ศูนย์การเรียนรู้ทางวัฒนธรรม
ตำบลบ้านหนุน อำเภอสอง จังหวัดแพร่
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book)
เผยแพร่ข้อมูลศิลปวัฒนธรรม
ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ
ภายในท้องถิ่นและวัด
จั ดทำโดย
MJU2T ต.บ้ านหนุ น อ.สอง จ.แพร่
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เรื่องประเพณี พิธีกรรมและความเชื่อท้องถิ่น
ตำบลบ้านหนุนเล่มนี้นั้น เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมตำบลบ้านหนุน
อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ซึ่งทางคณะผู้จัดทำ ได้จากการลงพื้นที่ภาคสนาม สำรวจ
จัดเก็บข้อมูลและเรียบเรียงขึ้น เพื่อศึกษาประเพณีพิธีกรรม และความเชื่อท้องถิ่น
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการค้นคว้า รวมไปถึงเข้าใจในประเพณีพิธีกรรมและ
ความเชื่อท้องถิ่นได้มากยิ่งขึ้นมองเห็นถึงความสำคัญคุณค่าทางด้านจิตใจ สะท้อน
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของสภาพสังคมผ่านประเพณี พิธีกรรมและความเชื่อท้องถิ่น
ที่เป็นบรรทัดฐานในการจัดระเบียบชุมชน ทำให้เกิดการอยู่ร่วมกันสังคมเดียวกัน
อย่างมีความสุข หนังสือเล่มนี้เนื้อหาอาจจะไม่สมบูรณ์ครบถ้วนเท่าที่ควร สาเหตุ
อันเนื่องเป็นการจัดทำประวัติหาข้อมูลพอสังเขป ซึ่งหวังว่าภายในอนาคตข้างหน้า
จะมีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมให้เกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น หากเกิดข้อบกพร่องหรือ
ผิดพลาดประการใดทางคณะผู้จัดทำขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
คณะทำงานโครงการฯ U2T
ตำบลบ้านหนุน อำเภอสอง จังหวัดแพร่
มหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ
สารบัญ หน้า
เรื่อง ๑
ประเพณี ๓
๗
- เดือนเกี๋ยง ๑๑
- เดือนยี่ ๑๔
- เดือนสาม ๑๗
- เดือนสี่ ๒๐
- เดือนหก ๒๘
- เดือนเจ็ด ๓๑
- เดือนแปด ๓๕
- เดือนสิบ
- เดือนสิบสอง ๔๐
พิธีกรรมและความเชื่อในท้องถิ่น ๔๒
๔๘
- พิธีกรรมปูจาต้าวตังสี่ ๕๒
- พิธีกรรมปูจาเตียน ๕๕
- พิธีกรรมฮ่วงข้าว ๕๙
- พิธีกรรมตานขันข้าว ๖๒
- พิธีกรรมฮ้องขวัญ ๖๗
- พิธีกรรมสืบจ๊ะต๋า ๗๑
- พิธีกรรมส่งเคราะห์ส่วนตัว ๗๖
- พิธีกรรมส่งเคราะห์บ้าน ๘๐
- พิธีกรรมตานเฮียน
- พิธีกรรมเลี้ยงแม่ธรณี
วัด ๘๓
- สำนักสงฆ์พระธาตุดอยงู ๘๔
- วัดบ้านศรีมูลเรือง ๘๙
- วันบ้านลองลือบุญ ๙๒
- วัดบ้านหนุนใต้ ๙๕
- วัดบ้านหนุนเหนือ ๙๘
บรรณานุกรม ๑๐๑
**************************************
ประเพณี ๑๒ เดือน
- เปตพลี กิ๋นเข้าสลาก ตั้งธัม
เอ็ด สิบสอง เกี๋ยง ม์หลวง
เก้า สิบ สิบ ยี่
เข้าพรรษา สาม สี่ เข้ารุกขมูล ตานข้าวใหม่
-
ยเป็ กข์ เลี้ยงผีปู่ย่าห้
ปด หก
- ป-ูปีจ๋าใข้หาม่วปเุม้ืนอง า -
เจ็ด ปอ
แ
"ปฏิทินแสดงประเพณี ๑๒ เดือนในรอบ ๑ ปี
ของตำบลบ้านหนุน อำเภอสอง จังหวัดแพร่"
ประเพณี
การก่อเกิดกิจกรรมหนึ่งซึ่งสั่งสมมาตั้งแต่ในอดีตกาลได้ปฏิบัติสืบต่อกันมารุ่นแล้ว
รุ่นเล่า จนกลายเป็นประเพณี พิธีกรรมและความเชื่อของท้องถิ่นนั้น อันมีคติความเชื่อจาก
การนับถือพระพุทธศาสนา รวมถึงวิญญาณนิยมหรือการนับถือผีบรรพบุรุษ ตลอดจนถึงสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่า สามารถดลบันดาลให้เกิดเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ
ซึ่งสามารถให้ทั้งคุณประโยชน์ด้านดีและโทษในด้านร้าย โดยรอบหนึ่งปีนั้นชาวบ้านจะต้อง
กระทำพิธีที่ได้ปฏิบัติกันมาเป็นเวลาอย่างยาวนาน ตามที่ปฏิทินพื้นเมืองของชาวล้านนาซึ่งมี
การกำหนดช่วงวันเวลาที่ชัดเจนเป็นระเบียบแบบแผน เพื่อเป็นแนวทางของหมู่ชนในสังคม
ได้กระทำไปในทิศทางเดียวกัน จะเห็นได้ว่าภายในหนึ่งปีนี้ของแต่ละเดือนนั้นจะมีประเพณี
สำหรับที่กระทำเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และจากการที่ได้ลงสำรวจเก็บข้อมูลพบว่า เดือนห้า
เดือนเก้าและเดือนสิบเอ็ด ไม่ได้มีประเพณีที่ปฏิบัติประจำของเดือนมีเฉพาะบางประเพณีที่
อาจจะคลาดเคลื่อนออกไปผ่อนคลายไปบ้างตามสถานการณ์ทางสังคม ประเพณีทั้งหมดจึง
สะท้อนถึงระบบวิธีทางความคิดแฝงด้วยความเชื่อ รวมถึงหลักธรรมในพุทธศาสนาตลอดจน
เป็นผลอันสืบเนื่องจากการดำเนินวิถีชีวิตในสังคมเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ และมีการปรับ
ตัวเข้ากับยุคสมัยของสังคมที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
การปฏิบัติกิจกรรมทางประเพณี พิธีกรรม และความเชื่อของท้องถิ่นนั้นมักอาศัย
ช่วงเวลาฤกษ์ยามตามดวงดาวทางจันทรคติเป็นหลัก ตามความเชื่อในศาสตร์ภูมิปัญญาที่ได้
ถ่ายทอดมาแต่สมัยโบราณ การนับปฏิทินทางจันทรคติของพื้นเมืองล้านนาจะแตกต่างจาก
การการนับปฏิทินจันทรคติ แบบไทยภาคกลางเร็วกว่า ๒ เดือน ด้วยการรับอิทธิพลการนับ
ปฏิทินจันทรคติแบบจีน โดยเริ่มต้น นับจากเดือนแรก เรียกว่า “เดือนเกี๋ยง” ส่วนในเดือน
ที่สอง เรียกว่า “เดือนยี่” เดือนสามจนถึงเดือนสิบสอง ไล่เรียงวนเวียนเป็นวัฏจักรครบรอบ
หนึ่งปี ซึ่งจะนำเสนอข้อมูลผ่านประเพณีสิบสองเดือนของท้องถิ่นในตำบลบ้านหนุนทั้ง ๑๑
หมู่บ้าน ให้ทราบประวัติพอเป็นสังเขปตามลำดับ ดังต่อไปนี้
๒
เดือนเกี๋ยง
๓
ประเพณีกิ๋นเข้าสลาก
ประเพณีกิ๋นเข้าสลาก หรือตานก๋วยสลาก หมายถึง ประเพณีถวายทานสลากภัต
เป็นวิธีการถวายเครื่องไทยทานแก่พระพระสงฆ์วิธีหนึ่ง อันเป็นที่นิยมของชาวเหนือ เมื่อทาง
วัดและชาวบ้านตกลงกันว่าจะจัดให้มีการกินสลาก ก่อนวันตานก๋วยสลาก ชาวบ้านจะจัดทำ
พิธีเตรียมสิ่งของ เครื่องไทยทาน ๑ วัน เรียกวันที่เตรียมของนี้ว่า “วันดา” ชาวบ้านจะจัด
เครื่องไทยทาน ลงใน “ก๋วย” เป็นตระกร้า หรือชะลอมขนาดเล็ก ที่สานด้วยไม้ไผ่ เรียกว่า
“ก๋วยสลาก” แล้วนำของไทยทานจำพวกข้าวสารอาหารแห้งบรรจุลงไป บางวัด จะจัดเครื่อง
ไทยทานลงในหม้อดินเผา แต่ในปัจจุบันนั้นก็อาจจะมีการดัดแปลงจาก “ก๋วยสลาก” มาเป็น
“ถังพลาสติก” บรรจุเครื่องไทยทาน เหมือนกับที่เรานิยมใช้กันทั่วไป นอกจากนี้อาจจะมีการ
ตกแต่งเครื่องไทยทาน เป็นต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่สูงตามต้องการ นำไม้ไผ่เหลาและ
ทำเป็นวงกลมทำเป็นชั้นๆ อาจเป็น ๓ ชั้น , ๕ ชั้น , ๗ ชั้น หรือ ๙ ชั้น แต่ละชั้นนำสิ่งของที่
จะใช้เครื่องไทยทานมาผูกติดให้สวยงาม ส่วนบนสุดนั้นจะนิยมนำร่มมาเสียบไว้ และใช้ปัจจัย
(ธนบัตร) ผูกติดตามขอบร่มตามศรัทธาของเจ้าของกัณฑ์สลาก
ภาพแสดงก๋วยสลากของชุมชน (๑)
๔
ภาพแสดงก๋วยสลากของชุมชน (๒)
ในงานกินสลากเมื่อถึงวันที่กำหนดชาวบ้านเจ้าของกัณฑ์สลาก แต่เครื่องไทยทาน
เข้าวัดและตั้งกัณฑ์สลาก โดยแต่ละกัณฑ์จะมีเส้นสลากเขียนข้อความอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล
ไปให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และมีชื่อเจ้าของกัณฑ์ในเส้นสลาก เส้นสลากเดิมนิยมเขียนในแผ่น
ใบตาล ใบลาน ในปัจจุบันใช้กระดาษแข็งเท่าจำนวนของเครื่องไทยทานแล้วนำเส้นสลากไป
กองรวมกันยังที่กำหนดไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิหารหน้าพระประธานกรรมการจะจัดแบ่งสลาก
ออกเป็นกองๆ ตามจำนวนของพระภิกษุสามเณรที่นิมนต์มาร่วมพิธี และจัดแบ่งให้แก่พระ
ประธานด้วย ซึ่งสลากของพระประธานนี้จะตกเป็นของวัดนั้นๆ และถ้ามีสลากจำนวนมาก
พระภิกษุจะได้ ๒๐ เส้น สามเณรได้ ๑๐ เส้นที่เหลือสมทบถวายพระประธานเมื่อเสร็จ
๕
ภาพแสดงประชาชนร่วมกันถวายต้นสลาก
สําหรับเครื่องไทยทานที่จัดทำเป็นต้นกัลปพฤกษ์ เจ้าของต้องนิมนต์พระภิกษุสามเณรที่
ได้รับเส้นสลากไปยังที่ตั้งของเครื่องไทยทาน เพื่อถวายการทำบุญกินสลาก ประเพณีกิ๋นเข้า
สลากบางแห่งกัณฑ์สลากจัดทำเป็นหุ่นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ไก่ หมู รวมไป
ถึงรูปสัตว์หิมพานต์ เช่น หงส์ นกหัสดีลิงค์ สร้างขนาดใกล้เคียงของจริงทำด้วยผ้าหุ้มโครง
ไม้ไผ่ ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าได้สร้างถวายแล้วชาติหน้าจะได้เป็นเจ้าของสัตว์นั้น แต่การถวายที่มี
ลักษณะเช่นเดียวกับภัณฑ์สลากอื่นๆ ประเพณีกิ๋นเข้าสลาก นิยมจัดหลังจากจากการออก
พรรษา ส่วนใหญ่ไม่ได้จัดทำทุกปี เนื่องจากจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการจัดทำกัณฑ์สลาก
ดังนั้นบางวัดอาจจัดปีเว้นปีหรือ ๔-๕ ปีต่อครั้ง
ประเพณีกิ๋นสลากเป็นประเพณีการทำบุญของชาวบ้านที่แสดงออกถึงความสามัคคีร่วม
ใจกันในการถวายเครื่องไทยทานแก่พระสงฆ์ซึ่งมาจากที่ต่าง ๆ ตามที่ได้นิมนต์ไว้ นอกจาก
นี้ยังแสดงออกถึงความสามารถทางศิลปะในการจัดแต่งเครื่องไทยทานของชาวบ้านเป็นต้น
กัลปพฤกษ์ตลอดจนหุ่นรูปสัตว์ต่างๆ และยังบ่งชี้ให้เห็นถึงฐานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้าน
โดยถ้าเศรษฐกิจดี ชาวบ้านจะจัดทำกัณฑ์สลาก เป็นต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง
แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี อาจไม่มีการจัด ประเพณีการกินสลากในปีนั้น ซึ่งในปัจจุบันนั้นการจัด
ประเพณีนี้ในตำบลบ้านหนุนมีน้อยลงทั้งนี้มาจากเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจและสภาพสังคม
ที่เปลี่ยนแปลงไป
๖
เดือนยี่
๗
ประเพณีตั้งธัมม์หลวง (ยี่เป็ง)
ภาพแสดงพระสงฆ์แสดงธรรมเทศนา
เป็นประเพณีท้องถิ่นอีกอย่างหนึ่งที่ชาวบ้านให้ความสำคัญและปฏิบัติกันมา ชื่อประเพณี
“การตั้งธัมม์เดือนยี่เป็ง”เป็นที่นิยมเรียกกันในอดีตแต่ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปนิยมเรียกกันว่า
“การฟังธรรมเดือน” หรือ “การฟังเทศน์มหาชาติ” โดยคำว่า “ยี่” หมายถึงเดือนที่สองตาม
ปฏิทินจันทรคติของล้านนา ส่วนคำว่า“เป็ง”เป็นคำในภาษาพื้นเมือง หมายถึง พระจันทร์เต็ม
ดวง ดังนั้น “ยี่เป็ง” จึงหมายถึง วันพระจันทร์เต็มดวงในเดือนยี่หรือเดือนสิบสองของภาคกลาง
ซึ่งก็คือ วันลอยกระทงที่เป็นวันที่รู้จักกันโดยทั่วไป ประเพณีตั้งธัมม์หลวงคือการนิมนต์พระสงฆ์
ให้แสดงธรรมเทศนา เพื่ออบรม สั่งสอน กล่อมเกลาจิตใจชาวของบ้าน ที่เป็นพุทธศาสนิกชนให้
เป็นคนดีโดยหลักธรรมที่นำมาเทศนานั้นจะมีหลายเรื่อง แล้วแต่ผู้นิมนต์จะกำหนดหรือพระสงฆ์
เห็นสมควรว่าจะแสดงธรรมในเรื่องใด แต่สำหรับการตั้งธรรมเดือนยี่เป็งนั้นนิยมการแสดงเทศน์
มหาชาติ ซึ่งเป็นชาดกชาติสุดท้ายก่อนจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งในการเทศน์นี้จะแบ่งกัณฑ์
เทศน์ออกเป็น ๑๓ ผูกหรือ ๑๓ กัณฑ์ ดังนี้
๘
ผูกที่ ๑ กัณฑ์ทศพร ผูกที่ ๘ กัณฑ์กุมาร
ผูกที่ ๒ กัณฑ์หิมพานต์ ผูกที่ ๙ กัณฑ์มัทรี
ผูกที่ ๓ ทานกัณฑ์ ผูกที่ ๑๐ กัณฑ์สัตกบรรพ
ผูกที่ ๔ กัณฑ์วนปเวศน์ ผูกที่ ๑๑ กัณฑ์มหาราช
ผูกที่ ๕ กัณฑ์ชูชก ผูกที่ ๑๒ กัณฑ์ฉกษัตริย์
ผูกที่ ๖ กัณฑ์จุลพน ผูกที่ ๑๓ นครกัณฑ์
ผูกที่ ๗ กัณฑ์มหาพน
การเริ่มต้นเทศน์มหาชาติ ซึ่งจัดขึ้นในวิหาร ผู้เริ่มดำเนินพิธีคือ ผู้ที่ชาวบ้านนับถือและ
ผ่านการบวชเรียนมาแล้วเรียกว่า “อาจารย์วั” หรือ “หนาน” จะเป็นผู้นิมนต์พระสงฆ์ หรือ
สามเณร ที่ทางวัดกำหนด เป็นองค์เทศน์ขึ้นธรรมมาสน์ ซึ่งเป็นอาสนสงฆ์แบบพื้นเมือง ที่สร้าง
อย่างวิจิตรงดงาม ซึ่งชาวบ้านครอบครัวใด ที่เป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์ จัดตั้งกัณฑ์เทศน์ ไว้ต่อ
หน้าธรรมมาสน์แล้วจุดธูปเทียนบูชากัณฑ์เทศน์โดยเฉพาะเทียนหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “สีผึ้ง”
หรือ “ผางปะทีป” นั้นให้จุดครบตามจำนวนเท่ากับคาถาประจำธรรมผูกนั้นๆ ซึ่งแต่ละผูกจะมี
คาถาไม่เท่ากัน หลังจากนั้นอาจารย์ นิมนต์พระสงฆ์เทศน์ โดยเริ่มตั้งแต่กัณฑ์ทศพร จนถึงนคร
กัณฑ์เป็นลำดับสุดท้าย และเมื่อเทศน์จบแต่ละกัณฑ์ ขณะที่ทางด้านนอกของวิหาร จะมีการ
จุดประทัดและตีกลองปูจาถวายเป็นพุทธบูชาเป็นการบอกให้ทราบว่าเทศน์จบแล้วเพื่อเจ้าของ
กัณฑ์เทศน์ผูกต่อไป จัดเตรียมกัณฑ์เทศน์ และตั้งกัณฑ์เทศน์ดำเนินการเหมือนกับกัณฑ์แรก
๙
ภาพแสดงประชาชนที่มาร่วมงานประเพณียี่เป็ง
การตั้งธรรมเดือนยี่เป็ง เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในศาสนา การฟัง
ธรรมนี้ ยังทำให้ได้รับความรู้เรื่องพระเวสสันดรชาดกซึ่งถือว่าเป็นมหาชาติก่อนการตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้า และการที่พระภิกษุสามเณรต้องจัดเตรียมตัวในการเทศน์ทำให้ได้ศึกษา
ธรรมะและฝึกฝนตนเองให้มีความคล่องแคล่วในการเทศน์ ส่วนชาวบ้านนอกจากจะได้ฟัง
ธรรมะกล่อมเกลาจิตใจแล้ว การที่ต้องจัดเตรียมกัณฑ์เทศน์การไปร่วมฟังธรรมะทำให้เกิด
การรวมกลุ่มสร้างความสามัคคีให้แก่คนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี
๑๐
เดือนสาม
๑๑
ประเพณีเข้ารุกขมูล (เข้าวัดป่า)
มีประเพณีนิยมอย่างหนึ่ง คือการเข้าไปปฏิบัติธรรมในป่าช้า เรียกขานกันโดยทั่วไป
ว่า “เข้ากรรม” หรือ “อยู่” นอกจากนี้ ยังมีคำเรียกที่ต่างไปจากนี้ เช่น เข้าโสสานกรรม
เข้ารุกขมูล อยู่รุกขมูล เป็นต้น คำเรียกขานเหล่านี้มีความหมายในตัวทั้งนั้น คำว่า “เข้า”
หรือ “อยู่” หมายถึงอยู่ในภาวะ คำว่า “โสสาน” เป็นคำเดียวกันกับคำว่า“สุสาน”แปลว่า
ป่าช้า คำว่า “รุกขมูล” หมายถึง โคนต้นไม้การเข้าวัดป่า (รุกขมูล) เป็นภาษาพื้นเมืองมี
ความหมายถึง สังวรหรือสำรวมความประพฤติอย่างเคร่งครัด ดังนั้น ความหมายโดยรวม
ทั้งหมดนั้น จึงหมายความถึง การเข้าไปอยู่ยึดถือปฏิบัติวัตรมีการอยู่โคนต้นไม้ เป็นต้น
โดยเฉพาะในป่าช้าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลา ๕-๗ วัน เมื่อถึงฤดูกาล
วัดประจำหมู่บ้านใด ประชุมปรึกษาหารือ ที่จะจัดให้มีการเข้าวัดป่า จะมีการจัดเตรียม
สถานที่คือแผ้วถางบริเวณป่าช้าแล้ว ปลูกกระท่อมด้วยฟางข้าวเรียกว่า “ตูบ” เรียงราย
กันตามจำนวนของพระภิกษุสงฆ์ที่จะเข้าร่วมพิธี ในส่วนที่กิจกรรมของการเข้าวัดป่าปกติ
จะเป็นผู้นำในการไหว้ พระสวดมนต์เคร่งครัดในวัตรปฏิบัตินั่งสมาธิ สลับกับเดินจงกรม
บังสุกุล และรับไทยทานแล้วอนุโมทนาทานแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล
ภาพแสดงพระภิกษุสงฆ์กำลังสวดมนต์ในประเพณีรุกขมูลที่ จ.แพร่
๑๒
ภาพแสดงประชาชนที่มาร่วมกันใส่บาตรเช้าให้แด่พระสงฆ์ที่ จ.แพร่
นอกจากอาจมีการแสดงพระธรรมเทศนาในช่วงกลางคืนและมีการบูรณะปฏิสังขรณ์
และสิ่งก่อสร้างในป่าช้าในเวลากลางวันตามความเหมาะสม ส่วนกิจกรรมของชาวบ้านจะแวะ
เวียนไปร่วมกิจกรรมตามเวลาและโอกาส ตัวอย่างเช่น ไปทำบุญตักบาตรตอนเช้าหรือถวาย
อาหารเพล ร่วมแรงในการก่อสร้างปฏิสังขรณ์ในตอนกลางวัน ไหว้พระสวดมนต์ช่วงเช้าตรู่
หรือช่วงดึกฟังเทศน์ในตอนกลางคืน หรืออาจร่วมปฏิบัติธรรมกับพระภิกษุสามเณร หรือหาก
มีเวลามากพอ ความร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้าน ในโอกาสพิเศษนี้มีคุณประโยชน์มหาศาล
กล่าวคือ เป็นโอกาสสำหรับพระภิกษุสามเณรชำระศีลให้ผ่องใสบริสุทธิ์เพิ่มพูนบารมีธรรมให้
สูงส่งยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ชาวบ้านอัน ได้แก่ คณะศรัทธาประชาชนจะได้มีโอกาสทำบุญบำเพ็ญ
กุศลกรรมกับพระ ยิ่งถ้าผู้ใดได้ตักน้ำสำหรับอาบถวายพระแล้วเชื่อกันว่าเมื่อเกิดในภพชาติที่มี
วัตรปฏิบัติเคร่งครัดมีศีลอันบริสุทธิ์แล้วนั้น ย่อมจะได้อานิสงส์แรงมากกว่าปกติ ต่อไปก็จะได้
มีรูปร่าหน้าตา และผิวพรรณงดงาม ผ่องใส เป็นที่รัก และเมตตาของเหล่ามนุษย์และเทวดา
ทั้งหลาย อนึ่งประโยชน์ด้านสาธารณประโยชน์ย่อมติดตามมา อาทิ ได้แผ้วถางป่าช้าได้ทำบุญ
ล้างป่าช้า ได้บูรณปฏิสังขรณ์และได้จตุปัจจัยในการทำบุญ เพื่อนำไปก่อสร้างหรือพัฒนาใน
ส่วนอื่นๆ ต่อไป
๑๓
เดือนสี่
๑๔
ประเพณีตานข้าวใหม่
หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวในนาแล้ว ชาวนาต่างนึกถึงคุณของผืนนา มีผีฟ้าเบื้องบนที่
ประทานสายฝน มีผีขุนน้ำประจำชลธารไหลได้หล่อเลี้ยงข้าวกล้าเติบโตงาม มีผีดินหนุนมี
คุณด้วยประทานเนื้อดินอันอุดมให้สมบูรณ์พูนผลจนสำเร็จเป็นเมล็ดข้าว จึงได้พากันจัดแบ่ง
ข้าวเปลือกข้าวสารใส่กระทงพร้อมข้าวสุกอาหารคาวหวาน ขนมผลไม้ หมาก พลู บุหรี่ใส่สะ
โตงบัตรพลีแล้วประกอบพิธีเซ่นสรวงบูชา ต่อมาชาวล้านนาได้รับเอาพระพุทธศาสนามาเป็น
ศาสนาหลักการบูชาคุณ จึงนิยมทำบุญอุทิศตามคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ส่วนหนึ่ง
ของพืชผลธัญญาหารจึงถูกจัดไว้ ไหว้สาบูชาพระรัตนตรัยด้วย ต่อมาภายหลัง พลังศรัทธา
พุทธศาสนาเข้มข้นขึ้น จึงจัดถวายพระรัตนตรัยเป็นหลักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรก็มิได้ทิ้งคติเดิม
กล่าวคือ ยังมีการทำบุญผ่านการ “ตานขันข้าว” คือสํารับอาหารอันมีข้าวใหม่เป็นหลักอุทิศ
ให้เจ้าแดนแผ่นนาเทวดา พระนางธรณี เจ้าที่เจ้าแดน เจ้าแห่งเจ้าหน ตลอดจนญาติมิตรผู้
ล่วงลับถ้วนหน้า
ภาพแสดงการทานข้าวใหม่
๑๕
กล่าวถึงเฉพาะการทําบุญใหญ่ เรียกทั่วไปว่า “ตานข้าวใหม่” ในบาตรและทาน
ดอยข้าว ซึ่งแต่ละชื่อเกิดจากอาการที่เห็นคือ เริ่มต้นแต่ก็มีหลายท้องที่เรียกชื่อต่างกันไป
ได้แก่ ทานข้าวหล่อบาตร ทานข้าวทางวัดจะจัดภาชนะรองรับส่วนใหญ่เป็นบาตรชาวบ้าน
ที่นำเมล็ดข้าวไปทำบุญจะ “หล่อ” คือ การเทเมล็ดข้าวลงในบาตรเมื่อเห็นอาการเช่นนี้จน
ชินตาจึงเรียก “ตานข้าวหล่อบาตร” และเมื่อข้าวเต็มบาตรก็เทข้าวออกกองไว้แล้วหงาย
บาตรขึ้นรับใหม่จนข้าวเต็มและล้นออกจึงเรียก “ตานข้าวล้นบาตร” สุดท้ายหลายบาตร
เข้ากองเมล็ดข้าวก็ใหญ่โตเหมือนภูเขาจึงเรียกว่า “ตานดอยข้าว”
ประเพณีทานข้าวใหม่ เป็นประเพณีที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตในสังคมเกษตร ซึ่งเป็น
วิถีชีวิตของคนในอดีตปัจจุบันแม้สังคมจะเปลี่ยนไป แต่ประเพณีดังกล่าว ก็ยังคงหลงเหลือ
อยู่เพราะหากได้มองดูแก่นแท้นั้นแล้ว จะเห็นได้ว่า เป็นประเพณีที่ส่งเสริมคุณธรรมชั้นสูง
อันได้แก่ “กตัญญูกตเวทิตาธรรม” น้อมนำจิตใจให้อ่อนโยนเคารพ และเทิดทูนคุณค่าของ
บุพพการีชน จึงถือเป็นสิ่งจรรโลงศีลธรรมอันจะนำผลให้คนในสังคม ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่าง
มีความสุข
ภาพแสดงประชาชนร่วมใจกันทานข้าวใหม่เพื่อเป็นสิริมงคล
๑๖
เดือนหก
๑๗
ประเพณีเลี้ยงผีปู่ย่า
การเลี้ยงผีปู่ย่า คือ ผีหรือดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ที่ถูกเชิญจากบุตรให้สถิตอยู่ใน
ศาลที่เรียก “หอผี” ซึ่งจะอยู่ใน “บ้านเก๊า” อันเป็นบ้านต้นตระกูลที่ประดิษฐาน หิ้งผีปู่ย่า
เพื่อเป็นที่พึ่งพาและเพื่อช่วยดูแลคุ้มครองลูกหลานในสายตระกูลให้อยู่เย็นเป็นสุขชาวบ้าน
เชื่อว่าวิญญาณของบรรพบุรุษหลังสิ้นชีวิตแล้วจะยังวนเวียนอยู่ดูแลลูกหลาน จึงต้องมีการ
สร้างศาล หรือหอผีไว้ภายในบริเวณขอบรั้วบ้าน โดยกำหนด เอาทิศหัวนอนหรือสถานที่
อันควรเพื่อให้เป็นที่สถิตของดวงวิญญาณดังกล่าว
การนับถือผีปู่ย่าโดยปกติจะมีผู้ดูแลโดยตรงเรียกว่า “เก๊า” ซึ่งมักเป็นลูกผู้หญิงโดย
เฉพาะลูกสาวคนโตหรือบางแห่งว่าจะต้องเป็นลูกสาวคนเล็กนั้นเอง กล่าวถึงการเลี้ยงผีปู่ย่า
ซึ่งหมายถึง การประกอบพิธีเซ่นสังเวยผีบรรพบุรุษนั้นจะมีขึ้นหลายกรณี แต่หากกล่าวโดย
สรุปจะมีอยู่สองกรณี คือ
กรณีแรก เลี้ยงประเพณีเดือนหกเหนือตามปฏิทินพื้นเมืองล้านนา หรือเลี้ยงประจำปี
ในช่วงปีใหม่ (สงกรานต์) โดยจะมีการนัดชุมนุมกัน เลี้ยงในเดือนเก้าตามประเพณีนิยม
หรือในช่วงสงกรานต์ ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านของกาลเวลา ลูกหลานในตระกูลจะพาชุมนุม
รวมญาติประกอบพิธีขอขมาสระเกล้าดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ และในขณะเดียวกัน ก็จะถือโอกาส
เลี้ยงผีปู่ย่าไปด้วย
กรณีที่สอง เลี้ยงเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น ลูกหลานในตระกูลเกิด วิวาทะขัดแย้ง
จนเกิดการทะเลาะผิดจารีตขนบธรรมเนียม ส่อแนวไปในทางรุนแรง หรือลูกหลานในสาย
ตระกูลประพฤติที่เป็นผู้หญิงมีผู้ชายมาถูกเนื้อต้องตัวที่เรียกว่า “ผิดผี” ซึ่งลูกหลานที่เกิด
ความขัดแย้งทะเลาะวิวาทกัน หรือประพฤติผิดจารีตอย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องเลี้ยงผีปู่ย่า
เป็นการขอขมา เพื่อมิให้ผีโกรธเคือง ส่วนหญิงที่ถูกผิดผีจะต้องให้ฝ่ายชายมา “เสียผี” หรือ
“ใส่ผี” เสียก่อนถึงจะเลี้ยงได้ กล่าวคือ ในกรณีที่ชายไปทำให้เกิดการผิดผีขึ้นต้องรับผิด
ชอบโดยนำทรัพย์ตามที่ฝ่ายหญิงได้กำหนดไปเสียค่า หรือใส่ค่าผีนั้นเองซึ่งมีอยู่สองลักษณะ
คือ “ใส่เอา” กับ “ใส่บ่เอา” โดยใส่เอา คือทั้งสองฝ่ายมีใจปฏิพัทธ์ต่อกันหวังแต่งงานเป็น
๑๘
คู่ครองกัน ฝ่ายชายไปเสียหรือใส่ผีตามธรรมเนียมปกติ ในทางกลับกันทั้งสองฝ่ายไม่ตกลง
ปลงใจจะแต่งงานกัน ฝ่ายชายต้องไปเสียผีหรือใส่ผีเหมือนกัน แต่ใส่แล้วไม่แต่งงานด้วยเรียก
ว่า “ใส่บ่เอา” นอกจากนี้ อาจจะมีการเลี้ยงผีปู่ย่าในบางโอกาส เช่น แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่
บวชพระ ตลอดจนแก้บนหลังจากหายจากการเจ็บป่วย ซึ่งก็ถือเป็นกรณีพิเศษไป สำหรับ
พิธีกรรมในการเลี้ยงจะมีการจัดพานดอกไม้ธูปเทียน ไก่ต้ม ๑ คู่บางตระกูลอาจมีหัวหมูด้วย
ข้าวสุกอาหารคาวหวาน ขนม ผลไม้ หมาก เหมี้ยง บุหรี่ น้ำดื่มสะอาด และสุรา เป็นต้น
ภาพแสดงเครื่องทานเพื่อจัดเลี้ยงให้กับบรรพบุรุษ
๑๙
เดือนเจ็ด
๒๐
ประเพณีปี๋ใหม่เมือง
ประเพณีปี๋ใหม่เมือง หรือประเพณีวันสงกรานต์แบบพื้นเมือง ซึ่งหมายถึงวันปีใหม่
ของคนเมือง ส่วนวันที่ ๑ มกราคม ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของทางราชการ ประเพณีปี๋ใหม่เมือง
ในท้องถิ่นมีกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
วันที่ ๑๓ เมษายน เรียกว่า “วันสังขารล่อง” หรือวันสังขารล่องตอนเช้ามืด หรือใน
ตอนกลางคืนวันที่ ๑๒ จนถึงเช้าวันที่ ๑๓ จะมีการจิสะโป๊ก เพื่อไล่สังขารในวันนี้ ผู้เฒ่าผู้แก่
มักจะบอกให้เด็กตื่นเช้าๆ เพื่อดูปู่สังขานต์ย่าสังขานต์ที่เดินผ่านไปตามถนนคนไหนตื่นสาย
จะไม่เห็นเด็กๆ จะตื่นเต้นกันมากซึ่งอาจเป็นการหลอกเด็ก เพื่อให้เด็กตื่น แต่เช้าเพื่อช่วยกัน
เก็บกวาด ทำความสะอาดบ้านเรือน ชาวบ้านจะทำความสะอาดร่างกาย สระผม ซักเสื้อผ้า
เครื่องนุ่งห่ม เป็นการต้อนรับปีใหม่
ภาพแสดงการปฏิบัติในวันสังขารล่อง
๒๑
วันที่ ๑๔ เมษายน เรียกว่า “วันเนาว์” ชาวบ้านเรียกว่า “วันเน่า” ชาวบ้านจะจัด
เตรียมอาหารคาวหวาน เพื่อไปถวายพระที่วัดในวันรุ่งขึ้น เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
บรรพบุรุษ ช่วงเวลาตอนบ่ายมีกิจกรรมการขนทรายเข้าวัด ในวันนี้มีข้อห้าม คือห้ามกล่าว
คำหยาบ คำด่าทอ ห้ามทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือกล่าวคำพูดที่ไม่เป็นมงคล เพราะจะทำให้
ปากเน่าปากเหม็น และจะไม่มีความสุขตลอดทั้งปี
ภาพแสดงการปฏิบัติในวันเนาว์
วันที่ ๑๕ เมษายน เรียกว่า “วันพญาวัน” ซึ่งถือว่าเป็นวันที่ดีที่สุดของต้นปี ในช่วง
เวลาตอนเช้า ไปทำบุญตักบาตรตานขันข้าวที่วัด นำตุงไส้หมู ตุงเทวดาหรือตุงช่อมาปักเจดีย์
ทรายที่ก่อไว้แล้วเมื่อวาน กลับจากวัดแล้วลูกหลานในครอบครัวนำพระพุทธรูปพระเครื่องที่มี
ในบ้านมาทำการสรงน้ำพระ ต่อจากนั้นลูกหลานทำพิธีดำหัวญาติผู้ใหญ่คนเฒ่าคนแก่ในบ้าน
ด้วยน้ำส้มป่อยและรับพรจากคนเฒ่าคนแก่ หลังจากนั้น ลูกหลานนำน้ำส้มป่อยไปดำหัวญาติ
ผู้ใหญ่คนอื่นที่ตนเองเคารพนับถือ ในช่วงเวลาบ่าย คนเฒ่าคนแก่จะไปฟังเทศน์ที่วัดมีซึ่งเป็น
ที่เคารพนับถือตามบ้านต่างๆ การสรงน้ำพระพุทธรูปและรดน้ำดำหัวพระสงฆ์
๒๒
ภาพแสดงการปฏิบัติในวันพญาวัน
ประเพณีค่าหัว ประเพณีดำหัว เป็นประเพณีที่ทำในช่วงปีใหม่เมือง โดยทำกันในวัน
พญาวัน คือ วันที่ ๑๕ เมษายน หลังจากที่ไปทำบุญกันที่วัดในตอนเช้าแล้ว ในตอนสายทำ
พิธีดำหัว พ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ โดยมีจุดประสงค์ เพื่อขอขมา พ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ ที่ได้ล่วงล้ำ
กล้ำเกินด้วยกายวาจา และขอพรในวันปีใหม่ด้วยซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้
๑. ลูกหลานนำเครื่องสักการะ ได้แก่ น้ำส้มป่อย ดอกไม้ ธูป และของกราบไหว้ เช่น
เงิน เสื้อผ้า ของกินของใช้ เป็นต้น นำมารวมกันในพาน ขันโตกหรือภาชนะที่เตรียมไว้ให้ลูก
หลานดำหัว
๒. ตัวแทนประเคนเครื่องสักการะ
๓. ผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวคำให้พร (กำปั๋นปอนปีใหม่) ซึ่งเป็นสำนวนการให้พรวันสงกรานต์
ด้วยภาษาคำเมืองเป็นรูปแบบของชาวเหนือ
“กำปั๋นปอนปี๋ใหม่” หมายถึง คำให้พรในวันสงกรานต์ที่ผู้อาวุโสอวยพรแก่ลูกหลาน
มาขอขมาในพิธีดำหัว วันปี๋ใหม่เมือง ปอนปีใหม่มีลักษณะเฉพาะตัวทั้งหลายสำนวนดัง
ตัวอย่างต่อไปนี้ มีเนื้อหาและถ้อยคำที่สัมผัสคล้องจองกันอย่างไพเราะ
๒๓
“เอวัง โหนตุ ดีหลี อัชชะในวันนี้ก่อหากเป๋นวันดี ดิถีวันวิเศษ เหตุว่าสังขารปี๋เก่าก็ข้ามป้นไป
แล้ว ปี๋ใหม่แก้วพญาวันก็มารอดมาเถิง ถึงเจ้าทั้งหลายก็ละเสียยังฮีต อดีตป๋าเวณีอันเป็นมา
ล่วงแล้ว แต่ปางก่อนเจ้าทั้งหลายก็ผ่อนเสียยังศรัทธา จึงได้น้อมนำสุคันโธทะกะ ทานะวัตถุ
ทั้งหลายฝูงนี้ มาถวายเป็นตาน ก่อเพื่อจักมาขอจะมายังโทษ ผู้ข้าก็โผดอโหสิกรรม แม้นว่า
เจ้าทั้งหลายได้กระทำเป็นทางดี ทางจอมจุ่งหื้อสมประกอบมโนปณิธาน และจุ่งมีอายุทีฆา
ยืนยิ่ง โรคภัยหลิ่งหนีไกล๋ หื้อมีวรรณะใสสดชื่น เป็นที่รักและพอใจแก่ผู้อื่นเขาหัน คืนวันมี
ความสุขสันต์ทุกค่ำเจ๊า ตราบตอดเต้ายาวะชีวัง พร้อมพรั่งบริบูรณ์ คือมีกำลังอุดหนุนเตี่ยม
แถ้ง อย่าหื้อเหี่ยวแห้งจุวันวาร คือสมดังคำปอนขานไว้ ดังมโนทัยมุ่งหวังประการ เตี่ยงแต้
ดีหลี สัพปีติโยวิวัชชันตุ สัพปะโลโก วินัสสันตุ มาเต ภะวะวันตราโย สุขี ตีฆายุโก ภะวะอภิ
วาทะนะสี ลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง”
ภาพแสดงการรดน้ำดำหัว พ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ๋ เพื่อขอพรเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
ให้พรเสร็จผู้อาวุโสจะเอาน้ำส้มป่อยลูบหัวตัวเอง แล้วอาจลูบหัวให้ลูกหลาน เพื่อเป็น
สิริมงคล ด้วยการกระทำดังนี้ ถือได้ว่าสระสรงล้างสิ่งชั่วร้ายออกจากตัวไปโดยน้ำส้มป่อย
เป็นเสร็จพิธี
๒๔
ในปัจจุบัน มีการเชิญชวนให้ผู้สูงอายุในหมู่บ้านไปรวมกันที่วัดแล้วชาวบ้านในหมู่บ้าน
จะไปร่วมกันทำพิธีรดน้ำดำหัว รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ ในหมู่บ้าน วันที่ ๑๖ เมษายน เรียกว่า
“วันปากปี๋” เป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ ชาวบ้านจะไปทำพิธีปูจาข้าวหรือปูจาข้าวปุ้น เพื่อเป็นการ
ลดเคราะห์ตอนเช้ามืดที่วัด ถ้าบ้านใดไม่ได้จัดสิ่งของไปร่วมพิธีนี้ ก็อาจทำพิธีส่งเคราะห์แทน
ชาวอำเภอสอง จะเล่นรดน้ำกันเป็นวันสุดท้าย ณ ที่ว่าการอำเภอสอง มีการจัดขบวนแห่นาง
สงกรานต์ของหมู่บ้านต่างๆ มีการประกวดขบวนแห่นางสงกรานต์ ประกวดนางสงกรานต์จาก
ตำบลต่างๆ ในอำเภอสองวันนี้ถือเป็นการสิ้นสุดเทศกาลงานประเพณีปี๋ใหม่อำเภอสอง
ประเพณีสงกรานต์ เป็นประเพณีที่ชาวภาคเหนือ และชาวอำเภอสองให้ความสำคัญ
มากในแต่ละปี ญาติพี่น้องที่ออกไปประกอบอาชีพการงานในต่างจังหวัดจะนิยมกลับมาเยี่ยม
บ้าน และกลับมารวมญาติกัน ทำพิธีดำหัวคนเฒ่าคนแก่ผู้ใหญ่ที่ตนนับถือ จึงถือเป็นประเพณี
ที่แสดงถึงความรักในถิ่นฐานบ้านเกิด ช่วยให้มีการรวมญาติพี่น้อง ที่ไม่ได้พบกันมาเป็นเวลา
นาน ก่อให้เกิดความรักความสามัคคี และเป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้ใหญ่
๒๕
ประเพณีปูจาข้าวปุ้น
เป็นประเพณีท้องถิ่นที่จัดขึ้นเกี่ยวกับการป้องกันและปัดเป่าเคราะห์ร้ายไม่ให้มา
แผ้วพานตนเองและครอบครัว ซึ่งการจัดพิธีกรรมนี้ไม่จำเป็นว่าคนในครอบครัวจะต้องได้
รับคำทำนายทายทักหรือมีลางร้าย แต่เป็นการป้องกันและปัดเป่าเคราะห์ร้ายที่อาจจะเกิด
ขึ้นกับทุกคนในครอบครัว ซึ่งในแต่ละปีการปูจาข้าวปุ้นส่วนใหญ่นิยมทำกันปีละ ๑ ครั้งโดย
จะทำกันในวันที่ ๑๖ เมษายน ซึ่งเป็นวันปากปี๋ของชาวภาคเหนือ โดยแต่ละครอบครัวที่
ต้องการจะปูจาข้าวต้องจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ ที่จะนำไปร่วมประกอบพิธี ได้แก่ กะละมัง
หรือกระบุงหรือตะกร้าสำหรับใส่เสื้อผ้าทุกคนในครอบครัวคนละ ๑ ผืน ด้ายมงคลหรือด้าย
สายสิญจน์จำนวนเท่ากับสมาชิกครอบครัว โดยแต่ละเส้นมีความยาว ๑ วา และความยาว
รอบศีรษะคนละ ๑ เส้น ด้ายสายสิญจน์แต่ละเส้นจะมีจำนวนเท่ากับ ๙ เส้น นำด้ายนี้ไป
ชุบด้วยน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันงาหรือน้ำมันพืชพอชุ่มแล้วห่อไว้ เพื่อนำไปใช้จุดในการทำ
พิธีนอกจากนี้ ต้องเตรียมข้าวเหนียว อ้อย กล้วย หมากพลู เมี่ยง บุหรี่ ธูป ดอกไม้ ใบขนุน
ใบมะเดื่อ จำนวนอย่างละ ๙ ชิ้น ยอดตองกล้วยสำหรับวางสิ่งของ ยอดใบตองโดยเชื่อว่าย
อดตองกล้วยตีบดีที่สุด เนื่องจากจะช่วยให้เกิดตีบตันกั้นเคราะห์ร้ายได้ดี เมื่อจัดเตรียม
สิ่งของต่างๆ ได้ครบแล้ว พับเสื้อผ้าของทุกคนใส่ลงในกะละมังหรือกระบุงหรือตะกร้าแล้ว
ใช้กระดาษสะอาดมาคลุมทับเสื้อผ้า นำยอดใบตองกล้วยตีบวางทับกระดาษแล้วนำสิ่งของ
ที่เหลือวางบนใบตอง
พิธีการปูจาข้าวนี้จัดทำในตอนเช้าของวันที่ ๑๖ เมษายนของทุกปี โดยตัวแทน
ของแต่ละครอบครัว จะนำกะละมัง หรือกระบุงหรือตะกร้าที่เตรียมไว้ไปวางรวมกันที่พื้น
วิหารต่อหน้าพระประธาน ซึ่งผู้ประกอบพิธี คือ พระสงฆ์และนำน้ำส้มป่อยไปรวมกันไว้ที่
หน้าพระสงฆ์ สำหรับผู้ที่จะถวายปัจจัยเป็นเงินทองแก่พระสงฆ์ จะนำเงินรวมกันในวันที่จัด
เตรียมไว้จำนวนตามแต่ศรัทธา เมื่อเห็นว่ามีคนมาพร้อมเพรียงกันแล้วตัวแทนชาวบ้านจะ
นิมนต์พระสงฆ์ ๑ รูปมาสวดทำพิธีปูจาข้าว เพื่อป้องกันปัดเป่าเคราะห์ร้ายโดยการเผาด้าย
มงคล ชาวบ้านออกไปเผานอกวิหารเผา ในขณะที่พระกำลังสวดและต้องเผาด้ายมงคลให้
๒๖
หมดเหลือแต่ขี้เถ้า ในขณะที่เผาด้ายมงคล ชาวบ้านก็จะกล่าวคำพูดขอให้ตนและครอบครัว
หมดเคราะห์ และขอให้ตนและครอบครัวมีโชคลาภปราศจากโรคภัย ไข้เจ็บและคำพูดต่างๆ
ที่จะทำให้ตนเอง และครอบครัวมีความสุข เมื่อพระสงฆ์สวดจนจบหลังจากนั้น จะมีพระสงฆ์
ก็จะเริ่มพรมน้ำมนต์ภาชนะที่บรรจุสิ่งของสำหรับทำพิธีปูจาข้าว และชาวบ้านที่มาร่วมพิธีเพื่อ
เป็นสิริมงคล และพระสงฆ์จะช่วยกันคว่ำภาชนะที่บรรจุสิ่งของสำหรับทำพิธีปลาข้าว และต่อ
จากนั้นชาวบ้านแต่ละคนทยอยมาเก็บเสื้อผ้า และกะละมังของตนเอง ขณะที่เก็บเสื้อผ้าจะปัด
เบาๆบนเสื้อผ้าและอาจกล่าวว่า “เคราะห์สิบสาม นามสิบห้า เคราะห์ไปใต้ไปหล้า ต๊กไปตวย
ไฟไหลไปตวยน้ำ ไปนอกฟ้าจักรวาลขอซื้อมีโชคลาภ” คำพูดที่นำมากล่าวนั้นอาจเป็นอย่าง
อื่นแต่สรุปได้ว่า เป็นคำพูดที่ขอให้เกิดเคราะห์ดีมีโชคกับตนและครอบครัว ส่วนการสะบัด
หรือปัดเสื้อนั้น เชื่อว่าเป็นการทำให้เคราะห์ของแต่ละคน ตกอยู่ที่หน้าพระพุทธรูปนี้ถือเป็น
อันหมดเคราะห์ และเสร็จพิธีการปูจาข้าวปุ้นก็จะเป็นพิธีการป้องกันปัดเป่าเคราะห์ร้ายตาม
ความเชื่อของชาวบ้านเป็นพิธีที่ไม่ยุ่งยาก เสียค่าใช้จ่ายน้อยทำ ๑ ครั้ง แต่ให้ความคุ้มครอง
ทุกคนในครอบครัวทั้งเด็ก ผู้ใหญ่และเมื่อได้ทำพิธีนี้แล้วจะทำให้เกิดกำลังใจโดยเชื่อว่าจะเกิด
สิริมงคลกับทุกคนในครอบครัว
ภาพแสดงการปฏิบัติในการปูจาข้าวปุ้น
๒๗
เดือนแปด
๒๘
ประเพณีปอยเป็กข์ตุ๊บวชพระ
การเตรียมงานบวชพระเป็นภิกษุสงฆ์ทางเหนือเรียกว่า “ดาปอย” คำว่า “ดา” หมายถึง
การตระเตรียม คำว่า “ปอย” หมายถึง การมาชุมนุมของผู้คน ส่วนคำว่า “เป็กข์” มาจาก
ภาษาบาลีที่ว่า “อุปสัมปทาเปกขะ” หมายถึง การบวช อันเป็นประเพณีของชาวบ้านผู้ชาย
เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีนิยมบวชเป็นพระภิกษุ เมื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องเห็นว่าบุคคลที่จะบรรพชา
หรืออุปสมบทพร้อมแล้ว ก็ตกลงกับเจ้าอาวาส จากนั้นแล้ว บรรดาญาติก็จะมีการแผ่นาบุญ
หรือหน้าบุญ โดยให้คนนำผ้าสบง หรือจีวรใส่พานไปตามบ้านญาติมิตร เมื่อเจ้าของบ้านทราบ
แล้วก็จะยกพานขึ้นจบที่หน้าผากพร้อมกล่าวคำอนุโมทนา
วันดาปอย ก็คือ วันสุกดิบ ก่อนที่จะทำการอุปสมบท ๑ วัน และก่อนจะถึงวันดาปอย
เจ้าภาพก็จะมีการเตรียมทำขนมพื้นเมืองหาทานยาก เพื่อจะได้เตรียมต้อนรับแขกที่จะมาร่วม
อนุโมทนางานบุญ เช่น ข้าวตอก ข้าวแต๋น ข้าวแดง ขนมปาด และจัดเตรียมเครื่องไทยทาน
ต่างๆ สำหรับเครื่องไทยทาน เมื่อถึงวันดาปอยนั้น บรรดาผู้ที่ได้รับเชิญจะมาร่วมอนุโมทนา ที่
บ้านปอย โดยถือพานดอกไม้ ธูป เทียน เมื่อมาถึงก็เอาจตุปัจจัยดังกล่าวใส่ในพานซึ่งเจ้าของ
บ้านจัดไว้บ้างก็ใส่เงินไปด้วย เรียกว่า “ฮอมปอย” บางทีคนที่สนิทกันจะนำหมอนหรือที่นอน
หรือมะพร้าวเสียบเงินมาร่วมฮอมปอยด้วย แล้วจะมีคนเฒ่าคนแก่ซึ่งเรียกว่า “อาจารย์” ให้พร
ภายในงานจะมีการทำบายศรีก็จะช่วยกันทำบายศรี เพื่อใช้ประกอบพิธีฮ้องขวัญนาค ก่อนเข้า
พิธีอุปสมบท ชาวบ้านที่มาร่วมงานจะช่วยกันทำอาหารสำหรับเลี้ยงแขกที่มาในงาน คนไหนมี
ฝีมือชาวบ้านช่วยกันทําบายศรี ในวันดาปอยมักจะมีการขับร้องเพลงพื้นบ้านซึ่งเป็นการโต้ตอบ
กันระหว่างชายหญิง โดยมีเครื่องดนตรีพื้นเมืองประกอบด้วย เรียกว่า “การขับซอ” ในขณะ
ที่ทำการซอนั้น จะมีการฟ้อนสลับกับการขับซอพื้นเมืองของช่างซอ แขกผู้ชายที่มาในงานจะ
ร่วมฟ้อนกับสาวช่างซอและให้เงินเป็นรางวัลตอบแทน
ส่วนผู้ที่จะอุปสมบทไปโกนผมที่วัดหรือโกนผมที่บ้านก็ได้แล้วแต่สะดวก เมื่อโกนผมเสร็จ
แล้วจะอาบน้ำให้นาค บรรดาญาติๆจะช่วยกันแต่งตัวนาคมีการทำผ้านุ่งขาว ห่มขาว แต่งตัว
เสร็จแล้ว จะแห่นาคไปตามบ้านญาติผู้ใหญ่ เพื่อจะให้ผูกข้อมือซึ่งสำหรับผู้ที่มีฐานะดี ขบวนแห่
๒๙
นาคอาจจะมีเครื่องดนตรีบรรเลงอย่างสนุกสนาน ทําพิธีโกนผมนาคหลังจากแห่นาคกลับเข้า
บ้านปอยแล้ว นาคจะเข้าทำพิธีสู่ขวัญนาค “ฮ้องขวัญนาค” สำหรับการทำขัวญนาคนั้น มักจะ
เอาบุคคลผู้ที่เคยอุปสมบทมาแล้วที่มีเสียงที่ไพเราะมาทำพิธีการฮ้องขวัญ (สู่ขวัญ) นั้นมีการขับ
กล่อมรำพันถึงพระคุณบิดามารดา คุณพระรัตนตรัยตลอดจนการเข้าสู่สมณเพศ ต่อจากนั้นจะ
ให้ญาติผู้ใหญ่ผูกข้อมือเป็นอันเสร็จพิธี
วันรุ่งขึ้น จะนำนาคไปอุปสมบทที่วัด บางครั้ง การอุปสมบทอาจจะจัดให้เสร็จภายใน
วันเดียว เมื่อถึงวัดก็จะพานาคเวียนรอบอุโบสถ ๓ รอบ ก่อนขึ้นอุโบสถจะทำพิธีล้างมือล้างเท้า
ให้นาคด้วยน้ำส้มป่อย และอุ้มนาคขึ้นอุโบสถไม่ให้เหยียบสิ่งสกปรกต่างๆ ติดตัวไป เพื่อให้เป็น
ผู้บริสุทธิ์ ต่อจากนั้น จะทำพิธีอุปสมบท เมื่อประกอบพิธีอุปสมบทเสร็จแล้ว พระภิกษุนั้นจะ
“อยู่กรรม ๓ วัน หรือ ๕ วัน หรือ ๗ วัน เพื่อให้ผู้ที่อุปสมบทได้รำลึกถึงพระคุณของพ่อแม่และ
ผู้มีพระคุณ
ภาพแสดงการเตรียมตัวและการขั้นตอนของการบวชพระ
๓๐
เดือนสิบ
๓๑
ประเพณีเข้าพรรษา
ภาพแสดงการหล่อเทียนในวันเข้าพรรษา
เช้าวัสสา “วัสสา” คำว่า “วัสสา” สะกดตามภาษาบาลีตรงกับภาษาไทยภาคกลางว่า
“เข้าพรรษา” หมายถึง การที่พระสงฆ์อยู่ประจำที่ใดที่หนึ่งในช่วงฤดูฝน ซึ่งเมื่อถึงฤดูฝนแล้ว
พระสงฆ์ต้องหยุดเดินทางไปในที่ต่างๆ และพักอาศัยอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งโดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น
ภายในระยะเวลาที่กำหนด ๓ เดือน คือตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๐ เหนือ ไปจนถึงวันขึ้น
๑๕ ค่ำเดือนเกี๋ยงเหนือ การเข้าวัสสาหรือเข้าพรรษา หากกล่าวในเชิงประเพณีแล้ว ชาวบ้าน
มีวัตรปฏิบัติและกิจกรรมหลายอย่างที่แตกต่างจากชาวไทยภาคอื่นๆ ซึ่งมิได้หมายเอาเฉพาะ
กิจของสงฆ์เท่านั้น หากแต่ว่าชาวบ้านเอง ก็มีกิจอันเป็นส่วนของคฤหัสถ์เช่นกัน ในส่วนของ
วันเข้าวัสสา พระสงฆ์จะเริ่มเข้าวัสสาในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๐ เหนือ ส่วนชาวบ้านจะถือ
เอาวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เหนือ ซึ่งตรงกับวัน “อาสาฬหบูชา” เป็นวันเริ่มต้นและไปสิ้น
สุดเอาวันเดียวกัน คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนเกี๋ยงเหนือ กิจกรรมหลักของพระสงฆ์นั้นเป็นไป
ตามพระวินัยที่เคยปฏิบัติกันมา แต่กิจกรรมของชาวบ้านจะตั้งใจปฏิบัติกันเป็นกรณีพิเศษ
เริ่มตั้งแต่วันแรก คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เหนือ วันนี้ถือเป็นวัน “เข้าวัสสา” ชาวบ้าน
จะไปทำบุญแต่เช้าตรู่ เริ่มด้วยการ “ตานขันเข้า” คือ “ทานขันข้าว” ซึ่งหมายถึงการทําบุญ
ให้ทานแด่พระสงฆ์ด้วยอาหารเป็นสำรับ ซึ่งส่วนใหญ่จะมุ่งหวังอุทิศส่วนกุศลข้ามภพข้ามภูมิ
๓๒
ไปหาเจ้าที่เจ้าทาง พระแม่นางธรณี ดวงวิญญาณของญาติที่เสียชีวิตไปแล้ว อันมีบิดามารดา
เป็นต้น หรือเทพยดาอันรักษาบ้านเรือน โดยเฉพาะอาหารที่จะจัดเป็นสำรับจะมีการจัดเตรียม
เป็นพิเศษ กล่าวคือ อาหารนั้น จะไม่เป็นอาหารที่บริโภคประจำวันตามปกติ แต่จะเป็นอาหาร
พิเศษ เช่น แกงฮังเล ห่อหนึ่ง (ห่อหมก) ขนมเหนียบ (ขนมเทียน) ข้าวต้มมัด ผลไม้ในฤดูกาล
เป็นต้น การจัดอาหารจัดจัดใส่ภาชนะ แล้วจัดวางในสํารับมี สวยดอก (สวยดอกไม้ธูปเทียน)
น้ำหยาด (น้ำสำหรับกรวดอุทิศ) น้ำดื่มสะอาด ด้านพิธีกรรมทานขันข้าว โดยที่ชาวบ้านจะจุด
เทียนในสำรับ และยกเข้าประเคนแด่พระสงฆ์ โดยจะต้องบอกชื่อเจ้าภาพและวัตถุประสงค์
จากนั้นพระจะให้พร พร้อมกรวดเป็นภาษาล้านนาโวหารผสานด้วยบทบาลี โดยการที่ระบุชื่อ
เจ้าภาพ และวัตถุประสงค์ของการทำบุญ เสร็จแล้ว จึงไปใส่บาตรร่วมกันในวิหารรอพระสงฆ์
มาอนุโมทนาทานในตอนสายเสร็จจากทานขันข้าวที่วัดจะมีการ “ทานขันข้าวคนเฒ่า” โดยนำ
สำรับอาหาร ไปมอบแด่ผู้เฒ่าผู้แก่ตามระแวกบ้าน นัยยะว่าเป็นกตัญญูตาทานที่ปฏิบัติสืบต่อ
กันมา ผู้เฒ่ารับทานนั้นแล้วก็ให้พรเป็นสิริมงคล จนบ่ายคล้อยจะพากันไปฟังพระธรรมเทศนา
ที่วัดแล้วช่วยจัดสถานที่สำหรับเป็นที่นอนให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่จะอยู่บำเพ็ญศีลภาวนาต่อไป
ภาพแสดงเครื่องถวายการทานขันข้าวในวันเข้าพรรษา
๓๓
กล่าวถึงกิจกรรมของคฤหัสถ์ในช่วงเข้าพรรษานั้นดูจะเคร่งครัด ทั้งการให้ทานการ
รักษาศีล และบำเพ็ญภาวนา ซึ่งการให้ทานนั้น นิยมทำบุญตักบาตรทุกเช้าของวันธรรมสวนะ
การรักษาศีลชาวบ้านจะรักษาศีลห้าผู้เฒ่าชรานิยมถือศีลแปด ส่วนการบำเพ็ญภาวนาจะมีการ
ทำวัตรสวดมนต์ทำสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชราส่วนใหญ่นิยมไปนอนที่วัด เพื่อบำเพ็ญธรรม
ในวันธรรมสวนะ นอกจากนี้ยังมีการฟังธรรมเทศนาทุกวันพระช่วงกลางวันตลอดพรรษา
บุญเข้าวัสสา เป็นผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่ ตลอดระยะเวลาแห่งไตรมาส อันสำคัญนี้
จะไม่มีการประพฤตินอกทางแห่งคลองศีลคลองธรรม ไม่มีงานเลี้ยงฉลอง ไม่มีการแต่งงาน
ไม่มีการดื่มสุรา อุปกรณ์การทำมาหากินที่เป็นอันตรายต่อชีวิตสัตว์ถูกเก็บเข้าที่ หิ้งผีครูถูกปลง
ขันยกเครื่องสักการะลงมา ด้วยหวังว่าผีครู ผีปู่ย่าก็จะบำเพ็ญศีลภาวนาตลอดพรรษาเช่นกัน
วันเข้าวัสสา เป็นวันเข้าสู่มรรคญาณ ตามคติของพระพุทธศาสนา ชาวล้านนาอยู่เย็นเป็นสุข
สังคมไร้ทุกข์ เพราะได้อาศัยโอกาสเวลานี้ บ่มเพาะภูมิคุ้มกันอกุศลกรรมมาอย่างต่อเนื่องและ
ยาวนานนั่นเอง
ภาพแสดงประชาชนใส่บาตรทำบุญในวันเข้าพรรษา
๓๔
เดือนสิบสอง
๓๕
ประเพณีเปตพลี (สิบสองเป็ง)
เป็นประเพณีทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปหาผู้ที่ล่วงลับในวันเพ็ญเดือนสิบสองเหนือ
หรือเดือนสิบของภาคกลาง โดยเฉพาะ เชื่อกันว่า ในวันดังกล่าวพระยายมราชได้ปลดปล่อย
วิญญาณของผู้ตาย ให้กลับมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อรับเอาส่วนกุศลผลบุญจากญาติพี่น้อง ดังนั้น
จึงมีการไปทำบุญที่วัดอย่างมากมาย ประเพณีนี้ ตรงกับกิจกรรมของไทยภาคอื่น กล่าวคือ
ภาคกลาง มีประเพณีที่คล้ายกันเรียกว่า “ตรุษสารท” ภาคใต้เรียกว่า “ประเพณีชิงเปรต”
ส่วนภาคอีสานเรียกว่า “ประเพณีบุญข้าวประดับดิน” ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นไปตามความเชื่อ
ในแนวคิดเดียวกัน ในเรื่องของการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล้วงลับไปแล้วนั้น ซึ่งมีตำนาน
ทางพระพุทธศาสนา กล่าวถึงผู้ลาละโลกไปเกิดเป็นเปรต ดังเช่น เรื่องเปรตซึ่งเป็นญาติของ
พระเจ้าพิมพิสาร เรื่องนี้มีความโดยสังเขปว่า
ภาพแสดงงานประเพณีเปตพลี
พระองค์ได้สดับพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าจนบรรลุธรรม ในสมัยพุทธกาล
พระเจ้าพิมพิสาร มีพระราชศรัทธาในพระพุทธเจ้า ชั้นโสดาปัตติผล ทรงถวายไทยธรรมแด่
พระพุทธเจ้าและพระสาวกเป็นประจำ แต่ไม่เคยอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ ครั้งหนึ่ง
๓๖
ฝูงเปรต ผู้เป็นญาติรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้รับส่วนกุศลพอ ตกเพลาราตรีก็สำแดงกายส่งเสียงร้อง
โหยหวนเป็นที่น่าสะพรึงกลัวตลอดราตรีนั้น เหตุการณ์นี้พระเจ้าพิมพิสารมิทราบเหตุจึงทรง
ทูลถามพระพุทธเจ้าพระพุทธองค์จึงทรงสำแดงเหตุให้ทราบ ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าพิมพิสารก็
อุทิศส่วนกุศลให้ทุกครั้ง เมื่อถวายไทยธรรมโดยผ่านการหลั่งทักษิโณทกเปรตทั้งหลายได้รับ
แล้วพ้นจากทุกขภาวะนานา ซึ่งชาวบ้านอาศัยคติความเชื่อตามตำนานดังกล่าวจึงนิยมทำบุญ
อุทิศส่วนกุศล ให้ผู้วายชนม์ทุกครั้งและเมื่อผนวกกับความเชื่อเรื่องการปลดปล่อยวิญญาณ
ในช่วงเวลาที่เรียก “สิบสองเป็ง” ที่ได้กล่าวเบื้องต้นนั้น จึงเป็นต้นเหตุแห่งการทำบุญตาม
ประเพณี อย่างไรก็ตาม ความละเอียดอ่อนของความรู้สึก และสิ่งที่เกิดจากมโนนึกอาจเกิด
จากจินตนาการ จตุปัจจัยไทยทานจึงค่อนข้างพิถีพิถัน เช่น ให้ทานด้วยอาหารอันประณีต
และเคยเป็นสิ่งที่ชื่นชอบของผู้ตาย ให้ทานเครื่องอุปโภค ที่เป็นเครื่องอำนวยความสะดวก
ต่างๆ นานา ตามกำลังศรัทธาจะหาได้
ภาพแสดงเครื่องเซ่นในงานประเพณีเปตพลี (๑)
๓๗
ดังนั้นในช่วงวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๑๒ เหนือของทุกปี ชาวบ้านจะจัดเตรียมอาหาร
ขนมหวาน และผลไม้พร้อมทั้งสิ่งของ ที่เป็นไทยทานไว้พร้อมสรรพเช้ามืดของวันขึ้น ๑๕ ค่ำ
ที่วัดจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนต่างคนต่างจัดอาหาร และสิ่งของเป็นสํารับแต่ละสํารับอุทิศให้ผู้
ตายเป็นคนๆ ซึ่งบางครั้ง ถวายหลายครั้งตามจำนวนคนและการถวายจะต้องจดชื่อเจ้าภาพ
พร้อมชื่อผู้ตายให้พระ เพราะเวลาพระให้พรจะได้กล่าวชื่อได้ถูกต้อง ข้อสังเกต ในการให้พร
ของล้านนาภาษาล้านนาอย่างหนึ่ง คือ นอกจากจะกล่าวคำบาลีแล้วยังต้องกล่าวคำให้พรอัน
เป็นโวหารที่เรียบเรียงมาอย่างดีแล้ว
อีกประการสำคัญอย่างหนึ่งจะต้องมีการ “หยาดน้ำ” คือ กรวดน้ำไปด้วยซึ่งผู้หยาด
น้ำก็คือพระผู้ให้พร มิใช่เจ้าภาพซึ่งคติความเชื่อนี้น่าจะได้รับจากการหลั่งน้ำทักษิโณทกของ
พระเจ้าพิมพิสารในสมัยพุทธกาล อนึ่งการทำบุญอุทิศกุศลพบว่ามีสองลักษณะตามความเชื่อ
คืออุทิศให้ผู้ตายธรรมดาและอุทิศให้ผีตายโหง หากอุทิศให้ผู้ตายธรรมดาก็สามารถไปทำบุญ
ที่วัด เพราะวิญญาณเหล่านี้เข้าออกวัดได้โดยสะดวก แต่ถ้าเป็นผีตายโหงวิญญาณเข้าวัดไม่ได้
จึงต้องทำบุญนอกเขตวัดผู้ตายถึงจะได้รับส่วนกุศล
ภาพแสดงเครื่องเซ่นในงานประเพณีเปตพลี (๒)
๓๘
นอกจาก การทำบุญด้วยอาหารและไทยทานแล้ว สิ่งที่นิยมปฏิบัติ คือนิมนต์พระ
แสดงพระธรรมเทศนาประกอบการรับไทยทานพระธรรมเทศนาดังกล่าว มักเป็นคัมภีร์ที่
มีเนื้อหาที่เอื้อต่อการได้รับกุศล เช่น ธรรมเปตพลีธรรมมาลัยโปรดโลก เป็นต้น
ประเพณีสิบสองเป็ง เป็นการประกอบกุศลกรรมตามคติทางพุทธศาสนาที่สำคัญ
คือ แสดงให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทิตาต่อบรรพชน ดังนั้น ในทุกวันเพ็ญเดือนสิบสอง
เป็นโอกาสอันดีที่ท่านจะได้แสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรมอย่างเต็มที่
๓๙
ตำราศึกษา
พิธีกรรม
ความเชื่อในท้องถิ่น
พิธีกรรมปูจาต้าวตังสี่ / พิธีกรรมปูจาเตียน / พิธีกรรมฮ่วงข้าว / พิธีกรรมตานขันข้าว / พิธีกรรมฮ้องขวัญ
พิธีกรรมสืบจ๊ะต๋า / พิธีกรรมส่งเคราะห์ส่วนตัว / พิธีกรรมส่งเคราะห์บ้าน / พิธีกรรมตานเฮียน
พิธีกรรมเลี้ยงแม่ธรณี
ตำบลบ้านหนุน อำเภอสอง จังหวัดแพร่
พิธีกรรมและความเชื่อในท้องถิ่น
การประกอบพิธีกรรมนั้นสามารถกระทำได้ตลอดทั้งปีแตกต่างจากประเพณี คือมีการ
กำหนดกระทำเพียงครั้งเดียวหรือเพียงบางครั้งเท่านั้นในหนึ่งปีการประกอบพิธีกรรมนั้นจำเป็น
จะต้องใช้ผู้มีภมิูความรู้เฉพาะด้านในทางวิชาอาคม ซึ่งผ่านการร่ำเรียนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
เรียกว่า “คนสุก” รวมทั้งเป็นบุคคลที่เคารพยกย่องนับถือจากผู้อื่นในท้องถิ่น ก่อนจะประกอบ
พิธีกรรมใดๆก็ตามมักจะต้องไปปรึกษาขอคำชี้แนะแนวทางสำหรับพิธีกรรมรวมถึงหาฤกษ์ยาม
ดีของวันงานของพิธี
พิธีกรรม และความเชื่อท้องถิ่นนั้นเกิดจากการรับเอาคติทาง พระพุทธศาสนาตลอด
จนความเชื่อท้องถิ่นมาผสมผสานให้เกิดรูปแบบเฉพาะในพิธีกรรม ดังกล่าว อีกทั้งขั้นตอนวัสดุ
อุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีกรรมเองยังสามารถบ่งชี้บอกให้เห็นถึงภูมิปัญญาทางด้านทรัพยากรธรรมชาติ
ผ่านความเชื่อท้องถิ่น อันมีผลมาจากสภาพแวดล้อมและบริบททางสภาพสังคมเศรษฐกิจไปจน
ถึงฐานะความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมอีกด้วย ซึ่งพิธีกรรม ที่ได้รวบรวมมา
๔๑
พิธีกรรม
ปูจาต้าวตังสี่
๔๒
พิธีกรรมปูจาต้าวตังสี่ (บูชาท้าวทั้งสี่)
ภาพแสดงการตั้งกระทงทำพิธีบูชาท้าวทั้งสี่
การปูจาต้าวตังสี่หรือบูชาท้าวทั้งสี่ เป็นประเพณีของชาวไทยภาคเหนือที่ได้ปฏิบัติ
สืบทอดติดต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เริ่มกันมาตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นผู้ริเริ่มนั้นไม่ปรากฏ
หลักฐานแน่ชัด คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นพร้อมกับความเชื่อ ของคนท้องถิ่นในเรื่องของการ
นับถือเทพยดาฟ้าดินซึ่งก็คงไม่พ้นไปจากลัทธิพราหมณ์ ที่เข้ามาก่อนหรืออาจจะมาพร้อม
กับพระพุทธศาสนา ชาวไทยภาคเหนือได้จัดทำแท่นนี้ขึ้นสำหรับบูชาท้าวทั้งสี่ขึ้น โดยได้มี
แท่นปูจาท้าวทั้งสี่ ทำด้วยไม้แผน หน้ากว้างประมาณ ๖ นิ้ว ความหนาประมาณ ๐.๕ นิ้ว
และยาวประมาณ ๒ ฟุต จำนวน ๒ แผ่น นำมาพาดกันเป็นรูปกากบาท ตอกตะปูให้แน่น
และนำไม้แผ่นเหล็กความกว้าง และหนาเท่าเดิมตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด ๕ นิ้ว
หรือ ๖ นิ้ว ตอกกับไม้ที่ทำเป็นด้ามสูงระหว่าง ๖-๘ นิ้ว แล้วนำไปตอกติดกับส่วนที่พาด
กันของไม้ ๒ แผ่น อีกทีหนึ่ง ต่อจากนั้นจึงทำไม้ที่จะทำเป็นเสาสูงประมาณ ๑.๕๐ เมตร
มาตอกเข้ากับตัวแทนที่ทำเสร็จแล้ว และนำไปฝังดินทางทิศตะวันออก หรือทิศตะวันออก
เฉียงเหนือของตัวบ้าน ๔๓
เมื่อถึงกำหนดวันข้างขึ้นของแต่ละเดือน ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เป็นเจ้าของบ้านนิยมจัดให้มีพิธี
บูชาด้าวตั้งสี่ เริ่มต้นด้วยการจัดเตรียมเครื่องบูชา โดยเย็บกระทงใบตอง ให้มีลักษณะสี่มุม
กว้างยาวประมาณ ๔ นิ้ว จำนวน ๖ กระทง ตัดมุมให้เรียบร้อยแล้วจึงเตรียมเครื่องบูชาอย่าง
ละ ๔ ชิ้น ซึ่งได้แก่ หมาก พลู เหมี้ยง บุหรี่ กล้วย อ้อย ขนม ข้าวย้อมสีตามสีของธงช่อหรือ
(ธงสามเหลี่ยม) ซึ่งช่อดังกล่าวจะมีสีขาว สีแดง สีดำ สีเหลือง สีเขียว สีละ ๔ จ้อ ยกเว้น สีขาว
จะเตรียมไว้ ๘ อัน ดอกไม้สีต่างๆตามสีของธงช่อ นำช่อสีเหล่านี้กลงตรงมุมของกระทงๆละสี
ส่วนสีขาวปักลง ๒ กระทง แล้วนำเครื่องบูชาดังกล่าวแต่ละอย่างๆ ละ ๔ อัน บรรจุลงใน
แต่ละกระทงให้ครบ
ภาพแสดงวัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการทำพิธีบูชาท้าวทั้งสี่
๔๔