แผนการจัดการเรียนรู้ ชุดภาษาพาที แผนท่ี ๑
กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี ๖
บทที่ ๑๓ หนง่ึ ในประชาคม เวลา ๗ ชั่วโมง
หัวข้อเรื่อง คําศัพท์ที่ในบทเรียน เวลา ๑ ช่ัวโมง
วันท่ี ....................................... ผู้ใช้แผน ................................
สาระท่ี ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความรู้และความคดิ เพ่ือนาํ ไปใช้
ตดั สินใจแกป้ ัญหาในการดาํ เนินชีวิต และมนี ิสัยรักการอา่ น
๑. สาระสําคญั
๑.๑ ความคิดรวบยอด
การอ่าน การเขียนและเรียนรู้คาํ คาํ ยากไดจ้ ะช่วยใหก้ ารอา่ นเร่ืองราว เน้ือหาใน
บทเรียนไดด้ ี ถือเป็นการพฒั นาทกั ษะทางภาษาที่ผูเ้ รียนควรไดร้ ับการฝึกฝน เพือ่ พฒั นา
ทกั ษะการอา่ นคาํ คาํ ยากและใชค้ าํ ให้ถกู ตอ้ ง จะทาํ ใหก้ ารเรียนรู้ภาษาเป็นไปดว้ ยดีและ
เกิดการพฒั นาตามมา
๑.๒ สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน
- ความสามารถในการส่ือสาร
- ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ
๒. ตัวชีว้ ัด
มาตรฐาน ท ๑.๑ ป.๖ / ๒ อธิบายความหมายของคาํ ประโยคและขอ้ ความ
ทีเ่ ป็นโวหาร
๓. จุดประสงค์การเรียนรู้
๓.๑ นกั เรียนอา่ นคาํ ศพั ทย์ ากไดถ้ กู ตอ้ ง
๓.๒ นกั เรียนบอกความหมายของคาํ ในบทเรียนได้
๓.๓ นกั เรียนใชค้ าํ ไดถ้ ูกตอ้ งตามบริบท
๔. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
๔.๑ รักความเป็นไทย
๔.๒ ใฝ่ เรียนรู้
๔.๓ มีจิตสาธารณะ
๔.๔ มวี ินยั
๔.๕ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
๕. สาระการเรียนรู้
๕.๑ สาระการเรียนรู้แกนกลาง
๏ การอ่านออกเสียงและการบอกความหมายของบทร้อยแกว้ และบทร้อยกรอง
ประกอบดว้ ย
ขอ้ ความทเ่ี ป็นโวหารตา่ งๆ
สาํ นวนเปรียบเทยี บ
๕.๒ สาระการเรียนรู้ย่อย
๏ ความหมายของคาํ
๏ การใชค้ าํ
๖. ชิ้นงาน / หลักฐานร่องรอยแสดงความรู้
๖.๑ การทาํ ใบงาน
๖.๒ การทาํ แบบทดสอบก่อนเรียน
๖.๓ แบบบนั ทึกผลการประเมนิ
๗. กจิ กรรมการเรียนรู้
๗.๑ นกั เรียนทาํ แบบทดสอบก่อนเรียน บทที่ ๑๓ หน่ึงในประชาคม( ทา้ ยแผน )
จาํ นวน ๒๐ ขอ้ เสร็จแลว้ ครูตรวจสอบและประกาศผลเป็นคะแนนตามจาํ นวนขอ้ ที่ทาํ ถูก
โดยท่ยี งั ไมต่ อ้ งเฉลย
๗.๓ แบ่งนกั เรียนออกเป็ นกลมุ่ กลุ่มละ ๔ – ๕ คน จากน้นั ให้นกั เรียนแตล่ ะ
กลมุ่ เล่นเกม “ แข่งขนั เขยี นคาํ ” ซ่ึงวธิ ีการเลน่ อยทู่ า้ ยแผน
๗.๒ ครูใชบ้ ตั รคาํ ชูให้นกั เรียนดแู ละฝึกอ่านเพือ่ อธิบายความหมายของคาํ ว่า
“ ครุฑ บตุ รา บุตรี บหุ งา บุหลนั ปฏิญญา พาสปอร์ต วิสยั ทศั น์ วซี ่า สมั ฤทธ์ิ องคก์ ร
อุปมา ” ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุ่มช่วยกนั หาความหมายจากพจนานุกรมและส่งตวั แทนอธิบาย
ความหมายของคาํ เหลา่ น้ี
๗.๓ ใหน้ กั เรียนแต่ละกล่มุ หารูปภาพทีต่ รงกบั คาํ และคน้ หาความหมายของคาํ
เหล่าน้ีเป็นการบา้ น นาํ มาเฉลยกนั ในชวั่ โมงตอ่ ไป
๗.๔ นกั เรียนทาํ ใบงานที่ ๑ ( ทา้ ยแผน ) ชุด เขยี นคาํ อ่านของคาํ ทีก่ าํ หนดให้
จากคาํ ที่กาํ หนดให้ จากน้นั นาํ ส่งครู ครูเฉลยและตรวจสอบความถูกตอ้ ง
๗.๕ นกั เรียนทาํ ใบงานท่ี ๒ ( ทา้ ยแผน ) ชุดเขยี นความหมายของคาํ ทก่ี าํ หนดให้
เสร็จแลว้ ครูเฉลย นกั เรียนแลกเปล่ียนกนั ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
๘. ส่ือ / แหล่งเรียนรู้ / บุคคล
ลําดบั ท่ี รายการสื่อ กจิ กรรมท่ีใช้ แหล่งท่ีได้มา
๑
๒ เกม “ แข่งขนั เขียนคาํ ” นกั เรียนเลน่ เกม ครูจดั เตรียม
๓ ใบงาน ชุดที่ ๑ – ๒ นกั เรียนทาํ ใบงาน ครูจดั ทาํ
๔ บตั รคาํ นกั เรียนฝึกทกั ษะการอ่าน ครูจดั ทาํ
หนงั สือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน นกั เรียนอ่านเรื่อง ครูจดั ทาํ
๕ ภาษาไทย ชุดภาษาเพ่อื ชีวิต
๖ ภาษาพาที ช้นั ป.๖ สร้างกฎของการประเมิน ครูจดั ทาํ
เกณฑก์ ารประเมนิ ( Rubric ) บนั ทกึ การสังเกตพฤตกิ รรม และ ครูจดั ทาํ
แบบประเมนิ การสงั เกต บนั ทึกผลงานรายบคุ คล
พฤติกรรม และแบบ
ประเมินผลงานรายบุคคล
๙. วัดผลประเมินผล เครื่องมือทใี่ ช้ใน วิธีการประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ
การประเมิน
กจิ กรรมทป่ี ระเมนิ แบบประเมินการสงั เกต สงั เกตรายบุคคล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๑. สงั เกตพฤติกรรมดา้ น พฤตกิ รรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมินผลงาน ๕ = พอใช้
คุณลกั ษณะอนั พงึ ต่าํ กวา่ ๕ = ปรับปรุง
ประสงค์
๒. นกั เรียนรายงานหนา้ ช้นั แบบประเมนิ การสงั เกต สงั เกตรายกลุ่ม ๘ - ๑๐ = ดีมาก
พฤตกิ รรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมินผลงาน
๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรับปรุง
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน แบบประเมินการสงั เกต ตรวจงานรายบุคคล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
ชุดที่ ๑ พฤตกิ รรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมนิ ผลงาน
๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
๔. นกั เรียนทาํ ใบงาน แบบประเมินการสังเกต ตรวจงานรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
ชุดที่ ๒ พฤติกรรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมินผลงาน
๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรับปรุง
๕. นกั เรียนทาํ แบบทดสอบ แบบประเมนิ การสงั เกต ตรวจงานรายบคุ คล ๑๗ - ๒๐ = ดีมาก
ก่อนเรียน พฤติกรรม และแบบ ๑๓ – ๑๔ = ดี
ประเมินผลงาน ๑๑ – ๑๒ = พอใช้
ต่าํ กวา่ ๑๑ = ปรบั ปรุง
การประเมนิ ด้านทกั ษะ / กระบวนการ
ประเดน็ การประเมนิ เกณฑ์การให้ระดบั คะแนน
ดี (๒) พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดไ้ ม่
ทักษะการ สรุป ใจความครบถว้ น ใจความเกือบครบถว้ น กระชบั ใจความและไม่
เนือ้ หา สามารถสื่อใหผ้ ูอ้ ืน่ เขา้ ใจ สามารถส่ือให้ผอู้ นื่ ครบถว้ น สามารถส่ือ
ไดง้ า่ ย เขา้ ใจได้ ให้ผูอ้ ื่นเขา้ ใจไดน้ อ้ ย
สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพดู รายงานไดด้ ี
พดู เสียงดงั ฟังชดั ได้ พูดน้าํ เสียงชดั เจน พูดน้าํ เสียงไมช่ ดั เจน ไม่
การรายงานหน้าช้ัน สาระชดั เจน วางบคุ ลิก สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาที่ ค่อยสอดคลอ้ งกบั
ในการพดู ไดด้ ีมาก พดู วางบคุ ลกิ ในการ เน้ือหาท่พี ดู วางบคุ ลิก
พดู ไดด้ ี ในการพดู ไมค่ อ่ ยดี
การปฏบิ ัติงานตาม มีทกั ษะการปฏิบตั งิ าน มกี ารปฏิบตั ิงานตาม ยงั ไม่สามารถ
ข้นั ตอน ตามข้นั ตอน ไดอ้ ยา่ ง ข้นั ตอนไดต้ ามลาํ ดบั ปฏิบตั งิ านตามข้นั ตอน
ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ได้
ความคิดสร้างสรรค์ มีความคดิ สร้างสรรคด์ ี พอมีความคดิ ท่ี ยงั ขาดความคิดท่ี
สร้างสรรคอ์ ยบู่ า้ ง สร้างสรรค์
ความเป็ นระเบียบ มที กั ษะสามารถสร้างงาน สามารถสร้างงานท่สี วน
เรียบร้อยของการทาํ ที่สวยงาม และมคี วาม งามพอใชไ้ ด้ และมี ไม่มีความสวยงาม และ
ใบงาน ประณีตดี ความประณีตใน ไม่ประณีต
บางส่วน
การประเมิน ด้านคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
เกณฑ์การให้ระดบั คะแนน
ประเด็นการประเมนิ ดี (๒) พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
ซื่อสัตย์สุจริต
มีวนิ ัย ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง
ใฝ่ เรียนรู้ ตรงไปตรงมา ยอมรบั ตรงไปตรงมา ไม่ ตรงไปตรงมา ไม่
อย่อู ย่างพอเพยี ง ในขอ้ ผดิ พลาดและ ยอมรับในขอ้ ผิดพลาด ยอมรบั ในขอ้ ผดิ พลาด
มจี ิตสาธารณะ บกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง
พอใจในส่ิงท่ตี นมี พอใจในส่ิงทตี่ นมี ไม่คอ่ ยพอใจในส่ิงทต่ี น
มี
รู้จกั ควบคุมอารมณ์ รู้จกั ควบคมุ อารมณ์ บา้ ง ไมร่ ู้จกั ควบคมุ อารมณ์
ปฏบิ ตั ติ นอยใู่ นระเบยี บ ปฏบิ ตั ติ นอยใู่ นระเบยี บ ปฏิบตั ติ นอยใู่ นระเบยี บ
วินยั แต่งกายถูกตอ้ ง วินยั การแต่งกายไม่ วินยั นอ้ ย ไม่ค่อยแต่ง
ตามระเบียบของ คอ่ ยถูกตอ้ งตามระเบยี บ กายถกู ตอ้ งตามระเบียบ
โรงเรียนตลอดเวลา ของโรงเรียน ของโรงเรียน
มีความมานะมุ่งมนั่ ใน มคี วามมานะมุ่งมนั่ ใน ไม่มีความมานะมงุ่ มนั่
การทาํ งานทีไ่ ดร้ ับ การทาํ งานทไ่ี ดร้ บั ในการทาํ งานท่ีไดร้ บั
มอบหมาย ศึกษา มอบหมาย ศกึ ษา มอบหมาย ไมค่ อ่ ย
คน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง คน้ ควา้ ดว้ ยตนเองเป็น ศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
ทาํ งานเสร็จทนั เวลาและ บางคร้งั ทาํ งานเสร็จ ทาํ งานเสร็จไมท่ นั เวลา
ถกู ตอ้ ง ทนั เวลาเป็นบางคร้ัง
ใชว้ สั ดอุ ปุ กรณก์ ารเรียน ใชว้ สั ดอุ ุปกรณก์ ารเรียน
ทีร่ าคาถูกและใชอ้ ยา่ ง ใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์การเรียน ทรี่ าคาค่อนขา้ งแพงและ
คุม้ ค่าใชจ้ นหมดแลว้ ทร่ี าคาค่อนขา้ งแพงและ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ ใชไ้ ม่
ค่อยซ้ือใหม่ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ ค่าใชจ้ นหมด หมดแลว้ ซ้ือใหม่
มีความเสียสละเพ่อื มคี วามเสียสละเพื่อ ไม่คอ่ ยเสียสละเพ่ือ
ส่วนรวม ไม่เอาเปรียบ ส่วนรวมเป็ นบางคร้ งั ส่วนรวม ชอบเอา
ไมเ่ ห็นแกต่ วั ช่วยเหลอื ไม่เอาเปรียบไมเ่ ห็นแก่ เปรียบคนอื่น ค่อนขา้ ง
หม่คู ณะไดเ้ ป็นอยา่ งดี ตวั ไมค่ อ่ ยช่วยเหลือ เห็นแก่ตวั ไม่ค่อย
หม่คู ณะ ช่วยเหลือหมูค่ ณะ
๑๐. กจิ กรรมเสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
…….………………………………………………………………………………………
………….…………………………………………………………………………………
๑๑. บันทกึ ผลหลงั การสอน
๑๑.๑ ผลการจัดการเรียนการสอน
๑. นกั เรียนจาํ นวน.................... คน
ผา่ นจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คิดเป็นร้อยละ...............
ไม่ผ่านจุดประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คิดเป็นร้อยละ................
๒. นกั เรียนมีความรู้ความเข้าใจ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๓. นักเรียนมีความรู้เกดิ ทกั ษะ
……………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………...
๔. ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๕. เสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .....................................ครูผสู้ อน
(นางสุคนธา ณรงคเ์ ดชา)
วนั ……………เดือน…………………ปี ………………….
ความคิดเหน็ ของผู้บังคับบัญชา
ความคดิ เหน็ หัวหน้ากลุ่มสาระ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงชื่อ ....................................................
(นางกรรณิกา จาํ ปาเต้ยี )
หวั หนา้ กลุ่มสาระภาษาไทย
ความคดิ เหน็ หวั หน้าวชิ าการ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ...................................................
(นางสาวสุพาพร สุพงษ)์
รองผูอ้ าํ นวยการโรงเรียนกล่มุ บริหารวิชาการ
ความคิดเหน็ ผู้อาํ นวยโรงเรียน
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงชื่อ....................................................
(ดร.พิมพน์ ารา เสาวนิตย)์
ผูอ้ าํ นวยการโรงเรียนวดั ชุมพลนิกายาราม
แบบทดสอบ บทที่ ๑๓ หนึ่งในประชาคม
ชีแ้ จง ให้นกั เรียนกาเคร่ืองหมาย ทบั ตวั อกั ษรหนา้ ขอ้ ทถี่ ูกตอ้ ง
๑. นกั เรียนคดิ ว่าบทเรียนเร่ืองหน่ึงในประชาคมตอ้ งการส่ือสาระใดแก่ผูอ้ ่าน
ก. การร่วมมอื กนั ของกลุ่มประเทศอาเซ่ียน
ข. การตดิ ตอ่ คา้ ขายของกลมุ่ อาเซ่ียน
ค. การร่างกฎหมายระหว่างประเทศ
ง. การเป็นมิตรกบั ประเทศเพือ่ นบา้ น
๒. ตะวนั ไปประเทศอินโดนีเชียเพื่อจุดประสงคใ์ ด
ก. ไปทอ่ งเทีย่ ว ข. ไปในโครงการแลกเปลย่ี นนกั เรียน
ค. ไปเยย่ี มญาติ ง. ไปเรียนต่อ
๓. เมอื งหลวงของประเทศอินโดนีเซีย คอื เมอื งใด
ก. กรุงแบกแดด ข. กรุงจาการ์ตา
ค. กรุงยา่ งกุง้ ง. กรุงฮานอย
๔. ธงชาติประเทศอินโดนีเซีย เป็นสีใด
ก. สีแดงขาว ข. สีแดง น้าํ เงิน ขาว
ค. สีแดงมีดาวสีขาวอยกู่ ลาง ง. สีน้าํ เงินมดี าวสีเหลืองอยกู่ ลาง
๕. ชาวอนิ โดมีวฒั นธรรมในการรับประทานอาหารอยา่ งไร
ก. ใชต้ ะเกียบ ข. ใชม้ ีดกบั ส้อม
ค. กินดว้ ยมือ ง. ใชช้ อ้ นกบั ส้อม
๖. เหตใุ ดบา้ นของชาวอินโดนีเซีย จึงไม่นิยมเปิ ดหนา้ ตา่ ง
ก. เพราะอากาศหนาวมาก ข. กลวั ลมเขา้
ค. กลวั พวกหวั ขโมย ง. ตอ้ งการเป็นส่วนตวั
๗. ประเทศใดไม่ใช่สมาชิกกลมุ่ อาเซียน
ก. เมียนมาร์ ข. สิงคโปร์
ค. เวียดนาม ง. ติมอร์-เลสเต
๘. ขอ้ ใดไม่ใช่วตั ถุประสงคใ์ นการรวมกลมุ่ ของอาเซียน
ก. เพ่ือพฒั นาทางดา้ นเศรษฐกิจ
ข. เพือ่ ร่วมกนั ต่อตา้ นการเขา้ มาลงทุนของตา่ งชาติ
ค. เพ่อื เสริมสร้างความมน่ั คงปลอดภยั ทางการเมอื ง
ง. เพอ่ื ส่งเสริมความเขา้ ใจอนั ดีตอ่ กนั ระหวา่ งประเทศ
๙. ประเทศทีเ่ ขา้ มาเป็นสมาชิกกลุ่มอาเซียนลา่ สุดคอื ประเทศใด
ก. อินโดนีเซีย ข. เมยี นมาร์
ค. กมั พชู า ง. เวยี ดนาม
๑๐. ขอ้ ใดเป็นความสาํ คญั ของไทยทมี่ ตี ่ออาเซียน
ก. เป็นผูน้ าํ ในกล่มุ อาเซียน
ข. เป็นหน่ึงในประเทศผูก้ อ่ ต้งั อาเซียน
ค. เป็นทต่ี ้งั ของสาํ นกั งานใหญ่ของอาเซียน
ง. เป็นตวั แทนติดตอ่ คา้ ขายกบั ประเทศตะวนั ตก
๑๑. ขอ้ ใดกล่าวไมถ่ ูกตอ้ ง
ก. มกี ารกาํ หนดเขตการคา้ เสรีในอาเซียน
ข. เศรษฐกิจหลกั ของอาเซียน คือ เกษตรกรรม
ค. อาเซียนมุ่งเนน้ พฒั นาเศรษฐกิจเพียงดา้ นเดียว
ง. สมาชิกอาเซียนคือประเทศในภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้
๑๒. ขอ้ ใดเป็นความร่วมมอื ทางดา้ นสงั คมในอาเซียน
ก. จดั ต้งั เครือขา่ ยมหาวทิ ยาลยั อาเซียน
ข. จดั โครงการแลกเปล่ยี นผูบ้ ริหารประเทศ
ค. ส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ง. ชกั ชวนใหป้ ระเทศต่าง ๆ นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา
๑๓. ขอ้ ใดเป็นประโยชนข์ องการกอ่ ต้งั ประชาคมอาเซียน
ก. เปลย่ี นมาใชเ้ งินตราสกลุ เดียวกนั
ข. ทาํ ใหน้ กั ลงทนุ ไม่กลา้ กกั ตุนสินคา้
ค. มอี าํ นาจในการต่อรองการคา้ กบั ตา่ งชาตเิ พ่มิ ข้นึ
ง. ทาํ ให้ชนพ้นื เมืองมีสิทธิในการลงทุนมากกวา่ ตา่ งชาติ
๑๔. ขอ้ ใดไม่ใช่ประเทศทีเ่ ป็นสมาชิกแรกเริ่มของอาเซียน
ก. มาเลเซีย ข. สิงคโปร์
ค. เมยี นมาร์ ง. ฟิ ลปิ ปิ นส์
๑๕. AFTA เก่ียวขอ้ งกบั ขอ้ ใด
ก. เขตการคา้ เสรี ข. เขตการปกครองพิเศษ
ค. เขตส่งเสริมการท่องเที่ยว ง. เขตพ้ืนทปี่ ลูกพืชเศรษฐกิจ
๑๖. การต้งั อาเซียนกอ่ ใหเ้ กิดผลดีกบั ประเทศใดมากทสี่ ุด
ก. มาเลเซีย ข. ฟิ ลปิ ปิ นส์
ค. ประเทศไทย ง. ทกุ ประเทศท่ีเป็ นสมาชิก
๑๗. คาํ วา่ “ ฟิลม์ ” ไดบ้ ญั ญตั ิศพั ทค์ าํ ใดใชแ้ ทนในภาษาไทย
ก. แถบบนั ทึกเสียง ข. แถบบนั ทกึ ภาพ
ค. แถบบนั ทึกภาพและเสียง ง. แถบบนั ทกึ การฉายภาพยนตร์
๑๘. คาํ วา่ “ ฟรี” ไดบ้ ญั ญตั ศิ พั ทค์ าํ ใด ใชแ้ ทนในภาษาไทย
ก. ไดเ้ ปล่า ข. ไดง้ า่ ย
ค. ไดเ้ ร็ว ง. ไดม้ าก
๑๙. คาํ ใดเป็นทีม่ าจากภาษาบาลี
ก. ทฤษฎี ข. ภรรยา
ค. ปัญญา ง. เกษตร
๒๐. คาํ ใดเป็นคาํ ท่มี าจากภาษาเขมร
ก. อยั กา ข. ชิวหา
ค. ภรรยา ง. บนั ดาล
เฉลยแบบทดสอบ บทที่ ๑๓
๑. ก ๒. ข ๓. ข ๔. ก ๕. ค
๖. ข ๗. ง ๘. ข ๙. ค ๑๐. ก
๑๑. ค ๑๒. ก ๑๓. ค ๑๔. ค ๑๕. ก
๑๖. ง ๑๗. ค ๑๘. ก ๑๙. ค ๒๐. ง
เกม แข่งขนั เขียนคํา
แข่งขนั เขียนคํา
จุดมุ่งหมาย
๑. เพ่ือใหน้ กั เรียนสามารถเขยี นคาํ ศพั ทต์ ่างๆ ไดก้ วา้ งขวางข้นึ
๒. เพ่อื ให้นกั เรียนสามารถเขียนคาํ ศพั ทไ์ ดอ้ ยา่ งรวดเร็ว
ส่ือ
กระดานดาํ ชอลก์ ตวั อกั ษร สระ พยญั ชนะ
วธิ ีดาํ เนนิ กิจกรรม
แบ่งผูเ้ ล่นออกเป็ นหมู่ยอ่ ยหมูล่ ะ ๑๐ – ๑๒ คน ให้ผเู้ ลน่ แตล่ ะหมยู่ นื เขา้ แถวตอน
ห่างจากกระดานดาํ ประมาณ ๓ เมตร ผเู้ ล่นทีอ่ ยหู่ วั แถวของแต่ละฝ่ าย ถือชอลก์ ไวค้ นละ
๑ แทง่ ครูเขียนตวั อกั ษรตวั ใดตวั หน่ึงไวบ้ นกระดานดาํ ให้ตรงกบั แถวของผูเ้ ลน่ แต่ละฝ่ าย
(อกั ษรทีเ่ ขียนน้นั เหมอื นกนั หมดทุกหม)ู่ เมอื่ ไดร้ ับสัญญาณใหเ้ ร่ิมเล่น ผเู้ ล่นคนแรกของ
แต่ละหม่กู จ็ ะรีบว่งิ ไปทกี่ ระดานดาํ และเติมอกั ษรลงไปอกี หน่ึงตวั เม่อื เสร็จแลว้ ให้รีบวิ่ง
กลบั มาทแี่ ถวของตน ส่งชอลก์ ให้คนที่ ๒ คนที่ ๒ กจ็ ะตอ้ งรีบวง่ิ ออกจากที่ไปเขยี น สระ
พยญั ชนะ หรือวรรณยกุ ตก์ ไ็ ดเ้ พียง ๑ อยา่ ง ตอ่ เติมจากคนแรก ขณะเดียวกนั คนทีว่ ิ่งมา
เป็นคนแรกกจ็ ะไปต่อทา้ ยแถวของตน การเล่นจะดาํ เนินไปเช่นน้ีเร่ือยๆ จนกว่าผเู้ ล่นทุก
คนจะไดอ้ อกมาเตมิ อกั ษร ประกอบเป็ นคาํ ให้สมบรู ณ์ ในบางกรณีผเู้ ลน่ บางคนอาจตอ้ ง
ออกมาเขียนอีกรอบหน่ึง ถา้ คาํ น้นั ยงั ไมส่ มบรู ณ์ การแขง่ ขนั จะสิ้นสุดลงต่อเมอ่ื ทกุ คนของ
แต่ละฝ่ายไดอ้ อกมาเขียนประกอบเป็ นคาํ ไดถ้ ูกตอ้ งสมบรู ณ์
การให้คะแนนพิจารณาดังต่อไปนี้
๑. ฝ่ ายใดที่เขียนคาํ ไดเ้ สร็จก่อนและสะกดคาํ ให้ถกู ตอ้ ง จะไดร้ ับคะแนน ๕
คะแนน ในฐานะทีเ่ สร็จกอ่ น ส่วนใดที่มาตอ่ เตมิ จะไดร้ บั คะแนนทลี ะ ๒ คะแนน ถา้ ผูเ้ ลน่
แตล่ ะคนออกมาเขยี นรอบเดียวกไ็ ดค้ าํ ทสี่ มบรู ณ์ เช่น ครูกาํ หนดอกั ษร ก เอาไว้ ผเู้ ลน่ ฝ่ าย
ทเี่ สร็จก่อนมาตอ่ เตมิ กลายเป็น กตัญ�กู ตเวที ดงั น้ัน ฝ่ายทเ่ี สร็จก่อนก็จะได้ ๕ (คะแนน
เสร็จกอ่ น) + ๒๒ (คะแนนทีเ่ ตมิ อกั ษร) = ๒๗ คะแนน โดยทีส่ มมุติในฝ่ายน้ีมผี ูเ้ ลน่ อยู่ ๑๑
คน แต่ละคนมาเติมอกั ษรเพียงคนละคร้ังเดยี วกไ็ ดค้ าํ ทีส่ มบรู ณ์
๒. ฝ่ ายใดทีม่ าเตมิ อกั ษรแลว้ เล่นออกมาไม่ครบคนบา้ ง ออกมารอบสองบา้ ง กจ็ ะ
ไดค้ ะแนนเตมิ แห่งละ ๑ คะแนนเทา่ น้ัน
กลา่ วโดยสรุปก็คอื ไมว่ ่าใครจะทาํ ไดเ้ ร็วหรือชา้ กถ็ อื วา่ ไดค้ ะแนนท้งั ส้ิน จะมาก
หรือนอ้ ยกวา่ กนั เทา่ น้นั ท้งั น้ีเพราะจดุ มุ่งหมายของกิจกรรมน้ี ตอ้ งการส่งเสริมเพม่ิ พนู
ทกั ษะการสะกด ดงั น้นั ในบางคร้ังฝ่ ายที่ทาํ คาํ ใหส้ มบรู ณไ์ ดช้ า้ ทีส่ ุดก็อาจจะมโี อกาสได้
คะแนนสะสมมากท่สี ุดก็ได้ เพราะกิจกรรมน้ีไม่ไดต้ ดั สินท่กี ารแพห้ รือชนะของความเร็ว
หรือชา้ แต่ตดั สินจากคะแนนของคาํ
ข้อเสนอแนะ
กิจกรรมน้ีถา้ เร่ิมดว้ ยพยญั ชนะตวั เดียวเหมาะสาํ หรับเด็กช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี ๑ –
๒ แต่ถา้ จะใชใ้ นระดบั ช้นั สูงข้นึ ครูควรเร่ิมดว้ ยอกั ษร ๒ หรือ ๓ ตวั ข้นึ ไป กจ็ ะช่วย
ส่งเสริมให้นกั เรียนมคี วามคดิ ทางคาํ ศพั ทก์ วา้ งข้นึ อกี
ใบงาน ชุดท่ี ๑
คาํ ชี้แจง ให้นกั เรียนหาความหมายอยา่ งยอ่ ๆของคาํ ทกี่ าํ หนดให้ตอ่ ไปน้ี
ที่ คํา ความหมาย
๑ ครุฑ
๒ บตุ รา
๓ บุตรี
๔ บุหงา
๕ บุหลนั
๖ ปฏญิ ญา
๗ พาสปอร์ต
๘ วิสยั ทศั น์
๙ วีซ่า
๑๐ สัมฤทธ์ิ
๑๑ องคก์ ร
๑๒ อปุ มา
๑๓ อิเล็คทรอนิกส์
๑๔ รูเปี ยห์
๑๕ สุเหร่า
ชื่อ..............................................................เลขท่ี ..................... ช้ัน...............
ใบงาน ชุดที่ ๒
คําชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนนาํ คาํ ทก่ี าํ หนดให้ตอ่ ไปน้ีไปแต่งประโยค
ท่ี คํา ประโยค
๑ ครุฑ
๒ บุตรา
๓ บุตรี
๔ บหุ งา
๕ บหุ ลนั
๖ ปฏญิ ญา
๗ พาสปอร์ต
๘ วิสัยทศั น์
๙ วซี ่า
๑๐ สมั ฤทธ์ิ
๑๑ องคก์ ร
๑๒ อปุ มา
๑๓ อเิ ลค็ ทรอนิกส์
๑๔ รูเปี ยห์
๑๕ สุเหร่า
ชื่อ..............................................................เลขที่ ..................... ช้ัน...............
แผนการจัดการเรียนรู้ ชุดภาษาพาที แผนที่ ๒
กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี ๖
บทท่ี ๑๓ หน่งึ ในประชาคม เวลา ๗ ช่ัวโมง
หวั ข้อเร่ือง การอ่านในใจ เวลา ๑ ช่ัวโมง
วันท่ี ....................................... ผู้ใช้แผน ................................
สาระที่ ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคดิ เพื่อนาํ ไปใช้
ตดั สินใจแกป้ ัญหาในการดาํ เนินชีวิต และมนี ิสัยรักการอา่ น
๑. สาระสําคัญ
๑.๑ ความคดิ รวบยอด
การอ่านในใจคอื การกวาดสายตาไปยงั ขอ้ ความจากหนงั สือ พงุ่ ความสนใจ
ไปยงั สาระท่ีอ่าน แลว้ เก็บใจความสาํ คญั ของเรื่องทอ่ี ่าน สามารถถา่ ยโอนสาระทอี่ ่าน
ไปยงั ผอู้ ื่นไดด้ ว้ ยท้งั พูดและการเขยี น
๑.๒ สมรรถนะสําคัญของผู้เรียน
- ความสามารถในการส่ือสาร
- ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ
๒. ตวั ชีว้ ดั
มาตรฐาน ท ๑.๑ ป.๖ / ๔ แยกขอ้ เทจ็ จริงและขอ้ คดิ เห็นจากเรื่องทอ่ี า่ น
๓. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
๓.๑ อ่านในใจและเกบ็ ใจความสาํ คญั ของเรื่องได้
๓.๒ ถ่ายโอนสาระเรื่องราวที่อา่ นไปยงั ผูอ้ นื่ ได้
๓.๓ นกั เรียนตอบคาํ ถามเร่ืองทีอ่ า่ นได้
๔. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
๔.๑ รักความเป็นไทย
๔.๒ ใฝ่ เรียนรู้
๔.๓ มีจิตสาธารณะ
๔.๔ มวี นิ ยั
๔.๕ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
๕. สาระการเรียนรู้
๕.๑ สาระการเรียนรู้แกนกลาง
๏ การอา่ นจบั ใจความจากสื่อต่างๆ เช่น
เร่ืองส้ัน ๆ
สารคดี - เรื่องส้ัน
งานเขียนประเภทโนม้ นา้ ว
๕.๒ สาระการเรียนรู้ย่อย
๏ การอา่ นในใจ
๏ การจบั ใจความสาํ คญั
๏ การตอบคาํ ถาม
๖. ชิน้ งาน / หลักฐานร่องรอยแสดงความรู้
๖.๑ การทาํ ใบงาน
๖.๒ แบบบนั ทกึ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคแ์ ละผลงาน
๗. กจิ กรรมการเรียนรู้
๗.๑ นกั เรียนอ่านบทร้อยกรองนาํ เร่ือง แลว้ ร่วมกนั สนทนาเก่ียวกบั ความสาํ คญั
ของบทร้อยกรอง ครูสุ่มให้นกั เรียน ๒ – ๓ คน บอกความสาํ คญั ของบทร้อยกรอง
ชมเชยนกั เรียนที่บอกความสาํ คญั ของบทร้อยกรองไดด้ ี
๗.๒ ให้นกั เรียนศึกษาใบความรู้เรื่อง “ การอา่ นในใจ ” ( ทา้ ยแผน ) จากน้นั ครู
อธิบายเพิ่มเตมิ นกั เรียนอ่านในใจบทเรียนเรื่อง “ หน่ึงในประชาคม” ในหนงั สือเรียน
ภาษาไทย ชุด ภาษาพาที ช้นั ป.๖ หนา้ ๑๙๖ – ๒๐๒ ครูต้งั คาํ ถามให้นกั เรียนแข่งขนั กนั
ตอบ ดงั น้ี
นกั เรียนคดิ ว่าเรื่องน้ีมงุ่ ส่ือสาระใดแก่ผูอ้ ่าน
เหตุใดตะวนั จึงไดไ้ ปประเทศอนิ โดนีเซีย
เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย คอื เมอื งใด
หน่ึงในประชาคม หมายถงึ อะไร
ตะวนั ไปพกั อยทู่ ่ีบา้ นใคร
ชนพ้นื เมืองของอินโดนีเซียคือชนกลุม่ ใด
ประเทศอนิ โดนีเซียเก่ียวขอ้ งกบั ไทยอยา่ งไรบา้ ง
สินคา้ พ้นื เมืองทข่ี ้นึ ช่ือของประเทศอินโดนีเซีย คืออะไร
ภาษาประจาํ ชาตขิ องอนิ โดนีเซียคอื ภาษาใด
เหตใุ ดบา้ นของชาวอินโดนีเซีย จึงไม่นิยมเปิ ดหนา้ ตา่ ง
นกั เรียนมีขอ้ คิดอยา่ งไรในการอ่านเร่ืองน้ี
๗.๔ ครูใหน้ กั เรียนดูวดี ิทศั น์เก่ียวกบั ประเทศอินโดนีเซีย ในเร่ือง สถานท่ี
สาํ คญั ขนบธรรมเนียมประเพณี จากน้นั ร่วมกนั สนทนา
๗.๕ นกั เรียนทาํ ใบงานท่ี ๓ ( ทา้ ยแผน ) ชุด ตอบคาํ ถาม จากน้นั นาํ ส่งครู
ครูเฉลยและตรวจสอบความถูกตอ้ ง
๗.๖ นกั เรียนทาํ ใบงานที่ ๔ ( ทา้ ยแผน ) ชุด เขยี นแผนภาพโครงเรื่อง หน่ึงใน
ประชาคมเสร็จแลว้ ครูเฉลยแนวทาง นกั เรียนแกไ้ ขขอ้ ผดิ พลาดของตนเอง
๘. ส่ือ / แหล่งเรียนรู้ / บคุ คล
ลําดับท่ี รายการส่ือ กจิ กรรมที่ใช้ แหล่งท่ีได้มา
๑ พระบรมฉายาลกั ษณ์ ครูใชป้ ระกอบคาํ อธิบาย ครูจดั เตรียม
ใบงาน ชุดท่ี ๓ นกั เรียนทาํ ใบงาน ครูจดั ทาํ
๒ ใบความรู้เร่ือง การอ่านในใจ นกั เรียนฝึกร้องเพลง ครูจดั ทาํ
ใบงาน ชุดท่ี ๔ นกั เรียนทาํ ใบงาน ครูจดั ทาํ
๓ เฉลยใบงาน ตรวจสอบความถูกตอ้ ง ครูจดั ทาํ
เกณฑก์ ารประเมิน ( Rubric ) สร้างกฎของการประเมิน ครูจดั ทาํ
๔ แบบประเมนิ การสงั เกต บนั ทกึ การสังเกตพฤติกรรม และ ครูจดั ทาํ
๕ พฤตกิ รรม และแบบ บนั ทกึ ผลงานรายบคุ คล
๖ ประเมนิ ผลงานรายบุคคล
๗
๙. วดั ผลประเมนิ ผล เคร่ืองมือทใี่ ช้ใน วิธกี ารประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ
การประเมิน
กจิ กรรมที่ประเมนิ แบบประเมนิ การสงั เกต สงั เกตรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๑. สงั เกตพฤตกิ รรมดา้ น พฤติกรรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมนิ ผลงาน ๕ = พอใช้
คุณลกั ษณะอนั พงึ ต่าํ กว่า ๕ = ปรับปรุง
ประสงค์ แบบประเมนิ การสังเกต
๒. นกั เรียนร่วมกิจกรรม พฤตกิ รรม และแบบ สงั เกตรายบุคคล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
ประเมินผลงาน ๖ – ๗ = ดี
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน
ชุดที่ ๓ แบบประเมนิ การสังเกต ๕ = พอใช้
พฤตกิ รรม และแบบ ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน ประเมินผลงาน
ชุดที่ ๔ ตรวจงานรายบุคคล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
แบบประเมนิ การสังเกต ๖ – ๗ = ดี
พฤติกรรม และแบบ
ประเมนิ ผลงาน ๕ = พอใช้
ต่าํ กวา่ ๕ = ปรบั ปรุง
ตรวจงานรายบุคคล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๖ – ๗ = ดี
๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
การประเมิน ด้านทักษะ / กระบวนการ
ประเดน็ การประเมนิ ดี (๒) เกณฑ์การให้ระดับคะแนน
พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดไ้ ม่
ทักษะการ สรุป ใจความครบถว้ น ใจความเกือบครบถว้ น กระชบั ใจความและไม่
เนือ้ หา สามารถสื่อใหผ้ ูอ้ ื่นเขา้ ใจ สามารถส่ือใหผ้ ูอ้ ่ืน ครบถว้ น สามารถส่ือ
ไดง้ ่าย เขา้ ใจได้ ให้ผูอ้ น่ื เขา้ ใจไดน้ อ้ ย
สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพดู รายงานไดด้ ี
พูดเสียงดงั ฟังชดั ได้ พูดน้าํ เสียงชดั เจน พดู น้าํ เสียงไม่ชดั เจน ไม่
การรายงานหน้าช้ัน สาระชดั เจน วางบคุ ลิก สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาที่ คอ่ ยสอดคลอ้ งกบั
ในการพดู ไดด้ ีมาก พดู วางบคุ ลิกในการ เน้ือหาทีพ่ ดู วางบคุ ลิก
พดู ไดด้ ี ในการพูดไม่ค่อยดี
การปฏบิ ตั งิ านตาม มีทกั ษะการปฏิบตั ิงาน มกี ารปฏิบตั ิงานตาม ยงั ไมส่ ามารถ
ข้นั ตอน ตามข้นั ตอน ไดอ้ ยา่ ง ข้นั ตอนไดต้ ามลาํ ดบั ปฏิบตั ิงานตามข้นั ตอน
ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ได้
ความคิดสร้างสรรค์ มคี วามคดิ สร้างสรรคด์ ี พอมีความคดิ ที่ ยงั ขาดความคิดท่ี
สร้างสรรคอ์ ยบู่ า้ ง สร้างสรรค์
ความเป็ นระเบียบ มีทกั ษะสามารถสร้างงาน สามารถสร้างงานท่ีสวน
เรียบร้อยของการทาํ ที่สวยงาม และมีความ งามพอใชไ้ ด้ และมี ไมม่ คี วามสวยงาม และ
ใบงาน ประณีตดี ความประณีตใน ไมป่ ระณีต
บางส่วน
การประเมนิ ด้านคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
เกณฑ์การให้ระดับคะแนน
ประเด็นการประเมนิ ดี (๒) พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
ซื่อสัตย์สุจริต
มีวนิ ัย ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง
ใฝ่ เรียนรู้ ตรงไปตรงมา ยอมรับ ตรงไปตรงมา ไม่ ตรงไปตรงมา ไม่
อย่อู ย่างพอเพยี ง ในขอ้ ผดิ พลาดและ ยอมรบั ในขอ้ ผิดพลาด ยอมรับในขอ้ ผดิ พลาด
มจี ิตสาธารณะ บกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง
พอใจในส่ิงท่ตี นมี พอใจในส่ิงที่ตนมี ไม่คอ่ ยพอใจในส่ิงทต่ี น
มี
รู้จกั ควบคุมอารมณ์ รู้จกั ควบคมุ อารมณ์ บา้ ง ไม่รู้จกั ควบคุมอารมณ์
ปฏบิ ตั ติ นอยใู่ นระเบียบ ปฏบิ ตั ิตนอยใู่ นระเบยี บ ปฏบิ ตั ติ นอยใู่ นระเบยี บ
วินยั แต่งกายถูกตอ้ ง วนิ ยั การแตง่ กายไม่ วินยั นอ้ ย ไมค่ ่อยแต่ง
ตามระเบียบของ คอ่ ยถูกตอ้ งตามระเบียบ กายถูกตอ้ งตามระเบียบ
โรงเรียนตลอดเวลา ของโรงเรียน ของโรงเรียน
มคี วามมานะมงุ่ มนั่ ใน มคี วามมานะมงุ่ มนั่ ใน ไม่มีความมานะมงุ่ มนั่
การทาํ งานทีไ่ ดร้ บั การทาํ งานทไ่ี ดร้ บั ในการทาํ งานท่ีไดร้ บั
มอบหมาย ศึกษา มอบหมาย ศึกษา มอบหมาย ไมค่ อ่ ย
คน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง คน้ ควา้ ดว้ ยตนเองเป็น ศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
ทาํ งานเสร็จทนั เวลาและ บางคร้งั ทาํ งานเสร็จ ทาํ งานเสร็จไมท่ นั เวลา
ถกู ตอ้ ง ทนั เวลาเป็นบางคร้ัง
ใชว้ สั ดอุ ปุ กรณก์ ารเรียน ใชว้ สั ดอุ ปุ กรณก์ ารเรียน
ที่ราคาถูกและใชอ้ ยา่ ง ใชว้ สั ดอุ ุปกรณก์ ารเรียน ที่ราคาค่อนขา้ งแพงและ
คุม้ ค่าใชจ้ นหมดแลว้ ทีร่ าคาค่อนขา้ งแพงและ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ ใชไ้ ม่
ค่อยซ้ือใหม่ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ ค่าใชจ้ นหมด หมดแลว้ ซ้ือใหม่
มคี วามเสียสละเพ่ือ มคี วามเสียสละเพือ่ ไมค่ อ่ ยเสียสละเพ่ือ
ส่วนรวม ไม่เอาเปรียบ ส่วนรวมเป็ นบางคร้ งั ส่วนรวม ชอบเอา
ไมเ่ ห็นแกต่ วั ช่วยเหลอื ไมเ่ อาเปรียบไม่เห็นแก่ เปรียบคนอน่ื ค่อนขา้ ง
หม่คู ณะไดเ้ ป็นอยา่ งดี ตวั ไมค่ อ่ ยช่วยเหลือ เห็นแก่ตวั ไมค่ ่อย
หม่คู ณะ ช่วยเหลือหม่คู ณะ
๑๐. กิจกรรมเสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
…….………………………………………………………………………………………
………….…………………………………………………………………………………
๑๑. บันทกึ ผลหลังการสอน
๑๑.๑ ผลการจัดการเรียนการสอน
๑. นกั เรียนจาํ นวน.................... คน
ผา่ นจุดประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คิดเป็นร้อยละ...............
ไมผ่ า่ นจุดประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คดิ เป็นร้อยละ................
๒. นกั เรียนมีความรู้ความเข้าใจ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๓. นกั เรียนมีความรู้เกดิ ทักษะ
……………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………...
๔. ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๕. เสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .....................................ครูผสู้ อน
(นางสุคนธา ณรงคเ์ ดชา)
วนั ……………เดือน…………………ปี ………………….
ความคิดเหน็ ของผู้บังคบั บัญชา
ความคิดเห็นหวั หน้ากลุ่มสาระ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงชื่อ ....................................................
(นางกรรณิกา จาํ ปาเต้ยี )
หวั หนา้ กลุ่มสาระภาษาไทย
ความคิดเหน็ หัวหน้าวชิ าการ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ...................................................
(นางสาวสุพาพร สุพงษ)์
รองผอู้ าํ นวยการโรงเรียนกลมุ่ บริหารวิชาการ
ความคดิ เหน็ ผู้อํานวยโรงเรียน
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ....................................................
(ดร.พิมพน์ ารา เสาวนิตย)์
ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนวดั ชุมพลนิกายาราม
ใบความรู้ เร่ืองหลกั การอา่ นในใจ
การอา่ นในใจ เป็นการอา่ นเพอื่ เกบ็ ใจความสาํ คญั และทาํ ความเขา้ ใจ เป็นการ
อ่านเพ่อื แสวงหาความรู้ความบนั เทงิ ให้แกต่ นเอง ผูอ้ า่ นตอ้ งมีความรู้เกี่ยวกบั คาํ ศพั ทแ์ ละ
สามารถเขา้ ใจเรื่องราวท่ีอา่ นไดโ้ ดยตลอด
หลกั ท่ัวไปของการอ่านในใจ
การอา่ นไดเ้ ร็วหรือชา้ ข้นึ อยกู่ บั คณุ สมบตั ิบางประการของผูอ้ ่าน ดงั น้ี
๑. วงศัพท์ ถา้ ผูอ้ า่ นรู้ศพั ทม์ าก คอื รู้ความหมายทีแ่ ทจ้ ริงของถอ้ ยคาํ สาํ นวน
ในบทอา่ นกจ็ ะสามารถเขา้ ใจเรื่องทีอ่ ่านไดด้ ีและรวดเร็ว ถา้ รู้ศพั ทน์ อ้ ยกไ็ ม่อาจจบั ใจความ
ของเรื่องท่ีอ่าน เป็นการอา่ นที่เสียเวลา และอาจนาํ ไปส่ือสารตอ่ ไปอยา่ งผดิ ๆ
๒. ช่วงสายตา การอ่านทด่ี ีควรอ่านเป็นกลมุ่ ไมใ่ ช่อา่ นทลี ะคาํ ยิ่งผูอ้ า่ นมีช่วง
สายตายาว คอื อ่านไดท้ ีละกลมุ่ ใหญ่ และเลื่อนช่วงสายตาไปขา้ งหนา้ ไดเ้ ร็วเพียงใดก็
สามารถอ่านไดเ้ ร็วเพียงน้นั กลุ่มคาํ ท่ีขดี คน่ั ต่อไปน้ีเป็ นกลุ่มคาํ ที่ควรทอดสายตาแต่ละ
ช่วง งานท่ีสนกุ ทีห่ นึ่ง / ในวดั เบญจมฯ / คืองานออกร้าน / ในวดั นี้
๓. การเคลื่อนไหวริมฝี ปาก ตามธรรมดาการอา่ นในใจยอ่ มอ่านไดเ้ ร็วกว่า
การอ่านออกเสียง เพราะการอา่ นออกเสียงตอ้ งอา่ นทีละคาํ ถึงแมจ้ ะเป็นการอา่ นในใจ ถา้
ตอ้ งทาํ ปากขมบุ ขมิบริมฝีปากตามไปดว้ ยกท็ าํ ให้เสียเวลาไลเ่ ลยี่ กบั การอ่านออกเสียง การ
อา่ นในใจทถ่ี ูกตอ้ งจึงไมค่ วรเคล่อื นไหวริมฝีปากในขณะอ่าน
๔. ระยะสายตา การอ่านหนงั สือทพ่ี อเหมาะแกร่ ะยะสายตา จะช่วยให้
เห็นชดั และสบายตา คือระยะ ๑๕ นิ้ว การอา่ นหนงั สือทอ่ี ยหู่ ่างจากตามากหรือนอ้ ยกว่า
ระยะน้ีจะอ่านไดไ้ ม่ชดั และเป็นอนั ตรายตอ่ สายตา
๕. ความม่งุ หมาย การอ่านจะไดผ้ ลดีท่สี ุดต่อเม่อื ผูอ้ า่ นมคี วามตอ้ งการรู้เรื่อง
ในขอ้ ความท่ีอ่าน ผอู้ า่ นจะสามารถจบั ใจความสาํ คญั ไดด้ ีและเร็ว ถา้ ความมุ่งประสงค์
ของผอู้ ่านและผเู้ ขยี นตรงกนั กลา่ วคอื ผอู้ ่านใคร่รู้เร่ืองทีผ่ ูเ้ ขียนตอ้ งการสื่อสารแก่ผอู้ า่ น
ในการอา่ นแตล่ ะคร้งั ควรต้งั จุดมุ่งหมายในการอา่ นใหช้ ดั เจนวา่ ตอ้ งการรู้เรื่อง
อะไร โดยพยายามต้งั คาํ ถามจากช่ือบทหรือหวั ขอ้ ที่อา่ นแลว้ หาคาํ ตอบจากบทอา่ นน้นั
วิธกี ารอ่านในใจ
การอา่ นในใจอาจแบ่งตามความมงุ่ หมายได้ ๒ วิธี คอื อา่ นอยา่ งเร็วและ
อา่ นอยา่ งละเอยี ด
๑ อ่านอย่างเร็ว การอา่ นอยา่ งเร็วเป็นการอ่านผ่านๆไปอยา่ งรวบรดั อาจขา้ ม
ตอนใดตอนหน่ึงหรือใจความส่วนใหญใ่ ชใ้ นกรณีทีเ่ ร่ืองน้นั ๆคนุ้ และเป็นทน่ี ่าสนใจ หรือ
รู้สึกสนุกสาํ หรับผูอ้ า่ น ถงึ แมจ้ ะมคี าํ บางคาํ ทีเ่ ป็นคาํ แปลกใหมไ่ ม่รู้จกั มาก่อนก็อาจขา้ ม
ไปได้ บางทีผูอ้ า่ นไม่ไดส้ งั เกตเห็นดว้ ยซ้าํ ไปการอ่านอยา่ งเร็วใชใ้ นการอา่ นขอ้ ความ
ประเภทนวนิยาย เรื่องส้ัน บทความ ชื่อเฉพาะทีค่ ุน้ เคย เช่นชื่อหา้ ร้าน ชื่อสินคา้ พาดหวั
หนงั สือพมิ พ์ การคน้ หาคาํ หรือขอ้ ความอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เป็นตน้
โดยทว่ั ไปการอ่านอยา่ งเร็วอาจทาํ ไดอ้ ยา่ งใดอยา่ งหน่ึงหรือหลายๆอยา่ งพร้อมกนั
ตามหวั ขอ้ ต่อไปน้ี ข้นึ อยกู่ บั จุดประสงคใ์ นการอ่าน
๑ อ่านเฉพาะหวั ขอ้ เร่ือง หวั ขอ้ เร่ืองมกั พมิ พด์ ว้ ยตวั หนา
๒ พิจารณาใจความสาํ คญั ของแต่ละยอ่ หนา้ ใจความสาํ คญั มกั ปรากฏอยใู่ น
ประโยคตอนตน้ หรือตอนทา้ ยของยอ่ หนา้
๓. หาชื่อ สถานที่ วนั ที่ คาํ จาํ กดั ความ กฎเกณฑ์ หรือขอ้ คดิ ท่ีสาํ คญั
๔. อา่ นอกั ษรตวั หนา ตวั เอน และเคร่ืองหมายอนื่ ๆท่ีแสดงความคิดที่สาํ คญั
๕. พิจารณาโครงเรื่องหรือองค์ประกอบของขอ้ ความ เพือ่ หาใจความสรุป
ระหวา่ งความคิดเห็น ขอ้ เท็จจริง และกฎเกณฑต์ ่างๆ
การอา่ นอยา่ งเร็วมีความจาํ เป็นทีจ่ ะตอ้ งใชค้ วบคูไ่ ปกบั การอา่ นอยา่ งละเอยี ด
คอื กอ่ นลงมืออา่ นขอ้ ความอยา่ งละเอียดควรไดอ้ า่ นอยา่ งเร็วมาล่วงหนา้ แลว้ และเมอื่ อ่าน
อยา่ งละเอยี ดแลว้ ก็กลบั มาอา่ นอยา่ งเร็วอกี คร้ังหน่ึง
๒ การอ่านอย่างละเอยี ด การอา่ นอยา่ งละเอียดคอื การอา่ นอยา่ งพนิ ิจพิเคราะห์
เพื่อใหเ้ ขา้ ใจทุกสิ่งทกุ อยา่ งท่ีอา่ น ขณะท่อี ่านอยา่ งละเอยี ดควรหยดุ ต้งั คาํ ถามไปดว้ ยวา่ ได้
อะไรบา้ งจากการอา่ น อาจบนั ทึกถอ้ ยคาํ หรือหวั ขอ้ สาํ คญั ไวด้ ว้ ย เมือ่ อา่ นจบแต่ละบทให้
นึกยอ้ นกลบั ไปใหมว่ ่าจะจดั ลาํ ดบั ความสาํ คญั และขอ้ เท็จจริงท่ไี ดจ้ ากการอา่ นอยา่ งไร
การจับใจความสําคัญ
ขอ้ ความหน่ึงยอ่ หนา้ จะมใี จความสาํ คญั เพียงประการเดียว ใจความสาํ คญั น้ี
ปรากฏอยใู่ นประโยคใดประโยคหน่ึง ซ่ึงเรียกวา่ ประโยคใจความสาํ คญั ส่วนขอ้ ความ
ประโยคอน่ื ๆเป็นเพียงพลความ คอื ทาํ หนา้ ทป่ี ระกอบประโยคใจความสาํ คญั น้นั ๆ
เพราะฉะน้นั ขอ้ ความหน่ึงยอ่ หนา้ ประกอบไปดว้ ยใจความสาํ คญั ๑ ประโยค และประโยค
ประกอบซ่ึงอาจมีไดห้ ลายประโยค สุดแต่ผเู้ ขียนจะขยายความมากหรือนอ้ ย ขอ้ ความหน่ึง
ยอ่ หนา้ จาํ ตอ้ งมีใจความเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั คอื ประโยคอื่นๆ ที่ประกอบหรือขยาย
ประโยคใจความสาํ คญั ตอ้ งมใี จความอยา่ งเดียวกนั กบั ใจความสาํ คญั และทาํ หนา้ ที่เสริม
ใจความประโยคใจความสาํ คญั ให้แจม่ แจง้ ประโยคหน่ึงประโยคใดท่มี ใี จความคนละ
อยา่ งกบั ประโยคใจความสาํ คญั จะรวมอยใู่ นยอ่ หนา้ น้ันๆ ไมไ่ ดต้ อ้ งตดั ท้งิ ไปหรือไม่ก็แยก
ออกไปเป็นยอ่ หนา้ ใหม่
ประโยคประกอบแต่ละประโยคอาจมปี ระโยคประกอบยอ่ ยไดอ้ ีก และอาจมี
จาํ นวนประโยคประกอบยอ่ ยมากนอ้ ยสุดแตใ่ จความ
การอ่านตคี วาม
โดยทวั่ ไปการอา่ นมจี ุดประสงค์ เพ่ือทาํ ความเขา้ ใจหรือท่เี รียกวา่ รู้เรื่อง
หรือรู้เน้ือหาท่ีอ่านแลว้ จบั ใจความใหไ้ ดว้ ่าขอ้ ความน้นั ๆ มใี จความสาํ คญั ประการใด
ส่วนใดเป็นใจความประกอบหรือพลความ ตอ่ จากน้นั อาจพิจารณาถึงขอ้ เท็จจริงหรือ
ความรู้และความคิดเห็นส่วนตวั ของผเู้ ขียน อยา่ งไรก็ดีในการอ่านระดบั ท่ีสูงข้นึ ควรจะ
ไดพ้ จิ ารณาถงึ จุดประสงค์ หรือเจตนาของขอ้ ความว่าตอ้ งการส่ือถึงอ่านในลกั ษณะใด
อาจเพื่อบอกเล่า ให้ความรู้ช้ีแนะ ตกั เตอื น สง่ั สอน ตเิ ตียน หรือประชดประชนั
นอกจากขอ้ ความทอี่ า่ นจะแสดงจุดประสงคอ์ ยา่ งใดอยา่ งหน่ึงแลว้ ยงั แฝงน้าํ เสียงของ
ผูเ้ ขยี นว่ามีความรู้สึกอยา่ งไร เช่นเห็นใจ ช่ืนชอบ รังเกียจ เสียดสีหรือยว่ั เยา้
การอา่ นทม่ี ีประสิทธิภาพจึงไมใ่ ช่เพียงอ่านรู้เร่ืองหรือจบั ใจความสาํ คญั ได้
จาํ ตอ้ งพิจารณาใหเ้ ห็นลกั ษณะคณุ คา่ ของเรื่องที่อ่านในดา้ นต่างๆตามทีก่ ลา่ วมาแลว้ จงึ จะ
ไดป้ ระโยชนจ์ ากการอา่ นอยา่ งสมบรู ณ์
ใบงาน ชุดท่ี ๓
คาํ ชี้แจง ให้นกั เรียนตอบคาํ ถามต่อไปน้ี
นกั เรียนคดิ ว่าเร่ืองน้ีม่งุ สื่อสาระใดแกผ่ อู้ า่ น
เหตุใดตะวนั จึงไดไ้ ปประเทศอนิ โดนีเซีย
เมอื งหลวงของประเทศอนิ โดนีเซีย คือเมอื งใด
หน่ึงในประชาคม หมายถงึ อะไร
ตะวนั ไปพกั อยทู่ ี่บา้ นใคร
ชนพ้นื เมืองของอนิ โดนีเซียคือชนกลุม่ ใด
ประเทศอินโดนีเซียเก่ียวขอ้ งกบั ไทยอยา่ งไรบา้ ง
สินคา้ พ้นื เมืองทขี่ ้นึ ชื่อของประเทศอินโดนีเซีย คืออะไร
ภาษาประจาํ ชาติของอนิ โดนีเซียคือภาษาใด
เหตุใดบา้ นของชาวอินโดนีเซีย จึงไม่นิยมเปิ ดหนา้ ตา่ ง
นกั เรียนมีขอ้ คิดอยา่ งไรในการอา่ นเร่ืองน้ี
กระดาษคําตอบใบงาน ชุดท่ี ๓
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
........................................................................................................................................
ชื่อ..............................................................เลขที่ ..................... ช้ัน...............
ใบงาน ชุดท่ี ๔
คาํ ชี้แจง ใหน้ กั เรียน อ่านเร่ือง “ หน่ึงในประชาคม” แลว้ เขียนแผนภาพ
โครงเรื่อง
ตวั ละคร…………………………………………………………………………………
สถานท…ี่ ………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………….
เหตุการณท์ ี่ ๑
การกระทาํ ของตวั ละคร…………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………..
ผลของการกระทาํ ………………………………..………………………………………
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
เหตุการณท์ ่ี ๒
การกระทาํ ของตวั ละคร…………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………..
ผลของการกระทาํ ………………………………..………………………………………
…………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
ผลสุดทา้ ย……………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………..
ขอ้ คิดจากเร่ือง…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
แผนการจัดการเรียนรู้ ชุดภาษาพาที แผนท่ี ๓
กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี ๖
บทท่ี ๑๓ หน่ึงในประชาคม เวลา ๗ ช่ัวโมง
หัวข้อเร่ือง การอ่านคิดวเิ คราะห์ เวลา ๑ ชั่วโมง
วนั ท่ี ....................................... ผู้ใช้แผน ................................
สาระที่ ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพอ่ื นาํ ไปใช้
ตดั สินใจแกป้ ัญหาในการดาํ เนินชีวิต และมีนิสยั รกั การอ่าน
๑. สาระสําคัญ
๑.๑ ความคิดรวบยอด
การวิเคราะห์เร่ือง เป็นการพิจารณาเรื่องราวตา่ ง ๆ อยา่ งละเอยี ดต้งั แต่ตน้ จนจบ
เพื่อแยกแยะขอ้ เท็จจริงและขอ้ คดิ เห็น มกี ารใชเ้ หตผุ ลในการแยกส่วนดี ส่วนบกพร่องของ
เร่ืองน้ัน ๆ การจะยอ่ ความและวเิ คราะหเ์ ร่ืองไดด้ ีนอกจากจะเป็นคนชอบอ่านแลว้ ยงั ตอ้ ง
หมน่ั ฝึกการยอ่ ความและวิเคราะห์เป็นประจาํ ดว้ ย ดงั น้นั จะตอ้ งเรียนรู้และนาํ ไปใชใ้ ห้
ถูกตอ้ ง จึงจะถอื ว่าประสบความสาํ เร็จในการเรียนภาษา
๑.๒ สมรรถนะสําคัญของผู้เรียน
- ความสามารถในการส่ือสาร
- ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต
๒. ตวั ชีว้ ดั
มาตรฐาน ท ๑.๑ ป.๖ / ๔ แยกขอ้ เทจ็ จริงและขอ้ คดิ เห็นจากเร่ืองท่อี า่ น
๓. จุดประสงค์การเรียนรู้
๓.๑ นกั เรียนต้งั คาํ ถาม – ตอบคาํ ถามเรื่องท่อี ่านได้
๓.๒ นกั เรียนแยกขอ้ เท็จจริงและขอ้ คิดเห็นจากเรื่องท่ีอา่ นได้
๓.๓ นกั เรียนสรุปขอ้ คดิ ทไ่ี ดจ้ ากการอ่านได้
๔. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
๔.๑ รกั ความเป็นไทย
๔.๒ ใฝ่ เรียนรู้
๔.๓ มีจิตสาธารณะ
๔.๔ มีวนิ ยั
๔.๕ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
๕. สาระการเรียนรู้
๕.๑ สาระการเรียนรู้แกนกลาง
๏ การอา่ นจบั ใจความจากสื่อต่างๆ เช่น
- เร่ืองส้ัน ๆ
- งานเขยี นประเภทโนม้ นา้ ว
๕.๒ สาระการเรียนรู้ย่อย
๏ การคิดวเิ คราะห์
๏ การแยกขอ้ เทจ็ จริงและขอ้ คดิ เห็น
๖. ชิ้นงาน / หลกั ฐานร่องรอยแสดงความรู้
๖.๑ การทาํ แบบทดสอบก่อนเรียน
๖.๒ การทาํ ใบงาน
๗. กิจกรรมการเรียนรู้
๗.๑ ทบทวนความรู้เดิมทเี่ รียนในชวั่ โมงทีแ่ ลว้ ดว้ ยการให้นกั เรียนนาํ เอาใบงาน
ชุดที่ ๓ – ๔ มาร่วมกนั เฉลยและตรวจสอบความถกู ตอ้ งสมบูรณ์อกี คร้ัง ร่วมกนั ชมเชย
ผูท้ ต่ี อบคาํ ถามไดด้ ี คดั เลอื กผลงานการเขียนแผนภาพโครงเร่ืองทด่ี ี ๑ – ๓ อนั ดบั ไปติด
ไวท้ ่ปี ้ายนิเทศหนา้ ช้นั เรียน แลกเปลย่ี นกนั อ่านและช่ืนชมผลงาน
๗.๒ แบ่งนกั เรียนออกเป็ นกลุม่ กลมุ่ ละ ๔ – ๕ คน ให้แต่ละกล่มุ เลือก
ประธานกลุม่ รองประธานกลมุ่ และเลขานุการกลุม่ ครูอธิบายบทบาทและหนา้ ท่ขี อง
สมาชิกทกุ คนในกลมุ่ ให้นกั เรียนทราบ
๗.๓ ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุ่มอา่ นออกเสียงเน้ือหาบทเรียน จากหนงั สือภาษาไทย
ชุด ภาษาพาที ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ ๖ บทท่ี ๑๓ “ หน่ึงในประชาคม” จากหนา้ ๑๙๖ ถงึ
หนา้ ๒๐๒ อีกคร้ัง โดยอา่ นทลี ะกลุ่ม กลมุ่ ละ ๑ ยอ่ หนา้ จากน้นั ให้แตล่ ะกลุ่มต้งั คาํ ถาม
ให้กลุ่มอื่นตอบ กลมุ่ ละ ๒ คาํ ถาม
๗.๔ ครูต้งั คาํ ถามต่อไปน้ีใหน้ กั เรียนแต่ละกล่มุ ตอบ
เหตุใด บทเรียนน้ีจึงต้งั ชื่อวา่ “ หน่ึงในประชาคม”
นกั เรียนมีโอกาสเป็นนกั เรียนแลกเปล่ยี นหรือรู้จกั เพื่อนทีม่ ีโอกาสเขา้
ร่วมโครงการแลกเปลี่ยนกบั ประเทศต่างๆหรือไม่ ไปประเทศใดบา้ ง
หน่ึงในประชาคม เก่ียวขอ้ งกบั เร่ืองใดมากท่ีสุด
นกั เรียนมีเพอ่ื นที่เป็นชาวอิสลามหรือไม่ อยทู่ ่ใี ด เรียนอยใู่ นระดบั ใด
เขาทาํ กิจกรรมเก่ียวกบั ศาสนาของเขาอยา่ งไรบา้ ง
ถา้ นกั เรียนอา่ นบทเรียนน้ีแลว้ รู้จกั ภาษาบาฮาซาอนิ โดนีเซียคาํ ใดบา้ ง
แปลเป็นภาษาไทยไดอ้ ยา่ งไร
“ โลกไม่มพี รหมแดน” นกั เรียนมคี วามเขา้ ใจวา่ อยา่ งไร
ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ช่วยกนั เขียนคาํ ตอบลงในแผน่ กระดาษ จากน้นั ส่งตวั แทนออกมา
อ่านคาํ ตอบที่หนา้ ช้นั เรียน ครูชมเชยกลมุ่ ที่ตอบไดด้ ี
๗.๕ ร่วมกนั สนทนาถงึ เน้ือหาของเร่ือง “ หน่ึงในประชาคม” ครูซกั ถามนกั เรียน
วา่ นกั เรียนไดอ้ ะไรบา้ งจากการอ่านเรื่องน้ี
๗.๖ นกั เรียนทาํ ใบงานที่ ๕ ( ทา้ ยแผน ) ชุด วิเคราะหเ์ น้ือหาจากเร่ืองทอี่ ่าน
เสร็จแลว้ ครูเฉลยและนาํ ส่งครูตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
๗.๗ นกั เรียนทาํ ใบงานที่ ๖ ( ทา้ ยแผน ) ชุด บอกส่ิงทไ่ี ดจ้ ากการอา่ นเร่ือง
“ หน่ึงในประชาคม” ถา้ ไมเ่ สร็จไปทาํ เป็นการบา้ น
๘. ส่ือ / แหล่งเรียนรู้ / บคุ คล
ลําดบั ที่ รายการส่ือ กิจกรรมทใ่ี ช้ แหล่งที่ได้มา
๑
๒ รูปภาพ ครูใชป้ ระกอบคาํ อธิบาย ครูจดั เตรียม
๓ ใบงาน ชุดที่ ๕ – ๖ นกั เรียนทาํ ใบงาน ครูจดั ทาํ
๔ แถบประโยคคาํ ถาม นกั เรียนฝึกทกั ษะการตอบคาํ ถาม ครูจดั ทาํ
หนงั สือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน นกั เรียนอ่านเรื่อง ครูจดั ทาํ
ภาษาไทย ชุดภาษาเพอ่ื ชีวิต
ภาษาพาที ช้นั ป.๖
๕ เกณฑก์ ารประเมิน ( Rubric ) สร้างกฎของการประเมิน ครูจดั ทาํ
๖ แบบประเมินการสงั เกต บนั ทกึ การสังเกตพฤติกรรม และ ครูจดั ทาํ
พฤติกรรม และแบบ บนั ทกึ ผลงานรายบุคคล
ประเมินผลงานรายบคุ คล
๙. วดั ผลประเมินผล เครื่องมือท่ใี ช้ใน วิธีการประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ
การประเมิน
กิจกรรมท่ปี ระเมิน แบบประเมนิ การสงั เกต สังเกตรายบุคคล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๑. สงั เกตพฤติกรรมดา้ น พฤติกรรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมนิ ผลงาน ๕ = พอใช้
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ต่าํ กว่า ๕ = ปรับปรุง
ประสงค์
๒. นกั เรียนต้งั คาํ ถาม – ตอบ แบบประเมินการสงั เกต สงั เกตรายกลมุ่ ๘ - ๑๐ = ดีมาก
คาํ ถาม พฤติกรรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมินผลงาน ๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรับปรุง
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน แบบประเมนิ การสังเกต ตรวจงานรายบุคคล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
ชุดที่ ๕ พฤติกรรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมนิ ผลงาน ๕ = พอใช้
ต่าํ กวา่ ๕ = ปรบั ปรุง
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน แบบประเมนิ การสงั เกต ตรวจงานรายบุคคล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
ชุดที่ ๖ พฤติกรรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมนิ ผลงาน ๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
การประเมนิ ด้านทักษะ / กระบวนการ
ประเดน็ การประเมนิ ดี (๒) เกณฑ์การให้ระดบั คะแนน
พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดไ้ ม่
ทักษะการ สรุป ใจความครบถว้ น ใจความเกือบครบถว้ น กระชบั ใจความและไม่
เนือ้ หา สามารถสื่อให้ผูอ้ ืน่ เขา้ ใจ สามารถส่ือใหผ้ อู้ ่นื ครบถว้ น สามารถส่ือ
ไดง้ า่ ย เขา้ ใจได้ ให้ผูอ้ ื่นเขา้ ใจไดน้ อ้ ย
สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพดู รายงานไดด้ ี
พูดเสียงดงั ฟังชดั ได้ พดู น้าํ เสียงชดั เจน พูดน้าํ เสียงไมช่ ดั เจน ไม่
การรายงานหน้าช้ัน สาระชดั เจน วางบคุ ลิก สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาท่ี คอ่ ยสอดคลอ้ งกบั
ในการพดู ไดด้ ีมาก พูด วางบคุ ลกิ ในการ เน้ือหาท่พี ดู วางบคุ ลิก
พดู ไดด้ ี ในการพดู ไมค่ อ่ ยดี
การปฏิบตั ิงานตาม มที กั ษะการปฏิบตั งิ าน มกี ารปฏิบตั ิงานตาม ยงั ไม่สามารถ
ข้นั ตอน ตามข้นั ตอน ไดอ้ ยา่ ง ข้นั ตอนไดต้ ามลาํ ดบั ปฏิบตั งิ านตามข้นั ตอน
ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ได้
ความคดิ สร้างสรรค์ มคี วามคดิ สร้างสรรคด์ ี พอมีความคดิ ที่ ยงั ขาดความคิดท่ี
สร้างสรรคอ์ ยบู่ า้ ง สร้างสรรค์
ความเป็ นระเบียบ มีทกั ษะสามารถสร้างงาน สามารถสร้างงานท่สี วน
เรียบร้อยของการทาํ ที่สวยงาม และมคี วาม งามพอใชไ้ ด้ และมี ไม่มีความสวยงาม และ
ใบงาน ประณีตดี ความประณีตใน ไม่ประณีต
บางส่วน
การประเมิน ด้านคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
เกณฑ์การให้ระดับคะแนน
ประเด็นการประเมนิ ดี (๒) พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
ซื่อสัตย์สุจริต
มีวนิ ัย ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง
ใฝ่ เรียนรู้ ตรงไปตรงมา ยอมรับ ตรงไปตรงมา ไม่ ตรงไปตรงมา ไม่
อย่อู ย่างพอเพยี ง ในขอ้ ผดิ พลาดและ ยอมรบั ในขอ้ ผิดพลาด ยอมรับในขอ้ ผดิ พลาด
มจี ิตสาธารณะ บกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง
พอใจในส่ิงท่ตี นมี พอใจในส่ิงที่ตนมี ไมค่ อ่ ยพอใจในส่ิงทต่ี น
มี
รู้จกั ควบคุมอารมณ์ รู้จกั ควบคมุ อารมณ์ บา้ ง ไม่รู้จกั ควบคุมอารมณ์
ปฏบิ ตั ติ นอยใู่ นระเบียบ ปฏบิ ตั ิตนอยใู่ นระเบยี บ ปฏิบตั ติ นอยใู่ นระเบยี บ
วินยั แตง่ กายถูกตอ้ ง วนิ ยั การแตง่ กายไม่ วินยั นอ้ ย ไมค่ ่อยแต่ง
ตามระเบียบของ คอ่ ยถูกตอ้ งตามระเบียบ กายถกู ตอ้ งตามระเบียบ
โรงเรียนตลอดเวลา ของโรงเรียน ของโรงเรียน
มคี วามมานะมงุ่ มนั่ ใน มคี วามมานะมงุ่ มนั่ ใน ไม่มีความมานะมงุ่ มนั่
การทาํ งานทีไ่ ดร้ บั การทาํ งานทไ่ี ดร้ บั ในการทาํ งานท่ีไดร้ บั
มอบหมาย ศึกษา มอบหมาย ศึกษา มอบหมาย ไมค่ อ่ ย
คน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง คน้ ควา้ ดว้ ยตนเองเป็น ศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
ทาํ งานเสร็จทนั เวลาและ บางคร้งั ทาํ งานเสร็จ ทาํ งานเสร็จไมท่ นั เวลา
ถกู ตอ้ ง ทนั เวลาเป็นบางคร้ัง
ใชว้ สั ดุอปุ กรณก์ ารเรียน ใชว้ สั ดอุ ปุ กรณ์การเรียน
ทีร่ าคาถกู และใชอ้ ยา่ ง ใชว้ สั ดอุ ุปกรณก์ ารเรียน ที่ราคาค่อนขา้ งแพงและ
คมุ้ คา่ ใชจ้ นหมดแลว้ ท่ีราคาค่อนขา้ งแพงและ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ ใชไ้ ม่
ค่อยซ้ือใหม่ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ ค่าใชจ้ นหมด หมดแลว้ ซ้ือใหม่
มีความเสียสละเพ่ือ มคี วามเสียสละเพือ่ ไมค่ อ่ ยเสียสละเพ่ือ
ส่วนรวม ไม่เอาเปรียบ ส่วนรวมเป็ นบางคร้ งั ส่วนรวม ชอบเอา
ไม่เห็นแกต่ วั ช่วยเหลอื ไมเ่ อาเปรียบไมเ่ ห็นแก่ เปรียบคนอน่ื ค่อนขา้ ง
หม่คู ณะไดเ้ ป็นอยา่ งดี ตวั ไมค่ อ่ ยช่วยเหลอื เห็นแก่ตวั ไม่ค่อย
หม่คู ณะ ช่วยเหลือหม่คู ณะ
๑๐. กิจกรรมเสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
…….………………………………………………………………………………………
………….…………………………………………………………………………………
๑๑. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
๑๑.๑ ผลการจัดการเรียนการสอน
๑. นกั เรียนจาํ นวน.................... คน
ผ่านจุดประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คิดเป็นร้อยละ...............
ไมผ่ า่ นจุดประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คดิ เป็นร้อยละ................
๒. นกั เรียนมีความรู้ความเข้าใจ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๓. นักเรียนมีความรู้เกดิ ทกั ษะ
……………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………...
๔. ปัญหา/อปุ สรรค/แนวทางแก้ไข
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๕. เสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .....................................ครูผสู้ อน
(นางสุคนธา ณรงคเ์ ดชา)
วนั ……………เดือน…………………ปี ………………….
ความคดิ เห็นของผู้บงั คับบญั ชา
ความคดิ เห็นหัวหน้ากล่มุ สาระ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ ....................................................
(นางกรรณิกา จาํ ปาเต้ยี )
หวั หนา้ กลุ่มสาระภาษาไทย
ความคดิ เหน็ หวั หน้าวิชาการ
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงชื่อ...................................................
(นางสาวสุพาพร สุพงษ)์
รองผอู้ าํ นวยการโรงเรียนกล่มุ บริหารวิชาการ
ความคดิ เหน็ ผู้อํานวยโรงเรียน
...............................................................................................................................................
...............................…………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………..……………
ลงช่ือ....................................................
(ดร.พมิ พน์ ารา เสาวนิตย)์
ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนวดั ชุมพลนิกายาราม
ใบความรู้ เรื่องประเทศอินโดนีเซีย
ประเทศอนิ โดนีเซีย
ในอดีต ดินแดนมลายไู ดอ้ ยภู่ ายใตก้ ารปกครองของหลายอาณาจกั ร เช่น ฟนู นั ศรี
วชิ ยั ในเวลาตอ่ มามีชาวจีนอพยพเขา้ มาอยใู่ นมะละกาตอนตน้ ศตวรรษท่ี ๑๔ พร้อม ๆ กบั
การเขา้ มาของศาสนาอสิ ลาม ที่ไดร้ ับการยอมรับนบั ถอื ในหมู่คนพ้ืนเมอื งอยา่ งรวดเร็ว
จากน้นั องั กฤษไดย้ ึดครองดินแดนบนแหลมมลายเู ป็นอาณานิคม เมอ่ื เกิดความตอ้ งการ
แรงงานมาทาํ สวนยางกบั อุตสาหกรรมแร่ดีบกุ ทมี่ ลายู องั กฤษจึงไดน้ าํ ชาวอนิ เดียจาํ นวน
มากเขา้ มาอยบู่ นแหลมมลายู ทาํ ใหป้ ระชาชนทอ่ี าศยั อยูบ่ นแหลมมลายเู ป็นประชากรท่ีมี
ความหลากหลายเช้ือชาติ มาเลเซียไดร้ ับเอกราชจากองั กฤษในปี ค.ศ.๑๙๕๗ เมอื งหลวง
ของมาเลเซีย คือ กวั ลาลมั เปอร์
ขบวนการชาตนิ ิยมอนิ โดนีเซียเริ่มตน้ ก่อนสงครามโลกคร้ังที่ 1 ระยะแรกเนน้ การเผยแพร่
ความคิด ชาตินิยมและการฟ้ืนฟวู ฒั นธรรมอิสลามในหมปู่ ระชาชนชาวอนิ โดนีเซีย ต่อมา
ขบวนการชาตินิยมอินโดนีเซียขยายตวั อยา่ งรวดเร็วและเขม้ แขง็ เพิ่มข้นึ เรื่อยๆ ภายใตก้ าร
นาํ ของซูการ์โน (Sukarno)
เมอ่ื ฮอลนั ดาทราบเร่ืองจึงลงมอื กวาดลา้ งขบวนการชาตินิยมดว้ ยวธิ ีรุนแรง มผี ถู้ ูก
จบั กุมจาํ นวนมากรวมท้งั ซูการ์โนดว้ ย บา้ งกถ็ ูกประหารชีวิต แตข่ บวนการชาตินิยมกย็ งั มี
บทบาทต่อไปและไดร้ บั การสนบั สนุนจากประชาชนจาํ นวนมาก
ระหวา่ งสงครามโลกคร้ังท่ี 2 ญปี่ ่ ุนเขา้ มายดึ ครองอินโดนีเซีย โดยใชน้ โยบายเอา
ใจชาวอนิ โดนีเซียเพอ่ื หวงั ให้ร่วมมือกบั ญปี่ ่ ุน ทางฝ่ ายขบวนการชาตินิยมก็สนบั สนุน
ญีป่ ่ นุ เพ่ือหวงั ให้ ญี่ป่ ุนมอบเอกราชอยา่ งสมบรู ณ์แก่ชาวอนิ โดนีเซีย แต่ญ่ีป่ ุนกไ็ ม่ยอม
มอบเอกราชให้
เม่อื ญป่ี ่ นุ พา่ ยแพใ้ นสงครามโลกคร้ังที่ 2 ญป่ี ่ ุนท้ิงอาวุธสงครามจาํ นวนมากไวใ้ น
อินโดนีเซียอาวุธเหล่าน้ีจึงตกอยใู่ นมือของกองกาํ ลงั ชาตินิยม ซ่ึงไดก้ ่อต้งั กองทพั กูช้ าตใิ น
เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 ซูการ์โนฉวยโอกาสประกาศเอกราช ในขณะเดียวกนั กาํ ลงั
ทหารของฮอลนั ดากย็ กพลข้นึ บก เพอ่ื กลบั มายดึ ครองอนิ โดนีเซีย
การกลบั มาใหมข่ องฮอลนั ดาคร้ังน้ีตอ้ งประสบกบั ความยงุ่ ยากในการสูร้ บกบั กอง
กาํ ลงั กูช้ าตอิ นิ โดนีเซียซ่ึงมอี าวุธทนั สมยั การสูร้ บดาํ เนินไปอยา่ งยืดเย้อื ฮอลนั ดาไม่
สามารถเอาชนะได้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่หนั ไปสนบั สนุนขบวนการชาตินิยม
ประกอบกบั สหประชาชาตเิ รียกร้องและบีบใหฮ้ อลนั ดาถอนตวั ออกจากอินโดนีเซีย ใน
ท่สี ุดท้งั สองฝ่ายจึงเปิ ดเจรจากนั ฮอลนั ดาตกลงใจมอบเอกราช แก่ชาวอินโดนีเซียอยา่ ง
สมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2492
ภายหลงั จากอินโดนีเซียไดร้ บั เอกราชชูการ์โน
ไดข้ ้นึ ดาํ รงตาํ แหน่งประธานาธิบดีโดยไดร้ ับการยกยอ่ ง
จากประชาชนในฐานะวรี บุรุษและบิดาแห่งชาติ
ประธานาธิบดีซูการ์โนมอี าํ นาจเดด็ ขาดในกาํ หนดนโยบาย
แกไ้ ขปัญหาของประเทศและนโยบายตา่ งประเทศ สาํ หรับ
นโยบายภายในประเทศน้ัน ประธานาธิบดีซูการ์โนม่งุ
แกไ้ ขปัญหาความยากจนของประเทศ เสริมสร้างกาํ ลงั ประธานาธิบดอี ะห์เมด็ ซูการ์โน
กองทพั เพ่ือใช้ประจนั หนา้ กบั จกั รวรรดินิยม ส่วนทาง ผู้นาํ อินโดนีเชีย
การเมอื งประธานาธิบดีซูการ์โนองิ อาํ นาจพรรคคอมมิวนิสต์ ซ่ึงเป็นพรรคใหญ่ท่สี ุดของ
ประเทศเพ่ือถว่ งดลุ อาํ นาจกบั กองทพั สาํ หรบั นโยบายต่างประเทศน้นั ประธานาธิบดีซูการ์
โนสนิทสนมกบั ประเทศจีนคอมมวิ นิสต์ ซูการ์โนมคี วามรู้สึกชาตินิยมและมีทศั นะตอ่
ชาติตะวนั ตกว่าเป็นพวกจกั รวรรดินิยม ซูการ์โนประกาศนโยบายตอ่ ตา้ นจกั รวรรดินิยม
ทาํ ให้สหรฐั อเมริกา องั กฤษ และชาตติ ะวนั ตกอืน่ ๆ ไม่พอใจนโยบายของอินโดนีเซีย
จากนโยบายดงั กลา่ ว สร้างปัญหาให้แก่อนิ โดนีเซียอยา่ งตอ่ เนื่อง ทาํ ใหเ้ กิดผล
กระทบดงั น้ี
1. เศรษฐกิจของประเทศประสบความยงุ่ ยากเพราะรฐั บาลยึดกิจการอุตสาหกรรม
ของชาติตะวนั ตกไปดาํ เนินงานเอง แตข่ าดความรู้และความชาํ นาญ ทาํ ให้ประสบความ
ลม้ เหลวในการดาํ เนินงานยง่ิ ทาํ ใหเ้ ศรษฐกิจของประเทศทรุดโทรมลงไปอีก
2. เกิดภาวะเงินเฟ้อ ประชาชนอดอยากและยากจน งบประมาณส่วนใหญถ่ กู
นาํ ไปใชใ้ นเร่ืองทหารและการปราบกบฏ
3. นกั ศึกษา ชนช้นั กลางและปัญญาชนไมพ่ อใจรฐั บาลทบี่ ริหารประเทศใน
ลกั ษณะเผดจ็ การ
4. ฝ่ ายทหารไมพ่ อใจประธานาธิบดีท่เี อาใจและสนิทสนมกบั ฝ่ ายคอมมวิ นิสตเ์ กรง
วา่ พรรคคอมมวิ นิสตอ์ นิ โดนีเซียจะยดึ อาํ นาจและปกครองประเทศดว้ ยระบบคอมมวิ นิสต์
ใน พ.ศ. 2508 พรรคคอมมวิ นิสตก์ อ่ รัฐประหาร แต่กระทาํ การไมส่ าํ เร็จจึงถกู
ฝ่ายทหารภายใตก้ ารบงั คบั บญั ชาของนายพลซูฮาร์โตปราบปรามอยา่ งรุนแรง มีผูเ้ สียชวี ติ
จากเหตุการณน์ องเลอื ดคร้ังน้ีจาํ นวนมาก
ใน พ.ศ. 2509 ฝ่ ายทหารไดป้ ลดซูการ์โนออกจากตาํ แหน่งประธานาธิบดี และ
มอบตาํ แหน่งน้ีแก่นายพลซูฮาร์โตบริหารประเทศในลกั ษณะเผดจ็ การและครองอาํ นาจมา
นานกว่า 20 ปี ระยะแรกประชาชนพอใจการบริหารงานของประธานาธิบดี ซ่ึง
เปล่ยี นแปลงนโยบายของประเทศในทางท่ีดีข้นึ เช่น ยกเลิกการต่อตา้ นจกั รวรรดินิยมและ
การประจนั หนา้ กบั มาเลเซีย ดาํ เนินนโยบายต่างประเทศแบบเป็นกลาง มุง่ พฒั นา
เศรษฐกิจของประเทศให้พน้ จากความยากจน ระยะหลงั ประชาชนเร่ิมเบื่อหน่ายการ
บริหารประเทศทีร่ วบอาํ นาจมาก อีกท้งั ปล่อยให้มีการฉ้อราษฎร์บงั หลวง จึงพากนั
เดินขบวนขบั ไลป่ ระธานาธิบดีซูฮาร์โตจึงลาออกจากตาํ แหน่ง
ภายหลงั ประธานาธิบดีซูฮาร์โตสิ้นอาํ นาจแลว้ การเมอื งการปกครองของ
อนิ โดนีเซียเริ่มกา้ วไปสู่ประชาธิปไตยมากข้นึ ปัญหาความวนุ่ วายทางการเมอื งใน
อินโดนีเซียลดลงไปมาก ปัญหาปัจจุบนั ที่รัฐบาลยงั ไม่อาจแกไ้ ขไดส้ าํ เร็จคอื ปัญหาดา้ น
ความแตกตา่ งทางวฒั นธรรม เช่น การต่อสูก้ นั อยา่ งนองเลือดระหว่างชาวมสุ ลมิ กบั ชาว
คริสต์ การกอ่ กบฏของประชาชนตามเกาะต่างๆ ซ่ึงตอ้ งการแยกตวั ไปปกครองแบบเอก
ราช ดงั เช่นการกอ่ กบฏของชาวอาเจาะห์ เป็นตน้
การปกครอง ประเทศอนิ โดนีเซียมกี ารปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบ
สาธารณรฐั มีประธานาธิบดีเป็นประมขุ และทาํ หนา้ ที่ปกครองประเทศ
เศรษฐกจิ พ้นื ฐานทางเศรษฐกิจคอื เกษตรกรรม พชื เศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ ขา้ ว
ยาสูบ ขา้ วโพด เครื่องเทศ และมกี ารทาํ ประมง เพราะมีลกั ษณะภมู ิประเทศเป็ นเกาะ แร่
ธาตทุ ่ีสาํ คญั ไดแ้ ก่ น้าํ มนั ปิ โตรเลียม และมอี ตุ สาหกรรมทีส่ าํ คญั ไดแ้ ก่ การกลนั่ น้าํ มนั
และการตอ่ เรือ
สังคม อนิ โดนีเซียมปี ระชากรมากทส่ี ุดในภูมิภาค โดยประชากรส่วนใหญ่เป็น
ชาวชวา ท่เี หลอื เป็นซุนดา จีน และชาวเกาะต่าง ๆ ศาสนาประจาํ ชาติ คอื ศาสนาอสิ ลาม ใช้
ภาษาอินโดนีเซีย เป็นภาษาราชการ ประชากรส่วนใหญ่มีฐานะยากจน และอยใู่ นภาค
เกษตรกรรม
ใบงาน ชดุ ที่ ๕
คําชี้แจง เขยี นเลา่ เหตุการณ์ตามลาํ ดบั ทเี่ กดิ ข้นึ จากเรื่อง “ หน่ึงในประชาคม”
ดว้ ยสาํ นวนของตนเอง บอกขอ้ คิดทไ่ี ดจ้ ากเร่ือง และการนาํ ไปใช้
ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาํ วนั
เหตุการณ์
……………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………..
ข้อคดิ
……………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………..
การนําไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์ในชีวิตประจาํ วนั
……………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………..
ใบงาน ชดุ ท่ี ๖
คาํ ชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนบอกส่ิงท่ีไดจ้ ากการอ่านเร่ือง “ หน่ึงในประชาคม” โดย
เขยี นลงในแผนภาพตอ่ ไปน้ี
ส่ิงท่ีไดจ้ ากการอา่ นเรื่อง “ หนึ่งในประชาคม”
ช่ือ.................................................................เลขท่ี ..................... ช้ัน...............
แผนการจัดการเรียนรู้ ชุดภาษาพาที แผนที่ ๔
กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปี ที่ ๖
บทท่ี ๑๓ หนง่ึ ในประชาคม เวลา ๗ ช่ัวโมง
หัวข้อเร่ือง การอ่านบทอ่านเสริม เวลา ๑ ชั่วโมง
วันท่ี ....................................... ผู้ใช้แผน ................................
สาระที่ ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพอื่ นาํ ไปใช้
ตดั สินใจแกป้ ัญหาในการดาํ เนินชีวติ และมนี ิสัยรกั การอ่าน
๑. สาระสําคญั
๑.๑ ความคิดรวบยอด
การอ่านเสริมบทเรียนเป็นการเพม่ิ ประสบการณด์ า้ นการอ่าน ปลูกฝังให้ผูเ้ รียน
รกั การอา่ นและศึกษาหาความรู้เพิม่ เติม ขยายขอบเขตการเรียนรู้ให้ผเู้ รียนไดเ้ ปิ ดโลกทศั น์
ท่ีกวา้ งไกล รู้จกั คิดวเิ คราะหเ์ รื่องทอี่ ่านและนาํ มาปรับใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั ได้
๑.๒ สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน
- ความสามารถในการสื่อสาร
- ความสามารถในการคดิ
- ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต
๒. ตัวชีว้ ัด
มาตรฐาน ท ๑.๑ ป.๖ / ๓ อ่านเร่ืองส้ันๆ อยา่ งหลากหลาย โดยจบั เวลาแลว้
ถามเก่ียวกบั เร่ืองท่ีอา่ น
๓. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
๓.๑ นกั เรียนอา่ นและเกบ็ ใจความสาํ คญั ของบทร้อยกรองได้
๓.๒ นกั เรียนคิด วิเคราะหส์ รุปบทอา่ น
๓.๓ นกั เรียนต้งั คาํ ถาม – ตอบคาํ ถามเกี่ยวกบั บทอ่านเสริมได้
๔. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
๔.๑ รกั ความเป็นไทย
๔.๒ ใฝ่ เรียนรู้
๔.๓ มจี ิตสาธารณะ
๔.๔ มวี ินยั
๔.๕ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
๕. สาระการเรียนรู้
๕.๑ สาระการเรียนรู้แกนกลาง
๏ การอ่านจบั ใจความจากสื่อต่างๆ
๕.๒ สาระการเรียนรู้ย่อย
๏ การอ่านบทอ่านเสริม “ ประชาคมอาเซ่ียน”
๖. ชิ้นงาน / หลกั ฐานร่องรอยแสดงความรู้
๖.๑ การทาํ ใบงาน
๖.๒ แบบบนั ทึกผลการประเมนิ
๗. กิจกรรมการเรียนรู้
๗.๑ ทบทวนเน้ือหาท่ีเรียนในชวั่ โมงที่แลว้ ดว้ ยการให้นกั เรียนนาํ ใบงาน
ชุดท่ี ๕ – ๖ มาร่วมกนั ตรวจสอบและเฉลยอีกคร้งั
๗.๒ นกั เรียนอ่านในใจบทอ่านเสริม “ ประชาคมอาเซ่ียน” จากน้นั นกั เรียน
ร่วมกนั อภิปราย ซกั ถามเน้ือหาสาระการเรียนรู้ ครูต้งั คาํ ถามให้นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ช่วยกนั
คิดหาคาํ ตอบ ตวั อยา่ ง เช่น
คาํ ขวญั ของอาเซี่ยน มีว่าอยา่ งไร
ประเทศท่เี ริ่มก่อต้งั กล่มุ อาเซี่ยนคร้ังแรกมีก่ปี ระเทศ ประเทศใดบา้ ง
สญั ลกั ษณ์ของอาเซ่ียนคอื อะไร
สัญลกั ษณข์ องอาเซี่ยน หมายความวา่ อยา่ งไร
ประเทศใดเขา้ เป็นสมาชิกกล่มุ อาเซี่ยนเป็นประเทศสุดทา้ ย
การประชุม “ World Economic Forum” เมอื่ เดือน พฤษภาคม
๒๕๕๕ จดั ข้นึ ท่ปี ระเทศใด ผูน้ าํ พมา่ ทเี่ ขา้ ร่วมคอื ใคร
( คาํ ตอบคอื ท่ีกรุงเทพฯ ผูน้ าํ พม่าท่เี ขา้ ร่วมคอื นางอองซาน ซูจี )
๗.๔ นกั เรียนทุกคนเขียนคาํ ถามและคาํ ตอบลงในสมุด นกั เรียนและครูช่วยกนั
สรุปเน้ือหาเก่ียวกบั ประวตั ิความเป็นมา เป้าหมาย และประเทศสมาชิกของกลุ่มอาเซี่ยน
๗.๕ นกั เรียนศึกษาเน้ือหาเก่ียวกบั กลมุ่ ประเทศอาเซี่ยน จากหนงั สือเรียน
ภาษาไทย ชุดภาษาพาที ช้นั ป.๖ หนา้ ๒๐๓ จากน้นั ครูแจกใบความรู้เร่ืองกลุม่ ประเทศ
อาเซี่ยน ( ทา้ ยแผน ) ใหน้ กั เรียนไปศกึ ษาตอ่ ทบ่ี า้ น
๗.๖ นกั เรียนทาํ ใบงานที่ ๗ ( ทา้ ยแผน )ชุดตอบคาํ ถาม เสร็จแลว้ ครูเฉลย
นกั เรียนตรวจสอบความถกู ตอ้ งของคาํ ตอบ
๗.๗ นกั เรียนทาํ ใบงานท่ี ๘ ( ทา้ ยแผน ) ชุด เขียนแผนภาพความคดิ เกี่ยวกบั
ประโยชน์ทไ่ี ทยไดร้ ับจากการเขา้ ร่วมกลมุ่ ประเทศประชาคมอาเซี่ยน จากน้นั นาํ ส่งครู ครู
เฉลยและตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
๘. สื่อ / แหล่งเรียนรู้ / บคุ คล
ลาํ ดับท่ี รายการส่ือ กจิ กรรมท่ีใช้ แหล่งที่ได้มา
๑ ครูใชป้ ระกอบคาํ อธิบาย ครูจดั เตรียม
๒ รูปภาพ นกั เรียนศึกษาเพม่ิ เตมิ ครูจดั เตรียม
วีดิทศั น์ เกี่ยวกบั การประชุม
๓ อาเซ่ียน นกั เรียนทาํ ใบงาน ครูจดั ทาํ
๔ ใบงาน ชุดท่ี ๗ – ๘ นกั เรียนอ่านเร่ือง ครูจดั ทาํ
หนงั สือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน
๕ ภาษาไทย ชุดภาษาเพ่อื ชีวิต สร้างกฎของการประเมิน ครูจดั ทาํ
๖ ภาษาพาที ช้นั ป.๖ บนั ทกึ การสงั เกตพฤติกรรม และ ครูจดั ทาํ
เกณฑก์ ารประเมนิ ( Rubric ) บนั ทกึ ผลงานรายบคุ คล
แบบประเมินการสงั เกต
พฤตกิ รรม และแบบ
ประเมินผลงานรายบุคคล
๙. วดั ผลประเมนิ ผล เคร่ืองมือที่ใช้ใน วิธกี ารประเมิน เกณฑ์การประเมนิ
การประเมิน
กจิ กรรมที่ประเมนิ แบบประเมนิ การสงั เกต สงั เกตรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๑. สงั เกตพฤตกิ รรมดา้ น พฤติกรรม และแบบ ๖ – ๗ = ดี
ประเมนิ ผลงาน ๕ = พอใช้
คุณลกั ษณะอนั พงึ ต่าํ กว่า ๕ = ปรับปรุง
ประสงค์ แบบประเมินการสังเกต
๒. นกั เรียนร่วมกิจกรรม พฤตกิ รรม และแบบ สงั เกตรายกลุ่ม ๘ - ๑๐ = ดีมาก
ประเมินผลงาน ๖ – ๗ = ดี
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน
ชุดที่ ๗ แบบประเมนิ การสงั เกต ๕ = พอใช้
พฤตกิ รรม และแบบ ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน ประเมินผลงาน
ชุดที่ ๘ ตรวจงานรายบุคคล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
แบบประเมนิ การสังเกต ๖ – ๗ = ดี
พฤติกรรม และแบบ
ประเมนิ ผลงาน ๕ = พอใช้
ต่าํ กวา่ ๕ = ปรบั ปรุง
ตรวจงานรายบคุ คล ๘ - ๑๐ = ดีมาก
๖ – ๗ = ดี
๕ = พอใช้
ต่าํ กว่า ๕ = ปรบั ปรุง
การประเมนิ ด้านทกั ษะ / กระบวนการ
ประเด็นการประเมนิ ดี (๒) เกณฑ์การให้ระดบั คะแนน
พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดก้ ระชบั สรุปเน้ือหาไดไ้ ม่
ทักษะการ สรุป ใจความครบถว้ น ใจความเกือบครบถว้ น กระชบั ใจความและไม่
เนือ้ หา สามารถสื่อให้ผูอ้ ืน่ เขา้ ใจ สามารถส่ือให้ผอู้ นื่ ครบถว้ น สามารถส่ือ
ไดง้ า่ ย เขา้ ใจได้ ให้ผูอ้ ื่นเขา้ ใจไดน้ อ้ ย
สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพูดรายงานไดด้ ี สามารถพดู รายงานไดด้ ี
พดู เสียงดงั ฟังชดั ได้ พูดน้าํ เสียงชดั เจน พูดน้าํ เสียงไมช่ ดั เจน ไม่
การรายงานหน้าช้ัน สาระชดั เจน วางบคุ ลิก สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาที่ ค่อยสอดคลอ้ งกบั
ในการพดู ไดด้ ีมาก พดู วางบคุ ลกิ ในการ เน้ือหาท่พี ดู วางบคุ ลิก
พดู ไดด้ ี ในการพดู ไมค่ อ่ ยดี
การปฏิบตั ิงานตาม มีทกั ษะการปฏิบตั งิ าน มกี ารปฏิบตั ิงานตาม ยงั ไม่สามารถ
ข้นั ตอน ตามข้นั ตอน ไดอ้ ยา่ ง ข้นั ตอนไดต้ ามลาํ ดบั ปฏิบตั งิ านตามข้นั ตอน
ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ได้
ความคดิ สร้างสรรค์ มคี วามคดิ สร้างสรรคด์ ี พอมีความคดิ ท่ี ยงั ขาดความคิดท่ี
สร้างสรรคอ์ ยบู่ า้ ง สร้างสรรค์
ความเป็ นระเบียบ มที กั ษะสามารถสร้างงาน สามารถสร้างงานท่สี วน
เรียบร้อยของการทํา ทส่ี วยงาม และมคี วาม งามพอใชไ้ ด้ และมี ไม่มีความสวยงาม และ
ใบงาน ประณีตดี ความประณีตใน ไม่ประณีต
บางส่วน
การประเมิน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์
เกณฑ์การให้ระดับคะแนน
ประเด็นการประเมนิ ดี (๒) พอใช้ (๑) ปรับปรุง (๐)
ซื่อสัตย์สุจริต
มีวนิ ัย ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง ทาํ งานอยา่ ง
ใฝ่ เรียนรู้ ตรงไปตรงมา ยอมรับ ตรงไปตรงมา ไม่ ตรงไปตรงมา ไม่
อย่อู ย่างพอเพยี ง ในขอ้ ผดิ พลาดและ ยอมรบั ในขอ้ ผิดพลาด ยอมรับในขอ้ ผดิ พลาด
มจี ิตสาธารณะ บกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง และบกพร่องของตนเอง
พอใจในส่ิงท่ตี นมี พอใจในส่ิงที่ตนมี ไมค่ อ่ ยพอใจในส่ิงทต่ี น
มี
รู้จกั ควบคุมอารมณ์ รู้จกั ควบคมุ อารมณ์ บา้ ง ไม่รู้จกั ควบคุมอารมณ์
ปฏบิ ตั ติ นอยใู่ นระเบียบ ปฏบิ ตั ิตนอยใู่ นระเบยี บ ปฏบิ ตั ติ นอยใู่ นระเบยี บ
วินยั แต่งกายถูกตอ้ ง วนิ ยั การแต่งกายไม่ วินยั นอ้ ย ไมค่ ่อยแต่ง
ตามระเบียบของ คอ่ ยถูกตอ้ งตามระเบียบ กายถูกตอ้ งตามระเบียบ
โรงเรียนตลอดเวลา ของโรงเรียน ของโรงเรียน
มีความมานะมงุ่ มนั่ ใน มคี วามมานะมงุ่ มนั่ ใน ไม่มีความมานะมุ่งมนั่
การทาํ งานทีไ่ ดร้ บั การทาํ งานทไี่ ดร้ ับ ในการทาํ งานท่ีไดร้ บั
มอบหมาย ศึกษา มอบหมาย ศกึ ษา มอบหมาย ไมค่ อ่ ย
คน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง คน้ ควา้ ดว้ ยตนเองเป็น ศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
ทาํ งานเสร็จทนั เวลาและ บางคร้งั ทาํ งานเสร็จ ทาํ งานเสร็จไมท่ นั เวลา
ถกู ตอ้ ง ทนั เวลาเป็นบางคร้ัง
ใชว้ สั ดอุ ปุ กรณก์ ารเรียน ใชว้ สั ดอุ ปุ กรณก์ ารเรียน
ทีร่ าคาถูกและใชอ้ ยา่ ง ใชว้ สั ดอุ ุปกรณก์ ารเรียน ที่ราคาค่อนขา้ งแพงและ
คุม้ ค่าใชจ้ นหมดแลว้ ทีร่ าคาค่อนขา้ งแพงและ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ ใชไ้ ม่
ค่อยซ้ือใหม่ ใชอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ ใชจ้ นหมด หมดแลว้ ซ้ือใหม่
มีความเสียสละเพ่ือ มีความเสียสละเพ่อื ไมค่ อ่ ยเสียสละเพื่อ
ส่วนรวม ไม่เอาเปรียบ ส่วนรวมเป็ นบางคร้ งั ส่วนรวม ชอบเอา
ไมเ่ ห็นแกต่ วั ช่วยเหลอื ไมเ่ อาเปรียบไมเ่ ห็นแก่ เปรียบคนอน่ื ค่อนขา้ ง
หม่คู ณะไดเ้ ป็นอยา่ งดี ตวั ไมค่ อ่ ยช่วยเหลอื เห็นแก่ตวั ไมค่ ่อย
หม่คู ณะ ช่วยเหลือหม่คู ณะ
๑๐. กจิ กรรมเสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
…….………………………………………………………………………………………
………….…………………………………………………………………………………
๑๑. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
๑๑.๑ ผลการจัดการเรียนการสอน
๑. นกั เรียนจาํ นวน.................... คน
ผ่านจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คิดเป็นร้อยละ...............
ไม่ผา่ นจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้.....................คน คิดเป็นร้อยละ................
๒. นกั เรียนมีความรู้ความเข้าใจ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๓. นักเรียนมีความรู้เกดิ ทักษะ
……………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………...
๔. ปัญหา/อปุ สรรค/แนวทางแก้ไข
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
๕. เสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ .....................................ครูผสู้ อน
(นางสุคนธา ณรงคเ์ ดชา)
วนั ……………เดือน…………………ปี ………………….