ผลการใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมันเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก ศิริรักษ์ แก้วอาษา รหัสนักศึกษา 63040108101 รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
ผลการใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมันเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก ศิริรักษ์ แก้วอาษา รหัสนักศึกษา 63040108101 รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
ก บทคัดย่อ ชื่อเรื่อง ผลการใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมันเพื่อพัฒนาทักษะการเขียน ของนักเรียนออทิสติก ผู้วิจัย นางสาวศิริรักษ์แก้วอาษา อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก อาจารย์ขวัญดาว การะหงษ์ ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะทางการเขียนของนักเรียน ออทิสติกที่เรียน ด้วยกิจกรรมการปั้นดินน้ำมันระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนออทิสติก เพศชาย อายุ 5 ปี 10 เดือน ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นบุคคลออทิสติก ที่มารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขต การศึกษา 9 จังหวัดขอนแก่น ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมันและแบบบันทึกทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติก ใน การศึกษาครั้งนี้ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One - group pretest – posttest design และ การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าสถิติ t- test สำหรับ Dependent Sample ผลการวิจัยพบว่านักเรียนออทิสติกที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน มี ทักษะการเขียนสูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ได้แก่ด้านการปั้นดิน น้ำมันการนวด คลึง บีบ กด ม้วน กล้ามเนื้อมัดเล็กให้แข็งแรงเพื่อการเขียน และพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีทักษะ ทางการเขียนดีขึ้นมากเป็นอันดับแรก
ข Abstract This time the aim is to study and compare students' content skills. Autistic people learn with clay modeling activities before and after school. The target group for autistic students is for children aged 5 years and 10 months who can be selected by a doctor as being an autistic person who receives services at the Special Education Center, Educational District 9, Khon Kaen Province, academic year 2023 Number of people: 1 person. Tools used in the research include a learning activity plan using clay modeling activities and a writing skill recording form for students with autism. In this study, a research design was used One - group pretest – posttest design and data analysis using t- test statistics for Dependent Sample The results of the research found that autistic students who received learning activities using clay modeling activities They had higher writing skills than before receiving learning activities using clay modeling activities. Including modeling clay, kneading, kneading, squeezing, pressing, rolling, strengthening small muscles for writing. And it was found that the sample group's writing skills were much improved first.
ค กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยในเรียนฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาจาก อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก อาจารย์ขวัญดาว การะ หงษ์ และคุณครูเยาวลักษณ์ โทรัตน์ครูพี่เลี้ยง ซึ่งได้กรุณาให้คำแนะนำและตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ จน งานวิจัยใน ชั้นเรียนฉบับนี้มีความสมบูรณ์ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณ คณาจารย์สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ และคณาจารย์คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏ อุดรธานี ทุกท่าน ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้ความช่วยเหลือและให้คำแนะนำ ในการทำวิจัย ในชั้นเรียนแก่ ผู้วิจัยในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการสถานศึกษา และคณะครูศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จังหวัด ขอนแก่นทุกท่านที่อำนวยความสะดวก ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ และเป็นกำลังใจโดยตลอด ขอขอบใจนักเรียน ห้องออทิสติก 1/2 ปีการศึกษา 2566 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือในการทดลองเพื่อ เก็บข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา สมาชิกทุกคนในครอบครัวผู้วิจัย ที่อยู่เบื้องหลัง แห่งความสำเร็จครั้งนี้ คอยช่วยเหลือและให้กําลังใจ เพื่อรอคอยผลสำเร็จของผู้วิจัย ขอขอบคุณเพื่อน นักศึกษา สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ และเพื่อนร่วมรุ่น ครุศาสตรบัณฑิตทุกท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือและ เป็นกําลังใจให้ตลอดมา คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีของงานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบแด่คุณบิดา มารดา ผู้เป็นบุพการี ตลอดจนบูรพาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ผู้วิจัยและผู้มีพระคุณทุกท่านสืบไป ศิริรักษ์ แก้วอาษา
ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อไทย........................................................................................................................ ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ.......................................................................................................... ข กิตติกรรมประกาศ...................................................................................................................ค สารบัญ...................................................................................................................................ง สารบัญตาราง.........................................................................................................................ช สารบัญรูปภาพ........................................................................................................................ซ บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา……………………………………………………………….... 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ………………………………………………………………………………….... 3 สมมติฐานของการวิจัย………………………………………………………………………………………... 3 ขอบเขตของการวิจัย………………………………………………………………………………………….... 3 นิยามศัพท์เฉพาะ……………………………………………………………………………………………...... 4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ………………………………………………………………………………...... 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับบุคคลออทิสติก 1.1 ความหมายของบุคคลออทิสติก………………………......……………………….…............ 7 1.2 สาเหตุการเกิดออทิสติก…………………………………………………………………............. 9 1.3 ลักษณะอาการของบุคคลออทิสติก ………………………………………………................ 10 1.4 เทคนิคการสอนบุคคลออทิสติก………………………………………………………............. 12 1.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับบุคคลออทิสติก……………………………………………............... 13 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน 2.1 ความหมายของกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน………………………………………………....... 13 2.2 ความสำคัญของกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน……………………………………................... 14 2.3 ประเภทของกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน……........................................................... 15 2.4 ขั้นตอนการฝึกกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน…………………………………………............... 16
จ 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน……………………………....................18 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะการเขียน 3.1 ความหมายของทักษะการเขียน………………………………………………….................... 20 3.2 ความสำคัญของทักษะการเขียน……………………………………………………................. 20 3.3 องค์ประกอบของทักษะการเขียน……………………………………………………................21 3.4 ลักษณะของทักษะการเขียน……………………………………………............................... 22 3.5 แนวคิดและหลักการของทักษะการเขียน ………………………………......................... 23 3.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการเขียน……………………………………………................ 24 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มเป้าหมาย……………………………….……………………………………………………………….... 26 รูปแบบในการทดลอง….………………………………………………………………………………….... 26 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย………………………………………………………………………………….... 27 การเก็บรวบรวมข้อมูล…………………………………………………………………………………….... 28 การวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………………..….... 29 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………………………………………………………… 31 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ………………………………………………………………………….……… 34 สมมติฐานของการวิจัย…………………………………………………………………………….………… 34 วิธีดำเนินการวิจัย………………………………………………………………………………….……..…… 34 การเก็บรวบรวมข้อมูล………………………………………………………………………….………….. 35 สรุปผลการวิจัย…..…………………………………………………………………………….…………….. 36 การอภิปรายผล……..………………………………………………………………………….…………….. 36 ข้อเสนอแนะ……..…………………………………………………………………………………………….. 38 บรรณานุกรม...................................................................................................................................39 ภาคผนวก ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย………………………………………………………….……. 42
ฉ ภาคผนวก ข ผลการวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างพฤติกรรมกับจุดประสงค์ (IOC) 51 ภาคผนวก ค รายนามผู้เชี่ยวชาญ……………………………………………………………………… 53 ประวัติผู้วิจัย....................................................................................................................................54
ช สารบัญตาราง หน้า ตาราง 1 รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest – Posttest Design) 26 ตาราง 2 ผลการศึกษาทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกก่อนและหลัง 31 ได้รับกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ตาราง 3 ผลการเปรียบเทียบทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกก่อนและหลัง 32 ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ตาราง 4 ผลการวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างพฤติกรรมกับจุดประสงค์ (IOC) 51
ซ สารบัญรูปภาพ หน้า ภาพประกอบ 1 กราฟแสดงการเปรียบเทียบทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติก 33 ก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน
1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาคนให้มีความรู้นำมาใช้พัฒนาคนให้มีความสามารถในการประกอบ อาชีพและเอาตัวรอดได้จากสังคมและมีคุณธรรมเพื่อนำไปใช้ในทางสร้างสรรค์อันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง และสังคมโดยรวมจึงเป็นความท้าทายต่อครูเพื่อศิษย์ในการจัดการเรียนรู้โดยคำนึงถึงความแตกต่างของเด็กแต่ละ คนและจัดให้การเรียนรู้ส่วนหนึ่งเป็นการเรียนรู้เฉพาะตัว (Personalized Learning) (วิจารณ์ พานิ ช, 2555) ซึ่ง สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 54 รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคน ได้รับการศึกษาเป็นเวลา12ปีเพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย โดยส่งเสริม และ สนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วยและรัฐต้อง ดำเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่างๆรวมทั้งส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต และจัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดย รัฐมีหน้าที่ดำเนินการกำกับส่งเสริมและสนับสนุนให้การจัดการศึกษาดังกล่าว มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล ทั้งนี้ตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติการศึกษาทั้งปวงต้อง มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของตนและมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษาและเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของครู (รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยราชกิจจานุเบกษา, 2560)และในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2553) มาตรา10ยังระบุว่าการจัดการศึกษาต้องจัด ให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า12ปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมี คุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทาง ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพหรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาสต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ การศึกษาสำหรับคนพิการในวรรคสองให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและให้บุคคล ดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาตามหลักเกณฑ์และ วิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา, 2547)
2 กระทรวงศึกษาธิการได้คัดแยกและจำแนกความพิการเพื่อการศึกษาไว้ 9 ประเภท คือบุคคลที่มีความ บกพร่องทางการเห็น บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน บุคคลที่มีความบกพร่องทางด้าน สติปัญญา บุคคลที่มี ความบกพร่องทางร่างกายหรือสุขภาพ บุคคลที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและ ภาษา บุคคลที่มีปัญหาทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ บุคคลออทิสติก และ บุคคลพิการซ้อน บุคคลเหล่านี้ถือเป็น ทรัพยากรส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศการศึกษาเป็นกระบวนการหนึ่งที่ใช้พัฒนาทรัพยากร มนุษย์ให้เป็นบุคคลที่คิดเป็น ทำเป็น คิดอย่างสร้างสรรค์อันจะไปสู่การพัฒนาสังคมชุมชนและประเทศชาติในที่สุด การจัดการศึกษาให้แก่เด็กอย่างเหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่าง ยิ่ง นอกจากนี้แผนพัฒนาการศึกษา แห่งชาติฉบับที่ (2560-2579) ได้กำหนดลักษณะสังคมไทยที่พึงประสงค์ไว้ดังนี้ การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้พัฒนาคนไทยให้เป็นพลเมืองที่ดีมีคุณลักษณะ ทักษะ และสมรรถนะตรงตามมาตรฐานการศึกษาของชาติพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถและคุณลักษณะของ ผู้เรียนในระดับการศึกษาอีกทั้งเสริมสร้างศักยภาพที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็กที่มีภาวะออทิซึมซึ่งมีภาวะความ บกพร่องของพัฒนาการมีความล่าช้าทางพัฒนาการด้านสังคมแยกตัวทำพฤติกรรมซ้ำๆส่งผลต่อการสื่อสาร การ เคลื่อนไหวการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมขาดจินตนาการมีความผิดปกติทางพฤติกรรมชอบทำกิจกรรมซ้ำๆหรือขาด ทักษะในการติดต่อสื่อสารพฤติกรรมที่เกิดคือมีปัญหาด้านการสื่อสารกับผู้อื่นและสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตนเอง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2548) ออทิสติก จัดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษซึ่งจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือโดยการกระตุ้นและส่งเสริม พัฒนาการตั้งแต่ระยะแรกเริ่มพัฒนาการศักยภาพและเตรียมความพร้อมให้สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของ เด็ก(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, มปป, หน้า 1) เด็กออทิสติกบางคน พบว่ามีปัญหาพัฒนาการ ช้าทุกด้านร่วมด้วยดังนั้นควรมีการส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านควบคู่กัน ด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่มักไม่ค่อยมีปัญหา เดิน วิ่งคล่องแคล่ว ส่วนด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กมักพบปัญหาได้บ่อยพอสมควรเด็กอาจมีลักษณะงุ่มง่ามการหยิบจับ ไม่ถนัดการประสานงานการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อไม่ค่อยดีการเสริมสร้างพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อเน้นตาม ปัญหาเป็นหลักเช่น ฝึกการเพิ่ม แรงของกล้ามเนื้อโดยการ ปั้น บีบ ดึง ตัดยกของ เป็นต้น ฝึกการใช้นิ้วมือหยิบจับ โดย การร้อยลูกปัดเอาลูกกลมเสียบหลักระบายสีให้อยู่ในกรอบและที่สำคัญคือการรับประทานอาหาร หยิบจับ ช้อนเอง ซึ่งเป็นการฝึกที่ได้ผลดี เนื่องจากต้องทำสม่ำเสมอทุกวัน (ทวีศักดิ์สิริรัตน์เรขา, 2561) การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กเป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเล็ก กล้ามเนื้อมือ–นิ้วมือการ ประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือและระบบประสาทตา มือได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กันโดยจัด กิจกรรมเพื่อเป็นการสนับสนุน ให้เด็กได้มีโอกาสพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อเล็กและการประสานสัมพันธ์ระหว่าง กล้ามเนื้อ และระบบประสาท ในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เช่น 1.การเล่นเครื่องเล่นสัมผัสและ การสร้างจาก
3 แท่งไม้บล็อก 2. การเขียนภาพและการเล่นกับสี 3. การปั้น 4. การประดิษฐ์สิ่งต่างๆด้วยเศษวัสดุ5. การหยิบจับ การใช้กรรไกร การฉีก การตัด การปะ และการร้อยวัสดุ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560, หน้า41) การปั้นเป็น กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ประเภทหนึ่งที่นำมาใช้ในการฝึกเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อนิ้วมือและกล้ามเนื้อตาของเด็ก เช่น การปั้นดินน้ำมัน การปั้นแป้งโดว์ การปั้นดินเหนียว การปั้นทรายผสมกาวเพื่อทำให้เกิดรูปร่างด้วยวิธีบีบ นวดคลึง โดย ใช้กล้ามเนื้อแขน มือข้อมือฝ่ามือและนิ้วมือ(ธนพรศรีมาทา, 2550, หน้า 7) ด้วยความสำคัญและเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาผลการใช้กิจกรรมการปั้นดิน น้ำมันเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กให้แข็งแรง เพื่อการเขียนและยังสามารถเป็นแนวทางสำหรับ ครูการศึกษาพิเศษ ผู้ปกครอง บุคคลที่สนใจ ตลอดจนผู้ที่ เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสำหรับนักเรียนออทิสติก วัตถุประสงค์การวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติกก่อนและหลังที่เรียนด้วยกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก่อนและหลังที่เรียนด้วยกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน สมมติฐานการวิจัย ในการศึกษาผลการใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมันเพื่อพัฒนาการเขียนของนักเรียนออทิสติก ผู้วิจัย ตั้งสมมติฐานไว้ดังนี้ นักเรียนออทิสติกที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมันเพื่อพัฒนาการเขียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1.กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ โดยการเลือกแบบเจาะจง คือ นักเรียนออทิสติก เพศชาย อายุ 5 ปี 10 เดือน ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นบุคคลออทิสติก ที่มารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จังหวัดขอนแก่น ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 คน
4 2. ตัวแปรที่ศึกษา 1. ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน 2. ตัวแปรตาม คือ ทักษะการเขียน 3.เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย 1.กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน การนวด คลึง บีบ กด ม้วน 2.การเขียนเส้นพื้นฐาน 3 เส้น ได้แก่ - เส้นจรวดขึ้น ↑ - เส้นน้ำไหล ↓ - เส้นล้อรถ 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 ใช้เวลาในการทดลอง 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 1 ชั่วโมง ในวันจันทร์และวันพุธ รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 8 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ 1. เด็กออทิสติก หมายถึง เด็กออทิสติกเด็กช่วงอายุ 6-12 ได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นว่า มีภาวะออทิสซึม มีเอกสารรับรองความพิการซึ่งไม่มีภาวะความผิดปกติด้านพฤติกรรมอื่นแทรกซ้อน หรือมีความ พิการซ้อน โดยพัฒนาการทักษะทางสังคมไม่เป็นไปตามวัยเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กวัยเดียวกันซึ่งพิจารณาด้วยแบบ คัดกรองนักเรียนสมาธิสั้นบกพร่องทางการเรียนรู้และออทิสซึม (KUS-SI Rating Scales: ADHD/LD/Autism) ใน ด้าน พฤติกรรม ภาวะออทิสซึม (KUS-SI Rating Scale 5: Autism/PDDs) และได้รับการยืนยันจากครูผู้สอนว่ามี ปัญหาเกี่ยวกับทักษะทางสังคมแต่สามารถเข้าใจภาษาได้ดีสามารถสื่อสารและสามารถช่วยเหลือตนเองได้ 2. กิจกรรมการปั้น หมายถึง “ศิลปะการปั้น” เป็นการส่งเสริมพัฒนาการในด้าน “มิติสัมพันธ์” และ กล้ามเนื้อมือให้กับเด็กเป็นอย่างดี เช่น มีการหยิบจับได้คล่อง เขียนหนังสือได้ดีขึ้น โดยเฉพาะความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อมือนั้น มีความสำคัญกับเด็กมาก เห็นได้จากผลการศึกษาของ “เพียเจท์” นักจิตวิทยาชาว สวิสเซอร์แลนด์ เกี่ยวกับการพัฒนาการเด็กพบว่าความสามารถในการคิดและทักษะทางภาษาของเด็กเกี่ยวโยงกับ
5 พื้นฐานและประสบการณ์ด้านกล้ามเนื้อเด็กจะไม่สามารถพัฒนาทางภาษาได้ถ้าปราศจากพื้นฐานที่มั่นคงทางด้าน ประสบการณ์ออกกำลังกายและการหยิบจับสิ่งของรอบๆตัวเพราะเด็กจะเรียนรู้จากการที่ได้สัมผัสกับสื่อวัสดุต่าง ๆ ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า 3.ทักษะการเขียน หมายถึง การเขียนเป็นการพัฒนาการทางภาษาที่มีความสำคัญไม่แตกต่างจากการฟัง พูดและอ่านจุดมุ่งหมายของการเขียนในเด็กปฐมวัยเพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนจากขั้นง่ายๆไปสู่ขั้นที่ ซับซ้อนยิ่งขึ้นเด็กต้องการประสบการณ์ในการเขียนตั้งแต่การทำเครื่องหมายการทดลองเขียนคำการเขียนประโยค เพื่อที่จะได้เกิดสิ่งที่ค้นพบว่าเครื่องหมายต่างๆที่เด็กได้ทดลองนั้นมีความหมายสำหรับตนเองการเขียนเป็นทักษะที่ มีความยุ่งยากเพราะต้องใช้ความคิดความรู้สึกประสบการณ์และความสามารถเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคนฉะนั้น รอยขีดๆเขียนๆซึ่งอาจจะเขียนอย่างมีความหมายและไม่มีความหมายตามความเป็นจริงหรือไม่นั้นจะเป็นการ พัฒนาด้านการเขียนเป็นขั้นๆไป ประโยชน์ที่จะได้รับ 1. นักเรียนออทิสติกได้รับการพัฒนาทักษะการเขียน ด้วยกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน 2. ได้ทราบผลสัมฤทธิ์ทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกที่เรียนด้วยกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติก ที่ใช้ แนวความคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร ตำรา งานวิจัย และทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย มีรายละเอียดดังนี้ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับบุคคลออทิสติก 1.1 ความหมายของบุคคลออทิสติก 1.2 สาเหตุการเกิดออทิสติก 1.3 ลักษณะอาการของบุคคลออทิสติก 1.4 ลักษณะความบกพร่องทางสังคมและอารมณ์บุคคลออทิสติก 1.5 เทคนิคการสอนบุคคลออทิสติก 1.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับบุคคลออทิสติก 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรการปั้นดินน้ำมัน 2.1 ความหมายของกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน 2.2 ความสำคัญของกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน 2.3 แนวทางการฝึกกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน 2.4 ขั้นตอนการฝึกกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะการเขียน 3.1 ความหมายของทักษะการเขียน 3.2 ความสำคัญของทักษะการเขียน
7 3.3 องค์ประกอบของทักษะการเขียน 3.4 ลักษณะทักษะการเขียน 3.5 แนวคิดและหลักการทักษะการเขียน 3.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการเขียน 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับบุคคลออทิสติก 1.1 ความหมายของบุคคลออทิสติก ในปัจจุบันได้มีผู้ให้ความหมายของเด็กออทิสติกไว้อย่างหลากหลาย ทั้งในทาง การแพทย์ และ ทางการศึกษา โดยงานวิจัยเล่มนี้นำเสนอข้อมูลทั้งสองชนิดไว้ เพื่อความชัดเจนและ 9 ผู้อ่านสามารถใช้ประโยชน์ อย่าเต็มที่ ซึ่งผู้วิจัยนำเสนอมุมมองของคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับ ความผิดปกติทางจิต ลำดับที่ 5 (DSM-5) มีรายละเอียดดังนี้ ความหมายเด็กออทิสติกในทางการแพทย์ ความหมายของออทิสติกทางการแพทย์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำ การ ปรับปรุงการวินิจฉัยผู้ป่วยที่มีภาวะผิดปกติของพัฒนาการที่กระจายไปทุกด้าน (Pervasive Developmental Disorder) ให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยใช้เกณฑ์การวินิจฉัยของคู่มือการวินิจฉัย และสถิติสำหรับความผิดปกติ ทางจิต ลำดับที่ 5 สำหรับผู้ป่วยออทิสติกนั้น ตามเกณฑ์บัญชีจำแนก ผู้ป่วยทางสถิติระหว่างประเทศของโรคและ ปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ฉบับทบทวน ครั้งที่ 10 (ICD10) ได้จัดให้ผู้ป่วยออทิสติกอยู่ในกลุ่มของ ความผิดปกติ ทางจิตและพฤติกรรมกลุ่มย่อยความผิดปกติของพัฒนาการที่กระจายไปทุกด้าน ชวนันท์ ชาญศิลป์ (2561, น.2) กล่าวว่า ASD เป็นกลุ่มโรคที่ผู้ป่วยมีพัฒนาการผิดปกติหลาย ด้าน ซึ่งป รากฏใน ห ลายสภ าพ แวดล้อม ใน การวินิ จฉัยนั้น ได้กำห นดว่าต้องมีความผิดปกติสองด้านที่สำคัญ คือ ความผิดปกติด้านการสื่อสารเพื่อมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และ มีความสนใจหมกมุ่นเฉพาะเรื่องอย่างซ้ำ ๆ มี ความสนใจเรื่องต่าง ๆ จำกัด หรือมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ซึ่งแต่ละช่วงอายุที่มาพบแพทย์อาจมาด้วยอาการนำที่แตกต่าง กัน สุวรรณี พุทธิศรี (2558, น. 553) ได้ให้ความหมายของ ออทิสซึมสเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder) ว่า เป็นกลุ่มโรคที่ประกอบด้วยความบกพร่องของพัฒนาการทางสังคม การสื่อสาร และมีพฤติกรรม หรือความสนใจซ้ำ ๆ อย่างไม่เหมาะสม จัดเป็นโรคในกลุ่ม Neurodevelopmental Disorder
8 จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ภาวะออทิสซึม (Autism Spectrum Disorder) คือภาวะที่ เกิดจาก ความผิดปกติทางสมอง ซึ่งมีผลกระทบต่อพัฒนาการในหลายด้าน ได้แก่ ด้านการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมและผู้อื่น เช่น ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว ไม่สามารถเล่นกับผู้อื่นได้, ด้านพัฒนาการ ในการใช้ภาษา ทั้งภาษาพูด และภาษา ท่าทาง เช่น การเดินที่มีลักษณะผิดปกติ การประสานสัมพันธ์ระหว่างมือและตามีความผิดปกติในน้ำเสียงที่ใช้ การใช้ภาษาที่ผู้อื่นไม่สามารถเข้าใจได้ และ ด้านพฤติกรรม โดยสามารถจำแนกตามเกณฑ์ของ คู่มือการวินิจฉัย และสถิติสำหรับความผิดปกติทาง จิต ลำดับที่ 5 (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders Fifth Edition: DSM5) แห่งสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา (American Psychiatric Association) ได้วินิจฉัย รวมเป็น ออทิสซึมสเปกตรัม และต่อท้ายด้วยภาวะที่มีความผิดปกติของโรคดังกล่าว ความหมายของเด็กออทิสติกในทางการศึกษา ในปัจจุบันได้มีนักการศึกษา อาจารย์การศึกษาพิเศษได้ให้ความหมายของ บุคคลออทิสติก หรือ ภาวะออทิสซึมไว้หลายท่าน และสามารถสรุปได้ดังนี้10 สมเกตุ อุทธโยธา (2560, น. 79) กล่าวถึง เด็กที่มีภาวะออทิสซึม (Children with Autism Spectrum Disorder) โดยจัดอยู่ในกลุ่มความบกพร่องที่มีผลกระทบต่อพัฒนาการใน หลากหลายด้าน (Pervasive Developmental Disorders: PDD) ซึ่งตรงข้ามกับภาวะความบกพร่อง แบบเฉพาะเจาะจง (Specific Developmental Disorder: SDD) ซึ่งความบกพร่องของเด็กกลุ่ม ดังกล่าวมีตั้งแต่ ปัญหาความ บกพร่องทางด้านความเข้าใจภาษา เช่น ความผิดปกติในน้ำเสียง การพูด ช้า จนกระทั่งไม่มีภาษา ปัญหาในการ สัมพันธ์กับผู้อื่น หรือสิ่งของ โดยไม่สามารถเล่นของเล่นได้รวมไปถึงไม่มีจินตนาการในการเล่นปัญหาในการ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน และปัญหาพฤติกรรม เช่น ปัญหาการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ ชอบโยกตัว ชอบหมุนตัวเล่น เป็นเวลานาน ไม่สบตา ไม่ชอบการ เปลี่ยนแปลงสิ่งใด ๆ กำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ของคนพิการทางการศึกษา (2552, น. 47) ตามประกาศของ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้ความหมายของ บุคคลออทิสติก หมายถึง บุคคลที่มีความผิดปกติในการทำงานของ สมองบางส่วน ซึ่งส่งผลต่อความบกพร่องทางพัฒนาการด้านภาษา ด้านสังคมและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมีข้อจ ากัดด้านพฤติกรรม หรือมีความสนใจจำกัดเฉพาะ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยความผิดปกตินั้นค้นพบได้ก่อนอายุ 30 เดือน ผดุง อารยะวิญญู (2546, น. 1) กล่าวว่าเด็กออทิสติก เป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ทาง การศึกษาประเภทหนึ่ง เด็กกลุ่มนี้ต้องการการศึกษาพิเศษ ในลักษณะที่แตกต่างไปจากการศึกษา ที่ให้กับเด็กปกติ
9 เพราะเด็กกลุ่มนี้มีความบกพร่องในการสื่อความหมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้สีหน้า หรือ ถ้อยคำ มีปัญหาทาง พฤติกรรม มีปัญหาทางสังคม มีพฤติกรรมที่แปลกซ้ำ ๆ จากเอกสารที่กล่าวสรุปได้ว่า เด็กออทิสติก (Autistic) หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง ทาง พัฒนาการทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการทางสังคม พัฒนาการทางภาษาและการสื่อความหมาย พัฒนาการทาง พฤติกรรมที่มีความไม่พึงประสงค์อย่างชัดเจน โดยนักวิทยาศาสตร์ และแพทย์ได้มีการลงความเห็นว่าเป็นเพราะ ความผิดปกติทางสมอง ซึ่งเด็กออทิสติกเป็นกลุ่มเด็กที่จัดอยู่ในกลุ่ม “เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หรือ Children with Special Needs” 1.2 สาเหตุการเกิดออทิสติก รจเรข แสงนิล (2548: 7 – 16) กล่าวว่าปัจจุบันนี้มีการยอมรับกันมากกว่าสาเหตุสำคัญของ ภาวะออทิสซึมเกิดจากความบกพร่องของระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nerverse System) ซึ่งอาจเกิดจาก เซลล์ของสมองที่ผิดปกติและความไม่สมดุลย์ของสารเคมีของระบบประสาท (brain cell differences and chemical imbalances) และยังพบด้วยว่ามีความผิดปกติในส่วนที่ เรียกว่า “เวอร์มิส (Virmis)” ซึ่งอยู่ในสมอง ส่วนซีรีเบลลัม (cerebellum) ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีปัญหา ทางด้านสติปัญญา และการเรียนรู้11 มีการค้นพบว่าความผิดปกติบนโครโมโชมเอ็กซ์ (Fragile X Syndrome) เป็นสาเหตุ หนึ่งที่ทำให้ เกิดภาวะออทิสซึม และมักจะเกิดกับเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงอย่างไรก็ตามการศึกษา ค้นคว้า ปัจจุบันอธิบายว่า ความผิดปกติบนโครโมโชมเอ็กซ์(Fragile X Syndrome) มิใช่สาเหตุหลัก ของการเกิดภาวะออทิสซึม (ศรีเรือน แก้วกังวาน. 2543: 212; อ้างอิงจาก Bolton’ Pickies; Butler; & Summers. 1992; Hashimoto; Shimizu; & Kawasaki. 1993) บลูแมน (เพ็ญแข ลิ่มศิลา. 2541: 31-21; อ้างอิงจาก Kemper; & bauman. 1984) กล่าว เกี่ยวกับความผิดปกติของสมองที่ก่อให้เกิดภาวะออทิสซึม ดังนี้เมื่อศึกษาโดยนับจำนวนเซลล์ใน บริเวณ ในบ ริเวณ ต่าง ๆ ของสมองเป รียบ เที ยบระหว่างเด็กพิ เศษ กับเด็กปกติจะพ บ ความผิดปกติในเด็กออทิสติกอย่างชัดเจน อยู่ 2 แห่ง คือ ที่ระบบลิมบิก (Limbic System) และ ที่สมองส่วนซีรีเบลลัม (Cerebellum) บริเวณระบบลิมบิก (Limbic System) ส่วนของอมิกดาลา (Amygdala) และฮิบโพแคมพัส (Hippocampus) ทำหน้าที่ควบคุมด้าน ความจํา อารมณ์การเรียนรู้และแรงจูงใจ ความผิดปกติที่พบคือลักษณะของเซลล์บริเวณนี้มีบริเวณนี้มีขนาดเล็ก มาก มีจำนวน เซลล์มากกว่าคนปกติทั่วไป จนมองเห็นเบียดกันหนาแน่นเปรียบเทียบกับการทำงานของ คอมพิวเตอร์คือ มีหน่วยความจํามาก แต่ไม่สามารถทำหน้าที่เชื่อมโยงความจําความรู้ที่มีได้เด็กออทิสติกจึงมี
10 ความผิดปกติด้านอารมณ์และด้านการตั้งความสนใจ นอกจากนั้นแล้วเซลล์ผิดปกติมีลักษณะเซลล์ที่ ไม่พัฒนาหรือ เซลล์ที่อ่อนกว่าอายุจริงมาก มีการลดจำนวนลงอย่างชัดเจนของเซลล์เพียวกินจิ(Purkinje) และการขาดหายไป ของกลิโอซิส (Gliosis) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของสมองที่เป็นโครงพยุง เซลล์ประสาท เซลล์บริเวณสมองส่วนซีรี เบลลัม (Cerebellum) ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการประสาน สัมพันธ์มีจำนวนเซลล์น้อย มีช่องว่างระหว่างเซลล์ มากมายจนมองเห็นการกระจัดกระจายของเซลล์เซลล์มีลักษ ณ ะไม่พั ฒ นาการเช่น เดียวกับ เซลล์บริเวณ ระ บบ ลิม บิก (Limbic System) ระยะพัฒนาการของเซลล์สมองเท่ากับเด็กวัยทารกในครรภ์อายุ 7-8 เดือนเท่านั้น พฤติกรรมของ เด็กออทิสติกจึงเสมือนถูกควบคุมโดยสมองที่มีความบกพร่องดังกล่าวมาแล้ว นักประสาทวิทยาเชื่อ ว่า การเกิดภาวะออทิสซึมเกิดจากความบกพร่องในช่วงการพัฒนาในวัยก่อนคลอดและในช่วงวัยทารก โรคบาง ชนิด เช่น หัดเยอรมัน การทำคลอดที่ไม่ถูกต้องก็มีความเป็นไปได้ที่ทำให้เกิดภาวะออทิสซึม ด้วย นอกจากนั้นแล้ว มลภาวะต่าง ๆ เช่น สารตะกั่วก็อาจมีส่วนด้วย เช่นกัน แม้จะมีเงื่อนไข หลายอย่างอธิบายความเป็นไปได้ที่ทำให้ เกิดภาวะออทิสซึม แต่นักวิจัยถึงด้านนี้ได้ให้คำแนะนําว่า โดยทั่วไปแล้วมักจะเกิดจากสาเหตุมากกว่าหนึ่งอย่าง สาเหตุของการเกิดภาวะออทิสซึมยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด แต่มีความเชื่อว่าเกิดจาก ความผิดปกติของ ระบบประสาท ระบบชีววิทยาและระบบสมอง ทำงานผิดปกติและการติดเชื้อต่าง ๆ ของมารดาส่งผลทำให้เกิด ความบกพร่องในพัฒนาการด้านต่าง ๆ และมีพฤติกรรมที่แตกต่างไปจาก พัฒนาการของคนทั่วไป 1.3 ลักษณะอาการของบุคคลออทิสติก เพ็ญแข ลิ่มศิลา (2538: 364) กล่าวว่า ลักษณะของอาการออทิสซึม (Autism) เป็น กลุ่มอาการ ผิดปกติที่แสดงพฤติกรรมให้เห็นว่าเด็กไม่สามารถพัฒนาการด้านสังคม การพูด การใช้ภาษา และการสื่อ ความหมายตามวัยได้เหมาะสม เด็กออทิสติกส่วนใหญ่จะมีลักษณะภายนอกที่ดูเหมือนเด็กปกติทั่วไป หน้าตา น่ารัก ในช่วงทารกจะมีพัฒนาการที่เป็นปกติไม่ว่าจะเป็นส่วนสูง น้ำหนักตัว การยิ้ม การนั่งการคว่ำและการเดินแต่ มีลักษณะที่สามารถสังเกตได้ในวัยทารกความผิดปกติที่แสดงให้เห็น 2 ลักษณะของอาการออทิสซึมคือเด็กร้องกวน มาก ส่งเสียงกรีดร้องทั้งวัน ทั้งคืน แม้ว่าจะอุ้ม ปลอบ อย่างไรก็ไม่หยุดร้อง เวลาอุ้มจะทำตัวแข็งขืน และร้องมาก ยิ่งขึ้น ในทางตรงกันข้าม ความผิดปกติที่สามารถสังเกตได้คือเด็กจะนอนนิ่งเงียบ ไม่ร้องกวน ไม่ว่าจะรู้สึกหิว หรือ เปียกเลอะเทอะจะดูเหมือนว่า เป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย ความผิดปกติที่เกิดขึ้นชัดเจน คือ การที่เด็กไม่ มีปฏิกิริยา ตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสของมารดาจากการอุ้มหรือกอดรัด เด็กจะไม่ซุกตัว หรือ โอบกอดตอบ เด็กจะไม่ แสดงความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก ไม่มองหน้าหรือสบตาผู้อื่นไม่มอง ตามเสียงเรียกไม่แสดงอาการอยากรู้ อยากเห็นสิ่งใดจะมองไปรอบๆ ตัวอย่างไร้จุดหมาย นอกจากจะ พบเห็นสิ่งที่ถูกใจ เช่น แสงไฟ พัดลมที่หมุนก็จะ
11 จ้องมองอยู่เป็นเวลานานๆ ลักษณะของแต่ละระดับ อาการในเด็กออทิสติกอาจจําแนกระดับอาการกว้าง ๆ ได้3 ระดับ (ชูศักดิ์จันทยานนท์. 2546: online) ดังนี้ 1. ระดับกลุ่มที่มีอาการน้อย เรียกว่ากลุ่มที่มีอาการออทิสติกระดับเล็กน้อย (Mild Autism) หรือบางครั้ง เรียก กลุ่มออทิสติกที่มีศักยภาพสูง (high-functionning autism) ซึ่งจะมีระดับ สติปัญญาปกติหรือสูงกว่าปกติมี พัฒนาการทางภาษาดีกว่ากลุ่มอื่น แต่ยังมีความบกพร่อง ในทักษะด้านสังคม การรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของบุคคล อื่น ในปัจจุบันมีผู้เรียกเด็กกลุ่มนี้อีกชื่อหนึ่ง ว่า แอสเพอร์เกอร์(Asperger Syndrome) ตามชื่อแพทย์ผู้ค้นพบ ซึ่ง ถือว่าเป็นประเด็นทางวิชาการ ในการแจงรายละเอียดของปัญหาเพื่อกำหนดแนวทางการช่วยเหลือที่ชัดเจนขึ้น แต่ โดยสภาพพื้นฐาน ความต้องการจําเป็นทั้งกลุ่มออทิสติกที่มีศักยภาพสูงกับกลุ่มเพอร์เกอร์ไม่มีความแตกต่างกัน มากนัก 2. ระดับกลุ่มที่มีอาการปานกลาง เรียกว่ากลุ่มที่มีอาการออทิสติกระดับปานกลาง (Moderate Autism) ในกลุ่มนี้จะมีความล่าช้าในพัฒนาการด้านภาษาการสื่อสาร ทักษะสังคม การเรียนรู้รวมทั้งด้านการช่วยเหลือ ตนเองและมีปัญหาพฤติกรรมกระตุ้นตนเองพอสมควร 3. ระดับกลุ่มที่มีอาการรุนแรง เรียกว่ากลุ่มที่มีอาการออทิสติกระดับรุนแรง (Severe Autism) ในกลุ่มนี้ จะมีความล่าช้าในพัฒนาการเกือบทุกด้านและอาจเกิดร่วมกับภาวะอื่น ๆ เช่น ปัญญาอ่อนรวมทั้งมีปัญหา พฤติกรรมที่รุนแรง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงลักษณะของเด็กออทิสติกที่เป็นข้อจํากัดต่อการเรียนรู้มีหลายประการ สรุปได้ดังนี้ 1. ข้อจํากัดด้านภาษาของการสื่อความหมาย ภาษา ประกอบด้วย ความเข้าใจและ การพูด การสื่อ ความหมาย ได้แก่ การแสดงด้วยกิริยาท่าทางเพื่อส่งสารให้ผู้อื่นเข้าใจเจตนาของตน ข้อจํากัดด้านนี้จึงส่งผลที่ สำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็ก 2. ข้อจำกัดด้านสังคมและอารม์อาทิการปรับตัวเข้ากับกลุ่มการมีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่ม การควบคุมอารมณ์ การอยู่ร่วมกัน หรือทำกิจกรรมกับกลุ่มย่อมส่งผลต่อคุณภาพการเรียนรู้ของเด็ก 3. ข้อจํากัดด้านพฤติกรรมและพฤติกรรมซ้ำ เด็กออทิสติกบางคนมีปัญหาพฤติกรรม เช่น ความสนใจสั้น หรือที่เรียกว่า สมาธิสั้นหรือบางคนมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ เป็นพฤติกรรมกระตุ้นของ ตนเอง เช่น เล่นนิ้วมือตลอดเวลา ส่งเสียงอยู่ในลำคอตลอดเวลา ทำให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้จํากัด
12 4. ข้อจํากัดด้านการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส การตอบสนองหรือการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสที่ผิดปกติ ย่อมส่งผลต่อคุณภาพการรับรู้และเรียนรู้ของเด็ก เช่น การแยกความ เหมือนหรือความแตกต่าง ด้วยสายตาย่อม ส่งผลกระทบต่อการอ่าน 5. ข้อจํากัดด้านการคิดอย่างมีจินตนาการ จินตนาการเป็นการคิดต่อยอดและขยาย ผล หากเด็กมี ข้อจํากัดด้านนี้การเรียนรู้ย่อมเป็นไปได้ไม่เต็มที่ 6. ข้อจำกัดด้านการเรียนรู้ในเด็กออทิสติกบางคนระดับความสามารถในการเรียนรู้เช่น ทักษะการสังเกต การจับคู่การจัดลำดับ และอื่น ๆ มีความจำกัดซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้เชิงวิชาการ 7. ข้อจํากัดด้านพัฒนาการทางกายบางด้านการไม่ประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อมือ และตา ความไม่ คล่องแคล่วของกล้ามเนื้อมัดใหญ่การเคลื่อนไหวทางร่างกายที่ดูไม่สมดุล เช่น งุ่มง่าม ทำให้เด็กขาดทักษะการ เคลื่อนไหว ทำให้การเรียนรู้บางด้านที่ต้องใช้ทักษะด้านนี้มีความจำกัด เช่น งานการประดิษฐ์ที่มีความละเอียด 1.4 เทคนิคการสอนบุคคลออทิสติก แก้วตา บุปผเวส (2548: 16 – 19) เด็กออทิสติกเป็นเด็กที่ต้องดูแลทั้งทางด้านจิตใจ ด้านสังคม และการพัฒนาการ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากปัญหาภาวะในตัวเด็กเองที่ทำให้เราต้องคำนึงถึง การสอน เด็ก ๆ เหล่านั้น จึงมีเทคนิคต่าง ๆ มากมายดังที่กล่าวมาข้างต้นและสรุปได้ดังต่อไปนี้ 1. สอนโดยให้ความอบอุ่นและใส่ใจ ปฏิบัติสม่ำเสมอจนเด็กเกิดความคุ้นเคยจน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในตัว เขาหรืออีกอย่างหนึ่งก็เป็นกําลังใจให้เขาด้วย 2. คอยหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระทบความรู้สึกในด้านลบหรือกระตุ้นพฤติกรรมที่ไม่สมควร 3. ทำความเข้าใจกับบุคคลรอบข้างตัวเด็กให้เข้าใจพฤติกรรมและวุฒิภาวะของเขา 4. หมั่นพูดหมั่นทำสิ่งง่าย ๆ ให้ได้เห็น ให้ได้ยินตลอดเวลา เพื่อเป็นตัวอย่างให้เกิด การทำตามโดยไม่ เร่งรัด 5. เมื่อเด็กเริ่มสนใจหรือยอมรับในสิ่งต่าง ๆ แล้วก็ค่อย ๆ เพิ่มความรู้ความเข้าใจให้แก่เด็กมากขึ้น 6. ใช้ภาษาที่เด็กมักใช้เสมอ เพื่อให้เขาเข้าใจง่าย สร้างความสนุกสนาน 7. ฝึกให้เด็กมีระเบียบวินัยและพื้นฐานของสังคมตามโอกาสเหมาะสม 8. ให้สมาชิกในครอบครัวยึดแนวและกลวิธีเดียวกันเพื่อไม่ให้เด็กสับสน
13 9. หัดให้เด็กออทิสติกกับเด็กปกติอื่น ๆ มีจิตใจโอบอ้อมอารี เป็นการสร้าง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กโดยให้ พ่อหรือแม่สังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ แล้วจึงเพิ่มจำนวนคนและเพิ่มกติกา ในการเล่น 10. พาเด็กออกไปหาประสบการณ์นอกบ้านเพื่อไปสัมผัสคนในสังคมเป็นการเรียนรู้ชีวิตจริง เช่น ไป ห้างสรรพสินค้า ทานอาหาร ไอศกรีม เป็นต้น 11. ค่อย ๆ เพิ่มความรู้ความเข้าใจในสิ่งรอบตัวที่สลับซับซ้อนมากขึ้นตามจังหวะ และโอกาส เป็นการ พัฒนาความสามารถของเด็กไปทีละขั้น 1.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับบุคคลออทิสติก ออทิสติก จัดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษซึ่งจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ โดยการกระตุ้น และส่งเสริมพัฒนาการตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม พัฒนาการศักยภาพและเตรียมความพร้อมให้สอดคล้องกับความ ต้องการจำเป็นของเด็ก(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, มปป, หน้า 1) เด็กออทิสติกบางคน พบว่ามี ปัญหาพัฒนาการช้าทุกด้านร่วมด้วยดังนั้นควรมีการส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านควบคู่กัน ด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่มัก ไม่ค่อยมีปัญหา เดิน วิ่งคล่องแคล่ว ส่วนด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กมักพบปัญหาได้บ่อยพอสมควรเด็กอาจมีลักษณะ งุ่มง่าม การหยิบจับไม่ถนัดการประสานงานการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อไม่ค่อยดีการเสริมสร้างพัฒนาการด้าน กล้ามเนื้อเน้นตามปัญหาเป็นหลักเช่น ฝึกการเพิ่ม แรงของกล้ามเนื้อโดยการ ปั้น บีบ ดึง ตัดยกของ เป็นต้น ฝึก การใช้นิ้วมือหยิบจับ โดย การร้อยลูกปัดเอาลูกกลมเสียบหลักระบายสีให้อยู่ในกรอบ และที่สำคัญคือการ รับประทานอาหาร หยิบจับช้อนเอง ซึ่งเป็นการฝึกที่ได้ผลดี เนื่องจากต้องทำสม่ำเสมอ 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการปั้น 2.1 ความหมายของกิจกรรมการปั้น ความหมายของการปั้น พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542: 666) การปั้น หมายถึง การที่ผู้เรียนได้กระทำ หรือลงมือปฏิบัติการด้านการปั่นโดยนำเอาวัสดุอ่อนๆ เช่น ขี้ผึ้ง ดินเหนียว มาปั้นเป็นรูป ต่างๆ ตามต้องการ เช่น ปั้นรูปคน รูปสัตว์ เป็นต้น ไพบูลย์ อมรประภา (2556: ออนไลน์ กล่าวว่า การปั่นหมายถึง การนำวัสดุที่เป็นเนื้ออ่อน ที่ สามารถเปลี่ยนรูปได้ เช่น ขี้ผึ้ง ดินเหนียว กระดาษผสมกาว ขี้เลื่อยผสมกาว ปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น มาผ่าน กระบวนการในการเพิ่มวัสดุให้เกิดเป็นรูปทรงตามต้องการโดยใช้มือ และวัสดุอุปกรณ์ชนิดต่างๆ ช่วยในการสร้าง งานปั้น นอกจากนี้ งานปั่นยังเป็นงานศิลปะที่สามารถสัมผัสกับสวนลึก ตื้นหนา และบางได้ตามความจริง
14 วรรณวัฒก์ ปวุตตานนท์ (2556: ออนไลน์) กล่าวว่า การปั้นหมายถึง การนำเอาวัสดุอ่อนที่สามารถ รวมกันได้ หรือแบ่งแยกออกจากกันได้ เช่น ดินเหนียว ดินน้ำมัน ขี้ผึ้ง มาตกแต่งทำเป็นรูปทรงต่างๆ ตามต้องการ โดยวิธีขยำ บีบ นวด ตัด ขัด ขูด ปะ เป็นต้น จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่าการปั้นหมายถึง การนำเอาวัสดุเนื้ออ่อนที่ได้จากวัสดุธรรมชาติหรือวัสดุ สังเคราะห์ ที่สามารถแยกหรือเปลี่ยนรูปได้ มาผ่านกระบวนการในการเพิ่ม- ลดวัสดุ หรือตกแต่งให้เกิดเป็นรูปทรง ต่างๆ ตามต้องการ โดยการบีบ ขยำ ขัด ปะ ขูด และนวด 2.2 ความสำคัญของกิจกรรมการปั้น การปั้นช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยไม่ว่จะเป็นการพัฒนาทางด้านกล้ามเนื้อ มือ พัฒนา ด้านความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการ พัฒนาทางด้านสติปัญญา ถือว่าการปั่นนั้นมีความสำคัญต่อการพัฒนา เกือบทุกด้าน วิจิตรา วิเศษสมบัติ. (2539: 49) ได้กล่าวว่า การปั้นเป็นประสบการณ์ที่จัดขึ้นเพื่อให้เด็กได้เรียน รู้ ทดลองการทำงานที่มี 3 มิติ รวมถึงได้ถ่ายทอดความคิด จินตนาการ นอกจากความสนุกสนานแล้ว ยังช่วยให้เด็ก มีพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือ และส่งเสริมทักษะการใช้มือ และตาด้วยสบการณ์ทางด้านศิลปะมีประโยชน์สำหรับ เด็กอย่างยิ่ง ศิลปะมีหลายประเภท เช่น ตัด การฉีก การวาด เป็นต้น ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการ ในด้านต่างๆ การจัดประสบการณ์ทางด้านศิลปะควรส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ความคิด และจินตนาการในการสร้างสรรค์ ผลงานของตนเอง การจัดประสบการณ์ควรมุ่งเน้นด้านสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้มีโอกาส ในการสำรวจ ทดลอง ค้นคว้า แก้ปัญหา วิธีการสอนศิลปะในปัจจุบันเราควร ให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ส่งเสริมให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นอย่างมีอิสระ ให้เด็กได้มีส่วนในการเลือกเรียน ส่งเสริมให้เด็กได้รู้จักการ แก้ปัญหา และมุ่งพัฒนาให้เด็กมีประสบการณ์ตรงซึ่งจะเป็นประสบการณ์ที่ยั่งยืนตลอดไป กรองกมล บุตรขาว. (2546 : 26) ได้กล่าวถึงความสำคัญของประสบการณ์การปั้นว่า ช่วย ให้เด็ก ได้เรียนรู้เกี่ยวกับรูปทรง ถ่ายทอดความคิดด้วยสื่อที่กำหนด นอกจากเด็กจะได้รับการพัฒนากล้ามเนื้อมือแล้ว ยัง ส่งผลต่ออารมณ์ในด้านความเพลิดเพลิน และรองรับอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วได้ เมรี เมเยสกี้ (Mary Mayesky. 2009: 295) ได้กล่าวว่า การปั่นสามารถช่วยให้เด็กได้มีความคิด และจินตนาการที่หลากหลาย เด็กสามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางศิลปะของเขาเองจากการปั้นดินเหนียว การปั้น ดินเหนียวไม่ทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่ายแต่อย่างใด ทุกคนสามารถทำกิจกรรมการปั้นได้ เพราะจะช่วยให้เด็กเกิด
15 ประสบการณ์ใหม่ๆ และมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี สิ่งที่สำคัญคือ เด็กไม่ควรถูกจำกัดในการสร้างสรรค์ผลงานของ แต่ละคน จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การปั่นมีความสำคัญต่อเด็กอย่างยิ่ง การปั้นจะช่วยให้เด็กมี ประสบการณ์ มีความคิดและจินตนาการที่หลากหลาย และกว้างไกล นอกจากนี้เด็กยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับรูปทรง ต่างๆ ผ่านการปั่น เด็กสามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางศิลปะของตนเอง เมื่อเด็กได้ลงมือปฏิบัติการปั้น และได้ สัมผัสกับเนื้อดิน ทำให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความเพลิดเพลิน 2.3 ประเภทของกิจกรรมการปั้น 2.3.1.ประเภทของงานปั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 2.3.1.1. งานปั้นแบบนูนต่ำงานปั้นแบบนูนต่ำ เป็นรูปปั้นที่มีแผ่นรองรับและภาพจะสูงจากพื้นเพียง เล็กน้อยมองเห็นเพียงด้านหน้าด้านเดียว เช่น เหรียญ พระเครื่อง เป็นต้น 2.3.1.2. งานปั้นแบบโนนสูง เป็นรูปปั้นที่มีแผ่นหลังรองรับคล้ายกับรูปนูนต่ำคล้ายกับรูปนูนต่ำแต่ภาพจะ สูงจากพื้นมากกว่ามีการลดรันตามความเหมาะสมเช่นรูปประดับฝาผนังเป็นต้น 2.3.1.3. งานปั้นแบบลอยตัวเป็นรูปปั้นที่สามารถมองเห็นได้มองเห็นได้รอบด้านรอบด้านมีลักษณะมี ลักษณะเป็นภาพสามมิติมีฐานรองรับเช่นรูปปั้นอนุสาวรีย์เป็นต้น 2.3.2.ประเภทวัสดุแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 2.3.2.1. วัสดุธรรมชาติเป็นวัสดุที่มีอยู่ตามธรรมชาติและมีคุณสมบัติในการนำมาปั้นรูปต่างๆ เช่นดินเหนียวเป็นต้น 2.3.2.2. วัสดุสังเคราะห์เป็นวัสดุที่มนุษย์ผลิตขึ้นเองหรือสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ในการปั้น โดยเฉพาะ เช่น ดินน้ำมัน แป้งโด เป็นต้น 2.3.3 ลักษณะการปั้นรูป ประเสริฐ ศิลรัตนา (2529 : 49-50; อ้างอิงจาก สมศรี สมบูรณ์. 2546 หน้า 37) ได้แบ่ง การปั้นเป็นรูปทรงต่างๆ ดังนี้ 2.3.3.1 กาวปั้นรูปอิสระ เป็นการปั่นที่ผู้ปั้นนึกคิด และถ่ายทอดออกมาโดยไม่คำนึง ว่ารูปนั้นจะ เหมือนจริงหรือไม่ การปั่นผู้ปั้นสามารถปั้นตามใจชอบ ก่อนการปั่นต้องให้เด็กได้กำหนดว่าจะปั้นรูปแทนคำความรู้ อะไร เมื่อปั้นเสร็จให้ตั้งชื่อผลงานให้สอดคล้องกับลักษณะของงานให้มากที่สุด
16 2.3.3.2 การปั้นรูปเรขาคณิต เป็นการปั้นที่ต้องสร้างเหลี่ยม ลิ้น หรือส่วนโค้ง และ มุม เช่น รูปทรงสามเหลี่ยม รูปทรงสี่เหลี่ยม รูปทรงกรวย รูปทรงกระบอก และรูปทรงกลม 2.3.3.3 การปั้นรูปแบบธรรมชาติ เป็นการปั้นลักษณะรูปธรรม ซึ่งมีรูปแบบให้เปรียบเทียบขนาด สัดส่วน ลักษณะต่างๆ เช่น คน สัตว์ ต้นไม้ เป็นต้น จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าประเภทการปั่นสามารถแบ่งเป็น การปั้นแบบนูนสูง นูนต่ำ และแบบ ลอยตัว ซึ่งมีลักษณะ และเอกลักษณ์ที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไป วัสดุที่นิยมนำมาใช้ในการปั่นส่วนใหญ่ได้มาจาก วัสดุธรรมชาติ และวัสดุสังเคราะห์ นอกจากนี้เด็กยังสามารถปั้นลักษณะรูปทรงที่ตนเองถนัดอีกด้วย เช่น รูปทรง อิสระ รูปทรงเลขาคณิต หรือรูปทรงแบบธรรมชาติ 2.4 ขั้นตอนการฝึกกิจกรรมการปั้น 1. วิธีการปั้น มาเยสกี้ (Mayesky and others. 1995: 156 - 157) กล่าวว่า วิธีการปั้นของเด็ก ปฐมวัย แบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ 1. การปั้นแบบริเคราะห์ (Analysis) เป็นการปั้นที่เริ่มต้นจากก้อนดินทั้งก้อน ด้วยการดึง ส่วน ต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบย่อย ให้ยื่นออกมาเป็นรูปร่างลักษณะต่างๆ เช่น แขน ขา ศรีษะ เป็นต้นการปั้นใน ลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเด็กมีความคิด และจินตนาการแบบธรรมชาติ กล่าวคือ เด็กจะมองเห็นส่วนรวมก่อน อันดับแรก แล้วจึงเห็นส่วนย่อยภายหลัง เช่น เมื่อพูดถึงต้นไม้ เด็กจะเห็นต้นไม้ทั้งต้นก่อน แล้วจึงย่อยลงมาเป็น ลำดับ คือ กิ่ง ก้าน และใบ ซึ่งเป็นความคิดที่ได้จากการสังเกต 2. การปั้นแบบสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นการปั้นจากส่วนย่อยที่ต้องการก่อนแล้วจึง นำมาต่อ กันเป็นลักษณะต่างๆเช่น แขน ขา ศรีษะ นำมาต่อกันเป็นรูปร่างขึ้น การปั้นลักษณะนี้แสดงให้เห็นว่า เด็กมี ความคิดจากส่วนย่อยก่อนส่วนรวม เช่น เมื่อเด็กปั่น เด็กจะนึกถึงว่าคนมีหัว มีตัว มีแขนสองข้าง มีขาสองข้าง แล้ว จึงลงมือปั้นส่วนต่างๆ ตามที่คิดไว้ หลังจากนั้นเด็กจะคิดถึงความสัมพันธ์ของสวนเหล่านั้นว่าส่วนใดควรติดกับส่วน ใดของร่างกาย แล้วจึงต่อเข้าด้วยกันเป็นส่วนรวม นอกจากนี้มาเยสกี้ (Mayesky. 1995: 200 - 203) ได้กล่าวต่อ อีกว่า การเรียนรู้ด้านการ สร้างงาน 3 มิติจากดินของเด็กปฐมวัย มีพัฒนาการตามกระบวนการดังนี้ 2.1 เริ่มสำรวจ (Random Manipulatiom) เป็นวิธีการที่เด็กจับ สำรวจ และทุบดิน อย่าง ไม่มี ความหมาย เด็กสามารถทุบดิน ทำให้ดินแบน เป็นช่วงที่มีการผสมผสานวัสดุอื่นๆ กับดิน และเด็กได้ค้นพบว่า ตนเองสามารถสร้างวัสดุขึ้นใหม่ได้จากการใช้วัสดุหลายๆ ประเภทประกอบกันได้
17 2.2 การทุบ และม้วน (Patting and Rolling) เป็นกระบวนการขั้นที่เด็กสามารถควบคุม นิ้วมือ และมือได้ดีขึ้น สามารถทำให้เป็นแผ่นแบน และม้วนได้ เด็กจะเกิดความสนุกสนานกับการควบคุมมือไปในทิศทาง ที่ตนเองต้องการได้ 2.3 การปั้นเป็นก้อน และสี่เหลี่ยม (Circles and Rectangles) ระยะนี้เด็กสามารถปั้น เป็นรูป พื้นฐานได้ เช่น ปั้นวงกลม สี่เหลี่ยม กระบวนการนี้เกิดจากการที่เด็กได้ค้นหา ได้ทดลอง และได้ลงมือกระทำ 2.4 การปั้นคนเด็กอายุระหว่าง 4-5 ปีจะมีความสามารถในการผสมผสานรูปทรงพื้นฐานของการ ปั้นจากขั้นการปั้นในระยะต้นปั้นให้เป็นรูปคนด้วยการปั้นดินเป็นก้อนกลมแล้วนำมาต่อเป็นหัวการปั้นตัวเด็กจะใช้ วิธีพึงดึงออกมาจากส่วนกลางและจะปั้นคนที่มีตัวเป็นก้านเมื่ออายุ 5 ปีขึ้นไปเด็กจะมีการปั้นรูปทรงที่ซับซ้อนมาก ขึ้นโดยจะปั้นคนที่มีแขนขานิ้วมือและเท้าสามารถปั้นสิ่งที่มีความหมายสำหรับตนได้ 2.4.1.ปั้นลักษณะเฉพาะเป็นระยะที่เด็กจะปั้นโดยการใช้ลักษณะเฉพาะตัวคือการปั้นงาน 2 หรือ 3 มิติด้วยวิธีการของแต่ละคน 2.4.2.สัญลักษณ์เด็กจะปั้นเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งที่มีความหมายสำหรับตนสิ่งใดที่มีความหมาย มากก็จะมีการเน้นเช่นปั้นให้ใหญ่ กว่าสิ่งที่มีความหมายน้อยหรืออาจนำวัสดุอื่นมาเสริมเช่นนำกระดุมมาทำเป็นตา เป็นต้น 2.4.3.การตั้งชื่อวัตถุอาจจะเริ่มตั้งชื่อให้กับวัตถุที่ตนเองปั้นแสดงให้เห็นถึงความคิดและความ ต้องการของเด็กโดยผ่านการทำงานด้านศิลปะ จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าวิธีการปั้นมี 2 วิธีคือการปั้นแบบวิเคราะห์และการปั้นแบบสังเคราะห์การปั้นแบบ วิเคราะห์นั้นเป็นการปั้นที่เริ่มจากก้อนดินทั้งก้อนแล้วดึงส่วนประกอบย่อยให้ยื่นออกมาตามลักษณะที่ต้องการ วิธีการปั้นนี้เป็นการมองเห็นส่วนรวมก่อนแล้วจึงเห็นส่วนย่อยและการปั้นแบบสังเคราะห์เป็นการตั้งที่เห็นจาก ส่วนย่อยก่อนแล้วจึงนำมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นการมองเห็นส่วนย่อยก่อนส่วนรวมส่วนการเรียนรู้ด้านการต้าน 3 มิตินั้นจะมีพัฒนาการตามกระบวนการคือเริ่มการสำรวจเริ่มการทุบและม้วนเริ่มการปั้นเป็นก้อนและสี่เหลี่ยม และเริ่มการตั้งคนเมื่อเด็กอายุ 5 ปีขึ้นไปเด็กจะสามารถตั้งสิ่งที่มีความหมายสำหรับตนได้โดยใช้รูปทรงที่เป็น เอกลักษณ์เฉพาะบุคคลเช่นปั้นลักษณะเฉพาะใช้สัญลักษณ์ใช้สัญลักษณ์และตั้งชื่อวัตถุเป็นต้น
18 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการปั้น งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศ วุฒิภา สว่างสุข (2554, น. บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยการศึกษาการจัดกิจกรรมการปั้น ใน ห้องเรียนคู่ขนานสำหรับเด็กออทิสติกระดับประถมศึกษาปี ที่ 1-3 ที่ส่งเสริมการพัฒนาเด็ก ออทิสติกในด้าน ร่างกาย อารมณ์สังคม และสติปัญญา รวมทั้งการฝึกใช้ประสาทสัมผัสทั้ง5 ให้ทำหน้าที่สัมพันธ์กัน พบว่ากิจกรรม ศิลปะที่ส่งเสริมพัฒนาการ ด้านร่างกาย เพื่อพัฒนา กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ กล้ามเนื้อมัดเล็ก และการควบคุมการ เคลื่อนไหว ด้านอารมณ์เพื่อลด อารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ด้านสังคม เพื่อให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นมากขึ้น ด้าน สติปัญญา เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ และสามารถบูรณาการณ์กิจกรรมศิลปะกับวิชาอื่น ๆ ได้ผลที่ได้จาก การจัด กิจกรรมศิลปะส่งผลให้เด็กมีผลตอบรับที่ดีขึ้นในทุกด้าน สาธิตา คงบุญ และ นิตย์บุหงามงคล (2549, น. บทคัดย่อ) ผลของการจัดกิจกรรมการปั้นที่มีต่อ ความสามารถด้านการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กการประสานงานระหว่างมือและตา และความสามารถด้านการเขียนลีลา เส้น กรณีศึกษาเด็กออทิสติกระดับอนุบาล ผลของการใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ไม่ว่าจะเป็น การปั้นดิน ฉีกกระดาษ พับกระดาษ ขยำกระดาษ ล้วนเป็น กิจกรรมที่ทำให้เด็กได้ใช้กล้ามเนื้อมือนิ้วมือ และสายตา ส่งเสริมให้เด็กมี ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และเป็นไปตามหลัก 3R Repetitions Relaxation และ Routine ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เด็กออทิสติกเกิดการเรียนรู้และมีความ มั่นใจในการทำงาน คำวัง สมสุวรรณ (2551: 74-76) ให้ศึกษาเกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อมัด เล็กเด็กปฐมวัยโดยการศัลยกรรมการปั้นดินเพราะว่าเด็กได้รับการจัดกิจกรรมการปั้นดินมีพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อ เล็กโดยเฉลี่ยรวมในแต่ละช่วงชะตาเพิ่มขึ้นก่อนการจัดกิจกรรมเนื่องจากการจัดกิจกรรมการปั้นดินเป็นการจัด กิจกรรมที่เน้นภาคปฏิบัติโดยเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกประสบการณ์ในการใช้กล้ามเนื้อได้อย่างอิสระ ตามความสามารถและความสนใจของแต่ละคนอย่างเต็มที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริงโดยการจัดกิจกรรม การปั้นได้ใช้ทางกล้ามเนื้อมือ นิ้วมือและการประสานสัมพันธ์มือกับตาในการปั้นดินเป็นรูปร่างตามต้องการและ กิจกรรมการปั้นดินยังได้ส่งเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อฝ่ามือข้อมือและนิ้วมือในการบีบ ดึง นวด ซึ่งส่งผลให้เพิ่ม ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมือและมีทักษะในการใช้มือนิ้วมือให้ทำงานได้คล่องแคล่ว จากที่กล่าวมานั้นสรุปได้ว่ากิจกรรมการปั้นช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคมดีขึ้น เนื่องจากเด็กได้มีโอกาสทำกิจกรรมที่ลงมือปฏิบัติจริงได้คือการใช้ประสาท
19 สัมผัสทั้ง 5 นอกจากการปั้นจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์สังคม และสติปัญญาแล้วยังช่วย ให้เด็กมีทักษะการเขียนมากขึ้นด้วย เนื่องจากเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ให้โอกาสเด็กในการสร้างสิ่งที่มีความหมายกับ ตนเองและได้มีโอกาสลงมือปฏิบัติ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศ ซิลเวอร์(1975, น. 29 -49) ได้ศึกษาทำการสังเกตพัฒนาการทางกิจกรรมการปั้นของเด็ก พิเศษ กลุ่มหนึ่ง เพื่อที่จะค้นหาลักษณะพิเศษที่ซ้อนอยู่ในตัวเด็กผลการศึกษาและการสังเกตพบว่า เด็กเหล่านี้ใช้ในการ แสดงออกความรู้สึกความนึกคิดและพัฒนาความสามารถพิเศษที่ซ้อน อยู่ในตัวเด็กได้อีกด้วย โทมัส อลิซาเบธ (2019, น. บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยออกแบบกิจกรรมศิลปะบาบัด สำหรับเด็ก ออทิสติกในประเทศอินเดีย จำนวน 8 กิจกรรม โดยมีกลุ่มวิจัยเป็นเด็กออทิสติก จำนวน 9 คน วัดคะแนน พัฒนาการทางศิลปะก่อนทดลองและหลังทดลอง มีการวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่าง ตามหลักทฤษฎีพัฒนาการศิลปะ ของ Lowenfeld เมื่อจัดกิจกรรมแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงไปใน ทิศทางที่ดีขึ้นเด็กออทิสติก มีทักษะในกระบวนการ คิดด้านการรับรู้และเข้าใจ ทักษะทางสังคม รวมถึงมีการใช้กล้ามเนื้อที่ดีขึ้น มิเรนด้า (2017, น. บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเพื่อประเมินประสิทธิผลของการจัด กิจกรรมการ ปั้นในการสอนเด็กออทิสติกการทดลองเพื่อเข้าถึงปัญหาวิธีการในการบำบัดด้วยกิจกรรมการปั้นแบบกลุ่มนี้จะช่วย ให้เด็กออทิสติกพัฒนา ปฏิสัมพันธ์และยังลดอาการสมาธิสั้นและการอยู่ในโลกของตนเอง ได้เป็นอย่างดี จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการปั้นพบว่าการจัดกิจกรรมการปั้นมีบบาทสำคัญในการ พัฒนาส่งเสริมการเรียนรู้ทั้งในเด็กปกติและเด็กออทิสติก กิจกรรมการปั้นเป็น กระบวนการที่จะช่วยส่งเสริม พัฒนาการในด้าน การควบคุมอารมณ์ด้านสังคม เสริมสร้างสมาธิลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เด็กจะได้เรียนรู้การ ใช้ประสาทสัมผัส และช่วย พัฒนาทักษะในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญให้สามารถทำงานอย่าง มีประสิทธิภาพ
20 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเขียน 3.1 ความหมายของการเขียน การเขียนเป็นทักษะหนึ่งของการใช้ภาษา ไม่ต้องได้รับการฝึกฝนจนชำนาญเพื่อที่จะถ่ายทอด ความรู้ความคิดของตนให้ผู้อื่นเข้าใจซึ่งมีผู้ให้ความหมายของการเขียนไว้มากมายดังนี้ ราศี ทองสวัสดิ์ (2527: 182) กล่าวถึงการเขียนว่าเป็นการฝึกกีฬาการใช้มือให้เด็กมี ความพร้อมในการเขียนสามารถบังคับกล้ามเนื้อมือได้ตามต้องการ หรรษา นิลวิเชียร (2535: 232-233) กล่าวถึงการเขียนว่าเด็กจะพัฒนาความสามารถใน การเขียนจากขั้นง่ายๆไปสู่ขั้นที่ซับซ้อนขึ้นทั้งนี้เพื่อแสดงออกถึงความประทับใจของตนของตนเพื่อแลกเปลี่ยน ความรู้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้หรือเพื่อสนองเพลงบันเทิงเด็กต้องการประสบการณ์การทำเครื่องหมายและการ ทดลองเขียนคำประโยคเพื่อจะได้เกิดการค้นพบว่าเครื่องหมายเหล่านั้นมีความหมาย สรุปได้ว่าการเขียนในเด็กปฐมวัยหมายถึงการที่เด็กขีดเขียนถ่ายทอดความคิดออกมาอย่างมี ความหมายเด็กสามารถบอกได้ว่าเขาเขียนอะไรการเขียนของเด็กจะไม่สวยงามหรือถูกต้องตามหลักการเขียนแต่ การเขียนของเด็กจะเป็นไปตามพัฒนาการและความสามารถเฉพาะของแต่ละคน 3.2 ความสำคัญของการเขียน การเขียนเป็นทักษะหนึ่งในทักษะทางภาษาทั้ง 4 ด้านซึ่งมีความสำคัญในการถ่ายทอดสื่อความหมาย ให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจซึ่งมีผู้ให้ความสำคัญของการเขียนรายดังนี้ สนิท ตั้งทวี (2529: 118) ได้สรุปความสำคัญของการเขียนเอาไว้ดังนี้ 1.เป็นเครื่องแสดงออกทางความรู้ความคิดและความรู้สึกของมนุษย์ 2.เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดความเจริญของมนุษย์ 3.เป็นเครื่องมือสื่อสารในอดีตปัจจุบันและอนาคต 4.เป็นเครื่องมือใช้สนองความปรารถนาของมนุษย์คลื่นความรักความเข้าใจเป็นต้น 5.เป็นเครื่องสำคัญทางวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดมรดกทางสติปัญญาของมนุษย์ 6.เป็นสิ่งที่แพร่กระจายความรู้ความคิดให้ก้าวไกล
21 7.เป็นสื่อกลางที่ให้ความรู้ความคิดและความเพลิดเพลินแต่คนทุกเพศทุกวัย 8.เป็นบันทึกทางสังคมที่ให้ประโยชน์แต่คนรุ่นปัจจุบันและอนาคต 9.เป็นงานอาชีพที่สำคัญอย่างหนึ่งในปัจจุบัน นภดล จันทร์เพ็ญ (2531:9) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการเขียนไว้ว่า 1.การเขียนเป็นการสื่อสารของมนุษย์ 2 การเขียนเป็นเครื่องมือถ่ายทอดความรู้ 3.การเขียนสามารถสร้างความสามัคคีในมนุษย์ชาติ 4.การเขียนเป็นเครื่องระบายออกทางอารมณ์ของมนุษย์ นฤมล เฉียบแหลม (2545: 22) กะว่าการเขียนมีความสำคัญคือ เป็นวิธีการสื่อสารอย่างหนึ่งที่ ผู้เขียนส่งถึงผู้รับโดยการเขียนนั้นสามารถแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกอารมณ์เสียทีความต้องการภูมิปัญญาและ ประสบการณ์ของผู้เขียนการเขียนสามารถจะไหวได้นานและถือเป็นเครื่องมือถ่ายทอดวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง สรุปได้ ว่า การเขียนมีความสำคัญคือเป็นการสื่อสารที่ผู้เขียนส่งถึงผู้รับโดยที่การเขียนนั้นสามารถแสดงให้เห็นถึงความรู้สึก ความต้องการและประสบการณ์ภูมิปัญญาและประสบการณ์ของผู้เขียน 3.3 องค์ประกอบของการเขียน นักการศึกษากล่าวถึงเรื่ององค์ประกอบของการเขียนลายดังนี้ สนิท ฉิมเล็ก (2540: 181-182); และวรรณี โสมประยูร (2537: 142) กล่าวไว้สอดคล้องกันว่า การเขียนองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการคือ 1.ผู้เขียนหรือผู้ส่งสาร เขียนเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้เกิดงานเขียนขึ้นลักษณะต่างๆของผู้เขียนที่ช่วย ให้เกิดงานขึ้นได้แก่ความรู้การแสดงความคิดเห็นความสามารถในการใช้ภาษาลำดับความสำคัญ 2.ภาษาภาษาที่ใช้การเขียนมี3ระดับคือภาษาพูดภาษากึ่งแบบแผนและภาษาที่มีแบบแผน สามารถสอนผู้เขียนภาษาได้ทั้ง 3 ระดับแต่ความสำคัญอยู่ที่การเลือกใช้ภาษาอย่างเหมาะสมกับกาลเทศะบุคคล จุดมุ่งหมายสถานที่เวลาและสถานการณ์สิ่งแวดล้อม
22 3.เครื่องมือเครื่องมือที่ทำให้เกิดสารคือเครื่องเขียนเช่นดินสอปากกากระดาษมีอื่นๆที่ใช้แทนกัน ได้และตัวอักษรที่อาจจะเรียกอีกอย่างได้อีกอย่างหนึ่งว่าลายมือ ถ้าลายมือที่สะอาดเรียบร้อยถูกต้องและชัดเจนถือ ว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ 4.ผู้อ่าน ผู้อ่านเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ผู้เขียนต้องคำนึงถึงเพราะเป้าหมายสำคัญของการเขียน คือมุ่งให้ผู้อ่านเกิดการรับรู้และเข้าใจในสิ่งที่สื่อสารออกไปดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกเนื้อหาภาษาวิธีเขียนรูปแบบ การเขียนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับผู้อ่านจะทำให้การสื่อสารเกิดประสิทธิภาพ สรุปว่าองค์ประกอบของการเขียนมี 4 ประการคือ ผู้เขียนหรือผู้ส่งสารภาษาเครื่องมือผู้อ่านซึ่งใน การสอนเพื่อพัฒนาการเขียนผู้ต้องยึดหลักและคำนึงถึงเสมอก่อนที่จะวางแนวทางในการสอนเขียนเป็นปัจจัยที่ เกี่ยวข้องกับการสอนเพื่อพัฒนาในการเขียนให้เด็กคือด้านร่างกายสติปัญญาสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กและครูที่เป็น ต้นแบบในการเขียนให้กับเด็ก 3.4 ลักษณะการเขียน เคลย์ (Clay, 1979, อ้างถึงใน กรรณิการ์ เจริญศิลป์ชัย, 2545: 22) ได้กล่าวถึงลักษณะการเขียน ของเด็กไว้ดังนี้ 1.หลักของสัญลักษณ์คือเด็กเรียนรู้ว่าสิ่งของหรือเหตุการณ์สามารถแสดงออกได้โดยสัญลักษณ์คือ สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือหรือสัญลักษณ์ต่างๆได้ 2.หลักของการเลียนแบบคือเด็กมักจะลอกจากสิ่งที่เด็กพบรอบๆตัวเช่นโลโก้ต่างๆลอกชื่อรวมไป ถึงสิ่งต่างๆที่เขาคบบ่อยๆ 3.หลักของการยืดหยุ่นคือคือเด็กพบว่าการเขียนตัวอักษรนั้นถึงจะแข็งตัวเล็กตัวใหญ่ก็ยังเป็น ตัวอักษรตัวเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรจะมีความหมายเปลี่ยนไปเมื่อมีการสะกดหรือประกอบเข้าไปในประโยคเท่า นั้นเอง 4.หลักของการประดิษฐ์คือคือเด็กจะคิดระบบการเรียนขึ้นมาเองตัวอย่างเช่นคิดที่จะทำรายการ ของตัวอักษรหรือจำนวนคำที่สามารถอ่านเขียนได้เพิ่มเติมเข้ามาในงานที่ครูสั่ง 5.หลักของการระลึกได้คือเธอพูดถึงเรื่องการคิดได้ว่าเป็นแนวโน้มแนวของการกระทำซ้ำๆซึ่งบ่ง บอกถึงความสามารถและลักษณะนิสัยของเด็กได้
23 6.หลักของการแพร่ขยายคือหลักการแพร่ขยายนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้คำได้ตาม กฎเกณฑ์ของเด็กพฤติกรรมการเขียนอยู่ที่การพัฒนาของภาษาพูดพอเด็กไม่สามารถได้ยินทุกสิ่งที่เขาต้องการพูด ออกมาดังนั้นเด็กจะมีทักษะชำนาญเพียงใดขึ้นอยู่กับภาษารอบๆตัวเด็กด้วย สรุปได้ว่าลักษณะการเขียนของเด็กปฐมวัยจะเริ่มต้นจากการวาดรูปพัฒนาไปสู่การขีดขีดเขียน เลียนแบบสัญลักษณ์ที่พบการคัดลอกเกิดขึ้นซ้ำๆจนเกิดการเขียนที่คิดแบบขึ้นมาเองต่อจากนั้นจึงนำไปสู่การเขียน จริงที่เหมือนกับการเขียนของผู้ใหญ่ 3.5 แนวคิดและหลักการการเขียน พูนสุข บุญสวัสดิ์ (2532: 53-54) กล่าวว่าแนวทางการเขียนให้เด็กปฐมวัยควรเริ่มจากการเตรียม ความพร้อมทางการเขียนให้แก่เด็กๆในทุกๆด้านดังต่อไปนี้ 1.เป็นการเตรียมความพร้อมทางพัฒนาการต่างๆก่อนเขียนดังนี้ 1.1.การเตรียมความพร้อมด้านร่างกายเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับรู้ทางตาสามารถ สังเกตและจำแนกสิ่งที่เห็นการเคลื่อนสายตาจับภาพจากซ้ายไปขวาเตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อแขนมือนิ้ว มือให้มีนิ้วที่แข็งแรงในการจัดดินสอให้มั่นคงเตรียมความพร้อมที่จะใช้ตาและมือให้สัมพันธ์กันอย่างดีสามารถจะ ดินสอลากไปตามทิศทางและเป็นรูปร่างที่ตามองเห็นได้ 1.2.การเตรียมความพร้อมทางสติปัญญา เตรียมความพร้อมในการจำคือให้สามารถจำภาพของ ตัวอักษรและการจำลีลาการเขียนอักษรแต่ละตัวเตรียมความพร้อมในการคิดและการเข้าใจ 1.3.เตรียมความพร้อมด้านอารมณ์และจิตใจคือให้มีสุขภาพจิตดีอารมณ์ดีมีความสุขมีคุณธรรม 1.4.การเตรียมความพร้อมด้านสังคมคือรู้จักพูดคุยเล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น 2.การเตรียมความพร้อมในการเขียน 2.1 การฝึกลีลาในการเขียน 2.1.1 ฝึกเขียนเส้นอย่างเสรี 2.1.2 เขียนเส้นพื้นฐาน
24 - เส้นจรวดขึ้น ↑ - เส้นน้ำไหล ↓ - เส้นล้อรถ 3.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเขียน งานวิจัยในประเทศ ประไพ แสงดา (2544: บทคัดย่อ) ศึกษาผลการจัดกิจกรรมเล่านิทานไม่จบเรื่องที่มีต่อ ความสามารถด้านการเขียนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักเรียนชาย-หญิง อายุระหว่าง 4-5 ปี 15 คนการ วิจัยพบว่าความสามารถด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยในแต่ละช่วงระยะเวลาของการจัดกิจกรรมเสริมการเล่านิทาน ไม่จบเรื่องมีการเปลี่ยนแปลงขั้นความสามารถด้านการเขียนสูงขึ้น นฤมล เฉียบแหลม (2545: บทคัดย่อ) พัฒนาการด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักเรียนชายหญิงอายุระหว่าง 4-5 ปี จำนวน 10 คนผลการวิจัยพบว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติมีพัฒนาการ ด้านการเขียนสูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่.05 อนงค์ วรพันธ์ (2546: บทคัดย่อ) ศึกษาพัฒนาการอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการ จัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบการทำสมุดเล่มเล็กกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักเรียนชายหญิงอายุระหว่าง 5-6 ปีผลการวิจัยพบว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบการทำเล่มเล็กรายบุคคลกิจกรรมการ เล่านิทานประกอบการทางสมุดเล่มเล็กและกิจกรรมเล่านิทานแบบปกติมีพัฒนาการอ่านแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ 0.1 จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพัฒนาการเขียนของเด็กปฐมวัยสรุปได้ว่าการส่งเสริมและ พัฒนาการเขียนให้กับเด็กปฐมวัยสามารถส่งเสริมและพัฒนาการด้านการเขียนได้ด้วยการจัดกิจกรรมที่เน้นเป็น ศูนย์กลางกิจกรรมเช่นเรือศิลปะสร้างสรรค์กิจกรรมเล่านิทานประกอบทางสมุดเล่มเล็กให้เด็กได้มือทำปฏิบัติเอง และการให้การเสริมแรงซึ่งกิจกรรมนี้คิดว่าจะส่งเสริมการเขียนให้แก่เด็กได้อย่างดีคือกิจกรรมการปั้นเพราะเป็นใน ระดับที่เปิดให้เด็กได้ลงมือทำและทดลองและสื่อความหมายเป็นกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมือและตาให้ประสาน
25 สัมพันธ์กันซึ่งการที่เด็กจะสามารถเขียนได้นั้นต้องเพิ่มการประสานสัมพันธ์ระหว่างสมองสายตาและการเคลื่อนไหว ของกล้ามเนื้อมือ งานวิจัยในต่างประเทศ หลุยส์ (Louise S. 1993: Abstract) ได้ศึกษานิยามการวาดและการเขียนของเด็กวัยก่อนเรียนที่ แสดงบนกระดาษวัย 3 และ 4 ปีสิ่งที่เอกแต่ละคนเขียนหรือว่าเป็นกระดาษทำการทดลองการแสดงวาดภาพและ การเขียน 80 ครั้งและสังเกตที่เด็กนำมาใช้และท่าทางที่แสดงออกมาในการศึกษาครั้งนี้มีความสามารถในการ กำหนดการวาดและการเขียนและไม่สามารถแยกทั้ง 2 ประเภทออกจากกันได้หลักของการศึกษาครั้งนี้คือการ พัฒนาและใช้ระบบรหัสมีความสามารถเป็นเครื่องมือการใช้และความรู้สึกการว่าและการเขียนของเด็กเล็ก บลัด (Blood 1996:Abstract) ได้ศึกษาความสามารถทางภาษาของเด็กอายุ 3-5 ปีโดยการ ทดสอบพัฒนาการทางภาษาการรับรู้การเขียนและมีการศึกษาระยะยาวมีผู้ปกครองหรือเข้าร่วม 56 คนจาก การศึกษาพบว่าการเรียนรู้ภาษาของเด็กขึ้นอยู่กับความสนใจของเด็กและเจตคติของผู้ปกครองในกระบวนการ เรียนรู้เพื่ออ่านออกเขียนได้ เฮเลน มาลีรีน (Helene Marilynn 2003 : Abstract) องค์ประกอบทักษะการเขียนของเด็ก ปฐมวัยกับความสามารถในการพิมพ์เฉลี่ยและต่ำกว่าการพิมพ์เฉลี่ยกับเด็กเกรด 1 และเด็กเกรด 2 ซึ่งได้แบ่งเป็น 2 กลุ่มตามคะแนนจากแบบทดสอบลายมือติดทั้ง 2 กลุ่มได้รับมอบหมายให้ทำงาน 4 อย่างคือการเรียนแบบรูปแบบ เรขาคณิตรูปแบบการจับคู่ตัวอักษรกับด้านและการสัมผัสลายนิ้วมือตามลำดับสรุปได้ว่าติดเกรด 1 และเด็กเขต 2 กลุ่มคะแนนการพิมพ์เฉลี่ยมีความชำนาญในทักษะการพิมพ์ในเรื่องการสัมผัสลายนิ้วมือและจับคู่รูปภาพแสดงว่า คำสั่งตรงของการพิมพ์ตัวอักษรพัฒนาปริมาณและคุณภาพของตัวอย่างการเขียน
26 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติกที่เรียนด้วย กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินตาม ขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบบ แผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ โดยการเลือกแบบเจาะจง คือ นักเรียนออทิสติก เพศชาย อายุ 5 ปี 10 เดือน ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นบุคคลออทิสติก ที่มารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จังหวัดขอนแก่น ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 คน รูปแบบในการทดลอง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบในการทดลองแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest – Posttest Design) โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ดังนี้(พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60) ตาราง 1 รูปแบบในการ ทดลองแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest – Posttest Design) ก่อนการทดลอง ทำการทดลอง หลังการทดลอง T 1 T 2 เมื่อ T1 แทน การประเมินโดยใช้แบบบันทึกพฤติการณ์เขียนก่อนการทดลอง X แทน ดำเนินกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน T2 แทน การประเมินโดยใช้แบบบันทึกทักษะการเขียนหลังการทดลอง
27 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน 1.2 แบบบันทึกพฤติกรรมทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก 2. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเขียนของนักเรียนออทิสติกโดยใช้กิจกรรมการปั้น มีขั้นตอนการ ดำเนินการ ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวคิดที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดิน น้ำมัน 2.1.2 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติกโดยใช้กิจกรรมการปั้น ดินน้ำมัน 2.1.3 นำแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติกโดยใช้กิจกรรมการปั้นดิน น้ำมันที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบ ความเหมาะสมและสอดคล้องระหว่างเนื้อหากับแบบบันทึก ทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก โดยให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านพิจารณาลงความคิดเห็นแล้วให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 หมายถึง แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้อง ระหว่างเนื้อหากับแบบบันทึก ทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก ให้คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้อง ระหว่างเนื้อหากับแบบบันทึก ทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก
28 ให้คะแนน -1 หมายถึง แน่ใจว่าไม่มีความเหมาะสมและสอดคล้อง ระหว่างเนื้อหากับแบบบันทึก ทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องขององค์ประกอบของ แ ผ น ก า รจั ด ก าร เรี ย น รู้ (Index of Item-objective Congruence : IOC) โด ย มี ค่ า ดั ช นีความสอดคล้องตั้งแต่ .05 - 1.0 2.1.4 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติกโดยใช้กิจกรรมการปั้นดิน น้ำมันตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ 2.1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติกโดยใช้กิจกรรมการปั้นดิน น้ำมัน ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย 3. แบบบันทึกทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก ในการสร้างแบบบันทึกทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติก ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามลำดับ ขั้นตอน ดังนี้ 2.3.1 ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก จากเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง แล้วนำมากำหนดกรอบแนวคิดการสร้างแบบบันทึก ทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติก 2.3.2 สร้างแบบบันทึกทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกให้ครอบคลุมเนื้อหา เพื่อใช้ทดสอบก่อน และหลังการจัดกิจกรรม จำนวน 1 ชุด 2.3.3 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องเหมาะสม และให้ ข้อเสนอแนะในด้านความเหมาะสมของเนื้อหาแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะ 2.3.4 นำแบบบันทึกทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกที่ ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับ กลุ่มเป้าหมายต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนออทิสติก เพศชาย อายุ 5 ปี 10 เดือน ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นบุคคลออทิสติก ที่มารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จังหวัดขอนแก่น ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 คน การดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลเป็นเวลา 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 1 ชั่วโมง โดยในแต่ละขั้น มีดังนี้
29 1. ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ โดยใช้รูปแบบการวิเคราะห์ข้อมูลตาม แบบแผนการทดลองกลุ่มเดียวสอบก่อนสอบหลัง (One group pretest – posttest design) แบ่งขั้นตอนในการ ดำเนินการทดลองเป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1) ระยะเตรียมการทดลอง ผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลจากการบันทึกแบบบันทึกพฤติกรรมทักษะ การเขียนของกลุ่มเป้าหมาย ก่อนการจัดกิจกรรม (Pre-test) แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าสถิติที (t-test) 2) ระยะดำเนินการทดลอง ผู้วิจัยดำเนินการจัดกิจกรรมกับกลุ่มเป้าหมาย ด้วยแผนการจัด กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ที่สร้างขึ้น จำนวน 3 แผน โดยทำการจัดกิจกรรมทั้งสิ้น 8 ครั้ง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้ง ละ 1 ชั่วโมง จำนวน 4 สัปดาห์ 3) ระยะหลังการทดลอง ผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลจากการบันทึกแบบบันทึกพฤติกรรมทักษะการ เขียนของกลุ่มเป้าหมายหลังการจัดกิจกรรม (Post-test) แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows) และ สรุปผลการ ทดลอง การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำคะแนนจากแบบบันทึกพฤติกรรมทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติกมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วย วิธีการทางสถิติ ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล มีดังนี้ ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) (̅) โดยใช้สูตร ดังนี้(พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2556: 176-177) เมื่อ ̅ แทน คะแนนเฉลี่ยของความสามารถทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก ∑ แทน ผลรวมของคะแนนความสามารถทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก N แทน จำนวนครั้งที่ทำการบันทึก
30 ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยคํานวณจากสูตร เมื่อ S.D แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน N แทน จำนวนนักเรียน ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ∑2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง 2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา การประเมินความสอดคล้อง ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Vallidity) โดยการหาค่า ดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) ใช้สูตรดังนี้ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2556: 150) IOC = (∑)/ เมื่อ IOC แทน ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างเนื้อหากับแบบบันทึกพฤติกรรมทักษะการ เขียนของนักเรียนออทิสติก ∑ แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
31 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษาและเปรียบเทียบทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกที่เรียนด้วยกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนออทิสติก เพศชาย อายุ 5 ปี 10 เดือน ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นบุคคลออทิสติก ที่มารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จังหวัดขอนแก่น ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 คน โดยการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบในการทดลองแบบกลุ่ม เดียว (One Group Pretest – Posttest Design) ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. ผลการศึกษาและเปรียบเทียบทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกที่เรียนด้วยกิจกรรม การเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ผู้วิจัยได้ดำเนินการศึกษาและเปรียบเทียบทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกที่เรียนด้วยกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นผลการวิเคราะห์ข้อมูล ปรากฏดังตาราง ตาราง 2 ผลการศึกษาทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกก่อนและหลังได้รับกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ทักษะทางการเขียน k ก่อนการจัดกิจกรรม หลังการจัดกิจกรรม กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมที่ 2 กิจกรรม ที่ 3 กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมที่ 3 ขีดเขี่ยแทนเขียน 3 1 1 1 3 2 3 เขียนโดยไม่มีแบบและกฎเกณฑ์ 3 1 1 1 3 2 3 เขียนโดยลากตามแบบ 3 1 1 1 2 3 3 รวม 9 3 3 3 8 7 9 ̅ 1.5 0.5 0.5 0.5 1.3 1.2 1.5
32 จากตารางที่ 2 แสดงผลวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกที่เรียนด้วย กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน พบว่า ทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกที่ เป็นกลุ่มตัวอย่าง ก่อนการจัดกิจกรรมเท่ากับ 1.5 โดยทักษะทางการเขียน (1) การขีด เขี่ยแทนเขียน มีค่าเฉลี่ยของคะแนน( ̅) เท่ากับ 0.5 (2) การเขียนโดยไม่มีแบบและกฎเกณฑ์มีค่าเฉลี่ยของคะแนน(̅) เท่ากับ 0.5 (3) การเขียนโดยลาก ตามแบบ มีค่าเฉลี่ยของคะแนน(̅) เท่ากับ 0.5 และ ค่าเฉลี่ยของคะแนนทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิ สติกหลังการจัดกิจกรรมเท่ากับ 4 โดยทักษะทางการเขียน (1) การขีด เขี่ยแทนเขียนมีค่าเฉลี่ยของคะแนน(̅) เท่ากับ 1.3 (2) การเขียนโดยไม่มีแบบและกฎเกณฑ์มีค่าเฉลี่ยของคะแนน(̅) เท่ากับ 1.2 (3) การการเขียนโดย ลากตามแบบมีค่าเฉลี่ย ของคะแนน( ̅) เท่ากับ 1.5 ตาราง 3 ผลการเปรียบเทียบทักษะทางสังคมของนักเรียนออทิสติกก่อนและหลังได้รับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการเล่นแบบร่วมมือ ที่ ทักษะทางการเขียน ก่อนการจัดกิจกรรม หลังการจัดกิจกรรม ̅ ระดับ ̅ ระดับ 1 ขีดเขี่ยแทนเขียน 0.5 พอใช้ 1.3 ดี 2 เขียนโดยไม่มีแบบและกฎเกณฑ์ 0.5 พอใช้ 1.2 ดี 3 เขียนโดยลากตามแบบ 0.5 พอใช้ 1.5 ดี คะแนนรวม 1.5 พอใช้ 4 ดี จากตารางที่ 3 แสดงผลวิเคราะห์ทักษะทางการเขียน ก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้น ดินน้ำมัน จากนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง มีทักษะโดยรวมอยู่ในระดับพอใช้ แต่หลังจากได้รับ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน มีทักษะทางการเขียนโดยรวมอยู่ในระดับดี พิจารณาทักษะทางการเขียนด้านการขีดเขี่ยแทนเขียน ก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน มีค่าเฉลี่ยของคะแนน(̅) เท่ากับ 0.5 และหลังจากได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน มีค่าเฉลี่ยของคะแนน(̅) เท่ากับ 1.3
33 พิจารณาทักษะการเขียนด้านการเขียนโดยไม่มีแบบและกฎเกณฑ์ก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน มีค่าเฉลี่ยของคะแนน( ̅) เท่ากับ 0.5 และ หลังจากได้รับการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน มีค่าเฉลี่ยของคะแนน(̅) เท่ากับ 1.2 พิจารณาทักษะทางการเขียนด้านการเขียนโดยลากตามแบบ ก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน มีค่าเฉลี่ยของคะแนน(̅) เท่ากับ 0.5 และหลังจากได้รับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดย ใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน มีค่าเฉลี่ยของคะแนน(̅) เท่ากับ 1.3 เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงโดยรวม พบว่าหลังจากได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการ ปั้นดินน้ำมัน มีทักษะทางการเขียนสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม ภาพประกอบ 1 กราฟแสดงการเปรียบเทียบทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกก่อนและหลังได้รับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน จากภาพประกอบ 1 แสดงทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกหลังได้รับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน เมื่อพิจารณาพบว่า ทักษะทางการเขียนด้านการเขียนโดยลากตามแบบมีการ เปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมากเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ด้านการเขียนโดยไม่มีแบบและกฎเกณฑ์และลำดับสุดท้ายคือ ด้านการขีดเขี่ยแทนเขียน
34 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ เป็นวิจัยเชิงทดลองเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกที่ เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทาง ประโยชน์ต่อครู ผู้เกี่ยวข้องกับ การจัดการศึกษาพิเศษ และผู้ปกครองได้ใช้เป็นแนวทางในการ พัฒนาทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติก ซึ่งมีลำดับขั้นตอนของการวิจัยและ สรุปผล ดังน ี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติกก่อนและหลังที่เรียนด้วยกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก่อนและหลังที่เรียนด้วยกิจกรรมการปั้นดินน้ำมันระหว่าง ก่อนเรียนและหลังเรียน สมมติฐานการวิจัย ในการศึกษาผลการใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมันเพื่อพัฒนาการเขียนของนักเรียนออทิสติกผู้วิจัย ตั้งสมมติฐานไว้ดังนี้ นักเรียนออทิสติกที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมันเพื่อพัฒนาการเขียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน วิธีดำเนินการวิจัย 1.กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ โดยการเลือกแบบเจาะจง คือ นักเรียนออทิสติก เพศชาย อายุ 5 ปี 10 เดือน ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นบุคคลออทิสติก ที่มารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จังหวัดขอนแก่น ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 คน
35 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ประกอบด้วย 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน 2.2 แบบบันทึกพฤติกรรมทักษะการเขียนของนักเรียนออทิสติก 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนออทิสติก เพศชาย อายุ 5 ปี 10 เดือน ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นบุคคลออทิสติก ที่มารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จังหวัดขอนแก่น ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 คน การดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลเป็นเวลา 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 1 ชั่วโมง โดยในแต่ละขั้น มีดังนี้ 1. ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ โดยใช้รูปแบบการวิเคราะห์ข้อมูลตาม แบบแผนการทดลองกลุ่มเดียวสอบก่อนสอบหลัง (One group pretest – posttest design) แบ่งขั้นตอนในการ ดำเนินการทดลองเป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1) ระยะเตรียมการทดลอง ผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลจากการบันทึกแบบบันทึกพฤติกรรมทักษะ การเขียนของกลุ่มเป้าหมาย ก่อนการจัดกิจกรรม (Pre-test) แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าสถิติที (t-test) 2) ระยะดำเนินการทดลอง ผู้วิจัยดำเนินการจัดกิจกรรมกับกลุ่มเป้าหมาย ด้วยแผนการจัด กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ที่สร้างขึ้น จำนวน 3 แผน โดยทำการจัดกิจกรรมทั้งสิ้น 8 ครั้ง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้ง ละ 1 ชั่วโมง จำนวน 4 สัปดาห์ 3) ระยะหลังการทดลอง ผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลจากการบันทึกแบบบันทึกพฤติกรรมทักษะการ เขียนของกลุ่มเป้าหมายหลังการจัดกิจกรรม (Post-test) แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows) และ สรุปผลการ ทดลอง
36 สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนออทิสติกที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน มี ทักษะทางการเขียน สูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ได้แก่ ด้านการขีด เขี่ยแทนการเขียน ด้านการเขียนโดยไม่มีแบบและกฎเกณฑ์ และด้านการเขียนโดยลอกตามแบบ และพบว่ากลุ่ม ตัวอย่างมีทักษะทางการเขียนด้านการเขียนโดยลอกตามแบบดีขึ้นมากเป็นอันดับแรก การอภิปรายผล การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกที่เรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน พบว่า นักเรียนออทิสติกที่ ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน มีทักษะทางการเขียนสูงกว่าก่อนได้รับ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม การปั้นดินน้ำมัน ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้แสดงว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดิน น้ำมันช่วยกระตุ้นทักษะทางการเขียนผลการวิจัย ดังกล่าวสามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 1.การจัดกิจกรรมการปั้นดิมน้ำมัน เป็นการจัดกิจกรรมที่กระตุ้นให้นักเรียนออทิสติกเกิดการเรียนรู้จาก การลงมือกระทำ และปฏิบัติจริงกับสื่อ วัสดุ – อุปกรณ์ โดยผ่านการใช้ประสารทสัมผัสจากการมอง การฟัง การ ดมกลิ่น สัมผัส ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กปฐมวัยที่เป็นวัยของการสำรวจ ค้นคว้า มีความอยากรู้อยา เห็น และสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว การได้ลงมือกระทำ การจับต้องสัมผัส ทำให้เด็กเข้าใจ และรวบรวม ประสบการณ์ ทั้งหมดเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นประสบการณ์สำคัญ สำหรับการเรียนรู้ของเด็กเพื่อเป็นการ เตรียมความพร้อมในการ การเรียนต่อไป สอดคล้องกับแนวคิดของ ดิวอี้(Dewey) ที่กล่าวว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการกระทำ (Learning by doing) และสอดคล้องกับเพีย เจต์ และเฮลเดอร์ (วรวรรณ เหมชะญาติ 2536 : 31 – 33 ;อ้างจาก Piaget ; & Inhlder) ที่กล่าวว่า เด็กเข้าใจสิ่งต่างๆ และความสัมพันธ์ ระหว่างตนเองกับวัตถุ ด้วยโดยการลงมือกระทำ กับวัตถุ โดยตรง เป็นสำคัญ และกิจกรรมการปั้นดินน้ำมันเป็นกิจกรรมที่เด็กลงมือกระทำกับสื่อ วัสดุ อุปกรณ์โดยตรง เช่น ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน มีการสนทนาเกี่ยวกับ วัสดุ อุปกรณ์ รูปร่าง ลักษณะ สี ขนาด จำนวน ซึ่งในขณะเด็กทำกิจกรรมการปั้นเด็กได้พัฒนากล้ามเนื้อมือและการทำงานที่ประสานสัมพันธ์กันระหว่าง มือกับตา ซึ่งสอดคล้องกับเพียเจต์ ที่กล่าวว่า เด็กเรียนรู้จากการกระทำกับสื่อวัสดุด้วยตนเองและใช้ทุกส่วนของ ร่างกายในการทำกิจกรรม และสอดคล้องกับ เต็มสิริ เนาวรัตน์(2544 : คำนำ) ที่กล่าวว่าการเรียนรู้ผ่านการลงมือ ปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆทำให้เกิดการเรียนรู้โดยง่ายและสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กการเรียนในระดับปฐมวัยเป็น
37 การเรียนเพื่อเสริมสร้าง ความสามารถของเด็กโดยเฉพาะ ความสามารถในการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมือ และนิ้วมือ ในการทำ กิจกรรมต่างๆโดยสัมพันธ์กับการใช้สายตา ซึ่งยังสอดคล้องกับ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2547 : 100) ที่ กล่าวว่า การส่งเสริมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กเป็นการพัฒนากล้ามเนื้อนิ้วมือที่มีความสำคัญต่อเด็กมาก เพราะเด็ก ต้องใช้มือในการทำกิจกรรมที่สำคัญได้แก่ การเขียนหนังสือ การจัดกระทำหยิบจับ ปั้นแต่ง สิ่งต่างๆ 2. ภายหลังการจัดกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน นักเรียนออทิสติกมีการพัฒนาทักษะทางการเขียนสูงขึ้น เมื่อ เปรียบเทียบกับก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน เพราะในการปฏิบัติกิจกรรมของแผนการจัดกิจกรรม การปั้นดินน้ำมัน ผู้วิจัยเน้นให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ และมีการพัฒนาทักษะในการ เขียนองตนเองได้ดีขึ้น ซึ่งการที่เด็กได้ทำกิจกรรมการปั้น ทำให้เด็กได้รับการพัฒนา ความสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา สอดคล้องกับ พรมารินทร์ สุทธิจิตตะ (2529: 24) กล่าวว่า กิจกรรมที่ ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดี กิจกรรม สร้างสรรค์ ทางศิลปะ เพราะเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับความสนใจ ความสามารถอีกทั้งยังสอดคล้องกับหลักการ พัฒนาการของเด็กทั้งยังช่วยให้กล้ามเนื้อมือและตา สัมพันธ์กัน ซึ่งจะนำไปสู่การเรียน เขียนอ่าน สอดคล้องกับ ราศี ทองสวัสดิ์ (2529: 103 -104) ที่กล่าวว่า กิจกรรมสร้างสรรค์ทางศิลปะสำหรับเด็ก มิได้มีจุดมุ่งหมายให้เด็ก ทำงานเพื่อความสวยงาม แต่ต้องการช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมือให้แข็งแรง การฝึกประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา ซึ่งเป็นพื้นฐาน การเขียนที่ดีในระดับชั้นประถมศึกษาต่อไป สามารถสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมโดยการใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมันเพื่อพัฒนาทักษะการเขียน ลักษณะ กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริงในการทำกิจกกรม เช่น การบีบ ดึง นวด ใช้กล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ และการประสานสัมพันธ์มือกับตาในการปั้นดินน้ำมันเป็นรูปร่างตามแบบ เป้นต้น เพื่อให้กิจกรรมกลุ่มบรรลุตาม เป้าหมายที่ตั้งไว้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมือและมีทักษะในการใช้มือนิ้วมือในการเขียนได้อย่างคล่องแคล่ว การ ดำเนินกิจกรรมการปั้นดินน้ำมันเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนมีจำนวนทั้งหมด 8 ครั้ง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง และให้เด็ก ทำกิจกรรมต่อเนื่องแบบซ้ำ ๆ ทำให้เด็กเกิดการพัฒนาทักษะทางการเขียนสูงขึ้น จึงสรุปได้ว่า นักเรียนออทิสติกมีทักษะทางการเขียนสูงขึ้น หลังจากได้รับกิจกรรมการปั้นดินน้ำมันเมื่อ เปรียบเทียบกับก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการดินน้ำมัน
38 ข้อเสนอแนะ จากผลการศึกษาและเปรียบเทียบทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกที่เรียนด้วยกิจกรรมการปั้น ดินน้ำมัน ผู้วิจัยให้ข้อเสนอแนะในการวิจัย และข้อเสนอแนะใน การวิจัยครั้งต่อไป ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะในการนําไปใช้ 1. ผลการวิจัยครั้งนี้เป็นแนวทางของวิธีการสร้างทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติกที่ เรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ในการดำเนินกิจกรรม ผู้สอนมีบทบาท ในการกำหนดข้อตกลง ในการเข้าร่วมกิจกรรม สาธิตวิธีการปั้นและแนะนําอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ให้เด็กเข้าใจ พูดช้า ๆ ใช้คําพูด ง่าย ๆ ประโยคสั้น ๆ ชัดเจน กรณีที่เด็กยังไม่เข้าใจวิธีการ ให้ปฏิบัติตาม ขั้นตอนต่อไป คือ ผู้สอนให้ผู้เรียนทำเลียนแบบ โดยทำพร้อม ๆ กัน ผู้สอนลองให้เด็กปฏิบัติตามที่ได้สาธิตแล้ว ถ้ายังทำไม่ได้ในขั้นตอนใด ผู้สอนต้องช่วยโดยการ ชี้แนะ จับมือพาทำ จนสามารถทำ กิจกรรมได้เอง 2. ในการจัดกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ควรมีการจัดเตรียม สื่อและอุปกรณ์ให้พร้อมและ เพียงพอ ก่อน นําไปใช้ทุกครั้ง 3. ครูควรพัฒนากิจกรรมจากคู่มือการจัดกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน สำหรับบุคคลออทิสติกให้เป็นกิจกรรม ที่ก่อให้เกิดกิจกรรมการปั้น อันส่งเสริมทักษะทางการเขียน โดยใช้แนวทางของการจัดกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน ตามผลการวิจัยนี้ 2. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 1.ควรมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ การใช้กิจจกรรมการปั้นเพื่อพัฒนานาความสามารถด้านการเขียนและการ เรียนแบบปกติ 2.ควรมีการศึกษาวจิจัยเกี่ยวกับกิจกรรมการปั้นเพื่อพัฒนาทักษะทางการเขียนกับเด็กที่มีความต้องการ พิเศษประเภทอื่นๆ 3. ควรพัฒนาและออกแบบการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะทางการเขียนของนักเรียนออทิสติก โดย เรียงลำดับกิจกรรมจากง่ายไปยากเพื่อให้สอดคล้องกับระบบการเรียนรู้ของนักเรียนออทิสติก
39 บรรณานุกรม ชวนันท์ ชาญศิลป์ (2561, น.2) .ความหมายของบุคคลออทิสติก รจเรข แสงนิล (2548: 7 – 16). กล่าวว่าปัจจุบันนี้มีการยอมรับกันมากกว่าสาเหตุสำคัญของ ภาวะออทิสซึม ไพบูลย์ อมรประภา (2556: ออนไลน์) .การปั้นหมายถึง การนำวัสดุที่เป็นเนื้ออ่อน ที่สามารถเปลี่ยนรูป ประเสริฐ ศิลรัตนา (2529 : 49-50; อ้างอิงจาก สมศรี สมบูรณ์. 2546 หน้า 37) ได้แบ่ง การปั้นเป็น รูปทรงต่างๆ พัฒน์นรี จันทราภิรมย์Patnaree Jantraphirom. การพัฒนาทักษะการเขียนของเด็กปฐมวัยโดยการใช้ สื่อการสอนชุด ฝึกลีลามือ อรษา หมื่นลักษณ์.(2565) การพัฒนาความสามารถในการเขียนเส้นพื้นฐาน โดยใช้ชุดกิจกรรมเตรียม ความพร้อม ด้านการเขียนเส้นพื้นฐาน ปัทมา แจ่มจำรัส (2548). ความสามารถด้านการคิดของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมการปั้น นางสาว วันนิสา. (2561) การพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กที่ได้รับการจัดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนวัดดอนยอ โดยการปั้นดินน้ำมัน ธนพร ศรีมาทา. (2550).การศึกษาผลของการทำกิจกรรมการวาดและกิจกรรมการปั้นที่ มีต่อ ความสามารถในกรเขียนของเด็กปฐมวัย.ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน,ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด หนองบัวลำภู(ม.ป.ป). หลักสูตรและคู่มือการใช้หลักสูตร การช่วยเหลือระยะเริ่มพัฒนาศักยภาพและเตรียมความพร้อม สำหรับบุคคลออทิสติก. ทิพวรรณ เฟื่องขจร . นักศึกษาปริญญาโท สาขาการศึกษาเพื่อการพัฒนาเอกจิตวิทยาครูการศึกษาพิเศษ ภาควิชาพื้นฐานการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
40 ภาคผนวก