เมื่อถึงเวลา (จะให้ดีควรเป็นตอนเช้ามืด ตั้งแต่พระอาทิตย์แรกขึ้น ก่อนถึงช่วงเวลาสาย)
อาจารย์หรือผู้ประกอบพิธีจะนำกระทงทั้ง ๖ กระทง วางบนแท่นตามลำดับดังนี้
๑. แท่นบนสุดซึ่งอยู่ตรงกลางวางกระทงที่ปักช่อสีเขียว และมีร่มพับจากกระดาษ เพื่อบูชา
พระอินทร์เทวราชผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และชั้นจาตุมหาราช
๒. ทิศตะวันออกวางกระทงช่อสีขาว เพื่อบูชาท้าวธดรฐ เป็นเทวดาผู้รักษาโลกประจำทิศ
บูรพา
๓. ทิศใต้วางกระทงช่อสีแดง เพื่อบูชาท้าววิรุฬหก เป็นเทวดาผู้รักษาโลกประจำทิศทักษิณ
๔. ทิศตะวันตกวางกระทงช่อสีเหลือง เพื่อบูชาท้าววิรุฬปัก เป็นเทวดาผู้รักษาโลกประจำทิศ
ประจิม
๕. ทิศเหนือวางกระทงช่อสีดำ เพื่อบูชาท้าวกุเวร เป็นเทวดาผู้รักษาโลกประจำทิศเหนือ
๖. ตีนเสาวางกระทงช่อสีขาวที่เหลืออีก ๑ กระทง (บางตำราบอกว่าไม่ต้องปักจ้อ) บูชาแม่
พระธรณีเป็นเทพผู้รักษาแผ่นดิน
ภาพแสดงการทำพิธีท้าวทั้งสี่
๔๕
ต่อจากนั้น ปู่อาจารย์จะจุดธูปจำนวน ๒๐ ดอก ปักไว้ตีนเสา ก่อนเริ่มพิธีเจ้าของบ้าน
ควรเข้าร่วมในพิธี โดยนั่งพนมมือไหว้สดับฟังอาจารย์กล่าวคำปูจา ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการปลุก
แม่ธรณีก่อน ดังนี้
“แม่พระธรณีเอ๋ย เจ้าอยู่ รู้หรือยัง” อาจารย์ตอบเองว่า “อยู่รู้แล้ว” แล้วกล่าวคำว่า
"สาวะคะตั๋ง โลก๋าวิถู นะมามิ” ว่า ๓ ครั้ง หรืออีกสำนวนหนึ่งว่า “เอหิจิตตัง ปิยัง มะมะ”
เสกที่มือแล้วตบพื้นดิน ๓ ครั้ง แล้วจึงกล่าวคาถาชุมนุมเทวดาดังนี้
“สักเค กาเม จะรูเป ศิริสิขะ ระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน ทีเป รัฏเฐ จะคาเม ตะรุว นะ
คะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต๋ ภุมมา จะยันตุ เทวา วะละตะละวิสะเม ยักขะ คันธัพพะนาคา
ติฏฐันตา สันติเก ยังมุนิวะระ วะจะนัง สาธะโวเม สุณันตุ ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะตัน
ตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะตันตา”
เสร็จจากชุมนุมเทวดาแล้ว ปู่อาจารย์ จึงจะกล่าวคำปูจา แม่พระธรณีและท้าวทั้งสี่
(ท้าวจตุโลกบาล) เป็นอันดับต่อไปดังนี้
“สาธุ สาธุ โอก๋าสะ ข้าแต่แม่ธรณีเป็นเจ้า ต๋นเป๋นปิ่นเหง้าแก่พระส๊วดสะตา ป๋างเมื่อ
พระส๊วดสะตา ขึ้นนั่งแต่นแก้ว ป๋างเมื่อพญามารต๋นผ่านแผ้ว เมื่อจักฮบเอาแต่นแก้วแห่งพระ
สัพปัญญู ในโขงจุมปูด่านด้าว ต๋นต่านต้าวริปนมาร ก็หลอแต่สะหรีเจียงคารงามแง่ แม่เป๋น
เจ้าจื่อจันนางธรณีเจ้า จึงล่ำเปิงหับป๋ารมีแห่งพระพุทธเจ้า แม่จึงคลี่หมวดเกล้าแก้วงด้วยแบ่ง
ฉุดน้ำมวยผมลงไหลหลั่ง กัดกั้งเนืองนอง ถมถองออกท่วม ละลุ่มล้วมลงลำพญามารต๋นใจ๋ดำ
ก็อยู่ปได้ ก็ป่ายเปปัง ด้วยเต๋จ๊ะก๋ำลังแม่ธรณีเป๋นเจ้า
บัดนี้ ผู้ข้าทั้งหลาย ก็มีหมากล้านปูแสน แบ่งใส่มือมาถวาย จึ่งมีข้าวกับกล้วย ข้าวหนม
ข้าวต้ม หมากปู กล้วยอ้อย มายืนถวายถึง ขอล่ำเปิงเถิงผู้ข้าก่อนเต้อะ”
ต่อจากนั้นจึงกล่าวจึงคำปูจาพญาอินทร์ ดังนี้
“เอหิสะโข เทวาราจา สหะคัณนะ ปะริวารายะ อะคะสันตุ อิมัง ปริกรรมหัง ปะติกัณ
หันตุ อัมเห อะนุละขันตุ สัมปะทา นิสัม ขันตุโน” (ว่า ๓ ครั้ง)
๔๖
คำบูชาท้าวทั้งสี่ ว่าดังนี้
“ธะต๊ะละโถ จะ มหาราจา คะนะปะวิวารายะ อาคะสันตุ บุรพะ ติสายะ ติถะตุ
อิมัง ปริกรรมมังปะติคันหาตุ อัมเห อานุระขันตุ สัพพะตา สัพพะกรรม มานิสินจันตุโน
มังกะละ ก๋าละ อันพิลาบเด๋จ๊ะผาบจัยโย ปะวาระนา เอิ้นกล่าว หื้อฮู้ข่าวทุกปาย
เทปดาเจ้าตั้งหลาย ทุกหมู่อันอยู่เฝ้าเวียงจัย จุ่งมีใจ๋ไมทะหรี จื้นจมบานแด่เต๊อะ
วิโรหะโก๋ จะมหาราจา สะหะคันนะ ปะวิวารายะ อาคะจันตุ ตักษิณะ ติสายะ ติธัน
ตุ อิมัง ปะริกรรมมัง ปะติคัณหาตุ อัมเห อนุระขันตุ สัพพะตา สัพพะกัมมานี สินจันตุโน
มังกะละ ก๋าละอันประเสริฐ คือท้าวเกิดเป๋นดี ตังราจะไมทะหรี ไพร่ฟ้าสู่หน้าอว่าย
ยินดี ปิ๋ติปอสะหลาบ ปรากฏปราบปะถะวี ขอหื้อมีปอนเต๊อะ
วิรูปักโข จะมหาราจา สะหะคันนะ ปริวารายะ อาคะจันตุ ปะฉิมมะ ติสายะ ติถะตุ
อิมัง ปริกรรมมัง ปะติคัณหาตุ อัมเห อนุระขันตุ สัพพะตา สัพพะกัมมา มะนิชิจันตุโน
ทิพญาทอน มาตุราช เต๋จ๊ะภาพจัยโย อะธิจ๋อนมาตุราช ขณะเต๋จ๊ะผาบ ปะถะวี หื้อ
มีฤทธิ์ยิ่งหล้าก่อดั่งทราย ยังอยู่สาครใหญ่กว้าง หื้อได้ลาภจ้างม้าหลาย หื้อยศเรียงรายสะ
หลาบ หื้อได้ปาบจมปู แต้ดีหลีเต้อะ
กุ๋มเวโร จะมหาราจา สะหะ คณะปริวารายะ อาคะจันตุ ติสายะ ติธะตุ อิมัง ปริกร
รมมัง ปะติคัณหาตุ อัมเห อะนุระขันตุ สัพพะตา สัพพะกรรม มะนิสินจันตุโน
คัณธะปะ กุ๋มภัณฑะ หลายหมู่ อั้นอยู่เก้าเวียงจัย หื้อมีใจไมทะหรีติดต่อ อย่าย่อท้อ
ต่อราจา ปะติคาหาจุ ด้าวแสนโกฏ ต้าวมาลอมแสนโกฏ มากั๋นแต้ดีหลีเต๊อะ
๔๗
พิธีกรรมปูจาเตียน
๔๘
พิธีกรรมปูจาเตียน (บูชาเทียน)
การปูจาเตียน (บูชาเทียน) ออกเสียงคำอ่านตามภาษาพื้นเมืองเป็น “เตียน” เป็นสิ่ง
ที่คนท้องถิ่นนั้นได้รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เทียนตามความเชื่อของชาวพุทธเป็นสัญลักษณ์
แทนพระธรรม ดังนั้น การใช้เทียนประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จึงมีมานานแล้ว ซึ่งในอดีต
ชาวบ้านจัดทำเทียนสำหรับจุดด้วยมือ โดยใช้ขี้ผึ้งแท้ที่ได้จากการเคี่ยวรังผึ้ง ซึ่งจะมีการแยก
เอาขี้ผึ้งออกมาแล้ว ใส่ในภาชนะ เช่น ถ้วย จาน เมื่อขี้ผึ้งเย็นลงแล้ว จึงใช้มีดตัดแยกเป็น
ชิ้นๆแกะออกเก็บไว้ เมื่อจะใช้ทำเทียนก็นำขี้ผึ้งนี้มาสีกับพื้นที่เรียบๆที่สะอาด จนเป็นแท่ง
กลมจะได้เทียนที่พร้อมจะนำไปจุดบูชา การจุดเทียนของชาวบ้านนอกจากจะจุดเทียนเพื่อ
บูชาพระธรรมแล้ว ยังมีความเชื่อว่าเทียนที่ผ่านการทำพิธีของอาจารย์วัด หรือผู้ที่มีความรู้
เกี่ยวกับการบูชาเทียนจะช่วยให้พ้นเคราะห์ มีแต่ความโชคดี และมีอายุยืนยาว พิธีการปูจา
เตียนจึงเป็นพิธีกรรมหนึ่ง ที่ชาวบ้านนิยมทำกันมาจนถึงปัจจุบัน การปูจาเตียนเป็นการนำ
เทียนที่ผ่านการทำพิธีแล้วมาจุดบูชา ด้วยความเชื่อที่ว่าจะทำให้รอดพ้นจากเคราะห์ร้ายที่
อาจจะมีมาและทำให้ได้รับโชคดี อยู่เย็นเป็นสุข ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย มีอายุยืนยาว
* โดยเทียนที่ใช้ในพิธีปูจาเตียนนี้แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ดังนี้
๑. เทียนสืบชะตา ๒. เทียนสะเดาะเคราะห์ ๓. เทียนฉิมพลีหรือเทียนโชค
ภาพแสดงเทียนแต่ละชนิดที่ใช้ในการทำพิธีตามกรณีต่างๆกันไป
๔๙
เทียนทั้งสามประเภทนั้น จะมีด้ายที่ใช้ทำเป็นไส้เทียนจัดทำเท่าอายุของผู้ที่ประสงค์จะ
บูชาเทียน หรือบางหมู่บ้านอาจใช้ด้ายเกินอายุ ๑ ปี เช่น อายุ ๒๐ ปี ด้ายที่ใช้ทำไส้เทียนจะ
มี ๒๐ เส้นถึง ๒๑ เส้น โดยเชื่อว่าเทียนเป็นตัวแทนของโชคชะตาของผู้ที่บูชาเทียน การใช้ไส้
เทียนเกินอายุเชื่อว่าจะทำให้อายุยืนยาวขึ้น ส่วนผู้ทำไส้เทียนเท่าอายุเชื่อว่าอายุเท่าใดต้อง
ทําเท่านั้น ถ้าทำเกินก็เป็นอายุของคนอื่นจะทำให้การปูจาเตียนไม่เกิดประโยชน์ซึ่งถือว่าเป็น
ความเชื่อของแต่ละบุคคล
ผู้ที่จะจัดการทำการปูจาเตียนให้กับผู้อื่น ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับคาถาที่จะใช้ใน
การทำพิธีซึ่งอาจเป็นพระสงฆ์ หรืออาจารย์ผู้ที่ผ่านการบวชเรียนมาแล้ว โดยผู้ที่ประสงค์จะ
ทำพิธีการปูจาเตียน ต้องไปติดต่อขอให้ทำพิธีให้ ซึ่งต้องบอกให้ชัดเจนว่า จะบูชาเทียน
ประเภทใด ซึ่งบางคนจาเตียนเพียง ๑ เล่ม บางคนทำครบทั้ง ๓ เล่ม แต่ส่วนใหญ่ชาวบ้าน
นิยมทำเพียง ๒ เล่ม คือ เทียนสะเดาะเคราะห์ และเทียนโชค เมื่อทราบว่าจะปูจาเตียนชนิด
ใดอาจารย์ผู้ทำพิธีจะสอบถาม วัน เดือน ปีเกิด ของผู้ที่ต้องการปูจาเตียน เพื่อนำไปเขียนใส่
ลงไปในไส้เทียน ในอดีต นิยมเขียน วัน เดือน ปีเกิด ลงในกระดาษสาด้วยตัวหนังสือพื้นเมือง
คือ อักษรธรรมล้านนา แล้วนำกระดาษนั้นไปพันรอบไส้เทียนที่จัดเตรียมไว้ นำไปสีเทียนจะ
ได้เทียนที่ต้องการส่วนในปัจจุบันนั้น นิยมนำเทียนที่สีแล้วมาเขียน วัน เดือน ปีเกิด ลงบนลำ
เทียน หลังจากที่อาจารย์ผู้ทำพิธีเขียน วัน เดือน ปีเกิด ของคนที่จะบูชาเทียนเรียบร้อยแล้ว
ก็จะได้นำเอาเทียน ไปจุดในตอนหลังจากพระอาทิตย์ตกดินบริเวณนอกชายคาบ้านหรือหน้า
พระพุทธรูปพระประธานในวิหาร
๕๐
ขณะที่จุดเทียนอาจารย์สวดคาถาที่ใช้ในการบูชาเทียนแต่ละประเภทไปด้วย
จนจบบทแล้วปล่อยให้เทียนดับไปเอง ในการจุดเทียนนี้บางคนเชื่อว่า ถ้าแสงเทียนของ
ตนลุกโชติช่วงสว่างไสวแสดงว่าชีวิตนั้นจะรุ่งเรือง แต่ถ้าแสงเทียนริบหรี่ อาจหมายถึง
ชีวิตที่จะพบปัญหาอุปสรรค ซึ่งสิ่งนี้เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล การปูจาเตียนเป็น
พิธีกรรมที่ชาวบ้านเชื่อว่าเมื่อทำพิธีนี้จะสามารถช่วยป้องกันปัดเป่าโชคร้ายหรือเคราะห์
ร้ายให้รอดพ้นจากภยันตรายต่างๆ มีโชคลาภและมีอายุยืนยาว ซึ่งเมื่อทำแล้วจะช่วยให้
ผู้บูชาเทียนจะได้เกิดความสบายใจ ขวัญกำลังใจดีส่งผลต่อสุขภาพจิตและมีความเชื่อมั่น
มากขึ้น และการที่พิธีนี้ สามารถทำได้ตลอดปี ไม่จำกัดว่าจะทำพิธีปีละกี่ครั้ง และผู้ทำ
สามารถเลือกได้ว่า ตนเองต้องการปูจาเตียนประเภทใดบ้างพิธีนี้จึงตอบสนองความต้อง
การของชาวบ้านได้อย่างทันใจ ความนิยมในการจัดทำพิธีจึงมีอยู่แทบทุกหมู่บ้าน มาจน
ถึงปัจจุบัน
ภาพแสดงการปฏิบัติหลังจากบูชาเทียนเสร็จแล้ว นำเทียนมาจุดบริเวณกลางแจ้ง
๕๑
พิธีกรรมฮ่วงข้าว
๕๒
พิธีกรรมฮ่วงข้าว (ผีย่าหม้อนึ่ง)
คำว่า “ฮ่วง” ในภาษาพื้นเมือง หมายถึง การแกว่งหรือห้อย ความหมาย โดยรวมคือ
การนำข้าวเหนียวมาแกว่งประกอบในพิธี ผู้ประกอบพิธี จะเป็นผู้มีความสามารถในการ
ติดต่อกับผี ซึ่งผีที่เกี่ยวข้องกับพิธีนี้คือ ผีย่าหม้อนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าสิงสถิตย์อยู่ที่หม้อนึ่งที่ตั้งไว้บน
เตาในครัว พิธีกรรมฮ่วงข้าวจะทำในวันใดก็ได้ ยกเว้นเพียงวันเดียวคือวันพระ โดยจะต้อง
เตรียมสิ่งของที่จำเป็น ได้แก่ ธูป ๔ ดอก หมาก ๑ คำ พลู ๑ ใบ ด้ายมงคลหรือด้ายสาย
สิญจน์ ยาวประมาณ ๑ ศอก จำนวน ๑ เส้น ข้าวเหนียวหนึ่งปั้นขนาดกำมือ ดอกไม้และ
เสื้อผ้าของผู้ที่จะถามนำไปยังบ้านผู้ที่จะทำพิธี ดังต่อไปนี้
๑. เริ่มประกอบการทำพิธีจะทำหน้าเตาไฟที่มีหม้อนึ่งตั้งอยู่
๒. ผู้ทำพิธีวางถาดธูป ๔ ดอก หมาก ๑ คำ พลู ๑ ใบ ด้ายมงคลหรือด้ายสายสิญจน์
ยาวประมาณ ๑ ศอก จำนวน ๑ เส้น ข้าวเหนียวหนึ่งปั้นขนาดกำมือ ที่แขวนไว้ปลายด้าย
มงคล ผู้ทำพิธียกถาดขึ้นเหนือศีรษะ ขออัญเชิญ ผีมาช่วยตอบคำถามแล้วยกถาดวางลงกับ
พื้นข้างหม้อนึ่ง
๓. นำด้ายมงคลที่มีข้าวเหนียวแขวนอยู่ชูขึ้นเหนือหม้อนึ่ง โดยไม่แกว่งมือให้ข้าวอยู่นิ่ง
จากนั้นแล้วถามคำถามที่อยากทราบคำตอบ
๔. กำหนดมีอยู่ว่า ถ้าใช่ขอให้ข่าวแกว่ง การถามนี้ถ้าข้าวแกว่งถือว่าได้คำตอบแล้วแต่ถ้า
ข้าวไม่แกว่งก็ให้ตั้งคำถามใหม่ จนกว่าจะได้คำตอบจนพอใจ เมื่อหมดคำถามแล้วผู้ที่ทำพิธี
จะบอกกล่าวแก่ผีย่าหม้อนึ่งเป็นเสร็จพิธี
การตั้งข้อสังเกตจากผู้รู้ที่เห็นการกระทำพิธีนี้ว่าการที่ข้าวแกว่งอาจจะไม่ใช่ผีเป็นผู้แกว่ง
แต่เป็นผู้ทำพิธีแกว่งเอง ซึ่งเชื่อในเรื่องดังกล่าว กระนั้นแล้ว เป็นสิ่งที่ใครจะเชื่อถือหรือไม่
ก็ตามแต่เมื่อกระทำแล้ว ได้รับคำตอบเป็นที่พอใจ และนำไปปฏิบัติ จึงเกิดความเป็นความ
เชื่อที่สืบทอดต่อๆกันมา มีคุณค่าแอบแฝงอยู่ในพิธี สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเรา
๕๓
บางครั้งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปมากกว่าให้ทราบเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอะไร เช่น เด็กร้องไห้งอแง
ในตอนกลางคืน หรือคนเจ็บป่วยรักษาไม่หาย เมื่อหาสาเหตุไม่ได้ชาวบ้านจึงเชื่อว่าเกิดจาก
การกระทำของภูติผี อันเป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนในท้องถิ่นที่สั่งสมกันมานาน ทำให้เกิด
ประเพณีตลอดจนพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับภูติผีหลายประการ เริ่มตั้งต้นการเชิญผีมาเข้าทรง
การเลี้ยงผี การถามผี ไปจนถึงการขับไล่ผี ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้ยังคงสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
มีพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการถามผี โดยเชื่อว่าผีจะสามารถให้คำตอบใน ข้อสงสัย
นั้นได้
ภาพแสดงการทำพิธีกรรมฮ่วงข้าว (ผีย่าหม้อนึ่ง)
พิธีกรรมฮ่วงข้าวนี้นิยมทำกันใน ๓ กรณี กล่าวคือ
๑. มีเด็กทารกเกิดใหม่ พ่อแม่หรือญาติสนิทอยากทราบว่าเป็นใคร จะให้ใครเป็นผู้รับ
รับขวัญ หรือต้องการสิ่งของสิ่งใดในการรับขวัญ
๒. เด็กเล็กเลี้ยงยากร้องไห้งอแงในตอนกลางคืน โดยไม่ทราบสาเหตุ
๓. มีคนเจ็บป่วยอยากทราบสาเหตุของการเจ็บป่วยและวิธีการรักษา
๕๔
พิธีกรรมตานขันข้าว
๕๕
พิธีกรรมตานขันข้าว
การตานขันข้าวส่วนใหญ่นิยมเป็นการทำบุญให้ทานมาตั้งแต่อดีต การทำบุญมีทั้งที่
เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว และการทำบุญเพื่อสะสมผลบุญให้
กับตนเองภายในชาติหน้า เป็นที่นิยมปฏิบัติกันอย่างหนึ่ง ในอดีตส่วนใหญ่เป็นการถวาย
ภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ต่อมามีการถวายสิ่งของเครื่องใช้อื่นๆ ที่จำเป็นร่วมด้วยลักษณะ
เดียวกับการทำสังฆทานของภาคกลาง การตานขันข้าวจัดทำวันใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่นิยมทำ
กันในวันพระวันสำคัญทางพุทธศาสนาต่างๆ และวันคล้ายวันเกิดเป็นการทำบุญวันเกิด
ภาพแสดงประชาชนมาร่วมกันทานขันข้าวแด่พระสงฆ์
ผู้ที่ตานขันข้าวจะต้องจัดเตรียมอาหารซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาหารแห้งๆ ที่สะดวกใน
การนำไปถวายพระ ไม่หกเลอะเทอะง่าย เช่น ห่อนึ่งไก่ คั่วแคไก่ ไส้อั่ว และข้าวเหนียวห่อ
ด้วยใบตอง ขนมเทียน ขนมเกลือ เป็นต้น
๕๖
ภาพแสดงเครื่องของทานขันข้าว
ยังมีหมาก พลู เหมี้ยง บุหรี่ น้ำดื่ม โดยอาหารและสิ่งของที่จะนำไปทานขันข้าวจะถูก
จัดเตรียมใส่ไว้ในถาดหรือในกระทั่งปัจจุบันนิยมใส่ปิ่นโต หรือถุงพลาสติกจัดแบ่งอาหารออก
เป็นส่วนๆ ตามแต่ว่าจะอุทิศส่วนกุศลไปให้กับใครบ้าง เช่น หากอุทิศไปให้ญาติที่เสียชีวิตไป
แล้ว ๒ ราย ก็จัดแบ่งอาหารออกเป็น ๒ ส่วน นอกจากนี้ผู้ตานขันข้าวต้องจัดเตรียมกรวย
ดอกไม้ธูปและขวดน้ำหยาด สำหรับทำการหยาดน้ำหรือกรวดน้ำไปด้วย และมีใบกัณฑ์ทาน
กล่าวคือกระดาษที่เขียนชื่อผู้แล้ว และต้องการให้ได้รับบุญกุศลให้พระสงฆ์อ่านเพื่ออุทิศส่วน
กุศลไปให้เมื่อจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ เรียบร้อยแล้ว นำขันข้าวไปถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ที่วัดใน
ตอนเช้าหรือก่อนการฉันภัตตาหารเพล ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่มักนิยมเจาะจงถวายแด่พระภิกษุ
สามเณรที่ตนเคารพนับถือ หลังจากพระสงฆ์รับประเคนและให้ศีลให้พรอุทิศส่วนกุศลแล้วผู้
ตานขันข้าวหยาดน้ำหรือกรวดน้ำเป็นเสร็จพิธี
๕๗
ผู้ตานขันข้าวจะหยาดน้ำหรือกรวดน้ำ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่า การทานขันข้าวเป็นการ
อุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ล่วงลับ จะช่วยให้วิญญาณของผู้ตายมีอาหารกินและสิ่งของเครื่องใช้ไม่
อดอยากหิวโหย หรืออาจเป็นการทำบุญให้แก่ตนเองในชาติภพหน้าให้มีกินมีใช้ การตานขัน
ข้าวในปัจจุบัน แตกต่างจากอดีตมาก ชาวบ้านไม่นิยมจัดอาหารแบ่งออกเป็นส่วนๆแต่จะนำ
บรรจุในภาชนะที่มิดชิด เช่น ปิ่นโตนำไปถวายพระสงฆ์ เนื่องจากมีความสะดวกเป็นการ
ทำบุญที่แสดงถึงความกตัญญูของลูกหลานที่มีต่อญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ทำให้ภิกษุสงฆ์
ได้มีสิ่งของอุปโภคบริโภคเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้สืบทอดต่อไป
ภาพแสดงอุปกรณ์ในการหยาดน้ำหรือกรวดน้ำ
๕๘
พิธีกรรมฮ้องขวัญ
๕๙
พิธีกรรมฮ้องขวัญ (สู่ขวัญ)
การฮ้องขวัญหรือสู่ขวัญเป็นศรัทธาและความเชื่อของมนุษย์ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความ
คิดและจิตใจ ความเชื่อ บางอย่างมีส่วนกำหนดพฤติกรรมของคนในสังคมแต่ละสังคมการ
กินการอยู่ความเชื่อประเพณีพิธีกรรมการรักษาพยาบาล เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
เรื่องของการรักษาพยาบาลนั้น เนื่องจากในอดีตความรู้วิทยาการเกี่ยวกับการแพทย์และ
การสาธารณสุขยังไม่เจริญก้าวหน้า จึงเป็นเหตุทำให้ประชาชนเจ็บป่วย ล้มตายจากโรค
ภัยไข้เจ็บกันมาก โดยไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไรซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นใน
ท้องถิ่น ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าอาจเป็นการกระทำของภูติผี ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆลงโทษ
หรือถูกคุณไสย
นอกจากความเชื่อดังกล่าวแล้ว ชาวบ้านจะมีความเชื่อเรื่อง“ ขวัญ” ที่เชื่อว่ามนุษย์
ทุกคนจะมีขวัญอยู่ในตัว ๓๒ ขวัญ รวมถึงสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง ม้า วัว ควายก็มีขวัญประจำ
ตัวอยู่ คือ สิ่งที่ไม่มีตัวตน ซึ่งประจำตัวคนตั้งแต่เกิดจนตาย ขวัญที่มีอยู่กับร่างกายนี้จะ
ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ มีแต่ความสุขความเจริญแต่เมื่อใดที่มี
เรื่องทำให้ตกใจกลัวเสียใจหมดกำลังใจ หรือเจ็บป่วยเรื้อรัง ตลอดจนเปลี่ยนวิถีชีวิตความ
เป็นอยู่ใหม่ขวัญจะหาย บางครั้งขวัญตกหล่นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ซึ่งอาจทำให้ถึงตายหา
ความสุขความเจริญไม่ได้จึงต้องทำพิธีการเรียกขวัญให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
การจัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อที่ใช้ในพิธี ได้แก่ บายศรีนมแมวชั้นเดียวแบบพื้นเมืองซึ่ง
นิยมทำในขันและมีพานรองอีกชั้นหนึ่ง ภายในขันบายศรีนมแมวนั้น จะประกอบไปด้วย
ข้าวเหนียวปั้น ๑ กำมือ ไข่ต้ม ๑ ฟอง ไก่ต้ม ๑ ตัว กล้วยสุก ๑ ลูก อ้อยหั่น ๑ ท่อน
ข้าวต้มมัด ขนม ปลาปิ้ง เนื้อปิ้ง อาหารการกินที่ผู้เจ็บป่วยชอบรับประทาน รวมไปถึง
ดอกไม้ ธูป เทียน ข้าวตอก สุรา น้ำสะอาด ด้ายผูกมือใส่ไว้ในขันบายศรีนมแมวและขัน
ตั้งครูของผู้ประกอบพิธีอีก ๑ ขัน ซึ่งภายในขันจะมีเครื่องบูชาครู ประกอบด้วย ใบพลู
๓๐ ใบ หมาก ๑ หัว ข้าวสาร ๑ ถ้วย ธูป ๘ ดอก ดอกไม้ ผ้าขาว ผ้าแดงผืนขนาดเท่า
ฝ่ามือวางบนถ้วยข้าวและมีเงินค่าครูจำนวน ๓๖ บาท
๖๐
พิธีกรรมฮ้องขวัญหรือสู่ขวัญ ทางญาติผู้ป่วยจะไปติดต่อผู้ทำพิธี กล่าวคืออาจารย์
ซึ่งผ่านการบวชมาแล้ว อาจารย์จะมาทำพิธีให้ที่บ้านผู้ป่วยหรือผู้ที่ขวัญหาย โดยเริ่มต้น
จากอาจารย์ยกขันครูแล้ว กล่าวคำฮ้องขวัญ ด้วยคำเรียกขวัญพูดเป็นทำนองข้อความเพื่อ
เชื้อเชิญโน้มน้าวให้ขวัญที่ตกหายในที่ต่างๆ กลับคืนมาเข้าคืนสู่ร่างกายคนป่วย ซึ่งจะทราบ
ได้ว่าขวัญมาแล้วหรือไม่นั้น พ่ออาจารย์จะหยิบข้าวสาร จากภาชนะที่ใส่เตรียมให้ไว้มา
๑ หยิบมือ นำมานับเป็นคู่ๆ ถ้าข้าวสารเหลือเศษแสดงว่าขวัญยังไม่มา ต้องหยิบจนกว่าจะ
ได้จำนวนคู่ บางหมู่บ้านจะหยิบข้าวรวมแล้วไม่เกิน ๓ ครั้ง ซึ่งบางครั้งหยิบไม่ได้ต้องไปทำ
พิธีในวันใหม่ เมื่อทราบได้ว่าขวัญกลับคืนเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะวางใบตองลงบนฝ่ามือผู้ป่วย
ที่ยื่นมือออก อาจารย์ผู้ประกอบพิธีนำข้าวปลาอาหารกล้วยที่เตรียมไว้ในขันบายศรีทำเป็น
คำเล็กๆ วางลงบนใบตองถือเป็นการป้อนให้ขวัญกิน เมื่อเสร็จแล้วยกใบตองรองอาหารไป
วางไว้ที่ข้างเตาไฟเป็นการนำไปฝากหม้อนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าผีย่าหม้อนึ่งเป็นผีประจำหม้อนึ่งให้
ช่วยดูแลอาหารของขวัญหลังจากนั้น อาจารย์ใช้ด้ายสายสิญจน์จากขันบายศรีมาผูกข้อมือ
ของผู้เอาขวัญ โดยผูกที่แขนซ้ายก่อนแล้วพูดว่า “มัดแขนซ้ายขวัญมา” แล้วผูกที่แขนขวา
แล้วพูดว่า “มัดแขนขวาขวัญอยู่” เป็นอันเสร็จพิธี
ภาพแสดงการฮ้องขวัญและการผูกข้อมือด้วยสายสิญจน์
๖๑
พิธีกรรมสืบจ๊ะต๋า
๖๒
พิธีกรรมสืบจ๊ะต๋า (สืบชะตา)
ภาพแสดงกระโจมไม้ง่ามในการประกอบพิธีสืบชะตา
การสืบชะตา สืบชาตาหรือการต่ออายุ อันหมายถึง สืบชะตากำเนิดให้ยืดยาวต่อออกไป
หมายถึง ต้องการให้เป็นมงคลมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายปราศจากโรคภัยทั้งหลาย ทำให้เกิด
ความเจริญรุ่งเรืองกันสืบไป การสืบชะตาคนภาคเหนือทั่วไป เชื่อว่าแต่ละคนต่างมีชะตาชีวิต
ของตนเองบางช่วงอายุชะตาดี บางช่วงชะตาร้ายซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาของชาวบ้านจึงได้
มีพิธีการสืบชะตาขึ้น ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อให้เกิดสิริมงคลทั้งการสืบชะตาคนการสืบชะตาบ้านและ
การสืบชะตาเมือง การสืบชะตาคน เป็นพิธีกรรมที่ชาวบ้านนิยมกันทำมากพิธีหนึ่ง มักจัดทำ
เมื่อมีหมอดูทายทักว่าจะเคราะห์ร้ายหรือเกิดเจ็บป่วย นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าเป็นพิธีที่มงคลที่
ทำให้มีอายุยืนยาวทำให้มีความสุขจึงนิยมทำพิธีเนื่องในวันเกิดเป็นต้น
ความเชื่อถือการสืบชะตานี้เป็นตำนานปรากฏในคัมภีร์ชะตากล่าวว่า"พระสารีบุตรเถระ"
ซึ่งเป็นอัครสาวกของพุทธเจ้า มีสามเณรองค์หนึ่งชื่อ “ติสสะ” อายุ ๗ ปี มาบวชเพื่อศึกษา
เล่าเรียนกับท่านเป็นระยะเวลาหนึ่ง มีวันหนึ่งพระสารีบุตรสังเกตเห็นว่าจะมีอายุได้อีก ๗ วัน
เท่านั้นจะถึงแก่มรณภาพพระสารีบุตรจึงเรียกสามเณรมาบอกความจริงให้ทราบว่า
๖๓
ตามตำราหมอดู และตำราลักษณะ เธอจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน ดังนั้นให้เธอกลับ
ไปล่ำลาโยมพ่อโยมแม่ และญาติเสียสามเณรมีความเศร้าโสกเสียใจมาก ร้องไห้ร่ำไรน่าสงสาร
นมัสการอาจารย์แล้วเดินทางกลับบ้าน ด้วยดวงหน้าอันหม่นหมอง ระยะทางที่สามเณรผ่าน
ไปนั้น ได้พบปลาน้อยในสระน้ำซึ่งกำลังแห้งเขิน เมื่อสามเณรไปถึงปลากำลังดิ้นทุรนทุราย
เพราะน้ำแห้งไม่เพียงพอ สามเณรจึงรำพันว่า “เรานี้จะตายภายใน ๗ วัน ปลานี้หากไม่มีน้ำ
จะตายในวันนี้แล้ว อย่ากระนั้นเลยถึงเราจะตายก็ควรโปรดสัตว์ หรือปลาเหล่านี้ ให้พ้นจาก
ความตายเถิด” สามเณรจึงช้อนปลาใหญ่น้อยทั้งหมดไว้ในภาชนะ คือ บาตรของตนนำไป
ปล่อยที่แม่น้ำใหญ่ ระหว่างทางพบอีเก้งถูกแร้วของนายพราน สามเณรก็ปล่อยเก้งอีกเมื่อเดิน
ทางไปถึงบ้านบอกเรื่องที่ตนจะตายแก่ญาติบิดามารดา เป็นต้น ต่างก็ร่ำไห้สงสารเณรยิ่งนัก
ทุกคนต่างรอเวลาที่เณรจะมรณภาพด้วยดวงใจที่แสนเศร้า โดยกำหนด หนึ่งวันสองวันตาม
ลำดับจนล่วงกำหนดไป ๗ วัน สามเณรก็ยังไม่ตาย กลับมีผิวพรรณผ่องใสยิ่งขึ้นญาติจึงบอก
ให้กลับไปหาพระมหาสารีบุตร เถระสามเณรเดินทางไปถึงพระสารีบุตีพบว่ามีความประหลาด
ใจถึงกับเผาตำราทั้งสามเณรติสสะจึงกราบทูลให้ทราบ เกี่ยวกับ เรื่องการนำปลาไปปล่อยน้ำ
และปล่อยอีเก้งจากแร้วของนายพราน เป็นการกระทำเพื่อยืดสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นบุญ
กรรมซึ่งเป็นพลังให้พ้นจากความตาย ด้วยตำนานนี้เองทำให้ชาวบ้านภาคเหนือจึงนิยมชอบ
การสืบชะตามาจนทุกวันนี้
ผู้ทำพิธีนี้ต้องจัดเตรียมสะโตง (สะตวง) กล่าวคือ กาบกล้วยทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
สิ่งที่ต้องจัดเตรียมใส่ในสะโตง ได้แก่ ใบเดื่อ ใบหนุน ใบแก้ว ใบเงิน ใบทอง กล้วย อ้อย
หมาก พลู เหมี้ยง บุหรี่ ขนม ข้าวต้ม ดอกไม้ ธูป เทียน ข้าวเปลือกจำนวนเท่าอายุผู้สืบชะตา
และยังมีอุปกรณ์ที่จะใช้ในพิธี ได้แก่ กระบอกทราย กระบอกน้ำ กระบอกข้าวเปลือก ก๋งเงิน
ก๋งคำ ก๋งหมาก ก๋งเบี้ย กล้วย ๑ เครือ มะพร้าวอ่อน กล้ามะพร้าว กล้าหมาก กล้าอ้อย เสื่อ
หน่อกล้วย ตะไคร้ ข่า หมอน เบี้ย เทียนชะตา ๓ เล่ม เทียนน้ำมนต์ ๑ เล่ม ไม้ง่ามค้ำศรี
ขนาดเล็กจำนวนเท่าอายุผู้สืบชะตา จัดแบ่งออกเป็น ๓ มัด นำไม้ง่ามขนาดเขื่องสูงประมาณ
เมตรครึ่ง ๓ อันเป็นหลัก แล้วนำไม้ง่ามเล็กๆ ที่แบ่งไว้ ๓ มัด มาผูกติดตรงโคนไม้แล้วนำไม้
ง่ามยาวทั้ง ๓ อัน มาวางพิงกันเป็นกระโจมครอบเครื่องเซ่น บัตรพลี ซึ่งบรรจุในสะโตง
๖๔
นอกจากนี้ ยังมีต้นช่อธงขาวซึ่งใช้กระดาษตัดเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆนำมาผูกติดกับ
ด้ายสายสิญจน์ความยาว ๑ วา ของผู้สืบชะตาด้ายสายสิญจน์เวียนหัว และรอบอกแต่ละ
เส้นมีจำนวนเท่ากับอายุของผู้สืบชะตา นำเทียนสืบชะตาผูกติดก้านกล้วยและมัดก้านกล้วย
ติดกับไม้ง่ามค้ำศรีอันใดอันหนึ่ง
ภาพแสดงบรรยากาศการสืบชะตาหมู่
การประกอบพิธีเริ่มต้นโดยการนิมนต์พระสงฆ์ ๑ รูป มาเป็นผู้ประกอบพิธีแต่ถ้าจัด
พิธีใหญ่นิยมนิมนต์พระสงฆ์ ๕ หรือ ๙ รูป ส่วนมากจะนิยม ๕ รูป มาประกอบพิธีโดยผู้เข้า
พิธีนั่งในกระโจมไม้ง่ามค้ำศรีมีด้ายสายสิญจน์ที่ผูกโยงจากไม้ง่ามค้ำศรีพาดมือที่ประนมของ
ผู้เข้าพิธีแล้ว โยงต่อไปยังพระภิกษุไปสิ้นสุดที่บาตรน้ำพระพุทธมนต์พระสงฆ์สวดพระปริตร
และเจริญพระพุทธมนต์เป็นเสร็จพิธี ในระหว่างที่พระสวดคาถา บรรดาญาติของผู้ทำพิธีจะ
นำด้ายสายสิญจน์ความยาว ๑ วาของผู้สืบชะตาและด้ายสายสิญจน์สำหรับเวียนหัว รวมถึง
ด้ายรอบอกจุดไฟเผาถือเป็นการปัดเป่าเคราะห์ สถานที่ประกอบพิธีนี้ทำที่บ้านนิยมทำตอน
เช้าก่อนเพล ผู้ที่มาร่วมงานส่วนใหญ่เป็นญาติมิตรผู้ที่สนิทสนมกัน
๖๕
พิธีนี้เป็นการทำบุญที่จะทำให้เกิดสิริมงคล กับผู้จัดโดยญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่สนิท
สนมจะมาช่วยงานเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ในหมู่ญาติมิตรก่อให้เกิดความรัก
ความสามัคคีกัน
ภาพแสดงกระโจมไม้ง่ามการสืบชะตาหมู่
๖๖
พิธีกรรม
ส่งเคราะห์ส่วนตัว
๖๗
พิธีกรรมส่งเคราะห์ส่วนตัว
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตมีทั้งเหตุการณ์ที่ดีเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ผู้คนพอใจชาวบ้าน
นิยมเรียกว่า“ มีโชค” ส่วนเหตุการณ์ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทั้งทาง
ด้านร่างกายและจิตใจจะเรียกว่า “มีเคราะห์” ซึ่งไม่มีใครปรารถนาที่จะมีเคราะห์หรือเมื่อ
เกิดมีขึ้นแล้ว ก็ต้องการให้มันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ชาวแพร่ซึ่งรวมทั้งชาวอำเภอสองมี
ความเชื่อในอิทธิพลของดาวนพเคราะห์ที่มีต่อชีวิต ความเป็นอยู่ของมนุษย์ จึงจัดทำพิธีที่
เรียกว่า “พิธีกรรมส่งเคราะห์” การส่งเคราะห์เป็นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่งของ
ชาวไทยภาคเหนือ เป็นพิธีที่จัดทำขึ้นเพื่อ เซ่นสรวงสังเวยสะเดาะเคราะห์ร้ายที่เกิดขึ้นให้
ผ่อนเบาลงและทำให้รอดพ้นจากภยันตรายต่างๆ พิธีการส่งเคราะห์จะทำกันในหลายกรณี
ตามความเชื่อของแต่ละบุคคลซึ่งสรุปได้ ดังนี้
๑. ส่งเคราะห์ ก่อนการเดินทางจากบ้านเรือนไปยังที่ห่างไกล และต้องไปอาศัยอยู่
เป็นเวลานาน เช่น การเดินทางไปศึกษาต่อ การไปค้าขายยังต่างจังหวัด ดังนั้นการส่ง
เคราะห์ก่อนการเดินทาง ถือว่าเป็นการป้องกันปัดเป่าเคราะห์ร้าย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นซึ่ง
เป็นการป้องกันล่วงหน้า
๒. ส่งเคราะห์เมื่อถูกทำนายทายทักว่า เคราะห์ร้าย และมีการแนะนำว่าให้ทำพิธี
ส่งเคราะห์ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนแล้ว จึงไปหาหมอดูให้ทำนายทายทัก
เช่น เจ็บไข้ได้ป่วยเรื้อรัง หรือโชคไม่ดีจึงจะไปถามหมอดูถามผี เป็นต้น
การส่งเคราะห์เฉพาะตัว หรือส่งเคราะห์ส่วนตัว เป็นพิธีส่งเคราะห์ที่จัดขึ้นเฉพาะ
บุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น โดยผู้ส่งเคราะห์ให้อาจารย์วัดตรวจดูดวงชะตาของตนเองเพื่อ
ดูว่าปีนี้จะมีเคราะห์หรือไม่ดวงชะตาจะตรงกับเลขใด ถ้ามีเคราะห์จะได้ทําพิธีส่งเคราะห์
ผู้ส่งเคราะห์ต้องจัดเตรียมสะโตงทำด้วยกาบกล้วยขนาดเล็กประมาณ ๖-๗ นิ้ว ใส่สิ่งของ
ในสะโตงจะแตกต่างกัน ดังนี้
๖๘
ภาพแสดงสะโตงที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมส่งเคราะห์ส่วนตัว
ผู้ที่ดวงชะตาตรงหมายเลข ๑ สิ่งของที่ใส่ในสะโตง ได้แก่ ปั้นไก่ ๑ ตัว แกงส้ม เบี้ย
แกงหวาน หมาก พลู กล้วย อ้อยบุหรี่ เงิน ทอง ดอกไม้ เทียน ๑ คู่
ผู้ที่ดวงชะตาตรงหมายเลข ๒ สิ่งของที่ใส่ในสะโตง ได้แก่ ปั้นนกยูง ๑ ตัว ข้าว ๑ ก้อน
เบี้ย ๑ ร้อย เงิน ทอง ดอกไม้ ธูป หมาก พลู กล้วย อ้อย ขนม เทียน ๑ คู่
ผู้ที่ดวงชะตาตรงหมายเลข ๓ สิ่งของที่ใส่ในสะโตง ได้แก่ ปั้นหนู ๑ ตัว ข้าว ๑ ก้อน
แกงส้ม แกงหวาน หมากพลู เงิน ทอง ข้าวต้มมัด กล้วยอ้อย ดอกไม้ เทียน ๑ คู่
ผู้ที่ดวงชะตาตรงหมายเลข ๔ สิ่งของที่ใส่ในสะโตง ได้แก่ ปั้นคน ๖ คน หัน ผู้ที่ดวง
ชะตาตรงเลข ๔ หน้าเข้าหากัน ใส่แกงส้ม แกงหวาน หมาก พลู กล้วย อ้อย ข้าวต้มมัด
ขนม เหมี้ยง ดอกไม้ เทียน ๑ คู่
ผู้ที่ดวงชะตาตรงหมายเลข ๕ สิ่งของที่ใส่ในสะโตง ได้แก่ รูปคน ๑ คน ข้าว ๑ ก้อน
แกงส้ม แกงหวานกล้วย อ้อย เงิน ทอง ดอกไม้ เทียน ๑ คู่
๖๙
ผู้ที่ดวงชะตาตรงเลข ๖ สิ่งของที่ใส่ในสะโตง ได้แก่ ปั้นนาค ๒ ตัว แกงส้ม แกงหวาน
หมาก พลู กล้วยอ้อย เหมี้ยง ข้าว ๒ ก้อน น้ำ บุหรี่ เงิน ทอง ดอกไม้ เทียน ๑ คู่
ผู้ที่ดวงชะตาตรงเลข ๗ สิ่งของที่ใส่ในสะโตง ได้แก่ ร่มกระดาษ ข้าว ๑ ก้อน แกงส้ม
แกงหวาน หมาก พลูเหมี้ยง ดอกไม้ กล้วย อ้อย ข้าวต้มมัด ขนม เทียน ๑ คู่
ก่อนทำพิธีการส่งเคราะห์ ต้องตั้งขันยกครูแก่อาจารย์ ผู้ประกอบพิธี โดยในวันนี้
ประกอบด้วยหมาก ๑ หัวพลู ๑ กำ (๓๐ ใบ) ดอกไม้ ธูป เทียน ถ้วยใส่ข้าวสาร ผ้าขาว
ผ้าแดงและเงินค่ายกครู ๓๖ บาท โดยผ้าขาวผ้าแดงและเงินวางไว้บนถ้วยข้าวสาร
นอกจากนี้ ยังต้องจัดเตรียมน้ำส้มป่อยใส่ขันไว้ พร้อมกับมัดใบหนาด ใบหนามพุทราหรือ
ใบมะยม สำหรับประพรมน้ำมนต์ หลังจากเสร็จพิธี ขันตั้งขันยกครูแก่อาจารย์ผู้ประกอบ
พิธี การทำพิธีเริ่มต้นจากการนำสะโตงมาวางไว้หน้าผู้ที่จะส่งเคราะห์ ซึ่งอาจารย์ที่ทำพิธี
จะนั่งอยู่ข้างหลังผู้ที่ส่งเคราะห์ โดยผู้ประกอบพิธีจะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ถือว่าให้
เคราะห์ตกไป ผู้ประกอบพิธีหรือเรียกว่า “พ่ออาจารย์” นั่งประนมมือท่องคำสวดคาถา
ส่งเคราะห์ ผู้ส่งเคราะห์ ประนมมือหลังจากสวดส่งเคราะห์เสร็จแล้วอาจารย์จะประพรม
น้ำส้มป่อย เพื่อเป็นการไล่เคราะห์เสนียดจัญไรสิ่งต่างๆออกจากร่างกาย จากนั้นอาจารย์
หรือเจ้าของบ้านนำสะโตงไปวางทิ้งไว้ทางทิศตะวันตกของบ้านเป็นเสร็จพิธี
ภาพแสดงการทำพิธีกรรมส่งเคราะห์ส่วนตัว
๗๐
พิธีกรรม
ส่งเคราะห์บ้าน
๗๑
พิธีกรรมส่งเคราะห์บ้าน
การส่งเคราะห์บ้าน การส่งเคราะห์เป็นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่งของ
อำเภอสอง เป็นพิธีที่จัดขึ้นเป็นการเซ่นสรวงสังเวย สะเดาะเคราะห์ร้ายที่เกิดขึ้นให้
ผ่อนเบาลง และทำให้รอดพ้นจากภยันตรายต่างๆ พิธีการส่งเคราะห์บ้านจะทำกัน
เมื่อฝันร้าย เช่นฝันว่าไฟไหม้บ้าน จัดงานบวชในบ้านฟันหัก หรือเกิดมีลางร้ายที่เป็น
ความเชื่อของชาวบ้าน เช่น ซึ่งข้าวแล้วข้าวเป็นสีแดงคล้ายสีเลือดเป็นต้นเมื่อจะทำ
พิธีการส่งเคราะห์ เจ้าของบ้านที่จะทำพิธีส่งเคราะห์ จะต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ
ได้แก่ สะโตงทำด้วยกาบกล้วยสำหรับใส่สิ่งของ ได้แก่ หมาก พลู ข้าวสาร ข้าวสุก
กล้วย อ้อย เมี่ยง บุหรี่ ปลาร้า สิ่งของต่างๆ เหล่านี้ต้องจัดเตรียมออกเป็นชิ้นเล็กๆ
แล้วปักจ้อขาว ซึ่งจัดทำเป็นธงสามเหลี่ยมเล็กจำนวน ๔ อันปักมุมสะโตง ๔ มุม
ภาพแสดงสะโตงที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมส่งเคราะห์บ้าน
๗๒
ก่อนการทำพิธีส่งเคราะห์ ต้องตั้งขันยกครูแก่อาจารย์ผู้ประกอบพิธีโดยในขันยกครู
ประกอบด้วย หมาก พลู ดอกไม้ ธูป เทียน ถ้วยใส่ข้าวสาร ผ้าขาว ผ้าแดง และเงินค่ายกครู
๓๖ บาท โดย ผ้าขาว ผ้าแดง และเงินวางไว้บนถ้วยข้าวสาร นอกจากนี้ ยังต้องจัดเตรียมน้ำ
ส้มป่อยใส่ขันไว้พร้อมกับมัดใบหนาดหนามพุทรา สำหรับประพรมน้ำมนต์หลังเสร็จพิธีการ
ทำพิธีส่งเคราะห์ ทำกันบริเวณที่โล่งบนบ้าน หรือที่ชาวบ้านรียกว่า “เป็น” แต่ในปัจจุบัน
บ้านสมัยใหม่ไม่มี เป็นที่จัดทำบริเวณที่โล่งในบ้าน ที่มีความเหมาะสม พิธีนี้เริ่มโดยการนำ
เสื้อผ้าของคนในบ้านทุกคนมาคนละ ๑ ผืน พับและวางซ้อนกันไว้นำสะโตงที่จัดเตรียมข้าว
ของเรียบร้อยแล้ว วางทับสะโตงจะอยู่หน้าผู้ส่งเคราะห์ และผู้ประกอบพิธีนั่งอยู่ด้านหลังสุด
โดยผู้ส่งเคราะห์จะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ถือว่าให้เคราะห์ตกไปผู้ประกอบพิธีนั่งประนม
มือทองคำสวด
ภาพแสดงซุ่มที่ใช้ประกอบพิธีภายในตัวบ้าน
๗๓
ส่งเคราะห์ผู้ส่งเคราะห์ประนมมือฟังคำสวดซึ่งใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาที ในการนั่งส่ง
เคราะห์นี้ไม่มีข้อกำหนดว่าสมาชิกในบ้านต้องมานั่งทุกคน แต่ถือว่าเสื้อผ้าที่วางอยู่ใต้สะโตง
เป็นตัวแทนของแต่ละคนอยู่แล้ว คนที่มานั่งจึงอาจเป็นคนที่ว่างจากการงานอื่นหลังจากสวด
ส่งเคราะห์เสร็จแล้ว อาจารย์จะประพรมน้ำส้มป่อยเพื่อไล่เคราะห์เสนียดจัญไรต่างๆ ได้ออก
บริเวณบ้านจากนั้น อาจารย์ หรือเจ้าของบ้านนำสะโตงไปวางทิ้งไว้ทางทิศตะวันตกของบ้าน
เป็นเสร็จพิธีการส่งเคราะห์ เป็นพิธีกรรมที่ปฏิบัติสืบต่อเนื่องกันมา จนถึงปัจจุบันเป็นพิธีที่
ช่วยให้ผู้คนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ทั้งนี้ เนื่องจาก เมื่อมีผู้ทายทักหรือมีลางมาบอกเหตุว่า
จะได้รับเคราะห์ร้าย การทำพิธีนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยย้ำเตือน ให้เกิดความระมัดระวังตัวให้มาก
ขึ้นในขณะเดียวกัน เมื่อได้จัดทำพิธีแล้วจะก่อให้เกิดคลายความวิตกกังวล ในสิ่งที่ต้องเผชิญ
หรือเกิดขึ้นในอนาคต และถ้าเป็นกรณีที่ได้รับเคราะห์มาแล้ว การทำพิธีนี้จะช่วยเรียกขวัญ
กำลังใจให้เกิดความสบายใจมีสุขภาพจิตดีขึ้น
พิธีส่งเคราะห์บ้าน เป็นพิธีทำบุญเสาใจบ้าน ใจบ้าน คือบริเวณที่ตั้งของเสาใจบ้านหรือ
สะดือบ้าน ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน จะมีหลักไม้จำนวน ๕ ต้น บางแห่งมีหอพ่อบ้านหรือต้นไม้
ใหญ่เป็นสัญลักษณ์ เสาใจบ้านเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของหมู่บ้าน ที่สิงสถิตของเหล่าเทพ
ยาดาอารักษ์
ประเพณีปีใหม่เมือง พิธีการจะประกอบด้วย การจัดทำรั้วราชวัตร ประดับด้วยต้นกล้วย
ต้นอ้อยและอื่นๆอย่างสวยงามแล้วเตรียมอาสน์สงฆ์ไว้ด้วย จากนั้นให้โยงฝ้ายล้วง หรือด้าย
สายสิญจน์ จากเสาใจบ้านต่อๆ กันทุกหลังคาเรือน และจะทำแตะไม้ไผ่สานขนาด ๙๐ คูณ
๙๐ เซนติเมตร จำนวน ๙ แผง แล้วใช้ดินเหนียว หรือแป้งข้าว ปั้นเป็นรูปสัตว์ เช่น ช้าง ม้า
หมู เป็ด ไก่ เป็นต้น อย่างละ ๑๐๐ ตัว วางบนแตะนั้น พร้อมทั้งใส่เครื่องบูชาต่างๆอัน
ประกอบด้วย ข้าว อาหารคาวหวาน ผลไม้ต่างๆ กล้วย อ้อย หมาก พลู เมี่ยง บุหรีี และให้
ใช้ไม้ทำหอกดาบแหลนหลาวหน้าไม้ปืนธนู วางบนแตะทั้ง ๙ นั้น
เพื่อจัดเตรียมการทำพิธีส่งเคราะห์บ้าน หรือพิธีส่งนพเคราะห์ทั้ง ๙ ซึ่งบางทัศนะคติของ
ชาวล้านนาได้ให้ความหมายว่า เป็นการส่งให้แก่ท้าวเวสสุวัณณ์ ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในหมู่ภูตผี
ปีศาจทั้งหลาย และเป็นท้าวโลกบาลผู้หนึ่งซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลรักษาโลกให้เป็นปรกติสุข
๗๔
หลังจากนั้นในช่วงเวลาประมาณ ๑๐:๐๐ น. ชาวบ้านก็จะเริ่มทยอยเข้ามาสู่บริเวณ
ปะรำพิธี ซึ่งตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน หรือใจบ้านในภาษาล้านนา เพื่อร่วมประกอบพิธีดังกล่าว
โดยพิธีจะเริ่มที่แต่ละครอบครัวนั้น จะนำเอาเสื้อผ้าของสมาชิกทุกคนภายในครอบครัวและ
ทรายกลางแม่น้ำ มารวมไว้ตรงกลางปะรำพิธี พร้อมกับนำข้าวปลาอาหาร ขนม นม เนยที่ได้
เตรียมมาจากบ้าน มาใส่ไว้ในแตะทั้ง ๙ แตะที่เตรียมไว้
อีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในพิธีส่งเคราะห์ และสืบชะตาบ้าน คือ แต่ละบ้านหรือแต่ละ
ครอบครัว จะโยงด้ายสายสิญจน์ไปรอบๆบ้าน แล้วเอาไปผูกเชื่อมต่อกับบ้านใกล้เรือนเคียง
โดยพิธีกรรมการส่งเคราะห์บ้าน จะเริ่มจากปู่อาจารย์ จะทำการกล่าวโอกาสส่งเคราะห์ใน
แต่ละทิศ โดยการนำแตะไม้ไผ่ที่ประกอบไปด้วยเครื่องพลีกรรมต่างๆ ไปวางไว้ในแต่ละทิศ
จนครบทั้ง ๘ ทิศ และอีกหนึ่งแตะจะนำมาวางไว้ที่กลางปะรำพิธี จากนั้นปู่อาจารย์ก็จะเริ่ม
พิธีการส่งเคราะห์ โดยการกล่าวโอกาสส่งเคราะห์บ้าน หลังจากนั้นปู่อาจารย์กล่าวโอกาสส่ง
เคราะห์จบ ชาวบ้าน ผู้ร่วมในพิธีจะนำน้ำขมิ้นส้มปล่อย มาพรมที่ศีรษะของตนเองพร้อมกับ
สะบัดลงไปที่แตะจนครบทั้ง ๙ แตะ ถือเป็นการส่งเคราะห์ของตนเอง
๗๕
พิธีกรรมตานเฮียน
๗๖
พิธีกรรมตานเฮียน (ทานเรือน)
สิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์ คือปัจจัย ๔ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่มที่
อยู่อาศัย และยารักษาโรค ซึ่งการมีชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวนั้น การมีที่อยู่อาศัยที่เรียก
ว่า “บ้าน” เป็นของตนเองถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งในชีวิต โดยเห็นได้ว่าแต่ละคน
ต่างมีความปรารถนาที่จะมี “บ้าน” หรือที่ชาวบ้านเรียก “เฮียน” เป็นของตนเองซึ่งเป็น
เรื่องปกติของคนทั่วไป ชาวบ้านนอกจากจะต้องการบ้าน ในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้แล้วยังมีความ
ต้องการบ้าน สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของดวงวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว โดยที่เชื่อว่าคนที่
ตายไปแล้ว วิญญาณที่ออกจากร่างจะต้องได้รับความยากลำบาก ต้องอยู่อย่างเร่ร่อนไม่มี
หลักแหล่ง ในฐานะที่เป็นลูกหลานของผู้ตายซึ่งไม่ต้องการให้เร่ร่อน
“ตานเฮียน” ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมือง หมายถึง การอุทิศบ้านเรือน ให้คนที่ตายไป
แล้ววิญญาณของบรรพบุรุษต้องรับทุกข์เร่ร่อน จึงทำให้เกิดประเพณีดังกล่าวขึ้นนิยมปฏิบัติ
กันมานานแล้วตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยในอดีตนั้น เมื่อมีคนตาย และจัดทำพิธีศพแล้ว
บุตรหลานญาติพี่น้องของผู้ตายที่ยังมีชีวิตอยู่จะ “ตานเฮียน” อุทิศไปให้โดยปัจจุบันนิยม
ทำพิธีพร้อมงานศพ แต่ในอดีตอาจทำหลังจากทำศพแล้วภายใน ๑ ปี หลังการตายโดยเชื่อ
ว่าวิญญาณของคนตายต้องใช้ไปหาสถานที่ตั้งบ้านเรือนก่อน เมื่อได้รับเรือนที่อุทิศให้นี้แล้ว
จึงนำไปปลูกไว้ยังที่ดังกล่าว “เฮียนผีต๋าย” เป็นบ้านที่สร้างอุทิศให้ “ผีตาย” ซึ่งหมายถึง
วิญญาณของคนตายแล้วนั้น เป็นเรือนหลังเล็กๆ ขนาดที่ผู้ชาย ๔-๕ คน สามารถช่วยกัน
ยกไปถวายที่วัดได้ อุปกรณ์ที่ใช้ในการสร้างเรือนนี้ จะบ่งบอกฐานะเศรษฐกิจของผู้ตายซึ่ง
รูปแบบของบ้าน คล้ายบ้านที่ชาวบ้านอาศัยอยู่โดยทั่วไป แต่ภายในเรือน ไม่มีการจัดแบ่ง
เป็นห้องผู้ที่สร้างเรือนนี้ส่วนใหญ่ จะเป็นญาติพี่น้องตลอดจนเพื่อนบ้านของผู้ตายจะมาช่วย
กันสร้างวัสดุในการสร้างบ้านใช้ไม้จริง เช่น ไม้สัก ไม้แดง ปัจจุบันการสร้างบ้านเรือนให้ผี
ตายนี้ก็มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงวัสดุที่ใช้ในการสร้างโดยมักที่จะสร้างบ้านด้วยไม้อัดหลังคา
มุงด้วยสังกะสีรูปแบบของบ้าน อาจเป็นเรือนสองชั้นหรือชั้นเดียวตามแบบบ้านที่มี ปัจจุบัน
ส่วนใหญ่พื้นที่ในบ้าน ยังคงไม่จัดแบ่งเป็นห้อง เนื่องจาก จะใช้เป็นที่วางข้าวของ
๗๗
เครื่องใช้ที่จำเป็นในบ้าน เช่น หม้อนึ่ง ไหข้าว หม้อข้าวหม่า ถ้วย จาน ไม้กวาด ผ้าขนหนู
ผ้าเช็ดเท้า และเครื่องใช้อำนวยความสะดวกต่าง ๆ แตกต่างกันไปตามฐานะเศรษฐกิจของ
ครอบครัวผู้ตาย เป็นต้น
ภาพแสดงเฮือนและข้าวของเครื่องใช้ที่ทานให้กับผู้ที่เสียชีวิต
ในการ “ตานเฮียนหอผีต๋าย” นอกจากการจัดสร้างเรือนแล้ว ญาติของผู้ตายต้องจัด
เตรียมข้าวของเครื่องใช้ในบ้านที่จำเป็นกับการดำรงชีวิต เช่น เครื่องนอน เครื่องใช้ในครัว
เสื้อผ้า เป็นต้น โดยเมื่อจัดเตรียมสิ่งของเสร็จเรียบร้อยแล้วญาติพี่น้องจะนิมนต์พระสงฆ์มา
ทำพิธีตานเฮียนในตอนเช้าของวันที่จะเผาศพ เป็นการอุทิศเรือนและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ
ส่งไปให้แก่วิญญาณผู้ตาย ได้อยู่อาศัย และใช้ดำรงชีพในเมืองผี โดยเรือนหนึ่งหลังต่อผู้ตาย
๑ คน เมื่ออุทิศเรือนแล้วเรือนนี้จะตั้งอยู่ในวัดประมาณ ๓-๗ วัน หลังจากนั้นถ้าพระสงฆ์
ต้องการไม้จากเรือนไว้ใช้สอยก็จะรื้อและเก็บไว้ แต่ถ้าไม่ต้องการนำเรือนนี้ไปทิ้งนอกวัด
การตานเฮียนหอผีตาย เป็นประเพณีที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อ เกี่ยวกับชีวิตหลัง
ความตายของชาวบ้าน ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูที่มีต่อบรรพบุรุษ ที่ต้องการให้
ดวงวิญญาณของผู้ตายมีที่อยู่อาศัยอยู่อย่างสุขสบาย ญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านได้ร่วมแรง
ร่วมใจกัน ในการทำงานเป็นการพึ่งพาอาศัยกัน และจากการทำประเพณีนี้ทำให้ ทางวัดมีไม้
๗๘
ตลอดจน กระเบื้อง สังกะสี ข้าวของเครื่องใช้ไว้ใช้สอยในวัด ขณะเดียวกันบุตรหลานผู้ตายก็
เกิดความสบายใจว่าวิญญาณของผู้ตายมีที่อยู่อาศัยไม่เป็นผีเร่ร่อน ซึ่งจากความเชื่อดังกล่าว
ทำให้ชาวบ้านยังคงรักษาประเพณีนี้มาได้จนถึงปัจจุบัน
ภาพแสดงตัวอย่างของเฮือนที่ใช้ทาน
๗๙
พิธีกรรม
เลี้ยงแม่ธรณี
๘๐
พิธีกรรมเลี้ยงแม่ธรณี
การเลี้ยงแม่ธรณี นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ เช่นการก่อสร้าง
บ้านเรือน การประกอบอาชีพส่วนใหญ่นั้น ต้องกระทำบนพื้นแผ่นดินความเชื่อเกี่ยวกับว่า
เทวดาที่มีหน้าที่คอยปกปักรักษาคุ้มครอง และสิงสถิตอยู่ในพื้นดิน คือ แม่พระธรณีหรือที่
ชาวภาคเหนือนิยมเรียกกันว่า “แม่ธรณี” ความเชื่อเกี่ยวกับแม่ธรณี เกี่ยวข้องกับวิถีการ
ดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่นั้นประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการ
เพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดิน ทำให้ได้ผลผลิตสูงส่งผลถึงการ
อยู่ดีกินดีของชาวบ้าน ซึ่งจะมีผลถึงสุขภาพอนามัยที่ดีติดตามมา ดังนั้น ชาวบ้านที่เคารพ
ศรัทธาในแม่ธรณี จึงเชื่อว่าเป็นความคุ้มครองปกปักรักษาของแม่ธรณี การวางแม่ธรณีและ
การเลี้ยงแม่ธรณีเป็นพิธีกรรมที่มีจุดมุ่งหมายสำคัญ คือ การขอความคุ้มครองช่วยเหลือให้
ครอบครัวอยู่สุขสบาย ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ขอให้ช่วยคุ้มครองดูแลบ้านเรือนให้ปลอดภัยจาก
โจรผู้ร้ายสัตว์ที่เลี้ยงไว้แข็งแรงโตเร็ว และช่วยคุ้มครองก่อนการเดินทางจากบ้านเรือนไปยัง
ที่ห่างไกลเพื่อช่วยให้หาสิ่งของที่หายให้ได้คืนให้ช่วยเหลือในเรื่องการสอบเข้าเรียนต่อ หรือ
การสมัครงานการวางแม่ธรณีและการเลี้ยงแม่ธรณีในแต่ละปีทำได้หลายครั้ง แล้วแต่ความ
จำเป็นของแต่ละครอบครัว โดยการวางแม่ธรณีนั้นเป็นการบอกกล่าวขอความคุ้มครอง
พิธีกรรม คือใช้หมาก ๑ คำ และใบพลู ๑ ใบ วางบนพื้นดินและตบดิน ๓ ครั้งเพื่อปลุก
แม่ธรณีและกล่าวขอความคุ้มครอง ซึ่งเมื่อได้รับความคุ้มครองแล้วจึงมีการเลี้ยงแม่ธรณี
สิ่งของที่ต้องจัดเตรียมในการเลี้ยงแม่ธรณี ได้แก่ ธูป ๒ ดอก ดอกไม้สีอะไรก็ได้ น้ำดื่ม
สะอาด ข้าวนึ่งผสมน้ำอ้อยหรือข้าวนึ่งผสมน้ำตาลทราย บุหรี่และเหมี้ยง จัดวางบนภาชนะ
เช่น ถาด หรือ “อ้อง” ซึ่งเป็นกระทงทำด้วยใบตอง ส่วนใหญ่จะเป็นชายนำเครื่องสักการะ
ที่จัดวางในภาชนะเรียบร้อย แล้วไปวางไว้บนพื้นดิน
๘๑
ภาพแสดงสิ่งของที่ใช้ประกอบพิธีกรรมเลี้ยงแม่ธรณี
* โอกาสที่ประกอบพิธีกรรม ดังนี้
เพื่อดำหัวช่วงสงกรานต์ และช่วงเข้าพรรษา ออกพรรษาจะนิยมจัดวางไว้บนพื้นดิน
โดยให้อยู่ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน
เพื่อบอกกล่าวในการตั้งคอกสัตว์ หรือเมื่อขายสัตว์ นิยมจัดวางเครื่องสักการะไว้ใกล้
ออกสัตว์
กรณีที่ของตกหายแล้วหาจนได้คืนในบริเวณใดจะเลี้ยงบริเวณนั้น
โดยจะทำพิธีจุดธูป ๑ ดอกตบดิน ๓ ครั้ง แล้ววางเครื่องสักการะและบอกกล่าวแก่
แม่ธรณี ให้มารับเครื่องสักการะในกรณีที่ของตกหายและทำตกบริเวณนี้ แต่หาเท่าใดไม่พบ
เชื่อว่าแม่ธรณีเอาไปซ่อน อยากกินกับลูกหลานหรืออยากได้เครื่องสักการะ จะมีการบนบาน
กับแม่ธรณี โดยจะขอให้หาของได้พบแล้วดึงยอดหญ้าที่ขึ้นบริเวณนั้นมามัดติดกันเชื่อว่าเป็น
การมัดแม่ธรณีไม่ให้หลบไปที่ใดได้ต้องบอกที่ซ่อนสิ่งของที่หาย หลังจากนั้น ๑-๒ วัน จึงมา
หาของที่ตกหายอีกครั้งถ้าพบก็จัดเลี้ยงแม่ธรณีในบริเวณนั้นและแก้มัดยอดหญ้า คือเป็นการ
ปลดปล่อยแม่ธรณี
๘๒
การวางและเลี้ยงแม่ธรณี เกิดจากความเชื่อว่าแม่ธรณีจะให้ความปกป้อง คุ้มครอง
รักษาบ้านเรือน ให้ปราศจากเภทภัยต่างๆ ทำให้คนในครองครัวมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่ได้
เจ็บไม่ได้ป่วย สัตว์เลี้ยงโตเร็วขายได้เงิน ทำให้พิธีกรรมการวาง และเลี้ยงแม่ธรณี ยังคงสืบทอด
มาจนถึงทุกวันนี้
๘๓
วัด
ตำ บ ล บ้ า น ห นุ น อำ เ ภ อ ส อ ง จั ง ห วั ด แ พ ร่
วัดบ้านหนุนเหนือ
วัดบ้านลองลือบุญ
วันบ้านหนุนใต้
ที่พักสงฆ์พระธาตุฮอยงู วันบ้านศรีมูลเรือง
วัดบ้านหนุนเหนือ วัดบ้านลองลือบุญ ที่พักสงฆ์
วันบ้านหนุนใต้ วันบ้านศรีมูลเรือง พระธาตุฮอยงู
ที่พักสงฆ์พระธาตุฮอยงู
ความเป็นมา
อดีตกาลนานมาแล้วประมาณ ปี ๒๔๖๖ มีชาวบ้านผู้หนึ่งซึ่งคนทั่วไปเรียกชื่อเขาว่า
นายหนานจักร กล้าหาญ เป็นผู้มีฐานะดี มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเหล่าใต้ท่านผู้นี้ได้แยกตัวออก
จากการเป็นศรัทธาวัดเสี้ยว (วัดเทพสุนทรินทร์ในปัจจุบันนี้) ได้มาจับจองพื้นที่และได้ปลูก
อารามย่อมๆ อยู่บนฝั่งทิศตะวันออกของแม่น้ำสองใกล้ๆกับบ้านปางมื่นและได้ตั้งชื่ออาราม
หลังย่อมที่แกสร้างขึ้นว่า วัดดอนชัย มีพื้นที่ประมาณ ๑๓ ไร่เศษ อาณาเขตวัดดอนชัย ทิศใต้
ติดกับลำห้วยสุขตาและมีบ้านของนายหมื่น ดาวสุข ซึ่งเป็นพรรคพวกเดียวกันมาสร้างบ้าน
ตั้งรากฐานอยู่คนละฟากห้วยกับวัดดอนชัย ประมาณ ๑๐ หลังคาเรือนเท่านั้นอีกไม่นานก็มี
นายแฉ่ง สุขจรัส อดีตปลัดอำเภอสอง ซึ่งเกษียณอายุราชการแล้ว มาตั้งบ้านเรือนอยู่เพิ่มอีก
๑ หลัง จากนั้น นายหนานจักร กล้าหาญ ก่อสร้างวัดดอนชัย ยังไม่ทันเสร็จเรียบร้อยดี พอที่
จะเป็นที่อยู่อาศัยพระภิกษุสามเณรได้ นายหนานจักร กล้าหาญ ก็ไปนิมนต์พระอินแปลง
เทพผสมมาจากวัดเสี้ยว (วัดเทพสุนทรินทร์) มาประเดิมเป็นเจ้าอาวาสวัดดอนชัย พระอิน
แปลง เทพผสม ทนอยู่วัดดอนชัย ได้ประมาณ ๒-๓ พรรษา ก็ได้ขอกลับวัดเดิม เนื่องจากทน
ความเงียบเหงาวังเวงไม่ไหว คงปล่อยให้วัดดอนชัยร้างอยู่ระยะหนึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้
๘๔
นายหนานจักร จึงไปขอร้องเอานายเสาร์ แก้วบาง ซึ่งอยู่บ้านลองเก่ามาอุปสมบท
และจำพรรษาอยู่ที่วัดดอนชัยได้ ๑ พรรษา หลังจากนั้น พระเสาร์ แก้วบาง ก็ลาสิกขาบท
ไปประกอบอาชีพส่วนตัวที่บ้านเดิม นายหนานจักรกล้าหาญ ไม่สะดวกจึงพยายามอุตสาห์ไป
นิมนต์ พระมูล หรือเรียกกันว่า ตุ๊ลุงเดช ซึ่งเป็นพระใบฎีกาของพระครูบาวิจัย จากวัดกลาง
มาเป็นเจ้าอาวาสอีกระยะหนึ่ง ในระยะนี้พระมูลพร้อมด้วยนายหนานจักร และศรัทธาชาว
บ้าน และสามเณร เท่าที่มีอยู่ในวัดได้ชักชวนกันก่อสร้างพระอุโบสถ์ขึ้นมาหนึ่งหลัง โดยใช้
ปูนซีเมนต์หล่อเป็นไส้กลางเส้นเดียว เพียงให้แต่เสาตั้งอยู่เท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๕
ราวๆ เดือน ๗ เหนือได้เกิดวาตภัยอย่างร้ายแรงครั้งใหญ่ ทำให้เสาพระอุโบสถ์ที่เหลือไว้หัก
โค่นล้มระเนระนาดพังทลายลงมาไม่เหลือแม้แต่ต้นเดียว เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นเช่นนี้ พระมูล
หรือตุ๊ลุงเดช ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสก็หมดกำลังใจไม่สามารถจะคิดแก้ไขและก่อสร้างอะไรขึ้นมา
ได้อีกจึงคิดกลับไปอยู่วัดกลางเหมือนเดิม และพอดีกับช่วงนั้นครูบาวิจัย เจ้าอาวาสวัดกลาง
ดั้งเดิมได้อาพาธกระเสาะกระแสะ ตุ๊ลุงเดชจึงหวนกลับไปอยู่วัดกลางเหมือนเดิม เพื่อไปดูแล
ปรนนิบัติครูบาวิจัยจนกระทั้ง ครูบาวิจัยได้ถึงแก่มรณภาพลง ตุ๊ลุงเดชก็ทำหน้าที่รักษาการ
แทนเจ้าอาวาส รักษาการแทนจนได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดกลางในเวลาต่อมาส่วน
พระภิกษุสามเณรที่เหลือประจำอยู่ที่วัดดอนชัยก็เหลือเพียงไม่กี่รูป
ในปี พ.ศ.๒๔๗๖ ได้เกิดอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่แม่น้ำสองไหลนองท่วมบ้านเรือนอย่าง
หนักพวกราษฎรบ้านน้ำหลง และบ้านเหล่าใต้บางส่วนได้พากันอพยพหนีน้ำ มาอยู่ฝั่งตะวัน
ออกแม่น้ำสองเพราะเป็นพื้นที่ราบสูง ผู้คนมาตั้งบ้านเรือนมากขึ้นโดยเฉพาะที่บ้านปางมื่น
ขุนนรสุขบริหาร หรือ นายสนิท เจตตนานนท์ นายอำเภอสอง สมัยนั้น เล็งเห็นว่าควรยกให้
เป็นหมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่งจึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้างปางมื่น หมู่ที่ ๑๓ ขึ้นอยู่กับตำบลบ้าน
กลางและทางราชการได้แต่งตั้ง นายตา ธรรมโม เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้านปางมื่น
ส่วนทางวัดดอนชัยนั้น นายหนานจักร และคณะศรัทธาได้ไปนิมนต์พระตา ชาวน่าน ซึ่งเป็น
พระภิกษุหนุ่มมารักษาการแทนเจ้าอาวาสแต่อยู่ได้ ๑ พรรษา พระตาก็ได้ลาสิขาบทไปอีก
ปล่อยให้วัดดอนชัยเป็นวัดร้างไปอีกระยะหนึ่ง แต่นายหนานจักรกับพวกก็ไม่ยอมหมดกำลัง
ใจ ได้พากันกันไปนิมนต์พระตุ้ย ผิวลออ จากวัดหนุนใต้ มาจำพรรษาที่วัดดอนชัย
๘๕
ได้ราวๆ ๓-๔ พรรษา หลังจากนั้น นายหนานจักรกับพวกศรัทธาในหมู่บ้านเดียวกันได้เกิด
ทะเลาะมีปากเสียงกันและแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย โดยนายหนานจักร ถือว่าวัดแห่งนี้แก
เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาเองไม่มีใครช่วยเหลือ แกควรทำอะไรตามใจแกเองบ้าง ฝ่ายศรัทธาอีกฝ่าย
หนึ่งไม่พอใจ แล้วพากันไม่ยอมไปร่วมทำบุญที่วัดดอนชัยร่วมกับนายหนานจักร แม้แต่คน
เดียวและแล้ววัดดอนชัยก็ได้เป็นวัดร้างตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาคงเหลือพระพุทธรูปไว้เพียงองค์
เดียว มีพงหญ้าและต้นไม้ใหญ่น้อยปกคลุมเต็มไปหมด เป็นสถานที่วังเวงน่ากลัวชาวบ้านเรียก
กันว่า “วัดห่าง” ส่วนชาวบ้านกลุ่มที่ออกจากศรัทธาวัดดอนชัยก็ร่วมกันปรึกษาหารือว่าจะทำ
อย่างไรดีในเมื่อเราไม่มีวัดและในที่สุดก็มี่ช่องทางโดยมีนายตา อุปกิจ เป็นผู้นำ พร้อมด้วยเจ้า
อาวาส ผู้เฒ่าผู้แก่เช่น พ่ออาจารย์หนานทะ ใจเฉื่อย พ่อใหญ่จ๋อย ใจเฉื่อย พ่อมูล ธรรมโม
และคณะศรัทธาอีกหลายคนพอกันไปหา พ่อจ่าศรีมูล แม่คำแปง คงชนะ (หมื่นกล้าผจญ)
เกษียณอายุราชการเมื่ออายุ ๕๕ ปี มีภูมิลำเนาอยู่บ้านน้ำหลง วัดเสี้ยว คณะที่พากันไปพบได้
บอกวัตถุประสงค์ที่มาพบครั้งนี้ว่า จะมาขอปูจาที่ดินของท่านทางทิศตะวันตก ถนนใหม่ซึ่ง
เป็นป่าละเมาะ ซึ่งมี่พื้นที่ประมาณ ๑๐ ไร่ เพื่อที่จะนำพื้นที่ไปสร้างวัดและโรงเรียนขึ้นมาใหม่
ไม่อยากไปทำบุญร่วมกับนายหนานจักร ที่วัดดอนชัย เพราะแกเป็นคนใจร้อน ชอบอ้างสิทธิ์
การเป็นเจ้าของวัดแต่เพียงผู้เดียว พ่อจ่ามูล แม่คำแปง ได้ปรึกษาหารือกันจึงได้พิจารณายก
ที่ดินในราคา ๑๐๐ บาท ราษฎรบ้านปางมื่นดีอกดีใจ พากันสาธุ แล้วร่วมกันแผ้วถางป่านำ
มาสร้างเป็นอารามและโรงเรียน โดยตั้งชื่อว่า วัดศรีมูลเรือง และโรงเรียนบ้านศรีมูลเรืองโดย
ต่อท้ายว่า วัลลภราษฎรรังสรรค์ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ ก็ได้ประกาศตั้งชื่อวัดศรีมูลเรือง โรงเรียน
บ้านศรีมูลเรือง และบ้านปางมื่นมาเป็นหมู่บ้านศรีมูลเรืองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันใน
ส่วนของวัดดอนชัยไม่มีใครไปทำบุญและขาดการทำนุบำรุง ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่ากลายเป็น
ป่าต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้นหนาทึบ ซึ่งต่อมาได้มีพระลูกวัดศรีมูลเรือง ชื่อพระบุญมาประสารเป็น
คหบดีที่หนีมาบวชจึงคิดแผ้วถางตัดต้นไม้ บริเวณวัดดอนชัยร้างหรือวัดห่างเพื่อใช้ประโยชน์
ในที่ดินในการทำไร่ ปลูกข้าวโพด พระบุญมาได้ขุดบ่อน้ำปลูกพืชผักสวนครัว เช่น กะหล่ำปลี
ถั่วฝักยาว และต้นดอกนางแหลง เป็นต้น พระบุญมาจึงปลูกกระต๊อบ เพื่อพักจำพรรษาที่นี่
ถึง ๒-๓ พรรษา ก็เลิกราไป คงทิ้งให้ต้นไม้และป่าหญ้าเป็นป่ารกเหมือนเดิมอยู่ต่อมาได้มี
๘๖
พระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งชื่อว่า พระมานพ ศรีโพธิ์ ได้มาจำพรรษาอยู่หน้าพระพุทธรูป วัดดอนชัย
เผอิญเป็นช่วงระยะที่พระมานพ ศรีโพธิ์ เกิดอาพาธจึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน ต่อหน้าพระพุทธรูป
วัดดอนชัยว่า ขอให้ตนหายจากอาการอาพาธครั้งนี้ด้วย ปรากฏว่าในคืนนั้นพระมานพได้นั่ง
ภาวนา และมีนิมิตว่าได้มีพญางูใหญ่หนีน้ำท่วมนองไหลน้ำกระเสือกกระสนขึ้นฝั่งมาที่วัดดอน
ชัยเลื้อยมาอยู่หน้าพระมานพแล้วพูดกับพระมานพว่าขอให้สร้างเจดีย์ในบริเวณวัดดอยชัยทาง
ด้านทิศใต้หลังพระพุทธรูป
ตื่นมาขึ้นมาพระมานพก็ได้เดินไปดูบริเวณจอมปลวกเตี้ยๆ พบว่ารอยงูเต็มบริเวณนั้น
ไปหมด พระมานพจึงน้ำดอกไม้ธูปเทียนมาสักการะและอธิฐานจิตว่า ถ้าเป็นพญางูที่เข้ามา
นิมิตเมื่อคืนนี้ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้หายจากการปวดหัวและหายจากการเจ็บปวดพระมานพได้เล่า
อาการที่เกิดขึ้นกับตนให้ญาติโยมที่เข้ามาตักรบาตร ฝั่งต่างๆก็ทึ่งจึงได้เกิดศรัทธาร่วมกันที่จะ
ก่อสร้างองค์พระธาตุที่วัดดอนชัยในปี พ.ศ.๒๕๒๔ โดยให้ชื่อว่า “พระธาตุฮอยงู” พระมานพ
ศรีโพธิ์ (ต่อมาได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูวิธานนพกิจ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุหนองจันทร์
เจ้าคณะตำบลสะเอียบ) ได้สร้างกุฏิพระ ๑ หลัง เพื่อเป็นที่พักพิงเวลาเดินทางมาธุดงค์และ
เวลาญาติโยมมาทำบุญที่วัดดอนชัยจะได้รับความสะดวกสบายยิ่งขึ้น เพราะใกล้กับหมู่บ้าน
หล่ายห้วย ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้สร้างวิหาร ๑ หลัง ขนาดกว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๒๐ เมตร
เพื่อทำพิธีให้ประชาชนได้มีสถานที่ปฏิบัติธรรมน้อมจิตใจให้เข้าใกล้พระพุทธศาสนายิ่งๆ ขึ้น
๘๗
อาณาเขตติดต่อ
ทิศเหนือ ติดกับแม่น้ำสองและร้านอาหารกุ๊กกิ๊ก
ทิศตะวันออก ติดกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลตำบลสอง และถนนสาธารณะ
บ้านหล่ายห้วย
ทิศใต้ ติดกับลำห้วยสุดตา และบ้านศรีมูลเรือง หมู่ที่ ๔
ทิศตะวันตก ติดกับถนนสาธารณะบ้านศรีมูลเรือง หมู่ที่ ๔
มีเสนาสนะที่สำคัญดังนี้
- วิหาร
- เจดีย์
- กฏิพระสงฆ์
- ศาลาการเปรียญ
๘๘
วัดบ้านศรีมูลเรือง
ความเป็นมา
วัดศรีมูลเรืองสังกัดสงฆ์คณะมหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ ๓๗๑ หมู่ที่ ๔ บ้านศรีมูลเรือง
ตำบลบ้านหนุน อำเภอสอง จังหวัดแพร่ นำสร้างโดยพระอธิการวัลลภ (ตุ้ย) ผิวละออ ฉายา
เขมงฺกโร ได้รับอนุญาตให้สร้างเมื่อ ปีพุทธศักราช ๒๔๘๐ โดยได้รับการบริจาคที่ดินผืนนี้
จากจ่าสิบตำรวจ ศรีมูล นางคำแปง คงชนะ เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ผู้บริจาคที่ดินดังกล่าว
จึงตั้งตามนามว่า “วัดศรีมูลเรือง” โดยมีพื้นที่ทั้งหมด ๓ ไร่ ๑ งาน ๕๕ วา (ตามหนังสือ
สำคัญ น. ส ๓ ก) มีที่ธรณีสงฆ์แปลงที่ ๑ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๙๓ วา (ตามหนังสือสำคัญ
น.ส๓ ก เลขที่ ๑๓) ที่ธรณีสงฆ์แปลงที่ ๒ เนื้อที่ ๗ ไร่ ๑ งาน ๖๐ วา (ตามหนังสือสำคัญ
น.ส๓ เลขที่ ๑๖๖๐) ที่ธรณีสงฆ์แปลงที่ ๓ เนื้อที่ ๑๒ ไร่ ๒ งาน ๗๐ วา (ตามหนังสือสำคัญ
น.ส ๓ เลขที่ ๑๙๕๙) ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช
๒๔๙๗
๘๙
อาณาเขตติดต่อ
ทิศเหนือ ติดกับโรงเรียนบ้านศรีมูลเรือง (วัลลภราษฎร์รังสรรค์)
ทิศใต้ ติดกับถนนสาธารณะบ้านศรีมูลเรือง
ทิศตะวันออก ติดกับถนนสาธารณะบ้านศรีมูลเรือง
ทิศตะวันตก ติดกับถนนทางหลวงวังซ้าย
มีเสนาสนะที่สำคัญดังนี้ - ศาลาหอฉัน
- อุโบสถ - ศาลาพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน
- วิหาร - ศาลาอเนกประสงค์
- สำนักงานเจ้าอาวาส - หอระฆัง
- กุฏิสงฆ์ - หอกลอง
- ศาลาการเปรียญ
- ศาลาตักบาตร
๙๐
รายนามเจ้าอาวาสวัดศรีมูลเรือง ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
ลำดับ ชื่ิอ ฉายา นามสกุล ปีดำรงตำแหน่ง
1 เจ้าอธิการวัลลภ เขมงฺกโร ผิวละออ พ.ศ. ๒๔๗๙ - ๒๕๑๐
ศรีโพธิ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ - ๒๕๑๕
2 เจ้าอธิการสนั่น จิตฺตสุโภ ศรีโพธิ์ พ.ศ. ๒๕๑๖ - ปัจจุบัน
3 พระครูสิริสารสุนทร จิตฺตสุโภ
๙๑
วัดบ้านลองลือบุญ
ความเป็นมา
วัดลองลือบุญสังกัดสงฆ์คณะมหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ ๓๗๒ หมู่ ๓ ตำบลบ้านหนุน
อำเภอสอง จังหวัดแพร่ สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๑ โดยคณะศรัทธาบ้าน
ลองลืิอบุญ จากการนำของพ่อหนานถา เชี่ยวชาญ ผู้ใหญ่บ้านคนแรก และเป็นผู้บริจาค
ที่ดินเพื่อสร้างวัด โดยมีเนื้อที่ ๙ ไร่ ๔๐ ตารางวา โดยมีพระอิ้ง เป็นเจ้าอาวาสในสมัยนั้น
หลังจากนั้นชาวบ้านได้อพยพย้ายหมู่บ้านขึ้นมาอยู่ยังบริเวณชลประทานในปัจจุบัน(ไซฟ่อน)
เพราะถูกแม่น้ำสองท่วม ในช่วงฤดูน้ำหลากตลิ่งพังจึงมีการสร้างวัดลองขึ้นมาใหม่ในสถานที่
ทำการชลประทานในปัจจุบัน และในปีพุทธศักราช ๒๔๘๒ ชาวบ้านก็ได้อพยพย้ายหมู่บ้าน
อีกครั้งคือย้ายมาอยู่อันเป็นที่ตั้งของ บ้านลองลืมบุญในปัจจุบันนี้ ได้ทำการสร้างวัดขึ้นอีก
ครั้งหนึ่งได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พุทธศักราช ๒๔๙๐ วัดลองลือบุญ โดยมีเนื้อที่
ทั้งหมด ๕ ไร่ ๒ งาน ๖๔ ตารางวา (น.ส.๔ จ.) โฉนดที่ดิน เลขที่ ๙๔๔๗ เล่มที่ ๑๐๐ หน้า
๙๗ อำเภอสอง จังหวัดแพร่ โดยวัดลองลือบุญมีที่ธรณีสงค์ ๒ แปลง คือ ที่ธรณีสงฆ์แปลงที่
๑ ตั้งอยู่ที่ทุ่งปง โดยมีเนื้อที่ ๓ ไร่ ๑ งาน ๕๙ ตารางวา (น.ส.๔ จ.) เลขที่โฉนดที่ดิน ๙๔๔๓
เล่ม ๙๕ หน้า ๔๓ ต.บ้านหนุน อ.สอง จ.แพร่ ที่ธรณีสงฆ์แปลงที่ ๒ สวนสักทอง โดยมีเนื้อที่
๙๒
๖ ไร่ ๓ งาน ๔๑ ตารางวา (น.ส.๔ จ.) เลขที่โฉนดที่ดิน ๙๙๙๖ เล่ม ๑๐๐ หน้า ๙๖ ตำบล
บ้านหนุน อำเภอสอง จังหวัดแพร่ (ปัจจุบันชาวบ้าน หมู่ ๓ และหมู่ ๘ ได้ขอใช้เป็นสถานที่
เก็บของชาวบ้าน) บริเวณหน้าวัด ศาลา SML เป็นเขตวัดลองตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๙๙๙๗ เล่ม
๑๐๐ หน้า ๙๗ อ้ำเภอสอง จังหวัดแพร่ (ปัจจุบัน โฉนดที่ดินวัดลองลือบุญ และโฉนดที่ดินที่
ธรณีสงฆ์วัดลองลือบุญรวมทั้ง ๓ ฉบับ เก็บรักษาไว้ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดแพร่)
อาณาเขตติดต่อ ติดกับถนนสาธารณะบ้านลองลือบุญ
ทิศตะวันออก ทิศใต้ ติดกับถนนสาธารณะบ้านลองลือบุญ
ทิศใต้ ทิศตะวันออก ติดกับธรณีสงฆ์วัดลองลือบุญ (ป่าสักทอง)
ทิศตะวันออก ทิศเหนือ ติดกับถนนสาธารณะบ้านลองลือบุญ และโรงเรียน
ทิศเหนือ บ้านลอง (ฟองจันทร์ราษฎร์อุปถัมภ์)
มีเสนาสนะที่สำคัญดังนี้ - ศาลาตักบาตร - เจดีย์
- อุโบสถ - ศาลาหอฉัน - หอกลอง
- สำนักงานเจ้าอาวาส - หอระฆัง - ศาลาการเปรียญ
- กุฏิสงฆ์
๙๓