวา่"ราหุล" เมื่อเจา้ชายสิทธตัถะมีพระชนมายไุด้29 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชในคืนที่พระโอรสประสูติ ทรงแสวงหาโมกขธรรม โดยการศึกษาในส านกัดาบส แต่ก็ไม่พบหนทางในการดบัทุกข์จึงออกจากส านกัดาบส แลว้จึงเริ่ม บา เพญ็ทุกรกิริยาจนร่างกายซูบผอม ก็ทรงเลิกเนื่องจากไม่ใช่หนทางในการตรัสรู้จึงทรงใชว้ิธีการ บา เพญ็เพียรทางจิต จนในวนัข้ึน 15ค่า เดือน 6ก็ตรัสรู้เป็นองค์พระพุทธเจ้า ภายหลังที่เสด็จออก ผนวช และทรงท าความพากเพียรพยายามมาตลอดเวลา 6 ปี มีพระชนม์ 35 พรรษา หลงัจากตรัสรู้เป็นพระพุทธเจา้แลว้ ไดท้รงเผยแผศ่าสนา โปรดประชาชน พระประยูรญาติ แสดงธรรมโปรดพระสงฆ์และทรงบา เพ็ญพุทธกิจตลอด 45 พรรษา พระพุทธองค์เสด็จดบัขนัธ์ ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา คัมภีร์ คมัภีร์ศาสนาพุทธ เรียกว่า "พระไตรปิฎก" แปลว่า 3คมัภีร์คา ว่าปิฎกแปลว่า ตะกร้า หรือกระจาด ปิฎกท้งั3แบ่งออกไดเ้ป็น 1. วินยัปิฎกคมัภีร์วา่ดว้ย วินยัคือศีลของพระภิกษุภิกษุณีมีรายละเอียดในการบญัญตัิ แต่ละคร้ังมาก นอกจากน้นัยงัมีเรื่องเกี่ยวกบัขอ้ ประพฤติปฏิบตัิและวิธีดา เนินการในการบริหาร คณะสงฆ์โดยพิสดาร 2. สุตตนัตปิฎกคมัภีร์ว่าดว้ยพระสูตรคือคา เทศนาสั่งสอนของพระพุทธเจา้และสาวก มีเรื่องราวประกอบมากรวมท้งัรายละเอียดแห่งการที่จะทรงโตต้อบกบันกับวชแห่งศาสนาอื่น และ ผูท้ี่มาซักถาม มีการกล่าวถึงภูมิประเทศเหตุการณ์บุคคลและวนัเวลาคือกล่าวถึงวา่ ใครทา อะไร ที่ไหน อยา่งไร เมื่อไร ไวอ้ย่างครบถว้น พลอยทา ให้ไดป้ระโยชน์ในการศึกษาประวตัิศาสตร์ของ ชาวอินเดียด้วย
84 3. อภิธรรมปิฎก คัมภีร์ว่าด้วย อภิธรรม กล่าวถึงธรรมะล้วนๆ ของพระพุทธองค์ ไม่กล่าวถึงเหตุการณ์และสิ่งที่มาเกี่ยวขอ้งเหมือนสุตตนัตปิฎก หลักธรรม พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีหลกัธรรมคา สอนมากมายและละเอียดทุกแง่ทุกมุม จึงขอสรุป หลกัธรรม ไดด้งัต่อไปน้ี 1.โอวาทปาฏิโมกข์มีใจความสา คญัดงัน้ี 1. ให้เวน้จากความชวั่ท้งัหมด 2. ให้สร้างความดีสม ่าเสมอ 3. ใหช้า ระจิตใหบ้ริสุทธ์ิ 2.อริยสัจ4คือธรรมที่เป็นความจริงอนั ประเสริฐ 4 ประการ ดงัต่อไปน้ี 1. ทุกข์หมายถึงความทุกขท์ ้งัสิ้น 2. สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ 3. นิโรธ ความดับทุกข์ 4. มรรค ทางให้ถึงความดับทุกข์ 3. ปฏิจจสมุปบาท ปัจจยัแห่งกนัและกนัมี12องคป์ระกอบ ดงัน้ี 1.อวชิชา เป็นปัจจยัใหเ้กิดสังขาร 2. สังขารเป็นปัจจยัใหเ้กิดวญิญาณ 3.วญิญาณ เป็นปัจจยัใหเ้กิดนามรูป 4. นามรูป เป็ นปัจจัยให้เกิดสฬายตนะ 5. สฬายตนะเป็นปัจจยัใหเ้กิดผสัสะ 6. ผัสสะ เป็ นปัจจัยให้เกิดเวทนา 7. เวทนา เป็นปัจจยัใหเ้กิดตณัหา 8. ตณัหา เป็นปัจจยัใหเ้กิดอุปาทาน 9.อุปาทาน เป็นปัจจยัใหเ้กิดภพ 10. ภพ เป็นปัจจยัใหเ้กิดชาติ 11. ชาติเป็นปัจจยัใหเ้กิดชรามรณะ โกสะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนสัอุปายาส 12. ชรามรณะ 4. นิพพาน เป็ นเป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธ นิพพาน หมายถึงความดบัสนิทแห่งกิเลส ถา้กิเลสดบัสนิทในขณะมีชีวติอยู่เรียกวา่สอุปาทิเสสนิพพาน แต่ท่านที่ดบักิเลสสิ้นลม เรียกวา่อนุ ปาทิเสสนิพพาน
85 5. ไตรลกัษณ์แปลว่าลกัษณะ 3 หมายถึงกฎธรรมชาติของสรรพสิ่งกฎน้ีมีชื่อเรียกอีก อยา่งหน่ึงวา่"สามญัลกัษณะคือเป็นลกัษณะทวั่ ไป" มีอยู่3 ประการ ดงัน้ี 1.อนิจจตาความเป็นของไม่เที่ยงคือไม่คงที่ไม่ถาวรไม่แน่นอน ทุกสิ่งทุกอยา่ง ท้งัสิ่งมีชีวติและไม่มีชีวติเปลี่ยนแปลงอยตู่ลอดเวลา 2. ทุกขตาความเป็นทุกข์เพราะมีความเปลี่ยนแปลงจึงทนไดย้าก ทา ใหเ้กิดทุกข์ 3. อนัตตตาความเป็นของไม่ใช่ตวัตน คือบงัคบัไม่ให้ไม่อยใู่นอา นาจ เป็นสิ่ง สมมติไม่ใช่ของตนแทจ้ริง นิกาย ในพระพุทธศาสนามีนิกายแบ่งย่อยออกเป็น 2 นิกายใหญ่ซ่ึงเกิดจากการตีความพุทธ พจน์แตกต่างกนัต้งัแต่คร้ังปฐมสังคายนาคือ 1. นิกายเถรวาท หรื อหินยาน เป็ นนิกายด้ังเดิม ยึดถือหลักพระธรรมวินัยตามที่ พระมหากสัสปเถระ เป็นตน้ ได้สังคายนาไวเ้มื่อพุทธปรินิพพานได้3 เดือน เจริญอยู่ทางตอนใต ้ ของอินเดียไดแ้พร่หลายไปยงัประเทศแถบเอเชียใต้เช่น ศรีลงักา พม่า ไทยลาวและเขมร เป็นตน้ บางคร้ังเรียกนิกายฝ่ายใต้ 2. มหายานหรืออาจาริยวาท เป็นนิกายที่แยกออกมาใหม่ยดึถือหลกัธรรมตามการตีความ ใหม่และการปฏิบตัิของอาจารยข์องตน เจริญอยตู่อนเหนือของอินเดีย ไดแ้พร่เขา้ไปสู่ประเทศทิเบต จีน เกาหลี เวียดนาม และญี่ปุ่น เป็นตน้บางคร้ังเรียกนิกายฝ่ายเหนือ พิธีกรรม ในพระพุทธศาสนามีพิธีกรรมอาจแบ่งไดเ้ป็น 2 ประเภท คือ 1. พิธีกรรมเกี่ยวกับงานมงคล เช่น เกี่ยวกับการเกิด การโกนผมไฟ การบวช การแต่งงาน การข้ึนบา้นใหม่การทา บุญวนัเกิด และการทา บุญอนัเพื่อความเป็ นสิริมงคลอื่น ๆ ในเทศกาลตรุษต่างๆ เป็นตน้ 2. พิธีกรรมเกี่ยวกบังานอวมงคล เช่น งานตายและงานเนื่องด้วยผูต้าย เป็นต้น อาจแยกใหเ้ห็นพิธีกรรมเหล่าน้ีไดด้งัน้ี 1. พิธีปฏิญาณตนเป็ นพุทธมามกะ 2. พิธีถืออุโบสถศีล 3. พิธีบรรพชา -อุปสมบท 4. พิธีทอดกฐิน 5. พิธีทอดผ้าป่ า 6. พิธีวิสาขบูชา 7. พิธีอัฏฐมีบูชา พิธีท าบุญตักบาตรพระสงฆ์
86 8. พิธีอาสาฬหบูชา 9. พิธีเข้าพรรษา -ออกพรรษา 10. ประเพณีเกี่ยวกบัการเกิด การตายเป็นตน้ สัญลักษณ์ สัญลกัษณ์ของพระพุทธศาสนามีหลายอยา่งแต่มีสัญลกัษณ์ที่เป็นที่รู้กนัโดยทวั่ ไป มีดงัน้ี 1.ธรรมจกัร หมายถึง วงลอ้แห่งพระธรรม ธรรมจกัรใช้แทนหลกธรรม คือ มรรค 8 คือ ั อริยสัจข้อที่4 ซ่ึงเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมจักรมี8 ก า ได้รับการรับรองให้เป็น สัญลกัษณ์แห่งพุทธศาสนาระดบัชาติและธงทางพุทธศาสนา 6 สี(ฉัพพรรณรังสี) ซ่ึงใช้อยู่ใน ประเทศศรีลงักาในขณะน้ีไดร้ับการใหใ้ชเ้ป็นธงแห่งพุทธศาสนาระดบัชาติแต่พุทธศาสนิกชนชาว ไทย นิยมใชธ้งธรรมจกัรพ้ืนสีเหลืองมากกวา่ 2.พระพุทธรูป พระพุทธรูปนิยมสร้างข้ึนในอิริยาบถต่างๆ ไวเ้คารพบูชาแทนองคส์มเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจา้เป็นเหมือนสิ่งแทนคลา้ยอนุสาวรีย์ทา ให้ผูพ้บเห็นนอ้มระลึกถึงพระคุณ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ 3.รอยพระพุทธบาท ในสมยัที่ยงัไม่มีการสร้างพระพุทธรูป ชาวพุทธนิยมสร้างรอย พระพุทธบาทซ่ึงแทนท้งัองคพ์ระพุทธเจา้และร่องรอยแห่งความดีที่พระพุทธเจา้ทรงประทบัไวเ้ป็น แบบอยา่ง 4.ใบโพธ์ิหรือตน้ โพธ์ิเป็นตน้ ไมท้ ี่พระพุทธเจา้ทรงอาศยัร่มเงาในระหว่างเวลาที่ทรง บ าเพ็ญเพียร และได้ตรัสรู้อริยสัจธรรม เป็ นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาอิสลาม กลุ่มชาติพนัธุ์ที่คนไทยเรียกกนัวา่"แขก"คาดวา่หมายถึงชาวมุสลิมโดยรวม ท้งัน้ีพ่อคา้ชาว มุสลิมในคาบสมุทรเปอร์เซียที่เข้ามาค้าขายในแหลมมลายู (อินโดนีเซียและมาเลเซีย) ได้น าศาสนา อิสลามเข้ามาด้วย ภายหลงัคนพ้ืนเมืองจึงไดเ้ปลี่ยนมานบัถือศาสนาอิสลาม ส่วนในประเทศไทยน้ี พบหลกัฐานว่าคนไทยไดต้ิดต่อสัมผสักบัชาวมุสลิมต้งัแต่ยุคสมยัสุโขทยัและช่วงกรุงศรีอยุธยา เรื่อยมา โดยชาวมุสลิมบางคนน้ัน เป็นถึงขุนนางในราชส านัก ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีชาวมุสลิมอพยพมาจากมลายแูละเปลี่ยนสัญชาติเป็นไทย นอกจากน้ียงัมีชาวมุสลิมอินเดีย ที่เข้ามา ต้งัรกรากรวมถึงชาวมุสลิมยูนานที่หนีภัยจากการเบียดเบียนศาสนาหลังการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ใน ประเทศจีน
87 ชาวมุสลิมเป็นประชากรขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในประเทศไทย ในบริเวณสี่จังหวัด ชายแดนภาคใต้ได้แก่จงัหวดั ปัตตานียะลา นราธิวาส และสตูล ตลอดจนบางส่วนของจงัหวดั สงขลาและชุมพร มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ประกอบดว้ยท้งัผูท้ี่มีเช้ือสายไทยและมลายู คนส่วนใหญ่เชื่อกนัวา่ ประชากรชาวมุสลิมส่วนใหญ่ของประเทศอาศยัอยมู่ากที่สุดบริเวณน้ี ประชากรมุสลิมของไทยมีความหลากหลายและมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกนั โดยมีกลุ่มเช้ือ ชาติอพยพเข้ามาจากประเทศจีน ปากีสถาน กัมพูชา บังกลาเทศ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เช่นเดียวกบัชาวไทยขณะที่มุสลิมในประเทศไทยราวสองในสามมีเช้ือสายมลายู พิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่ไม่มีนกับวชหรือนกัพรตในการประกอบพิธีกรรม แต่มุสลิม ทุกคน เป็นท้งัฆราวาสและนกับวชอยู่ในตวัคนเดียวกนัและถือหลกัการของศาสนาเป็นธรรมนูญ สูงสุดในการด ารงชีวิต หลกัปฏิบตัิทางศาสนกิจที่ส าคัญ มี5 ประการ มีดงัน้ี 1. การปฏิญาณตน ผูท้ ี่เป็นมุสลิมจะตอ้งยืนยนัด้วยวาจาว่า “ไม่มีพระเจา้อื่นใดนอกจาก อลัเลาะห์และท่านศาสดา มูฮัมมัดเป็ นศาสนทูตของพระองค์” 2.การละหมาด (นมาซ) เป็นการเคารพกราบไหวต้่อพระเจา้ดว้ยอิริยาบถต่าง ๆ ซึ่งจะต้อง ปฏิบัติทุกวัน วันละ5 เวลาคือก่อนฟ้าสาง บ่าย เยน็หัวค่า และกลางคืน จะช่วยสกดัก้นัความคิด และการกระทา ที่ไม่ดีงามต่าง ๆ อยา่งเป็นระบบต่อเนื่องในรอบวนั 3. การถือศีลอด เป็นการละเวน้จากการกิน การดื่ม การเสพ การร่วมเพศ การนินทา ตลอดจนการประพฤติทิ่ผิดบาปทุกอยา่ง จะกระท าในเดือนรอมฎอนเป็ นเวลา 1 เดือน ท้งัน้ีเพื่อเป็น การชา ระจิตใจใหบ้ริสุทธ์ิฝึกความอดทนต่อการยวั่ยวนของกิเลส 4.การจ่ายซะกาต หมายถึงการบริจาคทานใหแ้ก่คนที่เหมาะสมตามศาสนบญัญตัิ 5. ประกอบพิธีฮัจญ์หมายถึง การไปประกอบศาสนกิจ เมืองเมกกะ ประเทศ ซาอุดีอาระเบีย โดยผูท้ี่จะไปประกอบพิธีฮจัญ์จะตอ้งอยูใ่นสภาพที่พร้อม กล่าวคือ บรรลุนิติภาวะ มีสุขภาพดีมีทุนทรัพย์เพียงพอ และมีความรู้ความเข้าใจใน การท าฮัจญ์ การประกอบพิธีละหมาดในศาสนาอิสลาม
88 ศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์มีประวตัิศาสตร์ยาวนานในประเทศไทย ถูกนา เขา้มาเผยแผ่โดยมิชชนันารี ยโุรปต้งัแต่สมยัอาณาจกัรอยธุยา ประมาณคริสตท์ศวรรษ 1550 (พ.ศ. 2093)ศาสนาคริสตม์ ีบทบาท สา คญั ในการพฒันาประเทศใหท้นัสมยั โดยเฉพาะอยา่งยิ่ง ในสถาบนัสังคม การศึกษา สาธารณสุข และเทคโนโลยี ปัจจุบันประเทศไทย มีองค์กรคริสตจกัรที่กรมการศาสนารับรองอยู่5 องค์กร ได้แก่ สภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมนัคาทอลิกแห่งประเทศไทย สภาคริสตจกัรในประเทศไทย สหกิจ คริสเตียนแห่งประเทศไทย มูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสต์และมูลนิธิคริสตจักรวันเสาร์ แห่ง ป ระเท ศไ ท ย คริส ต์ศา ส นิก ชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ต า ม ภ าคเหนือ ภ าค ก ล า ง ภาคตะวนัออกเฉียงเหนือและทวั่ทุกจงัหวดัในประเทศไทย มีจา นวนคริสตศ์าสนิกชนรวมกนัราว 820,000 คน (อันดับที่3 ในประเทศไทย) ศาสนสถานรวมกันราว 5,500 แห่งทั่วประเทศ ประกอบดว้ย 2 นิกาย ไดแ้ก่โปรเตสแตนต์และโรมนัคาทอลิก ส่วนนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ปกครองโดยมูลนิธิชาวคริสตศ์าสนิกชนด้งัเดิมออร์โธด็อกซ์ในประเทศไทย 3.4 สถาบันพระมหากษัตริย์ ความหมาย พระมหากษตัริย์คือ ประมุขหรือผูป้กครองสูงสุดของประเทศ จะเห็นไดว้่าประเทศไทย ต้งัแต่อดีตจนถึงปัจจุบนัมีพระมหากษตัริยเ์ป็นประมุขปกครองประเทศอนัเกิดจากแนวความคิด ที่วา่แต่เดิมมนุษยย์งัมีน้อยดา รงชีพแบบเรียบง่ายอยูก่บัธรรมชาติและเมื่อมนุษยข์ยายพนัธุ์มากข้ึน ธรรมชาติต่าง ๆ เริ่มหมดไป เกิดการแก่งแย่งกันทา มาหากิน เกิดปัญหาสังคมข้ึน จึงต้องหา ทางแกไ้ขคนในสังคมจึงคิดว่าตอ้งพิจารณาคดัเลือกให้บุคคลที่เหมาะสมและมีความเฉลียวฉลาด ไดร้ับการแต่งต้งัให้เป็นผูพ้ ิจารณาตดัสิน เมื่อเกิดกรณีปัญหาต่าง ๆ ซ่ึงตอ้งปฏิบตัิหน้าที่ดว้ยความ บริสุทธ์ิยุติธรรม ทา ให้คนในสังคมพอใจ และยินดีประชาชนท้งัหลายจึงเปล่งอุทานว่า “ระชะ” พิธีแต่งงานในโบสถ์
89 หรือ “รัชชะ” หรือราชา แปลว่าผูเ้ป็นที่พอใจประชาชนยินดีต่อมาเลยเรียกว่า พระราชา ดว้ยเหตุ ที่วา่การกระทา หนา้ที่ดงักล่าวไม่มีเวลาไปประกอบอาชีพ ประชาชนท้งัหลายพากนับริจาคยกที่ดิน ให้จึงเป็นผูม้ีที่ดินมากข้ึนตามลา ดบัคนท้งัหลายจึงเรียกว่า เขตตะ แปลว่าผูม้ีที่ดินมากและเขียน ในรูปภาษาสันสกฤตว่า เกษตตะหรือเกษตร ในที่สุดเขียนเป็นพระมหากษตัริย์แปลว่าผูท้ี่มีที่ดิน มาก ดงัน้นัคา วา่พระมหากษตัริย์ความหมายโดยรวม ก็คือผูท้ี่ยึดครอง หวงแหนและขยายผืน แผน่ดินไวใ้หแ้ก่ประชาชนหรืออาณาประชาราษฎร์ที่พระองคท์รงเสียสละเลือดเน้ือและชีวิตกอบกู้ เอกราชบา้นเมืองไวใ้หช้นรุ่นหลงัอยา่งเช่นประเทศไทยของเราน้ีถา้ไม่มีพระมหากษตัริยท์รงยึดถือ ครอบครองผนืแผน่ดินไทยไว้คนไทยทุกคนจะมีผนืแผน่ดินไทยอยทูุ่กวนัน้ีไดอ้ยา่งไร อน่ึง พระมหากษตัริยใ์นนานาอารยประเทศที่เป็นประมุขของรัฐที่ไดร้ับตา แหน่งโดยการ สืบสันตติวงศน์ ้นัอาจจา แนกประเภทโดยอาศยัพระราชอา นาจและพระราชสถานะเป็น 3 ประการ คือ 1. พระมหากษัตริ ย์ในระบอบสมบูรณาญาสิ ทธิ ราชย์ (Absolute Monarchy) พระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุขของรัฐ มีพระราชอ านาจและพระบรมเดชานุภาพเด็ดขาดและล้น พน้แต่พระองคเ์ดียวและในอดีตประเทศไทยเคยใชอ้ยกู่ ่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 2. พระมหากษัตริ ย์ในระบอบปรมิตาญาสิ ทธิราชย์ (Limited Monarchy) คือ พระมหากษตัริยท์รงมีพระราชอา นาจทุกประการเวน้แต่จะถูกจา กดัโดยบทบญัญตัิของรัฐธรรมนูญ เช่น ประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นตน้ 3. พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) คือในระบอบน้ี มีพระมหากษตัริยเ์ป็นประมุขแต่ในการใชพ้ระราชอา นาจดา้นการปกครองน้นัถูกโอนมาเป็นของ รัฐบาล พลเรือน และทหาร พระมหากษตัริยจ์ึงทรงใชพ้ระราชอา นาจผา่นฝ่ายนิติบญัญตัิฝ่ายบริหาร และฝ่าย ตุลาการ พระองค์มิไดใ้ชพ้ระราชอา นาจแต่มีองคก์รหรือหน่วยงานรับผิดชอบต่าง ๆ กนั ไป เช่น ประเทศไทยองักฤษ และญี่ปุ่นในปัจจุบัน เป็ นต้น
90 พระมหากษัตริย์ของไทย หากนบัยอ้นอดีตประวตัิศาสตร์ไทยต้งัแต่สมยัโบราณ คา วา่ ”กษัตริย์” หรือนกัรบผูย้ิ่งใหญ่ ศึกษาได้จากในสมัยกรุงสุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก จะมีความใกล้ชิด กบั ประชาชนมาก เช่นในสมยัราชวงศ์พระร่วงกษตัริยจ์ะมีพระนามข้ึนตน้ว่า “พ่อขุน” เรียกว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์พ่อขุนรามค าแหง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้รับคติพราหมณ์ มาจากขอมเรียกวา่เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึง พระมหากษตัริยท์รงเป็นเทพมาอวตารเพื่อ ปกครองมวลมนุษย์ท าให้ชนช้ันกษัตริย์มีสิทธิอ านาจมากที่สุดในอาณาจักร และห่างเหิน จากชนช้นั ประชาชนมากในสมยัราชวงศ์อู่ทอง จึงมีพระนามข้ึนตน้ว่า “สมเด็จ” เรียกว่า สมเด็จ พระรามาธิบดีที่1 (พระเจา้อู่ทอง) สมเด็จพระราเมศวร หรือในสมยัรัตนโกสินทร์แห่งมหาจักรี บรมราชวงศ์เริ่มดว้ยรัชกาลที่1ถึงรัชกาลปัจจุบันคือรัชกาลที่ 10 ซ่ึงเป็นการยกยอ่งเทิดทูลสถาบนั องคพ์ระมหากษตัริย์จึงมีพระนามข้ึนตน้วา่พระบาทสมเด็จ เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้อยหู่วั (รัชกาลที่5) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9 ) ดงัน้นัคา วา่ “พระมหากษัตริย์ของไทย” อาจมีคา เรียกที่แตกต่างกนัตามประเพณีนิยม หรือ ธรรมเนียมที่เคยปฏิบตัิสืบต่อกนัมา เช่นเรียกวา่พระราชา เจา้มหาชีวิต เจา้ฟ้า เจา้แผน่ดิน พ่อเมือง พระเจา้แผน่ดิน พระเจา้อยหู่วัหรือในหลวง ฯลฯ และพระมหากษตัริยเ์ป็นไดด้วยการสืบสันตติวงศ์ ้ หรือโดยการยึดอ านาจจากพระมหากษัตริย์พระองค์เดิมแล้วปราบดาภิเษกตนเองข้ึน เป็นพระมหากษตัริย์ท้งัน้ีในการสืบสันตติวงศ์ต่อกนัมาโดยเช้ือพระวงศ์เรียกว่า พระราชวงศ์ เมื่อสิ้นสุดการสืบทอดโดยเช้ือพระวงศ์ด้วยเหตุอื่นใดก็ตาม พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ จะเป็นตน้พระราชวงศใ์หม่หรือเป็นผสู้ถาปนาพระราชวงศ์ พระมหากษัตริย์ไทยกบัรัฐธรรมนูญ ในอดีตพระมหากษตัริยท์รงเป็นเจา้ของชีวิตและเจา้แผน่ดิน กล่าวคือ ทรงพระบรมเดชานุ ภาพเป็ นล้นพ้น โดยหลักแล้วจะโปรดเกล้าฯ ให้ผูใ้ดสิ้นชีวิตก็ยอ่มกระทา ได้และทรงเป็นเจา้ชีวิต ของที่ดินตลอดทั่วราชอาณาจักร แต่เมื่อภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ระบบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็ นระบอบ ประชาธิปไตยซึ่ งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุข ท าให้พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์
91 ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยคือ ทรงเปลี่ยนฐานะเป็ นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่มี รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม่บทในการใชพ้ระราชอา นาจท้งัปวง พระราชสถานะและพระราชอ านาจของพระมหากษัตริย์ รูปแบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ได้ก าหนดไวใ้นรัฐธรรมนูญไทย ทุกฉบับอันเป็นกฎหมายแม่บทสูงสุดในการปกครองประเทศ จะต้องกล่าวถึงสถาบัน พระมหากษัตริย์ไว้ในรัฐธรรมนูญ เพราะรูปแบบประมุขของประเทศไทย คือ พระมหากษัตริย์ ที่สืบเนื่องกันมาอย่างยาวนาน ตามประเพณีการปกครองไทยในระบอบประชาธิ ปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็ นประมุข และตามรัฐธรรมนูญพระมหากษัตริย์จะมีพระราชสถานะและ ตา แหน่งหนา้ที่ต่าง ๆ มี2 ประการคือ 1. พระราชสถานะและพระราชอา นาจของพระมหากษัตริย์ทบี่ัญญตัิไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ เช่น พระมหากษตัริยเ์ป็นองคพ์ระประมุข หรือพระมหากษตัริยเ์ป็นอคัรศาสนูปถมัภกรวมท้งทรงด ารง ั ตา แหน่งจอมทพั ไทย ดงัปรากฏในพระราชบญัญตัิธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกลา้เจา้อยูห่ ัว) หมวด 2 กษตัริย์มาตรา 3กล่าววา่ “กษตัริยเ์ป็นประมุขสูงสุดของประเทศ พระราชบญัญตัิก็ดีคา วินิจฉยัของ ศาลก็ดีการอื่น ๆ ซ่ึงจะมีบางกฎหมายระบุไวโ้ดยเฉพาะก็ดีจะตอ้งกระทา ในนามของกษตัริย” ์และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร(รัชกาลที่ 10) หมวดที่ 2 พระมหากษัตริ ย์ มาตรา 6 กล่าวว่า “องค์ พระมหากษตัริยท์รงดา รงอยู่ในฐานะอันเป็ นที่เคารพสักการะ ผูใ้ดจะละเมิดมิได้ผูใ้ดจะกล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” 2. พระราชสถานะและพระราชอ านาจของพระมหากษัตริย์ตามประเพณีการปกครอง ตามหลกัทวั่ ไป พระมหากษตัริยม์ ีพระราชอา นาจนอกเหนือจากที่กล่าวขา้งตน้คือแต่เดิม พระมหากษัตริย์ มีอา นาจสิทธิขาดในทุก ๆ เรื่องและทุก ๆ กรณีแต่ผูเ้ดียว ต่อมาเมื่อมีรัฐธรรมนูญ เป็นลายลกัษณ์อกัษรจา กดัพระราชอา นาจของพระมหากษตัริย์ถ้ากรณีใดไม่มีบทบญัญตัิไวใ้น รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายก าหนดขอบเขตหรือเงื่อนไขของการใช้พระราชอ านาจของ พระมหากษตัริยไ์ว้พระมหากษตัริยก์ ็จะยงัคงมีพระราชอา นาจเช่นน้นัอยู่โดยผลของธรรมเนียม
92 ปฏิบัติ (Convention) ซ่ึงมีค่าบงัคบัเป็นรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกนัเช่น พระราชอา นาจในภาวะวิกฤต กล่าวคือ เมื่อเกิดวิกฤตร้ายแรงทางการเมืองถึงการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือ 17-20 พฤษภาคม 2535ก็ดีจะเห็นว่าพระมหากษตัริยท์รงเขา้มา ระงบัเหตุร้อนให้สงบเย็นลงได้อย่างอศัจรรย์เป็นตน้หรือกรณีพระราชอา นาจในการยบัย้งัร่าง กฎหมาย[3] กรณีของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยหลักแล้ว ร่างกฎหมายไม่ว่าจะร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ร่างพระราชบญัญตัิหรือร่างพระราชบญัญตัิ ประกอบรัฐธรรมนูญ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องน าทูลเกล้า ทูลกระหม่อม ภายใน 20 วนัเพื่อพระมหากษตัริยท์รงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราช กิจจานุเบกษาแลว้บงัคบัใชเ้ป็นกฎหมายได้และในกรณีที่พระมหากษตัริยไ์ม่ทรงเห็นชอบดว้ยและ พระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้น 90 วันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาจะต้องปรึกษา ร่างรัฐธรรมนูญแกไ้ขเพิ่มเติม ถา้รัฐสภามีมติยนืยนัตามเดิมดว้ยคะแนนเสียงไม่นอ้ยกวา่2 ใน 3ของ จา นวนสมาชิกท้งัหมดเท่าที่มีอยู่ของท้งัสองสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีตอ้งนา ร่างกฎหมายน้ันข้ึน ทูลเกลา้ถวายอีกคร้ังหน่ึง เมื่อพระมหากษตัริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนมาภายใน 30 วนันายกรัฐมนตรีตอ้งนา รัฐธรรมนูญแกไ้ขเพิ่มเติม หรือพระราชบญัญตัิหรือพระราชบญัญตัิ ประกอบรัฐธรรมนูญน้ันประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บงัคบัเป็นกฎหมายได้เสมือนหน่ึงว่า พระมหากษัตริ ย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว (มาตรา 94) เป็ นต้น พระมหากษัตริ ย์ไทย ในพระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วักบัความภาคภูมิใจของคนไทยท้งัประเทศเป็นที่น่ายินดีกบัคนไทย ท้งัประเทศ เนื่องดว้ยในวนัที่9 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่ผ่านมา เป็นวนัครบ 60 ปีของกษตัริยไ์ทย ในการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจา้อยูห่ ัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โดยรัฐบาลใช้ชื่อว่า “การจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี” ชื่อพระราชพิธี คือ “พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี” และมีชื่อพระราชพิธีภาษาอังกฤษคือ “The Sixtieth Anniversary Celebration of His Majesty’s Accession to the Throne” และประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุขจาก 30 ประเทศเสด็จพระราชด าเนินมาด้วยพระองค์เอง และ 12 ประเทศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งต้งัผูแ้ทนพระองค์ให้ปฏิบตัิพระราชกรณียกิจแทน นบัเป็นการชุมนุมของประมุขจากประเทศ ต่าง ๆ มากที่สุดในโลก จึงขอกล่าวได้ว่า “ส าหรับประเทศไทยถือว่าเป็นปีแห่งศุภวาระมงคล ที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติมา ณ บัดน้ีถึงมหามงคลสมัยที่จะฉลองเฉลิมพระเกียรติ ในการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีอนัยาวนานที่สุดยงิ่กวา่พระมหากษตัริยพ์ระองคใ์ดในพระราช พงศาวดารในสยามประเทศ”
93 พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช(รัชกาลที่ 9) สมเด็จพระเจา้อยหู่วัมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร(พระราชสมภพ 28กรกฎาคม พ.ศ. 2495) เป็นพระมหากษตัริยไ์ทยรัชกาลที่10แห่งราชวงศจ์กัรีเสด็จข้ึนทรงราชย์เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบัน เป็ นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจา้สิริกิต์ิพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเจา้อยหู่วัมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10)
94 แบบฝึ กหัด บทที่ 4 เรื่อง สัญลักษณ์ของชาติไทย ตอนที่1 ให้นักศึกษาดูภาพทกี่า หนดให้แล้วตอบค าถามในประเด็นทกี่า หนด ภาพ ค าอธิบาย ความส าคัญ ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... ......................................... ......................................... .......................................... ........................................... ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... ......................................... ......................................... .......................................... ..........................................