เทคโนโลยกี ารพัฒนาทด่ี นิ
สูก ารพัฒนาทย่ี ั่งยนื
กองวิจยั และพัฒนาการจัดการทดี่ ิน
กรมพัฒนาท่ดี นิ
กันยายน 2564
OVERVIEW of
TECHNOLOGIES and APPROACHES
for SUSTAINABLE DEVELOPMENT
คำนำ
ปัจจุบันความเสื่อมโทรมของที่ดิน (Land Degradation) ได้เกิดข้ึนอย่างต่อเนื่องในทุกพ้ืนท่ีอย่าง
กว้างขวางทั่วประเทศและท่วั โลก ความเส่ือมโทรมของท่ีดนิ เป็นผลมาจากการปฏิบตั กิ ารจดั การที่ดนิ ทีไ่ มย่ ง่ั ยืน
ซ่ึงเป็นผลต่อผลผลิตทางการเกษตร ส่ิงแวดล้อมและการดารงชีวิต ความเสียหายน้ันอาจเกิดจากการใช้
ประโยชน์ท่ีดนิ อย่างไม่ถูกต้องหรือจากผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนาไปสู่การลดลง
ของทรัพยากรธรรมชาตแิ ละผลผลติ มผี ลต่อความมน่ั คงทางอาหาร
การจดั การที่ดนิ อย่างย่งั ยืน (Sustainable Land Management, SLM) จะช่วยเพม่ิ ผลผลติ ลดความ
แปรปรวนของผลผลิตในฤดูกาลและสนับสนุนผลผลิตท่หี ลากหลายและเพ่มิ รายได้ การจดั การท่ีดินอย่างย่ังยืน
จะเกี่ยวข้องกับประชาชนในการดูแลที่ดินอย่างง่ายๆ ท้ังในปัจจุบันและอนาคต และสนับสนุนให้เกิดการ
บริหารระบบนเิ วศที่มัน่ คง การลงมือปฏิบัติเป็นสิ่งจาเป็นในการปกปอ้ งและบรรเทาปัญหาดงั กลา่ ว ความรู้และ
เทคโนโลยีตลอดจนการขับเคลื่อนและขยายผลเทคโนโลยีนน้ั จะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการเส่ือมโทรมที่ดิน
และนาไปสกู่ ารจัดการทด่ี นิ อย่างย่ังยืนต่อไป
“เทคโนโลยกี ารพัฒนาที่ดนิ สู่การพัฒนาทย่ี ั่งยืน” ฉบับน้ีได้รวบรวมเทคโนโลยีหรือนวตั กรรมและการ
ขยายผลเพ่ือการจัดการที่ดินอยา่ งยั่งยืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากทั่วทุกภาคของประเทศ อาจเป็นเทคโนโลยีของ
กรมพฒั นาที่ดิน เทคโนโลยจี ากโครงการพระราชดารแิ ละเกษตรกรหรือหมอดนิ อาสานาไปประยุกต์ใช้ในพ้ืนท่ี
ของตนเอง หรือเทคโนโลยีซึ่งคิดค้นโดยเกษตรกรและนาไปขยายผลในพื้นท่ีอ่ืนๆ เป็นต้น ท้ังน้ี
กองวิจัยและพฒั นาการจดั การที่ดินนาเสนอในรูปแบบของบทความและอนิ โฟกราฟกิ
กองวิจัยและพัฒนาการจัดการท่ีดิน จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า“เทคโนโลยีการพัฒนาท่ีดินสู่การพัฒนา
ที่ยั่งยืน” ฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อนักวิชาการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ เกษตรกร นิสิต นักศึกษาและประชาชน
และผู้สนใจท่ัวไปเพ่ือใช้เป็นแนวทางเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้า ฟื้นฟูปรับปรุงบารุงดินและแก้ไขปัญหา
ทรพั ยากรดินและทด่ี นิ เพ่อื นาไปสกู่ ารจัดการทดี่ นิ อยา่ งยั่งยืนต่อไป
(นายประเสรฐิ เทพนรประไพ)
กองวจิ ยั และพัฒนาการจัดการทด่ี ิน
สารบัญ
เรื่อง ถนอมขวญั ทิพวงศ์ หนา้
คานา ถนอมขวญั ทิพวงศ์
ศนั สนีย์ อรัญวาสน์ 1
การอนุรักษ์ดนิ 3
1. ข้นั บันไดดินฐาน 3 เมตร เพ่อื ปลกู ชาจีนบนพนื้ ที่สูง อภิชาติ บญุ เกษม 4
2. ไร่ชาขัน้ บันไดเพื่อการอนุรกั ษด์ นิ และนา้ บนพนื้ ทีส่ งู
3. การจัดการท่ีดินแบบผสมผสานในรูปแบบ โคก หนอง นา โมเดล มชั ฌมิ า คาลอย 5
ในภาคเหนอื ของประเทศไทย อภสริ ี มกี ลาง 7
4. การคืนชีวติ ให้ผนื ดินแมแ่ จม่ ดว้ ยระบบการจดั การท่ดี ินและน้า
โชตกิ า งามเงนิ สกุล 9
รูปแบบ โคก หนอง นา โมเดล บนพ้นื ทส่ี งู ลกั ษมี เมตตป์ ราณี
5. การปลกู ยูคาลิปตัสบนคนั นาเพ่อื ลดระดบั น้าต้ืนใต้ดนิ 11
บวร บวั ขาว 12
ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือของประเทศไทย
6. การใหค้ า้ แนะน้าในการปลูกยูคาลิปตัสบนคนั นาในพนื้ ทท่ี ไี่ ดร้ บั วรรณพร พลแสง 14
ผลกระทบจากดินเค็ม อารีรตั น์ วงั แกว้ 15
7. การคลมุ ดินดว้ ยทางใบปาลม์ ในพ้ืนท่ีปลกู ปาล์มนา้ มัน กมลทพิ ย์ ศศิธร
8. การรวมกล่มุ เกษตรกรรายย่อยเพ่อื การจัดการและการถ่ายทอด จุฑารตั น์ รตั นปญั ญา 17
18
เทคโนโลยกี ารพฒั นาดินเสื่อมโทรม วุฒิชยั จนั ทรสมบัติ 19
9. การปรบั เปล่ียนพน้ื ท่นี ากงุ้ ร้างเพือ่ ปลูกต้นจาก อัศวนิ เนตรถนอมศักด์ิ
รตกิ ร ณ ลาปาง 20
การปรับปรุงบารงุ ดิน นิสุดา ทองคาพันธ์ 21
10. เทคโนโลยีการปลูกไม้ทนเค็มกระถินออสเตรเลียบนคันนา 22
23
ในพื้นท่ดี ินเค็มจัด
11. การฟ้นื ฟพู น้ื ทีด่ ินเค็มจัดดว้ ยการปลกู ไมย้ ืนต้นทนเคม็
12. การปลกู พชื ชอบเกลอื (หญ้าดิก้ ซ่)ี เพือ่ การฟืน้ ฟดู นิ เค็มจัด
13. การขยายผลการปลูกหญ้าชอบเกลือ (หญ้าตก๊ิ ซ)่ี เพอื่ ควบคุม
พืน้ ท่ีดินเค็มจดั
14. เทคโนโลยนี ้าหมกั ชวี ภาพเพ่ือการปรับปรุงดิน
15. ศูนยถ์ า่ ยทอดเทคโนโลยีน้าหมักชวี ภาพเพ่อื การปรบั ปรงุ บา้ รงุ ดนิ
16. การใช้ปนู มารล์ เพื่อปรบั ปรงุ ดนิ เปรี้ยวจัด
17. การใช้หินปนู ฝนุ่ ปรบั ปรงุ ดนิ เพ่อื ท้านาข้าวในพ้นื ท่ีดินเปร้ยี วจดั
สารบัญ วชิ ิตา อนิ ทรศรี หนา้
พงศธ์ ร เพยี รพิทกั ษ์
เรอื่ ง ศรณั ย์นพ อนิ ทเสน 25
การปรบั ปรุงบารุงดิน 26
ปานิสรา ทองทว้ ม 28
18. การปลูกปอเทืองเป็นป๋ยุ พืชสดเพื่อการปรบั ปรุงบ้ารุงดิน จกั รพันธ์ เภาสระคู
19. เทคโนโลยีปยุ๋ ส่งั ตัด 30
20. การศึกษา พัฒนา และส่งเสรมิ การจัดการพื้นทีด่ ินเปรยี้ วจดั อภสิ ิทธ์ิ บัวปาย 32
การจัดการนา จารวุ รรณ เฮียงมะณี 33
21. ระบบสง่ น้าแบบฝายคนั ดนิ ในนาขน้ั บันไดบนพนื้ ทสี่ งู
22. แนวทางการจดั การนา้ อย่างมปี ระสทิ ธิภาพในนาขนั้ บนั ได อิสริยา มีสิงห์ 35
ของชุมชนบนพน้ื ท่สี ูง สรุ ชยั สวุ รรณชาติ 37
23. ระบบการกักเกบ็ น้าโดยการเติมน้าลงส่รู ะดับน้าใต้ดนิ
ภรภทั ร นพมาลัย 38
ในภาคเหนอื ของประเทศไทย
24. ธนาคารน้าใต้ดนิ : การเติมน้าลงสรู่ ะดับน้าใตด้ ินและกกั เกบ็ น้า กมลาภา วัฒนประพัฒน์ 39
ใต้ดินในเขตภาคเหนอื ตอนล่างของประเทศไทย บรรเจิดลกั ษณ์ จินตฤทธ์ิ 41
25. การขดุ บ่อเบ้าขนมครกกักเก็บน้า : ธนาคารกักเกบ็ นา้ ในพนื้ ท่ี เกษมศรี มานิมนต์
วนิ ยั ชมบตุ ร 42
การเกษตรขนาดเลก็ อโนชา เทพสภุ รณก์ ุล 43
26. คูบังคับน้า-ล้าประโดงร่องน้าในพืน้ ทีด่ ินเปรี้ยวจัด ประภา ธารเนตร 45
46
เกษตรอนิ ทรยี ์ 47
27. การผลติ ผักอินทรียใ์ นโรงเรอื นบนพนื้ ท่ีสงู ทางภาคเหนอื
ของประเทศไทย
28. วธิ ปี ลูกผักอนิ ทรีย์ ณ บา้ นเมอื งอางภายใตก้ ารส่งเสริม
ของมูลนิธิโครงการหลวง
29. เทคโนโลยีการใช้ถา่ นชวี ภาพเพอ่ื ปรับปรุงบ้ารงุ ดิน
30. ศนู ยถ์ ่ายทอดเทคโนโลยกี ารเลย้ี งหมูหลมุ
31. หมูหลุมอนิ ทรีย์
32. เกษตรอินทรยี บ์ นพ้ืนทล่ี าดเชงิ เขา
33. กลุ่มเกษตรอนิ ทรยี ป์ ัถวีโมเดล
34. เกษตรอนิ ทรียป์ ัถวโี มเดล
สารบญั
เรื่อง เกรยี งไกร แสงไข่ หนา้
เกษตรอนิ ทรีย์ สมจนิ ต์ วานิชเสถยี ร
ณรงคเ์ ดช ฮองกลู 49
35. กล่มุ เกษตรธรรมชาติสัมพันธ์ ปราโมทย์ แยม้ คล่ี 50
36. ศูนย์เรยี นร้เู รื่อง ดิน น้า ปุย๋ และการผลติ พรกิ ไทยคณุ ภาพ 51
37. การจัดการดนิ กรดเพือ่ ปลูกพรกิ ไทยคณุ ภาพ บรรเจดิ ลกั ษณ์ จนิ ตฤทธ์ิ 52
38. เกษตรอนิ ทรีย์แบบมีสว่ นรว่ ม PGS
53
การเปลยี่ นแปลงภมู ิอากาศ
39. การเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลก...จะรบั มอื อยา่ งไร
ในภาคการเกษตร?
ข้ันบนั ไดดนิ ฐาน 3 เมตร เพ่อื การปลกู ชาจีนบนพ้ืนที่สูง
ถนอมขวัญ ทพิ วงศ์ กองวิจยั และพัฒนาการจัดการทด่ี นิ
หลายทานอาจเคยไดยินช่ือเสียงของ “แปลงชา มารจู ักข้ันบนั ไดดนิ กันเถอะ
2000” ซึ่ ง เ ป น แ ป ล ง ป ลู ก ช า จี น อิ น ท รี ย
ขั้นบันไดดินแบบตอเนื่อง ภายในสถานีเกษตร
หลวงอางขางจังหวัดเชียงใหม โดยเกษตรกร
ชาวเขาสามารถผลิตชาจีนคุณภาพดีมาจนถึง
ปจจุบัน นับไดวาข้ันบันไดดินแหงน้ีมีความ
คงทน ดังเห็นไดจากอายุการใชงานท่ีนานกวา
20 ป นบั จากเร่ิมสรา งขึ้นเม่ือป พ.ศ. 2542
ข้ันบันไดดินเปนมาตรการอนุรักษดินและนํ้าทางวิธีกลประเภทคันดิน โดยปรับสภาพพื้นที่ที่มีความ
ลาดชันใหเปน ขน้ั ๆ ลดหลัน่ กนั แบบข้ันบันได ใหเหมาะสมตอการเพาะปลูก ดูแลรักษา เก็บเกยี่ ว ขนสงพชื ผลหรือปจจัยการ
ผลติ และประการสําคัญคือชวยชะลอความเร็วของนํ้าไหลบา ปองกันการพังทลายของดิน รักษาหนาดินที่อุดมสมบูรณไวได
สรางความชมุ ช้นื แกดนิ ทําใหใชท ี่ดนิ เพ่อื การเพาะปลูกไดอยา งยัง่ ยืน เปนมติ รตอสิ่งแวดลอมและระบบนิเวศ
แนวคิดรเิ ร่มิ ทําขัน้ บนั ไดดินบนพ้ืนท่ีสูง การทาํ ขั้นบันไดดินมขี ้นั ตอนหลัก ๆ อยางไรบา ง ?
ยอนกลับไปในป พ.ศ. 2542 สถานีเกษตรหลวง ปกหลักเพื่อกําหนดแนวขุดจากจุดสูงสุดของพ้ืนที่จนถึงจุดต่ําสุดเพื่อ
อางขางจังหวัดเชียงใหม ตองการปรับปรุงแปลง ใชเปนแนวการขุดแรก จากนั้นจึงปกหลักกําหนดแนวขุดในแนวขึ้น-
ไมผลเขตหนาวเกาท่ีมีสภาพเส่ือมโทรม ให ลง ตามความลาดชัน มีระยะหางระหวางไมท่ีปกเทากับระยะหาง
ผลผลิตตํ่า และเส่ียงตอการเกิดการชะลาง ของข้ันบันไดดินเทากับ 3 เมตร โดยปกไมท่ีจุดก่ึงกลางของบันได
พังทลายของดินโดยน้ํา ใหมีศักยภาพเหมาะสม ดิน จากน้ันจึงปกหลักวางแนวขุดในแนวระดับ แนวแรกท่ีจุดสูงสุด
ตอการปลูกพืชเศรษฐกิจเมืองหนาว จึงประสาน ของพ้ืนท่ีกําหนดความกวางของเสนระดับประมาณ 3.0 เมตร และ
ขอความรวมมือกรมพัฒนาท่ีดินในการจัดทํา ลาดเอียง 1-2 องศา เพือ่ ระบายน้าํ ออกจากพ้ืนที่
ระบบอนุรักษดินและนํ้าท่ีเหมาะสมกับการปลูกชา ขุด-ถม เคล่ือนยายดินและปรับแตงพ้ืนท่ี โดยใชเคร่ืองจักรขุดดิน
จีนบนพ้ืนท่ีสูง ตามโครงการสงเสริมและพัฒนา จากขอบแปลงดานลางขึ้นไปทําเปนขั้นบันไดดินเหนือจุดที่ขุด พรอม
อาชพี ใหก บั เกษตรกรชาวเขาเผาปะหลองแหงบาน ท้ังปรับระดับข้ันบันไดใหมีความสม่ําเสมอ จึงเคลื่อนยายดิน
นอแลไดมีท่ีดินทํากินเปนหลักแหลง หยุดการบุก ปรับแตงและบดอัดใหแนน โดยมีความกวาง 3 เมตร เอียงเขาหา
รุกแผวถางปาเพ่ือทําไรเล่ือนลอยเหมือนท่ีเคยทํา ตล่ิง1-2 องศา ใหมีความหนาของดินเพ่ิมอีก 10 เปอรเซ็นต เพ่ือ
ในอดตี ปองกันการยุบตัว โดยมีช้ันของอินทรียวัตถุอยูช้ันบนสุด กําหนด
กรมพัฒนาท่ีดิน โดยศูนยปฏิบัติการพัฒนาท่ีดิน ความสูงของข้ันบันไดดินแตละข้ันไมเกิน 1.8 เมตร จึงตัดดินลงไป
โครงการหลวง (ศพล.) ไดสํารวจ ออกแบบ และ 0.9 เมตร และเตมิ ดนิ 0.9 เมตร
จัดทําข้ันบันไดดินแบบตอเน่ืองท่ีมีความกวางฐาน
3 เมตร ซ่ึงเหมาะสมกับพ้ืนท่ีท่ีมีความลาดชัน
ไมเกิน 25 เปอรเซ็นต เปนดินลึกมากกวา
1 เมตร โดยสามารถดําเนินการเสร็จส้ินในป
เดียวกนั ครอบคลุมเนอื้ ที่ประมาณ 100 ไร
และตอมาในป พ.ศ. 2543 ทางสถานีเกษตร
หลวงอางขาง ไดจัดสรรท่ีดินแปลงจัดทําระบบ
อนุรักษดินและนํ้า “ข้ันบันไดดินแบบตอเน่ือง” ปลูกหญาแฝกเพ่ือรักษาข้ันบันได 2 แถว โดยปลูกเหนือแนว
ใหกับเกษตรกรชาวเขาเผาปะหลองจํานวนกวา ข้ันบันไดดินดานบน 1 แถว และปลูกท่ีแนวดินถมอีก 1 แถว ใช
50 ราย ใชประโยชนจากข้ันบันไดดินเพ่ือปลูกชา ระยะหางระหวางตน 10 เซนติเมตร หรือปลูกพืชคลุมดินบน
จนี อนิ ทรียมาจนถงึ ปจจบุ นั ขั้นบนั ไดดนิ เพอ่ื รักษาความชุม ช้นื แกดิน
1
ผลกระทบทเ่ี กิดขึ้นหลงั การจดั ทาํ ขัน้ บันไดดนิ เพอ่ื การปลูกชา
ผลกระทบดา้ นเศรษฐกิจและสงั คม ผลกระทบดา้ นส่งิ แวดลอ้ มและนิเวศวทิ ยา
เกษตรกรชาวเขามีความม่ันคงทางรายไดจากการ นํ้าไหลบาท่ีผิวดินลดลง
ผลิตชาจนี ที่ใหผ ลผลติ ตลอดป ความช้ืนในดินเพิม่ ข้นึ
มพี ชื พรรณปกคลมุ ดนิ เพิ่มข้นึ และตลอดท้งั ป
สรางอาชีพเกษตรกรรมท่ีย่ังยืนใหกับครอบครัวและ สรา งความหลากหลายทางชีวภาพ พบส่ิงมชี ีวติ ทใ่ี ห
ชมุ ชน
ประโยชน เปนตัวห้ํา ชวยผสมเกสร เชน ไสเดือน
ผลกระทบดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม ดิน ผ้ึง แมลงปอ แมงมุม แมลงเตาทอง แมลง
หางหนบี เปนตน
ทุกกลุมชาติพันธุไดรับโอกาสการจัดสรรที่ดินทํากิน
ตามกลุม พืชท่ตี นเองถนดั และตอ งการผลติ ผลกระทบนอกพืน้ ท่ีดาํ เนินการ
เคารพในการใชท่ีดินตามโซนการปลูก เคารพสิทธิ การทับถมของดินตะกอนบริเวณพื้นที่ทายน้ําลดลง
ในการใชน้าํ ทาํ ใหลาํ หว ย ลาํ ธาร หนอง ฯลฯ ตื้นเขินชา ลง
สรางความเขมแข็งของสถาบนั ชมุ ชน
การยอมรบั เทคโนโลยขี ัน้ บันไดดิน เกษตรกรชาวเขาเผา ปะหลองท่ีเขา รว มโครงการสง เสริมและพฒั นาอาชีพการ
ปลูกชาจีนของโครงการหลวงอางขาง ตางใหการยอมรับเทคโนโลยีข้ันบันไดดิน
หม่ันคอยดูแลรักษาข้ันบันไดดินไมใหเส่ือมสภาพ ปลูกหญาแฝกเพื่อรักษาข้ันบันไดดิน
และการปลกู พืชคลมุ ข้ันบันไดดนิ ดว ย
ทั้งนี้ นายจาย หมอกเงนิ เกษตรกรชาวเขาเผา ปะหลอ ง เลา วา หากขนั้ บนั ไดดนิ
เกิดการชํารดุ เลก็ นอยก็จะซอ มแซมดว ยตนเองเพอ่ื ใหใ ชงานไดอ ยา งย่ังยนื
แตถ าหากชาํ รดุ เปนรองกวา งกจ็ ะแจง เจา หนา ท่ีใหชว ยจัดการ
ขอ ไดเปรยี บของการจดั ทําขัน้ บันไดดนิ บนพ้นื ที่สูง
ข้ันบันไดดินชวยชะลอความแรงและลดความเร็วของนํ้าไหลบาหนาดิน และลด
ปรมิ าณการสญู เสียดนิ
ขั้นบันไดสามารถชวยดักกรองนํ้าฝน ทําใหน้ําฝนคอย ๆ แทรกซึมลงดินไดมากข้ึน
สรา งความชื้นในดนิ น้ําฝนสวนเกินก็จะคอ ย ๆ ไหลเปนชั้นๆ ตามข้นั บันไดดนิ
ข้ันบันไดดินชวยใหเกษตรกรชาวเขาเผาปะหลองประหยัดคาใชจายเร่ืองปุย
ท้ังปริมาณปุยท่ีใชและเวลาการใสปุย เน่ืองจากปริมาณธาตุอาหารพืชในปุยท่ี
สูญเสยี ไปกบั นํ้าไหลบาและตะกอนดนิ นอ ยลง
อีกท้ังยังชวยใหเกษตรกรสามารถปฏิบัติงานในแปลงไดสะดวกมากขึ้น ไมตองเสี่ยง
ชวี ติ จากการลื่นไถลจากทีส่ ูงลงไป
ขอ กําจัดของการจัดทําขน้ั บันไดดนิ บนพน้ื ท่สี งู
เกษตรกรชาวเขา
ไมสามารถทําข้นั บนั ไดดนิ เองได เนื่องจากตองอาศยั
ความรทู างวชิ าการและมีตน ทุนคา ใชจ า ยสงู
พอสมควร ภาครัฐตองสนบั สนนุ
เอกสารฉบบั เต็ม หวั ขอ้ ท่ี 1 ขนั้ บันไดดินฐาน 3 เมตรเพอื่ ปลกู ชาจนี บนพ้ืนทส่ี ูง 2
จากหนงั สอื 37 เทคโนโลยีเพ่อื การจัดการดนิ อย่างยงั่ ยืน
ไรช าขน้ั บนั ได “แปลง 2,000 ตน แบบการปลูกชาจนี แบบขนั้ บนั ไดดนิ บนพนื้ ทสี่ ูง
ถนอมขวญั ทิพวงศ ์กองวจิ ยั และพฒั นาการจดั การที่ดิน
รูปแบบการใชประโยชนท่ีดินบนพื้นท่ีลาดชันสูงเพ่ือการปลูกพืชเศรษฐกิจเมืองหนาวท่ีมี
ประสิทธิภาพจําเปนตองมีทั้งมาตรการอนุรักษดินและน้ําทางวิธีกลควบคูกับวิธีพืชเสมอ ซึ่งไรชา
ข้ันบันได “แปลงชา 2000” ณ สถานีเกษตรหลวงอางขาง ตําบลแมงอน อําเภอฝาง จังหวัด
เชียงใหม นั้น เปนแปลงท่ีโครงการหลวงอางขางไดสงเสริมและพัฒนาอาชีพใหกับเกษตรกร
ชาวเขาเผาปะหลองบานนอแลมากกวา 50 ราย ที่อาศัยอยูโดยรอบสถานีไดมีท่ีดินทํากิน โดยมี
จุดมุงหมายเพ่ือยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวเขาใหมีอาชีพและรายไดท่ีม่ันคง ลดการ
บุกรุกพนื้ ทีป่ าเพอื่ ปลกู ฝน และการทําไรเลอ่ื นลอย และคํานงึ ถึงความยงั่ ยืนในการใชประโยชนท่ีดนิ
ทางการเกษตรที่เกื้อกูลกับทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศบนพื้นที่สูง โดยเกษตรกรชาวเขา
สามารถผลิตชาจีนคุณภาพดีมาจนถึงปจจุบัน ทําใหเปนแหลงศึกษาดูงานการผลิตชาจีนท่ีมี
ช่ือเสียงของภาคเหนอื และของประเทศไทย นับเปน ตนแบบของการจดั การทีด่ นิ บนพื้นท่สี งู เพ่อื การปลูกชาจีนที่ยงั่ ยืน
นายจาย หมอกเงิน เปนเกษตรกรชาวเขาเผาปะหลองครอบครัวหน่ึงท่ีสมัครใจเขารวม
โครงการสงเสริมและพัฒนาอาชีพการปลูกชาจีนแบบข้ันบันไดดินมาตั้งแตป พ.ศ. 2543
นับเปนเวลามากกวา 20 ป โดยตลอดเวลาท่ีผานมาไดดําเนินการตามแนวทางระบบ
เกษตรดีท่เี หมาะสม (GAP) ทาํ ใหส ามารถเล้ยี งดูตนเองและครอบครัวไดจ นถงึ ทุกวนั น้ี
นายจาย เลาวา ในชว งแรก ๆ เจาหนาท่ีของสถานีเกษตรหลวงอางขางไดเขามาอบรม
ใหคําแนะนําทางวิชาการ ตั้งแตคัดเลือกพันธุ วิธีปลูก ดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว การ
สนับสนุนปจจัยการผลิต การรับซ้ือในราคาประกัน การจัดหาโรงงานแปรรูป
ตลอดจนใหคาํ แนะนําในการดูแลรกั ษาขั้นบันไดดนิ เพ่อื ใหใ ชท ่ดี นิ ไดอ ยา งยงั่ ยนื
เร่ิมจากเตรียมหลุมปลูก โดยขุดหลุมตามแนวข้ันบันไดใหกวาง 30 เซนติเมตร ลึกไม
นอยกวา 30 เซนติเมตร ระยะระหวางตน 40-50 เซนติเมตร ใชกลาจากก่ิงปกชํา
ท่ีมีอายุประมาณ 10-12 เดือน คลุมโคนตนเพ่ือรักษาความช้ืน ในพ้ืนท่ี 1 ไร จะได
ง ตนชาจาํ นวน 2,000 ตน
ดูแลรักษาแปลงชาอินทรีย ไมใชสารเคมีและปุยเคมี เนนใชปุยหมักท่ีผลิตเองโดยใส
ตามรอ งยาวบรเิ วณปลายทรงพมุ ชาท้ังสองดาน ลึกประมาณ 15 เซนติเมตร อัตรา 2
กโิ ลกรมั ตอ ตน ปละ 3 ครัง้ ในชวงเดอื นกุมภาพันธ มิถุนายน และตลุ าคม
นายวีรพงษ เทพังธง เจาหนาที่สถานีเกษตรหลวงอางขาง ใหขอมูลวาเกษตรกรชาวเขา
สามารถเก็บเก่ียวผลผลิตไดชวงเดือนเมษายน-ธันวาคม โดยพันธุเบอร 12 ใหผลผลิต
เฉล่ีย 800 กิโลกรัมตอไร สวนพันธุกานออนใหผลผลิตเฉล่ีย 600 กิโลกรัมตอไร ซึ่งใน
รอบ 1 ป เก็บได 5-6 คร้งั ผลผลติ โดยรวมอยูท ่ี 60,000 กโิ ลกรัมตอป ทําใหมีรายได
เฉล่ีย 100,000-300,000 บาทตอราย ท้ังนี้ทางสถานีฯ ไดรับงบประมาณสนับสนุน
จากรัฐบาลไตหวันและสถาบันพัฒนาพ้ืนท่ีสูงชวยเหลือเรื่องอาคาร เครื่องจักรแปรรูปและ
เทคนิคการแปรรปู ชา ทาํ ใหเกษตรกรท่ีเขา รว มโครงการมคี ณุ ภาพชวี ิตทีด่ ี
ไรชาขนั้ บนั ไดนอกจากจะเปนการใชป ระโยชนท ดี่ ินเพือ่ การปลกู ชาจีนบนพ้ืนทส่ี งู ทีย่ ั่งยืนแลว
ยังชว ยสรางความตระหนักรใู หเ กษตรกรชาวเขา ไดร กั และหวงแหนทรัพยากรดิน-นํา้ -ปาไม
และระบบนเิ วศ เราจงึ ไดเห็นการปฏบิ ตั ดิ แู ลแปลงชา 2000 เปน อยางดมี าจนถึงทกุ วันน้ี
เอกสารฉบับเต็ม หัวขอ้ ที่ 2 ไรช่ าขน้ั บันไดเพื่อการอนรุ ักษด์ ินและน้ำบนพืน้ ท่สี ูง 3
จากหนงั สือ 37 เทคโนโลยเี พ่ือการจดั การดินอย่างย่งั ยืน
การจัดการทด่ี ินแบบผสมผสาน
ในรูปแบบ โคก หนอง นา โมเดล ภาคเหนอื ของประเทศไทย
ศนั สนยี ์ อรัญวาสน์
กองวิจัยและพฒั นาการจดั การท่ีดิน
การจั การที นิ สม สานในภาค หนือของ ระ ทศไทย หรือที รยี กว่า โคก หนอง นา โม ล นศาส รพ์ ระรา า
้านการทํา กษ รทฤษฎีใหม่ าม นว ศรษฐกจิ พอ พียงกั ภูมิ ญญาในท้องถิน พือการ รหิ ารจั การนํา ละพัฒนาพืนที
ทางการ กษ รใหม้ ีการใ ้ ระโย นไ์ ้อยา่ งยังยืน โ ย ่งสั สว่ นพืนทีออก น : : : งั นี
% สาํ หรั หลง่ นําโ ยการขุ อ่ ก็ นําทําหนอง ละคลองไสไ้ ก่ % สาํ หรั ทาํ นา ลูกขา้ ว %สําหรั ทําโคกหรอื า
ลูก า อยา่ ง ระโย น์ อย่าง กค็ ือ ลกู ไม้ใ ้สอย ไมก้ ินไ ้ ละไม้ ศรษฐกจิ พือให้ไ ้ ระโย น์ คือ มกี นิ มอี ยู่ มใี ้ ละมี
ความสม รู ณ์ ละความรม่ ยน็ ละ % สาํ หรั ทีอยูอ่ าศยั ละ ลียงสั ว์
ขอ้ มลู จำเพาะทางเทคนคิ
สงิ สาํ คัญของการทาํ โคก หนอง นา นพืนทีสูง คือ เอกสารฉบับเตม็ หวั ข้อท่ี 3 การจัดการทดี่ นิ แบบผสมผสานฯ
การขุ อ่ พือ ก็ กักนําโ ย ่อนําใหญ่ กวา้ ง ม ร จากหนังสอื 37 เทคโนโลยีเพอื่ การจดั การดินอย่างยัง่ ยืน
ลึก ม ร ละยาว ม ร อยูท่ ีพืนรา า้ นล่าง
ละขุ อ่ ขนั นั ไ อีก อ่ กว้าง ม ร ลึก .
ม ร ละยาว ม รไวใ้ น นวระ ั
สร้าง ท็งค์นําขนา , ลิ รไว้ ้าน นสุ ลว้
สู นําจาก อ่ นําใหญ่ขึนไ ก็ ไวท้ ี ทง็ คน์ ํา ้วย
พลังงาน สงอาทิ ย์ ละ ลอ่ ยลงในคลองไส้ไกก่ ว้าง
. - . ม ร ึงขุ ลั ลาะ ขา้ ไ ในพืนที ละล หลัน
าม นวระ ั ลงมาให้ทัวพืนที พือกระจายนํา ละความ
มุ่ ืนให้ กพ่ ื กั สวนครัว นา ไม้ า ละไม้ ลที ลกู ไว้
มกี ารกัน ายกระสอ ทรายจาํ นวน ายไวท้ ีร่องนํา
พือ ะลอ ละ ก็ กักนํา ยงั มีการ ก็ นําไวใ้ นนาขัน
ันไ อกี ว้ ย โ ยการยกคันนาให้สูง . ม ร
สามารถ ลูกขา้ วไ ้ ละครัง
ขอ คนั ิน ละคันนา ลูก ก กลว้ ย พื ักพื สวน
ครัว า่ งๆ ้านล่างมกี าร ลียงวัวโ ยการล้อมคอก
พืนที างสว่ นถูกกันสําหรั ลูก า างส่วน ลกู ไม้ ล
สมกั ไม้ า มีการ ลกู พื คลมุ นิ พือ องกนั ไมใ่ ห้
นิ โ น สง โ ย รง ละรักษาความ ืนใน ิน
ประโยชน์ท่ ่ีได้รับ
ทรพั ยากร ิน ละนาํ ขี ึน มคี วามอุ มสม ูรณก์ ารจั การ นิ งา่ ยขึน ลกู อะไรก็ไ ก้ นิ ไ ข้ าย ล ลิ ีขึน
พึงพา น องไ ้ ไม่พีงสาร คมี
สขุ ภาพอนามัย ขี ึน อาหารสะอา ลอ ภัย อากาศ ริสทุ ธิ
สร้าง ครอื ข่าย มุ นที ข้ม ขง็ กิ ความสามัคคี การรว่ ม รงกนั ทาํ งาน ละหมุน วียนกนั ไ ใน ลง
สมา กิ มกี ฎระ ยี มุ น ละยึ ถือ ฏิ ั โิ ย ครง่ ครั
บทเรียนที่ได้รับ
มีภาระงานมากขนึ พราะ ้องทํางานหลายอยา่ งในทกุ ๆ วัน ่น ร นาํ ลกู ัก ลยี งววั ั หญ้า หาอาหาร
ของคน ละสั ว์ น ้น จงึ ้องมีการร่วม รงกันทาํ งาน ละหมนุ วียนกนั ไ ใน ลงสมา ิก 4
มีความ ก ่างกัน ้านความคิ จงึ ้องใ ้กฎระ ีย หรอื นวทางของกลุ่มฯ นหลกั
จจุ ันยงั ไมม่ ีรายไ ้ น ัว งนิ ่มกี ิน สามารถ ก็ กนิ ไ จ้ ากของที ลกู สั วท์ ี ลยี งไว้ ละ ่ง นกัน
ระหวา่ งครวั รือน ลก ลยี น จกจา่ ยกันในกลมุ่ ไมม่ รี ายไ ้ ก่ ็ไมม่ ีคา่ ใ จ้ า่ ย ้องรอ วลาจนกวา่ พื ที
ลูกไวจ้ ะให้ ล ลิ ทมี ากขนึ พือพอ รโิ ภค ละขาย นรายไ ้
ทม่ี า : บุญมา แหลมคม, ธีรศกั ดิ์ สุวรรณโน (เกษตรกร) สมจติ ต์ เลศิ ดษิ ยวรรณ, ถนอมขวัญ ทิพวงศ์ กมลาภา วฒั นาประพัฒน์, ปานสิ รา ทองทว้ ม (ผรู้ วบรวมขอ้ มลู )
การคืนชีวติ ให้ผืนดนิ แม่แจ่ม ด้วยระบบการจดั การท่ดี นิ และนา้
รปู แบบ โคก หนอง นา โมเดล บนพนื้ ทีส่ ูง อภิชาติ บุญเกษม
กองวจิ ัยและพฒั นาการจัดการทีิ่ดนิ
“เปน็ การจั การท่ี ินในพนื้ ท่ีสงู แบบผสมผสานศาส ร์พระราชา (รัชกาลท่ี 9) ้านการทา
เกษ รทฤษฎีใหม่ ามแนวเศรษฐกิจพอเพียงผสานกับภูมิปัญญาท้องถ่ิน เพ่ือบริหาร
จั การน้าและพัฒนาพ้ืนท่ีการเกษ รใหม้ กี ารใช้ประโยชนไ์ ้อยา่ งย่ังยืน”
พ้ืนท่ีเข ป่าสงวนแห่งชา ิแม่แจ่ม และพื้นที่ช้ันคุณภาพลุ่มน้าช้ัน 1 เอบี
ช้นั 2 และ 3
ชมุ ชนทอ้ งถ่นิ ั้งเ มิ ทอ่ี าศยั ในพ้ืนทีผ่ ิ กฎหมาย
ปญั หา เกิ การบุกรุกพ้ืนที่ป่าเพ่ือปลูกข้าวโพ เลี้ยงสั ว์ หอมแ ง และ
กะหล่าปลี
หน้า นิ เสอ่ื มโทรมและถูกกั เซาะจากน้าฝนทุกปี ความอุ มสมบูรณ์ของ
นิ ล ลงและผลผลิ ขา้ วโพ ก็ล ลง
“แมแ่ จม่ โมเ ล” เปลี่ยนเขาหัวโล้น เป็นเขาหัวจุก ฟ้ืนฟูพ้ืนที่ภูเขาท่ีถูกทาลาย
ให้กลับคืนมา แกป้ ญั หาความแหง้ แลง้ ช่วงหนา้ แลง้ และล ปัญหาหมอกควนั
“โคก” เน้นการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง เพื่อ
บริโภค (พอกิน) ใช้สอยในครัวเรือน (พอใช้) และสร้างท่ีอยู่
อาศยั (พออยู่) ชว่ ยสรา้ งสม ลุ ระบบนิเวศ (พอร่มเย็น) ้วย
ไม้ 5 ระ ับคือ ไม้ระ ับสูง ไม้ชั้นกลาง ไม้ชั้นเ ้ีย ไม้เรี่ย ิน
และไม้หวั ใ ้ นิ
“หนอง” ฝายชะลอน้า บ่อ ัก ะกอน คลองไส้ไก่ บ่อน้า
้านล่าง และแท็งค์เก็บน้าบนที่สูง สาหรับใช้อุปโภคบริโภค
และทาการเกษ ร โ ยฝายชะลอน้าในแนวระ ับจะเก็บกักน้า
ในร่องเขาและควบคุมอั ราไหลของน้า คลองไส้ไก่ ขุ ให้มี
ลักษณะค เคี้ยว และขุ ไล่ ามระ ับช้ันความสูงของพื้นท่ี
เพือ่ ให้น้าไหลผ่านทวั่ พนื้ ทแี่ ละไหลลงสู่บ่อน้า ้านลา่ ง
“นา” สาหรับปลูกข้าว นาขั้นบันไ อยู่ในพ้ืนที่ลา เอียง 15
ปลูกข้าวเพ่ือบริโภคเอง ยกหัวคันนาสูงและกว้างเพื่อกัก
เก็บน้าฝนท่ี กลงมาไว้ในท้องนาและใช้น้าควบคุมวัชพืช
และเร่งระ ับความสูงของ ้นข้าวเพื่อเพ่ิมผลผลิ ใช้ข้าว
พนั ธพ์ุ นื้ เมอื ง และปลกู ใน ินท่อี ุ มสมบูรณ์จะมีภมู ิคุ้มกนั
อ่ โรคและแมลง
“แ ก ัวทั่วไทย เอามื้อสามคั คี”
1 คั เลือกพืน้ ที่เป้าหมาย : ามบุคคล ชุมชน วั
โรงเรียน หน่วยงานรัฐ ามความเหมาะสมในพ้ืนท่ี
ซ่ึงมีเครือข่ายพื้นท่ีเข้มแข็ง ครบ 5 ภาคี ไ ้แก่
ราชการ วิชาการ ประชาชน เอกชน ภาคประชา
สังคมและสื่อมวลชน เพ่ือความยั่งยืนและการขยาย
ผลในรปู แบบประชารัฐ
3 2
คั เลือกบุคคลเป้าหมาย :
จั หลักสู รอบรม : อบรมหลักสู ร
จั อบรมคนมีใจ ผู้นาชุมชนใน
" ก า ร พั ฒ น า ก สิ ก ร ร ม สู่ ร ะ บ บ เ ศ ร ษ ฐ กิ จ พ้ืนที่เป้าหมาย ที่มูลนิธิกสิกรรม
พอเพียง" ของเครือข่ายกสิกรรมธรรมชา ิ ธรรมชา ิมาบเอ้อื ง
(คกช.) มูลนิธิกสิกรรมธรรมชา ิ และลงฝึก
ปฏิบั ิการจริงในพ้ืนที่เป้าหมายท่ีคั เลือก
แลว้
4 หาผู้สนับสนุนจากภาคี ่างๆ : มูลนิธิกสิกรรม
จั เวทีประชาคม : สร้างกิจกรรมการ ธรรมชา ิมาบเอื้อง สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง อาเภอแม่แจ่ม
กรมปา่ ไม้ และบริษัทเชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จากั
มสี ว่ นร่วม ขยายผล สร้างความเขา้ ใจ
6
5 ขยายผล : โ ยคนและชุมชนใน
พื้นที่ เสนอพืน้ ท่ีเขา้ ร่วมโครงการ
และพจิ ารณาอนมุ ั ิโครงการ
ปรบั ปรงุ พ้ืนท่ีโครงการ : 7
โ ยการปฏบิ ั จิ รงิ ในพืน้ ท่ี
เน้นลงแขกลงขัน 5 ภาคี ในพืน้ ที่
8
จั อบรมในพื้นที่จริง : ผู้ใช้ที่ ินและ
ชุมชนจะไ ้รับการอบรม ามแนวคิ โคก
หนอง นา โมเ ลในพื้นที่จริงท่ีไ ้รับอนุมั ิ ยกระ ับเป็นศูนย์เรียนรู้ : เม่ือพ้ืนที่น้ีไ ้ถูกจั ระบบ
โครงการแลว้
9 โคก หนอง นา โมเ ล เ ็มรูปแบบ จะถูกยกระ ับเป็นศูนย์
เรียนรแู้ ละอบรม งู านในพ้ืนท่ี (Coaching) อ่ ไปในอนาค
เอกสารฉบับเต็ม หัวขอ้ ที่4 การคืนชีวติ ใหผ้ นื ดนิ แมแ่ จม่ 26
ดว้ ยระบบการจัดการที่ดินและนำ้ รปู แบบ โคก หนอง นา โมเดล
จากหนงั สือ 37 เทคโนโลยเี พอ่ื การจดั.การดินอยา่ งยัง่ ยนื
มัชฌิมา คำลอย
กองวิจยั และพัฒนาการจดั การทด่ี ิน
คาลปิ ตสั คามัลดูเลนซีส พนั ธุ์ H4 ปน็ พชื ทีไทนคใมละสามารถควบคมุ การกระจายความคมใ เดຌ
พราะตนຌ ยคู าฯ ดูดนาๅ เปลียๅ งตຌนมาก ลยทา฿หຌนๅา฿ตຌดนิ (ทีไมีความคใม) ลดลง เมข ึๅนมาบนผวิ ดนิ
ทีมงานเดຌมีอกาสเปสัมภาษณ์กษตรกรทไีปลูกขຌาว฿นพๅืนทีไดินคใมปานกลางทีไ อ.มืองพีย
จ. ขอนกน ซไึงปลกู ตนຌ ยูคาฯ มานานกวา 10 ปี มาลຌวหละ ขาปลืๅมมากกับการปลูกตຌนยูคาฯ บนคันนา
พราะผา นเป ็ ปี บนผวิ ดินนไียทบเมมีคราบกลอื ขๅนึ ลย นนอนผลผลิตขຌาวพไิมขๅึน ถมมีรายเดຌสริม
จากการตัดเมยຌ ูคาฯ ขายเปลຌวสองรอบ
จากอกสารวชิ าการบอกวา เทคนลยกี ารปลกู ตຌนยคู าฯ เพไอื ลดระดับนา้ เคมใ ฿ตຌดิน (ควบคุมดินเคใม) นๅี
เดຌรับการยอมรับอยางกวຌางขวางจากผຌูทีไขຌารวมครงการพราะวาสามารถควบคุมดินคใมเดຌจริงละมี
ประสทิ ธภิ าพ มาดกู นั วา ฿นอกสารวาอะเรกีไยวทคนลยีนีๅเวຌบาຌ ง
1. พอไื ปรบั ปรุงผลผลติ 2. พอไื ลด/ ปอງ งการ/ การปลูกยูคาลิปตัส
฿หຌดขี ๅึน ฟืน้ ฟูการสอืไ มทรม 1.การปลูกบบถวดยีไ ว 2. การปลกู บบถวคู คันนา
บนคันนากวาຌ งครงึไ มตร กวຌางมตรครงึไ (ปลกู สบั หวาง
ของทไดี ิน
พือไ เม฿หຌบังสงกัน)
วตั ถุประสงค์
3. พอไื รักษาสภาพหรอื 4. พือไ สรຌางผลกระทบ ฿ชตຌ นຌ กลຌาอายสุ ามดอื น ขุดหลุมปลูก 30 x 30 x 30
ปรับปรงุ ความหลากหลาย ดาຌ นศรษฐกิจทไี ป็น ซนติมตร ฿ชปຌ ยุ๋ หมักละกลบรองกຌนหลุมอยางละครึไง
ประยชน์ เพิ่มรายได้ กิ ลกรัม วางตนຌ กลาຌ ลวຌ ปลูกลຌดดดด ปลกู ฿หຌหา งกนั 2 มตร
ทางชีวภาพ
ค่าใชจ้ ่าย 1. ระยะเรมิไ ตนຌ ปลูก
1. คา รง 600 บาท/เร (300 บาท/วนั )
1.ระยะรไิมตนຌ ปลูก 980 บาท/เร ละ 2.การบารงุ รักษา 2. ตนຌ กลຌา 80 บาท/เร (ตຌนละ แ บาท x ่เ ตนຌ ี
ใ5โ บาท/เร รวมทังๅ สิๅน 1ุ332 บาท/เร
ึเดຌรบั การรวมมือระหวา งกรมพฒั นาทดีไ นิ บรษิ ทั สยามฟอรสทรี
โ. การบา้ รงุ รักษา จากัด ละองคก์ ารบริหารสวนตาบล
3. ปุย๋ คอก 140 บาท/เร (กิ ลกรมั ละ 3.5 บาท x 40 กิลกรัม)
4. กลบ 160 บาท/เร (กิ ลกรัมละ 4 บาท x 40 กิ ลกรมั ี
แ. คารง฿นการกาจดั วชั พชื ตัดตงกิไง ฿สปยุ๋ สองครๅังตอปรี วม 300 บาท 7
2. ปยุ๋ คมสี ตู ร 15-15-15 52 บาท/เร (กิลกรมั ละ 13 บาท ฿ส 50 กรมั /ตนຌ x 80 ตนຌ = 4 กิลกรัม/เร)
ผลลัพธ์ทไ่ี ด้
▪ เดขຌ ຌาวมากขึนๅ พราะดนิ เมคมใ ลวຌ
▪ ฿ชຌมลดใ ขาຌ ว฿นการพาะปลกู นຌอยลง
▪ มตี อซังพิไมมากขนึๅ
▪ มีความหลากหลายของผลผลติ (ทๅังขาຌ ว ทัๅงเมยຌ คู าฯ)
▪ มกี าร฿ชຌประยชน์จากพนืๅ ทีไบนคนั นา
▪ มรี ายเดຌจากขาຌ วพิไมขึๅนละมีรายเดຌ สรมิ จากการขายเมยຌ ูคาฯ
▪ อากาศดี มีตนຌ เมຌพไมิ
▪ คราบกลือบนผวิ ดินลดลง
▪ หลังจากปลูกยคู าฯ เดຌ จใดปรี ะดับนาๅ ฿ตຌดนิ ลดลง ดินมีความชืๅนละมี ศษซากพชื คลมุ ดนิ
▪ มีความหลากหลายของพชื ทๅงั ตຌนยูคาฯ หญาຌ ละดอกเมปຌ ຆาทอຌ งถนิไ
▪ มีความหลากหลายของสัตวท์ งัๅ เสຌ ดอื น นก หนู ละอนืไ โ
บทเรียนทเไี ดรຌ บั ทศั นคติของผูຌ
รวบรวมหรอื
มุมมองของ วิทยากร
ผ฿ูຌ ชทຌ ีไดนิ ▪ ชว ย฿หຌระดบั นาๅ คมใ ฿ตดຌ ินลดลง
▪ ชว ยปอງ งกันการกดิ ดินคใม
▪ ชว ยลดระดบั นๅา฿ตຌดิน ▪ มีผลตอ การลดความสไือมสภาพของดนิ
▪ ทา฿หຌผลผลิตขຌาวพมิไ ขๅึน ▪ พมิไ รายเดขຌ องกษตรกร
▪ อากาศดี ▪ ชวย฿หຌสภาพวดลຌอมดขี ึนๅ
▪ มีพนๅื ทไสี ี ขียวพมิไ ขนึๅ ▪ มคี วามหลากหลายทางชีวภาพดยฉพาะกิจกรรมของเสຌ ดอื น
▪ จຌาหนาຌ ทไี ขຌาชวยหลือเมทัไวถงึ ซงไึ ทา฿หคຌ ณุ สมบัตขิ องดินดีขึๅน
▪ มีนกหนทู าลายขຌาวมากขๅนึ ▪ พบขอຌ สียของการปลกู ยคู าฯ อยู พราะสาร฿น฿บ
ึึ นไืองจากสภาพวดลຌอมดขี ึๅน มผี ลกระทบตอไ พืชขาๅ งคียง และสภาพดนิ
สัตวท์ ຌองถนไิ กใ ลยพากันกลบั มา ▪ งาของตนຌ ยูคาฯ บงั สงดด ทา฿หขຌ าຌ วตเมดี ผลผลิตกอใ าจ
ลดลงบาຌ ง นอกจากนีๅ กษตรกรบางคนยังเมขาຌ ฿จวาตนຌ ยูคาฯ
สามารถลดระดับนาๅ ฿ตดຌ ินเดຌอยา งเร
อกสารฉบบั ตใมหัวขຌอทีไ 5 การปลกู ยคู าลิปตสั บนคนั ดิน
พือไ ลดระดบั นาๅ ตนๅื ฿ตดຌ นิ ฿นภาคตะวนั ออกฉียงหนอื ของประทศเทย
จากหนงั สอื ใ็ ทคนลยีละการขยายผลการจดั การทไีดินอยางยไงั ยืน
8
การ฿หคຌ านะนา฿นการปลกู ยูคาลปิ ตสั บนคนั ดิน฿นพืนๅ ทไีทีเไ ดຌรบั ผลกระทบจากดินคใม
อภสริ ี มกี ลาง
กองวิจยั และพัฒนาการจดั การทด่ี นิ
ก ร ม พั ฒ น า ทไี ดิ น มี ค ร ง ก า ร ป ลู ก เ มຌ ยื น ตຌ น ท น คใ ม บ น พืๅ น ทีไ ทไี เ ดຌ รั บ ผ ล ก ร ะ ท บ จ า ก นๅ า คใ ม ฿ น ภ า ค
ตะวันออกฉียงหนือของประทศเทย ดยครงการดังกลาวมีกษตรกรจຌาของทไีดิน การปกครองสวน
ทຌองถไิน ิอบต.ี บริษัทสยามฟอรสทรี จากัด ละผูຌชไียวชาญ/ทีไปรึกษา ฉพาะทาง฿นสาขาตาง โ ิทีมงาน
คุณภาพรไิด!ี รวมมือจัดทาครงการนๅีตๅังตปี โ5ใ้ พไือป็นตຌนบบ฿หຌกษตรกร฿นการจัดการดินคใม ดຌวย
การสงสริมละสนับสนุน฿หຌปลกู ตนຌ ยูคาลปิ ตัสคามาลดู ลนซิสบนคันนา จานวน แุเเเ เร/ปี
รไิมจากการจัดประชุมทีมงานคุณภาพรวมกับ จากการสมั ภาษณ์ กษตรกร฿นครงการ ฯ
นักวิจัยกรมพัฒนาทไีดินคัดลือกพๅืนทีไดินคใม กษตรกรพอ฿จมาก สนกุ กับการลงมอื
ทีไหมาะกับการป็นศูนย์กลางการสาธิตละ ขยายพืๅนทปีไ ลูกยคู า
ผยพรความรูຌ฿นการปลูกยูคาลิปตัส ดยพๅืนทไี ลิปตสั ดวຌ ยตนอง
ทีไมงกฎุ นางงามลงคือ บຌานขามรียง ต.มวงปีย
อ.บຌานเผ จ.ขอนกน จานวน โเเ เร จากนัๅน
ทีมงานคุณภาพ เดรຌ วมกัน฿นการหาหลงงินทุน
สาหรับการซืๅอกลຌายูคาลิปตัส รวมถึงคา฿ชຌจาย
ตา ง โ ฿นการปลูกยูคาลิปตัส มไือกษตรกรปลูก
ยูคาลิปตัสลຌว จะมีการติดตามละประมินผล
พรຌอมทัๅงการยีไยมชมปลงสาธิตดยมีทีม
ผูຌ ชยไี วชาญกบใ ขอຌ มูลดยละอยี ด
ถึงกระนๅัน มีขຌอดีกใตຌองมีขຌอสีย ผลผลิตขຌาว มีการจัดตๅังตลาด
พิไมขนๅึ สาหรับการซืๅอขาย
ตจ ากการสารวจของ เมยຌ ูคาลิปตัส
กษตรกรบางคน ชืไอวา ครงการนยๅี งั เม จอ ซไึงสรຌางรายเดຌสริม฿หຌ ก
การปลกู ยูคาลปิ ตสั จะบัง ผลกระทบทีวไ า กษตรกรอกี ทางหนไึงดวຌ ย
สงดดตนຌ ขຌาวทา฿หຌ ฿นทางกลับกันกลับทา฿หຌดินดีขๅึน
ผลผลติ ขาຌ วลดลง เสຌดือนดินละสไิงมีชีวิต฿นดินทีไ 9
คยหายเปกใกลับมา ตกใยังมี
ผลสียคือ นกละหนูทีไอ8าศัยอยู
฿นปลงนากใกลับมาชนกัน ละ
ทาลายผลผลิตขาຌ ว฿หຌ สยี หาย
ทมี งานคุณภาพดานนิ การยังเง? ทมไี า: ชฏฐรุจ จันทร์ปลง ิโ5ๆไี
1. ระยะการตรียมการ ตอบ
บริษัท สยามฟอรสทรี จากัด ป็นผຌูพาะกลຌายูคา ทคนลยีนีๅมีขຌอดมี ากกวา ขอຌ สยี
ลิปตัส ฿นขณะทีไผูຌชไียวชาญ ฯ จากกรมพัฒนาทไีดิน กษตรกรจึงยงั คงลอื ก฿ชຌทคนลยนี ๅี
ทาหนຌาทไี฿นการคัดลือกพืๅนทีไทไีเดຌรับผลกระทบจาก พไือลดระดับนๅาคมใ ฿นดนิ พราะชว ยพไมิ
กลือ รวมถึงการตรียมพืๅนทีไสาหรับ฿ชຌป็นปลง ผลผลิตขຌาวละเดเຌ มຌยูคา
สาธิต 200 เร
โ. ระยะการประสานงาน
จั ด ก า ร ป ร ะ ชุ ม ร ว ม กั น ร ะ ห ว า ง ก ษ ต ร ก ร
นักวิจัย ละ อบต. พไือจัดทาผนปฏิบัติการ
฿นพๅืนทไีอยางละอยี ด
ใ. ระยะการลงมอื ทา฿นพืนๅ ทไี
การสรຌางบบจาลองของครงการ ฯ ดยปลูกยู
คาลิปตัสบนทีไดินของกษตรกร ฿นพืๅนทีไทีไเดຌ
คัดลือก฿หຌป็นปลงสาธิต จัดตัๅงตลาดสาหรับ
การซๅือขายทอนเมຌยูคลาลิปตัส ตลอดจนมีการ
ติดตามละการประมินผลรวมกัน
ถาม มไือรຌูจักทคนลยีนีๅ ลวຌ ทานคดิ วา
กษตรกรจะยังคงลือก฿ชຌ ทคนลยนี ๅี
หรือเม?
อกสารฉบับตใมหวั ขຌอทีไ ๆ การ฿หຌคำนะนำ฿นการปลกู ยูคาลิปตัสบนคนั ดนิ ฿นพนืๅ ทีไทไเี ดรຌ ับผลกระทบจากดนิ คใม 10
จากหนังสือ ใ็ ทคนลยี ละการขยายผลการจดั การทดไี ินอยา งยงัไ ยืน
การคลุมตนิ ตั้ ยทาหนบปาล์มนนพนื ทป่ ลกู ปาลม์ น้ามนน
การคลุมตนิ นนพืนทป่ ลกู ปาลม์ นา้ มนน ต้ัยทาหนบปาล์ม ัะชั่ ยรกน ษาคัามชนื ขอหติน
เพ่มิ อินทรยันตถนุ นติน และปกป้อหวน้าตนิ ัากการชะลา้ หพนหทลาย
โชตกิ า งามเงินสกลุ
กองวิจยั และพฒั นาการจดั การที่ดนิ
เกษตรกรผู้ปลกู ปาลม์ นา้ มนน นนันหวันตตรนหมเทคนิคการันตการตนิ นนสันปาลม์ นา้ มนน หา่ ย ๆ ไตท้ หน
การรนกษาคัามชืน ันตการันสตุเวลือนชน้ นสัน อกทหน ยนหประวยนตต้นทุนปยุ๋ เคม และช่ัยบ้ารุหติน
ปาล์มน้ามนนเป็นพืชท่มศนกยภาพนนการสร้าหทาหนบไต้ 1-2 ทาหนบ/เตือน และั้าเป็นต้อหตนตแต่ห
ทาหนบ เกษตรกรั้าเป็นต้อหันตการทาหนบเวล่านนว้เกิตประโยชน์สูหสุต เกษตรกรชาัสันปาล์มนน
ัหน วัตน ตรหน ไตน้ า้ เทคโนโลยการคลมุ ตนิ โตยนช้ทาหนบปาล์มเพอ่ื
ประโยชน์ขอหการคลุมตินต้ัยทาหปาล์ม 11
1. รนกษาคัามชนื นนตนิน้ำลมตนั การระเวยนา้ ขอหตนิ
2. ลตการชะลา้ หพหน ทลายขอหตนิ นนพืนท่ท่มคัามลาตชนน
3. สห่ ผลตตอ่ คัามอตุ มสมบรู ณข์ อหติน
4. เพมิ่ ปรมิ าณอนิ ทรยันตถนุ นตนิ ัากการยอ่ ยสลายและการปลตปลอ่ ยธาตอุ าวารัาก
ทาหนบปาลม์ ลหสตู่ นิ
เอกสารฉบับเตม็ หัวขอ้ ท่ี 7 การคลุมดนิ ดว้ ยทางใบปาลม์ ในพ้นื ที่ปลูกปาล์มน้ามัน
จากหนังสอื 37 เทคโนโลยเี พือ่ การจัดการดนิ อย่างยง่ั ยืน
กลุ่มหัวใจแผ่นดิน
การรวมกลุ่มเกษตรกรรายย่อยเพ่ือการจดั การและถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาดินเสอ่ื มโทรม
หมู่ 5 ตำบลชา้ งซา้ ย อำเภอพระพรหม จังหวดั นครศรีธรรมราช
ลักษมี เมตตป์ ราณี
กองวจิ ัยและพัฒนาการจัดการทดี่ ิน
เป็นเรื่องราวดีๆ ในการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อยจากพื้นที่
ดินเสอื่ มโทรมได้ทำการรวมตัวกนั เพ่ือบรหิ ารจัดการพน้ื ที่ดิน เพิ่มโอกาส
ในการรับร้แู ละถ่ายทอดเทคโนโลยีในการจัดการดนิ แก้ไขปญั หาดินเส่ือม
โทรมในพื้นที่ดินทรายจัดจงั หวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งดินมีสภาพเป็นกรด
ซึ่งเกิดจากการชะล้างธาตุอาหารที่มีอยู่ในดิน และปัญหาการขาดแคลน
น้ำในช่วงฤดูแล้งทำให้ปลูกพืชได้ไม่ดีนัก ส่งผลต่อผลผลิตและรายได้ใน
ครอบครัว ดังนั้นกรมพัฒนาที่ดินร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในสังกัด
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงเข้ามาสนับสนุนปัจจัยการผลิตและการ
ฝึกอบรมประกอบด้วย (1) การทำปุ๋ยหมัก/ปุ๋ยอินทรีย์ (2) การทำ
น้ำหมัก/น้ำส้มควันไม้ (3) การปลูกพืชผัก (4) การเก็บเมล็ดพันธุ์พืชผัก
(5) การเลี้ยงปลา (6) การปลูกไม้ผล ซึ่งการจะเน้นการถ่ายทอดองค์
ความรู้การศึกษาดูงานจรงิ ในแปลงสาธิต ฝึกอบรมระยะสั้นภายใน 1 วัน
ปฏิบัติจริง และศึกษาดูงานในพื้นที่ดำเนินการจริง แล้วจึงนำความรู้
เหลา่ นัน้ มาทดลองใช้ในพื้นทีข่ องตนเอง
ปัจจุบันกลุ่มสมาชิกประมาณ 60 ครัวเรือน
มีความเข้มแข็งและยั่งยืนมากขึ้น ด้วยการ
นำกิจกรรมเกษตรยั่งยืนมาเป็นเครื่องมือ
ใ น ก า ร ด ำ เ น ิ น ง า น ข อ ง ส ม า ช ิ ก ใ น ก ลุ่ ม
สามารถใช้เป็นต้นแบบให้คนเข้าศึกษา
ผ้ทู ี่สนใจสามารถติดต่อผ่านหนว่ ยงานของรัฐ
หรอื ประสานโดยตรงกับกลุม่ เกษตรกรได้
12
ข้ันตอนการดำเนินงานของกลุ่มหวั ใจแผน่ ดิน
รวมกลุ่มเกษตรกรที่มปี ัญหาดินเสื่อมโทรม
ประชมุ เพ่ือหาแนวทางการแก้ปญั หา
ฝกึ อบรมและศึกษาดูงานต้นแบบ สนบั สนนุ ปัจจัย
จัดประชุมเพื่อดำเนนิ งานตามแผน
ติดตามและประเมินผล
สนับสนุนปจั จยั จดั ต้ังศนู ย์เรียนรกู้ ารพฒั นาท่ีดนิ
แปลง/จดุ สาธิต
จดั อบรมแกส่ มาชกิ และผสู้ นใจ ขายผลติ ภณั ฑ์ของกลมุ่ สนบั สนนุ ศนู ยอ์ ื่นๆ
- มกี ารจดั เวทีเพ่อื แลกเปลยี่ นประสบการณ์ จุดแข็ง จุดออ่ น - ขาดความร่วมมือของสมาชกิ อยา่ งจริงจัง
ในการบริหารจดั การทด่ี นิ อยา่ งย่งั ยนื ทาใหก้ ลุ่มยงั ไมม่ ีความเข้มแขง็ เทา่ ทค่ี าดไว้
- เกษตรกรและผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีขึ้น - การริเริ่มไม่ได้มาจากภาคประชาชนทาให้
จากวิธกี ารใหม่ๆ และยงั ได้การยอมรบั ในวง การด าเนินงานของกลุ่มบางส่วนยังมี
กวา้ งมากยิ่งขึ้น หน ่ วยงานร ั ฐเข ้ ามาสน ั บสน ุ นอยู่
- เป็นแนวทางท่เี ข้าใจง่าย ใชไ้ ดจ้ ริง จึงไม่สามารถพิจารณาได้ว่ามีความยั่งยืน
- เ ก ษ ต ร ก ร ส า ม า ร ถ ป ร ั บ แ น ว ท า ง ใ ห้ จริง ๆ ได้
เหมาะสมกบั สภาพพ้ืนที่ได้
ถึงตรงนี้แล้วอยากไปเยี่ยมชมดู มีความม่ันคงทางดา้ นอาหารและโภชนาการ
ไหมล่ะ ยังมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย
เลยทีเดียวนะ ลองเข้าไปเยี่ยมชม กินทุกอย่างทีป่ ลกู /ปลูกทุกอย่างทก่ี นิ
สถานที่จริงกันดู แล้วคุณจะได้ เหลือขายสร้างรายได้ในครอบครวั
ความรู้มากมายกลับบ้านเลยเชียว มีความหลากหลายของผลผลิตตลอดปี
ไม่กลับบ้านมือเปล่าแน่นอน
ขอบอก มสี ขุ ลักษณะ และสภาพแวดล้อมดขี ึน้ อย่างย่งั ยืน
ผลลัพธ์
เอกสารฉบบั เตม็ หวั ขอ้ ที่ 8 การรวมกลมุ่ เกษตรกรรายย่อยเพ่อื การจดั การและถ่ายทอด 13
เทคโนโลยีการพัฒนาดินเสอื่ มโทรม
จากหนงั สอื 37 เทคโนโลยีและการขยายผลการจดั การทด่ี ินอยา่ งยง่ั ยืน
การปรบั เปล่ียนพน้ื ท่ีนากงุ้ รา้ งเพ่ือปลกู ตน้ จาก
อาเภอปากพนัง จังหวดั นครศรีธรรมราช
บวร บวั ขาว กองวจิ ยั และพัฒนาการจดั การท่ดี นิ
พ้ืนที่เส่ือมโทรมท่ีเกิดจากการเลี้ยงกุ้ง สามารถนามาใช้ประโยชน์ในการปลูก
ต้นจาก ซ่ึงต้นจากเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและทางนิเวศวิทยาแก่
ชาวบ้าน เช่น น้าตาลจาก น้าส้มสายชู แอลกอฮอล์ ใบจากใช้ทาหลังคา ต้นใช้
ทาเช้ือเพลิง นอกจากนั้นต้นจากยังเติบโตได้ดีในพื้นท่ีนากุ้งร้างและช่วยฟ้ืนฟูดิน
อีกด้วย
พันธุจ์ ากที่ปลกู คือ พันธศ์ุ รปี ากพนงั พันธ์ุอเี ปลง้ และพันธุ์องึ่ อา่ ง
ระยะปลกู 1) ปลกู เพอื่ ทานา้ ตาลจาก ในพน้ื ที่ยกร่อง ระยะปลกู 9X9 เมตร
2) ปลูกเพ่อื ตดั ใบจาก ระยะปลูกแลว้ แต่สภาพพ้นื ท่ี
สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ผลผลิต พื้นท่ีปลูกต้นจาก 2 ไร่ เก็บผลผลิตน้าตาล
อาเภอปากพนงั จังหวดั นครศรธี รรมราช จากได้วันละ 25 กิโลกรมั ขายไดเ้ งิน 1,000 บาท
• มปี รมิ าณน้าฝน 2001-3000 มลิ ลิเมตรตอ่ ปี ตน้ ทนุ และผลตอบแทนจากการทาน้าตาล
• ดนิ ลกึ มากกวา่ 120 เซนติเมตร ต้นทุนปลูกต้นจากและการจัดการเก็บผลผลิต
• เนือ้ ดินเปน็ ดนิ เหนยี ว เทา่ กับ 32,812 บาทต่อไรต่ อ่ ปี
• มีอินทรยี วัตถุระดับปานกลาง 1-3
รายได้จากการขายน้าตาลในรอบ 1 ปี เท่ากับ
เปอร์เซ็นต์ 120,000 บาทต่อไร่ตอ่ ปี
• ระดับน้าบาดาลน้อยกว่า 5 เมตร
• มปี ญั หานา้ เค็ม กาไรที่ได้จากการปลูกจากเพื่อทาน้าตาล
เทา่ กับ 87,188 บาทตอ่ ไรต่ ่อปี
บทสรุปท่ไี ด้รับจากการปลกู จากในพ้นื ที่นากุ้งร้าง
พ้ืนทที่ งิ้ ร้างถูกใชป้ ระโยชนเ์ พื่อเพมิ่ รายได้
พน้ื ทเ่ี สอื่ มโทรมลดลง
การทาน้าตาลจากต้องใชค้ วามชานาญ
ตน้ จากใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจาวนั ได้หลากหลาย
ขาดแรงงาน และต้นจากใช้เวลาเติบโตถึง 4 ปี
เอกสารฉบับเตม็ หัวข้อที่ 9 การปรับเปลย่ี นพนื้ ท่ีนากุง้ รา้ งเพอื่ ปลูกตน้ จาก 14
จากหนังสอื 37 เทคโนโลยีเพอ่ื การจัดการดนิ อยา่ งยงั่ ยนื
กองวิจัยและพฒั นาการจดั การทดี่ ิน
ประโยชน์ของการนำเทคโนโลยี
การปลกู ไมย้ นื ต้นทนเคม็ กระดินออสเตรเลยี
(Acacia ampliceps) บนคนั นาในพื้นท่ดี ินเค็ม
15
11. ลดความเคม็ ของดนิ ลงได้ ทาใหพ้ ้ืนท่หี ายเค็ม
22. มีหญ้าเล้ียงสัตว์เพ่ิมข้ึน ไม่ต้องไปเล้ียงสัตว์ที่อื่นซ่ึงอยู่
ไกลจากบ้าน
33. มีร่วมเงาหลบแดดให้กับเกษตรกรและสตั ว์เล้ียง อากาศ
เย็นสบายข้นึ
44. นากิ่งก้านของกระถินออสเตรเลียไปเผาถ่านใช้ใน
ครัวเรือนชว่ ยลดค่าใช้จ่ายไดด้ ี
55. มแี หลง่ อาหารเพิม่ ขน้ึ ไดแ้ ก่ ปลา หนู กบ เขยี ด
66. มีสัตว์ในดินและบนดินมาอาศัยอยู่เพ่ิมข้ึน ได้แก่
ไสเ้ ดือน แมลง และนก เพิ่มมากข้ึน
77. ใบของกระถนิ ออสเตรเลียเม่ือร่วงหล่นลงดินจะช่วยทา
ให้ดนิ ดีขน้ึ
ผลจากการปลูกกระถินออสเตรเลียมา 3 ปี เกษตรกรพบว่ามีคราบเกลือบนผิวดินลดลงพื้นท่ีดินเค็มจัด
บางส่วนที่มีหญ้าข้ึนในแปลงนาหนาแน่นพอที่จะปลูกข้าวได้คิดเป็นพ้ืนท่ีประมาณ 8 ไร่ และสภาพแวดล้อมเห็น
ชัดเจนเพราะจากเดิมเปน็ พื้นท่ีรกร้างว่างเปลา่ ใช้ทาการเกษตรไม่ได้ ปัจจุบันมีตน้ กระถินออสเตรเลียข้ึนเขียวขจีเต็ม
พ้ืนท่ีและมีหญ้าขึน้ หนาแน่นเปน็ หย่อมๆ ในช่วงทกี่ ระถนิ ออสเตรเลียออกดอกมีสเี หลืองออ่ น มกี ลิน่ หอมอ่อนๆ ทาให้
มผี ้งึ จานวนมากอย่ใู นแปลง ไสเ้ ดือน ปลา หนู กบ เขยี ด แมลง และนก เพม่ิ ขึน้ ในแปลง อากาศเย็นสบายขนึ้ ทสี่ าคัญ
มีการถ่ายทอดเทคโนโลยเี กดิ ขน้ึ โดยเกษตรกรบอกปากต่อปากถึงผลจากการปลกู กระถินออสเตรเลยี ช่วยลดความเคม็
ของดินลงได้ เกษตรกรแปลงขา้ งเคียงได้เข้ามาเรียนรใู้ นแปลงและไดข้ อเมล็ดพันธุ์ไปปลกู ในพ้นื ที่ของตนเอง จานวน
5 ราย ในพน้ื ท่ี 30 ไร่ สง่ ผลใหก้ ารใชป้ ระโยชนท์ ่ีดนิ ของเกษตรกรสามารถพึ่งพาตวั เองได้ และเกิดความยงั่ ยนื
เอกสารฉบับเต็มหัวข้อที่ 10 การปรับปรุงบำรุงดนิ เทคโนโลยี 16
การปลูกไมท้ นเค็มกระถินออสเตรเลียบนคันนาในพ้ืนท่ีดนิ เค็มจัด
จากหนงั สอื 37 เทคโนโลยเี พ่อื การจัดการดินอยา่ งยั่งยืน
อารรี ัตน์ วงั แก้ว
กองวจิ ยั และพฒั นาการจดั การที่ดิน
การฟื้นฟูพื้นที่ดินเค็มจัดด้วยการปลูกไม้ยืนต้นทนเค็มจัดทาข้ึนในเขตอาเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
เพอ่ื เสรมิ สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจใหก้ บั เกษตรกรถึงวิธีการฟื้นฟพู ้ืนท่ีดนิ เค็มจัดดว้ ยการปลกู ไมท้ นเค็ม กระถินออสเตรเลีย
(Acacia ampliceps) ซงึ่ เปน็ พืชท่ีมคี วามสามารถทนเค็มสูง และเจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินเค็มจัด มีการจัดทาแปลง
สาธิต การปลูกกระกินออสเตรเลียบนพ้ืนท่ีจานวน 4,665 ไร่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สาหรับเกษตรกรในพ้ืนท่ีโดยมี
ความรว่ มมือจากหมอดินอาสา ผนู้ าชมุ ชน และอบต. ใหก้ ารสนบั สนนุ
1) แก้ไขปัญหาพื้นที่ดินเค็มและป้องกันการแพร่กระจายดินเค็ม โดยการปลูกพืช
ไม้ทนเค็ม ซึ่งเป็นวิธที ่งี ่ายและลงทุนตา่
2) พัฒนาการใช้ประโยชน์พื้นท่ีดินเค็มให้สามารถปลูกพืชเพื่อรักษาสภาพแวดล้อม
เพมิ่ ผลผลติ พชื เพ่อื การบรโิ ภค และผลติ เป็นพชื เศรษฐกิจ
1. ประชาสัมพนั ธ์โครงการ
2. แจงรายละเอียดโครงการ ในพนื้ ท่หี มู่บ้านเป้าหมาย
3. คัดเลอื กเกษตรกรทีส่ นใจเขา้ ร่วมโครงการ
4. ใหด้ าแนะนาเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่
1) ปรบั คันนาให้มคี วามกวา้ งของสันคันนา 1.50 เมตร
2) ปรบั ขนาดหลมุ บนคนั นาใหเ้ หมาะสม
5. จดั ทาแปลงสาธติ หลงั ฤดกู ารเก็บเก่ียวขา้ ว
6. ตดิ ตามการดาเนินงาน ช่วง 1 ปแี รกหลงั การปลูก
ความเค็มของดินลดลง 17
กิง่ ของกระถนิ ออสเตรเลียสามารถใช้เผาเปน็ ถา่ นได้ ใบให้ปุ๋ยแกด่ นิ ลาต้นให้ร่มเงา และเพม่ิ ความรม่ ร่ืนใหก้ ับพน้ื ที่
เล้ยี งสัตว์ภายในแปลงไดห้ ลงั ปลูกกระถินออสเตรเลียไปแลว้ 2 ปี
มีหมอดนิ อาสาอยใู่ นพื้นท่ีคอยให้คาปรกึ ษาและชว่ ยประสานงานกับเจ้าหนา้ ท่ีของกรมพฒั นาที่ดนิ
เอกสารฉบับเต็มหัวขอ้ ท่ี 11 การฟ้ืนฟพู น้ื ทีด่ นิ เคม็ จดั ด้วยการปลกู ไม้ยืนต้นทนเค็ม
จากหนังสือ 37 เทคโนโลยีเพือ่ การจัดการดินอย่างยั่งยืน
กองวจิ ัยและพฒั นาการจดั การท่ดี นิ
เอกสารฉบับเตม็ หัวข้อที่ 12 การปลูกพืชชอบเกลือ (หญา้ ด้ิกซี่) เพ่ือการฟื้นฟดู นิ เค็มจดั 18
จากหนังสอื 37 เทคโนโลยีเพื่อการจดั การดนิ อย่างยงั่ ยนื
การขยายผลการปลูกหญ้าชอบเกลอื (หญา้ ต๊ิกซ)ี่
เพอื่ ควบคมุ พ้นื ทด่ี นิ เค็มจดั
จุฑารัตน์ รตั นปัญญา
กองวิจยั และพฒั นาการจัดการทดี่ นิ
เอกสารฉบับเต็ม หัวข้อที่ 13 การขยายผลการปลูกหญา้ ชอบเกลอื (หญ้าติ๊กซ)่ี เพอ่ื ควบคุมพืน้ ทด่ี นิ เค็มจัด 19
จากหนังสอื 37 เทคโนโลยีเพือ่ การจดั การดนิ อย่างยงั่ ยืน
กองวจิ ยั และพฒั นาการจดั การท่ดี นิ
21
รติกร ณ ลำปาง กองวจิ ยั และพฒั นาการจดั การทดี่ นิ
ดนิ เปร้ียวจดั พบในพน้ื ท่ีล่มุ ต่ำ เน้อื ดนิ เหนียวจดั หนำ้ แลง้ ดนิ แตก
ระแหงเป็นร่องลึก มีต้นกกหรือกระถินทุ่งข้ึนอยู่ทั่วไป น่ำ้ ในบริเวณ
ดงั กลำ่ วใสมำก บำงครง้ั พบครำบสนมิ เหลก็ ในดนิ และในน้่ำ พบดนิ เปร้ียวจัด
ในจังหวัดตำ่ งๆ ของประเทศในบรเิ วณท่รี ำบลุ่มภำคกลำง
ปัญหาของดินเปร้ียวจัด
ดนิ เปน็ กรดจดั มำก ขำดธำตอุ ำหำรพชื
โดยทั่วไปเกษตรกรใช้ประโยชน์พื้นท่ี
ดินเปรี้ยวจัดทำ่ นำปลูกข้ำว แต่ให้
ผลผลติ ข้ำวตำ่ มำก
ปนู มาร์ล การใช้ปูนมาร์ลเป็นสารปรบั ปรุงดิน
ร่วมกบั การจัดการนา้ ในนาข้าว
เป็นวัสดปุ ูนท่ใี ช้ประโยชนเ์ ฉพำะ ชว่ ยปรับปรงุ คำ่ ควำมเปน็ กรดของดิน
ในดำ้ นกำรเกษตร มอี งคป์ ระกอบ สำ่ หรบั กำรปลูกขำ้ วในพื้นทด่ี นิ เปรี้ยวจัด
สว่ นใหญเ่ ปน็ แคลเซยี มคำรบ์ อเนต โ ด ย ห ว่ ำ น ปู น ใ ห้ ท่ั ว พ้ื น ที่ น ำ แ ล้ ว ไ ถ
และดินเหนียว เนื้อปูนค่อนขำ้ ง คลุกเคล้ำกับดิน หมักไว้ในสภำพดินช้ืน
รว่ น มสี ีขำวหรือสขี ำวขนุ่ ปนสีน้่ำตำล มีสมบตั ิเป็นดำ่ ง สำมำรถลด หรอื มนี ้ำ่ ขังประมำณ 7 วนั กอ่ นเตรียม
ควำมรุนแรงของควำมเป็นกรดของดนิ หรือควำมเปรี้ยวของดินได้ อตั รำ
ทีใ่ ช้ แนะน่ำให้เก็บตัวอย่ำงดินไปวเิ ครำะห์หำควำมตอ้ งกำรปูนของดิน ดนิ ปลูกข้ำว ทำ่ ให้ขำ้ วใหผ้ ลผลิตสูง และ
กอ่ น หรอื ใชต้ ำมปริมำณปูนทแี่ นะน่ำ
ได้ผลตอบแทนคมุ้ คำ่ ต่อกำรลงทนุ
ดินเปร้ียวจัดท่ีเป็นกรดรุนแรงน้อย หรือ pH มำกกว่ำ
4.5-5.0 : ใสป่ นู มำร์ล 500 กโิ ลกรัมต่อไร่
ดินเปร้ียวจัดท่ีเป็นกรดรนุ แรงปำนกลำง หรือ pH 4.0-4.5 :
ใส่ปูนมำร์ล 1,000 กโิ ลกรมั ต่อไร่
ดินเปร้ียวจัดที่เป็นกรดรุนแรงมำก หรือ pH ต่ำกวำ่ 4 :
ใสป่ นู มำรล์ 1,000-1,500 กิโลกรัมตอ่ ไร่
22
การใช้หินปนู ฝนุ่ ปรับปรงุ ดินเพอื่ ทำนาข้าว
ในพนื้ ทด่ี ินเปรีย้ วจัด
วนิสดุ า ทองคำพนั ธ์
กองวจิ ยั และพัฒนาการจดั การที่ดนิ
หินปนู ฝนุ่ ปรับปรงุ ดินเปรย้ี ว
การใชห้ ินปูนฝุ่นปรับปรุงดินเพ่ือเพิ่มผลผลิตข้าวในพ้ืนท่ีดินเปรี้ยวจัด และใช้หินปูนฝุ่นเพื่อลดความ
เปน็ กรดของดิน (เพ่ิมพีเอชดิน) และช่วยลดปริมาณธาตุเหล็ก อะลูมิเนียม และแมงกานีส ให้อยู่ใน
ระดับท่ีปลอดภัยต่อการเจริญเติบโตของพืช สร้างสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมให้กับจุลินทรีย์ในดิน
เพม่ิ ประสิทธิภาพของดินใหเ้ ปน็ ประโยชน์ในการทานาขา้ วมากขนึ้
พ้ืนที่ดินเปร้ยี วจดั
ดินเปร้ยี วจดั เปน็ ดนิ ทม่ี ีแร่ไพไรทเ์ ป็นองคป์ ระกอบจานวนมาก เมือ่ ดนิ แห้งโดยเฉพาะในฤดแู ล้ง ดินจะ
เกิดกระบวนการออกซิเดชันเกิดเป็นกรดกามะถันข้ึนในดินและน้าผิวดิน ฤทธ์ิของความเป็นกรดจะ
รุนแรงมากจนส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ความเป็นกรดของดินและน้าที่รุนแรงทาให้ธาตุ
อาหารหลักท่ีสาคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม
ลดลง ขณะท่ธี าตุอะลมู เิ นียม เหล็ก และแมงกานีสเพิ่มสูงขน้ึ จนเป็นพิษต่อพชื ได้
หนิ ปูนฝุน่ ปรบั ปรุงดนิ ดินเปรี้ยวจัด
การเตรียมพื้นท่ี
- ปรับระดับผิวหนา้ ดนิ ใหม้ คี วามลาดเอยี ง เพอื่ ให้นา้ ไหลไปสูค่ ลองระบายนา้
- ตกแตง่ แปลงนาและคนั นาให้สมา่ เสมอเพือ่ สะดวกในการขงั น้าและระบายนา้
23
การจัดการนา้ ในแปลงนาและการประยุกต์ใช้หนิ ปนู ฝนุ่
ใช้หินปูนฝุ่นประมาณ 1-1.5 ตันต่อไร่ ลา้ งกรดในดินโดยการปล่อยน้าให้ท่วมแปลง
หว่านกอ่ นการไถพรวนดนิ นา 7-14 วนั จงึ ระบายนา้ ออก
เม่ือระบายน้าออกแล้วควรใส่ ปล่อยน้าเข้าแปลงนาให้ท่วมทิงไว้
หินปูนฝุ่นกระจายให้ท่ัวผิวดิน เป็นเวลา 10 วัน ก่อนที่จะระบายน้า
แปลงนาและไถกลบใหท้ วั่ พืนที่ ออกเพื่อล้างความเป็นกรด
ปล่อยน้าท่วมขังในนาเพ่ือท้าการปลูกข้าว ระบายน้าออกก่อนช่วงเก็บเกี่ยวประมาณ
วิธีปลูกที่แนะน้าคือ นาด้า นาหว่านน้าตม 15-20 วนั ควบคมุ ระดบั น้าในแปลงนาตลอด
และหลังจากลงปลูกแล้วให้รกั ษาระดับนา้ ใน ในช่วงฤดูแล้ง และไม่ควรปล่อยให้ดินแห้งจน
นาสงู จากผิวดินประมาณ 5-10 เซนติเมตร แตกระแหงเพ่ือป้องกันการเกดิ กรดเพ่มิ ขึนอกี
ตลอดฤดูกาลปลกู
ข้อควรระวัง การใสห่ นิ ปูนฝ่นุ ในแปลงนาจะเปน็ อันตราย
ต่อสุขภาพของเกษตรกรผ้ใู ช้ปูน
ประโยชน์ เน่อื งจากปนู มอี นภุ าคขนาดเล็กและ
อาจเขา้ สู่รา่ งกายทางจมกู หรอื ปากได้
ปนู จะช่วยยกค่าพเี อชดนิ ใหอ้ ยใู่ นระดับท่ีเหมาะสมต่อการ
ปลกู พชื และเพิ่มความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารหลัก การใชห้ นิ ปนู ฝุน่ ในนาขา้ วบางกรณี
ความตอ้ งการปนู ของพนื ทน่ี า
ทจี่ า้ เปน็ ตอ่ การเจรญิ เติบโตของพืช มคี ่าสูงเกนิ ไปอาจจะทา้ ให้
การใชห้ นิ ปูนฝ่นุ ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมี เกษตรกรมีความตอ้ งการ
การใช้ปูนช่วยปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพของดิน ใช้แรงงานและเวลาทีม่ ากเกนิ ไป
ให้เหมาะสมต่อการผลิตทางการเกษตร ท้าให้ผลผลิต
เพ่มิ ขึน
24
การปลกู ปอเทือง
เป็ นป๋ ยุ พืชสดเพ่ือ
การปรบั ปรงุ ดิน
วชิ ติ า อินทรศรี กองวจิ ยั และพัฒนาการจัดการทด่ี นิ
การปลกู ปอเทือง ปอเทือง
เป็นปุ๋ยพืชสด เปน็ วธิ กี ารทม่ี ีประสทิ ธิภาพใน พืชมหศั จรรย์สำหรบั ปรับปรงุ ดิน
การเพ่มิ ความอดุ มสมบรู ณ์ของดนิ และเปน็
แนวทางการจดั การดนิ อย่างย่ังยนื ปอเทอื ง (sunn hemp) เป็นพชื ในตระกูลถ่วั
สามารถปรับปรงุ การผลิตให้ดขี ึน้ ท่สี ะสมไนโตรเจนได้ดี นิยมใช้เปน็ ปยุ๋ พืชสด
สามารถใช้เปน็ อาหารโค กระบือ รวมถึงปลูก
เพ่ือความสวยงามเพ่ือเปน็ แหลง่ ท่องเทย่ี ว
ลด ปอ้ งกัน ฟืน้ ฟกู ารเส่อื มโทรมของที่ดิน จดุ เดน่ ของปอเทอื ง
อนุรกั ษ์ระบบนิเวศนแ์ ละความหลากหลาย เป็นพืชทด่ี ูแลงา่ ย และมีอตั ราการ
ทางชวี ภาพ เจรญิ เตบิ โตสงู
สร้างประโยชน์ดา้ นเศรษฐกิจและสงั คม มคี วามต้านทานตอ่ โรคและแมลง
วธิ กี ารปลูก ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นหลงั จากไถกลบ
ปอเทอื งเป็นป๋ยุ พืชสด
หลังเกย่ี วข้าว เตรียมเมล็ดพันธปุ์ อเทอื ง
สบู นา้ เข้านาขา้ ว ชว่ ยลดอัตราการใช้ปยุ๋ เคมีในนาข้าว
ปลอ่ ยน้าออกใหน้ ้าท่วมพนื้ ทน่ี าเล็กนอ้ ย
หว่านเมล็ดปอเทอื ง 5 กก./ไร่ ดอกปอเทอื งมีความสวยงาม สร้าง
ไถกลบเมือ่ ปอเทอื งอายุ 40-50 วนั หรอื ความประทบั ใจแก่ผู้พบเห็นและนกั ท่องเทยี่ ว
ออกดอก 70-80% และปลอ่ ยทิ้งไว้ 15-30 วนั
ตากดนิ ทิ้งไว้ 5-7 วัน แล้วจึงหว่านขา้ ว คาแนะนาเพมิ่ เติม
เอกสารฉบับเต็ม หัวข้อท่ี 18 การปลูกปอเทอื งเปน็ ปุย๋ พืชสด เกษตรกรควรวางแผนการผลติ เมล็ดพนั ธุ์
เพือ่ การปรบั ปรุงบำรงุ ดนิ ปอเทืองไวใ้ ช้เองในครัวเรือน
จากหนังสือ 37 เทคโนโลยีเพือ่ การจัดการดินอย่างยั่งยืน การรวมกลมุ่ เกษตรกร สามารถชว่ ยลด
คา่ ใช้จา่ ยในการเตรียมดนิ ได้
25
เทคโนโลยีปุย๋ ส่ังตัด
เทคโนโลยกี ารจดั การธาตุอาหารพืชในพื้นทเี่ ฉพาะเจาะจง
“ย่ิงใส่ปยุ๋ ย่ิงใหผ้ ลผลติ มาก” พงศธ์ ร เพยี รพิทักษ์
กองวิจัยและพฒั นาการจดั การทีด่ นิ
เทคโนโลยีปุย๋ สั่งตัด เป็นเทคโนโลยีในการจัดการธาตุอาหารพืชในพ้ืนท่ีเฉพาะ โดยค่าแนะน่า
ขึน้ อยกู่ ับปัจจยั ส่าคัญ ได้แก่ พันธุ์พชื แสงแดด อุณหภูมิ ความชน้ื ปริมาณน้่าฝน ชุดดิน ปริมาณไนโตรเจน
ฟอสฟอรัส โพแทสเซยี ม เปน็ ตน้ โดยใช้แบบจ่าลองการปลูกพชื และโปรแกรมสนับสนุนการตัดสินใจ
กรอบแนวคิด: การใส่ปุย๋ ใหส้ อดคล้องกับกฎการเรยี งล่าดับขนั้ ต่าสุด คอื ธาตอุ าหารที่ขาดแคลน
มากท่สี ดุ เป็นขอ้ จ่ากดั ของการตอบสนองของธาตุอาหารอืน่ ๆ ดังน้นั เกษตรกรควรทา่ การวิเคราะห์ดินก่อน
ใส่ปุ๋ย เพื่อทราบปริมาณธาตุอาหารในดินหลังเก็บเกี่ยว ชนิดและปริมาณของปุ๋ย ในความเป็นจริง พืชแต่
ละชนิดต้องการธาตุอาหารในปริมาณท่ีแตกต่างกัน วิธีการใส่ปุ๋ยและระยะเวลาการใส่ปุ๋ยท่ีเหมาะสมกับ
ช่วงเวลาของการเจรญิ เตบิ โตของพืชเปน็ สงิ่ ส่าคัญ
จดุ ปปรรับะปสรงุงกคา์หรผลลักติ ให้ดีขึ้น ความมุง่ หมาย
ลด ป้องกัน ฟืน้ ฟูการเสอื่ มโทรมของที่ดนิ
อนรุ ักษร์ ะบบนิเวศน์ ปอ้ งกนั ความเสอ่ื มโทรมของที่ดิน
สรา้ งผลกระทบด้านเศรษฐกิจทเี่ ปน็ ประโยชน์ ลดความเส่อื มโทรมของดนิ
สรา้ งผลกระทบดา้ นสงั คมทีเ่ ป็นประโยชน์
มาตรการการจัดการทด่ี ินอยา่ งยงั่ ยืน
การรบกวนดนิ ให้น้อยทสี่ ุด
การจดั การความอดุ มสมบูรณ์ของดนิ แบบผสมผสาน
วธิ กี ารวเิ คราะหด์ นิ
1. เกบ็ ตวั อย่างดนิ 2. ทดสอบ N P K 3.ใ.ส่ปุ๋ยตามสูตรปยุ๋ สั่งตัด 26
เทคโนโลยีปยุ๋ สั่งตดั
เทคโนโลยีการจัดการธาตอุ าหารพืชในพื้นท่ีเฉพาะเจาะจง
“ย่งิ ใส่ป๋ยุ ย่งิ ใหผ้ ลผลติ มาก”
➢ ด้านเศรษฐกิจและสังคม
- ผลผลติ และคณุ ภาพพืชผลเพิม่ ขึน้
- รายไดเ้ พิม่ ข้นึ
- การจัดการที่ดินท่าไดง้ ่ายขนึ้
➢ ด้านสังคมและวัฒนธรรม
- สถานการณส์ ุขภาพ ปรับปรุงดขี น้ึ
- การใช้ทีด่ นิ /การใชน้ า้่ ปรบั ปรุงดขี ึ้น
- การจัดการท่ีดนิ อย่างย่งั ยืน ปรบั ปรุงดขี ้ึน
➢ ดา้ นนิเวศวิทยา ผลกระทบ
- การสะสมและการอดั แนน่ ของดินลดลง
- การหมนุ เวยี นและการเติมธาตอุ าหารเพมิ่ ขึ้น
- ความเปน็ กรดปานกลาง
➢ ด้านรายได้และค่าใชจ้ ่าย ➢ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภมู ิอากาศ
- ผลตอบแทนระยะสน้ั และระยะยาวเพิ่มขึน้ - การปลดปล่อยกา๊ ซเรือนกระจกลดลง
จดุ แข็ง จุดอ่อน
ลดต้นทุนด้านป๋ยุ และเมลด็ พันธ์ขุ า้ ว การวิเคราะห์ตัวอยา่ งดนิ กอ่ นปลกู เปน็ เร่อื งยงุ่ ยาก
ลดการใชส้ ารก่าจัดศัตรูพืช ท่าให้ตน้ ขา้ วแขง็ แรง และค่าใช้จ่ายสงู
ต้านทานโรคและแมลง เช่น เพล้ียกระโดดสีน่า้ ตาล
การใชแ้ รงงานลดลง เนื่องจากการใชส้ ารกา่ จดั ศัตรพู ืชลดลง วิธีการปัญหา จัดตง้ั กลมุ่ /ศนู ย์ถา่ ยทอดภายในชุมชน
คุณภาพผลผลติ ดขี ้ึน และใช้ชดุ ทดสอบดินอยา่ งงา่ ย (Soil test kits)
สขุ ภาพของคนในชุมชนดขี น้ึ การใช้ป๋ยุ สตู รส่าเร็จตามท้องตลาดมคี วามสะดวกรวดเรว็
มากกวา่ การผสมปุ๋ยใชเ้ อง
วธิ กี ารปญั หา จดั ต้ังกลุ่ม/ศูนย์ถ่ายทอดภายในชุมชน
สร้างความเข้าใจในการใสป่ ุ๋ยตามคา่ วเิ คราะหด์ ิน
เอกสารฉบับเต็มหัวขอ้ ท่ี 19 เทคโนโลยปี ุ๋ยสั่งตดั 27
จากหนังสือ 37 เทคโนโลยีเพ่ือการจดั การดนิ อยา่ งยั่งยนื
ประภา ธารเนตร และศรณั ย์นพ อนิ ทเสน
กองวจิ ยั และพฒั นาการจดั การท่ีดนิ
“..ใหม้ กี ารทดลองทาดนิ ใหเ้ ปร้ียวจดั โดยการระบายนา้ ใหแ้ หง้ และศึกษาวิธีการแกด้ ิน
เปร้ียว เพอื่ นาผลไปแกป้ ัญหาดินเปร้ียวใหแ้ ก่ราษฎรทีม่ ีปัญหาในเรื่องน้ีในเขตจงั หวดั
นราธิวาส โดยใหท้ าโครงการศึกษาทดลองในกาหนด 2 ปี และพืชที่ทาการทดลอง
ปลูกควรเป็ นขา้ ว...”
พระราชดารพิ ระบาทสมเด็จพระมหาภูมพิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร
วนั ที่ 16 กันยายน 2527
ในปี พ.ศ. 2524 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช ศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาพกิ ลุ ทองอันเนอื่ งมาจากพระราชดาริ จังหวดั นราธวิ าส
มหาราช บรมนาถบพิตรมีพระราชดาริให้หน่วยงานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องมาดาเนินการศึกษาและพัฒนาพ้ืนท่ีพรุเพื่อ
ปัญหาความเป็นกรดของดิน และในปี พ.ศ. 2527 ทรง
ริเริ่มโครงการ “แกล้งดิน” เพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยวจัดให้
สามารถนามาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้ จึงมี
พระราชดาริมอบหมายให้ กรมพัฒนาท่ีดิน และศูนย์ศึกษา
การพัฒนาพิกุลทองอันเน่ืองมาจากพระราชดาริ จังหวัด
นราธิวาส ศึกษาแนวทางการจัดการดินที่เหมาะสมสาหรับ
การผลิตทางการเกษตรในพ้นื ทดี่ ินเปร้ยี วจดั
การ ‘แกล้งดิน’ เป็นการทาให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป โดยการ
ขังน้าไว้ในพื้นที่จนกระท่ังเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทาให้ดินเปร้ียวจัดจนถึง
ทสี่ ุด แล้วจึงระบายน้าออก ทาสลับกันไปต่อเนื่องหลายคร้ังในรอบปี
ทัง้ น้ี เพอ่ื เปน็ การจาลองสภาพฤดแู ล้งและฤดูฝนและเร่งกระบวนการ
ออกซเิ ดชนั ของสารไพไรทใ์ นดินให้ถงึ จุดท่ีดินมีสภาพเป็นกรดสูงท่ีสุด
จากน้นั จึงทาการปรับปสภาพดนิ ดว้ ยวสั ดปุ ูน จนกระท่งั ดินมีสภาพดี
พอสาหรับใช้ในการเพาะปลูกได้
28
มาตรการจดั การดนิ เปรยี้ วจัดตามแนวพระราชดาริ ‘แกลง้ ดิน’
1. ควบคุมระดับน้าใต้ดินให้อยู่เหนือช้ันดินเลนท่ีมีสารไพไรท์อยู่ เพ่ือป้องกันไม่ให้
สารไพไรท์ทาปฏิกิริยากับออกซิเจนหรือเกิดกระบวนการออกซิเดชันจนทาให้
เกดิ กรดกามะถนั ได้
2. ปรบั ปรงุ ดิน ทาได้ 3 วธิ กี าร คือ
(1) การใช้น้าชะล้างความเป็นกรด เมื่อล้างดินเปรี้ยวจัดให้คลายลงแล้ว ดินจะ
มีคา่ pH เพ่มิ ขึ้น สารละลายเหล็กและอลูมินัมท่ีมีปริมาณมากและเป็นพิษก็จะ
เจือจางลง
(2) การใช้ปูนผสมคลุกเคลา้ กบั หน้าดิน เชน่ ปนู มาร์ล หินปูนฝนุ่ เป็นตน้
(3) การใช้ปูนควบคู่ไปกับการใช้น้าชะล้างและควบคุมระดับน้าใต้ดิน วิธีการน้ี
เป็นวิธีการที่ได้ผลดีท่ีสุด โดยเฉพาะในพ้ืนที่ซ่ึงดินเป็นกรดจัดและถูกปล่อยทิ้ง
เป็นเวลานาน
3. ปรับสภาพพืน้ ที่ ทาได้ 2 วิธี คอื
(1) สาหรบั การปลูกขา้ วหรอื พชื อายสุ ้ันบางชนดิ ให้ปรับระดบั ผวิ หนา้ ดินใหม้ ี
ความลาดเอยี งเพอ่ื ให้น้าไหลไปสู่คลองระบายนา้
(2) สาหรบั การปลกู ไม้ผลหรอื พชื อายสุ น้ั อ่ืนๆ ควรปรบั ระดบั พ้นื ท่ีด้วยการขดุ
ยกรอ่ ง และไม่ควรนาดนิ ลา่ งมาถมทับดนิ บนเพราะจะเปน็ การนาดินช่ีนทีม่ สี าร
ไพไรทข์ นึ้ มาไว้ด้านบน และควรใสป่ ูนร่วมกบั การลา้ งดนิ ออกจากพ้นื ท่ี
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเน่ืองมาจากพระราชดาริและกรม
พฒั นาท่ีดนิ รว่ มกันสง่ เสริมแนวทางทเี่ หมาะสมสาหรบั การจัดการดิน
เปรี้ยวจัดสู่เกษตรกรทั้งการสาธิตในพื้นท่ีศูนย์ศึกษาฯ และพื้นท่ี
เกษตรกร พร้อมทั้งสร้างการยอมรับของเกษตรกรให้มีการนา
เทคโนโลยีท่ีเหมาะสมน้ีไปปฏิบัติในพื้นท่ีเพ่ือปรับปรุงดินเปรี้ยวจัด
เพ่ิมผลผลิตทางการเกษตร ด้วยเหตุน้ี พ้ืนท่ีดินเปรี้ยวจัดในพ้ืนที่
หม่บู า้ นโคกอิฐ-โคกใน อาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส สามารถเพ่ิม
ผลผลิตข้าวจากเดิม 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ เป็น 400-500 กิโลกรัม
ต่อไร่ ซ่ึงนับว่าประสบความสาเร็จอย่างมาก นอกจากน้ัน เกษตรกร
สามารถนาแนวทางมาปรบั ปรงุ พน้ื ท่ีดินเปร้ียวจัดให้สามารถปลูกพืช
เศรษฐกิจอื่นๆ เช่น พืชผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้น เป็นต้น และสามารถนา
แหล่งน้าท่ีไม่สามารถใช้ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทาให้เกษตรกร
สามารถเพ่มิ รายได้ของครวั เรอื นและมีคณุ ภาพชีวติ ทดี่ ีข้นึ
29
ระบบสง่ น้ำแบบฝำยคนั ดนิ
ในนำขน้ั บนั ไดบนพนื้ ทสี่ ูง
ปานิสรา ทองท้วม
กองวิจัยและพฒั นาการจดั การท่ีดิน
การใชร้ ะบบส่งน้าแบบฝายคนั ดินใน ขน้ั ตอนและวธิ กี ำรทำ
นาขนั้ บนั ไดของชาวบา้ นดง หมู่ที่ 5 ตาบล
ห ้ว ย ห ้อ ม อ า เ ภ อ แ ม่ ล า น้ อ ย จั ง ห วั ด
แม่ฮอ่ งสอน เป็ นแนวทางการจดั การน้าชมุ ชน
ใ น พื้น ที่แ ห ล่ ง ต ้น น้ า ใ ห ้อ ยู่ ร่ว ม กับ พื้น ที่
เกษตรกรรมอย่างย่งั ยนื ลกั ษณะองคป์ ระกอบ
ท่ี ส า คั ญ ข อ ง เ ท คโ นโ ล ยี เ ห ม า ะ ส ม กับ
การเกษตรบนพนื้ ทสี่ ูงชนั ใชห้ ลกั การบรหิ าร
จดั การนา้ ในพนื้ ทโ่ี ดยการผนั นา้ จากแหลง่ ตน้
น้าธรรมชาติมาใชภ้ ายในพืน้ ท่ีเกษตรของ
ตนเอง ชว่ ยเพิ่มพืน้ ท่ีเพาะปลูกและยงั ชว่ ย
ชะลอการพงั ทลายของหนา้ ดนิ ไดเ้ ป็ นอย่างดี
กำรคดั เลอื กพนื้ ที่
ควรเลอื กพนื้ ทท่ี ม่ี คี วามลาดชนั ไม่มากนัก เน่ืองจากการขดุ ปรบั พนื้ ทท่ี าไดค้ อ่ นขา้ ง
ยากและจะไดพ้ นื้ ทปี่ ลกู ขา้ วในกระทงนาทแ่ี คบ และควรเป็ นพนื้ ทใ่ี กลแ้ หลง่ นา้ ทจี่ ะ
นาเขา้ สแู่ ปลงนาไดส้ ะดวก
กำรขดุ ปรบั พนื้ ทนี่ ำขน้ั บนั ได
การใชแ้ รงงานคนเป็ นวธิ กี ารทเี่ หมาะสมในหลายพนื้ ทเี่ น่ืองจากไม่มถี นนและงา่ ยตอ่
การบารงุ รกั ษาเมอื่ เกดิ การชารดุ การปรบั พนื้ ทน่ี าสามารถทาได ้ 2 วธิ ี คอื กำรขดุ
ดนิ จำกล่ำงขนึ้ บน รกั ษาความอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ เดมิ ไวไ้ ด ้ ทาใหน้ า้ ขงั ในแปลง
นาไดเ้ รว็ ขนึ้ และ กำรขดุ ดนิ จำกบนลงลำ่ ง ทาไดง้ า่ ย เกษตรกรสว่ นใหญค่ นุ ้ เคย
และสามารถใชเ้ ครอ่ื งจกั รกลได ้
กำรปรบั ปรุงบำรุงดนิ
ตอ้ งปรบั ปรงุ บารงุ ดนิ โดยการเพมิ่ อนิ ทรยี วตั ถุ ใสป่ ๋ ยุ หมกั ป๋ ุยคอก หรอื การปลกู พชื
ตระกลู ถว่ั แลว้ ไถกลบเป็ นป๋ ุยพชื สด มกี ารปรบั สภาพความเป็ นกรดดา่ งของดนิ และ
เพม่ิ เตมิ ธาตอุ าหารใหแ้ กด่ นิ
กำรปลูกขำ้ ว
ปลกู ขา้ วโดยวธิ ปี ักดา ระยะปักดา 20 x 20 เซนตเิ มตร จานวนกลา้ 3 - 5 ตน้ ตอ่
จบั
30
ขนั้ ตอนและวธิ กี ารทา (ตอ่ )
กำรใสป่ ๋ ุย
5 นาขน้ั บนั ไดบนพนื้ ทส่ี งู ควรเนน้ การใชป้ ๋ ุยอนิ ทรยี เ์ พอื่ ลดตน้ ทนุ การผลติ
โดยเฉพาะการใชป้ ๋ ยุ อนิ ทรยี ท์ หี่ าไดใ้ นทอ้ งถนิ่ หรอื ผลติ เองไดเ้ ชน่ ป๋ ุยคอก
ป๋ ยุ หมกั ป๋ ุยพชื สด เป็ นตน้ ในกรณีทไ่ี ม่เพยี งพอ อาจใชป้ ๋ ยุ เคมเี สรมิ
กำรใหน้ ้ำ
6 กระจายนา้ ใหเ้ กษตรกรไดอ้ ย่างทว่ั ถงึ การบรหิ ารจดั การนา้ ดว้ ยระบบ
เหมอื งฝายในนาขน้ั บนั ไดชว่ ยใหก้ ารทานาและการปลกู พชื ผกั หลงั นามี
ประสทิ ธภิ าพ และมนี า้ ทาการเกษตรเพยี งพอตลอดทง้ั ปี
กำรป้ องกนั กำจดั โรคและแมลง
7 ใชพ้ นั ธขุ ์ า้ วพนื้ เมอื งทมี่ คี วามตา้ นทานตอ่ โรคในทอ้ งถนิ่
กำรควบคุมวชั พชื
ใชว้ ธิ กี ารขงั นา้ ในแปลงนาและใชแ้ รงงานคนกาจดั แตห่ ลงั จากปลกู ขา้ วแลว้ ตอ้ ง
8 กาจดั วชั พชื อยา่ งนอ้ ย 2 ครง้ั ครง้ั แรกหลงั ขา้ วงอก 20 – 25 วนั และหลงั ขา้ ว
งอก 40 - 45 วนั
กำรบำรุงรกั ษำระบบสง่ น้ำแบบฝำยคนั ดนิ ในนำขนั้ บนั ไดบนพนื้ ทสี่ ูง
ชอ่ มแซมคนั ดนิ และขดุ ลอกฝายสง่ นา้ จากแหลง่ ตน้ นา้ ธรรมชาตทิ เี่ ชอ่ื มมายงั พนื้ ที่
9 การเกษตรของตน ปี ละ 2 ครงั้ กอ่ นปลกู ขา้ วและหลงั เก็บเกยี่ วขา้ ว หรอื กอ่ น
เปลยี่ นพชื ปลกู หลงั ทานา
บทสรุปและสงิ่ ทไี่ ดร้ บั
1.เกษตรกรพ่ึงพาตนเองได ้ 2. ถ่ า ย ท อ ด ค ว า ม รู ้แ ล ะ
ด า ร ง ชีวิต อ ยู่ อ ย่ า ง ส ม ดุ ล เทคโนโลยีการเกษตร อย่าง
ระหว่างความตอ้ งการและ ตอ่ เนื่องจากรนุ่ สู่รนุ่ เกดิ การ
คว าม สา มา รถในการตอ บ เชอ่ื มตอ่ ระหว่างเครอื ญาตแิ ละ
ส น อ ง ค วา ม ต อ้ ง ก า ร ข อ ง ชุมชน มีการรวมกลุ่มเพื่อ
ตนเอง ครอบครวั หรอื ชมุ ชน แกไ้ ขปัญหาหลกั ของชมุ ชน
ไดต้ ามอตั ภาพ ไดต้ รงกบั ความตอ้ งการของ
คนในพนื้ ที่
3. เกษตรกรมีสภาพจิตใจท่ี
ม่ัน ค ง เ ข ้ม แ ข็ ง ต่ อ สู ้กับ 4. ส่งเสริมใหเ้ ป็ นแหล่ง
ปัญหาอุปสรรค ในชวี ิตและ ท่องเทยี่ วและแหล่งเรยี นรู ้
พฒั นาชวี ติ ใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ ทางการเกษตร เพื่อสรา้ ง
ยิ่ ง ขึ้น มี จิ ต ส า นึ กใ น ก า ร โอกาส และรายไดใ้ หก้ ับ
พึ่ ง ต น เ อ ง มี จิ ตใ จใ ฝ่ รู ้ มี ชาวบา้ นและชมุ ชน
คณุ ธรรม
เอกสารฉบับอเตบม็ ถหำัวมขอ้เพที่ ม2่ 1เตระมิ บบกสง่ อนง้ำวแบจิ บยั ฝแาลยคะพนั ดฒั ินในนนำากขำั้นรบจนั ไดั ดกบนำพรนื้ ทดี่ ่สี นิูง กรมพฒั ำทดี่ นิ : 0-25791103 31
จากหนังสือ 37 เทคโนโลยเี พอ่ื กา1รจ/ัดนกากั รวดชินิ อำยกา่ งำยรง่ั เยกืนษตรชำ ำญกำร กองวจิ ยั และพฒั นำกำรจดั กำรทดี่ นิ
แนวทางการจัดการนำ้ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
ในนาข้นั บนั ไดของชุมชนบนพ้ืนท่ีสูง จกั รพนั ธ์ เภาสระคู
กองวิจัยและพัฒนาการจดั การท่ีดิน
บทนํา การจัดการน้าํ อยา งมปี ระสทิ ธิภาพในนาขน้ั บนั ไดของชุมชนบา นดง ตาํ บลหวยหอม
อําเภอแมล านอย จังหวัดแมฮองสอน ไดนาํ วธิ กี ารทม่ี ตี ัง้ แตด งั้ เดมิ โดยการใชร ะบบสง นํา้ แบบฝาย
คันดนิ เพ่ือผันนํ้าจากแหลง ธรรมชาติมาใชในการปลกู ขา วเปน แนวทางการจัดการนํ้าชมุ ชนในพน้ื ท่ี
แหลง ตนนํ้าใหอ ยรู ว มกับพ้ืนท่ีเกษตรกรรมอยา งย่งั ยืน
การดาํ เนินการ มีขนั้ ตอนดงั นี ้
1. การคัดเลือกพืน้ ท่ี
2. การขุดปรบั พืน้ ทีน่ าขน้ั บันได
3. การปรับปรุงบํารุงดนิ
4. การปลกู ขา ว
5. การใสป ยุ
6. การบรหิ ารจดั การนํ้า
7. การปอ งกันกําจัดโรคและแมลง
8. การควบคุมวัชพืช
9. การบํารงุ รกั ษาเทคโนโลยรี ะบบสง นาํ้ แบบ
ฝายคนั ดนิ ในนาข้นั บันไดบนพื้นที่สงู
สรปุ ผลการดาํ เนินงาน ไดแ้ นวทางการจดั การน้ําชมุ ชนในพน้ื ทแ่ี หลง่ ตน้ น้ําใหอ้ ยรู่ ว่ มกบั
พน้ื ทเ่ี กษตรกรรมอยา่ งยงั่ ยนื ชว่ ยแกไ้ ขปญั หาความเสอ่ื มโทรมของทรพั ยากรดนิ น้ํา และ
ปา่ ไม้ ลดการชะลา้ งพงั ทลายของดนิ ตลอดจนชว่ ยเพมิ่ ความอุดมสมบรู ณ์ของดนิ และ
บรรเทาปญั หาการขาดแคลนแหลง่ น้ําเพอ่ื การเกษตร ทาํ ใหช้ าวบา้ นในพน้ื ทม่ี คี วามเป็นอยู่
และคุณภาพชวี ติ ทด่ี ขี น้ึ
เอกสารฉบับเต็มหัวข้อที่ 22 แนวทางการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ 32
ในนาข้ันบนั ไดของชุมชนบนพื้นที่สงู
จากหนงั สือ 37 เทคโนโลยเี พือ่ การจดั การดนิ อย่างย่งั ยนื
ระบบการกักเกบ็ นา้ โดยการเตมิ นา้ ลงสู่ระดบั นา้ ใต้ติดนิ
ใต้นภาคเหนือของประเทศไทย อภสิ ทิ ธิ์ บัวปาย
กองวิจยั และพัฒนาการจัดการทีด่ ิน
ระบบการกักเกบ็ นา้ โดยการเตมิ นา้ ลงสู่
ระดับนา้ ใต้ติดนิ ใต้นภาคเหนือของประเทศไทย
หรือเรียกอีกอย่างว่า “ธนาคารนา้ ใต้ติดนิ ” เป็ น
วธิ ีการกักเกบ็ นา้ ลงสู่ระดบั นา้ ใต้ติดนิ อย่าง
รวดเร็ว สามารถปิองกันทงั้ นา้ ท่วมและภยั แลิง
“ธนาคารนา้ ใต้ดิน” เป็นแหล่งกักเก็บนา้ ใต้
ดินขนาดใหญ่ สามารถเก็บนา้ ส่วนเกินในฤดูฝน
ปอ้ งกนั การเกิดนา้ ท่วมและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ใช้
พืน้ ท่ีน้อยและต้องการงบประมาณน้อย ซึ่งแนวคิด
หลกั คอื การเก็บนา้ ฝนสว่ นเกินไว้ในช่องว่างใต้ดิน
ในช่วงฤดฝู น และนากลบั มาใช้เพื่อการเกษตรและ
การบริโภคในช่วงฤดูแล้งหรือเมื่อจาเป็น โดย
สามารถทาได้ 2 แบบ คือ ระบบบ่อเปิด และระบบ
บอ่ ปิด
33
ระบบ ใต้นช่วงฤดูฝน นา้ ฝนถูกชักนาใต้หิซึมลึกเพ่อื เตมิ นา้ ลงไปใต้ติ
บ่อเปิ ด ดนิ บ่อเปิ ดประกอบดิวย 4 หลักการ ดงั นี้
(1) (2) (3) (4)
หลักการดิาน หลักการดิาน หลักการดิาน หลักการดิาน
ธรณีวทิ ยา แรงโนิมถ่วง สุญญากาศ แรงเหว่ยี งของ
ของโลก โลก
ระบบ เป็ นการขุดบ่อเติมนา้ ใต้ติดินใต้นระดับตืน้ ช่วยลดปัญหานา้ ใต้ชิ
บ่อปิ ด จากครัวเรือนหรือนา้ ท่วมขงั เป็ นแอ่งใต้นชุมชน และเกบ็ นา้ ฝน
จากหลังคาบิานและเช่อื มโยงไปยงั ธนาคารนา้ ใต้ติดนิ ระบบบ่อ
เปิ ด จนเป็ นเครือข่ายท่ีครอบคลุมพืน้ ท่ีมากขึน้ มีขัน้ ตอน
การดาเนินการ ดงั นี้
(1) (2) (3)
การขุดบ่อปิ ด ใต้ส่วัสดุหยาบลงใต้นบ่อ ปิ ดคลุมปากบ่อ
ขุด ใน บริ เ ว ณ ที่ ต่ า ห รื อ เช่น ก้ อนหิน เศษไม้ ด้ วยตาข่ายหรื อผ้ าแ ส
นา้ ท่วมขัง ควรมีขนาด ขวดแก้ว ให้ต่ากว่าปาก ล น ก ล บ ด้ ว ย ท ร า ย
เส้ นผ่าศูนย์ กลางปา ก บ่ อ 2 0 เ ซ น ติ เ ม ต ร หยาบ และหินก่อสร้ าง
บ่อ 1 เมตร ก้ นบ่อมี เพื่อให้นา้ ไหลซมึ ได้ง่าย หรือกรวดแม่นา้ ใส่ให้
ขนาด 0.70 เมตร และ ถึงระดับนา้ ใต้ดินและ เ ส ม อ ป า ก บ่ อ เ พื่ อ
ลกึ 1.5 เมตร เป็นต้น ป้องกันการพังทลาย ป้องกันสิ่งท่ีมากับนา้
ของขอบบอ่ ไหลลงสบู่ อ่
เอกสารฉบับเต็มหวั ขอ้ ท่ี 23 ระบบการกกั เก็บน้ำโดยการเตมิ นำ้ ลงสู่ระดบั นำ้ ใตด้ ิน
ในภาคเหนือของประเทศไทย จากหนงั สอื 37 เทคโนโลยีเพื่อการจดั การดินอยา่ งยั่งยนื
34
ธนาคารนา้ ใตด้ ิน การเตมิ นา้ ลงสูร่ ะดับน้าใตด้ นิ และกกั เก็บนา้ ใต้ดนิ
ในเขตภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย
ธนาคารนา้ ใต้ดนิ
จารวุ รรณ เฮียงมะณี
กองวิจยั และพัฒนาการจดั การที่ดนิ
ธนาคารน้าใต้ดนิ เพม่ิ นา้ ส้ารอง ใชพ้ นื ท่ีน้อย
ไว้ใตด้ นิ
เป็นแหล่งกักเก็บนาใต้ดินขนาดใหญ่ สามารถเก็บนา เครอื ข่ายน้า
ส่วนเกินในฤดูฝน ป้องกันการเกิดนาท่วม และแก้ไข ปอ้ งกัน
ปัญหาภัยแล้ง ใช้พืนที่และต้องการงบประมาณน้อย น้าท่วม ขนาดใหญ่
แตส่ ามารถเพิม่ นาสารองโดยเก็บไวใ้ ตด้ ิน
แก้ปญั หา
ภยั แล้ง
ใชง้ บประมาณน้อย
ระบบบอ่ ปิด ระบบบ่อเปดิ
ขุดบ่อให้ความกว้างยาวของปากบ่อ 1-5 เมตร ลึก 1-5 เมตร ความกว้างและ การทาระบบบ่อเปิด จะเลือกขุดบ่อเติมนาบริเวณลานาตอนบนและขุดไว้
ความลึกตามสภาพพืนท่ี แต่ความลึกต้องไม่น้อยกว่าความกว้างของปากบ่อ กลางลานา เม่ือมวลของนากดทับลงไปท่ีระดับนาใต้ดิน นาจะเข้ามา
ควรทาในบริเวณท่ีต่าหรือนาท่วมขัง เช่น ถ้าเป็นบ่อวงกลม ปากบ่อ แทนทีอ่ ากาศในชันใต้ดิน ทาให้อากาศก็ต้องหาทางออก ดังนันการใช้งาน
เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร ก้นบอ่ เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง 0. 70 เมตร ลึก 1.5 เมตร เป็น ระบบนีเราต้องขุดบ่อลม (บ่อนาผิวดิน) 1-2 บ่อ เพื่อให้อากาศสามารถ
ต้น ใส่วัสดุหยาบลงในบ่อ เพ่ือให้นาไหลซึมได้ง่ายถึงระดับนาใต้ดิน และป้องกัน ออกมาจากชันใต้ดินได้ เนื่องจากนาใต้ดินไหลจากทิศตะวันตกไป
การพังทลายของขอบบ่อ วัสดุที่ใช้ ได้แก่ ก้อนหิน เศษไม้ ยางรถยนต์ ขวดแก้ว ตะวันออก ซ่ึงเป็นทิศทางการหมุนของโลก การขุดบ่อเติมนาหรือบ่อเติม
(ต้องไม่มีสารเคมี) ขวดพลาสติก (ท่ีบรรจุนา 3 ใน 4 ส่วน) และใส่ท่อ PVC ลง นาต้องอยู่ทางทิศตะวันตก และบ่อลมต้องขุดทางทิศตะวันออก หรือทิศ
ตรงกลางบ่อเพ่ือใช้ระบายอากาศออก ซ่ึงวัสดุหยาบทังหมดต้องต่ากว่าปากบ่อ ตะวันออกเฉียงใต้ หรือทิศใต้ ขนาดของบ่อเปิดมาตรฐาน กว้าง x ยาว
20 เซนติเมตร นาผา้ ตาขา่ ยสีฟ้าหรือผ้าสแลนปูทับด้านบน และกลบทรายหยาบ เท่ากับ 40 x 60 เมตร หรือ 20 x 40 เมตร ความลาดเอียง 45 องศา ลึก
ตามด้วยหินก่อสร้างหรือกรวดแม่นาใส่ให้เสมอปากบ่อ เพ่ือป้องกันสิ่งปนเปื้อน 7-12 เมตร หรือลึกถึงชันหินอุ้มนา ทังนีขึนอยู่ความเหมาะสมกับสภาพ
ทมี่ ากบั นาลงสบู่ อ่ และง่ายต่อการดูแลรกั ษา
พืนทแี่ ละความต้องการ
35
ธนาคารนา้ ใตด้ นิ ในเขตภาคเหนอื ตอนลา่ งของประเทศไทย
อบต.วังหามแห อ้าเภอขาณวุ รลกั ษบรุ ี จังหวดั ก้าแพงเพชร
เป้าหมาย
ช่วยรักษาสมดุลของระดับนาใต้ดิน มีการกระจายตัวอย่างทั่วถึง สามารถแก้ปัญหา
นาท่วมขงั ในฤดูฝนและภัยแลง้ ในช่วงแล้งได้เป็นอย่างดเี กษตรกรสามารถขุดเจาะบ่อ
หรอื บ่อนาบาดาลเพือ่ นานาขนึ มาใช้ในพนื ทีไ่ ด้อยา่ งเพยี งพอ
การมสี ่วนร่วมและบทบาทของผูม้ สี ว่ นได้สว่ นเสีย
(ผใู้ ช้ท่ดี นิ ระดบั ทอ้ งถิ่น หรือชุมชนระดบั ทอ้ งถิ่น/ครู เด็กนกั เรยี น หรอื นักศึกษา/
ภาคเอกชน /รัฐบาลระดับท้องถ่นิ )
การรเิ ร่มิ หรือการจูงใจ เกดิ ปญั หาภยั แล้ง ขาดแคลนนาทาการเกษตรในหนา้ แลง้ และ
ยงั เกดิ นาท่วมขงั ในชว่ งฤดนู าหลากเปน็ ประจา
การวางแผน ไปอบรมดงู านที่อบต.เก่าขาม และได้รับความรเู้ กยี่ วกับธนาคารนาใต้ดิน
ระบบบอ่ เปดิ และบ่อปดิ นามาปรับใช้ในพนื ที่
การด้าเนินการ ทาธนาคารนาใตด้ ินระบบบ่อเปดิ โดยเร่ืมจากการขุดหลมุ ทพี่ ืนบอ่ เกา่ ของ
กรมพฒั นาทด่ี ิน (พ.ด.) จากเดมิ 3 เมตร ให้ลกึ เปน็ 8 เมตร จานวน 3 หลมุ (ในทศิ เหนอื
ตะวนั ออกและตะวนั ตก)
การตดิ ตามตรวจสอบหรอื การประเมินผล ตรวจสอบปริมาณนาทีไ่ ดจ้ ากบอ่ ทด่ี าเนนิ การ
ไวใ้ นชว่ งฝน พบว่ามปี ริมาณนาเหลอื มากพอสาหรับใช้ในชว่ งแล้ง
อน่ื ๆ เริ่มระดมกาลังและงบประมาณในการทาธนาคารนาใต้ดินระบบบ่อเปดิ และบ่อปดิ โดย
ปี 2561 มีจานวนมากกวา่ 15,000 บ่อ และมนี โยบายจากนายอาเภอ ใหท้ กุ หม่บู ้านมกี ารทา
ธนาคารนาใตด้ ินระบบบอ่ ปิดอยา่ งนอ้ ย 1 จุดตอ่ เดอื น
จุดดแแขข็ง:ง็ :มุมมมุ อมงอของงขผอู้ใชงผท้ ี่ด้ใู ชิน้ทีด่ นิ
•ปอ้ งปก้อันงนกานั ทนว่ ามทแ่วลมะแภลยั ะแภลยั ง้ แทลาง้ ใทหา้มใีปหร้มมิ ีปารณิมนาาณพนอาเพพอยี เงพกียับงกกาับรกเกาษรเตกรษตร
• สามสาารมถาขรยถาขยยเวาลยาเวแลลาะแพลนื ะทพใ่ี ืนนทก่ใีานรกเพาาระเพปาละกู ปอลอูกกอไอปกไดไป้อไกี ด้อผกีลผลติ
ทางกาผรลเกผษลติตทรเาพงมก่ิาขรึนเกทษังต้ ปรรเพิมมิ่าณขนึ แทลงัะปครุณิมภาณาพและคุณภาพ
•เกษเตกรษกตรรมกอี รามชอี พี าทชม่ี ีพน่ั ทค่ีมงนั่ รคางยรไดาย้แไลดะ้แฐลาะนฐะาดนีขะึนดีขึน
•ทาใทหา้สใภหา้สพภแาวพดแลวอ้ ดมลแ้อลมะแคลณุ ะภคาณุ พภชาีวพิตชดวี ีขติ นึ ดกีขวึน่ากเดวมิ่าเดมิ
จดุ ด้อย/ข้อเสยี /ความเสย่ี ง:มุมมองของผูใ้ ช้ท่ดี ิน แกไ้ ขปัญหาไดอ้ ยา่ งไร
ตอ้ งใชง้ บประมาณค่อนข้างมากในการจดั ตงั ธนาคารนาใต้ดนิ รวมถึงการ ควรมีนโยบายของรัฐบาลท่จี ะให้งบประมาณอย่างต่อเนื่องเพื่อสนบั สนุน
นาไปใช้ และขยายไปสู่ผ้อู ืน่ กจิ กรรมนี
เกษตรกรท่ีจัดทาธนาคารนาใต้ดนิ ควรรแู้ ละเขา้ ใจเทคโนโลยีนคี ่อนขา้ งดี ควรจดั อบรม / ประชมุ เชิงปฏบิ ตั กิ ารสาหรบั เกษตรกรในและรอบๆ
การเติมนาลงส่รู ะดับนาใต้ดนิ โดยตรงอาจสง่ ผลให้เกดิ การปนเปือ้ นสารเคมี เครือขา่ ยนี
ในนาบาดาลได้ (ระบบบ่อเปดิ ) ควรใหค้ วามรู้ ดูแล และระมัดระวงั เรอื่ งการใช้สารเคมใี นพนื ท่ีท่ีทาธนาคาร
การใช้ยางรถยนต์ และขวดนาพลาสตกิ เป็นวสั ดุทีใ่ ชใ้ นระบบบ่อปิด อาจ นาใตด้ นิ
เกิดการย่อยสลายสารพิษลงในระดับนาใต้ดินได้ซ่ึงอาจไม่เหน็ ผลในตอนนี วสั ดุทใ่ี ช้ในระบบบอ่ ปดิ ควรเปน็ วสั ดทุ ยี่ อ่ ยสลายชา้ และเปน็ วสั ดุตาม
เพราะความลกึ ของระบบบ่อปดิ ยังอยเู่ หนือระดับชัน้ ดินเหนียว ธรรมชาติ เชน่ หินกอ้ นใหญ่
คณุ ภาพนาใตด้ ินมคี วามสาคญั มาก ดังนนั การตรวจสอบคณุ ภาพนา
อย่างสม่าเสมอจงึ เปน็ ส่งิ จาเป็น ควรมีการตรวจเช็คคุณภาพนาและผลกระทบจากการทาธนาคารนาใต้ดนิ
ทังสองระบบอย่างต่อเนื่อง
เอกสารฉบบั เต็มหัวขอ้ ท่ี 24 ธนาคารน้ำใตด้ ิน: การเติมนำ้ ลงสรู่ ะดับนำ้ ใตด้ นิ และกักเกบ็ นำ้
ใตด้ ินในเขตภาคเหนือตอนลา่ งของประเทศไทย 36
จากหนังสือ 37 เทคโนโลยีเพื่อการจัดการดินอย่างย่ังยนื
อสิ รยิ า มีสงิ ห์
กองวจิ ยั และพฒั นาการจดั การท่ีดนิ
การทาบอ่ เบา้ ขนมครกเกบ็ กกั น้าเปน็ วธิ ีการขดุ บ่อนา้ หรือสระน้า
รปู สี่เหลี่ยมสาหรับเก็บกักน้าในชว่ งฤดฝู น เพ่ือปอ้ งกันการขาดน้าใน
พ้ืนทีใ่ ห้สามารถทาการเกษตรในช่วงฤดูแลง้ ได้
การขุดบอ่ จะขดุ ในแนวดิ่ง ไมม่ คี วามลาดชัน เมอ่ื ขุดเสร็จแล้ว
นาโคลนดินเหนียวมาฉาบรอบบ่อ เพื่อป้องกันการรั่วซึมของน้า
ด้านบนขอบบ่อจะปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของดิ น
วธิ กี ารนีเ้ หมาะสาหรบั พ้ืนท่จี ากดั หรอื พ้ืนทีข่ นาดเล็ก
ธนาคารกักเกบ็ น้าใน ความหลากหลายของพชื เม่ือมีการขุดเบา้ ขนมครกแล้วเกษตรกรได้ปรบั เปล่ียน
พนื้ ทกี่ ารเกษตรขนาดเล็ก จากการทาเกษตรเชงิ เด่ียวมาทาเกษตรผสมผสาน ช่วยสร้าง
รายได้ใหก้ ับสมาชกิ ในชุมชน และเปน็ การขยายผลแนวคดิ วิถี
ชีวิตแบบพอเพยี ง
บ้านทุ่งกระโปรง ตาบลป่าขะ อาเภอบ้านนา จังหวัด
นครนายก เริ่มดาเนินการขุดบ่อเบ้าขนมครกเมื่อ พ.ศ. 2536
โดยผู้นาชุมชน 7 ครัวเรือน ได้ขุดบอ่ เบ้าขนมครกจานวน 7 บอ่
เพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้าไว้ใช้ทาการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง
ปจั จุบนั มบี ่อเบา้ ขนมครกในชุมชนรวมทั้งสน้ิ 87 บอ่ ค่าใช้จ่าย
ในการขดุ บอ่ เบา้ ขนมครกประมาณ 6,000 บาท/บ่อ
บทสรปุ
จุดแข็ง จุดออ่ น วธิ ีแก้ปญั หา
ใช้ตน้ ทนุ ต่า ทาให้ผลผลติ และรายไดเ้ พ่มิ ข้ึน บอ่ น้าต้องได้รบั การดแู ลรักษา ขุดลอกตะกอนดนิ
เป็นตน้ แบบทดี่ ใี นการจัดการนา้ สามารถนาไป อาศยั ประสบการณ์และ จัดการถ่ายทอดความรู้
ขยายผลในพน้ื ทอ่ี ื่นๆได้ ความชานาญในการ ใหก้ ับสมาชกิ
หาทางน้าใตด้ ินหรือตานา้
เกษตรกรมบี อ่ น้าขนาดเลก็ ไวใ้ ช้ทางการเกษตร
เนอ้ื หาฉบับเตม็ หัวข้อที่ 25 การขดุ บอ่ เบา้ ขนมครกกักเกบ็ น้า 37
: ธนาคารกักเก็บนา้ ในพนื้ ทีก่ ารเกษตรขนาดเลก็
จากหนงั สอื 37 เทคโนโลยแี ละการขยายผลการจัดการท่ีดนิ อยา่ งย่งั ยนื
ปี พ.ศ. 2536 เกษตรกรในพื้นที่ดินเปรี้ยว ลกั ษณะและขนาดลาประโดง
ตำบลศรีษะกระบือ อำเภอองครักษ์ จังหวัด
นครนำยก ใช้ลำประโดงร่องน้ำควบคุมดิน - คนู ำ้ กว้ำง 50-100 ซม. มีควำมลกึ ประมำณ 30-50 ซม.
เปรี้ยวเพื่อปลูกข้ำวในพื้นที่ดินเปรี้ยวจัด - คนั คบู งั คับนำ้ 2 ดำ้ น ด้ำนที่ติดแปลงนำกว้ำง 50-100 ซม.
และได้ใช้สืบทอดกันมำหลำยสิบปีจนถึง สงู จำกพนื้ นำข้ำว 30-50 ซม. คันคูอกี ด้ำนหนง่ึ อำจดัดแปลง
ปัจจุบัน วิธีกำรทำโครงสร้ำงลำประโดง เป็น เปน็ ทำงลำเลยี งวัสดอุ ปุ กรณ์กว้ำง 1.9-2.5 เมตร
กำรขุดคูบังคับน้ำ ประกอบด้วย คูน้ำและคัน
บงั คบั นำ้ 2 ด้ำน คือ ด้ำนติดแปลงนำ อีกด้ำน
หนึ่งดัดแปลงพื้นที่เป็นเส้นทำงขนย้ำยวัสดุ
อปุ กรณ์ และผลผลติ ขำ้ วจำกแปลงได้
วิธีการควบคุมบังคับน้า
ทานาครง้ั ที่ 1 สบู นำ้ เข้ำนำดำ้ นหัวแปลง
เพ่อื ชะล้ำงควำมเปร้ียวของดนิ แล้วระบำยนำ้
ออกด้ำนทำ้ ยแปลงลงสคู่ ูนำ้ ที่ขดุ เตรียมไว้
และเขำ้ สู่ข้ันตอนกำรจดั กำรดินน้ำและปลกู
ขำ้ วจนเกบ็ เก่ยี ว
***ทาการสลบั สบู นา้ เขา้ หวั นา-ทา้ ยนา ทานารอบต่อไป สูบนำ้ เข้ำนำด้ำนท้ำยแปลงและระบำยนำ้
ก่อนเริม่ ฤดูกาลเพาะปลกู ตอ่ ไป*** ออกดำ้ นหัวแปลงลงสูค่ ูน้ำ และเขำ้ ส่ขู ้นั ตอนกำรจัดกำรดนิ น้ำ
และปลกู ข้ำวต่อไป
ประโยชน์จากการใช้ลาประโดง 38
1. แปลงนำมสี ภำพดินท่ีดีขน้ึ ตน้ ขำ้ วเจรญิ เติบโตไดด้ ี ผลผลิตขำ้ วเพิ่มสูงขึ้น
2. ช่วยลดต้นทนุ กำรใชแ้ รงงำน สะดวกต่อกำรขนย้ำยวสั ดุอปุ กรณต์ ่ำงๆ เข้ำสู่แปลงนำ
3. เป็นเสน้ ทางขนยา้ ยผลผลติ ขา้ วออกจากแปลงนา
4. เพิ่มรำยได้จำกกำรปลูกพืชระยะสน้ั บนแนวคนั บงั คบั นำ้
เอกสำรฉบับเต็มหวั ขอ้ ที่ 26 คูบงั คับนำ้ -ลำประโดงรอ่ งนำ้ ในพ้ืนท่ีดินเปรยี้ วจดั
จำกหนังสอื 37 เทคโนโลยเี พอ่ื กำรจัดกำรดนิ อยำ่ งย่งั ยืน
กองวจิ ยั และพฒั นาการจดั การท่ดี นิ
39
เอกสารฉบบั เตม็ หวั ข้อที่ 27 การผลติ ผกั อนิ ทรียใ์ นโรงเรอื นบนพ้นื ท่สี งู ทางภาคเหนือของประเทศไทย 40
จากหนังสือ 37 เทคโนโลยเี พื่อการจดั การดนิ อยา่ งยง่ั ยืน
กองวิจยั และพฒั นาการจัดการที่ดิน
เอกสารฉบบั เตม็ หัวข้อท่ี 28 วถิ ีปลูกผกั อินทรีย์ ณ บา้ นเมอื งอาง ภายใต้การส่งเสริมของมูลนิธโิ ครงการหลวงการปลูกผักอนิ ทรีย์ในโรงเรอื น 41
จากหนงั สอื 37 เทคโนโลยีเพอื่ การจัดการดนิ อยา่ งยง่ั ยืน
เเทพคื่อโปนรโลับยปีกรุงารบใำชรถุงาดนินชีวภาพ
บรรเจิดลกั ษณ จนิ ตฤทธิ์
กองวจิ ัยและพฒั นาการจดั การท่ีดิน
ถา นชวี ภาพ (Biochar) เหงา มนั สำปะหลงั
วสั ดทุ ป่ี ระกอบดว ยคารบ อนประมาณ 77% โดยนำ้ หนกั พน้ื ผวิ ของไบโอชารด ว ยกลอ งจลุ ทรรศ
ไดจ ากการใหค วามรอ นมวลชวี ภาพ (Biomass) ทำให อเิ ลค็ ตรอนกำลงั ขยาย 500x
ถา นทไ่ี ดม ปี ระจไุ ฟฟา และความพรนุ สงู ดว ยกระบวนการ ซงั ขา วโพด วสั ดเุ หลอื ใชท างการเกษตร
ทน่ี ำมาทำถา นชวี ภาพได
แยกสลายดว ยความรอ น (Pyrolysis)
พน้ื ผวิ ของไบโอชารด ว ยกลอ งจลุ ทรรศ ฟางขา ว
เปน กระบวนการทท่ี ำใหส ารประกอบอนิ ทรยี ข นาดใหญ อเิ ลค็ ตรอนกำลงั ขยาย 2,500x เปลอื กทเุ รยี น
แตกออกเปน โมเลกลุ ทม่ี ขี นาดเลก็ ลงภายใตบ รรยากาศ
500OC 700OC
แยกสลายอยา งเรว็ แยกสลายอยา งชา
แบบไรอ อกซเิ จน ใชไ ดท ่ี 2 อณุ หภมู ิ
ประโยชนข องถา นชวี ภาพ ไดถ า นชวี ภาพ ใชเ วลาระยะสน้ั กวา
มากกวา 50 %
1 ปรบั ปรงุ บำรงุ ดนิ และเพม่ิ ผลผลติ ชว ยกกั เกบ็ คารบ อนในดนิ CO2
ชว ยกกั เกบ็ นำ้ และธาตอุ าหาร 3 ลดการปลอ ย CO2 ขน้ึ สบู รรยากาศ
ชว ยดดู ซบั และเปน ทอ่ี ยอู าศยั
2 เพม่ิ การยดึ เหนย่ี วธาตอุ าหาร 4 ของจลุ นิ ทรยี ท เ่ี ปน ประโยชนใ นดนิ
ทเ่ี ปน ประโยชนใ นดนิ
5 ชว ยลดตน ทนุ การผลติ
วธิ แี ละอตั ราการใช ลดคา ใชจ า ยทางการเกษตร
นำถา นชวี ภาพไปยอ ย สำหรบั การปลกู พชื ในกระถาง
ขนาดไมเ กนิ 1 เซนตเิ มตร ใชอ ตั ราสว นถา นชวี ภาพ 1:10 สว นของดนิ ปลกู
ผสมถา นชวี ภาพลงไปในดนิ
อตั ราสว นตอ พน้ื ท่ี 1 กโิ ลกรมั : 1 ตารางเมตร
ขอ เสนอแนะ
เนอ่ื งจากถา นชวี ภาพไมใ ชป ยุ จงึ มคี วามจำเปน ตอ งใชร ว มกบั ปยุ เคมหี รอื ปยุ อนิ ทรยี การใชถ า นชวี ภาพเพยี งอยา งเดยี ว
อาจไมท ำใหผ ลผลติ เพม่ิ ขน้ึ ดงั นน้ั ควรผสมธาตอุ าหารพชื ลงไปดว ย อาทิ เชน ปยุ เคมี ปยุ หมกั หรอื นำ้ หมกั ชวี ภาพ
ซง่ึ อตั ราขน้ึ อยกู บั ความตอ งการธาตอุ าหารของพชื แตล ะชนดิ ทม่ี า : นายพันธุศักดิ์ โกเมศ (เกษตรกร)
: นางสาวบรรเจิดลักษณ จนิ ตฤทธ์ิ, นางสาวนสิ ดุ า ทองคำพันธ, 42
เอกสารฉบับเตม็ หัวขอ ท่ี 29 เทคโนโลยีการใชถ านชวี ภาพเพ่ือปรับปรุงบำรุงดิน นายนันทภพ ชลเขตต (ผรู วบรวมขอมูล)
จากหนังสอื 37 เทคโนโลยีเพอื่ การจัดการดนิ อยา งยง่ั ยืน
ศูนย์ถา่ ยทอดเทคโนโลยกี ารเล้ียงหมหู ลุมอนิ ทรยี ์วถิ ีชมุ ชน
ความเข้มแขง็ ของวสิ าหกิจชุมชนกลมุ่ หมูหลุมอนิ ทรยี ์ตาบลดอนแร่
อาเภอเมอื ง จังหวัดราชบุรี เกษมศรี มานิมนต์
กองวจิ ัยและพัฒนาการจัดการทดี่ นิ
ศูน ย์ถ่ายทอดเทคโ น โลยีการ เล้ียง หมูหลุม วิธกี ารดาเนินงาน
เป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดความรู้ ระหว่างเกษตรกรที่
ประสบความสาเร็จจากการเล้ยี งหมูแบบหลมุ กับเกษตรกรท่ี การศึกษา จดั การฝึกอบรม
สน ใจทั่ว ไ ป โ ดยมุ่ง เน้น ก าร ใช้เทคโ น โ ลยีชีว ภาพ และดงู าน
ไม่ทาลายสิ่งแว ดล้อม ให้ความปลอดภัยต่อผู้ผลิต นอกสถานท่ี การสร้าง
และผู้บริโภค ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงหมูหลุมจึง เครอื ขา่ ย
เป็นแหล่งสร้างโอกาส และอาชีพทางเลือกให้มีรายได้ท่ี
ม่ันคงแก่เกษตรกร ซ่ึงเป็นผลจากการจัดการที่ดินอย่างมี
ประสิทธิภาพ และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการจัดการ
ให้ศูนย์ฯ ขับเคลื่อนพัฒนาอย่างต่อเน่ือง จึงได้ร่วมกัน การขอรับการสนับสนุน
จากหน่วยงาน
กาหนดวิธีการและขั้นตอนดาเนินงาน พร้อมร่วมกัน
วิเคราะห์สถานการณ์ เพื่อพัฒนา ปรับปรุงให้กลุ่มดาเนิน
กจิ กรรมตามเป้าหมายจนประสบความสาเรจ็
ขัน้ ตอนการดาเนินงาน Facebook ประธานกล่มุ ฯ
1 ศึกษา ดูงาน อบรมทง้ั ในและนอกสถานท่ี
2 ถา่ ยทอดความรู้แก่เกษตรกรผ้สู นใจ เพ่ือสร้างเครอื ข่าย
3 จัดต้งั ศูนยถ์ ่ายทอดเทคโนโลยีการเลยี้ งหมูหลมุ
4 ถา่ ยทอดความรู้ด้วยวธิ ีการลงมือปฏิบตั ิจรงิ
5 ประชาสมั พนั ธ์ เผยแพร่ เช่น แผ่นพบั วิดีโอ ฯลฯ
6 สรา้ งเครอื ขา่ ยแลกเปลีย่ นประสบการณ์
การประสานกับหนว่ ยงานตา่ งๆในพ้ืนท่ี
7 เพอื่ ขอการสนบั สนนุ
43
จุดแข็ง : จุดอ่อน :
1. ทาเลท่ตี ั้งเหมาะสม 1. บางช่วงเวลา มีวัตถุดบิ ไมเ่ พยี งพอ
2. ไมท่ าลายส่ิงแวดลอ้ ม 2. ระยะเวลาการเล้ียงนาน
3. เป็นท่ียอมรบั ของชุมชน 3. ตลาดรับซอ้ื อย่ใู นวงแคบ
4. ผลิตภณั ฑ์ปลอดสารเคมี 4. ราคาไมแ่ ตกต่างจากหมทู ่ัวไป
5. ไดร้ บั ความสนใจมากขึ้น 5. รปู แบบบรรจุผลติ ภณั ฑไ์ มท่ นั สมัย
6. สมาชิกกลุม่ เขม้ แข็ง 6. ขาดรูปแบบท่ีเปน็ มาตรฐาน
แรงสนบั สนนุ ของกลุ่ม: การวเิ คราะห์
สถานการณก์ ลุ่ม
การปรบั ปรงุ แกไ้ ข:
1. มหี น่วยงานภาครัฐ 1. สง่ เสริมปลกู พืชอาหารสัตวเ์ พ่มิ ขึ้น
ให้การสนับสนนุ ปัจจยั ตา่ งๆ อาทิ การอบรม 2. ปรับวธิ กี ารเลีย้ งใหใ้ ช้เวลานอ้ ยลง
ถา่ ยทอดความรู้ การสนบั สนุนปัจจยั การผลิต 3. หาชอ่ งทางตลาดออนไลน์
2. หนว่ ยงานเอกชน ชว่ ยเหลือด้านการตลาด 4. ยกระดับผลติ ภัณฑ์ใหม้ คี ณุ ภาพ
รับซ้ือผลติ ภณั ฑจ์ ากกลุ่มสมาชิก 5. พัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑใ์ หท้ ันสมัย นา่ สนใจ
และประชาสัมพันธ์ใหเ้ ปน็ ทีร่ ู้จัก 6. ขอรบั การสนับสนุนจากเจ้าหนา้ ที่ ท่ีเกีย่ วข้อง
เพอ่ื ขอคาแนะนาอย่างเหมาะสม
สมาชกิ ภายในกลุ่ม มคี วามเข้มเขง็
มีการแลกเปลยี่ นเรียนรู้ ช่วยเหลือกนั
3 หนว่ ยงานภาครัฐให้ความสนใจ
และพรอ้ มสนบั สนนุ ใหก้ ลุ่มฯ
ผลติ ภัณฑ์จากกลุ่มฯ 2 ความสาเรจ็ ทเี่ กดิ ขึ้น 4 ผลิตไดต้ ามมาตรฐาน
ได้รบั ความสนใจมากข้นึ
กลมุ่ ฯ เป็นท่ี 5 เปน็ แหลง่ ศึกษา เรยี นรู้
และเผยแพร่การเลย้ี งหมูหลมุ
1ยอมรบั ของชมุ ชน
เน้ือหาฉบบั เต็มหวั ข้อท3่ี 0 ศนู ย์ถา่ ยทอดเทคโนโลยีการเลย้ี งหมูหลมุ 44
จากหนงั สือ 37 เทคโนโลยแี ละการขยายผลการจัดการทด่ี นิ อย่างยั่งยนื
45