The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Lerwborrisud, 2023-08-29 02:43:30

การพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม

-

Keywords: -

รายงานการวิจัย เรื่อง การพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม Research Potential Development of Faculty of Humanities and Social Sciences, Nakhon Pathom Rajabhat University อาจารย์ ดร.นิพล เชื้อเมืองพาน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม 2564


บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาการเขียนผลงานวิจัยในการตีพิมพ์เผยแพร่ ในระดับชาติมีบทความวิจัยที่เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ บทความที่1 บทความ: การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อ ฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักศึกษาสายวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ผู้เขียน: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุธาพร ฉายะรถี แหล่งตีพิมพ์: วารสาร Veridian ฉบับภาษาไทย มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และ ศิลปะ ปีที่ 11 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2561) บทความที่2 บทความ: รูปแบบการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนาจุดหมายปลาย ทางการท่องเที่ยวซ้้าในจังหวัดนครปฐมและพื้นที่เชื่อมโยง ผู้เขียน: อาจารย์ดร. นิพลเชื้อเมืองพานและผู้ช่วยศาสตราจารย์พิมพ์ชนก มูลมิตร์ แหล่งตีพิมพ์: วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 (2018): Special Issue บทความที่3 บทความ: การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตอ้าเภอเมือง นครปฐม จังหวัดนครปฐม ผู้เขียน: ผู้ช่วยศาสตราจารย์จิตรภณ สุนทร แหล่งตีพิมพ์: วารสาร Veridian ฉบับภาษาไทย มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และ ศิลปะ ปีที่ 11 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2561) บทความที่4 บทความ: การรู้สารสนเทศของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ผู้เขียน: ผู้ช่วยศาสตราจารย์วลัยลักษณ์ อมรสิริพงศ์ แหล่งตีพิมพ์: วารสารสารสนเทศศาสตร์ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2561)


บทความที่5 บทความ: เทคโนโลยีBIG DATA กับงานห้องสมุดในยุคดิจิทัล ผู้เขียน: ผู้ช่วยศาสตราจารย์วลัยลักษณ์ อมรสิริพงศ์ แหล่งตีพิมพ์: วารสารห้องสมุด (T.L.A. Bulletin) ปีที่ 63 ฉบับที่ 2 (2019): กรกฎาคม - ธันวาคม 2562 บทความที่6 บทความ: การพัฒนาชุมชนตามแนวคิดทางสายกลางของขงจื้อ ผู้เขียน: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรากรณ์ พูลสวัสดิ์และคณะ แหล่งตีพิมพ์: รวารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 3 (2019) บทความที่7 บทความ: มุมมองทางภูมิศาสตร์ผ่านค้าขวัญประจ้าจังหวัด ผู้เขียน: ผู้ช่วยศาสตราจารย์จิตรภณ สุนทร แหล่งตีพิมพ์: วารสาร Veridian ฉบับภาษาไทย มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และ ศิลปะ ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 (มกราคม - เมษายน) บทความที่8 บทความ:แนวปฏิบัติที่ดีด้านการบริหารจัดการสวนส้มโอจากเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอ ตัวอย่าง ผู้เขียน: ผู้ช่วยศาสตราจารย์วลัยลักษณ์ อมรสิริพงศ์และคณะ แหล่งตีพิมพ์: วารสารสังคมศาสตร์บูรณาการ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (2018): กรกฎาคม - ธันวาคม 2561 บทความที่9 บทความ: การส่งเสริมการรู้ดิจิทัลส้าหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม: ถอด บทเรียนจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยเว็บโอเมทริกซ์ ผู้เขียน: ผู้ช่วยศาสตราจารย์วลัยลักษณ์ อมรสิริพงศ์ แหล่งตีพิมพ์: วารสารสังคมศาสตร์บูรณาการ ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 (2019): กรกฎาคม - ธันวาคม 2562


บทความที่10 บทความ:การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ของพื้นที่ สวนส้มโอพันธุ์นครชัยศรี จังหวัด นครปฐม ผู้เขียน: ผู้ช่วยศาสตราจารย์จิตรภณ สุนทร แหล่งตีพิมพ์: วารสารสังคมศาสตร์บูรณาการ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (2018): กรกฎาคม - ธันวาคม 2561


กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยนี้ส้าเร็จลุล่วงลงด้วยดีต้องขอกราบขอบคุณมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมที่พิจารณา ทุนอุดหนุนและส่งเสริมการท้าวิจัยครั้งนี้ ขอขอบคุณผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สถาบันวิจัยและพัฒนาที่คอยให้ความช่วยเหลือและอ้านวย ความสะดวกต่าง ๆ ในการท้าวิจัยครั้งนี้


สารบัญ หน้า บทคัดย่อ……………………………………………………………………………………………………………….. ก กิตติกรรมประกาศ…………………………………………………………………………………………………… ข สารบัญ…………………………………………………………………………………………………………………. ค บทที่ 1 บทน า……………………………………………………………………..................................... 1 ความส าคัญและที่มาของปัญหาที่ท าวิจัย………………………………………………………….. 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย……………………………………………………………………………….. 2 ขอบเขตของโครงการวิจัย......................................................................................... 2 กรอบแนวคิดในการศึกษา......................................................................................... 3 ประโยชน์ที่จะได้รับ……………………………………………………………………………………….. 4 นิยามศัพท์เฉพาะ....................................................................................................... 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.......................................................................... 5 2.1 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการการพัฒนาสมรรถนะทรัพยากรมนุษย์………………….. 5 2.1.1 แนวคิดของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์.................................................... 5 2.1.2 ความหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์.............................................. 7 2.1.3 การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์........................................................ 8 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้...................................................................... 10 2.2.1 การจัดการความรู้..................................................................................... 10 2.2.2 ประเภทของความรู้................................................................................... 10 2.2.3 กระบวนการจัดการความรู....................................................................... 11 2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………………………. 15 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย……………………………………………………………………………………. 19 3.1 วิธีการศึกษา…………………………………………………………………………………………… 19 3.1.1 วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)…………………………………… 19 3.1.2 การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม………………………………………………. 19


สารบัญ (ต่อ) หน้า 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล............................................................... 20 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล…………………………………………………………………………….. 20 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………………. 20 บทที่ 4 ผลการวิจัย……………………………………………………………………………………………… 22 4.1 ด้านบริบทคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์………………………………………….. 22 4.2 ด้านองค์ความรู้และการพัฒนาศักยภาพ............................................................ 24 4 . 3 จ า กก า รพัฒ น า เพื่ อ ก า ร ผ ลิ ต ผ ลง านท าง วิ ช า ก า รใน คณ ะ ฯ เ กิ ด กระบวนการพัฒนาศักยภาพและมีผลงานที่ได้รับการพัฒนา.................................... 25 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ……………………………………………. 72 สรุปผลการวิจัย...........................…………………………………………………………………….. 72 อภิปรายผล................................................................................................................ 73 ข้อเสนอแนะ…………………………………………….…………………………………………………… 85 บรรณานุกรม…………………………………………………………………………………………………………. 86


บทที่ 1 บทน ำ (Introduction) 1.1 ควำมส ำคัญและที่มำของปัญหำที่ท ำกำรวิจัย สถาบันอุดมศึกษามีหน้าที่สอนและถ่ายทอดความรู้ให้แก่เยาวชนและผู้เรียน พร้อมกับท า หน้าที่รวบรวม สังเคราะห์สร้าง ตลอดจนเผยแพร่ ความรู้ผ่านกระบวนการวิจัยเพื่อหาค าตอบ ให้กับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของสังคม อนึ่งสถานภาพภายในประเทศเองยังคงมีปัญหาคุณภาพ ของคนอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นภาพสะท้อนจากผลิตภาพของแรงงานไทย ซึ่งยังมีประสิทธิภาพต่ า เมื่อเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ ความอ่อนแอของการสร้างองค์ความรู้นวัตกรรมและการวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศยังคงเป็นจุดฉุดรั้งการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (ส านักงาน คณะกร รมก า รก า รอุดมศึกษ า, 2550) ในขณะที่ป ระเทศมีสภ าพปัญห าดังกล่ าวเกิดขึ้น สถาบันอุดมศึกษาไทยคงจะเพิกเฉยต่อการพัฒนาการในระดับอุดมศึกษาสากลมิได้จากการส ารวจ เบื้องต้น พบว่า วงการอุดมศึกษาโลกมีจุดเน้นและนวัตกรรมหลายประการ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับวิชาการ เช่น แนวทางการเรียนการสอนในรูปแบบใหม่ การเฟ้นหานักศึกษาเชิงรุก และกระบวนการให้ได้มาซึ่งความเป็นเลิศทางการวิจัย ซึ่งในด้านการวิจัยนั้น ในอดีตนั้นมีการพิจารณา ภารกิจหลักของสถาบันอุดมศึกษา เพียง 4 ประการ คือ (1) การสอน (2) การวิจัย (3) การบริการ วิชาการแก่สังคม และ (4) การท านุบ ารุงศิลปวัฒนธรรม ทั้งนี้สถาบันอุดมศึกษาทั้งหลายได้ถือเอา การสอนเป็นภารกิจที่ส าคัญอันแรก และได้กระท ามาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด โดยถือกันว่าการสอน เป็นวิธีการถ่ายทอดวิทยาการจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อ ๆ ไป เป็นการด ารงรักษาองค์การรู้ให้ความรู้ ยังคงอยู่ในสังคม ความรู้ที่ถ่ายทอดนั้น ถือว่าเป็นสิ่งสมบูรณ์ตายตัว ไม่มีข้อโต้แย้งมากนัก ซึ่งได้รับการ วิพากษ์ว่าเป็นสาเหตุให้ความรู้จึงขยายตัวได้ช้าในระยะแรก (สุภางค์จันทวานิช, 2552) แต่หลังจาก สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา กระบวนการทางวิทยาศาสตร์(scientific method) ถูกจัดให้เป็น พื้นฐานของการวิจัยในปัจจุบัน ได้เข้ามามีบทบาทในการค้นคว้าแสวงหาความรู้ใหม่ๆ อย่างเป็นระบบ ท าให้วิทยาการของโลกได้เจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มมีบทบาทในสถาบันอุดมศึกษาอย่าง จริงจังหลังจากยุคกลาง (Middle age) ดังที่ Kerr (1964) ได้กล่าวว่า รูปแบบของมหาวิทยาลัย เปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่งเมื่อเข้าสู่ยุคใหม่ ในช่วง ค.ศ.1800 และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้น มา สถาบันที่เคยเน้นเรื่องงานสอนก็พยายามเปลี่ยนแปลงให้เป็นสถาบันที่เน้นการวิจัย ทั้งนี้เพื่อดึงดูด อาจารย์ผู้สอนให้ท างานวิจัยมากขึ้น มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น แม้ว่าบางแห่งจะไม่มีความพร้อมก็ตามอย่างน้อย ที่สุดก็ขอให้การท าการวิจัยหรือจัดพิมพ์หนังสือ อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมา


2 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ได้เปิดสอนในสาขาวิชา ที่หลากหลาย อาทิ การพัฒนาชุมชน รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมศึกษา ออกแบบนิเทศศิลป์ ออกแบบ ดิจิทัลอาร์ต ดนตรี บรรณรักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และนิติศาสตร์ซึ่งในปีการศึกษาหนึ่ง ๆ ได้มีการผลิตสร้างผลงานวิจัย ของคณาจารย์ออกมาเป็นจ านวนมาก แต่ยังไม่สามารถเผยแพร่ผลงานเหล่านี้ในระดับชาติ และนานาชาติได้มากเท่าที่ควร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ได้เล็งเห็นความส าคัญของ การพัฒนาผลงานวิจัยเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานต่าง ๆ เหล่านี้ให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็น การสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการวิจัยให้คณาจารย์ในคณะสามารถผลิตผลงานที่มีคุณภาพ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ คณะจึงได้จัดท าโครงการ Publication Clinic ส าหรับสาขา สังคมศาสตร์และครุศาสตร์ เพื่อเพื่อพัฒนาการเขียนผลงานวิจัยในการตีพิมพ์เผยแพร่ในระดับชาติ 1.2 วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย เพื่อพัฒนาการเขียนผลงานวิจัยในการตีพิมพ์เผยแพร่ในระดับชาติ 1.3 ขอบเขตของโครงกำรวิจัย 1.3.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา การพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัย 1.3.2 ขอบเขตด้านประชากรที่ใช้ในการศึกษา คณาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 1.3.3 ขอบเขตด้านพื้นที่ ศึกษาเฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม 1.3.4 ขอบเขตด้านระยะเวลา การวิจัยครั้งนี้ใช้เวลา 12 เดือน


3 1.4 กรอบแนวคิดในกำรศึกษำ แผนภาพ 1.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย องค์ควำมรู้ด้ำนบุคคล(ภำยใน) - ทักษะทางวิชาการ ศาสตร์ในสาขา - ทักษะความเชื่อมโยงศาสตร์ ที่เกี่ยวข้อง องค์ควำมรู้ภำยนอก -การผลิตผลงานทางวิชาการ -เอกสารตัวอย่าง -เอกสารงานวิชาการที่เกี่ยวข้อง ผลงานวิจัยในการตีพิมพ์เผยแพร่ในระดับชาติ ศาสตร์แห่งมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ - มนุษยศาสตร์ - สังคมศาสตร์ กระบวนกำรพัฒนำ และบูรณำกำรศำสตร์เพื่อ พัฒนำผลงำนทำงวิชำกำร


4 1.5 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ ผลงานวิจัยของคณาจารย์ในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐมได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในระดับชาติ 1.6 นิยำมศัพท์เฉพำะ 1.5.1 ศักยภาพการวิจัย หมายถึง ความสามารถในการปฏิบัติการวิจัยของข้าราชการ ทั้งสาย วิชาการและสายสนับสนุน ในสังกัดคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม 1.5.2 การพัฒนาศักยภาพการวิจัย หมายถึง การส่งเสริมและสนับสนุนความสามารถในการ ปฏิบัติการวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม


บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รายงานการวิจัยเรื่อง การพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ผู้วิจัยได้รวบรวมและเรียบเรียงจากอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1) แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรและการพัฒนาบุคลากร 2) แนวคิดการจัดการความรู้ 3) งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการการพัฒนาสมรรถนะทรัพยากรมนุษย์ 2.1.1 แนวคิดของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ Gilley & Eggland, 1990 (อ้างถึงในสายทิพย์ รัตนสารี, 2553, หน้า 18) ให้นิยามการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ว่า หมายถึง การน ากิจกรรมที่มีการเน้น ก าหนดและวางรูปแบบอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้เพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ความสามารถ และปรับปรุงพฤติกรรมของพนักงานให้ดีขึ้นโดยมุ่งเน้น การพัฒนา 3 ส่วนคือ 1. การพัฒนาบุคคล (Individual Development) 2.การพัฒนาสายอาชีพ ( Career Development) 3.การพัฒนาองค์การ ( Organization Development) วิเชียร วิทยอุดม (2552 หน้า 122) ได้กล่าวไว้ว่า แนวคิดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีอยู่ด้วยกัน 2 แนวคิดหลักที่แตกต่างกัน มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. แนวคิดแบบดั้งเดิม มีแนวคิดที่มีความเชื่อว่าการสรรหาและการคัดเลือกเป็นปัจจัย ที่ส าคัญต่อความส าเร็จขององค์การ มีเหตุผลที่สนับสนุนความเชื่อ 2 แบบ 1.1 เป็นแนวคิดที่มีความเชื่อว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่จ าเป็น ส าหรับองค์การ และมิใช่หน้าที่ที่องค์การจะต้องจัดให้มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แต่อย่างใด แต่เกิดว่า องค์การมีหน้าที่เฉพาะแต่เพียงการบังคับบัญชาควบคุมให้พนักงานแต่ละคนปฏิบัติหน้าที่ตามค าสั่งหรือ ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย หากบุคคลใดต้องการเพิ่มพูนความรู้กี่ต้องดิ้นรนขวนขวายหาด้วยตนเอง


6 1.2 เป็นแนวคิดที่มีความเชื่อว่า หากองค์กรสามารถได้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถเสียตั้งแต่แรกเข้ามาอยู่ในองค์การ บุคคลนั้นย่อมจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทุกอย่าง ไม่จ าเป็นต้องเข้ารับการพัฒนาฝึกอบรมใด ๆ ทั้งสิ้น 2. แนวคิดแบบสมัยใหม่เป็นแนวคิดที่มีความเชื่อว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นหน้าที่ที่ส าคัญ และจ าเป็นที่องค์การต้องกระท าอย่างสม่ าเสมอ มีเหตุผลที่สนับสนุนความเชื่อ อยู่ 2 แบบ 2.1 เป็นแนวคิดที่มีความเชื่อว่า ถึงแม้ว่าองค์กรจะมีระบบการสรรหา และการคัดเลือกบุคคลที่ดีและมีความสามารถ แต่ก็มิได้เป็นหลักประกันได้ว่า บุคคลนั้นจะสามารถ ปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้ในทันทีและตลอดไป 2.2 เนื่องจากมีการคิดค้น และน าเอาวิทยาการบริหารสมัยใหม่มาใช้ในการ บริหารงานด้านต่าง ๆ จึงจ าเป็นที่บุคคลจะต้องปรับปรุงตนเองให้เป็นผู้ที่มีความรู้ความคิดที่ทันสมัย ก้าวทันโลกอยู่เสมอ นอกจากนั้นจิประภา อัครบวร (2554 หน้า 71-72) กล่าวว่า ตามนิยามของการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ของ McLean & McLean (2001) ที่จะพยายามหานิยามการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นสากล โดยการท าวิจัยด้วยการทบทวนวรรณกรรมและการสัมภาษณ์นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นนักวิชาการ และผู้ปฏิบัติงานค้นนี้กว่า 2 ประเทศทั่วโลก จนได้นิยามที่เป็นสากล คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นนวัตกรรมทางสังคมที่จัดท าเพื่อการพัฒนาในระยะยาวเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานได้พัฒนาความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความสามารถในการผลิตผลงานและเพิ่มความพึงพอไของผู้ปฏิบัติงานซึ่งเป็นผลดี ต่อบุคคล กลุ่มหรือทีมงานอันเป็นผลประโยชน์แก่องค์การ ชุมชนประเทศชาติและท้ายที่สุดเพื่อมนุษยชาติ Leonard Nadler, 1980 (อ้างถึงในสายทิพย์ รัตนสารี, 2553, หน้า 18) ให้นิยามการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ว่า หมายถึง การด าเนินการให้บุคคลได้รับประสบการณ์และการเรียนรู้ในช่วงระยะเวลา หนึ่ง เพื่อที่จะน าเอามาปรับปรุงความสามารถในการท างานโดยวิธีการ 3 ประการ 1) คือการฝึกอบรม (Traing) เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้มุ่งเน้นเกี่ยวกับงาน ที่ปฏิบัติอยู่ ในปัจจุบัน Present เป้าหมายคือ การยกระดับความรู้ ความสามารถ ทักษะของพนักงาน ในขณะนั้นให้สามารถท างานในต าแหน่งนั้น ๆ ได้ ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมไปแล้วสามารถน าความรู้ไปใช้ได้ ทันที 2) การศึกษา (Education) การศึกษานับว่าเป็นวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยตรง เพราะการให้การศึกษาเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ตลอดจนเสริมสร้างความสามารถ


7 ในการปรับตัวในทุก ๆ ด้านให้กับบุคล ถ้าพิจารณาในองค์กรแล้วการศึกษาจะเน้นการเตรียมพนักงาน ในอนาคต (Future Job) เพื่อเตรียมพนักงานให้มีความพร้อมที่จะท างานตามความต้องการขององค์การ ในอนาคต หรืออีกกรณีหนึ่งการให้การศึกษาสามารถใช้เพื่อตรียมพนักงานเพื่อเลื่อนต าแหน่งใหม่ซึ่งอาจ ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน 3) การพัฒนา (Development) เป็นการปรับปรุงองค์การให้มีประสิทธิภาพเป็นกิจกรรม การเรียนรู้ที่ไม่ได้มุ่งเน้นที่ตัวงาน (Not Focus on a Job) แต่มีจุดเน้นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ตามที่องค์การต้องการ การพัฒนาองค์การนั้นจะเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับองค์การเพื่อปฏิบัติงาน ขององค์การในอนาคต เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี รวมทั้งสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่าง รวดเร็ว สรุปได้ว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ว่า คือ การด าเนินการให้บุคคลได้รับประสบการณ์และการ เรียนรู้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เป็นการน าเอาศักยภาพของมนุษย์แต่ละคนมาใช้ในการปฏิบัติงานให้เกิด ประโยชน์สูงสุดแก่องค์การ 2.1.2 ความหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ก า รพัฒน าท รัพย า ก รมนุษ ย์ใน องค์ก ร ต รงกับภ าษ า อังกฤษคือ Human Resource Development หรือ R ในภาษาไทยมีใช้กันหลายค า เช่น การพัฒนาบุคคล การพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการพัฒนาบุคลากร เป็นตัน ไม่ว่าจะใช้ค าใดล้วนมีความหมายเหมือนกัน ซึ่งในที่นี้ผู้วิจัยจะใช้ค าว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เมื่อกล่าวถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์หลายคนเข้าใจว่าคือการฝึกอบรม แต่แท้ที่จริงแล้วการฝึกอบรมไม่ใช่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์หากแต่เป็นวิธีการอย่างหนึ่งของการพัฒนา เท่านั้น เพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้ มานิสงค์ ปฐมวิริยะวงศ์, 2550 (อ้างถึงในชุติกาญจน์ ศรีวิบูลย์, 2557 หน้า 23) ได้แบ่งความหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ออกเป็น 2 ระดับ คือระดับมหภาค และระดับจุลภาคหรือในองค์กร ดังนี้ 1) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับมหภาค เป็นการพิจารณาถึงทรัพยากรมนุษย์ ในระดับชาติซึ่งได้แก่ การพัฒนาก าลังคนหรือประชากรของประเทศโดยอาศัยยุทธวิธีและมาตรการ เกี่ยวกับอัตราการเกิด - การตายของประชากร การศึกษา การจ้างงาน และการมีงานท าเพื่อการพัฒนา ทั้งเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพนับเป็นกระบวนการเพิ่มพูนทักษะความรู้ ความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่อย่างเหมาะสมกับความต้องการด้านการจ้างงานของประเทศ


8 กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการพัฒนาเพื่อที่จะท าให้อุปทานก าลังคนของประเทศเท่ากับอุปประสงค์ ก าลังคนของประเทศ 2) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับจุลภาค เป็นการพัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่ในต่าง ๆ ในฐานะที่เป็นพนักงานหรือบุคลากรองค์กรนั้น ๆ คือ การเพิ่มพูนทักษะความรู้ความสามารถให้แก่บุคคล เพื่อที่จะท างานในองค์การได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลขึ้นอยู่กับการที่บุคคลได้รับรู้ ความสามารถของตน รู้จักงานที่ต้องท า รู้จักลักษณะขององค์การและผลผลิตที่องค์กรปรารถนา รวมทั้ง การรู้ความสัมพันธ์ของหางานต่าง ๆ ทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรนี้ มุ่งพัฒนาบุคคลให้มีพลวัต (Dynamis) คือมีลักษณะการเคลื่อนไหวต่อการรับรู้ มีการปรับตัวและ พร้อมที่จะละลายพฤติกรมของตนเองเพื่อร่วมกับเพื่อน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2557 (หน้า 1 - 5) กล่าวว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นระบบการปรับปรุงประสิทธิภาพของบุคลากรในการท างานให้ดีขึ้น การที่บุคลากรท างานอย่างมี ประสิทธิภาพจะส่งผลให้องค์การมีประสิทธิภาพด้วย การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงครอบคลุม ถึงการพัฒนาบุคคลให้รู้จักวิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งของตนเองและพัฒนาปรับปรุงให้สมารถปฏิบัติงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งพัฒนาองค์กรและพัฒนาอาชีพของทรัพยากรมนุษย์ สรุปว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นวิธีหนึ่งของการพัฒนา การปรับปรุงประสิทธิภาพ ของบุคลากรให้ดีขึ้น เป็นการพัฒนาเพื่อที่จะท าให้อุปทานก าลังคนของประเทศเท่ากับอุปประสงค์ ก าลังคนของประเทศการพัฒนาบุคคลให้รู้จักวิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งของตนเองและพัฒนาปรับปรุง ให้สมารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.1.3 การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ กรรณิกา ปางลิลาศ 2553 (หน้า 26) ได้สรุปแนวคิดส าหรับ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในองค์การ โดยแบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ 1) ระดับจุลภาค ถือเป็นระดับการเรียนรู้ในองค์การซึ่งการเรียนรู้มี 3 ระดับคือการ เรียนรู้ของบุคคล (Individual Learning) หัวใจส าคัญอยู่ที่การเรียนรู้เกี่ยวกับ แนวความคิด (Concept) ในการท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมการเรียนรู้ (Team Learning) เป็นรูปแบบการพัฒนาการท างาน เป็นทีมที่มีลักษณะข้ามฝ่ายงาน (Cross Functional) การสั่งตนเอง (Self - Directed Management) และการจัดการความคิดที่แตกต่าง เป็นต้น องค์การแห่งการเรียนรู้ (Organizational Learning) เป็นการ เรียนรู้ระดับสูงสุดในองค์การ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการเกิดมีการเรียนรู้ การพัฒนาองค์การให้เป็น "องค์การ


9 แห่งการเรียนรู้" นี้ จะเน้นในเรื่องการเรียนรู้ในสถานที่ท างาน (Workplace Learning) การมีความคิด แบบเป็นระบบหรือบูรณาการ การพัฒนาตนเองเป็นบุคคลผู้รอบรู้การมีเป้าหมายร่วมกันและการบูรณา การเพื่อจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 2) ระดับมหภาค เมื่อสามารถพัฒนาคนในองค์การให้เกิดการเรียนรู้ได้ทั้ง 3 ระดับก็จะ ก้าวไปสู่ระดับการพัฒนาที่แท้จริง (Developing) ซึ่งมีอยู่ 3 ระดับ เช่นกันการพัฒนาระดับชุมชน/ ประเทศเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ หรือมีเทคโนโลยีของเราเอง การมีลักษณะที่เรียกว่า "ภูมิปัญญา ชาวบ้าน" (Intelligence Club) เป็นสติให้กับสังคมหรืประเทศชาติ การพัฒนาระดับภูมิภาค เป็นการ พัฒนาด้านวัฒนธรรมหรือการข้ามวัฒนธรรมที่จะเตรียมเข้าไปแข่งขันในระดับโลก พร้อมกับการพัฒนา ความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์ที่จะเข้าไปแข่งขันในธุรกิจที่รุนแรงระดับภูมิภาค การพัฒนาสู่ระดับโลก เป็นระดับสุดยอดของการพัฒนา คือ สามารถบูรณาการทั้งการเรียนรู้ และการพัฒนาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียว จนท าให้ประเทศของเราก้าวไปสู่เวทีโลกในระดับนานาชาติแบบนัก กลยุทธ์ระดับโลกที่มีความพร้อมด้าน ศักยภาพของคน เทคโนโลยีการจัดการ และทุน เป็นต้น มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2557, หน้า1-20) กล่าวถึงแนวความคิดของการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ไว้ว่า 1) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มุ่งเพิ่มประสบการณ์และการเรียนรู้ให้แก่ทรัพยากร มนุษย์ ประกอบด้วยการการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการศึกษา การฝึกอบรม การพัฒนา ซึ่งการฝึกอบรมจะเน้นการพัฒนางานในปัจจุบัน การศึกษาจะเน้นการพัฒนางานในอนาคตและการพัฒนา งานเพื่อการเปลี่ยนแปลง 2) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มุ่งการปรับปรุงพฤติกรรมทรัพยากรมนุษย์ประกอบด้วย การพัฒนาปัจเจกบุคคล การพัฒนาสายอาชีพ และการพัฒนาองค์การ การพัฒนาปัจเจกบุคคลเป็นการ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มุ่งเพิ่มประสบการณ์ การเรียนรู้ และการปรับปรุงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม การพัฒนาสายอาชีพเป็นส่วนหนึ่ง ของการพัฒนาที่เน้นการเตรียมความพร้อมและสร้างโอกาสให้กับทรัพยากรมนุษย์ 3) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มุ่งพัฒนาองค์การให้เป็นองค์การเรียนรู้เป็นการ บูรณาการการเรียนรู้กับงานเข้ากันอย่างต่อเนื่องทั้งระดับบุคคล กลุ่ม และองค์การ การพัฒนาทรัพยากร มนุษย์โดยมุ่งการพัฒนาองค์การเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องมาจากการพัฒนาโดยการศึกษาการอบรมการพัฒนา ปัจเจกบุคคล และการพัฒนาอาชีพ การพัฒนาองค์การมุ่งที่ทรัพยากรมนุษย์ทั้งหมดในองค์การการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์อาศัยการเรียนรู้จากประสบการณ์ เน้นการก าหนดเป้าหมายและการก าหนดแผนปฏิบัติ


10 การมุ่งเปลี่ยนพฤติกรรม ทัศนคติ ทักษะการปฏิบัติงานของคนในกลุ่มต่าง ๆ ขององค์การโดยมีเป้าหมาย ส าคัญของกาพัฒนาคือ เพื่อความเจริญของทรัพยากรมนุษย์ในด้านอาชีพ และในองค์การการพัฒนา องค์การต้อมีผู้น าแห่งการเปลี่ยนแปลเป็นผู้กระบวนการพัฒนาให้ด าเนินการไปได้ สรุปได้ว่า หลักการของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คือ การเรียนรู้ในองค์การการจัดการความคิด ที่แตกต่าง พร้อมกับการพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์ที่จะเข้าไปแข่งขันในธุรกิจที่รุนแรง ระดับภูมิภาคมุ่งเพิ่มประสบการณ์ การปรับปรุงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง ของสภาพแวดล้อม 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้ 2.2.1 การจัดการความรู้ การจัดการความรู้ หมายถึง กระบวนการในการน าความรู้ที่มีอยู่หรือเรียนรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ สูงสุด โดยผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น การสร้าง รวบรวม แลกเปลี่ยนและใช้ความรู้เป็นต้น กระบวนการจัดความรู้ (knowledge management process) หมายถึง กระบวนการจัดความรู้ ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน คือ การบ่งชี้ความรู้ การสร้างความรู้และแสวงหาความรู้ การจัดความรู้ให้เป็น ระบบ การประมวลผลและการกลั่นกรองความรู้ การเข้าถึงความรู้ การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ การเรียนรู้ 2.2.2 ประเภทของความรู้ ประเภทของความรู้ สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทคือ 2.2.2.1 ความรู้แบบฝังลึก (tacit knowledge) เป็นความรู้ที่อยู่ในตัวแต่ละบุคคล เกิดจากประสบการณ์ การสังเกต การเรียนรู้ หรือพรสวรรค์ต่าง ๆ ซึ่งสื่อสารหรือถ่ายทอดในรูปของตัวเลข สูตร หรือลายลักอักษรได้ยาก ความรู้ชนิดนี้พัฒนาและแบ่งปันได้โดยการสังเกตและเลียนแบบ เป็นความรู้ที่สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน 2.2.2.2 ความรู้แบบชัดแจ้ง (explicit knowledge) เป็นความรู้ที่เป็นเหตุเป็นผล สามารถรวบรวมและถ่ายทอดออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ได้เช่น หนังสือ คู่มือ เอกสารและรายงานต่าง ๆ ท าให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย


11 2.2.3 กระบวนการจัดการความรู กระบวนการจัดการความรู (knowledge management) เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เกิด พัฒนาการของความรูหรือการจัดการความรูที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กร มีทั้งหมด 7 ขั้นตอน คือ 2.2.3.1 การค้นหา/บ่งชี้ความรู้ (knowledge identification) สืบค้น/ค้นหาภายใน องค์กร/หน่วยงาน ว่ามีความรูอะไร อยู่ในรูปแบบใด อยู่ที่ใครและความรูอะไรที่องค์กรจ าเป็นต้องมีเพื่อให้ องค์กรวางขอบเขตการจัดการความรูและสามารถจัดสรรทรัพยากรไดอย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล 2.2.3.2 การสร้างและการแสวงหาความรู(knowledge creation and Acquisition) เป็นขั้นตอนในการดึงความรูจากแหล่งต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างกระจัดกระจายมารวมไวเพื่อจัดท าเนื้อหา ให้เหมาะสมและตรงกับความต้องการของผู้ใช้ 2.2.3.3 การจัดการความรูผู้ให้เป็นระบบ (knowledge organization) เป็นขั้นตอน ในการจัดท าสารบัญ และจัดแบ่งความรู้ประเภทต่าง ๆ เพื่อให้รวบรวมการค้นหาการน าไปใช้ท าได้ง่าย และรวดเร็ว สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ไดโดยง่าย 2.2.3.4 ก า รป ร ะ ม ว ล แ ล ะ ก ลั่ น ก ร อง ค ว า ม รู้ (knowledge codification and refinement) เป็นขั้นตอนการปรับปรุงและประมวลผลความรู้ให้อยู่ในรูปแบบและภาษาที่เข้าใจและใช้ได้ ง่าย ก าจัดความรูที่ไม่เกิดประโยชนตามเป้าหมายวิสัยทัศน์หรือเป็นขยะความรู้ 2.2.3.5 การเข้าถึงความรู(Knowledge Access) ในการเข้าถึงความรูองค์กรต้องมี วิธีการในการจัดเก็บและกระจายความรูเพื่อให้ผู้อื่นใช้ประโยชนได้โดยทั่วไปการกระจายความรูให้ ผู้ใชมี 2 ลักษณะคือ “Push” การป้อนความรู เป็นการส่งข้อมูล/ความรูให้ผู้รับโดยผู้รับไม่ได้ร้องขอ เช่น การส่งหนังสือเวียนแจง “Pull” การให้โอกาสเลือกใช้ความรูโดยผู้รับสามารถเลือกรับหรือใช้แต่ เฉพาะ ข้อมูล/ ความรู้ที่ต้องการเท่านั้น 2.2.3.6 การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู (Knowledge Sharing) การแบ่งปันความรู ประเภทความรูที่ชัดเจน (Explicit Knowledge) การแบ่งปันความรูที่อยู่ในคน (Tacit Knowledge)


12 2.2.3.7 การเรียนรู้(Learning) การเรียนรู้ของบุคลากรจะท าให้เกิดความรูใหม่ ๆ ขึ้น ซึ่งจะไปเพิ่มพูน องค์ความรูขององค์กรที่มีอยู่แลวให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ความรูนี้ก็จะถูกน าไปใช้ เพื่อสร้างความรูใหม่อีกเป็นวงจรที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่เรียกว่า“วงจรการเรียนรู้” โดยสรุปการจัดการความรูเป็นกระบวนการหนึ่ง ซึ่งช่วยองค์การการในการระบุ คัดเลือกรวบรวม เผยแพรและโอนย้ายสารสนเทศที่มีความส าคัญ อีกทั้งยังประกอบด้วยความรูและความช านาญงาน โดยจัดเก็บไวในฐานความรูขององค์การ ซึ่งความรูเหล่านี้จะช่วยแกปัญหาอันเกิดจากการท างานที่มักเกิด การเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอโดยกระบวนการจะเริ่มต้นตั้งแต่ การะบุถึงความรูที่ต้องการสร้างรูปแบบของ การจัดเก็บความรูอย่างเป็นทางการ ในการเพิ่มมูลค่าของความรูนั้นท าได้ด้วยการน าความรูไปใช้อีก บ่อยครั้งเทาที่ตองการ ดังนั้นในองคการที่ประสบผลส าเร็จจะตองสามารถปรับเปลี่ยนความรูใหอยู่ ในรูปแบบของทุนทางปญญา (Intellectual Capital) โดยมีการแลกเปลี่ยนความรูระหวางบุคคลและ การเผยแพรกระจายความรูอย่างกวางขวาง จนกอให้เกิดฐานความรูขน าดให้ญที่สามารถเรียกใชเพื่อการ แกไขปญหาภายในองคการแหงการเรียนรูและยังน าไปสูการสรางความรูที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีการ ปรับเปลี่ยนความรูให้ทันสมัยขึ้น อย่างไม่มีวันจบสิ้น โดยที่ วัฏจักร ดานการจัดการความรูมี 6 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การสรางความรูซึ่งก าหนดได้จากการกระท าของบุคคล ขั้นตอนที่ 2 การจับความรูโดยการคัดเลือกความรูที่มีมูลคาและสมเหตุสมผล ขั้นตอนที่ 3 การปรับความรูโดยมีการจัดบริบทความรูให้มที่น าไปปฏิบัติได้ ขั้นตอนที่ 4 การเก็บความรูโดยท าการจัดเก็บความรูที่มีประโยชนไวภายในฐานความรู ซึ่งผูใชสามารถเข้าถึงขอมูลได้ทุกเมื่อที่ตองการ ขั้นตอนที่ 5 การจัดการความรูโดยท าการปรับความรูใหเป็นปจจุบันอยู่เสมอ ซึ่งมักจะ มีการตรวจสอบและทบทวนถึงความตรงประเด็นและความถูกตองของความรูอยู่สมอ ขั้นตอนที่ 6 การเผยแพรความรูโดยน าเสนอความรูซึ่งถูกจัดใหอยู่ในรูปแบบที่บุคคล ตองการ ไม่ว่าจะเป็นที่ใดหรือเวลาใดก็ตาม นอกจากนี้การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นสามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้ ภูมิปัญญา มีหลายรูปแบบ ดังนี้ (อมรรัตน์ อนันต์วราพงษ์, 2560 หน้า 1) 1. ภูมิปัญญาพื้นบ้าน ภูมิปัญญาพื้นบ้านเป็นองค์ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ ที่สั่งสมและสืบทอดกันมาอันเป็นความสามารถและศักยภาพในเชิงแก้ปัญหา การปรับตัวเรียนรู้


13 และสืบทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ เพื่อการด ารงอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ จึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ เผ่าพันธุ์ หรือเป็นวิถีของชาวบ้าน 2. ภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง แกนหลักของการมองชีวิต การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งมีความหมายในแง่ของปัจเจกบุคคล และในแง่ของสังคมหมู่บ้าน ภูมิปัญญานี้เกิดจากการสะสมเรียนรู้ มาเป็นระยะเวลานาน เป็นมวลความรู้และประสบการณ์ของชาวบ้านที่ใช้ในการด าเนินชีวิต ให้เป็นสุข โดยได้รับการถ่ายทอดสั่งสมกันมา ที่ผ่านกระบวนการพัฒนาให้สอดคล้องกับกาลสมัย 3. ภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ในชีวิตของคนเราผ่าน กระบวนการศึกษา สังเกต คิด วิเคราะห์จนเกิดปัญญา และตกผลึกมาเป็นองค์ความรู้ที่ประกอบ กันขึ้นมา กับความรู้เฉพาะหลาย ๆ เรื่อง ความรู้ดังกล่าวไม่ได้แยกย่อยออกมาเป็นศาสตร์เฉพาะสาขาวิชาต่าง ๆ อาจกล่าวได้ว่าภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นความรู้ที่มีอยู่ทั่วไปในสังคม ชุมชน และในตัวของผู้รู้เอง หากมีการ สืบค้นเพื่อศึกษา และน ามาใช้ก็จะเป็นที่รู้จักกัน เกิดการยอมรับ ถ่ายทอด และพัฒนาสู่คนรุ่นใหม่ตามยุค ตามสมัยได้ 4. ภูมิปัญญาไทย เป็นผลของประสบการณ์สั่งสมของคนที่เรียนรู้จักปฏิสัมพันธ์ กับสิ่งแวดล้อม ปฏิสัมพันธ์ในกลุ่มชนเดียวกัน และระหว่างกลุ่มชนหลาย ๆ ชาติพันธุ์ รวมไปถึงโลกทัศน์ ที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ภูมิปัญญาเหล่านี้เคยเอื้ออ านวยให้คนไทยแก้ปัญหาได้ด ารงอยู่ และสร้างสรรค์ อารยธรรมของเราเองได้อย่างมีดุลยภาพกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในระดับพื้นฐานหรือระดับชาวบ้าน ภูมิปัญญาในแผ่นดินนี้มิได้เกิดขึ้นเป็นเอกเทศแต่มีส่วนแลกเปลี่ยนเลือกเฟ้น และปรับให้ภูมิปัญญา จากอารยธรรมอื่นตลอดมาจึงเป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรม โดยการตีความหมายอย่างลึกซึ้งให้เข้าใจ ถึงมูลเหตุแห่งการสร้างสรรค์อย่างชาญฉลาด แสดงถึงความมีภูมิปัญญาของคนไทยในยุคสมัยหนึ่ง ที่สามารถคิดค้นสิ่งที่เป็นระเบียนแบบแผน และมีรูปแบบที่ยอมรับกันภายในสังคม เพื่อเอื้อประโยชน์ ต่อการด ารงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมนั้น ๆ ทั้งยังมีคุณค่าความงดงามในรูปแบบของงานศิลปะ ผลงานจาก ภูมิปัญญาของคนไทยโบราณจะปรากฏคุณค่าเด่นชัด และน่าอนุรักษ์เมื่อเราได้ประจักษ์ชัดถึง ความสัมพันธ์สอดคล้องระหว่างศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี กับสภาพความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของผู้คนใน สังคมแต่ละยุคสมัย ทั้งนี้ขอบข่ายของภูมิปัญญาไทย ตามนโยบายส่งเสริม ภูมิปัญญาไทยในการจัด การศึกษา ซึ่งได้รับความเห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2542 โดยได้ก าหนด ขอบข่ายภูมิปัญญาไทยไว้ 9 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านเกษตรกรรม ได้แก่ ความสามารถในการผสมผสมผสานองค์ความรู้ทักษะและ เทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่าดั้งเดิม ซึ่งคนสามารถพึ่งตนเอง


14 ในสภาวการณ์ต่าง ๆ ได้ เช่น การท าการเกษตรแบบผสมผสาน การแก้ปัญหาการเกษตร ด้านการตลาด การแก้ปัญหาด้านการผลิต และรู้จักปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการเกษตร เป็นต้น 2. ด้านอุตสาหกรรมและหัตถกรรม ได้แก่ การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการแปรรูป ผลิตเพื่อบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็นธรรม อันเป็นกระบวนการให้ชุมชน ท้องถิ่นสามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจได้ ตลอดทั้งการผลิต และการจ าหน่ายผลผลิตทางหัตถกรรม เช่น การรวมกลุ่มโรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กลุ่มหัตถกรรม เป็นต้น 3. ด้านการแพทย์แผนไทย ได้แก่ ความสามารถในการจัดการป้องกัน และรักษาสุขภาพ ของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทางด้านสุขภาพอน ามัยได้ เช่น ยาจากสมุนไพร อันมีอยู่หลากหลาย การนวดแผนโบราณ การดูแลรักษาสุขภาพพื้นบ้าน เป็นต้น 4. ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ความสามารถเกี่ยวกับการ จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งการอนุรักษ์ การพัฒนา และการใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน เช่น การบวชป่า การสืบชะตาแม่น้ า การท า แนวปะการังเทียม การอนุรักษ์ป่าชายเลน การจัดการป่าต้นน้ าและชุมชน เป็นต้น 5. ด้านกองทุนและธุรกิจชุมชน ได้แก่ ความสามารถในด้านการสะสม การบริหาร กองทุนและสวัสดิการชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตราและโภคทรัพย์ เพื่อสร้างเสริมความมั่งคงให้แก่ชีวิต และ ความเป็นอยู่ของสมาชิกในกลุ่ม เช่น การจัดการกองทุนชุมชนในรูปแบบของสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมถึงความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิตของคนให้เกิดความมั่นคงทาง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการพยาบาลของชุมชน และจัดระบบ สวัสดิการบริการชุมชน 6. ด้านศิลปกรรม ได้แก่ ความสามารถในการสรรค์สร้างผลงานศิลปะสาขา ต่าง ๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม นาฏศิลป์ ทัศน์ศิลป์ คีตศิลป์ การละเล่นพื้นบ้าน และ นันทนาการ เป็นต้น 7. ด้านภาษาและวรรณกรรม ได้แก่ ความสามารถในการอนุรักษ์และสรรค์สร้างผลงาน ด้านภาษา คือ ภาษาถิ่น ภาษาไทยภูมิภาคต่าง ๆ รวมถึงด้านวรรณกรรมท้องถิ่น และการจัดท าสารานุกรม ท้องถิ่น ปริวรรตหนังสือโบราณ การฟื้นฟูการเรียนการสอนภาษาถิ่นของท้องถิ่นต่าง ๆ 8. ด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี ได้แก่ ความสามารถประยุกต์และปรับใช้ หลักธรรมค าสอนทางศาสนา ปรัชญา ความเชื่อ และประเพณี ที่มีคุณค่าให้เหมาะต่อบริบททางเศรษฐกิจ และสังคม เช่น การถ่ายทอดวรรณกรรมค าสอน การบวชป่า การประยุกต์ประเพณีบุญประทายข้าว เป็นต้น


15 9. ด้านโภชนาการ ได้แก่ ความสามารถในการเลือกสรร ประดิษฐ์และปรุงแต่งอาหาร และยาได้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในสภาวการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนผลิตเป็นสินค้า และบริการ ส่งออกที่ได้รับความนิยมแพร่หลายมาก รวมถึงการขยายคุณค่าเพิ่มของทรัพยากรด้วย ดังนั้นการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงมีความส าคัญต่อชุมชนในการเก็บรวบรวมข้อมูล การถ่ายทอดข้อมูล และการประยุกต์ใช้ข้อมูลส าหรับการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนให้เกิดความยั่งยืน ต่อไป 2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ธนัช ชูศรีและคณะ (2562) ได้ท าการศึกษาเรื่อง รูปแบบการพัฒนาศักยภาพบัณฑิต สาขาวิชา บริหารการศึกษาตามหลักพุทธธรรม มหาวิทยาลัยในก ากับของรัฐ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้คือ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยในก ากับของรัฐ 2) เพื่อศึกษาแนว ทางการพัฒนาศักยภาพบัณฑิตสาขาวิชาบริหารการศึกษา ตามหลักพุทธธรรม มหาวิทยาลัยในก ากับของ รัฐ และ 3) เพื่อเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา ตามหลักพุทธธรรม มหาวิทยาลัยในก ากับของรัฐ ระเบียบวิธีวิจัยใช้แบบผสมผสานวิธี (Mixed Methods Research) ระหว่าง การวิจัยเชิงคุณภาพใช้แบบสัมภาษณ์ ผู้ให้ข้อมูลส าคัญ คือ ผู้ทรงคุณวุฒิจ านวน 5 รูป/คน และการ สนทนากลุ่ม (Focus Group) จากผู้ทรงคุณวุฒิ9 รูป/คน ใช้แบบสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการ วิเคราะห์เนื้อหา และการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม (Questionnaires) จากกลุ่มตัวอย่าง 317 รูป/คน โดยใช้สถิติ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (̅ ) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า 1. ความคิดเห็นของบัณฑิตในภาพรวมอยู่ในระดับมากทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้านเจต คติ2. แนวการพัฒนาศักยภาพบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา ตามหลักพุทธธรรมมหาวิทยาลัย ในก ากับของรัฐ คือ STEP3 MODEL ซึ่งเป็นอันเป็นการน าศาสตร์ตะวันตกมาบูรณาการกับหลักพุทธธรรม เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อบัณฑิตในการพัฒนาศักยภาพของบัณฑิต 3. รูปแบบการพัฒนาศักยภาพบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา ตามหลักพุทธธรรมมหาวิทยาลัยในก ากับของรัฐ มีองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ คือ 1) วัตถุประสงค์ 2) เนื้อหา 3) กระบวนการพัฒนา และ 4) การประเมินผล อิสริญญา ฉิมพลีและคณะ (2560) ได้ท าการศึกษาเรื่อง การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมศักยภาพ บุคลากรครูโรงเรียนในสังกัดเมืองพัทยา ด้านการวิจัยด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการวิจัยของบุคลากรครูโรงเรียนในสังกัด เมืองพัทยา 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมศักยภาพบุคลากรครูโรงเรียนในสังกัดเมืองพัทยาด้านการ


16 วิจัยด้วยกระบวนการวิจัย เชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และ3) เพื่อประเมินรูปแบบการส่งเสริมศักยภาพ บุคลากรครูโรงเรียนในสังกัดเมืองพัทยาด้านการวิจัยด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม การด าเนินการแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอน ที่ 1 ศึกษาสภาพการวิจัยของบุคลากรครูโรงเรียนในสังกัด เมืองพัทยา กลุ ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรครูโรงเรียนในสังกัดเมืองพัทยาจ านวน 231 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่ม แบบแบ่งชั้น ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและพัฒนารูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เต็มใจให้ข้อมูล จ านวน 14 คน ขั้นตอนที่3 การประเมินรูปแบบ โดยผู้ทรงคุณวุฒิจ านวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสนทนากลุ่ม แบบประเมินรูปแบบวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีความต้องการการทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวน การวิเคราะห์ เนื้อหาและการวิเคราะห์ค่ามัธยฐานค่าพิสัยระหว่างควอร์ไทล์ ผลการวิจัยปรากฏ ดังนี้1. สภาพความรู้ ของบุคลากรครูโรงเรียนในสังกัดเมืองพัทยาส่วนมากมีระดับคะแนนต่ ากว่าร้อยละ 50 ของคะแนนเต็ม มีทัศนคติต่อการวิจัยอยู่ในระดับมาก มีระดับปฏิบัติการวิจัยอยู่ในระดับปานกลาง มีความคาดหวังต่อ สภาพปฏิบัติการวิจัยอยู่ในระดับมากที่สุด มีดัชนีความต้องการด้านการพัฒนาศักยภาพการวิจัยมากที่สุด และมีความรู้ ทัศนคติและสภาพปฏิบัติการวิจัยแตกต่างกันตามสภาพส่วนบุคลอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 2. รูปแบบการส่งเสริมศักยภาพบุคลากรครูโรงเรียนในสังกัดเมืองพัทยาด้านการวิจัยด้วย กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีองค์ประกอบ 4 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นร่วมวางแผน เตรียมการ (Plan) 2) ขั้นร่วมสร้างกิจกรรมพัฒนา (Action and Observe) 3) ขั้นร่วมติดตามและ ประเมินผลอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุง (Reflect) 4) การสนับสนุนปัจจัยที่บุคลากรครูต้องการด้านการวิจัย จากต้นสังกัดทุกขั้นตอน (Input) 3. ผลการประเมินรูปแบบการส่งเสริมศักยภาพบุคลากรครูโรงเรียน ในสังกัดเมืองพัทยาด้านการวิจัยด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ผู้ทรงคุณวุฒิมี ความเห็นสอดคล้องกับความเป็นประโยชน์ ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความถูกต้อง อยู่ในระดับ มากที่สุด เกียรติชัย เวษฎาพันธุ์และคณะ (2559) ได้ท าการศึกษาเรื่อง การพัฒนาศักยภาพและ ความสามารถด้านการบริหารจัดการของผู้น าชุมชน จังหวัดปทุมธานี ในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ ประชาคมอาเซียน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ส ารวจคุณลักษณะส่วนบุคคล ศักยภาพและ ความสามารถด้านการบริหารและสมรรถนะการบริหารของผู้น าชุมชน (2) เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคล ของผู้บริหารกับสมรรถนะการบริหารของผู้น าชุมชน (3) วิเคราะห์ปัจจัยศักยภาพและความสามารถด้าน การบริหารจัดการที่มีอิทธิพลต่อสมรรถนะการบริหารของผู้น าชุมชน ในจังหวัดปทุมธานี ในการเตรียม ความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงส ารวจ โดยใช้การวิจัยทั้งเชิงปริมาณและ


17 เชิงคุณภาพ ส ารวจความคิดจากผู้น าชุมชนใน จังหวัดปทุมธานี จ านวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่สถิติพรรณนา การทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ One-way ANOVA และวิเคราะห์สมการถดถอย พหุคูณ รวมถึงการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า (1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง มีอายุ41 - 50 ปี การศึกษาต่ ากว่าปริญญาตรีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ต่ ากว่า 30,000 บาท ประสบการณ์การท างานต่ า กว่า 5 ปี ผู้น าชุมชนให้ความส าคัญต่อรูปแบบการบริหารด้านการสนับสนุนระบบงานมากที่สุด ปัจจัยการ จัดการทรัพยากรมนุษย์ ให้ความส าคัญต่อการใช้ประโยชน์ การธ ารงรักษามากที่สุด ปัจจัยทักษะให้ ความส าคัญต่อการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง ปัจจัยค่านิยมร่วมให้ความส าคัญกับการท างานเป็นทีม ปัจจัยสมรรถนะในการบริหาร ให้ความส าคัญกับมนุษย์สัมพันธ์ (2) คุณลักษณะผู้บริหาร พบว่าระดับ การศึกษา รายได้ ประสบการณ์การท างาน ที่แตกต่างกันท าให้สมรรถนะการบริหารงานแตกต่างกัน และ (3) ปัจจัยความสามารถด้านการบริหารจัดการกับสมรรถนะการบริหารด้านค่านิยมร่วม และ ด้านทักษะ บริหาร มีอิทธิพลต่อสมรรถนะการบริหารของผู้น าชุมชนจังหวัดปทุมธานี อุดมลักษณ์ บ ารุงญาติ (2554) ได้ท าการศึกษาเรื่อง การพัฒนาศักยภาพการวิจัยของคณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ คือ 1. เพื่อศึกษาศักยภาพ การวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2. เพื่อศึกษาข้อเสนอชิงนโยบาย ในการพัฒนาศักยภาพการวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผลการวิจัย พบว่า ผู้ศึกษาได้ท าการประเมินศักยภาพการวิจัย แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่ 1.งานวิจัยของบุคลากร การวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ พบว่า กลุ่มวิชาภาษา มีบุคลากรการวิจัยมากที่สุด รองลงมาคือกลุ่มวิชาสังคมศาสตร์ กลุ่มวิชามนุษยศาสตร์และกลุ่มวิชาการจัดการสารสนเทศและการ สื่อสาร ตามล าดับ 2.การเผยแพร่งานวิจัยของบุคลากรการวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ พบว่า ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552 2553 และ 2554 มีแนวโน้มของการผลิตบทความวิชาการที่น าเสนอ ลดลง ซึ่งในปีงบประมาณ 2552 มีบทความวิชาการที่บุคลากรการวิจัยไปน าเสนอทั้งหมด 57 บทความ โดยกลุ่มวิชาที่มีการผลิตบทความวิชาการไปน าเสนอมากที่สุด คือ กลุ่มสาขาวิชาสังคมศาสตร์ รองลงมา เป็นกลุ่มวิชาภาษา และกลุ่มวิชามนุษยศาสตร์ ในขณะที่ปีงบประมาณ 2554 สัดสวนการผลิตบทความ วิชาการลดลงเหลือเพียง 45 บทความ 3.การประเมินด้านการวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จากหน่วยงานทั้งภายในมหาวิทยาลัยและภายนอกมหาวิทยาลัย พบว่า ในการประเมินด้านการวิจัยของ หน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย จากส านักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้รับการ ประเมินทั้งหมด 4 ตัวชี้วัด คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้รับการประเมินในระดับดีมาก (ได้ 5 คะแนนเต็ม) ใน 3 ตัวชี้วัด มีเพียงตัวชี้วัดที่ 4.2.4 เรื่อง ผลงานวิจัยที่ได้รับการอ้างอิง ได้รับคะแนน


18 การประเมินเพียง 1 คะแนน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ควรปรับปรุง ส าหรับการประเมินด้านการวิจัยจากส านักงาน ประเมินและรับรองมาตรฐานการศึกษา (สมศ.) จากการประเมินทั้ง 3 ตัวชี้วัด พบว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีงบประมาณคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์อยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลางถึงระดับดีมาก (3-5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) ในตัวชี้วัดที่ 5 และตัวชี้วัดที่ 6 ในขณะที่ตัวชี้วัดที่ 7 ได้รับการประเมิน 5 คะแนนเต็มตลอดระยะเวลา 3 ปีงบประมาณ นอกจากนี้ในการประเมินด้านการวิจัยจากส านักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ผ่านการประเมินคุณภาพภายในของมหาวิทยาลัยขอนแก่น (IQAKKU) พบว่า คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ควรมีการปรับปรุงในตัวชี้วัดที่ 4.3.1 ตัวชี้วัดที่ 4.6 และ ตัวชี้วัดที่ 4.7เพราะตลอดระยะเวลา 3 ปีงบประมาณ มีค่าคะแนนค่อนข้างต่ า เพียง 1 -2 คะแนน และ ควรพัฒนาตัวชี้วัดที่อื่น ๆ ให้พัฒนาอยู่ในเกณฑ์ระดับดีมาก (การประเมิน 5 คะแนนเต็ม) ภัทราพร เกษสังข์ (2551) ได้ท าการศึกษาเรื่อง การพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยของครู สังกัดส านักงานเขตพื้นที่ก ารศึกษ าเลย เขต 1 โดยการวิจัยเชิงปฏิบัติกา รแบบมีส่วน ร่วม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและปัญหาการท าวิจัยของครู2) ศึกษาความคาดหวังและแนว ทางการพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยของครู3) ศึกษาผลการด าเนินการพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยของ ครู และ 4) ศึกษารูปแบบการพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยของครู สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาเลย เขต 1 ผลการวิจัยพบว่า ครูเข้าร่วมพัฒนามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัย ขั้นตอนและวิธีด าเนินการ วิจัยเพิ่มขึ้น ซึ่งเริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา การด าเนินการแก้ปัญหา การเก็บรวบรวมข้อมูล การเขียน รายงานวิจัยที่เป็นระบบและเขียนรายงานเป็นทางวิชาการเพิ่มมากขึ้น ดังที่สะท้อนว่า“ครูเริ่มวิเคราะห์ ปัญหาโดยมีข้อมูลมาสนับสนุนปัญหา” (ผู้บริหาร) “การน าเสนอผลงานวิจัยอย่างชัดเจน (มั่นใจ)ให้ผู้อื่น เข้ าใจ” (นักวิจัยและผู้บริหาร) การสังเกตและสัมภาษณ์เชิงลึก “ครูมีงานวิจัยที่เป็นเต็มรูปเกือบทุกคน มีอยู่ 4 คน ที่เป็นวิจัยอย่างง่ายจากที่ไม่เคยท าเลย” (ผู้บริหาร 2) และ “งานวิจัยเขียนเป็นระบบถูกต้อง มากขึ้น” (ศึกษานิเทศก์)


บทที่ 3 วิธีด ำเนินกำรวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาการเขียนผลงานวิจัยในการตีพิมพ์เผยแพร่ ในระดับชาติ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบบมีส่วนร่วม ดังนี้ 3.1 วิธีกำรศึกษำ 3.1.1 วิธีวิจัยเชิงคุณภำพ (Qualitative Research) ใช้การสัมภาษณ์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) และการประชุมกลุ่มย่อย (มานพ คณะโต, 2550) ในการสัมภาษณ์ผู้รู้หรือผู้ให้ข้อมูล สําคัญ ได้แก่คณะกรรมการบริหารคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบ การวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เช่น บุคลากรการวิจัย และเจ้าหน้าที่งานวิจัยและ บริการวิชาการ เป็นต้น ตลอดจนข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาศักยภาพการวิจัยของ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม 3.1.2 กำรวิจัยเชิงปฏิบัติกำรแบบมีส่วนร่วม แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ 1) ระยะที่1 ขั้นเตรียม สร้างความตระหนักและความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับ การดําเนินการวิจัย และการพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัย โดยสนทนากับกลุ่มผู้บริหาร ประชุมชี้แจง จุดมุ่งหมายของการวิจัย และนัดหมายปฏิบัติการกับกลุ่มผู้บริหาร และอาจารย์กลุ่มเป้าหมาย เพื่อสํารวจความสนใจ 2) ระยะที่ 2 ขั้นดําเนินการ ผู้วิจัยดําเนินการตามวงจรของ Stringer (1996) มี 3 ขั้น คือ (1) ขั้นการค้นหา เป็นขั้นศึกษาสภาพและปัญหา ศึกษาเอกสาร สํารวจ สภาพและปัญหาของการวิจัย โดยการตอบแบบสอบถามของกลุ่มเป้าหมาย สัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่ม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย คือ กลุ่มผู้บริหาร ศึกษานิเทศก์ โดยเลือกมาอย่างเจาะจงดําเนินการวิเคราะห์ ข้อมูลที่ได้เพื่อสรุป


20 (2) ขั้นการคิด เป็นการตีความประเด็นต่าง ๆ ที่ได้รับจากสภาพและปัญหา เพื่อเป็นข้อมูลในการคํานึงถึงความคาดหวังและแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ด้านการพัฒนาผลงาน ทางวิชาการของอาจารย์ไปสู่การลงปฏิบัติจริง (3) ขั้นการกระทํา เป็นการดําเนินการพัฒนาศักยภาพด้านการพัฒนา ผลงานทางวิชาการของอาจารย์ เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการเอกสารที่เกี่ยวข้อง การสนทนากลุ่มเกี่ยวกับ การพัฒนาผลงานทางวิชาการ 3) ระยะที่ 3 ขั้นลงมือเขียนผลงานทางวิชาการเพื่อการตีพิมพ์ โดยการกําหนด ระยะเวาลา การติดตามผลงาน ผ่านการให้คําปรึกษาของผู้ทรงคุณวุฒิ 4) ระยะที่ 4 การผลิตผลงานและตีพิมพ์ 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้การสัมภาษณ์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) (มานพ คณะโต, 2550) และการสนทนากลุ่มย่อย ในการสัมภาษณ์ผู้รู้หรือผู้ให้ข้อมูล สําคัญ ได้แก่คณะกรรมการบริหารคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบ การวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เช่น บุคลากรการวิจัย และเจ้าหน้าที่งานวิจัยและ บริการวิชาการ เป็นต้น ตลอดจนข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาศักยภาพการวิจัยของคณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม 3.3 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก และการสนทนากลุ่มย่อย ผู้ให้ข้อมูลสําคัญ ได้แก่ คณะกรรมการ บริหารคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์และผู้เข้าร่วมกระบวนการพัฒนาผลงานของคณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ตลอดจนผู้ให้คําปรึกษาในแต่ละศาสตร์ ขณะที่ทําการเก็บรวบรวม ข้อมูลในแต่ละครั้ง ผู้ศึกษาได้ทําการจดบันทึกข้อมูล (Field Note) โดยบันทึกข้อมูลลงในแบบบันทึก ที่เป็นสมุดบันทึก พร้อมทั้งบันทึกข้อมูลด้วยเครื่องบันทึกเสียง และบันทึกภาพที่ได้จากการสัมภาษณ์ ร่วมด้วย 3.4 กำรวิเครำะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) องค์ประกอบในการวิเคราะห์อยู่ 3 ประการ


21 3.3.1 การจัดระเบียบข้อมูล (Data Organizing) 3.3.2 การแสดงข้อมูล (Data Display) วิเคราะห์ความเชื่อมโยง ความเป็นเหตุเป็นผลของ ข้อมูล 3.3.3 หาข้อสรุป (Conclusion) การตีความ (Interpretation) และการตรวจสอบความ


บทที่ 4 ผลการวิจัย ในการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาผลงานทางวิชาการของบุคลากรคณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ ด้วยวิธีการศึกษาเชิงคุณภาพผ่านกระบวนการ สัมภาษณ์ ประชุมกลุ่มย่อยเพื่อพัฒนา ผลงานทางวิชาการ สามารถเสนอผลการศึกษาได้ ดังนี้ 4.1 ด้านบริบทคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เดิมประวัติความเป็นมาขอคณะฯ พ.ศ. 2479 มีการจัดตั้งโรงเรียนสตรีฝึกหัดครูนครปฐม พ.ศ. 2511 เปลี่ยนชื่อจากโรงเรียนสตรีฝึกหัดครูนครปฐม เป็นโรงเรียนฝึกหัดครูนครปฐม พ.ศ. 2513 เปลี่ยนชื่อจากโรงเรียนฝึกหัดครูนครปฐม เป็นวิทยาลัยครูนครปฐม (วันที่ 16 มกราคม 2513) พ.ศ. 2518 เริ่มด าเนินการและบริหารงานตามพระราชบัญญัติวิทยาลัยครู พ.ศ. 2518 ท าให้วิทยาลัยครูมีการเปลี่ยนแปลงบทบาทและโครงสร้างเข้าสู่ความเป็น อุดมศึกษามากขึ้น ดังเช่นที่ระบุไว้ในมาตรา 5 คือ “ให้วิทยาลัยครูเป็นสถาบันค้นคว้าและวิจัยผลิตครู ถึงระดับปริญญาตรี ส่งเสริมวิทยฐานะของครูอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา ท านุบ ารุง ศิลปวัฒนธรรม และให้บริการทางวิชาการแก่ชุมชน” พระราชบัญญัตินี้เพิ่มโอกาสในการขยาย การศึกษาและภารกิจของทางวิทยาลัยครูให้กว้างขวางขึ้น ภาระหน้าที่ของอาจารย์และบุคลากรของ ทางวิทยาลัยก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกันและตามพระราชบัญญัติวิทยาลัยครู พ.ศ. 2518 ได้ปรับโครงสร้างการบริหารและการจัดองค์กร เพื่อให้เกิดคณะวิชาในวิทยาลัย ครูนครปฐม จ านวน 3 คณะวิชา ได้แก่ คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะวิชาวิทยาศาสตร์ และคณะวิชาครุศาสตร์ส าหรับคณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์นี้ เกิดขึ้นจากการปรับเปลี่ยน หมวดวิชาสังคมศึกษา หมวดวิชาภาษาไทย หมวดวิชาภาษาอังกฤษ หมวดวิชาศิลปศึกษา ดนตรี และ นาฏศิลป์ รวมเป็นคณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และเริ่มด าเนินงานอย่างเป็นทางการตั้งแต่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2519 พ.ศ. 2519 ได้มีค าสั่งแต่งตั้งคณะผู้บริหารงานคณะวิชา ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2519 หัวหน้า คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ อาจารย์ณรงค์ เส็งประชา และรองหัวหน้าคณะวิชา มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ อาจารย์สุเวช ณ หนองคาย พ.ศ. 2523 หัวหน้าคณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ อาจารย์เจียม เคหะธูป


23 พ.ศ. 2527 หัวหน้าคณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ อาจารย์เฉิดฉิน สุกปลั่ง มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติวิทยาลัยครู พ.ศ. 2518 คือ พระราชบัญญัติวิทยาลัยครู (ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2527) ประเด็นส าคัญในการ เปลี่ยนแปลง คือให้การศึกษาวิชาการในสาขาวิชาต่าง ๆ ซึ่งท าให้คณะวิชาผลิตบัณฑิตถึงระดับ ปริญญาตรี ครุศาสตร์ ที่ผลิตมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 พ.ศ. 2531 หัวหน้าคณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ อาจารย์สะอาด เลิศหิรัญ พ.ศ. 2534 หัวหน้าคณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ อาจารย์เจียม เคหะธูป พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน นามวิทยาลัยครูว่า “สถาบันราชภัฏนครปฐม” เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2535 พ.ศ. 2537 หัวหน้าคณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คืออาจารย์นพศร ณ นครพนม ปลายปี พ.ศ. 2537 หัวหน้าคณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ อาจารย์สุเวช ณ หนองคาย พ.ศ. 2538 ประกาศใช้พระราชบัญญัติ สถาบันราชภัฏ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2538 มีผลให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงการบริหารงานครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ตามบทเฉพาะกาลให้ผู้ด ารงต าแหน่งต่าง เปลี่ยนชื่อตามพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2538 และให้ด าเนินการสรรหาให้เสร็จสิ้น ภายใน 180 วัน ดังนั้น คณะวิชา มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และผู้ด ารง ต าแหน่งบริหารคณะให้ใช้ค าว่า “คณบดี” วันที่ 25 มกราคม 2538 คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์จึงเป็นหัวหน้าคณะวิชาเดิม นั่นคือ อาจารย์สุเวช ณ หนองคาย เริ่มปีการศึกษา 2538 คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ ดร.ณัฐกาญจน์ อ่างทอง พ.ศ. 2542 คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปราณี ภาสกรณ์ พ.ศ. 2545 คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สมเดช นิลพันธุ์ (ลาออกวันที่ 22 พฤษภาคม 2545) พ.ศ. 2545 คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พนิดา เย็นสมุทร พ.ศ. 2547 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม สถาบันราชภัฏนครปฐมว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม” เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2547 พ.ศ. 2548 คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์กฤษฎา ด่านประดิษฐ์ พ.ศ. 2552 คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุษา น้อยทิม


24 พ.ศ. 2556 คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุษา น้อยทิม พ.ศ. 2560 คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คือ ดร.นิพล เชื้อเมืองพาน 4.2 ด้านองค์ความรู้และการพัฒนาศักยภาพ ในด้านองค์ความรู้และศาสตร์ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ พบว่า ประกอบไป ด้านศาสตร์ต่าง ๆ ตามสาขาวิชา ดังนี้ 1) ครุศาสตร์ ประกอบไปด้วย 1.1 สาขาภาษาไทย 1.2 สาขาภาษาอังกฤษ 1.3 สาขาสังคมศึกษา 1.4 สาขาภาษาจีน 1.6 สาขาศิลปศึกษา 1.6 สาขาดนตรีศึกษา 2) ศิลปศาสตร์ ประกอบด้วย 2.1) ภาษาไทยเพื่อการอาชีพ 2.2) สาขาการพัฒนาชุมชน 2.3) สาขาภาษาอังกฤษธุรกิจ 2.4) สาขาการท่องเที่ยวและการโรงแรม 2.5) สาขาภาษาอังกฤษ 3) ศิลปกรรมศาสตร์ ประกอบด้วย 3.1) สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ 3.2) สาขาดิจิทัลอาร์ต 4) นิติศาสตร์ มี 1 สาขา คือ นิติศาสตร์ 5) รัฐประศาสนศาสตร์ มี 1 สาขา คือ รัฐประศาสนศาสตร์ จากความหลากหลายของศาสตร์ต่าง ๆ ในคณะฯ ประกอบกับจากการสัมภาษณ์ และการ ประชุมกลุ่มย่อยในผู้เกี่ยวข้องกับการวิจัยครั้งนี้ พบว่า 1) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มีความได้เปรียบทางด้านความหลากหลาย ของศาสตร์ที่จะสามารถบูรณาการและพัฒนางานวิชาการของแต่ละศาสตร์ หรือสามารถหลอมรวมกัน เพื่อการพัฒนาผลงานทางวิชาการ อันเป็นจุดเด่นในคณะฯ ได้


25 2) ด้านองค์ความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ ของคณะฯ พบว่า มีบุคลากรที่มีศักยภาพที่สามารถ ผลิตผลงานทางวิชาการได้ แต่หากได้รับการส่งเสริมจากผู้เชี่ยวชาญ หรือที่ปรึกษาเฉพาะทางในด้าน การผลิตผลงานทางวิชาการจะสามารถเกิดการพัฒนาได้รวดเร็วยิ่งขึ้นตามศักยภาพ 3) ด้านการบูรณาการศาสตร์ หากสามารถบูรณาการระหว่างศาสตร์ได้จะเกิดการผลิตผลงาน ทางวิชาการที่โดดเด่นได้ยิ่งขึ้น 4) จากพันธกิจส่วนหนึ่งของคณะฯ เกิดความเกี่ยวข้องกับชุมชน ดังนั้นในคณะฯ สามารถ พัฒนางานวิจัยร่วมกับชุมชนได้ 5) ด้วยภาระงานสอนที่มากของบุคลากรในคณะฯ จึงจุดด้อยในด้านการพัฒนาผลงานทาง วิชาการของคณะฯ ที่ท าให้เกิดความล่าช้า และเป็นอุปสรรคในการผลิตผลงานทางวิชาการ 4.3 จากการพัฒนาเพื่อการผลิตผลงานทางวิชาการในคณะฯ เกิดกระบวนการพัฒนาศักยภาพ และมีผลงานที่ได้รับการพัฒนา 10 ผลงาน ดังนี้ ผลงานที่ 1 การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักศึกษาสายวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม ผลงานที่ 2 รูปแบบการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนาจุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวซ้ าในจังหวัดนครปฐมและพื้นที่เชื่อมโยง ผลงานที่ 3 การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตอ าเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ผลงานที่ 4 การรู้สารสนเทศของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ผลงานที่ 5 เทคโนโลยี Big data กับงานห้องสมุดในยุคดิจิทัล ผลงานที่ 6 การพัฒนาชุมชนตามแนวคิดทางสายกลางของขงจื๊อ ผลงานที่ 7 มุมมองทางภูมิศาสตร์ ผ่านค าขวัญประจ าจังหวัด ผลงานที่ 8 แนวปฏิบัติที่ดีด้านการบริหารจัดการสวนส้มโอจากเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอตัวอย่าง ผลงานที่ 9 การส่งเสริมการรู้ดิจิทัลส าหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม: ถอดบทเรียน จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยเว็บโอเมทริกซ์ ผลงานที่ 10 การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ของพื้นที่ สวนส้มโอพันธุ์นครชัยศรี จังหวัด นครปฐม


26 4.3.1 ผลงานที่ 1 การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักศึกษาสายวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม การวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน และหาความต้องการเพื่อใช้ในการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ขั้นตอนที่ 2 ผลการพัฒนาและหาประสิทธิภาพของบทเรียน ขั้นตอนที่ 3 ผลการทดลองใช้บทเรียน โดยการเปรียบเทียบความสามารถในการฟัง-พูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักศึกษาสายวิชาชีพครู ที่ได้รับการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต กับนักศึกษาสายวิชาชีพ ครูที่ได้รับการสอนแบบปกติขั้นตอนที่ 4 การประเมินผลและปรับปรุงบทเรียน โดยมีรายละเอียดแต่ละ ขั้นตอนตามล าดับ ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานและหาความต้องการเพื่อใช้ในการสร้างบทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้วิจัยได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล พื้นฐานและหาความต้องการเพื่อใช้ในการสร้างบทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ศึกษารูปแบบและ แนวทางจัดท าบทเรียนคอมพิวเตอร์ศึกษาความต้องการของผู้เรียนด้วยแบบสอบถามซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ตอน จากนักศึกษาผู้ตอบแบบสอบถามจ านวน 30 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 ปรากฏผล ดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป วัยของนักศึกษาอยู่ในช่วง 17-20 ปี นักศึกษาส่วนใหญ่มีอายุ 18 ปี ตอนที่ 2 ความต้องการหรือสิ่งที่อยากให้มี ในบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดีย บน เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในด้านของรูปแบบ คือ ภาพ มีเสียงประกอบอย่างเหมาะสม ชัดเจน และน่าสนใจ ใช้สื่อจริง เช่น เพลง การรายงานข่าวและภาพยนตร์เนื้อหาไม่ยาวและเนื้อเรื่องไม่ยาก ส าหรับแหล่งเรียนรู้ ที่มีเนื้อหาหลากหลาย เช่น ภาพยนตร์ เพลง ข่าว หนังสือ สารคดี เป็นต้น ผู้วิจัยจึงได้น าข้อมูลมาจัดท าบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึก ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ให้มีคุณภาพที่ดี โดยได้น าความต้องการของนักศึกษามาด าเนินการ ดังนี้ 1.ด้านรูปแบบ มีภาพ และเสียงประกอบอย่างเหมาะสมและน่าสนใจ โดยใช้สื่อจริงในการน าเสนอ 2. ด้านเนื้อหาไม่ยาวและไม่ยากจนเกินไป 3. ลักษณะการท าแบบฝึกหัด ชอบท าแบบฝึกหัดแบบเลือกตอบและแบบจับคู่ 4. แหล่งเรียนรู้ มีแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น ภาพยนตร์เพลง ข่าวทางโทรทัศน์


27 หนังสือเรียน เป็นต้น 5. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีเรียนโดยไม่ต้องเข้าเรียน สามารถฝึกด้วยตนเองได้เมื่อต้องการ มีภาพ เคลื่อนไหวและมีกิจกรรมที่หลากหลายในบทเรียน ขั้นตอนที่ 2 ผลการพัฒนาและหาประสิทธิภาพของบทเรียน ผู้วิจัยได้สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกความสามารถ ในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ได้ผลการพัฒนาและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดีย บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ประกอบด้วยบทเรียน 8 บท ดังนี้ บทที่ 1 Numbers, Dates, and Time บทที่ 2 Greeting People บทที่ 3 Asking for and Invitation บทที่ 4 Telephone Conversations บทที่ 5 Describing Features บทที่ 6 Shopping บทที่ 7 Asking for and Giving Directions บทที่ 8 Asking and Giving Information ผู้วิจัยได้น าบทเรียนที่สร้างไปหาค่าประสิทธิภาพ เป็นรายบุคคล นักศึกษากลุ่มเล็ก และแบบ ภาคสนาม โดยสุ่มจากค่า GPA ของคะแนนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (วิชาบังคับ) ในใบแสดงผล การศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของนักศึกษาที่แบ่งเป็นชั้นและสุ่มขึ้นมาจากกลุ่มระดับ ความสามารถ 3 กลุ ่ม คือ เก ่ง ปานกลาง และ อ่อน โดยการหยิบขึ้นมาในแต่ละครั้ง ต้องไม่ใช่ นักศึกษาที่ได้เลือกไปแล้ว และเป็นนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ส าหรับครู (1112103) โดยผลปรากฏ ดังนี้ 1.การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษด้านการฟัง-พูด ครั้งที่ 1 ผลการทดลองปรากฏว่า ในขั้นทดลองใช้บทเรียนเป็นรายบุคคลกับนักศึกษา 3 คน นักศึกษาท าแบบทดสอบรายบททั้ง 8 บท และทดสอบความสามารถในการฟัง-พูดทางตรง จ านวน 3 คน ได้คะแนนรวม 534 คะแนน จากคะแนนเต็ม 720 คะแนน คิดเป็นร้อยละ74.16 และท าแบบทดสอบความสามารถในการฟัง-พูด หลังการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียเพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้คะแนน รวม 290 คะแนน จากคะแนนเต็ม 390 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 74.35 สรุปผลของประสิทธิภาพ ของบทเรียนในขั้นทดลองตามสูตรการหาประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 74.16/74.35


28 การปรับปรุงแก้ไขครั้งที่ 1 เพื่อพัฒนาบทเรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยได้แก้ไข ปรับปรุงบทเรียนในบทที่คะแนนต่ ากว่าร้อยละ 80 ซึ่งได้แก่ บทที่ 1 Numbers, Dates, and Time) บทที่ 2 Greeting People บทที่ 5 Describing Features บทที่ 6 Shopping และบทที่ 7 คือ Asking for and Giving Directions 2.การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษด้านการฟัง-พูด ครั้งที่ 2ผลการทดลองปรากฏว่า ในขั้นทดลองใช้บทเรียนกลุ่มย่อยของนักศึกษา 9 คน นักศึกษาท าแบบทดสอบรายบททั้ง 8 บท และทดสอบความสามารถในการฟัง-พูดทางตรงได้คะแนนรวม 1,621 คะแนนจากคะแนนเต็ม 2,160 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 75.04 และท าแบบทดสอบความสามารถในการฟัง-พูดหลังการใช้บทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมิเดียเพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้คะแนนรวม 885 คะแนน จากคะแนนเต็ม 1,170 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 75.64 สรุปผลของประสิทธิภาพของบทเรียน ในขั้นทดลองตามสูตรการหาประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 75.04/75.64 ซึ่งหมายความว่าค่าคะแนน การท าแบบฝึกหัดทดสอบระหว่างเรียนเท่ากับ 75.04 และค่าคะแนนการท าแบบฝึกหัดทดสอบหลัง เรียนเท่ากับ 75.64 การปรับปรุงแก้ไขครั้งที่ 2 เพื่อพัฒนาบทเรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยได้แก้ไข ปรับปรุงบทเรียนในบทที่คะแนนต่ ากว่าร้อยละ 80 ซึ่งได้แก่ บทที่ 6 Shopping และบทที่ 7 คือ Asking for and Giving Directions 3. การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษด้านการฟัง-พูด ครั้งที่ 3 เป็นการทดลองภาคสนาม ผลปรากฏว่าในขั้นทดลองใช้บทเรียนในภาคสนามกับนักศึกษาของนักศึกษาจ านวน 30 คน โดยนักศึกษาท าแบบทดสอบรายบททั้ง 8 บท และทดสอบความสามารถในการฟัง-พูดทางตรงตาม สถานการณ์ได้คะแนนรวม 5,494 คะแนน จากคะแนนเต็ม 7,200 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 76.30 และ ท าคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนกับคะแนนปฏิบัติได้ 3043 คะแนน จากคะแนนเต็ม 3,900 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 78.02สรุปผลของประสิทธิภาพของบทเรียนภาคสนามตามสูตรการหาประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 76.30 / 78.02 ซึ่งหมายความว่าค่าคะแนนการท าแบบฝึกหัดทดสอบระหว่างเรียน เท่ากับ 76.30 และค่าคะแนนการท าแบบฝึกหัดทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 78.02 การปรับปรุงแก้ไขครั้งที่ 3 ได้ปรับปรุงแก้ไขบทเรียนก่อนน าไปทดลองใช้กับ นักศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง สิ่งที่ผู้วิจัยได้ปรับปรุงเป็นบางเรื่อง โดยรวม เช่น การใช้ค าสั่งบางค าสั่ง ในการปฏิบัติกิจกรรมไม่ชัดเจน ผู้วิจัยจึงได้แก้ไขปรับค าสั่งดังกล่าวใหม่ให้สั้น เข้าใจง่ายและตรง ประเด็นมากยิ่งขึ้น และตรวจสอบสัญญาณการเชื่อมต่อของสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ไม่ต่อเนื่องก่อนท า


29 การทดลองทุกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระหว่างการทดลอง ตลอดจนควบคุมเวลาการฝึกปฏิบัติจาก แบบฝึกหัดให้เหมาะสมและเป็นไปตามเวลาที่ก าหนด ขั้นตอนที่ 3 ผลการทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยได้ปรับปรุงบทเรียนในขั้นตอนที่ 2 หลังจากนั้น ได้น าบทเรียนไปใช้กับนักศึกษา สายวิชาชีพครูมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม จ านวน 60 คนซึ่งเป็นนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียน ในรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารส าหรับครู (1112102) ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 ด้วยวิธีการสุ่มแบบยกกลุ่ม (Cluster Random Sampling) มา 2 กลุ่ม จากนักศึกษาทั้งหมด ที่ลงทะเบียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โดยมีนักศึกษาจ านวน 8 สาขาวิชา ในการสุ่มครั้งนี้ได้ นักศึกษาสาขาวิชา ปฐมวัยหมู่เรียน 59/2 จ านวน 37 คน และ สาขาวิชาปฐมวัย หมู่เรียน 59/89 จ านวน 36 คน หลังจากนั้นให้นักศึกษา 2 กลุ่มท าการทดสอบด้วยแบบทดสอบทางอ้อม และแบบทดสอบทางตรงเพื่อวัดความสามารถในการฟัง-พูดก่อนการทดลอง หลังจากที่ได้ท าการตรวจ ให้คะแนนแล้วให้เรียงล าดับคะแนนจากมากไปหาน้อยให้ได้จ านวน 60 คน แล้วจึงใช้วิธีการจับทีละคู่ โดยที่แต่ละคู่มีคะแนนเท่ากันเข้าสู่กลุ่ม 2 กลุ่มได้กลุ่มละ 30 คน หลังจากนั้นใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยสุ่มกลุ่มเข้าสู่การทดลองจาก 2 กลุ่มข้างต้น เพื่อให้เป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม รวมเวลาด าเนินการทั้งหมด 45 คาบ ทั้งนี้นับรวมเวลาที่ใช้ทดสอบก่อนเรียนและหลัง เรียนตามเวลาที่ระบุไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ และการสอบถามความคิดเห็นหลังเรียนซึ่งด าเนินการ วิจัยในขั้นตอนนี้รูปแบบการทดลองใช้แบบแผนการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Design) โดยใช้ การทดลองแบบ Control group pretest-posttest design (มาเรียม นิลพันธุ์, 2549, หน้า 146) 1) ผลการประเมินความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษจากการท าแบบทดสอบ รายบทในบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสาร ภาษาอังกฤษแสดงให้เห็นว่า กลุ่มทดลองสามารถท าคะแนนรายบทในบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดีย บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษทางอ้อมและทางตรงตั้งแต่ ร้อยละ 90 ขึ้นไป ได้แก่ บทที่ 1 Numbers, Dates, and Time (93.33) บทที่ 3 Asking for and Invitation (92.56) บทที่ 8 Asking and Giving Information (92.11) บทที่ 2 Greeting People (92.00) บทที่ 7 Asking for and Giving Directions (91.89) บทที่ 5 Describing Features (91.56) และบทที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ ากว่าร้อยละ 90 ได้แก่ บทที่ 4 Telephone Conversations (89.89) และ บทที่ 6 บทที่ 6 Shopping (89.89) 2) ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมก่อนและหลังการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ (ที่เป็นกลุ่มทดลอง) โดยใช้สถิติทดสอบ


30 ที่แบบกลุ่มสัมพันธ์กัน (t-test for dependent sample) ผลปรากฏว่า ความสามารถทางการเรียนของ นักศึกษาที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกความสามารถใน การสื่อสารภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เป็นไปตาม สมมุติฐาน ดังตาราง 1 การทดสอบ N คะแนน x S.D. t Sig. เต็ม (1-tailed) ก่อนเรียน 30 130 84.60 8.44 77.12 หลังเรียน 30 130 112.63 8.55 ** .000 ** P < .01 3) ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมที่ได้รับการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ตกับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมที่ได้รับการสอนแบบปกติหลังการทดลอง โดยใช้ สถิติทดสอบที แบบกลุ่มสัมพันธ์กัน (t-test for independent sample) ผลปรากฏว่า ความสามารถ ในการสื่อสารภาษาอังกฤษด้านการฟัง-พูดของนักศึกษาที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษหลังการทดลองสูงกว่า ค่าเฉลี่ย ของความสามารถในการฟัง-พูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เป็นไปตามสมมุติฐาน ดังตาราง 2 กลุ่มทดสอบ N คะแนน x S.D. t Sig. เต็ม (1-tailed) กลุ่มควบคุม 30 130 107.00 7.07 3.64** กลุ่มทดลอง 30 130 111.50 8.34 .001 ** P < .01 4) ประเมินความพึงพอใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมจากแบบสอบถาม ความพึงพอใจ เมื่อเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อ บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ 3 ด้านโดยรวม พบว่าอยู่ในระดับ มากทุกด้าน เรียงตามล าดับค่าเฉลี่ยจากสูงไปต่ าได้ดังนี้ ด้านความพึงพอใจในบทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ( x = 4.42, S.D. = 0.66) ทางด้านความพึงพอใจด้านเนื้อหา ( x = 4.25, S.D. = 0.64) และความพึงพอใจด้านรูปแบบ ( x = 4.19, S.D. = 0.65) และจากการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีบทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษทั้ง 8 บท สรุปได้ว่า


31 ความพึงพอใจของนักศึกษามีค่าระดับเฉลี่ย ( x ) อยู่ระหว่าง 4.04 – 4.57 แสดงว่า นักศึกษามี ความพึงพอใจในทางบวกต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึก ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษด้านการฟัง-พูด ในภาพรวมอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด เป็นไป ตามสมมติฐานที่ก าหนดไว้ดังตาราง 3 ข้อความ ค่าสถิติ บทที่ รวม การแปล 1 2 3 4 5 6 7 8 ความหมาย ค่าระดับเฉลี่ย รวม ความพึงพอใจ ด้าน กิ จ ก ร ร ม ก า ร เรียนรู้ x S.D. 4.63 0.50 4.53 0.62 4.49 0.58 4.54 0.54 4.59 0.53 4.60 0.54 4.43 0.66 4.61 0.52 4.55 0.56 มากที่สุด ค่าระดับเฉลี่ย รวมแต่ละบท x S.D. 4.49 0.54 4.41 0.61 4.44 0.56 4.39 0.59 4.48 0.54 4.50 0.52 4.40 0.62 4.47 0.54 4.45 0.58 มาก 5) การปรับปรุงแก้ไขบทเรียนให้มีความสมบูรณ์ในแต่ละข้อ มีรายละเอียด ดังนี้ จากผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการฟัง-พูดภาษาอังกฤษ ของนักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งสูง กว่าคะแนนความสามารถในการฟัง-พูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดีย เป็นสื่อการสอนที่ ช่วยฝึกนักศึกษา ส่งผลท าให้นักศึกษามีความสามารถในการฟัง-พูดสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้แล้วผลของ การประเมินแบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษด้านการฟัง-พูดของกลุ่มทดลอง ทั้ง 3 ด้านยังพบอีกว่า นักศึกษามีความพึงพอใจต่อรูปแบบของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับสูง ( x = 4.19) ในด้านเนื้อหานั้นพบว่า นักศึกษา มีความพึงพอใจต่อเนื้อหาของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ยรวมอยู่ ในระดับสูง ( x = 4.25) ส่วนในด้านความพึงพอใจในบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดีย พบว่านักศึกษา มีความพึงพอใจในบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับสูง ( x = 4.29) ด้วยเช่นกัน ซึ่งผลสรุปโดยรวมทั้ง 3 ด้าน พบว่า ในภาพรวม นักศึกษามีความพึงพอใจในทางบวกต่อ บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับมาก ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ ก าหนดไว้ จากผลการเปรียบเทียบความสามารถและผลของความคิดเห็นที่มีต่อบทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ได้กล่าวไปแล้วในเบื้องต้น ผู้วิจัยจึงน าผลดังกล่าวมา


32 ปรับปรุงบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมิเดียบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอีกครั้ง โดยท าการทบทวนผลการ ประเมินความสามารถในการฟัง-พูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารจากการท าแบบทดสอบรายบทใน บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียบนเครือข ่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกความสามารถในการสื่อสาร ภาษาอังกฤษกับบทที่มีค่าคะแนนเฉลี่ยต่ าที่สุด คือ บทที่ 4 การพูดคุยโทรศัพท์ (Telephone Conversations) ( x = 27.00) และบทที่ 6 ก า ร ซื้ อ ข อง (Shopping) ( x = 27.00) อี ก ค รั้ง ซึ่งปรับปรุงโดยการปรับรูปแบบการพิมพ์ในลักษณะของการย่อหน้าและการขึ้นบรรทัดใหม่ให้ เหมาะสมและเป็นรูปแบบเดียวกัน ซึ่งปรับปรุงกับบทสนทนาที่มีในบทที่ 3 บทที่ 4 บทที่ 6 บทที่ 7 และ 8 4.3.2 ผลงานที่ 2 รูปแบบการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนาจุดหมายปลาย ทางการท่องเที่ยวซ้้าในจังหวัดนครปฐมและพื้นที่เชื่อมโยง ปัจจัยทางการท่องเที่ยวที่โดดเด่นของจังหวัดนครปฐม คือ สิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยว ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม วัด ตลาดโบราณสวนเกษตร และพิพิธ ภัณฑ์ท้องถิ่น ท าให้นักท่องเที่ยวเกิดความสนใจในการเดินทางมาเยือนแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัด และเกิดความ อยากกลับมาเยือนพื้นที่อีก ทั้งนี้ ผลมาจากความหลากหลายของทรัพยากรในพื้นที่ที่มีความแตกต่างกันในแต่ละฤดูกาล ท่องเที่ยว อีกทั้งเกิดความสอดคล้องกับแนวคิดในการสร้างการมีส่วนร่วมให้แก่นักท่องเที่ยว ดังที่เรียกว่าการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์อันน าไปสู่รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้านรูปแบบการ ท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวซ้ าจากข้อค้นพบสรุปได้ 3 รูปแบบดังนี้ 1) รูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนในชุมชนท้องถิ่นเชิงวัฒนธรรม ชุมชนคลอง มหาสวัสดิ์และชุมชนคลองลัดอีแท่น 2) รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงเกษตร อ าเภอบางเลน 3) รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและจิตวิญญาณ อ าเภอเมืองนครปฐม จากข้อวิจัยและข้อค้นพบสามารถน าไปสู่การจัดกิจกรรมท่องเที่ยวน าร่องด้านการ ท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวเชิงศาสนาและพัฒนาจิตวิญญาณ และการพัฒนาต่อยอดแหล่งเกษตรสู่ การท่องเที่ยวเชิงเกษตรสุขภาพ และสามารถน าความสนใจแก่นักท่องเที่ยวได้อย่างดี นอกจากนี้ ยังสามารถสังเคราะห์รูปแบบการท่องเที่ยวได้ 3 รูปแบบดังนี้ 1) รูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนในชุมชนท้องถิ่น 2) รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงเกษตร 3) รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงศาสนา


33 ข้อค้นพบที่ได้ทางคณะผู้วิจัยได้ด าเนินการทดลองกิจกรรมท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดการ ท่องเที่ยวซ้ า คือ การขยายโอกาสทางการท่องเที่ยวแก่แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง เพื่อกระจายตัว นักท่องเที่ยวไปพื้นที่เชื่อมโยง ในขณะเดียวกับพบว่านักท่องเที่ยวนิยมกิจกรรม 4.3.3 ผลงานที่ 3 การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตอ้าเภอเมือง นครปฐม จังหวัดนครปฐม จากการแปลความหมายข้อมูลภาพดาวเทียม Landsat 5 TM พ.ศ. 2547 และข้อมูลภาพ ดาวเทียม Landsat 8 พ.ศ. 2557 ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของปี ด้วยวิธีการจ าแนกแบบก ากับดูแล ร่วมกับ การส ารวจพื้นที่เพื่อเก็บพิกัดพื้นที่ตัวอย่าง และข้อมูลภาพดาวเทียมรายละเอียดสูงจาก Google Maps ดังตารางที่ 1 สามารถจ าแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตอ าเภอเมืองนครปฐมออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ พื้นที่สิ่งปลูกสร้าง พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่แปลงดินว่างเปล่า พื้นที่บ่อเลี้ยงสัตว์น้ า และพื้นที่แหล่งน้ า ดังตารางที่ 2 และภาพที่ 2 ตารางที่ 1 พื้นที่ตัวอย่าง พิกัด (X) พิกัด (Y) ประเภทการใช้ ประโยชน์ที่ดิน ข้อมูลภาพดาวเทียม พ.ศ.2547 ข้อมูลภาพดาวเทียม พ.ศ.2557 พื้นที่จริง พ.ศ. 2559 616407 1527243 พื้นที่เมือง 611952 1526947 พื้นที่เมือง 607972 1533863 พื้นที่เมือง 602352 1538912 พื้นที่สวน 602219 1538709 พื้นที่สวน 602716 1538395 พื้นที่สวน


34 604085 1536448 แหล่งน้ า ภาพที่ 2 ผลการแปลความหมายการใช้ประโยชน์ที่ดินอ าเภอเมืองนครปฐม ในช่วงเวลาต่าง ๆ โดยผลการวิเคราะห์รูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินในอ าเภอเมืองนครปฐม พบว่า พ.ศ. 2547 พื้นที่อ าเภอเมืองนครปฐม จากการค านวณมีพื้นที่ทั้งสิ้น 399.40 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 249,626.86 ไร่ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งครอบคลุมทั้งสวนผัก สวนผลไม้ และไร่เกษตรชนิดต่าง ๆ เป็นเนื้อที่ทั้งสิ้น 269.13 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 67.38 ของพื้นที่ทั้งหมด รองลงมาคือ พื้นที่บ่อเลี้ยงสัตว์น้ า มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 52.57 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 13.16 ของพื้นที่ทั้งหมด ในขณะที่พื้นที่สิ่งปลูกสร้าง มีขนาดเนื้อที่มากเป็นล าดับที่สาม 47.06 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 11.78 ของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนพื้นที่แปลงดินว่างเปล่า มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 22.69 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น ร้อยละ 5.68 ของพื้นที่ทั้งหมด ในขณะที่พื้นที่แหล่งน้ าทั้งแม่น้ า ล าคลองและ บ่อน้ าใน พื้นที่ มีขนาดเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 7.95 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 1.99 ของพื้นที่ทั้งหมด ดังตารางที่ 2 และภาพที่ 3


35 ตารางที่ 2 จ าแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตอ าเภอเมืองนครปฐม พ.ศ. 2547 ประเภทพื้นที่ ตร.กม. ไร่ ร้อยละ พื้นที่สิ่งปลูกสร้าง 47.06 29,414.78 11.78 พื้นที่เกษตรกรรม 269.13 168,206.02 67.38 พื้นที่แปลงดินว่างเปล่า 22.69 14,182.97 5.68 พื้นที่บ่อเลี้ยงสัตว์น้ า 52.57 32,854.99 13.16 พื้นที่แหล่งน้ า 7.95 4,968.09 1.99 รวม 399.40 249,626.86 100.00 จากการแปลความหมายข้อมูลภาพดาวเทียม Landsat 8 โดยผลการวิเคราะห์รูปแบบการใช้ ประโยชน์ที่ดินในอ าเภอเมืองนครปฐม พบว่า พ.ศ. 2557 อ าเภอเมืองนครปฐมมีพื้นที่จากการค านวณ ทั้งสิ้น 399.40 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 249,626.77 ไร่ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งครอบคลุมทั้งสวนผัก สวนผลไม้ และไร่เกษตรชนิดต่าง ๆ เป็นเนื้อที่ทั้งสิ้น 227.51 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 56.96 ของพื้นที่ทั้งหมด รองลงมาคือ พื้นที่สิ่งปลูกสร้าง มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 112.37 ตาราง กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 28.14 ของพื้นที่ทั้งหมด ในขณะที่พื้นที่บ่อเลี้ยงสัตว์น้ า มีขนาดเนื้อที่มาก เป็นล าดับที่สาม 31.75 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 7.95 ของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนพื้นที่แปลงดินว่าง เปล่า มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 20.70 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 5.18 ของพื้นที่ทั้งหมด ในขณะที่พื้นที่ แหล่งน้ าทั้งแม่น้ า ล าคลองและ บ่อน้ าในพื้นที่ มีขนาดเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 7.07 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น ร้อยละ 1.77 ของพื้นที่ทั้งหมด ดังตารางที่ 3 และภาพที่ 4 ตารางที่ 3 จ้าแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตอ้าเภอเมืองนครปฐม พ.ศ. 2557 ประเภทพื้นที่ ตร.กม. ไร่ ร้อยละ พื้นที่สิ่งปลูกสร้าง 112.37 70,233.03 28.14 พื้นที่เกษตรกรรม 227.51 142,196.70 56.96 พื้นที่แปลงดินว่างเปล่า 20.70 12,937.12 5.18 พื้นที่บ่อเลี้ยงสัตว์น้ า 31.75 19,843.06 7.95 พื้นที่แหล่งน้ า 7.07 4,416.85 1.77


36 รวม 399.40 249,626.77 100.00 ภาพที่ 3 แผนที่การใช้ประโยชน์ที่ดินอ าเภอเมืองนครปฐม พ.ศ. 2547


37 เมื่อท าการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2547 – 2557 พบว่าการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตอ าเภอเมืองนครปฐมมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไป ค่อนข้างมาก โดยพื้นที่อ าเภอเมืองนครปฐมมีการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ ในลักษณะของการเพิ่มขึ้นของ พื้นที่สิ่งปลูกสร้าง หรือพื้นที่เมืองมากที่สุด ใน พ.ศ. 2557 พื้นที่เมืองในเขตอ าเภอเมืองนครปฐม เพิ่มขึ้นเป็น 112.37 ตารางกิโลเมตร จากเดิมที่มีพื้นที่เมืองอยู่เพียง 47.06 ตารางกิโลเมตร เมื่อ พ.ศ. 2547 ซึ่งมีการเพิ่มขึ้นมากถึง 64.77 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 16.36 ส่วนพื้นที่เกษตรกรรม หรือพื้นที่สวน และไร่ นั้นมีขนาดพื้นที่ลดลงค่อนข้างมาก คือ เหลือเพียง 227.51 ตารางกิโลเมตรใน พ.ศ. 2557 จากเดิมที่มีพื้นที่สวนทั้งสิ้น 269.13 ตาราง กิโลเมตร มีการเปลี่ยนแปลงขนาดพื้นที่ทั้งสิ้น 41.62 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 10.42 ในขณะเดียวกันพื้นที่บ่อเลี้ยงสัตว์น้ า ในเขตอ าเภอเมืองนครปฐมก็มีขนาดลดลงเช่นกัน จากเดิมใน พ.ศ. 2547 เคยมีพื้นที่บ่อเลี้ยงสัตว์น้ า 52.57 ตารางกิโลเมตร ลดลงเหลือ 31.75 ตาราง กิโลเมตร ใน พ.ศ. 2557 ซึ่งมีการลดลงของขนาดพื้นที่บ่อเลี้ยงสัตว์น้ า ทั้งสิ้น 20.82 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 5.21 ส่วนพื้นที่แปลงดินว่างเปล่ามีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจากเดิม ใน พ.ศ. 2547 เคยมีพื้นที่แปลงดินว่างเปล่า 22.69 ตารางกิโลเมตร ลดลงเหลือ 20.70 ตารางกิโลเมตร ใน พ.ศ. 2557 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเพียง 1.99 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 0.5 ดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตอ้าเภอเมืองนครปฐม พ.ศ. 2547 - 2557 ประเภทพื้นที่ พ.ศ. 2547 พ.ศ. 2557 การ เปลี่ยนแปลง (ร้อยละ.) ตร.กม. ไร่ ร้อยละ ตร.กม. ไร่ ร้อยละ พื้นที่สิ่งปลูกสร้าง 47.06 29,414.78 11.78 112.37 70,233.03 28.14 +16.36 พื้นที่เกษตรกรรม 269.13 168,206.02 67.38 227.51 142,196.70 56.96 -10.42 พื้นที่แปลงดินว่างเปล่า 22.69 14,182.97 5.68 20.70 12,937.12 5.18 -0.5 พื้นที่บ่อเลี้ยงสัตว์น้ า 52.57 32,854.99 13.16 31.75 19,843.06 7.95 -5.21 พื้นที่แหล่งน้ า 7.95 4,968.09 1.99 7.07 4,416.85 1.77 -0.22 รวม 399.40 249,626.86 100.00 399.40 249,626.77 100.00 (+ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงขนาดพื้นที่ในลักษณะเพิ่มจ านวนขึ้น) (- หมายถึง การเปลี่ยนแปลงขนาดพื้นที่ในลักษณะลดจ านวนลง)


38 ภาพที่ 4 แผนที่การใช้ประโยชน์ที่ดินอ าเภอเมืองนครปฐม พ.ศ. 2557


39 ผลการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินในเขตอ าเภอเมืองนครปฐม โดยใช้การค านวณ ค่าความคลาดเคลื่อน (Error Matrix) ดังตารางที่ 5 พบว่า การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินนี้ มีค่าความถูกต้องรวมอยู่ที่ ร้อยละ 62.17 ตารางที่ 4 ค่าความคลาดเคลื่อนจากการจ าแนกข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ 2557 บ่อเลี้ยง สัตว์น้้า แปลงดิน ว่างเปล่า สิ่งปลูก สร้าง เกษตรกรรม แหล่งน้้า รวม ความ ถูกต้องของ ผู้จ้าแนก 2547 (%) บ่อเลี้ยงสัตว์ น้้า 22,951 2,233 7,992 25,483 27 58,686 39.11 แปลงดินว่าง เปล่า 1,413 3,123 11,890 8,738 163 25,327 12.33 สิ่งปลูกสร้าง 2,325 1,836 38,655 9,339 314 52,469 73.67 เกษตรกรรม 7,870 15,766 65,594 208,172 3,087 300,489 69.28 แหล่งน้้า 869 111 1,145 2,450 4,267 8,842 48.26 รวม 35,428 23,069 125,276 254,182 7,858 445,813 - ความถูกต้อง ของผู้ใช้(%) 64.78 13.54 30.86 81.90 54.30 - - ค่าความถูกต้องรวม = 62.17 % 4.3.4 ผลงานที่ 4 การรู้สารสนเทศของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม จากการวิจัย สามารถสรุปผลได้ดังนี้ ข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 390 คน พบว่า เป็นเพศชาย จ านวน 170 คน คิดเป็น ร้อยละ 43.59 และเพศหญิง จ านวน 220 คน คิดเป็นร้อยละ 56.41 ส าหรับคณะที่สังกัด พบว่า เป็นนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จ านวน 138 คน คิดเป็นร้อยละ 35.38 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จ านวน 111 คน คิดเป็นร้อยละ 28.46 คณะวิทยาการจัดการ จ านวน 92 คน คิดเป็นร้อยละ 23.59 คณะครุศาสตร์ จ านวน 42 คน คิดเป็นร้อยละ 10.78 และคณะ พยาบาลศาสตร์ จ านวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 1.79 ในส่วนของชั้นปี พบว่า เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จ านวน 98 คน คิดเป็นร้อยละ 25.13 ชั้นปีที่ 2 จ านวน 97 คน คิดเป็นร้อยละ 24.87 ชั้นปีที่ 3 จ านวน 98 คน คิดเป็นร้อยละ 25.13 และชั้นปีที่ 4 จ านวน 97 คน คิดเป็นร้อยละ 24.87 การรู้สารสนเทศของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม


40 นักศึกษามีการรู้สารสนเทศอยู่ในระดับมาก (ˉx = 3.81, S.D. = 0.83) เมื่อพิจารณา ตามมาตรฐาน พบว่า นักศึกษามีการรู้สารสนเทศอยู่ในระดับมากทั้ง 5 มาตรฐาน เรียงล าดับตาม ค่าเฉลี่ยได้ดังนี้ มาตรฐานที่ 1 ตระหนักว่าตนเองมีความต้องการสารสนเทศ และสามารถอธิบาย สารสนเทศที่ต้องการได้ (ˉx = 3.88, S.D. = 0.81) มาตรฐานที่ 4 วิเคราะห์และสังเคราะห์สารสนเทศ ที่มีอยู่สู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ (ˉx = 3.84, S.D. = 0.82) มาตรฐานที่ 3 ประเมินสารสนเทศและ แหล่งสารสนเทศได้ (ˉx = 3.79, S.D. = 0.80) มาตรฐานที่ 5 เข้าใจบริบทด้านจริยธรรม กฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคม ในการใช้สารสนเทศได้ (ˉx = 3.77, S.D. = 0.86) และมาตรฐานที่ 2 เข้าถึง/ ค้นหา สารสนเทศที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (ˉx = 3.75, S.D. = 0.86) ตามล าดับ ปรากฏรายละเอียดดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 การรู้สารสนเทศของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มาตรฐานด้านการรู้สารสนเทศ xˉ S.D. แปลผล มาตรฐานที่ 1 ตระหนักว่าตนเองมีความต้องการสารสนเทศ และสามารถ อธิบายสารสนเทศที่ต้องการได้ 3.88 0.81 มาก มาตรฐานที่ 2 เข้าถึง/ค้นหา สารสนเทศที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล 3.75 0.86 มาก มาตรฐานที่ 3 ประเมินสารสนเทศและแหล่งสารสนเทศได้ 3.79 0.80 มาก มาตรฐานที่ 4 วิเคราะห์และสังเคราะห์สารสนเทศที่มีอยู่สู่การสร้างองค์ความรู้ ใหม่ได้ 3.84 0.82 มาก มาตรฐานที่ 5 เข้าใจบริบทด้านจริยธรรม กฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคม ใน การใช้สารสนเทศได้ 3.77 0.86 มาก รวม 3.81 0.83 มาก เมื่อพิจารณามาตรฐานด้านการรู้สารสนเทศ จ าแนกตามเพศ พบว่า นักศึกษาทั้งเพศชายและ เพศหญิงมีการรู้สารสนเทศอยู่ในระดับมาก (ˉx = 3.75, S.D. = 0.83 และ ˉx = 3.85, S.D. = 0.83 ตามล าดับ) เมื่อจ าแนกตามคณะ พบว่า นักศึกษามีการรู้สารสนเทศ 2 ระดับ คือ ระดับมาก และ ระดับปานกลาง ส าหรับระดับมากมี 4 คณะ เรียงตามล าดับค่าเฉลี่ย คือ คณะวิทยาการจัดการ (ˉx = 3.91, S.D. = 0.81) คณะครุศ าสต ร์ (ˉx = 3.88, S.D. = 0.77) คณะมนุษยศ าสต ร์และ สังคมศาสตร์ (ˉx = 3.81, S.D. = 0.86) และคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ˉx = 3.71, S.D. = 0.81) ส่วนระดับปานกลางมี 1 คณะ คือ คณะพยาบาลศาสตร์ (ˉx = 3.33, S.D. = 0.84) และ เมื่อจ าแนกตามชั้นปี พบว่า นักศึกษามีการรู้สารสนเทศอยู่ในระดับมาก เรียงตามล าดับค่าเฉลี่ย คือ ชั้นปีที่ 1 (ˉx = 3.88, S.D. = 0.89) ชั้นปีที่ 4 (ˉx = 3.87, S.D. = 0.79) ชั้นปีที่ 2 (ˉx = 3.83, S.D. = 0.81) และชั้นปีที่ 3 (ˉx = 3.65, S.D. = 0.79)


41 การเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม เมื่อเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศ จ าแนกตามเพศ พบว่า นักศึกษาเพศต่างกันมีการรู้ สารสนเทศแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยนักศึกษาเพศหญิงมีการรู้สารสนเทศ สูงกว่าเพศชายอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาตามมาตรฐานด้านการรู้สารสนเทศ พบว่า ไม่แตกต่างกัน ปรากฏรายละเอียดดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ผลการเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครปฐม จ้าแนกตามเพศ มาตรฐานด้านการรู้สารสนเทศ เพศ จ้านวน xˉ S.D. t Sig. มาตรฐานที่ 1 ตระหนักว่าตนเองมีความต้องการ สารสนเทศ และสามารถอธิบายสารสนเทศที่ต้องการได้ ชาย 170 3.80 0.83 -2.05 .44 หญิง 220 3.94 0.79 มาตรฐานที่ 2 เข้าถึง/ค้นหา สารสนเทศที่ต้องการได้อย่าง มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ชาย 170 3.71 0.88 -1.01 .19 หญิง 220 3.77 0.86 มาตรฐานที่ 3 ประเมินสารสนเทศและแหล่งสารสนเทศ ได้ ชาย 170 3.74 0.81 -1.16 .25 หญิง 220 3.82 0.89 มาตรฐานที่ 4 วิเคราะห์และสังเคราะห์สารสนเทศที่มีอยู่สู่ การสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ ชาย 170 3.77 0.80 -1.74 .06 หญิง 220 3.89 0.83 มาตรฐานที่ 5 เข้าใจบริบทด้านจริยธรรม กฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคม ในการใช้สารสนเทศได้ ชาย 170 3.71 0.84 -1.67 .09 หญิง 220 3.82 0.86 รวม ชาย 170 3.75 0.83 -1.66 .03* หญิง 220 3.85 0.83 *แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศ จ าแนกตามคณะ พบว่า นักศึกษาที่ศึกษาในคณะต่างกัน มีการรู้สารสนเทศแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อท าการทดสอบค่าเฉลี่ย เป็นรายคู่โดยวิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe’s method) พบว่า ไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาตามมาตรฐาน ด้านการรู้สารสนเทศ พบว่า มาตรฐานที่ 1 มาตรฐานที่ 2 และมาตรฐานที่ 5 นักศึกษามีการรู้ สารสนเทศแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนมาตรฐานที่ 3 และ 4 นักศึกษา มีการรู้สารสนเทศไม่แตกต่างกัน ส าหรับมาตรฐานที่มีการรู้สารสนเทศแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 จึงท าการทดสอบค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่โดยวิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe’s method) พบว่า มาตรฐานที่ 1 นักศึกษาคณะวิทยาการจัดการมีการรู้สารสนเทศสูงกว่านักศึกษา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนมาตรฐานที่ 2 และมาตรฐานที่ 5 ไม่แตกต่างกัน ปรากฏ รายละเอียดดังตารางที่ 4


42 ตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครปฐม จ้าแนกตามคณะ มาตรฐานด้านการรู้สารสนเทศ ความแปรปรวน SS df MS F Sig. มาตรฐานที่ 1 (ตระหนักว่าตนเองมีความต้องการ สารสนเทศ และสามารถอธิบายสารสนเทศที่ ต้องการได้) ระหว่างกลุ่ม 5.20 4.00 1.30 3.21 .01* ภายในกลุ่ม 155.85 385.00 .40 ทั้งหมด 161.05 389.00 มาตรฐานที่ 2 (เข้าถึง/ค้นหา สารสนเทศที่ ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล) ระหว่างกลุ่ม 6.14 4.00 1.53 3.96 .00* ภายในกลุ่ม 148.99 385.00 .39 ทั้งหมด 155.13 389.00 มาตรฐานที่ 3 (ประเมินสารสนเทศและแหล่ง สารสนเทศได้) ระหว่างกลุ่ม 3.13 4.00 .78 2.05 .09 ภายในกลุ่ม 146.71 385.00 .38 ทั้งหมด 149.84 389.00 มาตรฐานที่ 4 (วิเคราะห์และสังเคราะห์ สารสนเทศที่มีอยู่สู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้) ระหว่างกลุ่ม 3.57 4.00 .89 2.16 .07 ภายในกลุ่ม 158.80 385.00 .41 ทั้งหมด 162.37 389.00 มาตรฐานที่ 5 (เข้าใจบริบทด้านจริยธรรม กฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคม ในการใช้ สารสนเทศได้) ระหว่างกลุ่ม 5.16 4.00 1.29 3.45 .01* ภายในกลุ่ม 143.85 385.00 .37 ทั้งหมด 149.02 389.00 รวม ระหว่างกลุ่ม 4.16 4.00 1.04 3.32 .01* ภายในกลุ่ม 120.64 385.00 .31 ทั้งหมด 124.80 389.00 *แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศ จ าแนกตามชั้นปี พบว่า นักศึกษาชั้นปีต่างกัน มีการรู้ สารสนเทศแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อท าการทดสอบค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ โดยวิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe’s method) พบว่า นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มีการรู้สารสนเทศสูงกว่านักศึกษา ชั้นปีที่ 2 และนักศึกษาชั้นปีที่ 3 เมื่อพิจารณาตามมาตรฐานด้านการรู้สารสนเทศ พบว่า นักศึกษา มีการรู้สารสนเทศแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทุกมาตรฐาน เมื่อท าการทดสอบ ค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่โดยวิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe’s method) พบว่า มาตรฐานที่ 1 นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มี การรู้สารสนเทศสูงกว่านักศึกษาชั้นปีที่ 3 มาตรฐานที่ 2 นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มีการรู้สารสนเทศสูงกว่า นักศึกษาชั้นปีที่ 2 และนักศึกษาชั้นปีที่ 3 มาตรฐานที่ 3 นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มีการรู้สารสนเทศสูงกว่า นักศึกษาชั้นปีที่ 3 และนักศึกษาชั้นปีที่ 4 มีการรู้สารสนเทศสูงกว่านักศึกษาชั้นปีที่ 3 มาตรฐานที่ 4 นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มีการรู้สารสนเทศสูงกว่านักศึกษาชั้นปีที่ 2 และนักศึกษาชั้นปีที่ 3 และนักศึกษา ชั้นปีที่ 4 มีการรู้สารสนเทศสูงกว่านักศึกษาชั้นปีที่ 3 มาตรฐานที่ 5 นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มีการรู้ สารสนเทศสูงกว่านักศึกษาชั้นปีที่ 2 และนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ปรากฏรายละเอียดดังตารางที่ 5


43 ตารางที่ 5 ผลการเปรียบเทียบการรู้สารสนเทศของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครปฐม จ้าแนกตามชั้นปี มาตรฐานด้านการรู้สารสนเทศ ความแปรปรวน SS df MS F Sig. มาตรฐานที่ 1 (ตระหนักว่าตนเองมีความต้องการ สารสนเทศ และสามารถอธิบายสารสนเทศที่ ต้องการได้) ระหว่างกลุ่ม 5.53 3.00 1.84 4.57 .00* ภายในกลุ่ม 155.52 386.00 .40 ทั้งหมด 161.05 389.00 มาตรฐานที่ 2 (เข้าถึง/ค้นหา สารสนเทศที่ ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล) ระหว่างกลุ่ม 5.96 3.00 1.99 5.07 .00* ภายในกลุ่ม 151.40 386.00 .39 ทั้งหมด 157.36 389.00 มาตรฐานที่ 3 (ประเมินสารสนเทศและแหล่ง สารสนเทศได้) ระหว่างกลุ่ม 6.32 3.00 2.11 5.66 .00* ภายในกลุ่ม 143.52 386.00 .37 ทั้งหมด 149.84 389.00 มาตรฐานที่ 4 (วิเคราะห์และสังเคราะห์ สารสนเทศที่มีอยู่สู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้) ระหว่างกลุ่ม 8.56 3.00 2.85 7.16 .00* ภายในกลุ่ม 153.81 386.00 .40 ทั้งหมด 162.37 389.00 มาตรฐานที่ 5 (เข้าใจบริบทด้านจริยธรรม กฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคม ในการใช้ สารสนเทศได้) ระหว่างกลุ่ม 5.54 3.00 1.85 4.97 .00* ภายในกลุ่ม 143.48 386.00 .37 ทั้งหมด 149.02 389.00 รวม ระหว่างกลุ่ม 5.90 3.00 1.97 6.43 .00* ภายในกลุ่ม 118.16 386.00 .31 ทั้งหมด 124.06 389.00 *แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาทักษะและความสามารถในการรู้สารสนเทศส้าหรับ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ส าหรับข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการพัฒนาทักษะและความสามารถในการรู้ สารสนเทศส าหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ที่ได้จากการสนทนากลุ่ม สรุปได้ดังนี้ ควรบูรณาการการรู้สารสนเทศกับการเรียนการสอนในทุกรายวิชา เนื่องจากการรู้สารสนเทศ เป็นทักษะที่ส าคัญและจ าเป็นส าหรับการเรียนในระดับอุดมศึกษา และยังสามารถน าไปใช้ในการ ประกอบอาชีพในอนาคต หากอาจารย์ผู้สอนทุกท่านให้ความส าคัญกับการพัฒนาทักษะการรู้ สารสนเทศ โดยบูรณาการกับการเรียนการสอนในทุกรายวิชา จะช่วยให้นักศึกษาเกิดความมั่นใจใน การเรียน และการออกไปประกอบอาชีพในอนาคต นักศึกษาส่วนใหญ่ได้ใช้ฐานข้อมูลภาษาไทยในการสืบค้นข้อมูลเพื่อการท างานตามที่อาจารย์ มอบหมาย แต่ในปัจจุบันภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทส าคัญในการติดต่อสื่อสาร จึงต้องการให้


Click to View FlipBook Version