The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คุณครูภาณุพันธุ์ สุวัฒนนนท์
โรงเรียนศึกษานารี
สพม. เขต 1
E-Book_ศาสนาเปรียบเทียบ
.
บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนา
บทที่ 2 การเปรียบเทียบศาสนา : ระยะเวลา และสถานที่เกิด
บทที่ 3 การเปรียบเทียบ : เทวนิยม อเทวนิยม
บทที่ 4 การเปรียบเทียบ : สังสารวัฏ
.
ลิขสิทธิ์เป็นของ ภาณุพันธุ์ สุวัฒนนนท์
.
อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษา เท่านั้น
.
Published by
K.PRAYOONPROM

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by zom Kityaporn OBEC, 2020-05-06 00:03:07

E-Book_ศาสนาเปรียบเทียบ สพฐ.

คุณครูภาณุพันธุ์ สุวัฒนนนท์
โรงเรียนศึกษานารี
สพม. เขต 1
E-Book_ศาสนาเปรียบเทียบ
.
บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนา
บทที่ 2 การเปรียบเทียบศาสนา : ระยะเวลา และสถานที่เกิด
บทที่ 3 การเปรียบเทียบ : เทวนิยม อเทวนิยม
บทที่ 4 การเปรียบเทียบ : สังสารวัฏ
.
ลิขสิทธิ์เป็นของ ภาณุพันธุ์ สุวัฒนนนท์
.
อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษา เท่านั้น
.
Published by
K.PRAYOONPROM

Keywords: COOLSungkom

ศาสนาเปรียบเทียบ
(COMPARATIVE
RELIGIONS)

อ. ภาณุพนั ธุ์ สุวฒั นนนท์

บทท่ี 1 ความรู้เบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั
ศาสนา

INTRODUCTION OF RELIGIONS

ศาสนา คืออะไร

 ศาสนา คือ ส่ิงที่ศาสดาคน้ พบหรือไดร้ ับเท
วโองการ ซ่ึงมีลกั ษณะศกั ด์ิสิทธ์ิเป็นที่พ่ึงทางใจ
ไดถ้ ูกนามาเผยแผใ่ หม้ วลมนุษยชาติประพฤติ
ปฏิบตั ิตาม และประกอบพธิ ีกรรม เพ่อื ประสบ
สนั ติสุขในระดบั ศีลธรรมจรรยา สนั ติภาพอนั
นิรันดร อนั เป็นจุดหมายสูงสุดของชีวติ

เหตุทที่ ำให้เกดิ ศำสนำ

 ความกลวั
 ความไม่รู้
 ความอยากรู้
 ความจงรักภกั ดี
 อิทธิพลของคนสาคญั
 ลทั ธิทางการเมือง

ลกั ษณะของศาสนา

 เป็นศูนยร์ วมของความเคารพนบั ถือสูงสุดของมนุษย์
 เป็นท่ียดึ เหนี่ยวทางจิตใจ
 ศาสดาเป็นผนู้ าศาสนามาเผยแผส่ งั่ สอนแก่มวลมนุษย์
 ศาสนาสอนใหม้ นุษยท์ าแต่ความดีละเวน้ ความชว่ั
 คาสอนในศาสนามีท้งั ระดบั โลกิยะและโลกตุ ระ
 มนุษยต์ อ้ งปฏิบตั ิตามคาสอนในศาสนาดว้ ยความเคารพเลื่อมใสศรัทธา
 ตอ้ งมีพิธีกรรมเพือ่ ความศกั ด์ิสิทธ์ิและมีสญั ลกั ษณ์เป็นเครื่องหมาย

องคป์ ระกอบของศาสนา  สาวก
 ศาสนสถาน
 ศาสดา  ศาสนิกชน
 คมั ภีร์  ความจงรักภกั ดี
 พธิ ีกรรม
 สญั ลกั ษณ์

ประเภทของศาสนา

 แบ่งตามความเช่ือเก่ียวกบั พระเจา้
 เทวนิยม
 อเทวนิยม

 แบ่งตามการท่ีมีผนู้ บั ถือ
 ศาสนาที่ตายไปแลว้
 ศาสนาที่มีชีวติ อยู่

 แบ่งตามชาติที่นบั ถืออยู่
 ศาสนาของชาติ
 ศาสนาของโลก

 แบ่งตามชื่อของศาสนา
 ช่ือศาสดา
 นามผกู้ ่อต้งั
 หลกั คาสอน

ความสาคญั ของศาสนา

 ศาสนาเป็นท่ีพ่ึงทางใจ การท่ีศาสนาเป็นที่พ่ึงทางใจไดน้ ้นั เนื่องมาจากมนุษยท์ ่ีอาศยั อยบู่ นโลกน้นั ต่าง
แสวงหาสิ่งท่ีสามารถช่วยใหพ้ วกเขาสามารถมีความสุขได้ ศาสนาถือเป็นปัจจยั หน่ึงท่ีสาคญั ดว้ ยเหตุที่
หลกั คาสอนของศาสนามุ่งเนน้ ท่ีจะใหม้ นุษยไ์ ดค้ ลายจากส่ิงท่ีกงั วล

 ศาสนาเป็นแนวทางในการดาเนินชีวติ หลกั ธรรมคาสอนของศาสนา มุ่งเนน้ เพ่ือใหม้ นุษยไ์ ดเ้ ขา้ ใจถึงส่ิงท่ี
ตนเองกาลงั ประสบอยู่ และสามารถหาหนทางแกไ้ ขใหส้ ามารถดาเนินไปในทางท่ีเหมาะสมได้

 ศาสนาช่วยใหม้ นุษยท์ ราบถึงความชว่ั ถูกผดิ ศาสนาทุกศาสนาตอ้ งการท่ีจะสอนใหม้ นุษยท์ ุกคนท่ีอยบู่ น
โลกน้ีเป็นคนดี แต่การที่จะเป็นคนดีได้ มนุษยก์ จ็ ะตอ้ งเขา้ ใจถึงการกระทาของตนวา่ มีผลอยา่ งไรต่อตนเอง
และสงั คม ดงั น้นั ทุกศาสนาจึงสอนใหม้ นุษยไ์ ดร้ ู้จกั บาปบุญคุณโทษ เพ่ือใหม้ นุษยส์ ามารถที่จะนาไป
ปฏิบตั ิและเกิดสิ่งที่ดีต่อชีวติ ได้

ความสาคญั ของศาสนา (ต่อ)

 ศาสนาเป็นบ่อเกิดแห่งธรรมจรรยาและขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีดีงาม
 ศาสนาเป็นส่วนที่ทาใหม้ นุษยอ์ ยรู่ ่วมกนั อยา่ งเป็นสุข
 ศาสนาเป็นแหล่งรวมวทิ ยาการและถ่ายทอดวทิ ยาการ
 ศาสนาเป็นเครื่องส่งเสริมความมนั่ คงในการปกครองประเทศ

ประโยชน์ของศาสนา

 ศาสนาช่วยใหค้ นมีจิตใจสูงข้ึน
 ศาสนาพฒั นามนุษยใ์ หม้ ีวนิ ยั ในตวั เองสูง
 ศาสนาทาใหส้ งั คมอยรู่ วมกนั อยา่ งสงบสุข
 ศาสนาช่วยส่งเสริมและสร้างสรรคผ์ ลงานดา้ นศิลปะ และวฒั นธรรม
 ศาสนาช่วยใหค้ นมีความอดทน โดยไม่หวนั่ ไหวกบั ส่ิงรอบขา้ งมากเกินไป
 ศาสนาช่วยประสานรอยร้าวในสงั คมมนุษย์ ทาใหส้ งั คมมีเอกภาพในการทาส่ิงต่างๆ มากข้ึน

ประโยชน์ของศาสนา (ต่อ)

 ศาสนาช่วยใหม้ นุษยส์ ามารถปกครองตนเองไดท้ ุกสถานะและเวลา
 ศาสนาสอนใหม้ นุษยม์ ีจิตใจที่สะอาดไม่กลา้ ทาความชว่ั ท้งั ในและที่ลบั แจง้
 ศาสนาช่วยใหม้ นุษยผ์ ปู้ ระพฤติตาม พน้ จากความทุกข์ ความเดือดร้อน และช่วยใหป้ ระสบความสุขทาง

จิตใจอยา่ งเป็นข้นั เป็นตอน
 ศาสนาช่วยใหม้ นุษยม์ ีความสมคั รสมานสามคั คี ช่วยเหลือเก้ือกลู กนั
 ศาสนาช่วยใหม้ ีหลกั การดาเนินชีวติ ใหม้ ีความหวงั และช่วยใหเ้ กิดเสถียรภาพและความสงบสุข

หลกั การเปรียบเทียบศาสนา

 หลกั การเปรียบเทียบศาสนา จะตอ้ งมีอยา่ งนอ้ ย 4 อยา่ งประกอบดว้ ย
 การวางตนเป็นกลาง
 การศึกษาภูมิหลงั ของศาสดาผกู้ ่อต้งั
 การศึกษาถึงสภาพสงั คมอนั นามาสู่การก่อต้งั ศาสนา
 ต้งั เป้าหมายเปรียบเทียบ

แบบฝึกหดั บทท่ี 1

1. คาวา่ “ศาสนา” มีความหมายอยา่ งไร และมีท่ีมาจากภาษาอะไรบา้ ง จงอธิบาย
2. ในสมยั ยคุ หิน เมื่อมนุษยเ์ ห็นสายฟ้าแลบ ฝนตก ต่างคิดวา่ สิ่งเหล่าน้ี คือ เทพเจา้ นกั เรียนคิดวา่ เพราะเหตุใดมนุษยย์ คุ หินจึงคิด

เช่นน้นั จงอธิบาย
3. ในการถือกาเนิดศาสนาแต่ละศาสนา นกั เรียนคิดวา่ สาเหตุใดท่ีทาใหเ้ กิดศาสนามากท่ีสุด จงอธิบาย
4. องคป์ ระกอบของศาสนา ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง จงอธิบาย
5. ถา้ ศาสนาบางศาสนามีองคป์ ระกอบไม่ครบถว้ นตามขอ้ 4 นกั เรียนคิดวา่ ศาสนาที่ไม่ครบองคป์ ระกอบน้ี ยงั คงเป็นศาสนาได้

หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย
6. จงอธิบายถึงลกั ษณะของศาสนา ความสาคญั ของศาสนา และประโยชนข์ องศาสนามาพอสงั เขป
7. วตั ถุประสงคห์ ลกั ของศาสนาทุกศาสนา คือเรื่องใด จงอธิบาย
8. เพราะเหตุใดในการเปรียบเทียบศาสนาจึงตอ้ งมีการวางตนเป็นกลางก่อนเปรียบเทียบศาสนาเสมอ จงอธิบายและใหเ้ หตุผล

ประกอบอยา่ งชดั เจน

บทที่ 2 การเปรียบเทียบศาสนา :
ระยะเวลา และสถานท่ีเกิด

(TIME AND PLACE)

การเปรียบเทียบศาสนา : ระยะเวลา และสถานที่กาเนิด

ศาสนา ระยะเวลาทเี่ กดิ สถานทเี่ กดิ ศาสดา แนวคดิ

พทุ ธ 45 ปี ก่อน พ.ศ. พาราณสี อนิ เดีย พระพทุ ธเจา้ การพน้ จากความทกุ ข์ และการพน้ จากการสงั สารวฏั
ครสิ ต์ เยรูซาเลม็ พระเยซู ความรกั ความอดทน การใหอ้ ภยั ต่อคนทกุ คน
อิสลาม พ.ศ. 544 มะดีนะห์ อลั เลาะห์ การประนีประนอม อดทนต่อความอยากลาบาก การมีนา้ ใจ

พราหมณ-์ ฮนิ ดู พ.ศ. 1113 พาราณสี อินเดีย - ธรรมชาติ วญิ ญาณ ผีสาง พระเจา้

ซกิ ข์ 2500 – ปัญจาบ ครุ ุนานกั กาจดั อยตุ ิธรรม ไมห่ ลงใหลไสยศาสตร์ อภินหิ าร
เชน 2000 ปีก่อน กณุ ฑคาม มหาวีระ การบาเพญ็ ทกุ กิรยิ า ม่งุ เอาชนะตวั เอง

พ.ศ.
พ.ศ. 2012

46 ปี ก่อน พ.ศ.

การเปรียบเทียบศาสนา : ระยะเวลา แหล่งกาเนิด (ต่อ)

ศาสนา ระยะเวลาทเี่ กดิ สถานทเี่ กดิ ศาสดา แนวคิด

ชนิ โต - ญ่ีป่นุ - ธรรมชาติ บรรพบรุ ุษ วีรบรุ ุษ จกั รพรรดิ

ขงจือ้ 27 ปีก่อน พ.ศ. ตอนเหนือของจีน ขงจือ้ บรรพบรุ ุษโดยการเคารพผคู้ น และรูแ้ จง้ เหน็ จรงิ ในธรรมชาติ

เตา๋ 61 ปีก่อน พ.ศ. หยนุ หนาน จีน เล่าจือ้ หลกั สากลโลก ธรรมชาติ และชีวติ การกลมกลืนกบั ธรรมชาติ
อสิ ราเอล โมเสส พระเจา้ จะเป็นผตู้ ดั สินซง่ึ ทกุ อย่าง รวมถงึ สทิ ธิทกุ คนไดร้ บั
ยดู าห์ 862 – 749 อิหรา่ น โซโรอสั เตอร์ การดารงชีวติ การต่อสกู้ บั ส่ิงช่วั รา้ ย
ก่อน พ.ศ.

โซโรอสั เตอร์ 87 ปีก่อน พ.ศ.

บาไฮ พ.ศ.2387 เตหะราน พระบ๊อบ ความสามคั คีปรองดอง ขจดั อคติ มีหลกั เหตุและผล

คาอธิบายเชิงเปรียบเทียบ

 จากตารางเปรียบเทียบท้งั 12 ศาสนา น้ี สามารถบอกไดถ้ ึงรายละเอียดของขอ้ มูลน้ีเป็น 2 ส่วน ไดแ้ ก่

 ภูมิภาคที่เกิดศาสนาข้ึน จะสงั เกตไดว้ า่ ศาสนาท้งั 12 ศาสนา ลว้ นแลว้ แต่เกิดข้ึนในทวปี เอเชียท้งั สิ้น เหตุท่ี
เกิดข้ึนในเอเชียน้นั เนื่องจาก ทวปี เอเชียเป็นทวปี ที่มีอารยธรรมอยา่ งยาวนานต่อเนื่อง ประกอบกบั อารยธรรม
เอเชีย ยงั คงมีการพฒั นามาอยา่ งต่อเนื่องจึงทาใหเ้ อเชียเป็นดินแดนที่ถือกาเนิดศาสนาข้ึน ในขณะเดียวกนั ทวปี
อื่นๆ อารยธรรมเร่ิมสูญสลายลงไป และเป็นผลใหศ้ าสนากล็ ่มตามไปดว้ ย

 หากดูส่วนยอ่ ยของแต่ละภูมิภาคแลว้ จะพบวา่ เอเชียตะวนั ตกเฉียงใตม้ ีการเกิดศาสนามากที่สุด

 เน่ืองจากเอเชียใตม้ ีผคู้ นอาศยั อยเู่ ป็นจานวนมากประกอบกบั การครอบงาของชาวอารยนั ท่ีมีต่อดราวเิ ดียน จึง
เกิดเป็นศาสนาข้ึนมา ประกอบกบั ภายหลงั มี อีก 2 ศาสนาที่แตกออกมาจากพราหมณ์ คือ พทุ ธและเชน
ต่อมาซิกขก์ เ็ กิดข้ึน ซ่ึงมาจากการท่ีอินเดียมีสงครามที่จะตอ้ งปกป้องอีกดว้ ย

คาอธิบายเชิงเปรียบเทียบ (ต่อ)

 นอกจากเอเชียตะวนั ตกเฉียงใตแ้ ลว้ อีกส่วนหน่ึงท่ีมีศาสนาเกิดข้ึนมาก คือ เอเชียใตห้ รือชมพทู วปี
เน่ืองจากเอเชียใตม้ ีผคู้ นอาศยั อยเู่ ป็นจานวนมากประกอบกบั การครอบงาของชาวอารยนั ท่ีมีต่อดราวิ
เดียน จึงเกิดเป็นศาสนาข้ึนมา ประกอบกบั ภายหลงั มี อีก 2 ศาสนาท่ีแตกออกมาจากพราหมณ์ คือ พทุ ธ
และเชน ต่อมาซิกขก์ เ็ กิดข้ึน ซ่ึงมาจากการที่อินเดียมีสงครามที่จะตอ้ งปกป้องอีกดว้ ย

 ในส่วนที่ 2 คือ เร่ืองของระยะเวลาที่เกิดและแนวคิด ในส่วนจะเห็นไดว้ า่ ศาสนาท่ีเก่าแก่ที่สุด คือ ศาสนา
พราหมณ์ – ฮินดู อนั ดบั 2 คือ ศาสนายดู าห์ อนั ดบั 3 คือ ศาสนาโซโรอสั เตอร์ ในขณะที่ศาสนาที่ใหม่
ที่สุดคือ บาไฮ รองลงมา คือ ซิกข์

คาอธิบายเชิงเปรียบเทียบ (ต่อ)

 จากความเก่าแก่ตรงน้ีจะสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงแนวคิดต่างๆ ตามมาโดยเฉพาะกบั แนวคิดท่ีเป็นแบบ
ธรรมชาติ ซ่ึงทุกศาสนามุ่งเนน้ ความเป็นธรรมชาติ เพียงแต่มีแนวคิดท่ีต่างกนั ไป ในดา้ นศาสนาเก่าแก่กจ็ ะ
แฝงไปดว้ ยหลกั ความเชื่อเก่ียวกบั ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิต่างๆ แต่ศาสนาที่ เกิดใหม่ จะมุ่งเนน้ ไปเรื่องของเหตุและ
ผลซ่ึงเป็นส่ิงที่สามารถพสิ ูจนไ์ ด้

 ไม่วา่ แต่ละศาสนาจะสอนอยา่ งไรกต็ าม แต่ส่ิงที่แต่ละศาสนามุ่งเนน้ มีอยู่ 6 อยา่ งไดแ้ ก่ ธรรมชาติของ
ชีวติ ธรรมชาติของโลกและจกั รวาล ธรรมชาติแห่งความจริง เป้าหมายสูงสุดของชีวติ วธิ ีการดาเนินไปสู่
จุดหมายสูงสุดของชีวติ

แบบฝึกหดั บทท่ี 2

1. เพราะเหตุใดศาสนาในแต่ละศาสนาจึงมกั เกิดข้ึนในทวปี เอเชีย และทวปี อ่ืนๆ มีศาสนาหรือไม่เพราะ
อะไร จงอธิบายและใหเ้ หตุผลประกอบ พร้อมยกตวั อยา่ งศาสนาท่ีเกิดข้ึนในทวปี อื่นๆ

2. เพราะเหตุใดศาสนาในแถบเอเชียใตแ้ ละเอเชียตะวนั ตกเฉียงใต้ จึงเป็นถ่ินกาเนิดศาสนาต่างๆ ในโลก
มากท่ีสุด จงอธิบายและใหเ้ หตุผลประกอบอยา่ งชดั เจน

3. ผใู้ หก้ าเนิดศาสนาหรือท่ีเรียกวา่ ศาสดาน้นั มีจุดกาเนิดมาจากคนกลุ่มใดบา้ ง และจุดกาเนิดท่ีทาใหเ้ ขาเป็น
ศาสดาไดน้ ้นั มีสาเหตุมาจากอะไรบา้ ง จงอธิบายและใหเ้ หตุผลประกอบอยา่ งชดั เจน

4. แนวคิดเก่ียวกบั การเกิดศาสนาในโลกใบน้ีส่วนใหญ่จะมุ่งนบั ถือพระเจา้ มากกวา่ กลุ่มที่ไม่นบั ถือพระเจา้
เพราะอะไร และเม่ือนบั ถือพระเจา้ มากกวา่ ทาไมจึงเกิดกลุ่มที่ไม่นบั ถือพระเจา้ ดว้ ย และกลุ่มท่ีไม่นบั ถือ
พระเจา้ น้ีส่วนใหญ่อยใู่ นภูมิภาคใด จงอธิบายและใหเ้ หตุผลประกอบอยา่ งชดั เจน

5. แมว้ า่ จะมีศาสนาในโลกน้ีเกิดข้ึนมาแลว้ ถึง 12 ศาสนากต็ าม แต่ทาไมคนบางกลุ่มจึงไม่เลือกนบั ถือ
ศาสนาใดๆ เลย เพราะเหตุใด จงอธิบายและใหเ้ หตุผลประกอบอยา่ งชดั เจน

บทท่ี 3 การเปรียบเทียบ : เทวนิยม อเทวนิยม

THE COMPARATIVE : THEISTIC RELIGION AND THEISTICLESS RELIGION

เทวนิยม (Theism)

 เทวนิยม คือ ศาสนาที่นบั ถือพระเจา้ เป็นเทพสูงสุด มี 2 ประเภท คือ
 เอกเทวนิยม หมายถึง ศาสนาที่นบั ถือพระเจา้ เพียงองคเ์ ดียว ประกอบไปดว้ ย ศ.พราหมณ์ ศ.
คริสต์ ศ.อิสลาม
 พหุเทวนิยม หมายถึง ศาสนาท่ีนบั ถือพระเจา้ หลายองค์ ประกอบไปดว้ ย ศ.พระเวท ศ.ฮินดู

 เอกเทวนิยม (Mono Theism)
 มีเทพสูงสุดองคเ์ ดียว
 ปรากฏใน ศาสนาคริสต์ อิสลาม ซิกข์ ยดู าห์ บาไฮ โซโรอสั เตอร์
 มีศาสนทูตเป็นสื่อกลาง เช่น อิสลามมี 25 องค์ ซิกขม์ ี 9 องค์
 บางศาสนาไม่ยอมรับคาสอนของศาสนาอ่ืนๆ

วิวฒั นาการเทวนิยม (Theistic Revolution)

 เทวนิยม เริ่มตน้ ข้ึนมาจาก ศาสนาฮินดู ซ่ึงในคร้ังแรกน้นั คือ ศาสนาพระเวท มีเทพสูงสุดท่ีนบั ถือ
อยู่ 4 องค์ ไดแ้ ก่ พระอินทร์ พระวรุณ พระวายุ (บางตาราบอกวา่ เป็นพระสาวติ รี : พระอาทิตย)์ และ
พระยม

วิวฒั นการเทวนิยม (ต่อ)

 ต่่อจากน้นั กไ็ ดม้ ีการนบั ถือเทพจานวน 3,338 องค์ แตน่ บั ถือจริง เพยี ง 33 องค์ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
เทพประจาทอ้ งฟ้า เทพประจาอากาศ และเทพประจาพ้นื ดิน

 หลงั จากน้นั กน็ บั ถือเพียงองคเ์ ดียว คือ พรหมนั และไดส้ ร้างคนจานวน 4 กลุม่ คือ วรรณะพราหมณ์
วรรณะกษตั ริย์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร หากแต่งผดิ วรรณะ จะกลายจณั ฑาล

 ตอ่ มาเมื่อมีการรวมหลกั คาสอนของพทุ ธ กไ็ ดเ้ ปล่ียนมาเป็นฮินดู และไดเ้ ปลี่ยนเป็นเทพตรีมูรติ อนั
ประกอบดว้ ย พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม

 นบั ถืออยา่ งเท่าเทียมกนั แตใ่ นการทาพิธีกรรม นบั ถือแตเ่ ทพท่ีมีความศรัทธาสูงสุดเท่าน้นั คือ ไศวนิกาย
และไวษณพนิกาย

ววิ ฒั นาการเทวนิยม (ต่อ)

 เทวนิยมไดม้ ีคาอธิบายถึงพระเจา้ สูงสุด มีลกั ษณะสาคญั 5 ประการ
1. ทรงเป็นจิตลว้ นๆ
2. ทรงมีมหิธานุภาพมาก
3. หาผเู้ สมอมิได้
4. ทรงสถิตอยทู่ ุกสถานและในกาลทุกเม่ือ (ทุกแห่งทุกเวลา)
5. ไม่มีผใู้ ดสามารถเขา้ ใจในพระองคไ์ ด้

 ลกั ษณะพระเจา้ ในแบบตะวนั ตกจะมีลกั ษณะเป็นนามธรรม ไม่สามารถที่จะวาดเหมือนได้ ทรงไม่มีขอบเขต
จากดั ในขณะเดียวกนั บางกลุ่มกม็ องวา่ มีตวั ตนบา้ ง ไม่มีตวั ตนบา้ งแต่โดยรวมสรุปไดด้ งั น้ี

ววิ ฒั นาการเทวนิยม (ต่อ)

 คุณลกั ษณะของพระเจา้ ในภาพรวม มีคุณลกั ษณะดงั น้ี
1. มีสภาวะไม่จากดั
2. มีสภาวะในตวั เอง
3. มีสภาวะเป็นบุคคล
4. ทรงสร้างสรรพสิ่ง
5. ทรงมีความรัก
6. ทรงมีความศกั ด์ิสิทธ์ิ

อเทวนิยม (Theisticless)

 อเทวนิยม หมายถึง ศาสนาที่มิไดน้ บั ถือพระเจา้ หรือมิไดใ้ หค้ วามสาคญั กบั พระเจา้ แต่อยา่ งใด โดยศาสนาท่ี
เป็นอเทวนิยม ไดแ้ ก่ ศาสนาพทุ ธ ศาสนาเชน และศาสนาขงจ้ือ

 หลกั การของอเทวนิยม

1. พระเจา้ ไม่มีตวั ตน
2. ปฏิเสธเรื่องการสร้างโลก
3. ทุกอยา่ งเกิดจากธรรมชาติ

กฎเกณฑข์ องอเทวนิยม

 กฎธรรมชาติ คือ กฎท่ีมีอยโู่ ดยธรรมดา เรียกวา่ สัจธรรม และสจั ภาวะ ดงั่ ตวั อยา่ งของคาสอน
พระพุทธศาสนา คือ ไตรลกั ษณ์ อนั ประกอบไปดว้ ย

1. กฎแห่งความเปลี่ยนแปลง (อนิจจงั )
2. กฎแห่งความทนทานในสภาพเดิมไม่ได้ (ทุกขงั )
3. กฎแห่งความไม่ใช่ตวั ตนแทจ้ ริง (อนตั ตา)
 ตวั อยา่ งคาสอนของขงจ้ือ กล่าวไวว้ า่ "ท่านไม่ตอ้ งทาอะไร ฤดูกาลท้งั 4 กเ็ ปล่ียนแปลงไปเอง" คาสอนของขงจ้ือ

น้นั สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงความเป็นธรรมชาติวา่ มนั มีการเปลี่ยนไปตามเวลาอยแู่ ลว้

กฎเกณฑข์ องอเทวนิยม (ต่อ)

กฎเกณฑม์ นุษยบ์ ญั ญตั ิ

วินยั กฎหมาย มนุษยบญั ญตั ิข้ึนเพ่ือทาใหส้ ามารถอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสงบและสนั ติ
ดงั เช่น กรณีขงจ้ือที่สอนใหร้ ู้จกั ความเคารพต่อคนกลุ่มต่างๆ วา่ ถา้ ท่านอยากใหผ้ อู้ ่ืน
ปฏิบตั ิต่อท่านอยา่ งไร ท่านตอ้ งแสดงออกถึงส่ิงน้นั กบั พวกเขา ถา้ ท่านไม่อยากให้
ผอู้ ่ืนปฏิบตั ิต่อท่านอยา่ งไร ท่านจะตอ้ งไม่แสดงออกถึงสิ่งน้นั กบั พวกเขา

ศีลธรรม คือ ขอ้ ท่ีควรละเวน้ ในพระพทุ ธศาสนาไดม้ ีการกาหนดศีลไวต้ ามความ
เหมาะสม ไดแ้ ก่ ศีล 5 ศีล 8 ศีล10 ศีล227 และศีล311

แบบฝึกหดั บทที่ 3

1. เทวนิยมคืออะไร มีก่ีประเภท อะไรบา้ ง จงอธิบายแต่ละประเภทอยา่ งชดั เจน
2. ศาสนาใดบา้ งที่เป็นเทวนิยม และแต่ละศาสนากล่าวถึงพระเจา้ ของตนไวอ้ ยา่ งไรบา้ ง จงอธิบายของแต่ละศาสนามาใหช้ ดั เจน

และชดั แจง้
3. จงอธิบายถึงพฒั นาการของเทวนิยมนบั แต่อดีต - ปัจจุบนั มาใหช้ ดั เจน
4. จงเปรียบเทียบแนวคิดของพระเจา้ ท้งั ฝ่ังตะวนั ออกและฝั่งตะวนั ตกมาใหช้ ดั เจน

บทท่ี 4 การเปรียบเทียบ : สงั สารวฏั

TRANSMIGRATION

ความหมายของคาวา่ “สงั สารวฏั "

 สังสำร หรือ สงสำร แปลวา่ ความท่องเท่ียวไป ในทางพทุ ธศาสนาหมายถึง การเวยี นวา่ ยตายเกิด มิใช่
หมายถึงความรู้สึกหวน่ั ไหวดว้ ยความกรุณาเม่ือเห็นผอู้ ื่นไดร้ ับความทุกข์

 สังสำรวัฏ แปลวา่ ความท่องเที่ยวไปในอาการท่ีเป็นวฏั ฏะ การหมุนวนอยใู่ นการเวยี นวา่ ยตายเกิด เรียก
อีกอยา่ งหน่ึงวา่ วฏั สงสำร

 สงสำรวฏั หมายถึงการเวยี นวา่ ยตายเกิดอยใู่ นภพภูมิต่างๆ ของสัตวโ์ ลกดว้ ยอานาจ
กิเลส กรรม วิบาก หมุนวนอยเู่ ช่นน้นั ตราบเท่าท่ียงั ตดั กิเลส กรรม วบิ ากไม่ได้

สงั สารวฏั ของศาสนาเทวนิยม

 ในเทวนิยม ไดม้ ีการกลา่ วถึงหลกั สงั สารวฏั ไวว้ า่ “ชีวติ ววิ ฒั นาการมาจากพระเจา้ อนั
หมายถึง ชีวติ เป็นส่ิงท่ีพระเจา้ ทรงสร้างหรือแบ่งภาคมาบนโลกน้ีโดยแบ่งเป็น 2 กลุม่ คือ
เทวนิยมแบบตะวนั ออก และเทวนิยมแบบตะวนั ตก

 เทวนิยมแบบตะวนั ออก จะเป็นลกั ษณะแบบ การท่ีพระเจา้ จะแบ่งภาคออกมาเป็นมนุษย์
และพิพากษา โดยใหห้ มุนเวยี นกนั จนกวา่ จะบรรลุโมกษะ

 เทวนิยมแบบตะวนั ตก จะเป็นลกั ษณะแบบ การที่พระเจา้ จะกาหนดข้ึนมาเป็นตวั บุคคล
และเม่ือตายกก็ ลบั ไปสู่พระเจา้ และพิจารณาตดั สินกนั ใหม่อีกคร้ังหน่ึง

สงั สารวฏั ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

 ในหลกั สงั สารวฏั ของพราหมณ์ – ฮินดูไดก้ ล่าวถึง หลกั สังสารวฏั ไวว้ า่ “อาตมนั ท้งั หลาย ถือกาเนิดจาก
พรหมนั หรือปรมาตมนั การออกมาจากปฐมวญิ ญาณ ของอาตมนั ท้งั หลาย เปรียบดงั่ ประกายไฟ
เลก็ ๆ จานวนมาก แตกกระจายออกมา หรือ อาจเปรียบดงั่ หยดน้าท่ีกระเดน็ ออกมาจากมหาสมุทรอนั กวา้ ง
ใหญ่

 ส่ิงมีชีวติ ท้งั หลายกเ็ ช่นเดียวกนั เมื่อแตกออกจากพระพรหม กจ็ ะลงไปสิงสู่ตามร่าง ต่างๆ ซ่ึงไม่สามารถ
บอกไดว้ า่ ก่ีชาติ แต่คนฮินดูเชื่อวา่ พระพรหมคงจะลิขิตไวแ้ ลว้ วา่ จะใหเ้ กิดเป็นอะไร เช่น เทวดา มนุษย์
เดรัจฉาน รุกขชาติ

 วญิ ญาณไม่มีวนั ตาย ตายแต่เฉพาะร่างท่ีมีการอาศยั อยเู่ ท่าน้นั
 วญิ ญาณเหลา่ น้ีจะไดร้ ับการพิพากษาจากพรหมนั และจะกลบั มาตามที่พรหมนั ไดก้ าหนดไว้
 เมื่อบรรลุโมกษะกจ็ ะกลบั ไปท่ีปฐมวญิ ญาณ คือ พรหมนั และไม่ตอ้ งกลบั มาเวยี นวา่ ยตายเกิดอีก

สงั สารวฏั พราหมณ์ - ฮินดู (ต่อ)

 มนุษย์ คือ สิ่งท่ีพรหมนั ไดส้ าแดงออกมา
โดยแบ่งไดเ้ ป็น 4 สถานะ

 วศิ วะ คือ สถานะแห่งการต่ืนอยู่
 ไตซสั คือ สถานะแห่งการฝัน
 ปราชญะ คือ สถานะแห่งการหลบั นอน

ปราศจากฝัน
 ตุริยะ คือ สถานะแห่งการเป็นพรหมนั

(เป็นหน่ึงเดียวกบั พรหมมนั )

ยคุ ของจกั รวาล

ในคมั ภีร์พราหมณ์ ไดก้ ล่าวถึงยคุ ของจกั รวาลไวว้ า่ พระพรหมมีเพศเป็นชาย มี
พระชายานามวา่ สรัสวดี ไดท้ รงสร้างโลกและสรรพส่ิงข้ึน โดยจะอยเู่ ป็นยคุ
จนถึงพินาศ เรียกวา่ กลั ป์ โดยกลั ป์ น้ีไดแ้ บ่งออกเป็น 4 ยคุ คือ

กฤตยคุ เป็นยคุ ที่เจริญดว้ ยสจั ธรรม ไม่มีโลภ โกรธ หลง ดงั น้นั ความดีจึงมีถึง

100 %
เตรตยคุ เป็นยคุ ท่ีเริ่มมีความชว่ั เขา้ มาประปราย โดยคนเริ่มที่จะเอา

ผลประโยชน์กนั มากข้ึน ดงั น้นั ความดีจึงมีเหลือเพยี ง 75%

ยคุ ของจกั รวาล (ต่อ)

ทวารปยคุ เป็นยคุ ท่ีความชว่ั มีบทบาทมากข้ึน โดยเฉพาะดา้ นพธิ ีกรรม ซ่ึงมุ่งเนน้
เพือ่ การทาลาย มากกวา่ จะสร้างสรรค์ ดงั น้นั ความดีในสมยั น้ีจึงลดลง
เหลือ 50%

กลียคุ เป็นยคุ ที่ความชว่ั ครองเมือง คนดีๆ จะไปหา้ มอะไรไดย้ าก และมุ่งเนน้ การ
คดโกงทุจริต ดงั น้นั จึงเหลือเพียง 25%

ถา้ พน้ จากกลียคุ ไปแลว้ จะเกิดไฟไหมโ้ ลกข้ึนมา เผาทุกส่ิงทุกอยา่ ง เหลือแต่เพียง
ผรู้ ู้พระเวท และเมื่อสลายไปแลว้ กจ็ ะกลบั มาเกิดใหม่ในท่ีสุด

แผนภูมิยคุ ของจกั รวาลตามหลกั พราหมณ์ - ฮินดู

ยคุ ของจกั รวาล

กฤตยคุ เตรตยคุ ทวาปรยคุ กลียคุ

ความดี ความดี 75% ความดี 50% ความดี
100% 25%

ววิ ฒั นาการของชีวติ

 ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูไดก้ ลา่ วถึง ววิ ฒั นาการของชีวติ ไวว้ า่
 สิ่งมีชีวติ เป็นส่วนหน่ึงของพรหมนั เป็นอาตมนั จนนามาสู่การเป็นชีวาตมนั
 จกั รวาลท่ีเกิดข้ึนมาน้นั ลว้ นแลว้ แตย่ งั ไม่มีอะไรท่ีเป็นชิ้นเป็นอนั แมแ้ ต่พระเจา้ กไ็ ม่มีใครเห็น ส่ิงท่ีมี
ในจกั รวาล คือ เสียงหายใจท่ีแผว่ เบาและเงียบสงบ มีแตค่ วามมืดมิด
 ชีวติ เติบโตจากพลงั งานความร้อนและพฒั นามาเป็นจิต ความร้อนท่ีฝ่ าความมืดมิด และผา่ นหว้ ง
มหรรณพ คือ พลงั สร้างชีวติ พลงั อนั ทรงอานุภาพกเ็ กิดข้ึน สสารอยเู่ บ้ืองลา่ ง พลงั งานอยเู่ บ้ืองบน

 ในคมั ภีร์อุปนิษทั ไดก้ ล่าวถึงพฒั นาการของธาตุไวว้ า่
 จากพรหมนั เกิดเป็นอากาศ จากอากาศเป็นลม จากลมเป็นไฟ จากไฟ เป็นน้า จากน้าเป็นดิน และจาก
ดินเกิดพืชพนั ธุ์

รูปภาพการกาเนิดธาตุตามคมั ภีร์อุปนิษทั

ทฤษฎีเปลือก

 ทฤษฎีเปลือก หรือ โกศะ คือ การววิ ฒั นาการของธาตุ
ต่างๆ จนเป็นส่ิงมีชีวติ ระดบั สูงสุด ประกอบดว้ ย 5 ข้นั
 อนั นมยโกศะ ช้นั ท่ีเรียกวา่ ร่างกายหรือวตั ถุ
 ปราณมยโกศะ ช้นั ที่เป็นชีวติ หรือลมปราณ
 มโนมยโกศะ ช้นั ที่เป็นจิตหรือวญิ ญาณ
 วญิ ญาณมยโกศะ ช้นั ที่เป็นสมั ปชญั ญะ (ความสานึก
รู้สึก)
 อานนั ทมยโกศะ ช้นั นิรามิสสุข ช้นั สูงสุด

แผนภูมิสงั สารวฏั ของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู

วรรณะ 4 พรหมนั (ปรมาตมนั ) ศทู ร
เจตภตู พชื ธญั ญาหาร
สตั ว์
ยมโลก สวรรค์
นรก

การเวียนวา่ ยในสงั สารวฏั ของอาตมนั

สวรรค/์ นรก อาตมนั

อาตมนั ตาย

เกิด

ปรมาตมนั
(พรหมนั )

โต แก่

สงั สารวฏั ของศาสนาคริสตแ์ ละอิสลาม

 ชาวคริสต์ เช่ือวา่ พระเจา้ คือ ผสู้ ร้างมนุษยจ์ ากพระฉายาของพระเจา้ ซ่ึงชาวยวิ กล่าววา่ ตวั
เขาแยกออกจากร่างไม่ได้

 พระเจา้ ไดส้ ร้างอาดมั ข้ึนเพอื่ เป็นหลกั มนุษยชาติและเป็นมนุษยค์ นแรกท่ีเกิดมาบนโลก
และตอ่ มาไดส้ ร้างอบั ราฮมั เพื่อเป็นบิดาของชาวยวิ และรอใหเ้ มสสิอาห์พาพวกเขาไปยงั
อาณาจกั รพระเจา้ อนั เป็นการพน้ บาปโดยสมบูรณ์

 ในศาสนาคริสตแ์ ละอิสลามไดพ้ ดู ถึงส่วนประกอบของมนุษยไ์ วว้ า่ มนุษยม์ ีส่วนประกอบ
อยู่ 3 ส่วน คือ เน้ือหนงั ลาคอ และจิต แต่ท้งั น้ีตอ้ งไดร้ ับลมหายใจจากพระเจา้ ก่อนจึงจะ
สามารถมีชีวิตได้

การสร้างโลกและชีวติ ของศาสนาคริสต์

 ในการสร้างโลกและชีวติ พระเจา้ ได้
กาหนดวนั ในการสร้างส่ิงต่างๆ ไวด้ งั น้ี
 วนั อาทิตย์ สร้างแสงสวา่ ง

 วนั จนั ทร์ สร้างฟ้าและอากาศ

 วนั องั คาร สร้างน้าและรวมกนั เป็น
ทะเล

 วนั พุธ สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์
และดาวนพเคราะห์

 วนั พฤหสั บดี สร้างนกและปลา

 วนั ศุกร์ สร้างมนุษย์

 วนั เสาร์ หยดุ พกั

แผนภูมิแสดงสงั สารวฏั ของศาสนาคริสต์

โลก พระ สงู
ก่อน เจา้ กลาง
เกิด ต่า
พพิ ากษา
โลกมนษุ ย์ (วนั สนิ้
โลก)
โลก
วญิ ญาณ

สงั สารวฏั ในทางพระพทุ ธศาสนา

 พระพทุ ธศาสนาไดก้ ล่าวถึง ชีวติ ไวว้ า่ ชีวติ คือ
สรรพส่ิงในโลก ท่ีมีการเกิดข้ึน ต้งั อยู่ และดบั ไป โดย
ส่ิงเหลา่ น้ีปรากฏเป็นรูปธรรมและนามธรรม โดยทุก
สิ่งน้นั เป็นส่ิงสมมติ และทุกอยา่ งเหล่าน้ีกล็ ว้ นแลว้ มี
เหตุและผลประกอบกนั ไป

 พระพทุ ธศาสนาไดเ้ ปรียบชีวติ ไวด้ ุจดง่ั กองเพลิง ซ่ึง
ประกอบไปดว้ ย 3 สิ่ง คือ เช้ือเพลิง ความร้อน และ
ออกซิเจน ถา้ มีท้งั 3 อยา่ งน้ีอยชู่ ีวติ กจ็ ะต่อไปเรื่อยๆ
แต่ถา้ ไม่มี 3 อยา่ งน้ี หรือขาดอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงไป
ไฟกไ็ ม่เกิด

 พระพทุ ธศาสนาจึงไดก้ ล่าวไวว้ า่ “ธรรมท้งั หลาย เกิด
แก่เหตุ จะดบั ไปกเ็ พราะเหตุ

ลทั ธิท่ีขดั กบั หลกั ปฏิจจสมุปบาท

 ลทั ธิท่ีขดั กบั หลกั ปฏิจจสมุปบาทท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงยกตวั อยา่ งข้ึนน้นั มีท้งั หมด 4 ลทั ธิ ไดแ้ ก่

1. สัสสตวาท หมายถึง โลกน้ีมีแต่ความเท่ียง
2. อจุ เฉทวาท หมายถึง โลกน้ีเห็นวา่ ขาดสูญ
3. อตั ถิกวาท หมายถึง โลกน้ีท่ีเห็นวา่ สิ่งน้ีมีตลอด
4. นตั ถิกวาท หมายถึง โลกน้ีท่ีเห็นวา่ สิ่งน้ีไม่มี

กาเนิด 4

 ในทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ไดก้ ลา่ วถึงการกาเนิดไว้ 4
รูปแบบ ไดแ้ ก่
 ประเภทเกิดเป็นตวั (สมั ภวะ)

 ประเภทเกิดจากไข่ (อณั ฑชะ)
 ประเภทเกิดจากสิ่งโสโครก (สังเสทชะ)
 ประเภทเกิดโดยทนั ที (โอปปาติกะ)

 แต่ถา้ ดูจากหลกั การกาเนิด 4 จะพบวา่ มีเพยี ง 3
เท่าน้นั ท่ีปรากฏอยใู่ นโลกมนุษย์ ส่วนโอปปาติกะ
จะเป็นส่วนของนรกกบั สวรรค์

กาเนิดตามหลกั พระพทุ ธศาสนา

 ในการเกิดของมนุษย์ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงถึง
การเกิดเป็นมนุษยว์ า่

 มนุษย์ = (บิดา + มารดา) + อสุจิ = ธาตุ 4
 ในมหาตณั หาสังขยสูตรไดพ้ ูดถึงองคป์ ระกอบ

ของการเกิดเป็นมนุษย์ ไวว้ า่
 มารดาอยใู่ นวยั ระดู (มาตา อุตุนี โหติ)
 มารดาบิดารร่วมสังวาสกนั (มาตาปิ ตโร สนฺ

นิปติตา โหนฺติ)

 มีสตั วม์ าเกิด (คนฺธพฺโก ปจฺจุปฏฐิตา โหติ)


Click to View FlipBook Version