นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
Y Y ขน้ั สอน
1 π2 πX π แสดงและอธบิ ายทฤษฎี หลักการ
-1 0
π2 4. ครอู ธบิ ายตวั อยา งท่ี 52 ในหนงั สอื เรยี น หนา 93
y = cos x, 0 ≤ x ≤ π -1 0 1 X บนกระดาน พรอมเปดโอกาสใหนักเรียนถาม
เม่อื เกดิ ขอสงั สัย
Y y = arccos x, -1 ≤ x ≤ 1
5. ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา สําหรับโจทยที่เก่ียวกับ
ตัวผกผันของฟงกชันตรีโกณมิติบางโจทย
นกั เรยี นอาจตอ งเปด ตารางคา ฟง กช นั ตรโี กณ-
มิติหรือใชความรูจากฟงกชันตรีโกณมิติของ
ผลบวกและผลตางของจาํ นวนจริงหรือมุม
1 Y
π2
- π2 0 π2 X X
-1 -1 0 1
- π2
y = tan x, - 2π < x < 2π y = arctan x, x∊R
ตัวอย่างที่ 52
ใหหาคาของ cos (arctan 3)
วิธีทํา ให arctan 3 = θ เม่อื θ∊ - θπ2∊, π2-
สาํ หรับทกุ
จะได tan θ = 3
π33 = 3 π2 π2
เนอ่ื งจาก tan = cπ3os ,
จะได arctan =
π3 = 12
ดังน้ัน cos (arctan 3)
ลองทําดู
ใหห าคาของ tan arcsin 23
ฟงกชันตรีโกณมิติ 93
กิจกรรม สรางเสรมิ เกร็ดแนะครู
ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันหาคาของความสัมพันธระหวาง ครูควรใชการถาม-ตอบ ใหนักเรียนฝกทักษะการคิดวิเคราะหและสรุป
ฟง กช นั ตรีโกณมิตกิ บั ฟงกชันผกผนั ดังน้ี ความรูไดถูกตอง เปนการตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนในการหาคาของ
23 ฟงกชันตรีโกณมิติท่ีเขียนขนาดของมุมในรูปฟงกชันผกผันวา จะมีคําตอบ
• cos (arccos - ) เพยี ง 1 คา เทานนั้
• sin (arcsin 12 )
• arcsin (sin 43π)
• arccos (sin 54π)
หมายเหตุ : ครคู วรใหนักเรยี นเกงและนกั เรยี นออ นจบั คูก นั
T99
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน
แสดงและอธบิ ายทฤษฎี หลักการ
6. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางท่ี 53-56 สาํ หรับโจทยท่เี กี่ยวกับตัวผกผนั ของฟง กชนั ตรีโกณมติ ิบางโจทย นักเรียนอาจตองเปดตาราง
ในหนังสือเรียน หนา 94-95 แลวใหนักเรียน คาฟงกชันตรีโกณมิติหรือใชความรูจากฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกและผลตางของจํานวนจริง
แลกเปลี่ยนความรูกับคูของตนเอง จนเปนท่ี หรอื มมุ ดงั ตวั อยา งตอ ไปน้ี
เขา ใจรว มกนั จากนนั้ ครสู มุ นกั เรยี น4คนออกมา
แสดงวธิ ที าํ อยา งละเอยี ด พรอ มกบั ถามคาํ ถาม ตวั อยา่ งท่ี 53
นักเรียนในหอง ใหนักเรียนรวมกันตรวจสอบ
พรอมกับแสดงแนวคิดที่ตางกันหรือวิธีการท่ี ใหหาคาของ arcsin 0.2079
หลากหลาย
7. ครูถามคําถามนกั เรยี น ดงั นี้ วธิ ีทํา ให arcsin 0.2079 = θ
• arcsin 0.2079 เทา กบั arccos 0.9781 หรอื ไม จะได sin θ = 0.2079 เม่อื θ∊[-90 ,ํ 90 ]ํ
(แนวตอบ เทา กนั เพราะ arccos 0.9781 = 12 )ํ จากการเปด ตารางคาฟงกช นั ตรีโกณมิติ
21 23 จะได sin 12 ํ = 0.2079 สาํ หรบั ทกุ θ∊[-90 ํ, 90 ]ํ
• การหาคา ของ cos arcsin + arccos ดังนน้ั θ = 12 ํ
ตอ งใชความรูเร่ืองใดบา ง นน่ั คือ arcsin 0.2079 = 12 ํ
(แนวตอบ ใชค วามรเู รอ่ื ง ทฤษฎบี ทพที าโกรสั ลองทําดู
และฟงกชันตรีโกณมิติของผลบวกของ ใหหาคา ของ arctan 0.7813
จาํ นวนจริงหรือมุม) 2 arccos 12 ตัวอย่างที่ 54
การหาคาของ cos ใหห าคาของ sin arcsin 35 + arccos 45
• ความรูเรอื่ งใดบาง ตองใช
(แนวตอบ ใชค วามรูเ รอื่ ง ฟงกชันตรโี กณมติ ิ วิธีทาํ ให arcsin 35 =A เมือ่ A∊ - π2 , π2
ของสองเทา ของจาํ นวนจรงิ หรือมมุ ) sin A = 53 +
จะได 35
จาก sin A = สรา งรปู สามเหลยี่ มมมุ ฉากได ดังน้ี 5
จะได cos A= B45 4
arccos B54 45sin 3
sin
ให cos = เมอ่ื B∊[0, π] A
= cos B =
จะได B(A =+ 53B) cos
เนื่องจาก cos A จะได A = sin
ดงั นน้ั sin arcsin 35 + arccos 54 = sin
= sin A cos B A B
= 225345 45 + 45 53
=
arcsin 35 + arccos 45 = 2245
94 น่นั คอื sin
เกร็ดแนะครู กจิ กรรม สรางเสรมิ
ครูควรทบทวนตารางคาฟงกชันตรีโกณมิติ การอานคาฟงกชันตรีโกณมิติ ครใู หน กั เรยี นจบั คแู ลว ชว ยกนั พจิ ารณาวา ตวั อยา งที่ 53 และ 54
ขจใหาออกงจาบนาํนนทลวางนงลดา 0างนแถขตงึ วถ าπ4ามคอื หาขฟรออื ง งกต0ช าํันรถาตงึงรโี4โกด5ณยํ อใมหาิตนอ ิขาจอนางกทจลาาํ งานดงวขาน้ึนนบπซ4านถยึงขอπ2งตหารรือา4ง5โํ ดถยงึ อ9า 0นํ ในหนังสือเรียน หนา 94 มีความเหมือนและแตกตางกันหรือไม
อยา งไร แลว จะตอ งใชค วามรเู รอ่ื งใดในการหาคาํ ตอบ และคาํ ตอบ
จะเปน คา คงตัวทม่ี หี ลายคา หรอื ไม เพราะเหตุใด
หมายเหตุ : ครูควรใหน กั เรยี นเกง และนกั เรียนออนจบั คกู นั
T100
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ลองทําดู ขนั้ สอน
ใหห าคา ของ tan arccos 153 - arcsin 1123
ใชท ฤษฎี หลักการ
ตัวอยา่ งที่ 55
ใหหาคาของ cos 2 arcsin 14 1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
41 หนา 93-96 และแบบฝกทกั ษะ 1.10 ขอ 2.-5.
วธิ ีทํา ให arcsin =θ ในหนังสือเรียน หนา 96 จากน้ันครูและ
จะได sin θ นกั เรียนในชนั้ เรยี นรว มกันเฉลยคาํ ตอบ
ดงั น้ัน
2. ครูใหนักเรยี นทาํ Exercise 1.10 ในแบบฝกหัด
นัน่ คอื เปน การบาน
2 arcsin 14 = c14os เมือ่ θ∊ - π2 , π2 ขน้ั สรปุ
=
cos 2θ ตรวจสอบและสรปุ
= 1 - 2 sin2 θ
= 1 - 2 41 2 ครูถามคําถามเพ่ือสรุปความรูรวบยอดของ
= 7878 นกั เรยี น ดังนี้
cos 2 arcsin 41 =
• ฟงกชนั arcsine มีนยิ ามวาอยางไร
ลองทําดู (แนวตอบ เซตของคูอนั ดับ (x, y)
ใหหาคา ของ tan 2 arccos 35 โดยท่ี x = sin y และ - π2 ≤ y ≤ π2 )
ตวั อยา่ งที่ 56 • โดเมนของฟง กช นั arcsine คอื อะไร
ใหแสดงวา 2 arctan 31 = arctan 43 (แนวตอบ โดเมนของฟงกชัน arcsine คือ
arctan 31 [-1, 1])
วิธที าํ ให tan θ =θ
จะได = 31 เมื่อ θ∊ - π2 , π2 • เรนจข องฟงกช นั arcsine คืออะไร
พจิ ารณา tan 2 arctan 31 = tan 2θ (แนวตอบ เรนจข องฟงกช นั arcsine คอื
= 1 2-tatannθ2 θ - π2, π2 )
1313
= 1 2 2 • ฟง กชัน arccosine มนี ิยามวาอยา งไร
3434 - (แนวตอบ เซตของคอู นั ดบั (x, y)
= โดยที่ x = cos y และ 0 ≤ y ≤ π)
จะได tan 2 arctan 13 =
• โดเมนของฟง กช นั arccosine คอื อะไร
ดงั นนั้ 2 arctan 31 = arctan 34 ฟงกชันตรีโกณมิติ 95 (แนวตอบ โดเมนของฟง กชัน arccosine
คือ [-1, 1])
กิจกรรม สรา งเสริม
• เรนจข องฟง กชัน arccosine คอื อะไร
ครูใหนักเรียนจับคูแลวชวยกันหาคาของตัวผกผันในแตละขอ (แนวตอบ เรนจข องฟง กช ัน arccosine คอื
ตอ ไปนี้ [0, π])
1. 3 arcsin 13 • ฟงกช ัน arctangent มีนิยามวาอยา งไร
2. 3 arccos 13 (แนวตอบ เซตของคูอ นั ดับ (x, y)
3. 3 arctan 31 โดยที่ x = tan y และ - π2 < y < π2 )
หมายเหตุ : ครคู วรใหน กั เรยี นเกง และนักเรยี นออ นจบั คูก ัน
เกร็ดแนะครู
ครูควรทบทวนความรูเกี่ยวกับฟงกชันตรีโกณมิติของสองเทา สามเทา
และครงึ่ เทาของจาํ นวนจริง และในตวั อยา งที่ 55 ในหนังสือเรยี น หนา 95 ครู
ควรอธิบายการเลือกใช cos 2θ เพราะ cos 2θ เทา กบั
2 cos2 θ - 1 = 1 - 2 sin2 θ = 1 2-tatannθ2 θ
T101
นาํ สอน สรุป ประเมิน
ขนั้ สรปุ ลองทําดู
ใหแ สดงวา 2 arctan 38 = arctan 4558
ตรวจสอบและสรปุ
แบบฝึกทักษะ 1.10
• โดเมนของฟง กช ัน arctangent คอื อะไร
(แนวตอบ โดเมนของฟงกชัน arctangent ระดบั พ้ืนฐาน
คือ (-∞, ∞))
1. ใหหาคา ของ 2) arccos 22 23 3) arctan 1
• เรนจของฟง กช นั arctangent คืออะไร 1) arcsin 1 5) arccos - 6) arctan (- 3)
(แนวตอบ เรนจของฟงกชัน arctangent 4) arcsin - 12
คอื - π2 , π2 )
2. ใหห าคาในแตล ะขอตอ ไปนี้โดยใชตารางคาฟง กชนั ตรโี กณมิติ
ฝก ปฏบิ ตั ิ 1) arcsin 0.4695 2) arcsin 0.5688 3) arccos 0.7451
4) arccos 0.8158 5) arctan 0.3839 6) arctan 1.1171
ครใู หน ักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณติ ศาสตร (ออน ปานกลาง ระดบั กลาง
และเกง ) ใหอ ยกู ลมุ เดยี วกนั แลว ทาํ กจิ กรรม ดงั นี้
3. ใหห าคาของ
• ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ทาํ แบบฝก ทกั ษะ 1.10 1) sin arccos 41 2) cos (arctan (-3)) 3) tan arcsin - 32
ขอ 6. ในหนังสอื เรยี น หนา 96 4) cosec arcsin 21 5) sec arccos - 23 6) cot (arcsin 1)
8) cos (arctan 0.4348) 9) tan (arccos (-0.7771))
• ใหนักเรียนแตละกลุมแลกเปลี่ยนความรู 7) sin (arccos 0.5640)
ภายในกลมุ และทาํ ความเขาใจรว มกัน
4. 1ให) ห sาiคnา ข21อaงrccos 54 2) cos 221aarrccscinos-451132
• ครูสุมนักเรียนแตละกลุมออกมาเฉลย 3) sin 2 arccos - 4) tan
คําตอบอยางละเอียด โดยครูและนักเรียน 45
ในชัน้ เรยี นรวมกนั ตรวจสอบความถูกตอง 5. ใหห าคา ของ
1) sin aarrccssinin541132+ +aracrscinsi1n5354 2) tan aarrccstainn21--43ar+ccaorsc31sin
ขนั้ ประเมนิ 3) cos 4) cos 1123
1. ครูตรวจสอบแบบฝก ทักษะ 1.10 ระดับทา ทาย
2. ครตู รวจ Exercise 1.10
3. ครูประเมินการนําเสนอผลงาน
4. ครูสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบุคคล
5. ครูสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
6. ครูสังเกตความมีวินัย ใฝเ รียนรู
มงุ มั่นในการทาํ งาน
6. ใหแ สดงวา ฟง กชนั ตรีโกณมิตใิ นแตล ะขอตอไปน้ีเปนจรงิ
1) arcsin 1 + arcsin 2 = π2 2) cos (2 arcsin x) = 1 - 2x2
5 5
96
แนวทางการวัดและประเมินผล ขอ สอบเนน การคดิ
คาของ cos (2 arcsin 13) -1 มีคา เทา กับเทาใด
ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทํา 1. 29 2. - 29 3. 21 4. - 12
แบบฝกทักษะ 1.10 ขอ 6. ในขั้นฝกปฏิบัติ โดยศึกษาเกณฑการวัด arcsin 13
และประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการจัดการเรียนรูในหนวยการ (เฉลยคาํ ตอบ ให sin θ = θ
เรยี นรทู ี่ 1 จะได =
นนั่ คอื 2 arcsin 31 31
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ -1
คาชี้แจง : ให้ผูส้ อนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ✓ลงในช่องที่ cos = cos 2θ - 1
ตรงกบั ระดับคะแนน
การทางาน การมี
ตามที่ไดร้ บั
ลาดบั ท่ี ชื่อ – สกุล การแสดง การยอมรับ มอบหมาย ความมีน้าใจ ส่วนรว่ มใน รวม
ของนักเรยี น ความคดิ เห็น ฟังคนอนื่ การปรบั ปรุง 15
คะแนน
ผลงานกลุม่ = 1 - 2 sin2 θ - 1
321321321321321
= 1- 2 31 2- 1
= - 29
เกณฑ์การใหค้ ะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสมา่ เสมอ ............../.................../............... ดงั นั้น คาํ ตอบ คอื ขอ 2.)
ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครง้ั ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
T102 ต่ากว่า 8 ปรบั ปรงุ
นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
1.11 เอกลกั ษณต รโี กณมติ ิ และสมการตรโี กณมติ ิ ขน้ั นาํ (Concept Based Teaching)
(Trigonometric Identities and Trigonometric Equations)
การใชค วามรเู ดมิ ฯ (Prior Knowledge)
ในหัวขอท่ีผานมา นักเรียนไดศึกษาความสัมพันธระหวางผลบวก ผลตาง และผลคูณของ
ฟง กช นั ตรโี กณมติ ิ สาํ หรบั หวั ขอ น้ี นกั เรยี นจะไดน าํ ความสมั พนั ธต า ง ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั ฟง กช นั ตรโี กณมติ ิ ครกู ลา วกบั นกั เรยี นวา สาํ หรบั หวั ขอ น้ี นกั เรยี น
มาใชเ พื่อแสดงความเทากนั ทุกประการระหวางฟงกชันตรโี กณมิติทแ่ี ตกตางกันตั้งแต 2 ฟง กชนั จะไดนําความสัมพันธตางๆ ท่ีเก่ียวกับฟงกชัน
ขนึ้ ไป ซ่ึงเรยี กวา การพสิ ูจนเอกลกั ษณต รีโกณมติ ิ ตรโี กณมติ มิ าใชเ พอ่ื แสดงความเทา กนั ทกุ ประการ
ระหวางฟงกชันตรีโกณมิติที่แตกตางกันตั้งแต 2
ฟง กช นั ขน้ึ ไป ซงึ่ จะเรยี กวา “การพสิ จู นเ อกลกั ษณ
ตรีโกณมิติ”
1. เอกลกั ษณต รโี กณมติ ิ (Trigonometric Identities) ขนั้ สอน
พจิ ารณาสมการตอไปน้ี คณิตนา่ รู้ รู (Knowing)
cos θ + sin θ = 1
cos2 θ + sin2 θ = 1 สมการทม่ี ฟี ง กช นั 1. ครเู ขยี นสมการ cos2 θ + 2 sin2 θ = 1 .....(1) บน
ตรีโกณมติ ปิ รากฏอยู เรียกวา กระดาน แลว อธบิ ายวา สมการนเี้ ปน จรงิ สาํ หรบั
จะเห็นวา สมการ cos θ + sin θ = 1 เปนจริงสําหรับ สมการตรโี กณมติ ิ ทุก θ เรียกสมการตรโี กณมิตทิ เ่ี ปน จรงิ สาํ หรับ
บาง θ แตส มการ cos2 θ + sin2 θ = 1 เปนจรงิ สาํ หรับทุก θ ทกุ คา ของ θ วา เอกลักษณต รีโกณมติ ิ
2. ครถู ามคําถามนักเรียน ดงั น้ี
เรยี กสมการตรีโกณมติ ิ ที่เปน จริงสําหรบั ทุกคาของ θ วา เอกลกั ษณต รีโกณมติ ิ • ถานาํ cos2 θ หารสมการ (1) จะไดผ ลลพั ธ
การพสิ จู นเ อกลกั ษณเ ปน การแสดงใหเ หน็ วา คา ทง้ั สองขา งของสมการเทา กนั จรงิ โดยใชค วาม เปนอยางไร
สัมพันธระหวางฟงกชันตรีโกณมิติ ซ่ึงเอกลักษณที่พิสูจนแลวสามารถนําไปอางอิงในการพิสูจน
เอกลกั ษณอน่ื ๆ ได (แนวตอบ (1) ÷ cos2 θ
ccooss22 csions22θθ co1s2 θ
ตวั อย่างที่ 57 จะได θ + =
θ
ใหพ ิสูจนว า sec4x - sec2x = tan2x + tan4x
ดังนัน้ 1 + tan2 θ = sec2 θ)
• ถานํา sin2 θ หารสมการ (1) จะไดผ ลลพั ธ
วิธีทาํ sec4x - sec2x = (sec2x)2 - (1 + tan2x) เปนอยา งไร
= (1 + tan2x)2 - (1 + tan2x) (แนวตอบ (1) ÷ sin2 θ
csions22θθ + ssiinn22 sin12 θ
1 + tan2x = sec2x = 1 + 2 tan2 x + tan4 x - 1 - tan2 x จะได θ =
= tan2x + tan4x θ
ดงั น้นั sec4x - sec2x = tan2x + tan4x ดังนั้น cot2 θ + 1 = cosec2 θ)
ลองทําดู
ใหพิสูจนวา tan4 x + 2 tan2 x + 1 = co1s4x
ฟงกชันตรีโกณมิติ 97
กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู
ครใู หน ักเรียนปฏิบตั ติ ามขั้นตอนตอไปนี้ เน้ือหาในหัวขอนี้จะมีความซับซอน นักเรียนตองเลือกใชสูตรตางๆ ให
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง เหมาะสม และครคู วรใชก ารถาม-ตอบวา นักเรยี นตอ งนําความสมั พนั ธใดมาใช
ในแตละขั้นตอน เพ่ือใหนักเรียนไดคิดวิเคราะห ครูอาจใหนักเรียนรวมกัน
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง ) ใหอยูกลุมเดยี วกัน อภิปรายในตัวอยา งท่ี 57 ในหนงั สือเรียน หนา 97 จะตองใชวธิ กี ารใดใหเกิด
• ใหนักเรียนแตละกลุมสรุปเอกลักษณตรีโกณมิติ พรอมท้ัง ความสัมพนั ธข องฟงกช นั tangent
ยกตัวอยา งและแสดงวิธีการพิสูจน
• จากนั้นใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอขอมูลผาน
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออ่ืนๆ
ตามที่นกั เรยี นถนัด
T103
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สอน ตวั อยา่ งที่ 58
รู (Knowing) ใหพสิ ูจนวา 1 +sincoθs θ = 1 -sincoθs θ
3. ครใู หนกั เรียนจับคูศกึ ษาตวั อยางที่ 57-59 ใน วธิ ที ํา 1 +sincoθs θ = 1 +sincoθs θ × 11 -- ccooss θ
หนังสือเรียน หนา 97-98 แลวแลกเปล่ียน θ
ความรกู ับคูของตนเอง จนเปน ทเี่ ขา ใจรวมกัน = sin1θ(-1c-osc2oθs θ)
จากน้ันครูถามคําถามเพ่ือตรวจสอบความ sin θ(s1in-2 cos θ) á¹Ðá¹Ç¤Ô´
เขาใจของนักเรยี น ดงั น้ี =
• จากตัวอยางท่ี 57 เพราะเหตุใดจึงนําคา θ ¤Ù³·é§Ñ àÈÉáÅÐÊÇ‹ ¹´ŒÇÂ
1 + tan2 x แทนคา sec2 x = 1 -sincoθs θ 1 - cos θ
(แนวตอบ เพราะตอ งการจัดรูป sec x ใหอยู
ในรปู tan x) ดังนน้ั 1 +sincoθs θ = 1 -sincoθs θ
ลองทําดู
ใหพ สิ จู นว า 1 c-ossinθ θ = 1 c+ossiθn θ
ตัวอย่างท่ี 59
ใหพิสูจนวา cossin77xx+- csoins33xx -- scions55xx+-scinosxx = tan 2x
วธิ ที าํ cossin77xx+- csoins33xx -- scions55xx+-scinosxx = (c(ossin77xx+-csoins 33xx)) -- ((csions55xx-+scinoxs)x)
= 22ccooss55xxcsoins 22xx -- 22 ccooss 33xx csions22xx
= 22csoins22xx((ccooss55xx -- ccooss33xx))
= csoins22xx
= tan 2x
ดังนน้ั cossin77xx+- csoins33xx -- scions55xx+-scinosxx = tan 2x
ลองทําดู
ใหพ ิสจู นว า cossin(4-2xx-) -sinco(-s24xx) -- csions6(x-4+x)s+inc(-o4sx6)x = cot x
98
เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรา งเสริม
ครคู วรใชค าํ ถามนาํ ทางในการคดิ ของนกั เรยี นวา ฟง กช นั ตรโี กณมติ ทิ ง้ั สอง ครูใหนักเรียนจับคูพิจารณาตัวอยางท่ี 59 ในหนังสือเรียน
ขางของสมการสามารถจัดรูปไดหรือไม ถาไมมีจะตองทําอยางไร ครูอาจตอง หนา 98 ฟง กชันตรีโกณมิตดิ า นซายของสมการวา ขนาดของมมุ
แนะนําเทคนิคการนําฟงกชันตรีโกณมิติคูณทั้งตัวเศษและตัวสวน เพื่อใหเกิด ที่ตัวเศษและตัวสวนสัมพันธกันอยางไร จะใชสูตรใดมาชวยใน
ความสมั พันธทส่ี ามารถจัดรปู ได การจัดรูปไดบา ง
หมายเหตุ : ครคู วรใหน ักเรยี นเกง และนักเรยี นออนจบั คูก ัน
T104
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ในการพิสูจนเอกลักษณท่ีเกี่ยวของกับรูปสามเหลี่ยม จะพบวาโจทยกําหนดเง่ือนไข เชน ขน้ั สอน
“ในรูปสามเหล่ียม ABC หรือ A + B + C = 180 ํ” หลักการพิสูจนจะใชความสัมพันธของ
มุมประกอบหนง่ึ มมุ ฉาก หรือมมุ ประกอบสองมมุ ฉาก ดงั ตัวอยางตอไปน้ี รู (Knowing)
ตัวอยา่ งท่ี 60 • จากตัวอยางท่ี 58 เพราะเหตุใดจึงนําคา
1 - cos2 θ แทนคา sin2 θ
กําหนด A + B + C = 180 ํ (แนวตอบ เพราะตองการจัดรปู cos x ใหอยู
ใหพสิ ูจนว า cos A + cos B + cos C = 1 + 4 sin A2 sin B2 sin C2 ในรปู sin x)
วธิ ีทํา cos A + cos B + cos C = 2 cos A +2 B cos A 2- B + cos C • จากตัวอยางที่ 59 ใชความสัมพันธใดของ
ฟงกช ันตรโี กณมิติ
= 2 sin C2 cos A 2- B + 1 - 2 sin2 C2 (แนวตอบ ความสัมพันธระหวางผลบวก
= 2 sin C2 cos A 2- B - 2 sin2 C2 + 1 sขinองαฟ-งกsiชnันβต=รโี ก2ณcoมsิติทα่วี า2+ β sin α 2- β )
= 2 sin C2 cos A 2- B - sin C2 + 1 4. ครอู ธิบายวา การพิสจู นเอกลักษณทเ่ี กีย่ วของ
= 2 sin C2 cos A 2- B - cos A +2 B + 1 กับรูปสามเหล่ียมจะใชหลักการความสัมพันธ
= 2 sin C2 2 sin A2 sin B2 + 1 ของมมุ ประกอบหนึ่งมมุ ฉาก หรือมุมประกอบ
= 1 + 4 sin A2 sin B2 sin C2 สองมุมฉาก จากน้ันครูยกตัวอยางท่ี 60 ใน
ดังนั้น cos A + cos B + cos C = 1 + 4 sin A2 sin B2 sin C2 หนงั สือเรยี น หนา 99 บนกระดาน แลว ถาม
ลองทําดู นกั เรยี นวา
กาํ หนด A + B + C = 180 ํ • จากตัวอยางท่ี 60 ใชความสัมพันธใดของ
ใหพ สิ ูจนว า sin A + sin B - sin C = 4 sin A2 sin B2 sin C2 ฟงกชันตรโี กณมิติ
(แนวตอบ ความสมั พนั ธร ะหวางผลบวกของ
2. สมการตรโี กณมติ ิ (Trigonometric Equations) ฟงกช นั ตรีโกณมิติที่วา
cos α + cos β = 2 cos α 2+ β cos α2- β )
นกั เรยี นทราบมาแลว วา ฟง กช นั ตรโี กณมติ โิ ดยทวั่ ไปไมเ ปน ฟง กช นั 1-1 ทาํ ใหค า ของฟง กช นั
ตครือีโก21ดณังมนติั้นิขอในงจกาํานรหวนาคจรํางิตหอรบือขมอุมงใสดมๆกาอรตาจรจีโกะณมีคมาิตซิ ํ้าถกาันโไจดท ยเไชมน ไดsกinําหπ6นแดลใหะ คsําinตอ56บπอยมูใีคนาชซว้ํางกในัด เขา ใจ (Understanding)
ชวงหนึง่ คําตอบจะอยูในรูปของคา ทัว่ ไป
ครใู หน กั เรยี นจบั คทู าํ “ลองทาํ ด”ู ในหนงั สอื เรยี น
ฟงกชันตรีโกณมิติ 99 หนา 97-99 จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันเฉลย
คาํ ตอบ
กจิ กรรม สรา งเสริม เกร็ดแนะครู
ครูใหนักเรียนจับคูพิจารณาตัวอยางท่ี 60 ในหนังสือเรียน ครูควรเนนยํ้านักเรียนเกี่ยวกับโจทยการพิสูจนเอกลักษณที่เก่ียวของกับ
หนา 99 แลว ตอบคาํ ถามตอ ไปนี้ รแπ2ูปลสะ+า-θม1เห≤แลลsี่ยะinมตθทอ งี่ต≤รอะ1งมใัดตชราสะมูตวขรังนมคาาา ดกขขกออวงงาฟหงθนกแชึ่งลสันะูตตครรรโี กูคคณวือรมอใิตธชิทิบคเ่ีาวปยานเมพลสมิ่บัมเต-พ1มิ ันเ≤ธพ อ่ืcเoπ2ชsอ่ื θ-ม≤โθย1ง,
สูตรตา งๆ ทนี่ าํ มาใช
• A + B2 + C เทากบั เทาใด
• A 2+ B มคี วามสัมพันธก บั C2 อยางไร
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรียนเกง และนกั เรียนออ นจับคกู ัน
T105
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน
รู (Knowing)
1. ครูอธิบายวา ฟงกชันตรีโกณมิติโดยท่ัวไป ตวั อยา่ งท่ี 61
ไมเปนฟงกชันหนึ่งตอหนึ่ง ซ่ึงทําใหคาของ
ฟง กชนั ตรีโกณมติ ิของจํานวนจริงหรือมมุ ใดๆ แกสมการ cos x = 23 เมอ่ื 0 < x < π2
อาจจะมีคา ซ้าํ กันได ดงั นัน้ ในการหาคําตอบ วิธที าํ เน่อื งจาก 0 < x < π2 จะไดวา คาของ x ในชวงนท้ี ี่ทําให cos x = 23 คือ π6
ของสมการตรโี กณมติ ิ ถา โจทยไ มไ ดก าํ หนดให
คาํ ตอบอยใู นชว งใดชวงหนึ่ง คาํ ตอบจะอยใู น ดังนนั้ เซตคําตอบ คือ π6
รูปของคาทวั่ ไป
ลองทําดู
2. ครใู หนกั เรยี นจบั คศู ึกษาตัวอยา งท่ี 61-64 ใน
หนงั สอื เรยี น หนา 100-101 แลวแลกเปลีย่ น แกสมการ tan x = - 3 เมื่อ - π2 < x < 0
ความรูก ับคูของตนเอง จนเปน ทีเ่ ขา ใจรวมกัน
ตัวอยา่ งที่ 62 1
3. ครูถามคําถามเพื่อตรวจสอบความเขาใจของ 3
นักเรยี น ดังน้ี แกส มการ tan θ =
• จากตัวอยางที่ 61 x ท่ีอยูในจตุภาคที่ 1 วิธที ํา Y จากวงกลมหนงึ่ หนว ย จะเห็นวาคา θ เมอื่ 0 ≤ θ ≤ 2π ท่ี
1 π6 76π
จะตอ งมคี า เทากบั เทาใด จงึ จะทําให cos x 0 P1 ทาํ ให tan θ = 3 คอื และ
P2 (1, 0X)
มีคาเทา กบั =23π6 และ tan 2nπ + π6 = tan π6 = 13 เมอ่ื n∊I
(แนวตอบ x ) tan 2nπ + 76π = tan 76π = 1
3 เม่อื n∊I
• จากตัวอยางที่ 62 θ ทอ่ี ยใู นชวง 0 ถงึ 2π เนื่องจากโจทยไ มไดกาํ หนดใหคําตอบอยใู นชว งใดชวงหนง่ึ
π6
จะตองมีคา เทา กบั เทาใด จงึ จะทําให tan θ ดงั นน้ั คา ทวั่ ไปของ θ ทที่ าํ ใหส มการเปน จรงิ คอื 2nπ +
1 และ 2nπ + 76π เมอื่ n∊I
เทา กับ 3
76π)
(แนวตอบ θ = π6 และ ลองทําดู
แกส มการ cos θ = 12
ตัวอย่างที่ 63
แกสมการ cos 2θ + 3 sin θ = 2
วิธีทํา cos 2θ + 3 sin θ = 2
(1 - 2 sin2 θ) + 3 sin θ = 2
100 2 sin2 θ - 3 sin θ + 1 = 0
(2 sin θ - 1)(sin θ - 1) = 0
เกร็ดแนะครู กจิ กรรม สรางเสรมิ
ครคู วรอธบิ ายและเนน ยาํ้ นกั เรยี นวา การแกส มการตรโี กณมติ มิ คี วามยงุ ยาก ครใู หนกั เรียนจับคแู ลวพิจารณาสมการ 2 sin2 x - 3 cos x = 3
ซบั ซอนกวา การแกส มการพหนุ าม นักเรยี นตอ งใชความสมั พนั ธระหวา งฟงกชนั พรอ มท้งั ตอบคําถาม ดังน้ี
ตรโี กณมิตแิ ละความสัมพันธระหวา งมมุ ซึง่ ตอ งเลอื กใชสตู รใหเหมาะสม
• สมการนีม้ ีกี่ตวั แปร อะไรบา ง
• ตองทาํ อยางไรจงึ จะไดสมการท่ีมีตัวแปร 1 ตัว
• สมการทมี่ ี sin θ เปน ตวั แปร ทําอยา งไรจงึ จะหาคา sin θ ได
• ทําอยางไรจงึ จะหาคา θ ได และตองเขยี นคาํ ตอบอยางไร
หมายเหตุ : ครูควรใหนกั เรยี นเกง และนกั เรยี นออ นจบั คูกัน
T106
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
จะได sin θ = 12 หรือ sin θ=1 sin θ = 12 คอื π6 และ 56π ขนั้ สอน
เนอื่ งจาก คา θ เมอ่ื 0≤x≤ 2π ทที่ าํ ให
รู (Knowing)
นน่ั คือ คา θ เมอ่ื 0 ≤ x ≤ 2π ทท่ี าํ ให sin θ 5=26πn1πแค+ลือะπ6π2π2, 2nπ + 56π
ดงั นน้ั คําตอบของสมการในชว ง [0, 2π] คอื π6 , • จากตัวอยางที่ 63 ในหนังสือเรียน หนา
คา ทว่ั ไปของ θ ทท่ี ําใหส มการเปนจรงิ คอื 100-101 นักเรียนจะมีวิธีการแกสมการ
และ 2nπ + π2 เม่ือ n∊I cos 2θ + 3 sin θ = 2 ไดอยางไร
(แนวตอบ เปลยี่ น cos 2θ เปน 1 - 2 sin2 θ
ลองทําดู จะได (1 - 2 sin2 θ) + 3 sin θ = 2 จากน้ัน
แกสมการ cos 2θ - 1 = 0 แกสมการ 2 sin2 θ - 3 sin θ + 1 = 0 โดย
การแยกตวั ประกอบ)
ตัวอยา่ งที่ 64
• จากตัวอยา งท่ี 64 ในหนงั สอื เรียน หนา 101
แกส มการ 2 cos2 x + 2 cos 2x = 1 นักเรียนจะมีวิธีการแกสมการ 2 cos2 x
+ 2 cos2x = 1 ไดอ ยา งไร
วธิ ที าํ 2 cos2 x + 2 cos 2x = 1 (แนวตอบ เปลย่ี น cos 2x เปน 2 cos2x - 1
2 cos2 x + 2(2 cos2 x - 1) = 1 จะได 2 cos2x + 2(2cos2x - 1) = 1 จากน้ัน
2 cos2 x + 4 cos2 x - 2 = 1 แกสมการ 6 cos2x = 3)
6 cos2 x = 3
cos x = 12 ลงมอื ทาํ (Doing)
cos x = - 12 ±
1. ครใู หนักเรียนปฏิบัตติ ามขั้นตอนตอ ไปน้ี
จะได cos x = 12 หรือ • ใหน ักเรยี นแบง กลุม กลมุ ละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร
เนอ่ื งจาก คา x เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π ทที่ ําให cos x = 125124πคคอื แือลπ4ะ34πแ74ลπแะล7ะ4π54π • ใหนักเรียนแตละกลุมชวยกันทําแบบฝก
ทกั ษะ 1.11 ในหนงั สือเรียน หนา 102 แลว
คา x เมอ่ื 0 ≤ x ≤ 2π ทท่ี ําให cos x = - แลกเปลยี่ นความรภู ายในกลุม
34π , • ครสู มุ นกั เรยี นแตล ะกลมุ ออกมาเฉลยคาํ ตอบ
นั่นคือ คําตอบของสมการในชวง [0, 2π] คือ π4 , อยา งละเอยี ด โดยครตู รวจสอบความถกู ตอ ง
ดงั น้นั คา ทั่วไปของ x ท่ที ําใหส มการเปน จรงิ คือ 2nπ + π4 , 2nπ + 34π ,
2nπ + 54π และ 2nπ + 74π เมอ่ื n∊I 2. ครูใหน ักเรียนทาํ Exercise 1.11 ในแบบฝก หัด
เปนการบาน
ลองทําดู
แกสมการ 4 cos2 x - 4 cos 2x + 2 = 5
ฟงกชันตรีโกณมิติ 101
กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู
ครใู หนักเรยี นปฏิบตั ติ ามขนั้ ตอนตอ ไปนี้ จากตัวอยางท่ี 64 ครูควรใหนักเรียนชวยกันเสนอแนวคิดวาจะใชสูตรใด
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง เพราะเหตใุ ด ซง่ึ นักเรยี นอาจจะจัดรูป ดังนี้
คณิตศาสตร (ออ น ปานกลาง และเกง ) ใหอยกู ลมุ เดยี วกัน (2 cos2x - 1) + 2 cos 2x = 0
• ใหนักเรียนแตละกลุมสืบคนสมการตรีโกณมิติทางอินเทอรเน็ต
cos 2x + 2 cos 2x = 0
มากลมุ ละ 1 ขอ พรอมทั้งแสดงวิธีทําอยางละเอยี ด
• จากนั้นใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอขอมูลผาน 3 cos 2x = 0
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรอื โปรแกรมนาํ เสนออ่นื ๆ cos 2x = 0 3+4π32π
ตามท่ีนกั เรยี นถนดั
2x = 2nπ + π2, 2nπ
x = nπ + π4, nπ +
ครูควรใหน ักเรียนเลอื กแสดงวิธีทาํ ตามทเี่ สนอแนะ เพื่อเปรยี บเทียบวธิ กี าร
แกสมการ
T107
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สรปุ แบบฝกึ ทกั ษะ 1.11
ครูถามคําถามเพื่อสรุปความรูรวบยอดของ ระดบั พ้ืนฐาน
นกั เรียน ดงั น้ี
1. ใหพสิ ูจนเอกลกั ษณต รโี กณมิตใิ นแตละขอ ตอ ไปนี้
• สมการทมี่ ฟี ง กช นั ตรโี กณมติ อิ ยเู รยี กวา อะไร 1) cos θ (tan θ + cot θ) = cosec θ 2) sin 2θ cot θ - 1 = cos 2θ
(แนวตอบ สมการตรีโกณมติ ิ) sin4 cos4 θ 21 sin2 θ 4) sec2 θ + cosec2 θ = sec2 θ cosec2 θ
3) tan2 θ + sin2 θ =1- sin2 θ 6) cossi2nθ2θ+ +cossinθθ+ 1 = tan θ
• เพราะเหตใุ ดสมการ cos2 θ + sin2 θ = 1 5) θ - = tan2 θ
จึงเปนเอกลักษณตรีโกณมติ ิ
(แนวตอบ เพราะสมการนี้ เปนจริงสําหรับ ระดบั กลาง
ทุก θ)
2. ใหพิสจู นเอกลักษณต รีโกณมิติในแตละขอตอไปน้ี
ขนั้ ประเมนิ 1) cos 4x = 4 cos 2x + 8 sin4 x - 3
tan π4 - x = 1 c+ossi2nx2x
1. ครูตรวจสอบแบบฝกทักษะ 1.11 2) 1 + cos x + cos 2x + cos 3x = 4 cos x cos 32x cos x2
2. ครตู รวจ Exercise 1.11 3)
3. ครปู ระเมินการนาํ เสนอผลงาน
4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบคุ คล 3. กําหนด A + B + C = 180 ํ ใหพิสูจนว า tan A + tan B + tan C = tan A tan B tan C
5. ครสู ังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุม
6. ครูสงั เกตความมวี ินยั ใฝเ รียนรู 4. แกส มการในแตล ะขอตอไปน้ี เมอ่ื 0 ≤ x ≤ 2π
1) cot x + 2 sin x = cosec x
มงุ มน่ั ในการทาํ งาน 2) 4 tan x sin2 x + 3 = 4 sin2 x + 3 tan x
3) cot x cos 2x + tan x sin 2x = cot x
4) cot x - 2 cos x = 2 cosec x - 4
5. แกส มการในแตล ะขอ ตอ ไปนี้
1) 2 cos2 θ + 2 cos 2θ = 1
2) 2 sin θ (cos θ + sin θ) = 2 sin θ
3) 2 sec θ = tan θ + cot θ
4) sin θ + 8 cos θ = 2 cos3θ + 6 cos θ
ระดับทาทาย
6. กาํ หนด a = sin 3x cos 2x - 2 sin x cos x cos 3x เมื่อ 0 ≤ x ≤ 2π
ใหห าคา x ที่ทําให 2 a2 - 3 3 a - 6 = 0
102
แนวทางการวัดและประเมินผล กจิ กรรม ทาทาย
ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทํา ครูแบงกลมุ ใหนกั เรียน กลุม ละ 3-4 คน ชว ยกนั พิสูจนวา
แบบฝก ทกั ษะ 1.11 ในขนั้ ฝก ปฏบิ ตั ิ โดยศกึ ษาเกณฑก ารวดั และประเมนิ ผล sin2 θ tan θ + cos2 θ cot θ + 2 sin θ cos θ = ta1n θ + csionsθθ
จากแบบประเมินของแผนการจัดการเรยี นรูในหนว ยการเรยี นรทู ี่ 1 หมายเหตุ : ครูควรจัดกลุมโดยคละความสามารถทาง
คณติ ศาสตรของนักเรียน (ออ น ปานกลาง และเกง) ใหอ ยูก ลมุ
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลุม่ เดียวกนั
คาช้ีแจง : ใหผ้ ูส้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในชอ่ งท่ี
ตรงกับระดับคะแนน
การทางาน การมี
ตามท่ีได้รับ
ลาดับท่ี ชื่อ – สกลุ การแสดง การยอมรบั มอบหมาย ความมนี า้ ใจ สว่ นร่วมใน รวม
ของนกั เรยี น ความคดิ เห็น ฟังคนอ่ืน การปรับปรุง 15
คะแนน
ผลงานกลุ่ม
321321321321321
เกณฑก์ ารให้คะแนน ลงชือ่ ...................................................ผปู้ ระเมนิ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมอย่างสมา่ เสมอ ............../.................../...............
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครง้ั ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ตา่ กว่า 8 ปรับปรงุ
T108
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ
1.12 กฎของไซนแ ละโคไซน ขน้ั นาํ (Concept Based Teaching)
(The Laws of Sines and Cosines)
การใชค วามรเู ดมิ ฯ (Prior Knowledge)
ในหวั ขอ นี้ จะเปน การศกึ ษากฎของไซนแ ละโคไซนซ งึ่ เปน ความสมั พนั ธร ะหวา งความยาวดา น
กับขนาดของมุมของรูปสามเหลยี่ มใด ๆ ท่ีไมเปน รูปสามเหลยี่ มมุมฉาก ครูเขยี นรปู สามเหลีย่ มมมุ ฉาก ABC ท่ีมมี ุม C
เปนมุมฉากบนกระดาน
1. กฎของไซน (The Laws of Sines)
A
กําหนดรูปสามเหล่ียม ABC ท่ีเปนรูปสามเหลี่ยมมุมแหลมและมุมปาน จากนั้นลาก CD
ต้ังฉากกับดาน AB ทจี่ ุด D และลาก AE ต้ังฉากกบั ดาน BC ท่ีจุด E ดังรูป CB
C a C a จากน้นั ครถู ามคาํ ถามนกั เรียนวา
b E • อตั ราสว นตรโี กณมติ จิ ากรปู สามเหลย่ี ม ABC
E
b มอี ะไรบา ง
(แนวตอบ จากรปู สามเหลย่ี ม ABC ท่มี ีมมุ C
AD B 180 ํ-A B เปน มุมฉาก จะไดวา
DA 1. sin A = BACB
c c 2. cos A = AACB
รปู สามเหลยี่ มมมุ แหลม รปู สามเหล่ยี มมุมปา น 3. tan A = ABCC
4. cosec A = sin1A = BACB
พิจารณารปู สามเหลย่ี มมุมแหลม ABC sin A = CbD Thinking Time 5. sec A = co1s A = AACB
จากรูปสามเหล่ียมมมุ ฉาก ADC จะได 6. cot A = tan1 A = ABCC )
ใหนกั เรยี นพสิ จู น
CD = b sin A กฎของไซน โดยใช
ดจจะางั ไกนดพัน้ ้ืนพท้ืนี่ขทอพ่ขีงน้ื รอทปู ง่ขีสรอูปามงสรเาูปหมสลเหาี่ยมมลเ่ียหเมทลาีย่AกมBบั CA21B=C×12เฐทbาาcนกsับ==i×n A112122สงู (b(cAc)B(sb)i(nsCAinDA) ) รูปสามเหลีย่ มมุมปา น ขน้ั สอน
.....(1)
รู (Knowing)
1. ครูเขยี นรปู สามเหลีย่ มเชนเดยี วกบั
รูปสามเหลี่ยมมุมแหลม ในหนังสือเรียน
หนา 103 จากน้ันครูใหนักเรียนพิจารณารูป
ในทํานองเดียวกัน ถา ให BC และ CA เปน ฐาน จะไดว า ที่ครูเขียนบนกระดาน จากนั้นครูถามคําถาม
พื้นทข่ี องรปู สามเหล่ยี ม ABC = 2121 ca sin B .....(2) นกั เรยี น ดังน้ี
พนื้ ทีข่ องรูปสามเหลยี่ ม ABC = ab sin C .....(3) • จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ADC จะได
อัตราสวน sin A คCือbDเท)าใด
ฟงกชันตรีโกณมิติ 103 (แนวตอบ sin A =
เฉลย Thinking Time
พิจารณารปู สามเหลยี่ มมมุ ปา น ABC = AAbEE คูณดว ย ab2c โดยตลอด จะไดวา sincC
จากรูปสามเหล่ยี มมุมฉาก AEC จะได sin C = sinaB = sinbB =
b sin C เนอื่ งจาก คา ของฟง กช นั ไซนเ พม่ิ ขนึ้ 0.0019 คา ของมมุ เพม่ิ ขนึ้ 10′
12เทา×ก=ฐบั า21น21 คา ของฟง กช นั ไซนเ พมิ่ ขน้ึ 0.0011 คา ของมมุ เพม่ิ ขนึ้ 0.000.10101×910 ≈ 6′
จากพนื้ ท่ีของรปู สามเหลย่ี ม เทา กับ × สงู
จะได พ้นื ที่ของรูปสามเหลย่ี ม ABC (CB)(AE) จะไดวา sin (50 ํ 30′ + 6′) = sin 50 ํ 36′ ≈ 0.7727
ab sin C
.....(1) ดงั น้นั C∧ ≈ 50 ํ 36′
ในทํานองเดยี วกัน ถาให AB และ CA เปนฐาน จะไดว า แตเ นือ่ งจาก sin C > 0 จะไดว า 0 < C∧ < 180 ํ
1122
พื้นท่ีของรปู สามเหล่ียม ABC = 12 bc sin A .....(2) ดังนั้น C∧ ≈ 50 ํ 36′ หรอื C∧ ≈ 180 ํ - 50 ํ 36′ = 129 ํ 24′
พ้นื ท่ขี องรปู สามเหลี่ยม ABC = ca sin B .....(3)
จาก (1), (2) และ (3) จะไดวา21 bc sin A 21
= ca sin B = ab sin C
T109
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สอน
รู (Knowing)
• ความยาวของดา น CD เทา กับเทา ใด จาก (1), (2) และ (3) จะไดวา
(แนวตอบ CD = b sin A) 21 bc sin A = 21 ca sin B = 12 ab sin C
• พื้นทขี่ องรปู สามเหล่ียม ABC ที่มี AB
เปนฐาน เทากบั เทา ใด คูณดวย a2bc โดยตลอด จะไดวา
(แนวตอบ sinaA = sinbB = sincC
=พนื้ 21ท่ีข×อAงรBูป×สาCมเDหลย่ี ม ABC
= 21 × c × (b sin A) เรยี กความสมั พันธดงั กลาววา กฎของไซน
= 12 bc sin A)
2. ครใู หน กั เรยี นพจิ ารณารปู ทค่ี รเู ขยี นบนกระดาน กฎของไซน ในรปู สามเหลย่ี ม ABC ใด ๆ
แลว ใหห าพน้ื ทข่ี องรปู สามเหลย่ี ม ABC ทม่ี ดี า น ถา a, b และ c เปนความยาวของดา นตรงขา มมมุ A, B และ C ตามลําดับ จะไดวา
sinaA = sinbB = sincC
BC และดา น CA เปน ฐาน ตวั อยา่ งที่ 65
(แนวตอบ กาํ หนดรปู สามเหลย่ี ม ABC เปน รปู สามเหลย่ี มทมี่ คี วามยาวดา นตรงขา มมมุ A มมุ B
พนื้ ทข่ี องรปู สามเหลย่ี ม ABC ทม่ี ี BC เปน ฐาน และมมุ C เปน a, b และ c ตามลําดับ โดย B∧ = 75 ํ, C∧ = 60 ํ และ b = 4 หนวย
= 12 ca sin B ใหห าความยาวของ c
พน้ื ทขี่ องรปู สามเหลย่ี ม ABC ทมี่ ี CA เปน ฐาน วธิ ีทํา จากกฎของไซน จะได sinbB = sincC
= 21 ab sin C) sin475 ํ = sinc60 ํ
3. ครใู หน กั เรยี นนาํ สมการของพนื้ ทรี่ ปู สามเหลย่ี ม
ABC ท่ีมีดาน AB ดาน BC และดาน CA c = 4 ssiinn 7650 ํํ
= 4 322+321
คคทวเ่ีรปาูกนมลฐสาามั วนพวมนัาาธเท เsาร inกาaนจัAะแเ=รลียวsiกใnbหคBน วกั =าเมรsยีสinนcัมCสพงั ันเจกธาตกนเนหี้วนน้ั็า ( 3)(2 2)
“กฎของไซน” = 4 2( 3 + 1)
≈ 4 52.466
≈ 3.59
ดังนน้ั c มคี วามยาวประมาณ 3.59 หนวย
104
เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills
ครูควรเช่ือมโยงความรูเรื่อง อัตราสวนหรือสัดสวนกับกฎของไซน โดยใช ครใู หน ักเรยี นปฏบิ ตั ติ ามขั้นตอนตอไปนี้
การถาม-ตอบ ประกอบคาํ อธบิ ายตวั อยา งท่ี 65-66 ในหนงั สอื เรยี น หนา 104-105 • ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง
เชน ขนาดของมุมและความยาวดานท่ีกําหนดมีความสัมพันธกับกฎของไซน
หรือไม และตอ งใชก ฎใด คณติ ศาสตร (ออ น ปานกลาง และเกง) ใหอ ยูกลมุ เดียวกัน
• ใหน กั เรยี นแตล ะกลุมพิสูจนก ฎของไซน ในรูปสามเหล่ียม ABC
ที่มี a, b และ c เปนความยาวดานตรงขามมมุ A, B และ C
• จากน้ันใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอขอมูลผาน
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรอื โปรแกรมนาํ เสนออนื่ ๆ
ตามทน่ี ักเรยี นถนดั
T110
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ลองทําดู ขน้ั สอน
กําหนดรปู สามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มคี วามยาวดานตรงขามมมุ A มมุ B
และมมุ C เปน a, b และ c ตามลาํ ดับ โดย B∧ = 45 ํ, C∧ = 60 ํ และ b = 2 3 หนว ย เขา ใจ (Understanding)
ใหห าความยาวของ c
ครูใหนักเรยี นปฏบิ ตั ิตามขั้นตอนตอ ไปน้ี
ตัวอย่างที่ 66 • ใหนกั เรียนแบง กลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
กาํ หนดรปู สามเหลย่ี ม ABC เปน รปู สามเหลย่ี มทม่ี คี วามยาวดา นตรงขา มมมุ A มมุ B ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน
และมมุ C เปน a, b และ c ตามลาํ ดบั โดย C∧ = 60 ,ํ b = 6 หนว ย และ c = 10 หนว ย ปานกลาง และเกง ) ใหอยูก ลุมเดยี วกนั ทํา
ใหห าขนาดของมมุ B “Thinking Time” ในหนังสือเรยี น หนา 103
• ใหน ักเรียนในแตล ะกลมุ แลกเปลย่ี นความรู
วธิ ีทํา จากกฎของไซน จะได sinbB = sincC จนเปน ทเ่ี ขา ใจรว มกนั
sin6B = sin1060 ํ • ครูสุมนักเรียนแตละกลุมออกมาแสดงการ
พิสูจนอยางละเอียด โดยครูและนักเรียน
ในช้ันเรียนรวมกันตรวจสอบความสมเหตุ
สมผลของการพสิ จู น
sin B = 6 1230 รู (Knowing)
ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 65-66 ใน
หนงั สอื เรยี น หนา 104-105 จากนน้ั ครถู ามคาํ ถาม
= 3103 นกั เรียน ดังน้ี
• จากตัวอยา งที่ 65 ใชค วามสัมพนั ธค ูใ ดของ
≈ 0.5196 • ซก(จแา่ึงฎนจกขวะตตอไัวองดบอไวซยใา นาชงใคsทนiวnี่ก4า67มา65รสํหใมั =ชาพคคsนั ววinธาาcขมม6อ0สยงัมํา)วพsดinbันา ธBนค=ูใcดsiขncอCง
เน่ืองจาก sin B = 0.5196 มคี า อยูร ะหวาง sin 31 ํ 10′ กับ sin 31 ํ 20′
จากตารางคา ฟง กช ันตรโี กณมติ ิ จะได sin 31 ํ 10′ = 0.5175
sin 31 ํ 20′ = 0.5200
เน่ืองจาก คาของฟง กช นั ไซนเ พม่ิ ขนึ้ 0.0025 คา ของมุมเพม่ิ ขึน้ 10′ ซก(แึ่งฎนจขวะตอไองดบไวซใา นชใค นsวinก6ามาBรสห=มั าพsขiนัnน1ธ06าข 0ดอขํ )งองsiมnbมุ B B sincC
คา ของฟงกช ันไซนเ พ่มิ ข้นึ 0.0021 คา ของมุมเพม่ิ ขึ้น 0.000.20102×5 10 ≈ 8′ =
จะไดว า (sin 31 ํ 10′ + 8′) = sin 31 ํ 18′ ≈ 0.5196
ดงั น้ัน B ≈ 31 ํ 18′
แตเนอื่ งจาก sin B > 0 จะไดว า 0 < B < 180 ํ เขา ใจ (Understanding)
ดงั นั้น B ≈ 31 ํ 18′ หรอื B ≈ 180 ํ - 31 ํ 18′ = 148 ํ 42′ ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 105-106 เมื่อทําเสร็จแลวครูและนักเรียน
รวมกันเฉลยคําตอบ
ฟงกชันตรีโกณมิติ 105
ขอ สอบเนน การคิด
ขอ ใดเปน ความยาวของเสน รอบรปู ของรปู สามเหลย่ี มหนา จว่ั ABC ซงึ่ มดี า น BC เปน ฐานยาว 30 หนว ย และมขี นาดของมมุ ยอดเปน
30 องศา
1. 57.954 หนว ย 2. 115.908 หนว ย 3. 130.954 หนว ย 4. 145.908 หนว ย
(เฉลยคําตอบ ให ∆ABC เปนรปู สามเหลย่ี มหนาจว่ั ทมี่ ีดาน BC เปน ฐานยาว 30 หนว ย และ BA∧C = 30 ํ
A
30 ํ จากกฎของไซน sinBBCA∧C = sinAACB∧C
sin AB∧C • BC
B 30 C AC = sin BA∧C
จะไดว า AB∧C = 180 ํ2- 30 ํ = 1520 ํ = 75 ํ
= sinsi7n53ํ •03ํ 0
≈ 0.9659 × 30 × 2
= 57.954
นัน่ คือ ความยาวของเสนรอบรูป = 2(57.954) + 30 = 145.908 หนว ย
ดงั น้ัน คาํ ตอบ คือ ขอ 4.)
T111
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สอน ลองทําดู
กาํ หนดรปู สามเหลย่ี ม ABC เปน รปู สามเหลย่ี มทม่ี คี วามยาวดา นตรงขา มมมุ A มมุ B และ
รู (Knowing) มุม C เปน a, b และ c ตามลําดบั โดย A∧ = 30 ํ, a = 11 หนว ย และ c = 17 หนว ย
ใหหาขนาดของมมุ C
1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาบทพิสูจนกฎของ
โคไซน ในหนงั สอื เรยี น หนา 106 แลว แลกเปลย่ี น 2. กฎโคไซน (The Laws of Cosines)
ความรูกบั คูของตนเอง จนเปนที่เขา ใจรว มกนั
จากนั้นครถู ามนักเรยี นวา กาํ หนดรปู สามเหล่ียม ABC ท่เี ปนรูปสามเหล่ยี มมุมแหลมและมมุ ปา น จากน้ันลาก CD
• การพิสูจนก ฎของโคไซน ตองใชค วามรู ตั้งฉากกับดาน AB ทจ่ี ดุ D ดังนี้
เรอื่ งใดมาชวยในการพสิ จู น
(แนวตอบ ทฤษฎบี ทพที าโกรสั ) C a C a
bh hb
2. ครอู ธบิ ายซา้ํ อกี ครงั้ เพอ่ื ใหน กั เรยี นเขา ใจมาก
ยงิ่ ขน้ึ ดังน้ี A x D c-x B D x180 ํ-A A c B
ในรปู สามเหลีย่ ม ABC ใดๆ ถา a, b และ c
c เปน ความยาวของดา นตรงขา มมมุ A, B และ รูปสามเหลีย่ มมุมปาน
C ตามลําดบั จะไดว า รูปสามเหล่ียมมมุ แหลม
a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
b2 = a2 + c2 - 2ac cos B พิจารณารปู สามเหลย่ี มมุมแหลม ABC = bxbcos A
c2 = a2 + b2 - 2ab cos C จากรูปสามเหล่ยี มมุมฉาก ADC จะได cos A =
เขา ใจ (Understanding) x
และโดยทฤษฎีบทพที าโกรัส จะได b2 = h2 + x2
ครใู หนกั เรยี นปฏิบตั ิตามขนั้ ตอนตอ ไปนี้ พิจารณารปู สามเหล่ียมมุมฉาก BDC โดยทฤษฎีบทพที าโกรสั จะไดว า
• ใหนกั เรยี นแบง กลุม กลุมละ 3-4 คน คละ a2 = (c - x)2 + h2
= c2 - 2cx + x2 + h2
ความสามารถทางคณิตศาสตร (ออน = c2 - 2cx + (x2 + h2) Thinking Time
ปานกลาง และเกง) ใหอ ยกู ลุมเดยี วกัน ทาํ = c2 - 2cx + b2 ใหน ักเรียนพิสูจน
“Thinking Time” ในหนังสือเรยี น หนา 106 = c2 + b2 - 2cb cos A กฎของโคไซน โดยใช
โดยใหแ สดงการพสิ จู นก ฎของโคไซน โดยใช ดงั นั้น a2 = c2 + b2 - 2cb cos A รปู สามเหลีย่ มมมุ ปาน
รปู สามเหลี่ยมมมุ ปาน
• ใหนักเรียนในแตละกลุมแลกเปล่ียนความรู ในทํานองเดยี วกนั นักเรยี นสามารถพสิ จู นไดวา
จนเปนที่เขาใจรว มกนั b2 = a2 + c2 - 2ac cos B
• ครูสุมนักเรียนแตละกลุมออกมาแสดงการ c2 = a2 + b2 - 2ab cos C
พิสูจนอยางละเอียด โดยครูและนักเรียน เรยี กความสัมพนั ธดังกลาววา กฎของโคไซน
ในช้ันเรียนรวมกันตรวจสอบความสมเหตุ
สมผลของการพิสูจน 106
เฉลย Thinking Time
พจิ ารณารปู สามเหลีย่ มมุมปา น ABC = bbxx
จากรูปสามเหลี่ยมมมุ ฉาก ADC จะได cos (180 ํ - A) =
-cos A
-b cos A = x
และโดยทฤษฎบี ทพที าโกรัส จะได b2 = h2 + x2
พจิ ารณารูปสามเหลย่ี มมุมฉาก BDC โดยทฤษฎบี ทพีทาโกรสั จะไดวา
a2 = h2 + (x + c)2
= h2 + x2 + 2xc + c2
= (h2 + x2) + 2xc + c2
= b2 + 2xc + c2
= b2 + c2 - 2bc cos A
ดงั น้ัน a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
ในทาํ นองเดยี วกัน สามารถพสิ จู นไ ดว า
b2 = a2 + c2 - 2ac cos B
T112 c2 = a2 + b2 - 2ab cos C
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
กฎของไซน ในรปู สามเหลยี่ ม ABC ใด ๆ ขน้ั สอน
ถา a, b และ c เปนความยาวของดานตรงขา มมุม A, B และ C ตามลําดบั จะไดวา
รู (Knowing)
a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
b2 = a2 + c2 - 2ac cos B ครใู หนักเรียนจับคศู ึกษาตัวอยางที่ 67-68 ใน
c2 = a2 + b2 - 2ab cos C หนงั สอื เรยี น หนา 107-108 จากนนั้ ครถู ามคาํ ถาม
เพือ่ ตรวจสอบความเขาใจของนกั เรียน ดังน้ี
ตวั อยา่ งที่ 67
• จากตัวอยางที่ 67 ใชความสัมพันธใดของ
กาํ หนดรปู สามเหลย่ี ม ABC เปน รูปสามเหลี่ยมที่มคี วามยาวดานตรงขา มของมมุ A กฎของโคไซนใ นการหาความยาวดาน a
มมุ B และมมุ C เปน a, b และ c ตามลาํ ดบั โดย A∧ = 30,ํ b = 6 หนว ย และ c = 10 หนว ย (แนวตอบ ใชค วามสัมพนั ธข อง
ใหหาความยาวของ a a2 = b2 + c2 - 2bc cos A)
วธิ ีทาํ เนอ่ื งจาก a2 = b2 + c2 - 2bc cos A • จากตัวอยางท่ี 68 ใชความสัมพันธใดของ
กฎของโคไซนในการหาขนาดของมมุ A
(แนวตอบ ใชความสัมพันธข อง
a2 = b2 + c2 - 2bc cos A)
= 62 + 102 - 2(6)(10) cos 30 ํ
23
= 36 + 100 - 120
32.08
≈
จะได a ≈ 5.66
ดังนั้น a มีคาความยาวประมาณ 5.66 หนว ย
ลองทําดู
กําหนดรูปสามเหล่ียม ABC เปนรูปสามเหลี่ยมที่มีความยาวดานตรงขามของมุม A
มมุ B และมมุ C เปน a, b และ c ตามลาํ ดบั โดย B∧ = 45 ,ํ a = 4 หนว ย และ c = 9 หนว ย
ใหห าความยาวของ b
ตวั อยา่ งท่ี 68
กาํ หนดรูปสามเหลีย่ ม ABC เปน รปู สามเหล่ียมที่มีความยาวดานตรงขามของมมุ A
มมุ B และมุม C เปน a, b และ c ตามลาํ ดับ โดย a = 10 หนว ย, b = 2 หนวย
และ c = 2 หนวย ใหหาขนาดของมุม A
วิธที าํ จากกฎของโคไซน a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
จะได ( 10)2 = 22 + ( 2)2 - 2(2)( 2) cos A
10 = 4 + 2 - 4 2 cos A
ฟงกชันตรีโกณมิติ 107
ขอ สอบเนน การคดิ
ขอ ใดคอื ขนาดของมมุ ทใ่ี หญท ส่ี ดุ ของรปู สามเหลย่ี มทม่ี ดี า นทง้ั สามยาว x, y และ
x2 + 3xy + y2 หนว ย
1. 90 องศา 2. 120 องศา 3. 150 องศา 4. 180 องศา
(เฉลยคาํ ตอบ เนอ่ื งจากดา นทย่ี าว x 2 + 3xy + y 2 หนว ย เปน ดา นทยี่ าวทส่ี ดุ ดงั นน้ั มมุ ตรงขา ม
ดา นท่ียาว x 2 + 3xy + y 2 หนวย จึงเปนมุมท่ใี หญที่สุด
xθ y
โดยกฎของโคไซน x 2 + 3xy + y 2
จะได ( x 2 + 3xy + y 2)2 = x2 + y2 - 2xy cos θ cos θ = - 23
x 2 + 3xy + y 2 = x2 + y2 - 2xy cos θ θ = 150 ํ
3xy = -2xy cos θ
cos θ = -23xxyy ดังนน้ั คาํ ตอบ คอื ขอ 3.) T113
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สอน 4 2 cos A = 6 - 10
cos A = -4
เขา ใจ (Understanding) 42
cos A = - 12
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ดงั นั้น A = 135 ํ
หนา 107-108 จากน้ันครูสุมนักเรียนออกมา
แสดงวิธที าํ อยา งละเอียด โดยครูและนกั เรียน ลองทําดู
ในชนั้ เรยี นรวมกันตรวจสอบความถกู ตอง กําหนดรูปสามเหลี่ยม ABC เปนรูปสามเหล่ียมที่มีความยาวดานตรงขามของมุม A
มมุ B และมมุ C เปน a, b และ c ตามลาํ ดบั โดย a = 6 หนวย, b = 13 หนวย และ
2. ครใู หนกั เรียนจบั คทู าํ แบบฝกทกั ษะ 1.12 ขอ c = 14 หนวย ใหห าขนาดของมุม B
1.-7. ในหนงั สือเรียน หนา 108-109 จากนั้น
ครูสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีทํา โดยครู แบบฝกึ ทักษะ 1.12
ตรวจสอบความถกู ตอง
กําหนดรูปสามเหล่ียม ABC เปนรูปสามเหล่ียมท่ีมีความยาวดานตรงขามของมุม A มุม B
3. ครใู หน ักเรียนทาํ Exercise 1.12 ในแบบฝก หดั และมุม C เปน a, b และ c ตามลําดับ
เปน การบาน
ระดบั พื้นฐาน
ลงมอื ทาํ (Doing)
1. ใหใชก ฎของไซนเพ่ือหาคาในแตล ะขอตอ ไปนี้
ครูใหน ักเรยี นแบง กลุม กลมุ ละ 4-5 คน คละ 1) ใหห าความยาวของ a เม่อื A∧ = 30 ,ํ C∧ = 45 ํ และ c = 8 หนว ย
ความสามารถทางคณติ ศาสตร (ออน ปานกลาง 2) ใหห าความยาวของ b เมอ่ื A∧ = 45 ํ, B∧ = 60 ํ และ a = 7 หนว ย
และเกง ) ใหอ ยกู ลมุ เดยี วกนั แลว ทาํ กจิ กรรม ดงั น้ี 3) ใหหาขนาดของมุม B เมื่อ A∧ = 60 ํ, a = 3 2 หนว ย และ b = 2 3 หนวย
4) ใหหาขนาดของมุม C เมอื่ B∧ = 45 ,ํ b = 2 2 หนวย และ c = 2 3 หนว ย
• ใหน กั เรยี นทําแบบฝกทกั ษะ 1.12 ขอ 8. ใน
หนังสือเรียน หนา 109 2. ใหใชกฎของโคไซนเพื่อหาคา ในแตล ะขอ ตอ ไปนี้
1) ใหห าความยาวของ b เม่อื B∧ = 60 ํ, a = 3 หนวย และ c = 3 3 หนว ย
• ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ทาํ ความเขา ใจรว มกนั 2) ใหหาความยาวของ a เมื่อ A∧ = 60 ,ํ b = 20 หนว ย และ c = 30 หนว ย
หลังจากน้ันครูสุมนักเรียนในแตละกลุม 3) ใหห าขนาดของมมุ A เม่ือ a = 25 หนว ย, b = 31 หนว ย และ c = 7 2 หนวย
ออกมาเฉลยคําตอบอยางละเอียด โดย 4) ใหห าขนาดของมมุ C เม่อื a = 15 หนว ย, b = 7 หนวย และ c = 13 หนวย
ครูและเพื่อนในช้ันเรียนรวมกันตรวจสอบ
ความถกู ตอง
108
เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills
ครูควรประเมินความเขาใจของนักเรียนกอนทําแบบฝกทักษะ 1.12 ใน ครูใหนักเรยี นปฏิบัตติ ามข้นั ตอนตอไปนี้
หนังสือเรียน หนา 108-109 โดยใหนักเรียนบอกกฎท่ีนํามาใชในแตละขอ • ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง
พรอ มบอกเหตุผล
คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง ) ใหอ ยูกลมุ เดยี วกนั
• ใหนักเรียนแตละกลุมสรางโจทยท่ีใชกฎของไซนและกฎของ
โคไซนในการแกโ จทยป ญ หา พรอมทัง้ แสดงวธิ ที ําอยางละเอียด
• จากนั้นใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอขอมูลผาน
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนาํ เสนออืน่ ๆ
ตามทน่ี ักเรียนถนัด
T114
นาํ สอน สรปุ ประเมิน
ระดับกลาง ขนั้ สรปุ
3. ใหห าความยาวดา นหรอื มมุ ภายในทเี่ หลอื ของรปู สามเหลยี่ ม ABC จากสง่ิ ทกี่ าํ หนดในแตล ะขอ ครูถามคําถามเพ่ือสรุปความรูรวบยอดของ
ตอ ไปน้ี นักเรยี น ดงั นี้
1) a = 2, b = 2 3, c = 2 • ก(แฎนขวตอองบไซsนinaม Aีคว=ามsสinbัมBพนั=ธsวinาcอCย)า งไร
2) A∧ = 75 ํ, B∧ = 30 ํ, b = 8 • กฎของโคไซนมคี วามสมั พันธว า อยางไร
3) a = 4, B∧ = 135 ํ, b = 4
4) A∧ = 45 ํ, B∧ = 105 ,ํ c = 5 2 (แนวตอบ a2 = b2 + c2 - 2bc cos A
b2 = a2 + c2 - 2ac cos B
4. กาํ หนดรปู สามเหลย่ี ม ABC มี a = 4 หนวย b = 4 3 หนว ย และ c = 4 หนวย ใหห าขนาด c2 = a2 + b2 - 2ab cos C)
ของมุมทใ่ี หญท ี่สดุ ขน้ั ประเมนิ
5. กําหนดรปู สามเหล่ยี ม ABC มีมุม A และมมุ B เปนมุมแหลม โดย cos A = 54 , sin B = 1132 1. ครตู รวจแบบฝกทกั ษะ 1.12
และ b = 30 หนวย ใหห าความยาวของ c 2. ครูตรวจ Exercise 1.12
3. ครปู ระเมินการนาํ เสนอผลงาน
6. กําหนดรปู สามเหล่ยี ม ABC มี B∧ = 45 ํ, C∧ = 120 ํ และ a = 20 หนว ย ใหห าความสงู 4. ครสู ังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานรายบุคคล
ของรปู สามเหลี่ยม ABC ที่วดั จากจดุ A 5. ครูสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุม
6. ครสู ังเกตความมีวนิ ัย ใฝเ รียนรู
7. กําหนด ABCDEF เปนรูปหกเหลี่ยมดานเทามุมเทา โดยที่แตละดานยาว 6 นิ้ว ใหหา
ความยาวของเสน ทแยงมุม AD และ AC มงุ มนั่ ในการทาํ งาน
ระดบั ทา ทาย
8. กาํ หนดรปู สเ่ี หลย่ี มดา นขนานมมี มุ มมุ หนงึ่ มขี นาด 120 องศา และความยาวของดา นประกอบ
มมุ นยี้ าว 4 และ 8 เซนติเมตร ใหห าความยาวของเสนทแยงมมุ ทง้ั สองเสนของรปู น้ี
ฟงกชันตรีโกณมิติ 109
กจิ กรรม ทาทาย แนวทางการวัดและประเมินผล
ครแู บง กลมุ ใหน กั เรยี น กลมุ ละ 3-4 คน ชว ยกนั ทาํ โจทยป ญ หา ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทํา
ตอไปน้ี แบบฝก ทกั ษะ 1.12 ขอ 8. ในขนั้ ลงมอื ทาํ โดยศกึ ษาเกณฑก ารวดั และประเมนิ ผล
จากแบบประเมนิ ของแผนการจัดการเรยี นรูในหนว ยการเรยี นรูท ่ี 1
สุณีมีท่ีดินแปลงหนึ่งเปนรูปประกอบท่ีมีมุมหน่ึงเปนมุมฉาก
และดานท่ีเปนดานประกอบมุมฉากนี้มีความยาวเทากัน โดยมุม แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่
ท่ีอยูตรงขามมุมฉากมีขนาด 45 องศา และดานท่ีประกอบมุมน้ี
ยาว 30 เมตร และ 50 เมตร อยากทราบวา ที่ดินแปลงนมี้ พี ืน้ ท่ี คาช้ีแจง : ใหผ้ สู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ✓ลงในช่องที่
ก่ตี ารางเมตร ตรงกบั ระดับคะแนน
หมายเหตุ : ครูควรจัดกลุมโดยคละความสามารถทาง การทางาน การมี
คณติ ศาสตรข องนักเรยี น (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยกู ลมุ ตามทีไ่ ดร้ ับ
เดยี วกนั ลาดับที่ ชื่อ – สกลุ การแสดง การยอมรับ มอบหมาย ความมนี ้าใจ สว่ นร่วมใน รวม
ของนกั เรยี น ความคดิ เหน็ ฟงั คนอ่ืน การปรบั ปรุง 15
คะแนน
ผลงานกล่มุ
321321321321321
เกณฑก์ ารให้คะแนน ลงชือ่ ...................................................ผปู้ ระเมิน
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ............../.................../...............
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน
ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T115
นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั นาํ (Deductive Method) 1.13 การหาระยะทางและความสงู
กาํ หนดขอบเขตของปญ หา ในระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 3 นกั เรียนไดศ กึ ษาการใชอตั ราสวนตรโี กณมติ ิของมมุ 30 องศา
45 องศา และ 60 องศา ในการแกปญ หาเกยี่ วกับระยะทางและความสงู ซ่งึ ในหวั ขอน้ี นกั เรยี น
1. ครถู ามคาํ ถามเพอื่ ทบทวนความรนู กั เรยี น ดงั น้ี จะไดนําความรูเก่ยี วกบั ฟงกชนั ตรโี กณมติ ิ กฎของไซน กฎของโคไซน มุมกม และมมุ เงยมาชว ย
• ในการแกปญหาเกี่ยวกับระยะทางและ ในการแกปญ หาเก่ียวกบั ระยะทางและความสงู ดงั ตวั อยา งตอไปนี้
ความสูงใชค วามรเู รอ่ื งใดบา ง
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดห ลากหลาย ตัวอยา่ งท่ี 69
ขึ้นอยูกับพื้นฐานความรู เชน อัตราสวน
ตรโี กณมติ ิ มุมกม และมมุ เงย) เกงยืนอยูบนพ้ืนราบมองเห็นยอดตึกแหงหนึ่งเปนมุมเงย 15 องศา และเม่ือเดิน
เขาไปหาตึกอกี 100 เมตร เขามองเห็นยอดตึกเปนมุมเงย 75 องศา ถา เกงสงู 185
2. ครูกลา ววา ในการแกป ญ หาเกย่ี วกบั ระยะทาง เซนตเิ มตร แลว ตกึ มคี วามสูงเทาใด
และความสงู ใชค วามรเู กย่ี วกบั ฟง กช นั ตรโี กณมติ ิ วิธีทาํ D
กฎของไซน กฏของโคไซน มมุ กม และมมุ เงย
15 ํ 75 ํ
ขนั้ สอน
A 100 เมตร BC
แสดงและอธบิ ายทฤษฎี หลักการ
กาํ หนด CD เปนความสูงจากระดับสายตาถึงยอดตึก
1. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาตวั อยา งที่ 69 ในหนงั สอื เรยี น จดุ A เปน จุดทเ่ี กงยนื มองยอดตึกในคร้ังแรก
หนา 110-111 แลว ถามคาํ ถามนกั เรยี นวา จุด B เปนจุดที่เกงยืนมองยอดตกึ ในคร้ังหลงั
• จากตัวอยางท่ี 69 นักเรียนจะหาความสูง
แ(ขแลอนะงวตคตึกวอาบไมดใอสชยมั กาพฎงันไขธรอขงอไงซมนมุ สsiอnBงD1เ5ทาํ )= sinA6B0 ํ จาก CB∧D = 75 ํ จะได AB∧D = 105 ํ
ดังนัน้ AD∧B = 180 ํ - (15 ํ + 105 ํ) = 60 ํ
2. จากน้ันครูอธิบายซ้ําอีกครั้ง เพื่อใหนักเรียน พิจารณา ∆ABD โดยกฎของไซน
เขา ใจมากยง่ิ ขนึ้ พรอ มทงั้ เปด โอกาสใหน กั เรยี น จะได siBnD15 ํ = sinAB60 ํ
ถามเม่อื เกดิ ขอสงสัย ดังนน้ั BD = AB ssiinn 1650 ํํ
= 100 ssiinn 1605 ํํ
พิจารณา ∆BCD
จะได sin 75 ํ = CBDD
ดงั น้ัน CD = BD sin 75 ํ
= 100 ssiinn 1605 ํํ cos 15 ํ
110
เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรางเสริม
ครูควรใชก ารถาม-ตอบ เพือ่ ทบทวนการหาระยะทางและความสงู ในระดบั ครใู หน กั เรียนจบั คแู ลวชวยกนั แสดงความคดิ เห็นและอภปิ ราย
ช้นั มธั ยมศึกษาปท่ี 3 วา ตอ งใชอตั ราสวนตรีโกณมติ ิใด ตอ งนาํ ความรูเร่อื งใด รวมกันวา “นกั เรียนคิดวา อตั ราสวนตรโี กณมติ ิ กฎของไซน และ
มาใชบ า ง และใชค าํ ถามกระตนุ ความคดิ เชน นกั เรยี นคดิ วา กฎของไซนแ ละกฎ กฎของโคไซนม คี วามแตกตา งกนั อยา งไร” และ “ถา รปู สามเหลย่ี ม
ของโคไซนจ ะใชห าระยะทางและความสงู ไดห รอื ไม เพราะเหตใุ ด ทกี่ าํ หนดใหไ มเ ปน รปู สามเหลยี่ มมมุ ฉาก นกั เรยี นจะหาคา ของไซน
และโคไซนไดอยา งไร”
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรยี นเกงและนกั เรยี นออ นจับคูกัน
T116
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
= 100 sin 15 2ํ c3os 15 ํ ขนั้ สอน
100
= 3 (2 sin 15 ํ cos 15 )ํ ใชท ฤษฎี หลักการ
= 1030 (sin 2 (15 )ํ ) ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
100 หนา 111 เพ่ือตรวจสอบความเขา ใจของนกั เรียน
= 3 (sin 30 )ํ จากนั้นครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาแสดง
วธิ ที ําบนกระดาน โดยครูตรวจสอบความถูกตอ ง
= 100 21
3 แสดงและอธบิ ายทฤษฎี หลักการ
≈ 29
เนอ่ื งจาก เกงสูง 185 เซนตเิ มตร เทากบั 1.85 เมตร 1. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาตวั อยา งท่ี 70 ในหนงั สอื เรยี น
ดงั นั้น ยอดตกึ สงู ประมาณ 29 + 1.85 = 30.85 เมตร หนา 111-112 แลว ถามคาํ ถามนกั เรยี นวา
• จากตัวอยางท่ี 70 นกั เรยี นสามารถหา
ลองทําดู ระยะหางของเรือสองลําไดอยางไร
วทิ ยายืนอยบู นพ้นื ราบมองเหน็ ระเบยี งของอาคารแหง หน่ึงเปน มุมเงย 15 องศา และ (แนวตอบ ใชก ฎของไซน sinADDC∧A = sinCDDA∧C)
เมื่อเดินเขาไปหาอาคารแหงน้ัน 80 เมตร เขามองเห็นระเบียงเปนมุมเงย 60 องศา
ถาวิทยาสงู 170 เซนตเิ มตร แลว ระเบยี งของอาคารสงู เทาใด 2. จากน้ันครูอธิบายซํ้าอีกคร้ัง เพื่อใหนักเรียน
เขา ใจมากยง่ิ ขน้ึ พรอ มทง้ั เปด โอกาสใหน กั เรยี น
ตัวอยา่ งท่ี 70 ถามเมื่อเกิดขอสงสยั
เจา หนา ทบ่ี นหอคอยแหง หนง่ึ มองเหน็ เรอื สองลาํ ลอยอยกู ลางทะเลเปน มมุ กม 45 องศา ใชท ฤษฎี หลักการ
และ 75 องศา ตามลําดับ ถาหอคอยสูง 15 เมตร แลวเรือทั้งสองลําอยูหางกัน
เทา ใด ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 112 เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน
จากนนั้ ครขู ออาสาสมคั รนกั เรยี นออกมาแสดงวธิ ที าํ
บนกระดาน โดยครตู รวจสอบความถูกตอ ง
วิธที ํา กําหนด BC เปนความสูงของหอคอย E 45 ํ 75 ํ C
15 ม.
CE เปนเสน ระดบั สายตา
จุด A เปนตําแหนงของเรือลําแรก DB
จุด D เปน ตาํ แหนง ของเรือลาํ ทส่ี อง
จาก AC∧E = 45 ํ และ DC∧E = 75 ํ จะได DC∧A = 30 ํ A
และจาก AB // CE จะได BA∧C = 45 ํ และ BD∧C = 75 ํ
พิจารณา ∆DBC จะได sin 75 ํ = CBCD
ดงั นนั้ CD = sin1575 ํ
ฟงกชันตรีโกณมิติ 111
กิจกรรม 21st Century Skills เกร็ดแนะครู
ครูใหนกั เรยี นปฏิบัตติ ามข้ันตอนตอไปน้ี จากตัวอยางท่ี 70 ในหนังสือเรียน หนา 111-112 ครูควรใชการถาม-ตอบ
• ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง เพื่อใหนักเรียนไดคิดวิเคราะห เชื่อมโยงความยาวของดานและขนาดของมุม
ทก่ี าํ หนดเพ่ือนาํ มาหาดาน AD ดังนี้
คณิตศาสตร (ออ น ปานกลาง และเกง) ใหอ ยกู ลมุ เดียวกัน
• ใหนักเรียนแตละกลุมสรางโจทยปญหาที่ตองใชกฎของไซนใน • นกั เรียนหาขนาดของ AC∧D ไดห รอื ไม เพราะเหตใุ ด
• ดา น AD และ AC∧D มีความสัมพนั ธก ันหรือไม อยา งไร
การแกป ญ หาเพื่อหาคาํ ตอบ และแสดงวธิ ีทําอยางละเอียด • จาก ∆ADC นักเรยี นใชกฎของไซนไ ดหรอื ไม และหาขนาดของมมุ หรอื
• จากนั้นใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอขอมูลผาน
ความยาวของดา น เพราะเหตุใด
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรอื โปรแกรมนาํ เสนออ่นื ๆ • นกั เรยี นจะตองทําอยา งไรจงึ จะหาดา น AD ได
ตามที่นักเรยี นถนดั
T117
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สอน = 1 15 3
แสดงและอธบิ ายทฤษฎี หลักการ +
22
1. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาตวั อยา งท่ี 71 ในหนงั สอื เรยี น ≈ 15.53
หนา 112-113 แลว ถามคาํ ถามนกั เรยี นวา พิจารณา ∆ADC โดยกฎของไซน
• นกั เรยี นสามารถหาระยะทางทส่ี ชุ าตอิ ยหู า ง จะได sinADDC∧A = sinCDDA∧C
จากจดุ เร่มิ ตนไดอยา งไร (15.53) sin 30 ํ
(แนวตอบ ใชก ฎของโคไซน ดงั นน้ั AD = sin 45 ํ
b2 = a2 + c2 - 2ac cos B
ใชก ฎของไซน = (15.53) 21
sin BaA∧C = sin AbB∧C ) 22
≈ 10.98
2. จากนั้นครูอธิบายซ้ําอีกครั้ง เพ่ือใหนักเรียน นน่ั คอื เรอื ทั้งสองลําอยูห างกนั ประมาณ 10.98 เมตร
เขา ใจมากยง่ิ ขนึ้ พรอ มทงั้ เปด โอกาสใหน กั เรยี น
ถามเมื่อเกิดขอ สงสัย ลองทําดู
เจาหนาที่บนหอบังคับการบินมองเห็นเคร่ืองบินสองลําจอดอยูบนรันเวยเปนมุมกม
ใชท ฤษฎี หลักการ 30 องศา และ 70 องศา ตามลําดบั ถา หอบงั คบั การบนิ สูง 130 เมตร แลวเครื่องบนิ
ท้ังสองลําอยูหา งกนั เทาใด
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 113 เพ่ือตรวจสอบความเขา ใจของนกั เรียน ตวั อย่างท่ี 71 BN2
จากนนั้ ครขู ออาสาสมคั รนกั เรยี นออกมาแสดงวธิ ที าํ
บนกระดาน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง สชุ าติขบั รถจากจุด A ไปในแนวเฉยี งไปทางทศิ ตะวันออก โดย
ทาํ มุม 30 องศา กับทิศเหนอื เปนระยะทาง 20 กิโลเมตร ไปยัง c= 20 30ํ a= 10
จดุ B จากนั้นเขาขบั รถตอไปในแนวเฉียงไปทางทศิ ตะวนั ออก N1
โดยทํามมุ 30 องศา กบั ทศิ ใตเ ปน ระยะทาง 10 กิโลเมตร ไปยงั C
30 ํ
จุด C ใหห าวา สุชาติอยหู างจากจุดเริม่ ตน เปนระยะทางเทาใด A b S2
และอยูในทศิ ใดของจดุ เร่ิมตน S1
วิธีทาํ จดาังกนร้นั ูปAAB∧NC1 ขนานกบั BS2 จะได AB∧ S2 = N1A∧ B = 30 ํ
= 30 ํ + 30 ํ = 60 ํ
จากกฎของโคไซน b2 = a2 + c2 - 2ac cos B
= 102 + 202 - 2(10)(20) cos 60 ํ
= 100 + 400 - 200
b2 = 300
112 b = 10 3
เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills
ครูควรใหนักเรียนวาดรูปบนกระดานแลวใหนักเรียนบอกความแตกตาง ครูใหน กั เรยี นปฏิบัติตามขัน้ ตอนตอ ไปน้ี
ระหวางตัวอยางที่ 71 กับตัวอยา งที่ 69 และตัวอยา งที่ 70 ในหนังสือเรียน หนา • ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละความสามารถทาง
110-113 หรือครูอาจสุมนักเรียนใหบอกแนวคิดการหาระยะทางจากจุดเริ่มตน
และแนวคดิ การหาทศิ ทาง เพ่ือตรวจสอบความเขาใจของนกั เรียน คณิตศาสตร (ออน ปานกลาง และเกง ) ใหอยูในกลุมเดียวกัน
• ใหนักเรียนแตละกลุมสรางโจทยปญหาท่ีตองใชกฎของโคไซน
ในการแกปญ หาเพ่ือหาคําตอบ และแสดงวธิ ีทาํ อยา งละเอยี ด
• จากนั้นใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอขอมูลผาน
โปรแกรม Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออ่นื ๆ
ตามที่นกั เรยี นถนัด
T118
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สอน
แสดงและอธบิ ายทฤษฎี หลักการ
จากกฎของไซน sin BaA∧C = sin AbB∧C ครูยกตัวอยางเพ่ิมเติมบนกระดาน พรอมทั้ง
sin1B0A∧C = s1in0630 ํ ถามคาํ ถามนักเรยี น ดงั นี้
sin BA∧C = 11003 × 23 สมชายและสมชาติยืนอยูจุดเดียวกันและว่ิง
= 12 ออกพรอมกันจากจุดท่ียืนอยู โดยสมชายว่ิงไป
ยงั จุด A เปนระยะทาง 4 กโิ ลเมตร และสมชาติ
จะได BA∧C = 30 ํ และ N1A∧C = 30 ํ + 30 ํ = 60 ํ ว่ิงไปยังจุด B เปนระยะทาง 2.5 กิโลเมตร ถา
ดงั นั้น สุชาตอิ ยูหางจากจุดเริม่ ตนเปน ระยะทาง 10 3 กิโลเมตร ไปในแนวเฉยี งไปทาง ท้ังสองคนวิ่งออกจากกันโดยทํามุม 45 องศา
จงหาระยะหางระหวา งจดุ A และจดุ B
ทิศตะวนั ออก โดยทาํ มมุ 60 องศา กับทิศเหนือ • โจทยต อ งการทราบอะไร
ลองทําดู (แนวตอบ หาระยะหางระหวางจุด A และ
จดุ B)
เอกขบั รถจากจดุ A ไปในแนวเฉยี งไปทางทศิ ตะวนั ตก โดยทาํ มมุ 70 องศา กบั ทศิ ตะวนั ตก • นักเรียนสามารถหาระยะหา งระหวางจดุ A
เปนระยะทาง 40 กิโลเมตร ไปยังจดุ B จากน้นั เขาขับรถตอ ไปในแนวเฉียงไปทางทศิ และจดุ B ไดอ ยางไร
ตะวนั ออกโดยทํามมุ 30 องศา กบั ทิศตะวนั ออกเปนระยะทาง 20 กิโลเมตร ไปยงั จดุ (แนวตอบ ใชก ฎของโคไซน
C ใหหาวา เอกอยูหา งจากจดุ เริ่มตน เปน ระยะทางเทา ใด และอยูในทศิ ใดของจดุ เร่มิ ตน กําหนดให ระยะหางระหวางจุด A และ
a = 20 C E2 จุด B เทากับ c
W2 B 30 ํ จะได c2 = a2 + b2 - 2ab cos C)
c = 40 • ระยะหางระหวางจดุ A และจดุ B เทา กบั
เทาใด
W1 70 ํ A E1 (แนวตอบ จากกฎของโคไซน
ให A แทนสมชาย
B แทนสมชาติ
แบบฝึกทกั ษะ 1.13 C แทนจุดเริม่ ตน
จะได c2 = a2 + b2 - 2ab cos C
ระดับพ้นื ฐาน AB2 = BC2 + AC2 - 2(BC)(AC) cos BC∧A
1. ลูกเสือสองคนยืนอยูใ นแนวทิศใตข องเสาอากาศซึง่ สงู 95 เมตร ลกู เสือทั้งสองคนวัดมุมเงย = (2.5)2 + 42 - 2(2.5)(4) cos 45 ํ
2. ขนอกั งเรยียอนดคเสนาหไนดึ่ง 3ย0ืนอแยลบูะน4ส5นอามงศแาหงตหานมึ่งลาํ มดอบั งเลหกู น็ เสยืออทดั้งเสสาอธงงคเปนนนมีย้ ืนุมหเงา1ยงก1ัน5ปรอะงมศาาณแกต่เี มเมต่ือร 22
≈ = 6.25 + 16 - 20
เดินเขาไปหาเสาธงอีก 60 เมตร เขามองเห็นยอดเสาธงเปนมุมเงย 60 องศา ถาเขาสูง ≈ 8.108 กิโลเมตร
160 เซนตเิ มตร เสาธงมีความสงู เทา ใด ดังนั้น ระยะหางระหวางจุด A และจุด B
ประมาณ 8.108 กิโลเมตร)
ฟงกชันตรีโกณมิติ 113
กจิ กรรม สรางเสริม นักเรียนควรรู
ครูใหนกั เรยี นจบั คูแลว พจิ ารณาขอ ความตอไปนี้ 1 มุมเงย (angle of elevation) หมายถึง มุมทมี่ แี ขนของมมุ แขนหน่งึ อยใู น
เสาไฟฟาสองตนมีความสูงเทากัน ซึ่งอยูหางกัน 100 ฟุต ระดบั สายตาและอกี แขนหนง่ึ เชอื่ มระหวา งตาของผสู งั เกต และวตั ถซุ ง่ึ อยสู งู กวา
ชายคนหน่ึงยืนอยูระหวางเสาไฟฟาทั้งสอง สังเกตเห็นยอด ระดบั สายตา
เสาไฟฟาทั้งสองเปนมุมเงย 30 องศา และ 60 องศา นักเรียน
สามารถหาความสูงของเสาไฟฟาทั้งสองโดยใชกฎของไซนได
หรือไม อยางไร
หมายเหตุ : ครคู วรใหนักเรยี นเกงและนักเรียนออนจบั คกู ัน
T119
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน ระดับกลาง
3. นักสาํ รวจคนหน่ึงยนื อยูทิศตะวันออกเฉยี งใตของภเู ขาลกู หนง่ึ มองเหน็ ยอดเขาเปน มมุ เงย
ใชท ฤษฎี หลักการ
60 องศา เมอื่ เขาเดนิ ตรงไปทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใตเ ปน ระยะทาง 400 เมตร จะมองเหน็ ยอด
1. ครใู หนกั เรยี นแบง กลุม กลมุ ละ 3-4 คน คละ เขาเปน มมุ เงย 45 องศา ภเู ขาลกู น้ีสูงเทาใด
ความสามารถทางคณติ ศาสตร แลว ชว ยกนั ทาํ 4. รถยนต 3 คนั จอดทจ่ี ดุ A, B และ C บนพน้ื ระดบั และอยใู นแนวเสน ตรงเดยี วกนั กบั อนสุ าวรยี
แบบฝก ทกั ษะ 1.13 ในหนงั สอื เรยี น หนา 113- แหง หนง่ึ มุมยกขนึ้ ของยอดอนุสาวรยี เมอื่ สงั เกตจากจดุ A, B และ C เปน 30, 45 และ
114 แลวแลกเปล่ียนความรูกับคูของตนเอง 60 องศา ตามลาํ ดับ ถา BC = 20 เมตร ใหหาความสูงของอนุสาวรยี และระยะทางระหวา ง
จนเปนที่เขาใจรวมกัน จากน้ันครูสุมนักเรียน จุด A กบั อนุสาวรีย
ออกมาเฉลยอยางละเอียดบนกระดาน โดย 5. จากจดุ A ทีอ่ ยูท างทศิ ใตของเสาไฟฟา และทํามุมเงย 60 องศา กบั ยอดเสา จดุ B อยูทาง
ครูและนักเรียนในช้ันเรียนรวมกันตรวจสอบ ทศิ ตะวันออกของจุด A มองยอดเสาไฟฟา เปน มมุ เงย 30 องศา ถาระยะหางจากจุด A และ
ความถกู ตอง จุด B เทากบั 60 เมตร เสาไฟฟา สงู กเี่ มตร
2. ครใู หน ักเรยี นทํา Exercise 1.13 ในแบบฝก หดั ระดับทาทาย
เปน การบาน 6. ธรี ะชยั อยบู นดาดฟา ของตกึ สงู 30 เมตร มองเหน็ บตุ รชายของเขาอยบู นพนื้ ดนิ ทางทศิ ใตข อง
ตึกเปนมมุ กม 30 องศา และเห็นบุตรสาวของเขาอยูบนพน้ื ดนิ ทางทิศตะวนั ออกของตึกเปน
มุมกม 60 องศา บุตรชายและบุตรสาวอยหู างกันกเ่ี มตร
ตรวจสอบตนเอง
หลังจากเรียนจบหนว ยน้ีแลว ใหน ักเรียนบอกสญั ลักษณท ่ตี รงกบั ระดับความสามารถของตนเอง
1. สามารถหาจุดปลายสว นโคง ของวงกลมหนงึ่ หนว ยท่ีวัดจาก ดี พอใช คปวรรบั ปรงุ
จดุ (1, 0) เปนระยะ ͉θ͉ หนวย ได
2. สามารถหาคา ฟงกช นั ตรโี กณมิติของจาํ นวนจรงิ หรือมุมได
3. สามารถหาคา ของฟงกชนั ตรโี กณมิตโิ ดยใชตารางคา ฟงกช ัน
ตรโี กณมติ ิได
4. เขาใจและเขียนกราฟของฟงกชนั ตรโี กณมติ ไิ ด
5. แกสมการตรีโกณมติ ิและนาํ ไปใชในการแกปญหาได
6. ใชก ฎของโคไซนและกฎของไซนใ นการแกป ญ หาได
114
เฉลย คณติ ศาสตรในชีวิตจริง
กาํ หนด CD เปนความสงู จากระดบั สายตาถึงยอดพระปรางค D
จดุ A เปน จดุ ทสี่ ธุ ยี ืนมองยอดพระปรางคในครง้ั แรก
จุด B เปน จดุ ทสี่ ธุ ยี ืนมองยอดพระปรางคในครั้งหลัง
ssiinn 4455 ํํ ccooss 3300 ํํ - ssiinn 3300 ํํ ccooss 4455 ํํ
1. จาก CA∧D = 75 ํ และ CD = 81.85 เมตร AC = 81.85 × -
ดังนน้ั AD∧C = 180 ํ - (90 ํ + 75 )ํ = 15 ํ
พจิ ารณา ∆ACD โดยกฎของไซน 22 23 - 21 22 81.85 เมตร
= 81.85 × 22 23 + 21 22
จะได siAnC15 ํ = siCn D75 ํ
ดังน้นั AC = CD ×
81.85 ×ssiinnssi17inn55((ํํ4455 = 81.85 × 6- 2
= ํํ +- 3300 )ํ ํ) ≈ 21.93 6+ 2 AB C
นน่ั คือ สุธอี ยหู างจากพระปรางคเ ปนระยะทางประมาณ 21.93 เมตร
T120
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
คณิตศาสตร์ในชีวิตจริง ขนั้ สอน
พระปรางคว ดั อรณุ ราชวรารามราชวรมหาวิหาร ใชท ฤษฎี หลักการ
พระปรางควัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรอื เรยี กสั้น ๆ วา พระปรางควัดอรณุ ฯ เปน
หนึ่งในสถาปตยกรรมที่สวยงามที่สุดแหงหน่ึงของกรุงรัตนโกสินทร และมีความสูง 81.85 เมตร ซ่ึง 3. ครูใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรมโดยใชเทคนิค
เปนพระปรางคท่มี ีความสูงทีส่ ดุ ในโลก คูคดิ (Think Pair Share) ดงั นี้
• ใหนักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง
จากคณติ ศาสตรใ นชวี ติ จรงิ ในหนงั สอื เรยี น
หนา 115
• ใหนักเรียนกับเพ่ือนแลกเปลี่ยนคําตอบกัน
สนทนาซกั ถามซง่ึ กนั และกนั จนเปน ทเี่ ขา ใจ
รวมกัน
• ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา
ชั้นเรียน โดยครูและนักเรียนในชั้นเรียน
รวมกนั ตรวจสอบความถกู ตอง
สถานการณ
สุธีเดินทางไปชมพระปรางคที่วัดอรุณ ฯ เม่ือไปถึงเขายืนอยูริมฝงแมน้ําเจาพระยาซึ่งอยูตรง
ขามกับพระปรางควดั อรณุ ฯ ซงึ่ มคี วามสงู 81.85 เมตร อยากทราบวา
1. สธุ อี ยหู างจากพระปรางคเ ปน ระยะทางเทาใด เมอื่ เขามองไปยงั ยอดพระปรางคเปน มมุ เงย
เทา กับ 75 ํ
2. ถา สุธเี ดินเขา ใกลพ ระปรางคไปอีก 5 เมตร แลวมองไปยังยอดพระปรางคอ ีกครง้ั นักเรยี น
คิดวา เขาจะมองเหน็ ยอดพระปรางคดวยมุมเงยมากกวาหรือนอยกวาเดิม ใหอ ธิบายโดยใช
หลักการของตรโี กณมิติ
ฟงกชันตรีโกณมิติ 115
2. ถา สุธีเดินเขาใกลพระปรางคอีก 5 เมตร สุธจี ะอยูหา งจากพระปรางค
ประมาณ 21.93 - 5 = 16.93 เมตร
พจิ ารณา ∆ ∆ACD
tan A = CACD
AC tan A = CD
พจิ ารณา ∆ ∆CBD
tan B = CBCD
จะได tan B = ACBtCan A
≈ 21.9136t.9a3n 75 ํ
≈ 1.3 tan 75 ํ
ดงั น้นั ถา สุธเี ดินเขาใกลพ ระปรางคอีก 5 เมตร สธุ จี ะมองดว ยมมุ เงย
มากกวา เดมิ
T121
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สรปุ สรปุ แนวคดิ หลกั
ตรวจสอบและสรปุ ฟงั กช์ นั ตรโี กณมติ ิ
1. ครูใหนักเรียนศึกษา “สรุปแนวคิดหลัก” ใน การวดั ความยาวสว่ นโค้งและพิกดั ของจุดปลายส่วนโคง้
หนงั สอื เรยี น หนา 116-119 จากนน้ั ใหน กั เรยี น
นําความรูท่ีไดมาเขียนเปนผังมโนทัศนหนวย • วงกลมที่เปนกราฟของความสัมพันธ {(x, y)∊R × R͉ x2 + y2 = 1} เรยี กวา วงกลมหนึง่ หนวย
การเรียนรูที่ 1 ฟงกชันตรีโกณมิติ ลงใน (unit circle)
กระดาษ A4 ตกแตง ใหส วยงาม เมอื่ ทาํ เสรจ็ แลว • การวัดความยาวสวนโคง และพกิ ดั ของจดุ ปลายสวนโคงบนวงกลมหนง่ึ หนวย เปนดังน้ี
นําสง ครเู พ่อื ตรวจสอบความถูกตอง
Y θ > 0 จะวดั สว นโคง จากจุด (1, 0) ไปในทิศทาง
2. ครูถามคําถามเพ่ือสรุปความรูรวบยอดของ p(θ) (0, 1) θ > 0 ทวนเข็มนาฬกาเปน ระยะ ͉θ͉ หนว ย
นักเรยี น ดังน้ี
• คาของฟงกชันไซนและฟงกชันโคไซนของ (-1, 0) O (1, 0X) θ = 0 จุดปลายสว นโคงคอื จุด (1, 0)
0(แ,นπ2วต, อπบ, π4ส,ามπ3า, รπ6ถหหาาไไดดโอดยยา กงาไรรใชวงกลม p(θ) θ<0 θ < 0 จะวัดสว นโคงจากจดุ (1, 0) ไปในทิศทาง
หนึ่งหนวย หรือการพิจารณากราฟของ
ฟง กชันไซนและฟงกชันโคไซน) (0, -1) ตามเข็มนาฬก าเปน ระยะ ͉θ͉ หนว ย
• ในจตภุ าคที่ 1 ฟง กช นั ตรโี กณมติ ใิ ดมคี า เปน
จํานวนบวก คา่ ของฟังก์ชันไซนแ์ ละฟังก์ชนั โคไซน์
(แนวตอบ ฟงกชันตรีโกณมิติทุกคามีคาเปน
จํานวนบวก) • ฟงกช นั ไซนและฟง กช นั โคไซน
• ในจตภุ าคที่ 2 ฟง กช นั ตรโี กณมติ ใิ ดมคี า เปน - ฟง กชันโคไซน คอื f = {(θ, x)∊R × R͉ x = cosθ}
จาํ นวนบวก - ฟง กช ันไซน คอื g = {(θ, y)∊R × R͉ y = sinθ}
(แนวตอบ ฟง กช นั ไซนแ ละฟง กช นั โคเซแคนต
เปนจํานวนบวก) • คา ของฟง กชนั ไซนแ ละฟง กช ันโคไซนของจํานวนจริงใด ๆ
• ในจตภุ าคท่ี 3 ฟง กช นั ตรโี กณมติ ใิ ดมคี า เปน
จาํ นวนบวก กําหนด θ เปน จาํ นวนจรงิ ใด ๆ จะไดวา sin (π - α) = sin α sin (2nπ + α) = sin α
(แนวตอบ ฟงกชันแทนเจนตและฟงกชัน 1. cos (-θ) = cos θ cos (π - α) = -cos α cos (2nπ + α) = cos α
โคแทนเจนตเ ปนจํานวนบวก) 2. sin (-θ) = -sin θ sin (π + α) = -sin α
• ในจตภุ าคที่ 4 ฟง กช นั ตรโี กณมติ ใิ ดมคี า เปน cos (π + α) = -cos α sin (2π - α) = -sin α
จํานวนบวก cos (2π - α) = cos α
(แนวตอบ ฟง กช นั โคไซนแ ละฟง กช นั เซแคนต
เปน จํานวนบวก) ฟังก์ชนั ตรโี กณมิติอื่น ๆ Y
• กําหนด θ เปน จาํ นวนจริงใด ๆ จะไดว า sin θ และ cosec θ ทุกฟงกช นั มีคา
1. tan θ = csoinsθθ เมอ่ื cos θ 0 มคี าเปน บวก เปน บวก
2. cot θ = csoinsθθ เมื่อ sin θ 0 Q2 Q1
3. sec θ = co1s θ เมอ่ื cos θ 0 x
4. cosec θ = sin1θ เม่อื sin θ 0 tan θ และ cot θ Q3 Q4
มีคาเปน บวก cos θ และ sec θ
มีคาเปนบวก
116
ขอสอบเนน การคิด
คา ของ csoetc6455ํ cํ soins 2459 ํํ csions2451ํ ํ เทา กบั ขอ ใด
1. 0 2. 12 3. 22 4. 2
(เฉลยคําตอบ จากโจทย จะสังเกตเหน็ วา มมุ 65 ํ + 25 ํ = 90 ํ และ 41 ํ + 49 ํ = 90 ํ จะไดวา
csoetc6545ํ cํ soins 4295 ํํ scinos2451ํ ํ = tsaenc2455ํ cํ soins4295ํํssiinn 2459 ํํ
= tsaenc2455ํ cํ soins2255ํํ
= sect4a5nํ 2ta5nํ 25 ํ
= sec145 ํ
= 22
ดงั นน้ั คําตอบคอื ขอ 3.)
T122