The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by naya_tatar152, 2021-07-31 11:53:31

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก

wat-chomphuwek

Keywords: พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน,ภูเวก,วัด,หนังสือ

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก 49

หนา้ บนั อโุ บสถเกา่ ประดบั ดว้ ยลวดลายปนู ปน้ั ศลิ ปะแบบโรโคโค (Rococo) เปน็ ลวดลาย
ปนู ปน้ั ทเี่ ปน็ รปู ดอกไม้ ใบไมต้ า่ งๆ แบบลวดลายพรรณพฤกษา แตล่ กั ษณะการจดั วางหรอื ต�ำแหนง่
ของลวดลายเป็นแบบท่ีเรยี กกนั ว่าแบบบารอก (Baroque) ท่ีมรี ูปแบบของลวดลายทด่ี สู บั สน
ไมเ่ นน้ ความส�ำคญั ทส่ี ว่ นใด จงึ ท�ำใหส้ ว่ นรองกลบั เดน่ ลวดลายหนา้ บนั ทเ่ี ปน็ ลายพรรณพฤกษา
ประดบั ดว้ ยเครื่องถว้ ยจนี หน้าบันอโุ บสถเกา่ ได้มกี ารซ่อมแซมในเวลาต่อมาจึงมีศิลปะจีนผสม
อยดู่ ว้ ย เครอื่ งปัน้ เบญจรงคแ์ ละเครอื่ งปัน้ ลายครามได้น�ำมาประดับท่หี นา้ บนั อุโบสถเก่าทีม่ ีมา
ตัง้ แต่สมัยอยุธยา
หลังคาอุโบสถเก่า แต่เดิมน่าจะไม่มีกันสาดเช่นเดียวกับหลังคาวิหาร อันเป็นรูปแบบ
อาคารของชาวยโุ รปทบี่ า้ นเมอื งมหี มิ ะมากแตม่ ฝี นนอ้ ย ดงั นน้ั การท�ำหลงั คาอาคาร สว่ นลา่ งสดุ
ของหลังคาจงึ มาสดุ ทีช่ ายคาไมม่ กี ันสาด เพือ่ ให้หมิ ะลงสพู่ นื้ ดินได้ง่าย
ดา้ นหนา้ อโุ บสถเกา่ มพี าไลกอ่ ยน่ื ไปดา้ นหนา้ ตามธรรมเนยี มของมอญโบราณทหี่ า้ มสตรี
เข้าไปภายในอุโบสถ บริเวณพาไลนี้จึงเป็นที่พักรอของมารดาและญาติผู้หญิงของนาคที่บวช
ได้มาสง่ นาค และรอรับพระบวชใหม่
ในพิธีบวชนาคมอญแต่โบราณ ก่อนน�ำนาค
เข้าภายในอุโบสถ นาคพรอ้ มทัง้ บดิ ามารดา และผ้มู า
ร่วมงานบวชต้องมาสมาทานศลี ๕ ทหี่ นา้ อโุ บสถกอ่ น
เมอื่ รบั ศลี ๕ จากพระสงฆแ์ ลว้ จึงจะน�ำนาคเข้าอโุ บสถ
ท�ำพิธอี ุปสมบท ไม่มีการขอขมาสมี า
พาไลจึงเป็นส่วนที่ช่วยให้การท�ำกิจท่ีบริเวณ
ด้านหน้าอุโบสถด�ำเนนิ ไปไดด้ ว้ ยความสะดวกสบาย
ซุ้มประตูประดับด้วยลายปูนปั้นเป็นรูป
ซุ้มบันแถลง มีลายพรรณพฤกษาประดับด้วย พาไล ด้านหน้าอโุ บสถเกา่ วัดชมภูเวก

เคร่อื งถ้วยจีน
ซุ้มหน้าต่างที่เป็นลวดลายพรรณพฤกษา
เช่นเดียวกับที่ซุ้มประตู มีเครื่องถ้วยเบญจรงค์
และลายครามประดับอยู่ท่ีซุ้มหน้าต่างด้วย ปัจจุบัน
ทางวัดชมภูเวกได้น�ำเคร่ืองปั้นดินเผาท่ีประดับอยู่ที่
ซุ้มหน้าต่างและที่หน้าบันอุโบสถเก่าไปเก็บรักษาไว้
เน่ืองจากเครื่องปั้นดังกล่าวหลายช้ินได้มีการหลุด
ร่วงลงมา
ลายปนู ป้นั ซุ้มหน้าต่างอุโบสถเกา่ วดั ชมภูเวก

50 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก

ซมุ้ ประตแู ละซมุ้ หนา้ ตา่ งอโุ บสถเกา่ มกี ารซอ่ มแซมตอ่ ๆ กนั มา โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในชว่ ง
ตน้ รตั นโกสนิ ทรม์ กี ารบรู ณะจนท�ำใหล้ ายประดบั ของอโุ บสถเกา่ และวหิ ารซง่ึ สรา้ งในยคุ เดยี วกนั
แต่มีบางส่วนที่แตกต่างกันโดยเฉพาะอย่างย่ิงลายปูนปั้นซุ้มประตูและซุ้มหน้าต่าง อุโบสถเก่า
ท�ำเป็นซุ้มบนั แถลงมีช่อฟา้ หางหงส์แบบประเพณไี ทยและการท�ำพาไลดา้ นหนา้

ลวดลายซุ้มหน้าต่างแต่ละซุ้มจะมีความแตกต่างกัน อันเป็นการแสดงความสามารถ
ทางฝีมือของชา่ งได้เป็นอยา่ งดี

ใบเสมาอุโบสถเก่าวัดชมภูเวก

ในการบูรณะอุโบสถเก่าเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๙ ใบเสมาเก่าที่ท�ำด้วย
ดินเผามีเหลืออยู่เพียงช้ินเดียว ในการบูรณะคร้ังนี้ ส�ำนักศิลปากรท่ี ๒
สุพรรณบุรี กรมศิลปากร ได้ท�ำใบเสมาดินเผาแทนใบเสมาเดิมจนครบ
พร้อมบูรณะแท่นเสมาโดยรอบท้ัง ๘ ทิศ

วิหาร เสมาดนิ เผา

วิหารวัดชมภูเวกเป็นอาคารทรงโรงแบบตึกหรือแบบวิลันดา
เช่นเดียวกับอาคารอุโบสถเก่า ขนาด ๓ ห้อง ขนาดเดียวกับอุโบสถเก่า
ใบระกาเป็นปูนปั้น ศิลปะยุโรป หน้าบันเป็นปูนปั้นคล้ายกับหน้าบัน
อโุ บสถเกา่ แต่ลวดลายประดับหน้าบนั ช�ำรดุ เสียหายเป็นสว่ นใหญ่

ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นลายปูนปั้น ศิลปะ
ยโุ รป ทีซ่ มุ้ ประตปู ระดับดว้ ยลายปูนปั้นแบบยุโรป
มีรูปคิวปิด เทวดาฝรั่งมีปีกแบบปีกนก เป็น
สว่ นประกอบของลวดลายของซมุ้ ประตูด้วย

วหิ ารวดั ชมภูเวก
ด้านหลงั วหิ ารเป็นมณฑปพระพุทธบาท

ลายปูนปนั้ ซุ้มประตูวหิ าร

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก 51

ประตูด้านหน้า ๑ ประตู ประตดู า้ นหลัง ๑ ประตู หนา้ ตา่ งข้างละ ๓ บาน หนา้ ตา่ ง
ของวิหารอย่ใู นระดบั ที่ต�่ำมาก ขอบหนา้ ต่างตอนลา่ งอยสู่ ูงจากพืน้ วิหารเพียง ๑๕ เซนติเมตร
และหน้าตา่ งมีความสูง ๑.๕๐ เมตร

ท้ังอุโบสถเก่าและวิหารมีการซ่อมครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลท่ี ๓ เจ้าพระยามหาโยธา
(ทอเรี่ยะ) บุตรเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ซ่ึงเป็นจักรีมอญ ดูแลคนมอญในสยามยุคนั้น
เป็นผู้บูรณะ โดยเฉพาะอย่างย่ิงท่ีหน้าบันอุโบสถ วิหารและภาพจิตรกรรมบางส่วน มีศิลปะ
แบบจีนสมัยรัชกาลท่ี ๓ ด้วย ตอ่ มาพระสุเมธมุนี (ลับ สกํ จิ โฺ จ) อดีตเจา้ อาวาสวดั ชนะสงคราม
กรงุ เทพมหานคร ไดเ้ ปน็ ผู้น�ำบรู ณะวดั ชมภูเวกดว้ ย

เดิมมีการประดิษฐานพระพุทธบาทศิลาพรอ้ มบุษบกอยภู่ ายในวหิ าร ปจั จุบันไดอ้ ัญเชิญ
พระพทุ ธบาทและยา้ ยบุษบกไปประดิษฐานไว้ท่ีมณฑป ทต่ี ้ังอยู่ดา้ นหลงั ของวหิ าร

อุโบสถเก่าและวหิ ารวัดชมภูเวก กรมศิลปากรไดป้ ระกาศข้นึ ทะเบียนเป็นโบราณสถาน
ของชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๑ ตอนที่ ๘๒ วันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๑๗
หน้า ๑๒๖๘ พร้อมกบั ก�ำหนดเขตที่ดนิ โบราณสถาน เนือ้ ที่ ๖ งาน ๑๐ ตารางวา

จิตรกรรมในอโุ บสถเก่าและวหิ าร

ภายในอุโบสถเก่าและวิหารมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีคุณค่าทางศิลปะระดับประเทศ
ซ่ึงเป็นจิตรกรรมสกุลช่างนนทบุรีสมัยอยุธยาตอนกลางระยะสุดท้าย และอยุธยาตอนปลาย
ระยะแรก เขียนด้วยสีฝุ่นผสมกาวและยางไม้แบบเทมเพอร่า (Tempera) ท่ีผนังหุ้มกลอง
ด้านหลังมีภาพพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ๒ องค์ อยู่ทางด้านขวาและซ้ายองค์พระประธาน
องคพ์ ระปดิ ทองพระศกสดี �ำ พระรศั มสี ที อง ครองจวี รสแี ดง มฉี ตั รอยดู่ า้ นหลงั องคพ์ ระพทุ ธรปู
พน้ื ของภาพเขยี นลายดอกไม้ร่วง

ภาพพระพุทธรูปครองจีวรสีแดง
ท่ผี นังห้มุ กลองด้านหลัง

อยูท่ างดา้ นขวาและซ้ายของ
พระประธานในอโุ บสถเกา่

(อรุณศกั ดิ์ ก่ิงมณ,ี ๒๕๕๐. หน้า ๕๐)

52 พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก

ลักษณะพิเศษท่ีควรแก่การศึกษาคติการเขียนรูปพระพุทธเจ้าที่ผนังหุ้มกลองด้านหลัง
ของอุโบสถเกา่ วดั ชมภูเวกท่เี ขียนรูปพระพทุ ธเจา้ ท่ีมีขนาดใหญม่ าก ใหญก่ วา่ องค์พระประธาน
อนั เปน็ คตนิ ยิ มของมอญทม่ี กี ารเขยี นภาพพระพทุ ธเจา้ ขนาดใหญใ่ นอาคารอโุ บสถวหิ ารหรอื เจดยี ์

ภาพอดีตพระพุทธเจ้าท่ีเขียนบนผนังส่วนบนสุดเหนือขอบหน้าต่างของอุโบสถเก่า
และวิหารของวัดชมภูเวกแสดงให้เห็นจิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนกลางท่ีนิยมเขียนภาพ
อดตี พระพทุ ธเจา้ การใชส้ บี นพนื้ ขาวเปน็ ลกั ษณะจติ รกรรมสมยั อยธุ ยายคุ นน้ั ดงั ที่ น. ณ ปากนำ�้
(ประยรู อลุ ชุ าฎะ) ไดอ้ ธบิ ายไว้ ในเรอื่ งจติ รกรรมสมยั อยธุ ยาตอนกลางและตอนปลายระยะแรก
สกลุ ชา่ งนนทบรุ ี ดงั นี้

“ผนังด้านข้างท้ัง ๒ ด้าน เหนือขอบหน้าต่าง เขียนภาพอดีตพระพุทธเจ้าประทับ
นั่งขัดสมาธิราบปางมารวิชัยบนแท่นฐานปัทม์บัวคว�่ำบัวหงายที่มีความสูงและผ้าทิพย์
ห้อยลงมา ด้านหน้าด้านหลังมีซุ้มเรือนแก้ว มีฉัตรขนาบอยู่สองข้างขวาซ้าย ที่พ้ืนด้านข้าง
พระแท่นขวาซ้ายมพี ระสาวกน่งั พนมมืออย่ดู า้ นละ ๑ องค”์

การเขยี นภาพอดตี พระพทุ ธเจ้าเช่นนี้ปรากฏอย่ทู ่ผี นังอโุ บสถวัดหน้าโบสถ์ ซ่ึงปจั จบุ ันนี้
อยู่ทพี่ ุทธสถานเชิงทา่ หนา้ โบสถ์ ต�ำบลทา่ ทราย อ�ำเภอเมืองนนทบรุ ี จงั หวดั นนทบุรี ซ่ึงอยู่ใน
ยา่ นบา้ นบางตลาดทา่ ทราย ไมไ่ กลจากวดั ชมภูเวก เป็นชมุ ชนมอญเช่นกนั

ภาพอดีตพระพุทธเจ้าประทับนั่งสมาธิปางมารวชิ ยั บนแท่นฐานปัทม์
มีผ้าทพิ ยห์ อ้ ยลงมา ทีผ่ นังอโุ บสถเก่า วัดชมภูเวก

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก 53

ความโดดเด่นของจติ รกรรมในอุโบสถเกา่ วัดชมภเู วก

นอกเหนือจากลักษณะพิเศษของจิตรกรรมภายในอุโบสถเก่าวัดชมภูเวกที่เขียน
รปู พระพทุ ธรปู ขนาดใหญท่ ผ่ี นงั หมุ้ กลองดา้ นหลงั ขนาบองคพ์ ระประธานตามคตขิ องมอญแลว้
จิตรกรรมในอุโบสถเก่าวัดชมภูเวกยังมีความโดดเด่นท่ีมีคุณค่าอันเป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยา
ที่คงอยู่ดว้ ย

ที่ผนังหุ้มกลองด้านหน้าพระประธานเหนือขอบประตู
ทางเขา้ เขียนรปู มารผจญ

ภาพพระพุทธเจ้าประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์ภายใต้
ร่มโพธ์ิพฤกษ์ พระพุทธเจ้าทรงจีวรสีน้�ำตาลจางๆ สบงสีแดง
ทพี่ ระวรกาย พระพกั ตร์ พระหตั ถ์ พระบาท ปดิ ทอง ใชส้ เี หลอื ง
ออ่ นระบายเป็นสพี ื้นเบอ้ื งหลงั การใช้สีดังกลา่ วนี้เป็นลักษณะ
เฉพาะของจิตรกรรมทวี่ ัดชมภูเวก
ภาพพระพทุ ธเจา้ ทรงจวี รสนี �ำ้ ตาลจางๆ สบงสีแดง ที่ผนงั หมุ้ กลอง

ด้านหน้าพระประธานอโุ บสถเก่า วัดชมภเู วก

เบอื้ งซา้ ยมอื ของพระพทุ ธเจา้ เปน็ รปู กองทพั พญามาร เปน็ รปู ทแ่ี สดงฝมี อื เปน็ เลศิ ในการ
แสดงอารมณ์ที่โกรธแค้นรุนแรง อาฆาตมาดร้ายอย่างท่ีสุดที่จะเข้าพิฆาตประหัตประหาร
พระองค์ กองทพั พญามารเขา้ มาทางเบอื้ งซา้ ยพรั่งพร้อมด้วยกองทัพมารท่ีมีรูปชนชาติต่างๆ
ที่เป็นภาพบุคลาธิษฐานที่แทนกิเลสตัณหาและบุคคลมิจฉาทิฐิ มีแต่ความคิดผิด ไม่รู้ผิดชอบ
ชวั่ ดี เป็นผทู้ มี่ ีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง พรง่ั พรอ้ มดว้ ยตัณหา มานะทิฐิ เป็นพาลชน
ใจบาปหยาบช้ากระท�ำแต่ทุจริตกรรม มีพญามารเป็นหัวหน้าขี่ช้างสวมชฎาทรงยอดน้�ำเต้า
กายสเี ขียว

ทางดา้ นขวาของพระพทุ ธเจา้ เปน็ รปู กองทพั พญามารทแ่ี ตกพา่ ย ยอมแพพ้ ระบารมขี อง
พระองค์ กองทพั พญามารถกู นำ้� ทว่ ม มรี ปู แมพ่ ระธรณบี บี มวยผมเกดิ นำ้� ทว่ มกองทพั พญามาร

รปู สายนำ้� ทท่ี ว่ มกองทพั พญามารซงึ่ เดมิ เปน็ ผลงานของจติ รกรสมยั อยธุ ยา แตม่ กี ารเขยี น
ซอ่ มภายหลงั ใหม้ คี วามเปน็ ธรรมชาตขิ องสายนำ้� ความงามของศลิ ปะอยธุ ยาจงึ ลบเลอื นไปมาก

รูปปลาเป็นความงามท่ีมีอยู่ในจิตรกรรมส่วนน้ี ท่าทางแหวกว่ายของเหล่าปลาดูแล้ว
เหมอื นปลาในจิตรกรรมมัศยาเริงชลท่อี ุโบสถวดั คงคาราม อ�ำเภอโพธาราม จงั หวัดราชบรุ ี

รปู แมพ่ ระธรณบี บี มวยผมเปน็ จติ รกรรมทเี่ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของภาพมารผจญ เปน็ จติ รกรรมทเี่ ปน็
ทยี่ อมรบั กนั วา่ เปน็ ผลงานของศลิ ปนิ ชนั้ ครู อกี ทง้ั ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ ภาพแมพ่ ระธรณที ง่ี าม
ท่ีสุดในโลก

54 พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก

ภาพจิตรกรรมทผี่ นังห้มุ กลอง
ดา้ นหน้าพระประธาน
เหนอื ขอบประตทู างเขา้ อโุ บสถเกา่

ภาพเขียนทศชาตชิ าดกในอุโบสถเกา่

ผนังด้านหน้าและด้านข้างระหว่างช่องประตูและหน้าต่างของอุโบสถเก่าเขียนภาพ
ทศชาติชาดกเวียนเรื่องไปจากทางด้านซ้ายเม่ือเดินเข้าสู่ภายในอุโบสถเก่า ผนังห้องท้ายสุด
ติดกับผนังหุ้มกลองด้านหลังทั้งสองด้านเขียนภาพพระมาลัยโปรดเทพยดาบนสวรรค์และ
โปรดสตั วน์ รก
การล�ำดบั ภาพของทศชาติชาดกและภาพพระมาลยั ในอโุ บสถเก่าวัดชมภูเวก มีดังน้ี
๑. พระเตมยี ชาดก - การบ�ำเพ็ญเนกขัมมะบารมี
๒. พระมหาชนกชาดก - การบ�ำเพ็ญวริ ิยบารมี
๓. พระสวุ รรณสามชาดก - การบ�ำเพญ็ เมตตาบารมี
๔. พระเนมริ าชชาดก - การบ�ำเพญ็ อธิษฐานบารมี
๕. พระมโหสถชาดก - การบ�ำเพ็ญปญั ญาบารมี
๖. พระมาลัยโปรดเทพยดาบนสวรรค์
๗. พระมาลัยโปรดสตั วน์ รก
๘. พระภรู ทิ ตั ชาดก - การบ�ำเพ็ญศลี บารมี
๙. พระจนั ทกมุ ารชาดก - การบ�ำเพญ็ ขนั ตบิ ารมี
๑๐. พระนารทชาดก - การบ�ำเพญ็ อเุ บกขาบารมี
๑๑. พระวทิ รู ชาดก - การบ�ำเพญ็ สัจบารมี
๑๒. พระเวสสันดรชาดก - การบ�ำเพ็ญทานบารมี

ผนงั ดา้ นขา้ งเหนอื ขอบหนา้ ตา่ งเขยี นภาพอดตี พระพทุ ธเจา้ ดา้ นละ ๘ องค์ รวม ๑๖ องค์

พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก 55

ทบ่ี ลั ลงั กข์ องอดตี พระพทุ ธเจา้ ไดม้ กี ารเขยี นอกั ษรมอญทส่ี วยงาม เปน็ ชอ่ื ของผมู้ ศี รทั ธา
เป็นเจ้าภาพการเขียนภาพอดีตพระพุทธเจ้า แสดงว่าช่างมอญมีส่วนในการสร้างสรรค์งาน
ศิลปะนี้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา แม้จะได้รับอิทธิพลช่างศิลป์ของไทยอย่างเต็มที่แต่ยังคงมีเค้า
ของมอญอยู่ให้ปรากฏเป็นหลักฐานได้ และแม้กาลเวลาผ่านไปมีการซ่อมแซมภาพเขียนใน
สมยั ตน้ รตั นโกสนิ ทร์แตย่ งั คงมเี คา้ ของศลิ ปะสมยั อยธุ ยาใหเ้ หน็ ได้ดงั ท่ีน.ณปากนำ�้ (ประยรู อลุ ชุ าฎะ)
กล่าวไว้ในเรื่องจติ รกรรมสมยั อยธุ ยาตอนกลางและตอนปลายระยะแรก สกลุ ช่างนนทบุรี ว่า

“...ภาพเหล่าน้ีเดิมก็คงเป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยาสกุลช่างนนทบุรีอันมีมอญผสมทาง
สญั ชาติ ซงึ่ ยงั เหลอื เคา้ เดมิ ใหเ้ หน็ วา่ ของเกา่ ยงั ถกู เวน้ และเหลอื เคา้ รอ่ งรอยบางอยา่ งบง่ วา่ เปน็
ศิลปะอยธุ ยา ดงั เช่น

รูปอาคารเป็นแบบมีเจาะช่องโค้งยอดแหลม Pointed Arch แบบศิลปะสมัยสมเด็จ
พระนารายณ์ฯ เชน่ ท่ีปรากฏในภาพเขียนตำ� หนกั พระพุทธโฆษาจารย์ วดั พุทไธศวรรยอ์ ยธุ ยา

รูปของหลังคาอาคารมงุ ดว้ ยกระเบือ้ งดนิ เผา
ซุ้มประตูก�ำแพงวังเป็นซุ้มประตูไม้รูปร่างแบบเสาชิงช้า เป็นแบบเดียวกับซุ้มประตูที่
ปรากฏในภาพเขยี นในอโุ บสถวดั ปราสาทนนทบรุ ี อุโบสถวดั ไชยทิศ บางขุนนนท์ และอโุ บสถ
วดั ใหมเ่ ทพนมิ ติ กรงุ เทพมหานคร เปน็ ต้น
รูปท่าครู เป็นภาพเขียนตอนชูชกไหว้พระเวสสันดร ได้เห็นท่าครูแบบน้ีตามภาพเขียน
สมัยอยุธยาหลายแหง่
ภาพบรรณศาลาโผลอ่ อกมาจากถำ�้ ในเรอื่ งเวสสนั ดรชาดกของวดั ชมภเู วกเปน็ ทา่ แมแ่ บบ
ของศลิ ปะรนุ่ หลงั เชน่ ทผี่ นงั อโุ บสถวดั สวุ รรณาราม ซง่ึ เปน็ บรรณศาลาตอนสวุ รรณสามชาดก...”

ภาพอดีตพระพทุ ธเจ้าและสาวกท่ีผนังด้านขา้ งอุโบสถเกา่
ผนงั ดา้ นหนา้ ตรงขา้ มพระประธานเหนอื ขอบ

ประตูเขียนภาพมารผจญ ภาพแม่พระธรณี
บีบมวยผมในท่าน่ังชันเข่า เป็นงานศิลปะช้ันเลิศ
ของประเทศ การเขยี นลีลาทา่ ทางตัง้ แต่การทรงตัว
การวางจังหวะต�ำแหนง่ ของล�ำตัว แขน ขา คอ ไหล่
ใบหน้า ตลอดจนล�ำแขน จนถึงการกรีดนิ้ว และ
วงหน้าที่งดงาม ถือได้ว่าเป็นผลงานของจิตรกรช้ันครูท่ีบันดาลให้ได้ภาพท่ีให้ความรู้สึก
เหนอื ธรรมชาติ ประดุจภาพทิพย์ของแม่พระธรณีที่ถือได้ว่าเป็นภาพแม่พระธรณีท่ีงามที่สุด
ในโลก ไม่มที ่ีใดท่เี ขยี นไดเ้ หมอื นเชน่ ท่ีวัดชมภเู วก

56 พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก

ภาพเขยี นทผ่ี นงั ดา้ นขา้ งระหวา่ งชอ่ ง จติ รกรรมฝาผนงั ทผ่ี นงั หมุ้ กลองตรงขา้ มพระประธาน
หนา้ ตา่ งเขยี นภาพทศชาตชิ าดก เปน็ เรอ่ื งท่ี ในอุโบสถเกา่ วัดชมภเู วก ท่มี ภี าพมารผจญ
อา้ งถงึ พระชาตทิ พี่ ระพทุ ธเจา้ ไดเ้ คยบ�ำเพญ็ และภาพแมพ่ ระธรณบี ีบมวยผม
บารมีมาแล้วก่อนท่ีจะประสูติเป็นเจ้าชาย ทไ่ี ด้รบั การยกย่องว่างามทส่ี ดุ ในโลก
สิทธัตถะ อันเปน็ พระชาติสุดทา้ ยท่ีได้ตรัสรู้
เปน็ พระพุทธเจ้า

หอ้ งทา้ ยสดุ ทางขวาของพระประธาน
เขียนภาพพระมาลัยถวายบชู าพระจุฬามณี
บนสวรรค์และโปรดเหลา่ เทพเทวามพี ระอนิ ทร์
และเทพยดามานมัสการพระมาลัยและ
รับฟงั พระธรรมเทศนา

หอ้ งทา้ ยสดุ ทางซา้ ยของพระประธาน
เขียนภาพพระมาลยั โปรดเหล่าสัตว์นรก

พระมาลยั โปรดเหลา่ สตั ว์นรก อุโบสถเก่า วัดชมภเู วก ผนังด้านขวาและซ้ายเหนือขอบ
หน้าต่างเขียนภาพอดีตพระพุทธเจ้า
ที่ฐานบัลลังก์ของอดีตพระพุทธเจ้ามี
การเขยี นชอ่ื ผศู้ รทั ธาเปน็ เจา้ ภาพเขยี นรปู
อดีตพระพุทธเจ้าดว้ ยอกั ษรมอญ

ภาพอดีตพระพุทธเจ้าเป็นภาพ
พระพุทธเจ้าประทับบนบัลลังก์ภายใต้
ฉตั รสามชน้ั มพี ระสาวกนงั่ พนมมอื อยทู่ าง
ด้านขวาและด้านซ้ายของพระพุทธเจ้า
มีฉัตรแบ่งภาพอดีตพระพุทธเจ้าแต่ละ
พระองค์

ภาพอดตี พระพุทธเจ้าประทบั บนบัลลังก์
อุโบสถเกา่ วัดชมภูเวก

ภาพเสน้ สนิ เทา แบบหยักฟนั ปลาจดเพดาน พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก 57
อโุ บสถเกา่ วดั ชมภเู วก

เหนือภาพอดีตพระพุทธเจ้าเขียน การใช้ลวดลายท่ีมีรายละเอียดมากที่
เสน้ สินเทาแบบหยักฟันปลาจนจดเพดาน บัลลังก์พระพุทธรูป และการเขียนภาพบัลลังก์
เขียนภาพคนธรรพ์ พิทยาธรในระหว่าง พระพุทธรูปสูงมาก อีกทั้งการใช้สีอ่อนอันเป็น
เสน้ หยกั ของเส้นสินเทา ลักษณะของศลิ ปะสมยั อยธุ ยา

ภาพลายอุโบสถ เพดาน เขียนเป็นรูปดอกบัวมีกลีบใหญ่
รูปทรงป้อมๆ ลายประดับมุมเพดานเขียนลาย
ผีเสื้อขนาดใหญ่ อันแสดงถึงลักษณะของ
ศลิ ปะมอญ

ลายเพดานเขียนบนพื้นขาว อันเป็น
ลกั ษณะพเิ ศษเฉพาะของศิลปะสมัยอยุธยา

ทางเข้าที่ประตูด้านหน้า ท�ำเป็น บนั ไดโค้งทเี่ รียกว่าอัฒจันทร์
อัฒจันทร์แทนแท่นบันไดท่ีท�ำกันท่ัวไป ท่ีประตทู างเข้าอุโบสถเก่า วัดชมภูเวก
การท�ำบนั ไดแบบอฒั จนั ทรแ์ ทน่ โคง้ มนเชน่ น้ี
เปน็ การรับอิทธิพลของศรลี ังกา ศาสนสถาน
ที่ส�ำคัญของศรลี ังกา เช่น บนั ไดทางขนึ้ ไปสู่
พระพุทธรูปศักดิ์สิทธ์ิของศรีลังกาจะท�ำ
แท่นบันไดโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลมท่ีเรียกว่า
อัฒจนั ทร์

มอญได้รับอิทธิพลในเร่ืองของคติความเชื่อและจารีตท่ีพึงปฏิบัติเกี่ยวกับพุทธศาสนา
มาจากศรีลังกามาแต่อดีต โดยเฉพาะอย่างย่ิงคณะสงฆ์มอญที่ได้บวชมาจากกัลยาณีสีมา
ของศรีลังกาในรัชสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ กษัตริย์มอญ เม่ือต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ พระสงฆ์
มอญในอดีตที่วัดชมภูเวกจึงได้ท�ำอัฒจันทร์ทางเข้าสู่ภายในอุโบสถเก่าของวัดชมภูเวกตาม
คตคิ วามเช่ือ เมือ่ เขา้ สสู่ ถานทศี่ กั ดส์ิ ิทธิ์

58 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก

คุณค่าทางปญั ญาจากจิตรกรรมล�้ำคา่ ในอโุ บสถเก่าวัดชมภูเวก

จิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถเก่าวัดชมภูเวกเป็นแหล่งรวมคุณค่าทางปัญญาเช่นเดียวกับ
คุณค่าทางปัญญาท่ีปรากฏอยู่ที่จิตรกรรมฝาผนังที่มีอยู่ตามอารามต่างๆ ในประเทศไทย
ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ วรรณคดี พุทธประวัติ วิถีชีวิตของผู้คน ตลอดจนพระธรรมค�ำสอน
ของพระพทุ ธเจา้ ปรากฏอยใู่ นจิตรกรรมดงั กล่าวให้ไดพ้ บเหน็ อยทู่ วั่ ไปตามวัดต่างๆ

ชาดกท่ีเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตชาติของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ได้บ�ำเพ็ญบารมีต่างๆ
ในทุกๆ ชาติ พระพุทธเจ้าได้ใช้ในการอบรมสั่งสอนแก่พระภิกษุและพุทธศาสนิกชนท่ัวไป
ตั้งแต่คร้ังพุทธกาล อันเป็นการสอนเชิงเปรียบเทียบ โดยยกนิทานชาดกเปรียบเทียบให้เข้าใจ
ธรรมะไดง้ า่ ยขนึ้ ชาดกแตล่ ะเรอื่ งจะมงุ่ สอนคตธิ รรมและจรยิ ธรรมในทางออ้ ม โดยอาศยั บทบาท
ของตัวแสดงในชาดกเป็นผู้บอกหรือช้ีแนะให้เข้าใจพฤติกรรมต่างๆ ทั้งที่ควรปฏิบัติและ
ไม่ควรปฏิบัติ ชาดกจึงกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่แสดงถึงจริยาของพระโพธิสัตว์ คือ พระพุทธเจ้า
เม่ือกอ่ นจะตรสั รูไ้ ดท้ รงปรารถนาพทุ ธภูมิและได้ทรงบ�ำเพญ็ บารมมี าในชาตนิ ัน้ ๆ

นทิ านชาดกทม่ี มี ากถงึ ๕๕๐ ชาติ จงึ เปน็ สาระส�ำคญั อกี ประการหนงึ่ ทเ่ี ปน็ การขยายผล
ของสาระของพุทธธรรม คุณธรรม จริยธรรม สู่ผู้คนได้ง่ายข้ึน โดยเฉพาะอย่างย่ิงเมื่อ
นทิ านชาดกไดถ้ กู น�ำมาเปน็ ภาพจติ รกรรม นอกเหนอื จากการเขยี นจารกึ พมิ พเ์ ปน็ ตวั อกั ษรหรอื
เป็นหนงั สอื

ชาดกเปน็ วิธสี อนอย่างหน่ึงของพระพุทธเจา้
ชาดกหรือชาตกะ คือ ระเบียบค�ำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงบูรพจารีต จารีตที่เป็น

ความประพฤติในบูรพกาลในอดีต ได้แก่ ชาดก ๕๕๐ เร่ือง เรื่องในชาดกทั้งปวงนี้ถือกันว่า
เป็นค�ำส่ังสอนหมวดหนึ่งในพระพุทธศาสนา ชาดกทั้งหมดนั้นบางเร่ืองแสดงถึงสัตว์เดรัจฉาน
เช่น พญานาค ลิง หงส์ เป็นต้น แตถ่ ้าพิจารณากันทีส่ าระส�ำคญั ของเน้ือเร่ืองและเน้ือความแลว้
จะเห็นได้ว่าเป็นการแสดงสาระส�ำคญั ทีไ่ ดแ้ สดงถึงสุภาษติ คือ ค�ำสอนท่ไี ดจ้ ากชาดกเรอ่ื งนัน้ ๆ
ดงั นัน้ ชาดกจึงเปน็ เร่ืองทีแ่ สดงข้นึ มาเพอื่ สอน แต่วา่ จะแสดงในค�ำสอนโดยตรงทีเดียว อาจจะ
ไม่เหมาะสมแก่บางบุคคล แต่ว่าถ้าได้ผูกเร่ืองเล่าเป็นนิทานชาดกให้เห็นเป็นรูปธรรมจาก
สารธรรมค�ำสอนท่ีเป็นนามธรรม และแสดงค�ำสอนเป็นสารธรรมต่อท้ายโดยสาธกยกเอา
เรื่องในนิทานชาดกเร่ืองน้ันๆ มาผูกเป็นคติเตือนใจบุคคล ดังนั้น ชาดกจึงเป็นวิธีหนึ่งของ
การแสดงค�ำสอนของพระพุทธเจา้

พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก 59

พระโพธสิ ัตว์เสวยพระชาติ พระโพธิสัตว์เสวยพระชาตเิ ปน็ ลิง และหงส์
เป็นพญานาค จิตรกรรมฝาผนงั อโุ บสถวดั เครือวลั ยว์ รวิหาร
(กรมวิชาการ, ๒๕๔๐. หน้า ๑๔๗, ๑๖๐)
อุโบสถเกา่ วัดชมภเู วก

อีกประการหน่ึง โดยท่ัวไปเป็นส่วนมากแล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงค�ำสอนโดยตรง
แต่เมื่อมีเรื่องทางคดีโลกที่น่าจะได้ทรงแสดงค�ำสอนให้เหมาะสมแก่คดีโลก แต่ถ้าทรงสอน
อยา่ งนน้ั โดยตรงกไ็ มใ่ ชฐ่ านะทพ่ี ระองคจ์ ะทรงสอนได้ จงึ ทรงแสดงชาดกเปน็ อดตี นทิ าน วา่ เมอ่ื
คร้ังกอ่ นนัน้ ได้มเี รื่องท่บี งั เกิดข้ึนอย่างน้ันๆ และให้เกดิ ผลอยา่ งนน้ั ๆ เป็นค�ำสอนใหผ้ ู้ฟงั ท่ีต้อง
ปฏบิ ตั หิ รอื ด�ำเนนิ ชวี ติ ทางคดโี ลกไดฟ้ งั และสามารถน�ำไปปฏบิ ตั หิ รอื ประยกุ ตใ์ หเ้ ขา้ กบั วถิ ชี วี ติ
ทางคดโี ลกใหเ้ ปน็ ประโยชนไ์ ด้ ซงึ่ ลกั ษณะของเรอื่ งดงั กลา่ วมานมี้ อี ยหู่ ลายเรอื่ งทที่ รงสอนตรงๆ
ไม่ได้ต้องทรงเล่าชาดกให้ฟัง แต่ว่าต่อมาได้ถือกันว่าชาดกทั้งปวงน้ันเป็นอดีตชาติของ
พระพทุ ธเจา้ เมอ่ื ยงั ทรงเปน็ พระโพธสิ ตั ว์ คอื เปน็ ผไู้ ดป้ ฏบิ ตั บิ �ำเพญ็ พระบารมเี พอื่ พระโพธญิ าณ
คือเพ่ือความตรสั รู้ ไดท้ รงบงั เกิดเปน็ บุคคลในชาตนิ ั้นๆ และไดท้ รงปฏิบัตอิ ยา่ งนน้ั ๆ เป็นการ
ทรงบ�ำเพญ็ พระบารมสี บื ตอ่ กันมา

ส�ำหรับชาดกที่เป็นเร่ืองยาวๆ ไทยเราเรียกว่าพระเจ้าสิบชาติที่แสดงถึงพระโพธิสัตว์ได้
ทรงบ�ำเพ็ญบารมใี นชาตนิ น้ั ๆ ๑๐ ชาติ ทเี่ ปน็ ชาตสิ �ำคัญๆ มาจนถงึ ชาติท่เี ป็นพระเวสสนั ดรน้ัน
จึงมาถึงพระชาติสุดท้ายท่ีทรงอุบัติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ
และพระนางสริ ิมหามายา ทรงเปน็ พระโพธิสัตว์

ชาดกเปน็ เรอ่ื งของพระโพธสิ ตั ว์ผตู้ ้ังจิตปรารถนาเป็นพระพทุ ธเจา้
คุณธรรมท่ีมิใช่ว่าจะปฏิบัติให้ส�ำเร็จผลในเวลาอันรวดเร็ว แต่จะต้องปฏิบัติให้เป็นนิจ

ตลอดเวลาสืบเนื่องต่อกันไปตลอดกาลนาน อันเรียกว่าการบ�ำเพ็ญบารมี ซ่ึงมีความหมายว่า
อย่างยิ่งอันหมายถึง การปฏิบัติย่ิงๆ ขึ้นไปโดยล�ำดับจนถึงบริบูรณ์ นี่คือความหมายของ
การบ�ำเพ็ญบารมี

เจ้าชายสิทธัตถะในคร้ังอดีตกาล เม่ือครั้งท่ีเป็นยุคของพระทีปังกรพุทธเจ้า ทรงบังเกิด
เป็นสุเมธดาบส ทรงได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้าว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
ในอนาคต ไดเ้ ริม่ ชอ่ื วา่ พระโพธิสตั วต์ ัง้ แตน่ ้นั มา

60 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก

ท่านสเุ มธดาบส เมื่อปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าและได้รับพุทธพยากรณ์แล้วก็มิใชว่ า่
จะเป็นข้ึนมาเองได้ แต่จะต้องปฏิบัติในคุณธรรมที่จะท�ำให้บังเกิดความส�ำเร็จดังปรารถนาได้
คณุ ธรรมที่ส�ำคญั ประการหนึ่ง คือ การบ�ำเพญ็ บารมี ๑๐ ประการ หรือทศบารมี

ทศบารมีที่พระโพธิสัตว์ทรงปฏิบัติเป็นบารมีข้ันปกติจนเพิ่มพูนเข้มข้นมากย่ิงข้ึน
เปน็ อปุ บารมแี ละเจรญิ บารมที ส่ี มบรู ณถ์ งึ ขน้ั ปรมตั ถบารมี บารมที ส่ี มบรู ณใ์ หป้ ระโยชนอ์ ยา่ งยงิ่
น�ำให้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ภาพทศชาติชาดกวัดชมภูเวกเป็นภาพแสดงบารมี ๑๐ ประการ
หรือทศบารมขี องพระโพธิสัตว์

ภาพจิตรกรรมอุโบสถเก่าวัดชมภูเวกเป็นภาพทศชาติที่แสดงให้เห็นว่าพระโพธิสัตว์
ทรงบ�ำเพญ็ บารมี ๑๐ ประการ เมื่อครง้ั ทรงอุบัติเป็นพระโพธสิ ตั วใ์ นชาติต่างๆ รวม ๑๐ ชาติ
ทเ่ี รยี กวา่ ทศชาตชิ าดกหรอื มหานบิ าตชาดก ซง่ึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของชาดก ๕๕๐ ชาติ ทรงปฏบิ ตั ิ
พระบารมีเพื่อพระโพธญิ าณ คือ เพอื่ ความตรสั รู้

การอา่ นภาพทศชาตชิ าดกท่ีอุโบสถเกา่ วัดชมภเู วก
การเรียนรู้สาระจากจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถเก่าวัดชมภูเวกเพ่ือเสริมสร้างภูมิปัญญา

ในการพัฒนาความด่ืมด่�ำซาบซ้ึงในการพัฒนาจิตและคุณธรรมนอกเหนือจากความอิ่มเอม
ในศิลปวจิ ิตรทไ่ี ดไ้ ปชน่ื ชมความงามของจติ รกรรมวดั ชมภเู วก

การจัดล�ำดับเรื่องทศชาติในอุโบสถเก่าท่ีเริ่มด�ำเนินเรื่องพระเตมียชาดกที่ผนังหุ้มกลอง
ด้านหน้าทางขวาของพระประธาน ต่อด้วยเร่ืองพระมหาชนกชาดก พระสุวรรณสามชาดก
พระเนมิราชชาดก พระมโหสถชาดก ส้ินสุดท่ีภาพพระมาลัยโปรดเหล่าเทพยดาบนสวรรค์
จากนั้นเป็นภาพพระมาลัยโปรดสัตว์นรกต่อด้วยภาพพระภูริทัตชาดก พระจันทกุมารชาดก
พระนารทชาดก พระวทิ รู ชาดก และพระเวสสนั ดรชาดก มาจบทผ่ี นงั หมุ้ กลองดา้ นหนา้ ทางซา้ ย
ของพระประธาน

ผนังห้มุ กลองด้านหลัง
พระประธานอโุ บสถเกา่
เปน็ ภาพพระพทุ ธรูปขนาดใหญ่
ครองจวี รสีแดง
ดา้ นขวาของพระประธาน
เป็นจุดเริม่ ตน้ ลำ�ดับเร่อื งทศชาติชาดก

พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก 61

• เรอื่ งที่ ๑ พระเตมยี ชาดก การบ�ำเพญ็ เนกขัมมะบารมี
เมอื่ ครง้ั ที่พระโพธิสตั วไ์ ด้เสวยพระชาตเิ ปน็ เตมยี กมุ าร โอรสของพระเจา้ พาราณสี เมือ่
ทรงพระเยาว์พระองค์ทรงเห็นพระบิดาสั่งลงโทษนักโทษท่ีมีความผิดต่างๆ ทรงเกรงกลัวบาป
ต่อไปพระองค์ต้องครองแผ่นดิน และจะต้องพิพากษาคดีเช่นน้ี พระกุมารจึงทรงท�ำตนเป็น
คนหูหนวกอ่อนเปลี้ยตาบอด โหรหลวงได้ท�ำนายว่าเป็นกาลกิณีจะเกิดวิบัติแก่บ้านเมือง
พระบดิ าจงึ ใหน้ �ำพระเตมยี ไ์ ปฝงั ขณะทก่ี �ำลงั จะถกู ฝงั พระเตมยี ไ์ ดท้ รงลกุ ขน้ึ และเทศนาสง่ั สอน
สารถีผู้ที่ก�ำลังจะฆ่าพระองค์ สารถีอ้อนวอนให้พระเตมีย์กลับเข้าในพระราชวัง แต่พระเตมีย์
ปฏิเสธและอธิษฐานถือบรรพชา แม้พระบิดาพระมารดามาขอร้องให้กลับไปครองราชสมบัติ
พระเตมียท์ รงปฏเิ สธและยนื ยนั ท่จี ะบวชและในทส่ี ดุ สามารถท�ำให้พระบิดาพระมารดาซาบซงึ้
ในความดี เสด็จออกบวชตามพระองค์ด้วย
การบ�ำเพญ็ เนกขมั มะบารมี คอื การออกบวชเพื่อปลกี ออกจากทุกข์ หมายถึง การออก
จากกามไม่ติดอยู่ในกามจนถึงการออกบวช ทรงเห็นความผูกพันทั้งหลายอันเกิดจากกามนั้น
ดุจเคร่ืองจองจ�ำ ทรงปรารถนาที่จะออกจากกามโลกดุจออกจากเรือนจ�ำ เป็นการปฏิบัติเพื่อ
ปลีกออกจากทกุ ข์
ภาพทเี่ ขยี นในหอ้ งท่ี ๑ เปน็ ภาพพระเตมยี กมุ ารประทบั อยกู่ บั พระบดิ าทก่ี �ำลงั ตดั สนิ คดี
บรรดานกั โทษ

พระเตมียชาดก อโุ บสถเกา่ วดั ชมภูเวก

62 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก

• เรอื่ งที่ ๒ พระมหาชนกชาดก การบ�ำเพ็ญวริ ิยบารมี
เม่ือคร้ังที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระมหาชนก ทรงเกิดเป็นพระโอรสของ
พระอรฏิ ฐชนก กรงุ มถิ ลิ า พระบดิ าสนิ้ พระชนมใ์ นการรบ พระมารดาทรงครรภห์ นไี ปอยเู่ มอื งกาล
จมั ปากะนคร พระมหาชนกไดป้ ระสตู ทิ น่ี ครน้ี ครนั้ มอี ายไุ ด้ ๑๖ ปี ทรงขอทนุ จากพระมารดาไป
ลงทนุ คา้ ขายทางเรอื ส�ำเภาเพอ่ื หาทนุ ไปกอบกบู้ า้ นเมอื งคนื มา ขณะทเ่ี ดนิ ทางมากลางมหาสมทุ ร
เรอื ไดอ้ บั ปางลง พระมหาชนกเปน็ ผฉู้ ลาดและเปน็ ผกู้ ลา้ หาญเตรยี มพระองคพ์ รอ้ มและกระโจน
ลงจากเรอื วา่ ยไปทางเมืองมถิ ลิ าเปน็ เวลาหลายวนั จนถงึ วนั ที่ ๗ นางมณีเมขลาเทพธดิ ารกั ษา
มหาสมุทรได้พบพระมหาชนกก�ำลังว่ายน�้ำอยู่ จึงลองทดสอบก�ำลังจิตใจของพระมหาชนก
วา่ จะทอ้ แท้อยา่ งใดหรอื ไมท่ แี่ หวกว่ายอยูใ่ นมหาสมทุ รทัง้ ๆ ท่ีมองไม่เห็นฝง่ั แต่พระมหาชนก
ไม่ละความเพียรพยายามแหวกว่ายไปแม้จะห่างไกลจากความส�ำเร็จและไม่ร้องขอให้
นางมณีเมขลาช่วย เทพธิดาเห็นความเพียรของพระมหาชนกเช่นน้ันจึงได้น�ำพระมหาชนก
ไปสง่ ถงึ นครมถิ ิลา พระมหาชนกได้เป็นพระราชากรุงมถิ ลิ าสืบตอ่ มา
วนั หนง่ึ พระองคท์ รงเหน็ โทษของการครองราชสมบตั จิ งึ ทรงสละกเิ ลสออกผนวชถอื เพศ
บรรพชติ จนตลอดพระชนม์
จิตรกรรมเร่ืองพระมหาชนกท่ีอยู่ในห้องน้ี ด้านบนเขียนภาพเรือส�ำเภาก�ำลังจมลง
มีลูกเรือปีนเสากระโดงเรือและหลายคนก�ำลังจมน�้ำ มีภาพท่ีลบเลือนพอเห็นได้บ้างเป็นรูป
พระมหาชนกก�ำลังว่ายน้�ำมีนางมณีเมขลาเหาะอยู่ด้านบนมาช่วยพระมหาชนก ส่วนภาพ
ด้านลา่ งเปน็ ภาพพระนางสวี ลแี ละพระมารดาพระมหาชนก

พระมหาชนกชาดก
อโุ บสถเกา่ วดั ชมภูเวก

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก 63

• เรอ่ื งที่ ๓ พระสวุ รรณสามชาดก การบ�ำเพญ็ เมตตาบารมี
สุวรรณสามเป็นบตุ รของฤๅษีสองสามภี รรยา บ�ำเพญ็ ศลี อยูใ่ นป่าหิมพานต์ บิดามารดา
ของสุวรรณสามตาบอด สุวรรณสามดูแลอุปการะบิดามารดาเป็นอย่างดี ทั้งบิดามารดาและ
สวุ รรณสามเจริญเมตตาภาวนาเปน็ นจิ สุวรรณสามไปทีใ่ ดจะมสี ตั วป์ า่ ห้อมล้อมอยู่ตลอดเวลา
วนั หนงึ่ กบลิ ยกั ษ์ กษตั รยิ ก์ รงุ พาราณสี เสดจ็ ไปลา่ สตั ว์ พบฝงู สตั วท์ หี่ อ้ มลอ้ มสวุ รรณสาม
อยู่ ได้ใช้ศรยงิ ไปที่ฝงู สตั ว์แต่พลาดไปถกู สวุ รรณสามสลบไป ก่อนสลบสุวรรณสามได้กลา่ วกบั
กบิลยักษ์ว่าตนต้องดูแลบิดามารดาท่ีตาบอด ถ้าต้องตายใครจะมาดูแลบิดามารดา พระเจ้า
กบิลยักษ์เห็นความกตัญญูของสุวรรณสาม จึงรับปากจะเลี้ยงดูบิดามารดาสุวรรณสามแทน
สุวรรณสามสน้ิ สติไป กบลิ ยักษ์จึงน�ำความไปแจ้งแก่บดิ ามารดาของสวุ รรณสาม และพามาพบ
สุวรรณสาม ด้วยสัตยาธิษฐานของบิดามารดาท่ีอ้างน�ำด้วยเมตตาธรรมท่ีสุวรรณสามปฏิบัติ
ตลอดมา ทั้งความกตัญญูรู้คุณบิดามารดา ท�ำให้สุวรรณสามฟื้นคืนชีวิต ตาของบิดามารดา
ก็หายเป็นปกติ สุวรรณสามได้แสดงธรรมโปรดกบิลยักษ์ พระองค์เลิกฆ่าสัตว์ และครอง
ราชสมบตั ิโดยธรรม
ทรงสอนให้เจริญเมตตา มีจิตที่คิดเก้ือกูลเพื่อประโยชน์สุขทั้งของตนเองและผู้อ่ืน
ไม่เบียดเบยี นอาฆาตพยาบาทผูกโกรธจองเวร ใหอ้ ภัยและมีใจไมตรี
ภาพจิตรกรรมเรื่องสุวรรณสามชาดกอยู่ในผนังห้องเดียวกับเร่ืองพระมหาชนกชาดก
มีเส้นสินเทาเป็นตัวแบ่งเนื้อหาของเรื่องท้ังสอง ด้านบนเป็นภาพภูเขา ด้านล่างเป็นภาพ
บรรณศาลา มภี าพพระสุวรรณสามท่ามกลางฝงู กวาง และภาพกบลิ ยักษ์ถือธนู ภาพส่วนใหญ่
ลบเลือน ภาพบรรณศาลาท่ียื่นออกมาจากภูเขาเป็นภาพท่ีเด่นเป็นเอกลักษณ์อีกประการหน่ึง
ของภาพจิตรกรรมวัดชมภเู วก

พระสวุ รรณสามชาดก
อุโบสถเกา่ วัดชมภูเวก

64 พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก

• เร่ืองที่ ๔ พระเนมริ าชชาดก การบ�ำเพ็ญอธษิ ฐานบารมี
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเนมิราช ครองเมืองมิถิลาต่อจากกษัตริย์องค์ก่อนที่
สละราชสมบตั อิ อกผนวชเมอื่ มพี ระเกศาหงอก ซงึ่ เปน็ ธรรมเนยี มปฏบิ ตั ขิ องกษตั รยิ ท์ กุ พระองค์
ในนครแห่งน้ี พระเนมิราชทรงสนพระทัยในการให้ทาน ทรงถืออุโบสถศีล และปฏิบัติธรรม
ตลอดมา อีกท้ังทรงแนะน�ำส่ังสอนให้ราษฎรรักษาศีล ให้ทานกันทั่วราชอาณาจักร จนได้รับ
การสรรเสรญิ ทง้ั ในสวรรคใ์ นโลกมนษุ ยแ์ ละในนรกภมู ิ บรรดาราษฎรทปี่ ฏบิ ตั ธิ รรมตามค�ำสอน
ของพระเนมิราชเมื่อส้ินชีพได้ไปเกิดเป็นเทพบนสวรรค์ เทพเหล่านั้นปรารถนาจะได้พบ
พระเนมิราช พระอินทร์จึงให้พระมาตุลีน�ำราชรถไปเชิญพระเนมิราชขึ้นไปบนสวรรค์และ
ไปนรกภมู ิ พระองคไ์ ดแ้ สดงธรรมแกเ่ หลา่ เทพและสตั วน์ รกทงั้ หลาย เมอื่ เสดจ็ กลบั สมู่ นษุ ยโลก
ทรงรักษาศีล ปฏิบตั ธิ รรมสั่งสอนราษฎรให้ท�ำทาน รักษาศีล ปฏบิ ัติธรรมตลอดไป ต่อมาเมือ่
พระเนมริ าชเกศาหงอก พระองคก์ ส็ ละราชสมบตั ใิ หพ้ ระโอรสแลว้ เสดจ็ ออกบรรพชาจนสวรรคต
จิตรกรรมเรื่องพระเนมิราชชาดกเขียนอยู่ในผนังห้องเดียวกันกับเรื่องพระมโหสถชาดก
โดยมีเส้นสินเทาแบง่ เรื่องพระเนมริ าชชาดกและเร่ืองพระมโหสถชาดก
จติ รกรรมเรอ่ื งพระเนมริ าชชาดก พน้ื ทขี่ อบภายในสว่ นทตี่ ดิ หนา้ ตา่ งเขยี นภาพเปรตและ
สัตว์นรกที่ขุมนรกต่างๆ ถัดออกมาเป็นภาพพระเนมิราชประทับอยู่บนราชรถท่ีพระอินทร์ให้
พระมาตุลีเทพบุตรมารับพระเนมิราชข้ึนไปบนสวรรค์ เป็นภาพตอนที่พระเนมิราชเสด็จไป
นรกภมู ิและไปสวรรคต์ ามท่ีพระอนิ ทรไ์ ดท้ ลู เชิญ

พระเนมิราชชาดก
อุโบสถเก่า วดั ชมภเู วก

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก 65

• เรือ่ งท่ี ๕ พระมโหสถชาดก การบ�ำเพ็ญปญั ญาบารมี
พระมโหสถเปน็ บตุ รของเศรษฐสี ริ วิ ฒั นะ เปน็ คนเฉลยี วฉลาดมปี ญั ญาดมี าตง้ั แตเ่ ยาวว์ ยั
เมื่อเป็นเด็กมีความสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ มีความคิดดีตั้งแต่เด็ก เช่น คิดท�ำท่ีพักให้
คนเดนิ ทาง คนอนาถา เปน็ ตน้ เพราะความฉลาดของพระมโหสถ พระเจา้ วเิ ทหราชแหง่ กรงุ มถิ ลิ า
ทรงให้พระมโหสถเข้ารับราชการ แม้จะถูกริษยากลั่นแกล้งต่างๆ นานา ก็สามารถแก้ปัญหา
ได้ด้วยปัญญา พระราชาทรงนับถือและเชื่อม่ันในปัญญาของพระมโหสถ โปรดให้พระมโหสถ
ถวายค�ำแนะน�ำส่งั สอนธรรมแก่พระองคแ์ ละสอนธรรมแกป่ ระชาชนดว้ ย
ต่อมาพระเจ้าจุลนีพรหมทัตแห่งนครกัมพละเข้ายึดเมืองมิถิลาแต่ไม่สามารถท�ำได้
เพราะพระมโหสถใชป้ ญั ญารกั ษาเมอื งได้ พราหมณเ์ กวฏั ในราชส�ำนกั พระเจา้ จลุ นจี งึ ออกอบุ าย
ให้พระเจ้าจุลนีส่งทูตมาเจรจาและถวายพระธิดาให้พระเจ้ากรุงมิถิลาด้วยหวังจะจับพระเจ้า
กรงุ มิถลิ า พระมโหสถออกอบุ ายซ้อนกลไปจบั กมุ พระมเหสพี ระธิดาของพระเจ้าจุลนี พระเจ้า
จุลนถี ูกซอ้ นกลจึงต้องยอมแพ้
จิตรกรรมเร่ืองพระมโหสถอยู่บนผนังห้องเดียวกับภาพเร่ืองพระเนมิราช โดยมีภาพ
เส้นสินเทาแบ่งเรื่อง ในส่วนท่ีติดกับเส้นสินเทาเขียนเป็นภาพป้อมและก�ำแพงเมืองที่ด้านบน
มีปืนใหญ่ต้ังอยู่ ถัดออกมาเป็นภาพพระมโหสถก�ำลังกดศีรษะเกวัฏพราหมณ์ซ่ึงเป็นตอนท่ี
พระมโหสถใชอ้ ุบายหลอกใหเ้ กวัฏพราหมณก์ ม้ ลงไปเก็บแก้วมณี จนท�ำให้กองทพั ของพระเจา้
จลุ นีพ่ายแพก้ ลับไป

พระมโหสถชาดก อุโบสถเก่า วดั ชมภเู วก

66 พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก

• เร่ืองท่ี ๖ พระภูริทตั ชาดก การบ�ำเพญ็ ศีลบารมี
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนาคช่ือพระภูริทัต เป็นบุตรของท้าวธตรัฏฐะและ
นางสมทุ รชาเจา้ เมอื งบาดาล พระภรู ทิ ตั ฝกั ใฝใ่ นการรกั ษาศลี จงึ ขนึ้ มาจากเมอื งบาดาลมารกั ษา
อุโบสถศีลที่ริมฝั่งแม่น�้ำยมนาในเมืองมนุษย์ ถูกพราหมณ์อาลัมพายน์จับไปบังคับให้แสดง
แก่ประชาชนและพระเจ้าพาราณสี พระภูริทัตคงมั่นในศีลไม่คิดท�ำร้ายพราหมณ์อาลัมพายน์
ต่อมาพ่ีและน้องของพระภูริทัตได้มาช่วยน�ำพระภูริทัตกลับสู่เมืองนาคได้ เมื่อพระภูริทัต
กลบั มาอยูท่ เี่ มืองนาคไดร้ ักษาศลี ต่อมาจนตลอดชวี ติ
ภาพพระภูริทัตชาดกเขียนอยู่ผนังห้องเดียวกับเร่ืองพระจันทกุมารโดยมีเส้นสินเทา
แบง่ ภาพเรือ่ งทัง้ สอง
ขอบภาพในส่วนท่ีติดกับหน้าต่างเขียนภาพพญานาคขดอยู่กับจอมปลวก มีภาพ
พราหมณ์อาลัมพายน์ก�ำลังฉุดลากหางของพญานาค ขณะท่ีพญานาคคือพระภูริทัตก�ำลัง
บ�ำเพ็ญศีลอยู่ทจี่ อมปลวก
ถัดมาเปน็ ภาพพราหมณอ์ าลัมพายน์ก�ำลังเรยี นมนต์จับนาคกับพระฤๅษี

พระภูริทตั ชาดก อุโบสถเก่า วดั ชมภูเวก

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก 67

• เรือ่ งท่ี ๗ พระจนั ทกุมารชาดก การบ�ำเพ็ญขนั ติบารมี
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระจันทกุมาร โอรสพระเจ้าเอกราชแห่งกรุงบุปผาวดี
พระราชบิดาให้พระจันทกุมารพิจารณาพิพากษาคดีแทนพราหมณ์กัณฑหาละที่พิพากษาคดี
ไม่เที่ยงธรรม พราหมณ์จึงไม่พอใจและอาฆาตผูกโกรธพระจันทกุมาร ได้ออกอุบายทูล
พระเจา้ เอกราชว่าถ้าแมน้ พระองคต์ อ้ งการไปเกดิ บนสวรรค์ พระองคต์ อ้ งกระท�ำการบชู าดว้ ย
พระราชโอรส พระราชธดิ า พระมเหสี ช้างทรง ม้าทรง โคเผอื ก และเศรษฐใี หค้ รบอย่างละส่ี
พระเจ้าเอกราชหลงเชื่อให้พราหมณ์กัณฑหาละจัดพิธีบูชายัญ แม้พระบิดาพระมารดาของ
พระเจา้ เอกราชจะทลู วิงวอนขอร้องให้งดพิธบี ูชายญั พระเจ้าเอกราชหาฟงั ไม่ พระจันทกมุ าร
ถกู จบั ไปท�ำทารณุ กรรมตา่ งๆ นานา แตท่ รงมขี นั ตธิ รรมอดทนตอ่ ทกุ ขท์ รมานทงั้ ปวง แมใ้ นทส่ี ดุ
ถูกจับฝังดินเตรียมบูชายัญ พระนางจันทาเทวีมเหสีพระจันทกุมารได้อธิษฐานขอเทพยดามา
ช่วยเหลือ พระอินทร์จึงลงมาช่วยท�ำลายพิธีบูชายัญ พราหมณ์กัณฑหาละถูกประชาทัณฑ์
จนตาย พระเจ้าเอกราชถูกขับไล่ออกจากเมือง พระจันทกุมารได้รับการอภิเษกเป็นกษัตริย์
ครองราชสมบตั สิ บื ตอ่ มา
ภ า พ จิ ต ร ก ร ร ม เ ร่ื อ ง พ ร ะ
จันทกุมารอยู่ถัดออกมาจากภาพ
พระภูริทัตชาดกโดยมีเส้นสินเทา
แบ่งภาพทั้ง ๒ เรื่องแยกจากกัน
ตอนบนเป็นภาพของพระอินทร์
เหาะลงมาหักฉตั รทป่ี ะร�ำพธิ ี มีภาพ
พระจนั ทกมุ ารนง่ั อยบู่ นแทน่ มกี องไฟ
จุดไว้เพ่ือท�ำพิธีบูชายัญ ส่วนล่าง
ของภาพนี้เป็นการแสดงเหตุการณ์
เตรยี มพธิ บี ชู ายญั และความโกลาหล
เมื่อพระอนิ ทรม์ าท�ำลายพิธี

พระจนั ทกุมารชาดก
อโุ บสถเก่า วัดชมภูเวก

68 พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก

• เรอื่ งท่ี ๘ พระนารทชาดก การบ�ำเพญ็ อุเบกขาบารมี
พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ พระนารทมหาพรหม ในกาลครงั้ นน้ั พระเจา้ องั คตกิ ษตั รยิ ์
นครมิถิลา พระองค์มีพระราชธิดาพระนามว่ารุจากุมารี พระราชธิดาเป็นผู้ทรงศีลอุโบสถ
และกระท�ำทานเปน็ นิจ พระบดิ าทรงด�ำรงอย่ใู นทศพธิ ราชธรรมและสนบั สนุนให้พระราชธิดา
ประกอบการกุศล
วันหน่ึงมีนักบวชชีเปลือยคูณชีวะได้มากราบทูลพระเจ้าอังคติว่าไม่มีบุญบาปในโลกน้ี
และโลกหนา้ และไมค่ วรท�ำบญุ ท�ำทาน เมอ่ื คนเราตายไปกจ็ ะสญู สลายไป พระเจา้ องั คตหิ ลงเชอ่ื
จึงโปรดใหล้ ะเวน้ การรกั ษาศีลท�ำทานเสียท้ังสิ้น โปรดใหม้ มี หรสพรืน่ เริงต่างๆ นานา ไม่สนใจ
ในราชกจิ กจิ การของบา้ นเมอื ง แมพ้ ระราชธดิ าจะทลู ทดั ทานอยา่ งใดกไ็ มท่ รงเชอื่ พระนางรจุ า
กุมารีจึงตั้งสัตยาธิษฐานขอให้เทพยดามาช่วยพระบิดาให้หายพ้นจากมัวเมาในมิจฉาทิฐิ
มคี วามเหน็ ผิด ให้กลบั มสี ัมมาทฐิ ิ มคี วามเห็นชอบเหน็ ถูกตรง
ในกาลนั้นพระนารทมหาพรหมได้จ�ำแลงกายเป็นนักบวชเหาะลอยมาในนภากาศ
แสดงธรรมเทศนาสั่งสอนพระเจ้าอังคติให้ละมิจฉาทิฐิความเห็นผิด เมื่อจะกระท�ำส่ิงใดก็ตาม
ควรมีอุเบกขา การวางใจไว้เป็นกลางใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบ พิจารณาหาความจริง
อย่างมีเหตุผล เม่ือเห็นว่าเป็นส่ิงดีมีประโยชน์จึงเช่ือและปฏิบัติตาม พระเจ้าอังคติจึงตั้งอยู่ใน
ทศพิธราชธรรมดังเดมิ
จติ รกรรมเรอ่ื งพระนารทชาดก สว่ นบนสหี ลดุ รอ่ นช�ำรดุ มากจนไมท่ ราบเนอ้ื เรอ่ื งคงเหลอื
เฉพาะสว่ นล่างแสดงภาพการให้ทาน มตี ้นกลั ปพฤกษซ์ ่งึ เป็นการให้ทานของพระนางรุจากมุ ารี
มภี าพผคู้ นแยง่ ทานอยทู่ างดา้ นลา่ งของภาพ สว่ นภาพของพระนารทมหาพรหมทนี่ ยิ มเขยี นเปน็
รูปนักบวชหาบเคร่อื งบรขิ ารได้ลบเลือนไปหมดแล้ว

พระนารทชาดก
อโุ บสถเกา่ วัดชมภูเวก

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก 69

• เรอ่ื งท่ี ๙ พระวทิ รู บณั ฑิตชาดก การบ�ำเพ็ญสจั บารมี
พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นพระวิทูรบัณฑิต เป็นปราชญ์ของพระเจ้าธนัญชัยโกรพยะ
ผคู้ รองเมืองอนิ ทปตั ถ์ เป็นผ้มู ปี ญั ญาเฉียบแหลม แสดงธรรมไดส้ าระเปน็ ท่ีนับถือของคนทัว่ ไป
และเปน็ ทโ่ี ปรดปรานของพระเจา้ ธนญั ชยั โกรพยะยงิ่ นกั ความปราดเปรอื่ งในการแสดงธรรมได้
มกี ิตตศิ ัพทเ์ ลื่องลอื ไปถึงเมืองบาดาล พระนางวมิ าลาเทวี มเหสีของพระวรณุ นาคราชใคร่จะได้
ฟงั ธรรมจากพระวทิ รู บณั ฑติ จงึ แกลง้ ท�ำเปน็ ประชวรและบอกแกพ่ ระวรณุ นาคราชวา่ ตอ้ งรกั ษา
ดว้ ยหวั ใจของพระวทิ รู บณั ฑติ พระวรณุ นาคราชไมท่ ราบวา่ จะน�ำหวั ใจของพระวทิ รู บณั ฑติ มาได้
อย่างไร นางอิรันทดพี ระธิดาพญานาคราชจึงอาสาใหป้ ระกาศหาผู้ทสี่ ามารถน�ำหวั ใจพระวิทรู
บัณฑิตมาได้จะยอมเป็นภรรยาผู้น้ัน ปุณณกยักษ์รับอาสาจึงได้ไปท้าพระเจ้าธนัญชัยโกรพยะ
เล่นสกาพนัน ถ้าพระเจ้าธนัญชัยโกรพยะแพ้พนันต้องมอบพระวิทูรบัณฑิตให้แก่ปุณณกยักษ์
ปณุ ณกยกั ษพ์ ยายามฆา่ พระวทิ รู บณั ฑติ เพอื่ จะเอาหวั ใจของพระวทิ รู บณั ฑติ แตไ่ มอ่ าจท�ำอนั ตราย
แกพ่ ระวทิ รู บณั ฑติ ได้ พระวทิ รู บณั ฑติ กลบั แสดงธรรมใหป้ ณุ ณกยกั ษจ์ นปณุ ณกยกั ษเ์ ลอื่ มใสศรทั ธา
และจะปล่อยวิทูรบัณฑิตไป วิทูรบัณฑิตไม่ยอมขอให้ปุณณกยักษ์พาไปเมืองนาคตามเง่ือนไข
ข้อตกลงของพระเจา้ ธนญั ชยั โกรพยะและปณุ ณกยกั ษ์ ปณุ ณกยกั ษไ์ ดพ้ าพระวทิ รู บณั ฑติ ไปถงึ
เมอื งนาค พระวทิ รู บัณฑิตได้แสดงธรรมแก่มเหสีของพระวรุณนาคราช จนเป็นที่พอพระทัย
การแสดงธรรมคอื หวั ใจของพระวทิ รู บณั ฑติ นน้ั เอง เมอ่ื พระวทิ รู บณั ฑติ ไดเ้ ดนิ ทางกลบั ถงึ บา้ นเมอื ง
ตนแล้ว ไดแ้ สดงธรรมโปรดประชาชนต่อไป
ภาพจติ รกรรมพระวทิ รู บณั ฑติ ชาดกอยบู่ น
ผนังห้องเดียวกับภาพพระนารทชาดก โดยมี
เส้นสินเทาแบง่ ภาพของเร่ืองท้งั สอง
ภาพพระวทิ รู บณั ฑติ ชาดกลบเลอื นเสยี หาย
มาก ภาพที่พอจะเหน็ ได้บ้างคอื ภาพปณุ ณกยักษ์
ก�ำลังยกร่างของพระวิทูรบัณฑิตท�ำท่าฟาดกับ
ภูเขา ด้านล่างมีมา้ สินธพก�ำลังเลม็ หญ้าอยู่

พระวทิ ูรบณั ฑติ ชาดก
อโุ บสถเก่า วัดชมภเู วก

70 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก

• เร่ืองท่ี ๑๐ พระเวสสันดรชาดก การบ�ำเพญ็ ทานบารมี
พระโพธิสตั วเ์ สวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร พระโอรสของพระเจา้ สญั ชัยและพระนาง
ผสุ ดใี นสีวิรฐั มีนครเชตดุ รเป็นราชธานี พระเวสสันดรมพี ระมเหสีชื่อพระนางมัทรี มีพระโอรส
พระนามชาลี พระธดิ าพระนามกัณหาชนา พระเวสสันดรมพี ระทยั แนบแนน่ อยู่กับการบ�ำเพญ็
ทานเป็นอย่างย่ิง ทรงด�ำริท่ีจะบริจาคทานมาต้ังแต่เมื่อทรงพระเยาว์ ทรงกระท�ำทานแก่
คนยากจนขัดสนอยู่ตลอดมา และทรงมีปกติปฏิเสธคนที่มาขออะไรไม่ได้ จะต้องประทานให้
ทุกอย่าง มีพราหมณ์จากเมืองกาลิงครัฐมาทูลขอช้างเผือกก็ได้ประทานช้างเผือกแก่
พราหมณ์ที่ขอไป ชาวเมืองสีพีพากันโกรธแค้นมากขอให้พระเจ้าสัญชัยเนรเทศพระเวสสันดร
พระเวสสันดรได้ท�ำทานครั้งใหญ่ แล้วเสด็จออกจากพระนครพร้อมพระนางมัทรี พระกัณหา
พระชาลี เสดจ็ โดยราชรถทรง ระหวา่ งทางมพี ราหมณต์ ามไปขอราชรถทรงและมา้ กป็ ระทานให้
ตอ้ งทรงอมุ้ พระราชโอรส พระนางมทั รที รงอมุ้ พระธดิ า เสดจ็ ไปประทบั ทเ่ี ขาวงกต ตอ่ มามชี ชู ก
ตามไปขอสองกมุ ารกณั หาชาลี กต็ ดั พระทยั ใหช้ ชู กไป มพี ราหมณม์ าขอพระนางมทั รไี ดป้ ระทาน
ให้อีก แต่พราหมณ์ผู้น้ันได้ถวายคืนและทูลห้ามมิให้ประทานแก่ผู้ใดอื่นต่อไป ฝ่ายชูชกได้พา
พระกุมารเข้าไปในพระนครเชตุดร ได้พาไปเฝ้าพระเจ้าสัญชัย พระเจ้าสัญชัยได้ทรงไถ่
พระราชนดั ดาทง้ั ๒ พระองคไ์ ว้ และไดเ้ สดจ็ ไปทรงรบั พระเวสสนั ดร พระนางมทั รกี ลบั พระนคร
มาครองราชยด์ ังเดิม
จิตรกรรมเร่ืองพระเวสสันดรชาดก เขียนเป็นภาพต่อเนื่องกันต้ังแต่พื้นที่ผนังตอนมุม
ติดหน้าต่าง เขียนภาพพระอจุตฤๅษีนั่งอยู่ในบรรณศาลา ด้านล่างมีภาพชูชกก�ำลังเจรจา
หลอกลวงพระฤๅษีเพ่ือให้บอกทางไปพบพระเวสสันดร พระฤๅษีหลงเช่ือจึงชี้ทางให้ มีภาพ
พระฤๅษียืนช้ีมือบอกทาง ชูชกน่ังพนมมือ ส่วนภาพถัดไปเป็นภาพชูชกถือกิ่งไม้เพื่อขับไล่
เสือและภาพชูชกพบกับพรานเจตบุตร ชูชกหลอกพรานเจตบุตรจนพรานเจตบุตรหลงเชื่อ
ชี้ทางไปพบพระเวสสนั ดร ภาพส่วนล่างช�ำรุดเสยี หายเป็นส่วนมาก
จิตรกรรมเรื่องพระเวสสันดรชาดกมี
ตอ่ เนอื่ งไปยงั ผนงั หมุ้ กลองหนา้ ดา้ นซา้ ย ภาพ
จติ รกรรมสว่ นนต้ี อนบนเปน็ ภาพพระนางมทั รี
ไปเกบ็ ผลไมใ้ นปา่ มภี าพสตั วน์ อนขวางทางอยู่
ตอนกลางเขยี นภาพพระเวสสนั ดรประทบั อยทู่ ่ี
บรรณศาลาพร้อมกัณหาชาลี มีชูชกนั่งพนม
มือไหว้อยู่หน้าบรรณศาลา ถัดมาเป็นภาพ
พระเวสสันดรเรียกกัณหาและชาลีท่ีหลบ พระเวสสันดรเรยี กกัณหาและชาลที ห่ี ลบซ่อนตัวอยู่ในสระ
ซอ่ นตัวอยใู่ นสระนำ�้

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก 71

พระเวสสันดรชาดก
อุโบสถเก่า วัดชมภเู วก
ตอนล่างของผนงั เขยี นภาพชชู กก�ำลังเฆย่ี นตีกณั หาและชาลที ี่ถกู ผกู มัดดว้ ยเชือก
การอา่ นภาพจติ รกรรมเรอ่ื งทศชาตชิ าดกในอโุ บสถเกา่ วดั ชมภเู วกทเี่ รมิ่ จากเรอ่ื งพระเตมยี
ชาดกจนถึงพระเวสสันดรชาดกซึ่งเป็นชาติสุดท้ายของทศชาติชาดกหรือมหานิบาตชาดก
แต่สาระที่ทรงคุณค่าท่ีปราชญ์ผู้ทรงปัญญาได้ถ่ายทอดผ่านจิตรกรรมนี้ นอกจากการแสดง
สารธรรมท่สี �ำคญั ของทศบารมีหรอื การบ�ำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการแลว้ ทผี่ นงั ดา้ นทา้ ยสุดของ
อโุ บสถเกา่ ทงั้ ขวาและซา้ ยไดเ้ ขยี นภาพพระมาลยั ซง่ึ เปน็ การสรปุ ใหเ้ หน็ ผลของการบ�ำเพญ็ บารมี
ซงึ่ เป็นฝา่ ยบ�ำเพญ็ กุศลกรรม ผนงั ทา้ ยสุดดา้ นขวาของพระประธานเขียนภาพพระมาลัยขน้ึ ไป
สกั การะพระจฬุ ามณเี จดยี บ์ นสวรรค์ มภี าพพระอนิ ทร์และเทพยดามาฟงั ธรรม ภาพน้ีแสดงถึง
ผลการบ�ำเพ็ญกศุ ลกรรมน�ำไปสสู่ ุคติบนสรวงสวรรค์

พระมาลัยบูชาพระจุฬามณี
และโปรดเทพยดาบนสวรรค์

อุโบสถเก่า วดั ชมภูเวก

72 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก

ผนังห้องสุดท้ายทางซ้ายของพระประธานเขียนภาพเปรตและเหล่าสัตว์นรกที่ต้อง
ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสอันเปน็ ผลจากการท�ำช่ัวอันเป็นผลของอกศุ ลกรรม

เม่ือได้อ่านภาพทศชาติชาดก และภาพพระมาลัยที่เขียนอยู่บนผนังระหว่างช่องประตู
และหน้าต่างอุโบสถเก่าแล้ว ควรได้อ่านภาพส�ำคัญที่ผนังหุ้มกลองด้านหน้าเหนือขอบประตู
ทางเข้า เป็นภาพกองทัพพญาวสวัตตีมารผู้มีกองก�ำลังทัพมารที่ย่ิงใหญ่ เป็นผู้คอยขัดขวาง
เหน่ียวร้ังบุคคลไว้มิให้ล่วงพ้นจากแดนกาม ซึ่งอยู่ในอ�ำนาจครอบง�ำของตน คอยฆ่าบุคคล
ใหต้ ายจากความดี หรอื จากผลทหี่ มายอนั ประเสรฐิ อกี ทง้ั ยงั เปน็ ตวั ทกี่ �ำจดั ขดั ขวางไมใ่ หบ้ คุ คล
บรรลุความดี

พระมหาบุรุษทรงตระหนักถึงความช่ัวร้ายของกิเลสมาร ทรงบ�ำเพ็ญเพียรมาอย่าง
อเนกอนันต์ ทรงมุ่งมั่นให้หลุดพ้นจากอ�ำนาจของพญามารร้าย ด้วยทรงหวังให้ได้บรรลุ
พระโพธญิ าณ ดบั กองทกุ ขแ์ ละกเิ ลสมารไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด บรรลโุ ลกตุ รธรรมอนั เปน็ จดุ หมายสงู สดุ

พระมหาบรุ ษุ ผถู้ กู กองทพั มารโจมตรี กุ ฆาตเชน่ นนั้ พระองคท์ รงนกึ ถงึ ทศบารมี บารมี ๑๐
ประการ คอื ทานบารมี ศีลบารมี เนกขมั มะบารมี ปัญญาบารมี วิรยิ บารมี ขันติบารมี สจั บารมี
อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี ด้วยอานุภาพแห่งทศบารมีที่พระมหาบุรุษ
ได้บ�ำเพ็ญมาตลอดกาลอันประมาณมิได้ พญามารและพลมารทั้งกองทัพก็แตกแพ้ย่อยยับ
ไม่อาจทานพระบารมีของพระมหาบุรุษได้ ทรงก�ำจัดกิเลสมารได้อย่างเด็ดขาดเช่นน้ันแล้ว
ทรงรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค อันเป็นการบรรลุอุดมการณ์สูงสุด
ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจา้

การอา่ นภาพจติ รกรรมในอโุ บสถเกา่ วดั ชมภเู วกจงึ เรมิ่ จากภาพชาดกทแี่ สดงถงึ หลกั การ
และวธิ กี ารของการเจรญิ คณุ ธรรมดว้ ยการไมท่ �ำบาปทงั้ ปวง กระท�ำแตค่ วามดแี ละพฒั นาอบรม
จิตให้มีจิตผ่องแผ้วด้วยการสร้างบ�ำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ อย่างน้อยได้กุศลเป็นสุขเช่นที่
กล่าวไว้ในภาพเขียนพระมาลัย ถ้าเจริญบ�ำเพ็ญบารมีให้ยิ่งขึ้นไปย่อมชนะกิเลสมารซึ่งควรจะ
ตัง้ ไว้เปน็ อุดมการณ์ของชวี ติ ตามค�ำสอนของพระพชิ ิตมาร

จิตรกรรมฝาผนังท่ีเขียนเรื่องนิทานชาดกโดยเฉพาะอย่างยิ่งทศชาติชาดก ซึ่งเป็น
๑๐ ชาตสิ ดุ ทา้ ย ท่เี รียกวา่ มหานิบาตชาดก จึงนิยมน�ำมาเขยี นเป็นจิตรกรรมฝาผนงั ในอโุ บสถ
วิหาร ศาลาการเปรยี ญ และรวมทั้งเขยี นลงในใบลาน สมดุ ข่อย เป็นจ�ำนวนมาก

พุทธประวัติเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่นิยมน�ำมาเขียนเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังกันอย่างมาก
เช่นกัน นอกจากน้ันภาพปริศนาธรรมซ่ึงเป็นภาพบุคลาธิษฐานที่น�ำค�ำสอนของพระพุทธเจ้า
ท่ีเป็นนามธรรมมาเขียนด้วยภาพเป็นการอุปมา นิยมน�ำมาเขียนเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง
เช่นเดียวกบั เร่อื งพทุ ธประวตั ิและทศชาติชาดก

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก 73

ภาพมัศยาเริงชล ส่วนหน่ึงของภาพมารผจญ อโุ บสถเก่า วัดชมภเู วก

วัดชมภูเวก แหล่งรวมจิตรกรรมเรื่องพทุ ธประวตั ิ ทศชาติ และ
ภาพปริศนาธรรม

อุโบสถเก่าวัดชมภูเวกมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องทศชาติชาดก ภาพปริศนาธรรมท่ีเป็น
ภาพเขียนทเี่ พดานอโุ บสถเก่า และภาพอดตี พระพุทธเจ้า

วหิ ารมภี าพจิตรกรรมฝาผนงั พุทธประวตั ิ และภาพอดตี พระพุทธเจ้า
ภาพจิตรกรรมวัดชมภูเวกจึงเป็นดังเช่นต�ำราเรียนค�ำสอนของพระพุทธเจ้าซ่ึงเป็น
อมตธรรม พุทธธรรมผ่านรูปภาพ จิตรกรผู้เขียนภาพต้องเป็นผู้ซาบซึ้งในสาระของพุทธธรรม
จึงถา่ ยทอดพทุ ธประวัตชิ าดกและพุทธธรรมออกมาเป็นรปู ภาพแทนตวั อักษรไดเ้ ป็นอย่างดยี ิง่
ภาพมารผจญของวดั ชมภเู วกเปน็ ทยี่ อมรบั ของผคู้ นทว่ั ไปวา่ มภี าพแมพ่ ระธรณที ง่ี ามทสี่ ดุ
ในโลก ทก่ี ลา่ วชนื่ ชมยกยอ่ งเชน่ นนั้ ดว้ ยมมุ มองทางศลิ ปะทเ่ี หน็ ความเปน็ เอกของจติ รกรทเ่ี นรมติ
ให้เกิดความงดงามเช่นนน้ั ได้
แต่พร้อมกันนั้น ภาพจิตรกรรมวัดชมภูเวกได้ส�ำแดงคุณค่าวิเศษยิ่งด้วยการถอดรหัส
มหาสมบตั ิคอื การบ�ำเพญ็ บารมเี พ่อื บรรลอุ ดุ มการณส์ งู สุดของชวี ติ ท่ีมนุษยส์ ามารถบรรลถุ งึ ได้
ทปี่ รากฏมีอยู่ในจิตรกรรมอนั งดงามด้วย

74 พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก

ท�ำไมแม่พระธรณจี งึ ต้องบีบมวยผม

เจ้าชายสิทธัตถะซ่ึงเป็นพระโพธิสัตว์เป็นผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงบ�ำเพ็ญ
บารมี ๑๐ หรอื ทศบารมี คือ ทาน ศลี เนกขัมมะ ปัญญา วิรยิ ะ ขนั ติ สจั จะ อธษิ ฐาน เมตตา
และอเุ บกขา ซ่งึ เรียกกนั ทัว่ ไปว่า บารมี ๑๐ ประการ

เจ้าชายสิทธัตถะทรงบ�ำเพ็ญบารมีมาอย่างมากมายมหาศาลเป็นเวลายาวนานสุด
ประมาณได้ ถา้ พระองคท์ รงบ�ำเพญ็ บารมีแต่ละคร้ังมีการหลั่งน�้ำลงสพู่ ืน้ ดินทช่ี าวบา้ นเรียกกนั
ว่า กรวดน้ำ� ปริมาณนำ้� ทีเ่ กดิ จากการกรวดน�้ำลงสู่พนื้ ดนิ นั้นมมี ากมายยิง่ กว่าน้ำ� ในมหาสมุทร

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงบ�ำเพ็ญเพียรเพ่ือจะให้ได้บรรลุพระโพธิญาณ ก�ำจัดกิเลสร้าย
คอื ความโลภ ความโกรธ ความหลง ซง่ึ เปน็ ขา้ ศกึ ส�ำคญั และรา้ ยกาจ เปน็ ศตั รตู อ่ การบรรลธุ รรม
เปรยี บดังหนึง่ เปน็ พญามารร้าย

แตพ่ ญามารคอื กเิ ลสนน้ั รา้ ยกาจดดุ นั เหยี้ มโหดยง่ิ นกั อกี ทงั้ มกี องก�ำลงั ทเ่ี ปน็ กองทพั ใหญ่
อันประกอบด้วยกองก�ำลังของกิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด ท้ังพญามารและกองทัพมาร
เขา้ โจมตีให้พระโพธิสตั วเ์ ลกิ ลม้ ความเพยี รท่จี ะหลกี หนใี ห้พน้ จากอ�ำนาจกิเลสมาร

ภาพจิตรกรรมพระโพธสิ ตั วบ์ ำ� เพ็ญบารมี ประจญั เหลา่ พญามาร
แม่พระธรณไี ด้มาเปน็ พยาน จงึ บบี มวยผมใหเ้ กดิ มวลน�้ำมหาศาลท่วมกองทพั พญามาร

ทรงบรรลพุ ระโพธญิ าณตรสั รเู้ ปน็ พระสัมมาสมั พุทธเจา้

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก 75

พระโพธิสัตว์ได้บ�ำเพ็ญบารมีอย่างมากมายมหาศาล เม่ือต้องประจันหน้ากับเหล่า
พญามารคอื กเิ ลสมารทโ่ี หดเหย้ี มฉกาจฉกรรจร์ า้ ยกาจยง่ิ นกั พระองคท์ รงน�ำพระบารมที ง้ั หลาย
ทไ่ี ดท้ รงบ�ำเพญ็ มาเพอ่ื พฆิ าตกเิ ลสมาร แมพ่ ระธรณไี ดม้ าเปน็ พยานใหพ้ ญามารและกองทพั มาร
ได้ประจักษ์ว่าพระโพธิสัตว์ได้บ�ำเพ็ญบุญบารมีมามากมายเพียงใด แม่พระธรณีจึงบีบมวยผม
ใหน้ ำ้� ทพ่ี ระโพธสิ ตั วไ์ ดห้ ลง่ั ลงไวใ้ นแผน่ ดนิ เมอ่ื มกี ารบ�ำเพญ็ บารมอี นั มากมายมหาศาลมากกวา่
นำ�้ ในมหาสมทุ ร มวลนำ�้ มหาศาลนนั้ จงึ บงั เกดิ ขนึ้ มาไหลบา่ ทว่ มกองทพั พญามารใหพ้ นิ าศยอ่ ยยบั
แตกพ่ายไป ทรงก�ำจัดกิเลสมารได้อย่างหมดส้ิน ทรงบรรลุพระโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระสัมมา
สัมพุทธเจา้ ทรงเปน็ พระบรมศาสดาของชาวโลก

จิตรกรรมฝาผนังอุโบสถเก่าของวัดชมภูเวกได้เสนอเร่ืองราวพุทธประวัติตอนที่
พระโพธิสัตว์ทรงบ�ำเพ็ญเพียรเพ่ือขจัดกิเลสมารร้ายที่หน่วงเหนี่ยวเกาะกุมพระองค์ไว้ให้เป็น
ทาสของกิเลส พระองค์ทรงใช้ความเพียรบ�ำเพ็ญบุญบารมีอย่างอเนกอนันต์ทรงขัดเกลาจิต
อย่างอุกฤษฏ์จริงจัง จนทรงปลดปล่อยจิตของพระองค์ให้พ้นจากอ�ำนาจของกิเลสได้อย่าง
เด็ดขาดส้นิ เชงิ ทรงเสวยสุขทแ่ี ทจ้ รงิ ตามอุดมการณ์สงู สุดของพระพุทธศาสนา

ภาพมารผจญที่วดั ชมภูเวกจึงมีคณุ คา่ อย่างยง่ิ ไมเ่ พียงแตด่ ้านความงามของแม่พระธรณี
ในมุมมองของศิลปวิจิตรแต่ภาพมารผจญน้ีได้แสดงความเด็ดเดี่ยวมุ่งม่ันของพระโพธิสัตว์ท่ีจะ
ตอ้ งขดั เกลาจติ อยา่ งจรงิ จงั ตอ่ สกู้ บั กเิ ลสอนั เปน็ มารรา้ ย ดว้ ยวธิ กี ารท�ำความดี งดเวน้ การท�ำชวั่
ทง้ั ปวง และพฒั นาจติ สคู่ วามเปน็ พระอรยิ บคุ คล และจะไดส้ งเคราะหช์ ว่ ยชาวโลกใหไ้ ดม้ ปี ญั ญา
น�ำพาตนให้พ้นจากอ�ำนาจกิเลสมารได้อยู่ในภาวะของบรมสุขอย่างแท้จริง อันเป็นอุดมการณ์
สงู สุดทีพ่ ระองคท์ รงต้ังปณธิ านไว้

จิตรกรรมทีผ่ นงั วหิ ารวดั ชมภูเวก

สภาพวิหารท้ังภายนอกและภายในก่อนการบูรณะมีความทรุดโทรมมาก การบูรณะ
ครงั้ แรกเมอ่ื พ.ศ. ๒๕๑๗ เปน็ การบรู ณะแบบฉกุ เฉนิ ปอ้ งกนั มใิ หพ้ งั ทลายลงมาเปน็ อนั ตราย
ตอ่ มามกี ารบรู ณะเมอื่ พ.ศ. ๒๕๔๙ เปน็ โครงการบรู ณปฏสิ งั ขรณโ์ บราณสถาน โบราณวตั ถุ วดั
และศาสนสถาน เพอื่ เฉลมิ พระเกยี รตเิ นอ่ื งในโอกาสฉลองสริ ริ าชสมบตั คิ รบ ๖๐ ปี ของพระบาท
สมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร ท�ำใหค้ งสภาพอยไู่ ดต้ ามทเี่ หน็ ในปจั จบุ นั

ผนังของวิหารทุกด้านมีภาพจิตรกรรม ภาพจิตรกรรมส่วนใหญ่เสียหายมากพื้นท่ีของ
ผนังตอนล่างระหว่างประตูและหน้าต่างเขียนภาพพุทธประวัติ ส่วนพ้ืนท่ีตอนบนของผนัง
เหนือขอบประตูและขอบหน้าต่างไปจนจดเพดานเขยี นภาพอดีตพระพทุ ธเจา้

76 พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก

ภาพเขียนพุทธประวัติในวิหารวัดชมภูเวกเสียหายไปเกือบหมดคงมีเพียงส่วนน้อยมาก
ทพ่ี อเห็นภาพเขียนได้ เช่น ภาพเจ้าชายสทิ ธตั ถะเสด็จออกมหาภเิ นษกรมณ์ ทรงประทับอยบู่ น
หลงั มา้ กณั ฐกะ มพี ระพรหมมากนั้ ฉตั รถวาย พญามารมาขวางทางไวไ้ มใ่ หพ้ ระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ออก
ทรงผนวช ภาพพระอินทร์ดีดพิณเมื่อครั้ง
พระองค์ทรงบ�ำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างอุกฤษฏ์
และภาพพระพุทธเจ้าเสวยอาหารท่ีจุนฑะ
ถวายกอ่ นเสด็จดับขันธปรนิ ิพพาน

เสดจ็ ออกมหาภเิ นษกรมณ์

พระพทุ ธเจ้าเสวยอาหารท่ีจนุ ฑะถวาย ทรงบำ�เพญ็ ทุกรกิรยิ า
ก่อนเสดจ็ ดับขันธปรินิพพาน

ภาพลายเพดานวหิ ารเปน็ ลายเรขาคณติ แบบลายผ้าทส่ี วยงาม

พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก 77

ผนงั ดา้ นบนเหนอื ขอบประตแู ละขอบหนา้ ตา่ งเขยี นภาพอดตี พระพทุ ธเจา้ โดยรอบทผ่ี นงั
ส่วนนี้ท้ังส่ีด้าน องค์ประกอบภาพเป็นสองตอนอยู่ในเส้นระดับ เป็นภาพอดีตพระพุทธเจ้า
ประทับอยู่ในซุ้มเรือนแก้วบนรัตนบัลลังก์มีพระสาวกถวายสักการบูชานั่งพนมมืออยู่สองข้าง
ประดับด้วยฉตั รท่เี ป็นการแบ่งภาพออกเปน็ แต่ละสว่ นดว้ ย ภาพอดีตพระพทุ ธเจ้าแถวละ ๒๘
พระองค์ รวม ๒ แถว เป็นภาพอดตี พระพุทธเจา้ ๕๖ พระองค์ วิหารวดั ชมภูเวกเปน็ แหล่งรวม
ภาพเขียนอดีตพระพุทธเจ้าไวม้ ากท่สี ดุ แหง่ หนง่ึ

มุมของเพดานท�ำกรอบไม้ล้อมลายก้ามปู กรอบไม้ท�ำล้อมลายเพดานแต่ละห้องทั้ง
๓ ห้อง ตรงมุมเขียนรูปค้างคาวเป็นการตบแต่งเพดานอาคารที่มีลักษณะเฉพาะท่ีขอบเพดาน
วหิ ารวดั ชมภูเวก ซ่งึ ไมพ่ บในวดั อื่นๆ

ภาพอดีตพระพทุ ธเจ้าในวิหาร วดั ชมภเู วก
ลายก้ามปูของเพดานวหิ ารทำ�กรอบด้วยไม้ มีภาพค้างคาวในกรอบ

78 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก

ประวตั กิ ารอนุรกั ษ์และบูรณะโบราณสถานวัดชมภเู วก

พ.ศ. ๒๔๕๘ - ๒๔๖๐ สมัยพระอธิการอินทร์เป็นเจ้าอาวาส พระครูลัยน�ำคณะสงฆ์
จากเมืองมอญร่วมกันบูรณะเจดีย์มุตาวให้สูงใหญ่กว่าเดิม พร้อมสร้างเจดีย์บริวารไว้ท่ี
ฐานท้ังสี่ด้าน ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๗ กรมศิลปากรได้ออกประกาศ เรื่อง ขึ้นทะเบียน
โบราณสถาน เมื่อวันท่ี ๒๘ มีนาคม ๒๕๑๗ ก�ำหนดให้อุโบสถเก่าและวิหารวัดชมภูเวก
ต�ำบลท่าทราย อ�ำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี เป็นโบราณสถาน มีพื้นท่ี ๒ งาน ๑๐
ตารางวา (ราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม ๙๑ ตอนท่ี ๘๒ วันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๑๗ หน้า ๑๒๖๘)

พ.ศ. ๒๕๑๗ กรมศลิ ปากรด�ำเนินการบรู ณะอุโบสถเกา่ และวหิ ารวดั ชมภเู วก
พ.ศ. ๒๕๓๔ - ๒๕๓๙ วัดชมภูเวกร่วมกับบริษัทพรชัย ๑๙๙๑ บูรณะซ่อมแซมเจดีย์
มตุ าวใหม้ คี วามมน่ั คง และสรา้ งฉตั รเจดยี ์ใหม่แทนฉตั รเดิมทช่ี �ำรุด
พ.ศ. ๒๕๕๐ ส�ำนกั ศลิ ปากรท่ี ๒ สพุ รรณบรุ ี กรมศลิ ปากร ด�ำเนนิ การอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นา
โบราณสถานวัดชมภูเวก เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร เนอ่ื งในโอกาสฉลองสริ ริ าชสมบตั คิ รบ ๖๐ ปี


อุโบสถเกา่ และวิหาร วดั ชมภูเวก
กอ่ นการบรู ณะคร้ังแรก
ประกาศกรมศิลปากร
เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
อุโบสถเก่าและวิหารวัดชมภูเวก

พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก 79

กำ�หนดเขตโบราณสถานของวัดชมภเู วก
สภาพอุโบสถเก่าและวิหารวัดชมภเู วก
ก่อนการบูรณะ ครั้งที่ ๒
เสียหายมากท้งั ภายนอกและภายใน
(บันทึกภาพ พ.ศ. ๒๕๔๘
โดย นายวรี ะโชติ ป้นั ทอง)

ภายในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก มีธรรมาสน์ทรงบุษบกตั้งอยู่กลางห้อง
ท่ีคอสองรอบอาคารมีภาพเขียนเร่ืองพุทธประวัติ

การจัดแสดง
ในพิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก

ความน�ำการจัดตง้ั พิพิธภณั ฑพ์ ้ืนบ้านวัดชมภูเวก

จากจุดเร่ิมต้นของการสะสมของมีค่า ของหายาก งานศิลปะต่างๆ ตลอดจนเคร่ืองมือ
เครอ่ื งใชส้ อยในชวี ติ ประจ�ำวนั และวตั ถสุ งิ่ ของอน่ื ๆ ของวดั ชมภเู วก เรมิ่ ตง้ั แตพ่ ระครไู พศาลภทั รกจิ
(เฉลยี ว อนิ ทฺ วโํ ส) อดีตเจา้ อาวาสทปี่ กครองวัดเปน็ เวลา ๕๐ ปี และของผู้คนในชุมชนทา่ ทราย
ได้พัฒนามาสู่การจัดเก็บอย่างมีระบบ มีการสงวนรักษามิให้วัตถุสิ่งของเหล่าน้ันเสื่อมสลาย
สูญหาย ตลอดจนการใช้วัตถุส่ิงของที่มีอยู่ในวัดชมภูเวกและในชุมชนท่าทรายที่มีอยู่ให้เป็น
แหล่งในการศกึ ษาหาความร้แู ก่นกั เรยี น นักศกึ ษา และประชาชนทั่วไป แนวคิดนี้ไดเ้ ป็นท่ีมา
ของการจัดตง้ั พพิ ิธภัณฑ์พืน้ บ้านวดั ชมภูเวก

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวกได้ถือก�ำเนิดข้ึน
ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๕๓ ด้วยด�ำริของพระสมุห์สุทธิพงษ์
สิริวฑฺฒโน เจ้าอาวาสวัดชมภูเวก และนายวีระโชติ
ปั้นทอง ชาวท่าทรายผู้ตระหนักซาบซ้ึงในคุณค่า
ของวัตถุส่ิงของท่ีเป็นมรดกอันล้�ำค่าของวัดชมภูเวก
และของชาติ ตลอดถึงของผู้คนในชุมชน จึงให้
มีการจัดต้ังพิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวกขึ้น เพ่ือ
เป็นแหล่งเก็บรวบรวมวัตถุส่ิงของท่ีมีค่าของวัด

82 พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก

ศาสตราจารย์กติ ติคณุ ดร.วิษณุ เครืองาม นายวรี ะโชติ ปนั้ ทอง และนายพศิ าล บุญผกู
รองนายกรฐั มนตรี กดปุม่ เปิดแพรคลมุ ปา้ ย นำ�ชมพิพธิ ภัณฑ์ และมอบหนงั สอื “พระอาจารย์

อะเฟาะ เทพกวศี รชี าวมอญ” ใหป้ ระธานในพธิ ี

นายวีระโชติ ปั้นทอง อธบิ ายถึงอาชพี การสาน หนงั สือพระอาจารยอ์ ะเฟาะ ซึง่ แปลจาก
เขง่ ปลาทู อาชพี ทอ้ งถิ่นใหป้ ระธานทราบ คมั ภีรใ์ บลานภาษามอญบางเรอ่ื งทพี่ บท่วี ัดชมภเู วก

และสง่ิ ของทผี่ มู้ จี ติ ศรทั ธาบรจิ าคใหแ้ กว่ ดั เพอ่ื ประโยชนใ์ หเ้ ปน็ แหลง่ ศกึ ษาหาความรแู้ กบ่ คุ คล
ท่ัวไป วัดชมภูเวกได้จัดพิธีเปิดอาคารพิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก เม่ือวันอาทิตย์ท่ี ๑๔
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยมศี าสตราจารยก์ ติ ติคณุ ดร.วิษณุ เครอื งาม รองนายกรัฐมนตรี
เปน็ ประธานในพธิ ี

ทั้งนี้วัดชมภูเวกได้รับความร่วมมือทางด้านวิชาการ และการให้ค�ำแนะน�ำในการจัดต้ัง
และด�ำเนินกิจกรรมของพิพิธภัณฑ์ด้วยดีจากส่วนงานราชการและผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น
ศนู ยภ์ มู ภิ าควา่ ดว้ ยโบราณคดแี ละวจิ ติ รศลิ ปภ์ ายใตอ้ งคก์ ารรฐั มนตรศี กึ ษาแหง่ เอเชยี ตะวนั ออก
เฉยี งใต้ (ซมี โี อ สปาฟา) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ศูนย์มานุษยวทิ ยาสริ ินธร (องค์การ
มหาชน) กรมสง่ เสรมิ การทอ่ งเทย่ี ว ส�ำนกั งานการทอ่ งเทยี่ วจงั หวดั นนทบรุ ี ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั
นนทบรุ ี นายกองคก์ ารบริหารส่วนจงั หวัดนนทบรุ ี มหาวทิ ยาลยั ราชพฤกษ์ และผู้มจี ติ ศรัทธา
บรจิ าควตั ถสุ ิง่ ของมอบให้แกพ่ พิ ิธภณั ฑ์พืน้ บ้านวดั ชมภูเวก

พิพธิ ภัณฑพ์ ้นื บา้ นวัดชมภเู วก แบ่งการจัดแสดงออกเปน็ ๕ กลุม่ คอื ๑) ชมุ ชนทา่ ทราย
และผู้คนในชุมชนท่าทราย ๒) ประวัติและโบราณสถานวัดชมภูเวก ๓) เอกสารโบราณของ
วัดชมภเู วก ๔) ประณตี ศลิ ป์และศิลปวัตถุ ๕) เครอ่ื งมือและของใช้ของผูค้ นในชมุ ชน

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก 83

การจัดแสดงเรือ่ งราวในพพิ ิธภัณฑพ์ ืน้ บ้านวัดชมภูเวก

พพิ ธิ ภัณฑ์พืน้ บา้ นวดั ชมภูเวก ตั้งอย่บู นชั้น ๒ ของอาคารศาลาการเปรียญ เป็นอาคาร
ทรงไทย แบ่งส่วนเป็นประตูทางเข้า และประตูทางออก เสมือนการก�ำหนดเส้นทางการเดิน
และชมวัตถจุ ดั แสดงแต่ละกลุ่ม

ทง้ั ประตทู างเขา้ และออกทเี่ หนอื ขอบประตมู ปี า้ ยชอื่ ผมู้ คี ณุ ปู การตอ่ การจดั ตงั้ พพิ ธิ ภณั ฑ์
พนื้ บ้านวัดชมภูเวก

ประตูทางเขา้ พิพธิ ภัณฑ์ ประตูทางออกพพิ ธิ ภัณฑ์

เหนือขอบประตูทางเข้ามีช่ือพระครูไพศาลภัทรกิจ คุณพ่อเชย คุณแม่ทรัพย์ ปั้นทอง
เหนือขอบประตูทางออกมีช่อื นายวีระโชติ นางสุดใจ ปน้ั ทอง และครอบครัว
จากประตูทางเข้าจัดแสดงแผนที่และประวัติท่ีตั้ง
ชมุ ชนบา้ นท่าทรายที่ตั้งวัดชมภเู วก ต่อดว้ ยประวัตวิ ัดและ
เจา้ อาวาสทปี่ กครองวดั ตง้ั แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั มเี รอ่ื งราว
ของโบราณสถานวัดชมภูเวก มีพุทธศิลปวัตถุต่างๆ
มีตู้คัมภีร์ใบลาน สมุดข่อย กล่องไม้ หนังสือ ศิลปวัตถุ
รวมทงั้ สง่ิ ของเครอื่ งใชต้ า่ งๆ ทใ่ี ชใ้ นชวี ติ ประจ�ำวนั และการ
ประกอบอาชีพท้องถิ่นของชมุ ชนบ้านท่าทราย

ตรงกลางห้องมีธรรมาสน์ทรงบุษบกที่สวยงาม
ซ่ึงพระครูไพศาลภัทรกิจ เคยใช้น่ังแสดงธรรมเทศนาแก่
อบุ าสก อบุ าสกิ า

มีเศียรพระพุทธรูปหินทรายสมัยอยุธยาที่ค้นพบที่
วดั เชงิ ทา่
ธรรมาสนท์ รงบษุ บก

84 พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดชมภูเวก

ภาพพทุ ธประวตั ทิ ่ีคอสองของอาคารพพิ ธิ ภณั ฑพ์ ืน้ บา้ นวดั ชมภเู วก
นอกจากนภี้ ายในอาคารพพิ ธิ ภณั ฑพ์ นื้ บา้ นวดั ชมภเู วก ซงึ่ เปน็ อาคารไมส้ รา้ งไวป้ ระมาณ
๕๐ ปีมาแล้ว ท่ีคอสองทุกด้าน (บริเวณพ้ืนท่ีระหว่างเพดานและชายคาด้านในของอาคาร)
เขยี นภาพจิตรกรรมพุทธประวัติสวยงาม
ชุมชนท่าทรายและผ้คู นในชุมชน
การจัดแสดงเริ่มจากท่ีมาของบ้านท่าทรายทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์
เรื่องราวในอดีตของบ้านท่าทราย บ้านบางตลาด ซึ่งเป็นย่านของชุมชนท่ีอยู่ในบางเดียวกัน
แต่เดมิ มา ท้งั ไดเ้ ปน็ ทตี่ ง้ั ดา่ นขนอนมาตั้งแต่สมยั อยุธยาถึงสมยั ต้นรตั นโกสนิ ทร์
ผู้คนในชุมชนประกอบด้วย ไทย มอญ จีน ซ่ึงเป็นพหุสังคมท่ีโดดเด่นของชุมชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ีรับราชการท�ำหน้าท่ีนายด่านในสมัยธนบุรีถึงต้นรัตนโกสินทร์ จึงมี
ศลิ ปวฒั นธรรมเอกลกั ษณม์ อญปรากฏอยใู่ นชมุ ชน เชน่ เดยี วกบั จนี ในชมุ ชนทา่ ทรายทม่ี บี ทบาท
ในทางการค้าท่ตี ลาดบางตลาดและการประกอบอาชพี สานเข่งปลาทู จนเปน็ อาชีพส�ำคญั ของ
ผคู้ นในชุมชนทา่ ทราย บางตลาด และชุมชนใกลเ้ คียง
ประวตั แิ ละโบราณสถานวดั ชมภูเวก
การจดั แสดงประวตั คิ วามเปน็ มาของวดั โบราณสถาน ทกี่ รมศลิ ปากรไดข้ น้ึ ทะเบยี นเปน็
โบราณสถานของชาติ ประวัตเิ จ้าอาวาสทั้งในอดตี และปัจจบุ ัน

พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัดชมภูเวก 85

เอกสารโบราณของวดั ชมภเู วก เอกสารโบราณของวดั ชมภูเวก
การจดั แสดงในสว่ นนปี้ ระกอบดว้ ย เอกสารโบราณ

ประเภทคมั ภรี ใ์ บลาน สมดุ ขอ่ ย สมดุ ไทย ท่ีเปน็ เอกสาร
ภาษามอญมากที่สุด นอกน้ันเป็นภาษาขอมและ
ภาษาไทย จัดเรียงอยูใ่ นตสู้ วยงาม

ประณีตศลิ ป์และศิลปวตั ถุ

จดั แสดงศลิ ปวตั ถตุ า่ งๆ เชน่ เครอื่ งแกว้ เครอื่ งปน้ั ดนิ เผา
แวน่ เวียนเทียน เครื่องทองเหลอื ง เครื่องมกุ
พระพุทธรูป ต้พู ระธรรม หบี พระธรรม ตเู้ ทียน
ธรรมาสน์ พานแว่นฟา้ แผงพระพิมพ์

เปน็ ต้น

ประณตี ศิลป์และศิลปวัตถุ

เครอ่ื งมอื และของใช้ในชุมชน
การจัดแสดงในส่วนนี้ส่วนใหญ่เป็นเคร่ืองมือและของใช้ของผู้คน

ในชุมชนในอดีต เชน่ เคร่ืองมือช่างไม้ เคร่ืองมอื และอุปกรณส์ านเข่งปลาทู
เครอ่ื งใชใ้ นการท�ำอาหาร เครอ่ื งบดยา โทรศพั ทแ์ บบมอื หมนุ ตะเกยี งตา่ งๆ
เตาฟู่ ลูกคิด ตาช่ัง กรรไกรตัดผม
กังสดาลท่ีพระสงฆ์ใช้ตีบอกสัญญาณ
ขันสาครใช้ในพิธีถือน�้ำพิพัฒน์สัตยา
อิฐทีใ่ ชใ้ นการกอ่ สรา้ ง เปน็ ต้น

เครอ่ื งมือ เครอ่ื งใชใ้ นชุมชน

๘๖ พิพิธภัณฑพ้ืนบานวัดชมภูเวก

วัตถุจัดแสดงในพิพิธภัณฑพื้นบานวัดชมภูเวก

เศียรพระพุทธรูปหินทราย
เศยี รพระพุทธรูปสมยั อยุธยาตอนปลายราวพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ - ๒๑
พบท่วี ดั เชิงทา ตาํ บลทา ทราย อําเภอเมอื งนนทบรุ ี จงั หวัดนนทบุรี

พระพุทธรปู ปางบาํ เพญ็ ทุกรกริ ิยา
ไมสักแกะสลักพระพุทธรูปปางบําเพ็ญทุกรกิริยา
อยูในกรอบไมสักขนาดใหญ ซุมประดับดวยลาย
พรรณพฤกษาลงรักสีดํา

อิฐ
อิฐทพ่ี บในวัดชมภเู วกมีหลายขนาด
อิฐขนาดใหญที่สุดเปนอิฐสมัยอยุธยาใชกอฐานของ
อาคารโบสถ วหิ าร หรอื เจดยี  มกั เจาะรเู ลก็ ไว ๖ - ๘ รู
จึงมักเรียกกันวา อิฐแปดรู ซ่ึงสันนิษฐานวาหมายถึง
มรรค ๘ ในคําสอนของพระพุทธศาสนา
การเจาะรูท่ีกอนอิฐจะชวยทําใหกอนอิฐแหงไดตลอดกอน เพราะมีชองระบายอากาศ
เมือ่ เผาอฐิ ทาํ ใหอ ิฐไดรับความรอ นตลอดถงึ ภายในกอนอิฐดวย อิฐจะไมแตกเสยี หาย

พิพิธภัณฑพ้ืนบานวัดชมภูเวก ๘๗

ธรรมาสนทรงบษุ บก
ธรรมาสนสําหรับพระสงฆน่ังแสดงธรรมเทศนา
ประดบั ดว ยกระจงั เจมิ ขนาดเลก็ แตม คี วามงามมาก มบี นั ได
ข้ึนดานหนา เรียกวา บันไดแกว หรือกระไดแกว ทํารปู
พญานาค ๒ ตัว เล้ือยลงมาใหลําตัวพาดจากที่นั่งของ
พระสงฆล งมาท่ีพน้ื ศาลา
สวนของยอดธรรมาสนทําเปนยอดบุษบก ๓ ชั้น
ชองใตพ้ืนธรรมาสนโปรงแตงดวยไมแกงแนงไขวกัน
เรียกวา ชองถนุ

ตูพระธรรมลายรดน้ํา
ตูพระธรรมลายรดนํ้าของวัดชมภูเวกใบนี้เปน
ตูพระธรรมท่ีมีขนาดใหญ และสูงกวาตูพระธรรมของ
วดั อืน่ ๆ ในจงั หวัดนนทบุรี
บานประตทู ง้ั สองบานเปน รปู เซยี่ วกางทวารบาลแบบจนี
แตเขียนลายแบบศิลปะไทย ลอมภาพทวารบาลเปนลาย
ดอกไมรวง ผนังดานขางทั้งสองดานเขียนลายดอกไมรวง
ขาเปนขาสิงห
ตูพระธรรมใบนี้เปนตูพระธรรมที่มีความงดงาม
เปน เลศิ

ตพู ระไตรปฎ ก
ลักษณะเปนตูส่ีเหล่ียมทําดวยไมสักปดทองประดับ
กระจก มียอดแบบยอดปราสาท ดานหนาและดานขาง
ทง้ั สองของยอดปราสาทประดบั ดว ยซมุ บนั แถลง กลางซมุ
ประดบั ดวยพระพทุ ธรปู ตัวตู ฝา และประตตู ูเปนกระจก
ขาเปนขาสิงห

๘๘ พิพิธภัณฑพื้นบานวัดชมภูเวก กงั สดาล
เคร่ืองตีบอกสัญญาณบุญของคนมอญ มักตีบอกเวลา
๑๒ พระทําวัตรสวดมนต ในชุมชนมอญบางแหง ใชต ีนาํ ขบวน
พระสงฆบิณฑบาต เพ่ือแจงใหชาวบานไดรูวาพระมา
บิณฑบาต

แผงพระ
ไมสักแกะสลักเปน ๖ ช้ัน สวนยอดแกะสลักเปนซุม

บันแถลง ใชส ําหรบั ตดิ พระพิมพด นิ เผา ศิลปะสมยั อยุธยา

ตพู ระไตรปฎก ๑
ทําดว ยไมสัก จําหลกั ลายลงรกั ปด ทอง ประดบั กระจก
บานประตูและผนังดานขางสองดานเปนกระจกใส
ดา นหลงั ทึบ ขาสงิ ห เดมิ เปนตเู ก็บพระไตรปฎก ปจ จุบัน
ใชเกบ็ เอกสารโบราณประเภทคัมภรี ใบลาน ภาษามอญ
ตูพระไตรปฎก ๒
ทําดวยไมสัก จําหลักลายลงรักปดทองประดับกระจก
บานประตูและผนังดานขางทั้งสองดานเปนกระจกใส
ดา นหลังทบึ ขาสงิ ห เดิมเปนตเู ก็บพระไตรปฎก ปจจบุ ัน
ใชเก็บเอกสารโบราณประเภทคัมภีรใบลาน ภาษาขอม
และภาษาไทย

หบี พระอภธิ รรม และกลอ งใสคมั ภรี ใบลาน
หีบพระอภิธรรมลายทองรดน้ํา และหีบทองทึบใชใส
คัมภรี พระอภิธรรมทเ่ี ปนสมุดขอ ย
กลองใสคัมภีรเปนกลองที่ใชใสคัมภีรใบลานที่เปน
คัมภรี พ ระอภิธรรมหรอื คัมภีรเทศนต างๆ

พิพิธภัณฑพ้ืนบานวัดชมภูเวก ๘๙

ตพู ระธรรมปด ทองทบึ
ตูพระธรรมใบนี้ที่บานประตูท้ังสองบานปดทองทึบ
กรอบประตูเปน ลายใบเทศ

หลกั หรือแกนบายศรี
บายศรีท่ีประดิษฐดวยใบตองหรือผาทําเปนรูปกลีบ
บวั หงาย บวั คว่ํา ซอ นกนั เปนชั้นๆ ตั้งแต ๓ ช้นั ถึง ๙ ชั้น
จะตองมีหลักหรือแกนของบายศรีเปนชั้นๆ แกนหรือ
หลักบายศรีทําดวยไม ทําเปนช้ันซอนกัน ชั้นลางสุด
จะมีขนาดใหญสุด ชั้นสูงข้ึนไปจะมีขนาดเล็กลง ลดหลั่น
กันไป ชัน้ บนสุดจะมีขนาดเลก็ สดุ
หลักหรือแกนบายศรีในรูปนี้ เปนหลักหรือแกนของ
บายศรี ๕ ชน้ั
แวน เวียนเทียน
การจดั พธิ เี วยี นเทยี นทมี่ กั มกี ารตง้ั บายศรเี ปน หลกั ของ
พิธีน้ัน จะตองมีการจุดเทียนใหผูรวมพิธีไดโบกเทียนไปที่
บุคคล หรอื ท่ีบายศรี หรอื สง่ิ ทเ่ี คารพนับถือ เปน การแสดง
การอวยชยั ใหพ รเปนสิรมิ งคล
แวนเวียนเทียน เปนอุปกรณสําคัญท่ีตองใชในพิธี
มีจํานวน ๓ แวน แวนเวียนเทียนแตละแวนใชติดเทียน
จํานวน แวนละ ๓ เลม
ผเู ขา รว มพธิ เี วยี นเทยี นจะนงั่ หรอื ยนื ลอ มรอบบคุ คล หรอื สง่ิ ทเี่ คารพนบั ถอื และบายศรี เมอ่ื รบั
แวนเวียนเทียนมาแลวจับดวยมือทั้งสองแลวย่ืนออกไปดานหนาไปทางบุคคลหรือสิ่งเคารพ
นบั ถอื และบายศรี ๓ ครงั้ เมอ่ื ครบ ๓ ครงั้ แลว ใชม อื โบกควนั ไฟไปสบู คุ คลหรอื สง่ิ ทเี่ คารพนบั ถอื
เปนการแสดงการอวยชัยใหพร เม่ือเสร็จแลวใหสงแวนเทียนนั้นใหคนถัดไป ทําเชนนี้จนครบ
๓ รอบ

๙๐ พิพิธภัณฑพ้ืนบานวัดชมภูเวก

ผอบมอญ
ภาชนะมีเชงิ ฝา และยอดทาํ ดวยไมสกั กลึงใหสวยงาม
ทาดวยชาดสีแดงท้ังภายในและภายนอกใชใสเส้ือผา
เคร่ืองใชของผูมบี รรดาศกั ดิ์ของมอญ

พานแวนฟา
พานแวนฟาใชเฉพาะสําหรับรองรับส่ิงท่ีเปนของที่มี
ศักดิ์สูงที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริยและสถาบันพุทธศาสนา
สําหรับพุทธศาสนาใชรองรับผาไตรจีวรในพิธีอุปสมบท
หรือพธิ ีทอดกฐนิ
ลักษณะของพานแวนฟาเปนพานซอนกันสองชั้น
ช้ันลางมีรูปรางคลายตะลุม สวนบนเปนสวนรองรับผา
ไตรจีวร มีลักษณะคลายพานแตมีทรงสูง การทําหุนของ
พานแวน ฟา ใชว สั ดแุ ละวธิ กี ารเชน เดยี วกบั การทาํ หนุ ตะลมุ
การตกแตงลายของพานแวนฟาท้ังหมดน้ีเรียกวา
ลายทองรดนํ้า

ตะลุมมกุ
ภาชนะมีเชิงคลายพานใชใสสิ่งของและเคร่ืองบูชา
ตางๆ ตัวตะลุมทําจากไมทองหลางสวนท่ีเปนแผงที่
โคนตน นํามาทําเปน แผนบาง ประกอบไมแ ผนนั้นใหเปน
หุนของตะลุม จากน้ันนํารักสมุกมาเกลี่ยทั่วพ้ืนของ
หุนตะลุมทั้งภายในและภายนอก ขัดพ้ืนเรียบและแนน
มีความแข็งแรง จากนั้นนํามุกที่เลื่อยจากตัวหอยมุกเปน
รปู ลายตา งๆ มาประดบั ทว่ั ภายนอกของหนุ ตะลมุ ลงรกั สมกุ
เพ่ือปดลายมุกใหฝงอยูในสมุก จากนั้นขัดผิวภายนอก
ใหเรียบ ลายของมุกจะปรากฏชัดสวยงาม ภายในตะลุม
ลงชาดสแี ดง

พิพิธภัณฑพื้นบานวัดชมภูเวก ๙๑

ตเู ทียน
ตเู ทยี นทาํ ดว ยไมส กั จาํ หลกั ลายลงรกั ปด ทอง สาํ หรบั ตง้ั
เทยี นพรรษาทจี่ ดุ ถวายเปน พทุ ธบชู าในระหวา งเทศกาลเขา
พรรษา

หีบคมั ภรี ศ ลิ ปะมอญ
หีบคัมภีรศิลปะมอญทําดวยไมสักกระแหนะลาย
เร่ืองพุทธประวัติ ตอนเจาชายสิทธัตถะเสด็จออกจาก
พระราชวัง ข่ีมากัณฑกะไปบวชเปนนักบวช ศิลปะมอญ
ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ ใชใ สคมั ภรี ใ บลานเชนเดียวกันกบั
การสรา งตพู ระธรรมของไทย

คมั ภีรพระอภธิ รรมมอญ
คัมภีรพระอภิธรรมท่ีเขียนบนสมุดขอย ภาษาบาลี
อกั ษรมอญ

คัมภีรพ ระมาลัย และหนังสอื ประวตั ิศาสตรไ ทย
คัมภีรพระมาลัยที่เขียนบนสมุดขอย และหนังสือ
ประวตั ศิ าสตรฉบบั พมิ พภ าษาไทย

๙๒ พิพิธภัณฑพ้ืนบานวัดชมภูเวก

ฝาเครือ่ งถว ยเบญจรงค
ฝาเครื่องถวยเบญจรงคสมัยตนรัตนโกสินทร ราว
พุทธศตวรรษท่ี ๒๔ ที่หลุดจากหนาบันอุโบสถเกาและ
วหิ าร วดั ชมภเู วก ทน่ี าํ มาเกบ็ รกั ษาไวท พี่ พิ ธิ ภณั ฑพ น้ื บา น
วดั ชมภเู วก

กลองคัมภรี 
กลอ งทาํ ดว ยไมส กั ลกั ษณะคลา ยหนงั สอื เลม ขนาดใหญ
ดานหนาเปดไดเหมือนเชนเปดปกหนังสือ ภายในกลอง
บรรจคุ มั ภรี ท เ่ี ปน คมั ภรี ใ บลานของโบราณหรอื คมั ภรี ท เ่ี ปน
อกั ษรพิมพ

กลองใสเ อกสารสาํ คญั
ภาชนะไมไ ผ สาํ หรบั ใสเ อกสารสาํ คญั เชน โฉนดทด่ี นิ
ใบประกาศของทางราชการหนงั สอื พระราชทานวสิ งุ คามสมี า
เปน ตน ในอดตี นยิ มเกบ็ รกั ษาไวใ นกระบอกไมไ ผ ดว ยการ
นํากระบอกไมไผมาทําเปนตัวกระบอก และฝาปดมวน
เอกสารสําคัญที่ตองเก็บรักษาบรรจุไวในกระบอกไมไผ
ปด ฝาครอบใหเ รยี บรอ ย จะชว ยรกั ษาเอกสารมใิ หเ สยี หาย
ไดเปนอยา งดี

พิพิธภัณฑพ้ืนบานวัดชมภูเวก ๙๓

นาฬก า
นาฬก าทที่ าํ ในตา งประเทศ คนไทยมกั เรยี กวา นาฬก า
ปารีส มีลักษณะเปนตูทรงสูง ดานบนสุดเปนหนาปด
บอกเวลา และมีลานนาฬก าอยดู า นหลังหนาปด
สวนลางตอจากหนาปด เปนที่แขวนลูกตุมนาฬกา
ทีต่ อ มาจากลานนาฬก า
นาฬก าตบี อกเวลาทุก ๑๕ นาที

เตาฟู
เตาฟูเปนอุปกรณสําหรับทําความรอนประเภทหนึ่ง
ใชน ้าํ มันกา ดเปน เชือ้ เพลงิ
ดา นลา งเปน สว นบรรจุนาํ้ มนั กา ด และมีลูกสบู สาํ หรับ
สบู ลมเขา ไปภายใน เพือ่ ขับดนั นา้ํ มันกาดใหข ึน้ ไปตามทอ
แลวไปกระจายเปนละอองอยูดานบน เม่ือจุดไฟจะเกิด
เปลวไฟขึ้นมา
รอบตัวเตาฟูมีเหล็กเสน ๓ เสน ทําหนาที่รองรับภาชนะท่ีอยูเหนือเปลวไฟ เชนเดียวกับ
เสาเตาไฟ
เตาฟูนิยมใชกันมากเพ่ือตมนํ้ารอน อุนอาหารใหรอน เปนตน กอนมีการใชเตาแกส
เตาไฟฟา ไมโครเวฟ

กลอ งยาสูบ
กลองยาสูบทําดวยไมไผสาน ยาดวยรัก ทั้งภายใน
และภายนอกทาดว ยชาดสแี ดง มีฝาครอบ
กลองยาสบู ใชใ สยาเสนทเี่ รยี กวา ยาเหนือ หรือยาตงั้
พรอมดว ยใบจาก หรอื ใบตองแหงสําหรับมวนยาสูบ
นอกจากยาเสน ใบตอง หรอื ใบจากแลว ชดุ หนิ เหลก็ ไฟ
หรอื ไมข ีดมกั จะอยูในกลอ งดวย

๙๔ พิพิธภัณฑพ้ืนบานวัดชมภูเวก

หินบดยา
หินบดยาประกอบดวย แทนหินสําหรับวางยาท่ีจะ
ตองบด และทอนหินกลมยาวใชกลิ้งบดตัวยาบนแทนหิน
ใหเ ปนผง

ครกบดยา
ครกบดยาทาํ ดว ยหินท้ังตวั ครกและสาก

หมอตมยา
ยาพื้นบานของไทยและมอญแตโบราณที่เปนยาตม
ตองตมดวยหมอดินเผา ไมตมดวยภาชนะโลหะ มักเรียก
ยาตม เชนนว้ี า ยาหมอ

เครอ่ื งทองเหลือง
เครื่องทองเหลือง เปนภาชนะที่ทําจากโลหะ เชน
ทองเหลือง ดีบุก สําริด แตสวนใหญทําดวยทองเหลือง
จงึ เรยี กกนั ทว่ั ไปวา เครื่องทองเหลือง เชน ขัน ถาด พาน
จอก และลุง ภาชนะทองเหลืองเปนกลองทรงกลม
มฝี าสําหรบั ใสส ่งิ ของตา งๆ เปนตน

พิพิธภัณฑพ้ืนบานวัดชมภูเวก ๙๕

เครื่องเผาหัวเทยี นเครอื่ งยนต
เครื่องยนตในยุคแรกๆ ท่ีตองมีการใชความรอนนํา
เพือ่ ใหเ คร่อื งยนตทํางานได เครอ่ื งเผาหัวเทียนเครือ่ งยนต
จงึ เปนอปุ กรณจ ําเปน สาํ หรบั สตารท เครือ่ งยนตใ หท าํ งาน
ระบบการทาํ งานของเครอ่ื งเผาหวั เทยี นคลา ยกบั ระบบ
การทํางานของเตาฟู คือ การอัดละอองนํ้ามันกาดดวย
สูบลม เมอ่ื จดุ ไฟละอองนํา้ มนั จะเผาไหมและพน ออกแรง
ดว ยแรงดันของลม
กระบอกทองเหลืองทรงกลมเปนที่บรรจุนํ้ามันกาด เมื่อมีการสูบลมท่ีดามถือของกระบอก
ลมจะเขาไปขับดันนํ้ามันใหเปนละอองสงไปท่ีทอพน เมื่อจุดไฟจะเกิดการเผาไหมนํ้ามันที่
ปลายทอพน นาํ ไปเผาท่ีหัวเทียนของเครอ่ื งยนตจ นเกิดความรอน เครื่องยนตจ ะทํางานได

ขันสาคร
ขันขนาดใหญ หลอดว ยสําริด มีหสู องหู ท่ขี อบประดบั
ดวยลายใบเทศ
สนั นษิ ฐานวา ขนั สาครใบนใี้ ชใ นพธิ ถี อื นาํ้ พพิ ฒั นส ตั ยา
ท่ีขาราชการที่เปนคนมอญในเมืองนนทบุรี ตองมาทําพิธี
ถือน้าํ พิพฒั นส ตั ยาประจาํ ป ในสมัยตน รตั นโกสินทร

เครอ่ื งปน ดนิ เผาที่ใชห งุ ตมอาหาร
หมอขาวหมอแกงเปนภาชนะสําคัญสําหรับหุงตม
อาหารแตโ บราณมา
เนอ่ื งจากหมอขา วหมอแกงมีกน กลม มคี วามบาง และ
มักจะมีเขมา ไฟสีดาํ ทก่ี น หมอ เพราะตองต้ังอยบู นเตาฟน
จึงมีการนําเอากาบมะพราวหรือฟางมาทําเปนขดวงกลม
เรยี กวา เสวยี น
เสวยี นใชร องกน หมอ กน กระทะกบั พน้ื ไมใ หก น หมอ กน กระทะแตก และไมใ หพ น้ื บา นเปอ น
จากเขมาดินใตกนหมอ กนกระทะ อีกทั้งชวยใหการต้ังหมอต้ังกระทะท่ีมีกนกลมต้ังอยูไดดี
บนเสวียน

๙๖ พิพิธภัณฑพ้ืนบานวัดชมภูเวก

โอง เคลือบภาชนะใสผักดอง
ภาชนะดินเผาเคลือบสีเขียว สําหรับใสผักดองท่ีมา
ในเรอื สาํ เภาทีเ่ ดนิ ทางมาจากจนี คนไทยนิยมนาํ มาใสพ ลู
เพราะมีความเย็น สามารถเก็บรักษาใบพลูใหสดไดนาน
หลายวัน จึงมักเรียกวา โถพลู

อา งมังกร
อา งมงั กรเปน เครอ่ื งปน ดนิ เผาจนี ทรงกลม ปากผายกวา ง
ขอบปากแบน บานออกนอ ยๆ ทาํ เปน หยกั สวนกน สอบ
ความกวา งนอ ยกวา สว นปาก
ภายนอกทาํ เปน รปู มงั กร เคลอื บสนี า้ํ ตาลเขม สว นขอบ
และภายในเคลอื บสเี ขยี ว
อางมังกรใชเปนภาชนะใสน้ํา ในงานทําบุญของวัด
บางแหง ใชใ สข า วท่ีหุงจากกระทะใหญ

ไหกระเทียม
เครื่องปนดินเผาจีน เคลือบสีน้ําตาลเขมหรือสีดํา
ปากเล็ก สําหรับใสกระเทียมดอง เตาเจ้ียว บรรทุกมา
ในเรอื สาํ เภาจากจีน

กระปกุ เตาเจีย้ ว
เครื่องปนดินเผาจีนเคลือบสีเขม ปากเล็ก สําหรับ
ใสเตาหูย ้ี เตาเจี้ยว ตง้ั ไฉ บรรทุกมาในเรอื สาํ เภาจากจนี

พิพิธภัณฑพื้นบานวัดชมภูเวก ๙๗

ไหเคลอื บดนิ เผา
ไหเคลือบดินเผา คอสูง มีหูเล็ก ๔ หู ชาวบาน
มักเรียกกันวา ไหสี่หู เปนเครื่องปนดินเผาท่ีมีแหลง
ผลิตท่ีบานบางปูน จังหวัดสุพรรณบุรี สมัยอยุธยา
ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ - ๒๐

โองนํ้าและหมอนาํ้ ดนิ เผา
ภาชนะดินเผาท่ีไมเคลือบ มีขารองและฝาใชสําหรับ
ใสน ํ้า

อปุ กรณก ารทําอาหาร
อปุ กรณก ารทาํ อาหารไทยนอกจากอปุ กรณห งุ ตม ทเ่ี ปน
หมอ กระทะตางๆ แลว การทาํ อาหารคาวหวานยงั ตองใช
อปุ กรณอ ่ืนๆ เพ่ือทาํ อาหารดงั กลา วดวย
กระจา จวัก ทัพพี ทําจากไม กะลามะพราว ใชตัก
อาหาร ใชผ ดั หรือคนในขณะหุงตมอาหาร
โมหนิ สาํ หรบั โมแ ปง โมขา วตู โมถ่วั
กระตายขูดมะพราว เพื่อจะไดเนื้อมะพราวชิ้นเล็กๆ ไปคั้นเปนนํ้ากะทิ หรือไปผสมเปน
อาหารอ่ืนๆ
ท่ีปงขนมทองมว น เครื่องทําลอดชอ ง แมพ มิ พขนมครองแครง แมพ มิ พขนมขาวตู แมพิมพ
ขนมกยุ ชาย อุปกรณเหลา นี้ลวนมบี ทบาทสาํ คัญคกู ับครัวไทยมาแตโบราณ

๙๘ พิพิธภัณฑพ้ืนบานวัดชมภูเวก

ตะเกยี งเจา พายุ
ระบบการทํางานของตะเกียงเจาพายุ คลายกับระบบ
การทํางานของเตาฟู สวนลางสุดของตะเกียงเจาพายุ
เปนสวนที่เก็บนํ้ามันกาด และมีลูกสูบสําหรับสูบลม
ใหเขาไปขับดันนํ้ามันใหเปนละอองพุงข้ึนไปตามทอ
ผานสวนทส่ี อง ซง่ึ เปนครอบกระจกเปน ท่กี าํ เนดิ แสงสวา ง
สว นบนสดุ เปน สว นทท่ี อ ละอองนา้ํ มนั จะเชอื่ มตอ กบั ไสข องตะเกยี ง เมอื่ จดุ ไฟทด่ี า นบนสดุ นี้
ละอองนาํ้ มนั จะลกุ ไหมต อ ไปสไู สข องตะเกยี ง จงึ เกดิ ลกุ ไหมท ไ่ี สข องตะเกยี ง ทาํ ใหเ กดิ แสงสวา งขน้ึ
ตะเกยี งเจา พายุ มคี รอบแกว ปอ งกนั ลมไมใ หเ ขา ไปทาํ ใหแ สงสวา งของตะเกยี งดบั ไดแ มข ณะ
มีลมพายพุ ดั แรง ตะเกียงนีจ้ งึ เรยี กกนั วา ตะเกยี งเจา พายุ ใชแ ขวนหรือวางบนพน้ื ได

ตะเกยี งโปะ
ตะเกยี งโปะ เปน ตะเกยี งท่ีใชน ้าํ มนั กา ด มไี สตะเกยี งท่ี
ทําดวยผาเปนตัวซับน้ํามันในการเผาไหม มีลูกบิดขยับ
ไสต ะเกยี งใหข น้ึ ลงได เมอ่ื ไสต ะเกยี งถกู เผาไหมไ ป ตอ งบดิ
ไสตะเกียงใหสูงขึน้ เพือ่ ใหมกี ารเผาไหมแทนสวนทีม่ อดไป
ตะเกียงนี้มีโปะแกวครอบเพื่อปองกันลม จึงเรียกวา
ตะเกียงโปะ

ตะเกยี งรว้ั
ระบบการทํางานของตะเกียงร้ัวคลายกับระบบการ
ทาํ งานของตะเกยี งโปะ ใชน าํ้ มนั กา ด ไสต ะเกยี งเปน ผนื ผา
แบนยาว มีโปะครอบ สวนลางสุดเปนตัวตะเกียงบรรจุ
นํ้ามันกาด และไสตะเกียงเหนือไสตะเกียงมีครอบแกว
เพื่อกันลมไมใหพัดเขาไปที่เปลวไฟได สองขางของตัว
ตะเกียงติดท่ีหิ้วตะเกียง และที่ครอบบนสุด สองขางของ
ท่ีครอบบนสุดมีหูหิ้วทําดวยเหล็กเสนตัดใหโคง สามารถ
หิ้วตะเกยี งรั้วได


Click to View FlipBook Version