การพัฒนาทักษะปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่ารำประกอบเพลง เรื่อง ทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 Developing practical skills to think creatively about dancing and music. About basic dance skills Using the concept of experiential learning of Mathayom 1 students ยุทธพงษ์ แสนลุน นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่ารำประกอบเพลง เรื่องทักษะพื้นฐาน นาฏศิลป์โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์จังหวัดอุดรธานี ผู้วิจัย ยุทธพงษ์ แสนลุน อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์มัทนียา กายแก้ว ปริญญา คณะครุศาสตร์ สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องทักษะพื้นฐาน นาฏศิลป์ โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่ารำประกอบเพลง เรื่อง ทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์ โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ สังกัด สำนักงานการศึกษาเทศบาลนครอุดรธานี ที่เรียนวิชานาฏศิลป์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 40 คน จากห้อง 1/1 โดยการเลือกแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์ โดยใช้แนวคิดการ เรียนรู้จากประสบการณ์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 92.05/88.74 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้2) นักเรียนมีทักษะการคิดสร้างสรรค์ท่ารำประกอบเพลง สูง กว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ 3) นักเรียน มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์ โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ( X = 4.88, S.D. = 0.04)
ข กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้ส าเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช ่วยเหลืออย ่างดีจาก ผู้ช ่วย ศาสตราจารย์มัทนียา กายแก้ว อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยที่กรุณาให้ค าปรึกษาแนะน าและตรวจสอบแก้ไข ข้อบกพริองต่าง ๆ อย่างละเอียดสมบูรณ์ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณา และขอกราบขอบพระคุณเป็น อย่างสูง ณ โอกาสนี้ ผู้วิจัยขอขอบคุณ นางรัชนี บุญสิทธิ์ นางสาวเพลินพรรณ พันธ์ณวงศ์และว่าที่ร้อย ตรีกิจติ ทองมีขวัญ ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย โดยให้ ค าแนะน าอย่างดียิ่ง ซึ่งเป็นส่วนส าคัญที่ท าให้การวิจัยนี้ส าเร็จลุล่วงด้วยดี ขอขอบพระคุณ นางธนพร แก้วชารุณ ผู้อ านวยการโรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ พร้อมทั้งคณะครูในโรงเรียนทุกท่าน และนักเรียนทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ได้ให้ก าลังใจและให้ความ อนุเคราะห์เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัย และขอบคุณ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ ที่ให้ความ ร่วมมือในการวิจัยในครั้งนี้ คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยขอน้อมร าลึกถึงคุณบิดา มารดา ผู้ให้ ชีวิต ให้การศึกษา ตลอดจนบูรพาจารย์และผู้มีพระคุณทุกท่าน ที่ได้ให้ความรู้และอบรมสั่งสอนแก่ผู้วิจัย จนประสบความส าเร็จในการศึกษา ยุทธพงษ์ แสนลุน
ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ..................................................................................................................... ก กิตติกรรมประกาศ ...................................................................................................... ข สารบัญ ......................................................................................................................... ค สารบัญตาราง ............................................................................................................... จ สารบัญภาพ ................................................................................................................. ช บทที่ 1 บทน า ………………………………………………………………………………………………………… 1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ………………………………………...……………. 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย …………………………………………………………………………… 4 สมมติฐานของการวิจัย ……………………………………….……………………………………… 5 ขอบเขตของการวิจัย ……………………………………………….………………………………… 5 นิยามศัพท์เฉพาะ ……………………………………………………………………………………… 6 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ………………………………………..…………………………… 8 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ …………………………………………………………………………………………….. ความคิดสร้างสรรค์……………….……………..………..………………..……………………………… 8 14 ภาษาท่าและนาฏยศัพท์…………………….………………………..……….…………..…………….. 15 หลักการคิดประดิษฐ์ท่ารำ ...................................................................................... การเรียนรู้จากประสบการณ์ ………………………….…………………………………………… ทักษะปฏิบัติ ………………………………………………………………………………………………. การสร้างแบบวัดภาคปฏิบัติ …………………………………………………………………………. ความพึงพอใจในการเรียนรู้ ………………………………………………………………………… 17 18 26 28 35 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง …………………….…………..…………………….……………………..…… 37
ง สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 3 วิธีด าเนินการวิจัย …………………….…………..……………………..……….……..……………… แบบแผนการวิจัย …………………………………………………………………………………………… ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง …………………….………......……………………………….……… เครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ ………………………...………..…………..... 41 41 42 42 การเก็บรวบรวมข้อมูล …………………….……..…………..……...……………..….…………….. 46 การวิเคราะห์ข้อมูล …………………….…………..……………..…………………………..……….. 47 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล …………………….………...........................……………….. 48 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล …………………….………….…………………..……….……………………… 50 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ……………………..…….………………………….…….. 50 ล าดับขั้นในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ……………………….....………….……….. 50 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล …………………………………………………..….……………..………….. 51 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ …………………….………….…….…………………… 54 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ………………………………………………….……..……….………….. 54 สรุปผลการวิจัย ……………………………………………………………………………….………….. 54 การอภิปรายผล ……………………..………………………………………………………..………….. 55 ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………..….……………..………….. 57 บรรณานุกรม …………………….….…………..……….…………..………………..……………………….. 58 ภาคผนวก …………………….………….…….…………………………………………………..……………… ภาคผนวก ก .............................................................................................................. 62 63 ภาคผนวก ข …………………………………………………………………………………………………. ภาคผนวก ค ............................................................................................................... ภาคผนวก ง ............................................................................................................... ภาคผนวก จ ............................................................................................................... ภาคผนวก ฉ ............................................................................................................... 65 71 76 83 87 ประวัติย่อของผู้วิจัย …………………….…….………………………..…………..………..………… 94
จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 2.1 มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจ และแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่านาฏศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวัน ........................................................................................... 2.2 มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของนาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและ สากล ……………………………………………………………………………………………………………………… 4.1 ประสิทธิภาพของการพัฒนาทักษะการปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่ารำประกอบเพลง โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) ส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ……………......................................................................................................... 4.2 การวิเคราะห์เปรียบเทียบทักษะปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่าร า โดยใช้แนวคิดการ เรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลัง เรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 …………..……………………………………………………………………………. 4.3 ทดสอบสมมาตฐานการวิจัย ………………………………………………………………………………. 4.4 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มี ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) ………………………………………………………..……………………………… แบบวัดทักษะปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่าร าประกอบเพลง ................................................. เกณฑ์การให้คะแนนแบบวัดทักษะปฏิบัติเรื่อง การคิดสร้างสรรค์ท่าร าประกอบเพลง …….. แบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อโดยใช้การเรียนรู้จาก ประสบการณ์(Experiential learning) เรื่องทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์รายวิชาดนตรี-นาฏศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 …………………………………………………………. ตารางคะแนนของกลุ่มตัวอย่าง เรื่อง การคิดสร้างสรรค์ท่าร าประกอบเพลง รายวิชา นาฏศิลป์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ………………………………………………………………………………… ตารางคะแนนความพึงพอใจ เรื่อง ทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์รายวิชานาฏศิลป์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 …………………..…………………………………………………………………………… 12 13 51 52 52 53 67 68 70 72 74
ฉ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของ เกณฑ์ประเมินทักษะ (Index of Item Objective Congruence :IOC) เรื่อง การพัฒนา ทักษะปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่ารำประกอบเพลง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แนวคิด การเรียนรู้จากประสบการณ์ (experiential learning) ……………………………………………….. แบบประเมินความสอดคล้องของข้อคําถามวัดความพึงพอใจที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 …….…………………………………….. ฉ.1 ผลการประเมินความสอดคล้อง (IOC) เเผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทักษะพื้นฐาน นาฏศิลป์โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (EXPERIENTIAL LEARNING) ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ……………………………………………………………………………………………… ตารางที่ ฉ.2 ผลการประเมินความคิดเห็นเเผนการจัดการเรื่อง ทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์โดย ใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (EXPERIENTIAL LEARNING) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ โดยผู้เชี่ยวชาญ ………………………………..………… ฉ.3 ผลการประเมินความสอดคล้อง (IOC) แบบวัดภาคปฏิบัติ เรื่อง การคิดสร้างสรรค์ท่าร า ประกอบเพลง โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ……………………………………………………………………………………………… ฉ.4 ผลการประเมินความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อความสอดคล้องของแบบวัด ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ภาษาท่าและนาฏยศัพท์โดยใช้แนวคิด การเรียนรู้จากประสบการณ์ ชั้นมัธยมศึกษาป๊ที 1 …………………………….………………………… หน้า 84 86 88 90 92 93
ช สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 แสดงความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบเชิงประสบการณ์(Experiential learning) .. 19 2 วงจรการเรียนรู้จากประสบการณ์ (ExperientialLearning Cycle Theory) ของ Koib .. 22 3 แสดงขั้นตอนการเรียนรู้ตามทฤษฎีวงจรการเรียนรู้ของ Honey และ Mumford ……….. 4 ขั้นตอนการเรียนรู้จากประสบการณ์(Experiential Learning) ………………………………… 24 26
1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา นาฎศิลป์เป็นศิลปะแห่งการละคร ฟ้อนรำ ดนตรี และเป็นศิลปวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ที่แสดงถึง ความเป็นชาติ ที่เจริญรุ่งเรืองด้านวัฒนธรรม แสดงถึงลักษณะเอกลักษณ์ที่มีความโดดเด่นของความเป็น ชาติไทย สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน (วิมลศรี อุปรมัย, 2555) นาฎศิลป์ยังมีความอ่อน ช้อยงดงาม และมีลีลาท่ารำที่เป็นแบบฉบับ แสดงถึงความเป็นเอกลักษณของชาติ สร้างความประทับใจผู้ดู นาฎยศาสตรในสมัยก่อนเป็นศิลปะที่แตกต่างกับศิลปะอื่น ๆ เพราะเก็บรักษาไว้ได้ในตัวคนเท่านั้น ไม่อาจ เก็บไว้ได้อย่างถาวร (พิมพ์วดี จันทรโกศล, 2557) การแสดงนาฎศิลป์เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายด้วยทา ทางที่ประดิษฐ์คิดคนขึ้นมาออกมาเป็นแบบแผนที่งดงาม เพื่อโนมน้าวให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมและคล้อยตาม ซึ่งการแสดงนาฏศิลป์ของไทยเราประกอบด้วย ฟ้อนรำ ระบำ ละคร โขน และการแสดงพื้นเมือง (พื้นบ้าน) การเรียนนาฎศิลป์มีประโยชน์ต่อเด็ก คือ ช่วยพัฒนาด้านร่างกาย ธรรมชาติของเด็กนั้นจะไม่ ชอบอยู่นิ่ง แต่ชอบการเคลื่อนไหวร่างกายในการเดิน วิ่ง กระโดด ยักย้ายร่างกายไปมา ส่งผลให้เด็ก คล่องแคล่วกระฉับกระเฉง ช่วยพัฒนาด้านอารมณ์ ขณะที่เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายในการฟ้อนรำหรือเต้น ระบำประกอบเพลงนั้น เด็กจะมีความสนุกสนานเพลิดเพลิน ได้ปลดปล่อยความเครียดที่มีอยู่ ส่งผลให้เด็ก ๆ มีอารมณ์เบิกบานแจ่มใส กลาแสดงออกในสิ่งที่เด็กขาดความมั่นใจ ทำให้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฎศิลป์ ได้มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้เป็นพลังสำคัญของประเทศชาติ มีความรู้และทักษะพื้นฐาน โดยพัฒนาให้ ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณคาของศิลปะ เปิดโอกาสให้ ผู้เรียนแสดงออกอย่างอิสระในศิลปะแขนงต่าง ๆ ประกอบด้วยสาระสำคัญ คือ ทัศนศิลป์ ดนตรี และ นาฏศิลป์ซึ่งในสวนของสาระนาฎศิลป์นั้น หลักสูตรแกนกลางการศึกษา พุทธศักราช 2551 ได้กำหนด
2 จุดหมายให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบนาฏศิลป์ แสดงออกทางนาฏศิลป์อย่าง สร้างสรรค์ ใช้ศัพท์เบื้องต้นทางนาฏศิลป์ วิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์คุณค่านาฏศิลป์ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ สร้างสรรค์การเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ ประยุกตใช้นาฎศิลป์ในชีวิตประจำวัน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ในการพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ฝึกให้ผู้เรียน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ โดยถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด และผู้สอนควรจัดเนื้อหาสาระกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจความถนัด ของผู้เรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะวิธีการทางศิลปะเกิด ความซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงออกอย่างอิสระ ในศิลปะแขนงต่าง ๆ ประกอบด้วย 3 สาระ คือ ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฎศิลป์ สาระสำคัญของนาฎศิลป์คือให้ผู้เรียนมีความรู้ความ เข้าใจองค์ประกอบนาฏศิลป์ แสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ ใช้ศัพท์เบื้องต้นทางนาฏศิลป์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่านาฏศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระสร้างสรรค์ การ เคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ ประยุกต์ใช้นาฏศิลป์ในชีวิตประจำวัน เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ กับประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เห็นคุณค่าของนาฎศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นภูมิ ปัญญาไทยและสากล (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, น. 51) อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระเเสการเปลี่ยนแปลงของยุคโลกาภิวัฒน์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง และ รวดเร็วส่งผลให้ศิลปวัฒนธรรมของตะวันตก หลั่งไหลเข้ามามีบทบาทที่สำคัญในสังคมและวิถีชีวิตของคน ไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนที่ปราศจากการคัดสรรและกลั่นกรองเป็นเหตุให้เยาวชนไทย ละทิ้งคุณค่าที่ดีงามของศิลปวัฒนธรรมไทย และภูมิปัญญาไทยซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อนุชนรุ่นหลังขาด ความภาคภูมิใจในความเป็นไทย และทอดทิ้งศิลปวัฒนธรรมไทย (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ. 2543:16) การสร้างสรรค์ผลงานนาฎศิลป์ ในยุคปัจจุบันทักษะการคิดสร้างสรรค์ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากเป็นการฝึกพัฒนาการทางด้านความคิด เพื่อให้สามารถประยุกต์และปรับตัวให้เข้ายุคยุคสมัยได้ อยู่เสมอ ความคิดสรางสรรค์ เป็นความสามารถด้านหนึ่งที่ครูต้องทำหน้าที่ช่วยส่งเสริมนักเรียนให้เกิดการ พัฒนาตามศักยภาพของแต่ละคน โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนนาฏศิลป์ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสาระการ เรียนรู้ศิลปะที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มี
3 สุนทรียภาพซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมทางศิลปะที่ช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคมตลอดจนการนำไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นใน ตนเอง อันเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้ ซึ่งสาระนาฏศิลป์มุ่งเน้นให้ผู้เรียน มีความรู้ ความเข้าใจองค์ประกอบนาฏศิลป์การแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ ใช้ศัพท์เบื้องต้นทาง นาฎศิลป์วิเคราะห์วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่านาฏศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึกความคิดอย่างอิสระ สร้างสรรค์ การ เคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ ประยุกต์ใช้นาฏศิลป์ในชีวิตประจำวัน เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฎศิลป์ กับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เห็นคุณค่าของนาฎศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิ ปัญญาไทย และภูมิปัญญาสากล โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เป็น สถานศึกษาขั้นพื้นฐานเปิดทำการสอนในระดับปฐมวัย ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรสถานศึกษาที่สอดคล้องกับหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 จากการจัดการเรียนการสอนวิชานาฏศิลป์ในระยะ หลายปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้วิจัยทำหน้าที่เป็นครูผู้สอนพบว่า ยังไม่สามารถพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามจุดมุ่งหมาย ได้นักเรียนไม่สามารถปฏิบัติท่ารำได้ อันส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชานาฏศิลป์ มีระดับ คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 49.08 ผลการประเมินอยู่ในระดับต่ำ (โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์. 2565:5) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะครูผู้สอนใช้วิธีการสอนแบบบรรยาย ในการจัดกระบวนการเรียนการสอนยังคงมี พฤติกรรมการถ่ายทอดที่จำเจ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนาฏศิลป์เป็นวิชาที่เน้นทักษะต้องมีการฝึกฝนที่ถูก แบบแผน ฝึกให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดเพื่อกระตุ้นการ จึงส่งผลให้ผู้เรียนขาดทักษะการปฏิบัติท่ารำ ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าแสดงออก จึงเบื่อที่จะเรียนในวิชานาฏศิลป์ไม่กล้าคิด ไม่กล้าตัดสินใจ ขาดทักษะ การสร้างสรรค์ เรียนรู้ ในการวางรากฐานการสอนวิชานี้ ผู้สอนต้องรู้จักพลิกแพลง เลือกวิธีสอนและใช้วิธี สอนเฉพาะตนในการถ่ายทอดความรู้ เพื่อสร้างความนิยม ความรักในวิชาการและเกิดสุนทรียะกับตัว ผู้เรียน (อมรา กล่ำเจริญ. 2533:49) ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนเพื่อช่วยแก้ปัญหาและช่วยให้ผู้เรียนเกิดประสิทธิภาพในการ เรียนรู้มากยิ่งขึ้นในการจัดการเรียนการสอนนาฏศิลป์ที่จะทำให้น่าสนใจและฝึกให้ผู้เรียนได้กระตุ้นกบวน การคิดจากประสบการณ์ของตนเองจึงควรเป็นการเรียนการสอนที่เน้นการปฏิบัติและการมีส่วนร่วมของ ผู้เรียน ซึ่งแนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์(Experiential learning) เป็นแนวคิดหนึ่งที่ถูกนำมาใช้กับ การจัดการเรียนการสอนในรายวิชาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพราะการเรียนรู้จากประสบการณ์คือ กระบวนการสร้างความรู้ ทักษะ และเจตคติด้วยการนำเอาประสบการณ์เดิมของผู้เรียนมาบูรณาการเพื่อ
4 สร้างการเรียนรู้ใหม่ ๆ ขึ้น ซึ่งกระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบมีทั้งหมด 4 ขั้น คือ 1) ขั้นลงมือทำ (Experience) 2) ขั้นสะท้อนสิ่งที่เรียนรู้ (Reflect) 3) ขั้นคิดวิเคราะห์/สังเคราะห์ (Thinking) 4) ขั้น ประยุกต์ใช้ (Acting) จะเห็นได้ว่า การจัดการเรียนการสอนตามการเรียนรู้จากประสบการณ์ทำให้นักเรียน ได้ฝึกทักษะการเรียนรู้เป็นไปตามขั้นตอนอย่างมีระบบต่างจากการสอนของครูที่ปฏิบัติอยู่ในโรงเรียน การ สอนตามแนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) มุ่งให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้หรือ กระทำอย่างถูกต้องสมบูรณ์ และชำนาญ เพื่อเป็นการกระตุ้นและพัฒนาเสริมสร้างความมั่นใจ ความกล้า แสดงออกให้แก่ผู้เรียนทำให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติงานด้านนาฏศิลป์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อรุณฉัตร คุรุ วาณิชย์ และชนันญา น้อยสันเทียะ. ม.ป.ป.) จากสภาพปัญหาการจัดการเรียนการสอนวิชานาฏศิลป์ โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีข้างต้น ประกอบกับการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในเรื่องการพัฒนาทักษะปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่ารำและแถวประกอบเพลง โดยใช้ แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (EXPERIENTIAL LEARNING) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่ง น่าจะเป็นกระบวนการ การเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการ เรียนรู้ศิลปะ (สาระนาฎศิลป์) เรื่อง การสร้างสรรค์ท่ารำประกอบเพลง เพราะเป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนได้ ลงมือปฏิบัติจริง และสนุกสนานกับการทำกิจกรรมกับกลุ่มเพื่อน ในขณะที่ครูนั้นคอยให้คำปรึกษา ทำให้ การเรียนรู้เป็นไปอย่างทำธรรมชาติไม่มีความกดดัน ซึ่งมีการวางแผนปฏิบัติงานอย่างมีขั้นตอน มีการ พัฒนาและประเมินผลงาน ซึ่งจะทำให้การทำงานบรรลุวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์ โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จาก ประสบการณ์ (Experiential learning) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่ารำประกอบเพลง เรื่องทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์ โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์(Experiential learning) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80
5 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์ โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์(Experiential learning) สมมติฐานการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ตั้งสมมุติฐานในการวิจัยไว้ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์ โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. นักเรียนมีทักษะปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่ารำประกอบเพลง เรื่องทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์โดย ใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลัง เรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จาก ประสบการณ์ประสบการณ์(Experiential learning) มีความพึงพอใจต่อการเรียนอยู่ในระดับดีมาก ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 1.1 ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ จำนวน 3 ห้องเรียน นักเรียนจำนวน 86 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟ สงเคราะห์จำนวน 1 ห้องเรียน คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 นักเรียนจำนวน 40 คน ได้มา โดยวิธีเจาะจง (Purposive Sampling) 2. เนื้อหาที่ใช้วิจัย เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เป็นเนื้อหาในวิชาศิลปะ สาระการเรียนรู้นาฏศิลป์ เรื่อง ทักษะพื้นฐาน ทางด้านนาฏศิลป์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรโรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์
6 ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ โดยผู้วิจัยสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ขึ้นมีจำนวน 6แผนใช้เวลาในการสอนทั้งหมด 6 ชั่วโมงมีเนื้อหา ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับนาฏศิลป์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง นาฏยศัพท์ เเผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การเคลื่อนไหวท่าทางตามแบบนาฏศิลป์ไทย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การตีบทในการแสดง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง การแปรแถว แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง การคิดและการประดิษฐ์ท่ารำ 3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 3.1 ตัวแปรต้น การจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้ จากประสบการณ์ (Experiential learning) 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะการปฏิบัติท่ารำประกอบเพลงอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) หมายถึง กระบวนการสร้างความรู้ ทักษะ และเจตคติด้วยการนำเอา ประสบการณ์เดิมของผู้เรียนมาบูรณาการเพื่อสร้างการเรียนรู้ใหม่ ๆ ขึ้น ซึ่งกระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบมีทั้งหมด 4 ขั้น คือ 1) ขั้นลงมือทำ (Experience) 2) ขั้น สะท้อนสิ่งที่เรียนรู้ (Reflect) 3) ขั้นคิดวิเคราะห์/สังเคราะห์ (Thinking) 4) ขั้นประยุกต์ใช้ (Acting) 2. การคิดสร้างสรรค์ท่ารำ คือ กระบวนการคิดท่ารำหรือแนวคิดในการแสดงใหม่ ๆ เพื่อให้เกิด ท่ารำในรูปแบบที่แปลกตา โดยการคิดสร้างสรรค์นั้นสามารถสร้างประโยชน์และพัฒนาได้ โดยการคิด สร้างสรรค์ค์นั้นจะต้องมีแนวคิด เพื่อเป็นแนวทางในการแลกเปลี่ยนเพื่อจุดประเด็นความคิดใหม่ ๆ มุมมองที่แปลก และเกิดท่ารำและการแสดงที่แปลกตา 3. แถว คือ คนหรือสิ่งที่เรียงเป็นแนว หรือรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบและ สวยงาม
7 4. เพลง คือ ถ้อยคำที่นักประพันธ์เรียงร้อยหรือเรียบเรียงขึ้น ซึ่งประกอบด้วย เนื้อร้อง ทำนอง จังหวะ ทำให้เกิดความไพเราะสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ผู้ฟัง มีคุณค่าด้านวรรณศิลป์ทั้งด้านการ เลือกสรรคำที่ใช้ในการแต่ง การเรียบเรียงประโยค และการใช้โวหาร เพลงนั้นอาจให้ข้อคิดแก่ผู้ฟังในการ ดำเนินชีวิตด้วยสำเนียงขับร้อง ทำนองดนตรี กระบวนวิธีรำระบำโดยเพลงสร้างสรรค์จากเครื่องดนตรีหรือ การขับร้อง 5. ประสิทธิภาพรูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) หมายถึง คุณภาพของทักษะปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่ารำประกอบเพลง สูงขึ้น ได้ตามเกณฑ์ที่ กำหนด 80/80 (ชัยยงค์ พรหมวงศ์.2523 : 490-492) เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (E1/E2 ) หมายถึง เกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดประสิทธิภาพของการ พัฒนาทักษะการปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่ารำประกอบเพลง โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการพิจารณาจากกระบวนการการ เรียนรู้และผลการเรียนรู้ดังนี้ 80 ตัวแรก (E1 ) หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดจากประเมิน ทักษะปฏิบัติระหว่างเรียนรู้มากกว่า หรือเท่ากับร้อยละ 80 80 ตัวหลัง (E2 ) หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดจากการวัด ทักษะปฏิบัติหลังเรียนมากกว่า หรือเท่ากับร้อยละ 80
8 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแยกการ นำเสนอเนื้อหาตามลำดับ ดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ 2. ความคิดสร้างสรรค์ 3. ภาษาท่าและนาฏยศัพท์ 4. หลักการคิดประดิษฐ์ท่ารำ 5. การเรียนรู้จากประสบการณ์(Experiential Learning) 6. ทักษะปฏิบัติ 7. การสร้างแบบวัดภาคปฏิบัติ 8. ความพึงพอใจในการเรียนรู้ 9. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ การนำเสนอเกี่ยวกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการ เรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551) มีรายละเอียด ดังนี้ 1. วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ 2. หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้
9 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการ เรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบน พื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง เสมอภาค และมีคุณภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลา และการ จัดการเรียนรู้ 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตาม อัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายสามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ 3. จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง 2. มีความรู้ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมี ทักษะชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลกยึดมั่นในวิถีชีวิตและการ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคมและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่าง มีความสุข
10 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้ มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ดังนี้ 1. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ ๕ ประการ ดังนี้ 1.1 ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มี วัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึกและทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคมรวมทั้ง การเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วย หลักเหตุผลและความถูกต้องตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึง ผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 1.2 ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบเพื่อนำไปสู่การ สร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 1.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบ ที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 1.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการ ต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและ ความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 1.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ใน ด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมี คุณธรรม
11 2. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1. รักชาติศาสน์ กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตาม บริบทและจุดเน้นของตนเอง 5. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ทัศนศิลป์ มาตรฐาน ศ 1.1 สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่องานศิลปะอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 1.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และ วัฒนธรรม เห็นคุณค่างานทัศนศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและ สากล สาระที่ 2 ดนตรี มาตรฐาน ศ 2.1 เข้าใจและแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าดนตรี ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่อดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 2.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดนตรี ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของดนตรีที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล
12 สาระที่ 3 นาฏศิลป์ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจ และแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่านาฏศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่า ของนาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 6. คุณภาพผู้เรียน จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ 1. รู้และเข้าใจองค์ประกอบนาฏศิลป์ สามารถแสดงภาษาท่า นาฏยศัพท์พื้นฐาน สร้างสรรค์ การเคลื่อนไหวและการแสดงนาฏศิลป์ และการละครง่าย ๆ ถ่ายทอดลีลาหรืออารมณ์ และสามารถ ออกแบบเครื่องแต่งกายหรืออุปกรณ์ประกอบการแสดงง่าย ๆ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ และการละครกับสิ่งที่ประสบในชีวิตประจำวัน แสดงความคิดเห็นในการชมการแสดง และบรรยาย ความรู้สึกของตนเองที่มีต่องานนาฏศิลป์ 2. รู้และเข้าใจความสัมพันธ์และประโยชน์ของนาฏศิลป์และการละคร สามารถเปรียบเทียบ การแสดงประเภทต่าง ๆ ของไทยในแต่ละท้องถิ่น และสิ่งที่การแสดงสะท้อนวัฒนธรรมประเพณีเห็น คุณค่าการรักษาและสืบทอดการแสดงนาฏศิลป์ไทย 7. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง (สาระนาฏศิลป์) ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง (สาระนาฏศิลป์) ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่ 2.1 มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจ และแสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ คุณค่านาฏศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. อธิบายอิทธิพลของนักแสดงชื่อดังที่มีผลต่อ การโน้มน้าวอารมณ์หรือความคิดของผู้ชม • การปฏิบัติของผู้แสดงและผู้ชม • ประวัตินักแสดงที่ชื่นชอบ • การพัฒนารูปแบบชองการแสดง • อิทธิพลของนักแสดงที่มีผลต่อ พฤติกรรมของผู้ชม
13 2. ใช้นาฏยศัพท์หรือศัพท์ทางการละครใน การแสดง • นาฏยศัพท์หรือศัพท์ทางการละครใน การแสดง • ภาษาท่า และการตีบท • ท่าทาง และการตีบท • ท่าทางเคลื่อนไหวที่แสดงสื่อารมณ์ • ระบำเบ็ดเตล็ด • รำวงมาตรฐาน 3. แสดงนาฏศิลป์และละครในรูปแบบง่าย ๆ • รูปแบบการแสดงนาฏศิลป์ - นาฏศิลป์ - นาฏศิลป์พื้นบ้าน - นาฏศิลป์นานาชาติ 4. ใช้ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม ใน กระบวนการผลิตการแสดง • บทบาทหน้าที่ของฝ่ายต่าง ๆ ในการ จัดแสดง • การสร้างสรรค์กิจกรรมการแสดงที่ สนใจ โดยแบ่งฝ่ายแบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน 5. ใช้เกณฑ์ง่าย ๆ ที่กำหนดให้ในการ พิจารณาคุณภาพการแสดงที่ชมโดยเน้นการ ใช้เสียง การแสดงท่า และการเคลื่องไหว • หลักในการชมการแสดง ตารางที่ 2.2 มาตรฐาน ศ 3.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. ระบุปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ นาฏศิลป์ นาฏศิลป์พื้นบ้าน ละครไทย และ ละครพื้นบ้าน • ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ นากศิลป์ นาฏศิลป์พื้นบ้าน ละครไทย และ ละครพื้นบ้าน 2. บรรยายประเภทของละครไทยในแต่ละยุค สมัย • ประเภทของละครไทยในแต่ละยุคสมัย
14 สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ประกอบไปด้วยวิสัยทัศน์ หลักการ จุดหมาย สมรรถนะที่สำคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ซึ่งเป็นตัวกำหนดสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน และในส่วนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ก็จะมีส่วนของตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ที่มีความแตกต่างกันไปแต่ละวิชาที่บ่งบอกถึง สิ่งที่ผู้เรียนต้องทำได้และได้รับหลังจากที่ได้รับการเรียนรู้ตามหลักสูตร 2. ความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ นักการศึกษาและนักวิชาการได้ให้ความหมายของความคิดสร้างสรรค์ไว้ดังนี้กรมวิชาการ (2546, หน้า 1 ได้ให้ความหมายว่า ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถในการมองเห็น ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ โดยมีสิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้น ทำให้เกิดความคิดใหม่ต่อเนื่องกันไป และ ความคิดสร้างสรรค์นี้ประกอบด้วยความคล่องในการคิดความคิดยืดหยุ่นและความคิดที่เป็นของตนเอง โดยเฉพาะหรือความคิดริเริ่ม สิริญากร สดแสงจันทร์ (2547, หน้า 12) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นลักษณะการ ผสมผสานความคิดเดิมกับความคิดใหม่ ก่อให้เกิดสิ่งใหม่ โดยมีสิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดความคิด ใหม่ต่อเนื่องกันไป มีความคิดยืดหยุ่นและพร้อมที่จะปรับให้เข้ากับสิ่งใหม่ๆ ที่เหมาะสมกว่าได้ ซึ่ง รวมทั้งการประดิษฐ์คิดค้นพบสิ่งต่างๆ ตลอดจนวิธีการคิด ทฤษฎีและหลักการได้สำเร็จสุวิทย์ มูลคำ (2547, หน้า 9) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการทางปัญญาที่สามารถขยายขอบเขต ความคิดที่มีอยู่เดิมสู่ความคิดที่แปลกใหม่แตกต่างไปจากความคิดเดิมและเป็นความคิดที่ใช้ประโยชน์ ได้อย่างเหมาะสม อุทุมพร จันทรอด (2547, หน้า 18) ได้ให้คำจำกัดความว่า ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการคิดและมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ โดยใช้ความรู้หรือ ประสบการณ์เดิมเป็นองค์ประกอบสำคัญและมีสิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้น ทำให้เกิดความคิดใหม่เชื่อมโยง ต่อเนื่องกันไป และความคิดสร้างสรรค์นี้ประกอบด้วยความคล่องในการคิด ความคิดยืดหยุ่น และ ความคิดที่เป็นของตนเองโดยเฉพาะหรือความริเริ่ม ทำให้เกิดความคิดใหม่คิดได้หลายทิศทาง คิด อย่างมีเหตุผลและมีความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์และสังเคราะห์จากการศึกษาความหมายของ ความคิดสร้างสรรค์ สรุปได้ว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นความคิดที่ต่อยอดจากของเดิมเรียกว่าแรงบันดาลใจ โดย ต้องอาศัยประสบการณ์และสิ่งเร้าเพื่อให้เกิดแนวคิดที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร สามารถทำให้เกิดสิ่ง ใหม่ที่เป็นประโยชน์ได้อย่างสร้างสรรค์
15 3. ภาษาท่าและนาฏยศัพท์ ภาษาท่า การนำเสนอเกี่ยวกับภาษาท่า ผู้วิจัยได้แบ่งการนำเสนอออกเป็น 2 หัวข้อ คือ 1) ความหมายของภาษาท่า 2) หลักและความสำคัญของภาษาท่า มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของภาษาท่า อมรา กล้ำเจริญ (2535, อ้างอิงใน รสสุคนธ์ เพ็ญเนตร. 2561:31) กล่าวไว้ว่า ภาษาท่า นาฏศิลป์ หมายถึง ภาษาท่าทางนาฏศิลป์เสมือนเป็นภาษาพูดโดยไม่ต้องเปล่งเสียงออกมาแต่อาศัย ส่วนประกอบอวัยวะของร่างกายแสดงออกมาเป็นท่าทางเป็นสื่อให้ผู้ชมสามารถเข้าใจได้และถ้าได้มี การแนะนำในการใช้ท่าทางต่าง ๆ ก่อนบ้างพอสมควรแล้วยิ่งจะทำให้รู้เรื่องราวความเข้าใจเพิ่มความ สนุกสนานมากขึ้นพื้นฐานของการใช้ภาษาท่านาฏศิลป์นี้ ส่วนมากจะนำมาจากท่าธรรมชาติแต่นำมา ประดิษฐ์ดัดแปลงให้มีความอ่อนช้อยและความสวยงามกิริยาท่าทางที่แสดงออกมาเป็นภาษาท่ นาฏศิลป์ สุมิตร เทพวงษ์ (2541:191-223, อ้างอิงใน รสสุคนธ์ เพ็ญเนตร. 2561:32) กล่าวไว้ว่า การรำตีบทภาษาท่า ภาษาท่านาฎศิลป์ คือ การแสดงท่าทางแทนคำพูดให้มีความหมายรวมทั้งแสดง อารมณ์ด้วย เรณู โกศินานนท์ (2546, อ้างอิงใน รสสุคนธ์ เพ็ญเนตร. 2561:32) กล่าวไว้ว่า ภาษาท่า นาฎศิลป์ หมายถึง ท่าทางของนาฏศิลป์ที่มีกำเนิดมาจากทำธรรมชาติเป็นพื้นฐานต่อมาจึงได้พัฒนา รูปแบบหรือประดิษฐ์ท่าขึ้นมาเพื่อเป็นการสื่อความหมายโดยเฉพาะ สรุปได้ว่า ภาษาท่าหมายถึงการแสดงท่าทางที่สื่อออกมาแทนคำพูดและแสดงออกถึง อารมณ์ต่างๆผ่านท่าทางนาฏศิลป์ซึ่งแต่ละท่าก็จะมาจากท่าทางที่มาจากชีวิตประจำวันที่ราพบเห็นแค่ จะมีลีลาของนาฏศิลป์เพิ่มเข้ามาเพื่อความสวยงาม 2. หลักและความสำคัญของภาษาท่า สุมิตร เทพวงษ์ (2541:191-223, อ้างอิงใน รสสุคนธ์ เพ็ญเนตร. 2561:33) ได้กล่าวถึง หลักสำคัญของการแสดงภาษาท่านาฏศิลป์ไว้ว่าคำนึงถึงความสวยงามและสื่อความหมายให้เด่นชัด อย่าทำเหลื่อมกับคำพูดพยายามเลี่ยงท่าซ้ำที่วรรคติด ๆ กันอย่าทำมือซ้ำเพียงข้างเดียว ให้ตัดท่าย่อย ออกการออกท่าควรคำนึงถึงบุคลิกของตัวละครและคำนึงถึงการเอียงศีรษะด้วย โชติกา สมพงษ์ (ม.ป.ป.:ออนไลน์) ได้กล่าวถึง หลักสำคัญของภาษาท่า คือ ท่าทางที่ใช้ ประกอบการแสดงต้องแสดงถึงท่าสำคัญ ๆ ในบทเพลงวรรคนั้น ๆ โดยตัดท่าที่ไม่สำคัญหรือท่าย่อย ออกท่ารำที่ประดิษฐ์หรือสร้างสรรค์ต้องสื่อความหมายได้ชัดเจนท่ารำที่ประดิษฐ์จะต้องคำนึงถึงความ ถูกต้องตรงตามแบบแผนของนาฎศิลป์ไทย
16 สรุปได้ว่า หลักในการใช้ภาษาท่าคือการแสดงท่าทางที่สำคัญๆโดยสื่อความหมายท่าให้ ชัดเจนเข้าใจและตัดท่าย่อยที่ไม่สำคัญออก ต้องสื่อความหมายให้ถูกต้องและสวยงามตามแบบ นาฏศิลป์ นาฏยศัพท์ การนำเสนอเกี่ยวกับนาฏยศัพท์ ผู้วิจัยได้แบ่งการนำเสนอออกเป็น 2 หัวข้อ คือ 1) ความหมายของนาฏยศัพย์ 2) ที่มาของนาฏยศัพท์มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของนาฏยศัพย์ ราชบัณฑิตยสถาน (2545, อ้างอิงใน รสสุคนธ์ เพ็ญเนตร. 2561:25) ตามความหมายมี ไว้ว่า หมายถึง คำเสียงที่ใช้เรียกชื่อท่าเกี่ยวกับการฟ้อนรำเกี่ยวกับการแสดงละคร อมรา กล้ำเจริญ (2535, อ้างอิงใน รสสุคนธ์ เพ็ญเนตร. 2561:25) ได้อธิบาย ความหมายของนาฏยศัพท์ว่า หมายถึง ศัพท์เฉพาะในทางนาฏลักษณะของท่ารำไทย นาฏยศัพท์ที่ใช้ กันเกี่ยวกับท่ารำไทยนั้นมีมาก แยกตามลักษณะการใช้ สรุปได้ว่า นาฏยศัพท์หมายถึงศัพท์ที่ใช้เรียกท่ารำต่างๆในการแสดงของนาฏศิลป์ไทย เช่น การแสดงโขน ละคร ระบำ ซึ่งแต่ละท่าจะมีชื่อเรียกเฉพาะ 2. ที่มาของนาฏยศัพท์ เรณู โกสินานนท์ (2540) ได้กล่าวไว้ว่า นาฏยศัพท์ทางนาฏศิลป์นี้ นายอาคม ฉายาคม ได้รับคำสั่งจาก นายธนิต อยู่โพธิ์ เป็นอธิบดีกรมศิลปากรในสมัยนั้น ให้เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2497 ต่อมา ครูอัมพร ชัชกุล ได้ขออนุญาตจากนายอาคม ฉายาคม นำไปสอนนักเรียนโรงเรียนนาฏศิลป์ (ปัจจุบัน เป็นวิทยาลัยนาฏศิลป์) นาฏยศัพท์มีทั้งใช้กับการแสดงโขนและการละคร แต่ยังมีนาฏยศัพท์บางคำที่ ใช้เฉพาะในการรำแต่ละเพลงเท่านั้นเช่น ในการรำแม่บท (เพลงชมตลาด) เป็นต้น รสสุคนธ์ เพ็ญเนตร (2561:35) ท่ารำไทยที่มาแต่โบราณสืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ โดยอาศัยสื่อทางโขนและละครรำผู้สอนรำไทยใช้เรียกชื่อท่ารำต่าง ๆ ว่า "นาฏยศัพท์" สรุปได้ว่า นาฏยศัพท์เป็นศัพท์ทางนาฏศิลป์ที่ถูกบัญญัติไว้เพื่อความเป็นแบบแผนเดียวกัน โดยนายอาคม ฉายาคม และถูกนำมาใช้ในการสอนนักเรียนแสดงโขน ละครโดยครูอัมพร ชัชกุลและมี ศัพท์บางคำที่ใช้เฉพาะในการรำแม่บท และเป็นเหมือนศัพท์ที่ใช้ในวงการนาฏศิลป์เพื่อให้เกิดความ เข้าใจตรงกันในการสอน นาฏยศัพท์จึงมีความสำคัญในทางนาฏศิลป์
17 4. หลักการคิดประดิษฐ์ท่ารำ จะเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีความสามารถในการตีความหมายของบทประพันธ์ที่ นำมาเป็นบทร้องและบทละคร ที่จะต้องให้ผู้แสดงได้สื่ออารมณ์ไปสู่ผู้ชม โดมีหลักคิดดังนี้ ผู้ประดิษฐ์ ท่ารำที่สวยงาม 1. การตีบทรำตามความหมายของบทร้องต้องสร้างสรรค์ท่ารำให้เหมาะสมกับบทร้อง เช่น บทร้องว่า "ปราโมทแสน..." ผู้ประดิษฐ์ท่ารำใช้ ภาษาท่า กิริยาดีใจ จีบมือซ้ายเข้างปาก เป็นต้น 2. การอ่านบทละคร ผู้ประดิษฐ์สร้างสรรค์ท่ารำที่ดี ต้องอ่านบทละครเพื่อพิจารณาเรื่องราว บทละครของตัวละครว่าแต่ละตัวมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรจึงนำมาประดิษฐ์สร้างสรรค์ท่ารำให้ สอดคล้องกับตัวละคร 3. การสร้างสรรค์ท่ารำในแม่บท คือการนำท่ารำในแม่บทมาประดิษฐ์สร้างสรรค์ท่ารำ เพื่อ สื่อความหมายตามบทร้อง ยึดให้เป็นแบบแผนมาตรฐานทางนาฏศิลป์ 4. การจัดรูปแบบของการแสดง การแสดงนาฎศิลป์ ได้แก่ ระบำ รำ ฟ้อน ละครโขน มี รูปแบบของการจัดการแสดงเป็นเอกลักษณ์และท่าทาง ความคิดสร้างสรรค์ของผู้ประดิษฐ์ท่ารำ ยกตัวอย่าง เช่น การจัดการแสดงประเภทระบำ ควรมีหลักเกณฑ์ที่ต้องพิจารณา ดังนี้ 1. คำนึงถึงรูปร่างลักษณะของผู้แสดง 2. ระยะห่างของผู้แสดงต้องเท่ากัน 3. ระยะการเคลื่อนแถวต้องสัมพันธ์กับบทเพลง 4. การเคลื่อนแถวต้องสัมพันธ์กับบทเพลง 5. ไม่แปรแถวแบบเดียวซ้ำหลาย ๆ ครั้ง 6. การแปรแถวควรมีความกลมกลืนของการเคลื่อนตัวไป 7. คำนึงถึงสีของเครื่องแต่งกายของผู้แสดง 8. คำนึงถึงสัดส่วนของพื้นที่เวที โดยไม่เอียงหรือเบี้ยว ไป ทางใดทางหนึ่ง องค์ประกอบของนาฎศิลป์ ในการคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์ท่ารำชุดนาฎศิลป์ องค์ประกอบของนาฏศิลป์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ ประดิษฐ์สร้างสรรค์ท่ารำต้องนำมาพิจารณา องค์ประกอบของนาภูศิลป์ประกอบด้วย 1. จังหวะและทำนอง จังหวะเป็นส่วนหนึ่งของดนตรีซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการแสดงนาฏศิลป์ เช่นเดียวกับทำนองที่จะช่วยให้ผู้แสดงใช้ลีลาท่ารำให้เข้ากับท่วงทำนองของคนตรี จังหวะเป็นเครื่อง กำกับทำให้การ ร่ายรำเป็นมีความพร้อมเพรียงกัน ทำให้เกิดอรรถรสของการแสดง จังหวะและทำนอง ทำให้ผู้แสดงเข้าใจใน การแปรแถว การก้าวเท้า 2. ลักษณะการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวในการแสดงนาฎศิลป์ เป็นการเคลื่อนไหวแบบมี แบบแผนและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เกิดจากการประดิษฐ์สร้างสรรค์ท่ารำของมนุษย์ที่ใช้ในการ
18 สื่อสาร ถ่ายทอดสื่อความหมายถึงวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วิถีชีวิตของชาวบ้านในแต่ละ ท้องถิ่น เช่น การแสดงเต้นกำรำเคียว เป็นต้น 3. อารมณ์และความรู้สึก ผู้ชมจะรู้สึกได้ถึงอรรถรสในการชมการ แสดงจากการที่ผู้แสดง สามารถสื่ออารมณ์ของการแสดงได้ เช่น ผู้แสดงมีอารมณ์สดชื่นร่าเริง สนุกสนาน ในการรำเถิดเทิง กลองยาว ผู้แสดงเป็นหนุมานแสดงกิริยาลนลานด้วยความกลัว เมื่อพระรามกริ้วโกรธโทษว่าไปเผา กรุงลงกาของทศกัณฐ์จับนางสีดา เป็นต้น 4. ภาษาท่าและ นาฏยศัพท์ เป็นสิ่งสำคัญมาก การแสดงนาภูศิลป์ไทยจะต้องประกอบด้วย ภามาท่าและนาฏยศัพท์ที่ถูกต้อง เพราะเป็นการสื่อสารเฉพาะที่รับรู้เป็นที่เข้าใจในการสร้างสรรค์การ แสดงนาภูศิลป์ประเภทต่างๆ และยังเป็นสิ่งที่ครูอาจารย์ทางนาฎศิลป์ได้สร้างสรรค์ไว้ เป็นแนวปฏิบัติ ของลูกศิษย์ที่มีการสืบทอดกันมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะนาภูศิลป์ไทย สรุปได้ว่า การคิดประดิษฐ์ท่ารำนั้นต้องอาศัยองค์ประกอบทางนาฏศิลป์ทุกอย่างเพราะมี ความจำเป็นอย่างมากในการคิดท่ารำเพื่อให้สื่อความหมายที่จะทำให้คนดูเข้าใจแล้วเข้าถึงในการ แสดง ต้องประดิษฐ์ให้เข้ากับเนื้อหา บทร้อง รำ เพื่อให้การแสดงกิดความสมบูรณ์ 5. การเรียนรู้จากประสบการณ์ การนำเสนอเกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ มีรายละเอียด ดังนี้ ความหมายของการเรียนรู้จากประสบการณ์ การจัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์ มีผู้ให้คำขึ้นในความหมายเดียวกัน เช่น การเรียนรู้ แบบเชิงประสบการณ์ การเรียนรู้เน้นประสบการณ์ การเรียนรู้แบบประสบการณ์ และการเรียนรู้ผ่าน ประสบการณ์ แต่ในวิจัยเล่มนี้ใช้คำว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยมีผู้ให้ความหมายไว้ ดังนี้ John Downy (1974 อ้างอิงใน ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. 2554:300) ให้ความหมายว่า การ เรียนรู้เชิงประสบการณ์ เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนได้โดยผู้เรียนสามารถรวบรวมนำเอา ความรู้ ต่างๆ ที่รับเข้ามาก่อน มาเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ เพื่อทำให้เกิดความหมายขึ้น โดยการ รวบรวม เชื่อมโยง และจัดระเบียบประสบการณ์ต่างๆ ให้เป็นรูปแบบที่สมบูรณ์เพื่อที่จะช่วยให้สามารถเข้าใจ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างดี Juch (1983 อ้างอิงใน บุญเลี้ยง ทุมทอง. 2556:25) ให้ความหมายว่า การเรียนรู้จาก ประสบการณ์ เป็นวงจรของการเรียนรู้จากประสบการณ์ 4 ระยะ คือ 1) การปฏิบัติ (Doing) ซึ่ง เป็น การปฏิบัติกิจกรรม 2) การเรียนรู้หรือการสังเกต (Sensing or Observing) 3) การคิดทบทวน (Thinking) และ 4) การเตรียมการหรือการวางแผน (Addressing or Planning)
19 David Kolb (1984 อ้างอิงใน ชัยวัฒน์ สุทธิวัตน์. 2554:300) ให้ความหมายว่า การ เรียนรู้ เชิงประสบการณ์ เป็นกลยุทธ์ในการเชื่อมโยงประสบการณ์ในห้องเรียนและการเรียนการสอน ภายนอกห้องเรียน เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง Craig (1997 อ้างอิงใน บุญเลี้ยง ทุมทอง. ม.ป.ป.:25) ให้ความหมายว่า การเรียนรู้จาก ประสบการณ์ คือ ความรู้ ทักษะ และความสามารถที่เกิดจากการสังเกตการปฏิบัติจากสถานการณ์ จำลอง การมีส่วนร่วมในกาเรียนรู้จากกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมด้วยปฏิบัติร่วมวิพากษ์ ร่วม การประยุกต์ใช้โดยอาจเข้าร่วมทางร่างกายหรือจิตใจก็ได้ สมศักดิ์ ภูวิภาดาวรรธน์ (2544:39) ได้กล่าวถึง ความหมายเรื่องการจัดการเรียนรู้แบบเชิง ประสบการณ์ หมายถึง การเรียนรู้จากประสบการณ์ หรือการเรียนรู้จากการได้ลงมือ ปฏิบัติจริง โดย ผู้เรียนได้มีโอกาสรับประสบการณ์ แล้วได้รับการกระตุ้นให้สะท้อนสิ่งต่างๆ (Refecion) ที่ได้จาก ประสบการณ์อกมาเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ๆ หรือวิธีการคิดใหม่ๆ ซึ่งสรุปได้ดังนี้ ภาพ 1 แสดงความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบเชิงประสบการณ์ (Experiential learning) ทิศนา แขมมณี (2556:130) ให้ความหมายว่า การจัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์ หมายถึง การดำเนินการอันจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมาย โดยการให้ผู้เรียนได้รับ ประสบการณ์ (Experience) ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ ในเรื่องที่เรียนรู้ก่อนแล้วจึงให้ผู้เรียนย้อนไป สังเกต ทบทวน สิ่งที่เกิดขึ้น และนำสิ่งที่เกิดขึ้นมาคิดพิจารณาไตร่ตรองร่วมกันกระทั่งผู้เรียน สามารถ คิดรวบยอดหรือสมมติฐานต่างๆ ในเรื่องที่เรียนแล้วจึงนำความคิดหรือสมมติฐานเหล่านั้นไปทดลอง หรือประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆ ต่อไป พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2544) ให้ความหมายว่า การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ หรือการเรียนโดยการลงมือกระทำ โดยการดึงเอา ประสบการณ์ กระตุ้น การสะท้อน ประสบการณ์ การพัฒนา วิธีคิดใหม่ๆ ทักษะใหม่ๆ เจตคติใหม่ๆ
20 ประสบการณ์จากตัวผู้เรียน แล้วกระตุ้นให้ผู้เรียนสะท้อนความคิดเกี่ยวกับประสบการณ์นั้นออกมา เพื่อพัฒนาความคิด เจตคติและทักษะใหม่ ไปสู่ความรู้ใหม่ ราชบัณฑิตยสถาน (2555:211) ให้ความหมายของการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์เป็น กระบวนการหรือแบบแผนของการเรียนรู้แบบหนึ่ง ที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากกิจกรรม และ ประสบการณ์ต่างๆ ตามหลักของ เดวิด คอล์บ (David Kolb) ประกอบด้วย ขั้นตอนสำคัญ 4 ขั้นตอน คือ 1) ในการได้รับประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม 2) ขั้นการสังเกตอย่างไตร่ตรอง 3) ขั้นการสร้างมโน ทัศน์หรือความรู้ความเข้าใจที่เป็นนามธรม 4) ขั้นการนำความรู้ความเข้าใจไปทดลองใช้ บุญเลี้ยง ทุมทอง (2556:26) ให้ความหมายว่า การเรียนรู้จากประสบการณ์เป็นการเรียนรู้ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ ความสามารถ ทักษะ ความคิด ทัศนคติ ค่านิยม ของตนเองขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนให้คิดคำถามของตนเอง และแสวงหาคำตอบด้วยตนเองโดยแสวงหาคำตอบ ด้วยวิธีการหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ การลงมือปฏิบัติกระทำจริง ทั้งในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หรือสถานการณ์จำลอง การวิพากษ์วิจารณ์การอภิปราย การพิจารณา การไตร่ตรอง การทบทวนและการสะท้อนความคิดของตนออกมา โดยอาจเกิดขึ้นในชั้นเรียน นอกชั้น เรียนหรือในสถานที่จริงในการทำงานก็ได้ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์ คือ การเรียนรู้โดยยึดตัวผู้เรียนเป็นหลัก เน้นการทำกิจกรรมเพื่อดึงความรู้หรือประสบการณ์เดิมของตัวเพื่อเรียนเพื่อการพัฒนาองค์ความรู้ และต่อยอดเพื่อให้เกิดการพัฒนาและค้นพบองค์ความรู้ใหม่ๆ นอกจากนี้จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ วิธีการแก้ไขปัญหาได้อีกด้วย 2.หลักการจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์ ประสบการณ์เป็นแหล่งที่มาของการเรียนรู้ และเป็นพื้นฐานสำคัญของการเกิดความคิด ความรู้ และการกระทำต่างๆ การเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ (Experiential learning) สามารถ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจน และมีความหมายต่อตนเอง จากเป็นการเรียนรู้ที่เริ่มจาก ประสบการณ์ที่เป็นรูปธรมเห็นได้ชัดเจน จึงสามารถนำไปสู่การเรียนรู้เชิงนามธรรมอันจะส่งผลต่อการ คิดการปฏิบัติหรือการกระทำใหม่ๆ ต่อไป การที่ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง และค้นพบการเรียนรู้ ด้วยตนเอง จะช่วยใช้การเรียนรู้นั้นมีความหมายต่อตนเอง และจะช่วยให้เกิดความรู้สึกผูกพันความ ต้องการ และความรับผิดชอบที่จะเรียนรู้ต่อไป (ทิศนา แขมมณี. 2556) การจัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์ (Experiential learning) ครูต้องคำนึงถึงแหล่ง ทรัพยากรทั้ง 4 คือเวลา สถานที่ภูมิปัญญาท้องถิ่น และสื่อการสอนต่างๆ ซึ่งครูสามารถใช้ทรัพยากร ดังกล่าวเป็นตัวเชื่อมให้นักเรียนก้าวสู่การเรียนรู้โลกรอบตัว หากครูให้นักเรียนเรียนแบบประสบการณ์ ต้องพิจารณาแหล่งทรัพยากรทั้ง 4 โดยในเรื่องของการใช้เวลานั้น ครูต้องไม่กำหนดเวลาตายตัว
21 เหมือนการสอนแบบเดิม แต่ควรยึดหยุ่นเรื่องเวลาเพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนมีเวลาเพียงพอในการ เรียนรู้ หรือการค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในเรื่องของการใช้สถานที่ไม่จำเป็นต้องเรียนในชั้นเรียนหรือห้องเรียน เท่านั้น ครูอาจใช้บริเวณสวนในโรงเรียนชุมชนหมู่บ้าน หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น อินเตอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงนักเรียนสู่โลกรอบตัวในด้านการพัฒนาสื่อการสอนนั้น ครูต้องใช้สมาชิกใน ชุมชนสมาชิกในครอบครัวของนักเรียน ผู้รู้หรือผู้ชำนาญในท้องถิ่นพระภิกษุศิลปินท้องถิ่น หรือ บุคลากรของรัฐ เช่นนักวิชาการเกษตรพนักงานอนามัย หรืออื่นๆ โดยให้บุคคลเหล่านี้ได้มีโอกาสให้ ความรู้แก่นักเรียนครูควรใช้แหล่งทรัพยากรทั้ง 4 ดังกล่าวรวมเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อช่วย ให้นักเรียนมีความรู้อย่างกว้างขวาง พัฒนาความคิดเป็นทักษะกระบวนการกลุ่มรวมตลอดถึงการ พัฒนาเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ (สมศักดิ์ ภูวิภาดาวรรธน์. 2554) สรุปได้ว่า การเรียนรู้จากประสบการณ์(Experiential Learning) เป็นการเรียนโดยอาศัย ประสบการณ์ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ก่อนซึ่งประสบการณ์จะช่วยให้ผู้เรียน เกิดความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจน เนื่องจากเป็นการเรียนรู้ที่เริ่มจากประสบการณ์สามารถนำไปสู่การ เรียนรู้ที่ส่งผลต่อการคิดการปฏิบัติหรือการกระทำใหม่ๆ นอกจากนี้การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเรียนแค่ ในห้องเรียน สามารถเรียนรู้ได้จากสถานที่รอบตัว ผู้มีความรู้ในชุมชน และครอบครัวอีกด้วย 3. ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เป็นพื้นฐานของรูปแบบการเรียน 1. ทฤษฎีวงจรการเรียนรู้จากประสบการณ์ (ExperientialLearning Cycle Theory) (Kolb. 1984 อ้างอิงใน เกศสุดา รัชฎาวิสิษฐกุล. 2547) ได้อธิบายว่า ผู้เรียนแต่ละคนเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างเป็นกระบวนการที่ดำเนินกันไปเป็นวงจร ซึ่งแต่ละขั้นของการเรียนรู้ก็จะส่งเสริมการเรียนรู้ของ ขั้นต่อไปด้วยการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่ใช้วงจรการเรียนรู้จาก ประสบการณ์ มี จุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้เรียนใช้ความรู้ภาษาอังกฤษที่ได้เรียน และเพิ่มพูนความรู้ความสามารถในการใช้ ภาษาอังกฤษ โดยให้โอกาสผู้เรียนได้รับประสบการณ์อย่างเป็นรูปธรรม ที่ทำให้ผู้เรียนสามารถค้นหา กฎเกณฑ์ของภาษาด้วยการลองผิดลองถูก การให้ข้อมูลย้อนกลับหรือการสันนิษฐานเกี่ยวกับภาษา และทบทวนข้อสรุปเพื่อที่จะได้ฝึกฝนให้ใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว จากกิจกรรมการเรียนที่ส่งเสริม การใช้ภาษาเช่นการเล่นบทบาทสมมติ หรือสถานการณ์จำลอง เกม การใช้ภาษาการใช้คอมพิวเตอร์ ช่วยสอนเป็นต้น จะเห็นได้ว่าอาจารย์ผู้สอนไม่เพียงแต่มีหน้าที่จะบอกผู้เรียนว่าภาษามีหน้าที่อย่างไร แต่ยังให้โอกาสผู้เรียนในการใช้ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการที่ผู้เรียนต้องจัดการกับปัญหา ขณะเดียวกันก็ ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรมดังภาพ 2
22 ภาพ 2 วงจรการเรียนรู้จากประสบการณ์ (ExperientialLearning Cycle Theory) ของ Koib ทฤษฎีวงจรการเรียนรู้จากประสบการณ์ (ExperientialLearning Cycle Theory) ของ Kolb เรียกว่ากระบวนการเรียนรู้และการปรับตัวของบุคคลประกอบด้วย 4 ขั้นตอนที่เป็นวงจร ต่อเนื่องกันดังนี้คือ ขั้นที่ 1 ประสบการณ์รูปธรรมเป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนเข้าไปมีส่วนร่วมและรับรู้ ประสบการณ์ต่างๆเน้นการใช้ความรู้สึกและยึดถือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตามที่ตนประสบในขณะนั้น ขั้นที่ 2 การไตร่ตรองเป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนมุ่งที่จะทำความเข้าใจความหมายของ ประสบการณ์ที่ได้รับโดยการสังเกตอย่างรอบคอบเพื่อการไตร่ตรองพิจารณา ขั้นที่ 3 การสรุปเป็นหลักการนามธรรมเป็นขั้นที่ผู้เรียนใช้เหตุผลและใช้ความคิดในการ สรุปรวบยอดเป็นหลักการต่างๆ ขั้นที่ 4 การทดลองปฏิบัติจริงเป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนเอาความเข้าใจที่สรุปได้ในขั้นที่ 3 ไป ทดลองปฏิบัติจริงเพื่อทดสอบว่าถูกต้องหรือขั้นตอนนี้เน้นที่การประยุกต์ใช้ จากทฤษฎีนี้ Kolb ชี้ให้เห็นว่าผู้เรียนแต่ละคนจะเน้นในขั้นต่างๆ แตกต่างกันทำให้มีการใช้ ขั้นต่างๆ ในการเรียนรู้ไม่เท่ากันบางคนเน้นที่ขั้นที่ 1 บางคนเน้นที่ขั้นที่ 2 บางคนเน้นที่ขั้นที่ 3 และ บางคนเน้นที่ขั้นที่ 4 แนวความคิดจากทฤษฎีดังกล่าว Kolb ได้นำมาจำแนกผู้เขียนเป็น 4 แบบดังนี้คือ 1. แบบคิดอเนกนัยหรือ Divergers หมายถึง รูปแบบการเรียนที่เน้นขั้นตอนการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 เป็นแบบที่เห็นภาพ โดยส่วนรวมผู้เรียนที่มีรูปแบบการเรียนแบบนี้จะทำงานให้ดี ในสถานการณ์ที่ต้องการความคิดหลากหลาย เช่นการระดมสมอง ขั้นที่ 1 ประสบการณ์รูปธรรม ขั้นที่ 2 การไตร่ตรอง ขั้นที่ 4 การทดลองปฏิบัติจริง ขั้นที่ 3 การสรุปเป็นหลักการนามธรรม
23 2. แบบดูดซึมหรือ Assimiators หมายถึง รูปแบบการเรียนที่เน้นขั้นตอนการเรียนรู้ขั้น ที่ 2 และขั้นที่ 3 เป็นรูปแบบการเรียนที่ผู้เรียนมีความสามารถในการสรุปหลักการ หรือกฎเกณฑ์ ผู้เรียนที่มีรูปแบบการเรียนแบบนี้ มักสนใจในหลักการที่เป็นนามธรมมากกว่าแต่ไม่ชอบการลงมือ ปฏิบัติ และมักไม่คำนึงถึงการนำทฤษฎีไปประยุกต่ใช้ 3. แบบคิดเอกนัยหรือ Convergers หมายถึง รูปแบบการเรียนที่เน้นขั้นตอนการเรียนรู้ ขั้นที่ 3 และขั้นที่ 4 เป็นรูปแบบการเรียนที่ผู้เรียนมีความสามารถในการนำแนวคิดที่เป็นนามธรรมไม่ ใช้ในการปฏิบัติผู้เรียนที่มีรูปแบบการเรียนแบบนี้ สามารถสรุปวิธีที่ถูกต้องที่สุดเพียงวิธีเดียวที่จะ สามารถนำไปใช้ในการปัญหาได้ ไม่ชอบใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา แต่ใช้เหตุผลชอบทำงานกับวัตถุ มากกว่าทำงานกับบุคคล มักมีความสนใจที่เฉพาะเจาะจงในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และมีความเชี่ยวชาญในสิ่ง นั้น 4. แบบปรับปรุงหรือ Accommodators หมายถึงรูปแบบการเรียนที่เน้นขั้นตอนการ เรียนขั้นที่ 4 และขั้นที่ 1 ผู้เรียนที่มีรูปแบบการเรียนแบบนี้จะชอบลงมือปฏิบัติ ชอบทดลองและจะ ทำงานไห้ดีในสถานการณ์ที่ต้องใช้การปรับตัว มีแนวโน้มจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยวิธีการที่ตน นึกคิดขึ้นเอง ในลักษณะที่ชอบลองผิดลองถูกและชอบทำงานร่วมกับผู้อื่น (Kolb, Rubin, &Osland, 1991:23-40 อ้างอิงใน สุจิตรา ตรีรัตนนุกูล,2562:39) 2. ทฤษฎีรูปแบบการเรียนของ Honey และ Mumford (Honey และ Mumford 1992:1- 6 อ้างอิงใน สุจิตรา ตรีรัตนนุกูล. 2562:39) ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้จากประสบการณ์ เนื่องจาก การเรียนรู้จากประสบการณ์เป็น กระบวนการขั้นพื้นฐาน แต่มีความสำคัญยิ่งต่อการแสวงหาความรู้ ถ้าหากผู้เรียนไม่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ ผู้เรียนจะไม่สามารถแสวงหาความรู้ หรือฝึกฝน ทักษะต่างๆ และอาจจะทำ ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในที่สุดก็จะไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ ที่เปลี่ยนแปลงได้ การ เรียนรู้จากประสบการณ์จึงมีความสำคัญมากที่สุดในบรรดาทักษะการดำรงชีวิต เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดจากการกระทำล้วนเป็นผลที่ได้จากประสบการณ์ จากแนวคิดดังกล่าว Honey และ Mumford ได้กำหนดแนวทางการจัดกระบวนการเรียนการสอน ตามขั้นตอนต่างๆ ใน ทฤษฎีวงจร การเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 1 การได้รับประสบการณ์ (Having an Experience) เป็นขั้นตอนการรับรู้ ด้วยการมีความรู้สึกต่อประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม กระบวนการเรียนการสอนต้องทำให้ ผู้เรียนมีโอกาส สังเกต ไตร่ตรอง เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมจึงต้องเรียนเรื่องที่กำลังเรียน ครูควรให้ผู้เรียน ค้นหาความสัมพันธ์เชื่อมโยง สิ่งที่กำลังเรียนเข้ากับสถนการณ์ในชีวิตจริงเพื่อให้ผู้เรียนกระตือรือร้นที่ จะแสวงหาความรู้และทักษะจากการเรียนในมุมมองที่ตนเองได้ค้นพบให้เข้ากับสถานการณ์อื่นๆ ทั้ง ของตนเองและผู้อื่น
24 ขั้นตอนที่ 2 การทบทวนประสบการณ์ ( Reviewing theExperience ) เป็นขั้นตอนที่ ช่วยให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผลเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้รับในขั้นตอนแรกว่าประสบการณ์ที่ ได้รับมีผลกระทบอย่างไรต่อตนเอง เรื่องที่เรียนเกี่ยวข้องกับความเชื่อความรู้สึกและความคิดเห็นของ ตนเองอย่างไร กระบวนการเรียนการสอนในขั้นตอนนี้จะส่งเสริมให้ผู้เรียนอธิบายเหตุผลตามความคิด ของแต่ละคน ขั้นตอนที่ 3 การสรุปจากประสบการณ์ (Concluding) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนเชื่อมโยง การรับรู้ข้อมูลในขั้นตอนที่ผ่านมา โดยการดูการเห็นหรือการรับรู้ข้อมูลอย่างไตร่ตรองเพื่อสร้าง ความคิดรวบยอดหรือข้อสรุปที่เป็นหลักการหรือทฤษฎี ถ้าผู้เรียนได้รับการส่งเสริมให้รู้จักการ ประยุกต์ใช้หลักการหรือทฤษฎีก็จะทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น ขั้นตอนที่ 4 การวางแผนการปฏิบัติตนในขั้นต่อไป (Planning) เป็นขั้นตอนที่เกิดจาก การรับรู้ความคิดรวบยอดแล้วมาสู่การลงมือปฏิบัติหรือทดลอง กระทำตามความคิดของผู้เรียนการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนในขั้นตอนนี้จะต้องให้โอกาสผู้เรียนได้เลือกทำงานตามความสนใจ และ ความถนัดของเขาครูควรจัดกิจกรรมต่างๆที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนได้เลือกและอธิบายแนวทางการ ทำงาน หรือให้ตัวอย่างเพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษารายละเอียด หรือขั้นตอนการทำงานและสามารถพัฒนา เป็นแนวทางตามลักษณะเฉพาะของตัวเองต่อไปผู้สอนควรผสมผสานวิธีการต่างๆ และจัดกิจกรรม ตลอดจนสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ในขั้นตอนต่างๆ ของวงจรการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ในการเรียนรู้ด้วยทักษะและความรู้ของตนอย่างเต็มที่ประเมินผลการเรียน มุ่งเน้นพัฒนาการของ ผู้เรียนในภาพรวมมากกว่าจะพิจารณาจากผลการทดสอบทางวิชาการ และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ ประเมินผลตนเองด้วย ภาพ 3 แสดงขั้นตอนการเรียนรู้ตามทฤษฎีวงจรการเรียนรู้ของ Honey และ Mumford มีประสบการณ์/กระท า ทบทวน สรุปผลที่ได้จากประสบการณ์ วางแผน
25 จากทฤษฎีวงจรการเรียนรู้ดังกล่าว Honey และMuriord จึงแบ่งรูปแบบการเรียน ออกเป็น 4 แบบคือ 1. Activist หมายถึงผู้เรียนซึ่งชอบการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ชอบการลองผิดลอง ถูกมีความกระตือรีอร้นวันที่จะทำกิจกรรมหรือการแก้ปัญหาด้วยการระดมความคิดมีความสุขกับการ ทำงานกับผู้อื่นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนแบบ Activist เรียนรู้ ได้ดีที่สุดคือการแข่งขันการทำงานเป็นทีม การเล่นเกมเป็นต้นแต่ผู้เรียนแบบนี้จะเรียนรู้ได้น้อยที่สุดถ้ามอบหมายให้อ่านหนังสือหรือฟังบรรยาย เกี่ยวกับทฤษฎีผู้เรียนแบบ Activist ไม่ชอบทำงานตามลำพังหรือการทำงานที่ต้องเตรียมตัวมากมาย 2. Reflector หมายถึงผู้เรียนซึ่งขอบการคิดพิจารณาไตร่ตรองในหลายๆแง่มุมการ เก็บ ข้อมูลและวิเคราะห์โดยละเอียดก่อนที่จะสรุปเป็นหลักการผู้เรียนแบบ Reflector ชอบสังเกตการ ทำงานของผู้อื่นถ้าเป็นสถานการณ์ในห้องเรียนผู้เรียนแบบนี้มักจะชอบนั่งด้านหลังห้องเรียนมากกว่า หน้าห้องเรียนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดถ้าได้มีโอกาสฟังและสังเกตการณ์เนื่องจากต้องการโอกาสในการเก็บ ข้อมูลรายละเอียดและมีเวลาคิดก่อนลงมือทำงานแต่จะไม่ประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้ถ้าไม่มีเวลา ในการวางแผนและมีข้อมูลไม่เพียงพอในการทำงานแบบฝึกหัดที่ให้ผู้เรียนประเมินตนเองใบงานหรือ แบบฝึกหัดประเภทงานเขียนที่สามารถเอากลับไปทำที่บ้านได้เหมาะสมกับผู้เรียนแบบนี้ 3. Theorist หมายถึงผู้เรียนซึ่งขอบการวิเคราะห์และการสังเคราะห์ผู้เรียนแบบนี้ สามารถเชื่อมโยงและผสมผสานข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากข้อเท็จจริงและการสังเกตการให้มีความต่อเนื่อง เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกันได้ผู้เรียนแบบ Theorist มักจะมีวิธีคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและมัก ยึดถือทฤษฎีและหลักการเป็นสำคัญดังนั้นผู้เรียนแบบนี้จะเรียนได้ดีที่สุดถ้าได้ทำงานตามระบบ แนวคิดและทฤษฎีที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนชอบการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลแต่จะเรียนรู้ได้ น้อยที่สุดถ้าพวกเขาถูกขอให้ทำงานที่ไม่ได้กำหนดวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนและไม่มีข้อมูลที่สมบูรณ์ มากำหนดทิศทางในการทำงาน 4. Pragmatist หมายถึงผู้เรียนซึ่งชอบทดลองว่าแนวคิดทฤษฎีและเทคนิควิธีต่างๆ ที่ได้ เรียนไปแล้วสามารถนำไปปฏิบัติได้ผลดีจริงหรือไม่ชอบกิจกรรมที่ท้าทายการตัดสินใจและการ แก้ปัญหาผู้เรียนแบบ Pragmatist จะเรียนได้ดีที่สุดถ้าได้ทำกิจกรรมการเรียนที่เป็นการเชื่อมโยง ระหว่างวิชาการและการงานอาชีพที่ตนคาดหวังหรือกำลังกระทำอยู่เนื่องจากผู้เรียนแบบนี้เป็น "นัก วางแผน" จึงชอบที่จะได้มีโอกาสนำเอาเทคนิคหรือกระบวนการต่างๆ ที่นำไปใช้ได้ผลจริงแต่พวกเขา จะเรียนได้น้อยที่สุดถ้าให้พวกเขาทำงานที่นำไปใช้จริงไม่ได้หรือทำกิจกรรมที่มิได้เป็นผลประโยชน์ใดๆ ต่อตนเองเลย ผู้เรียนแบบนี้ควรได้รับการฝึกสอนหรือคำแนะนำที่เป็นข้อมูลป้อนกลับจากผู้เชี่ยวซาญ สรุปได้ว่า ทฤษฏีการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) ซึ่งจะมี กระบวนการ 4 ขั้นตอนคือ ขั้น 1 คือขั้นประสบการณ์จะเป็นการให้ผู้เรียนดึงประสบการณ์ที่ผู้เรียนมี
26 ออกมา ขั้นที่ 2 คือขั้นสะท้อนความรู้เป็นการสะท้อนความรู้ความคิดประสบการณ์ของผู้เรียน ขั้นที่ 3 ขั้นคิดวิเคราะห์ผู้เรียนนำความรู้และประสบการณ์ที่มีมาคิดวิเคราะห์เกิดความรู้ใหม่ความคิดใหม่และ ขั้นที่ 4 ขั้นนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ซึ่งหลังจากขั้นที่ 2 ไปสามารถแทรกขั้นตอนการสอนเข้าไปได้ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนร้และคิดวิเคราะห์ดังภาพที่ 4 ภาพ 4 ขั้นตอนการเรียนรู้จากประสบการณ์(Experiential Learning) 6. ทักษะปฏิบัติ การนำเสนอทักษะปฏิบัติ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของทักษะปฏิบัติ นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์ (2535:50) ได้ให้ความหมายของทักษะปฏิบัติ หมายถึง การ เรียนรู้ที่เกี่ยวกับการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยที่งานดังกล่าวต้องมีความซับซ้อนจะต้องอาศัย ความสามารถในการบริหารเบื้องต้นของกล้ามเนื้อหลายๆ ส่วน การทำงานดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้จาก การสั่งงานของสมองจะต้องมีการปฏิบัติสัมพันธ์ของการตอบสนองกับความรู้สึกที่ป้อนเข้าไปหาร ทำงานนี้สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน จะเกิดความชำนาญ และความคงทน อภิชาติอนุกูลเวช (2551:64) ได้ให้ความหมายของทักษะปฏิบัติคือ ความสามารถ ดึง ประสบการณ์ สะท้อน ความคิด คิดวิเคราะห์ น าไปใช้ Add Add
27 ความชำนาญของกล้ามเนื้อ ที่กระทำออกมาอย่างถูกต้อง คล่องแคล้วและรวดเร็ว ที่ต้องอาศัยการ ฝึกหัดอย่างเหมาะสม จึงจะทำให้เกิดความชำนาญในการปฏิบัติงาน สุชาติ ศิริสุขไพบูลย (2526:9 อ้างอิงใน อภิชาติ อนุกูลเวช. 2551:64) กลาววา ทักษะ (Skill) ในความหมายทั่วไป หมายถึง ความสามารถ ความชํานาญทางกลามเนื้อ ของบุคคลซึ่งเรียกวา ทักษะปฏิบัติ (Motor Skill) หรือ ทักษะทางกลามเนื้อ (Psychomotor Skill) ทักษะทางกลามเนื้อ หรือทักษะปฏิบัติเปนลักษณะ พฤติกรรมที่เปนผลผลิตจากการเรียนรูรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเปนการเรียนรู ทักษะ ความชํานาญในโรง ฝกงาน เชน การตะไบ สกัด เลื่อย การใชเครื่องจักรกล การเชื่อมโลหะ การซอมเครื่องยนตการ ประกอบวงจร ฯลฯ ลวนเปนพฤติกรรมที่ตองแสดงออกของกลามเนื้อ ในด านของความถูกตอง ความคลองแคลว ความเชี่ยวชาญและชํานาญการ ซึ่งตองอาศัยการฝกหัดที่ เหมาะสม สรุปได้ว่า ความหมายของทักษะปฏิบัติคือความสามารถในการใช้อวัยวะเคลื่อนไหวส่วน ต่างๆเข้าไปปฏิบัติกิจกรรมต่างๆตามความสามารถจนทำให้เกิดความชำนาญขึ้น 2. ความสำคัญของการสอนทักษะปฏิบัติ อภิชาติ อนุกูลเวช (2551:65) การสอนทักษะปฏิบัติ มีความสําคัญในแงของการฝกฝน ทักษะตาง ๆ พรอมกันไปเปนการเปดโอกาสใหผูเรียนรูวิธีการศึกษาค นควาดวยตนเองใน ขณะเดียวกันผูสอนก็จะไดพบดวยวา สิ่งที่ตนเองสอนนั้นนักเรียนสามารถจะปฏิบัติทําไดมากนอย เพียงใด รัชนี ศรีไพรวรรณ (2525:56 อ้างอิงใน อภิชาติ อนุกูลเวช. 2551:65) ไดกลาวถึง ความสําคัญของการสอนทักษะปฏิบัติวา 1. ทําใหผูเรียนเขาใจบทเรียนไดดีขึ้นเพราะการฝกทักษะปฏิบัติจะเปนเครื่องมือ ทบทวนความรูที่ผูเรียนไดเรียนและทําใหเกิดความชํานาญ คลองแคลวในเนื้อหาวิชาเหลานั้นยิ่งขึ้น 2. ทําใหครูทราบความเขาใจของนักเรียนที่มีตอบทเรียน ซึ่งจะชวยใหครูสามารถ ปรับปรุงเนื้อหา วิธีสอบและกิจกรรมในแตละบทเรียน ตลอดจนสามารถชวยผูเรียนใหเรียนไดดีที่สุด ตามความสามารถ 3. ฝกใหผูเรียนมีความเชื่อมั่น และสามารถประเมินผลงานของตนเองได 4. ฝกใหผูเรียนไดทํางานตามลําพัง โดยมีความรับผิดชอบในงานที่ไดรับมอบหมาย สรุปได้ว่า ความสำคัญของทักษะปฏิบัติ คือ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือทำหรือปฏิบัติ จริงเพื่อให้เกิดความชำนาญในการใช้อวัยวะเคลื่อนไหวส่วนต่างๆเข้าไปปฏิบัติกิจกรรมต่างๆตาม ความสามารถ
28 7. การสร้างแบบวัดภาคปฏิบัติ การนำเสนอการสร้างแบบวัดปฏิบัติ มีรายละเอียด ดังนี้ 1. การวัดทักษะปฏิบัติ สุนันท์ ศลโกสุม (2532:65) กล่าวว่า การวัดภาคปฏิบัติเป็นการทดสอบ เพื่อพิจารณา ความสามารถในการทำงานได้ตามจุดมุ่งหมาย (Manipulate Objective) หรือเป็น การทดสอบเพื่อ พิจารณาประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficient and Effect) ที่เกิดจากการกระทำหรือจาก สถานการณ์ที่ได้กำหนดขึ้น เผียน ไชยศร (2529:37) ได้ให้ความหมายของการวัดทักษะภาคปฏิบัติว่าเป็นการวัด ความสามารถของบุคคลในการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยบุคคลนั้นได้ลงมือปฏิบัติการจัดกระทำ (Materials or Physical Object) โดยทางกายหรือการรับรู้ทางประสาทสัมผัส ไพศาล หวังพานิช (2526:89) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การวัดทักษะภาคปฏิบัติเป็นการ วัด ความสามารถในการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการวัดที่ให้ผู้เรียนได้แสดงพฤติกรรมตรงออกมาด้วยการกระทำ โดยถือว่าการปฏิบัติเป็นความสามารถในการผสมผสานหลักการต่างๆ ที่ได้รับการฝึกฝนให้ปรากฏ ออกมาเป็นทักษะของผู้เรียน จากความหมายที่กล่าวมาเบื้องต้น พอสรุปความหมายของการวัดทักษะ ปฏิบัติได้ดังนี้คือ เป็นการวัดความสามารถที่ผู้เรียนได้แสดงพฤติกรรมในการปฏิบัติการ ทั้งพฤติกรรม ทางความรู้ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม รวมไปถึงกระบวนการในการทำงาน ที่ได้จากการ ปฏิบัติ สุวิมล ว่องวาณิช (2547:2-3) การวัดทักษะปฏิบัติเป็นการวัดที่ใช้สถานการณ์เพื่อ ทดสอบการปฏิบัติงานของบุคคลซึ่งส่วน ใหญ่เป็นการวัดพฤติกรรมการปฏิบัติงานทีละคน ทั้งนี้ผู้ถูก วัดจะได้รับมอบหมายให้ทำงานชิ้นใดชิ้น หนึ่ง มีกระบวนการทำงานตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น จุดมุ่งหมายสุดท้ายได้เป็นผลงานออกมา การวัด ภาคปฏิบัติจึงเป็นการวัดกระบวนการปฏิบัติงาน (Process) และการวัดคุณภาพของงานที่ได้จากการ ปฏิบัติ (Product) ในการปฏิบัติงานนั้น ถ้างาน มอบหมายให้ทำเป็นกลุ่ม ผู้เรียนมักจะได้รับการ ประเมินตามกลุ่มงาน แต่ถ้างานนั้นสามารถแยกทำ เป็นคนๆได้ ผู้จะได้รับการประเมินทีละคน สรุปได้ว่า การวัดทักษะปฏิบัติ คือการทดสอบหรือวัดความสามารถความชำนาญในลง มือปฏิบัติที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนให้ปรากฏออกมาเป็นทักษะของผู้เรียน
29 2. เครื่องมือที่ใช้วัดผลด้านทักษะปฏิบัติ อุทุมพร จามรมาน (2529:69) ได้กล่าวถึงเครื่องมือวัดผลด้านทักษะปฏิบัติว่ามีหลาย อย่าง เช่นแบบทดสอบ แบบเขียนตอบ แบบสังเกตการณ์ปฏิบัติงาน แบบตรวจสอบรายการ แบบวัด ทัศนคติงาน หรือเกณฑ์ประเมินผลงาน เป็นต้น สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2530:98-100) ได้แบ่งการวัดผลด้านทักษะปฏิบัติออกเป็น 4 ชนิด ตามระดับความเป็นจริง ดังนี้ 1.วัดด้วยการเขียนตอบ จะแตกต่างไปจากการสอบโดยทั่วไป เพราะการทดสอบนี้จะมุ่งการ ใช้ความรู้และทักษะ คำถามส่วนใหญ่เป็นการใช้ความรู้ที่เป็นผลมาจากการเรียนรู้ที่ผ่านมา 2.การทดสอบเชิงจำแนก (Identification Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้กันแพร่หลาย เช่น ให้นักเรียนจำแนกเครื่องมือ หรือชิ้นส่วนของเครื่องมือว่ามีอะไรบ้าง 3.การปฏิบัติเชิงสร้างสถานการณ์ (Stimulated Performance) จะเป็นวิธีการโดยให้ ผู้เรียน ได้ปฏิบัติงานในสถานการณ์ที่เหมือนจริง เช่น ในวิชาพละศึกษา ให้นักเรียนแสดงท่ามวยโดย ไม่มีคู่ต่อสู้ เป็นต้น 4.การปฏิบัติงานจริง (Work Sample) ในการทดสอบการปฏิบัติซึ่งมีหลายวิธีการนั้น ถือว่า เป็นระดับความเป็นจริงสูงสุด นักเรียนจะต้องแสดงตัวอย่างของงานภายใต้สภาพจริง ในการวัดผล ด้านทักษะปฏิบัตินั้นจะใช้วิธีการใดหรือรูปแบบใดนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน นั้นๆและ วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน สุนันท ศลโกสุม (2532:70-75 อ้างอิงใน ธีรารัตน งามปลั่ง. 2551:52-53) การวัด ภาคปฏิบัติตองใชเครื่องมือในการวัด 2 ประเภท คือ 1. แบบบันทึกผลการปฏิบัติ แบบบันทึกนี้ประกอบดวย 2 สวน คือ 1.1 รายการในการตรวจสอบความสามารถในการปฏิบัติงาน ทั้งผลผลิตและการ ดําเนินงาน 1.2 การใหน้ำหนักคะแนนแตละรายการ การกําหนดคาน้ําหนักคะแนนทําไดหลาย วิธี เปน 0, 1 หรือมาตราสวนประมาณคา รูปแบบของเครื่องมือในการบันทึกทําไดหลายรูปแบบ เชน แบบสํารวจรายการ (Check list) เปนแบบสํารวจรายการจะเปนรายการที่กําหนดไวเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ตองการใหกระทํา หรือ วิธีการที่มีจุดประสงคจะใหทําตามนั้น ผูสังเกตจะตรวจสอบตามรายการวาผูถูกประเมินไดทํา ตาม รายการนั้นหรือไม การใชแบบสํารวจเปนการกําหนดเปนน้ําหนักคะแนนวาไดหรือไมได ถาผานหรือ ไดแสดงวา ผูปฏิบัติไดกระทําตามรายการนั้นถูกตอง ถาไมไดแสดงวาทําไมถูกตอง
30 2. การสังเกตการวัดความสามารถในการกระทําของผูปฏิบัติ การสังเกตเปนเครื่องมือ ชนิดหนึ่ง เทคนิคการสังเกตเปนวิธีการใชเครื่องมือนั้น ๆ เชน การใชแบบสํารวจรายการ การใชมา ตราสวน ประมาณคา การใชแผนภาพแสดงการปฏิบัติงาน และบันทึกยอยตาง ๆ เทคนิคการสังเกต ยังรวมถึงการจดบันทึก เครื่องมือที่ใช้วัดผลด้านทักษะปฏิบัติแบบสํารวจรายการ (Check List) แบบสํารวจรายการ จะเปนรายการที่กําหนดไวเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ตองการใหกระทําหรือวิธีการที่มีจุดประสงคจะใหทํา ตามนั้น ผูสังเกตจะตรวจสอบวาผูถูกประเมินไดทําตามรายการนั้นหรือไม การใชแบบสํารวจรายการ เปนการกําหนดน้ำหนักคะแนนวาไดหรือไม ถาผานหรือไดแสดงวาผูปฏิบัติไดทําตามรายการนั้นถูกต อง ถาไมไดแสดงวาทําไมถูกตอง วาสนา ประวาลพฤกษ (2527:2-3) เครื่องมือที่ใช้วัดผลด้านทักษะปฏิบัติแบบจัดอันดับ (Ranking) การจัดอันดับเปนวิธีที่จะเรียงลําดับผูเรียนใน คุณสมบัติหนึ่ง ๆ ตามที่กําหนดให ซึ่ง สามารถใชในการวัดวิธีหรือผลงานได แตสวนใหญใชในการวัดผลงานมากกวา การจัดอันดับมีความ เชื่อมั่นสูงขึ้นถาจัดอันดับดวยคุณสมบัติใดคุณสมบัติหนึ่ง โดยเฉพาะ และมีนิยามของคุณสมบัตินั้น ชัดเจน ในการจัดอันดับคุณภาพผลงาน ซึ่งมักใชในการ สอบดานการปฏิบัตินั้น ครูอาจจะแบงคุณภาพ ผลงานออกเปนหลายประการแลวจัดอันดับทีละ คุณภาพ การจัดอันดับที่งายและสะดวก โดยมาก นิยมใชหลักการแบงทีละ 3 ดังนี้ 3.1 นําผลงานทั้งหมดมาแบงเปน 3 กลุม คือ สูง ปานกลาง และต่ำ 3.2 นํากลุมปานกลางมาพิจารณาแบงเปน 3 อีกครั้ง หลังจากนั้นทํา เชนเดียวกันในกลุ่ม สูง และกลุมต่ำ 3.3 กําหนดใหกลุมสูงเปน 9, 8, 7 ซึ่ง 9 คือ กลุมที่มีผลงานดีที่สุดในกลุมสูง และ 7 คือ กลุมที่มีผลงานต่ำที่สุดในกลุมสูง และใหกลุมกลางเปน 6, 5, 4 และกลุมต่ําเปน 3, 2, 1 ทั้งนี้ตัวเลขที่ มีคาสูงแทนคุณภาพงานที่สูง 3.4 นํากลุมที่อยูระหวางกลุมสูงและกลุมต่ํา คือ 7 และ 6 มาพิจารณาเพื่อ โยกยายใหมี ความเหมาะสมยิ่งขึ้น และทําเชนเดียวกันในกลุม 4 และ 3 สรุปได้ว่า เครื่องมือที่ใช้วัดผลด้านทักษะปฏิบัติมีหลากหลายอย่างโดยสวนมากผูตรวจต้อง ใหคะแนนกระบวนการหรือผลงานของผูเรียน หากไมมีเครื่องมือและเกณฑในการตัดสินใจก็ยากที่จะ หาความเที่ยงตรงไดดังนั้นจึงมีการสรางเครื่องมือเพื่อชวยใหผูตรวจใหคะแนนไดสะดวกและเที่ยงตรง มากขึ้น เครื่องมือในการวัดทักษะปฏิบัติ เช่น แบบสํารวจรายการ (Check List) แบบมาตรา ประมาณคา (Rating Scale) แบบจัดอันดับ (Ranking) และแบบบันทึก (Record)
31 3. การสรางเครื่องมือวัดทักษะปฏิบัติ ทัคแมน (1976:180-185 อ้างอิงใน อภิชาติ อนุกูลเวช. 2551:83-84) ไดเสนอขั้นตอน ในการสรางแบบทดสอบ ดานการปฏิบัติโดยทั่วไปไว 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. กําหนดวัตถุประสงคของการปฏิบัติงานที่ชัดเจน คําบงชี้การกระทํา (Action Word) ที่ใชประจํา คือ แสดงหรือสาธิต (Demonstrate) และสราง (Construct) ตัวอยางของการ กําหนดจุดประสงคของการปฏิบัติเชน 1.1 เพื่อแสดงวิธีการแบงมุมออกเปน 2 สวนเทา ๆ กัน 1.2 เพื่อแสดงวิธีการวัดความตานทานไฟฟา 2. กําหนดสถานการณของการทดสอบที่ชัดเจน ซึ่งสถานการณดังกลาวนี้จะ เปนสิ่ง ที่อํานวยความสะดวกในการที่จะทําใหบรรลุวัตถุประสงคที่ตองการ ไดแก การกําหนดวัสดุอุปกรณใน การปฏิบัติงาน การกําหนดคําสั่งในการปฏิบัติงาน 3. กําหนดเกณฑในการประเมินผลกระบวนการ (Process) และผลงาน (Product) อยางชัดเจนที่จะทําใหเปนการตัดสินใจที่มีความเปนปรนัยมากขึ้น 4. สรางแบบประเมินในการใหคะแนนการปฏิบัติงานซึ่งเปนการนําเกณฑในการ ประเมินงานที่ปฏิบัติที่ไดจัดทําขึ้นในขอ 3 นํามาเรียงลําดับกอนหลังตามขอคําถาม และกําหนดให น้ำหนักคะแนนเกณฑแลวแตความสําคัญในวิธีการปฏิบัติงาน ผูประเมินจะพิจารณากอนการปฏิบัติ ของผูเขาสอบวาตรงตามเกณฑที่ระบุไวหรือไมแลวใหคะแนนตามเกณฑ เมหเรนสและเลหแมน (1984:208 อ้างอิงใน อภิชาติ อนุกูลเวช. 2551:84) ไดกําหนด ขั้นตอนใน การพัฒนาแบบทดสอบดานการปฏิบัติดังนี้ 1. ทําการวิเคราะหงาน (Job Analysis) เพื่อกําหนดวามีความสามารถอะไรบาง ที่ ควรทดสอบ วิธีหนึ่งที่ดีที่สุดในการกําหนดคุณลักษณะเฉพาะที่จําเปนของงานก็คือใหผูที่ทําการ ทดสอบ (Examiner) เรียนรูงานและตรวจตราอยางระมัดระวังในขั้นตอนการฝกหัด วิธีนี้จะทําให ผูสร างแบบทดสอบเห็นภาพพจนไดวา สภาพที่แทจริงที่เกี่ยวของดวยเปนอยางไร มากกวาที่จะ ไดมาจาก การสังเกตผลงานเพียงอยางเดียว 2. เลือกงาน ทักษะและความสามารถที่มีความสําคัญที่จะเกี่ยวของในงานและการ ปฏิบัติหรือทักษะบางอยางควรระบุไวดวยในการวิเคราะหงาน หลังจากที่ตัดสินใจแลวว่า ความสามารถอะไรบางที่จะถูกทดสอบ เราจะตองกําหนดวาการปฏิบัตินั้นเกี่ยวของกับกระบวนการ หรือผลงานหรือทั้งสองประการรวมกัน 3. การสรางแบบฟอรมการสังเกต หรือแบบฟอรมการประเมิน ควรบอกชนิด ของสิ่ง ที่ตองมีการบันทึกประกอบการสังเกตดวย เชน คุณภาพของผลงานที่ทํา ความเร็วในการ ปฏิบัติงาน อยางไรก็ตามควรใหความสําคัญกับทักษะและความสามารถในการปฏิบัติ
32 4. สรางรูปแบบของแผนงานตัวอยาง เราทราบวาไมมีแบบทดสอบฉบับใดที่ สามารถ บรรจุทุกสิ่งทุกอยางที่เราตองการจะวัด สําหรับแบบทดสอบวัดดานการปฏิบัติผูสรางตองอาศัย หลักเกณฑ์ จากการวิเคราะหงาน แลวเลือกงานที่สําคัญที่สุด 5. การสรางแผนการดําเนินการสอบ เชน เตรียมคําสั่ง ขอบเขตของเวลา วัสดุ คําแนะนําในการใหคะแนน และอื่น ๆ 6. ทดลองขอสอบกอนที่จะจัดทํารูปแบบขอสอบ เบรดฟลด (1957: 341 อ้างอิงใน ธีรารัตน งามปลั่ง. 2551:47) ไดเสนอขั้นตอนทั่วไปใน การสรางแบบวัดภาคปฏิบัติไว 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. เขียนรายการของกิจกรรมทั้งหมดในการปฏิบัติที่แบบวัดจะทําการวัด 2. เลือกกิจกรรมเพื่อที่จะบรรจุในแบบวัด 3. ปรับปรุงงานหรือชุดของงานที่กิจกรรมเหลานี้รวมกัน (Incorporates) และมิติ ต่าง ๆ ใหปรากฏชัดแจง 4. ปรับปรุงรูปแบบการสังเกตที่จะทําการวัดกิจกรรมให อยูในรูปของมิติ (Dimensions) ที่สําคัญ 5. ปรับปรุงคําสั่ง คําชี้แจง ตลอดจนแผนการในการดําเนินการสอบ สุภรณ ลิ้มบริบูรณ (2535:15-17 อ้างอิงใน ธีรารัตน งามปลั่ง. 2551:47) ไดเสนอ ขั้นตอนในการสรางแบบวัดภาคปฏิบัติดังนี้ 1. กําหนดจุดประสงคการเรียนรูคือ จุดประสงคที่ระบุวาตองการใหนักเรียนทํา อะไรได เพื่อวัดวานักเรียนมีพฤติกรรมตามที่กําหนดหรือไม 2. กําหนดลักษณะของการวัด 3. กําหนดพฤติกรรมจากการพิจารณาในขอ 2 นํามากําหนดพฤติกรรมที่จะวัด 4. สรางเครื่องมือ รวบรวมรายการหรือพฤติกรรมที่กําหนดไวในขอ 3 มาสราง เครื่องมือ 5. กําหนดเกณฑการวัด คือ การกําหนดวาผูเรียนจะตองทําไดแคไหน เผียน ไชยศร (2529:46-53 อ้างอิงใน ธีรารัตน งามปลั่ง. 2551:48) ไดกลาวถึงลําดับขั้น ในการสรางแบบวัดภาคปฏิบัติไว ดังนี้ 1. ระบุสาระสําคัญที่เปนหลักวิชา และทักษะหลักในการทํางาน 2. กําหนดขั้นตอนหรือองคประกอบของการปฏิบัติงานที่จะวัด 3. ระบุรายการและกิจกรรมในแตละขั้นตอนหรือองคประกอบ 4. ศึกษาและกําหนดตัวแปรที่สงผลใหการปฏิบัติงานนั้นมีผลตองานที่ไดรับ 5. ระบุรายการและการปฏิบัติที่ใชแตละองคประกอบ
33 6. เขียนขอรายการ 7. กําหนดเกณฑในการตัดสิน 8. การใหน้ําหนัก 9. กําหนดน้ําหนักของแตละขอรายการ (Item) ของแตละขั้นตอนที่จําแนกเปน รายละเอียดในการปฏิบัติได 10. การจัดรูปแบบเครื่องมือ จัดรวบรวมขอรายการตาง ๆ ในแตละขั้นตอนเกณฑ และ น้ำหนักหรือคะแนน เขาเปนหมวดหมูเรียงตามลําดับขั้นตอนที่ควรเปนและสะดวกในการใช พวงแกว ปุณยกนก และ สุวิมล วองวาณิช (2534: 24 อ้างอิงใน ธีรารัตน งามปลั่ง. 2551:48) ไดเสนอขั้นตอนการสราง แบบวัดภาคปฏิบัติ ไวทั้งหมด 5 ขั้น คือ 1. การวิเคราะหงาน (Job Analysis) เปนการวิเคราะหกิจกรรมที่ตองดําเนินการใน การ ทํางาน เพื่อระบุพฤติกรรมที่บงชี้ความสามารถทางการปฏิบัติที่มุงวัด 2. การกําหนดตัวบงชี้พฤติกรรมที่จะวัด (Indicator) คือ การตั้งเกณฑการวัดให สอดคลองกับพฤติกรรมที่ตองการวัด 3. ระบุสภาพการณที่ใชในการวัดใหชัดเจน 4. เตรียมเครื่องมือที่ใชในการวัด 5. เตรียมคําสั่งหรือคําชี้แจงเพื่อใชในการบริหารแบบวัด กรมวิชาการ (2539:11-16 อ้างอิงใน ธีรารัตน งามปลั่ง. 2551:48-50) ไดเสนอขั้นตอน ในการสรางและพัฒนาแบบวัดภาคปฏิบัติของนักเรียนในสถานการณชีวิตจริง ดังนี้ 1. ทําความเขาใจพฤติกรรมที่ตองการวัด ครูจะตองศึกษาวา พฤติกรรมที่ตองการวัด นักเรียนนั้น หมายถึงอะไร มีลักษณะอยางไร นักเรียนแสดงออกอยางไรจึงจะสรุปวา เขามีพฤติกรรม ที่ตองการวัดแลว ตัวอยางเชน ความรู-ความจํา หมายถึง ความสามารถทางสมองในการเก็บขอความรู ขอมูล ขอเท็จจริงตาง ๆ หรือปรากฏการณตาง ๆ ที่เรียนรูหรือพบเห็น การแสดงออก นักเรียน สามารถระลึกถึงขอความรูขอมูล ขอเท็จจริงตาง ๆ ที่เก็บ สะสมไวออกมาไดโดยการพูด บอก หรือ เขียนใหคนรูทราบได 2. เลือกใชสถานการณหรือเนื้อหาในการวัด เมื่อครูเขาใจพฤติกรรมที่ตองการวัด ชัดเจน แลว ขั้นตอไปครูจะตองเลือกสถานการณหรือเนื้อหาที่สามารถเราใหนักเรียนแสดงพฤติกรรม ที่ตองการวัดออกมาใหเห็นไดอยางชัดเจน เพื่อนํามาใชในการเขียนขอคําถามหรือสิ่งที่นักเรียนตอง ปฏิบัติ 3. กําหนดความคิดรวบยอดของสถานการณหรือเนื้อหา นําสถานการณหรือเนื้อหาที่ เลือกแลวมาทําความเขาใจและเขียนความคิดรวบยอดของเนื้อหานั้น เพื่อเปนกรอบความคิดในการ เขียนขอคําถามหรือสิ่งที่นักเรียนจะตองปฏิบัติ
34 4. เขียนขอคําถามหรือสิ่งที่นักเรียนตองปฏิบัติ การเขียนขอคําถามหรือสิ่งที่นักเรียน จะตองปฏิบัติ ครูจะตองคํานึงถึงสิ่งตอไปนี้เพื่อใหขอคําถามมีคุณภาพ - ถามใหตรงจุดและชัดเจน - คําถามกะทัดรัด ไมใชคําฟุมเฟอย - ยั่วยุใหใชความคิดในการตอบ - ใชภาษาใหเหมาะสมกับระดับ / วัยของนักเรียน 5. เขียนตัวเลือกหรือเกณฑการใหคะแนน 6. ตรวจสอบคุณภาพของแบบวัด แบบวัดที่ครูสรางขึ้นควรตรวจสอบคุณภาพของ เครื่องมืออยางนอย 3 ประการ คือ ความเที่ยงตรง (Validity) ความเปนปรนัย (Objectivity) ความ เชื่อมั่น (Reliability) ซึ่งมีวิธีการตรวจดังนี้ วิธีตรวจสอบคุณภาพดานความเที่ยงตรง นําขอสอบหรือสิ่งที่นักเรียนตองปฏิบัติและ จุดประสงคการเรียนรูที่วัดขอสอบเหลานั้นไปใหเพื่อนครูอยางนอย 5 คน พิจารณาวาขอสอบแตละ ข อนั้นสอดคลองกับจุดประสงคการเรียนรูที่ตองการวัดหรือไม ถาเพื่อนครูอยางนอย 3 คน เห็น ตรง กันวา ขอสอบหรือสิ่งที่นักเรียนตองปฏิบัตินั้นตรงจุดประสงคก็แสดงวา ขอสอบขอนั้น สอดคลองกับ จุดประสงคที่ตองการวัด แตถาเพื่อนครูอยางนอย 3 คน ไมแนใจหรือมีความเห็น ตรงกันขามทั้ง 3 คน แสดงวาขอสอบนั้นไมตรงจุดประสงคตองปรับปรุงขอสอบขอนั้นเสีย วิธีการตรวจสอบคุณภาพดานความเปนปรนัย ตรวจสอบโดยใหเพื่อนครูอยางนอย 3 คน พิจารณาความชัดเจนของสิ่งตอไปนี้ ก. ความชัดเจนของคําสั่ง คําถาม ตัวเลือก (ขอสอบชนิดเลือกตอบ) ขอปฏิบัติ ของ นักเรียนในแตละขั้นตอน ข. ความชัดเจนของสิ่งที่กําหนดใหผูดําเนินการสอบและผูเขาสอบจัดเตรียมไว (เครื่องมือ วัดการปฏิบัติ) ค. ความชัดเจนของวิธีดําเนินการสอบ ง. ความชัดเจนของเกณฑการใหคะแนน จ. ความชัดเจนของแบบบันทึกการสังเกต ถาเพื่อนครูอยางนอย 3 คน วินิจฉัยตรงกันวา สิ่งเหลานี้มีความชัดอานแลวเขาใจ ตรงกัน วาตองทําอะไร ทําอยางไรบาง ก็สรุปวาเครื่องมือวัดฉบับนั้นมีคุณภาพดานความเปนปรนัย วิธีตรวจสอบคุณภาพดานความเชื่อมั่น ดําเนินการโดยเอาขอสอบดังกลาวไปสอบ นักเรียน 2 ครั้ง กลุมเดียวกัน ซึ่งใชนักเรียนจํานวน 1 หอง โดยใชระยะเวลาหางกัน 2 สัปดาห แลวนํา คะแนนมาเปรียบเทียบกัน ถาคะแนนการสอบครั้งที่ 1 และการสอบครั้งที่ 2 ใกลเคียงกัน แสดงวา เครื่องมือชุดนี้มีคุณภาพดานความเชื่อมั่นในระดับที่ยอมรับได
35 เมื่อตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวัดจนแนใจและเชื่อมั่นไดวา มีคุณภาพดี อยูใน เกณฑที่ยอมรับได เราจึงจะนําไปทดสอบวัดความรูความสามารถของนักเรียนตอไป สรุปไดวา การสรางแบบวัดภาคปฏิบัติ ต้องมีความเปนปรนัย ความเที่ยงตรง และความ เชื่อมั่นในการสรางแบบวัดภาคปฏิบัติเพิ่มมากยิ่งขึ้นผู้วิจัยได้ทำการเรียบเรียงขั้นตอนการสรางแบบวัด ภาคปฏิบัติไว้ดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการ เรียนรู้ศิลปะ สาระนาฎศิลป์ และศึกษาทฤษฎีหลักการและวิธีการสร้างเครื่องมือ วัดผลทางการศึกษา 2. กําหนดวัตถุประสงคเนื้อหาของทักษะการปฏิบัติงานที่ชัดเจน 3. ศึกษาการสร้างแบบฟอร์มการวัดทักษะปฏิบัติเกณ์การให้คะแนนให้สอดคล้องกับ เนื้อหาที่จะวัดประเมิน 4. ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพแบบวัด ความเที่ยงตรง ความเป็นปรนัย และความ เชื่อมั่นของแบบวัดภาคปฏิบัติ 5. แก้ไขและตรวจสอบแบบฟอร์มให้ถูกต้อง 6. นำแบบฟอร์มไปใช้วัดทักษะปฏิบัติให้นักเรียนปฏิบัติท่ารําตามที่กำหนดในแต่ละข้อ 8. ความพึงพอใจในการเรียนรู้ การนำเสนอความพึงพอใจ ผู้วิจัยได้แบ่งการนำเสนอออกเป็น 2 หัวข้อ คือ 1) ความหมาย ของความพึงพอใจ 2) แนวคิดทฤษฎีความพึงพอใจ มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของความพึงพอใจ สุรางค์ โค้วตระกูล (2544:179) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการ เรียนรู้ ความสัมฤทธิ์ผลในการเรียนของนักเรียน นอกจากจะขึ้นอยู่กับความสามารถแล้วยังขึ้นกับ ความพึงพอใจด้วย ประสาท อิศรปรีคา (2547:300) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง พลังที่เกิดพลังทาง จิต ซึ่งเป็นภาวะภายในที่กระตุ้นพฤติกรรมให้แสดงออกมา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ ต้องการ สุลักษณ์ สุขแก้ว (2549:40) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกภายในจิตใจของ มนุษย์ ซึ่งจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับบุคคลว่าจะคาดหมายกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างไร ถ้าคาดหวังหรือมี ความตั้งใจมาก เมื่อได้รับการตอบสนองด้วยดีจะมีความพึงพอใจมาก แต่ในทางตรงกันข้ามอาจ
36 ผิดหวังหรือไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามที่คาดหวังไว้ หรือได้รับน้อยกว่าที่ คาดหวังไว้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตั้งใจไว้ว่าจะมีมากหรือน้อย ดังนั้นความพึงพอใจในการเรียนรู้ หมายถึง ความรู้สึกพอใจที่มีต่อการได้ร่วมปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้จนบรรลุผลหรือเป้าหมายในการเรียนรู้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2556) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจ หมายถึง รัก และชอบใจ สรุปได้ว่า ความหมายของพึงพอใจ คือความรู้สึกทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ กระทำอยู่นั้นมากน้อยเพียงใดเรียกจะเรียกว่าเป็นการประเมินค่าความรู้สึกของบุคคล ผลของความพึง พอใจขึ้นอยู่กับความคาดหวังของผู้ประเมิน 2. แนวคิดทฤษฎีความพึงพอใจ สมยศ นาวีการ (2544:115-11) ได้กล่าวถึงทฤษฎีความพึงพอใจว่ามีแนวคิดพื้นฐานที่ ต่างกัน 2 ลักษณะ ในการปฏิบัติงานที่ผู้บริหารหรือครูจะด้องคำนึงถึงการจัดการเรียนการสอนที่จะทำ ให้ผู้เรียนหรือผู้ปฏิบัติงานเกิดความพึงพอใจ คือ 1. ความพึงพอใจนำไปสู่การปฏิบัติงาน การตอบสนองความต้องการของผู้ปฏิบัติงานจนเกิด ความพึงพอใจ จะทำให้เกิดแรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการ ตอบสนอง ดังนั้นครูผู้สอนที่ต้องการให้กิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบรรลุ จุดประสงค์การเรียนรู้ ต้องคำนึงถึงการจัดบรรยากาศ สถานการณ์ สื่อการสอนที่เอื้ออำนวยต่อการ เรียน เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของผู้เรียนให้มีแรงจูงใจในการทำกิจกรรมจนบรรลุตามจุดประสงค์ 2. ผลของการปฏิบัติงานนำไปสู่ความพึงพอใจ ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจและผล การปฏิบัติงานจะถูกเชื่อมโยงด้วยปัจจัยอื่น ๆ ผถการปฏิบัติงานที่ดีจะนำไปสู่ผลตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การตอบสนองความพึงพอใจ ผลการปฏิบัติงานย่อมได้รับการตอบสนองในรูปของ รางวัลหรือผลตอบแทน ซึ่งแบ่งออกเป็นผลตอบแทนภายใน (Intinsic Rewards)และผลตอบแทน ภายนอก (Extrinsic Rewards) โดยผ่าน การรับรู้เกี่ยวกับความยุติธรรมของผลตอบแทน ซึ่งเป็นตัวชี้ ปริมาณของผลตอบแทนที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับคือ ความพึงพอใจในงานของผู้ปฏิบัติงาน จะถูกกำหนด โดยความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงและการรับรู้เรื่องความยุติธรรมของผลการตอบ แทนที่รับรู้แล้ว ความพึงพอใจย่อมเกิดขึ้น ทิศนา แขมมณี (2550:69) กล่าวว่า ทฤษฎีความพึงพอใจของ มาสโลว์ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ เกี่ยวข้องกับความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ โดยมองว่าความต้องการของมนุษย์มีลักษณะเป็น ลำดับขั้น จากระดับต่ำไปยังระดับสูงสุด เมื่อความต้องการในระดับหนึ่งได้รับการตอบสนองแล้ว มนุษย์ที่จะมีความต้องการอื่นในระดับสูงขึ้นต่อไป ดังนี้มนุษย์ทุกคนมีความต้องการพื้นฐานตาม ธรรมชาติเป็นลำดับขั้น คือ
37 1. ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Necd.) เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของ มนุษย์เพื่อความอยู่รอด เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อากาศ ฯลฯ 2. ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง ( Secunity or Safery Necds) เมื่อมนุษย์ สามารถตอบสนองความต้องการทางร่างกายได้แล้ว มนุษข์จะเพิ่มความต้องการในระดับที่สูงขึ้นเช่น ความต้องการปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ต้องการความมั่นคงในชีวิตและหน้าที่การงาน 3. ความต้องการผูกพันหรือการยอมรับความต้องการทางสังคม( Afiliation or Acceptance Needs) เป็นความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของ มนุษย์เช่น ความต้องการให้และได้รับความรัก ความชื่นชมจากผู้อื่น 4. ความต้องการยกย่อง (Esteem Needs) หรือความภาคภูมิใจในตนเอง ซึ่งเป็นความ ต้องการได้รับการยกย่อง นับถือ และสถานะทางสังคม เช่น ความต้องการได้รับความเคารพนับถือ ความต้องการมีความรู้ความสามารถ เป็นต้น 5. ความต้องการความสำเร็จในชีวิต (Self Actualization) เป็นความต้องการสูงสุด 6. มนุษย์มีความต้องการที่จะรู้จักตนเองและพัฒนาตนเอง ประสบการณ์ที่เรียกว่า "Peak Experience" เป็นประสบการณ์ของบุคคลที่รู้จักตนเองตามสภาพความเป็นจริง เป็นช่วงเวลา ที่บุคคลเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยแท้ เป็นสภาพที่สมบูรณ์ลักษณะผสมผสานเป็นช่วงเวลาแห่งการ รู้จักตนเองจะสามารถพัฒนาคนไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ สรุปได้ว่า ทฤษฎีความพึงพอใจ คือทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความต้องการความรู้สึกของมนุษย์ มีลักษณะเป็นลำดับขั้น จากระดับต่ำไปยังระดับสูงสุดขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติงานเกิดความพึงพอใจในระดับ ใดเพราะความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานอาจมีผลต่องานนั้นด้วย 9. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สุชาดา หวังสิทธิเดช, พีระพร รัตนาเกียรติ์, บงกชรัตน์ ศุภเกษร และวารินทิพย์ ศรีกุลา (2559: บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงประประสบการณ์ เพื่อ ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย โดยมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยเพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยก่อนและหลังการจัดการ เรียนรู้เชิงประสบการณ์ 2.) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ที่มีต่อ ทักษะการเรียนรู้สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม อ. เมือง จ. มหาสารคาม ซึ่งลงทะเบียน เรียนในรายวิชานิทานและหุ่นสำหรับเด็กปฐมวัย จำนวน 29 คน ระยะเวลาในการวิจัยภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2559 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการ
38 เรียนรู้เชิงประสบการณ์แบบประเมินทักษะการเรียนรู้ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้เชิง ประสบการณ์และแบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และค่าความเบี่ยงเบน มาตรฐาน ในการดำเนินการวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษา แนวคิด ทฤษฎี นำมาพัฒนาเป็นรูปแบบการจัดการ เรียนรู้เชิงประสบการณ์ซึ่งมี 5 ขั้นตอน กล่าวคือ 1) ชั้นการได้รับประสบการณ์ 2ขั้นการสะท้อนการ เรียนรู้ 3) ขั้นการสร้างมโนทัศน์ 1) ขั้นการ ประยุกต์ใช้ และ5) ขั้นการประเมินผล ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการเปรียบเทียบทักษะการเรียนรู้หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์สูงกว่า ก่อนใช้รูปแบบอยู่ในระดับดี2. การประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้เชิงประสบการณ์ของอาจารย์ พบว่าโดยภาพรวมมีความคิดเห็นของระดับคุณภาพความพึง พอใจของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยอยู่ในระดับมาก กันตาภา สุทธิอาจ (2560: บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัย เรื่อง พัฒนารูปแบบการเรียนการสอน แบบเน้นประสบการณ์ตามสภาพจริง เพื่อส่งเสริมคุณลักษณะการเรียนด้วยการนำตนเองของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โดยมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยเพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอน แบบเน้นประสบการณ์ตามสภาพจริง เพื่อส่งเสริมคุณลักษณะการเรียนด้วยการนำตนเองของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และ 2) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนแบบเน้น ประสบการณ์ตามสภาพจริง เพื่อส่งเสริมคุณลักษณะการเรียนด้วยการนำตนเอง ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสตรี วัดระฆัง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 ที่เรียน พระพุทธศาสนา รหัส ส 23105 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 2 ห้องเรียน ซึ่งได้มาโดย การสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนมีองค์ประกอบดังนี้ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบการเรียนการสอน 3) ขั้นการจัดการเรียนการสอน มี 4 ขั้น คือ 1) เรียนรู้ ประสบการณ์ที่จำเป็น 2) ทบทวนและไตร่ตรอง 3) สร้างความคิดรวบยอด 4) ประยุกต์ใช้ตามสภาพ จริง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประเมินองค์ประกอบของรูปแบบนี้ พบว่ามีความเหมาะสมในระดับมาก สามารถ นำไปใช้ได้ 4) การวัดและประเมินผลของรูปแบบการเรียนการสอน 2. ประสิทธิผลของรูปแบบการ เรียนการสอนแบบเน้นประสบการณ์ตามสภาพจริง เพื่อส่งเสริมคุณลักษณะการเรียนด้วยการนำ ตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โดยมีผลการวิจัย ดังนี้ 1) กลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์การ เรียนรู้หลังเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 2) กลุ่มทคลองมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) กลุ่มทดลอง มี คุณลักษณะที่ส่งเสริมการเรียนด้วยการนำตนเอง ด้านความ มีวินัย ด้านความรับผิดชอบ ด้านความ
39 เชื่อมั่น ภาพรวมอยู่ในระดับดี 4) กลุ่มทดลอง มีความพึง พอใจต่อการจัดการเรียนการสอนในระดับ มากทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านบรรยากาศ ด้านกิจกรรมการเรียน และด้านประโยชน์ที่ได้รับ จตุพร ผ่องลุนหิต (2560: บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัย เรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้เชิง ประสบการณ์ ที่มีต่อทักษะการแก้ปัญหาและทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยเพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์และทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลัง ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ 2) เปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และ ทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิง ประสบการณ์เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 27 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบ กลุ่ม (Cluster random samping) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เชิง ประสบการณ์ จำนวน 6 แผน 2) แบบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และการเชื่อมโยงทาง คณิตศาสตร์ ฉบับก่อนเรียน มีค่าความเชื่อมั่น 0.95 และ 3) แบบวัดทักษะการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์และการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ ฉบับหลังเรียน มีค่าความเชื่อมั่น 0.84 และสถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์มีทักษะการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์และทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 2 นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์มีทักษะ การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อารีย์ ศรีสุกอง (2561: บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัย เรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้แบบ ประสบการณ์ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ความน่าจะเป็นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยเพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ ของ นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์ ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 80 2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์ ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน 3) เพื่อหาดัชนีประสิทธิผล ของการจัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์ เรื่อง ความน่าจะเป็น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บ้านขำหวาย จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบ ประสบการณ์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย เลขคณิต ส่วน เปียงเบนมาตรฐาน และการทดสอบโดยใช้ค่าที แบบเปรียบเทียบข้อมูลหนึ่งกลุ่มกับค่าที่เป็น มาตรฐาน และการทดสอบความแตกต่างของคำกลางของสองประชากรไม่อิสระ ผลการวิจัยพบว่า 1)
40 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนหลังได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์ เรื่อง ความน่าจะเป็น สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียน ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบประสบการรน์ เรื่องความนำจะเป็นหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 3) ดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบประสบการณ์ เรื่อง ความน่าจะเป็นมีค่าดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนรู้ มีค่า เท่ากับ 0.681 แสดงว่า นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 68.1 สุจิตรา ตรีรัตนนุกูล (2562: บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เชิงประสบการณ์ สำหรับส่งเสริมกรอบความคิดด้านเชาวน์ปัญญาของนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา โดย มีจุดมุ่งหมายในการวิจัยเพื่อ พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์สำหรับส่งเสริมกรอบความคิด ด้านเชาวน์ปัญญาของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และเปรียบเทียบผลการใช้ กิจกรรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์โดยพิจารณาจากคะแนนเฉลี่ยของกรอบความคิดด้านเชาวน์ ปัญญาในกลุ่มทดลองก่อนกับหลังเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์และ คะแนนเฉลี่ยของ กรอบความคิดด้านเชาวน์ปัญญาระหว่างกลุ่มทดลองที่เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้กับกลุ่มควบคุมที่ ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือนักศึกษา อาชีวศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง วิทยาลัยการอาชีพบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 67 คน ที่อาสาสมัครเข้าร่วมการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ กิจกรรมการเรียนรู้เชิง ประสบการณ์ และมาตรวัดกรอบความคิดด้านเชาวน์ปัญญา วิเคราะห์ความแตกต่าง ของค่าเฉลี่ยด้วย สถิติทดสอบทีและความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1. กิจกรรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ มีความเหมาะสมในระดับมาก สำหรับส่งเสริมกรอบความคิดด้านเชาวน์ปัญญาของนักศึกษาระดับ อาชีวศึกษา 2. คะแนนเฉลี่ยของกรอบความคิดด้านเชาวน์ปัญญา ของนักศึกษาระดับอาชีวศึกษาใน กลุ่มทดลองหลังได้เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์สูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรม อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. คะแนนเฉลี่ยของกรอบความคิดด้านเชาวน์ปัญญาของนักศึกษา ระดับอาชีวศึกษากลุ่มทดลองที่เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์สูงกว่านักศึกษาระดับ อาชีวศึกษากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สรุปได้ว่า กิจกรรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ที่พัฒนาขึ้น สามารถส่งเสริมกรอบความคิดด้านเชาวน์ปัญญาของ นักศึกษาระดับอาชีวศึกษาได้
41 บทที่ 3 วิธีด ำเนินกำรวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีขอบเขตอยู่ที่การพัฒนาทักษะปฏิบัติการคิดสร้างสรรค์ท่ารำ เรื่อง ทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้ก าหนดหัวข้อการด าเนินการวิจัย ตามล าดับ ดังนี้ 1. แบบแผนการวิจัยที่ใช้ 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3. เครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล แบบแผนการวิจัยที่ใช้ แบบแผนการวิจัยที่ใช้เป็นแบบกลุ่มเดียววัดหลังการทดลอง (One Shot Case Study) มีการ วัดเพียงครั้งเดียวหลังการทดลอง สัญลักษณ์ที่ใช้ในรูปแบบการวิจัย X = สิ่งทดลอง การจัดกระทำ • = ค่าของตัวแปรตามที่วัดหลังจากได้รับสิ่งทดลองหรือได้รับการจัด กระทำ X O
42 ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ สังกัดส านักการศึกษาเทศบาลนครอุดรธานี ที่เรียนรายวิชานาฏศิลป์ กลุ่มสาระการ เรียนรู้ศิลปะ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 86 คน จากห้องเรียนจ านวน 3 ห้อง 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ สังกัดส านักงานการศึกษาเทศบาลนครอุดรธานี ที่เรียนรายวิชานาฏศิลป์ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ศิลปะ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 40 คน จากห้อง 1/1 โดยการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื ่อง ทักษะพื้นฐานนาฏศิลป์ โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จาก ประสบการณ์ (Experiential learning) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จ านวน 6 แผน 6 ชั่วโมง 2. แบบวัดทักษะปฏิบัติ เรื่อง การคิดสร้างสรรค์ท่าร า 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ เรื่อง การคิดสร้างสรรค์ท่ารำ โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 10 ข้อ วิธีกำรสร้ำงและตรวจสอบคุณภำพเครื่องมือ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การคิดสร้างสรรค์ท่ารำและแถวประกอบเพลง โดยใช้ แนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยด าเนินการ สร้างและหาคุณภาพ ดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 หลักสูตร โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ ต าบลหมากแข้ง อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี และแนวการ จัดการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ ระดับประถมศึกษา จุดมุ่งหมายของ หลักสูตรสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังจุดประสงค์การเรียนรู้กระบวนการ จัดการเรียนรู้ อุปกรณ์การสอนการวัดผลประเมินผลจากการจัดสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะ ของกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการเวลา 1.2 เลือกเนื้อหาที่จะสอนได้แก่ เรื่อง การคิดสร้างสรรค์ท่ารำและแถวประกอบเพลง ซึ่งมีความเหมาะสมกับระดับความสามารถของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหน่วยการเรียนรู้ที่