The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานผลการกำกับติดตามและให้คำปรึกษา การขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำนักต้านทุจริตศึกษา สำนักงาน ป.ป.ช.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

รายงานผลการกำกับติดตามและให้คำปรึกษา การขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565

รายงานผลการกำกับติดตามและให้คำปรึกษา การขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำนักต้านทุจริตศึกษา สำนักงาน ป.ป.ช.

Keywords: การกำกับติดตาม,ต้านทุจริตศึกษา

3) การทุจรติ ในการจดั ซอ้ื จัดจา้ ง
การทุจริตประเภทนี้จะพบได้ทั้งรูปแบบของการสมยอมราคา ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ กำหนด
รายละเอยี ดหรือสเปก็ งาน กำหนดเงอ่ื นไข คำนวณราคากลางออกประกาศประกวดราคา การขายแบบ การรับ
และเปิดซอง การประกาศผล การอนุมัติ การทำสัญญาทกุ ขั้นตอนของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างล้วนมีช่องโหว่
ให้มีการทุจริตกันได้อย่างง่าย ๆ นอกจากนี้ ยังมีการทุจริตที่มาเหนือเมฆคือการอาศัยความเป็นหน่วยงาน
ราชการดว้ ยกัน จงึ ไดร้ ับการยกเว้นและการไม่ถูกเพ่งเลง็ แตค่ วามจริงผลประโยชน์จากการรับงานและเงินท่ีได้
จากการรับงานไม่ไดน้ ำส่งกระทรวงการคลัง แต่เปน็ ผลประโยชน์ของกลุ่มบคุ คล ซ่ึงไมแ่ ตกต่างอะไรกับการจ้าง
บรษิ ัทเอกชน

4) การทจุ รติ ในการใหส้ ัมปทาน
เปน็ การแสวงหาหรือเอ้ือประโยชนโ์ ดยมิชอบจากโครงการหรือกจิ การของรัฐ ซึ่งรัฐได้อนุญาตหรือมอบ
ให้เอกชนดำเนินการแทนให้ลักษณะสัมปทานผูกขาดในกิจการใดกิจการหนึ่ง เช่น การทำสัญญาสัมปทาน
โรงงานสุรา การทำสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม เปน็ ตน้

5) การทจุ ริตโดยการทำลายระบบตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
เป็นการพยายามดำเนินการให้ได้บุคคลซึง่ มีสายสัมพันธ์กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในอันที่จะเขา้
ไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เช่น
คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นต้น ทำให้องค์กร
เหล่านี้มคี วามอ่อนแอ ไมส่ ามารถตรวจสอบการใหอ้ ำนาจรัฐได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ

สาเหตุที่ทำให้เกิดการทจุ ริต
จากการศกึ ษาวจิ ัยโครงการประเมนิ สถานการณ์ดา้ นการทจุ ริตในประเทศไทยของเสาวนีย์ ไทยรุง่ โรจน์
ไดร้ ะบุ เงอื่ นไข/สาเหตทุ ที่ ำให้เกดิ การทุจรติ คอรร์ ปั ชันอาจมาจากสาเหตุภายในหรอื สาเหตุภายนอก ดงั นี้
(1) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ พฤติกรรมส่วนตัวของข้าราชการบางคนที่เป็นคนโลภมาก เห็นแก่ได้
ไมร่ จู้ ักพอ ความเคยชินของข้าราชการที่คนุ้ เคยกับการที่จะได้ “ค่าน้ำร้อนน้ำชา” หรอื “เงนิ ใต้โต๊ะ” จากผู้มาติดต่อ
ราชการ ขาดจิตสำนึกเพื่อสว่ นรวม

(๒) ปจั จัยภายนอก ประกอบดว้ ย
1) ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ รายได้ของข้าราชการน้อยหรือต่ำมากไม่ได้สัดส่วนกับการครองชีพ

ที่สูงขึ้น การเติบโตของระบบทุนนิยมที่เน้นการบริโภค สร้างนิสัยการอยากได้ อยากมี เมื่อรายได้ไม่เพียงพอ
ก็ตอ้ งหาทางใชอ้ ำนาจไปทุจริต

๒) ด้านสังคม ได้แก่ ค่านิยมของสังคมที่ยกย่องคนมีเงิน คนร่ำรวย และไม่สนใจว่าเงินน้ัน
ไดม้ าอย่างไรเกิดลัทธเิ อาอย่าง อยากได้สง่ิ ท่คี นรวยมี เมอ่ื เงนิ เดือนของตนไม่เพยี งพอกห็ าโดยวธิ มี ิชอบ

๓) ด้านวัฒนธรรม ได้แก่ การนิยมจ่ายเงินของนักธุรกิจให้กับข้าราชการที่ต้องการความ
สะดวกรวดเรว็ หรือการบรกิ ารท่ีดีกว่าด้วยการลดต้นทุนที่จะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามระเบียบ

4) ด้านการเมือง ได้แก่ การทุจริตของข้าราชการแยกไม่ออกจากนักการเมือง การร่วมมือ
ของคนสองกลมุ่ น้ีเกดิ ข้นึ ได้ในประเด็นการใช้จ่ายเงนิ การหารายไดแ้ ละการตดั สนิ พจิ ารณาโครงการของรัฐ

๓๒

5) ด้านระบบราชการ ไดแ้ ก่
- ความบกพร่องในการบริหารงานเปิดโอกาสให้เกิดการทุจริต
- การใช้ดุลพนิ จิ มากและการผูกขาดอำนาจจะทำให้อตั ราการทุจริตในหนว่ ยงานสูง
- การทีข่ ้ันตอนของระเบียบราชการมมี ากเกินไป ทำใหผ้ ทู้ ี่ไปติดต่อต้องเสียเวลามาก

จึงเกิดการสมยอมกนั ระหว่างผ้ใู ห้กับผู้รบั
- การตกอยู่ใต้สภาวะแวดล้อมและอิทธิพลของผู้ทุจริตมีทางเป็นไปได้ที่ผู้นั้นจะทำการ

ทุจริตดว้ ย
- การรวมอำนาจ ระบบราชการมลี ักษณะที่รวมศูนย์ ทำใหไ้ ม่มีระบบตรวจสอบท่ีเป็น

จริงและมปี ระสทิ ธภิ าพ
- ตำแหน่งหน้าที่ในลักษณะอำนวยต่อการกระทำผิด เช่น อำนาจในการอนุญาตการอนุมัติ

จดั ซอ้ื จดั จ้าง ผ้ปู ระกอบการเอกชนมกั จะยอมเสยี เงนิ ติดสินบนเจา้ หน้าทเ่ี พอื่ ให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว
- การที่ข้าราชการผู้ใหญ่ทุจริตให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วไม่ถูกลงโทษข้าราชการชั้นผู้น้อย

จึงเลียนแบบกลายเป็นความเคยชิน และมองไม่เห็นว่าการกระทำเหล่านั้นจะเป็นการคอร์รัปชัน หรือมีความ
สบั สนระหวา่ งสนิ น้ำใจกับคอร์รปั ชันแยกออกจากกนั

6) กฎหมายและระเบียบ ไดแ้ ก่
- กฎหมายหลายฉบับทใ่ี ชอ้ ย่ยู งั มี “ช่องโหว่” ทท่ี ำให้เกดิ การทจุ รติ ทด่ี ำรงอยไู่ ด้
- การทุจรติ ไม่ไดเ้ ป็นอาชญากรรมให้คู่กรณีท้ังสองฝ่าย หาพยานหลกั ฐานได้ยากยิ่งกว่าน้ัน

คู่กรณีทั้งสองฝ่ายมักไม่ค่อยมีฝ่ายใดยอมเปิดเผยออกมา และถ้าหากมีฝ่ายใดต้องการที่จะเปิดเผยความจริงใน
เรื่องนี้ กฎหมายหมิ่นประมาทก็ยับยั้งเอาไว้ อีกทั้งกฎหมายของทุกประเทศเอาผิดกับบุคคลผู้ให้สินบนเท่า ๆ กับ
ผรู้ บั สินบน จงึ ไม่คอ่ ยมีผู้ให้สินบนรายใดกลา้ ดำเนินคดีกบั ผู้รับสินบน

- ราษฎรทร่ี ูเ้ ห็นการทจุ ริตก็เป็นโจทย์ฟ้องร้องมไิ ด้เนื่องจากไม่ใชผ่ ู้เสียหาย ย่ิงกว่าน้ัน
กระบวนการพิจารณาพพิ ากษายังยงุ่ ยากซบั ซ้อนจนกลายเป็นผลดีแกผ่ ้ทู ุจริต

- ขั้นตอนทางกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติยุ่งยาก ซับซ้อน มีขั้นตอนมาก ทำให้เกิด
ชอ่ งทางใหข้ า้ ราชการหาประโยชน์ได้

7) การตรวจสอบ ไดแ้ ก่
- ภาคประชาชนขาดความเข้มแข็ง ทำให้กระบวนการต่อต้านการทุจริตจากฝ่ายประชาชน

ไม่เขม้ แข็งเทา่ ทีค่ วร
- การขาดการควบคุมตรวจสอบ ของหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบหรือกำกับดูแล

อย่างจรงิ จงั

8) สาเหตุอ่นื ๆ
- อิทธิพลของภรรยาหรือผู้หญิง เนื่องจากเป็นผู้ใกล้ชิดสามีอันเป็นตัวการสำคัญท่ี

สนับสนุนและสง่ เสริมให้สามขี องตนทำการทจุ ริตเพื่อความเป็นอยู่ของครอบครวั
- การพนัน ทำให้ขา้ ราชการทเ่ี สยี พนันมีแนวโนม้ จะทุจรติ มากขน้ึ

๓๓

ระดบั การทุจรติ ในประเทศไทย
1) การทจุ ริตระดับชาติ เป็นรูปแบบการทุจริตของนักการเมืองท่ีใช้อำนาจในการบริหารราชการ

รวมถึงอำนาจนิติบัญญัติ เป็นเครื่องมือในการออกกฎหมาย แก้ไขกฎหมาย การออกนโยบายต่างๆ โดยการอาศัย
ช่องวา่ งทางกฎหมาย

2) การทุจริตในระดับท้องถิ่น การบริหารราชการในรูปแบบท้องถิ่นเป็นการกระจายอำนาจเพื่อ
ให้บริการต่างๆ ของรัฐสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้มากขึ้น แต่การดำเนินการใน
รูปแบบของท้องถิ่นก็ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตเป็นจำนวนมาก ผู้บริหารท้องถิ่นจะเป็นนักการเมืองที่อยู่ใน
ท้องถิ่นนั้น หรือนักธุรกิจที่ปรับบทบาทตนเองมาเป็นนักการเมือง และเมื่อเป็นนักการเมือง เป็นผู้บริหารท้องถิ่น
แล้วกเ็ ปน็ โอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์สำหรบั ตนเองและพวกพ้องได้

ระดบั การทจุ รติ ในประเทศไทยที่แบง่ ออกเปน็ ระดับชาตแิ ละระดบั ท้องถนิ่ สว่ นใหญม่ กั จะมีรปู แบบการทุจรติ
ที่คล้ายกัน เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การประมูล การซื้อขายตำแหน่ง โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นที่มีข่าวจำนวนมาก
เกี่ยวกับผู้บริหารท้องถิ่นเรียกรับผลประโยชน์ในการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง หรือเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น โดยการ
ทจุ รติ ทีเ่ กิดขึน้ อาจจะไม่ใช่การทุจรติ ท่ีเป็นตัวเงนิ ให้เห็นไดช้ ัดเจนเทา่ ใด แตจ่ ะแฝงตวั อยู่ในรูปแบบต่าง ๆ หาก
ไม่พิจารณาให้ดีแล้วอาจมองได้ว่าการกระทำดังกล่าวไม่ใช่การทุจริต แต่แท้จริงแล้วการกระทำนั้นเป็นการทุจริต
อย่างหนึ่ง และร้ายแรงมากพอที่จะส่งผลกระทบ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคม ประเทศชาติได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น การประเมินผลการปฏิบัติงานซึ่งผู้บังคับบัญชาให้คะแนนประเมินพิเศษแก่ลูกน้องที่ตนเองชอบ
ทำให้ได้รับเงินเดือนในอัตราทีส่ ูงกว่าความเป็นจริงท่ีบุคคลนั้นควรจะได้รบั เป็นต้น การกระทำดังกล่าวถือเปน็
ความผิดทางวินัย ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐจะมีบทบัญญัติเกี่ยวกับประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือนให้ยึดถือ
ปฏบิ ตั ิอยู่แลว้ ซึง่ หากเกิดกรณดี งั กลา่ วขึ้นเท่ากับว่าเป็นการกระทำที่ทุจรติ และประพฤตผิ ิดประมวลจริยธรรมอีกด้วย

สถานการณก์ ารทุจริตของประเทศไทย
การทุจริตที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หากประเทศใดมีการทุจริตน้อยจะส่งผลให้
ประเทศนั้นมีความเป็นอยู่ทีด่ ี นกั ลงทุนมีความต้องการที่จะมาลงทุนในประเทศ ซ่งึ หมายถึงเศรษฐกิจของประเทศ
จะสามารถพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง แต่หากมีการทุจริตเป็นจำนวนมากนักธุรกิจย่อมไม่กล้าที่จะลงทุน
ในประเทศนัน้ ๆ เน่ืองจากต้องเสียค่าใชจ้ ่ายในการทำธุรกิจที่มากกว่าปกติ แต่หากสามารถดำเนนิ ธุรกิจดังกล่าว
ไดผ้ ลท่เี กดิ ขนึ้ ย่อมตกแกผ่ ูบ้ ริโภคทจ่ี ะต้องซ้อื สนิ ค้าและบริการทีม่ ีราคาสงู หรืออกี กรณหี นง่ึ คอื การใช้สินค้าและ
บรกิ ารทีไ่ ม่มคี ุณภาพ ดงั นน้ั จึงไดม้ ีการวัดและจัดอันดับประเทศต่าง ๆ เพอื่ บ่งบอกถึงสถานการณ์การทุจริต ซึ่งการ
ทุจริตที่ผ่านมานอกจากจะพบเห็นข่าวการทุจริตด้วยตนเอง และผ่านสื่อต่าง ๆ แล้ว ยังมีตัวชีว้ ัดทีส่ ำคัญอีกตัวหนงึ่
ที่ไดร้ บั การยอมรับ คอื ตวั ช้ีวดั ขององค์กรเพ่ือความโปร่งใสนานาชาติ (transparency international : TI) ไดจ้ ัด
อันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันประจำปี 2560 พบว่า ประเทศไทยได้ 37 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100
คะแนน อยู่อันดับที่ 96 จากการจัดอันดับทั้งหมด 180 ประเทศทั่วโลก หากเทียบกับปี 2559 ประเทศไทย
ได้คะแนน 35 คะแนน อยู่อนั ดับท่ี 101 เทา่ กับวา่ ประเทศไทย มคี ะแนนความโปรง่ ใสดีข้ึน แตย่ งั แสดงให้เห็น
ว่า ประเทศไทยยังมีการทุจริตคอร์รัปชันอยู่ในระดับสูงซึ่งสมควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยคะแนนที่
ประเทศไทยไดร้ ับตั้งแต่อดีต – ปัจจุบนั ไดค้ ะแนนและลำดบั ดงั นี้

๓๔

เมื่อจัดอันดับประเทศในกลุ่มอาเซียน จำนวน 10 ประเทศ เพื่อเปรียบเทียบดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน
ในปี พ.ศ. 2560 ประเทศสงิ คโปร์ยังคงอนั ดบั หนงึ่ ในกลุม่ อาเซียนเชน่ เดยี วกับ ปี พ.ศ. 2559 ตามตารางด้านลา่ งน้ี

และผลคะแนนดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชัน (Corruption Perception Index : CPI) ในปี พ.ศ.
๒๕๖1 ประเทศไทยได้ 3๖ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน เป็นอันดับที่ 99 จาก 180 ประเทศทั่ว
โลก และเปน็ อนั ดบั ๕ ในประเทศกลมุ่ อาเซียน จำนวน 10 ประเทศ

ในการประเมินดัชนีการรับรู้การทุจริตที่ผ่านมา จะถูกประเมินจากแหล่งข้อมูล 9 แหล่ง ครอบคลุม
ด้านตา่ ง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกจิ การเมือง การจัดการของรฐั บาล ความสามารถในการแขง่ ขันระดบั ประเทศ ความคดิ เห็น
เกีย่ วกบั การรับรู้การทุจรติ ประสิทธิภาพของภาครัฐและภาคเอกชนในการดำเนินงานและการวัดด้านความเป็น
ประชาธิปไตยของประเทศ โดยวัดจากความคิดเห็นของประชาชนว่าประเทศนั้นมคี วามเป็นประชาธิปไตยมาก
น้อยแคไ่ หน เช่น การมีส่วนร่วม ความเป็นเอกฉันท์ การเลอื กตั้ง ความเท่าเทียม ความเปน็ เสรีโดยทั้งหมดนี้จะ
ใช้รปู แบบของการสอบถามจากนักลงทุนชาวต่างชาตทิ ี่เข้ามาทำธรุ กิจในประเทศ

๓๕

ผลกระทบของการทจุ รติ ต่อการพฒั นาประเทศ
การทุจริตมีผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในทุก ๆ ดา้ น เปน็ พื้นฐานทก่ี อ่ ใหเ้ กิดความขัดแย้งของคน
ในชาติ จากการเห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของประเทศ ประชาชนได้รับบริการสาธารณะหรือ
สิ่งอำนวยความสะดวกไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น เงินภาษีของประชาชนตกไปอยู่ในกระเป๋าของผู้ทุจริต และ
ผลกระทบอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้แล้ว หากพิจารณาในแง่การลงทุนจากตา่ งประเทศเพื่อประกอบกิจการตา่ งๆ
ภายในประเทศ พบว่า นักลงทุนต่างประเทศจะมองว่าการทุจริตถือว่าเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนจาก
ต่างประเทศจะใช้ประการพิจารณาการลงทุนประกอบกับปัจจัยด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ หากต้นทุนที่ต้องเสียจาก
การทจุ รติ มีต้นทุนท่ีสูง นักลงทุนจากต่างประเทศอาจพิจารณาตัดสินใจการลงทุนไปยังประเทศอ่ืน ส่งผลให้การจ้าง
งานการสรา้ งรายไดใ้ ห้แก่ประชาชนลดลง เม่อื ประชาชนมรี ายได้ลดลงกจ็ ะสง่ ผลต่อการจัดเก็บภาษีอากรซ่ึงเป็น
รายได้ของรัฐลดลง จึงส่งผลต่อการจัดสรรงบประมาณและการพฒั นาประเทศ

มหาวทิ ยาลยั หอการค้าไทยไดส้ ำรวจดัชนีสถานการณ์คอรร์ ปั ชันไทยจากกลุ่มตัวอยา่ ง 2,400 ตัวอย่าง
จากประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการภาคเอกชน และข้าราชการ/ภาครัฐ เมื่อเดือนมิถุนายน 2559 พบว่า
หากเปรียบเทียบความรุนแรงของปัญหาการทุจริตในปัจจุบันกับปีที่ผ่านมา พบว่า ผู้ที่ตอบว่ารุนแรงเพิ่มข้ึน
มี 38% รนุ แรงเทา่ เดมิ 30% สว่ นสาเหตกุ ารทจุ ริตอันดับหน่ึง คือ กฎหมายเปิดโอกาสใหเ้ จ้าหน้าท่ีใช้ดุลพินิจ
ท่ีเอือ้ ต่อการทุจรติ อันดับสอง ความไมเ่ ข้มงวดของการบังคบั ใช้กฎหมาย อนั ดบั สาม กระบวนการทางการเมือง
ขาดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ยาก ส่วนรูปแบบการทุจริตที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด อันดับหนึ่ง คือ การให้สินบน
ของกำนัล หรอื รางวัล อนั ดับสอง การใช้ชอ่ งโหว่ทางกฎหมายเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตวั อันดบั สาม การใช้
ตำแหน่งทางการเมอื งเพ่ือเอ้ือประโยชน์แก่พรรคพวก

สำหรับความเสียหายจากการทุจริตโดยการประเมินจากงบประมาณรายจ่ายปี 2559 ที่ 2.72 ล้านล้านบาท
ว่า แม้จะมีการจ่ายเงินใต้โต๊ะ แต่อัตราการจ่ายอยู่ทีเ่ ฉลี่ย 1 - 15% โดยหากจ่ายที่ 5% ความเสียหายจะอยู่ท่ี
59,610 ล้านบาท หรอื 2.19% ของงบประมาณ และมผี ลทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง 0.42%
แต่หากจ่ายที่ 15% คิดเป็นความเสียหาย 178,830 ล้านบาท หรือ 6.57% ของเงินงบประมาณ และมีผล
ทำให้เศรษฐกิจลดลง 1.27% โดยการลดการเรียกเงินสินบนลงทุก ๆ 1% จะทำให้มูลค่าความเสียหายจาก
การทจุ รติ ลดลง 10,000 ลา้ นบาท

ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศไทยจะมีหน่วยงานหลักที่ดำเนินการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริต คือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.)
นอกจากนี้ยงั มหี น่วยงานอ่นื ทม่ี ีภารกจิ ในลักษณะเดียวกันหรอื ใกลเ้ คยี งกับสำนักงาน ป.ป.ช. เชน่ สำนักงานการ
ตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ในภาครัฐ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานภาคเอกชนที่ให้ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
อีกหลายหน่วยงาน และสำหรับหน่วยงานภาครัฐในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการประกาศใช้ยุทธศาสตร์ชาติ
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) เพื่อเป็นมาตรการ แนวทางการ
ดำเนินงานทง้ั ของภาครัฐและภาคเอกชน

๓๖

ทิศทางการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ
ประเทศไทยไดม้ คี วามพยายามในการแกไ้ ขปญั หาการทุจรติ มาอย่างต่อเน่อื ง โดยอาศัยความร่วมมือทงั้
หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของเอกชน และภาคประชาชนในการร่วมมือป้องกันและปราบปรามการทุจริต
รวมถึงได้มีการออกกฎหมายลงโทษผู้ที่กระทำความผิด มีการจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
เพ่ือทำหน้าที่ในการดำเนนิ คดีกบั บุคคลท่ีทำการทุจริต นอกจากน้ียังได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการ
ป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ ซ่ึงฉบับปจั จบุ ันเป็นฉบับที่ 3 มีกำหนดใช้ตง้ั แต่ พ.ศ. 2560 – 2564 โดยมี
วิสัยทัศน์ว่า “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต (Zero Tolerance & Clean Thailand) และมีพันธกิจ
คือ สร้างวัฒนธรรมตอ่ ต้านการทุจริต ยกระดับธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการทุกภาคส่วนแบบบูรณาการ และ
ปฏิรูปกระบวนการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริตท้ังระบบให้มีมาตรฐานสากล โดยมรี ายละเอยี ด ดงั นี้

ยทุ ธศาสตรช์ าติวา่ ดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564)
ยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ จำนวน 6 ยุทธศาสตร์ เป็นการดำเนินการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งระบบ ตั้งแต่การป้องกันการทุจริตโดยใช้กระบวนการปลูกฝังคุณธรรม
จริยธรรม ผ่านกิจกรรมและการเรียนการสอน รวมถึงการป้องกันการทุจริตเชิงระบบ นอกจากนี้รวมไปถึงการ
ดำเนินการในส่วนการตรวจสอบทรัพย์สิน ที่เป็นการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ
เจ้าหน้าที่ของรัฐว่าจะมีแนวทางในการดำเนินงานอย่างไร และด้านการปราบปรามการทุจริตเพื่อให้การ
ดำเนินการด้านปราบปรามการทุจริตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับค่า CPI ให้ได้คะแนน
50 คะแนน ตามทีต่ ้ังเปา้ หมายไว้ โดยมรี ายละเอยี ดแตล่ ะยุทธศาสตร์ ดงั น้ี

ยุทธศาสตร์ท่ี 1 : สรา้ งสังคมท่ไี มท่ นต่อการทจุ รติ
มีวัตถุประสงค์ในการปรบั ฐานความคิดทุกช่วงวัยให้มีค่านิยมร่วมต้านทุจริต มีจิตสำนึกสาธารณะและ
สามารถแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม และสร้างกระบวนการกล่อมเกลา
ทางสังคมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างเป็นระบบ รวมถึงการบูรณาการและเสริมพลังการมีส่วนร่วม
ของทกุ ภาคสว่ นในการผลกั ดนั ให้เกดิ สงั คมที่ไม่ทนต่อการทุจริต

ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ยกระดบั เจตจำนงทางการเมืองในการตอ่ ต้านการทจุ ริต
มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจตจำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจรติ ของประชาชนไดร้ ับการปฏิบตั ิให้
เกิดผลอยา่ งเป็นรูปธรรม และเพือ่ รกั ษาเจตจำนงทางการเมืองในการแก้ไขปัญหาการทุจริตให้เป็นส่วนหน่ึงของ
นโยบายรฐั บาลในแต่ละชว่ ง

ยุทธศาสตรท์ ่ี 3 : สกัดกั้นการทจุ รติ เชงิ นโยบาย
มวี ตั ถุประสงค์เพื่อให้กระบวนการนโยบายเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล สามารถกระจายผลประโยชน์
สู่ประชาชนอย่างเป็นธรรม และไม่มีลักษณะของการขัดกันแห่งผลประโยชน์และเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริต
เชงิ นโยบายทุกระดบั

ยทุ ธศาสตร์ที่ 4 : พฒั นาระบบป้องกนั การทุจรติ เชิงรกุ
มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อพฒั นากลไกการปอ้ งกนั การทจุ ริตใหเ้ ทา่ ทันต่อสถานการณ์การทจุ ริต พฒั นากระบวนการ
ทำงานด้านการป้องกันการทุจริต ให้สามารถป้องกันการทุจริตให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง
ในการบูรณาการการทำงานระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการทุจริต และเป็นการป้องกันไม่ให้มีการ
ทุจริตเกดิ ข้ึนในอนาคต

๓๗

ยทุ ธศาสตร์ที่ 5 : ปฏิรูปกลไกและกระบวนการปราบปรามการทจุ รติ
มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและพัฒนากลไกและกระบวนการปราบปรามการทุจริตให้มีความรวดเร็ว
มีประสิทธิภาพ และเท่าทันต่อพลวัตของการทุจริตการตรากฎหมายและปรับปรุงกฎหมายให้กระบวนการ
ปราบปรามการทุจริตมีประสิทธิภาพบูรณาการกระบวนการปราบปรามการทุจริตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทง้ั ระบบและเพ่ือใหผ้ ูก้ ระทำความผดิ ถกู ดำเนินคดแี ละลงโทษอยา่ งเป็นรูปธรรมและเทา่ ทนั ต่อสถานการณ์

ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 6 : ยกระดับคะแนนดชั นกี ารรบั รู้การทจุ ริต
มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทยให้มีระดับร้อยละ 50
ขน้ึ ไป เปน็ เปา้ หมายทตี่ ้องการยกระดบั คะแนนใหม้ ีค่าสูงขน้ึ หากไดร้ ับคะแนนมากจะหมายถึงการท่ปี ระเทศนั้น
มีการทุจริตน้อย ดังนั้น ยุทธศาสตร์ที่ 6 นี้ จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญในการที่จะต้องมุ่งมั่นในการดำเนินการ
ป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต

กรณีตัวอยา่ งผลท่เี กดิ จากการทุจรติ
คดที ุจรติ จัดซ้ือรถและเรือดบั เพลงิ ของกรงุ เทพมหานคร
แต่เดิมภารกิจด้านการดับเพลิงเป็นภารกิจของตำรวจดับเพลิง มีฐานะเป็นกองบังคับการตำรวจดับเพลิง
ปฏิบัติงานทางด้านป้องกันระงับอัคคีภัยและบรรเทาสาธารณภัยจนกระทั้งได้มีแนวคิดที่จะปรับปรุงโครงสรา้ ง
ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของกองบังคับการตำรวจดับเพลิง ให้มีขนาดเล็กลง
โดยมีแนวคิดที่จะโอนภารกิจที่ไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจโดยตรงให้ไปอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานที่มี
หน้าที่รับผิดชอบโดยตรง งานด้านดับเพลิงและกู้ภัย ถือเป็นภารกิจหนึ่งที่มิใช่หน้าที่โดยตรงของสำนักงาน
ตำรวจแห่งชาติ จึงเห็นควรที่จะโอนภารกิจดังกล่าวให้กรุงเทพมหานคร รับไปดำเนินการ โดยเมื่อปี พ.ศ. 2546
คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติถ่ายโอนภารกิจป้องกันและระงับอัคคีภยั ให้กรุงเทพมหานคร
มสี ถานะเปน็ สำนกั ชอื่ ว่า สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

คดีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร มีผู้เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชน
โดยเอกชนที่เข้ามาทำธุรกิจการขายรถและเรือดับเพลิงคือบรษิ ัท ส. โดยเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 บริษัท
สไตเออร์เดมเลอร์พุคสเปเชยี ลฟาห์รซอยก์จำกัด ถูกบริษัท General Dynamics Worldwide Holdings, Inc.
ของสหรัฐอเมริกาซ้ือกิจการทัง้ หมด แต่ยังคงเป็นบรษิ ัทถูกต้องตามกฎหมายของประเทศออสเตรีย บริษัทสไตเออร์เดม
เลอร์พุคสเปเชียลฟาห์รซอยก์ จำกัด ว่าจ้างบริษัท Somati Vehicle N.V. ของประเทศเบลเยี่ยมเป็นผู้รับจ้าง
จัดหาผลิตและประกอบรถดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย (ยกเว้นเรือดับเพลิง) ให้กับ
กรุงเทพมหานคร โดยไดร้ บั คา่ จ้างผลติ ราว 28 ลา้ นยูโร หรือราว 1,400 ล้านบาท บรษิ ัท สไตเออรฯ์ จงึ ไม่ใช่
ผู้ผลิตและประกอบสินค้าเพื่อเสนอขายโดยตรง แต่เป็นเพียงนายหน้าและบริหารจัดการในการจัดหาสินค้า
ให้กับกรงุ เทพมหานครเท่านั้น

ในช่วงเดือนมิถุนายน 2546 เอกอัครราชทูตออสเตรียประจำประเทศไทยได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอโครงการขายรถดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของ บริษัท สไตเออร์
เดมเลอร์พุคสเปเชียลฟาห์รซอยก์ จำกัด โดยเป็นข้อเสนอให้ดำเนินการในลักษณะรัฐต่อรัฐ และบริษัท สไต
เออร์ฯ ได้เชิญนาย ป. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยดูงานโรงงานผลิตของบริษัท MAN ซึ่งผลิตตัว
รถดับเพลิงให้ บริษัท สไตเออร์ฯ ที่ประเทศออสเตรียและเบลเยี่ยม และนาย ส. ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ได้อนุมัติ โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เพื่อใช้ในกิจการดับเพลิง ตามที่ พล.ต.ต. อ. ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและ
บรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานครเสนอ ได้แก่ รถดับเพลิงชนดิ ตา่ ง ๆ และรถบรรทกุ น้ำ รวม 315 คนั และ

๓๘

เรือดับเพลิง 30 ลำตลอดจนอุปกรณ์สาธารณภัยอื่น ๆ ซึ่งตรงกันกับรายการในใบเสนอราคาของบริษัท สไต
เออร์ฯ ผ่านเอกอัครราชทูตออสเตรีย จากนั้นคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการโดยมีการจัดทำ A.O.U.
(Agreement of Understanding) และ ข้อตกลงซื้อขาย (Purchase/Sale Agreement) โดยทูตพาณิชย์แห่ง
สาธารณรัฐออสเตรียยื่นร่าง A.O.U. ให้แก่ พล.ต.ต. อ. ซึ่งนำเสนอต่อนาย ส. โดยตรงโดยไม่ผ่านปลัด
กรุงเทพมหานคร นาย ส. ลงนามรับทราบบนั ทึกและ เสนอต่อนาย ภ. รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทย และ
หลังจากที่ได้มกี ารลงนามรว่ มกนั คณุ หญงิ ณ. ปลัดกรุงเทพมหานคร ได้ส่งร่างขอ้ ตกลงซื้อขายยานพาหนะและ
อุปกรณ์ดับเพลิงระหว่างกรุงเทพมหานครกับ บริษัท สไตเออร์ฯ ให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาตามข้อบัญญัติ
กรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. 2538 และ คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย
(กรุงเทพมหานคร) ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงในวงเงิน
6,687,489,000 บาท และอนุมัติวงเงินเพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าธรรมเนียมในการเปิด Letter of Credit (L/C)
อีกจำนวน 20,000,000 บาท หรือตามจำนวนที่จ่ายจริง รวมทั้งให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับ
การค้าตา่ งตอบแทนตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 20 ก.ค. 2547 โดยให้เนน้ ไกต่ ม้ สุกเป็นสนิ ค้าท่ีจะดำเนินการเป็น
ลำดับแรก

ในปี พ.ศ. 2547 ได้มีการเปลี่ยนแปลงผ้วู ่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นนาย อ. และก่อนมอบหมายงาน
ในหน้าที่ให้กับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ นาย ส. ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนเดิมได้มี
หนังสือถึงผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ขอเปิด L/C วงเงิน 133,749,780 ยูโรให้กับบริษัท สไตเออร์ฯ โดย
กรุงเทพมหานครชำระค่าธรรมเนียม เป็นเงิน 20,000,000 บาท และมอบอำนาจให้ พล.ต.ต.อ. ผู้อำนวยการ
สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานครเป็นผู้ดำเนินการและลงนาม ในปี พ.ศ. 2548
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำเนนิ การไต่สวนการดำเนินการดังกล่าวของกรุงเทพมหานคร และย่นื ฟ้องต่อศาลฏีกา
แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จากการกระทำดังกล่าว ที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดผลกระทบท่ี
เสียหายและรุนแรง โดยราคาของรถและเรือดับเพลิงที่กรุงเทพมหานครซื้อมานั้นมีราคาที่สูงมาก ส่งผลให้รัฐ
สญู เสียงบประมาณไปอย่างน่าเสยี ดาย ซ่ึงความเสียหายทเ่ี กิดขึ้นมีดังนี้

๓๙

จากตารางขา้ งต้น แสดงใหเ้ ห็นถงึ ความเสยี หายทเี่ กิดขึ้นจากการทุจริต ความเสยี หายทเ่ี กิดข้ึนนอกจาก
จะสามารถแสดงเป็นตัวเลขให้ได้เหน็ ว่าสูญเสียงบประมาณจำนวนเทา่ ไร แต่การสูญเสียดังกล่าวแทนที่รัฐ และ
ประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์จากรถและเรือดับเพลิง ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
โดยเฉพาะอคั คภี ยั ไดเ้ ป็นอย่างดี แตเ่ มื่อมีการทุจริตแลว้ ยังส่งผลให้ไม่สามารถนำรถและเรือดบั เพลิงมาใช้งานได้
เท่ากับว่าสูญเสียงบประมาณแล้วยังไม่สามารถนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้อีก ซึ่งหากเกิดอัคคีภัยเกิดข้ึน
อุปกรณต์ า่ ง ๆ ที่มอี ยอู่ าจไมเ่ พยี งพอตอ่ การใช้งาน ส่งผลให้เกิดความเสียหายอยา่ งตอ่ เน่อื งจากเหตนุ ้ันๆ อีก

๔๐

ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต
การสรา้ งสงั คมที่ไม่ทนต่อการทุจริต เปน็ การปรบั เปลี่ยนสภาพสังคมใหเ้ กิดภาวะ “ทไี่ มท่ นต่อการทุจริต”
โดยเร่ิมตั้งแต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในทุกชว่ งวัย เพือ่ สรา้ งวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต และปลูกฝัง
ความพอเพียง มีวินัย ซื่อสัตย์สุจริต ความเป็นพลเมืองดี มีจิตสาธารณะ ผ่านทางสถาบันหรือกลุม่ ตัวแทนที่ทำ
หน้าที่ในการกล่อมเกลาทางสังคม เพื่อให้เด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ เกิดพฤติกรรมที่ละอายต่อการกระทำความผิด
การไม่ยอมรบั และตอ่ ต้านการทุจริตทุกรูปแบบ

ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ ริต คอื อะไร
คำว่า “ความละอาย” และ “ความไมท่ น” ได้มกี ารใหค้ วามหมายไว้ ดังน้ี
พจนานกุ รมราชบัณฑิตยสถาน ใหค้ วามหมายของคำว่าละอาย หมายถงึ การรู้สกึ อายทจี่ ะทำในส่งิ ที่ไม่ถูก
ไมค่ วร เชน่ ละอายทีจ่ ะทำผิด ละอายใจ
ความละอาย เป็นความละอายและความเกรงกลัวต่อสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม เพราะเห็นถึง
โทษหรือผลกระทบที่จะได้รับจากการกระทำนั้น จึงไม่กล้าที่จะกระทำ ทำให้ตนเองไม่หลงทำในส่ิงที่ผดิ นั่นคอื
มีความละอายใจ ละอายต่อการทำผิด
พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า ทน หมายถึง การอดกลั้นได้ ทานอยู่ได้ เช่น
ทนด่า ทนทกุ ข์ ทนหนาว ไม่แตกหกั หรอื บุบสลายงา่ ย
ความอดทน คือ การรู้จักรอคอยและคาดหวัง เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นคง แน่วแน่ต่อสิ่งที่รอ
คอยหรือส่ิงทีจ่ ูงใจใหก้ ระทำในสิ่งทไ่ี ม่ดี
ไมท่ น หมายถงึ ไม่อดกลน้ั ไมอ่ ดทน ไม่ยอม
ดังนั้น ความไม่ทน หมายถึง การแสดงออกต่อการกระทำที่เกิดขึ้นกับตนเอง บุคคลที่เกี่ยวข้องหรือ
สังคมในลักษณะที่ไม่ยินยอม ไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ความไม่ทนสามารถแสดงออกได้หลายลักษณะทั้งใน
รปู แบบของกริยาทา่ ทางหรือคำพดู
ความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ หรอื การกระทำท่ีไม่ถูกต้อง ต้องมีการแสดงออกอย่างใดอยา่ งหนึง่ เกดิ ขึ้น เชน่
การแซงคิวเพ่ือซือ้ ของ การแซงคิวเป็นการกระทำทีไ่ ม่ถูกตอ้ ง ผู้ถูกแซงควิ จึงต้องแสดงออกให้ผู้ท่ีแซงคิวรบั รูว้ ่า
ตนเองไม่พอใจ โดยแสดงกิริยาหรือบอกกล่าวให้ทราบ เพื่อให้ผู้ที่แซงคิวยอมที่จะต่อท้ายแถว กรณีนี้แสดงให้
เหน็ ว่าผู้ท่ีถูกแซงคิว ไมท่ นตอ่ การกระทำท่ไี มถ่ ูกต้อง และหากผทู้ ี่แซงควิ ไปต่อแถวก็จะแสดงให้เห็นว่าบุคคลนั้น
มีความละอายต่อการกระทำท่ีไมถ่ ูกต้อง เป็นต้น
ความไม่ทนตอ่ การทจุ ริต บุคคลจะมคี วามไม่ทนต่อการทุจริตมาก – น้อย เพยี งใด ขึ้นอยู่กบั จติ สำนกึ ของ
แต่ละบุคคลและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ แล้วมีพฤติกรรมที่แสดงออกมา ซึ่งการแสดงกริยา
หรือการกระทำจะมีหลายระดับ เช่น การว่ากล่าวตักเตือน การประกาศให้สาธารณชนรับรู้ การแจ้งเบาะแส
การร้องทุกข์กล่าวโทษ การชุมนุมประท้วงซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่รุนแรงที่สุด เนื่องจากมีการรวมตัวของคน
จำนวนมากและสร้างความเสยี หายอยา่ งมากเช่นกัน
ความไม่ทนของบุคคลต่อสิ่งตา่ ง ๆ รอบตัวที่ส่งผลในทางไม่ดีตอ่ ตนเองโดยตรง สามารถพบเห็นไดง้ ่าย
ซึ่งปกติแล้วทุกคนมักจะไม่ทนต่อสภาวะ สภาพแวดล้อมที่ไม่ดีและส่งผลกระทบต่อตนเองแล้ว มักจะแสดง
ปฏิกริ ิยาออกมา แตก่ ารทบ่ี คุ คลจะไม่ทนต่อการทจุ รติ และแสดงปฏกิ ิรยิ าออกมาน้ันอาจเป็นเร่ืองยาก เนื่องจาก
ปัจจุบันสังคมไทยมีแนวโน้มยอมรับการทุจริต เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์หรือให้งานสามารถดำเนินต่อไปสู่
ความสำเรจ็ ซ่งึ การยอมรับการทุจรติ ในสงั คมไม่เวน้ แมแ่ ต่เด็กและเยาวชน และมองว่าการทุจรติ เป็นเร่ืองไกลตัว
และไม่มีผลกระทบกบั ตนเองโดยตรง

๔๑

ลักษณะของความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ
ลักษณะของความละอายสามารถแบ่งได้ 2 ระดับ คือ ความละอายระดับต้น หมายถึง ความละอาย
ไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่ผิด เนื่องจากกลัวว่าเมื่อตนเองได้ทำลงไปแล้วจะมีคนรับรู้ หากถูกจับได้จะได้รับการ
ลงโทษหรือได้รับความเดือดร้อนจากสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไป จึงไม่กล้าที่จะกระทำผิด และในระดับที่สองเป็น
ระดับทสี่ งู คือแม้วา่ จะไม่มีใครรับรู้หรือเห็นในส่ิงทีต่ นเองไดท้ ำลงไป ก็ไมก่ ลา้ ที่จะทำผิด เพราะนอกจากตนเอง
จะได้รับผลกระทบแล้ว ครอบครัว สังคมก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทั้งชื่อเสียงของตนเองและครอบครวั
ก็จะเสื่อมเสีย บางครั้งการทุจริตบางเรื่องเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การลอกข้อสอบ อาจจะไม่มีใครใส่ใจหรือ
สงั เกตเหน็ แตห่ ากเปน็ ความละอายข้ันสงู แลว้ บุคคลนนั้ กจ็ ะไมก่ ล้าทำ
สำหรับความไม่ทนต่อการทุจริต จากความหมายที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ เป็นการแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่ง
เกิดขึ้น เพื่อให้รับรู้ว่าจะไม่ทนต่อบุคคลหรือการกระทำใดๆ ที่ทำให้เกิดการทุจริต ความไม่ทนต่อการทุจริต
สามารถแบ่งระดับต่าง ๆ ได้มากกว่าความละอาย ใช้เกณฑ์ความรุนแรงในการแบ่งแยก เช่น หากเพื่อนลอก
ขอ้ สอบเรา และเราเห็นซึง่ เราจะไม่ยินยอมใหเ้ พ่ือนทุจรติ ในการลอกข้อสอบ เราก็ใช้มือหรือกระดาษมาบังส่วน
ทีเ่ ป็นคำตอบไว้ เชน่ นกี้ ็เปน็ การแสดงออกถงึ การไม่ทนต่อการทจุ รติ นอกจากการแสดงออกดว้ ยวธิ ดี งั กล่าวท่ีถือ
เป็นการแสดงออกทางกายแล้ว การว่ากล่าวตักเตือนต่อบุคคลที่ทุจริต การประณาม การประจาน การชุมนุม
ประทว้ ง ถอื วา่ เปน็ การแสดงออกซึ่งการไม่ทนต่อการทจุ รติ ทั้งสิ้น แต่จะแตกต่างกันไปตามระดับของการทุจริต
ความตื่นตัวของประชาชน และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทุจริต โดยท้ายบทนี้ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่มี
สาเหตมุ าจากการทจุ ริตทำให้ประชาชนไม่พอใจและรวมตัวตอ่ ต้าน
ความจำเป็นของการที่ไม่ทนต่อการทุจริตถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการทุจริตไม่ว่าระดับเล็กหรือใหญ่
ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคม ประเทศชาติ ดังเช่นตัวอยา่ งคดีรถและเรือดับเพลิงของกรงุ เทพมหานคร
ผลของการทุจริตสร้างความเสียหายไว้อย่างมาก รถและเรือดับเพลิงก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ รัฐต้องสูญเสีย
งบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ และประชาชนเองกไ็ มไ่ ดใ้ ช้ประโยชน์ดว้ ยเชน่ กัน หากเกดิ เพลิงไหม้พร้อมกัน
หลายแห่ง รถ เรอื และอปุ กรณด์ ับเพลิงจะไม่มีไม่เพียงพอท่ีจะดับไฟได้ทันเวลา เพยี งแค่คิดจากมลู ค่าความเสียหาย
ที่รัฐสูญเสียงบประมาณไปยังไม่ได้คิดถึงความเสียหายที่เกิดจากความเดือดร้อนหากเกิดเพลงไม้แล้วถือเป็น
ความเสียหายที่สูงมาก ดังนั้น หากยังมีการปล่อยให้มีการทุจริต ยินยอมให้มีการทุจริตโดยเห็นวา่ เป็นเรือ่ งของ
คนอื่น เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองแล้ว สุดท้ายความสูญเสียที่จะได้รับตนเองก็ยังคงที่จะ
ไดร้ บั ผลนน้ั อย่แู ม้ไมใ่ ช่ทางตรงกเ็ ป็นทางอ้อม
ดงั นั้น การท่บี คุ คลจะเกิดความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริตได้ จำเปน็ อย่างย่งิ ทจ่ี ะต้องสร้างให้
เกดิ ความตระหนักและรับรู้ถงึ ผลกระทบทเี่ กิดข้ึนจากการทจุ รติ ในทุกรูปแบบ ทุกระดับ ซง่ึ หากสังคมเป็นสังคม
ที่มีความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริตแล้ว จะทำให้เกดิ สงั คมที่น่าอยู่ และมีการพฒั นาในทุกๆ ดา้ น

การลงโทษทางสงั คม (Social Sanctions)
คำว่า “การลงโทษโดยสังคม” หรือเรียกว่า “การลงโทษทางสังคม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า
“Social Sanction”
พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยาฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2532 : 361 - 362) ได้ให้ความหมายของ
คำวา่ “Social Sanctions” เปน็ ภาษาไทยว่า สทิ ธานมุ ตั ทิ างสงั คม หมายถงึ การขูว่ ่าจะลงโทษหรือการสัญญา
ว่าจะให้รางวัลตามที่กลุ่มกำหนดไว้สำหรับการประพฤติปฏิบัติของสมาชิกเพื่อชักนำให้สมาชิกกระทำตาม
ขอ้ บังคับและกฎเกณฑ์

๔๒

Radcliffe-Brown (1952 : 205) อธิบายการลงโทษโดยสังคมว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทางสังคม
อยา่ งหน่งึ และเป็นการแสดงออกถึงพฤติกรรมท่ีเปน็ ด้านตรงกันขา้ มระหว่างการเห็นชอบกับการไม่เห็นชอบพูด
อีกอย่างหนึ่งก็คือการลงโทษโดยสังคมนั้นมีคุณลักษณะวิภาษ (Dialectic) คือมีทั้งด้านบวกและด้านลบอยู่
ภายใน ความหมายของตัวเองสำหรับการลงโทษโดยสังคมเชิงบวก (Positive Social Sanctions) จะอยู่ในรูป
ของการให้การสนับสนุนหรือการสร้างแรงจูงใจฯลฯ ให้แก่ปัจเจกบุคคลและสังคมให้ประพฤติปฏิบัติให้
สอดคล้องกบั ปทสั ถานของชุมชนหรือของสังคมจากการศึกษายังพบดว้ ยว่าการลงโทษโดยสังคมเชิงบวกนั้นอาจ
เปน็ การสร้างแรงจูงใจให้แก่สงั คม เพอื่ ยกระดบั ปทสั ถานของสังคมในระดบั ท้องถน่ิ ให้ไปสอดคล้องกับปทัสถาน
ใหม่ในระดบั ระหวา่ งประเทศ

Whitmeyer (2002 : 630-632) กล่าวว่า การลงโทษโดยสังคม มีทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เป็นการ
ทำงานตามกลไกของสังคม การลงโทษโดยสังคมเป็นมาตรการควบคุมทางสังคมที่ต้องการให้สมาชิกในสังคม
ประพฤติปฏิบัติตามมาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ที่สังคมยอมรับร่วมกัน เมื่อสมาชิกปฏิบัติตามก็จะมีการให้รางวัล
เปน็ แรงจูงใจ และลงโทษเมอื่ สมาชกิ ไม่ปฏบิ ัตติ ามกฎเกณฑ์ของสงั คมและจะแสดงการไม่ยอมรับสมาชิกคนหนึ่ง
หรอื กลุ่มคนกลมุ่ หนึง่

โดยสรปุ แล้ว การลงโทษโดยสังคม (Social Sanction) หมายถึง ปฏกิ ริ ิยาปฏิบตั ทิ างสังคม เปน็ มาตรการ
ควบคุมทางสงั คมท่ตี ้องการใหส้ มาชกิ ในสังคมประพฤติปฏบิ ัติตามมาตรฐานหรือกฎเกณฑท์ ่ีสังคมกำหนด โดยมี
ทั้งด้านลบและด้านบวก การลงโทษโดยสังคมเชิงลบ (Negative Social Sanction) เป็นการลงโทษ โดยการ
กดดันและแสดงปฏิกิริยาต่อต้านพฤติกรรมของบุคคลท่ีไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคม ทำให้บุคคลนั้นเกิด
ความอับอายขายหน้า สำหรับการลงโทษโดยสังคมเชิงบวกหรือการกระตุ้นสังคมเชิงบวก (Positive Social
Sanction) เป็นการแสดงออกในเชิงสนับสนนุ หรือให้รางวัลเปน็ แรงจูงใจ เพอ่ื ใหบ้ ุคคลในสังคมประพฤติปฏิบัติ
ตามกฎเกณฑ์ของสงั คม

การลงโทษทางสังคม เป็นการลงโทษกับบุคลท่ีปฏิบัติตนฝ่าฝืนกับธรรมเนียม ประเพณี หรือแบบแผน
ที่ปฏิบัติต่อๆ กันมาในชุมชน มักใช้ในลักษณะการลงโทษทางสังคมเชิงลบมากกว่าเชิงบวก การฝ่าฝืนดังกล่าว
อาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ด้วยธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานั้นถูกละเมิด ถูกฝ่าฝืน หรือถูกดูหมิ่นเกี่ยวกับ
ความเชื่อของชุมชน ก็จะนำไปสู่การต่อต้านจากคนในชุมชน แม้ว่าการฝ่าฝืนดังกล่าวจะไม่ผิดกฎหมายก็ตาม
และที่สำคัญไปกว่านั้น หากการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายด้วยแล้ว อาจสร้างให้เกิดความไม่พอใจขึ้นได้ไม่
เพียงแตใ่ นชุมชนนั้น แต่อาจเก่ยี วเนื่องไปกับชุมชนอืน่ รอบข้าง หรอื เป็นชมุ ชนท่ีใหญ่ท่สี ุด น่ันคือ ประชาชนทั้ง
ประเทศซ่ึงการลงโทษทางสงั คมมที ้ังดา้ นบวกและดา้ นลบ ดงั นี้

การลงโทษโดยสังคมเชิงบวก (Positive Social Sanctions) จะอยูใ่ นรปู ของการให้การสนับสนุนหรือ
การสร้างแรงจูงใจ หรือการให้รางวัล ฯลฯ แก่บุคคลและสังคม เพื่อให้ประพฤติปฏิบัติสอดคล้องกับปทัสถาน
(Norm) ของสังคมในระดบั ชุมชนหรอื ในระดับสังคม

การลงโทษโดยสังคมเชิงลบ (Negative Social Sanctions) จะอยู่ในรูปแบบของการใช้มาตรการ
ต่าง ๆ ในการจัดระเบียบสังคม เช่น การว่ากล่าวตักเตือน ซึ่งเป็นมาตรการขั้นต่ำสุดเรื่อยไปจนถึงการกดดัน
และบีบคั้นทางจิตใจ (Moral Coercion) การต่อต้าน (Resistance) และการประท้วง (Protest) ในรูปแบบ
ตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะโดยปัจเจกบคุ คลหรอื การชุมนุมของมวลชน

การลงโทษทางสังคมทางลบ จะสร้างให้เกิดการลงโทษต่อบุคคลที่ถูกกระทำ การลงโทษประเภทนี้
เปน็ ลงโทษเพอื่ ให้หยุดกระทำในสงิ่ ท่ีไม่ถกู ต้อง และบุคคลท่ีถูกลงโทษจะเกิดการเข็ดหลาบ ไมก่ ล้าท่ีจะทำในส่ิงน้ันอีก
การลงโทษประเภทนีม้ ีความรุนแรงแตกต่างกนั ต้งั แต่ การว่ากลา่ วตักเตือน การนินทา การประจาน การชมุ นมุ ขับไล่
ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการไม่ทน ไม่ยอมรับต่อสิ่งที่บุคคลอื่นได้กระทำไป ดังนั้น เมื่อมีใครที่ทำพฤติกรรม
เหล่านนั้ ขึน้ จึงเปน็ การสรา้ งให้เกดิ ความไม่พอใจแกบ่ ุคคลรอบขา้ ง หรอื สงั คม จนนำไปสู่การตอ่ ต้านดงั กล่าว

๔๓

การลงโทษทางสังคมจะมีความรุนแรงมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของบุคคลนั้นว่าร้ายแรง
ขนาดไหน หากเปน็ เรือ่ งเล็กน้อยจะถูกต่อตา้ นน้อย แตห่ ากเรือ่ งนั้นเป็นเร่ืองร้ายแรง เรือ่ งท่เี กดิ ขึน้ ประจำ หรือ
มีผลกระทบต่อสังคม การลงโทษก็จะมีความรุนแรงมากขึ้นด้วย เช่น หากมีการทุจริตเกิดขึ้นก็อาจนำไปเป็น
ประเด็นทางสังคมจนนำไปสู่การต่อต้านจากสังคมได้ เพราะการทุจริตถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมาย
และผิดต่อศีลธรรม บ่อยครั้งที่มีการทุจริตเกิดขึ้นจนเป็นสาเหตุของการชุมนุมประท้วง เพื่อกดดัน ขับไล่ให้
บุคคลนั้นหยุดการกระทำดังกล่าว หรือการออกจากตำแหน่งนั้น ๆ หรือการนำไปสู่การตรวจสอบและลงโทษ
โดยกฎหมาย โดยในหัวขอ้ สุดท้ายของชุดวิชานี้ ไดน้ ำเสนอตวั อย่างท่ีได้แสดงออกถึงความไม่ทนต่อการทุจริตท่ี
มกี ารชุมนมุ ประท้วงบางเหตุการณ์ผู้ที่ถูกกล่าวหาได้ลาออกจากตำแหน่ง ซงึ่ การลาออกจากตำแหน่งนั้นถือเป็น
ความรับผิดชอบอยา่ งหนง่ึ และเปน็ การแสดงออกถงึ ความละอายในสงิ่ ท่ีตนเองไดก้ ระทำ

ตวั อยา่ งความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต
การทจุ รติ มีผลกระทบต่อการพฒั นาประเทศ ทำให้เกิดความเสยี หายอย่างมากในดา้ นตา่ งๆ หากนำเอา
เงนิ ที่ทุจริตไปมาพัฒนาในส่วนอื่น ความเจริญหรือการได้รับโอกาสของผู้ท่ีด้อยโอกาสก็จะมีมากข้ึน ความเหล่ือมล้ำ
ทางด้านโอกาส ทางด้านสังคม ทางด้านการศึกษา ฯลฯ ของประชาชนในประเทศก็จะลดน้อยลง ดังที่เห็นใน
ปัจจุบันว่าความเจริญต่าง ๆ มักอยู่กับคนในเมืองมากกว่าชนบท ทั้งๆ ที่คนชนบทก็คือประชาชนส่วนหนึ่ง
ของประเทศ แต่เพราะอะไรทำไมประชาชนเหล่านั้นถึงไม่ได้รับโอกาสให้ทัดเทียมหรือใกล้เคียงกับคนในเมือง
ปัจจัยหนงึ่ คือการทจุ ริต สาเหตุการเกิดทุจรติ มหี ลายประการตามที่กลา่ วมาแลว้ ข้างต้น แต่ทำอย่างไรถึงทำให้มี
การทุจรติ ได้มาก อยา่ งหนึง่ คือการลงทุน เม่ือมีการลงทนุ ก็ย่อมมีงบประมาณ เม่ือมีงบประมาณก็เป็นสาเหตุให้
บุคคลที่คิดจะทจุ รติ สามารถหาช่องทางดังกล่าวในทางทุจริตได้ แม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายหลายฉบับเพอื่
ป้องกันการทุจริตปราบปรามการทุจริต แต่นั่นก็คือตัวหนังสือที่ได้เขียนเอาไว้ แต่การบังคับใช้ยังไม่จริงจัง
เท่าที่ควร และยิ่งไปกว่านั้นหากประชาชนเห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับตนเองก็มักจะไปอยากเข้าไป
เกี่ยวข้อง เนื่องจากตนเองก็ไม่ได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่การคิดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิด เนื่องจากว่าตนเอง
อาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงต่อการที่มีคนทุจริต แต่โดยอ้อมแล้วถือว่าใช่ เช่น เมื่อมีการทุจริตมาก
งบประมาณของประเทศทจ่ี ะใชพ้ ัฒนาหรอื ลงทุนกน็ อ้ ย อาจสง่ ผลใหป้ ระเทศไม่สามารถจ้างแรงงานหรือลงทุนได้
ความเสียหายที่เกิดจากการทุจริต หากเป็นการทจุ ริตในโครงการใหญ่ ๆ แล้ว ปริมาณเงินท่ีทุจรติ ย่อม
มีมากความเสียหายก็ยอ่ มมีมากตามไปด้วย โดยในบทนี้ไดย้ กกรณีตัวอย่างที่เกิดขึน้ จากการทุจริตไว้ในท้ายบท
ซง่ึ จะเหน็ ไดว้ า่ ความเสยี หายทเ่ี กิดขนึ้ น้นั มีมูลค่ามากมาย และน้เี ปน็ เพยี งโครงการเดยี วเทา่ น้นั หากรวมเอาการ
ทุจริตหลาย ๆ โครงการ หลาย ๆ กรณีเข้าด้วยกัน จะพบว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมานั้นมากมายมหาศาล
ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ประชาชนจะต้องมีความตื่นตัวในการที่จะร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการ
ทุจริต การร่วมมือกันในการเฝ้าระวังเหตุการณ์ สถานการณ์ที่อาจเกิดการทุจริตได้ เมื่อประชาชนรวมถึง
ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ มีความตื่นตัวที่จะร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ปัญหาการทุจริตจะถือเป็น
ปัญหาเพียงเล็กน้อยของประเทศไทย เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรก็จะมีการสอดส่อง ติดตาม เฝ้าระวังเรื่องการ
ทุจริตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแล้วสิ่งสำคัญสิ่งแรกที่จะต้องสร้างให้เกิดขึ้น คือ ความตระหนักรู้ถึงผลเสียที่เกิดขน้ึ
จากการทุจริต สร้างให้เกิดความตื่นตัวต่อการปราบปราบการทุจริต การไม่ทนต่อการทุจริต ให้เกิดข้ึน
ในสงั คมไทย
เมอ่ื ประชาชนในประเทศมคี วามตืน่ ตัวท่วี า่ “ไม่ทนตอ่ การทุจรติ ” แล้ว จะทำใหเ้ กดิ กระแสการต่อต้าน
ต่อการกระทำทุจริต และคนที่ทำทุจริตก็จะเกิดความละอายไม่กล้าที่จะทำทุจริตต่อไป เช่น หากพบเห็นว่ามี
การทุจริตเกดิ ข้ึนอาจมีการบันทึกเหตุการณห์ รือลกั ษณะการกระทำ แล้วแจ้งข้อมูลเหลา่ นั้นไปยงั หนว่ ยงานหรือ
สื่อมวลชนเพื่อร่วมกันตรวจสอบการกระทำที่เกิดขึ้น และยิ่งในปัจจุบันเป็นสังคมสมัยใหม่ และกำลังเดินหน้า
ประเทศไทยก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 แต่การจะเป็น 4.0 ให้สมบูรณ์แบบได้นั้น ปัญหาการทุจริตจะต้องลดน้อย

๔๔

ลงไปด้วย เมื่อประชาชนมีความตื่นตัวต่อการที่ไม่ทนต่อการทุจริตแล้ว ผลที่เกิดขึ้นจะเป็ นอย่างไร ตัวอย่าง
ที่จะนำมากลา่ วถึงต่อไปน้เี ป็นกรณีที่เกิดขน้ึ ในต่างประเทศ แสดงให้เหน็ ถึงความไม่ทนต่อการทุจริตที่ประชาชน
ได้ลกุ ข้ึนมาต่อสู้ ตอ่ ต้านต่อนักการเมืองที่ทำทุจริต จนนำในท่สี ดุ นักการเมืองเหล่านั้นหมดอำนาจทางการเมือง
และได้รบั บทลงโทษท้ังทางสงั คมและทางกฎหมาย ดงั นี้

1. ประเทศเกาหลใี ตเ้ กาหลีใตถ้ อื เปน็
ประเทศหนงึ่ ทปี่ ระสบความสำเรจ็ ในด้านของ
การป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่ก็
ยังคงมีปัญหาการทุจริตเกิดข้ึนอยู่บ้าง เช่น

เมื่อปีพ.ศ. 2559 มีข่าวกรณีของ
ประธานาธบิ ดีถูกปลดออกจากตำแหนง่ เพราะ
เข้าไปมสี ่วนเกยี่ วข้องในการเออื้ ประโยชนใ์ ห้
พวกพ้อง โดยการถูกกลา่ วหาวา่ ให้เพื่อนสนิท
ของครอบครัวเข้ามาแทรกแซงการบรหิ ารประเทศ
รวมถึงใช้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ผลท่ีเกิดขึ้นคือถูกดำเนินคดีและ
ตั้งข้อหาว่าพัวพันการทุจริตและใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบเพื่อเอื้อผลประโยชนใ์ ห้แกพ่ วกพ้อง กรณีที่เกิดขึ้นน้ี
ประชาชนเกาหลีใต้ได้มีการรวมตัวกันประท้วงกว่าพันคนเรียกร้องให้ประธานาธิบดีคนดังกล่าวลาออกจากตำแหน่ง
หลงั มเี หตอุ ้อื ฉาวทางการเมอื ง

อีกกรณีที่จะกล่าวถึงเพื่อเป็นตัวอย่างการต่อต้านการกระทำที่ไม่ถูกต้อง คือ การที่นักศึกษาคนหนึ่งได้
เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยทั้งที่ผลคะแนนที่เรียนมานั้นไม่ได้
สูง และการที่คุณสมบัติของนักศึกษาดังกล่าวมีคุณสมบัติไม่
ตรงกบั การคัดเลือกโควต้านักกีฬาที่กำหนดไวว้ ่าจะต้องผ่าน
การแข่งขันประเภทเดี่ยว แต่นักศึกษาคนดังกล่าวผ่านการ
แข่งขันประเภททีม เท่ากับว่าคุณสมบัติไม่ถูกต้องแต่ได้
รับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดังกล่าว การกระทำเช่นนี้จึง
เป็นสาเหตุหนึ่งของการนำไปสู่การประท้วง ต่อต้านจาก
นักศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัยดังกล่าว ซึ่งทาง
มหาวิทยาลัยก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนแก่กลุ่ม
ผู้ประท้วงได้ จนในที่สุด ประธานของมหาวิทยาลัยดังกล่าว
จงึ ลาออกจากตำแหน่ง

2. ประเทศบราซิล ปลายปี พ.ศ. 2559 ประชาชน
ในประเทศบราซิลได้มีการชุมนุมประท้วงการทุจริตที่
เกิดขึ้นเป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อวัฒนธรรม
การโกงของระบบราชการของประเทศ โดยมีประชาชน
จำนวนหลายหมน่ื คนเขา้ ร่วมการชมุ นุมในคร้ังนี้ และมกี าร
แสดงภาพหนูเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการประณามต่อ
นักการเมืองที่ทุจริต การประท้วงดังกล่าวยังถือวา่ มขี นาดเล็ก
กว่าครั้งก่อน เพราะที่ผ่านมาได้มีการทุจริตเกิดขึ้นและมี
การประทว้ ง จนในทส่ี ดุ ประธานาธบิ ดีไดถ้ ูกปลดจากตำแหน่ง
เนอื่ งจากจกาากรตกัวระอทยำ่าทงขล่ี ้าะงเมตดิ ้นตแ่อสกดฎงรใะหเบ้เหีย็นบถเรึงื่อคงวงาบมปตระื่นมตาัวณของประชาชนที่ออกมาต่อต้านต่อการทุจริต ไม่ว่าจะ
เป็นการทุจริตในระดับหน่วยเล็กๆ หรือระดับประเทศ เป็นการแสดงออกซึ่งการไม่ทนต่อการทุจริต การไม่ทน

๔๕

ต่อการทุจริตสามารถแสดงออกมาได้หลายระดับตั้งแต่การเห็นคนที่ทำทุจริตแล้วตนเองรู้สึกไม่พอใจ มีการส่ง
เรื่องตรวจสอบ ร้องเรียน และในที่สุดคือการชุมนุม ประท้วง ตามตัวอย่างที่ได้น ามาแสดงให้เห็นข้างต้น ตราบใด
ที่สามารถสร้างให้สังคมไม่ทนต่อการทุจริตได้ เมื่อนั้นปัญหาการทุจริตก็จะลดน้อยลง แต่หากจะให้เกิดผลดี
ยิ่งขึ้น จะต้องสร้างให้เกิดความละอายต่อการทุจริต ไม่กล้าที่จะทำทุจริต โดยนำเอาหลักธรรมทางศาสนามา
เป็นเครอ่ื งมอื ในการส่ังสอน อบรม ในขณะเดยี วกนั หากมีการทุจริตเกดิ ขนึ้ กระบวนการในการแสดงออกต่อการ
ไม่ทนต่อการทุจรติ จะต้องเกิดขึน้ และมีการเปดิ เผยช่ือบุคคลที่ทุจริตให้กับสาธารณะชนได้รับทราบอยา่ งท่ัวถงึ
เมื่อสังคมมีทั้งกระบวนการในการป้องกันการทุจริต การปราบปรามการทุจริตที่ดีรวมถึงการสร้างให้สังคมเปน็
สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต มีความละอายต่อการทำทุจริตแล้ว ปัญหาการทุจริตจะลดน้อยลง ประเทศชาติจะ
สามารถพฒั นาได้มากข้นึ

สำหรับระดับการทุจริตที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในระดับใดล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อสังคมและ
ประเทศชาติ ทั้งสิ้น บางครั้งการทุจริตเพียงนิดเดียวอาจนำไปสู่การทุจริตอย่างอื่นที่มากกว่าเดิมได้ การมี
วัฒนธรรม ค่านิยม หรือความเชื่อที่ไม่ถูกต้องก็ส่งผลให้เกิดการทุจริตได้เช่นกัน เช่น การมอบเงินอุดหนุนแก่
สถานศึกษาเพื่อให้บุตรของตนได้เข้าศึกษาในสถานที่แห่งนั้น หากพิจารณาแล้วอาจพบว่าเป็นการช่วยเหลือ
สถานศึกษาเพื่อที่สถานศึกษาแห่งนั้นจะได้นำเงินที่ได้ไปพัฒนาสภาพแวดล้อม การเรียนการสอนของทาง
สถานศึกษาต่อไป แต่การกระทำดังกล่าวนี้ไม่ถูกต้องเป็นการปลูกฝังสิ่งที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นในสังคม และต่อไป
หากกระทำเช่นนี้เร่ือย ๆ จะมองว่าเปน็ เร่ืองปกติที่ทุกคนทำกันไม่มีความผิดแต่อย่างใด จนทำให้แบบแผนหรือ
พฤติกรรมทางสังคมที่ดีถูกกลืนหายไปกับการกระทำที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ ตัวอย่างการมอบเงินอุดหนุนแก่
สถานศึกษายงั คงเกิดข้ึนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสถานศึกษาที่มีช่ือเสยี งซง่ึ หลายคนอยากให้
บุตรของตนเข้าศึกษาในสถานที่แห่งนั้น แต่ด้วยข้อจำกัดที่ไม่สามารถรับนักเรียนนักศึกษาได้ทั้งหมด จึงทำให้
ผปู้ กครองบางคนต้องให้เงนิ กับสถานศึกษา เพ่อื ให้บตุ รของตนเองไดเ้ ขา้ เรียน

๔๖

ชุดวิชาท่ี ๓ STRONG / จิตพอเพยี งตอ่ ต้านการทุจริต

รศ.ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ
ทีป่ รึกษาประธานกรรมการ ป.ป.ช.

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จขึ้น
เถลิงถวัลยราชสมบัติ และเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระราชพิธี
บรมราชาภิเษกในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นเวลา 70 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระ
ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์ ทรงมีพระราชปณิธาณที่จะให้ประชาชนชาวไทยได้ประโยชน์และ
ความสุขของอย่างทั่วถึงกันท้ังประเทศ โดย “คน” เป็นศูนย์กลางในการพัฒนา และทรงพระวิริยะอุตสาหะที่จะ
ขจัดปัญหาต่าง ๆ อาทิ ปัญหาด้านเศรษฐกจิ เกษตรกรรม สังคม การศึกษา เป็นต้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวติ
ของประชาชนชาวไทยสามารถพึ่งพาตนเองอย่างมนั่ คงและย่ังยืนต่อไป

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระราชทานแนวพระราชดำริหลักปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียง จากพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันพฤหัสบดีท่ี ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗ โดยมใี จความตอนหนึ่งว่า “...การพฒั นาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับ
ขั้นต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบือ้ งต้นก่อน โดยใช้วธิ ีการและใช้
อุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้าง
ค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญยก
เศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของ
ประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรือ่ งตา่ ง ๆ ขึ้นซึ่งอาจกลายเปน็ ความยุ่งยากล้มเหลวได้
ในที่สุด ดังเห็นได้ที่อารยประเทศหลายประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้...”
ซ่งึ เปน็ แนวพระราชดำริท่ีพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดชพระราชทานแกร่ าษฎร มานานกว่า
40 ปี เพือ่ ให้ราษฎรสามารถดำรงชีวติ ด้วยการพึงพาตนเอง มสี ติอยูอ่ ยา่ งประมาณตนสามารถดำรงชีพปกติสุข
อย่างม่ันคงและย่งั ยนื

เมื่อวันท่ี 26 พฤษภาคม 2549 องค์การสหประชาชาติ (United Nations :UN) โดยนายโคฟี อันนัน
เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายรางวัลความสำเรจ็ สูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์
ของโครงการพฒั นาแห่งสหประชาชาต(ิ The Human Development Lifetime Achievement Award) เพื่อ
เทิดพระเกียรติเปน็ กรณีพิเศษ ในวโรกาสท่ที รงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยนายโคฟี อันนันได้กล่าวสดุดี
พระเกยี รติคุณพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และกลา่ วถงึ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น
หลักการที่มุง่ เนน้ การกล่ันกรองในการบริโภคเนน้ ความพอประมาณและการมีภูมิคุม้ กันในตัวสามารถต้านทาน

๔๗

ผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์ "ทางสายกลาง" จึงเป็นการตอกย้ำแนวทางที่สหประชาชาติทีม่ ุ่งเน้นคนเป็น
ศูนย์กลางการพัฒนาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 สำนักงานโครงการพัฒนาแห่ง
สหประชาชาติประจำประเทศไทย (United Nations Development Programme : UNDP) ได้กล่าวถึง
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง โดยจัดพิมพ์ในรายงานประจำปี 2007 เพื่อเผยแพรป่ รัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปยัง
ประเทศสมาชิกกวา่ 150 ประเทศท่ัวโลก

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ในฐานะ
องค์กรหลักในการต่อต้านการทุจริตของประเทศไทย ได้จัดทำยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ที่กำหนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้ง
ชาติต้านทุจริต (Zero Tolerance and Clean Thailand)” และพันธกิจหลักเพื่อสร้างวัฒนธรรมการต่อต้านการ
ทุจริต ยกระดับธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการทุกภาคส่วน และปฏิรูปกระบวนการป้องกันและปราบปรามการ
ทุจริตทั้งระบบให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากลผ่านยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ได้แก่ สร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต
ยกระดบั เจตจำนงทางการเมอื งในการต่อต้านการทุจริต สกดั กัน้ การทุจรติ เชิงนโยบาย พฒั นาระบบป้องกันการ
ทุจริตเชิงรุก ปฏิรูปกลไกและกระบวนการการปราบปรามการทุจริต และยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริตของ
ประเทศไทย โดยเป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 คือ ประเทศไทยมีค่าดชั นีรับรู้การทุจรติ (Corruption
Perceptions Index: CPI) สูงกวา่ ร้อยละ 50 ในปี 2564

โครงการ “STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริต” เป็นโครงการที่มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วย
การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) ในยุทธศาสตร์ที่ 1 การสร้างสังคมท่ี
ไม่ทนต่อการทุจริต อันมีกลยุทธ์ว่าด้วยเรื่องของการปรับฐานความคิดทุกช่วงวัยตั้งแต่ปฐมวัยให้สามารถ
แยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตวั และผลประโยชนส์ ่วนรวม สง่ เสริมให้มีระบบและกระบวนการกล่อมเกลา
ทางสังคมเพื่อต้านทุจริต ประยุกต์หลักปรัชญาเศรฐกิจพอเพียงเป็นเครื่องมือต้านทุจริต และเสริมสร้างพลัง
การมีส่วนร่วมของชุมชน (Community) และบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อต่อต้านการทุจริต ซึ่งโครงการ
“STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริต” ได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ประกอบหลักการต่อต้าน
การทุจริตอื่น ๆ เพื่อสร้างฐานคิดจิตพอเพียงต่อต้านทุจริตให้เกิดขึ้นเป็นฐานความคิดของปัจเจกบุคคล และ
ประยุกต์หลักบูรณาการโมเดล “STRONG” (รศ.ดร. มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ, 2560) อันประกอบด้วย พอเพียง
(Sufficient: S) โปร่งใส (Transparent: T) ตื่นรู้ (Realise: R) มุ่งไปข้างหน้า (Onward: O) ความรู้ (Knowledge: N)
และเอื้ออาทร (Generosity: G) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาวัฒนธรรมชุมชน โดยมีกระบวนการเผยแพร่
หลักการ “STRONG” ไปสู่ชุมชนด้วยการสร้างโค้ช (coach) ที่มีความสามารถและทักษะเพื่อเป็นตัวแทนของ
สำนักงาน ป.ป.ช. ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณท์ ี่เกี่ยวกับการคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตน
กับผลประโยชน์ส่วนรวม ความไม่ทนและความอายต่อการทุจริต และหลักการจิตพอเพียงด้วยวิธีการท่ี
เหมาะสม ซึง่ จะชว่ ยให้ทุกภาคสว่ นมคี วามตระหนกั รู้และเล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาการทุจริต อนั นำไปสู่
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและเกิดค่านิยมต่อต้านทุจริตในสังคมไทย โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เป็น
ปงี บประมาณแรกท่ีมีการดำเนินโครงการ “STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริต” ตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้ง
ที่ 904-75/2560 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2560 ได้มีการดำเนินโครงการนำร่องใน 27 จังหวัด ใน 9 ภาค
ของสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อขับเคลื่อนโมเดล “STRONG” ให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าประสงค์ และใน
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้ขยายพื้นที่การดำเนินโครงการครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัด และ 1 เขตปกครอง
ทอ้ งถน่ิ พิเศษ (กรุงเทพมหานคร)

๔๘

1. โมเดล STRONG จิตพอเพียงตา้ นทจุ รติ
โมเดล STRONG เป็นการนำตัวอักษรแรกของศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีความหมายเชิงบวกจำนวน 6 คำ

มาประกอบเป็นคำศัพท์สื่อความหมายถึง “ความแข็งแกร่ง” ของบุคคลและองค์กรในการต่อต้านการทุจริต
โดยมีความมุ่งหวังให้ชุมชนเกิดจิตพอเพียงต้านทุจริต ร่วมกันพัฒนาชุมชนให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยการประยุ กต์
และบูรณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับความโปร่งใส การแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและ
ผลประโยชน์ส่วนรวม การตระหนักรู้และใส่รู้ปญั หาการทุจรติ และร่วมกันพัฒนาชมุ ชนใหม้ ีความเอื้ออาทรบน
พื้นฐานของจริยธรรมและจิตพอเพียง ตลอดจนเกิดเครอื ข่ายชุมชนจิตพอเพียงต้านทุจริตและเปน็ แกนนำสร้าง
วัฒนธรรมไม่ทนต่อการทุจริต ซึ่งโมเดล STRONG ได้มีการสร้างและพัฒนาโดยรองศาสตราจารย์ ดร. มาณี
ไชยธรี านวุ ัฒศิริ ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2560 – 2562 แสดงไดด้ ังแผนภาพที่ 1 – 2 ดงั น้ี
แผนภาพท่ี 1 โมเดล STRONG – จิตพอเพียงตา้ นทุจริต ปี พ.ศ. 2560 – 2561

พัฒนาโดย
รศ. ดร.มาณี ไชยธรี าณวุ ฒั ศิริ, 2560

๔๙

แผนภาพท่ี 2 โมเดล STRONG – จติ พอเพียงต้านทจุ รติ ปี พ.ศ. 2562

พัฒนาโดย
รศ. ดร.มาณี ไชยธีราณุวฒั ศิริ, 2561 - 2562

จากแผนภาพข้างต้น สามารถอธิบายนิยามเชิงปฏิบัติการได้ดังนี้
(1) พอเพียง (Sufficient: S)
คำนยิ ามปี พ.ศ. 2560 - 2561
ผู้นำ ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กร และชุมชนน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

มาปรับประยุกต์เป็นหลักความพอเพียงในการทำงาน การดำรงชีวิต การพัฒนาตนเองและส่วนรวม รวมถึงการ
ป้องกันการทุจริตอย่างยั่งยืน ความพอเพียงต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งของมนุษย์แม้ว่าจะต่างกันตามพื้นฐาน แต่การ
ตัดสินใจว่าความพอเพียงของตนเองต้องตั้งอยู่บนความมีเหตุผล รวมทั้งไม่เบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น และส่วนรวม
ความพอเพียงดังกล่าวจึงเป็นภูมิคุ้มกันให้บุคคลนั้นไม่กระทำการทุจริต ซึ่งต้องให้ความรู้ความเข้าใจ
(knowledge) และการตื่นรู้ (realize)

คำนิยามปี พ.ศ. 2562
ความพอเพียงของปัจเจกบุคคล ย่อมที่ระดับที่แตกต่างกันตามวิธีคิด สภาพความพร้อมและ
ความสามารถ รวมทง้ั ตามสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของบุคคลและครอบครัว
กลไกหลัก คือ ปรับวิธคี ิดที่แยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวมได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน
และเป็นอัตโนมัติจะนำไปสูจ่ ิตสำนกึ ที่พอเพียง ไม่กอบโกยผลประโยชน์โดยมิชอบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียด
บังรัฐ ไม่รับอามิสสินบนโดยมิต้องจำกัดขอบเขตของการประกอบอาชีพที่สุจริต สามารถหาทรัพยส์ นิ เงินทอง
ได้ตามความสามารถ ทงั้ นี้ โดยไมเ่ ดือดรอ้ นตนเองและผอู้ ื่น

๕๐

STRONG : จติ พอเพียงตา้ นทจุ ริต

หลกั ความพอเพียง โดยบุคคลสามารถแยกแยะ S

ผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชนส์ ว่ นรวม Suffiฆcient
พอเพียง
อยา่ งเป็นอตั โนมัติ participation participation

participatio participatio
n n

participation participation

มคี วามรู้ นำไปใชใ้ นชีวิตจริง
แยกแยะประโยชน์ตน อย่างต่อเนื่องได้
ประโยชนส์ ว่ นรวมได้ โดยอัตโนมตั ิ

การประยกุ ตห์ ลักความพอเพยี งด้วยโมเดล เกดิ ความพอเพียง
S T R O N G : จิ ต พ อ เ พี ย ง ต้ า น ทุ จ ริ ต โดยอัตโนมัติ

เกิดความละอาย เกดิ ความไม่ทน
ตอ่ การทุจรติ ต่อการทุจรติ

พฒั นาโดย รศ. ดร.มาณี ไชยธีรานวุ ฒั ศิริ, 2562

๕๑

(2) โปรง่ ใส (Transparent: T)
คำนิยามปี พ.ศ. 2560 – 2561
ผู้นำ ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กร และชุมชนต้องปฏิบัติงานบนฐานของความโปร่งใส
ตรวจสอบได้ ดังนน้ั จงึ ตอ้ งมแี ละปฏิบัติตามหลักปฏิบัติ ระเบยี บ ขอ้ ปฏบิ ตั ิ กฎหมายด้านความโปร่งใส ซ่ึงต้อง
ใหค้ วามรคู้ วามเข้าใจ (knowledge) และการต่ืนรู้ (realize)
คำนยิ ามปี พ.ศ. 2562
ความโปร่งใส ทำใหเ้ หน็ ภาพหรือปรากฏการณช์ ัดเจน
กลไกหลัก คอื สร้างความรคู้ วามเข้าใจ และวธิ ีสงั เกตเกยี่ วกบั ความโปรง่ ใสของโครงการต่าง ๆ

บุคคลและหนว่ ยงาน

ปฏิบัตงิ านบนฐานของ

ความโปร่งใส

ปีพ.ศ. 2564 T

Transparent

โปรง่ ใส

๕๒

(3) ตนื่ รู้ (Realize: R)
คำนยิ ามปี พ.ศ. 2560 – 2561
ผู้นำ ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กร และชุมชนมีความรู้ความเข้าใจและตระหนักรู้ถึง
รากเหงา้ ของปญั หาและภยั รา้ ยแรงของการทุจริตประพฤตมิ ิชอบภายในชุมชนและประเทศ ความตนื่ รจู้ ะบังเกิด
เม่ือไดพ้ บเหน็ สถานการณท์ ่ีเส่ยี งตอ่ การทุจริต ยอ่ มจะมีปฏิกริ ิยาเฝา้ ระวังและไม่ยนิ ยอมต่อการทุจรติ ในทสี่ ดุ ซ่ึง
ต้องให้ความรู้ความเข้าใจ (knowledge) เกี่ยวกับสถานการณ์ทุจริตที่เกิดขึ้น ความร้ายแรงและผลกระทบต่อ
ระดับบคุ คลและสว่ นรวม
คำนยิ ามปี พ.ศ. 2562
เม่ือบุคคลรพู้ ิษภยั ของการทจุ ริต และไมท่ นทีจ่ ะเหน็ การทุจริตเกิดข้นึ
กลไกหลกั การเรียนรู้สถานการณ์การทุจริตในพื้นที่ ในชมุ ชน หรือในกรณีท่ีปรากฏการทุจริตข้ึน
หรอื กรณีศึกษาท่เี กดิ ข้ึนมาแลว้ และมีคำพิพากษาถึงท่สี ุดแล้ว

รูแ้ ละพร้อมลงมอื
ปอ้ งกนั ทจุ ริต

R

Realise
ต่นื รู้

(4) มงุ่ ไปข้างหน้า (Onward: O)
๕๓

คำนยิ ามปี พ.ศ. 2560 – 2561
ผู้นำ ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กร และชุมชนมุ่งพัฒนาและปรับเปลี่ยนตนเองและส่วนรวม
ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนบนฐานความโปร่งใส ความพอเพียง และร่วมสร้างวัฒนธรรมสุจริตให้เกิดขึ้น
อยา่ งไมย่ ่อท้อ ซงึ่ ตอ้ งมีความรู้ความเข้าใจ (knowledge) ในประเด็นดังกล่าว
คำนิยามปี พ.ศ. 2562
การไมม่ ีการทุจริตของภาครฐั จะทำใหเ้ งินภาษถี ูกนำไปใช้ในการพฒั นาอย่างเตม็ ท่ี
กลไกหลัก คือ การป้องกันและการป้องปราม ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังพื้นท่ี
ที่มคี วามเสย่ี ง ในการทจุ ริต เชน่ การบกุ รกุ พน้ื ที่สาธารณะ หรือเฝา้ ระวงั โครงการให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส

เป้าหมาย
ท่ชี ดั เจน

การลงมือทาอย่างตอ่ เนอื่ ง

ความเชอ่ื อย่างแรงกลา้

O ม่งุ พัฒนาใหเ้ กดิ ความเจริญ
โดยการต่อสูก้ ับการทจุ ริตอย่างไม่ยอ่ ท้อ
Onward
มงุ่ ไปข้างหน้า

เรม่ิ จากสิ่งรอบตัว
สิ่งท่ที ำได้ และควรทำใหด้ ยี ่ิงขึ้น

และเริ่มต้นทำเด๋ียวน้ี
Just do it!!

๕๔

(5) ความรู้ (Knowledge: N)
คำนยิ ามปี พ.ศ. 2560 – 2561
ผู้นำ ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กร และชุมชนต้องมีความรู้ความเข้าใจสามารถนำความรูไ้ ปใช้
สามารถวิเคราะห์สังเคราะห์ ประเมินได้อย่างถ่องแท้ในสถานการณ์การทุจริต ผลกระทบที่มีต่อตนเองและส่วนรวม
ความพอเพียงต้านทุจริต การแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมที่มีความสำคัญย่ิงตอ่ การลด
ทจุ รติ ในระยะยาว รวมท้ังความอายไมก่ ลา้ ทำทุจริตและความไม่ทนเมื่อพบเห็นว่ามีการทจุ ริตเกิดขึ้น เพ่ือสร้าง
สังคมไม่ทนต่อการทจุ รติ
คำนิยามปี พ.ศ. 2562
ความรูด้ ้านตา่ ง ๆ มีความจำเป็นตอ่ การป้องกนั และป้องปรามการทจุ รติ
กลไกหลกั คือ การให้ความรใู้ นรปู แบบการฝึกอบรม หรอื ใหส้ อ่ื เรียนรู้อย่างต่อเน่ือง เช่น
(1) ความรู้เก่ยี วกับรปู แบบการทจุ รติ แบบต่าง ๆ ทั้งแบบสมัยอดตี แบบปจั จุบัน และแบบที่
อาจจะเกดิ ขึ้นในอนาคต
(2) ความรู้เกีย่ วกับการทจุ รติ ในตา่ งประเทศ
(3) วิธกี ารป้องกนั - ป้องปรามแบบต่าง ๆ
(4) ความรู้เกย่ี วการเฝ้าระวัง
(5) ความรเู้ ก่ียวกับกฎหมายทีเ่ กีย่ วข้อง

การทจุ รติ การทจุ ริต
ในแบบดั้งเดมิ ในสถานการณ์ปัจจบุ นั

“...ติดตาม แสวงหาความรอู้ ยา่ งเทา่ ทนั ในทุกมติ ิ

ทั้งสถานการณ์ การเปลย่ี นแปลง กฎหมาย ค่านยิ ม...”
N การทุจริต
Knowledge
ในอนาคต
ความรู้

แสวงหาความรูอ้ ยา่ งต่อเน่ือง
เพือ่ ให้เทา่ ทนั ต่อสถานการณก์ ารทจุ ริต

๕๕

(6) เอื้ออาทร (Generosity: G)
คำนิยามปี พ.ศ. 2560 – 2561
คนไทยมคี วามเออื้ อาทร มีเมตตา มนี ้ำใจตอ่ กันบนพืน้ ฐานของจิตพอเพยี งตอ่ ต้านทจุ ริต ไม่เอ้ือต่อ
การรับหรือการให้ผลประโยชน์ตอ่ พวกพ้อง
คำนิยามปี พ.ศ. 2562
การพฒั นาสังคมไทยใหม้ ีน้ำใจ โอบอ้อมอารี เออ้ื เฟ้ือเผ่ือแผ่ โดยไม่มีผลประโยชน์ตอบแทน
หรือหวังผลตอบแทน ในฐานะเพื่อนมนุษย์
กลไกหลัก กิจกรรมจิตอาสา ช่วยเหลอื บคุ คล ชมุ ชน/สังคมในยามวกิ ฤติ หรือการร่วมมือใน
การรว่ มพฒั นาชมุ ชน

รว่ มพฒั นาให้เกิดความเอ้อื อาทรต่อกนั
บนพื้นฐานของจรยิ ธรรม และจิตพอเพยี ง

G “... เอ้ืออาทร ไม่ใช่ อปุ ถัมภ.์ ..”

Generosity
เออื้ อาทร

“... เอ้ืออาทรคอื การใหบ้ นพื้นฐานของมนษุ ยธรรม...”

“...แต่อปุ ถัมภ์ คอื การเลอื กชว่ ยเหลอื กัน
โดยไม่สนจรยิ ธรรมและกฎหมาย
เพ่ือใหไ้ ด้ผลประโยชนท์ ่ตี อ้ งการ...”

“...สร้างสังคมทนี่ า่ อยู่ ดว้ ยการเออื้ อาทร...”

“...มนุษย์เปน็ สัตว์สังคม...”

๕๖

จากนิยามข้างต้น STRONG: จิตพอเพียงต้านทุจริต จึงหมายถึง ผู้ที่มีความพอเพียง ไม่เบียดเบียน
ตนเองและผู้อื่น (S) มุ่งอนาคตที่เจริญทั้งตนเองและส่วนรวม (O) โดยใช้หลักความโปร่งใสตรวจสอบได้ (T)
พื้นฐานจิตใจมีมนุษยธรรมเอื้ออาทร ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ต่างตอบแทน ( G) ให้
ความสำคัญต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อการดำรงชีวิตในทางที่ชอบ (N) แต่ตื่นรู้เรื่องภัยทุจริตที่รา้ ยแรงส่งผล
ตอ่ สงั คม รังเกียจการทจุ รติ ประพฤตมิ ิชอบท้งั ปวง ไมย่ อมทนต่อการทจุ รติ ทุกรูปแบบ (R)

นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2562 ได้มีการพัฒนาโมเดล STRONG โดยเพิ่มในเรื่องของการมีส่วนร่วม
(Participation) อันเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงและขับเคลื่อนหลักการของโมเดล STRONG ไปสู่การ
ป้องกันการทุจริตได้เป็นรูปธรมอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการเผยแพร่หลักการของโมเดล STRONG สู่ชุมชน
จะดำเนินการโดยสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด และมีการคัดเลือกผู้แทน/ผู้นำชุมชนในจังหวัดที่มีเครือข่าย
มีความสามารถและทักษะในการถ่ายทอดองค์ความรู้มาอบรมให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโมเดล STRONG
การนำไปประยุกต์ใช้ในการการต่อต้านการทุจริต เช่น การคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์
ส่วนรวม ความไม่ทนและความอายต่อการทุจริต หลักการจิตพอเพียงด้วยวิธีการที่เหมาะสม เป็นต้น เพื่อให้ผู้
ได้รับการคดั เลือกเปน็ โค้ช (coach) ถ่ายทอดความร้เู ก่ียวกบั หลักการของโมเดล STRONG และการต่อต้านการ
ทุจริตให้แก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชน รวมถึงยังมีการจัดตั้งชมรม STRONG เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีความตระหนักรู้
เล็งเหน็ ถงึ ความสำคญั ของปัญหาการทุจริตและมสี ่วนรว่ มในการเฝ้าระวังและแจง้ เบาะแสการทุจรติ

2. การพัฒนาโมเดล STRONG สู่ STRONGER – STRONGEST
จากการประยุกต์โมเดล STRONG ในการดำเนินโครงการ

“STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต” ตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. 2561 พบว่า สมาชิกชมรม STRONG ในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ
และผ ู ้ เข ้ าร ่ วมอบรมม ี ความรู้ ความเข ้ าใจและนำห ล ั กการของ
โมเดล STRONG ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งกรณีตัวอย่าง
ที่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการดำเนินโครงการ STRONG –
จิตพอเพียงต้านทุจริตและการก่อตั้งชมรม STRONG อย่างเป็น
รูปธรรมคือ จากการที่เพจเฟซบุ๊กชมรม STRONG – จิตพอเพียง
ต้านทุจริต จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้นำเสนอประเด็นการทุจริต
อาหารกลางวนั โดยระบขุ ้อความว่า “ขนมจนี กับนำ้ ปลา คอื อาหารกลางวนั เด็กของโรงเรยี นบา้ นท่าใหม่ อ.ท่า
ชนะ จ.สุราษฎร์ธานี” พร้อมคลิปเป็นหลักฐานประกอบ ส่งผลให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมวงกว้างและ
นำไปสู่การลงโทษผู้กระทำผิด รวมถึงได้มีการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแส การทุจริตอาหารกลางวันของโรงเรียน
ในพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น โดยมีคุณครู ผู้ปกครอง และนักเรียนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแส
(Watch and Voice) ดังเช่นการทุจริตอาหารกลางวนั ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวดั ชัยนาท ที่คุณครูได้มีการ
ร้องเรียนว่าโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนอาจไม่เป็นไปตามมาตรฐานและคุณภาพที่กระทรวงศึกษาธิการ
กำหนด เนื่องจากมีการนำอาหารสำเร็จรูปมาปรุงเป็นอาหารกลางวันของนักเรียนเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย จึง
นำไปสู่การตรวจสอบความผิดปกติโครงการอาหารกลางวัน และมีกระแสสังคมที่แสดงผ่านทางสื่อสังคม
ออนไลน์ (Social Media) ในการปกป้องผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตท่ีได้รับผลกระทบต่อตำแหน่งหน้าท่ีจากการมี
คำสั่งย้ายไปช่วยราชการที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยนาท จนกระทั่งคุณครูที่เป็นผู้แจ้ง
เบาะแสได้ย้ายกลับไปทำงานที่โรงเรียนแห่งเดิมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจากกรณีทุจริตอาหารกลางวัน แสดงให้เห็นว่า
ทุกภาคส่วนในสังคมมีความตื่นรู้และมีความพร้อมที่จะเข้ามามีส่วนรวมในการปอ้ งกันการทุจรติ ทั้งในบทบาท
ของผู้เฝ้าระวัง ผู้แจ้งเบาะแส และให้ความคุ้มครองปกป้องผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตจากความไม่เป็นธรรมและ
อิทธพิ ลของผมู้ อี ำนาจ

๕๗

นอกจากนี้ ตามหลักภาษาอังกฤษที่คำว่า “STRONG” มีการเปรียบเทียบขั้นกว่า (comparative)
และขั้นสูงสุด (superlative) จึงมีการพัฒนาโมเดล STRONG สู่ STRONGER – STRONGEST เพื่อให้การดำเนิน
ภารกิจป้องกันการทจุ ริตนำประเทศไทยไปสู่การเป็น “ประเทศไทยใสสะอาด...ไทยทั้งชาติต้านทุจรติ ” อันเป็น
วิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564)
โดยมีรายละเอียดดงั นี้

ทีม่ ารปู : YouTube - STRONG จติ พอเพียงต้านทจุ รติ

2.1 โมเดล STRONGER
โมเดล STRONGER เป็นการพฒั นาไปสู่หลักการต่อต้านการทุจรติ ที่มีความเข้มแข็งมากข้ึน โดยได้เพ่ิม
นิยามเชิงปฏิบัติจากการตัวอักษรแรกของศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีความหมายเชิงบวกจำนวน 2 คำ ได้แก่
ความเปน็ เลิศ (Excellence: E) และการเปลี่ยนแปลง (Reformity: R) ซ่ึงแสดงได้ดังแผนภาพท่ี 3
แผนภาพที่ 3 โมเดล STRONGER

จากแผนภาพที่ 3 สามารถอธิบายนิยามเชิงปฏิบตั กิ ารของคำว่า “เปน็ เลศิ ” (Excellence: E)
และ “เปลยี่ นแปลง” (Reformity: R) ไดด้ งั นี้

๕๘

(1) เป็นเลศิ (Excellence: E)
ปัจเจกบุคคล องค์กร และชุมชนมุ่งความเป็นเลิศในการนำหลักของโมเดล STRONG ได้แก่
พอเพียง (Sufficient: S) โปร่งใส (Transparent: T) ตื่นรู้ (Realise: R) มุ่งไปข้างหน้า (Onward: O) ความรู้
(Knowledge: N) และเอื้ออาทร (Generosity: G) รวมถึงหลักการสำคัญของโมเดล STRONG คือ การมีส่วนร่วม
ในการเฝ้าระวังและการแจ้งเบาะแสการทุจริต (Watch and Voice) ไปประยุกต์ใช้ในการป้องกันการทุจริต
ภายในองคก์ รและการดำเนินชวี ติ ประจำวันได้อยา่ งสมั ฤทธิ์ผล
(2) เปลี่ยนแปลง (Reformity: R)
ปัจเจกบุคคล องค์กร และชุมชนมุ่งพัฒนาและปรับเปลี่ยนตนเองและองค์กรไปสู่การสร้างสังคม
ที่ไม่ทนต่อการทุจริตด้วยหลักความพอเพียง การแยกแยะผลประโยชน์ส่วนรวมและผลประโยชน์ส่วนตน
มกี ารบรหิ ารจัดการองค์กรและการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างโปร่งใสเพ่ือให้เกิดการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ
รวมถึงมีความตระหนักถึงผลกระทบของการทุจริต มีการพัฒนาและบูรณาการองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้เท่าทัน
การทุจริต โดยตงั้ อยู่บนพ้ืนฐานของความเอ้ืออาทรต่อเพอ่ื นมนษุ ย์
2.2 โมเดล STRONGEST
โมเดล STRONGEST เป็นการพัฒนาไปสู่การป้องกันและต่อต้านการทุจริตด้วยความเข้มแข็งสูงสุด
อันจะนำไปสู่สังคมที่มีความโปร่งใสอย่างยั่งยืน โดยได้เพิ่มนิยามเชิงปฏิบัติจากการตัวอักษรแรกของศัพท์
ภาษาองั กฤษทม่ี ีความหมายเชงิ บวกจำนวน 3 คำ ได้แก่ จรยิ ธรรม (Ethics: E) ย่ังยนื (Sustainability: S) และ
สัจธรรม (Trust: T) ซึง่ แสดงได้ดงั แผนภาพท่ี 4
แผนภาพที่ 5 โมเดล STRONGEST

จากแผนภาพที่ 5 สามารถอธบิ ายนยิ ามเชิงปฏิบัติการของคำว่า จริยธรรม (Ethics: E) ย่ังยืน
(Sustainability: S) และสัจธรรม (Trust: T) ไดด้ งั น้ี

๕๙

(1) จริยธรรม (Ethics: E)
ปัจเจกบุคคล องค์กร และชุมชนเป็นผู้มีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ และมีความรับผิดชอบ
ตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง ดำรงตนอย่างมีเหตุผล รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนมีการบังคับใช้
ประมวลจริยธรรม จรรยาบรรณ มาตรฐานทางคุณธรรม เพื่อให้การปฏิบัติตนของเจ้าหน้าที่รัฐและพนักงาน
เอกชนอยบู่ นฐานของความมจี รยิ ธรรม
(2) ย่ังยนื (Sustainability: S)
ปัจเจกบุคคล องค์กร และชุมชนเป็นผู้มีจริยธรรม และเป็นพลังสำคัญในการเฝ้าระวังและ
แจ้งเบาะแสการทุจริต เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็น “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต” อันเป็น
วิสยั ทัศนข์ องยทุ ธศาสตรช์ าตวิ า่ ดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564)
(3) สัจธรรม (Trust: T)
ประเทศไทยมีผู้นำ ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กร และชุมชนเป็นผู้มีจิตใจสะอาด บริสุทธ์ิ
เสียสละ และประพฤติดีงาม รวมถึงมีการครองงาน ครองคน และครองตนอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมและ
ความซือ่ สตั ยส์ จุ ริต

3. โมเดล STRONG กับมาตรการป้องกนั การทุจริตของต่างประเทศ
การคิดค้นและพัฒนาโมเดล STRONG มีพื้นฐานมาจากการสั่งสมประสบการณ์ด้านการต่อต้าน

การทุจริต โดยมีความมุ่งหมายที่จะสร้างกลไกและวิธีการในการขับเคล่ือนให้ป้องกันการทุจริตได้อย่างเป็น
รูปธรรม รวมถึงในปัจจุบันนี้ องค์กรต่างประเทศต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันการทุจริตอย่างมาก
เน่อื งจากเป็นการยับยั้งไม่ให้การทุจริตเกิดข้ึนและเป็นแนวทางในการต่อตา้ นการทุจริตทีม่ ีความย่ังยืนในระยะยาว
จึงได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบการป้องกันการทุจริตตามหลักการของโมเดล STRONG กับมาตรการป้องกัน
การทุจริตขององค์กรต่างประเทศ 3 องค์กร ได้แก่ องค์กรสหประชาชาติ (United Nations: UN) องค์การ
เพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ( Organization for Economic Co-operation and
Development: OECD) และธนาคารเพื่อการพัฒนาแหง่ เอเชยี (Asian Development Bank: ADB)

3.1 มาตรการปอ้ งกนั การทุจรติ ขององค์กรตา่ งประเทศ
(1) องคก์ ารสหประชาชาติ (United Nations: UN)
อนสุ ญั ญาสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยการตอ่ ตา้ นการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention

against Corruption: UNCAC) ประกอบด้วย 8 หมวด ได้แก่ บทบัญญัติทั่วไป มาตรการป้องกัน กำหนดให้เป็น
ความผิดทางอาญาและการบังคบั ใช้กฎหมาย ความร่วมมอื ระหว่างประเทศ การติดตามทรัพยส์ ินคืน ความช่วยเหลอื
ทางวชิ าการในการแลกเปล่ยี นข้อมูลข่าวสาร กลไกในการปฏิบัติตามอนสุ ญั ญา และบทบญั ญัตสิ ุดท้าย

ในส่วนของบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับมาตรการป้องกันการทุจริตในหมวดที่ 2 ข้อ 5 – 14
สามารถสรุปประเดน็ มาตรการสำคัญในการปอ้ งกันการทุจรติ ไดด้ งั น้ี (United Nations, 2003)

(1.1) สง่ เสริมการมสี ่วนร่วม
การต่อต้านการทุจริตมีความจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของ
สังคมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริมการ
มีส่วนร่วมของบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ รวมถึงควรมีการพัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเจ้าพนักงานใน
กระบวนการยุติธรรม ผ้บู งั คบั ใชก้ ฎหมาย และผกู้ ำกับดแู ลทางการเงนิ

๖๐

(1.2) ความโปร่งใสและความรบั ผดิ ชอบ
การส่งเสริมให้มีความโปร่งใสในการดำเนินงานของทุกภาคส่วน เช่น การส่งเสริม
ความโปร่งใสในการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งและการคัดเลือก/สรรหาบุคคลเข้ารับราชการ
การส่งเสริมความโปร่งใสในการบริหารจัดการการคลังภาครัฐ การส่งเสริมให้มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
โดยรัฐต้องมีระบบรองรับที่ทำให้มั่นใจได้ว่าประชาชนมีช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างมีประสิทธิผล
การสง่ เสริมความโปรง่ ใสในการบริหารปกครองภาครฐั และกระบวนการปฏิบตั ิงานในภาครัฐ เป็นต้น
(1.3) การเพม่ิ พูนและเผยแพรค่ วามรู้
องคก์ รตอ่ ต้านการทจุ รติ ควรมีการดำเนนิ การเพิ่มพูนและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการ
ป้องกันการทุจริตให้แก่ทุกภาคส่วน เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาและวิธีการป้องกันการทุจริตในรูปแบบ
ต่าง ๆ รวมถึงสนับสนุนการไม่ทนต่อการทุจริตในแผนการศึกษาซึ่งรวมถึงหลักสูตรของโรงเรียนและ
มหาวทิ ยาลยั
(1.4) การปอ้ งกนั ความขดั กันแห่งผลประโยชน์สว่ นรวมและผลประโยชนส์ ่วนตน
ภาครัฐและองค์กรต่อต้านการทุจริตส่งเสริมให้มีการป้องกันการขัดกันแห่ง
ผลประโยชน์ส่วนรวมและผลประโยชน์ส่วนตน เช่น การกำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับกิจการงานทางวิชาชีพของอดีต
เจ้าหน้าทีร่ ัฐ หรือการวา่ จ้างเจา้ หนา้ ที่รฐั โดยภาคเอกชนภายหลังจากการลาออกหรอื เกษียณอายุ เป็นตน้
(1.5) ความมีคณุ ธรรมและซอ่ื สตั ยส์ จุ ริต
รัฐต้องส่งเสริมความมีคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และความรับผิดชอบของ
เจ้าหน้าที่รัฐ โดยการบังคับใช้จรรยาบรรณหรือมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมการปฏิบัติราชการอย่าง
ถูกต้อง รวมถึงต้องมีการพิจารณานำโทษทางวินัยหรือมาตรการอื่นมาใช้กับเจ้าหน้าที่รัฐที่ฝ่าฝืนจรรยาบรรณ
หรอื มาตรฐานทางคณุ ธรรมและจริยธรรม
(6) ส่งเสรมิ ใหส้ าธารณะตระหนักถงึ อนั ตรายของการทจุ รติ
ภาครัฐและองค์กรต่อต้านการทุจริตต้องมีการให้ความรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ
ทุกภาคส่วน เพื่อให้สาธารณชนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับความมีอยู่ สาเหตุ ความร้ายแรง และภัยคุกคามที่เกิดจาก
การทจุ รติ มากข้ึน

(2) องคก์ ารเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic
Co-operation and Development: OECD)

องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เป็นหนึ่งในองค์กรระหว่างประเทศ
ที่มีบทบาทในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยการดำเนินการของ OECD จะครอบคลุมถึงการป้องกัน
และปราบปรามการให้สินบน การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม และการขจัดการทุจริตในภาครัฐ รวมถึงได้มี
การศึกษารูปแบบเฉพาะขององค์กรต่อต้านการทุจริต ซึ่งภารกิจหนึ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการส่งเสริมให้
การต่อต้านการทุจริตประสบผลสำเร็จได้ คือ การป้องกันการทุจริต โดยสามารถสรุปมาตรการสำคัญในการ
ป้องกันการทุจริต ไดด้ งั นี้ (Organization for Economic Co-operation and Development, 2008)

(2.1) การพฒั นาการศกึ ษาวจิ ยั และนโยบายปอ้ งกนั การทุจริต
การศึกษาวิจัยรูปแบบ แนวโน้ม และความระดับความรุนแรงของการทุจริตที่จะ
เกิดขึ้นในอนาคตเพื่อพัฒนานโยบายและมาตรการป้องกันการทุจริตได้อย่างเท่าทันพลวัตรของการทุจริตเป็น
ปัจจยั ทสี่ ่งเสริมให้ประสบผลสำเร็จในการตอ่ ต้านการทจุ ริต

๖๑

(2.2) การปอ้ งกันการใชอ้ ำนาจหน้าที่ในทางทุจรติ ของเจา้ หน้าทรี่ ัฐ
การส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่รัฐมีจริยธรรม การบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรมของ
เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเป็นมาตรการพิเศษ และมีมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามนับได้ว่าเป็น
มาตรการสำคัญประการหนึ่งให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่อย่างมีจริยธรรม รวมถึงควรมีการป้องกันการขัดกัน
แห่งผลประโยชน์ส่วนรวมกับผลประโยชน์ส่วนตนจากการปฏิบัติหน้าที่ และส่งเสริมให้มีความโปร่งใสในการ
บรหิ ารจดั การภาครัฐ
(2.3) การส่งเสรมิ ศกึ ษาและความตระหนักรู้
องค์กรตอ่ ตา้ นการทจุ ริตควรมีการพฒั นาและจดั ทำหลักสตู รการศึกษาในการต่อต้าน
การทุจริตเพื่อนำไปปรับใช้ในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และมีโครงการเผยแพร่ให้ความรู้แก่ทุกภาคส่วนให้
ตระหนักถึงอันตรายของการทุจริตและเสริมสร้างความรู้ในการป้องกันการทุจริตโดยสร้างความร่วมมื อกับ
สอ่ื มวลชน องค์กรพัฒนาเอกชน (Non Governmental Organizations: NGOs) ภาคธุรกิจ และภาครัฐในการ
รว่ มดำเนินโครงการ
(2.4) การสง่ เสริมความร่วมมือกบั ทกุ ภาคส่วนในการป้องกนั การทุจรติ
การป้องกันการทุจริต ไม่มีองค์กรใดสามารถดำเนินการได้เพียงลำพัง ดังนั้นการสร้าง
ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในระดับต่าง ๆ ทั้งการสร้างความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ หน่วยงาน
ภายในประเทศ ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ และประชาชน จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การป้องกันการทุจริต
มีประสทิ ธภิ าพมากขึ้น
(2.5) การพัฒนาบุคลากร
นอกจากการดำเนินมาตรการป้องกันการทุจริตแล้ว การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้
ความสามารถเฉพาะทางด้วยการอบรมให้มีความรูเ้ ท่าทันกบั พลวตั รของการทุจริตจะเป็นปัจจัยประการสำคญั
ที่ทำให้บุคลากรสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นองค์กรต่อต้านการทุจริตควรจัดให้มีการ
อบรมให้ความรแู้ กบ่ ุคลากรดา้ นปอ้ งกนั การทจุ รติ เพื่อให้การปอ้ งกันการทุจรติ บรรลุผลสำเรจ็ ได้อยา่ งสูงสุด

(3) ธนาคารเพือ่ การพัฒนาแหง่ เอเชีย (Asian Development Bank: ADB)
ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ได้มีความร่วมมือกับองค์การเพื่อความร่วมมือและ
การพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ในการเสนอแนวทางป้องกันการทุจริตแบบองค์รวม (Holistic Approach) ซึ่ง
ประกอบด้วยเสาหลกั 3 ประการ ดงั นี้ (เอก ต้ังทรพั ย์วฒั นา และคณะ, 2550)

(3.1) การพัฒนาระบบบริหารจดั การภาครัฐท่มี คี ณุ ภาพและโปร่งใส ประกอบดว้ ย
1) การสรา้ งเกยี รติภูมใิ นอาชีพข้าราชการ รวมถงึ กำหนดคา่ ตอบแทนที่เพียงพอ

มีระบบการเลื่อนขั้นที่โปร่งใส มีระบบตรวจสอบการใช้อำนาจดุลพินิจของข้าราชการ มีระบบสับเปลี่ยนงาน
ข้าราชการเปน็ ระยะเพื่อปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ กิดผลประโยชนท์ ่ยี ึดติดกบั ตำแหนง่

2) การมีประมวลจริยธรรมที่มีบทบัญญัติในประเด็นที่เกี่ยวกับการป้องกัน
การขดั กนั แห่งผลประโยชน์ และมีการวางระบบการติดต่อกันระหวา่ งข้าราชการและนักธุรกิจ เพื่อไม่ให้ข้าราชการ
มอี ิทธิพลและสามารถเรยี กรับผลประโยชน์ได้

3) มีระบบการตรวจสอบความโปร่งใส ซึ่งรวมถึงมีระบบการคลัง
ที่โปร่งใส มีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสถาบันทางการเงินที่ได้มาตรฐานสากล มีกระบวนการตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณ
มกี ระบวนการจดั ซ้ือจัดจ้างโปรง่ ใส ระบบการเปิดเผยข้อมูลขา่ วสารและลดขนั้ ตอนในระบบราชการ

๖๒

(3.2) การสรา้ งค่านยิ มความซอ่ื สตั ย์สจุ ริตในการทำงาน ประกอบดว้ ย
1) กระบวนการป้องกัน สืบสวน และลงโทษผู้กระทำทุจริต ซึ่งรวมถึงการมี

ระบบกฎหมายที่จัดการกับการให้สินบน การมีหน่วยงานหรือกลไกจัดการกับการฟอกเงิน การมีระบบตรวจสอบการ
ให้สินบน เพิ่มศักยภาพใหก้ ับหน่วยงานที่มหี น้าทีต่ รวจสอบ และเพิ่มประสทิ ธิภาพของการร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
ทเ่ี กย่ี วขอ้ งและการปกป้องผู้แจ้งเบาะแส

2) การส่งเสริมความรับผิดชอบของบรรษัท ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนให้เกิด
บรรษัทภิบาลและพัฒนาแนวทางปฏิบัติในแต่ละบริษัท การมีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับการติดสินบนของ
เอกชน การปรบั แกก้ ฎหมายและกระบวนการท่ีเกย่ี วข้องกับการจดั ซือ้ จัดจา้ ง การทำสญั ญากับภาคเอกชน หรอื
การให้สมั ปทานที่มคี วามโปร่งใสมากขึน้

(3.3) การสนบั สนนุ การมีสว่ นรว่ มของภาคประชาสงั คม ประกอบด้วย
1) การกระตุ้นให้มีการถกเถียงเรื่องการทุจริตในเวทีสาธารณะ ซึ่งรวมถึง

โครงการสร้างความตระหนักในระดับต่าง ๆ การสนับสนุนบทบาทขององค์กรพัฒนาเอกชน การปรับระบบ
การศึกษาเพือ่ ปลูกฝังวฒั นธรรมการต่อต้านการทุจริต

2) การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของสาธารณะและสื่อ ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้
มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานต่อสาธารณะถึงผลการดำเนินงานทั้งเรื่องการป้องกัน ปราบปราม สนับสนุน และ
การให้สิทธิประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทั้งหมดของภาครัฐ และการทำให้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร
เกดิ ผลข้ึนจริงในทางปฏบิ ัติ

3) การมีส่วนรว่ มของประชาชน ซึ่งรวมถงึ การปกป้องผู้แจง้ เบาะแส การระดม
การสนับสนนุ และการมีส่วนร่วมจากองค์กรพฒั นาเอกชน และองคก์ รอืน่ ๆ

จากการศึกษามาตรการป้องกันการทุจริตขององค์การสหประชาชาติ (UN) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติ
ว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) และ
ธนาคารเพ่ือการพฒั นาแหง่ เอเชีย (ADB) สามารถสรปุ ประเดน็ มาตรการการป้องกนั การทจุ ริตได้ดังตารางที่ 1

ตารางท่ี 1 มาตรการปอ้ งกันการทุจรติ ขององคก์ รระหวา่ งประเทศ

หน่วยงาน

ประเดน็ องคก์ าร องคก์ ารเพ่อื ความรว่ มมอื และ ธนาคารเพื่อการ
สหประชาชาติ การพัฒนาทางเศรษฐกจิ พฒั นาแห่งเอเชีย

(UN) (OECD) (ADB)

1. การมสี ่วนรว่ มของภาคสว่ นตา่ ง ๆ √ √ √

2. ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ √√

3. การสรา้ งองค์ความรใู้ นการปอ้ งกนั การทจุ ริต √ √

4. การปอ้ งกันการขัดกันแหง่ ผลประโยชนส์ ่วนรวม √ √
กบั ผลประโยชนส์ ่วนตน √

5. การส่งเสรมิ คณุ ธรรมจรยิ ธรรมของเจ้าหน้าทีร่ ัฐ √ √
ตามประมวลจริยธรรม

6. การสง่ เสรมิ ให้สาธารณะตระหนกั ถึงอนั ตราย √ √
ของการทจุ ริต

7. การพัฒนาการศึกษาวิจัยและนโยบายป้องกัน √
การทจุ ริต

8. การพัฒนาใหค้ วามรบู้ คุ ลากรทป่ี ฏิบัติหนา้ ท่ี √
ดา้ นป้องกันการทุจริต

๖๓

2.2 เปรยี บเทยี บโมเดล STRONG กับมาตรการป้องกันการทจุ ริตขององคก์ รต่างประเทศ
จากการศึกษาสาระสำคัญของโมเดล STRONG และมาตรการป้องกันการทุจริตขององค์กรต่างประเทศ
3 องค์กร ได้แก่ องค์การสหประชาชาติ (UN) องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD)
และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) พบว่า นิยามเชิงปฏิบัติการของโมเดล STRONG มีความ
สอดคลอ้ งกับมาตรการป้องกนั การทจุ รติ ขององค์กรต่างประเทศ ซง่ึ แสดงไดด้ งั ตารางท่ี 2

ตารางท่ี 2 เปรยี บเทียบมาตรการปอ้ งกันการทจุ รติ ขององค์กรระหว่างประเทศกบั โมเดล STRONG

โมเดล STRONG

ประเดน็ พอเพยี ง โปร่งใส ตระหนักรู้ มุ่งไปขา้ งหน้า ความรู้ เอือ้ เฟ้อื
1. การมสี ว่ นร่วมของภาคส่วนตา่ ง ๆ
(S) (T) (R) (O) (N) (G)

√√ √ √ √√

2. ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ √

3. การสร้างองคค์ วามรู้ในการป้องกันการทจุ รติ √

4. การปอ้ งกนั การขดั กันแห่งผลประโยชนส์ ว่ นรวมกบั √
ผลประโยชนส์ ่วนตน

5. การส่งเสรมิ คณุ ธรรมจรยิ ธรรมของเจ้าหนา้ ทร่ี ัฐตาม √
ประมวลจริยธรรม

6. การสง่ เสริมใหส้ าธารณะตระหนกั ถงึ อันตรายของ √
การทจุ รติ

7. การพัฒนาการศึกษาวจิ ัยและนโยบายป้องกนั การทุจรติ √ √√

8. การพฒั นาใหค้ วามรู้บุคลากรทป่ี ฏิบตั หิ น้าที่ดา้ น √
ปอ้ งกันการทุจรติ

เมื่อพจิ ารณาการเปรยี บเทียบมาตรการป้องกนั การทจุ รติ ขององค์กรระหว่างประเทศในการต่อต้านการ
ทุจรติ ท้ัง 3 องค์กรกับโมเดล STRONG พบว่า โมเดล STRONG มนี ิยามเชงิ ปฏบิ ัติการทสี่ อดคล้องกับมาตรการ
ป้องกันการทุจริตขององค์กรระหว่างประเทศ ทั้งในประเด็นการส่งเสริมความโปร่งใสตรวจสอบได้ การสร้าง
องค์ความรู้ในการป้องกันการทุจริต การป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของ
เจา้ หน้าทีร่ ัฐ การส่งเสริมใหส้ าธารณะตระหนกั ถงึ อันตรายของการทุจรติ การพัฒนาการศึกษาวจิ ัยและนโยบาย
ป้องกันการทุจริต และการพัฒนาให้ความรู้บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านป้องกันการทุจริต ซึ่งตัวอักษรตัว “T”
และตัว “R” ในโมเดล STRONG สามารถสอดรับได้กับมาตรการปอ้ งกันการทุจริตขององค์กรระหว่างประเทศ
ได้ถึง 2 ประเด็น กล่าวคือ “T” คือ ความโปร่งใส เป็นหลักการในการส่งเสริมความโปร่งใสตรวจสอบได้ และ
การสง่ เสรมิ คุณธรรมจรยิ ธรรมของเจ้าหน้าทร่ี ัฐ ในส่วนของตัวอักษร “R” คือ ความตระหนักรู้ เป็นหลักการใน
การส่งเสริมให้สาธารณะตระหนักถึงอันตรายของการทุจริตและพัฒนาการศึกษาวิจัยและนโยบายป้องกัน
การทุจริต และในส่วนของการมีส่วนร่วม (Participation) แม้จะไม่มีนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวอักษรในโมเดล
STRONG ที่มีความสอดคล้องหรือมีความหมายที่ตรงกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในการ
ต่อต้านการทุจริต แต่เมื่อพิจารณาแผนภาพของโมเดล STRONG จะพบว่า การมีส่วนร่วม (Participation)
เป็นปัจจัยสำคัญในการเชื่อมโยงหลักการของโมเดล STRONG ทั้ง 6 ประการ กล่าวคือ การประสบความเสร็จใน
การปอ้ งกันการทุจริตเชิงรุกด้วยการเสริมสร้างใหบ้ ุคคลและชุมชนมีจิตพอเพียงต่อต้านทจุ ริตด้วยโมเดล STRONG
ซึง่ เป็นเปา้ หมายที่สำคัญของโมเดล STRONG ไดน้ ั้น เกดิ จากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ซ่ึงจะเห็นการส่งเสริม

๖๔

การมีส่วนร่วมได้จากกระบวนการดำเนนิ โครงการ “STRONG – จติ พอเพียงต้านทจุ ริต” ทีม่ กี ารถ่ายทอดความรู้
เกี่ยวกับโมเดล STRONG ไปสู่ชุมชนและการจัดต้ังชมรม STRONG เพื่อผลักดันให้มีการนำหลักการของโมเดล
STRONG ไปสู่การปฏบิ ัตใิ นการป้องกนั การทุจรติ ได้อยา่ งเป็นรปู ธรรม

สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ดำเนินโครงการ STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริต ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้ขยายพนื้ ทกี่ ารดำเนนิ โครงการครอบคลุมท้ัง 76 จงั หวดั และ 1 เขตปกครอง
ท้องถิ่นพิเศษ (กรุงเทพมหานคร) การดำเนินโครงการดังกลา่ วได้นำโมเดล STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริต ไป
ขับเคลื่อนการป้องกันการทุจริตในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการจัดตั้งชมรม STRONG ในทุกจังหวัด
เพ่ือให้ประชาชนในพนื้ ทมี่ สี ว่ นร่วมเปน็ ผจู้ ับตามองและแจ้งเบาะแสการทุจริต (Watch and Voice) โดยในช่วง
3 ปีที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาต่อยอดโมเดล STRONG เพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการ
ป้องกันการทุจรติ ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยในปี พ.ศ. 2562 ไดเ้ พิ่มคำวา่ “การมีส่วนรว่ ม” (Participation) ซง่ึ
เป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงและขับเคลื่อนหลักการของโมเดล STRONG ไปสกู่ ารป้องกนั การทุจริตได้ย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ รวมถงึ ได้มีการพัฒนาโมเดลไปสู่การเป็น STRONGER และ STRONGEST เพอ่ื ให้การป้องกันและ
การต่อตา้ นการทุจรติ ประสบความสำเร็จอย่างสูงสดุ และมีความเปน็ สัจธรรม

นอกจากนี้ จากการศึกษามาตรการป้องกันการทุจริตขององค์กรระหว่างประเทศ 3 องค์กร ได้แก่
องคก์ รสหประชาชาติ (UN) องค์การเพื่อความรว่ มมือและการพฒั นาทางเศรษฐกิจ (OECD) และธนาคารเพ่อื การ
พัฒนาแห่งเอเชีย ADB) พบว่า มีมาตรการป้องกันการทุจริตที่องค์กรระหว่างประเทศให้ความสำคัญ
8 ประการ ไดแ้ ก่ (1) การมีสว่ นรว่ มของภาคส่วนตา่ ง ๆ (2) ความโปรง่ ใส ตรวจสอบได้ (3) การสร้างองค์ความรู้
ในการป้องกันการทุจริต (4) การป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนรวมกับผลประโยชน์ส่วนตน (5) การ
ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐตามประมวลจริยธรรม (6) การส่งเสริมให้สาธารณะตระหนักถึง
อันตรายของการทุจริต (7) การพัฒนาการศึกษาวิจัยและนโยบายป้องกันการทุจริต และ (8) การพัฒนาให้
ความรู้บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านป้องกันการทุจริต มีความสอดคล้องกับแนวทางการป้องกันการทุจริต
และนิยามเชิงปฏิบัตกิ ารของโมเดล STRONG โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการมีส่วนรว่ มของทกุ ภาคสว่ น ทงั้ ภาครัฐ
ภาคเอกชน ภาคประชาสงั คม และภาคประชาชนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขบั เคลื่อนโมเดล STRONG ให้ไปสู่
โมเดล STRONGER และโมเดล STRONGEST ใหเ้ ป็นรปู ธรรมได้

ที่มารปู ภาพ : https://www.chorsaard.or.th

๖๕

ชุดวิชาที่ ๔ พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสงั คม

ความหมายและทมี่ าของคำศพั ท์ท่เี กี่ยวขอ้ งกับพลเมือง
คำว่า “พลเมือง” มีความหมายในหลายแง่มุม และมีการนำไปใช้เทียบกับคำอื่น ๆ อาทิ ประชากร
ประชาชน ปวงชน และราษฎร์ ฯลฯ แต่หากพิจารณาให้ละเอียดจะสามารถทำความเข้าใจความหมายของคำ
ตา่ ง ๆ ทคี่ ล้ายกนั ไดด้ ังนี้
ประชาชน หมายความถึง คนทว่ั ไป คนของประเทศ ซงึ่ ไมใ่ ชผ่ ปู้ กครอง เป็นสามญั ชนอยูภ่ ายใตร้ ัฐ เชน่
ประชาชนทกุ คนมีหน้าที่ต้องรู้กฎหมาย ใครจะปฏเิ สธวา่ ไมร่ ไู้ ม่ได้
ประชากร หมายถงึ คนโดยทั่วไป โดยมักใชใ้ นกรณีพจิ ารณาถงึ จำนวน
ราษฎร คำว่า "ราษฎร" เป็นคำเก่าแก่ที่มีใช้กันมานาน ในกฎหมายสมัยกรุงศรีอยุธยาและกฎหมาย
ตราสามดวง ก็มีการใชค้ ำว่า “ราษฎร” หมายถึงคนโดยท่วั ไป แตว่ ่า “ราษฎร” เปน็ คำท่ใี ช้ในชว่ งสมัยรชั กาลท่ี 5
เนื่องจากสังคมไทยสมัยโบราณ ประชาชนเป็นไพร่หรือทาสเกือบทั้งหมด พอมาถึงช่วงรัชกาลที่ 5 ได้มีการ
เปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแผ่นดินครั้งใหญ่และได้ทำการเลิกทาสเลิกไพร่ทำให้ประชาชนเหล่านั้น
กลายเป็นราษฎรหรือเสรีชนที่ไม่ต้องเป็นข้ารับใช้มูลนายและมีสถานะทางกฎหมายเท่าเทียมกัน จึงเรียกอดีต
ไพร่ ทาส ขุนนาง รวมทั้งชนชั้นใหม่ ๆ ว่า “ราษฎร” ในความหมายของ ผู้ที่ต้องเสียภาษีให้กับรัฐและต้อง
ปฏบิ ตั ิตามกฎหมายของบ้านเมืองเชน่ เดยี วกันหมด
ปัจจุบันคำว่าราษฎร และประชาชน มีความหมายเกือบจะเหมือนกัน แต่ประชาชน สื่อถึงการเป็น
เจา้ ของประเทศ และเจา้ ของอำนาจอธิปไตย มากกว่าราษฎร ส่วนราษฎรมนี ยั ของคนทีเ่ สียเปรียบคนที่ด้อยกว่า
อยู่ด้วยและมีนัยความหมายเป็นทางการน้อยกว่าคำว่า ประชาชนเช่น แม้เราจะเป็นราษฎรธรรมดา แต่ถ้า
ผู้บริหารประเทศคดโกงฉ้อราษฎร์บังหลวง เราก็ต้องไปคัดค้าน ที่ผ่านมาข้าราชการมักจะกดขี่ราษฎร ดั้งน้ัน
ราษฎร แปลว่า คนของรัฐเดิมหมายถึง สามัญชน คือคนที่ไม่ใช่ขุนนาง โดยทั่วไปมักหมายถึง คนธรรมดา หมู่คน
ทมี่ ิใชข่ ้าราชการ
พลเมือง คำวา่ “พลเมอื ง” เกดิ ขึ้นคร้ังแรกเมอื่ เกดิ การปฏิวตั ใิ หญใ่ นฝร่ังเศส เริม่ ต้นเมื่อปี ค.ศ. 1789
ชาวฝรง่ั เศสลุกฮือกันข้ึนมาล้มล้างระบอบการปกครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ล้มลา้ งระบบชนชนั้ ตา่ ง ๆ ขณะน้ัน
ได้แก่ พระราชวงศ์ ขุนนางข้าราชการ สมณะ นักพรต นักบวช และไพร่ ประกาศความเสมอภาคของชาวฝรั่งเศส
ทกุ คน ต่อมาคำวา่ "Citoyen" จึงแปลเป็น "Citizen" ในภาษาองั กฤษ
สำหรับประเทศไทย คำว่า “พลเมือง” น่าจะถูกนำมาใช้สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475
เนือ่ งจากผู้นำคณะราษฎรบางท่านเคยเรียนทปี่ ระเทศฝรงั่ เศส จึงไดน้ ำเอาคำน้มี าใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ต่อมากลายเป็นวิชาบังคับที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาจะต้อง
เรียนควบคู่กับวิชาศีลธรรม กลายเป็นวิชา "หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม" ในส่วนที่เป็นหน้าที่พลเมืองก็ลอกมา
จากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฉบบั ปี 2475 เร่ือยมาจนถึงรฐั ธรรมนูญ ฉบับปี 2475 แกไ้ ขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495
และเลกิ ใชเ้ มื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ ทำการรฐั ประหารเม่ือวันที่ 16 กันยายน 2500 แต่วิชาหน้าท่ีพลเมือง
ก็ยังคงเรียนและสอนกันต่อมาอีกหลายปีจึงเลิกไปพร้อม ๆ กับคำว่า "พลเมือง" โดยต่อมาก็ใช้คำว่า "ปวงชน"
แทนคำว่าราษฎรคงเป็นการใช้แทนคำว่า “ประชาชน” หรือคำว่า People ในภาษาอังกฤษ อาจจะมาจาก
อทิ ธิพลของอเมริกาสืบเนื่องมาจากสุนทรพจน์เกตทสี เบิร์กของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอลน์ ที่ให้คำจำกัดความ
ของรัฐบาลประชาธิปไตยไว้ว่า เป็น "รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน" แต่แทนที่เราจะใช้
คำว่า "ประชาชน" แทนคำว่า "ราษฎร" เรากลับใช้คำว่า "ปวงชน" แทน อย่างไรก็ตาม คำว่าปวงชนก็ใช้แต่ใน
รัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ เท่านั้น แต่ไม่ติดปากที่จะใช้กันทั่วไปในที่อื่น ๆ ไม่ว่าในหน้าหนังสือพิมพ์หรือในสื่อ
อื่น ๆ ยงั นยิ มใช้คำว่า "ประชาชน" มากกวา่ คำวา่ "ปวงชน"

๖๖

อย่างไรกต็ าม คำวา่ "พลเมือง" ไดม้ าปรากฏอีกคร้งั ในร่างรัฐธรรมนูญฉบบั ปัจจบุ ัน เร่ิมตั้งแตห่ มวดท่ี 2
ประชาชน ส่วนที่ 1 ความเป็นพลเมืองและหน้าที่ของพลเมือง มาตรา 26 บัญญัติไว้ว่า "ประชาชนชาวไทย
ย่อมมีฐานะเปน็ พลเมือง" ท่ีน่าสังเกตก็คือ ในมาตราน้ีใช้คำว่า "ประชาชน" ชาวไทย แทนคำว่า "ปวงชน" ชาวไทย
ที่เขียนไว้ในมาตรา 3 "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย" และมาตรา 5 "ปวงชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด
เพศหรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญเสมอกัน" ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญมีทั้งคำว่า "ปวงชน"
"ประชาชน" และ "พลเมือง" ในท่ตี ่าง ๆ แทนคำวา่ "ปวงชน" เหมือนรัฐธรรมนูญฉบบั อ่นื ๆ (วีรพงษ์ รามางกูร, 2558)

สำหรบั คำวา่ “พลเมอื ง” มีนกั วชิ าการให้ความหมาย สรปุ ไดพ้ อสงั เขป
พจนานุกรมนักเรียนฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมาย “พลเมือง” หมายถึง ชาวเมือง ชาวประเทศ
ประชาชน “วิถี” หมายถึง สาย แนว ทาง ถนน และ “ประชาธิปไตย” หมายถึง แบบการปกครองที่ถือมติปวงชน
เป็นใหญ่ ดังนั้น คำว่า “พลเมืองดีในวิถีชีวิตประชาธิปไตย” จึงหมายถึง พลเมืองที่มีคุณลักษณะที่สำคัญ คือ
เป็นผู้ที่ยึดมั่นในหลักศีลธรรมและคุณธรรมของศาสนา มีหลักการทางประชาธิปไตยในการดำรงชีวิตปฏิบัติตน
ตามกฎหมายดำรงตนเป็นประโยชน์ตอ่ สังคม โดยมีการช่วยเหลือเก้ือกลู กันอันจะกอ่ ใหเ้ กิดการพฒั นาสงั คมและ
ประเทศชาติ ใหเ้ ปน็ สงั คมและประเทศประชาธปิ ไตยอยา่ งแท้จรงิ
วราภรณ์ สามโกเศศ อธิบายว่า ความเป็นพลเมือง หมายถึง การเป็นคนที่รับผิดชอบได้ด้วยตนเอง
มีความสำนกึ ในสนั ตวิ ิธี มกี ารยอมรับความคดิ เหน็ ของผู้อ่ืน
ปรญิ ญา เทวานฤมิตรกุล กลา่ วว่า ความเป็นพลเมืองของระบอบประชาธิปไตย หมายถงึ การที่สมาชิก
มีอิสรภาพ ควบคกู่ ับความรับผิดชอบ และมอี สิ รเสรีภาพควบคกู่ ับ “หนา้ ที่ ”
จากความหมายของนักวิชาต่าง ๆ พอสรุปได้ว่า “พลเมือง” หมายถึง ประชาชนที่นอกจากเสียภาษี
และปฏิบัติตามกฏหมายบา้ นเมอื งแล้ว ยังต้องมีบทบาทในทางการเมือง คือ อย่างน้อยมีสิทธิไปเลือกตั้ง แต่ยิ่ง
ไปกว่านั้นคือมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ต่อทางการหรือรัฐได้ ทั้งยังมีสิทธิเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ
กับรัฐและอาจเป็นฝ่ายรุกเพื่อเรยี กร้องกฏหมาย นโยบายและกจิ กรรมของรัฐตามท่ีเห็นพ้อง พลเมอื งน้ันจะเป็น
คนที่รู้สึกเป็นเจ้าของในสิ่งสาธารณะ มีความกระตือรือร้นอยากมีส่วนรว่ ม เอาใจใส่การทำงานของรัฐ และเป็น
ประชาชนที่สามารถแก้ไขปัญหาส่วนรวมได้ในระดับหน่ึง โดยไมต่ ้องรอใหร้ ัฐมาแก้ไขใหเ้ ท่าน้ัน
อยา่ งไรก็ตาม มกี ารเปรยี บเทียบความแตกต่างระหว่างความเป็นราษฏร และความเป็นพลเมือง ดังตาราง
(อา้ งจาก จดหมายขา่ วสถาบันพระปกเกล้า ปที ่ี 10 ฉบับท่ี 7 เดอื นกรกฎาคม 2552) (ความเปน็ ราษฎร, ม.ป.ป.)

๖๗

ตารางท่ี 3 เปรียบเทยี บความแตกต่างระหว่างความเป็นราษฏร และความเปน็ พลเมือง
กล่าวโดยสรุป “พลเมือง” มีความแตกต่างจากคำว่า “ประชาชน” และ “ราษฎร” ตรงที่ว่า พลเมือง
จะแสดงออกถึงความกระตือรือร้นในการรักษาสิทธิต่างๆ ของตน รวมถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยการ
แสดงออกซึง่ สทิ ธิ เสรภี าพในการแสดงความคดิ เหน็ ความเปน็ พลเมอื ง (Citizen) มคี วามหมายทีส่ ะทอ้ นให้เห็น
ถึงบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของสมาชิกทางสังคมที่มีต่อรัฐ ต่างจากคำว่า ประชาชน ที่กลายเป็น
ผู้รับคำสั่ง ทำตามผู้อ่ืน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจึงอยู่ที่การเปลี่ยนให้ประชาชนคนธรรมดา กลายเป็น
พลเมอื งท่ีมีสิทธิกำหนดทิศทางของประเทศได
ความหมายและแนวคิดเกี่ยวกับการศกึ ษาเพื่อสรา้ งความเปน็ พลเมือง
ความหมายของพลเมอื งศึกษา
พลเมืองศึกษา (Civic education) หมายถึง การจัดการศึกษาและประสบการณ์เรียนรู้เพื่อพัฒนา
ผู้เรียนให้เป็นพลเมืองดีของประเทศ มีความภาคภูมิใจในความเป็นพลเมืองตนเอง มีสิทธิมีเสียง สนใจต่อ
ส่วนรวม และมีส่วนรว่ มในกจิ การบา้ นเมืองตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย หรอื การเรยี นรู้เกี่ยวกับ
รัฐบาล รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระบบการเมืองการปกครองสิทธิและความรับผิดชอบของพลเมือง ระบบการ
บริหารจดั การสาธารณะและระบบตลุ าการ

๖๘

คณุ ลกั ษณะของพลเมือง
“พลเมือง" ในระบอบประชาธิปไตย ประกอบด้วยลักษณะ 6 ประการ (ปริญญา เทวานฤมิตรกุล, 2555) คือ

1) มีอิสรภาพและพึ่งตนเองได้หมายความว่า ประชาธิปไตย คือ ระบอบการปกครองที่
ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดในประเทศ ประชาชนจึงมีฐานะเป็นเจ้าของประเทศเป็นเจ้าของชีวิตและมี
สิทธิเสรีภาพในประเทศของตนเอง ระบอบประชาธิปไตยจึงทำให้เกิดหลักสิทธิเสรีภาพ และทำให้ประชาชนมี
อิสรภาพ คือเป็นเจา้ ของชีวิตตนเอง “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยจงึ เปน็ ไท คอื เป็นอิสระชนท่พี ่ึงตนเอง
และสามารถรบั ผิดชอบตนเองได้ และไม่ยอมตกอยภู่ ายใตอ้ ทิ ธพิ ลอำนาจ หรอื “ระบบอปุ ถมั ภ์” ของผู้ใด

2) เห็นคนเทา่ เทยี มกัน หมายความวา่ ประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองท่ีอำนาจสงู สุดในประเทศ
เป็นของประชาชน ดังนั้น ไม่ว่าประชาชนจะแตกต่างกันอย่างไรทุกคนล้วนแต่เท่าเทียมกันในฐานะที่เป็น
เจ้าของประเทศ “พลเมือง” จึงต้องเคารพหลกั ความเสมอภาคและจะต้องเห็นคนเท่าเทียมกัน คือ เห็นคนเปน็
แนวระนาบ (horizontal) เห็นตนเท่าเทียมกับคนอื่น ทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าของประเทศอย่าง
เสมอกัน ถึงแมจ้ ะมกี ารพึง่ พาอาศัยแตจ่ ะเปน็ ไปอยา่ งเท่าเทยี ม

3) ยอมรับความแตกต่าง หมายความว่า ประชาธิปไตย คือ ระบอบการปกครองที่ประชาชนเป็น
เจ้าของประเทศ ประชาชนจึงมีเสรีภาพ ระบอบประชาธิปไตยจึงให้เสรีภาพและยอมรับความหลากหลาย
ของประชาชน ประชาชนจึงแตกต่างกันได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกอาชีพ วิถีชีวิต ความเชื่อทางศาสนาหรือ
ความคดิ เห็นทางการเมือง ดังน้ัน เพอ่ื มใิ หค้ วามแตกต่างนำมาซ่งึ ความแตกแยกในสงั คม “พลเมอื ง” ในระบอบ
ประชาธิปไตยจึงต้องยอมรับและเคารพความแตกต่างของกันและกัน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ และจะต้อง
ไมม่ กี ารใชค้ วามรนุ แรงต่อผู้ทเ่ี ห็นแตกต่างไปจากตนเอง

4) เคารพสิทธิผู้อื่น หมายความว่า ในระบอบประชาธิปไตยทุกคนเป็นเจ้าของประเทศทุกคนจึงมีสทิ ธิ
แต่ถา้ ทกุ คนใชส้ ิทธโิ ดยคำนงึ ถงึ แต่ประโยชน์ของตนเอง หรอื เอาแต่ความคิดของตนเองเป็นทต่ี ้ัง โดยไม่คำนึงถึง
สิทธิผู้อื่นหรือไม่สนใจว่าจะเกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ใดย่อมจะทำให้เกิดการใชส้ ิทธิที่กระทบซึ่งกันและกัน สิทธิ
ในระบอบประชาธิปไตยจึงจำเป็นต้องมีขอบเขต คือ มีสิทธิและใช้สิทธิได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น “พลเมือง”
ในระบอบประชาธปิ ไตยจึงต้องเคารพสิทธิผูอ้ ่ืนและจะต้องไม่ใชส้ ิทธิเสรภี าพของตนไปละเมดิ สิทธขิ องผู้อ่นื

5) รับผิดชอบต่อสังคม หมายความว่า ประชาธิปไตยมิใช่ระบอบการปกครองตามอำเภอใจหรือใคร
อยากจะทำอะไรก็ทำโดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม ดังนั้น “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยยังจะต้องใช้สิทธิ
เสรีภาพของตนโดยรับผิดชอบต่อสังคมด้วยด้วยเหตุที่สังคมหรือประเทศชาติมิได้ดีขึ้นหรือแย่ลง โดยตัวเอง
หากสงั คมจะดีขน้ึ ได้กด็ ้วยการกระทำของคนในสังคม

6) เขา้ ใจระบอบประชาธิปไตยและมีสว่ นร่วม หมายความว่า ประชาธปิ ไตยคือการปกครองโดยประชาชน
ใช้กติกาหรือกฎหมายที่มาจากประชาชนหรือผู้แทนประชาชน ระบอบประชาธิปไตยจะประสบความสำเร็จได้
ก็ตอ่ เมือ่ มี “พลเมอื ง” ทีเ่ ข้าใจหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยตามสมควร ท้ังในเร่ือง
หลักประชาธิปไตยหรือการปกครองโดยประชาชน และหลักนิติรัฐหรือการปกครองโดยกฎหมาย ถ้ามีความ
ขดั แย้งก็เคารพกติกาและใช้วถิ ที างประชาธิปไตยในการแกป้ ัญหาโดยไม่ใช้กำลงั หรอื ความรุนแรง

องค์ประกอบของการศึกษาความเป็นพลเมือง
สำหรับนักวิชาการต่างประเทศ ได้เขียนบทความวิชาการเกี่ยวกับการศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง อาทิ
John Porter เขียนบทความเรื่อง “The Challenge of education for active citizenship” โดยอธิบาย
การศึกษาความเป็นพลเมืองว่ามี 3 ประเด็นที่เชื่อมกับมิติพลเมือง การเมือง และสังคม ทั้งนี้ พลเมือง
ประกอบดว้ ย สิทธิจำเป็นสำหรับความเปน็ อสิ ระ เสรภี าพระดบั ปัจเจกบคุ คล การเมอื งประกอบด้วยสิทธิในการ
มีส่วนร่วมในการใช้อำนาจทางการเมือง ส่วนสังคมประกอบด้วยสิทธิที่มีต่อสวัสดิการทางเศรษฐกิจ และความ
มัง่ คงที่มีต่อสทิ ธทิ จี่ ะรว่ มมอื กนั และเพื่ออาศัยอย่ใู นชวี ติ ของความศวิ ิไล

๖๙

๑) ความรบั ผิดชอบทางสงั คม (Social Responsibility)
การเรียนรู้ของเด็กจะเริม่ ต้นจากความไว้ใจตนเอง เกี่ยวกบั สังคม ศีลธรรม พฤติกรรมความรับผิดชอบ
ทั้งในและอยู่เหนือห้องเรียน การเรียนรู้ของเด็กควรทำหรือแสดงบทบาทในกลุ่มหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมของ
ชมุ ชน
2) ความเก่ียวพนั ชุมชน (Community Involvement)
การเรียนรู้ผ่านชุมชนหรือการบริการในชุมชนมี 2 สาขาของความเป็นพลเมือง มันไม่จำกัดเวลาของ
เด็กท่ีโรงเรียน แต่ควรรับรู้ในฐานะเป็นกล่มุ อาสาสมัครทไ่ี ม่เป็นการเมือง
3) ความสามารถในการอ่านและเขียนทางการเมือง (Political Literacy)
การเรียนของนักเรียนเกี่ยวกับการทำให้ ”ชีวิตสาธารณะ” มีประสิทธิผล โดยผ่านความรู้ ทักษะ และ
คา่ นิยม คำว่า “ชวี ิตสาธารณะ” ถูกใชใ้ นความร้สู ึกที่กว้างที่สดุ เพื่อที่จะล้อมรอบความรู้ที่สมเหตุสมผลของการ
มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง และเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจต่อเศรษฐกิจหลักและปัญหาสังคมของ
ทุกวันรวมทั้งแต่ละการคาดหมายของบุคคลและการตระเตรียมสำหรับโลกของการจ้างงาน และการอภิปราย
ของการจัดสรรทรัพยากรภาครัฐและการสมเหตุสมผลของระบบการจัดเกบ็ ภาษี
Joseph KuiFoon และ Chow–Kerry J. Kennedy (2012) เขยี นบทความเร่อื ง “Citizenshipand
Governance in the Asian Region : Insights from the International Civic and Citizenship Education
Study” โดยเขาเสนอว่า ขอบเขตเนื้อหาของการศึกษาความเป็นพลเมืองประกอบด้วย 4 อย่าง คือ 1) ประชา
สังคมและระบบ 2) องค์ประกอบข้อปฏิบัติพลเมือง 3) การมีส่วนร่วมพลเมือง และ 4) อัตลักษณ์พลเมือง
ส่วนขอบเขตกระบวนการความคิด คือ การรู้จัก การวิเคราะห์และการให้เหตุผล และขอบเขตพฤติกรรมอารมณ์
คือ ความเชอ่ื ค่านิยม ทศั นคติ ความสนใจเกีย่ วกับพฤตกิ รรมและพฤตกิ รรม
JaapScheerens เขียนบทความเรื่อง “Indicators on Informal learning for Active Citizenshipat
School” มีสาระว่าเป้าหมายของการศึกษาสำหรับความเป็นพลเมืองมี 3 มิติ คือ มิติ 1 การรับรู้เข้าใจกับการ
นับถือความรู้เกี่ยวกับสถาบันประชาธิปไตย มิติ 2 เน้นการปฏิบัติจริง (pragmatic) ในอารมณ์ความรู้สึกของ
การกระทำและการได้รับประสบการณ์ และมิติ 3 เกี่ยวกับอารมณ์ในศัพท์ของการผูกติดกับสังคมและชุมชน
ซง่ึ อันหนง่ึ เปน็ เจา้ ของสมรรถนะการส่อื สารและสังคม
John Patrick เขยี นบทความเรือ่ ง “Defining, Delivering, and Defending a Common Education for
Citizenship in a Democracy” ซึ่งได้พัฒนากรอบแนวคิดการศึกษาหลักสูตรพลเมือง ที่ว่านิยามตามองค์ประกอบ
การศึกษาความเปน็ พลเมอื งในระบอบประชาธิปไตย อนั ไดแ้ ก่
1) ความรู้ของความเป็นพลเมอื งและรฐั บาลในระบอบประชาธิปไตย
2) ทักษะท่ีเฉลยี วฉลาดของความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย
3) ทักษะการมีส่วนร่วมของความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย (ทักษะความเป็นพลเมอื งแบบ
มสี ว่ นร่วม)
4) แนวโน้มที่จะกระทำการบางอย่างของความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย (ความเอนเอียง
ของพลเมือง)
Joel Westheimerและ Joseph Kahne (2004) ได้เขียนบทความเรื่อง “What kind of Citizen ?
The Politic of Educating for Democracy” โดยมีสาระว่านักการศึกษาและผู้กำหนดนโยบายได้ติดตามแผนงาน
เพ่ิมขึ้นที่ว่าได้มีจุดมุ่งหมายทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งผ่านการศึกษาความเป็นพลเมือง การเรียนรู้การบริการและ
การสอน ทั้งนี้ Westheimer และ Kahne ได้ให้แนวคิดที่สำคัญ 3 แนวคิดของความเป็นพลเมืองที่ดี คือ การมุ่งเน้น
ความรับผิดชอบระดับบุคคล การมีส่วนร่วม และความยุติธรรมที่เน้นย้ำโดยนัยทางการเมืองของการศึกษา
ประชาธิปไตย อันมรี ายละเอยี ดแสดงเป็นตาราง ดังนี้

๗๐

ตารางที่ 4 ประเภทของความเป็นพลเมือง

แนวทางการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี
ณฐั นันท์ ศริ เิ จริญ (2555) ไดก้ ลา่ วถงึ แนวทางการปฏบิ ัติตนเป็นพลเมืองดตี ามวิถีชีวิตประชาธิปไตย
ควรมีแนวทางการปฏบิ ตั ิตน ดังน้ี
ดา้ นสังคม ได้แก่

1) การแสดงความคิดอยา่ งมีเหตผุ ล
2) การรบั ฟังข้อคิดเหน็ ของผอู้ ื่น
3) การยอมรับเมื่อผอู้ นื่ มีเหตุผลที่ดกี วา่
4) การตัดสนิ ใจโดยใชเ้ หตผุ ลมากกว่าอารมณ์
5) การเคารพระเบียบของสงั คม
6) การมจี ติ สาธารณะ คอื เห็นแกป่ ระโยชน์ของส่วนรวมและรกั ษาสาธารณสมบตั ิ
ด้านเศรษฐกจิ ได้แก่
1) การประหยัดและอดออมในครอบครัว
2) การซือ่ สตั ยส์ จุ ริตต่ออาชพี ทีท่ ำ
3) การพัฒนางานอาชพี ให้กา้ วหน้า
4) การใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
5) การสร้างงานและสร้างสรรคส์ ่ิงประดิษฐ์ใหม่ ๆเพือ่ ใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อสงั คมไทยและสงั คมโลก
6) การเป็นผูผ้ ลติ และผู้บรโิ ภคท่ดี ี มคี วามซอ่ื สตั ย์ ยึดมั่นในอดุ มการณ์ทดี่ ตี อ่ ชาตเิ ปน็ สำคัญ

๗๑

ดา้ นการเมอื งการปกครอง ได้แก่
1) การเคารพกฎหมาย
2) การรบั ฟงั ขอ้ คดิ เห็นของทุกคนโดยอดทนต่อความขัดแยง้ ท่ีเกดิ ขึ้น
3) การยอมรับในเหตผุ ลที่ดีกวา่
4) การซ่อื สตั ยต์ ่อหน้าที่โดยไมเ่ ห็นแกป่ ระโยชนส์ ว่ นตน
5) การกล้าเสนอความคิดเห็นต่อส่วนรวมกล้าเสนอตนเองในการทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทน

ราษฎร หรือสมาชิกวุฒสิ ภา
6) การทำงานอย่างเต็มความสามารถเตม็ เวลา

ดังนั้น ความเป็นพลเมืองสามารถแยกพิจารณาทำความเข้าใจ ว่า ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 คุณค่า
คา่ นยิ ม ส่วนท่ี 2 ความรู้ และสว่ นที่ 3 ทกั ษะพฤติกรรม รายละเอียดดงั นี้ (จาก www.thaiciviceducation.org)

๗๒

๗๓

ตารางที่ 5 องค์ประกอบของความเปน็ พลเมือง

แนวทางการสร้างเสรมิ สำนกึ ความเป็นพลเมือง : กรณศี ึกษาประเทศไทย
จากรายงานการศึกษาแนวทางการสร้างเสริมสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เยาวชน โดยสภาพัฒนา
การเมืองสถาบันพระปกเกลา้ ร่วมมือกบั หน่วยงานในพน้ื ทีจ่ ัดทำรายงานการศกึ ษาในระดบั พ้ืนที่ เช่น

กรณีภาคเหนอื : จงั หวดั ลำปาง
1) กจิ กรรมเพอื่ เสริมสร้างสำนึกความเป็นพลเมอื งแก่เยาวชนในจงั หวดั ลำปาง
ภาพรวมของการจัดกิจกรรมสร้างเสริมสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เยาวชนและภาพรวมของการ
สนับสนนุ สง่ เสรมิ จากภาคส่วนต่าง ๆ ในการจดั กจิ กรรมสรา้ งเสริมสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เยาวชนในจังหวัด
ลำปาง ส่วนใหญ่เป็นการดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเด็กและเยาวชน ไม่ได้ต้ัง
วัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสริมสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เยาวชนโดยตรง เหมือนเช่นโครงการที่ได้รับการ
สนบั สนนุ จากสถาบนั พระปกเกล้าที่ได้ดำเนนิ การในโรงเรยี นบางแห่งของจังหวัดลำปาง แต่อยา่ งไรกต็ ามการจัด
กจิ กรรมการพฒั นาเดก็ และเยาวชนตา่ ง ๆ ทไ่ี ด้ดำเนนิ การในจงั หวดั ลำปางนัน้ ทา้ ยท่สี ดุ แล้วก็จะสง่ ผลหนุนเสริม
เติมเต็มสำนึกความเป็นพลเมืองของเด็กและเยาวชนได้เช่นกัน ในขณะเดียวกัน ภาคส่วนต่าง ๆ ที่ดำเนินการ

๗๔

สนบั สนุนสง่ เสริมกิจกรรมการพัฒนาเด็กและเยาวชนหรือกิจกรรมสร้างเสริมจิตสำนึกความเปน็ พลเมืองแก่เยาวชน
ซึ่งประกอบไปด้วย กลุ่มผู้ปฏิบัติการ กลุ่มผู้สนับสนุนงบประมาณ กลุ่มผู้สนุบสนุนวิชาการองค์ความรู้
กลุ่มผู้สนับสนุนบุคลากรวิทยากร กลุ่มผู้สนับสนุนอาคารสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับ
การจัดกิจกรรมต่าง ๆ มีความร่วมมือระหว่างกัน ตามภาระหน้าที่ พันธกิจและตามความสัมพันธ์ของภาคส่วน
ตา่ ง ๆ เหลา่ นี้

2) ปัญหาอุปสรรคและปัจจัยสู่ความสำเร็จในการสร้างเสริมสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เด็กและ
เยาวชน

การดำเนินกิจกรรมสร้างเสริมสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เยาวชนในจังหวัดลำปาง มีปัญหาอุปสรรค
และความสำเร็จเกิดขึ้นมาก จากการศึกษาข้อมูลผ่านเวทีสะท้อนในการประชุมกลุ่มย่อย สามารถสรุปปัจจัย
สำคัญท่ีเป็นปัจจัยปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานสร้างเสริมสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เยาวชน เกิดจาก
3 ปัจจัย คือ ปัจจัยครอบครัว พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ปัจจัยการสนับสนุนของหน่วยงานองค์กรที่เกี่ยวข้องกับงาน
ด้านเด็กและเยาวชน และปัจจัยโอกาสการเข้าถึงกิจกรรมของเด็กและเยาวชน ส่วนปัจจัยสำคัญที่เป็นปัจจัย
แหง่ ความสำเร็จน้ันเกดิ จาก 4 ปัจจยั คอื ปัจจัยพลงั เด็กและเยาวชน ปัจจัยครอบครวั พอ่ แม่ ผู้ปกครอง ปจั จยั
บุคคล หนว่ ยงาน องค์กร ชุมชน และปจั จยั เครอื ขา่ ยการทำงาน

3) แนวทางในการพฒั นารูปแบบกิจกรรมเพ่ือเสริมสร้างสำนกึ ความเปน็ พลเมืองแกเ่ ด็กและเยาวชน
การพัฒนาเด็กและเยาวชนเปน็ งานที่ตอ้ งอาศัยเวลาและต้องมีรูปแบบกิจกรรมทีเ่ หมาะสม สอดคล้อง
กับบริบทการทำงานของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนารูปแบบกิจกรรมอยู่อย่างต่อเนื่องเพื่อให้
เหมาะสมทันต่อสภาวการณ์ของเด็กและเยาวชน และสภาพการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก
และเยาวชนอย่างรวดเร็ว จากการศึกษาพบว่า แนวทางการพัฒนารูปแบบกิจกรรมเพื่อสร้างเสริมสำนึกความ
เปน็ พลเมอื งแก่เยาวชนในจังหวัดลำปาง ควรพัฒนารปู แบบกจิ กรรมโดยเนน้ การมีสว่ นรว่ มของเด็กและเยาวชน
การบรู ณาการกิจกรรมในพื้นทร่ี ะดบั ตำบล การพัฒนาเครือขา่ ยการทำงานดา้ นเด็กและเยาวชน และการสื่อสาร
สร้างความรู้ความเขา้ ใจในพ้นื ทอ่ี ยา่ งทัว่ ถงึ

กรณีภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื : จงั หวัดสกลนคร
1) กิจกรรมการสรา้ งเสริมสำนกึ ความเปน็ พลเมืองแก่เด็กและเยาวชนในจงั หวดั สกลนคร
ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา เป็นการดำเนินกิจกรรมของหน่วยงานท้ังภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน ที่ทำงาน
ขับเคลือ่ นการพัฒนาเด็กและเยาวชน แต่พบวา่ เป็นกจิ กรรมท่ีมกั จะพัฒนาแนวคิดการดำเนนิ งานที่เป็นลักษณะ
นโยบายส่วนกลาง เพื่อรองรับงบประมาณ เช่น สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แต่ถ้าเป็น
กิจกรรมเด่น ๆ ท่ีเกิดจากมุมมองในปัญหาของเด็กและเยาวชนและผู้ที่ทำงานกับเด็กและเยาวชนจรงิ ๆ จะเห็น
ว่ายังไม่ได้เกิดในหน่วยงานภาครัฐ กิจกรรมที่สามารถสร้างสำนึกพลเมืองเด็กและเยาวชนที่เห็นผลของการ
พัฒนาการสร้างสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เด็กและเยาวชน ที่มีเสยี งจากกลุ่มเด็กและเยาวชน คอื กจิ กรรมค่าย
ที่ให้โอกาสเด็กและเยาวชนได้คิดสร้างสรรค์กิจกรรมดี ๆ และหลากหลาย โดยอยู่ภายใต้การดูแลให้คำแนะนำ
และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากผใู้ หญ่ใจดี เชน่ กิจกรรมของชมรมคนรักศิลป์กิจกรรมของกลุ่มเด็กฮักถิ่น
สรุปภาพรวมผลการสนทนากลุ่มยอ่ ยในการสร้างสำนึกความเป็นพลเมืองแกเ่ ด็กและเยาวชนในจังหวัดสกลนคร
มีสาระสำคัญ คือ การให้นิยามความหมายของเด็ก เยาวชนและผูใ้ หญ่ไม่ไดแ้ ตกตา่ งกนั ส่วนสำนึกพลเมืองเดก็
และเยาวชนในปัจจุบันควรจะมีต้นแบบสำนึกพลเมืองจากผู้ใหญ่ ส่วนสำนึกพลเมืองของเด็กและเยาวชนนั้น
ไดเ้ รยี นรผู้ า่ นกจิ กรรมคา่ ยทม่ี งุ่ เน้นการพัฒนาจติ อาสา

๗๕

2) ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เยาวชน
ในจังหวดั สกลนคร

ปัจจัยที่เป็นปัญหาและอุปสรรคในการเสริมสร้างสำนึกพลเมืองแก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดสกลนคร
สรุปได้ดังนี้ 1) การขาดโอกาสในการเรียนรู้ความเป็นพลเมืองของเดก็ และเยาวชน 2) พ่อแม่ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่
ในสังคม ไมเ่ ป็นต้นแบบท่ีดีแก่ลกู หลานขาดต้นแบบผู้ใหญท่ ่ีดี 3) สถาบนั การศึกษาขาดความเข้าใจในการสร้าง
สำนึกพลเมอื งแกเ่ ด็กและเยาวชน ผ่านหลกั สตู รการจดั การเรยี นการสอน และ 4) หน่วยงานท่ีดแู ลดา้ นเด็กและ
เยาวชนขาดการประสานงาน ขาดความรู้ความเข้าใจในเรอ่ื งของการสรา้ งสำนกึ พลเมืองและทำงานซำ้ ซ้อน

3) แนวทางในการพัฒนารูปแบบกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เด็กและ
เยาวชนจงั หวัดสกลนคร มี 2 มุมมอง คอื มมุ มองของผใู้ หญ่ และ มุมมองของเด็กและเยาวชน

มมุ มองของผู้ใหญ่การสร้างตน้ แบบให้กับเด็กและเยาวชนผ่านส่ือตา่ ง ๆ การส่งเสรมิ ต้นแบบคนดีโดยมี
เวทแี สดงความดเี ชงิ ประจักษ์ เชิดชคู วามดคี นดเี พ่ือเป็นกำลังใจแก่คนทำดี โดยเรมิ่ จากระดับครอบครัวและการ
พัฒนาแบบผสมผสานหลักธรรมคำสอนกับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการบรรจุหลักสูตรการเสริมสร้าง
สำนึกพลเมืองแก่เด็กและเยาวชนในทุกระดับการศึกษาที่ครอบคลุมเนื้อหาทุกวิชา ทุกมิติมุมมองของเด็กและ
เยาวชน รูปแบบกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างสำนึกพลเมืองที่อยากเห็นและต้องการคือการให้โอกาสได้เข้าร่วม
กำหนดกรอบแนวทางเพื่อสร้างสำนึกพลเมืองกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสอดแทรกกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา
สาธารณะใหแ้ ก่เดก็ และเยาวชนอยา่ งต่อเน่อื งและยง่ั ยนื

กรณภี าคใต้ : จังหวัดยะลา
บริบทปัญหาส่วนใหญ่ที่คุกคามหรือส่งเสริมการสร้างสำนึกพลเมืองจังหวัดยะลา คือ เยาวชนว่างงาน
เยาวชนเลน่ การพนนั เยาวชนตดิ ยาเสพติด เยาวชนขับรถช่ิง เยาวชนขาดการศึกษา ขาดทุนทรพั ย์ในการศึกษา
แต่ที่สำคัญจากผลการวิจัย พบว่า ปัญหาสำคัญในจังหวัดยะลา คือ เยาวชนติดยาเสพติด และเยาวชนได้รับ
การศกึ ษานอ้ ย
สำหรับท่ีผา่ นมา การดำเนนิ งานด้านการพัฒนาเยาวชนในจังหวดั ยะลา จากข้อมูลประเด็นยุทธศาสตร์
ของจงั หวดั ยะลา สรุปได้ว่า โครงการพัฒนาเยาวชนเพื่อสร้างงานโครงการจ้างงานนักเรยี น นักศึกษาในชว่ งปิดภาค
ฤดูร้อน โครงการฝึกอาชีพแก่เยาวชนในสถาบันการศึกษาปอเนาะ โครงการมหกรรมเปิดโลกการศึกษาและอาชีพ
เพื่อการมีงานทำโครงการศูนย์ยะลาสันติสุขคืนคนดีสู่สังคม โครงการมวลชนสานสัมพันธ์สานฝันสู่อามานดามัน
และโครงการครอบครัวป้องกันภัยแก่ไขปัญหายาเสพติด ตลอดจนมีโครงการพัฒนาเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร
โครงการทบู ีนบั เบอร์วัน เปน็ ต้น อาจกล่าวได้ว่า การสรา้ งเยาวชนใหม้ ีสำนึกพลเมือง เรมิ่ ต้นจากการอบรม ดูแล
เอาใจใส่ศึกษาให้ความรู้ของครอบครัว พ่อแม่ และญาติพี่น้อง การได้รับการศึกษาจากสถาบันที่เยาวชนศึกษา
และหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวกับเยาวชน คือ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด
ยะลา และสำนักงานพฒั นาชุมชนจังหวัดยะลา
1) กจิ กรรมการสรา้ งเสรมิ สำนึกความเปน็ พลเมืองแก่เดก็ และเยาวชนในระดับพื้นทีจ่ ังหวดั ยะลา

- จัดโครงการสอนภาษาไทยให้ผู้ไม่รู้หนังสือหรือผู้อา่ นภาษาไทยไม่ได้ เพื่อสร้างความภาคภูมใิ จ
ในความเป็นคนไทยมคี วามเป็นเจ้าของประเทศมากข้ึน

- โครงการสอนภาษามลายใู ห้แก่ทหารพรานเพ่ือใหส้ ามารถส่ือสารสร้างความเข้าใจกับประชาชน
- โครงการสำนึกรักษ์ท้องถิ่นเสริมสร้างความสมานฉันท์ เพื่อให้เยาวชนทำกิจกรรมร่วมกันและ
เป็นโครงการทสี่ ่งเสริมปลูกจติ สำนกึ ใหเ้ ยาวชนรกั บ้านเกิด รสู้ กึ ความเปน็ เจ้าของ
- โครงการนำเยาวชนสสู่ ันตเิ พอ่ื เรยี นรู้วธิ ีการสร้างสันติภาพการจดั การความขดั แย้ง
- โครงการคา่ ยเอดส์และยาเสพติด
- จดั ต้งั ศนู ยบ์ ริการทเี่ ป็นมติ รแก่เยาวชน เพ่อื ใหเ้ ยาวชนมคี วามพอใจ มคี วามประทับใจร้สู ึกว่า
ตนเองมีความสำคัญทำให้มคี วามรักตอ่ ประเทศชาติ

๗๖

- จัดเวทีประชาคมหมู่บ้านเพื่อให้เยาวชนมีส่วนร่วมกับทุกฝ่ายในการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหา
ในชมุ ชนทำใหเ้ ยาวชนภูมใิ จและมีความรกั ต่อชุมชน

- โครงการส่งเสริมอาชีพแก่เยาวชน เพื่อให้เยาวชนเห็นช่องทางอาชีพในอนาคต ใช้เวลาว่าง
ให้เปน็ ประโยชน์ มีความคิดสรา้ งสรรค์ มคี วามรบั ผิดชอบมากขึ้น

- กจิ กรรมนนั ทนาการเชน่ กิจกรรมฟตุ บอลภาคฤดรู ้อน และกจิ กรรมออเครสตร้าเพื่อสะท้อน
การอย่รู ่วมกนั

- โครงการสานพลังเยาวชนนำสงั คมเขม้ แขง็
- โครงการส่งเสริมอาชีพให้เดก็ และเยาวชน เชน่ ปลูกผัก เลยี้ งไก่ ซ่อมรถจักรยานยนต์
2) ปัญหาและอปุ สรรคในการดำเนนิ กิจกรรมเพ่อื เสริมสร้างสำนกึ ความเปน็ พลเมืองแก่เยาวชนใน
จังหวัดยะลา
ปัญหาสว่ นใหญ่ที่คุกคามหรือส่งเสริมการสร้างสำนึกพลเมืองจังหวดั ยะลา คือ เยาวชนขาดความรับผิดชอบ
ในการรว่ มกจิ กรรมเพ่อื การพฒั นาศักยภาพและในการทำโครงการ ปัญหาความไมเ่ ข้าใจในวตั ถุประสงคข์ องการ
ทำกิจกรรม เยาวชนขาดจิตอาสาจิตสาธารณะ ปัญหาด้านยาเสพติด งบประมาณในการพัฒนาศักยภาพของ
เยาวชนในการทำโครงการไม่ตอ่ เน่ือง การใชง้ บประมาณไม่โปร่งใส ขาดความเป็นอสิ ระ
3) แนวทางในการพัฒนารูปแบบกิจกรรมการสร้างเสริมสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เด็กและ
เยาวชนในระดบั พ้ืนทีจ่ งั หวัดยะลา
- กิจกรรมการสร้างเสริมสำนึกความเป็นพลเมืองแก่เด็กและเยาวชน ควรดำเนินการทั้งใน
ระบบและนอกระบบโรงเรียน เน้นกจิ กรรมการมสี ่วนร่วมและสรปุ บทเรียนร่วมกนั เพ่อื ก่อให้เกดิ การเรยี นรู้และ
ย้ำสำนกึ พลเมอื งบ่อย ๆ เพ่อื ใหก้ ลายเปน็ วฒั นธรรมของชุมชนต่อไป
- กิจกรรมนอกหลักสูตร ที่ทำนอกเหนือกิจกรรมในชั้นเรียน นอกจากนี้ ยังรวมทั้งการให้
หน่วยงานราชการภาคีที่มีหน้าที่เกี่ยวกับโครงการที่เยาวชนดำเนินการ หรือบุคคลที่มีบทบาทในชุมชนมาร่วม
รับรู้ เป็นสักขีพยานการทำงานของโครงการ โดยเน้นวางระบบการทำงานแบบเป็นทางการและลายลักษณ์
อักษร มกี ำหนดการทำงานทชี่ ัดเจนและมคี ณะบคุ คลทีม่ ีหน้าที่เก่ียวข้องมาร่วมตดิ ตาม

การศึกษาเกยี่ วกบั ความเป็นพลเมืองในบริบทตา่ งประเทศ
ในหลายประเทศมีการส่งเสริมเรื่องการศึกษาเรื่องความเป็นพลเมือง ซึ่งแต่ละประเทศ

มีแนวคิดและประเด็นในการศึกษาที่แตกต่างกนั โดยเอกสารนี้จะนำเสนอแนวคดิ พร้อมทั้งประเด็นการปฏบิ ัติ
ที่นา่ สนใจท่ีเกิดข้นึ จากการส่งเสริมด้านความเป็นพลเมือง โดยเนอื้ หาหลักนำมาจากบทความของเสิศพงษ์ อุดมพงศ์
เรื่อง การศึกษาเพื่อความเป็นพลเมือง (Civic/Citizenship Education) ในการส่งเสริมบทบาทของภาคพลเมือง
ในการเมืองระบบตัวแทน : แนวทางที่ยั่งยืนผ่านประสบการณ์จากต่างประเทศ (2558) ซึ่งมีประเทศที่น่าสนใจ
ดงั น้ี

ประเทศญีป่ ุ่น
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชียมีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยวและปกครองด้วยระบอบ

ประชาธิปไตยในระบบรฐั สภา มอี งค์พระจกั รพรรดหิ รือกษัตรยิ ์ทรงเป็นประมุข มีนายกรฐั มนตรีเป็นผู้นำในการ
บริหารประเทศ เช่นเดียวกับประเทศไทย (ชำนาญ จันทร์เรือง, 2554) ในปี คศ. 2013 ได้รับการจัดอันดับ
ด้านความเป็นประชาธิปไตย (Democracy Ranking) เป็นอันดับ 20 ของโลก (แคมป์เบลล์และคณะ
Campbell et.al., 2013) นับเป็นประเทศประชาธิปไตยในฝั่งเอเชียเพียงไม่กี่ประเทศที่ได้รับการประเมินอยู่
ในอันดับตน้ ๆ ของโลก

การศึกษาเพื่อความเป็นพลเมืองในประเทศญี่ปุ่น คือ การพัฒนาพลเมืองผู้ซึ่งจะสร้างสังคม
ประชาธปิ ไตยในอนาคต ซึง่ ประชาธิปไตยมีทั้งทางตรงและทางออ้ มความ เปน็ พลเมืองมีทงั้ รูปแบบเสรีนิยมและ
รัฐนยิ ม จงึ มคี วามหลากหลายและความยากทจ่ี ะนยิ ามคำนใี้ หม้ ีความหมายที่ครอบคลมุ ได้ในระดบั นโยบายเรือ่ ง

๗๗

การศึกษาเพื่อความเป็นพลเมืองนั้นอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงหลัก 2 กระทรวง คือ กระทรวง
สาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ และกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ กีฬา และเทคโนโลยี

โดยที่รัฐบาลมีการกำหนดแผนนโยบายการพัฒนาเด็กและเยาวชนขึ้นในปี คศ. 2003 โดยได้
กล่าวถึงหลักการสำคญั 4 ข้อ สำหรับการจัดการศึกษาเพือ่ ความเป็นพลเมืองของญี่ปุ่น ประกอบด้วย

1) สนบั สนุนความเปน็ อสิ ระทางสงั คม
2) สนับสนนุ ให้ไดร้ บั ประสบการณ์ตามความต้องการของแต่ละบคุ คล
3) ปรับเปล่ยี นมุมมองของเยาวชนในฐานะสมาชกิ ทกี่ ระตือรือร้นของสงั คม
4) กระตนุ้ ใหเ้ กดิ บรรยากาศทเ่ี ป็นอิสระและมีการอภิปรายได้อย่างเปดิ กวา้ งในสังคม
ในปี คศ. 2006 มกี ารปฏิรูปพระราชบญั ญัติการศกึ ษาข้ันพื้นฐานของญ่ปี ุ่น ซึง่ นับต้ังแตป่ ี คศ. 1947
ที่ยังไม่เคยมีการปฏิรูป แต่หลักการที่สำคัญประการหนึ่งที่ยังคงไว้อยู่ในพระราชบัญญัติโดยที่มิได้มีการ
เปลี่ยนแปลง มีใจความสำคัญในวรรคแรกว่า เป้าหมายของการศึกษาที่สำคัญ คือ การศึกษาจะก่อให้เกิดการ
พัฒนาบุคลิกภาพโดยสมบรู ณ์ พยายามอย่างหนักในการสั่งสอนขัดเกลาบุคคล มีจิตใจทส่ี ดใสรา่ งกายที่สมบูรณ์
เป็นผู้ซึ่งรักในความถูกต้องและความยุติธรรม เคารพในคุณค่าของตนเอง เคารพผู้ใช้แรงงาน มีความตระหนัก
ต่อความสำนักรับผิดชอบอย่างลึกซึ้ง ซึมซับจิตวิญญาณที่เป็นอิสระในฐานะเป็นผู้สร้างสันติภาพแห่ งรัฐและ
สงั คม ซ่ึงเป้าหมายทก่ี ำหนดขน้ึ นน้ั เปน็ ประเดน็ สำคญั ทีจ่ ะสนบั สนนุ ให้ประชาชนเป็นพลเมอื งอย่างแทจ้ รงิ
มีการส่งเสริมเรื่องจิตสาธารณะ ซึ่งนำไปสู่การมีส่วนร่วมอย่างอิสระในการสร้างสังคมพร้อมทั้ง
การพัฒนาทศั นคติท่ีมตี อ่ ความต้องการรับผดิ ชอบต่อการเตบิ โตของสังคม ซง่ึ ปัจจบุ ันทำใหป้ ระชาชนในประเทศ
มจี ติ สาธารณะ สามารถเหน็ ไดใ้ นหลาย ๆ เหตกุ ารณท์ ี่เกิดข้นึ ในประเทศญีป่ นุ่
การศึกษาความเป็นพลเมืองถูกบรรจุในหลักสูตรการเรยี นการสอนตั้งแต่ในระดับประถมศึกษา
เนื้อหาวิชาพลเมืองเป็นศูนย์กลางของการสร้างความเป็นพลเมือง โดยอาศัยฐานของการตระหนักใน
ประชาธิปไตยและความร้คู วามเขา้ ใจในสทิ ธิมนุษยชน และความหมายและแนวคิดในเรื่องความสัมพนั ธร์ ะหว่าง
ประเทศ “สรา้ งความเช่อื มโยงกบั ครอบครัวและชมุ ชน สรา้ งใหน้ กั เรยี นมคี วามตระหนักวา่ มนุษย์เป็นจุดเริ่มต้น
ที่สำคัญของสังคม สร้างให้นักเรียนมีความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องส่วนตัวและสังคมความมี
ศักดิ์ศรีของตนเองในระบบครอบครัวแบบร่วมสมัย ความเท่าเทียมทางเพศ และสร้างให้เยาวชนตระหนักถึง
ความสำคัญของแบบแผนประเพณีของชีวิตในสังคม การรักษาขนบธรรมเนียมและความสำนึกรับผิดชอบของ
แตล่ ะบคุ คล”

ประเด็นศกึ ษาเกีย่ วกบั หนา้ ท่พี ลเมอื งในประเทศญ่ปี ุ่น
สำหรับประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมีความรุนแรงและ
สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก แต่จากความยากลำบากจากสิ่งที่เกิดข้ึน ก็ได้เกิดสิ่งท่ี
น่าสนใจจากพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความเป็นพลเมือง ทั้งในส่วนของความรับผิดชอบต่อสังคม จิตสาธารณะ
ความมวี ินยั และอนื่ ำๆ โดยจะนำเสนอเปน็ เร่ืองราวสน้ั ๆ เพ่ืองา่ ยต่อการทำความเข้าใจ ดังน้ี โดยเน้ือหานำมา
จากบทความเรือ่ ง “เร่อื งราวดี ๆ ของคนญป่ี ่นุ ยามภาวะฉกุ เฉนิ ” (“เร่อื งราวดๆี ”, 2554)
กรณีที่ 1 ที่สวนสนุกแห่งหนึ่ง เกิดเหตุการณ์ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากไม่สามารถออกไปข้าง
นอกได้ และทางร้านขายของก็ได้เอาขนมมาแจกนักท่องเที่ยว มีนักเรียนชัน้ มัธยมปลายหญิงกลุ่มหนึ่งไปเอามา
เป็นจำนวนมาก ซ่ึงมากเกินกว่าที่จะบริโภคหมด ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีว่า “ทำไมเอาไปเยอะ” แต่วินาทีต่อมา
กลายเป็นความรู้สึกตื้นตันใจ เพราะ “เด็กกลุ่มนั้นเอาขนมไปให้เด็ก ๆ ซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถไปเอาเองได้
เนอ่ื งจากตอ้ งอยูด่ ูแลลูก
จากเหตุการณ์นี้แสดงให้เหน็ ถึงความเอือ้ เฟื้อ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบต่อผู้อืน่
กรณีที่ 2 ในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง มีของตกระเกะระกะเต็มพ้ืนเพราะแรงแผ่นดินไหว แต่คนที่เขา้
ไปซอ้ื ของได้ช่วยกันเกบ็ ของขึ้นไว้บนช้นั แล้วก็หยบิ ส่วนทต่ี นอยากซอื้ ไปต่อคิวจา่ ยเงนิ

๗๘

จากเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อย การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และมี
ความรับผดิ ชอบตอ่ ผอู้ ื่น

กรณีที่ 3 ในจังหวัดจิบะเกิดแผ่นดินไหวบ้านเรือนพังเสียหาย คุณลุงคนหนึ่งที่หลบภัยอยู่ก็ได้เปรย
ออกมาว่า ต่อจากนี้ไปจะเป็นอยา่ งไร เด็กหนุ่ม ม.ปลาย ก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องห่วง ต่อจากนี้
ไปเมือ่ เปน็ ผู้ใหญ่ พวกผมจะทำให้มันกลบั มาเหมอื นเดมิ แน่นอน

จากเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อชุมชนบ้านเกิด มีความคิดที่จะสร้างชุมชนบ้านเกิด
กลับมาให้เหมอื นเดมิ ไมย่ ่อทอ้ ต่อความยากลำบาก

กรณที ่ี 4 หลังจากเกดิ เหตุการณ์สนึ ามิครงั้ ใหญ่ อาคารบ้านเรือนพังเสียหาย ประชาชนไม่มีที่อยู่อาศัย
และอาหารไม่เพียงพอต่อการบริโภค มีการแจกจา่ ยอาหาร ประชาชนไมม่ ีการแยง่ อาหารกนั ประชาชนต่อแถว
เพอ่ื รบั อาหารอย่างเป็นระเบยี บเรียบร้อย

ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี
สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ตั้งอยู่ทางใต้ของคาบสมุทรเกาหลี มีระบบการปกครองในระบอบ
ประชาธปิ ไตย โดยมีประมขุ ของประเทศ คอื ประธานาธบิ ดี ซ่งึ ไดร้ บั การเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ให้เป็น
หัวหน้าฝ่ายบริหาร และมีนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
(กระทรวงการต่างประเทศ, 2556) เกาหลีใต้เป็นประเทศในเอเชียเพียงไม่กี่ประเทศท่ีได้รับการจัดอันดับ
ด้านความเป็นประชาธิปไตย (Democracy Ranking) ติด 1 ใน 30 ของโลก โดยได้เป็นอันดับ 26 จากการ
ประเมินปี คศ. 2013 (แคมป์เบลล์และคณะ Campbell et.al., 2013) อาจกล่าวได้ว่า ประเทศเกาหลีใต้
มพี ัฒนาการของความเปน็ ประชาธปิ ไตยดีข้ึนมาเปน็ ลำดับ ท้งั ความก้าวหนา้ ในด้านระบบการเลือกตั้งและความ
เจริญทางวัฒนธรรมดัชนีความเป็นประชาธิปไตยขยับเพิ่มขึ้นทุกปี มีคะแนนสูงในทุกด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ด้านสิทธิทางการเมืองและด้านเสรีภาพของพลเมือง จนได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่เป็น
ประชาธิปไตยสมบูรณ์เต็มใบ ในด้านการพัฒนาเยาวชนด้านการศึกษาเพื่อความเป็นพลเมืองนั้นมีการ
ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง มีการกำหนดค่านิยม/สิ่งที่ดีงามพื้นฐานที่เป็นองค์ประกอบของทักษะชีวิต 4 ด้าน
ด้านละ 5 ลักษณะยอ่ ย ได้แก่
1) การใช้ชวี ติ ส่วนตัว : การเคารพตนเอง ความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ความเปน็ อสิ ระ และการยับยงั้ ช่งั ใจ
2) การใช้ชีวิตร่วมกันในครอบครัว เพื่อนบ้าน และโรงเรียน : การปฏิบัติตนตามศาสนาการปฏิบัติ
หน้าทีข่ องลูกต่อพอ่ แม่ จรรยามารยาทการอยรู่ ว่ มกัน และความรักต่อโรงเรยี นและบา้ นเกดิ
3) การใช้ชีวิตในสังคม : การปฏิบัติตนตามกฎหมายการสนใจต่อผู้อื่นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ความยตุ ธิ รรม และการสรา้ งจิตสานกึ สาธารณะ
4) การใช้ชีวิตในระดับชาติและชาติพันธุ์ : ความรักในรัฐความรักในชาติ การมีจิตใจที่มั่นคง มีสติ
สัมปชญั ญะ การสรา้ งความสนั ตภิ ายหลงั การแบง่ แยกและความรักในมนุษยชาติ
ลักษณะสำคัญ 4 ประการนี้ ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ในระดับชั้นประถมศึกษา และยังส่งเสริมการปลูกฝัง
ทักษะการคิดและการตัดสินใจเชิงจริยธรรม (moral thinking and judgment) หรือทักษะที่จำเป็นต่อ
การแก้ไขเชิงจริยธรรมในชีวิตประจำวันอย่างถูกต้องและมีเหตุผลโดยสรุป แนวคิดสำหรับการศึกษาเพื่อสร้าง
ความเป็นพลเมืองของเกาหลใี ต้ หมายถึง การฝึกฝนความสามารถในการคิดตัดสินใจในสถานการณท์ ี่เก่ียวขอ้ ง
กับการเมือง และมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น ในฐานะ
ทีเ่ ปน็ พลเมืองผู้ถืออำนาจอธิปไตย (sovereign citizen) และสำหรบั การให้การศึกษาแก่เยาวชนเก่ียวกับการมี
ส่วนร่วมทางการเมือง จะให้ความสำคัญกับการฝึกฝนทักษะและสอนให้รู้บทบาทหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่มี
ความสำนึกรับผิดชอบ (responsible citizen)
วฒั นธรรมของคนเกาหลใี ตส้ อนใหค้ นมรี ะเบียบวนิ ยั หากได้เคยสมั ผสั หรอื สังเกตคนเกาหลีใต้จะรับรู้ได้
ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางด้านการศึกษา กีฬา หรือการใช้ชีวิต และหากดูวิวัฒนาการของเกาหลีใต้นั้นประสบ

๗๙

ความสำเร็จในหลากหลายด้านในเวลาอันรวดเร็ว เพราะเกาหลีใต้สอนให้มีการตื่นตัวกับสิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ มีการ
ปลูกฝังความรักชาติ ซง่ึ เปน็ วัฒนธรรมท่สี บื ทอดกันมาอย่างยาวนาน

ประเด็นศึกษาเกี่ยวกับหน้าทพ่ี ลเมืองในประเทศสาธารณรฐั เกาหลี
กรณีที่ 1 กรณีการอัปปางของเรือเฟอร์รี่ของเกาหลีใต้ที่ชื่อเซวอลซึ่งจมลงระหว่างการเดินทางจากกรุงโซล
ไปยังเกาะเซจูทั้งสาเหตุของการล่มของเรือความรับผิดชอบของกัปตันเรือนายลีจูนเซี๊ยก ( Lee Joon-seok)
และผู้ช่วยกัปตันเรือการปฏิบัติการและการกระจายคำสั่งของลูกเรือหลังเกิดอุบัติเหตุรวมทั้งการกู้ภัยที่ยังคง
ดำเนินอยู่ซึ่งพบศพผู้โดยสาร 54 คนสูญหาย 248 คน รอดชีวิต 174 คนจากจำนวนผู้โดยสารและลูกเรือ
ทั้งหมด 476 คน ผู้เสียชีวิตและสูญหายส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมจากโรงเรียน Danwon High School
ในเมอื งอนั ซนั ชานกรุงโซลทีไ่ ปทศั นศึกษาถึง 350 คน
รอ้ ยเอกนายแพทย์ยงยทุ ธ มัยลาภ ไดเ้ ขยี นเรอ่ื งท่ีนา่ สนใจประเด็นหน่งึ ไว้ คือ การปฏิบตั ิของนกั เรียน
ที่อยู่บนเรือ หลังจากมีคำสั่งจากลูกเรือไปยังผู้โดยสารเมื่อเกิดเหตุแล้วก็คือ “ให้นั่งอยู่กับที่ห้ามเคลื่อนไหวไป
ไหน ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหากันอยู่ซึ่งผู้โดยสารจำนวนมากก็ปฏิบัติตามคำสั่งนี้”
จนกระทั่งเรือเอียงและจมลงแม้ว่าจะมีเวลาถึง 2 ชั่วโมงกว่าก่อนที่เรือจะจมซึ่งผู้โดยสารน่าจะมีเวลาเพียง
พอที่จะสามารถช่วยเหลือตัวเองออกมาจากเรือได้ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวินัยของเด็ก ๆ นักเรียนที่ฟังคำสั่งของ
“ผใู้ หญ่” และสะท้อนถึงความมรี ะเบียบวนิ ยั ของคนเกาหลที ี่เชื่อฟังคำสง่ั แม้ตนทราบดีว่าอันตรายใกล้ตัวเข้ามา
มากแล้ว แต่ครั้งน้ี“ผู้ใหญ่” คงประเมินสถานการณ์ผิดพลาดอย่างร้ายแรง มีรายงานว่าลูกเรือได้พยายาม
กระจายคำสั่งสละเรือในช่วงครึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากเกิดอุบัติเหตุแต่เข้าใจว่าคำสั่งนี้กระจายไปไม่ทั่วถึง และ
เชือ่ ว่าผ้โู ดยสารจำนวนมากโดยเฉพาะเด็ก ๆ ก็ยงั คงนัง่ อยกู่ ับที่ (ยงยทุ ธ มัยลาภ, ม.ป.ป.)
กรณีที่ 2 ประเด็นเรื่องของความรับผิดชอบ เห็นได้จากการลาออกและฆ่าตัวตายของข้าราชการ
นักการเมืองในประเทศหลายคนทั้ง ๆ ทอี่ าจจะไม่เก่ียวกบั ความผิดที่เกิดขน้ึ โดยตรง แตอ่ ยูใ่ นภาระหน้าที่ที่ดูแล
เช่น การลาออกของนายกรัฐมนตรี ชอง ฮง วอน เพื่อรับผิดชอบต่อการล่มของเรือเซลวอนและไม่สามารถ
ชว่ ยเหลือได้อย่างรวดเรว็ ท้ัง ๆ ท่ีนายกรฐั มนตรีไม่ใช่คนขับเรอื และกไ็ มใ่ ช่คนทีเ่ ขา้ ไปชว่ ยเหลือ
เดือนธันวาคม 2548 นายฮูห์ จุนยัง ผู้บัญชาการตำรวจเกาหลีใต้ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง
เพือ่ รับผิดชอบกรณที ่ีตำรวจปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงจนถึงแก่ความตายกรณีเจ้าหน้าท่ีตำรวจทุบตีกลุ่มเกษตรกร
ท่ีมารวมตวั ประท้วงเร่ืองการเปิดเสรขี ้าวในกรุงโซล จนเปน็ เหตุให้มีชาวนาเสยี ชวี ิต 2 คนพรอ้ มกับขอโทษต่อกรณี
ดงั กลา่ ว (เมธา มาสขาว, 2557)
เดอื นมนี าคม 2549 นายกรฐั มนตรีลี เฮชอน แหง่ เกาหลีใต้ ประกาศลาออกจากตำแหนง่ ภายหลังจาก
ที่เขาแอบไปร่วมตีกอล์ฟกับกลุ่มนักธุรกิจ ที่เมืองปูซานเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2549 แม้จะเป็นวันหยุดของ
เกาหลีใต้ แต่ก็ฟังไม่ขึ้น ในขณะที่ทั้งประเทศกำลังประสบปัญหาเนื่องจากการประท้วงของพนักงานรถไฟ
(เมธา มาสขาว,2557)

๘๐


Click to View FlipBook Version