The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง

การเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง

การเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง ปิยะพร สุไชยสิทธิ์ วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2567


การเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง ปิยะพร สุไชยสิทธิ์ วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2567


ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง ผู้วิจัย ปิยะพร สุไชยสิทธิ์ อาจารย์ที่ปรึกษา นางสาวกัลยกร ภักดี ที่ปรึกษาร่วม นางสุภาวดี แสนสิทธิ์ สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยก่อน และหลังได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลางกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็ก ปฐมวัย ชาย-หญิง ที่กําลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีจำนวน 14 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง รูปแบบการวิจัยคือ แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังผู้วิจัยเป็น ผู้ดำเนินการทดลองด้วยตนเอง โดยทำการทดลองเป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน คือ วันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ทุกช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์ในเวลา 09.00 - 10.00 น. วันละ 1 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 24 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ภาคกลาง และแบบทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตราฐานและการสอบทีที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน


กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาจาก อาจารย์กัลยกร ภักดี อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย และ นางสุภาวดี แสนสิทธิ์ ที่ปรึกษาร่วม ที่ได้กรุณาให้คำปรึกษา ชี้แนะ แนวทางต่างๆ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการสถานศึกษาและคณะครูโรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟ สงเคราะห์สำนักงานการศึกษาเทศบาลนครอุดรธานีทุกท่านที่อำนวยความสะดวก ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้ตลอด ขอขอบใจนักเรียน ชั้นอนุบาลปีที่ 3/1 โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ ปีการศึกษา 2566 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือ ในการทดลองเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา สมาชิกทุกคนในครอบครัวของผู้วิจัย ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง แห่งความสำเร็จครั้งนี้ คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจผู้วิจัย คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีของงานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบแต่คุณบิดา มารดาผู้ เป็นบุพการี ตลอดจนบูรพาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ผู้วิจัยและผู้มีพระคุณทุกท่านสืบไป ปิยะพร สุไชยสิทธิ์


สารบัญ บทคัดย่อ.......…………………………………………………………………………………………………………………… ก กิตติกรรมประกาศ...........................................................………………………………………………………. ข สารบัญ............................................................……………………………………………………………………… ค สารบัญตาราง…………………………………………………………………………………………………………………… จ สารบัญภาพ.................................................................................................................................... ฉ บทที่ หน้า 1 บทนำ…………………………………………………………………………………………………………………………. 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา………………………………………………………………. 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย..................................................................................... ………. 3 สมมติฐานของการวิจัย................................................................................................... 3 ขอบเขตของการวิจัย...................................................................................................... 3 นิยามศัพท์เฉพาะ........................................................................................................... 4 ประโยชน์ที่ได้รับ............................................................................................................ 5 กรอบแนวคิดในการวิจัย................................................................................................. 5 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………………………………… 6 การจัดกิจกรรมประกอบอาหาร..................................................................................... 7 ความหมายของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร.................................................... 7 ความสำคัญของกิจกรรมประกอบอาหาร............................................................... 7 ประเภทของกิจกรรมประกอบอาหาร…………………………………………………………… 10 ขั้นตอนของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร.......................................................... 11 บทบาทครูในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร………………………………………………… 12 ประโยชน์ของกิจกรรมประกอบอาหาร.................................................................. 13 ความหมายการประกอบอาหารภาคกลาง…………………………………………………….. 15 การประกอบอาหารภาคกลางตามเทศกาลและพิธีต่าง ๆ...................................... 16 ประโยชน์ของอาหารภาคกลาง.............................................................................. 17 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาหารภาคกลาง............................................. 18


สารบัญ(ต่อ) บทที่ หน้า 2 ต่อ ทักษะการคิดวิเคราะห์ …………………………………………………………………………………….. 21 ความหมายของการคิดวิเคราะห์……………………………………………………………………. 21 ประเภทของการคิดวิเคราะห์.................................................................................. 23 ลักษณะของการคิดวิเคราะห์................................................................................... 26 กระบวนการคิดวิเคราะห์......................................................................................... 27 เทคนิคการคิดวิเคราะห์........................................................................................... 28 ประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์................................................................................ 29 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทักษะการคิดวิเคราะห์............................................................ 30 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการคิดวิเคราะห์......................................................... 35 ขั้นตอนการการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง............................................ 38 3 วิธีดำเนินการวิจัย....................................................................................................................... 40 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง............................................................................................ 40 แบบแผนการทดลอง...................................................................................................... 40 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................................................ 41 การเก็บรวบรวมข้อมูล……………………………………………………………………………………….. 47 การวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................................................ 47 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………. 47 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………………………………… 50 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………………….. 50 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.................................................................................................... 50 ค่าสถิติพื้นฐานทักษะการคิดวิเคราะห์เด็กปฐมวัย................................................... 50 เปรียบเทียบคะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง การจัดกิจกรรมการประกอบอาหารภาคกลาง............................................................... 50


สารบัญ(ต่อ) บทที่ หน้า 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ของการวิจัย..................................................................................... ………. 52 สมมติฐานของการวิจัย................................................................................................... 52 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง............................................................................................ 52 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................................................ 52 การดำเนินการจัดกิจกรรม............................................................................................. 53 การวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................................................ 53 สรุปผลการวิจัย.............................................................................................................. 53 อภิปรายผลการวิจัย....................................................................................................... 53 ข้อเสนอแนะ.................................................................................................................. 54 ข้อเสนอแนะในการนำผลวิจัยไปใช้......................................................................... 54 ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป...................................................................... 55 เอกสารอ้างอิง................................................................................................................................. 56 ภาคผนวก........................................................................................................................................ 60 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ...................................................... 60 ภาคผนวก ข ดัชนีความสอดคล้อง (OC) ของแบบทดสอบวัดการคิดวิเคราะห์ ของเด็กปฐมวัย............................................................................................................... 61 ภาคผนวก ค ค่าอำนาจจำแจก (r) และคำความเชื่อมั่นแบบทดสอบวัดทักษะการคิด วิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย................................................................................................ 65 ภาคผนวก ง ดัชนีความสอดคล้อง (OC) ของแผนการจัดกิจกรรมการประกอบ อาหารภาคกลาง............................................................................................................ 67


สารบัญ หน้า ภาคผนวก (ต่อ) ภาคผนวก จ ตัวอย่างแผนการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารภาคกลาง..................... 70 ภาคผนวก ฉตัวอย่างแบบทดสอบวัดทักษาะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย.............. 80 ภาคผนวก ช ตัวอย่างภาพการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง........................... 88 ภาคผนวก ซ ตัวอย่างภาพการทดสอบการคิดวิเคราะห์................................................ 96 ประวัติย่อผู้วิจัย.............................................................................................................................. 102


สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 แบบแผนการทดลอง..........………………………………………………………………………………………… 40 2 รายการประกอบอาหาร 24 กิจกรรม ใน 8 สัปดาห์.............................................................. 41 3 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ ของคะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์ ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารภาคกลาง…………….......... 51 4 การเปรียบเทียบคะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง ได้รับการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารภาคกลาง............................................................... 51 5 ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ ของเด็กปฐมวัย....................................................................................................................... 64 6 ค่าอำนาจจำแนก (r) และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดทักษะ การคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย............................................................................................. 66 7 ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง.................... 68


สารบัญตาราง ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดการวิจัย..........……………………………………………………………………………………. 5 2 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง............................................................... 39 3 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารภาคกลาง……………………………… 43 4 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย………………………… 45


บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวมบน พื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการตาม วัยของเด็กแต่ละคนให้เต็มตามศักยภาพ ภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความ รักความเอื้ออาทร และความเข้าใจของทุกคนเพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2560 : 2) เด็กปฐมวัยเป็นวัยแห่งการเริ่มต้นเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ เป็นวัยที่มี ความสำคัญมากที่สุดของ ชีวิตมนุษย์ เพราะพัฒนาการแต่ละด้านของเด็กจะพัฒนาและเติบโตอย่าง รวดเร็วและเด็กสามารถ เรียนรู้ได้ในทุกสถานการณ์ การเรียนรู้จึงมีอิทธิพลต่อชีวิตในอนาคตของเด็ก โดยเฉพาะในภาวะสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งเทคโนโลยีสารสนเทศและการหลั่งไหล ทางวัฒนธรรม (อำพวรรณ์ เนียมคำ. 2545: 1) การคิดเป็นความสามารถของสมองที่ประมวลข้อมูลที่ได้จากการรับรู้มาสร้างเป็นองค์ ความรู้ในตนเอง ซึ่งสามารถพัฒนาขึ้นได้ตั้งแต่วัยเด็ก "กระบวนการคิด" จึงเป็นสิ่งสำคัญที่โรงเรียน ต้องจัดให้ผู้เรียนทุกระดับชั้น โดยเฉพาะการศึกษาปฐมวัย ที่มุ่งให้เด็กมีนอกจากนี้สำนักงานรับรอง มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) การคิดของเด็กปฐมวัยเป็นกระบวนการที่ เกิดขึ้นในสมองที่มีผลจากการรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นใน ชีวิตประจำวันทั้งที่เด็กรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว การคิด ของเด็กปฐมวัยจะเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของสมองและกระบวนการ ทำงานของสมอง ซึ่งการทำงาน ของสมองจะพัฒนาด้านการคิดของเด็ก จากการสังเกตเด็กปฐมวัยจะพบว่าการคิด ของเด็กเกิดขึ้น ตลอดเวลา เมื่อเด็กคิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดเป็นพฤติกรรมหรือสะท้อนออกมาในรูปการกระทำ เด็กจะ เริ่มต้นพัฒนาด้านการคิดจากการรับรู้ของประสาท สัมผัสซึ่งเป็นประสบการณ์แรกหรือเป็นขั้นต้นของ พัฒนาการทางการคิด การคิดของเด็กเป็นไปตามสิ่งที่เด็กเห็น ได้ยิน รู้รส รู้สึก เด็กจะพัฒนาเครื่องมือ ในการคิด คือ สัญลักษณ์ (Symbo) เด็กจะมองวัตถุไม่เพียงแต่ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่จะมองว่าสิ่งนั้น เป็น ตัวแทนหรือใช้แทนอะไรได้บ้าง โดยใช้คำพูดเป็นการสื่อความหมาย ประสบการณ์ซ้ำๆ จะช่วยให้ เด็กพัฒนาได้เร็ว ขึ้น (อารมณ์ สุวรรณปาล. 2551:8-11) การคิดวิเคราะห์เป็นอีกประเภทหนึ่งของการ คิดที่เป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และการดำเนินชีวิต บุคคลที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์


2 จะมีความสามารถในด้านอื่นๆ เหนือกว่าบุคคลอื่นๆ ทั้งทางด้าน สติปัญญาและการดำเนินชีวิต การ คิดวิเคราะห์เป็นพื้นฐานของการคิดทั้งมวล เป็นทักษะที่ทุกคนสามารถพัฒนาได้ซึ่งประกอบด้วย ทักษะสำคัญ คือการสังเกต การเปรียบเทียบ การคาดคะเนและการประยุกต์ใช้ การประเมิน การ จำแนกแยกแยะประเภท การจัดหมวดหมู่ การสันนิษฐาน การสรุปผลเชิงเหตุผล การศึกษาหลักการ การเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ทักษะการคิดวิเคราะห์เป็นทักษะการคิดระดับสูงที่เป็น องค์ประกอบสำคัญของกระบวนการคิดทั้งมวล ทั้งการคิดวิจารณญาณและการดแก้ปัญหา (ประพันธ์ ศิริ สุเสารัจ. 2551:18) การจัดกิจกรรมและประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาการคิด ครูปฐมวัย ต้องเป็นผู้รู้จักคิดหา กิจกรรมทางการคิดมาจัดเป็นประสบการณ์ให้กับเด็ก และเข้าใจหลักการและ วิธีการจัดประสบการณ์อย่างถูกต้องซึ่งหลักการจัดประสบการณ์ในการพัฒนาด้านการคิด คือ จัดให้ เด็กได้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติโดยการคันคว้าจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ศึกษานอก สถานที่ ประกอบอาหาร เล่นเกมการศึกษา ฝึกแก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน (อารมณ์ สุวรรณปาล. 2551:8-35) กิจกรรมประกอบอาหารเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานเร้าความสนใจในการเรียนรู้ของเด็กเป็น อย่างดีโดยเฉพาะเด็กปฐมวัยเรียนรู้ได้ดีด้วยการกระทำ อันจะนำไปสู่การเรียนรู้สิ่งที่สลับซับซ้อนขึ้น จากการที่เด็กได้ลงมือปฏิบัติโดยการสำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ได้สังเกตลักษณะ รูปร่าง รูปทรง ขนาด สี ปริมาณ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของอาหารดิบและสุก รับรู้รส กลิ่นของอาหาร เปรียบเทียบ ความเหมือน-ต่าง ซึ่งเรียนรู้ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เด็กต้องใช้สติปัญญาและการคิดในการจัด หมวดหมู่และหาความสัมพันธ์ ของการประกอบอาหาร การจัดประสบการณ์ดังกล่าวจะ ส่งเสริมให้ เด็ก รู้จักคิดลงมือทำด้วยตนเอง นอกจากนี้เด็กยังได้เรียนรู้กระบวนการทำงานร่วมกับผู้อื่น เริ่มตั้งแต่ การวางแผนไปจนถึงการทำความสะอาดอุปกรณ์และสถานที่ ซึ่งประสบการณ์จากการประกอบ อาหารจะทำให้เด็กได้รับความรู้ เกิดความรู้สึกประสบผลสำเร็จ และเป็นการปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดี ในการรับประทานอาหารต่อไป จากความสำคัญที่กล่าวมา ผู้วิจัยจึงเห็นถึงความสำคัญของทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็ก ปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารภาคกลาง ว่ามีทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ต้องการ พัฒนาหลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์หรือไม่


3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัด กิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง สมมติฐานของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดสมมติฐานของการวิจัย ดังนี้ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลางมีทักษะการคิดวิเคราะห์ หลังได้รับการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนหลังได้รับการจัดกิจกรรม ขอบเขตของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตของการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากร เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง ที่กําลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์สำนักงานการศึกษาเทศบาลนครอุดรธานี 2. กลุ่มตัวอย่าง เด็กปฐมวัย อายุ 5-6 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ สำนักงานการศึกษาเทศบาลนครอุดรธานีจำนวน 14 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3 ตัวแปรในการวิจัย จำแนกเป็น 2.1 ตัวแปรต้น กิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง 2.2 ตัวแปรตาม ทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย 4. ระยะเวลาในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้ระยะเวลาการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 1 ชั่วโมง


4 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. เด็กปฐมวัย เด็กนักเรียนที่อยู่ในช่วงอายุ 5-6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3/1 โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์ สำนักงานการศึกษาเทศบาลนครอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 2. กิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง หมายถึง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ประกอบ อาหารประเภทอาหารคาวและอาหารหวาน ที่ใช้กระบวนการทำอาหารอย่างเป็นขั้นตอนเพื่อให้เด็กได้ แสดงความคิดเห็นของตนเองร่วมกับผู้อื่น และเปิดโอกาสให้เด็กเลือกใช้อุปกรณ์ วัตถุดิบ ในการ ประกอบอาหารเสนอในขั้นตอนการทำ และนำเสนอผลงานเมนูอาหารของตนเอง ดังนี้ ขั้นนำ นำเข้าสู่กิจกรรมด้วยการสนทนา เล่าประสบการณ์ของตนเอง การท่องคำคล้อง จองภาพปริศนาคำทาย หรือการใช้สื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจและสร้าง ความพร้อมก่อนเริ่มกิจกรรม ขั้นดำเนินกิจกรรม โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. เด็กและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อปฏิบัติ และข้อ ควรระวังในขณะปฏิบัติกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง 2. ครูแนะนำเมนูอาหาร เครื่องปรุง วัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ในการประกอบอาหารภาค กลางโดยเน้นให้เด็กได้สังเกตและบอกชื่อวัสดุอุปกรณ์และส่วนผสมที่ตนเองรู้จัก 3. เด็กและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อปฏิบัติ และข้อ ควรระวังในขณะปฏิบัติกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง 4. เด็กวางแผนแบ่งหน้าที่ในการทำกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลางร่วมกัน 5. ลงมือทำกิจกรรมตามที่ได้วางแผนไว้ โดยครูมีบทบาทในการให้คำแนะนำ และ กระตุ้นให้เด็กได้จำแนกเปรียบเทียบ จัดหมวดหมู่ และหาความสัมพันธ์ 6. เมื่อทำกิจกรรมเสร็จแล้วให้เด็กทุกคนร่วมกันเก็บอุปกรณ์และทำความสะอาด สถานที่ให้เรียบร้อย ขั้นสรุป เด็กและครูร่วมกันสรุปขั้นตอนในการประกอบอาหารภาคกลาง โดยที่ครูใช้คำถาม ปลายเปิดกระตุ้นให้เด็กเสนอผลงานและทบทวนกระบวนการทำงาน 3. ทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย หมายถึง ความสามารถในการจำแนกแจกแจง องค์ประกอบต่าง ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในการใช้เหตุผล แยกแยะ


5 ทักษะการคิดวิเคราะห์ - การจำแนกเปรียบเทียบ - การจัดหมวดหมู่ - การหาความสัมพันธ์ ความเหมือน ความแตกต่างของข้อมูลที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง แบ่งย่อย ออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้ 1. การจำแนกเปรียบเทียบ คือ ความสามารถในการสังเกตจำแนกแยกแยะรายละเอียด ของสิ่งต่างๆ หรือเหตุการณ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกันออกเป็นส่วน ๆ อย่างมีหลักเกณฑ์และเข้าใจง่าย แล้วเปรียบเทียบ ระบุ ยกตัวอย่าง ระบุลักษณะความเหมือนความต่าง และจัดกลุ่มของสิ่งต่างๆ หรือ เหตุการณ์ได้ โดยเริ่มจากระดับง่ายแบบนามธรรมไปสู่ขั้นซับซ้อนที่เป็นนามธรรม 2. การจัดหมวดหมู่คือ ความสามารถในการรวมเอาสิ่งที่เหมือนกันที่ได้จากการสังเกต การจำแนก เปรียบเทียบมาไว้เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ สิ่งของ โดยจัดแยกประเภทตามคุณสมบัติ ของสิ่งเหล่านั้นประไพ แสงดา.2544 : 25 ; อ้างอิงจาก Morrow. 1993: 245) ดังนี้ 3. การหาความสัมพันธ์ หมายถึง ความสามาถในการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล จำแนก แยกแยะ พิจารณาไตร่ตรอง วัตถุของสิ่งต่างๆ ที่มีความเชื่อมโยงกัน โดยใช้แบบทดสอบความ สารถในการวิเคราะห์ด้านการจัดหมวดหมู่และด้านการหาความสัมพันธ์ ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ได้ทราบผลการเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัด กิจกรรมประกอบอาหารภาคกลางก่อนและหลังการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง 2. ครูผู้สอนในระดับชั้นปฐมวัยสามารถนำกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลางที่สร้างขึ้นไปใช้ ประกอบการจัดประสบการณ์ในครั้งต่อไปได้ กรอบแนวคิดในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีกรอบแนวคิดในการวิจัยดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย การจัดการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง


6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม ประกอบอาหารภาคกลาง ผู้วิจัยได้ศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องตามหัวข้อ ดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 1.1 ความหมายกิจกรรมประกอบอาหาร 1.2 ความสำคัญของกิจกรรมประกอบอาหาร 1.3 ประเภทของกิจกรรมประกอบอาหาร 1.4 ขั้นตอนของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 1.5 บาบาทครูในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 1.6 ประโยชน์ของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 1.7 ความหมายการประกอบอาหารภาคกลาง 1.8 การประกอบอาหารภาคกลางตามเทศกาลและพิธีต่างๆ 1.9 ประโยชน์ของอาหารภาคกลาง 1.10 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาหารภาคกลาง 2. ทักษะการคิดวิเคราะห์ 2.1 ความหมายของการคิดวิเคราะห์ 2.2 ประเภทของการคิดวิเคราะห์ 2.3 ลักษณะการคิดวิเคราะห์ 2.4 กระบวนการคิดวิเคราะห์ 2.5 เทคนิคการคิดวิเคราะห์ 2.6 ประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ 2.7 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทักษะการคิดวิเคราะห์ 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการคิดวิเคราะห์ 3. ขั้นตอนการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง


7 การจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 1. ความหมายของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร แจ๊คแมน (Jackman) กล่าวว่า กิจกรรมประกอบอาหารเป็นกิจกรรมท่ได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์ตรง เรียนรู้จากกระบวนการในการทำงาน เริ่มตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงการทำความ สะอาดอุปกรณ์และสถานที่ ประสบการณ์ที่ได้รับจากการประกอบอาหารจะทำให้เด็กได้รับความรู้เกิด ความรู้สึกประสบผลสำเร็จ และเป็นการปลูกฝังลักษณะนิสัยในการรับประทานอาหารที่ติดตัวไป ตลอดชีวิต (อารีรัตน์ ญาณะศร 2544: 35: อ้างอิงจาก Jackman 1997 : 190) อัญชลีไสยวรรณ (253: 19 ได้กล่าวว่า การทดลองเป็นกิจกรรมที่สำคัญมากกิจกรรมหนึ่งของการ เรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสลงมือกระทำหรือปฏิบัติด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ นักเรียนรู้จักค้นคว้าหาเหตุผลและสามารถแก้ปัญหาได้ วไลพร พงษ์ศรีทัศน์ (2536: 6) และบุญประจักษ์ วงษ์มงคล (2536: 8) กล่าวว่า กิจกรรมประกอบอาหารเป็นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสได้ลงมือทดสอบและปฏิบัติการด้วยตนเอง จากของจริง โดยใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้ ปวีณา (นามแฝง) (2539: 113) กล่าวว่ากิจกรรมประกอบอาหารเป็นกระบวนการให้ เด็กรู้จักคิดลงมือทำ และนำไปสู่ผลลัพธ์ด้วยตัวเด็กเอง ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญต่อการคิดและเรียนรู้ ในเรื่องอื่นด้วย จากความหมายของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร เป็นกิจกรรมที่เด็กได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์ตรงจากกระบวนการในการทำงาน เปิดโอกาสให้เด็กทดลองและปฏิบัติตัวยตนเองจาก สถานการณ์จริง โดยอาศัยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เรียนรู้จากกระบวนการในการทำงานทำให้เด็กรู้จักคิด วางแผน ลงมือกระทำ และนำไปสู่ผลลัพธ์ด้วยตัวของเด็กเอง 2. ความสำคัญของกิจกรรมประกอบอาหาร การประกอบอาหารเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานและเร้าความสนใจในการเรียนรู้ของเด็ก เป็นอย่างดีกิจกรรมนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อผลงานและอาหารที่ทำสำเร็จแต่อยู่ที่กระบวนการระหว่าง การทำกิจกรรมเป็นสำคัญ ลาวัลย์ พลกล้ำ (2553: 3) ได้กล่าวถึงคุณค่าและความสำคัญของการจัดประสบการณ์ แบบปฏิบัติการไว้ ดังนี้ 1. ช่วยให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดในเรื่องนั้น


8 2. เกิดจินตนาการและเกิดความคิดสร้างสรรด์ในการหาขบวนการและวิธีการต่าง ๆ 3. นักเรียนจะสามารถถ่ายโยงคณิตศาสตร์เข้ากับโถกภายนอกห้องเรียน หรือชีวิต จริงเพราะประสบการณ์ที่ได้รับเกิดจากการทำกิจกรรมที่ปฏิบัติจริง ทำให้เกิดมโนภาพในเรื่องนั้น ๆ นักเรียนรู้สึกว่าคณิตศาสตร์ไม่เป็นสิ่งลึกลับ 4. การเรียนจากการปฏิบัติจริงนักเรียนจะเกิดดวามเข้าใจอย่างถ่องแท้ทำให้เกิด ความสามารถในการถ่ายโยง (Transfer) การเรียนรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พึ่งประสงค์อย่างยิ่งของการศึกษา 5. การเรียนแบบปฏิบัติการทำให้นักเรียนอยู่ในบรรยากาศที่ไม่เคร่งครัดทำให้ นักเรียนมีทัศนคติ เจตคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ 6. เปิดโอกาลในการนำปัญหาต่าง ๆ มาให้นักเรียนคิดโดยอาศัยวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นเครื่องช่วยในการวิเคราะห์โจทย์นั้น ให้เป็นรูปธรรมหรือกึ่งรูปธรรม ให้เกิดภาพพจน์เข้าใจปัญหา 7. ช่วยเร้าให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นในการแก้ปัญหา 8. เสริมสร้างทักษะในการคิดคำนวณ 9. บรรยากาศในชั้นเรียนจะเป็นแบบนักเรียนเป็นศูนย์กลาง นักเรียนต้องไต้คิด ได้ ทำ มีการแสดงความคิดเห็น และรับผิดชอบต่องานของตนเอง ดาห์ล (อารีรัตน์ ญาณะศร. 2544: 36; อ้างอิงจาก Dahl. จุดมุ่งหมายในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ดังนี้ 1. การอ่าน เด็กอ่านรายการอาหารซึ่งแสดงด้วยรูปวาดที่มีคำหรือจำนวน 2. คณิตศาสตร์ เด็กเรียนรู้ด้วยการนับ การวัด การเรียงลำดับ การกะประมาณ ครูใช้คำถามกระตุ้นให้เด็กสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น 3. วิทยาศาสตร์ พัฒนาการใช้ประสาทสัมผัส เด็กทุกคนมีโอกาสที่จะดม สัมผัส ชิม 4. กิจกรรมสร้างสรรค์ เด็กใช้จินตนาการในการประกอบอาหาร ตกแต่งรูปร่าง รูปทรงการเลือกใช้สี 5. เรียนรู้ทักษะทางสังคม เป็นตัวของตัวเอง ปฏิบัติตามข้อตกลง ช่วยเหลือแปงปัน และร่วมมือกับผู้อื่นการวาด และเขียน 6. เด็กบันทึกประสบการณ์การประกอบอาหารที่โรงเรียนหรือที่บ้าน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (2535: 7) ได้กำหนดจุดมุ่งหมายของการ จัดกิจกรรม ประกอบอาหารไว้ดังนี้ 1. สนุกสนาน ปลูกฝังให้เด็กรักการทำงาน


9 2. สังเกตกระบวนการเปลี่ยนแปลง อารมณ์ สังคม และสติปัญญา 3. สร้างทัศนคติที่ดีในการรับประทานอาหาร 4. ส่งเสริมพัฒนาการทางตำนร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาเกิดขึ้น 5. ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสที่ 5 ได้แก่ การสังเกต การชิมรส การดมกลิ่น การฟัง เสียงที่เกิดขึ้น และการสัมผัส 6. รู้จักขั้นตอนการเตรียม จัดเก็บและทำความสะอาด 7. รู้มารยาทในการรับประทานอาหาร 8. เพิ่มพูนพัฒนาการทางภาษา 9. เพิ่มทักษะขบวนการทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ 10. รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม พร พันธุ์โอสถ (2543: 32) ทสาวถึงจุดมุ่งหมายในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร คือ การประกอบอาหารจะช่วยให้เด็กเรียนรู้พร้อมไปกับการพัฒนาเจตจำนงของตน สำหรับเด็กแล้วการ เปลี่ยนแปลงจากเมล็ดข้าวแข็ง ๆ มาเป็นผงแป้ง หรือท้ายที่สุดกลายเป็นขนมหลากรูปแบบ กล่าวได้ ว่าเป็นกระบวนการที่นำอัศจรรย์ใจ ชวนตื่นเต้น ด้วยเหตุนี้เด็กจึงใจจด ใจจ่อเรียนรู้ไปกับกระบวนการ ทำอาหารจนกลายมาเป็นอาหารให้เด็กรับประทานและแบ่งปันกับเพื่อน ๆ การได้เห็นได้ทำ และภาค ภูมีใจกับการทำอาหาร ทำให้เด็กเห็นคุณค่าของการทำงานและพัฒนาขึ้นมาเป็นพลังเจตจำนงในตัว เด็กภายหลัง เคลฟแสตด (Klefstad) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมประกอบอาหารมีส่วนช่วยให้เด็กเกิด การเรียนรู้ ดังนี้ 1. ภาษา การเขียนและการอำน เด็กคุ้นกับเสียงอักษรลำดับเหตุการณ์คิดภาษามา อธิบายเหตุการณ์ใช้ภาษาอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น สังเกตการณ์เขียนคำ และการสร้าง หนังสือขึ้นมา 2. คณิตศาสตร์ เด็กได้เรียนรู้ทักษะการวัด ทักษะการกะประมาณ ความคิดรวบบอด ของคำว่า มากกว่า-น้อยกว่า มาก-น้อย เต็ม-ว่างเปล่า เปรียบเทียบจำนวน การนับ 3. วิทยาศาสตร์ เด็กใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ฝึกทักษะในการสังเกต การทำนาย 4. ทักษะการใช้กล้ามเนื้อเล็ก เด็กได้ตัดหรือหั่นส่วนผสม จัดตกแต่งอาหาร 5. ศิลปะ โดยการนำเศษวัสดุที่เหลือจากการประกอบอาหาร เช่น เปลือกถั่ว เปลือก ไข่มาสร้างงานศิลปะ


10 6. สุขภาพอนามัย ฝึกให้มีสุขนิสัยที่ดีรักษาความสะอาด รู้จักแยกแยะอาหารที่มี ประโยชน์และไม่มีประโยชน์ รู้จักใช้อุปกรณ์ในการประกอบอาหารอย่างปลอดภัย 7. นตรี เด็กร้องเพลงที่เกี่ยวกับการประกอบอาหาร เล่นกับนิ้วมือ หรือเนื้อเพลง 8. การเรียนรู้ทางสังคม พัฒนาพฤติกรรมความร่วมมือและทักษะทางสังคม การมี ส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่ม เรียนรู้จากเพื่อนและให้คำแนะนำแก่เพื่อน (อารีรัตน์ ญาณะศร. 2544: 36: อ้างอิงจาก Klefstad. 1955: 33) สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมประกอบอาหารเป็นกิจกรรมที่สร้างความสนใจการเรียนรู้ ของเด็กช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ในเรื่องภาษา สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ คณิศาสตร์ จิตใจ สั่งคมและ สติปัญญารู้สึกประสบความสำเร็จ ตลอดจนพัฒนาโดยองค์รวม ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจสังคม และ สติปัญหา 3. ประเภทของกิจกรรมประกอบอาหาร หม่อมหลวงพวง ทินกร (2529: Online) ได้กล่าวไว้ว่า 1. การตำ หมายถึง การนำอาหารอย่างหนึ่งอย่างใด หรือหลายๆ อย่างมารวมกัน แล้วตำเข้าด้วยกันบางอย่างอาจตำเพื่อนำไปประกอบอาหารและบางอย่างตำเป็นอาหาร เช่น ปลาป่น กุ้งป่นน้ำพริกสด น้ำพริกแห้ง น้ำพริกเผา พริกกับเกลือ ส้มตำ 2. การยำ หมายถึง การนำผักต่างๆ เนื้อสัตว์และน้ำปรุงรสมาเคล้าเข้าด้วยกัน จนรส ซึม ซาบเสมอกัน ยำของไทยมีรสหลักอยู่ 3 รส คือ เปรี้ยว เค็ม หวาน สำหรับน้ำปรุงรสจะราดก่อน เวลารับประทานเล็กน้อยทั้งนี้เพื่อให้ยำมีรสชาติดี ยำผัก เช่น ยำผักกระเฉด ย้ำถั่วพู ยำเกสรชมพู่ ฯลฯ ยำเนื้อสัตว์ เช่น ยำเนื้อต่างๆ ยำไส้กรอก ยำหมูยอ ฯลฯ 3. การแกง หมายถึง อาหารน้ำ ซึ่งใช้เครื่องปรุงโขลกละเอียด นำมาละลายกับน้ำ หรือน้ำกะทิ ให้เป็นน้ำแกง มีเนื้อสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งผสมกับผักด้วย เช่นแกงส้ม แกงเผ็ด แกงคั่ว 4. การหลน หมายถึง การทำอาหารให้สุกด้วยการใช้กะทิข้นๆ มี 3 รส เปรี้ยว เค็ม หวานลักษณะน้ำน้อย ชัน รับประทานกับผักสด เพราะเป็นอาหารประเภทเครื่องจิ้ม เช่น หลน เต้าเจี้ยว หลนปลาร้า หลนเต้าหู้ยี้ ฯลฯ 5. การปิ้ง หมายถึง การทำอาหารให้สุกโดยวางของสิ่งนั้นไว้เหนือไฟไม่สู้แรงนัก การ ปิ้งต้องปิ้งให้ผิวสุกเกรียมหรือกรอบ เช่น การปิ้งข้าวตัง การปิ้งกล้วย การปิ้งขนมหม้อแกง


11 6. การย่าง หมายถึง การทำอาหารให้สุก โดยวางอาหารไว้เหนือไฟอ่อนๆ หมั่น กลับไปกลับมา จนข้างในสุกและข้างนอกอ่อนนุ่มหรือแห้งกรอบต้องใช้เวลานานพอสมควร จึงจะได้ อาหาร ที่มีลักษณะรสชาติดี เช่น การย่างปลา ย่างเนื้อสัตว์ต่างๆ 7. การต้ม หมายถึง การนำอาหารที่ต้องการต้มใส่หม้อพร้อมกับน้ำตั้งไฟให้เดือด จนกว่าจะสุก ใช้เวลาตามชนิดของอาหารนั้นๆ เช่น การต้มไข่ ต้มผัก ต้มเนื้อสัตว์ ฯลฯ 8. การกวน หมายถึง การนำอาหารที่มีลักษณะเป็นของเหลวมารวมกัน ตั้งไฟแรง ปานกลางใช้เครื่องมือชนิดใดชนิดหนึ่งคนให้เร็วและแรงจนทั่วกัน คือข้นและเหนียว ใช้มือแตะอาหาร ไม่ติดมือ เช่น การกวนกาละแม ขนมเปียกปูน ตะโก้ ถั่วกวน ฯลฯ 9. จี่ หมายถึง การทำอาหารให้สุกด้วยน้ำมัน โดยการทาน้ำมันน้อยๆ พอให้ทั่ว กระทะแล้วตักอาหารใส่ กลับไปกลับมาจนสุกตามต้องการ เช่น การทำขนมแป้งจี่ ขนมบ้าบิ่น เป็นต้น 10. หลาม หมายถึง การทำอาหารให้สุกในกระบอกไม้ไผ่โดยใช้ไม้ไผ่สดๆ ตัดให้มีข้อ ติดอยู่ข้างหนึ่ง แล้วบรรจุอาหารที่ต้องการหลามในกระบอกไม้ไผ่นั้น ก่อนหลามต้องใช้กาบมะพร้าว ห่อใบตอง อุดปากกระบอกเสียก่อน แล้วนำไปเผาจนสุก เช่น การหลามข้าวหลาม ฯลฯ สรุปได้ว่า อาหาร มีทั้งอาหารคาว หวาน ที่หลากหลาย กรรมวิธีการปรุงและการใช้ ภาชนะที่แตกต่าง การเลือกประเภทของอาหารเพื่อมาให้เด็กทำนั้น จะต้องคำนึงถึงขั้นตอนการทำที่ ไม่ยุ่งยากเกินไป และต้องระวังในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้วัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาหาร 4. ขั้นตอนของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร จากการศึกษาการจัดการกิจกรรมประกอบอาหาร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา เอกชน (2535 4 - 8) ได้กล่วถึงขั้นตอนการประกอบอาหารไว้ ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมงาน มีรายละเอียด ดังนี้ 1.1 ครูลำดับขั้นตอนการประกอบอาหารที่จะนำมาให้เด็กทำ 1.2 ทำแผนภูมิรายการอาหาร (อาจมีภาพแผนภูมิ) 1.3 ปรึกษาหารือกันระหว่างครูกับนักเรียน 1.4 ติดต่อขอความร่วมมือจากผู้ปกครองในการเตรียมสิ่งที่นำมาประกอบอาหาร เตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ ในการประกอบอาหาร 2. ขั้นปฏิบัติ 2.1 ก่อนลงมือประกอบอาหาร ควรปฏิบัติดังนี้ 2. 1.1 ครูติตแผนภูมิภาพ และขั้นตอนในการประกอบอาหารให้เด็ก


12 2.12 ครูวางแผ่นการจัดแบ่งงานให้เหมาะสมกับความสามารถของเด็ก 2.1.3 ครูจัดวางอุปกรณ์ทุกอย่างให้เด็กเห็นตามขั้นตอนการทำ 2.1.4 แนะนำขั้นตอนในการทำพร้อมกับแนะนำวิธีการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ข้อ ควรระวังในการใช้ และความปลอดภัยในการทำกิจกรรม 2.1.5 ให้เด็กล้างมือให้สะอาดก่อนเริ่มรับประทานอาหาร 2.2 ขณะรับประทานอาหารควรปฏิบัติดังนี้ 2.2.1ครูลงมือสาธิตการประกอบอาหารตามขั้นตอน (อย่างช้า ๆ) ในขั้นนี้ครู อาจให้เด็กลงมือปฏิบัติด้วย 2.2.2 กระตุ้นให้เด็กหัดสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของอาหารในขณะสาธิต เช่น สี กลิ่น รส ความขัน ไส รูปร่าง ลักษณะที่เปลี่ยนไป 2.2.3 ฝึกเด็กให้รู้จักการรอคอย รู้จักมารยาทในการทำงานร่วมกันโต๊ะ ทำ ความสะอาดโต๊ะ เก็บถ้วยชาม แท้วน้ำ และทำความสะอาดภาชนะ 2.2.4 ให้เด็กรู้จักแบ่งหน้าที่ในการทำงาน เช่น จัดเก็บสิ่งของที่ใช้แล้วเข้าที่ เก็บ ทำความสะอาดโต๊ะ เก็บถ้วยชาม เก็บแก้วน้ำ และทำความสะอาดภาชนะ 3. ขั้นสรุปกิจกรรม ฝึกให้เด็กปฏิบัติ ดังนี้ 3.1 ให้เด็กเล่าประสบการณ์ ขั้นตอนการทำอาหารและวัตถุดิบในการทำงาน อาหาร 3.2 สนทนา พูดคุยกับเด็กในข้อที่เด็กเกิดความสงสัย หรือเกิดปัญหา 3.3 ช่วยแนะนำสิ่งที่ควรเรียนรู้จากกิจกรรม 3.4 การกระตุ้นให้เด็กแสดงความคิดจากการร่วมกิจกรรม จากที่กล่าวมาข้างต้น พอสรุปได้ว่า ขั้นตอนการจัดกิจกรรมประกอบอาหารเริ่มตั้งแต่ ขั้นเตรียมงานปรึกษาหารือระหว่างครูกับเด็กเพื่อจัดเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ในการประกอบ อาหารให้พร้อม ส่วนขั้นปฏิบัติให้เด็กวางแผนแบ่งงานกันทำ โดยครูแนะนำเด็กให้ระมัดระวังการใช้ อุปกรณ์นั้นเอง อาจให้ความช่วยเหลือในโอกาสที่เหมาะสมและขั้นสรุปให้เด็กเล่าประสบการณ์ในการ ทำงานครูกระตุ้นให้เด็กแสดงความคิดเห็นจาก


13 5. บทบาทครูในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร แจ๊คแมน (Jackman) กล่าวถึงบทบาทครูในการจัดประสบการณ์การประกอบอาหาร ดังนี้ 1. วางแผนการจัดประสบการณ์การประกอบอาหาร 2. หาข้อมูลว่าเด็กแพ้อาหารประเภทใด 3. หาข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อของแต่ละครอบครัวเกี่ยวกับอาหาร เช่น อาหารประเภท ใด รับประทานได้ อาหารประเภทใดรับประทานไม่ได้ 4. บูรณาการการจัดประสบการณ์การประกอบอาหารให้เข้ากับเนื้อหาหน่วยการเรียน 5. อธิบายข้อจำกัดและบทบาทของเด็ก เช่น ล้างมือตัวยสบู่และน้ำก่อนและหลังการ เตรียมอาหาร และให้เด็กช่วยกันตั้งเกณฑ์ในขณะรับประทานอาหาร 6. ในเด็กเล็กให้เด็กปฏิบัติง่าย ๆ เช่น ล้างผัก-ผลไม้ หั่นผัก-ผลไม้ และผสม ส่วนประกอบของอาหารเข้าด้วยกันและชิม เพื่อให้เด็กว่ารู้ว่าตนประสบความสำเร็จ โดยไม่ต้องลงมือ ประกอบอาหาร 7. ครูมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กในข้อสรุปที่ถูกต้องที่เกี่ยวกับอาหาร การกะปริมาณ อุปกรณ์ แลกระบวนการต่าง ๆ ของกิจกรรมประกอบอาหาร พูดซ้ำ ๆ เพื่ออธิบายให้เด็กฟัง เด็กจะได้เกิดการ เรียนรู้ ทักษะทางภาษา 8. อภิปรายเกี่ยวกับอาหารร่วมกับเด็ก เช่น กลิ่นของอาหาร ส่วนผสม รสชาติ รูปร่าง 9. มีเวลาเพียงพอในการประกอบอาหารเพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ทั้งจากกระบวนการ ในการทำงานและผลของงาน 10. ในเด็กโตครูอธิบายชั้นการเจริญเติบโตของอาหาร การเก็บเกี่ยว การบรรจุ การ ขนส่งร้านค้าหรือตลาด การขาย การประกอบอาหารและการเสิร์ฟ ครูมีเวลาเพียงพอที่จะตอบคำถาม ของเด็ก ให้เด็กได้ทบทวนสิ่งที่เรียนรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น เล่นเกมลอตโต เกมจับคู่ อ่าน หนังสือ สร้างหนังสือ ทัศนศึกษา (อารีรัตน์ ญาณะตร. 2544: 39; อ้างอิงจากJackman. 1997: 191- 192) จะเห็นได้ว่า บทบาทของครูในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ครูต้องวางแผนการจัด ประสบการณ์ ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเด็กแต่ละคนว่าแพ้หรือไม่สามารถรับประทานอาหารประเภทใด เปิดโอกาสให้เด็กงมือทำด้วยตนเองและให้เวลาเพียงพอในการทำอาหาร โดยขณะที่เด็กรับประทาน อาหารครูมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กเพื่อช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้


14 6. ประโยชน์ของกิจกรรมประกอบอาหาร นิตยา ประพฤติกิจ (2541: 41 - 42) กล่าวไว้ว่า การจัดกิจกรรมประกอบอาหารมีส่วน ร่วมช่วยให้เด็กเรียนรู้ด้านต่างต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. ภาษา เด็กกได้อภิปรายเกี่ยวกับการวางแผนร่วมกัน ได้ฟังและปฏิบัติตามวิธีทำได้ เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ได้อ่านสูตรและวิธีทำ 2. สังคมศึกษา เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับกิจกรรมที่บ้าน ได้ทำงานเป็นกลุ่ม ได้เรียนรู้ว่า อาหารมาจากไหนและขนส่งมาได้อย่างไร 3. วิทยาศาสตร์ ได้เรียนรู้ว่าอาหารได้มาจากอะไรบ้างและมีการเปลี่ยนรูปร่าง อย่างไร 4. คณิตศาสตร์ ได้ชั่ง ตวง วัดเครื่องปรุง ได้เข้าใจเรื่องปริมาณและการซื้อขายการ ล้างภาชนะ อีกทั้งยังช่วยให้เด็กเกิดภาพพจน์ที่ดีเกี่ยวกับตนเอง เพราะได้ทำสิงที่มี 5. สุขภาพและความปลอดภัย เด็กได้ฝึกฝนเกี่ยวกับการสร้างสุขนิสัยที่ดี เช่น การ ล้างมือ การล้างภาชนะ อีกทั้งยังช่วยให้เกิดภาพพจน์ที่ดีให้กับตนเอง เพราะได้ทำในสิ่งที่มีประโยชน์ ให้เด็กสามารถเรียนรู้ในต้านต่าง ๆ ดังนี้ วาศิล (นามแฝง) (2543: 27 29) กล่าวไว้ว่า การจัดกิจกรรมการประกอบทำให้เด็ก สามารถเรียนรู้ในต่าง ๆ ดังนี้ 1. ด้านร่างกาย ได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายขณะทำกิจกรรมได้พัฒนา กล้ามเนื้อเล็ก เช่น ในขณะหั่นผัก 2. ด้านอารมณ์ เด็ก ๆ มีความสุขขณะที่ใด้ลงมือทำกิจกรรมตัวยตนเอง รู้จักรอคอย เช่น คอยอาหารสุก 3. ด้านสังคม เมื่อทำอาหารร่วมกับเพื่อนก็ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือ รวมมือกัน 4. ด้านสติปัญญา เด็กจะได้ความรู้ครอบคลุมเกือบทุกวิชา ไม่ว่าจะเป็น 4.1 คณิตศาสตร์ ได้จากการนับจำนวน การตวงสิ่งต่าง ๆ ที่นำมาทานอาหาร เช่น น้ำปลา 2 ช้อนชา ไข่ 5 ฟอง น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา ฯลฯ หรือการแบ่งครึ่งแดงกวา หั่นมะเขือเทศ เป็น 2 ส่วน แบ่งอีกครั้งเป็น 4 ส่วน ฯลฯ 4.2 วิทยาศาสตร์ ได้ดูการเปลี่ยนสถานะของสสาร เช่น น้ำตาลทรายละลายในน้ำ ร้อน น้ำเมื่อถูกความร้อนจะมีไอลอยขึ้นมา เนื้อดิบเมื่อมีทารถูกความร้อนจะเปลี่ยนสี เช่น กุ้ง


15 กลายเป็นสีส้ม เปลี่ยนกลิ่นจากคาวกลายเป็นกลิ่นหอม ชวนทาน ฯลฯ โดยที่ครูต้องคอยตั้งคำถามให้ เด็กหัดสังเกตด้วย 4.3 ภาษาไทย นอกจากจะได้เรียนรู้คำศัพท์เป็นชื่อของส่วนประกอบของอาหาร แล้ว เด็กยังได้พูดคุยโต้ตอบกับครู หรือพูดคุยแสดงความติดเห็นกับเพื่อน ๆ ตลอดเวลาที่ทำกิจกรรม อีกทั้งเด็กยังได้เห็นและได้อ่านป้ายส่วนผสมที่ครูติดไว้ ซึ่งทำให้เด็ก ๆ เข้าใจและเห็นความสำคัญของ การอ่านอีกด้วย นอกจากนี้เด็กได้เรียนรู้สีต่าง ๆ เช่น แครอตสีส้ม แตงกวาสีเขียว หอมหัวใหญ่สีขาว น้ำมันสีเหลือง ได้เปรียบเทียบสิ่งต่าง ๆ ที่ไต้สัมผัส ได้ชิม เช่น จืด-เต็ม,เปรี้ยว-หวาน,เหนียว-เปื่อย คอยอาหารสุก,เย็นร้อน,นิ่ม-แข็ง ฯลฯ รวมทั้งยังรู้จักระเบียบวินัย เช่น รู้จักกวาด ล้างทำความสะอาด เก็บอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่นำออกมาใช้หลังทำอาหารเสร็จด้วย สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมประกอบอาหารจะช่วยส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์ตรง เปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือกระทำกับวัสดุอุปกรณ์ ได้พัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิธีที่สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กปฐมวัยที่เรียนรู้ด้วยการกระทำ สามารถค้นพบความจริด้วย ตนเองทำให้เด็กรู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่นและเกิดความสนุกสนาน ดังนั้นการนำวิธีการจัดกิจกรรม ประกอบอาหารมาใช้ในการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยจึงเป็นวิธีการที่มีความเหมาะสม 7. ความหมายการประกอบอาหารภาคกลาง อาหารภาคกลาง เนื่องจากภาคกลางเป็นกลุ่มจังหวัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในเชิง ภูมิศาสตร์ของประเทศ เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ เป็นพื้นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำลำคลอง หนองบึงมากมายจึงเป็นแหล่งอาหารทั้งพืชผักและสัตว์น้ำนานาชนิด เอื้ออำนวยต่อการเดินทางอย่าง ทั่วถึง สามารถเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมได้โดยสะดวกทั้งทางบกและทางน้ำ อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวม เส้นทางของแม่น้ำสายสำคัญของประเทศได้แก่ แม่น้ำเจ้าพรยา แม่น้ำที่จีน แม่น้ำแม่กลอง จึงทำให้ เป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้กลุ่มจังหวัดภาคกลางเป็นศูนย์กลางการผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตข้าวซึ่งเป็นพืชที่สำคัญต่อวิถีชีวิตของคนไทยและเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ของประเทศ ภาคกลางจึงได้ชื่อว่าเป็น "อู่ข้าวอู่น้ำ"และยังเป็นแหล่งผลิตพืชผลการเกษตร การปศุสัตว์ และการประมง ในประเทศไทยสมัยก่อนภาคกลางเป็นศูนย์กลางค้าขายสำคัญ มีการติดต่อค้าขายกับ ชาวต่างชาติ เข้ามาด้วย เช่น เครื่องแกง แกงกะทิ จะมาจากชาวฮินดู การผัดโดยใช้กระทะและน้ำมัน มาจากประเทศจีนหรือขนมเบื้องไทยดัดแปลงมาจาก ขนมเบื้องญวนขนมหวานประเภททองหยิบ ทองหยอดรับอิทธิพลจากประเทศทางตะวันตก เป็นต้น เป็นอาหารที่มักมีการประดิษฐ์ โดยเฉพาะ อาหารจากในวังที่มีการคิดสร้างสรรค์อาหารให้เลิศรส วิจิตรบรรจง เช่น ขนมช่อม่วงจ่ามงกุฎหรุ่ม ลูก


16 ชุบกระเช้าสีดา ทองหยิบ หรืออาหารประเภทข้าวแช่ผัก ผลไม้แกะสลัก อาหารที่มักจะมีเครื่องเคียง ของแนม เช่น น้ำพริกลงเรือต้องแนมด้วยหมูหวานแกงกะทิ แนมด้วยปลาเค็ม สะเดาน้ำปลาหวานก็ ต้องคู่ กับกุ้งนึ่งหรือปลาดุกย่าง ปลาสลิดทอดรับประทานกับน้ำพริกมะม่วงหรือไข่เค็มที่มักจะ รับประทานกับน้ำพริกลงเรือ น้ำพริกมะขามสดหรือน้ำพริกมะม่วง นอกจากนี้ยังมีของแหนมอีกหลาย ชนิด เช่น ผักดอง ขิงดอง หอมแดงดอง เป็นต้น เป็นภาคที่มีอาหารว่าง และขนมหวานมากมาย เช่น ข้าวเกรียบปากหม้อ กระทงทองค้างคาว ไส้กรอกปลาแนมข้าวตังหน้าตั้ง 8. การประกอบอาหารภาคกลางตามเทศกาลและพิธีต่าง ๆ อุทัยวรรณ ตันหยง (2558 : 4) ได้ให้ความหมายของอาหารภาคกลางในพิธีต่าง ๆ ดังนี้ อาหารในพิธีต่างๆ เช่น งานแต่ง ขนมจีนน้ำยา ถือเป็นอาหารสำคัญในงานแต่งงาน ตั้งแต่สมัยเก่าก่อน โดยเฉพาะขนมจีนที่นำมาใช้จะต้องโรยให้เส้นต่อเนื่องกันและยาวที่สุด เวลาจับ ต้องจัดให้สวยงามโดยไม่ตัดให้ขาด เพราะคนโบราณถือว่าเป็นมงคล ให้การครองรักยืนยาว เครื่อง เคียงของขนมจีนอย่าง ถั่วงอก ก็ให้ความหมายของความเจริญงอกงามด้วยเช่นกัน ผัดไทยเส้น จันทร์ในอดีตนิยมนำผลจันทร์มาทำขนม เพราะเป็นผลไม้ที่มีกลิ่นหอม ชวนหลงใหล แทนความหมาย ว่าจะมีเสน่ห์มีแต่คนมารักใคร่ เมื่อนำมาใช้เป็นชื่อเรียกว่า เส้นจันทร์จึงทำให้มีความหมาย ไปในแง่ ของความรัก ความหลงใหล และนอกจากนี้ยังให้ความหมายในเรื่องอายุยืนนานเห็ดหอม อาหารที่มี ส่วนประกอบของเห็ดหอม อาจจะเป็นต้มจืด หรือผัดก็ได้ โดยจะมีความหมายดังชื่อของเห็ดหอม คือ ให้ความรักของคู่บ่าวสาวหอมหวานตลอดไป ประเพณีการทำบุญเนื่องในวันสำคัญทางพุทธศาสนา การจัดสำรับเลี้ยงพระ ดัง ตัวอย่างการจัดสำรับอาหารของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ในหนังสือแม่ครัวหัวป่า ดังนี้ สำรับคาว มีแกงเผ็ดไก่หรือเนื้อ แกงหองหรือแกงบวน ต้มส้มสับปะรดหรือมังคุด อาจเติมขนมจีนน้ำยาด้วยก็ได้ สำรับเคียง มีไส้กรอก หมูแนม ย่ำยวนหรุ่ม พริกสด ปลาแห้งผัด สับปะรดหรือ แตงโม สิ่งหนึ่ง หมูย่างจิ้มน้ำพริกเผา หมูหวาน เมี่ยงหมู สำรับหวาน มีทองหยิบ ฝ่อยทอง ขนมหม้อแกง ขนมชั้น มะพร้าวแก้ว ขนมถ้วย ซัก หน้าสีอัญชัน ขนมเทียนใบตองสด ขนมถ้วยฟู ขนมหันตรา ลูกชุบชมพู่ มันสีม่วงกวน ข้าวเหนียว แก้ว ปั้นก้อนเมล็ดแตงติดหน้า วุ้นหวานทำเป็นผลมะปราง ขนมทองดำ ขนมลืมกลืน และลอยแก้วส้มซ่า อาหารหวานคาวบางชนิดจะทำเฉพาะเทศกาลเท่านั้น เช่น พระราชพิธีกวนข้าวทิพย์ และ ข้าวยาคูในวันสารท ขนมกระยาสารทตอนสิ้นเดือน 10 ขนมลาและขนมพองของชาวใต้ในวัน


17 สารท เช่นกัน นอกจากนั้นก็มีขนมกะละแม ซึ่งในสมัยโบราณจะกวนเฉพาะตอนเทศกาลสงกรานต์ เท่านั้น สรุปได้ว่า เป็นการแสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือสังคมใด สังคมหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ได้คิดสร้างระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีในการปฏิบัติ รวมทั้งการ จัดระเบียบ ตลอดจน ระบบความคิดความเชื่อ คู่นิยม ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยได้ วิวัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างมี แบบแผน ประเพณีสำคัญทางพุทธศาสนา เทศกาลงานบุญต่าง ๆ 9. ประโยชน์ของอาหารภาคกลาง เต็ม สมิตินันท์ และวีระชัย ณ นคร (2534) ได้กล่าวว่า อาหารภาคกลางหลายๆ อย่าง ใช้ผักเป็นเครื่องปรุงหลัก เช่น ในแกงเลียง แกงส้ม แกงนพเก้า แกงแค แกงหน่อไม้ แกงหัวปลี เป็นต้น หรือในยำ เช่น ยำใหญ่ ยำญวน ยำทวาย ยำถั่วพู ยำหัวปลี ยำกะหล่ำปลี เป็นต้น และประเภทจิ้มหรือ กินกับผัก ก็มีหลายอย่าง แม้แต่ พล่า หลน ลาบ น้ำพริกล้วนต้องมีผักทั้งสดทั้งสุกจิ้มทั้งนั้น ขนมจีน น้ำยา น้ำพริกซาวน้ำก็ต้องมีผักกินด้วย เฉพาะน้ำยาและน้ำพริกใช้กันทั้งผักดิบและผักสุกเป็นเครื่อง เคียงของกินเล่นหรือของว่าง เช่น ปอเปี๊ยะ ก็ใช้ผักเสิร์ฟกินด้วยกัน เช่น ใบโหระพาและผักกาดหอม และเมี่ยงต่างๆ เช่น เมี่ยงคะน้า เมี่ยงมะม่วง เมี่ยงคำ เป็นต้น คุณค่าทางโภชนาการของผักที่สำคัญคือ วิตามิน และเกลือแร่ซนิดต่างๆ ประโยชน์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นแหล่งของใยอาหารที่สำคัญแก่ ร่างกาย ใบผักโดยเฉพาะใบเขียวต่างๆ เช่น คะน้า ผักบุ้ง ตำลึง ผักกาดเขียวช่วยลดการขาดวิตามินบี สองได้ โดยการกินร่วมกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ใบผักสีเขียวและผักสีเหลืองจะมีเบต้าเคโรทีนมา กซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นวิตามินเอได้ที่ผนังลำไส้เล็ก ร่างกายใช้ประโยชน์ได้ สำนักงานคณะกรรมการสาธารณสุขมูลฐาน (2553: 28 - 33) กล่าวว่า การใช้พืชผัก สวนครัวในการรักษาโรคบางอย่างในบ้านเรามีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ประเทศข้างเคียง เช่น อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเขมรก็ใช้พืชสวนครัวในทางเป็นยารักษาอาการของโรคบางอย่างมาช้านาน แล้ว แม้ว่าด้วยการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันจะรวดเร็วได้ผลดีกว่าก็ตาม แต่ก็มีผู้นิยมการรักษาโรค ด้วย ยาแผนโบราณ ตัวอย่างพืชผักสวนครัวที่มีสรรพคุณทางยา ได้แก่ ข่า ใช้เป็นส่วนประกอบของแกงเผ็ด เป็นเครื่องชูรสข้าวต้มปลา ต้มกะทิไก่ ลาบ ต้ม ข่าไก่คุณค่าทางอาหาร มีฟอสฟอรัส วิตามินบี วิตามิน ใยอาหาร ฯลฯ ประโยชน์ทางยา เป็น กินแก้ โรคหืดและโรคหลอดลมอักเสบ ใบกระเพรา ใช้เป็นเครื่องซูรสสำหรับแกงเผ็ดบางชนิด ผัดกับหมู ไก่ กุ้ง เนื้อ คุณค่า ทางอาหาร มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ใยอาหาร ฯลฯ ประโยชน์ทางยา ใบมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่ง ใช้เป็นยาระงับเชื้อ ไล่แมลง ขับเสมหะ ใบแห้งทำเป็นผงใช้ในรายที่เป็นจมูกอักเสบ ซึ่งมีกลิ่นเหม็น ใช้


18 เป็นยาขับผายลม สำหรับเด็กอ่อน ใบใหระพา ใช้เป็นผักจิ้มกะปีคั่ว ปลาเจ่า ปลาร้า หรือรับประทาน กับลาบ ขนมจีน น้ำยา นอกจากนี้ก็ใช้โรยแกงเผ็ดเพื่อให้มีกลิ่นหอม คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ เหล็ก แคลเซียม ฯลฯ ประโยชน์ทางยา ใช้ปรุงตัวยาขับลมในลำไส้ ใบแมงลัก ใช้ปรุงเป็นผักแกงเลียง โรยใส่ขนมจีนน้ำยา คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ เหล็ก ฯลฯ ประโยชน์ทางยา ใช้ปรุงเป็นยาสำหรับขับลมในลำไส้ แก้ซางชักในเด็ก ใบยอ มีรสค่อนข้างขม ใช้เป็นผักรองห่อหมก หรือ แกงอ่อม คุณค่าทางอาหาร มี วิตามินเอ แคลเซียม ไขมัน ไนอะซิน ฯลฯ ประโยซน์ทางยา ใบใช้อังไฟพอตายนึ่งปิดแก้เคล็ดยอก เป็น ยาขับลม บำรุงธาตุ ใบสะระแหน่ ใบใช้เป็นเครื่องชูรสอาหารไทยพวก พล่า ยำ ลาบ ต้มยำ คุณค่าทาง อาหาร มีวิตามินเอ เหล็ก แคลเซียม ฯลฯ ประโยชน์ทางยา น้ำที่คั้นจากต้นและใบ ใช้ดื่มแก้ปวดท้อง แก้ท้องอืดและขับลม บัวบก ใบและก้านหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใช้ยำกับถั่วลิสง ต้นและใบสดๆ รับประทานกีบ ผัด ไทย หรือจิ้มน้ำพริก คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ แคลเซียม ฯลฯ ประโยชน์ทางยา น้ำคั้นจาก ตัน ใช้รับประทานเป็นยาขับปัสสาวะน้ำที่ต้มบัวบกใช้ดื่มแก้ช้ำใน 10. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาหารภาคกลาง 10.1 งานวิจัยต่างประเทศ ไบรอันท์ และฮังเกอร์ฟอร์ด (Bryant) ทำการศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์กลวิธีสอน ความคิดรวบยอดและค่านิยมทางสิ่งแวดล้อมใน โรงเรียนอนุบาล โดยทดลองสอนเรื่องสิ่งแวดล้อม ปัญหามลภาวะใช้เวลาทดลองสอน 1 เดือน ผล ปรากฏว่า นักเรียนอนุบาลสามารถสร้างความคิดรวบ ยอดเกี่ยวกับผลสืบเนื่องของสิ่งแวดล้อมและ สำนึกในหน้าที่ของพลเมืองที่มีต่อสิ่งแวดล้อม และได้ อภิปรายผลเพิ่มเติมว่า ข้อคันพบนี้มีความสำคัญมาก เนื่องจากรรณ์กรรมที่เกี่ยวข้องกับการสอน เช่นนี้ในระดับอนุบาลมีน้อยมาก และ การสอนเช่นนี้ก็มิใซสิ่งที่กระทำได้โดยง่าย ความสำเร็จในการ สร้างความคิดรวบยอดและค่านิยม ขึ้นอยู่กับการพัฒนาแบบการสอนด้วยผู้สอน จะต้องให้ความรู้ อย่างพอเพียง และกระตุ้นให้นักเรียน รู้จักคิดเกี่ยวกับหน้าที่ของตนเอง และผู้อื่น สิ่งที่สำคัญควร พิจารณาก็คือ ต้องสอนให้เด็กเข้าใจ สิ่งแวดล้อมก่อนที่จะสอนถึงผลสืบเนื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อม คอร์วิน (Corwin. 1978: 6584 - A - 658 - A) ได้เปรียบเทียบวิธีสอนแบบ ปฏิบัติการ โดยใช้การทดลองกับวัสดุ อุปกรณ์ เทคนิคการพับกระดาษกับวิธีสอนเดิม ซึ่งใช้วิธีบรรยาย อภิปราย ไม่มีกิจกรรมปฏิบัติการเลยทดลองกับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา กลุ่มทดลองการเรียน จาก


19 วิธีการสอนที่มีกิจกรรมปฏิบัติการรวม 18 คน กิจกรรมประกอบกับการศึกษาจากตำรา กลุ่ม ควบคุม เรียนจากวิธีสอนแบบบรรยาย อภิปราย ผลการวิจัยพบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของ นักเรียนทั้ง 2 กลุ่มมีค่าสหสัมพันธ์ทางบวกด้านเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ นอกจากนั้น นักเรียนและ ครูในกลุ่มทดลอง มีความเห็นทางบวกต่อการใช้กิจกรรมปฏิบัติการ และมีลงความเห็น ว่าการทดลอง และวัสดุ อุปกรณ์ช่วยให้นักเรียนเกิดจินตนาการเห็นภาพ มารุตร์ ฮวบจันทร์ (2559: 108) ได้ทำการศึกษาผลของการเล่านิทานและกิจกรรม การประกอบ อาหารที่มีต่อความรู้ ผลการวิจัย พบว่า คะแนนจากแบบวัดความรู้เกี่ยวกับการบริโภค ผักของเด็กปฐมวัยหลัง การทดลองของกลุ่มทดลองมีคะแนนสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .001 และการ บริโภคผักของเด็กปฐมวัยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กปฐมวัยมีความตั้งใจ และมีความสนใจในการร่วมกิจกรรมประกอบอาหาร รวมทั้งเด็กปฐมวัยแสดงสีหน้าท่าทางในการรับประทาน อาหารที่มีผักเป็นส่วนประกอบอย่างมี ความสุข ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กิจกรรมการเล่านิทานและการประกอบ อาหารมีผลต่อพัฒนาการ ด้าน สติปัญญาด้านจิตพิสัยและทักษะพิสัยของเด็กปฐมวัยและการบริโภคผักของเด็กปฐมวัย 10.2 งานวิจัยในประเทศ อมรรัตน์ เจริญชัย (2552: 4 - 5) กล่าวว่า อาหารดี คืออาหารตามธรรมชาติมีอยู่ใน ฤดูกาล ถ้าสะอาดดีแล้วก็กินดิบๆ ถ้าไม่แน่ใจว่าจะมีจุลินทรีย์หรือเชื้อพยาธิปนมาต้องทำให้สุก เสียก่อน ความร้อนควรเพียงพอที่จะฆ่าเชื้อให้ตาย ไม่ต้องเคี่ยวนานเพราะจะทำให้เสียคุณค่าทาง โภชนาการควร กินอาหารสด สุกใหม่ๆ ยิ่งเก็บไว้นานหรือผ่านกระบวนการปรุงแต่งหลายขั้นตอน ยิ่ง จะลดประโยชน์ลงไป ควรกินอาหารในปริมาณที่พอดี จะต้องมีผัก ผลไม้ ข้าว เนื้อสัตว์ และน้ำมันอยู่ พร้อมๆ กัน ตามลำดับความมากน้อย คือ มีผักมากที่สุด รองลงมาเป็น ผลไม้ ข้าว เนื้อ และน้ำมัน น้อยที่สุด รวมกันแล้วอิ่มพอดี ไม่อิ่มมาก ถ้าอายุเกิน 25 แล้ว กินพอเกือบจะอิ่มจะดีที่สุด สิ่งสำคัญคือ ระวัง รักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ วไลพร พงษ์ศรีทัศน์ (2553: 63 - 67) ได้ศึกษาผลการจัดกิจกรรมแบบปฏิบัติการ ทดลองประกอบอาหารกันแบบปกติที่มีต่อทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ผล การศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยที่มีอายุระหว่าง 4 - 5 ปี ที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบปฏิบัติการ ทดลองประกอบอาหารที่มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงกว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด ประสบการณ์แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญท่างสถิติที่ระดับ .01 เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเป็นรายทักษะ พบว่า ทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนก ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการลงความเห็น และ


20 ทักษะการหามิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบปฏิบัติการทดลองประกอบ อาหารและแบบปกติแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ บุญประจักษ์ วงษ์มงคล (2556: 94 - 95) ได้ศึกษาผลการจัดประสบการณ์แบบ ปฏิบัติการทดลองประกอบอาหารและการจัดประสบการณ์แบบทั่วไปที่มีต่อทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่มีความสามารถทางสติปัญญาแตกต่างกัน ผลการศึกษาพบว่า เด็ก ปฐมวัยที่มีอายุระหว่าง 4 - 5 ปี ที่ได้รับการจัดประลบการณ์แบบปฏิบัติการทดลองประกอบอาหารมี ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สูงกว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบทั่วไป อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และเด็กปฐมวัยที่มีความสามารถทางสติปัญญาสูง ปานกลาง และต่ำ มี ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ . 0 1 แสดงให้เห็นว่า ความสามารถทางสติปัญญาแตกต่างกันมีผลต่อทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย อารีรัตน์ ญาณะศร (2544: 60 - 65) ได้ศึกษาพฤติกรรมความร่วมมือของเด็ก ปฐมวัยที่ ได้รับการจัดประสบการณ์การประกอบอาหารเป็นกลุ่ม ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยก่อน จัด ประสบการณ์และระหว่างการจัดประสบการณ์การประกอบอาหารเป็นกลุ่มในแต่ละสัปดาห์มี พฤติกรรมความร่วมมือแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .000 โดยเด็กปฐมวัยมีพฤติกรรม ความร่วมมือระหว่างการจัดประสบการณ์การประกอบอาหารเป็นกลุ่มในแต่ละสัปดาห์สูง กว่าก่อนจัด ประสบการณ์ ณัฐาวดี ชาญกล้า (2560: 30) ได้ทำการศึกษา การจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร พบว่าหลัง การได้รับการใช้ชุดกิจกรรมการประกอบอาหาร สูงกว่าก่อนการได้รับการใช้ชุดกิจกรรม การประกอบ อาหาร เพราะว่านักเรียนได้ใช้กล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ และการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือ กับตา นักเรียนจึง มีการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กมากขึ้น โดยความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก หลังการใช้กิจกรรมการ ประกอบอาหาร มีความสามารถในระดับดีมาก พัณณิตา ไชยสุวรรณ์ (2560: 5) ได้ทำการศึกษา การพัฒนาพฤติกรรมการ รับประทานผักของ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1/1 โรงเรียนเซนฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ โดยใช้กิจกรรม การประกอบอาหาร ร่วมกับการใช้แรงเสริมทางบวกผลการวิจัยพบว่า 1)นักเรียนมีพฤติกรรมการ รับประทานผัก โดยใช้กิจกรรมการประกอบอาหารร่วมกับการใช้แรงเสริมทางบวก อยู่ในระดับดี และ 2)นักเรียนมีพฤติกรรมการ รับประทานผัก โดยใช้กิจกรรมการประกอบอาหารร่วมกับการใช้แรง เสริมทางบวก มีพฤติกรรมการ รับประทานผักสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมประกอบอาหารร่วมกับการ ใช้แรงเสริมทางบวก


21 จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร กิจกรรมนี้กิจกรรม ที่ให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจากของจริง ได้เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เด็กได้เรียนรู้ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษา ฯลฯ และมีการพัฒนาทุกด้าน การทำงาน ร่วมกันก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่เกิดขึ้นจากการร่วมกันประกอบอาหาร ทำให้เด็กเกิดปฏิสัมพันธ์ มีความ รับผิดชอบงานที่ได้รับ มอบหมาย มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา มีวินัย มีความอดทน อดกลั้น มี ความเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี รู้จักการรอดอย รู้จักแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน ตลอดจนยอมรับ ความคิดเห็นของผู้อื่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ 1. ความหมายของการคิดวิเคราะห์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546:251,1071) กล่าวว่าการคิดเชิง วิเคราะห์ มีความหมายว่า เป็นการใคร่ครวญ ตรึกตรองอย่างละเอียด รอบคอบ แยกเป็นส่วนๆ ใน เรื่องราว ต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล โดยมีจุดเด่น จุดด้อยของเรื่องนั้น ๆ และเสนอแนะสิ่งที่เหมาะสม อย่างมีความเป็นธรรมและเป็นไปได้ ดังนั้น การพัฒนาคุณภาพการคิดเชิงวิเคราะห์จึงสามารถกระทำได้โดยการฝึกทักษะการคิด ลัดดา ภู่เกียรติ. (2542 : 92 - 95) กล่าวว่า การคิดเชิงวิเคราะห์เป็นความสามารถการ แยกแยะเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ แบ่งเป็น 1. การวิเคราะห์ความสำคัญโดยให้ค้นหาความสำคัญของเรื่อง 2. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยให้ค้นหาความสำคัญย่อย ๆ ว่ามีความเกี่ยวพันธ์ อย่างไร 3. การวิเคราะห์หลักการโดยให้ค้นหาความสำคัญของเรื่อง ลิขิต ธีรเวคิน (2542 : 66-75) กล่าวว่า การคิดเชิงวิเคราะห์ต้องเริ่มจากแนวโน้มที่จะ ตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การคิดเชิงวิเคราะห์จะต้องเริ่มสร้างจิต วิเคราะห์ (analytical mind) และขวนขวายหาความรู้และใฝ่รู้ มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม จะสามารถคิดเชิงวิเคราะห์ประเด็นต่างๆ ได้ ระบบความคิดและการสรุปรวบยอดใน ประเด็นปัญหา จะเป็นลักษณะการสลับระหว่างสิ่งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมเสมอ โดยใช้วิธีอุปนัย (inductive) และนิรภัย (deductive) จนสามารถรูปเป็นทฤษฎีที่เป็นนามธรรมอันมีกระบวนการเก็บ


22 ข้อมูลเป็นรูปธรรมแบบอุปนัยจำนวนหนึ่ง จากนั้นใช้ทฤษฎีนามธรรมวิเคราะห์กรณีรูปธรรมบางกรณี อันเป็นกระบวนการวิเคราะห์สลับระหว่างนามธรรมและรูปธรรม วิโรจน์ นาคชาตรี . (2542 : 123-144) การวิเคราะห์และการสังเคราะห์มีลักษณะ คล้ายคลึงกับการจัดพวก แต่ละเอียดกว่า คือ มีการหาความสัมพันธ์ ความเหมือน ความต่างกันของสิ่ง ต่างๆ รวมทั้งปัญหาต่าง ๆ อย่างแจ่มแจ้ง ตลอดถึงความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ๆ ซึ้งขึ้นอยู่กับว่าต้องการ เข้าใจสิ่งนั้นในแง่ใด ส่วนการสังเคราะห์เป็นกระบวนการที่ ย้อนกลับ การสังเคราะห์คือการนำเอา ส่วนประกอบย่อย ๆ ที่ได้จากการวิเคราะห์มารวมกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ได้ การวิเคราะห์นั้น ทำให้เข้าใจธรรมชาติของส่วนประกอบแต่ละส่วนเป็นอย่างดี การคิดเชิงวิเคราะห์จึงเป็นทักษะการคิด ระดับสูงที่จำเป็นต้องอาศัยทักษะอื่นๆ ที่เป็นทักษะพื้นฐานมาช่วย เช่น ทักษะการอ่าน การเขียน และ การฟัง ความสามารถในการเข้าใจนำไปสู่ความสามารถด้านการวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการ ประเมินค่า ตามลำดับ ไผท สิทธิสุนทร (2543 : 24) กล่าวถึงรูปแบบการคิดวิเคราะห์ของ เอ็ดเวิร์ด เดอโบมา จารย์ด้านการคิด เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน ศึกษาและคิดค้นวิธีคิด (Thinking Method) ให้มนุษย์มีการคิด ที่มีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ และครอบคลุมรอบด้านยิ่งขึ้น จึงเสนอวิธีคิดแบบ "SixThinking Hats" การคิดแบบหมวก 6 ใบ โดยแยกกรอบความคิดออกเป็นด้าน ๆ อย่างชัดเจน จากนั้นจึงวิเคราะห์หาเห ตผลภายในกรอบความคิดนั้น ๆ อันจะช่วยให้การคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ได้ครอบคลุมและมีคุณภาพ มากขึ้น แทนที่จะคิดทุกด้านในเวลาเดียวกัน ซึ่งมักก่อให้เกิดความสับสน สำนักงานวิชาการ และมาตรฐานการศึกษา (2549 : 5) สรุปความหมายการคิด วิเคราะห์ว่า การคิดวิเคราะห์ คือ การระบุเรื่องหรือปัญหา การจำแนกแยกแยะ การเปรียบเทียบ ข้อมูล เพื่อจัดกลุ่มอย่างเป็นระบบ ระบุเหตุผลหรือเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลและตรวจสอบ ข้อมูลหรือหา ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เพียงพอแก่การตัดสินใจ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2546 : 22) กล่าวว่า การคิดเชิงวิเคราะห์เป็นรากฐาน สำคัญของการเรียนรู้ บุคคลที่มีการคิดแบบวิเคราะห์จะเหนือกว่าบุคคลที่มีการคิดแบบอื่น ทั้งในด้าน ระดับการพัฒนาการและการใช้สติปัญญา ความคิดเชิงวิเคราะห์เป็นความคิดในเชิงลึก ต้องใช้ ความสามารถในการสังเกต การตีความ การสืบค้น การหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงอย่างมีตรรกะที่ดีเพื่อ ค้นหาความเป็นมาเป็นไปของเรื่องนั้นว่า มีความเป็นมาอย่างไร อะไรหรือใครเป็นสาเหตุให้เกิดสิ่งนั้น เมื่อเกิดสิ่งนี้ขึ้นแล้วจะเป็นเช่นไรต่อไป จึงจำเป็นต้องพัฒนาความสามารถของสมองในการคาดเดาเชิง


23 วิเคราะห์เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง มิเช่นนั้นอาจตีความหาเหตุผล หรือประเมินสิ่งต่างๆ อย่าง ผิดพลาดได้ ไสว ฝักขาว (2546 : 35) ให้ความหมายของ "การคิดเชิงวิเคราะห์ " ไว้ว่า "การคิด วิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจำแนกแจกแจงองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งและหา ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้น ราชบัณฑิตยสถาน (2546 : 1071) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถ ในการจำแนก การแยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจจะเป็นวัตถุ สิ่งของ เรื่องราว หรือเหตุการณ์ และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหาสภาพความ เป็นจริงหรือสิ่งสำคัญของสิ่งที่กำหนดให้ วิเคราะห์ หมายถึง ใคร่ครวญ แยกออกเป็นส่วน ๆ เพื่อ ศึกษาให้ถ่องแท้ สุวิทย์ มูลคำ (2547 : 9) ให้ความหมายของ การวิเคราะห์และการคิดวิเคราะห์ ไว้ว่า การวิเคราะห์ หมายถึง การจำแนก แยกแยะ องค์ประกอบของสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกเป็นส่วน ๆ เพื่อค้นหา ว่ามีองค์ประกอบย่อย ๆ อะไรบ้าง ทำจากอะไร ประกอบขึ้นได้อย่างไร และมีความเชื่อมโยง สัมพันธ์ กันอย่างไรสรุปได้ว่า จากความหมายดังกล่าวจะเห็นว่าความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์นั้นมีความ จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราอย่างมาก การคิดเชิงวิเคราะห์เป็นทักษะการคิดที่ สามารถพัฒนาได้ ตั้งแต่กับเด็กเล็กและให้คงทนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย สรุปได้ว่า จากความหมายดังกล่าวจะเห็นว่าความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์นั้นมีความ จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราอย่างมาก การคิดเชิงวิเคราะห์เป็นทักษะการคิดที่ สามารถพัฒนาได้ ตั้งแต่วัยเด็กเล็กและให้คงทนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เพื่อให้นักเรียนสามารถคิด ได้ด้วยตัวเอง และเกิดความสำเร็จในการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้ที่ดีต้องเป็นเรื่องของการรู้จักคิด ผู้วิจัยจึงสนใจพัฒนากิจกรรมในหลักสูตรเสริม โดยมีจุดมุ่งหมายพัฒนาให้นักเรียนเกิดทักษะการติด เชิงวิเคราะห์ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นในหลักสูตรปกติ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนคิดเป็นเรียนรู้เป็น สามารถดาด คะเน ใช้เหตุผล ตัดสินใจ และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ จากข้อมูลที่ได้รับการพินิจพิเคราะห์ว่า ข้อมูลใด เป็นข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นความจริงในบรรยากาศการเรียนรู้ที่มีความสุข 2. ประเภทของการคิดวิเคราะห์ สุวิทย์ มูลคํา (2547: 14) แบ่งคุณสมบัติที่เอื้อต่อการคิดวิเคราะห์ไว้ 4 ประการ คือ


24 1. ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะวิเคราะห์ ผู้คิดต้องมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานใน เรื่อง นั้น ๆ เพราะจะช่วยกำหนดขอบเขตการวิเคราะห์ จําแนก การแจกแจงองค์ประกอบ จัด หมวดหมู่และลำดับความสำคัญหรือหาสาเหตุของเรื่องราวเหตุการณ์ได้ชัดเจน 2. ช่างสังเกต ช่างสงสัย ช่างไต่ถาม คนที่ช่างสังเกตย่อมสามารถมองเห็นหรือค้นหา ความผิดปกติของสิ่งของหรือเหตุการณ์ที่ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มองเห็นแง่ มุมที่แตกต่าง ออกไปจากคนอื่น คนช่างสงสัย เมื่อเห็นความผิดปรกติแล้วจะไม่ละเลย แต่จะหยุดคิดพิจารณา คน ช่างไต่ถาม ชอบตั้งคําถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพื่อนําไปสู่การขบคิด ค้นหาความจริง ในเรื่อง นั้น คําถามที่มักใช้ในการคิดวิเคราะห์ คือ What (อะไร) Where (ที่ไหน) When (เมื่อใด) Why (ทําไม) Who (ใคร) How (อย่างไร) 3. ความสามารถในการตีความ การตีความเกิดจากการรับรู้ข้อมูลเข้ามาทางประสาท สัมผัส สมองจะทำการตีความข้อมูล โดยวิเคราะห์เทียบเคียงกับความทรงจำหรือความรู้เดิมที่ เกี่ยวกับ เรื่องนั้น เกณฑ์ที่ ใช้เป็นมาตรฐานในการตัดสินใจจะแตกต่างกันไปตามความรู้ ประสบการณ์ และ ค่านิยมของแต่ละบุคคล ดังนั้น ความรู้ต่างกัน ประสบการณ์ต่างกันและค่านิยมต่างกัน การ ตีความ ข้อมูลหรือเหตุการณ์ที่พบเห็นก็จะแตกต่างกันไปด้วย 4. ความสามารถในการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล การคิดวิเคราะห์จะเกิดขึ้นเมื่อ พบ สิ่งที่มีความคลุมเครือ เกิดข้อสงสัยตามมาด้วยคําถาม ต้องค้นหาคําตอบหรือความน่าจะเป็นว่ามี ความเป็นมาอย่างไร ซึ่งสมองจะพยายามคิดเพื่อหาข้อสรุปความรู้ความเข้าใจอย่างสมเหตุสมผล กาเย่ (Gagne. 1974: 783) ได้จำแนกการคิดออกเป็น 2 แบบ คือ 1. การคิดอย่างเลื่อนลอยหรือไม่มีทิศทาง คือ การคิดจากสิ่งที่ประสบพบเห็นจาก ประสบการณ์ตรง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การคิดโยงดวามสัมพันธ์ (Associative Thinking) จำแนก ย่อยเป็น 5 ลักษณะ 1.1 Free Association เป็นการคิดถึงเหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว เมื่อมีการกระตุ้น จากสิ่งเร้าจำพวกคำพูดหรือเหตุการณ์ 1.2 Controlled Association เป็นการคิดโดยอาศัยคำสั่ง เช่น ผู้คิดอาจได้รับ คำสั่งให้บอกคำที่อยู่ในพวกเดียวกันกับคำที่ตนได้ยินมา 1.3 Day Dreaming เป็นการคิดที่มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันตนเองหรือเพื่อให้เกิด ความพอใจซึ่งเป็นการคิดฝันในขณะที่ยังตื่นอยู่


25 1.4 Night Dreaming เป็นการคิดฝันเนื่องจากความคิดของตนเองหรือเป็นการ คิดฝันเนื่องจากการรับรู้หรือการตอบสนองสิ่งเร้า 1.5 Autistic Thinking เป็นการคิดที่หมกมุ่นกับตนเองซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อหรือ อารมณ์ของผู้คิดมากกว่าขึ้นอยู่กับลักษณะที่แท้จริงของการคิด 2. การคิดอย่างมีทิศทางหรือมีจุดมุ่งหมาย คือ การคิดที่บุดคลเริ่มใช้ความรู้พื้นฐาน เพื่อกลั่นกรอง การคิดที่เพ้อฝัน การคิดที่เลื่อนลอยไร้ความหมายให้เป็นการคิดที่มีทิศทางขึ้น โดยมุ่ง ไปสู่จุดหมายหนึ่งและเป็นการคิดที่มีบทสรุปของการคิดหลังจากที่คิดเสร็จแล้ว ซึ่งจำแนกออก เป็น 2 ลักษณะ คือ 2.1 การคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) เป็นการคิดในลักษณะที่คิดได้หลาย ทิศทาง (Divergent Thinking) ไม่ซ้ำกันหรือเป็นการคิดในลักษณะที่โยงความสัมพันธ์ได้กล่าว คือเมื่อ ระลึกสิ่งใดได้ก็จะเป็นสะพานเชื่อมต่อให้ระลึกถึงสิ่งอื่น ๆ ได้ต่อไปโดยสัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่ 2.2 การคิดวิเคราะห์วิจารณ์ (Critical Thinking)เป็นการคิดที่ใช้เหตุผลในการ แก้ปัญหาโดยพิจารณาถึงสถานการณ์หรือข้อมูลต่าง ๆ ว่ามีข้อเท็จจริงเพียงใดหรือไม่ สาโรช บัวศรี (2551: 9 - 10) ได้แบ่งการคิดที่พัฒนามาเป็นเวลานานตั้งแต่สมัย อริสโตเติล ก่อนคริสตกาลจนถึงสมัยของจอห์น ดิวอี้ ได้กล่าวถึงรูปแบบการคิดดังนี้ 1. การคิดโดยแยกประเภท (Thinking by Classification) คือ การรู้จักแบ่งกลุ่ม รู้จักแยกแยะเป็นชนิดซึ่งนับว่าเป็นการคิดที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์หรือมนุษยวิทยาหรือ ประวัติศาสตร์ย่อมจะใช้การแบ่งชนิดหรือแบ่งประเภท 2. การคิดโดยตัดประเด็น (Thinking by Elimination) 3. การคิดแบบอุปนัย (Inductive Thinking) เป็นการคิดส่วนรายละเอียดไปสู่ส่วน สรุปการคิดแบบอุปนัยเริ่มตันว่าด้วยการสังเกต และการทดลอง เมื่อเห็นว่าเป็นจริงจึงสรุป 4. การคิดแบบนิรนัย (Deductive Thinking) เป็นการคิดแบบตรงกันข้ามกับการคิด แบบอุปนัย กล่าวคือ เริ่มตันจากข้อสรุปหรือทฤษฎีก่อน นั่นคือการคิดจากส่วนที่สรุปได้ไปสู่ รายละเอียด 5. การคิดแบบไตร่ตรอง หรือการคิดสะท้อน (Rellective Thinking) คือ การคิด แบบวิธีวิทยาศาสตร์ ซึ่งกำลังใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน แต่ในวงการศึกษามักจะเรียกว่า วิธีการแก้ปัญหา หรือวิธีแห่งปัญญา


26 การคิดทั้ง 5 แบบข้างตัน นักปราชญาลัทธิพิสูจน์นิยม ถือว่าการคิดแบบไตร่ตรองเป็น วิธีการแก้ปัญหาที่เป็นความมุ่งหมายของการศึกษา เป็นวิธีการศึกษาที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนคิดเป็นซึ่ง หมายความว่าต้องสอนวิธีการคิด เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2545: 91 - 92) ได้แบ่งประเภทของความคิดออกเป็น 10 ประเภท ดังนี้ 1. การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)หมายถึง ความตั้งใจที่จะพิจารณาตัดสิน เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยการไม่เห็นคล้อยตามข้อเสนออย่างง่าย ๆ แต่ตั้งคำถามท้าทายหรือโด้แย้ง สมมติฐานและข้อสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลัง และพยายามเปิดแนวทางความคิดออกสู่ทางต่าง ๆ ที่ แตกต่างจากข้อเสนอนั้น เพื่อให้สามารถได้คำตอบที่สมเหตุสมผลมากกว่าข้อเสนอเดิม 2. การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analyical Thinking) หมายถึง การจำแนกแจกแจง องค์ประกอบต่าง ๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่าง องค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อดันหาลาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้น 3. การคิดเชิงสังเคราะห์ (Synthesis - Type Thinking) หมายถึง ความสามารถใน การดึงองค์ประกอบต่างๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้สิ่งใหม่ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ 4. การคิดเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Thinking) หมายถึง การพิจารณา เทียบเคียงความเหมือนและ/หรือความแตกต่างระหว่างสิ่งนั้นกับสิ่งอื่นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ สามารถอธิบายเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการคิด การแก้ปัญหา หรือการหาทางเลือก เรื่องใดเรื่องหนึ่ง 5. การคิดเชิงมโนทัศน์ (Conceptual Thinking) หมายถึง ความสามารถในการ ประสานข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่เกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใดได้อย่างไม่ขัดแย้ง แล้วนำมาสร้างเป็นความคิด รวบยอดหรือกรอบความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น 6. การคิดเชิงสร้างสรรค์(Creatve Thinking หมายถึง การขยายขอบเขตความคิด ออกไปจากกรอบความคิดเดิมที่มีอยู่ไปสู่ความคิดใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อดันหาคำตอบที่ดีที่สุด ให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น 7. การคิดเชิงประยุกต์ (Appicative Thinking) หมายถึง ความสามารในการนำสิ่ง ที่มีอยู่เดิมไปปรับใช้ประโยชน์ในบริบทใหม่ได้อย่างเหมาะสมโดยยังคงหลักการของสิ่งเดิม 8. การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) หมายถึง ความสามารถในการกำหนด แนวทางที่ดีที่สุด ภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ


27 9. การคิดเชิงบูรณาการ (Integrative Thinking) หมายถึง ความสามารถในการ เชื่อมโยงแนวคิดหรือองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ากับแกนหลักได้อย่างเหมาะสม เพื่ออธิบายหรือ ให้เหตุผลสนับสนุนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 10. การคิดเชิงอนาคต (Futuristic Thinking) หมายถึง ความสามารถในการดาด การณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอย่างมีหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม จากประเภทการคิดที่กล่าวมาแล้วข้างตัน สามารถสรุปได้ว่า ประเภทการคิดมีหลาย ชนิดโดยแบ่งตามลำดับความสำคัญของการคิด ตามลำดับความคิดจากง่ายไปหายาก และตาม ประโยชน์ของการนำไปใช้งาน 3. ลักษณะของการคิดวิเคราะห์ วีระ สุดสังข์ (2550: 30) จําแนกการคิดวิเคราะห์ออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ส่วนประกอบ เป็นความสามารถในการหาส่วนประกอบที่สำคัญ ของสิ่ง ของหรือเรื่องราวต่าง ๆ ว่ามีสาระสำคัญอย่างไร มีปัจจัยอะไรบ้าง มีเหตุผลอย่างไร เช่น การ วิเคราะห์ข่าว บทความ เรื่องสั้น สารคดี เป็นต้น 2. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการค้นหาความสัมพันธ์ของ ส่วน สำคัญต่าง ๆ โดยระบุความสัมพันธ์ระหว่างความคิด ความสัมพันธ์ในเชิงเหตุผล หรือความ แตกต่าง ระหว่างข้อโต้แย้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง เช่น ครอบครัวมีปญหาส่งผลต่อสังคมอย่างไร พ่อแม่ ทะเลาะกันส่งผลต่อลูกอย่างไร สรุปว่า เมื่อมีเหตุย่อมมีผล ผลย่อมเกิดจากเหตุ เหตุกับผล ย่อมมีความสัมพันธ์กัน 3. การวิเคราะห์หลักการ ความสามารถในการหาความสัมพันธ์ส่วนสำคัญในเรื่อง นั้น ๆ ว่าสัมพันธ์กันอยู่โดยอาศัยหลักการใด เช่น หลักการสำคัญของการอ่านคืออะไร หลักการสำคัญ ของการเขียนคืออะไร หลักการสำคัญของการพูดคืออะไร หลักการสำคัญของการฟังคืออะไร ฯลฯ สำหรับเด็กปฐมวัยนั้นเป็นวัยของการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ ซึ่งแบ่งแยกย่อยออกเป็น 3 ทักษะ คือ 1. ทักษะการสังเกต คือ ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัส อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุ เหตุการณ์หรือ ปรากฏการณ์ และเกิดการสังเกตถึงลักษณะ รูปร่าง สี ขนาด เป็นต้น


28 2. ทักษะการเปรียบเทียบ คือ ความสามารถในการเปรียบเทียบลักษณะและ คุณสมบัติต่าง ๆ เช่น ประโยชน์ รูปร่าง สี ขนาด จำนวน ของคน สัตว์ และสิ่งของตั้งแต่ 2 อย่างหรือ มากกว่า 2 อย่างขึ้นไป 3. ทักษะการจัดหมวดหมู่ คือ ความสามารถในการรวมเอาสิ่งที่เหมือนกันที่ได้จาก การ สังเกต เปรียบเทียบมาไว้เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ สิ่งของ โดยจัดแยกประเภทตามคุณสมบัติ ของสิ่งเหล่านั้น หรือตามความคิด เกณฑ์ที่เด็กสร้างขึ้นแล้วนําสิ่งที่เหมือนกันมารวมกัน และแยกสิ่งที่ ต่างกันออกไป 4. กระบวนการคิดวิเคราะห์ สุวิทย์ มูลคำ. (2550 :19) แบ่งกระบวนการคิดวิเคราะห์เอาไว้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 กำหนดสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์ เป็นการกำหนดวัตถุสิ่งของ เรื่องราว หรือ เหตุการณ์ต่างๆขึ้นมา เพื่อเป็นตันเรื่องที่จะใช้วิเคราะห์ เช่น พืช สัตว์ หิน ดิน รูปภาพ บทความ เรื่องราว เหตุการณ์หรือสถานการณ์จากข่าว ของจริงหรือสื่อเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นต้น ขั้นตอนที่ 2 กำหนดปัญหาหรือวัตถุประสงค์ เป็นการกำหนดประเด็นข้อสงสัย จาก ปัญหาของสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์ ซึ่งอาจจะกำหนดเป็นคำถามหรือเป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ของ การวิเคราะห์เพื่อค้นหาความจริงสาเหตุ หรือความสำคัญ ขั้นตอนที่ 3 กำหนดหลักการหรือกฎเกณฑ์ เป็นการกำหนดข้อกำหนดสำหรับ ใช้แยก ส่วนประกอบของสิ่งที่กำหนดให้ เช่น เกณฑ์ในการจำแนกสิ่งที่มีความเหมือนกันหรือแดกต่าง กัน หลักเกณฑ์ในการหาลักษณะความสัมพันธ์เชิงเหตุผลอาจเป็นลักษณะความสัมพันธ์ ที่มีความ คล้ายคลึงกันหรือขัดแย้งกัน ขั้นตอนที่ 4 พิจารณาแยกแยะเป็นการพินิจ พิเคราะห์ทำการแยกแยะ กระจายสิ่งที่ กำหนดให้ออกเป็นส่วนย่อย ๆ โดยอาจใช้เทคนิคคำถาม 5 W 1 H ประกอบด้วย What (อะไร) Where (ที่ไหน) When (เมื่อไหร่) Why (ทำไม) Who (ใคร) และ How (อย่างไร) ขั้นตอนที่ 5 สรุปคำตอบ เป็นการรวบรวมประเด็นที่สำคัญเพื่อหาข้อสรุปเป็น คำตอบ หรือตอบปัญหาของสิ่งที่กำหนดให้ 5. เทคนิคการคิดวิเคราะห์ สุวิทย์ มูลคำ (2550 21-22)กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์ เป็นการคิดโดยใช้สมองซีกซ้าย เป็นหลัก เป็นการคิดเชิงลึก คิดอย่างละเอียด จากเหตุไปสู่ผล ตลอดจนการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ใน เชิงเหตุและผลความแตกว่างระหว่างข้อ


29 โต้แย้ง ที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องเทคนิคการคิดวิเคราะห์อย่างง่าย คือ 5W 1H รายละเอียดดังนี้ 3.1 What (อะไร) ปัญหาหรือสาเหตุที่เกิดขึ้น - เกิดอะไรเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ - มีอะไรเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ - หลักฐานที่สำคัญที่สุด คือ อะไร - สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ คืออะไร 3.2 Where (ที่ไหน) สถานที่หรือตำแหน่งที่เกิดเหตุ - เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน - เหตุการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นที่ใดมากที่สุด 3.3 When (เมื่อไร) เวลาที่เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้น หรือจะเกิดขึ้น - เหตุการณ์นั้นนำจะเกิดขึ้นเมื่อไร - เวลาใดบ้างที่สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ 3.4 Why (ทำไม) สาเหตุหรือมูลเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น - เหตุใดต้องเป็นคนนี้ เป็นเวลานี้ เป็นสถานที่นี้ - เพราะเหตุใดเหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น - ทำไมจึงเกิดเรื่องนี้ 3.5 Who (ใคร) บุคคลสำคัญเป็นตัวประกอบหรือเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะได้รับ ผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ - ใครอยู่ในเหตุการณ์บ้าง - ใครน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้บ้าง - ใครน่าจะเป็นคนที่ทำให้สถานการณ์นี้เกิดมากที่สุด - เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ 3.6 How (อย่างไร) รายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังจะเกิดขึ้นว่ามีความ เป็นไปได้ในลักษณะใด - เขาทำสิ่งนี้ได้อย่างไร - ลำดับเหตุการณ์ดูว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร - มีหลักในการพิจารณาคนดีอย่างไร


30 ผู้วิจัยสรุปได้ว่า เทคนิคการคิดวิเคราะห์ 5W 1H จะลามารถช่วยจัดลำดับความชัดเจน ในแต่ละเรื่องที่กำลังจะคิดให้เป็นลำดับขั้นตอนเป็นอย่างดีก่อให้เกิดดวามครบถ้วนสมบูรณ์ 6. ประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ คมสันต์ ก้านจักร (2552, หน้า 50-51) ได้สรุปประโยชน์ของ การคิดวิเคราะห์ไว้ ดังนี้ 1. ช่วยให้เรารู้ข้อเท็จจริง รู้เหตุผลเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้น เข้าใจความ เป็นมา เป็นไปของเหตุการณ์ต่างๆ รู้ว่าเรื่องนั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้างทำให้เราได้ข้อเท็จจริงที่เป็นรากฐาน ความรู้ในการนำไปใช้ในการตัดสินใจแก้ปัญหา การประเมินและ การตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้อย่าง ถูกต้อง 2. ช่วยให้เราสำรวจความสมเหตุสมผลของข้อมูลที่ปรากฏและไม่ด่วน สรุปตาม อารมณ์ ความรู้สึกหรืออคติ แต่สืบค้นตามหลักเหตุผลและข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง 3. ช่วยให้เราไม่ด่วนสรุปสิ่งใดๆ แต่สื่อสารตามความเป็นจริงขณะเดียวกันจะช่วยให้ เราไม่หลงเชื่อข้ออ้างที่เกิดจากตัวอย่างเพียงอย่างเดียว แต่พิจารณา เหตุผลและปัจจัยเฉพาะในแต่ละ กรณี 4. ช่วยในการพิจารณาสาระสำคัญอื่นๆ ที่ถูกบิดเบือนไปจากความประทับใจในครั้ง แรก ทำให้เรามองอย่างครบถ้วนในแง่มุมอื่นๆ ที่มีอยู่ 5. ช่วยพัฒนาความเป็นคนช่างสังเกต การหาความแตกต่างของส่งที่ ปรากฎ พิจารณาจากความสมเหตุสมผลของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะตัดสินสรุปสิ่งใดลงไป 6. ช่วยให้เราหาเหตุผลที่สมเหตุสมผล ให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ณ เวลานั้น โดยไม่พึงพ พิงอคติที่ก่อตัวอยู่ในความทรงจำ ทำให้เราสามารถประเมินสิ่งต่างๆ ได้อย่าง สมจริงสมจัง 7. ช่วยประมาณการความน่าจะเป็น โดยสามารถใช้ข้อมูลพื้นฐานที่เรา วิเคราะห์ ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ของสถานการณ์ ณ เวลานั้น อันจะช่วยเราคาดการณ์ความน่าจะเป็นได้ สมเหตุสมผลมากกว่า สุวิทย์ มูลคำและคณะ (2554, หน้า 21) กล่าวว่า ประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์มี ดังนี้ 1. ช่วยให้เรารู้ข้อเท็จจริง 2. ช่วยให้เราไม่ด่วนสรุปสางใดง่าย ๆ 3. ช่วยในการพิจารณาสาระสำคัญอื่น ๆ 4. ช่วยพัฒนาความเป็นคนช่างสังเกต 5. ช่วยให้เราหาเหตุผลที่สมเหตุสมผล


31 6. ช่วยประมาณการความน่าจะเป็น สรุปได้ว่า การคิดวิเคราะห์ มีประโยชน์ในการช่วยให้เราพิจารณาสิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อนการ ตัดสินใจ ใช้เหตุผล หลักฐานและตรรกะมาวิเคราะห์ข้อเท็จจริง ให้แน่ชัดก่อนลงความเห็นหรือตัดสิน ได้อย่างถูกต้อง 7. ทฤษฎีที่เกียวข้องกับทักษะการคิดวิเคราะห์ 7.1 ทฤษฎีการคิดวิเคราะห์ของบลูม (Bllom's Taxonomy) บลูม (ปรียานุช สถาวรมณี 2548 : 22 อ้างอิงจาก Bloom. 1956 : 6-9, 201-207) ได้ กำหนดจุดมุ่งหมายทางการศึกษา (Bloom's Taxonomy of Educational Objectives) เป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการรู้คิด ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย ของบุคคลส่งผลต่อความสามารถ ทางการคิด ที่บลูม จำแนกไว้เป็น 6 ระดับ คำถามในแต่ละระดับมีความชับซ้อนแตกต่างกัน ได้แก่ ระดับที่ 1 ระดับความรู้ความจำ แยกเป็นความรู้ในเนื้อหา เช่น ความรู้ในศัพท์ที่ใช้ และความรู้ในข้อเท็จจริงเพราะ ความรู้ในวิธีดำเนินการ เช่น ความรู้เกี่ยวกับระเบียบแบบ แผน ความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มและลักดับขั้น ความรู้เกี่ยวกับการจัดจำแนกประเภท ความรู้เกี่ยวกับ เกณฑ์ ต่าง ๆ และความรู้เกี่ยวกับวิธีการ ความรู้รวบยอดในเนื้อเรื่อง เช่น ความรู้เกี่ยวกับหลักวิชา และการ ขยายความ และความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีและโครงสร้าง ระดับที่ 2 ระดับความพอใจ แยกเป็นการแปลความ การตีความ และการ ระดับที่ 3 ระดับการนำเอาไปใช้ แยกเป็น การประยุกต์ ระดับที่4 ระดับการวิเคราะห์ แยกเป็นการวิเคราะห์ส่วนประกอบ การ วิเคราะห์ ความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์หลักการ ระดับที่ 5 การสังเคราะห์ แยกเป็น การสังเคราะห์การสื่อความหมาย การ สังเคราะห์แผนงาน และการสังเคราะห์ความสัมพันธ์ ระดับที่ 6 ระดับการประเมินค่า แยกเป็น การประเมินค่าโดยอาศัยข้อเท็จจริง ภายในและการประเมินค่าโดยอาศัยข้อเท็จจริงภายนอก การที่บุคคลจะมีทักษะในการแก้ปัญหาและ การตัดสินใจ บุคคลนั้นจะต้องสามารถวิเคราะห์และเข้าใจสถานการณ์ใหม่ หรือข้อความจริงใหม่ได้ ความสามารถทางการคิดของบุคคลของบลูมในระดับการคิดเชิงวิเคราะห์ เป็นทักษะการคิด ระดับพื้นฐานของนักเรียนสู่ความสามารถทางการคิดในระดับสูง เพราะนักเรียนจะเข้าใจเหตุการณ์ ต่าง ๆ อย่างชัดเจนผ่านกระบวนการวิเคราะห์หน่วยย่อย การวิเคราะห์ความสัมพันธ์และการวิเคราะห์ หลักการโดยนักเรียนสามารถวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ จากส่วนย่อยสู่ส่วนใหญ่ และเชื่อมความสัมพันธ์


32 ของประเด็นต่าง ๆ เข้าด้วยกันจนสามารถสรุปอย่างเป็นหลักการโดยมีเหตุผลรองรับผู้วิจัยจึงศึกษา วิเคราะห์ทฤษฎีการคิดของบลูม ในระดับการคิดเชิงวิเคราะห์ และนำมาบูรณาการกับทฤษฎีการคิด ของมาร์ซาโน ในขั้นการคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อสังเคราะห์เป็นทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์สำหรับงานวิจัย 7.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาและการคิดวิเคราะห์ ของเพียเจท์(Piaget's Theory of Intelligence) (พรรณี ช.เจนจิต 2538 อ้างอิงPiaget 1972 : 1-10) เชื่อว่า การพัฒนาการทาง สติปัญญาของคนมีลักษณะเดียวกันในช่วงอายุเท่ากัน และแตกต่างกันในช่วงอายุต่างกัน อันเป็นผลมา จากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม เริ่มจากการสัมผัส การคิดอย่างเป็นรูปรรรม พัฒนา ความคิดที่เป็นนามธรรมโดยบุคคลพยายามปรับตัวให้เกิดสภาวะสมดุล ด้วยกระบวนการดูดซึมภาพ และเหตุการณ์ต่างๆ เข้าไว้ในความคิดของตน และกระบวนการปรับความคิดเดิมให้สอดคล้องกับสิ่ง ใหม่ เพียเจท์จึงจัดกระบวนการทางสติปัญญาและความคิด ออกเป็น 4 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นใช้ประสาทสัมผัส เป็นระยะพัฒนาการของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 2 ปี โดยใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ เริ่มจากพัฒนาการรับรู้ สู่การใช้อวัยวะต่างๆ ได้ เช่น การฝึกหยิบจับ สิ่งของต่าง ๆ และการฝึกการได้ยินและการมอง 2. ขั้นควบคุมอวัยวะต่างๆ เริ่มตั้งแต่อายุ 2 ปีจนถึง 7 ปี มีการพัฒนาสมองที่ใช้ ควบคุมการพัฒนาลักษณะนิสัยและการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น นิสัย การขับถ่าย การเล่นกีฬาที่ เป็นการฝึกใช้อวัยวะต่าง ๆ ให้มีความสัมพันธ์กันภายใต้การควบคุมของสมสอง 3. ขั้นคิดอย่างเป็นรูปธรรม เริ่มตั้งแต่อายุ 7-11 ปี มีการพัฒนาสมองมากขึ้น สามารถเรียนรู้และจำแนกสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมได้ แต่ยังไม่สามารถจินตนาการกับเรื่องราวที่เป็น นามธรรม 4. ขั้นคิดอย่างเป็นนามธรรม เป็นระยะพัฒนาการช่วงสุดท้ายของเด็กช่วง อายุ 12 - 16 ปี ที่สามารถคิดอย่างเป็นเหตุผล และคิดในสิ่งที่ชับซ้อนเป็นนามธรรมได้มากขั้น สามารถ แก้ปัญหาได้อย่างดีจนพร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะได้การพัฒนาการทางสติปัญญาและการคิด ของมนุษย์ตามทฤษฎีของเพียเจท์จะเป็นอย่างไร ต่อเนื่องในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวัย 11 - 12 ปี ที่นักเรียนสามารถคิดอย่างเป็นรูปธรรมสู่ ความเป็นนามธรรม และจะคิดได้ซับซ้อนยิ่งขึ้นถ้า กิจกรรมการเรียนรู้สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ต่อจากประสบการณ์เดิมในบรรยากาศการเรียนรู้ ที่ส่งเสริมการคิดของนักเรียนให้สามารถเห็น ภาพรวมและรูปเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลจาก ข้อมูลที่ถูกต้อง ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อคันพบเกี่ยวกับการพัฒนาการทางสติปัญญาและการคิดของเพียเจท์


33 เพื่อนำมาประยุกต์ทดลองงานวิจัยนี้กับกลุ่ม นักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ที่มีอายุอยู่ระหว่าง 10 - 12 ปี โดยเพียเจท์เชื่อว่านักเรียนในช่วงอายุนี้สามารถ พัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ได้ 7.3 ทฤษฎีการคิดวิเคราะห์ของมาซาโน ( Marzano ) มาร์ซาโน (ปรียานุช สถาวรมณี 2548 : 24-25 อ้างอิงจาก Marzano. 2001: 60) จึงได้พัฒนารูปแบบจุดมุ่งหมายทางการศึกษารูปแบบใหม่ (A New Taxonomy of Educational objectives) ประกอบด้วยความรู้ 3 ประเภท และกระบวนการจัดกระทำกับข้อมูล 6 ระดับ โดยมี รายละเอียดดังนี้ 1. ข้อมูล เน้นการจัดระบบความคิดเห็น จากข้อมูลง่ายสู่ข้อมูลยาก เป็นระดับ ความคิดรวบยอด ข้อเท็จจริง ลำดับของเหตุการณ์ สาเหตุและผล เฉพาะเรื่อง และหลักการ 2. กระบวน การ เน้นกระบวนการเพื่อการเรียนรู้ จากทักษะสู่กระบวนการ อัตโนมัติอันเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถที่สั่งสมไว้ 3. ทักษะเน้นการเรียนรู้ที่ใช้ระบบโดรงสร้างกล้ามเนื้อจากทักษะง่ายสู่ กระบวนการที่ซับซ้อนขึ้น กระบวนการจัดกระทำกับข้อมูล 6 ระดับ ดังนี้ ระดับที่ 1 ขั้นรวบรวม เป็นการคิดทบทวนความรู้เดิม รับข้อมูลใหม่ และเก็บ เป็น 8ลังข้อมูลไว้ เป็นการถ่ายโยงความรู้จากความรู้จากความจำถาวรสู่ความจำนำไปใช้ในการ ปฏิบัติการ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างของความรู้นั้น ระดับที่ 2 ขั้นเข้าใจ เป็นการเข้าใจสาระที่เรียนรู้ สู่การเรียนรู้ใหม่ในรูปแบบ การใช้สัญลักษณ์ เป็นการสังเคราะห์โครงสร้างพื้นฐานของความรู้นั้นโดยเข้าใจประเด็นความสำคัญ ระดับที่ 3 ขั้นวิเคราะห์ เป็นการจำแนกความเหมือนและความต่างอย่างมี หลักการการจัดหมวดหมู่ที่สัมพันธ์กับความรู้ การสรุปอย่างสมเหตุสมผลโดยสามารถบ่งชี้ข้อผิดพลาด ได้การประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่โดยใช้ฐานความรู้ ระดับที่ 4 ขั้นใช้ดวามรู้ให้เป็นประโยชน์เป็นการตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่มี คำตอบชัดเจน การแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยาก การอธิบายปรากฏการณ์ที่แตกต่าง และการพิจารณาพื้นฐาน ของข้อมูล ระดับที่ 4 ขั้นใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์เป็นการตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่มี คำตอบชัดเจน การแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยาก การอธิบายปรากฏการณ์ที่แตกต่างและการพิจารณา หลักฐานสู่การสรุปสถานการณ์ที่มีความชับซ้อน การตั้งข้อสมมุติฐานและการทดสอบสมมุติฐานนั้น บนพื้นฐานของความรู้


34 ระดับที่ 5 ขั้นบูรณาการความรู้ เป็นการจัดระบบความคิดเพื่อบรรลุเป้าหมาย การเรียนรู้ที่กำหนด การกำกับติดตามการเรียนรู้ และการจัดขอบเขตการเรียนรู้ ระดับที่ 6 ขั้นจัดระบบแห่งตน เป็นการสร้างระดับแรงจูงใจต่อภาวะการณ์ เรียนรู้และภาระงานที่ได้รับมอบหมายในการเรียนรู้ รวมทั้งความตระหนักในความสามารถของ การเรียนรู้ตนมี ตามแนวคิดของมาร์ซาโน (Marzano, 2001 : 38-45,58) การคิดวิเคราะห์ซับซ้อน มากกว่าความเข้าใจ เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เหตุผล คิดอย่างลึกซึ้งและหลากหลาย มีการคิดโดย พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและต้องมีเหตุผล สามารถระบุความเหมือนหรือความแตกต่างอย่างมี หลักการ สามารถจัดลำดับ จัดหมวดหมู่ หรือจัดประเภทของความรู้ของสิ่งต่างๆ ระบุเหตุผลของการ เกิดข้อผิดพลาดของข้อมูล สามารถตีความหรือบอกหลักเกณฑ์พื้นฐานของความรู้ ระบุ เจาะจง หรือ สรุปอย่างมีเหตุผล จนสามารถเกิดเป็นความรู้ใหม่ได้และนำหลักการเพื่อประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ ใหม่โดยใช้พื้นฐานของความรู้ การคิดวิเคราะห์จะประกอบด้วยความสามารถ 5 ด้าน คือ ด้านที่ 1 การจัดจำแนกเปรียบเทียบ (matching) คือ ความสามารถในการสังเกต และจำแนกแยกแยะรายละเอียดของสิ่งต่างๆ หรือเหตุการณ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกันออกเป็นส่วน ๆ อย่างมีหลักเกณฑ์และเข้าใจง่าย แล้วเปรียบเทียบ ระบุ ยกตัวอย่าง ระบุลักษณะความเหมือนความ ต่าง และจัดกลุ่มของสิ่งต่างๆ หรือเหตุการณ์ได้ โดยเริ่มจากระดับง่ายแบบนามธรรมไปสู่ขั้นซับซ้อนที่ เป็นนามธรรม ดังนี้ 1) การบอกสิ่งที่ต้องการจะวิเคราะห์ 2) ระบุลักษณะหรือคุณสมบัติเพื่อจำแนกหรือแยกแยะสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์ 3) ระบุว่าได้ว่าสิ่งนั้นๆ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร 4) สรุปได้อย่างถูกต้องเหมาะสมว่าสิ่งต่างๆ มีความเหมือนและแตกต่างกัน ด้านที่ 2 การจัดกลุ่ม (classification) คือ ความสามารถในการใช้ ความรู้เพื่อการจัดกลุ่ม จัดล าดับ จัดประเภทของสิ่งต่างๆ โดยใช้คุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่ง นั้นๆ อย่างมีหลักการหรือหลักเกณฑ์ ด้านที่ 3 การวิเคราะห์ข้อผิดพลาด (error analysis) คือ ความสามารถในการระบุ ข้อผิดพลาดหรือความสัมพันธ์และไม่สัมพันธ์กันของสิ่งต่าง ๆ โดยโยงความสัมพันธ์สู่การสรุปอย่าง สมเหตุสมผล ระบุสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ การใช้ความรู้เดิมผสมผสานกับ


35 ความรู้ใหม่ไปสู่การสรุปและยกตัวอย่างประกอบได้อย่างมีเหตุผลจากความรู้ที่มีอยู่เดิม มีข้อมูลหรือ หลักฐานในการสนับสนุนจนพิจารณาได้ว่าเป็นจริง โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้ 1) ความรู้เดิมเป็นความรู้ที่ถูกต้องและเป็นจริงมีการยอมรับกันทั่วไป 2) ความรู้จากผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญ 3) ความรู้จากหลักฐานที่มีอยู่ เป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ 4) ข้อมูลได้รับการพิสูจน์หรือทดลองใช้แล้วเป็นจริง 5) ข้อมูลอื่น ๆ ที่พิจารณาว่าเป็นจริงน ามาสนับสนุนให้ความคิดได้รับการยอมรับ ด้านที่ 4 การสรุปหลักการ (generalizing) คือ ความสามารถในการนำความรู้เดิมเป็น ข้อมูลเพื่อไปสู่ความรู้หรือหลักการใหม่ ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่หรือนำไปใช้ในการแก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน โดยสามารถนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง โดยใช้การให้เหตุผลสรุปเป็น หลักการดังนี้ 1) การให้เหตุผลเชิงอุปนัย (inductive) เป็นการให้เหตุผลหรือการคิดจากข้อมูลที่ เป็นตัวอย่างหรือรายละเอียดแล้วสามารถสรุปเป็นหลักการ แนวคิด ทฤษฎีหรือเกิดเป็นความรู้ใหม่ 2) การให้เหตุผลเชิงนิรนัยนัย (deductive) เป็นการให้เหตุผลหรือการคิดที่เริ่มจาก ข้อสรุปแล้วนำไปสู่รายละเอียดหรือการยกตัวอย่าง ด้านที่ 5 การนำไปใช้(specifying) คือ ความสามารถนำความรู้หรือหลักการไปใช้เพื่อ การทำนายสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตได้อย่างเจาะจง มีความรู้ เข้าใจเหตุการณ์ ระบุ รายละเอียดในเหตุการณ์นั้นๆ และบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้เป็นการประยุกต์ความรู้ใหม่จาก หลักการเดิมที่มีอยู่ คาดเดา ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง สามารถ ปรับเปลี่ยนวิธีกาแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม 8. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการคิดวิเคราะห์ 8.1 งานวิจัยต่างประเทศ รอสแมน (ปรียานุช สถาวรมณี : 2548; 45 อ้างอิงจาก Rosman. 1966:2126-B) ได้ศึกษาการคิดแบบวิเคราะห์ของนักเรียนชั้น ป .1 และ ป .2 พบว่า นักเรียนชั้น ป .2 คิดแบบ วิเคราะห์มากกว่าชั้น ป.1 นอกจากนั้นการคิดแบบวิเคราะห์ยังมีแนวโน้มที่ จะเพิ่มขึ้นตามอายุและมี ความสัมพันธ์กับความพร้อมการเรียนรู้ และแรงจูงใจอีกด้วย กี (ปรียานุช สถาวรมณี. 2548 : 47 อ้างอิงจาก Gee. 1996 : 1343) ศึกษาผลการ ฝึกฝน ทักษะการคิดอย่างมีวิจารญาณในการปฏิบัติการของนักเรียนในชั้นที่เรียนจิตวิทยาการศึกษา


36 ผลการศึกษาพบว่า มีความแตกต่างน้อยมากระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม จึงมีข้อสังเกตว่า ทักษะนี้ควรสอนในชั้นที่สอนเนื้อหาหรือแยกจากชั้นที่สอนเนื้อหา สมิธ (ปรียานุช สถาวรมณี. 2548 : 47 อ้างอิงจาก Smith 1996 : 2424-A) ศึกษา วิเคราะห์เปรียบเทียบผลการสอนวิทยาศาสตร์แบบสืบสวนกับวิธีการสอนแบบดั้งเดิมเพื่อดูผลสัมฤทธิ์ ทักษะกระบวนการ การคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะการปฏิบัติการในห้องทดลอง ผลการศึกษา พบว่า การสอนวิทยาศาสตร์แบบสืบสวนเพิ่มการเรียนรู้แบบรอบรู้ของนักเรียนในด้าน เนื้อหา พัฒนา ทักษะการคิดอย่างมีวิจารญาณ และทักษะการปฏิบัติการในห้องทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติใน ระดับสูงกว่าวิธีการสอนแบบดั้งเดิม ขณะที่ทักษะกระบวนการไม่มีความแตกต่าง เทรนเนอร์ (ปรียานุช สถาวรมณี. 2548 : 47 อ้างอิงจากTrainer. 1997 : 4294-A ) ศึกษาการประเมินคุณค่าของกิจกรรมเสริมหลักสูตรของสมาคมนักศึกษาเทคโนโลยีแห่งชาติในการ ส่งเสริมการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์และการคิดอย่างมีวิจารณญาณในโปรแกรมการศึกษา จากการศึกษางานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ สรุปได้ว่า ด้านการคิด วิเคราะห์สามารถพัฒนาได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันทั้งการจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ให้ได้นักคิด วิเคราะห์โดยมุ่งเน้นให้สามารถหาเหตุผลด้วยตนเอง ด้วยวิธีหลาก หลายทั้งการใช้กระบวนการกลุ่ม การ อภิปรายกลุ่ม แบบอภิปรายโดยใช้สถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จำลอง จากเอกสารและ งานวิจัยที่กล่าวมาทั้งหมดในบทนี้จะเห็นได้ว่า การจัดประสบการณ์กระบวนการทางวิทยาศาสตร์นอ ห้องเรียน เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรม ด้วยตนเอง ทำให้เกิดการเรียนรู้สิ่ง ต่าง ๆ รอบตัว เด็กจะได้ประสบกาณ์ตรงและส่งเสริมทักษะให้กับเด็กปฐมวัย 8.2 งานวิจัยในประเทศ ประสพ ศรีสมบูรณ์ (2551, บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาเรื่อง ความสามารถ ด้านการ คิดวิเคราะห์และการคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 ในจังหวัด ศรีสะเกษ ผลการวิจัยพบว่า 1. ด้านคุณภาพของแบบทดสอบ ฉบับที่ 1 แบบวัดการคิดวิเคราะห์ในการ แก้ปัญหา มีค่าความยาก (p) รายข้อ ระหว่าง 0.41 ถึง 0.80 และมีค่าอำนาจจำแนก (r) รายข้อ ระหว่าง 0.20 ถึง 0.65 มีค่าความเชื่อถือได้ทั้งฉบับ 0.73 ฉบับที่ 2 แบบวัด การคิดสร้างสรรค์ในการ แก้ปัญหา มีค่าอำนาจจำแนก (r) รายข้อ ระหว่าง 0.44 ถึง 0.79 และมีค่าความเชื่อถือได้ทั้งฉบับ 0.87 2. ด้านความสามารถในการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในจังหวัดศรีสะเกษ พบว่า


37 2.1 นักเรียนโดยรวมมีความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ ในระดับสูง โดย ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูงมาก (ร้อยละ 48.82) รองลงมาระดับสูง (ร้อยละ 31.36) ระดับ ปานกลาง (ร้อยละ 17.16) และระดับต่ำ (ร้อยละ 2.66) 2.2 นักเรียนโดยรวมมีความสามารถด้านการคิดสร้างสรรค์ในระดับต่ำ โดย ส่วนใหญ่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 31.36) รองลงมาระดับปานกลาง (ร้อยละ 28.11) ระดับต่ำมาก (ร้อย ละ 26.04) ระดับสูง (ร้อยละ 11.83) และสูงมาก (ร้อยละ 26.6) ตามลำดับ จิรพร ไชยเผือก (2540 : 56-64) ศึกษาผลของการใช้กิจกรรมการเล่นทรายเปียกที่มี ต่อทักษะการคิดของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาล 3 อายุ 5-6 ปี โรงเรียนวิริยาลัย สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาเอกชน กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2539 จำนวน 30 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มทดลองได้รับการจัดกิจกรรมการเล่นทรายเปียก และกลุ่มควบคุมได้รับการ จัดกิจกรรมการเล่นน้ำ เล่นทรายแบบปกติ ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการ เล่นทรายเปียกและที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่นน้ำ เล่นทรายแบบปกติล้วนมีทักษะการคิดสูงขึ้น เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่นทรายเปียก กับเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่นน้ำ เล่นทราย แบบปกติ มีทักษะการคิดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .50 วไลพร เมฆไตรรัตน์ และคณะ (2552, บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาเรื่อง รูปแบบการ จัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะความคิดเด็กปฐมวัย ผลการศึกษาวิจัย พบว่า 1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดของเด็กปฐมวัย 1.1 รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดของเด็กปฐมวัย มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ ขั้นแจกแจงเหตุผล และขั้นประเมินค่าหา คำตอบแต่ละขั้นตอนมีการใช้กลุ่มคำถามตามแนวคิดของ บลูม 6 ระดับ 1.2 ผลการประเมินความเหมาะสมของโครงสร้างรูปแบบการจัด การเรียนรู้เพื่อ พัฒนาทักษะการคิดของเด็กปฐมวัยตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญได้ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 4.20-5.00 จึง ถือว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดของ เด็กปฐมวัยมีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มากถึงมากที่สุด 1.3 ผลการประเมินความสอดคล้องของโครงสร้างรูปแบบการจัด การเรียนรู้เพื่อ พัฒนาทักษะการคิดของเด็กปฐมวัยตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง ตั้งแต่ 0.60-1.00 จึงถือว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ทักษะการคิดของเด็กปฐมวัยมีความ สอดคล้องกัน


38 2. ทักษะการคิดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ มีคะแนนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .0 3. ความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อการจัดกิจกรรมตามรูปแบบที่เน้น การจัดการ เรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดของเด็กปฐมวัย ครูผู้สอนเห็นว่ารูปแบบ การจัดการเรียนรู้เป็นรูปแบบ ที่ดีสามารถนำไปใช้ได้จริงสำหรับครูผู้สอนระดับปฐมวัยทุกคน เพราะขั้นตอนการจัดกิจกรรมมีความ ชัดเจน และมีการจัดกิจกรรมหลากหลายเด็กได้รับประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จนสามารถ พัฒนทักษะการคิดสูงขึ้น เด็กสามารถตั้งคำถามและค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง ฉัตรมงคล สวนกัน (2555, หน้า 108) ได้ทำการศึกษาเรื่อง การพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย โดยการจัดประสบการณ์ด้วยเกมการศึกษา ผลการศึกษา พบว่า 1) เกม การศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) นักเรียนที่ได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษา มีทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อเกมการศึกษาเพื่อ พัฒนาการคิดวิเคราะห์ของ เด็กปฐมวัยโดยรวมอยู่ในระดับมาก จากการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์ สรุปได้ว่าความสามารถ ด้านการคิดวิเคราะห์สามารถพัฒนาและส่งเสริมได้ตั้งแต่ระดับปฐมวัย ซึ่งเป็นวัยแห่งการเริ่มต้นการ เรียนรู้ และการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กจึงถือว่าเป็น สิ่งจำเป็นที่จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ อย่างต่อเนื่องเป็นพื้นฐานในการเรียนชั้นสูงต่อไป ผู้วิจัยจึงได้สังเคราะห์ทักษะย่อยด้านการคิด วิเคราะห์เพื่อเตรียมความพร้อมด้านการคิดวิเคราะห์ สำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้ 1) การสังเกตและการ จำแนก หมายถึง ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าหรืออย่างใดอย่างหนึ่งแยกแยะลักษณะ ที่เหมือนกันสัมพันธ์กัน หรือแตกต่างกันของสิ่งของ หรือเหตุการณ์ 2) การจับคู่และการเปรียบเทียบ หมายถึงความสามารถในการพิจารณาเทียบเคียงสิ่งของ หรือเหตุการณ์ ที่เหมือนกัน มีความสัมพันธ์ กัน หรือประเภทเดียวกันเข้าคู่กัน 3) การจัดกลุ่ม หมายถึง ความสามารถ ในการแบ่งประเภทสิ่งของ โดยหาเกณฑ์ หรือสร้างเกณฑ์ในการแบ่งขึ้น เช่น ความเหมือน ความแตกต่าง และความสัมพันธ์ร่วม 4) การเรียงลำดับ หมายถึง ความสามารถในการจัด สิ่งของ หรือเหตุการณ์ ตามความต้องการโดยจะ เป็นการลำดับข้อมูลจากน้อยไปหามาก หรือจากมากไปหาน้อย ลำดับเหตุการณ์ก่อน-หลัง


39 ขั้นตอนการการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้จัดประสบการณ์กิจกรรมประกอบ อาหารภาคกลางต่อการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย โดยสร้างขั้นตอนในการจัดประสบการณ์กิจกรรม ประกอบอาหารภาคกลาง ดังนี้ วิธีดำเนินกิจกรรม การจัดกิจกรรมการประกอบอาหารเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ซึ่งมีรายละเอียดใน การดำเนินกิจกรรม ดังนี้ ขั้นนำ นำเข้าสู่กิจกรรมด้วยการสนทนา การร้องเพลง การท่องคำคล้องจอง ปริศนาคำทาย หรือการใช้สื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจและสร้างความพร้อมก่อนเริ่ม กิจกรรม ขั้นดำเนินการ 1. เด็กและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อปฏิบัติ และข้อควร ระวังในขณะปฏิบัติกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง 2. ครูแนะนำเมนูอาหาร เครื่องปรุง วัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ในการประกอบอาหารภาค กลางโดยเน้นให้เด็กได้สังเกตและบอกชื่อวัสดุอุปกรณ์และส่วนผสมที่ตนเองรู้จัก พร้อมร่วมแสดงความ คิดเห็นจากประสบการณ์ของตนเอง 3. เด็กวางแผนแบ่งหน้าที่ในการทำกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลางร่วมกัน 4. ลงมือทำกิจกรรมตามที่ได้วางแผนไว้ โดยครูมีบทบาทในการให้คำแนะนำ และ กระตุ้นให้เด็กได้จำแนกเปรียบเทียบ จัดหมวดหมู่ และหาความสัมพันธ์ 5. เมื่อทำกิจกรรมเสร็จแล้วให้เด็กทุกคนร่วมกันเก็บอุปกรณ์และทำความสะอาด สถานที่ให้ ขั้นสรุป เด็กและครูร่วมกันสรุปขั้นตอนในการประกอบอาหารภาคกลาง โดยที่ครูใช้คำถาม ปลายเปิดกระตุ้นให้เด็กเสนอผลงานและทบทวนกระบวนการทำงาน


40 ครูและเด็กร่วมกันท่องคำคล้องจอง อธิบายกิจกรรมและสาธิตวิธีการทำ ให้เด็กนำเสนอผลงานเล่าขั้นตอนในการประกอบ อาหารและการใช้วัสดุอุปกรณ์ ภาพที่ 2 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมประกอบอาหารภาคกลาง ขั้นที่ 1 ขั้นนำ ขั้นที่ 2 ดำเนินกิจกรรม ขั้นที่ 1 สรุป ........... ........... ...........


Click to View FlipBook Version